Category: สาระรอบตัว
-
วิจัยบอก “ประสบการณ์เฉียดตาย” อาจเกี่ยวข้องกับการที่สมองสับสนระหว่างการหลับและตื่น
เชื่อว่าเพื่อนๆ คงจะเคยได้ยินเรื่องราวของ “ประสบการณ์เฉียดตาย” (Near Death Experiences) กันมาบางสักครั้งในชีวิต โดยนี่เป็นอาการที่ผู้คนรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองนั้นวิญญาณหลุดออกจากร่างในช่วงเวลาที่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย และที่ผ่านๆ มาเราไม่อาจทราบได้เลยว่าอาการนี้แท้จริงแล้วเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่ แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง ได้มีงานวิจัยชิ้นใหม่ล่าสุดถูกเปิดเผยในสภาสถาบันประสาทวิทยาแห่งยุโรป ซึ่งออกมาบอกว่าแท้จริงแล้วประสบการณ์เฉียดตายที่หลายๆ คนพบนั้น อาจจะมาจากการที่สมองสับสนระหว่างการหลับและตื่นก็เป็นได้ ภายในงานวิจัยชิ้นนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้มีการตรวจสอบพบความเกี่ยวพันระหว่างประสบการณ์เฉียดตาย กับความผิดปกติด้านการนอนซึ่งเกิดขึ้นในช่วงการนอนแบบ “Rapid Eye Movement” (REM) ช่วงเวลาที่คนเรามีโอกาสที่จะฝันได้มากที่สุดในยามราตรี อ้างอิงจากทีมวิจัย พวกเขาได้ทำการตรวจสอบข้อมูลของอาสาสมัครจำนวน 1,034 คนใน 35 ประเทศโดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ชื่อ Prolific Academic และพบว่า ราวๆ 10% ของอาสาสมัครทั้งหมดนั้นเป็นผู้ที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเคยมีประสบการณ์เฉียดตายจริงๆ ที่น่าสนใจคือ ในบรรดาคนอ้างตัวว่าเคยพบกับประสบการณ์เฉียดตายมาก่อนนั้น ทีมนักวิจัยได้พบว่ามีคนมากถึง 47% ที่รายงานว่าตัวเองนั้นมีอาการความผิดปกติด้านการนอนอย่างอาการอัมพาต ผีอำ หรือเห็นภาพหลอนมาก่อน นี่นับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบกับตัวเลขผู้มีอาการความผิดปกติด้านการนอนในกลุ่มคนที่ไม่มีประสบการณ์เฉียดตายมาก่อนซึ่งอยู่ที่ 14% เท่านั้น เป็นไปได้ว่าในตอนที่ร่างกายของคนเราตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต สมองของเราจะอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถแยกได้ว่าตัวเองนั้นตกอยู่ในภาพที่มีสติหรือไม่ ดังนั้นเราจึงเห็นความฝันในเวลาที่ตื่น และนำไปสู่ แนวคิดเรื่องประสบการณ์เฉียดตายไป นับว่าน่าเสียดายมากที่งานวิจัยในครั้งนี้ เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงตัวเลขทางสถิติที่เกี่ยวพันกันของประสบการณ์เฉียดตายและความผิดปกติด้านการนอนเท่านั้น ไม่ได้มีการฟันธงว่าอะไรเป็นสาเหตุที่คนบางกลุ่มมีประสบการณ์เฉียดตายแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นก็ตาม สิ่งเดียวที่ทีมแพทย์หลายฝ่ายค่อนข้างมั่นใจเกี่ยวกับประสบการณ์เฉียดตายเหล่านี้…
-
นักวิจัยพบเชื้อราสามารถรอดชีวิตจากรังสีอวกาศได้ แม้ความเข้มข้นสูงกว่าที่จะสังหารมนุษย์ได้ 100 เท่า
ในการทำงานบนอวกาศของมนุษย์ หนึ่งในสิ่งที่มีความอันตรายและเป็นปัญหามากที่สุดบนนั้นก็คงจะไม่พ้นรังสีในอวกาศหรือที่เรารู้จักกันในนาม “รังสีคอสมิก” เป็นแน่ เพราะรังสีเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะป้องกันได้ยากเท่านั้น แต่มันยังอาจส่งผลกระทบรุนแรงกับ DNA และเซลล์ของมนุษย์ได้ ว่าแต่เพื่อนๆ เชื่อกันหรือไม่ว่า บนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) นั้นยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่กลุ่มหนึ่งที่อาจสามารถทนทานต่อรังสีในอวกาศได้ แม้ว่ารังสีดังกล่าวจะมีความเข้มข้นสูงกว่าระดับที่จะสังหารคนได้ 100 เท่าก็ตาม และเจ้าสิ่งมีที่ว่านั้นก็คือ “รา” นั่นเอง การค้นพบในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ทีมนักวิจัยจากศูนย์การบินและอวกาศเยอรมัน ได้ค้นพบว่ารานั้นไม่เพียงแต่จะขึ้นไปเติบโตในสถานีอวกาศเท่านั้น แต่มันยังสามารถเกาะอยู่นอกสถานีอวกาศซึ่งมีปริมาณรังสีในอวกาศสูงมากๆ ได้อีกด้วย ดังนั้นแล้วคุณ Marta Cortesão หนึ่งในทีมนักวิจัยจึงได้ตัดสินใจทดลองความทนทานต่อรังสีต่างๆ ของราด้วยการฉายรังสีเอกซเรย์ ไอออนหนัก และรังสียูวี ใส่ราสายพันธุ์ Aspergillus niger ซึ่งพบได้บ่อยๆ ในสถานีอวกาศ พวกเขาพบว่าราเหล่านี้ สามารถทนรังสีเอกซเรย์ได้ถึง 1,000 เกรย์ (หน่วยวัดการแผ่รังสี) และทนไอออนหนักได้ถึง 500 เกรย์ ทั้งๆ ที่ตามปกติไอออนหนักเพียง 5 เกรย์นั้นก็มากพอแล้วที่จะทำให้มนุษย์เสียชีวิต ตัวเลขที่ออกมานี้แสดงให้เห็นความเป็นไปได้ว่ารานั้นจะสามารถรอดชีวิตในอวกาศได้แม้แต่การเดินทางไปดาวอังคารเลย ซึ่งมันเป็นได้ทั้งข่าวดีและข่าวร้ายในเวลาเดียวกัน หากมองว่าเป็นข่าวร้าย การทดลองครั้งนี้นับเป็นสิ่งที่ยืนยันแล้วว่าราในอวกาศนั้นกำจัดได้ยากกว่าที่คิด และอาจส่งผลกระทบโดยตรงกับสุขภาพนักบินได้หากไม่ระวังให้ดี…
-
Phubbing โทรศัพท์ทำลายความสัมพันธ์
Phubbing (พับบิ้ง) เป็นคำผสมของคำว่า Phone (โทรศัพท์) และ Snubbing (การเพิกเฉย) เป็นชื่อเรียกของปรากฏการณ์การเดตที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาแต่เล่นโทรศัพท์ โดยไม่สนใจคนรักที่นั่งอยู่ตรงข้าม Emma Seppälä นักเขียน และนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและเยลล์กล่าวว่าการ Phubbing นั้นช่วยกระชับความสัมพันธ์ในระยะไกลได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำลายความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดได้อย่างรุนแรงเลยทีเดียว งานวิจัยในปี 2012 จากมหาวิทยาลัย Essex ประเทศอังกฤษยังค้นพบอีกว่า การมีโทรศัพท์มือถือระหว่างการสนทนา แม้จะไม่มีใครใช้มันแต่ก็ทำให้ต่างฝ่ายรู้สึกคุ้นเคยกันน้อยลงอยู่ดี นอกจากนี้การ Phubbing ก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตอีกด้วย เพราะมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยในประเทศจีนพบว่าคู่สมรสมีโอกาสเผชิญภาวะซึมเศร้าและพึงพอใจในชีวิตสมรสน้อยลง เมื่อคนรักให้ความสำคัญกับสมาร์ทโฟนมากกว่ากันและกัน เห็นได้ชัดว่าโทรศัพท์มือถือมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทั้งๆ ที่จุดประสงค์ของมันคือเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ติดต่อสื่อสาร แต่ในทางกลับกันก็สามารถเป็นตัวทำลายความสัมพันธ์ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นต้องรู้จักความพอดี และหมั่นใส่ใจคนใกล้ชิดทั้งครอบครัว เพื่อน หรือคนรักที่อยู่ตรงหน้าให้มากกว่านี้ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป ที่มา: https://journals.sagepub.com/doi/full/10.1177/0265407512453827 https://time.com/5216853/what-is-phubbing/ https://onlinelibrary.wiley.com/doi/full/10.1111/jasp.12506
-
ย้อนวัย 7 วิธีการจีบของหนุ่มสาวตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แต่ละวิธีก็มีเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป
“การจีบ” เป็นเรื่องปกติของหนุ่มสาวที่มีมาตั้งแต่อดีต สืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัย และวิธีการจีบแต่ละสมัยก็มีความแตกต่างกันมากๆ เลยล่ะ หลายๆ วิธีเราอาจจะลืมไปแล้ว หรือเกิดไม่ทัน เพราะฉะนั้นลองย้อนเวลาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันกันดีกว่า ว่า 7 วิธีที่สมัยรุ่นคุณพ่อคุณแม่ใช้จีบกัน จนถึงยุคสมัยของวัยรุ่นอย่างเราๆ นั้นแตกต่างกันแค่ไหน ไปดูกันได้เลยจ้า 1. การเขียนจดหมาย การเขียนจดหมายเป็นวิธีการที่คลาสสิกสุดๆ ถือว่าได้รับความนิยมมากๆ ในสมัยคุณพ่อคุณแม่เมื่อหลายสิบกว่าปีก่อน โดยเฉพาะคู่รักที่ต้องห่างไกลกันคนละจังหวัด อีกทั้งการเขียนจดหมายยังช่วยฝึกความอดทนของทั้งคู่ เป็นยุคที่ต่างฝ่ายต่างต้องเชื่อใจกันมากๆ แต่ก็แสดงถึงความโรแมนติก รอวันที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยังไงล่ะ 2. การโทรเข้าโทรศัพท์บ้าน อีกหนึ่งวิธีคลาสสิกที่ชวนให้นึกถึงช่วงเวลาในอดีต ช่วงนั้นหากถามเบอร์บ้านใครก็สามารถบอกกันได้ง่ายๆ เพราะไม่มีโทรศัพท์มือถือคอยบันทึกไว้ให้ นอกจากนี้ยังต้องใช้ความกล้าหาญในการโทรเข้าไปยังเบอร์บ้านสาวหรือหนุ่มที่ชอบ เพราะหากผู้ปกครองรับขึ้นมาแล้วแก้ตัวไม่ทันก็กลัวจะแย่เอา เพราะฉะนั้นการตรงเวลานัดหมายนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับวิธีนี้ และสกิลการแก้ตัวก็จำเป็นเช่นกัน 3. การส่งเพจเจอร์ ตามมาติดๆ ด้วยยุคเพจเจอร์ หรืออุปกรณ์การรับข้อความ SMS คล้ายๆ โทรศัพท์เพียงแต่ไม่สามารถส่งข้อความผ่านทางเพจเจอร์ได้ และยังจำกัดข้อความในการส่งอีกด้วย หากต้องการส่งข้อความต้องโทรผ่านบริการ Call Center แล้วแจ้งข้อความที่ต้องการเพื่อให้พนักงานพิมพ์แล้วส่งไปยังเบอร์เพจเจอร์ของผู้รับ เรียกได้ว่าจีบใคร ข้อความแบบไหน…
-
10 ความจริงสุดน่าสนใจเกี่ยวกับแมลง ที่จะทำให้พวกมันดูน่าขนลุกกว่าที่เป็นหลายเท่า
การที่มนุษย์เราจะกลัวแมลงนั้น จะบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่เหมือนจะเขียนไว้ใน DNA เลยก็คงไม่ผิดนัก ด้วยความที่ว่าสิ่งมีชีวิตประเภทนี้นั้นมักจะมีลักษณะที่ดูแล้วน่ากลัวราวกับสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวในสายตาของหลายๆ คน แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าหน้าตาของแมลงนั้น มันไม่ใช่ความน่ากลัวเพียงอย่างเดียวของแมลงหรอกนะ เพราะเจ้าสัตว์เหล่านี้ยังกุมความจริงสุดน่าขนลุกที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนไว้อีกเพียบ เหมือนว่าความจริงที่ฟังแล้วอาจจะไม่สบายใจเท่าไหร่ทั้ง 10 ข้อต่อไปนี้ 1. หากคุณเป็นคอกาแฟ โดยเฉลี่ยในหนึ่งปี คุณอาจจะกินชนิดส่วนแมลงอย่างแมลงสาบ มากกว่า 130,000 ชิ้น ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากองค์กรอาหารและยาของหลายประเทศจะอนุญาตให้มีการปนเศษแมลงได้ในปริมาณที่กำหนด (ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง) ดังนั้นแม้จะน้อยแต่ในเครื่องดื่มของคุณจะมีเศษแมลงเจือปนอยู่ด้วยแน่นอน 2. แม้แต่บนใบหน้าของคุณ มันก็มีโอกาสสูงมากที่เราจะพบสัตว์จำพวกแมลงได้ สัตว์ตัวดังกล่าวคือเดโมเด็กซ์ สิ่งมีชีวิตแปดขาตัวน้อย ที่ไม่เพียงแต่จะหากินอยู่บนใบหน้าของคุณ แต่มันยังแอบผสมพันธุ์ในยามราตรี และวางไข่ไว้บนหน้าของเราอีกด้วย 3. หากออกซิเจนบนโลกเพิ่มขึ้น 15% แมลงบางชนิดอาจจะตัวใหญ่เท่าๆ กับคนได้เลย นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในยุคคาร์บอนิเฟอรัส (ช่วง 354-295 ล้านปีก่อน) ซึ่งในสมัยนั้นชั้นบรรยากาศโลกประกอบไปด้วยออกซิเจน 35% และแมลงที่เราคุ้นเคยกันอย่าง แมลงสาบมีขนาดตัวยาวได้ถึง 1 เมตร 4. มดฉลาดพอที่จะต่อสู้ในความขัดแย้งอย่างเป็นระบบ มดในแต่ละรังอาจจัดกองทัพขึ้นเพื่อ “ทำสงครามกัน” และในบรรดามดกว่า…
-
ไขปริศนาคาใจ ทำไมต้นไม้ที่เชอร์โนบิล ถึงไม่ตายไปเพราะกัมมันตรังสี
เมื่อพูดถึงภัยพิบัติเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล เชื่อว่าคงมีหลายๆ คนที่นึกภาพของดินแดนแห่งความตายที่สิ่งมีชีวิตไม่อาจที่จะเข้าไปอาศัยอยู่ได้ขึ้นมาเป็นสิ่งแรกๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พื้นที่ของเชอร์โนบิลจริงๆ แล้วมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่มากกว่าที่เราคิด เพราะนอกจากเหล่าสัตว์ป่าที่เริ่มกลับเข้าไปอยู่ในพื้นที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแล้ว เหล่าพันธุ์ไม้ที่อยู่ในพื้นที่เอง โดยมากก็ไม่ได้ตายไปด้วยกัมมันตรังสีมาตั้งแต่แรกแล้วด้วย สังเกตได้จากภาพถ่ายหลายๆ ภาพตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เชื่อว่าเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงมีเพื่อนๆ หลายคนไม่น้อยที่เริ่มสงสัยกันขึ้นมาแล้วว่าเพราะอะไรกัน ต้นไม้ในพื้นที่เชอร์โนบิลถึงสามารถเอาชีวิตรอดได้ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยระดับกัมมันตรังสีที่สูงจนคนคงตายไปสักสิบรอบได้ เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าอันตรายของกัมมันตรังสีต่อสิ่งมีชีวิตนั้นโดยมากแล้วจะมาจากการที่มันส่งผลกระทบต่อเซลล์และ DNA ของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะโดยการทำให้เซลล์ตายไปอย่างรวดเร็ว (ในกรณีที่โดนกัมมันตรังสีมากๆ) หรือทำให้เซลล์เปลี่ยนแปลงไปจากที่ควร (อย่างเนื้องอก หรือมะเร็ง) แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ย่อมเป็นอันตรายต่อสัตว์ป่าและมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด เพราะเซลล์และอวัยวะในร่างกายของเรานั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้ทำงานไปด้วยกัน ดังเช่นที่มนุษย์จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หากขาดสมอง หัวใจ หรือปอด กลับกันสำหรับพืชแล้ว พวกมันมีระบบภายในที่ยืดหยุ่นกว่ามนุษย์และสัตว์มาก เนื่องจากพวกมันไม่สามารถขยับตัวเพื่อหนีจากพื้นที่อันตรายได้ ดังนั้นแทนที่จะมีโครงสร้างที่ถูกกำหนดตายตัวแบบสัตว์ พืชจะ “สร้าง” โครงสร้างขึ้นในระหว่างที่มันเติบโต และหนึ่งในความสามารถที่สำคัญที่สุดในการสร้างโครงสร้างขึ้นมาใหญ่ของพืช ก็คือความสามารถในการสร้างเซลล์ทุกชนิดที่ต้นไม้ส่วนนั้นต้องการขึ้นมาใหม่นั่นเอง (เช่นการที่เราสามารถงอกรากพืชจากกิ่งที่ตัดมาได้เป็นต้น) ความสามารถทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ช่วยให้พืชทดแทนเซลล์ที่เสียไปจากกัมมันตรังสีได้ดีต่อสัตว์มาก อีกทั้งต่อให้ DNA ของพวกมันได้รับความเสียหายจนสร้างเนื้องอกขึ้นมา เนื้องอกเหล่านั้นก็มักจะไม่กระจายไปตามส่วนต่างๆ เหมือนมะเร็งในสัตว์ ด้วยระบบผนังรอบเซลล์พืช ทำให้ต่อให้มีเนื้องอกพืชก็จะสามารถจัดการกับมันได้ง่ายๆ …
-
นักวิทย์เผย “Plasticrust” มลภาวะรูปแบบใหม่ ที่พลาสติกจะฝังตัวอยู่ในหินแถบชายหาด
ปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นมาจากพลาสติกนั้น ในปัจจุบันจะบอกว่าเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องหลายๆ ฝ่ายของโลกเป็นกังวลเลยก็คงไม่ผิด เพราะเราสามารถพบกับขยะพลาสติกได้ในทุกที่ไม่ว่าจะเป็นร่องลึกก้นมหาสมุทร หรือแม้แต่ในตัวนกที่บินบนฟ้า แต่แล้ว เมื่อล่าสุดนี้เองทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ค้นพบมลภาวะอีกรูปแบบหนึ่งที่เกิดจากขยะพลาสติกเข้าจนได้ โดยในเวลานี้พลาสติกของมนุษย์ถูกพบฝังอยู่ในหินตามพื้นที่ชายฝั่ง และแน่นอนว่าอาจส่งผลกระทบโดยตรงกับระบบนิเวศชายหาดได้ มลภาวะรูปแบบใหม่นี้ ถูกเปิดเผยออกมาในงานวิจัยซึ่งมีกำหนดการที่จะตีพิมพ์ในวารสาร Science of the Total Environment ฉบับเดือนตุลาคม ค.ศ. 2019 และถูกเรียกกันโดยทีมนักวิจัยอย่างไม่เป็นทางการว่า “Plasticrust” อ้างอิงจากคุณ Ignacio Gestoso หนึ่งในทีมวิจัย Plasticrust ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกที่ชายหาดในมาเดรา ประเทศโปรตุเกส เมื่อปี 2016 ในอัตราส่วนประมาณ 10% ของหินทั้งหมดในหาด และดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาด้วย เมื่อนำ Plasticrust ที่พบไปทำการตรวจสอบทางเคมีนักวิจัยก็พบว่าหินเหล่านี้มีองค์ประกอบหลักเป็นโพลีเอทิลีน พลาสติกพบได้บ่อยๆ ในบรรจุภัณฑ์แบบใช้แล้วทิ้ง ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่า Plasticrust มีความเกี่ยวข้องกับขยะพลาสติกของมนุษย์ เป็นไปได้ว่า Plasticrust นั้นจะเกิดขึ้นมาจากการที่คลื่นซัดขยะพลาสติกเข้าใส่หินเป็นเวลานานๆ ทำให้พลาสติกบางส่วนฝังลงในหินคล้ายกับตะไคร่น้ำและสาหร่ายทะเล นี่นับว่าเป็นอะไรที่อันตรายกับระบบนิเวศในพื้นที่ใกล้เคียงมาก เพราะเช่นเดียวกับตะไคร่น้ำและสาหร่ายทะเล Plasticrust นั้น…
-
พบ “ไข่ปลา” ในมูลของหงส์ แม้จะโดนกินเข้าไป ยังรอดออกมาและฟักเป็นตัวได้
คุณคิดว่าถ้า “ไข่ปลา” ถูก “หงส์” กินเข้าไป พวกมันจะยังคงมีชีวิตรอดอยู่ได้หรือไม่? หลายคนคงคิดไม่รอดอย่างแน่นอน แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อล่าสุดมีงานวิจัยวิทยาศาสตร์ออกมา ว่าพบไข่ปลาที่รอดชีวิตจากการถูกหงส์กิน หลังจากถูกถ่ายออกมากับอุจจาระและฟักตัวหลังจากนั้น งานวิจัย “ไข่ของปลาคิลลี่ฟิชจะสามารถรอดชีวิตจากระบบย่อยอาหารของหงส์ได้หรือไม่” ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Ecology เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2019 ที่ผ่านมา โดยไอเดียนี้เริ่มมาจาก Giliandro Silva นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Unisinos ประเทศบราซิล กับเพื่อนร่วมงานอีกบางส่วน ซึ่งเคยทำการสำรวจอุจจาระของหงส์ และบังเอิญพบว่ามีไข่ปลาคิลลี่ฟิชอยู่ในนั้นด้วย พวกเขาจึงได้ตัดสินใจที่จะหาคำตอบของคำถามนั้น โดยการทำวิจัยเรื่องดังกล่าว Silva และเพื่อนๆ ได้รวมไข่ปลาคิลลี่ฟิชที่แตกต่างกันสองสายพันธุ์จำนวน 650 ฟอง ก่อนนำไปให้หงส์ในสวนสัตว์บราซิลกิน เพื่อให้ง่ายต่อการสังเกตและทำการวิจัย ซึ่งจากการเก็บข้อมูลอยู่ช่วงหนึ่ง พบว่าจากไข่ทั้งหมด 650 ฟองนั้น มีไข่จำนวน 5 ฟองหรือคิดเป็นเลขกลมๆ ประมาณ 1% เท่านั้นที่เหลือรอดจากระบบการย่อยอาหารของหงส์ได้ โดย 2 ใน…
-
รู้จักกับ “จระเข้แม่น้ำไนล์” ไอ้เข้สายพันธุ์โคตรดุ และ “ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก” !!
เพื่อนๆ อาจได้ยินข่าวที่เกิดขึ้นในจังหวัดสมุทรปราการ กันไปแล้วก่อนหน้านี้ หลังจากที่มีชาวบ้านพบ ‘ลูกจระเข้’ บริเวณคลองบางโปรง และเหตุการณ์ดังกล่าวก็ยิ่งสร้างความหวาดผวาให้แก่ชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงมากยิ่งขึ้น หลังจากที่เจ้าหน้าที่พบว่าลูกจระเข้ตัวนั้น คือ ‘จระเข้แม่น้ำไนล์’ (Nile Crocodile) ซึ่ง “ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก” !! ลูกจระเข้ที่พบ (23 มิถุนายน 2019) แม้ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่จะยังไม่สามารถตอบได้แน่ชัดว่าเจ้าจระเข้สายพันธุ์ดุร้ายนี้มาโผล่ที่คลองบางโปรงได้อย่างไร แต่ในวันนี้ #เหมียวตะปู ก็อยากชวนให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกับเจ้าจระเข้สายพันธุ์ดังกล่าวให้มากยิ่งขึ้น และคุณอาจต้องรู้สึกขวัญผวายิ่งกว่าเดิม…. ความใหญ่ยักษ์อันดับ 2 ของโลก จระเข้แม่น้ำไนล์นั้นถือว่าเป็นสายพันธุ์ที่ “ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก” รองจาก ‘จระเข้น้ำเค็ม’ โดย ‘ตัวผู้’ เต็มวัยจะมีความยาวลำตัวอยู่ที่ประมาณ 3.5-5 เมตร หนัก 225-750 กิโลกรัม ส่วน ‘ตัวเมีย’ นั้นจะมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์…
-
นักดาราศาสตร์พบอุกกาบาตก่อนชนโลกเพียงไม่กี่ชั่วโมง เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา
เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าในปัจจุบันนักดาราศาสตร์มีรายชื่อของอุกกาบาตหลายลูกที่มีโอกาสจะชนโลกในอนาคต แต่ในขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมาเราก็สามารถเห็นข่าวอุกกาบาตตกลงมาบนโลกโดยที่เราไม่ทราบกันมาก่อนเช่นกัน ดังนั้นแล้วความน่าเชื่อถือของระบบตรวจจับอุกกาบาตจึงยังเป็นเรื่องที่มีการพูดคุยโต้เถียงกันอย่างหนาหู และเมื่อล่าสุดนี้เองเราก็มีข่าวที่หากมองเผินๆ แล้วจะบอกไม่ถูกว่าเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายอีกครั้ง เพราะในวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมาทีมนักดาราศาสตร์ในฮาวายได้ทำการค้นพบอุกกาบาตขนาดพอๆ กับรถหนึ่งคันชื่อ “2019 MO” ก่อนที่มันจะพุ่งชนโลกภายในเวลา 12 ชั่วโมงเท่านั้น ในวันนั้นอุกกาบาต 2019 MO ได้พุ่งใส่ชั้นบรรยากาศของโลกในพื้นที่ห่างออกไปทางใต้จากเครือรัฐปวยร์โตรีโกของสหรัฐอเมริการาวๆ 380 กิโลเมตร ก่อนที่จะระเบิดกลางอากาศด้วยความรุนแรงเทียบเท่ากับระเบิด TNT ราวๆ 3-5 กิโลตัน อุกกาบาต 2019 MO ถูกค้นพบโดยกล้องโทรทรรศน์รุ่นใหม่สองตัวชื่อ “ATLAS” และ “Pan-STARRS” ในเวลาราวๆ 30 นาทีหลังจากที่มันเข้าสู่ระยะ 500,000 กิโลเมตรห่างจากโลก (ราวๆ 1.3 เท่าของระยะทางจากโลกไปดวงจันทร์) กล้องโทรทรรศน์ ATLAS 2 ซึ่งตั้งอยู่ที่เมานาโลอา ในฮาวาย นี่นับเป็นครั้งที่ 4 ของการตรวจพบอุกกาบาตในระยะเผาขน ตั้งแต่ที่เคยมีมาในช่วง 11…
-
พบ “Massopora” เชื้อราหลอนประสาท ที่ทำให้จักจั่นคึกคัก จนถึงขั้นบั้นท้ายขาด
เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ทราบกันมาเป็นเวลานานแล้วว่า เชื้อราบางชนิดอาจส่งผลกระทบโดยตรงและรุนแรงต่อสัตว์จำพวกแมลงได้ ถึงอย่างนั้นก็ตามในตอนที่พวกเขาพบกับเชื้อราประหลาดที่ทำให้จักจั่นมั่วเซ็กซ์จนถึงขั้นบั้นท้ายขาด เชื่อว่าคงมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนไม่น้อยที่แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อาการประหลาดๆ ของจักจั่นเหล่านี้ ถูกยืนยันว่ามาจากราชื่อ “Massopora” ในรายงานของมหาวิทยาลัยเวสต์เวอร์จิเนีย เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา โดยมันเป็นเชื้อราที่ติดต่อในหมู่จักจั่นผ่านการผสมพันธุ์ และอันตรายมากพอที่จะสังหารจักจั่นจำนวนมากในเวลาสั้นๆ เหล่าจักจั้นที่ติดเชื้อรา Massopora เมื่อเข้าไปในร่างของเหยื่อเชื้อราตัวนี้จะเปลี่ยนนิสัยของจักจั่นให้ดูร่าเริง กระฉับกระเฉง และพร้อมที่จะผสมพันธุ์อยู่ตลอดเวลา จนในบางครั้งจักจั่นตัวผู้ที่ติดเชื้อสองตัวก็ถึงขั้นที่จะร่วมเพศกันเอง หรือทำตัวเลียนแบบตัวเมียเพื่อให้จักจั่นตัวอื่นๆ เขามาผสมพันธุ์ด้วยเพื่อแพร่เชื้อราต่อไป เท่านั้นยังไม่พอเมื่อเจ้าจักจั่นติดเชื้อราตัวนี้ ในบางครั้งพวกมันก็จะออกบินเพื่อปล่อย “ชิ้นส่วนของร่างกาย” ลงมาจากท้องฟ้า เพื่อที่จะให้เชื้อราสามารถแพร่กระจายไปยังเหยื่อตัวอื่นๆ ในสภาพไม่ต่างอะไรกับซอมบี้อีกด้วย เมื่อจักจั่นผสมพันธุ์กัน ในบางครั้งบั้นท้ายของจักจั่นที่ติดเชื้อจะหลุดออกไปติดกับจักจั่นที่ผสมพันธุ์ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ยังดึงดันจะผสมพันธุ์ต่อไป แม้ตัวจะขาดก็ตาม เอาเข้าจริงๆ ทีมนักวิทยาศาสตร์นั้นรู้ถึงการมีอยู่ของเชื้อรา Massopora มาเป็นเวลานานแล้ว อย่างไรก็ตามภายในรายงานชิ้นล่าสุดนี้พวกเขาก็ได้มีการระบุข้อมูลชุดใหม่ไว้ว่า สารเคมีที่อยู่เบื้องหลังความน่ากลัวของเชื้อรา Massopora นั้น น่าจะเป็นสาร Amphetamines และ Hallucinogens ที่พบในยาหลอนประสาทและยาเสพติด นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมากชิ้นหนึ่ง เพราะที่ผ่านๆ มาไม่มีใครเคยทำการทดลองเลยว่าเพราะเหตุใดเชื้อรา…
-
เจาะลึกผ้าซิ่น “แม่นายซ้องปีบ” กลิ่นกาสะลอง ทำให้เรารู้ว่า ทีมละครถ่ายทอดมาได้ดีที่สุด!!
