จากกระแสคนบางกลุ่มออกมาค้านสุราที่ในสังคมไทย หลายคนก็อาจจะมีสงสัยกันบ้างแล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหากประเทศเราหักดิบห้ามการซื้อขายสุรามันไปแบบจริงๆ เลย
เพราะเชื่อไหมว่าการตัดสินใจแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วกับประเทศใหญ่ๆ อย่างสหรัฐฯ ด้วย และผลที่ตามมาก็ถือว่าเละเทะอย่างไม่น่าเชื่อเลยด้วย
การห้ามการซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสหรัฐฯ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Prohibition Era นั้น เริ่มต้นขึ้นจากช่วงปี 1920 หลังจากที่ในประเทศมีกระแสรณรงค์ผู้คนออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแบนการขายสุรา
ปัญหาคือแทนที่จะแบนสุราแค่บางชนิด (เช่นเหล้าขาว หรือวิสกี้) รัฐบาลในเวลานั้น กลับแบนการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปเกือบทุกชนิด รวมถึงเบียร์ หรือไวน์ด้วย ซึ่งถือว่าแคร่งเกินวกว่าที่ผู้คนต้องการมาก
ผลที่ตามมาคือแม้ในตอนต้นการบริโภคแอลกอฮอล์ในประเทศจะลดลงจริงๆ ถึง 30% ก็ตาม ไม่นานนักผู้คนที่อยากดื่มสุราจริงๆ ก็เริ่มที่จะหาทาง “เลี่ยงกฎหมาย” กันมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขากักตุนและซ่อนสุราที่มี เริ่มกลั่นสุรากันเอง เปิดบาร์เหล้าลับที่ต้องใช้รหัสผ่านเข้า หรือลักลอบนำเข้าสุราจากนอกประเทศ ถึงขนาดที่โบสถ์กับโรงพยาบาลบางแห่งเริ่มแอบเอาเครื่องดื่มที่ได้รับการงดเว้นเป็นพิเศษมาขาย
และมาเฟียหลายแก๊งร่ำรวยมีอำนาจจากการจำหน่ายสุราเถื่อน ถึงขนาดที่พวกเขาถูกมองเป็นไอดอล และสามารถติดสินบนตำรวจหรือแม้แต่ผู้พิพากษาและเหล่าลูกขุน เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนจับได้เลย
เรียกได้ว่าการบังคับใช้กฎหมายนี้ไม่ได้ผลถึงขนาดที่เจ้าหน้าที่ปราบปรามจะสามารถพบ เพื่อนร่วมงาน หัวหน้าตัวเองหรือแม้แต่ นักการเรื่องที่เคยสนับสนุนกฎหมายห้ามขายสุรา ในร้านเหล้าหรือมีสุราในครอบครองเสียเอง
อย่างในการทดลองเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ของเจ้าหน้าที่รายหนึ่ง เขาก็พบว่าจะมีคนพยายามขายหรือเลี้ยงเหล้าเขาในเกือบทุกรัฐ บางเมืองแค่เหยียบเข้าไปแท็กซี่ก็ยืนสุราให้เลยก็มี
ปัญหาเหล่านี้ บวกกับการมาของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ในปี 1932 ก็ทำให้กฎหมายห้ามการซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ค่อยๆ ถูกผ่อนปรนลงไปที่ละนิด กระทั่งในปี 1933 Prohibition Era ก็ได้ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการ
ที่มา
www.history.com/topics/roaring-twenties/prohibition
www.britannica.com/event/Prohibition-United-States-history-1920-1933