ขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับ รอย เบนาวิเดซ ทหารชาวอเมริกัน “ยอดคนอึด” เจ้าของตำนาน “กระโดดลง ฮ. ช่วยเพื่อนที่ถูกยิง” แม้จะมีบาดแผลรุนแรงถึง 32 แห่งบนร่างกาย
เขามีชื่อว่า ราอูล “รอย” เปเรซ เบนาวิเดซ (Raul “Roy” Perez Benavidez) เกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 1935 ในครอบครัวเชื้อสายแม็กซิกันในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา
รอยสมัครเข้าเป็นทหารของกองทัพ ในปี 1952 และรับใช้ชาติเป็นเวลามากกว่า 10 ปี
ในปี 1965 เขาถูกส่งไปยังเวียดนามในฐานะครูฝึกทหาร ก่อนที่จะเข้าร่วมหน่วยรบพิเศษที่เรารู้จักกันในนาม “กรีนแบเรต์”
เรื่องที่ทำให้ชายคนนี้กลายเป็นที่จดจำ เกิดขึ้น ในวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 1968 ขณะที่รอยกำลังสวดมนต์กับเพื่อนทหารในค่ายอยู่
เขาได้แจ้งว่าหน่วยทหาร 12 นายซึ่งประกอบได้ด้วยเพื่อนของเขาสามคน ถูกโจมตีโดยกองทัพเวียดนาม (NVA) และต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
รอยก็ตัดสินใจกระโดดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปช่วยเพื่อน ๆ ในทันที
ทันทีที่ไปถึงพื้นที่ปะทะ เฮลิคอปเตอร์ที่รอยนั่งมาก็ถูกโจมตีใส่อย่างหนัก จนไม่สามารถลงจอดได้ในจุดต้องการ รอยจึงตัดสินใจที่จะกระโดดลงจาก ฮ. และวิ่งไปหากลุ่มเพื่อน ๆ ที่ถูกยิงกดดันด้วยตัวเอง
รอยถูกยิงเข้าที่ขาขวา แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะคิดว่าตัวเองแค่วิ่งเกี่ยวพุ่มไม้หนาม และวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีแรงระเบิดกระแทกเขาจนล้ม และเศษระเบิดฝังไปบนใบหน้าของเขาจนภาพที่เห็นเบลอไปหมด
ถึงอย่างนั้นก็ตามเจ้าตัวก็ลากสังขารตัวเองไปถึงจุดที่เพื่อนทหารอยู่ได้ในที่สุด
ในตอนที่เขาไปถึงกลุ่มทหารฝ่ายสหรัฐฯ ถูกแรงกดดันจากกองทัพ NVA ทำให้ต้องแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แถมในบรรดาทหารที่อยู่ที่นั่น 4 คน ก็เสียชีวิตไปแล้วด้วย
เพื่อช่วยเพื่อน ๆ รอยจึงหยิบปืน AK ของอีกฝ่ายขึ้นมา คอยฉีดมอร์ฟีนให้คนเจ็บ และพยายามติดต่อเรียกการโจมตีทางอากาศ
ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกตัวว่าตัวเองถูกยิงอีกนัดที่ขาขวา หลังจากนั้นไม่นาน เฮลิคอปเตอร์ที่เขานั่งมาก็ร่อนลงได้สำเร็จ
รอยก็ยังคงยืนหยัดลากทหารทั้งที่บาดเจ็บและเสียชีวิตไปแล้วขึ้นเครื่อง ก่อนที่จะบอกให้นักบิน บินไปหาทหารอีกกลุ่มโดยที่ตัวเองยิงสนับสนุนจากพื้น
วินาทีนั้น รอยเหลือบไปเห็นศพเพื่อนของเขาในบรรดากลุ่มทหารที่เหลือ และตัดสินใจเข้าไปเก็บรหัสวิทยุสัญญาณเรียกขานเพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของศัตรู แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยการที่เขาถูกยิงเข้าที่ท้องอีกหนึ่งนัด และโดนแรงระเบิดเข้าไปอีกหนึ่งลูก