ตอนนี้กลายเป็นละครดัง กระแสฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมืองซะแล้ว สำหรับละครกลิ่นอายย้อนยุคอย่าง “กลิ่นกาสะลอง” ที่ได้คุณ ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ มาตีบทเป็นลูกสาวกำนันฝาแฝดเมืองเหนืออย่าง “กาสะลอง” และ “ซ้องปีบ” ขณะนี้ก็ดำเนินเรื่องมาถึงตอนที่ 6 แล้ว บอกได้เลยว่าการแสดงของญาญ่าที่ต้องรับบทเป็นฝาแฝด 2 คนนั้นตีบทแตกสุดๆ เรื่องสำเนียงภาษาเธอก็ฝึกฝนจนเหมือนแม่ญิงจาวเหนือแต้ๆ ไม่เพียงเท่านั้น การแต่งกายของ “กาสะลอง” และ “ซ้องปีบ” ก็เป็นที่น่าประทับใจเช่นกัน แสดงให้เห็นถึงผู้หญิงชาวเหนือฐานะดีว่ามีแฟชั่นการแต่งกายอย่างไร หากใครได้รับชมจะเห็นว่าในตอนที่ 6 นั้น แม่นายซ้องปีบผู้น้องได้แสดงตัวในชุดสีชมพูสวยทั้งตัว พร้อมทรงผมชักหงีบ หรือทรงอิปุ่น ซึ่งเป็นทรงผมที่เลียนแบบชาวญี่ปุ่น ชุดของเธอนั้นมีสีสันสดใส และมีความทันสมัย โดยเสื้อตัวในสีขาวลวดลายลูกไม้นั้นเป็นเสื้อที่ได้รับอิทธิพลมาจากทางตะวันตก ทับด้วยเสื้อสีชมพูสดตัวยาว และไฮไลท์ที่ขาดไม่ได้ก็คือผ้าซิ่น (ผ้าถุง) ที่เธอใส่นั่นเอง แม่นายซ้องปีบแต่งกายอย่างผู้มีอันจะกินชาวเชียงใหม่ (ซ้าย) และคุณหญิงบุญปั๋น สิงหลกะ สกุลเดิม ณ เชียงใหม่ (ขวา) ผ้าซิ่นที่ได้เห็นนั้นเป็นผ้าลุนตยา อะเชะ…
-
เปิดประวัติ CELINE แบรนด์หรูจากฝรั่งเศส ที่ได้ลิซ่า BLACKPINK เป็นพรีเซนเตอร์
ลิซ่า BLACKPINK ในงานปารีสแฟชันวีค กลายเป็นที่จับตาไปทั่วโลก เพราะนอกจากกระแสความดังเป็นทุนเดิมของเธอ จนมีแฟนคลับติดตามหลักล้าน ล่าสุดเธอได้เซ็นต์สัญญาเป็น MUSE (หรือพรีเซนเตอร์) ให้กับแบรนด์หรูหราจากฝรั่งเศส จนอดทำให้หลายคนสงสัยไม่ได้ว่าแบรนด์นั้นมีอะไรดีกันนะ?? #เหมียวเมษา จะขอพาทุกคนไปรู้จัก CELINE แบรนด์ดังกล่าวกันในบทความนี้ค่ะ… CELINE (เซลีน) เป็นแบรนด์แฟชั่นสุดหรูแห่งประเทศฝรั่งเศส ถูกก่อตั้งครั้งแรกในปี 1945 โดย Céline Vipiana และสามีของเธอ Richard ถือเป็นแบรนด์ดังระดับโลกอีกแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์คือความมินิมอล คลาสสิก เรียบหรู สวย และแพง Céline Vipiana ขณะทำงาน ในตอนแรกนั้น CELINE เป็นเพียงผู้ผลิตรองเท้าเด็กร้านเล็กๆ แต่ก็ได้รับความนิยมจนประสบความสำเร็จ และได้ขยายร้านค้าเพิ่มมากขึ้นในปี 1948 ปี 1960 กว่าทศวรรษต่อมา Céline ได้พัฒนาร้านค้าจากร้านขายรองเท้าเด็กเป็นผลิตเสื้อผ้าสวมใส่ให้กับผู้หญิง โดยมีจุดประสงค์คือต้องเป็นสไตล์ที่ดูดี และสามารถสวมใส่ได้ง่ายในทุกๆ วัน รวมไปถึงการพัฒนาเสื้อผ้าที่พร้อมสวมใส่สำหรับผู้หญิงที่มีใจรักกีฬาด้วยเช่นกัน ในปี 1964…
-
10 เคล็ดลับความสวยจากคุณแม่สู่ลูกสาว คำแนะนำดีๆ ที่ไม่ควรพลาด
คุณแม่กับลูกสาวก็เหมือนเพื่อนสาวคนสนิทสองคน ที่คอยแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ ให้กันและกันฟัง และผู้เป็นแม่ก็จะคอยแนะแนวทางชีวิต รวมถึงบอกเคล็ดลับในการใช้ชีวิตเช่นกัน หนึ่งในเคล็ดลับที่ไม่น่าพลาดสำหรับสาวๆ ก็คือเคล็ดลับเรื่องความงามนั่นเอง และในวันนี้เหล่าลูกๆ ทั้ง 10 คนก็ได้มาเปิดเผยเคล็ดไม่ลับสมัยวัยที่แม่ของพวกเธอยังสาวว่ามีวิธีการดูแลผิวแบบไหน ไปรับชมได้เลย 1. ไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ราคาแพงเพื่อผิวสุขภาพดี Lauren Braswell เปิดเผยว่าเคล็ดลับผิวสวยของแม่เธอคือใช้ผลิตภัณฑ์เพียง Vaseline และ Dove เท่านั้น นอกจากราคาถูกแล้วยังมีประสิทธิภาพดีอีกด้วย 2. โดดเด่นในแบบของตัวเองดีกว่าพยายามเป็นเหมือนผู้อื่น Corynne Corbett เปิดเผยว่าแม่ของเธอมีสไตล์การแต่งหน้าแค่เพียง 2 แบบเท่านั้น คือการทารองพื้นที่เหมาะกับสีผิว และการดัดขนตา สองสิ่งนี้เป็นสไตล์ของเธอที่ทำให้เธอรู้สึกมั่นใจ 3. ใช้เงินซื้อความสุขให้ตัวเอง Lisa DeSantis เล่าว่าเธอและแม่เคยมีเวลาดีๆ ที่ร้านสปาร่วมกัน แม่ก็ลงทุนให้เธอซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามแนะนำ และนั่นก็เป็นแนวทางให้เธอหันมาสนใจผลิตภัณฑ์ความงามมาก และเริ่มดูแลตัวเองมากขึ้นนั่นเอง 4. สร้างวิถีชีวิตที่ดี และมีความสุข แม่ของ She’Neil Johnson เผยเคล็ดลับการดูแลผิวให้เธอว่าควรดื่มให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อยู่ นั่นเป็นเหตุผลทำให้เธอดูอ่อนเยาว์กว่าวัยอยู่เสมอ…
-
ย้อนรอยหาที่มา “เล็บสไตล์ French Nail” ชื่อฝรั่งเศส แต่ไหงมีต้นกำเนิดจากอเมริกัน!?
เชื่อว่าสาวๆ หลายคนที่ชื่นชอบการทำเล็บต้องเคยได้ยินสไตล์การทำเล็บแบบ French Nail บ้างล่ะ มันคือสไตล์การทำเล็บที่เรียบง่าย ดูหรูหรา สวยไร้ที่ติ และให้ความคลาสสิกอีกด้วย French Nail หรืออีกชื่อที่รู้จักกันคือ French manicure สำหรับการทำเล็บมือ และ French pedicure สำหรับการทำเล็บเท้า เป็นหนึ่งในความสวยงามของสไตล์การทำเล็บที่พบได้บ่อยสุดๆ ไปเลย สีหลักๆ ที่ใช้สำหรับทำเล็บสไตล์นี้นั้นจะมีเพียงสองสีคือ สีนู้ดหรือสีชมพูอ่อนเป็นสีพื้นฐาน ก่อนจะทาสีขาวนวลแค่บริเวณปลายเล็บเท่านั้น ถึงแม้จะชื่อว่า French Nail แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วเล็บสไตล์นี้ไม่ได้สร้างขึ้นที่ฝรั่งเศส แต่กลับเป็นความคิดของชาวอเมริกันต่างหากล่ะ และทั้งสองคำอย่าง French manicure และ French pedicure ถูกใช้เป็นครั้งแรกในช่วงปี 1978 โดย Jeff Pink ผู้ก่อตั้งน้ำยาทาสีเล็บแบรนด์ Orly Jeff Pink กับเล็บหลากสี ในยุค 1970s การทำเล็บลักษณะนี้มันได้รับความนิยมหลัง…
-
21 ไอเดียเพ้นท์เล็บสุดสร้างสรรค์ ออกแบบลวดลาย ตามสไตล์ที่ชอบได้ไม่ยาก
การทำเล็บ และตกแต่งหน้าเล็บถือเป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งที่สามารถออกแบบลวดลายได้ตามใจชอบให้กับ 10 เล็บบนมือ แต่ละคนก็มีความชอบไม่เหมือนกัน ซึ่งความชอบที่แตกต่างกันนั้นเองที่สามารถสร้างเป็นไอเดียที่หลากหลายได้ นอกจากจะได้ใช้ไอเดียออกแบบความคิดสร้างสรรค์แล้วยังได้เปิดเผยถึงตัวตน และความชอบของตัวเองเสริมความมั่นใจไปในตัวได้เลยล่ะ ลองนำความชอบของตัวเองมาดัดแปลงให้เข้ากับเล็บเช่นเดียวกับ 21 สไตล์ด้านล่างได้นะ ไปรับชมกันได้เลยค่า 1. ลายโมโนแกรมกับโลโก้แบรนด์ที่ชอบ 2. ลายดอกไม้เฉดสีขาว – ดำ 3. ลายหนังวัวตัดกับแหวนสีทอง 4. ลายกุหลาบบนกลิตเตอร์กากเพชร 5. ลายดอกเดซี่สุดหวานแหวว 6. เล็บเยลลี่หลากสี 7. ลายตัวต่อจิ๊กซอว์ 8. ลายดวงจันทร์ครึ่งวงกลม 9. ลายสีเขียวนีออนกระจายไปทั่วเล็บ 10. ลายจุดหลากหลายสีสุดคลาสสิก 11. ฉลุลวดลายกราฟิกกับสีโทนร้อน 12. ลายจุดสีขาวดำแมทช์กับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด 13. เล็บสีใสกับดาวสีทอง ล่องลอยอยู่ในจักรวาล …
-
เตรียมชุดไปคอนเสิร์ตกับ “10 สไตล์ 10 แนวเพลง” คอนฯ ไหนๆ ก็เอาอยู่แน่นอน!
การเตรียมตัวหาชุดไปคอนเสิร์ตแต่ละครั้งเป็นอะไรที่ #เหมียวเมษา ตื่นเต้นสุดๆ เลยล่ะ บางครั้งถึงกับนั่งคิด นอนคิด รื้อตู้เสื้อผ้ามาคิดเลยทีเดียว เพราะไปคอนเสิร์ตของวงดนตรีในดวงใจทั้งทีก็อยากใส่ชุดสวยๆ ที่เข้ากับคอนเสิร์ต และเป็นตัวของตัวเองด้วยยังไงล่ะ ทั้งนี้ ทริคง่ายๆ เลยก็คือเลือกชุดที่เหมาะกับประเภทของคอนเสิร์ต สวมใส่ให้โดดเด่นด้วยการปรับให้เป็นสไตล์ของตัวเอง ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนออกบ้านว่าชุดและรองเท้าให้ความสบาย และอย่าลืมแต่งหน้าทำผมให้เข้ากันด้วย หากยังไม่จุใจ ลองไปดูทั้ง 10 ประเภทชุดไปคอนเสิร์ตที่ได้แบ่งแยกตามชนิดของเพลงไว้ให้กันดีกว่า คอนเสิร์ตคราวหน้าจะได้ไม่พลาดฟังเพลงที่ชอบในลุคที่อินเทรนด์สุดๆ จะเป็นอะไรบ้างก็ไปรับชมกัน 1. ชุดไปคอนเสิร์ตเพลงป๊อป คอนเสิร์ตเพลงป๊อปเป็นคอนเสิร์ตที่เต็มไปด้วยความสนุก และมีสีสัน เริ่มต้นง่ายๆ จากการแต่งตัวตามศิลปินคนโปรดดูสิ นึกถึงเดรสสวยๆ ลายเสื้อกราฟิกเท่ๆ กระโปรงตัวเก่ง รองเท้าส้นเตี้ย ก่อนจะแต่งหน้า ทำผมสวยๆ ให้เปล่งประกาย เอาอยู่แน่นอน 2. ชุดไปคอนเสิร์ตเพลงคันทรี่ ความท้าทายของการแต่งกายให้เหมาะกับแนวเพลงนี้คือจะแต่งอย่างไรให้ดูไม่แมนจนเกินไป ทั้งนี้สามารถเพิ่มความเท่ได้ด้วยกางเกงยีนส์ รองเท้าบูท เสื้อสายเดี่ยวตัวโปรด และปิดท้ายด้วยแจ็คเก็ตหนังก็ได้ แต่งหน้าให้เป็นธรรมชาติ ปล่อยผมให้พริ้วสวย แค่นี้ก็เอาอยู่แล้วจริงๆ 3. ชุดไปคอนเสิร์ตเพลงนอกกระแส…
-
เปิดประวัติ Drag Queen จากการแสดงละครสู่วัฒนธรรมหลัก ได้รับความนิยมทั่วโลก
มีใครเคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่า Drag Queen คืออะไร? และทำไมถึงได้รับความนิยมมากมายในปัจจุบัน รวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นกัน การแต่งกายแบบ Drag Queen เคยเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงละครที่ให้ผู้ชายแต่งเป็นผู้หญิง แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นกระแสไปทั่วโลก เอาล่ะ ไปเปิดประวัติของ Drag Queen กันดีกว่าว่ามีที่มาเริ่มต้นจากไหน และโด่งดังได้อย่างไร ไปรับชมกันได้เลย Drag Queen เป็นหนึ่งในรูปแบบของศิลปะ ย้อนกลับไปในยุคของเชกสเปียร์ Drag ถือเป็นหนึ่งในความบันเทิงสมัยนั้น มีความเกี่ยวข้องกับโรงละคร และศาสนา ในศตวรรษที่ 17 เมื่อละครของเชกสเปียร์แสดงครั้งแรกที่โรงละคร Globe กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ขณะนั้นมีเพียงผู้ชายเท่านั้นที่จะแสดงได้ ทำให้ในส่วนของบทผู้หญิง ผู้ชายต้องแต่งตัวเป็นผู้หญิง โดยเชื่อว่าคำว่า Drag เกิดขึ้นจากการที่ผู้ชายพูดคุยกันว่าชุดที่พวกเขาใส่นั้นจะ “ลาก” ข้ามพื้นได้อย่างไร (เนื่องจาก Drag แปลว่า ลาก นั่นเอง) ในยุคของเชกสเปียร์ผู้ชายมักแต่งตัวเป็นผู้หญิงเพื่อแสดงละครในบทบาทของผู้หญิง ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 20 Drag ก็เริ่มเข้าสู่วัฒนธรรมอเมริกันผ่านประเภทของการแสดงที่ผสมผสานระหว่างดนตรี การเล่นตลก…
-
New Balance แบรนด์รองเท้าในตำนานกว่า 113 ปี ได้รับแรงบันดาลใจจากตีนไก่
New Balance เป็นแบรนด์รองเท้าที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1906 ขณะนี้ก็เป็นเวลากว่า 113 ปีแล้ว แต่แบรนด์รองเท้าก็ยังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ไปดูประวัติกันเลยดีกว่าว่ามันมีความเป็นมาอย่างไรบ้าง William J. Riley เป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์รองเท้าอย่าง New Balance ในปี 1906 ขณะนั้นเขาได้ตั้งชื่อบริษัทว่า New Balance Arch ที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ในขณะนั้นบริษัทยังไม่ได้เริ่มผลิตรองเท้าเลยทีเดียว เพียงแต่ผลิตอุปกรณ์ที่ช่วยสนับสนุนรองเท้า และแม้ว่าเขาจะผลิตสินค้าที่มีคุณภาพดี แต่แบรนด์ก็ยังไม่เป็นที่รู้จัก บอกได้เลยว่ารูปทรงของรองเท้ารุ่นแรกๆ นั้นได้มาจากการที่ William ตั้งใจสังเกตขาไก่ ก่อนจะพบว่าเท้าสามนิ้วของไก่นั้นสามารถรับน้ำหนักจากร่างกายได้เป็นอย่างดี เขาจึงนำจุดนั้นมาพัฒนารองเท้าต่อไป ต่อมาปี 1927 William ได้จ้าง Arthur Hall เพื่อเป็นพนักงานขาย และเขาก็ได้กลายมาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ เพราะเขาได้ตีตลาดกลุ่มลูกค้าให้รองเท้าได้ เช่น พนักงานดับเพลิง พนักงานตำรวจ เป็นต้น ปี 1930 เป็นปีที่ New…
-
แพทย์ผิวหนังเผยสกินแคร์ของ Victoria Beckham ทั้งหมดราคาเบาๆ 30,000 บาท
Melanie Grant แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจากประเทศออสเตรเลีย และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังให้กับแบรนด์เครื่องสำอางของ Chanel ได้เปิดเผยครีมบำรุงผิวที่ Victoria Beckham ใช้ในแต่ละวัน Melanie Grant (ซ้าย) และ Victoria Beckham (ขวา) Melanie ได้อัปโหลดทางอินสตาแกรมของเธอที่ @melaniegrantslin เปิดเผยว่าเจ้าแม่แฟชั่นคนสวยอย่าง Victoria นั้นใช้ครีมบำรุงผิวตอนเช้า และตอนกลางคืนอะไรบ้าง เอาล่ะ ไปติดตามกันดีกว่า อดใจรอไม่ไหวแล้ว https://www.instagram.com/p/ButFYnZn77s/ ครีมบำรุงผิวในตอนเช้า 1. Purity Solution จาก CosMedix น้ำมันทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก ช่วยล้างสิ่งสกปรกและเมคอัพอย่างทั่วถึง มีส่วนผสมของน้ำมันและสารสกัดจากธรรมชาติ อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ให้ผิวสะอาดชุ่มชื้นและกระจ่างใส ราคา 35 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,100 บาท) 2. Pro-Heal Serum Advance จาก iS…
-
เว็บหาคู่เผย 10 คุณสมบัติอันเป็นที่ต้องการ และไม่เป็นที่ต้องการในตัวคนรัก
การออกเดตในปัจจุบันกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้น ไหนจะความไวของเทคโนโลยีที่ทำให้คนเข้าหากันง่ายขึ้น ตีตัวออกห่างก็ง่ายขึ้น เปลี่ยนใจง่าย มาไว ไปไว ตามไม่ค่อยจะทัน หรือการที่แต่ละบุคคล ต่างมีข้อจำกัดหรือคุณสมบัติบางอย่าง ที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นมาตรฐานว่าต้องการคนแบบไหนเข้ามาในชีวิต เหล่านี้ก็เป็นอีกปัจจัย ที่ทำให้แต่ละคนตัดสินใจไม่ออกเดตดีกว่าหากไม่เจอที่ถูกใจจริงๆ ด้วยเหตุนี้เองเว็บไซต์หาคู่อย่าง eHarmony จึงได้ทำการสำรวจ และวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เข้าใช้เว็บไซต์ ที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 34 ปี เป็นเวลากว่า 8 ปี เพื่อค้นหาว่าคุณสมบัติใดเป็นที่ต้องการในคนรัก และคุณสมบัติแบบใดไม่เป็นที่ต้องการ และได้จัดทำอันดับไว้อย่างละ 10 อันดับด้วยกัน ไปดูกันได้เลยว่ามีคุณสมบัติแบบไหนบ้าง และจะตรงกับตัวเองรึเปล่านะ 10 อันดับของคุณสมบัติอันเป็นที่ต้องการในตัวคนรัก 1. มองโลกในแง่ดี สามารถเพลิดเพลินกับเรื่องตลกในชีวิตได้ (77%) 2. เป็นผู้ให้ความรัก และผู้รับที่ความรักที่ดี (61%) 3. เป็นคนที่สามารถไว้ใจได้ และคอยสนับสนุนคนรักอยู่เสมอ (54%) 4. ต้องทำให้คนรักรู้สึกตกหลุมรัก และหลงใหลอย่างโงหัวไม่ขึ้น (53%) 5.…
-
เปิดประวัติ KENZO แบรนด์หรูแบรนด์แรกในปารีส ที่ก่อตั้งโดยดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น
Kenzo เป็นแบรนด์แฟชั่นที่ถูกก่อตั้งขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 1970 โดยนักออกแบบชาวญี่ปุ่นนามว่า Kenzo Takada ถือเป็นแบรนด์แฟชั่นแบรนด์แรกในประเทศฝรั่งเศสที่มีคนญี่ปุ่นเป็นคนสร้างขึ้น Kenzo เกิดที่ญี่ปุ่น เขาสนใจด้านแฟชั่นตั้งแต่อายุยังน้อย เขาเลือกที่จะศึกษาต่อที่วิทยาลัยแฟชั่น Tokyo’s Bunka ถือเป็นผู้ชายคนแรกอีกเช่นกันที่ได้เข้าเรียนที่แห่งนี้ หลังจากเรียนจบ ในปี 1964 เขาได้ย้ายไปกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสเพื่อเริ่มอาชีพทางด้านแฟชั่นแม้จะพูดภาษาฝรั่งเศสไม่เป็นเลยสักนิดเดียว Kenzo และนางแบบจากคอลเลกชั่นแรกของเขา แต่ผลงานของเขาก็เป็นที่ถูกใจ และได้รับการยอมรักจากนักออกแบบอย่าง Louis Feraud ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น แฟชั่นของเขามีเอกลักษณ์ในการใช้สไตล์ที่ได้รับอิทธิพลจากแถบเอเชีย และญี่ปุ่นเป็นแรงบันดาลใจ ควบคู่กับการสร้างแบรนด์แฟชั่นชนชั้นสูงในยุโรป จนออกมาโดดเด่นไม่เหมือนใคร คอลเลกชั่นใหม่จาก Kenzo “Dragon Capsule” ต่อมาในปี 1970 เขามีโอกาสเปิดร้านเสื้อผ้าแห่งแรกของตนเองที่กรุงปารีส โดยตั้งชื่อว่า Jungle Jap ปี 1983 ถึง 1987 Kenzo ก็เริ่มออกแบบเสื้อผ้าผู้ชาย เด็ก และคอลเลกชั่นของใช้ภายในบ้านให้หลากหลายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ปี…
-
ทำความเข้าใจง่ายๆ กับ 12 ประเภทแปรงแต่งหน้า ความรู้สำหรับมือใหม่หัดแต่ง
อยากแต่งหน้าแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ไหนจะต้องมีแป้ง รองพื้น คอนซีลเลอร์ ไฮไลท์ ฯลฯ เยอะแยะมากมาย เท่านั้นยังไม่พอ แต่ละเครื่องสำอางยังต้องใช้แปรงที่แตกต่างกันไปให้เหมาะสมกับใบหน้า และผลิตภัณฑ์อีกต่างหาก เอาล่ะ อยากจะสวยก็ต้องมีความรู้ด้วย ถึงแม้แปรงแต่งหน้าจะเยอะ แต่หากได้อ่านการจัดสรรแบ่งประเภทแปรงทั้ง 12 อันด้านล่างแล้วจะเข้าใจมากขึ้น แต่อย่าลืมหมั่นแต่งหน้าด้วยนะ เพื่อความถนัดในการใช้แปรง และการรู้จักโครงหน้าของตัวเองนั่นเอง ไปดูกันเลยดีกว่าว่าทั้ง 12 ชนิดของแปรงจะมีอะไรบ้าง 1. แปรงทารองพื้น (Foundation Brush) เป็นแปรงขนแน่น แปรงรองพื้นจะช่วยให้การทารองพื้นเป็นไปอย่างง่ายดายขึ้น การใช้แปรงคุณภาพดีจะยิ่งทำให้รองพื้นปกปิดผิวหน้าได้อย่างเรียบเนียน เป็นธรรมชาติ 2. แปรงทาคอนซีลเลอร์ (Concealer Brush) เป็นแปรงที่เหมาะสำหรับการปกปิดจุดบกพร่องต่างๆ บนใบหน้า ใช้กับคอนซีลเลอร์เพื่อทำให้ผิวดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ค่อยๆ เกลี่ย ย้ำๆ ซ้ำๆ เฉพาะจุดที่ต้องการหลังจากลงรองพื้นเรียบร้อยแล้ว 3. แปรงเฉดดิ้ง หรือแปรงปัดแก้ม (Angled Blush Brush) เป็นแปรงหัวตัด หน้าเฉียงที่สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เหมาะทั้งการปัดเฉดดิ้ง สร้างกรอบหน้าบริเวณโหนกแก้ม…
-
อย่าโกรธเยอะนะสาวๆ วิทยาศาสตร์บอกว่า หงุดหงิดบ่อยๆ จะทำให้อ้วนได้!?
