เรื่องของเรื่องก็คือ ตอนที่ผมกำลังเลื่อนหน้าฟีดส์หาเรื่องน่าสนใจมาเขียนให้เพื่อน ๆ ชาวแคทดั๊มบ์ได้อ่านกัน ก็ไปเจอกับโพสต์นี้เข้าฮะ
จากผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่าคุณ Teepagorn Champ Wuttipitayamongkol บอกว่า
“สิ่งที่เพิ่งรู้วันนี้ : น้ำตาที่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกจะไหลบนใบหน้าช้ากว่าน้ำตาที่เกิดจากสาเหตุอื่น (เช่น ความระคายเคือง) เพราะน้ำตาที่เกิดจากความรู้สึกมีระดับโปรตีนสูงกว่า”
“น้ำตาที่เดินทางช้ากว่านี้เพิ่มโอกาสให้ผู้อื่นสังเกตเห็นและรับรู้อารมณ์ของผู้ร้องไห้ด้วย”
โพสต์ต้นทาง : https://www.facebook.com/549219925/posts/pfbid02XzTe5goKXAz7QC8SMY8MrpBr3ZE3gvftZw3PvkUCEG8DVEwtYEdMsBbeejyXBsivl/
ด้วยความที่สงสัย ก็เลยไปเสิร์ชหาข้อมูลมาครับว่ามันจริงอย่างที่ว่ารึเปล่า? และนี่คือสิ่งที่เราไปเจอมาครับ…
เป็นงานวิจัยจากหลาย ๆ ที่ครับ ที่มีการศึกษากันมาอย่างต่อเนื่องในเรื่องของ “การร้องไห้ของมนุษย์” ในเชิงชีววิทยา
ง่าย ๆ เลยก็คือเป็นการค้นหาคำตอบว่า “ทำไมมนุษย์ถึงร้องไห้” มีกลไกอะไรอยู่เบื้องหลัง? และน้ำตาที่เกิดจากอารมณ์ ความรู้สึก มีความแตกต่างกันกับน้ำตาที่เกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายอย่างไร?
งานวิจัยดังกล่าวถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 1996 แล้วล่ะครับ โดยระบุเอาไว้ว่า
ดวงตาของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด จะมี ‘น้ำตา’ เอาไว้เพื่อทำให้เกิดความชุ่มชื้น
เว้นก็แต่มนุษย์ที่สามารถหลั่งน้ำตาออกมาเพื่อตอบสนองต่ออารมณ์ความรู้สึก หรือความเครียด
นักวิจัยได้ตั้งคำนิยามอาการที่เกิดขึ้นนี้ว่า Psychogenic lacrimation หรือก็คือ น้ำตาที่เกิดจากผลกระทบทางจิตใจ
และสิ่งที่พวกเขาค้นพบก็คือ…การหลั่งน้ำตา จะช่วยบรรเทาความเครียดได้ โดยการช่วยกำจัด “สารเคมี” ที่เป็นต้นเหตุของความเครียดออกไป
เป็นเหตุผลที่ทำให้สารประกอบในน้ำตาที่เกิดจากอารมณ์ ความเครียดต่าง ๆ นั้น มี “โปรตีน” เยอะกว่าน้ำตาที่ไหลออกมาจากอาการตอบสนองของร่างกาย เช่น การหั่นหัวหอม ฝุ่นเข้าตา เป็นต้น
ด้วยสาเหตุดังกล่าว ก็เลยทำให้มันหนืดขึ้น และแห้งช้ากว่านั่นเองฮะ
เข้าไปอ่านบทความวิจัยแบบเต็ม ๆ ได้ที่นี่ : https://www.nytimes.com/1982/08/31/science/biological-role-of-emotional-tears-emerges-through-recent-studies.html
เรียบเรียงโดย #เหมียวหง่าว
ที่มา : https://www.apa.org/monitor/2014/02/cry