เมื่อตั้งสติได้ รอยก็พบว่าเฮลิคอปเตอร์ที่มากับเขาถูกยิงตกไปแล้ว ทำให้เข้าต้องเปลี่ยนแผนไปดึงคนเจ็บออกมาและสู้กับทหาร NVA โดยอาศัยเพียงภาพเบลอ ๆ เสียง และการสนับสนุนจากการโจมตีทางอากาศ
ในช่วงเวลานี้รอยถูกยิงอีกหลายต่อหลายครั้ง ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังคงชี้เป้าให้การโจมตีทางอากาศต่อไป แม้ว่าเขาจะหมดสติเพราะขาดเลือดเป็นช่วง ๆ ก็ตาม
เท่านั้นยังไม่พอในตอนที่เฮลิคอปเตอร์อีกลำมาถึง แทนที่รอยจะขึ้นเครื่องเพื่อหนีหรือทำการรักษา เขากลับค่อยๆ โยนเพื่อนขึ้นไปบนเครื่องทีละคนทีละคนก่อน
จนทำให้มีทหารเวียดนามเกือบจะแทงเขาสำเร็จด้วยดาบปลายปืน แต่เอามือหยุดไว้ได้ทัน
รอยพยายามบอกให้เพื่อนช่วยจัดการทหารเวียดนามให้แต่ก็ต้องพบว่าเพื่อนคนยังกล่าวถูกฉีดมอร์ฟีนมากเกินไปจนไม่อยู่ในสภาพที่ทำอะไรได้อีกแล้ว
ดังนั้นสุดท้ายรอยจึงต้องจัดการด้วยตัวเอง แถมกว่าที่เขาจะนำทหารที่เหลือขึ้นเครื่องได้ เจ้าตัวก็ต้องยิงต่อสู้ไปเรื่อย ๆ
และก็เป็นในตอนที่เครื่องบินขึ้นและการหลบหนีสำเร็จนั่นเองที่รอยพบว่าแผลจากกระสุนที่ท้องของเขานั้นรุนแรงมากและแม้ว่าเขาจะพยายามกดแผลไว้ด้วยมือ แต่สุดท้ายเขาก็ทนการเสียเลือดไม่ไหวจนสลบไป
บาดแผลบนตัวที่มากมายของรอยทำให้ในตอนที่มาถึงโรงพยาบาล แทบทุกคนที่เห็นก็ล้วนแต่คิดว่าเขาคงจะตายไปแล้ว แต่ในตอนนั้นเองรอยที่เหนื่อยอ่อนสุดขีดก็ทำสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้เพื่อบอกว่าตัวเองนั้นยังไม่ตาย นั่นคือการถ่มน้ำลายใส่หมอ
แน่นอนว่าวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ทำให้ รอย ถูกเสนอชื่อให้รับเหรียญแห่งเกียรติยศ
แต่ด้วยสภาพของรอยในเวลานั้นดูยังไงก็ไม่น่าจะรอดชีวิตได้นาน ทางกองทัพจึงต้องเปลี่ยนรางวัลเป็นเหรียญกล้าหาญซึ่งมอบให้ได้ทันที เพื่อที่จะสามารถมอบรางวัลแก่เขาในขณะที่ยังมีชีวิตได้
แต่รอยก็คือรอย เขาไม่ใช่คนที่จะยอมตายกับบาดแผลแค่ 32 แห่ง และเขาก็รอดมาได้จริง ๆ
ต่อมากองทัพได้ส่งชื่อรอยไปรับเหรียญแห่งเกียรติยศกับประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนอีกครั้ง และตอนที่มอบเหรียญ ประธานาธิบดีเรแกนก็พูดด้วยความทึ่งว่า
“ถ้าเรื่องราววีรกรรมของเขาเป็นบทภาพยนตร์ คุณคงไม่เชื่อแน่ๆ ว่ามันเกิดขึ้นจริง”
#เหมียวหง่าว x #เหมียวศรัทธา
ที่มา : https://www.americanrhetoric.com/speeches/roybenavidezmedalofhonorspeech.htm
https://www.warhistoryonline.com/instant-articles/benavidez-vietnam-carried-onfighting-x.html