สำหรับสาวๆ ทั้งหลายจะรู้กันดีว่า ‘อารมณ์โกรธ’ หรือ ‘ความหงุดหงิด’ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในแต่ละวัน แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่า การที่เราโกรธบ่อยๆ และปล่อยให้อารมณ์เป็นที่ตั้ง มันส่งผลต่อร่างกายของเราในเรื่องของ ‘น้ำหนักตัว’ ได้ด้วยนะเออ!! และในวันนี้ #เหมียวหง่าว ก็มีบทความที่น่าสนใจจาก Brightside มาฝากกันครับ เป็นคำอธิบายจากวิทยาศาสตร์ ว่าทำไมสาวๆ ถึงไม่ควรโกรธ หรืออารมณ์เสียบ่อยๆ เพราะมันส่งผลต่อ ‘น้ำหนักตัว’ ที่เพิ่มขึ้น!? จะเป็นอย่างไรลองไปอ่านพร้อมๆ กันได้เลย หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วไอ้ความโกรธ กับน้ำหนักตัวเนี่ย มันมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร? ทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกับ ‘อะดรีนาลีน’ เวลาที่เราโกรธฮอร์โมนอะดรีนาลีนจะถูกปล่อยออกมา ทำให้ร่างกายของเราเข้าสู่สภาวะตอบสนองแบบ fight-or-flight (สู้ หรือ ถอย) ที่ทำให้ร่างกายของเราเกิดการเตรียมพร้อมในการรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน และเป็นตัวการที่ทำให้เกิด ‘ความกังวล’ เมื่ออะดรีนาลีนถูกปล่อยออกมา จะทำให้เลือดสูบฉีดเร็วขึ้นเพื่อส่งไปเลี้ยงอวัยวะ และกล้ามเนื้อ ในส่วนต่างๆ ของร่างกาย แต่หลังจากที่ระดับฮอร์โมนอะดรีนาลีนลดลง ร่างกายของเราจะสูญเสียพลังงานไปเป็นจำนวนมาก จนเกิดความ ‘หิว’ นั่นเอง แน่นอนว่าเราต้องเติมพลังงานเข้าไป และวิธีการเติมพลังงานก็คือ ‘การกิน’…
-
Every Day Look เคล็ดลับแต่งหน้าแบบ “มายด์ กษิรา” นางเอก MV “ไม่รู้ทำไม – Whal & Dolph”
เชื่อว่าหนุ่มๆ สาวๆ หลายคนต้องคุ้นหน้าคุ้นตาสาวคนนี้บ้างแหละน่า เธอมีรอยยิ้มที่แสนสดใส และผลงานล่าสุดของเธอก็คือนางเอกมิวสิกวิดีโอเพลง “ไม่รู้ทำไม” แห่งวงเจ้าปลาน้อยอย่าง Whal & Dolph สาวที่เราพูดถึงกันวันนี้คือ มายด์ กษิรา พรนภดล นั่นเอง เธอมีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ รอยยิ้มหวานๆ แววตากลมโตคู่สวย ผมหยิกหัวฟูที่ใครได้เห็นเป็นต้องมอง ซึ่ง CatDumb News เองก็เคยเปิดวาร์ปเธอไว้ให้แล้ว อ่านข่าวเก่าได้ที่นี่: เปิดวาร์ปนางเอก MV “ไม่รู้ทำไม” เพลงสุดแสนจะใจร้าย กับน้ำตาของหญิงสาวในวันฝนตก วันนี้จึงอยากพาเพื่อนๆ โดยเฉพาะสาวๆ มาตามติด everyday look ของมายด์กันว่าเคล็ดลับการแต่งหน้าของเธอในแต่ละวันนั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งสาวมายด์ก็ได้เปิดเผยไว้แบบไม่ปิดบังทางสตอรี่อินสตาแกรมของเธอที่ @mindfreakkk หลังจากมีแฟนๆ ถามเข้ามากันมากมาย ไปเริ่มกันเลยดีกว่า อย่างแรกเลยคือเธอใช้ครีมกันแดด ซึ่งเป็นไอเทมที่จำเป็นมากๆ สำหรับแดดในบ้านเรา และครีมกันแดดที่เธอใช้คือ Neutrogena Age Shield Face Oil Free…
-
ผู้ช่วยพยาบาลเผย นี่คือ 5 เรื่องราวอันแสนสวยงาม ที่ได้รับจากการดูแล ‘ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม’
จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต พบว่าในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมมากถึง 800,000 ราย ในปี 2018 ที่ผ่านมา และส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นใน ‘ผู้สูงอายุ’ ขณะที่ทางรัฐบาลได้คาดการณ์ว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะกลายเป็น ‘สังคมแห่งผู้สูงอายุ’ อย่างเต็มตัว แน่นอนว่าย่อมส่งผลให้มีโอกาสที่คนไทยเรา จะต้องเผชิญกับ ‘โรคสมองเสื่อม’ กันมากยิ่งขึ้น คุณคิดว่าคุณรู้จักเจ้าโรคนี้เพียงใด? และพร้อมรับมือกับมันมากแค่ไหน? เราจะรู้จักโรคนี้ไปพร้อมๆ กันครับ.. อธิบายโรคสมองเสื่อมให้เข้าใจในภาพรวม โรคสมองเสื่อม เป็นกลุ่มอาการที่จะจำแนกตามตำแหน่งของสมองที่เกิดความผิดปกติ เช่นในเรื่องของ ความจำ, การใช้ความคิด, การตัดสินใจ, ความเข้าใจสิ่งต่างๆ, การเรียนรู้, การใช้ภาษา, หรือการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ เป็นต้น (เผื่อใครยังไม่ทราบ โรค ‘อัลไซเมอร์’ ก็เป็นหนึ่งในอาการที่อยู่ในกลุ่มโรคสมองเสื่อมด้วยเช่นกัน) สาเหตุของโรคสมองเสื่อมนั้นมาจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสมอง รวมไปถึงการเสื่อมสภาพของสมองเมื่ออายุมากขึ้นนั่นเอง ส่วนใหญ่แล้วอาการสมองเสื่อมจะเกิดกับผู้สูงอายุ วัย 65 ปีขึ้นไป แต่วัยรุ่นก็มีโอกาสเป็นเช่นกันนะ ซึ่งเมื่อป่วยด้วยโรคนี้เพราะสาเหตุสมองเสื่อมสมรรถภาพ จะไม่สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ แต่หากเป็นเพราะสมองได้รับความเสียหาย ก็อาจจะรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้อีกครั้งหนึ่ง นั่นทำให้คนที่ดูแล…
-
นักวิจัยพบคนเราอาจเล่นโทรศัพท์กันมากเกินไป จนมีกระดูกงอกเพิ่มบริเวณท้ายทอย
เป็นเรื่องที่เราทราบกันดีว่าในปัจจุบันสมาร์ตโฟนได้กลายเป็นเหมือนอีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว เพราะไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหน มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เราจะเห็นคนหยิบโทรศัพท์เหล่านี้ขึ้นมาเล่นกัน ว่าแต่เพื่อนๆ เชื่อหรือไม่ว่าพฤติกรรมการเล่นมือถือของมนุษย์เรานั้น มันอาจจะเริ่มส่งผลกระทบโดยตรงกับสรีระร่างกายของมนุษย์ไปแล้ว นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง เหล่านักวิทยาศาสตร์และทีมแพทย์ได้เริ่มทำการตรวจพบว่าผู้คนบางกลุ่ม (โดยเฉพาะเด็กๆ) เริ่มที่จะมีการพัฒนากระดูกแบบประหลาดๆ ที่บริเวณท้ายทอยเสียแล้ว กระดูกส่วนที่ว่านี้รู้จักกันในนาม “ปุ่มนอกของท้ายทอย” (External occipital protuberance) ซึ่งแม้ว่าจะมีอยู่ในมนุษย์แทบทุกคน แต่ตามปกติแล้วจะมีขนาดเล็กมาก (ราวๆ 5 มิลลิเมตร) ต่างไปจากในปัจจุบันที่ในบางครั้งกระดูกที่ว่าใหญ่มากพอที่จะรู้สึกได้เมื่อเราเอานิ้วโป้งกดที่ท้ายทอยเลย การพัฒนาของกระดูกส่วนนี้ ในปัจจุบันยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเกิดขึ้นจากอะไร แต่อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คน พวกเขาเชื่อว่ามันน่าจะมาจากการที่มนุษย์มักจะก้มหัวในมุมที่ไม่เหมาะสมและเป็นภาระต่อคอ ซึ่งมักเกิดจากการก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือนั่นเอง คุณ David Shahar นักวิทยาศาสตร์สุขภาพแห่งมหาวิทยาลัยซันชายน์โคสต์บอกว่า ด้วยความที่ศีรษะของคนเรามีน้ำหนักค่อนข้างมาก การที่คนเราก้มหน้านานๆ จึงมักสร้างภาระให้กล้ามเนื้อที่เชื่อมอยู่ระหว่างคอและกะโหลกเป็นอย่างมาก ขนาดของปุ่มนอกของท้ายทอยตามปกติ ดังนั้นเพื่อที่จะลดภาระของกล้ามเนื้อลงร่างกายของมนุษย์เพิ่มขนาดของกระดูกที่ท้ายทอยซึ่งจะช่วยกระจายน้ำหนักของศีรษะให้ใหญ่มากขึ้น และลดภาระของกล้ามเนื้อส่วนคอลง อ้างอิงจากงานวิจัยในปี 2016 ของคุณ Shahar และทีมงาน ในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มคนอายุตั้งแต่ 18-30 ปีจำนวน 218 คน พวกเขาพบว่ามีคนมากถึง…
-
8 คำแนะนำจาก ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ที่จะช่วยให้คุณสาวๆ มีชีวิตรอดจาก ‘การปวดประจำเดือน’
อย่างที่รู้กันดีว่า ‘ในช่วงนั้นของเดือน’ สำหรับสาวๆ ทั้งหลายแล้ว คงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่เบาเลยใช่มั้ยล่ะ? และในวันนี้เอง #เหมียวหง่าว ก็มีบทความที่น่าสนใจมาฝากสาวๆ ที่ ‘ปวดท้องประจำเดือน’ จะทำอย่างไรให้เอาตัวรอดจากช่วงนั้นได้ จะมีอะไรบ้างลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยครับ… 1. ใช้ถุงร้อน ดอกเตอร์ King นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย College London พิสูจน์แล้วว่าอุณหภูมิที่ 40 องศาเซลเซียส ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ ซึ่งดอกเตอร์ King ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า อาการปวดประจำเดือนนั้นมาจากการที่เลือดไม่ไหลเวียนไปตามอวัยวะต่างๆ จนทำให้เนื้อเยื่อได้รับความเสียหาย จนเกิดอาการเจ็บปวดขึ้นมานั่นเอง และการที่เราเอาถุงร้อนมาประกบบริเวณหน้าท้อง มันจะทำหน้าที่เหมือนกับ ‘ยาเสพติด’ ก็คือลดความเจ็บปวดที่เราได้รับ จากผลกระทบที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง 2. อาบน้ำอุ่นๆ อย่างที่ได้กล่าวไปในข้อแรกแล้ว ความร้อนจะช่วยระงับอาการปวดประจำเดือนได้ ฉะนั้นการอาบน้ำอุ่นเองก็เช่นกัน และยิ่งถ้าใส่กลิ่นหอมลงไป (เช่นกลิ่นลาเวนเดอร์) เปิดเพลงเบาๆ ชิลๆ ฟังคลอไประหว่างแช่ รับรองว่าฟินแน่นอน!! 3. นวดหน้าท้องของคุณด้วยน้ำมันหอมระเหย (Essential Oils)…
-
เปิดประวัติที่มาแบรนด์ Off-White ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสตรีทแฟชั่น และแฟชั่นชั้นสูง
Off-White เป็นแบรนด์สินค้าสไตล์สตรีทแฟชั่นที่ได้รับความนิยมมากๆ เห็นได้ชัดเลยว่าเหล่าดารา เซเลบทั้งไทยและต่างประเทศต่างก็ใส่กันหลายคน ไอเทมยอดฮิตที่เห็นกันชัดสุดๆ ก็คือเข็มขัดคำว่า Off-White สีขาว และสีเหลืองที่มีความยาวกว่า 200 เซนติเมตรเลยทีเดียว Off-White เปิดตัวในปี 2014 โดย Virgil Abloh ชาวอเมริกันผู้จบปริญญาโทด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ และใช้ความรู้ด้านสถาปัตย์ ผสมกับการออกแบบแฟชั่น สร้างเอกลักษณ์ให้แบรนด์จนประสบความสำเร็จ แบรนด์ถูกก่อตั้งขึ้นที่นครมิลาน ประเทศอิตาลี ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาต้องการสร้างคอลเลกชั่นของแบรนด์ให้มีความสวยงาม และมีคุณภาพดีที่สุด Virgil Abloh ดีไซเนอร์ และเจ้าของแบรนด์ Virgil เป็นคนที่มีความสามารถทางด้านแฟชั่นที่หลากหลาย เขาเคยเป็นสไตลิสต์ของ Kanye West มาก่อน และภายในเวลาไม่ถึง 10 ปีก็สามารถสร้างแบรนด์แฟชั่นของตนเองได้ ในปี 2012 เขาเคยก่อตั้งแบรนด์ชื่อว่า Pyrex Vision ก่อนจะสร้างแบรนด์ใหม่เป็น Off-White เพื่อโลดแล่นในวงการสตรีทแฟชั่นอีกครั้ง Off-White ถือเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างสตรีทแฟชั่น และแฟชั่นระดับสูง…
-
10 ค็อกเทลยอดนิยมสำหรับสาวๆ แต่ละชนิดคืออะไร?? ปาร์ตี้ครั้งต่อไป สั่งได้มั่นใจแน่ๆ
ค็อกเทลเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่มีรสชาติอร่อย ดื่มง่าย มีส่วนประกอบที่หลากหลาย มักจะใช้เหล้ากับมะนาวเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งเหมาะกับสาวๆ ในวันปาร์ตี้กับเพื่อน นั่งจิบค็อกเทลเบาๆ อัปเดตเรื่องราวชีวิต แต่หากสาวๆ ยังไม่รู้ว่าค็อกเทลที่ตัวเองชื่นชอบคือรสชาติแบบไหนก็สามารถนำทั้ง 10 ค็อกเทลที่จะแนะนำกันวันนี้ไปประกอบการตัดสินใจได้นะ #เหมียวเมษา ได้รวบรวมชื่อ รสชาติ และส่วนประกอบหลักไว้ให้แล้ว จะมีอะไรบ้างก็ไปดูกันเลย 1. Mojito เครื่องดื่มรสหวานอมเปรี้ยว เหมาะสำหรับดับกระหายในคืนอากาศร้อนๆ ให้รสชาติที่อร่อย ดื่มง่าย ไม่แรงจนเกินไป โดยมีส่วนผสมหลักคือเหล้ารัมสีใส พร้อมด้วยน้ำมะนาว และกลิ่นหอมของใบสะระแหน่เพิ่มรสชาติ 2. Margarita เป็นเครื่องดื่มที่ยอดฮิตแถบอเมริกาใต้ ให้รสชาติถูกปากทั้งผู้หญิง และผู้ชายเลยทีเดียว เหล้าหลักที่ใช้คือเหล้าเตกีล่า และเหล้า Triple Sec ผสมกับน้ำมะนาว พร้อมเสิร์ฟด้วยการโรยเกลือบริเวณขอบปากแก้วเพื่อรสชาติที่เข้มข้น 3. Gin & Tonic เครื่องดื่มสุดคลาสสิกตลอดกาล และมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ชอบการผสมผสานที่ลงตัวของรสชาตินี้ นอกจากจะไม่แรงเกินไปแล้วยังให้ความกลมกล่อมอีกด้วย แน่นอนว่าส่วนผสมหลักคือเหล้า Gin ผสมกับน้ำ Tonic นั่นเอง 4.…
-
สูตินรีแพทย์เผย 5 ประเภทกลิ่นจากจุดซ่อนเร้น บ่งบอกปัญหาสุขภาพช่องคลอด
จุดซ่อนเร้นของสาวๆ เป็นอะไรที่บอบบาง และต้องได้รับการดูแลอย่างดี หากมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นก็ต้องรีบหาสาเหตุเพื่อจะได้แก้ปัญหาให้ทันท่วงที กลิ่นของจุดซ่อนเร้นที่ผิดแปลกไปจากปกติ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เราสามารถรับรู้ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับน้องสาวของเราบ้าง เพราะฉะนั้นต้องหมั่นสังเกตตัวเองให้ดีกันนะ และในวันนี้ Dr. Vanessa Cullins และ Dr. Debora Nucatola สูตินรีแพทย์จากองค์กรวางแผนครอบครัว สหรัฐอเมริกาก็ได้ให้คำแนะนำเรื่องกลิ่นของจุดซ่อนเร้นที่ควรสังเกตไว้ แต่ก่อนอื่นสาวๆ ควรรู้ไว้ก่อนว่าแต่ละคนจะมีกลิ่นบริเวณจุดซ่อนเร้นที่แตกต่างกันไป และมันยากมากที่คนรอบตัวจะได้กลิ่นบริเวณจุดซ่อนเร้น อีกทั้งกลิ่นตามปกตินั้นก็ไม่ใช่กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้ตามที่เคยเห็นในโฆษณากันด้วย ส่วนปัจจัยที่ส่งผลถึงกลิ่นของจุดซ่อนเร้นนั้นมีหลายปัจจัย เช่น การติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การออกกำลังกาย เหงื่อ และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนขณะมีประจำเดือน และทั้ง 5 กลิ่นด้านล่างนั้นก็เป็นกลิ่นของช่องคลอดที่สามารถพบได้บ่อยๆ หากเกิดอะไรผิดปกติขึ้น ทั้งนี้หากกลิ่นมันรุนแรงเกินไปก็ควรรีบไปพบแพทย์ อย่าเพิกเฉยต่อสัญญาณจากร่างกายกันนะ 1. กลิ่นคาวปลา อาการที่เป็นไปได้: ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis) การรักษา: ทานยาแก้อักเสบ Dr. Vanessa กล่าวว่า “มีแบคทีเรียหลายชนิดเติบโตในช่องคลอด ทั้งแบคทีเรียดีและไม่ดี และกลิ่นคาวปลาก็อาจเกิดขึ้นได้หากแบคทีเรียชนิดต่างๆ ไม่มีความสมดุลกัน บางคนอาจมีอาการตกขาว…
-
นักประสาทวิทยาชี้ รอยยิ้มในภาพ “โมนาลิซา” อาจไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความสุขอย่างที่เราคิด
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าภาพ “โมนาลิซา” ของเลโอนาร์โด ดา วินชีเป็นภาพที่มีชื่อเสียงโด่งดังอันดับต้นๆ ของโลก เพราะรอยยิ้มของเธอนั้น จะบอกว่ามีเสน่ห์สุดลึกลับที่หาภาพอื่นมาเปรียบไม่ได้อีกแล้วก็คงไม่ผิดนัก แต่เพื่อนๆ เคยคิดกันไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากรอยยิ้มที่เราเห็นกันบนใบหน้าของโมนาลิซานั้น แท้จริงแล้ว อาจจะไม่ใช่รอยยิ้มที่เกิดขึ้นจากความสุขอย่างที่เราคิดกันก็เป็นได้ นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง ได้มีทีมนักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยซินซินแนติ แห่งสหรัฐอเมริกากลุ่มหนึ่งที่ออกมาอ้างว่ารอยยิ้มของโมนาลิซานั้น แท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่รอยยิ้มจากใจก็เป็นได้ โดยพวกเขาได้ทำการทดลองโดยให้อาสาสมัคร 42 คน ชมภาพรอยยิ้มของโมนาลิซาสองภาพ ซึ่งมีการดัดแปลงรอยยิ้ม โดยในภาพแรกรอยยิ้มบนภาพจะมาจากริมฝีปากด้านซ้าย ในขณะที่รอยยิ้มในภาพที่สองจะมาจากริมฝีปากด้านขวา ก่อนที่จะให้พวกเขาอธิบายความรู้สึกของเจ้าของรอยยิ้มในแต่ละภาพ ผลของการทดลองพบว่ามีอาสาสมัครจำนวน 39 คนหรือราวๆ 92.8% ที่คิดว่ารอยยิ้มซีกซ้ายของโมนาลิซานั้นเป็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุขจริงๆ แต่กลับกันรอยยิ้มด้านขวาของเธอกลับไม่ได้รับผลตอบรับที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะมีคนถึง 83% ที่บอกว่ารอยยิ้มซีกขวาของเธอเป็นการแสดงสีหน้าที่ไม่ได้ยินดียินร้าย ในขณะที่ 12% บอกว่ามันน่ารังเกียจ อีก 5% บอกว่ามันแสดงออกถึงความเศร้า และที่สำคัญคือไม่มีใครเลยที่บอกว่านี่เป็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุข ความขัดแย้งกันของรอยยิ้มสองข้างนี้ ถูกสนับสนุนด้วยลักษณะของกล้ามเนื้อใบหน้าของโมนาลิซาที่แก้มไม่ได้ยกตัวขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นเวลาคนเรายิ้มอย่างมีความสุข ดังนั้นทีมนักวิจัยจึงบอกว่ามีความเป็นไปได้มากที่จริงๆ แล้วโมนาลิซานั้นคงจะไม่ได้ยิ้มอย่างมีความสุขมากนัก โดยนักวิจัยได้ระบุไว้ว่า มันเป็นไปได้ยากที่คนเราจะนั่งเฉยๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อให้ช่างภาพวาดรูปและสามารถยิ้มจากใจจริงได้อยู่ ดังนั้นแม้ว่าเลโอนาร์โดจะพยายามทำให้เธอยิ้มแค่ไหน…
-
8 ปัญหาด้านสุขภาพที่คุณอาจไม่เคยรู้ ว่าส่งผลกระทบต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
สุขภาพเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจดูแลอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ เพราะชีวิตเราเกิดมาเพียงครั้งเดียว สุขภาพไม่มีอะไรมาทดแทนได้นั่นเอง แต่ผู้หญิงอย่างเราๆ ถึงแม้จะดูแลสุขภาพดีแค่ไหน แต่โรคบางโรคก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่ยากต่อการควบคุม ทำให้ทั้ง 8 ปัญหาด้านสุขภาพที่จะได้อ่านกันนั้น ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ดังนี้ 1. โรคพิษสุราเรื้อรัง (Alcohol Abuse) ผู้หญิงหลายล้านคนในสหรัฐอเมริกามีความเสี่ยงด้านปัญหาสุขภาพจากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป แอลกอฮอล์ไม่ได้ทำลายแค่สุขภาพเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงความปลอดภัย และคุณภาพความเป็นอยู่ด้วย โดยเฉพาะโรคพิษสุราเรื้อรังที่มีความรุนแรงในผู้หญิง ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น โรคมะเร็งเต้านม โรคหัวใจ ผลกระทบต่อทารกในครรภ์ที่ได้รับแอลกอฮอล์หากมีแม่ดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น 2. โรคหัวใจ โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของผู้หญิงในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ผู้หญิงยังมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการหัวใจวายได้ง่ายอีกด้วย พวกเธอยังได้รับความล่าช้าในการรักษา โดยเฉพาะการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด 3. ปัญหาสุขภาพจิต ผู้หญิงมีแนวโน้มมีอาการซึมเศร้า และวิตกกังวลได้ง่ายกว่าผู้ชาย อีกทั้งปัจจุบันภาวะซึมเศร้ายังเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่พบบ่อยมากขึ้นในผู้หญิงมากขึ้นทุกๆ ปี 4. โรคข้อเข่าเสื่อม ในบรรดาโรคเกี่ยวกับกระดูกนั้น โรคข้อเข่าเสื่อมถือเป็นโรคที่พบได้มากที่สุด มันทำให้เกิดอาการปวด ข้อตึง และบวม นอกจากนี้ โรคข้ออักเสบยังเป็นสาเหตุหลักของความพิการทางร่างกายในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน มันส่งผลกระทบต่อผู้หญิงนับล้านคน…
-
ศิลปินสาวเผย 27 ภาพมุมมองอันแสนอ่อนไหว ผ่านตัวละครหนุ่มสาวในห้วงภวังค์แห่งรัก
ศิลปินสาวชาวเกาหลีใต้นามว่า Yang Se Eun วัย 31 ปี เธอทำงานเกี่ยวกับสื่อ และสิ่งพิมพ์มากมาย ทั้งโฆษณา หนังสือเด็ก ผลิตภัณฑ์สินค้า จัดนิทรรศการ และการบรรยายต่างๆ เป็นต้น และเธอยังมีงานอดิเรกที่ชื่นชอบคือการวาดรูป เธอจึงฝึกความสามารถด้านนี้จนกลายเป็นนักวาดภาพประกอบที่มีลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ ในขณะเดียวกันเธอก็กำลังมองหาจุดมุ่งหมาย และความพึงพอใจในชีวิต เธอเป็นสาวที่ช่างสงสัยเกี่ยวกับมนุษยชาติ และสังคม และมีความอ่อนไหวทางอารมณ์เช่นกัน https://www.instagram.com/p/BuRMa_9B-kY/ ลายเส้นฝีมือวาดภาพนั้นช่างโดดเด่นและมีเอกลักษณ์สุดๆ ให้ความพริ้วไหวราวกับสาวช่างฝัน เธอถ่ายทอดมุมมองการใช้ชีวิตคู่ผ่านตัวละครที่เธอสร้างขึ้นมาได้ดีมากๆ ราวกับพวกเขามีชีวิตจริงๆ งานของเธอเป็นที่ถูกใจผู้คนเป็นจำนวนมาก จนขณะนี้เธอมียอดผู้ติดตามในอินสตาแกรม @zipcy กว่า 702,000 คนเข้าไปแล้ว ไปดูเลยดีกว่าว่ามุมมองทางศิลปะของเธอเกี่ยวกับคู่รักทั้ง 27 รูปนั้นจะถูกใจเพื่อนๆ มากแค่ไหน วันที่แสนเหนื่อยกลับมาเจอตักนุ่มๆ ก็หายทันที . นั่งคุยกันชิลๆ ท่ามกลางบรรยากาศดีๆ . ตื่นเช้ามาก็เจอกันและกันเป็นคนแรก . คอยแบ่งปันชีวิตประจำวันร่วมกัน .…
-
ทำความรู้จักกับ 7 ชนิดของเบียร์ เรื่องพื้นฐานที่คอเบียร์รู้ไว้ไม่เสียหาย
