ประเด็นเรื่องของแร็ปเปอร์คนดัง Illslick กล่าวพาดพิงถึง ตูน Bodyslam กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ชาวโซเชียลต่างวิพากษ์วิจารณ์กันขณะนี้
อ่านสรุป: สรุปดราม่า อิลสลิก เดือดร้านที่จ้างไปเล่น ลามไปพาดพิงแซะถึง ตูน-บอดี้แสลม
หลังจากที่เกิดดราม่ามาหลายวัน ล่าสุดทางทีมงาน Illslick ได้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ผ่านทางเฟซบุ๊กเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยประเด็นในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 4 ประเด็นด้วยกัน และเป็นการชี้แจงรายละเอียดที่ค่อนข้างยาวในแต่ละข้อ เราไปชมกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
1. กรณียกเลิกการแสดง
ทีมงานยืนยันว่าจำเป็นต้องยกเลิก ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจด้วยอารมณ์ แต่มีเหตุผลมากมาย ในโพสต์เผยว่า
“เราเคยปฏิเสธร้านนี้หลายครั้งเป็นเดือนเพราะคิดว่าไม่เหมาะกับการแสดงของศิลปิน แต่ในท้ายที่สุดพี่อิลใจอ่อนเพราะร้านแจ้งว่าเป็นคนฟังของพี่อิล พร้อมปรับทุกอย่างให้ได้ร่วมงานกัน”
พอมาถึงร้านทุกคนกลับต้องผิดหวัง เนื่องจากอุปกรณ์ไม่พร้อม มีปัญหาการเซต และอุปกรณ์ไม่เพียงพอ ซึ่งพี่อิลและทีมงานพยายามเช็คเองหลายชั่วโมงเพื่อแก้ปัญหา
และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เนื่องจากแฟนเพลงมารอตั้งแต่เช้าทั้งที่การแสดงเริ่มเวลา 23:00 น. ในโพสต์เผยต่อว่า
“เราพบปัญหาไมค์หอนอย่างรุนแรงเพราะการเซ็ตลำโพง PA อยู่หลังลำโพงมอนิเตอร์ เราแจ้งให้ร้านทราบเพื่อขอให้มีการปรับย้ายให้ถูกต้อง แต่ผู้มีอำนาจไม่ยอม แจ้งว่าแบบนี้ก็ใช้ได้…”
ทางทีมงานพยายามอธิบายให้ผู้มีอำนาจฟังว่าถ้าหากปรับแบบนั้นจะกระทบต่อเสียงร้องและซาวนด์ เพราะแนวเพลงของพี่อิลแตกต่างจากแนวอื่น ถึงจะใช้อีกวิธีที่ปรับได้แต่ไมค์ก็ยังหอนและควบคุมไม่ได้อยู่ดี
ด้วยความที่ลำโพง PA มี 2 ตัว หากเดินไปใกล้ลำโพงฝั่งหนึ่งไมค์ก็จะหอน ผู้มีอำนาจจึงบอกให้พี่อิลร้องฝั่งเดียว แต่พี่อิลไม่ยอมเพราะ
“การโชว์สปิริตฝืนเล่น คือการเอาเปรียบคนดู คนมารอฟังเราร้องแต่ซาวนด์มีปัญหา เราไม่ใช่ดาราที่แค่มาเจอหน้า เสียงไม่ได้ยินก็พอใจแล้วเช่นนั้น “
2. ผู้มีอำนาจใช้วาจาแย่
“พฤติกรรมของผู้มีอำนาจคือการไม่ยอมแก้ไขจุดที่เป็นต้นเหตุ แต่เลือกใช้วิธีพูดจาอ้างถึงคนอื่นๆ และปัดความรับผิดชอบแทน ใช้คำหยาบคาย ไม่มีคำขอโทษ ไม่โอนอ่อนยอมปรับตามให้”
ทีมงานยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหากับเจ้าของร้านหรือคนอื่นๆ เพราะทุกคนพยายามขอร้องผู้มีอำนาจคนนั้น แต่เขากลับไม่รับฟังจนนาทีสุดท้าย ภายในโพสต์ระบุต่อว่า
“เจ้าของร้านและทีมเจ้าของร้านก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่แรกที่เกิดเรื่อง ดังนั้นเราเข้าใจดีที่ทั้งสองท่านจะเข้าใจไปอีกแบบและให้สัมภาษณ์ว่าการเปรียบเทียบนั้นเพียงเพราะอยากแก้ปัญหา และไม่มีเจตนาเหยียดหยาม”
ผู้มีอำนาจคนนั้นไม่รับฟังมุมมองของดนตรี ไม่ยอมปรับแก้ และใช้คำพูดดูถูกเปรียบเทียบนับสิบครั้ง พูดซ้ำๆ ว่า “ทีมว่าไอ้ตูนก็เล่นได้ บอดี้แสลมก็เล่นได้”
บางครั้งพูดว่า “ไอ้เคนก็วิ่งไปวิ่งมาร้องบนเวทีด้วยซ้ำก็ไม่เห็นเป็นอะไร” ทำให้ทีมงานมองว่าเกินกว่าจะแก้ได้จึงตัดสินใจยกเลิก
3. ยืนยันว่าไม่ได้หาเรื่องบุคคลที่สาม
ประเด็นนี้ได้กล่าวถึงการกล่าวอ้างถึงพี่ตูน ซึ่งหลายคนเข้าใจเจตนาผิด ภายในโพสต์เผยว่า
“เรายืนยันว่าไม่ใช่การแซะ การหาเรื่อง ไม่ใช่การกร่าง หรือการข่มใดๆ อาจเพราะการพูดด้วยสไตล์การ Rap ใช้ประโยคกระชับ รุนแรง มีคำหยาบและตรงไปตรงมา ทำให้ตีความได้เช่นนั้น”
โดยพี่อิลยอมรับว่าใช้คำหยาบตอบกลับผู้มีอำนาจ และโกรธสิ่งที่เขาคนนั้นทำ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องการสื่อออกมาคือการที่ผู้มีอำนาจไม่ควรตัดสินความมืออาชีพจากการเปรียบเทียบง่ายๆ เนื่องจากสไตล์เพลงไม่เหมือนกัน
ภายในโพสต์เผยต่อว่า
“การเป็นศิลปินเดี่ยว ศิลปินใต้ดินที่ไม่มีค่ายสนับสนุน ไม่ได้แปลว่าจะไม่แยแสไม่สนใจคำขอ ปล่อยให้เล่นยังไงก็ได้ เพราะเราต้องลำบากดิ้นรนด้วยตัวเองต้องพยายามไม่แพ้กันเพื่อมาถึงจุดนี้
และเราจะไม่มีวันถอยหลังลดมาตรฐานที่ตัวเองสร้างมาทั้งชีวิตเพราะคนๆเดียวที่ไม่เข้าใจไม่เปิดใจไม่เห็นใจแนวดนตรีที่แตกต่าง”
ประโยคที่บอกว่า “การขอให้ประชัน จุดประสงค์หลักเพื่อเป็นการกระตุ้นผู้นั้นให้เห็นว่าก่อนตัดสินอีกฝ่ายควรพิจารณาให้เห็นประจักษ์” ทีมงานเผยว่าไม่ใช่แค่พูดง่ายๆ แต่เป็นการร้องขอต่อผู้มีอำนาจผู้นั้นที่เป็นฝ่ายเปรียบเทียบมาก่อน
โดยการประชันของพี่อิลไม่ใช่การเอาชนะ แต่เป็นการขอโอกาสให้ได้แสดงให้เห็นว่าตนเองก็ทำได้
การประชันนี้เป็นเพียงการยกขึ้นมากระตุ้นผู้มีอำนาจผู้นั้นให้ฉุกคิดผ่านถ้อยคำการแร็ปบนเวที ไม่ได้อยากกล่าวอ้างถึงใครหากไม่ถูกโยงไปเทียบก่อน นอกจากนี้ยังเผยอีกว่า
“หากจะเกิดขึ้นจริง เรายินดี เพราะมันจะไม่ใช่การแข่งขันการเอาชนะ แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้ดนตรีจะแตกต่างกันก็ไม่ได้ด้อยค่าไปกว่ากัน ดนตรีเป็นเรื่องของรสนิยม ไม่มีถูกผิด ไม่มีใครดีใครด้อยกว่าใคร
.