เบียร์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง แต่จะมีผู้ดื่มสักกี่คนที่รู้ว่าเบียร์แต่ละชนิดนั้นมีอะไรบ้าง และมันแตกต่างกันอย่างไร? โลกแห่งเบียร์เป็นโลกที่ไร้ขีดจำกัด เพราะรสชาติของเบียร์มีให้เลือกมากมาย รสชาติของเบียร์ก็เป็นเสน่ห์ของแต่ละพื้นที่ และเบียร์แต่ละรสชาติก็มีความซับซ้อน เบียร์นั้นแบ่งได้เป็น Ale และ Larger แต่ก็สามารถแบ่งประเภทย่อยไปได้อีก เช่น Pale Ales, India Pale Ales (IPAs), Porters, Stouts และ Wheat เป็นต้น Lagers นั้นประกอบไปด้วยสไตล์ที่หลากหลาย และถือเป็นจุดเริ่มต้นทั่วไปสำหรับนักดื่มเบียร์มือใหม่ เป็นเบียร์ที่ถือกำเนิดมาจากประเทศเยอรมัน หมักจากมอลต์ข้าวบาเลย์และฮอปส์ ด้วยยีสต์ประเภทหมักนอนก้น (bottom-fermentation yeast) โดยจะหมักที่อุณหภูมิประมาณ 5 – 15 องศาเซลเซียส ส่วนใหญ่เบียร์ Lagers นั้นจะมีสีอ่อนใส มีรสฮอปส์ที่เข้มข้น ได้กลิ่นมอลต์อ่อนๆ และมีแอลกอฮอลล์ประมาณ 3 – 5% Ale จะมีสีเข้มกว่า และรสชาติขมกว่า Lagers ยีสต์ของเบียร์ Ale…
-
ประวัติแบรนด์ LONGCHAMP จากธุรกิจเครื่องหนังยาสูบ สู่แบรนด์แฟชั่นระดับโลก
แบรนด์ Longchamp (ลองฌอง) ในปัจจุบันเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมมากในหมู่ผู้หญิง แต่เชื่อเถอะว่าในตอนแรกที่ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นมานั้น แทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผู้หญิงเลย ย้อนกลับไปในปี 1948 ขณะนั้น Jean Cassegrain ได้เริ่มประดิษฐ์ไปป์ด้วยเครื่องหนังสุดหรูหรา จนประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของธุรกิจด้านผลิตเครื่องหนังสำหรับยาสูบอยู่นานหลายปีที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หลังจากนั้นทางบริษัทก็เริ่มสร้างผลิตภัณฑ์เครื่องหนังขนาดเล็กสำหรับผู้ชาย พัฒนาไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ผลิตกระเป๋าถือของผู้หญิง กระเป๋าเดินทาง รองเท้า และผลิตภัณฑ์เครื่องหนังอื่นๆ อีกมากมาย เริ่มต้นจากร้านไปป์ร้านเล็กๆ กลายเป็นที่รู้จัก และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องหนัง ก่อนจะสร้างฝีมืออันยอดเยี่ยมกลายเป็นแบรนด์หรูระดับโลกได้ Longchamp ในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ลู่วิ่งในสนามม้า โดยในตอนแรกเขาตั้งใจจะใช้นามสกุลของตัวเอง แต่กลับถูกญาติใช้กับสินค้าชนิดอื่นไปแล้ว Jean เองก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ของการแข่งม้าตัวยง เขาจึงนำชื่อสนามแข่งม้าที่ตนเองชื่นชอบ ซึ่งเป็นสนามม้าที่มีชื่อเสียงใกล้กรุงปารีส มาตั้งเป็นชื่อบริษัท เช่นเดียวกับโลโก้ของแบรนด์นั่นเอง สไตล์และคอลเลคชั่นทุกชิ้นของ Longchamp นั้นให้ความเรียบง่าย ไม่ฉูดฉาด มีการออกแบบทุกชิ้นส่วนอย่างมีระดับ และมีคุณภาพ ยิ่งแบรนด์ไปเตะตา Elvis Presley เข้า ทำให้ยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นอีก Philippe Cassegrain กับกระเป๋ารุ่น…
-
เกิดอะไรขึ้นที่ฮ่องกง!? ผู้คนออกมาประท้วงกฎหมายนับล้าน สรุปให้คุณเข้าใจในโพสต์เดียว…
การประท้วงต่อต้านกฎหมาย ที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนแผ่นดินใหญ่ ผู้นำการชุมนุมระบุว่ามีคนมาร่วมการประท้วงมากกว่า 1,000,000 คน ย่านท่องเที่ยวถูกปิด การจราจรเป็นอัมพาต สถานทูตต่างประกาศเตือนภัยคนของตัวเอง เกิดอะไรขึ้นที่ฮ่องกง!? ทีมข่าวแคทดั๊มบ์ขอสรุปดังนี้ครับ… ชุมนุมต่อต้านอะไร!? เรื่องของเรื่องคือ นางแคร์รี หลำ (Carrie Lam) หัวหน้าผู้บริหารเกาะฮ่องกง ได้เร่งผลักดันกฎหมาย ‘ส่งตัวผู้ต้องสงสัยคดีอาชญากรรมไปไต่สวน และดำเนินคดีที่จีนแผ่นดินใหญ่’ ทำให้ชาวฮ่องกงหลายคนต่างไม่พอใจออกมาประท้วงกันในรอบแรกเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2562 ที่ผ่านมา เพื่อให้รัฐบาลถอดถอนร่างกฎหมายดังกล่าว ต่อมาในวันที่ 11 พฤษภาคม 2562 เกิดความรุนแรงขึ้นในสภาผู้แทนราษฎรของฮ่องกง มีการถกเถียงกันในเรื่องของการเสนอร่างกฎหมายที่เป็นประเด็น จากการอภิปรายข้อกฎหมายดังกล่าว จึงเกิดเหตุความรุนแรงขึ้นในสภา ระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนจีนแผ่นดินใหญ่ กับฝ่ายสนับสนุนการปฏิรูประบอบประชาธิปไตย ซึ่งฝ่ายที่สนับสนุนการปฏิรูประบอบประชาธิปไตยได้คัดค้านไม่ให้ผ่านร่างกฎหมาย เพราะเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน พวกเขากังวลว่าอาจเป็นการเปิดโอกาสให้ทางการของจีนแผ่นดินใหญ่ เข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของฮ่องกง ข้อสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ ระบบการตัดสินคดีความของฮ่องกงนั้นจะใช้ระบบลูกขุน ขณะที่การตัดสินคดีความของจีนนั้นใช้ระบบผู้พิพากษา ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับของไทยมากกว่า ความขัดแย้งในสภารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มีการตะโกนด่าทอกันอย่างดุเดือด มีการลงไม้ลงมือชกต่อยกัน จนมีสมาชิกสภาท่านหนึ่งถูกหามส่งโรงพยาบาลเลยทีเดียว จนล่าสุด ความไม่พอใจนั้นสูงขึ้น นำมาสู่การนัดประท้วงครั้งใหญ่อย่างที่เห็นในข่าว อธิบายข้อกฎหมายนี้ให้เข้าใจยิ่งขึ้น… …
-
รวมรองเท้า 14 คู่ ที่เหมาะสวมใส่ในฤดูฝน ดูแลรักษาเท้าได้ทั้งชายและหญิง
หน้าฝนแบบนี้ ปัญหารองเท้าเหม็นอับชื้นต้องเป็นอะไรที่กวนใจหลายๆ คนแน่นอน ไหนจะน้ำฝน ไหนจะน้ำขัง จะใส่ผ้าใบธรรมดาก็แฉะ รองเท้าแตะก็เสี่ยงต่อการลื่นล้ม และไม่สุภาพ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเท้าหรือรองเท้าเปียกก็อาจส่งผลถึงปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น กลิ่นเท้า น้ำกัดเท้า การโดนของมีคมบาด หรือสัตว์มีพิษต่อย เพราะฉะนั้นควรหาทางระวังไว้ก่อนดีกว่านะทุกคน โดยเฉพาะการเลือกใส่รองเท้าก็เป็นขั้นตอนเบื้องต้นที่สามารถช่วยได้ วันนี้จึงได้นำรองเท้าทั้งหมด 14 คู่ มาแนะนำให้ทั้งคุณผู้หญิง และคุณผู้ชายเลือกสรรใส่ในฤดูฝนแบบนี้ได้เลย 7 คู่แรกที่กำลังจะได้ดูนั้นเป็นสไตล์ของคุณผู้หญิงก่อนนะ จะมีสไตล์แบบไหนก็ไปรับชมกัน 1. Adidas Terrex Swift R2 GTX Gore-Tex Waterproof Hiking Shoe เป็นรองเท้าปีนเขาที่กันน้ำ ทนทาน ยึดเกาะทุกสภาพผิวสุดๆ นอกจากนี้ยังป้องกันโคลน แมลง เศษเล็กเศษน้อยต่างๆ เข้ารองเท้าอีกด้วย ราคา 135 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4,500 บาท) 2. Bernardo…
-
งานวิจัยชี้ มนุษย์จะเป็นปัจจัยสำคัญ ทำให้ขนาดตัวของสัตว์โลกเล็กลง 25% ในศตวรรษนี้
ในช่วงเวลาปัจจุบัน โลกของเหล่าเข้าสู่ยุคที่อะไรๆ ก็มีแนวโน้มที่จะมีขนาดเล็กลง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้อย่างโทรศัพท์มือถือ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างนาโนเทคโนโลยี แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าสิ่งของนั้น ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่มีแนวโน้มที่จะเล็กลงไปเรื่อยๆ เพราะจากรายงานล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร “Nature Communications” เหล่าสัตว์โลกเองก็อาจจะมีขนาดโดยเฉลี่ยเล็กลงถึง 25% ภายในศตวรรษนี้ก็เป็นได้ ตัวเลขที่ออกมานี้หากดูเผินๆ แล้วอาจจะเป็นข่าวดีสำหรับหลายคน เพราะสัตว์ตัวเล็กนั้นเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในสังคมปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงแล้วตัวเลขนี้ไม่ใช่อะไรที่น่าดีใจเลย เพราะการที่ขนาดโดยเฉลี่ยของสัตว์โลกเล็กลงในกรณีนี้ มันมาจากการที่สัตว์ขนาดใหญ่เริ่มเอาชีวิตรอดบนโลกได้ยากขึ้นต่างหาก นี่เป็นผลการวิจัยที่เกิดขึ้นจากการศึกษานกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 15,484 ชนิดบนโลกของมหาวิทยาลัยเซาแทมป์ตัน ซึ่งพบว่าในปัจจุบันสัตว์ขนาดเล็กที่กินแมลงเป็นอาหาร โดยเฉพาะสัตว์ที่อยู่ในสภาพอากาศที่หลากหลาย ในปัจจุบันจะมีโอกาสเอาชีวิตรอดได้มากกว่าสัตว์ขนาดใหญ่กว่ามาก แม้ว่าพวกมันจะมีอายุขัยสั้นกว่าก็ตาม ทางผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะในปัจจุบันโลกที่ร้อนขึ้น และการรบกวนของมนุษย์ต่อสถานที่อยู่อาศัยของสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่า การล่าสัตว์ และการขยายตัวของเมือง ภาวะของโลกเหล่านี้ ส่งผลให้สัตว์ขนาดใหญ่ ที่มักจะต้องมีถิ่นที่อยู่อาศัยแบบเฉพาะมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ ผิดกับสัตว์ขนาดเล็กที่มักปรับตัวเข้ากับสังคมของมนุษย์ โดยสัตว์ใหญ่ที่นักวิจัยระบุว่ามีความสุ่มเสี่ยงจากสถานการณ์โลกในปัจจุบันนั้น ก็มีตัวอย่างเช่น แรด ฮิปโป กอริลลา ยีราฟ และนกขนาดใหญ่อย่าง นกอินทรี กับแร้ง เป็นต้น จริงอยู่ว่านี่อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ขนาดตัวของสัตว์โลกมีขนาดเล็กลงจากในอดีต แต่อัตราส่วนที่…
-
ครีมกันแดดมาจากไหน?? เปิดตำนาน 4 นักเคมี ผู้ผลิตครีมกันแดดคนแรกๆ ของโลก
ครีมกันแดดถือเป็นไอเทมหลักของสาวๆ ในประเทศไทยที่แดดแรงมากกกกก และในแสงอาทิตย์นั้นมีรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) เป็นต้นเหตุของโรคทางผิวหนังต่างๆ อีกด้วย เช่น ผิวคล้ำเสีย หรือมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น คงต้องขอบคุณผู้ผลิตครีมกันแดดขึ้นมาเป็นคนแรกจริงๆ ที่ค้นพบว่าการโดนแสงแดดนั้นส่งผลลัพธ์ต่อมนุษย์อย่างไร และคิดค้นครีมกันแดดขึ้นมาจนถูกพัฒนาเป็นครีมกันแดดแบบในปัจจุบัน ถึงแม้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าครีมกันแดดตัวแรกของโลกนั้นถูกผลิตโดยใคร แต่ทั้ง 4 คนที่ถูกเสนอชื่อเข้ามาในที่นี้ถือเป็นบุคคลในยุคแรกๆ ที่คิดค้นครีมกันแดดขึ้น ไปดูกันเลยว่ามีใครบ้าง ย้อนกลับไปในปี 1930 Milton Blake นักเคมีชาวออสเตรเลียถือเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนคิดค้น และทดลองใช้ครีมกันแดดขึ้น เขาผลิตครีมกันแดดในห้องทดลองที่บ้านของเขา ต่อมาปี 1938 ครีมกันแดดอีกตัวก็ถูกคิดค้นโดย Franz Greiter นักเคมีชาวสวิต ภายใต้ชื่อว่า Gletscher Crème หรือ Glacier Cream ในขณะนั้นมีค่าป้องกันแสงแดด (SPF) เพียงแค่ 2 เท่านั้น และในปี 1962 Franz คนนี้เองที่ได้เสนอแนวคิดการจัดอันดับค่าป้องกันแสงแดด (Sun Protection Factor) หรือที่เรารู้จักโดยทั่วไปว่า SPF…
-
เบื้องหลังโลโก้ 8 แบรนด์ชั้นนำระดับโลก กับเรื่องราวดีๆ ที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน
แบรนด์ high end ต่างๆ ที่มีราคาแพงนั้นเรารู้จักกันดีอยู่แล้ว รู้ว่าผลิตภัณฑ์อะไรที่กำลังเป็นที่นิยมในเหล่าคนดัง แต่ใครจะรู้หรือไม่ว่าโลโก้ต่างๆ ของแบรนด์นั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร โดยทั้ง 8 แบรนด์ที่จะนำเสนอในวันนี้ต่างก็เป็นแบรนด์สุดหรู และมีที่มาอย่างยาวนาน ซึ่งโลโก้ของแบรนด์เหล่านี้ก็มีประวัติที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ไปอ่านดูได้เลย 1. Chanel โลโก้ Chanel ได้รับการออกแบบโดย Coco Chanel ผู้ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1925 และยังคงไม่ถูกเปลี่ยนมาจนทุกวันนี้ บ้างก็เชื่อว่ามาจากสัญลักษณ์ของไร่องุ่น Château de Crémat ประเทศฝรั่งเศส ที่ Coco ได้พบเจอขณะทำการค้นคว้าเรื่องน้ำหอม บ้างก็ว่าโลโก้นั้นได้แรงบันดาลใจจากหน้าต่างกระจกสีที่ Aubazine Chapel เนื่องจาก Coco เคยเป็นเด็กในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่นั่น 2. Versace เจ้าของแบรนด์อย่าง Gianni Versace ได้สร้างสัญลักษณ์จากตัวละครในตำนานยอดนิยมอย่าง “เมดูซา” โดย Gianni ให้เหตุผลว่าที่เลือกเมดูซาเพราะว่าเธอมีเสน่ห์ และใครก็ตามที่หลงรักเมดูซาก็ไม่สามารถหนีไปจากเธอได้ 3. Gucci ตัว…
-
15 ต้นไม้สุดงดงาม ที่ถ้าได้มาปลูกไว้ในสวน คงกลายเป็นสวนในโลกแฟนตาซีไปเลย
เพื่อนๆ ที่เป็นคนชอบธรรมชาติ ชอบดูต้นไม้สีสบายตา และชอบปลูกต้นไม้และทำสวน คงจะมีพันธุ์ไม้ในดวงใจกันอยู่แน่ๆ เลย และหากว่าได้มันมาปลูกไว้ในสวนของบ้านเราเองมันก็คงจะดีไม่น้อย และสำหรับใครที่ชอบต้นไม้ที่พอถึงฤดูของมันก็จะออกดอกบานสะพรั่งเต็มต้นล่ะก็ ลองมาดูต้นไม้สวยๆ ทั้ง 15 พันธุ์นี้ดู เผื่อว่าคุณอยากจะลองเอาไปปลูกในสวนดู…แต่จะปลูกขึ้นมั้ยก็อีกเรื่องนะ 1. ต้นจาคาแรนดา https://www.instagram.com/p/Bvup_uZFWTP/?utm_source=ig_web_copy_link มีชื่อไทยเพราะๆ ว่า ต้นศรีตรัง พื้นเพมาจากทางตอนใต้และกลางของอเมริกา มีดอกเป็นสีม่วงสวยๆ อย่างที่เห็น บานในฤดูใบไม้ผลิ เจ้าต้นนี้มีอยู่ในประเทศไทยด้วยนะ ถูกนำเข้ามา 100 กว่าปีก่อน ปลูกไว้ที่จังหวัดตรัง ศรีตรังเลยเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดตรังด้วยล่ะ 2. ต้นเชอร์รี่ https://www.instagram.com/p/BwL3Ci3BoT8/?utm_source=ig_web_copy_link หรือก็คือต้นที่ในญี่ปุ่นเรียกกันว่า “ซากุระ” นั่นเอง ออกดอกในฤดูใบไม้ผลิเช่นกัน 3. วิสทีเรีย https://www.instagram.com/p/Bxd3NN_AumM/?utm_source=ig_web_copy_link ความจริงแล้ววิสทีเรียนั้นเป็นพืชตระกูลเถาวัลย์ แต่พอโตขึ้นจะมีลำต้นและกิ่งขยายออกไป และจะเลื้อยทะลุไม้ระแนง รางน้ำ และอื่นๆ สร้างความเสียหายได้มากโข แต่ดอกมันก็สวยจริงๆ ล่ะเนาะ 4. ต้นแมกโนเลีย https://www.instagram.com/p/BxLER83ggph/?utm_source=ig_web_copy_link ดอกแมกโนเลียก็บานช่วยฤดูใบไม้ผลิเช่นกัน…
-
งานวิจัยเผย สุนัขจะมีระดับความเครียดสัมพันธ์กับเจ้าของ แม้ว่ามันจะมีนิสัยแบบไหนก็ตาม
เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าสุนัขนั้นเป็นคู่หูที่ดีต่อมนุษย์ขนาดไหน เพราะพวกมันไม่เพียงแต่จะรักและเข้าใจมนุษย์ผู้เป็นเจ้านายมากกว่าใคร แต่พวกมันยังเป็นสัตว์ที่ร่วมทุกร่วมสุขกับมนุษย์มานานที่สุดชนิดหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าอ้างอิงจากงานวิจัยชิ้นใหม่ล่าสุด ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2019 ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเจ้าสุนัขเหล่านี้นั้น อาจจะมีความใกล้ชิดกับมนุษย์มาก ถึงขนาดที่ว่าหากเจ้าของมีความเครียดสูง พวกมันก็จะรู้สึกเหมือนกันไปด้วยเลย การทดลองในครั้งนี้ จัดทำขึ้นโดยมหาวิทยาลัย Linkoping ในประเทศสวีเดน และเกี่ยวข้องกับการศึกษาสุนัข 58 ตัวจากสายพันธุ์บอร์เดอร์ คอลลี่ และเชทแลนด์ ชีพด็อก ซึ่งถูกเลี้ยงโดยเจ้านายที่เป็นผู้หญิง โดยในการเก็บข้อมูลนั้น นักวิทยาศาสตร์จะทำการเก็บตัวอย่างเส้นผมของเจ้าของสุนัข และเส้นขนของสุนัขมาเพื่อตรวจสอบหาปริมาณของฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งจะหลั่งออกมาในกรณีที่คนและสัตว์มีความเครียด พวกเขาพบว่าในระยะยาวแล้ว ปริมาณของฮอร์โมนคอร์ติซอลในสุนัขและเจ้าของนั้น มักจะถูกหลั่งออกมาในปริมาณที่ใกล้เคียงกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยเจ้าของที่มีฮอร์โมนคอร์ติซอลมาก ก็มักจะมีสุนัขที่มีฮอร์โมนคอร์ติซอลมากตามไปด้วย ผลการทดลองที่ออกมานี้ถือว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะจากการตรวจสอบของนักวิทยาศาสตร์แล้ว ปริมาณของฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เพื่อขึ้นในสุนัขนั้น แทบจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับลักษณะนิสัยของตัวสุนัขเองเลย แถมต่อให้สุนัขมีสนามเด็กเล่นของตัวเอง สนามเหล่านั้นก็แทบจะไม่ส่งผลต่อระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลในกรณีนี้เลยด้วย ว่าง่ายๆ ว่าไม่ว่าสุนัขจะขี้เล่นอารมณ์ดี หรือมีของเล่นมากแค่ไหน หากเจ้าของเครียดพวกมันก็จะเครียดตามไปด้วยอยู่ดีนั่นเอง ที่มา metro,…
-
งานวิจัยใหม่ชี้ คนเรามีขีดจำกัดของร่างกายในระยะยาว อยู่ที่ราวๆ 4,000 แคลอรีโดยเฉลี่ย
เมื่อเราพูดขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ เชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยเลยที่เชื่อว่าขีดจำกัดทางร่างกายของคนเรานั้นเป็นอะไรที่ไม่มีอยู่จริง เพราะมนุษย์นั้นก็สามารถพัฒนาร่างกายขึ้นไปเรื่อยๆ หากมีการฝึกที่ดีพอ เหมือนอย่างที่นักกีฬาหลายๆ คนทำกัน แต่เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมาเปิดเผยงานวิจัยใหม่ที่บอกว่ามนุษย์เรานั้นมีขีดจำกัดของร่างกายอยู่จริงๆ อ้างอิงจากในรายงาน ขีดจำกัดของความอดทนที่มนุษย์แต่ละคนจะทำได้นั้น ในระยะยาวจะอยู่ที่ 2.5 เท่าของปริมาณอัตราการเผาผลาญของร่างกายขณะพักผ่อนต่อวันของคนแต่ละคน หรือก็คือราวๆ 4,000 แคลอรีต่อวันโดยเฉลี่ยนั่นเอง ที่ต้องบอกว่าในระยะยาวนั้น เป็นเพราะว่าคนเรานั้นสามารถดึงพลังของร่างกายออกมาใช้ในระยะสั้นๆ ได้สูงมาก อย่างนักวิ่งมาราธอนหนึ่งรายการอาจจะสามารถเผาผลาญแคลอรีได้มากถึง 15.6 เท่าของปริมาณอัตราการเผาผลาญของร่างกายขณะพักผ่อนเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เมื่อระยะเวลาที่คนเราใช้ในการออกแรงมากขึ้นเท่าไหร่ ปริมาณการเผาผลาญแคลอรีก็จะเริ่มลดลงมากเท่านั้น เพราะเมื่อนักวิทยาศาสตร์ทำการวิจัยเหล่านักปั่นจักรยานทางไกลอย่าง Tour de France ที่กินเวลา 23 วัน พวกเขาก็พบว่าคนเหล่านี้ใช้พลังงานกันในอัตราเพียงแค่ 4.9 เท่าของปริมาณอัตราการเผาผลาญของร่างกายขณะพักผ่อนเท่านั้น ลดลงจากนักวิ่งมาราธอนอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้นักวิจัยเองยังได้ทำการวิจัยกับเหล่าคนที่เดินทางข้ามแอนตาร์กติกาอีกด้วย โดยเหล่านักเดินทางพวกนี้ตามปกติแล้วจะใช้เวลาราวๆ 95 วัน และใช้พลังงานเพียง 3.5 เท่าของปริมาณอัตราการเผาผลาญของร่างกายขณะพักผ่อน การลดลงของตัวเลขที่ออกมานี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในระยะยาวแล้ว…
-
นักวิทย์สร้างแผ่นห่อของ “SCOBY” ทดแทนพลาสติก ย่อยสลายง่าย กินได้ ช่วยฟื้นฟูดิน
อย่างที่เรารู้กันดีว่าพลาสติกเป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้ยาก ต้องใช้เวลานานหลายร้อยถึงเป็นพันปี แถมยังเป็นมลพิษ สร้างความเดือดร้อนให้ธรรมชาติและสัตว์ทุกชนิดอีกด้วย ส่วนมนุษย์เรานั้นก็กำลังพยายามแก้ไขในสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยการรณรงค์และออกข้อบังคับต่างๆ เพื่อลดการใช้พลาสติก และยังมีการคิดค้นทำ “วัสดุทดแทน” ที่สามารถย่อยสลายได้ง่ายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม วัสดุทดแทนที่จะนำมาใช้เป็นแผ่นห่อของต่างๆ แทนพลาสติกนี้มีชื่อเรียกว่า SCOBY เดิมทีเป็นไอเดียของนักออกแบบชาวโปแลนด์ Roza Janusz ซึ่งเป็นโปรเจกต์จบสมัยเรียนของเธอ ตอนนี้เจ้าไอเดียสุดเก๋ไก๋นั้นถูกนำมาต่อยอดพัฒนาโดย MakeGrowLab ซึ่ง Roza เองก็เป็นผู้ร่วมก่อตั้งด้วย ซึ่งเจ้า SCOBY นี้ทำมาจากขยะที่ได้จากการเกษตรในท้องถิ่น มันไม่เพียงแค่นำไปใช้เป็นแพคเกจของสินค้าต่างๆ เท่านั้น แต่ยังใช้ห่อเก็บอาหารได้ด้วย วัสดุชนิดนี้นั้นไม่ละลายในน้ำ กันน้ำ กันอากาศเข้า แถมยังสามารถพิมพ์ลวดลาย หรือข้อความติดลงไปได้ด้วยนะ มันจึงเหมาะที่จะนำไปใช้ทำแพคเกจของสินค้าได้แทบทุกชนิด . สิ่งที่พิเศษมากๆ ของ SCOBY นั้นก็คือมันย่อยสลายได้ง่ายมากๆ ง่ายพอๆ กับผักเลยทีเดียว แล้วเมื่อเราทิ้งมันลงบนดิน มันยังเป็นปุ๋ยที่ช่วยฟื้นฟูดินได้อีกต่างหาก อ้อ…และเราสามารถกินมันได้ด้วยล่ะ ทางผู้พัฒนานั้นต้องการให้ผู้คนได้ตระหนักถึงมลพิษที่โลกต้องเผชิญอยู่ ลองคิดดูว่าหากสินค้าทุกชิ้นบนโลกใช้ SCOBY เป็นวัสดุทำแพคเกจขึ้นมาจริงๆ พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งคงลดลงไปมหาศาลเลยทีเดียว…
-
นักท่องเที่ยวพากันไปเยือน “เชอร์โนบิล” มากขึ้น หลังเหตุการณ์นั้น ถูกนำไปทำซีรีส์ดัง
ตั้งแต่ที่ช่อง HBO ได้มีการออกฉายซีรีส์สั้นจากเหตุภัยพิบัติที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของยูเครนอย่าง “Chernobyl” ทางบริษัทการท่องเที่ยวของประเทศยูเครน ก็ได้พบว่าพวกเขานั้นมีปริมาณนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่เชอร์โนบิลเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อ้างอิงจากบริษัทการท่องเที่ยว SoloEast ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พื้นที่เชอร์โนบิลนั้น มีปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว แถมยอดการจองทัวร์ตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคมเอง ก็มีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 40% โดยเฉลี่ยอีกด้วย ทั้งนี้พื้นที่เชอร์โนบิลนั้น มีการเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้เป็น “บางส่วน” โดยทางรัฐบาลยูเครนตั้งแต่ช่วงปี 2010 และมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมชมในอัตราที่มากขึ้นอย่างน่าพอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่การที่ช่อง HBO ทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นข่าวดีมากๆ กุญแจสำคัญที่ทำให้พื้นที่เชอร์โนบิลกลายเป็นที่สนใจขึ้นมานั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกัมมันตรังสีเป็นหลัก อย่างไรก็ตามพื้นที่ของเชอร์โนบิลที่มีการเปิดให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสได้เข้าชมนั้นจัดว่าเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณกัมมันตรังสีที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับใจกลางของโรงไฟฟ้าที่แผ่กัมมันตรังสีรุนแรงมากถึง 10,000 เรินต์เกน(หน่วยวัดความแรงของสนามรังสี) ต่อชั่วโมง พื้นที่หลายๆ แห่งของเชอร์โนบิลเริ่มจะมีสัตว์ป่ากลับเข้ามาอยู่แล้ว แต่แม้ว่าทางพื้นที่ที่มีการเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมจะมีความปลอดภัยค่อนข้างต่ำก็ตาม ทางบริษัททั่วเองก็มีการออกมายอมรับว่าพื้นที่เหล่านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีความอันตรายเลยอยู่ดี เพราะแม้แต่ในพื้นที่บางส่วนที่ “ปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยว” เองก็ยังคงมีรายงานการสะสมของกัมมันตรังสีในระดับสูงกว่าปกติอยู่ดี แถมในบางพื้นที่จะมีการสะสมในระดับที่อาจเป็นอันตรายได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองทางบริษัทการท่องเที่ยวจึงได้มีการออกมาเตือนนักท่องเที่ยวในเว็บไซต์ว่า จริงอยู่ที่ว่าในปัจจุบันทางรัฐมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่เชอร์โนบิลอย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็.. “ไม่แนะนำให้นักท่องเที่ยวพักอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน อย่างแน่นอน” …
-
รายงานใหม่ชี้ หากสภาพอากาศโลกยังเป็นแบบนี้ มนุษย์อาจจะถึงจุดล่มสลายในปี 2050
เมื่อเห็นสภาพอากาศของโลกในปัจจุบัน มังคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ หลายคนๆ จะคิดขึ้นมาว่ามนุษย์เราคงอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามคงจะมีไม่กี่คนหรอกที่สามารถระบุได้ว่า “อีกไม่นาน” ที่กล่าวมานี้ ตกลงแล้วมันเมื่อไหร่กัน แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมของออสเตรเลียที่ชื่อ “Breakthrough National Centre for Climate Restoration” ก็ได้มีการออกมาเปิดเผยรายงานชิ้นใหม่ที่บอกว่าหากมนุษย์ยังมีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบนี้อยู่ สังคมมนุษย์อาจจะถึงจุดล่มสลาย ภายในปี “2050” ก็เป็นได้ อ้างอิงจากภายในรายงาน หากมนุษย์ยังคงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอัตราเดียวกับในปัจจุบัน ภายในเวลาเพียงแค่ 30 ปี โลกของเราอาจจะร้อนมากขึ้นถึง 3 องศาเซลเซียส ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบนิเวศ การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้จะส่งผลให้ธารน้ำแข็งทั่วโลกละลายจนเกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำลายป่าอเมซอน หนึ่งในผืนป่าขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่ลดคาร์บอนไดออกไซด์ของโลก และนำไปสู่ภัยความร้อนที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ความร้อนนี้จะทำให้สภาพแวดล้อมกว่า 35% ของพื้นที่โลกทั้งหมดกลายเป็นที่ที่ต้องพบกับภาวะความร้อนที่รุนแรงกว่าที่มนุษย์จะเอาชีวิตรอดได้ ถึงปีละ 20 วัน ซึ่งจะส่งผลกระทบกับมนุษย์ถึงราวๆ 55% ของโลก เท่านั้นยังไม่พอ เพราะพื้นที่บนโลกที่เหรออยู่เองในหลายๆ ที่ก็จะพบกับภัยแล้ง น้ำท่วม และไฟป่ารุนแรง ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้มนุษย์กว่า 1 พันล้านคนขาดแคลนน้ำดื่ม…
-
องค์การสหรัฐฯ ออกเตือน หลังพบวาฬสีเทาตายกว่า 70 ตัว ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
การที่วาฬตายเกยตื้นริมหากนั้น สำหรับหลายๆ คนแล้ว คงเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจเป็นอย่างมาก และเรื่องราวเหล่านี้คงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากที่จะให้เป็นขึ้นเป็นแน่ แต่เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่าตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ต่อให้เรานับแค่ที่ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐและที่แคนาดา พบวาฬสีเทา (Eschrichtius robustus) เกยตื้นริมฝั่งมาแล้วมากกว่า 70 ตัว เรียกได้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วเรามีวาฬเกยตื้นกันทุกๆ 2-3 วันเลย ข้อมูลที่น่าตกใจสุดๆ นี้ ถูกเปิดเผยออกมาเป็นครั้งแรกโดยทางองค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NOAA) และระบุว่านี่เป็นเหตุการณ์การเสียชีวิตที่ผิดปกติ (UME) ซึ่งตามกฎหมายของประเทศ ทางรัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องมีการสนับสนุนเงินในการตามหาสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น อ้างอิงจากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยออกมาวาฬสีเทาที่มีการค้นพบนั้น โดยมากจะมาเกยตื้นในลักษณะที่ผอม และขาดสารอาหาร อันเป็นหลักฐานอย่างดีว่าพวกมันไม่สามารถหากินได้ดีเท่าที่เคยด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ที่นักวิจัยยังตามหากันอยู่ นอกจากนี้ลักษณะการตายของวาฬเอง ยังสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คนมากด้วย เพราะหากวาฬที่ผอมมากๆ ตาย พวกมันจะจมลงไปใต้ทะเลไม่ใช่ลอยมาเกยตื้น ดังนั้นนี่จึงหมายความว่าต้องมีวาฬอีกมากพอสมควรเลย ที่ตายอยู่ในที่ที่ผู้เชี่ยวชาญไม่อาจเข้าไปถึง ทั้งนี้วาฬสีเทา เคยจัดเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ในช่วงปี 1946 ที่พวกมันเหลืออยู่เพียงแค่ราวๆ 2,000 ตัวเท่านั้น จริงอยู่ที่ว่าพวกมันจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงหลายปีหลังจากนั้นจนมีการนำพวกมันออกจากรายชื่อสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ในปี 1994 แต่จากภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ก็คาดการว่าวาฬเหล่านี้อาจจะเหลืออยู่เพียงแค่…
-
งานวิจัยใหม่ชี้ การตัดต่อพันธุกรรมทารกให้ทนต่อเชื้อ HIV อาจทำให้เด็กตายเร็วกว่าที่ควร
เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่องราวของ เทคโนโลยีที่ชื่อ CRISPR หรือ CRISPR-edited กันไหม? นี่คือเทคโนโลยีการตัดต่อและแก้ไขดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา จากการที่มันถูกนำไปใช้ในการดัดแปลงพันธุกรรมที่ถูกมองว่า “ผิดจรรยาบรรณ” อย่างการตัดต่อพันธุกรรมในเด็กที่ประเทศจีน (อ่านข่าวเก่าได้ที่ นักวิทย์เผย เด็กตัดต่อพันธุกรรมรุ่นใหม่ กำลังจะถึงกำหนดคลอดในอีก 6 เดือน) การตัดต่อพันธุกรรมเหล่านี้ เชื่อกันว่าจะทำให้เด็กทารกมีความสามารถทนต่อเชื้อ HIV, โรคฝีดาษ, และอหิวาตกโรคได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามนักวิทยาศาสตร์หลายๆ ฝ่ายก็กลัวกันว่าการดัดแปลงพันธุกรรมในมนุษย์นั้นอาจจะมีผลข้างเคียงที่เลวร้ายซ่อนอยู่ก็เป็นได้ และแล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง ดูเหมือนว่าความกลัวของนักวิทยาศาสตร์ที่กล่าวมาข้างต้นก็อาจจะเป็นจริงขึ้นมาแล้ว เมื่อมีงานวิจัยชิ้นใหม่ที่ออกมาชี้ว่าการตัดต่อพันธุกรรมในเด็กด้วยระบบ CRISPR นั้น อาจส่งผลให้เด็กจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรก็เป็นได้ โดยในงานวิจัยชิ้นนี้ ทีมนักวิจัยได้ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลของประชาชนชาวอังกฤษผู้มีอายุตั้งแต่ 41-78 ปี จำนวน 400,000 คนและพบว่าคนที่มียีน CCR5 ที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือกลายพันธุ์ไป (ซึ่งเกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติในคนกลุ่มเล็กๆ อย่างชาวยิวอัชเคนาซิ) จะมีโอกาสอายุยืนถึง 76 ปี ต่ำกว่าคนทั่วไปถึง 20% นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่งเลยก็ว่าได้ เพราะการปรับแต่งยีนที่เกี่ยวข้องกับเชื้อ…
-
รู้ไว้ก่อนไปสัก 9 บริเวณที่ผู้เชี่ยวชาญการสักแนะนำว่าเจ็บสุดๆ ใจไม่ถึงควรคิดให้ดี
หากใครมีความคิดอยากสักแต่ยังนึกไม่ออกว่าจะสักบริเวณไหนดี หรือว่าอยากสักแต่กลัวเจ็บ เลยอยากรู้ว่าสักบริเวณไหนดี ถึงจะเจ็บน้อยที่สุด วันนี้ #เหมียวเมษา ได้ทำการศึกษาค้นคว้าข้อมูล และรวบรวม 9 บริเวณที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการสักอย่าง Fredrik Glimskär ออกมาแนะนำจากประสบการณ์ตรงว่ามือใหม่ด้านการสักควรจะหลีกเลี่ยงมากที่สุด จะมีบริเวณไหนบ้างก็ไปดูกันได้เลย 1. ซี่โครง เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีไขมัน และกล้ามเนื้อน้อย แต่ก็มีก็มีเส้นประสาทอยู่รอบๆ ด้วย ทำให้เกิดการเจ็บปวดมากขึ้นขณะที่เข็มทิ่มลงไป นอกจากนี้การเคลื่อนไหวของซี่โครงทุกครั้งที่หายใจเข้า และออกก็เป็นสาเหตุของความเจ็บเช่นกัน https://www.instagram.com/p/BrXDRYpBLFw/ 2. ศีรษะ บริเวณศีรษะนั้นไม่มีชั้นไขมัน และยังมีเส้นประสาทมากมายอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นบริเวณที่สามารถได้ยินเสียง และแรงสั่นสะเทือนของเข็มง่ายกว่าปกติ ราวกับว่ามันกำลังจะเจาะกะโหลกเลยล่ะ 3. บริเวณขาอ่อน ตามทฤษฎีแล้วมันไม่ควรเจ็บเพราะมันไม่ได้อยู่ใกล้กับกระดูก และมีไขมันกับกล้ามเนื้อมากมาย แต่ในความจริงแล้วบริเวณนี้กลับเจ็บ เพราะเป็นพื้นที่ที่อ่อนไหวง่าย ไวต่อการสัมผัสนั่นเอง https://www.instagram.com/p/ByNwpKSH_JX/ 4. ด้านในของต้นแขน และข้อศอก บริเวณเหล่านี้เจ็บสุดๆ เพราะมีเส้นประสาทเส้นหลักประมาณ 2 – 3 เส้นอยู่ใกล้ๆ กับศอกและแขนด้านใน ทำให้มีความอ่อนไหวมากกว่าปกติ และทุกๆ…
-
5 ข้อควรรู้ ก่อนกำจัดขนบริเวณจุดซ่อนเร้น คำแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญการแว๊กซ์โดยเฉพาะ
การเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ ครั้งแรกมักจะเป็นเรื่องน่ากลัวเสมอ โดยเฉพาะการแว๊กซ์ขนตรงจุดซ่อนเร้น หรือ Brazilian Wax ที่ช่วยไม่ให้มีขนเล็ดลอดออกมาขณะนุ่งบิกินี่ Brazilian Wax คือการแว๊กซ์ขนบริเวณใกล้เคียงจุดซ่อนเร้น ได้แก่ ด้านข้าง ด้านบน และด้านหลังเลยล่ะ โดยจะเหลือขนไว้หยุมหยิมบริเวณด้านหน้าเพียงนิดเดียวเท่านั้น โดยวันนี้ก็ได้ผู้เชี่ยวชาญด้านการแว๊กซ์ขนอย่าง Melanie Coba มาแนะนำสาวๆ ถึงข้อควรรู้ก่อนจะไปทำ Brazilian Wax หรือไม่ว่าแว๊กซ์อะไรก็ตาม ไปดูกันได้เลย 1. หลีกเลี่ยงการโกน ก่อนการแว๊กซ์นั้นจำเป็นต้องไว้ขนให้ยาวพอประมาณดีกว่าสั้นเกินไป เพื่อความสะดวกสบายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และความยาวก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะสามารถตกแต่งขนทีหลังได้นั่นเอง 2. ควรแว๊กซ์หลังจากช่วงมีประจำเดือน ควรตรวจสอบให้แน่ใจจริงๆ ว่าได้กำหนดเวลานัดไว้หลังการมีประจำเดือน เนื่องจากการแว๊กซ์ก่อนมีประจำเดือน หรือระหว่างการมีประจำเดือนนั้นจะสร้างความเจ็บปวดมากขึ้น 3. สครับผิวก่อนการแว๊กซ์ ควรสครับเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และเส้นขนก่อนทำการแว๊กซ์ เพราะหากผิวและขนแห้งเกินไปนั้นจะทำให้การแว๊กซ์ยากขึ้น ควรหมั่นให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวอยู่เสมอด้วยเช่นกัน สามารถใช้น้ำมันมะพร้าวให้ความชุ่มชื้นได้ เพื่อผลลัพธ์ของการแว๊กซ์ที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่เบาสบาย และไม่อึดอัดด้วย 4. ระวังความเจ็บปวด ในการแว๊กซ์ครั้งแรกแน่นอนว่ามันจะเจ็บอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเจ็บเพียงใดมันก็เจ็บเพียงจี๊ดเดียวต่อการดึงแว๊กซ์หนึ่งครั้ง และพื้นที่ที่เจ็บที่สุดคือบริเวณขาอ่อนนั่นเอง …
-
10 แบรนด์แฟชั่นสุดหรู สินค้าเป็นเอกลักษณ์ ถูกใจเหล่าคนดังมาหลายสิบปี
แบรนด์แฟชั่นหรูๆ นั้นมีมากมายหลายแบรนด์ แต่ละแบรนด์ก็มีราคาสูงลิบลิ่ว แต่ก็ขึ้นชื่อว่าคุ้มกับคุณภาพ และการออกแบบแน่นอน อีกทั้งการเลือกซื้อเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถบ่งบอกสไตล์ของผู้สวมใส่ได้ และบางครั้งก็สามารถบ่งบอกฐานะได้เช่นกัน เช่นเดียวกันกับ 10 แบรนด์เนมที่จะได้รับชมต่อไปนี้ ที่ถือว่าเป็น 10 แบรนด์ราคาแพง และเชื่อว่ามีคนเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์บนโลกนี้เท่านั้นที่จะซื้อได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นที่ยอดนิยมในเหล่าเซเลบมาหลายปีมากๆ เลยล่ะ จะมีอะไรกันบ้างก็เลื่อนลงไปดูกันได้เลย 10. Armani แบรนด์จากประเทศอิตาลีถูกก่อตั้งโดย Giorgio Armani ในปี 1975 ปัจจุบันมีทั้งน้ำหอม เครื่องสำอาง และเครื่องประดับวางจำหน่ายในร้านค้ากว่า 2,000 แห่งทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ย่อยอีกมากมาย เช่น Emporio Armani, Armani Collezioni และ Armani Kids เป็นต้น 9. Versace อีกหนึ่งแบรนด์หรูจากประเทศอิตาลีที่คนดังทั่วโลกชื่นชอบ มันถูกก่อตั้งในปี 1978 โดย Gianni Versace และเหล่าคนดังมากมายอย่ง…
-
เปิดประวัติห้องเสื้อ POEM แบรนด์เสื้อผ้าสุดหรูและคลาสสิก แรงบันดาลใจจากยุค 1950
จากที่มีกระแสฮือฮาจากชุดสีขาวดำจากแบรนด์ Poem ที่ คุณช่อ พรรณิการ์ วานิช ใส่ในระหว่างการประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมานั้น ทำให้หลายคนอาจสงสัยว่าความเป็นมาของแบรนด์นั้นมีที่มาอย่างไร และทำไมถึงได้รับความนิยมจนโฆษกหญิงจากพรรคอนาคตใหม่คนนี้ถึงเลือกนำมาสวมใส่ อ่านข่าวเก่าได้ที่นี่: “ตามไปส่องแฟชันชุดต่างๆ ของ “คุณช่อ” ส.ส. ที่หลายคนกำลังพูดถึงสไตล์การแต่งตัว” บอกได้เลยว่าคุณช่อสวมใส่เสื้อผ้าของแบรนด์ Poem บ่อยมาก และแต่ละชุดก็ให้ลุคคลาสสิก เป็นผู้หญิงวัยทำงานที่นำแฟชั่น เข้ากับสไตล์ของเธอจริงๆ เอาล่ะ ไปดูประวัติของแบรนด์สุดหรูนี้กันดีกว่าว่ามีที่มาอย่างไร Poem หรือ โพเอม เป็นแบรนด์เสื้อผ้าสุดหรูจากประเทศไทยที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2006 โดยคุณฌอน ชวนล ไคสิริ ผู้เป็นทั้งเจ้าของและดีไซเนอร์ https://www.instagram.com/p/Bp4Gsk4gi8z/ คุณฌอนเรียนจบเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมมาก่อน ก่อนที่จะผันตัวมาเป็นดีไซเนอร์ออกแบบเสื้อผ้า บอกได้เลยว่าเขาคลุกคลีอยู่กับแฟชั่นตั้งแต่ยังเด็ก เนื่องจากคุณแม่ของคุณฌอนนั้นเป็นดีไซเนอร์ตัดเย็บเสื้อผ้ามาก่อนเช่นกัน เขาเติบโตมาในห้องตัดเย็บเสื้อผ้า เขาเล่าถึงวัยเด็กว่าเขาได้นั่งทำการบ้านไปด้วย ดูคุณแม่ตัดเย็บเสื้อผ้าไปด้วย คุณแม่จึงเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจสำคัญทำให้เขาได้เป็นดีไซเนอร์นั่นเอง นอกจากนี้เขายังได้รับอิทธิพลด้านเสื้อผ้าจากฝั่งยุโรป โดยเฉพาะทางประเทศฝรั่งเศสจากคุณแม่ของเขาด้วยเช่นกัน จึงทำให้เกิดแบรนด์ Poem ขึ้นมา…
-
ตามไปส่องแฟชันชุดต่างๆ ของ “คุณช่อ” ส.ส. ที่หลายคนกำลังพูดถึงสไตล์การแต่งตัว
เรียกว่าจะไม่พูดถึงก็คงไม่ได้แล้ว สำหรับคุณช่อ พรรณิการ์ วานิช โฆษกและหนึ่งในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคอนาคตใหม่ ที่เปิดตัวมาทีไรเธอมักจะมาพร้อมชุดสวยๆ ให้เป็นที่ฮือฮาได้ทุกครั้ง และชุดที่เธอมักจะสวมใส่ออกงานเป็นทางการบ่อยๆ ก็คือชุดสวยๆ ของแบรนด์ Poem (โพเอม) จากประเทศไทยเรานี่เอง ซึ่งคุณช่อก็ใส่ออกมาได้เข้ากับเธอสุดๆ ซึ่งลุคที่เธอใส่จากแบรนด์ Poem ที่จะนำมาให้ชมกันวันนี้นั้นมีถึง 4 ลุคด้วยกัน ตามไปดูได้เลย เผื่อใครจะพลาดชุดสวยๆ ชุดไหนไปบ้าง 1. คอลเลกชั่น Black & White ombre เสื้อสูทไล่ระดับจากสีขาวไปสีดำทรง double breasted ในชื่อ “Charon” Le smoking คู่กับกางเกงยีนส์กึ่งขาบานสีดำ ชื่อ “Nadja” กับเพื่อนๆ สส. จากพรรคอนาคตใหม่ คุณครูจุ๊ย กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ (ซ้าย) คุณกอล์ฟ ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ (กลาง) และคุณช่อ (ขวา)…
-
21 รายการที่ต้องทำ สำหรับสาวๆ ในวัย 21 ปี รีบลงมือทำก่อนที่จะสายเกินไป
ช่วงอายุ 21 ปีถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจากวัยรุ่นตอนต้นสู่วัยรุ่นตอนปลาย เป็นช่วงที่ใกล้เรียนจบ หลายคนยังสับสน งุนงงไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อดี เอาล่ะ อย่าพึ่งคิดมากไปเลย ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ ให้เวลาตัวเองสักหน่อยลองทำทั้ง 21 สิ่งเหล่านี้ดูก่อน บางทีก็อาจค้นพบตัวเองว่าชอบอะไรมากขึ้นก็ได้นะ ไปดูทั้ง 21 อย่างที่ควรทำในวัย 21 ปีกันเลย 1. มีเพื่อนที่ดี การมีเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษาเวลาที่เราต้องการ หรือคอยสนับสนุนเราในทุกๆ ด้านนั้นเป็นสิ่งที่ดีเลยล่ะ หาเพื่อนดีๆ ให้เจอนะ จะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป 2. สร้างเกมในปาร์ตี้ สร้างรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะให้กับทุกคนจากเกมที่เราคิดค้นขึ้น อาจหาไอเดียดีๆ จากยูทูบก็ได้ แค่คิดก็สนุกแล้ว 3. ตะโกนร้องเพลงโดยไม่สนใจว่าเสียงจะดีหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นขณะอาบน้ำ หรือไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อนก็ตาม เพราะการได้แหกปากร้องเพลงมันเป็นช่วงเวลาที่ได้ปลดปล่อยตัวเองอย่างแท้จริง 4. หัวเราะบ่อยๆ หยุดเครียดจากปัญหาตรงหน้าก่อน แล้วหาอะไรที่ชอบทำ หรือซีรี่ส์สนุกๆ ดี หัวเราะให้กับมันแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง 5. ตัดคนไม่ดีออกไปจากชีวิต หยุดใช้เวลากับคนที่ทำให้คุณรู้สึกแย่กับตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองได้รับอิทธิพลจากคนเหล่านั้น เพราะมันเสียเวลา และพลังงานชีวิตสุดๆ…
-
รู้จักความหมายศัพท์แฟชั่นย้อนยุค “เรโทร” vs “วินเทจ” เก่าเหมือนกัน แต่ใช้ต่างอย่างไร?!
เพื่อนๆ คงคุ้นชินกับคำว่า ‘วินเทจ’ กันมาแล้ว ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกเทรนด์แฟชั่นย้อนยุค หรือสินค้ามือสองสวยๆ ที่มีกลิ่นอายความเก่าแก่ มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ หรือทางจิตใจ แต่หากพูดถึงคำว่า ‘เรโทร’ ล่ะ พอจะคุ้นหูกันบ้างหรือเปล่า? แล้วสงสัยไหมว่าสองคำนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร? เอาล่ะ ถึงแม้สองคำนี้จะดูคล้ายคลึงกัน แต่มันก็มีความแตกต่างอยู่เหมือนกันนะ ลองไปดูถึงรายละเอียดให้ดีกันดีกว่า ว่าความแตกต่างนั้นคือตรงไหน วินเทจ (Vintage) มาจากคำว่า Vendage ของภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ‘องุ่นที่ถูกเก็บเกี่ยวตามฤดูกาล’ ก่อนจะกลายมาเป็นชื่อเรียกแฟชั่นในช่วงประมาณยุค 1920s ถึง 1980s ส่วนความหมายของคำว่า Vintage นั้นหมายถึง ‘การบ่มไวน์’ ซึ่งพอนำมาใช้กับเทรนด์แฟชั่นก็หมายถึงเสื้อผ้าที่ยิ่งเก่าก็ยิ่งดูดี มีสไตล์ และมีราคา เสื้อผ้าวินเทจสะท้อนสไตล์ที่เป็นที่นิยมในช่วงเวลาเหล่านั้น โดยคำว่าวินเทจยังสามารถใช้อ้างถึงรูปแบบ สไตล์ อายุของเสื้อผ้า หรือวัตถุเก่าๆ ต่างๆ ได้ เช่น นาฬิกา โคมไฟ เครื่องประดับ หรือรถยนต์ เป็นต้น โดยสิ่งของต่างๆ จะถูกเรียกว่าวินเทจก็ต่อเมื่อมีอายุเป็นเวลานานราว 20…
-
ข้อผิดพลาดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ที่หญิงและชายเคยทำ แต่กลับไม่สื่อสารกันให้เข้าใจ??!