ย่อมเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายสองแนวดนตรี และเรามั่นใจว่ามันจะช่วยเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อดนตรีฮิปฮอปที่คนมองว่าเป็นเพียงดนตรีง่ายๆ เล่นกับบีท ลอกต่างชาติ ใครๆ ก็ทำได้ให้มันหมดไป”
4. อธิบายถึงข้อความที่เป็นประเด็น
มีข้อความหนึ่งที่กล่าวว่า “คนที่เล่นในสถานการณ์เช่นนั้นได้คือคนที่ทรยศต่อคนฟัง เพราะเห็นแก่ตัวเองและเงิน”
ทีมงานชี้แจงว่าไม่ได้หมายถึงคนอื่น แต่หมายถึงตัวพวกเขาเองที่จะไม่มีวันทำแบบนั้น เพราะคนที่ทำแบบนั้นคือคนที่ทรยศคนฟังของตัวเอง
ด้วยความที่พี่อิลเห็นว่ามีคนรอ เสียเงินค่าบัตรไปแล้ว 800 บาท และยังต้องจ่ายค่าเปิดโต๊ะเพิ่มอีก แต่คนฟังก็ยังยอม เขามองว่าจะเอาเปรียบคนดูซ้ำด้วยการเล่นในมาตรฐานแบบนั้นไม่ได้และมันจะไม่มีวันเกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการเผยบนโพสต์ว่า ทีมงานก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน เนื่องจากคนในทีมไม่เหลือเสียงร้องจากการซาวนด์เช็คที่นานเกินลิมิตจนต้องเข้าโรงพยาบาล ใช้ยาสเตียรอยด์เพื่อเล่นในงานต่อไป
อีกทั้งอุปกรณ์เล่นสดของทีมที่ทิ้งไว้ที่ร้านระหว่างกลับมาประชุมหาข้อสรุป พอกลับไปเก็บของกลับพบว่าอุปกรณ์เสียหายกว่า 300,000 บาทโดยไม่ทราบสาเหตุ
หากรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดนับว่าทีมงานเสียหายเกินค่าจ้างที่ได้รับ ในโพสต์ยังเผยอีกว่า
“ทีมเห็นใจร้านที่ต้องรับผิดชอบในส่วนของตัวเอง จึงเลือกรับผิดชอบส่วนของตัวเองเช่นกันโดยไม่มีการร้องขอ เพราะเห็นแล้วว่าเจ้าของร้านรับแทนผู้มีอำนาจผู้นั้นซึ่งเป็นคนผิดตัวจริงตลอดเวลา”
ภายในโพสต์นี้ได้มีการกล่าวปิดท้ายว่า
“เราเสียใจอย่างมากต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และหวังว่าทุกคนจะได้เห็นในมุมที่ต่างออกไป ที่เหลือทางทีมยอมรับในทุกๆ ความคิดเห็น และสัญญาว่าในทุกๆ งานต่อจากนี้
เราจะทำทุกวิถีทางให้ไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ขอบคุณคนฟังที่รักและสนับสนุนเราเสมอมา”
โพสต์ต้นฉบับ
เรียบเรียงโดย #เหมียวนานะ
ที่มา: Illslick – Thikhumporn Whetthaisong
ติดตาม CatDumb ได้ในช่องทางอื่นๆ
Website: www.CatDumb.com
Youtube: www.youtube.com/c/CatDumbTV-Youtube
Instagram: www.instagram.com/catdumbnews/
TikTok: www.tiktok.com/@CATDUMBtv