การไม่สื่อสารให้เข้าใจตรงกัน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามมักจะเป็นต้นเหตุของปัญหาต่างๆ ตามมา และหนึ่งในสิ่งที่เป็นเรื่องเขินอาย ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดให้อีกฝ่ายรับรู้ก็คือ ‘เรื่องเซ็กส์’ นั่นเอง ยิ่งในสังคมไทยยิ่งแล้วใหญ่ ผู้หญิงก็ไม่กล้าเอ่ยปากบอกผู้ชายถึงความต้องการของตัวเอง หรือข้อผิดพลาดที่ผู้ชายทำ ทางฝั่งผู้ชายเองก็ไม่ยอมบอกเช่นกันว่าต้องการอะไร แต่หากสื่อสารกันมากขึ้น เซ็กส์จะง่ายและสนุกมากขึ้นสำหรับทุกคนแน่นอน แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถพูดได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ สื่อต่างประเทศจึงทำแบบสำรวจขึ้นมาถามผู้ชาย และผู้หญิงกว่า 2,000 คนว่าอะไรคือ ‘ข้อผิดพลาด” ที่คู่รักของพวกเขาเคยทำระหว่างมีเซ็กส์ และคำตอบก็อยู่ที่นี่แล้ว… ความคิดของผู้ชายถึงข้อผิดพลาดของผู้หญิงขณะมีเซ็กส์ – ผู้หญิงล้มเหลวในการเริ่มต้นมีเพศสัมพันธ์ – ผู้หญิงต้องการปิดไฟขณะมีเพศสัมพันธ์ – ผู้หญิงแกล้งถึงจุดสุดยอด – ผู้หญิงพูดมากเกินไป – ผู้หญิงไม่ชอบลองอะไรใหม่ๆ – ผู้หญิงชอบพูดถึงแฟนเก่าถึงประสบการณ์บนเตียง – ผู้หญิงชอบคิดมาก – ผู้หญิงขี้อายเกินไป – ผู้หญิงเชื่อว่าผู้ชายต้องการเซ็กส์อยู่เสมอ – ผู้หญิงกังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์มากเกินไป ความคิดของผู้หญิงถึงข้อผิดพลาดของผู้ชายขณะมีเซ็กส์ – ผู้ชายมักข้ามขั้นตอนการเล้าโลม และสนใจแต่การสอดใส่อย่างเดียว – ผู้ชายสำเร็จความใคร่ก่อน –…
-
เทรนด์สีนีออนกำลังมา ส่องเหล่าเซเลบแต่งตาสีนีออนสุดจัดจ้าน รอดไม่รอดคะ??
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการแต่งหน้าสีนีออนเป็นเทรนด์ความงามที่กำลังมา เหมือนได้ย้อนกลับไปในยุคเรโทรเก๋ๆ ไม่เพียงแต่ด้านความงามเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเสื้อผ้า หน้าผม และสีเล็บอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเหล่าคนดังมากมายกำลังตามเทรนด์นี้ ทั้งดารา นางแบบต่างแต่งแต้มสีสันบนใบหน้า โดยเฉพาะรอบดวงตากันอย่างสนุกเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นสีเขียว สีส้ม สีแดง หรือสีฟ้า เคล็ดลับของการแต่งหน้าสีนีออนก็คือ อย่าให้อะไรเด่นไปกว่าตาสีนีออนให้ได้ ทาปากสีนู้ดก็ยิ่งเข้ากัน แต่หากใครรู้สึกว่าธรรมดาไปโลกไม่จำ ทาสีปากสีสดๆ ประชันกับสีตาก็เริ่ดไปอีกแบบ! อ่านอย่างเดียวคงจินตนาการไม่เห็นภาพแน่เลย ถึงเวลาต้องไปดูภาพของเหล่าเซเลบทั้งหลายละล่ะ ว่าลุคของพวกเธอจะเป็นอย่างไร ♥ สีเขียวนีออน เขียวทั้งตัวเลยจ่ะแม่ สุดยอด ดึงความสนใจไปไว้ที่ดวงตาคู่สวยที่เดียว . สีเขียวท้าแดดไปเลยยยย เป็นคู่สีหวานเย็นที่เตะตาไปอีกแบบ ♥ สีส้มนีออน โทนสีพีชแบบละมุนๆ แต่งเข้มๆ ทั้งตาก็ยังไม่โป๊ะเลย สีตากับสีปากมาในโทนเดียวกันก็จะออกมาเป๊ะแบบนี้จ้า ♥ สีแดงนีออน ตาเฉี่ยวๆ คมๆ ก็ต้องสีนี้แล้วล่ะ . เป็นสาวหวานๆ…
-
อัปเดตเทรนด์แฟชั่นสาวๆ ฝั่งยุโรป กางเกงเอวสูง เสื้อเบลเซอร์ กระเป๋าสานกำลังมาแรง!!
แฟชั่นสไตล์วินเทจ ย้อนยุค ก็ยังเป็นอะไรที่ครองใจสาวๆ ได้อยู่ ไม่มีตกเทรนด์ เพราะนอกจากจะสวมใส่ง่าย สามารถนำเสื้อผ้าคุณแม่ คุณป้า คุณน้า คุณอา คุณยาย มาดัดแปลงเพิ่มลูกเล่นใหม่ๆ ได้อยู่เสมอ ซึ่งทางอินสตาแกรมอย่าง @frenchgirldaily ก็เป็นอีกหนึ่งอินสตาแกรมที่ได้รวบรวมแฟชั่นสไตล์สวยๆ แต่งตามได้ชิลๆ ในทุกสถานการณ์ของสาวๆ ทางโซนยุโรป ไอเทมยอดฮิต ได้แก่ กางเกงยีนส์เอวสูง ชุดเดรสพลิ้วๆ ลายดอก รองเท้าบู้ท กระเป๋าสาน เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะคุมโทนมาในสีขาว ดำ น้ำตาล หากสดใสหน่อยก็จะเป็นโทนสีแดง บอกได้เลยว่าสาวไทยแต่งตามได้ไม่ยากแน่นอน อย่ารอช้าเลยน้า ไปอัปเดตเทรนด์แฟชั่นฝั่งยุโรปกันซะหน่อยดีกว่า วันสบายชิลๆ ใส่ไปเดินเที่ยวในสวน จิบชาเบาๆ อยู่ริมระเบียง ไปปั่นจักรยานจ่ายตลาด . . . เซ็กซี่นิดๆ หรือสวัสดีวันอาทิตย์แบบนี้ก็ได้ ต่อมาเปลี่ยนลุคด้วยชุดเดรสสวยๆ .…
-
10 เครื่องสำอางคุณภาพดี คุ้มค่า คุ้มราคา ควรค่าแก่การซื้อ เมื่อไปเยือนถึงถิ่นญี่ปุ่น
เครื่องสำอางจากประเทศญี่ปุ่นมีหลายตัวที่ขึ้นชื่อทั้งเรื่องคุณภาพ คุ้มค่าคุ้มราคา เรียกได้ว่าหากสาวๆ ได้ไปประเทศญี่ปุ่นแล้วการหาซื้อเครื่องสำอางนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่ควรทำเลยล่ะ อย่างไรก็ตาม หากใครไม่รู้ว่าจะซื้อเครื่องสำอางอะไร และแบบไหนดีแล้วล่ะก็ แสดงว่ามาถูกทางแล้ว เพราะวันนี้ ที่นี่ ได้รวบรวม 10 เครื่องสำอางที่ควรซื้อเมื่อไปเยือนถึงถิ่นแดนปลาดิบ มีทั้งรองพื้น คอนซีลเลอร์ บลัชออน และที่เขียนคิ้ว ราคาสบายกระเป๋าอีกด้วย ไปรับชมกันเลยค่าาา 1. La Roche-Posay UVIDEA XL Protection BB รองพื้นที่เป็นได้ทั้งไพรเมอร์ และครีมกันแดด เพิ่มความชุ่มชื้น ให้การปกปิดเป็นธรรมชาติ และมีส่วนผสมที่อ่อนโยนต่อผิว ราคา 3,672 เยน (ราว 1,100 บาท) 2. IPSA Relaxed Day Foundation รองพื้นที่มีส่วนผสมที่เป็นมิตรต่อผิวหน้า ป้องกันไม่ให้ผิวหยาบกร้าน นอกจากให้ความชุ่มชื้นแล้วยังกันแดดได้อีกด้วย ในราคา 4,320 เยน (ราว 1,250 บาท) 3.…
-
ตามรอย BAO BAO ISSEY MIYAKE กระเป๋าทรงโมเดิร์น หลากหลายมิติ จากญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีความโดดเด่นหลายอย่าง และหนึ่งในนั้นก็เห็นจะเป็นเรื่องแฟชั่น เห็นได้จากมีแบรนด์หลายแบรนด์ที่ได้รับความนิยมจนถึงระดับโลกเลยทีเดียว หนึ่งในนั้นก็คือแบรนด์ BAO BAO จาก ISSEY MIYAKE กระเป๋าถือลวดลายสะดุดตา ด้วยรูปสามเหลี่ยมมีมิติ หลากหลายสีสัน และหลากหลายรูปแบบนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากอะไรกันนะ? Hikaru Matsumura เป็นผู้ออกแบบกระเป๋าชนิดนี้ โดยนำรูปแบบที่สถาปนิก Frank Ghery ผู้ออกแบบพิพิธภัณฑ์ Guggenheim ในเมือง Bilbao ประเทศสเปน มาเป็นแรงบันดาลใจ ย้อนกลับไปในปี 20000 กระเป๋าเปิดตัวภายใต้ชื่อว่า BIL BAO ของแบรนด์ PLEATS PLEASE ISSEY MIYAKE เป็นแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ด้านความพริ้วไหว ยืดหยุ่นได้ กระเป๋าถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นตามคอนเซปต์ของแบรนด์ จนมันมีกระแสตอบรับดีมากจากผู้บริโภค ทำให้ในปี 2010 จึงแยกตัวออกมาสร้างแบรนด์เอง ภายใต้ชื่อ BAO BAO ISSEY MIYAKE มันถูกสร้างโดยวัสดุโพลีเมอร์ แม้จะแข็งแต่ก็ให้ความยืดหยุ่น…
-
แนะนำน้ำหอม 10 กลิ่น 10 แบรนด์ที่น่าลอง คัดสรรมาเพื่อสาวๆ โดยเฉพาะ!
การฉีดน้ำหอมกลิ่นที่ชอบ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กลิ่นกายของตัวเองได้ อีกทั้งยังช่วยลดความเครียด สร้างสภาพแวดล้อมหอมๆ ให้ผู้คนรายล้อมรอบตัว หากสาวๆ คนไหนยังเลือกหาน้ำหอมอยู่ล่ะก็ คุณมาถูกทางแล้ว! เพราะน้ำหอมที่จะมาแนะนำวันนี้นั้นมีมาให้เลือกสรรกว่า 10 ตัวเลยทีเดียว เป็น 10 ตัวที่สื่อต่างประเทศได้จัดอันดับไว้ว่ามีกลิ่นที่หอมโดนใจสุดๆ ตามไปรับชมได้เลยน้าาาา 1. Gucci Bloom Acqua Di Fiori Eau de Toilette กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้สด เหมือนช่อดอกไม้สีขาว ให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็แฝงไปด้วยความเย้ายวน ราคาราว 5,000 บาท 2. Glossier You Eau de Parfum ให้กลิ่นสะอาด หอมจริง หอมนาน แฝงไปด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคย และอ่อนโยน ราคาราว 2,000 บาท 3. Marc Jacobs Decadence Eau So Decadent…
-
7 เคล็ดลับความงาม จาก 7 บิ้วตี้บล็อกเกอร์ต่างชาติ คำแนะนำดีๆ เพื่อผิวสวยหน้าใส
สื่อต่างประเทศอย่าง Bustle ได้นำบิวตี้บล็อกเกอร์แต่ละคนที่มีความรู้ด้านการแต่งหน้า และผิวพรรณ มาแบ่งปันเคล็ดลับความงามไว้ให้สาวๆ ได้นำไปเลือกใช้ บิวตี้บล็อกเกอร์ทั้ง 7 คนนั้นต่างก็มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน แต่คำแนะนำของแต่ละคนนั้นช่างใกล้เคียงกันสุดๆ หากทำตามทริคเหล่านี้ เชื่อว่าผิวสุขภาพดี และความสวยนั้นคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน ไปอ่านกันได้เลย 1. Amanda Jo @organicbunny “เคล็ดลับความสวยก็คืออาหารการกินค่ะ มันคือทุกอย่างจริงๆ ฉันเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อความสมดุล และความสวยงามจากภายนอกสู่ภายใน” 2. Anna Yu @maskaddict “ผลิตภัณฑ์ที่แพงที่สุดก็ไม่ช่วยอะไรถ้าคุณยังเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือกินอาหารไม่มีประโยชน์ มันจะส่งผลต่อผิวภายนอกของคุณอย่างแน่นอน” “ฉันเลยชอบจัดการความเครียดด้วยการนั่งสมาธิเป็นประจำ ทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกาย รวมถึงซักปลอกหมอน และแปรงแต่งหน้าเป็นประจำด้วย!” 3. Anthea Persaud @wing.it.beauty “ในวันที่กำลังเร่งรีบกับการเดินทาง การใช้บีบีครีมผสมกับรองพื้น และผสมกับผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้น เนื้อครีมจะช่วยปกปิด และทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ” 4. Ari Fitz @itsarifitz “อย่ากลัวการผิดพลาด และอย่ากลัวการลงมือทำ!…
-
สาวๆ ควรรู้ 11 ข้อที่ไม่ควรทำในวันนั้นของเดือน สร้างความปลอดภัยให้จุดซ่อนเร้น
การเป็นประจำเดือนเป็นสิ่งที่สาวๆ นั้นต้องเจอตลอดทุกเดือน เดือนละ 3 – 7 วันเฉลี่ยกันไปแล้วแต่บุคคล บอกได้เลยว่าอาการก่อนมีประจำเดือน และระหว่างมีประจำเดือนนั้นเป็นอะไรที่อธิบายยากสุดๆ ไหนจะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ทำให้อารมณ์ไม่คงที่ อยากอาหารมากกว่าปกติ เป็นต้น นอกจากนั้นเรายังต้องรับมือกับความสะอาดส่วนที่บอบบางของร่างกายเป็นพิเศษด้วย เพราะช่วงวันนั้นของเดือนจะทำให้ช่องคลอดอ่อนแอเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเรานั้นต่างแตกต่างกัน บางคนอาจมีความอ่อนไหวกับประจำเดือนมากก็ได้ หรือน้อยก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ทั้ง 11 ข้อที่ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่าไม่ควรทำระหว่างมีประจำเดือนนั้นจะช่วยให้สาวๆ รู้สึกดีขึ้น หลีกเลี่ยงอาการปวดต่างๆ ในช่วงเป็นประจำเดือนได้ จะมีอะไรบ้างก็ไปดูกันได้เลยจ้า 1. ไม่ควรทานอาหารเค็ม Dr. Angela Jones นรีแพทย์กล่าวว่าอาหารเค็ม เช่น เฟรนช์ฟรายส์ จะยิ่งทำให้อาการประจำเดือนแย่ลง และสามารถทำให้เป็นตะคริวได้ด้วยเช่นกัน 2. ไม่ควรแว๊กซ์กำจัดขน Dr. Jaime Knopman นรีแพทย์อีกท่านหนึ่งแนะนำว่า การทำบิกินี่แว๊กซ์ขณะมีประจำเดือนจะยิ่งทำให้เกิดปัญหาได้ถึงสองเท่า เพราะผิวหนังบริเวณน้องสาวจะไวต่อการเจ็บปวดเป็นพิเศษ และอาจเสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรีย 3. ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การมีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือนไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก Dr.…
-
เปิดเรื่องราว 10 ความจริงสุดน่าทึ่งเกี่ยวกับ “สงครามเย็น” ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
สงครามเย็นนั้นเป็นสงครามที่แปลก เพราะมันเป็นสงครามที่ไม่มีเวลาเริ่มที่ชัดเจน แถมการต่อสู้และการแข่งขันกันระหว่างสองยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ และโซเวียตเอง ในหลายๆ ครั้งก็มักจะเป็นการต่อสู้กันทางข้อมูลและสปาย ทำให้คนธรรมดาแทบจะไม่ทราบเลยว่าในสงครามครั้งนี้ ในเบื้องหลังแล้วมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ด้วยเหตุนี้เองมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่สงครามเย็นจะมีเรื่องราวที่ที่เราอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนเป็นจำนวนมาก เหมือนดังเช่นความจริงแปลกๆ เกี่ยวกับสงครามเย็นทั้ง 10 ข้อต่อไปนี้ 1. ในหลายๆ ครั้งทาง KGB จะสามารถบอกได้ว่าพาสปอร์ตโซเวียตอันไหนเป็นของปลอมได้ โดยดูเพียงแค่ลวดเย็บกระดาษเท่านั้น พาสปอร์ตของโซเวียตจะใช้โลหะคุณภาพต่ำมาก ทำให้มันสึกกร่อนและขึ้นสนิมอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ของปลอมที่ให้โดยสปายมักจะทำจากโลหะคุณภาพสูง 2. ในจุดจุดหนึ่งของสงคราม สหรัฐฯ เคยมีแผนจะทิ้งถุงยางไซส์ใหญ่พิเศษที่เขียนบนห่อไว้ว่า “ขนาดกลาง” ในโซเวียต นี่เป็นแผนการที่ออกแบบมาเพื่อตัดกำลังใจศัตรูโดยหลอกให้พวกเขาคิดว่า ชาวอเมริกันนั้น “ใหญ่มาก” 3. ในปี 1975 ทาง CIA เคยพยายามโกนหนวดฟิเดล กัสโตร เพื่อทำลายภาพลักษณ์ของเขา 4. โซเวียต และสหรัฐฯ เกือบจะได้ร่วมมือกันพัฒนาระบบอวกาศแล้ว เรื่องของเรื่องคือในปี 1963 ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดีเคยส่งคำเชิญให้โซเวียตและสหรัฐฯ ร่วมมือกันพัฒนาระบบอวกาศมาก่อน และนีกีตา ครุชชอฟผู้นำโซเวียตก็สนใจที่จะตอบรับคำเชิญนี้ด้วย…
-
ย้อนวัย 11 เทรนด์แฟชั่นฮิปฮอป ยุค 90s ใครทันอันไหน ชอบใส่อะไรกันบ้างนะ???
ฮิปฮอปในยุคสมัยนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เรียกได้ว่าฮอตฮิตเต็มบ้านเต็มเมือง ซึ่งไม่ใช่แค่แนวเพลงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงแฟชั่นฮิปฮอปด้วย แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงแฟชั่นฮิปฮอป หลายคนอาจจะนึกถึงเสื้อยืดตัวใหญ่ๆ กางเกงยีนส์ตัวหลวม รองเท้าผ้าใบ โซ่สวมคอ เป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้นในยุค 90s ก็มีแฟชั่นฮิปฮอปอีกหลายอย่างที่ยังได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน อย่างเช่น 11 อย่างที่จะได้รับชมในวันนี้ ขอบอกเลยว่าแต่ละอันสายฮิปฮอปต้องหามาไว้ละล่ะ 1. หมวกแบรนด์ Kangol ได้รับความนิยมมาจาก LL Cool J ในช่วงยุค 80 และกลายเป็นความทรงจำของวัฒนธรรมฮิปฮอปในช่วง 1990s ด้วยเช่นกัน 2. รองเท้าบู้ท Timberland เป็นปัจจัยสำคัญของสไตล์ฮิปฮอปที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งโดยปกติแล้วรองเท้าคู่นี้มีความแข็งแรง ทนทาน ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่ากรรมกร และในหมู่พ่อค้ายา จนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในที่สุด 3. เสื้อยืดสีขาวขนาดใหญ่ เป็นที่ทราบกันว่าแฟชั่นฮิปฮอปชอบสวมใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ ซึ่งเหตุผลก็คือเด็กๆ หลายคนที่เติบโตในวัฒนธรรมฮิปฮอป ย่านที่มาของฮิปฮอปนั้นจะได้รับเสื้อผ้าบริจาคมือสอง หรือใช้ต่อของพี่น้อง ไม่สามารถเลือกไซส์ได้ เป็นต้น 4. ยีนส์ ถึงแม้ยีนส์ดูเป็นแฟชั่นยอดนิยมในปัจจุบัน แต่ความจริงแล้วสมัยก่อนนั้นมันเป็นที่ยอดฮิตในวัฒนธรรมย่อย…
-
5 เหมียวสุดเจ๋งจากประวัติศาสตร์ของโลก ที่มีเรื่องราวให้เล่ามากกว่าแค่นอนเฉยๆ ให้บูชา
เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าแมวนั้น เป็นสัตว์ที่มากความสามารถขนาดไหน พวกมันทั้งมี 9 ชีวิต สามารถรอดชีวิตจากการตกจากที่สูงได้ แถมยังมีความสามารถที่จะนอนอยู่เฉยๆ แล้วมีทาสมาบูชาอีก แต่ก็เช่นเดียวกับที่มนุษย์เรามีคนที่สร้างผลงานได้ดีกว่าคนอื่น ในบรรดาแมวเองเราก็มีเจ้าเหมียวที่โด่งดัง หรือเก่งกาจสร้างผลงานไว้เหนือกว่าแมวธรรมดาเช่นกัน เหมือนกับเจ้าเหมียวสุดเจ๋งทั้ง 5 ตัวต่อไปนี้ เริ่มกันจากเจ้า Trim แห่ง เรือ HMS Reliance เจ้า Trim เป็นแมวที่เกิดมาบนเรือ HMS Reliance ในปี 1799 และใช้ชีวิตอยู่บนเรือในฐานะแมวล่าหนูไม่ต่างจากแมวที่เลี้ยงบนเรือส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามเจ้าชีวิตของเจ้า Trim นั้นมีเรื่องให้เล่ามากกว่าแมวธรรมดาเยอะ นั่นเพราะเจ้า Trim นั้นมีประวัติเคยตกลงไปในทะเลจากอุบัติเหตุ แต่กลับสามารถว่ายกลับขึ้นมาบนเรือได้ด้วยตัวเอง โดยการไต่เชือกข้างๆ เรือโดยที่ไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากลูกเรือเลย เท่านั้นยังไม่พอ ในปี 1803 เจ้าแมวตัวนี้ยังสามารถเอาตัวรอดจากเหตุเรือล่มอีกต่างหาก เรียกได้ว่าเป็นแมวที่มีความสามารถในการเอาตัวรอดแบบสุดๆ ก็ไม่ผิด Emily ผู้ข้ามแอตแลนติก Emily เดิมทีแล้วเป็นแมวที่ชอบไปซ่อนในที่ที่ไม่ควรเท่าไหร่ ดังนั้นวันหนึ่งมันจึงไปซ่อนในกล่องที่เตรียมไว้ให้เรือขนส่ง และถูกส่งข้ามประเทศจากรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกาไปยังฝรั่งเศสในปี 2005 โดยที่ต้องอาศัยอยู่บนเรือถึง…
-
4 เทรนด์แฟชั่นมาแรงแห่งปี 2019 จะลุคไหน งานไหน เอาไปประยุกต์ใช้ก็เกิดสุดๆ
2019 ก็ผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้ว หากใครยังตามเทรนด์แฟชั่นไม่ทันก็ยังไม่สาย มาอัปเดตกันซะหน่อยว่าแฟชั่นแบบไหนที่จะมาในอีก 6 เดือนที่เหลือ เว็บไซต์ต่างประเทศได้วิเคราะห์แนวโน้มแฟชั่นในปี 2019 นี้ จากการแสดงแฟชั่นโชว์ของเหล่าแบรนด์ดังระดับโลกต่างๆ เช่น Burberry, Acne Studios, Gucci และอื่นๆ อีกมากมาย โดยสไตล์ที่ติดอันดับนั้นก็มีถึง 4 แบบด้วยกัน ได้แก่ ชุดสูท, ชุดลายเสือดาว, ชุดสีนีออน และชุดสีนู้ด เชิญรับชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ด้านล่างเลย 1. ชุดสูท ปี 2019 ถือเป็นปีที่เผยให้เห็นว่าผู้หญิงก็ใส่สูทได้ เพื่อแสดงออกถึงพลังของความเป็นเพศหญิงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบบสองชิ้นพอดีตัว หรือขนาดใหญ่ๆ หน่อยก็มีสไตล์ไปอีกแบบ หรือจะนำเสื้อเบลเซอร์ตัวเก่งมาแมทช์ก็เป็นความคิดที่ดีนะสาวๆ สามารถใส่ออกงานก็เรียบร้อยและเป็นทางการ จะใส่ไปทำงานก็ดูไม่หนักจนเกินไป ซึ่งแบรนด์ที่เปิดตัวแฟชั่นชุดสูทเด่นๆ ในปีนี้ก็ได้แก่ Acne Studios และ Burberry เป็นต้น เป็นการเปิดตัวที่คลาสสิกและมีดีไซน์สุดๆ บอกได้เลยว่าลุคผู้หญิงใส่สูทจะเห็นได้บ่อยมากขึ้นอย่างแน่นอน . 2. ชุดลายเสือดาว ลบคำครหาเดิมๆ ว่ามันไร้รสนิยมไปได้เลย บอกเลยว่าปีนี้เกิดแน่นอน เพราะแบรนด์ชื่อดังอย่าง…
-
เปิดประวัติ Uniqlo แบรนด์เสื้อผ้าจากญี่ปุ่น ที่ครองใจคนทั่วโลกมากว่า 70 ปี
Uniqlo หรือ ยูนิโคล่ เป็นแบรนด์เสื้อผ้าจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีประวัติยาวนานมากว่า 70 ปีแล้ว ด้วยสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ ผสมสานความญี่ปุ่นเข้ากับเสื้อผ้า ทำให้ขณะนี้ทางแบรนด์ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง หากจะเล่าถึงประวัติของ Uniqlo นั้น คงต้องย้อนกลับไปในปี 1949 ที่เมืองอูเบะ จังหวัดยามากูชิ ประเทศญี่ปุ่น พ่อของคุณ Tadashi Yanai เป็นช่างตัดเสื้อสูท และได้เปิดร้าน Ogori Shōji ขึ้น หลังจากเรียบจบ Tadashi ก็ได้เข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัว เขาได้นำประสบการณ์มาเปลี่ยนแปลงร้าน ไปศึกษาดูงานที่ต่างประเทศ จนเปลี่ยนแนวจากชุดสูทเป็นแบบ Life Wear หรือชุดลำลองนั่นเอง Tadashi Yanai ผู้สร้าง Uniqlo จนในปี 1984 ก็เกิดร้านเสื้อผ้าชื่อว่า Unique Clothing Warehouse ขึ้น ภายใต้บริษัท Ogori Shoji ที่จังหวัดฮิโรชิม่า ร้านเสื้อผ้าได้รับความนิยมอย่างมาก และในที่สุดชื่อร้านก็ถูกเปลี่ยนเป็น Uniqlo ซึ่งเป็นการรวมคำของคำว่า…
-
งานวิจัยชี้ ตลอด 65 ปีที่ผ่านมา “ก็อดซิลล่า” มีวิวัฒนาการเร็วกว่าสัตว์ทั่วไปถึง 30 เท่า
เชื่อว่าในปัจจุบันคงจะมีเพื่อนๆ หลายคนไม่น้อยแล้วที่มีโอกาสได้ไปชมภาพยนตร์สัตว์ประหลาดยักษ์อย่าง “ก็อดซิลล่า” กัน ดังนั้นคงมีแฟนๆ ตัวยงของเจ้าราชันแห่งมอนสเตอร์หลายคนไม่น้อยเลยที่สังเกตว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น เจ้าก็อดซิลล่ามีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มีการทำภาพยนตร์ภาคใหม่ออกมาเลย ว่าแต่ เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่า หากเอาก็อดซิลล่าไปเทียบกับสัตว์ชนิดอื่นๆ บนโลกแล้ว เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้มันมีการวิวัฒนาการที่เร็วขนาดไหนกัน นั่นเพราะเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักนิเวศวิทยาและวิวัฒนาการจากวิทยาลัยดาร์ตมัธ ในสหรัฐฯ ได้มีการออกมาเปิดเผยงานวิจัยสุดแปลกในวารสาร Science ด้วยการบอกว่า ก็อดซิลล่านั้น มีการวิวัฒนาการที่รวดเร็วกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ บนโลกถึง 30 เท่าเลย อ้างอิงจากในงานวิจัย ตอนที่ก็อดซิลล่าออกฉายครั้งแรกในปี 1954 สัตว์ประหลาดตัวนี้ถูกระบุส่วนสูงไว้ที่ 50 เมตร ซึ่งแม้ว่าจะนับว่าค่อนข้างสูงมากอยู่แล้ว แต่หลังจากที่มีการสร้างก็อดซิลล่าภาคใหม่ๆ ออกมาส่วนสูงของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนในปี 2019 มันก็มีส่วนสูงมากถึง 120 เมตร เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวภายในเวลาเพียง 65 ปี ทีมนักวิจัยบอกว่า นี่นับว่าเป็นการเติบโตที่ก้าวกระโดดเป็นอย่างมากเมื่อเราเอาอัตราการเติบโตนี้ไปเทียบกับไดโนเสาร์จำพวกเซราโทซอรัส และสัตว์ชนิดอื่นอีกกว่า 2,500 ชนิดที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน…
-
งานวิจัยใหม่บอก เราอาจพบสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารได้ ด้วยการมองหาหินรูป “เส้นหมี่ขาว”
เมื่อพูดถึงสิ่งมีชีวิตนอกโลก เชื่อว่าคงมีหลายคนไม่น้อยที่นึกถึงซีโนมอร์ฟตัวดำน่ากลัว หรือไม่ก็พรีเดเตอร์ออกมาเป็นสิ่งแรกๆ ด้วยอิทธิพลจากสื่อต่างๆ ในปัจจุบัน ว่าแต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่าสำหรับเหล่าผู้เชี่ยวชาญแล้ว เมื่อพูดถึงสิ่งมีชีวิตนอกโลกพวกเขาจะนึกถึงอะไรกัน นั่นเพราะอ้างอิงจากการวิจัยใหม่ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางนาซา ดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกเราควรจะมองหากันมากที่สุดเมื่อตามหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกอย่างเช่นบนดาวอังคาร แท้จริงแล้วจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายซีโนมอร์ฟ หรือ E.T. ด้วยซ้ำ แต่เป็นเส้นสีขาวๆ คล้าย “พาสต้า” หรือ “หมี่ขาว” ต่างหาก เส้นสีขาวคล้ายพาสต้าที่อาจช่วยพวกเราในการตามหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก โดยนี่เป็นข้อสันนิษฐานที่เกิดขึ้นโดยทีมนักวิจัยที่นำทีมโดยคุณ Bruce Fouke นักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ผู้ซึ่งได้พาลูกทีมไปศึกษาลักษณะของแบคทีเรียในชั้นหินที่บ่อน้ำพุร้อนแมมมอธ ในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ที่นั่น พวกเขาได้พบว่าในชั้นหินเก่าแก่ของบ่อน้ำพุร้อนที่มีความเป็นกรด แถมยังมีอุณหภูมิสูงเฉลี่ยถึง 56-72 องศานั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่สามารถอาศัยอยู่ได้ แถมยังมีปริมาณมากถึง 98% ของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กทั้งหมดในน้ำเลยด้วย สิ่งมีชีวิตที่ว่านั้นคือ “Sulfurihydrogenibium yellowstonense” หรือ “Sulfuri” สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เชื่อกันว่ามีการวัฒนาการมาตั้งแต่เมื่อ 2,500 ล้านปีก่อน ยุคที่โลกของเรายังแทบไม่มีออกซิเจน และมีลักษณะคล้ายดาวอังคารในอดีตเป็นอย่างมาก Sulfurihydrogenibium yellowstonense ไม่เพียงแต่เอาชีวิตรอดในสภาวะที่เลวร้ายได้เท่านั้น แต่มันยังวิวัฒนาการมาจากสภาพแวดล้อมที่คล้ายกับดาวอังคารในอดีตอีกด้วย เรื่องที่น่าสนใจของ…
-
นาซาเผยภาพจักรวาลเมื่อมองด้วยระบบเอกซเรย์ มุมมองใหม่จากกล้องจับภาพดาวนิวตรอน
ตั้งแต่ที่เทคโนโลยีทางอวกาศของมนุษย์เริ่มมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มนุษย์เราก็มีโอกาสที่จะได้เห็นภาพของท้องฟ้าในมุมมองที่ทั้งกว้างใหญ่ และแปลกใหม่ขึ้นเรื่อยๆ แถมการพัฒนาเหล่านั้นก็ดุเหมือนจะไม่หยุดลงในเร็วๆ นี้เลยด้วย และแล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง ทางองค์กรชื่อดังอย่างนาซา ก็ได้ออกมาเปิดเผยมุมมองใหม่ๆ ของท้องฟ้าให้พวกเรามีโอกาสได้เห็นกันอีกครั้ง โดยในครั้งนี้พวกเราจะได้มองท้องฟ้ากันด้วยมุมมองแบบเดียวกับซูเปอร์แมนเลยนั่นเอง เพราะนี่คือภาพถ่าย ท้องฟ้าชิ้นใหม่ล่าสุดที่ถูกเปิดเผยออกมาโดยองค์กรนาซา ซึ่งถูกถ่ายเอาไว้โดยกล้องส่องดูดาวตัวพิเศษที่มีชื่อว่า Neutron Star Interior Composition Explorer หรือ NICER กล้องที่จะจับภาพของดวงดาวนิวตรอนออกมาด้วยระบบจับแสง “เอกซเรย์” ความไวสูง โดยเจ้าภาพที่เหมือนกับดอกไม้ไฟยามราตรีจำนวนมากนี้ แท้จริงแล้วเป็นภาพรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานสูงที่ถูกปล่อยออกมาจากสถานที่สำคัญในจักรวาลหลายๆ จุดไม่ว่าจะเป็น พัลซาร์ (ดาวนิวตรอนที่หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูง) หลุมดำ หรือร่องรอยของซูเปอร์โนวา ภาพเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นภาพสำคัญที่นักดาราศาสตร์จะใช้ในการศึกษาเรื่องราวของอวกาศต่อไปในอนาคตเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวอย่างที่ดีที่ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์เรายังมีเรื่องราวที่ยังไม่ทราบอีกมากมายจริงๆ ทั้งนี้ทางนาซ่ายังได้มีการออกมาเปิดเผยอีกว่าภาพของกล้อง NICER จะมีความชัดเจนขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาการทำงานของมัน และภาพที่มีการเปิดเผยออกมานี้ก็เป็นเพียงแค่ผลการทำงาน 22 เดือนแรกของกล้อง NICER ก็เท่านั้นด้วย กล้อง Neutron Star Interior Composition Explorer ที่ใช้จับภาพในครั้งนี้ …
-
วันนี้มีคำตอบ… เหตุผลว่าทำไม ‘อุลตราแมน’ ต้องปล่อยลำแสงท่านั้น นับตั้งแต่โบราณกาล
ใครไม่รู้จัก “อุลตราแมน” บ้าง ขอให้ยกมือขึ้น!! ฮั่นแน่ ไม่มีใครยกเลยเนาะ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะมันถือได้ว่าเป็นทีวีซีรีส์จากแดนปลาดิบที่โด่งดังเป็นอย่างมากตั้งแต่ในอดีต และอย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่าตัวเอกของเรื่องนั้นจะมี “ท่าปล่อยลำแสง” อันเป็นเอกลักษณ์ ชนิดที่ว่าเห็นทีเดียวแล้วไม่อาจลืมได้เลยจริงๆ กับการเอาแขนมาไขว้กันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ + แบบนี้… ปิ้วๆๆๆๆๆ แล้วเราเคยสงสัยมั้ยว่าทำไมถึงต้องเป็นท่านี้ ทำไม อุลตราแมน ไม่ตีลังกาสามตลบแล้วค่อยจบด้วยท่าหกคะเมนเต้นลีลาศปล่อยลำแสงอะไรแบบนั้นแทน?? นั่นจึงทำให้เราเข้าสู่ช่วง “วันนี้มีคำตอบ” เมื่อผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่ชื่อว่า ShoPPeR ได้นำเรื่องนี้มาพูดถึง หลังจากที่เขาได้ไปเจอกับรายการของประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยถึงวิธีการปล่อยลำแสงของ อุลตราแมน ในสมัยยุคเริ่มแรก การทำลำแสงปิ้วๆๆๆ อย่างที่เราเห็นกัน เขาได้หยิบยกเรื่องที่ว่า หนึ่งในเหตุผลสำคัญว่าทำไม อุลตราแมน ถึงต้องปล่อยลำแสงในท่านั้นก็เพื่อ “ล็อคแขน” ของตัวแสดงเอาไว้ ทำให้สามารถทำ “กราฟิกลำแสง” ได้ สมัยก่อนนั้นหลายๆ อย่างไม่ได้เอื้ออำนวยให้ทำกราฟิกได้ง่ายเหมือนอย่างในปัจจุบัน คนทำต้องใช้มือวาดเอาเองทั้งหมดและซ้อนภาพเข้าไปซ้ำกันหลายๆ ครั้ง ทำให้มันดูเหมือนว่าขยับได้ เขายังอธิบายพร้อมคลิปประกอบว่า ไอ้ภาพลำแสงที่เห็นกันวิเดียวนั้นต้องใช้ภาพวาดลำแสงซ้อนทับกันมากถึง 24 แผ่นเลยทีเดียว…
-
11 สาเหตุที่อาจเป็นตัวการ สร้างความมันให้ผิวหน้า ต้นเหตุของปัญหาสิว
ผิวมันเป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวหนังที่สร้างความกวนใจให้กับสาวๆ ใช่มั้ยล่ะ? เพราะมันส่งผลทำให้เกิดสิวต่างๆ พอเกิดสิว ก็เกิดรอยสิว จนบางครั้งก็ทำให้ขาดความมั่นใจไปเลย การที่ต้องเจอกับปัญหาผิวมันทุกๆ วันนั้น สาวๆ พอจะรู้หรือไม่ว่าสาเหตุมันมาจากอะไร? หากทราบสาเหตุแล้วแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดก็อาจช่วยทำให้ผิวมันลดลงได้นะ โดย Dr. Rita Linker แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังได้อธิบายไว้ว่าปกติแล้วผิวมันนั้นเกิดจากการที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบให้ต่อมน้ำมันผลิตน้ำมันเยอะไปนั้น สามารถแบ่งได้ถึง 11 สาเหตุด้วยกันไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง 1. พันธุกรรม Dr. Yoram Harth ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของ MDacne กล่าวว่าผิวก็เหมือนกันกับส่วนอื่นๆ ในร่างกาย ที่สามารถเกิดจากลักษณะทางพันธุกรรมของผู้ให้กำเนิด เพราะหากพ่อหรือแม่ของคุณมีผิวมัน ก็มีแนวโน้มว่าคุณจะมีผิวมันด้วยเช่นกัน 2. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ฮอร์โมนที่มีส่วนทำให้เกิดผิวมันคือฮอร์โมนเอนโดรเจนของเพศชาย ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีได้ทั้งในหญิงและชาย ยิ่งเพศหญิงมีฮอร์โมนเอนโดรเจนมาก ก็ยิ่งมีน้ำมันในผิวหนังมากขึ้น วัยรุ่นยังเป็นวัยที่พบฮอร์โมนชนิดนี้มากที่สุด แต่จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น 3. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว ที่ผู้คนมักจะใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นมากเป็นพิเศษเพื่อป้องกันผิวแห้ง ซึ่งหากผลิตภัณฑ์นั้นไม่เข้ากับผู้ใช้ ก็อาจส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป เพราะฉะนั้นต้องดูดีๆ นะว่าผิวหน้าแต่ละคนเหมาะกับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวแบบไหน …
-
Boy Beat Make up การแต่งหน้าธรรมชาติ ผสมผสานระหว่างชาย-หญิง แต่งตามง่ายสุดๆ
Boy Beat Makeup หรือการแต่งหน้าแบบ Boy Beat อ่านผ่านๆ อาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นลุคที่ถูกซ้อมโดยผู้ชาย?!! ช้าก่อน อย่าพึ่งเข้าใจผิดนะ Boy Beat เป็นอีกสไตล์การแต่งหน้าที่คล้าย make up no make up หรือการแต่งหน้าที่เหมือนไม่ได้แต่งนั่นแหละ แต่ใช้ผลิตภัณฑ์น้อยกว่า และมีเทคนิคน้อยกว่าอีกด้วย ลุคนี้ได้รับความนิยมมากจากแม่ Beyoncé ที่ได้แต่งหน้าสไตล์นี้ในมิวสิกวิดีโอเพลง Formation ของเธอเมื่อปี 2016 ซึ่งช่างแต่งหน้าให้เธอก็คือ Sir John ผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งหน้านั่นเอง Beyoncé ในลุค Boy Beat Sir John เป็นค้นคิดสไตล์นี้ขึ้นมาเองว่า Boy Beat โดยเขาได้ให้คำนิยามสำหรับมันว่าเป็นการแต่งหน้าที่ผสมผสานกันระหว่างความเป็นหญิง และความเป็นชายทางธรรมชาติอย่างลงตัว คุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของลุคนี้คือการแต่งหน้าโทนธรรมชาติให้เข้ากับสีผิวของคุณ และเผยถึงความเป็นตัวเองออกมา เทคนิคแต่งหน้าแนวนี้ยังเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นฝึกแต่งหน้า หรือผู้ที่ไม่ชอบการแต่งหน้าหนักๆ นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดเวลา เหมาะกับวันสบายๆ แต่ไม่เรียบง่ายเกินไปนัก ซึ่งเทคนิคในการแต่งหน้าแบบ Boy…
-
ฟอสซิลปลาอายุ 50 ล้านปีที่ญี่ปุ่นชี้ ปลามีการว่ายน้ำเป็นฝูงมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว
ที่ภายในของพิพิธภัณฑ์มิซุตะในประเทศญี่ปุ่น พวกเขายังมีฟอสซิลโบราณอยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 48-53 ล้านปี และเป็นของปลาตัวน้อยๆ 259 ตัวที่กำลังว่ายน้ำกันอยู่เป็นฝูง ไม่ต่างอะไรกับปลาหลายๆ ชนิดในปัจจุบัน ฟอสซิลที่ว่านี้ เดิมทีแล้วแม้จะมีความเก่าแก่สูงแต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงสำคัญอะไรมากนัก จนกระทั่งทีมนักวิทยาศาสตร์จากรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกาได้ไปเห็นเข้า และพบว่าฟอสซิลชิ้นนี้ จริงๆ แล้วมีความสำคัญต่อนักบรรพชีวินเป็นอย่างมากเลย นั่นเพราะฟอสซิลชิ้นนี้ แท้จริงแล้วเป็นหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่เราเคยพบซึ่งแสดงให้เห็นการว่ายน้ำเป็นกลุ่มของปลาตัวเล็กๆ ในอดีตเลยนั่นเอง อ้างอิงจากการตรวจสอบปลาบนฟอสซิลภายใต้ความร่วมมือกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ และทางพิพิธภัณฑ์ พวกเขาก็พบว่าฟอสซิลชิ้นนี้ แท้จริงแล้วน่าจะมีต้นกำเนิดจากที่ “Green River Formation” ชั้นธรณีในโคโลราโด และเป็นของปลาสายพันธุ์ Erismatopterus levatus ปลาเหล่านี้นั้น เชื่อกันว่ากลายเป็นฟอสซิลหลังจากที่ทรายใต้น้ำพัดกลบพวกมันในอดีต ซึ่งอ้างอิงจากเหล่านักวิจัยแล้ว มีร่องรอยที่ชัดเจนมากว่าปลาเหล่านี้ว่ายน้ำเป็นกลุ่มมาตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะยืนยันว่าปลาเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งจะมารวมกลุ่มกันโดยบังเอิญหลังจากกลายเป็นฟอสซิล เหล่านักวิทยาศาสตร์จึงตัดสินใจใช้คอมพิวเตอร์จำลองความเป็นไปได้ อันหลากหลายที่อาจทำให้ปลาเหล่านี้ เข้ามาติดในฟอสซิลได้ตามตำแหน่งที่พวกเขาพบ โดยในการจำลองดังกล่าวนี้เอง นักวิจัยก็ได้พบว่าปลาเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ว่ายน้ำเป็นกลุ่มแบบที่พวกเขาคิดจริงๆ เท่านั้น แต่มันยังมีรูปแบบการว่ายน้ำที่มีแบบแผน และเป็นแบบเดียวกับที่พบได้ในปลาหลายๆ ชนิดในปัจจุบัน เพื่อข่มขู่นักล่าอื่นๆ ด้วย การค้นพบในครั้งนี้อาจจะเป็นอะไรที่ฟังดูเล็กน้อย แต่มันก็ชี้ให้เห็นเรื่องที่สำคัญๆ อยู่หลายอย่าง เช่นการที่ปลาโบราณมีการว่ายน้ำแบบนี้เป็นหลักฐานอย่างดีว่าปลาเหล่านี้มีการวิวัฒนาการการเอาตัวรอดเป็นกลุ่มมาเป็นเวลานานแล้ว…
-
“Saybie” ทารกที่ตัวเล็กที่สุดในโลก ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว หลังสู้ชีวิตมากว่า 5 เดือน
เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่องราวของหนูน้อยที่ชื่อ “Saybie” กันไหม เธอคือเด็กที่ได้ชื่อว่าตัวเล็กที่สดในโลก ที่สามารถเอาชีวิตรอดจากการทำคลอด และออกจากโรงพยาบาลมาได้ ทั้งๆ ที่เธอนั้นมีน้ำหนักตัวแรกเกิดเพียงแค่ 245 กรัมเท่านั้น ซึ่งนับว่าตัวเบากว่าแอปเปิลลูกใหญ่ๆ เสียอีก โดย Saybie เป็นเด็กผู้หญิงที่เกิดมาในเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2018 ในภาวะคลอดก่อนกำหนด ด้วยอายุครรภ์เพียง 5 เดือน หรือหากจะให้ชี้ชัดๆ ก็ 23 สัปดาห์กับอีก 3 วันเท่านั้น ด้วยความที่คลอดก่อนกำหนดนานมากนี้เอง Saybie จึงมีน้ำหนักตัวแรกเกิดที่ต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ และแน่นอนว่าโอกาสรอดของเธอเองก็น้อยมากๆ จนแพทย์ถึงกับเคยบอกให้พ่อแม้ของเด็กทำใจ เพราะลูกของพวกเขาอาจมีชีวิตอยู่ได้แค่ 1 ชั่วโมง แต่แทนที่จะยอมแพ้กับชะตากรรมของตัวเอง Saybie กลับต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ ทำให้จากเวลาหนึ่งชั่วโมง มันยืดยาวเป็น 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง เรื่อยไปจนเป็นวัน เป็นสัปดาห์ อ้างอิงจากทางโรงพยาบาล…
-
7 ความเชื่อ “อีหยังวะ” ของการเป็น “ไบเซ็กชวล” ที่คนมักจะเข้าใจพวกเขาแบบผิดๆ
บนโลกเรานั้นมีเพศที่หลากหลายไม่เพียงแค่ชายแท้-หญิงแท้เท่านั้น และ 1 ในรสนิยมทางเพศที่หลากหลายนั้น มีกลุ่มคนที่รักชอบได้ทั้งผู้หญิงละผู้ชายเรียกว่า ไบเซ็กชวล แม้จะพอรู้ว่าคืออะไร แต่หลายๆ คนเองก็ยังคงมีความเชื่อแปลกๆ ที่ไม่เป็นความจริงเกี่ยวกับคนเพศนี้อยู่ เรามาลองดูไปพร้อมๆ กันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง และเราเข้าใจพวกเขาผิดอยู่หรือเปล่า? 1. คนเป็นไบ เป็นพวกชอบนอกใจ หลายคนมีความเชื่อว่า คนที่เป็นไบเซ็กชวลนั้นเป็นคนโลเล เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้เลยเหมา 2 และมักหลงรักคนนู้นคนนี้ไปทั่ว ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นข้อมูลที่ไม่มีงานวิจัยใดรองรับ ดังนั้นการเป็นไบเซ็กชวลนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับการนอกใจเลย มันขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อย่างนิสัย ทัศนคติ และอื่นๆ เหมือนที่ชาย-หญิงแท้เองก็มีคนชอบนอกใจนั่นแหละ 2. คนเป็นไบ ชอบวู้ฮู้แบบ 3 คน เป็นข้อที่คนที่เป็นไบบ่นกันมากเป็นอันดับต้นๆ เลย เพราะเวลาเป็นแอปหาคู่เดต ผู้คนมักจะคาดหวังว่า คนที่ระบุว่าตัวเองเป็นไบนั้นชอบร่วมเพศแบบหลายๆ คน คือไบเซ็กชวลบางคนก็อาจจะมีรสนิยมแนวนั้น แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะ 3. คนเป็นไบ คือมีความชอบเพศตรงข้าม-เพศเดียวกันแบบครึ่งๆ คนเป็นไบหลายๆ คนมักจะเจอคำถามว่า “เป็นเพศแท้กี่เปอร์เซ็นต์? แล้วเป็นเกย์กี่เปอร์เซ็นต์?” ซึ่งความจริงแล้วไบนั้นมีทั้งคนที่ชอบทั้ง 2 แต่ชอบเพศใดเพศหนึ่งเป็นพิเศษ…
-
ทีมแพทย์จีนเผย พบไวรัสชนิดใหม่ทางเหนือของประเทศ เชื่ออาจมีเห็บเป็นพาหะ
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา วารสารทางการแพทย์ New England Journal of Medicine ได้ออกมานำเสนอการค้นพบไวรัสตัวใหม่ที่กำลังระบาดในประชาชนชาวจีนในปัจจุบัน และมีพาหะเป็นเห็บ เจ้าไวรัสตัวใหม่นี้ ในปัจจุบันถูกเรียกกันด้วยชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่าไวรัส “Alongshan” และมีรายงานว่าผู้ติดไวรัสจะมีอาการตั้งแต่ ไข้สูง ปวดหัว เหนื่อยล้า คลื่นไส้ ผื่นขึ้นตัว และในบางกรณีก็อาจรุนแรงถึงขั้นโคม่าได้เลย อ้างอิงจากรายงาน ไวรัสตัวนี้ถูกค้นพบในเดือน เมษายน ค.ศ. 2017 และมีคนไข้คนแรกเป็นชาวนาวัย 42 ปี ผู้อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน โดยในเวลานั้นชายคนดังกล่าวเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลจากอาการปวดหัว และเป็นผื่น ไม่นานหลังจากที่เขาโดนเห็บกัด ลักษณะอาการเช่นนี้ทำให้ทีมแพทย์เชื่อว่าชายคนดังกล่าวเป็นโรคไข้สมองอักเสบจากเห็บ (Tick-borne encephalitis) อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาตรวจคนไข้ดูจริงๆ แพทย์กลับไม่พบร่องรอยของโรคไข้สมองอักเสบจากเห็บเลย แถมกลับกันทีมแพทย์ยังพบกับไวรัสตัวใหม่ที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อนด้วย ไวรัส Alongshan เท่านั้นยังไม่พอเพราะหลังจากที่ทีมแพทย์พบไวรัสตัวใหม่นี้ พวกเขาก็พบอีกว่าจากคนไข้ 374 รายที่มารักษาตัวในโรงพยาบาลจากอาการใกล้เคียงกันในช่วงเวลา 5 เดือนต่อมา มีคนไข้ถึง…
-
11 ลวดลายการสักยอดนิยม คำแนะนำดีๆ จากช่างสักมากประสบการณ์ชาวอเมริกัน
สำหรับผู้ที่สนใจการสัก อาจจะเลือกไม่ถูกหรือคิดไม่ตกว่าจะสักลวดลายอะไรดี แบบไหนก็ดูสวยไปทุกลายเลย แต่ปัญหาอาจหมดไปหากอ่านบทความนี้ ที่ได้ Kelly Kapowski ช่างสักสาวที่มีประสบการณ์มากว่า 5 ปี จากเมืองแชเปิลฮิลล์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกามาให้คำแนะนำ ทริคลวดลายการสักทั้ง 11 ข้อนั้นเก็บเกี่ยวจากประสบการณ์ของเธอล้วนๆ ไปอ่านก่อนตัดสินใจสักกันได้เลยฮะ… 1. ภูมิประเทศเกี่ยวกับธรรมชาติ หลายคนที่มาสักกับ Kelly นั้นได้รับแรงบันดาลใจจากภูมิทัศน์ สิ่งแวดล้อมต่างๆ บริเวณที่พวกเขาอาศัยอยู่ อย่างเช่นต้นไม้ ภูเขา หรือคลื่นทะเล เป็นต้น 2. แมลงต่างๆ การสักลายแมลงนั้นสามารถเลือกได้หลากหลายรูปแบบน และเป็นอีกหนึ่งสไตล์ที่ได้รับความนิยม เช่นเดียวกันกับช่างสักสาว Kelly ที่เธอมีผึ้ง ผีเสื้อ และหิ่งห้อยประดับร่างกาย 3. สัญลักษณ์โรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาใช้บริการและสักลายเหล่านี้กับ Kelly นั้นจะเลือกเป็นพวกสัญลักษณ์ชมรม หรือโลโก้ต่างๆ ที่พวกเขารู้สึกภาคภูมิใจ 4. ดอกไม้ ลวดลายคลาสสิกตลอดกาลก็ยังคงเป็นดอกไม้ โดยเฉพาะสำหรับสาวๆ ที่สามารถออกแบบได้เอง ไม่ว่าจะเป็นแบบเรียบง่าย…
-
“เปิดประวัติ FREITAG” กระเป๋ารักษ์โลกจากสวิตฯ สร้างเอกลักษณ์ด้วยวัสดุรีไซเคิลทุกชิ้น
กระเป๋ายี่ห้อ Freitag (ไฟร-ทาร์ก แปลว่า วันศุกร์) มาจากนามสกุลของสองพี่น้องนักออกแบบ นั่นคือ Markus Freitag และ Daniel Freitag ผู้คิดค้นกระเป๋ายอดฮิตนี้ขึ้น ย้อนกลับไปในปี 1993 ขณะที่กำลังศึกษาอยู่ในนครซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พวกเขาได้มองหากระเป๋าอเนกประสงค์ที่กันน้ำ ทนทาน และสะดวกขณะปั่นจักรยาน เพื่อเก็บผลงานศิลปะของพวกเขา หลังจากที่หากระเป๋าที่ถูกใจในท้องตลาดไม่ได้ สองพี่น้องจึงเปลี่ยนอพาร์ทเมนต์ของตนเอง เป็นโรงงานผลิตกระเป๋าขนาดย่อม หลังจากได้แรงบันดาลใจจากผ้าใบของรถบรรทุกที่เห็นสัญจรไปมาทุกวัน โรงงานผลิตกระเป๋าแห่งแรกในอพาร์ทเมนต์ของทั้งคู่ กระเป๋าใบแรกที่พวกเขาสร้างขึ้นนั้น มีวัสดุหลักคือผ้าใบกันน้ำมือสองจากรถบรรทุก ยางในของรถจักรยานที่ไม่ใช่แล้ว และเข็มขัดนิรภัยจากรถยนต์ เมื่อพวกเขานำไปใช้ ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของเพื่อนๆ ได้รับความนิยมจนเป็นกระแสให้พวกเขาผลิตเพิ่ม ทั้งคู่จึงใช้นามสกุลของตัวเองเป็นชื่อยี่ห้อซะเลย กระเป๋าต้นแบบใบแรกที่สองพี่น้องจัดทำในปี 1993 ความโดดเด่นของกระเป๋ายี่ห้อนี้นั่นคือแต่ละใบใช้วัสดุรีไซเคิลล้วนๆ และผ้าใบของบรถบรรทุกก็ทำให้เกิดลวดลายที่แตกต่างกัน ทำให้แต่ละใบมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน ตามคอนเซ็ปต์ each one recycled, each one unique ต่อมาจึงพัฒนาเป็นกระเป๋าใส่ของแบบสะพายข้าง สะดวกต่อการพกพาในรุ่น F13…
-
ColourPop เปิดตัวบลัชออน และไฮไลท์เนื้อครีมแบบแท่ง โทนสีสดใสกว่า 26 สี ละมุนสุดๆ!
ColourPop คือแบรนด์เครื่องสำอางจากเมืองลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ที่มีจุดเด่นที่ราคาเข้าถึงได้ ให้ความสดใส ถูกใจวัยรุ่นหลายประเทศทั่วโลก ล่าสุดพวกเขาเตรียมเปิดตัวบลัชออนเนื้อครีม และไฮไลท์แบบแท่ง รวมทั้งหมดกว่า 26 สีด้วยกัน! https://www.instagram.com/p/ByDd2GlnNQN/?utm_source=ig_embed บอกได้เลยว่านอกจากจะมีน้ำหนักเบา ง่ายต่อการใช้และการพกพาแล้ว โทนสีที่มีจะวางขายนั้นยังสวยสุดๆ สามารถใช้ได้กับทุกสีผิว และทุกสถานการณ์เลยด้วย ซึ่งบลัชออนแบบแท่งที่ออกใหม่นั้นมีทั้งหมด 18 สีด้วยกัน และไฮไลท์ให้ความเปล่งประกายอีก 8 สี ทั้งคู่เป็นแบบเนื้อครีม เกลี่ยง่าย ให้ความเป็นธรรมชาติ สะดวกต่อนักแต่งหน้ามือใหม่ทั้งหลายไม่ต้องกลัวโป๊ะ นอกจากนี้ยังให้ความชุ่มชื้นด้วยวิตามิน E อีกด้วย ราคานั้นก็สบายกระเป๋า ไม่แพงเลยล่ะ ตกราคาชิ้นละ 8 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 260 บาท) เท่านั้นเอง นอกจากนี้ยังสามารถซื้อเป็นเซ็ตได้ในราคาเซ็ตละ 22 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 700 บาท) ด้วยนะ หนึ่งเซ็ตประกอบไปด้วย 3 ชิ้น ได้แก่ บลัชออน…
-
รวมภาพเจ้าแม่แฟชั่น “โฟร์ ศกลรัตน์” สาวตัวเล็กพริกขี้หนู เธอเอาอยู่ทุกชุด!
โฟร์ ศกลรัตน์ วรอุไร นักร้อง นักแสดง พิธีกร เจ้าของธุรกิจอดีตนักร้องวงโฟร์-มด และกามิกาเซ่ แห่งค่าย RS วัย 32 ปีคนนี้ มีเซนส์ทางแฟชั่นที่ดีสุดๆ เธอแต่งชุดไหนก็น่ามองไปซะทุกชุด https://www.instagram.com/p/Bwez3VOns4F/ ไม่ว่าจะเป็นสาวหวาน สาวเท่ หรือเจ้าหญิง เธอก็เอายู่ ล่าสุดเธอยังเพิ่มความเปรี้ยว ด้วยการย้อมสีปลายผมให้เป็นสีน้ำเงินสุดเท่ แต่ละลุคของสาวโฟร์จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไปรับชมความชิคกันได้เลย… ลุคเจ้าหญิงจัสมินใน The Grounds of Alexandria ที่ประเทศออสเตรเลีย ถูตะเกียงเบาๆ ชุดกลิตเตอร์ประกายสีม่วงตัดกับสีผมได้เด่นมาก ชุดสวยๆ ผมเริ่ดๆ ที่อ่าวแอนนา ประเทศออสเตรเลีย ในโหมดเจ้าหญิงสุดหวาน ย้อนยุคหน่อยๆ หรือจะดำทั้งตัวตัดด้วยแว่นตาเฉี่ยวๆ สีแดงก็ได้ สตรีทแฟชั่นจัดเต็มที่ฮ่องกง . เที่ยวญี่ปุ่นทั้งทีจะให้เบาๆ ได้ไง กระเป๋า…
-
เพิ่มลูกเล่นชุดสีดำด้วย “รองเท้าส้นสูงสีขาว” คำแนะนำดีๆ จาก บก. Vogue และ Victoria Beckham
Victoria Beckham เจ้าแม่แฟชั่นในวัย 45 ปี เป็นคนที่จะหยิบจับอะไรมาใส่ก็ดูสวยเริ่ดไปซะหมด ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ เธอก็ถูกจับภาพได้ขณะอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสด้วยชุดสีดำทั้งตัว ดูๆ ไปก็เหมือนจะธรรมดาแต่กลับดูชิคขึ้นมาเพราะรองเท้าที่เธอสวมใส่ คุณแม่ลูกสี่มาในชุดสบายๆ ด้วยเสื้อแจ็คเก็ตจาก Chanel กางเกงเลกกิ้งจากแบรนด์ของเธอเอง แว่นตาจาก Celine และรองเท้าสีขาวส้นเข็มสุดเปรี้ยว ซึ่งก็ดันประจวบเหมาะกับคำแนะนำที่ Anna Wintour บรรณาธิการแห่งนิตยสาร Vogue และเพื่อนซี้ของเจ๊วิก เคยกล่าวว่า หากอยากเพิ่มลูกเล่นกับการใส่ชุดสีดำทั้งตัว ควรใส่ “รองเท้าส้นสูงสีขาว” แหม สองเพื่อนซี้กูรูด้านแฟชั่นแนะนำตรงกันขนาดนี้ก็ต้องเชื่อแล้วล่ะว่ารองเท้าส้นสูงสีขาวต่างๆ นั้นเอาอยู่จริงๆ Anna Wintour และ Victoria Beckham ไปรับชมกันเลยดีกว่า ว่ารองเท้าส้นสูงสีขาวแบบไหนบ้าง ที่เหมาะสำหรับใส่เพื่อปรับลุคให้กับชุดสีดำทึบๆ ธรรมดาๆ ให้โดดเด่นขึ้นมาสะดุดตาเก๋ๆ… รองเท้าจาก Topshop ราคา 80 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2,500 บาท) รองเท้าจาก…
-
เปิดประวัติ “Converse รุ่น Jack Purcell” ที่ออกแบบโดยนักกีฬาแบดมินตันชื่อดังแห่งแคนาดา
หากพูดถึงรองเท้าผ้าใบที่ใส่ได้ทุกสถานการณ์ เชื่อว่า Converse คงเป็นหนึ่งในยี่ห้อที่ใครหลายๆ คนนึกถึง และรุ่น Jack Purcell ที่มี “ยิ้ม” ก็เป็นรุ่นยอดฮิตด้วยเช่นกัน แต่จะมีใครพอทราบมาก่อนหรือไม่ว่าแต่เดิมนั้น รองเท้ารุ่นนี้เป็นรุ่นที่ใช้สำหรับการเล่นกีฬาอย่าง “แบดมินตัน” นะ วันนี้เลยอยากมาแนะนำประวัติรองเท้ารุ่น Jack Purcell ให้เพื่อนๆ ทราบกันดีกว่าว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และทำไมถึงยังเป็นรุ่นยอดฮิตได้จนถึงปัจจุบัน Jack Purcell รุ่นแรกๆ ในปี 1970 ต้องบอกก่อนว่ารองเท้า Converse รุ่นยอดคลาสสิกตลอดการอย่าง Jack Purcell นั้นมีมานานกว่า 84 ปีแล้ว เพราะถูกผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 1935 โดยผู้คิดค้นรองเท้ารุ่นนี้มีชื่อว่า John Edward Jack Purcell นักแบดมินตันชื่อดังแห่งประเทศแคนาดา ผู้ชนะการแข่งขันแบดมินตันระดับโลกในปี 1933 การเป็นนักแบดมินตันสร้างชื่อเสียงให้กับเขาเป็นอย่างมาก จนเขาได้มีโอกาสออกแบบรองเท้าเพื่อกีฬาแบดมินตันซึ่งก็คือรุ่น Jack Purcell นั่นเองให้กับบริษัทผลิตยางรถยนต์ B.F Goodrich…
-
เคล็ดลับ “การซักกางเกงยีนส์” ที่ถูกต้อง คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านยีนส์โดยเฉพาะ
ถือเป็นประเด็นถกเถียงกันมานาน ว่าการซักกางเกงยีนส์ที่ถูกต้องนั้นควรเป็นอย่างไร บ้างก็ว่าใส่ไปแล้วครั้งหรือสองครั้งก็ควรซัก บ้างก็ว่าไม่ควรซักเลย ซึ่งทางเว็บไซต์ต่างประเทศถึงขั้นทดลองในห้องแล็บ ถึงวิธีการซักกางเกงยีนส์ที่เหมาะสมจนได้คำแนะนำว่า ‘ควรซักกางเกงยีนส์หลังจากสวมใส่ทุก 3 – 4 ครั้ง’ เพื่อให้กางเกงมีสีสด สะอาด และเหมือนใหม่ให้นานที่สุด นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำเพิ่มเติมถึงวิธีการซัก การอบแห้ง การตาก และเคล็ดลับอื่นๆ ที่เหล่าคนชอบยีนส์ และเดนิมควรรู้เพื่อรักษาเสื้อผ้าให้สวยอยู่เสมอ ไปดูได้เลยฮะ… วิธีทำความสะอาดยีนส์ 1.ไม่ว่าจะยีนส์เก่าหรือยีนส์ใหม่ก็ควรกลับด้านผ้ายีนส์ก่อนใส่ในเครื่องซักผ้า เพราะมันจะช่วยเรื่องป้องกันสียีนส์ซีด ช่วยลดการเสียดสีผ้ายีนส์กับเสื้อผ้าอื่นๆ และควรปิดซิป ติดกระดุม ก่อนนำไปซักเพื่อไม่ให้ยีนส์เสียรูปทรง 2. สำหรับกางเกงยีนส์ขาดนั้น ควรปิดส่วนที่ขาดด้วยถุงเท้า หรือผ้าที่ไม่ใช่แล้วก่อนนำเข้าเครื่องซักผ้า เพื่อไม่ให้กางเกงขาดมากกว่าเดิม แต่หากกางเกงนั้นขาดมากๆ ก็ควรซักด้วยมือดีกว่า 3. ควรใช้น้ำยาซักผ้าสำหรับหรับยีนส์โดยเฉพาะ เพราะมันมีส่วนช่วยทำให้สีไม่จางหรือซีดกว่าเดิม ช่วยป้องกันผ้าจากน้ำคลอรีน และการล้างด้วยน้ำเย็นเป็นเวลาสั้นๆ นั้นดีที่สุด วิธีตากแห้งยีนส์ที่ดีที่สุด 1.ตามปกติของยีนส์ทั่วไปนั้น หลังจากซักเสร็จก็ควรอบแห้งด้วยการกลับด้านยีนส์เหมือนเดิม ก่อนจะปั่นแห้งด้วยการหมุนแบบเบาๆ ในระดับความร้อนต่ำ ยกเว้นแต่ว่าหากฉลากการซักยีนส์นั้นแนะนำด้วยวิธีอื่น ก็ควรปฏิบัติตามคำแนะนำนั้น 2. นอกจากนั้น…
-
แนะนำ “10 วิธี สร้างเล็บให้แข็งแรง และมีสุขภาพดี” ได้ง่ายๆ โดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ
สาวๆ คนไหนมีปัญหาเล็บลอก เล็บบางจากการทำสีเล็บบ่อยเกินไป หรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เชิญทางนี้ได้เลยจ้าาา หลังจากที่ #เหมียวเมษา ได้ท่องเว็บไซต์ไปเรื่อยๆ ก็พบกับสิ่งที่น่าสนใจเข้า ซึ่งก็คือเว็บไซต์ต่างประเทศได้แนะนำ 10 วิธีดูแลเล็บให้แข็งแรง เท่านั้นยังไม่พอ ยังพาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเล็บมาถึง 4 ท่านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Dr. Dana Stern แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเล็บ, Dr. Ava Shamban แพทย์ผู้เขียนหนังสือ Heal Your Skin Dr. Janet Prystowsky แพทย์ผิวหนังแห่งนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และคุณ Holly Falcone ศิลปินทำเล็บ และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเล็บ ทุกคนต่างตั้งใจมาให้คำแนะนำกันขนาดนี้ ก็ต้องลงไปอ่านดูซะหน่อยแล้วว่าแต่ละอย่างนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง บอกไว้เลยว่าง่ายต่อการทำตามสุดๆ ไปดูได้เลยน้า… 1. รักษาความสะอาดให้มือและเล็บอยู่เสมอ Dr. Ava Shamban ผู้เขียนหนังสือ Heal Your Skin ได้แนะนำการทำความสะอาดเล็บไว้ว่า ให้ใช้แปรงสีฟันกับสบู่ จากนั้นนำมาถูเล็บและผิวที่มือเบาๆ…
-
ชาวเน็ตจีน “ทดลอง 18 ครีมกันแดด” ตัวไหนเริ่ด ตัวไหนดี เห็นกันชัดๆ ที่นี่เลย
ในประเทศที่แดดแทบจะเผาไหม้เราได้ทุกเวลาอย่างประเทศไทยนั้น การใช้ครีมกันแดดทั้งกับหน้า และร่างกายเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก หรือแม้กระทั่งผู้สูงอายุ การทาครีมกันแดดยังช่วยป้องกันรังสี UVA และ UVB จากพระอาทิตย์ ป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง ผิวเหี่ยวก่อนวัยอันควร จุดด่างดำ และผิวไหม้แดด เป็นต้น เมื่อเห็นความสำคัญของการทาครีมกันแดดแล้ว การเลือกใช้ครีมกันแดดก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ นั่นทำให้ชาวเน็ตของประเทศจีนรายหนึ่งได้รีวิวทั้งครีมกันแดดและเซรั่มว่ามีความไวต่อแดด และป้องกันแดดได้ดีแค่ไหน ซึ่งมีทั้งหมดถึง 18 ครีมกันแดด และ 1 เซรั่มด้วยกันดังรูปภาพนี้ เอาล่ะ ไปดูรายละเอียดกันเลยดีกว่าว่าครีมกันแดดทั้ง 18 ตัว และเซรั่มอีก 1 อันนั้นจะเป็นอะไรบ้าง โดยจะเรียงตามยี่ห้อจากซ้ายไปขวา และผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองนั้นจะออกมาได้น่าสนใจแค่ไหน… ครีมกันแดด Neutrogena Sheer Zinc Dry Touch SPF 50, ครีมกันแดดสำหรับเด็ก Coppertone SPF 50, ไม่ทาอะไรเลยเพื่อใช้อ้างอิง และเซรั่ม Melano CC …
-
นักวิจัยจำลองการเคลื่อนไหวใบหน้า “โมนาลิซา” ด้วย AI ผลออกมา “สมจริง” แบบสุดๆ
เมื่อพูดถึงภาพวาดชื่อดังอย่าง “โมนาลิซา” ของจิตรกรชื่อดังอย่างเลโอนาร์โด ดา วินชีแล้ว ชื่อว่าหลายๆ คนก็คงจะนึกถึงภาพของหญิงสาวผู้มากับรอยยิ้มสุดลุกลับขึ้นมาก่อนเป็นสิ่งแรก ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากผู้หญิงคนนี้ลองแสดงสีหน้าอื่นๆ นอกจากหน้ายิ้มขึ้นมา นั่นเพราะเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้เองกลุ่มนักวิจัยที่นำทีมโดยคุณ Egor Zakharov ก็ได้ทำการโพสต์วิดีโอตัวหนึ่งลงบนเว็บไซต์ยูทูบ โดยมีส่วนหนึ่งของวิดีโอเป็นภาพของโมนาลิซา ที่กำลังเคลื่อนไหวใบหน้าด้วยท่าทางและอารมณ์ต่างๆ กัน ซึ่งเราคงไม่มีวันได้เห็นจากภาพวาดต้นฉบับแน่ๆ อ้างอิงจากข้อมูลของทีมวิจัย การเคลื่อนไหวที่เพื่อนๆ เห็นนี้เกิดขึ้นจากการประมวลผลข้อมูลของระบบโครงข่ายประสาทเทียมหรือ “Neural Network” ระบบ AI ซึ่งมีการประมวลผลข้อมูลในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ ในงานวิจัยชิ้นนี้ นักวิจัยได้ทำการ “ฝึกฝน” ระบบอัลกอริทึมของโครงข่ายประสาทเทียมให้เข้าใจการทำงานของการแสดงอารมณ์ต่างๆ บนใบหน้ามนุษย์ ก่อนที่ปรับใช้ความรู้เหล่านั้นกับรูปภาพ จนเกิดเป็นเหตุการณ์ที่ภาพต่างๆ เคลื่อนไหวและแสดงอารมณ์อย่างที่เห็น โดยสำหรับภาพของโมนาลิซา ระบบได้ทำการเรียนรู้การเคลื่อนไหวของใบหน้ามนุษย์ 3 แบบที่มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก และนำมาสร้างการเคลื่อนไหวใบหน้าของโมนาลิซา ซึ่งผลที่ออกมานั้นเรียกได้ว่าดีอย่างไม่น่าเชื่อ และสีหน้าที่ออกมาทุกแบบนั้นก็ล้วนแต่ยังสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นโมนาลิซาจริงๆ ที่น่าสนใจคือนอกจากโมนาลิซาแล้ว ทีมวิจัยยังได้นำระบบดังกล่าวไปทดลองกับภาพอื่นๆ อีกหลายภาพ อย่างภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ มาริลิน มอนโร และซัลบาโด ดาลีอีกด้วย และแน่นอนว่าผลงานที่ออกมาก็ดูดีไม่ได้ด้อยไปกว่าโมนาลิซาเลย…
-
ชายชราวัย 84 ถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉิน หลังดื่ม “ชาชะเอมเทศ” ติดต่อกันสองอาทิตย์
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา วารสารการแพทย์และยา Canadian Medical Association Journal ได้ทำการนำเสนอรายงานของชายชราวัย 84 ปีไม่ระบุนามคนหนึ่ง ซึ่งถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินหลังจากดื่มชาชะเอมเทศในปริมาณที่มากเกินไป โดยในห้องฉุกเฉิน ทีมแพทย์ได้ทำการพบว่าชายชราคนนี้มีค่าสูงสุดของแรงดันโลหิตพุ่งขึ้นไปสูงถึง 200 มิลลิปรอท (ความดันโลหิตปกติคือ 120/80 มิลลิปรอท) ซึ่งนับว่าสูงอย่างน่ากลัวมากและจัดเป็นภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤตที่ต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์ในทันที นับว่าโชคดีมากที่ชายคนนี้ถูกส่งตัวไปถึงแพทย์ได้ทันท่วงที ดังนั้นทีมแพทย์จึงสามารถช่วยเหลือเขาได้โดยการให้ยาต่างๆ ค่าความดันโลหิตของเขาค่อยๆ ลดลง ภายในเวลา 24 ชั่วโมงต่อมา หลังจากที่อาการดีขึ้น คนไข้ก็ได้เล่าให้หมอฟังว่าเขานั้น ชอบดื่มชาชะเอมเทศเป็นอย่างมาก โดยก่อนที่จะมีอาการนั้น เขาดื่มชาชนิดนี้สองครั้งต่อวัน มาเป็นเวลาติดต่อกันราว 2 สัปดาห์แล้ว และก็เป็นในเวลานี้เองที่ทีมแพทย์ทราบที่มาของอาการความดันโลหิตสูงของเขา จริงอยู่ว่าชะเอมเทศสามารถใช้งานในฐานะของยาได้ อย่างไรก็ตามหากสมุนไพรชนิดนี้ถูกบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป (ดังเช่นในกรณีนี้) ของที่ควรจะเป็นยาก็อาจจะย้อนกลับมาทำลายสุขภาพได้เช่นกัน นั่นเพราะในชะเอมเทศนั้นมีสารสำคัญที่ชื่อว่า Glycyrrhizin ซึ่งแม้จะให้รสหวาน แต่ก็สามารถทำให้ปริมาณโพแทสเซียมในร่างกายตกลง และทำมาซึ่งอาการข้างเคียงอย่าง ความดันโลหิตสูง…
-
รวมไอเดียทาสี “เล็บเจล” ทั้งเล็บมือ และเล็บเท้า จากอินสตาแกรมสาวชาวเกาหลี
“การทำเล็บ” ก็เป็นอีกหนึ่งความงามด้านแฟชั่น ที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงออกแบบ ประดับตกแต่งลวดลายเล็บ ในแบบที่ตัวเองชอบ ทั้งเล็บมือ และเล็บเท้า แต่หากสาวๆ พบปัญหาคือคิดไม่ออก บอกไม่ถูก เลือกไม่ได้ว่าจะทำเล็บโทนสีไหนดี วันนี้ปัญหาดังกล่าวก็จะหมดไปหากได้ติดตามผลงานของช่างทำเล็บสาวเกาหลีคนนี้ โดยเธอจะอัปเดตผลงานการทำเล็บของเธอผ่านทางอินสตาแกรมชื่อว่า @nail_by.jjoo อยู่เสมอ ฝีมือของเธอนั้นโดดเด่นด้านสีพาสเทลหวานๆ ฟรุ้งฟริ้ง พวกลายดอกไม้ต่างๆ https://www.instagram.com/p/BxM3JCrlmYW/ แต่อันที่จริงจะเป็นแนวสีเล็บเจลธรรมดา หรือเป็นสีเจลแมท เพ้นท์ลายดอกไม้ ลายอาหารที่ชอบ หรือลวดลายจักรวาล เธอก็สร้างขึ้นมาได้ทั้งนั้น! ไปรับชมความน่ารักของการทำเล็บฝีมือเธอได้เลยยยย… เริ่มต้นด้วยสีแดงแมทสดๆ แต่เปลี่ยนสีตรงนิ้วนาง และนิ้วชี้ให้โดดเด่น หรือสีพาสเทล ชิคๆ ด้วยลายจุด กับลายตาราง เพ้นท์รูปกระบองเพชรเก๋ๆ กลิตเตอร์แบบนี้ก็น่ารักน้า หากใครไม่ชอบพาสเทล จะมาสายดาร์กก็ไม่มีปัญหา โทนสีพีชๆ ส้มๆ ดีต่อใจ 😀 . สีพาสเทลคู่กับดอกไม้โคตรน่ารัก! สีเขียวก็หรูหรา มีความไฮโซเบาๆ …
-
7 ประโยชน์ของ ‘นมอัลมอนด์’ ทางเลือกใหม่สำหรับคนที่แพ้ “แล็กโทส” ในนมวัว
‘นมอัลมอนด์’ เป็นที่นิยมของคนรักสุขภาพ ด้วยรสชาติที่หอมอร่อย คุณค่าทางโภชนาการที่สูง มีประโยชน์ต่อร่างกาย แถมยังเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนที่แพ้น้ำตาลแล็กโทสในนมวัวอีกด้วย นอกจากนั้น ในปัจจุบันเรายังสามารถหาซื้อนมอัลมอนด์ได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป หรือทำทานเองที่บ้านแบบง่ายๆ แบบไม่ใส่น้ำตาล ก็ดีต่อสุขภาพไม่แพ้กัน สำหรับใครที่ยังไม่เคยทาน นมอัลมอนด์ และยังไม่รู้ว่านมชนิดนี้มีประโยชน์อย่างไรบ้าง ลองตามเรามาดูกัน… 1. อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นมอัลมอนด์ อุดมวิตามินอี ช่วยชะลอความแก่ บำรุงสมอง ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ ช่วยให้ระบบเผาผลาญของร่างกายทำงานดีขึ้น นอกจากนั้นยังมีธาตุเหล็ก สังกะสี และแม็กนีเซียม ที่ช่วยควบคุมกระบวนการต่างๆ ในร่างกายให้มีประสิทธิภาพ 2. แคลอรีต่ำ นมอัลมอนด์หนึ่งแก้ว (240 มล.) มีเพียง 39 แคลอรี ซึ่งคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณแคลอรี่ที่พบในนมพร่องมันเนยหนึ่งแก้ว (240 มล.) เราจึงไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนัก 3. น้ำตาลน้อย นมอัลมอนด์หนึ่งแก้ว (240 มล.) แบบไม่ใส่น้ำตาลเพิ่ม มีคาร์โบไฮเดรตเพียง 1-2 กรัมซึ่งส่วนใหญ่เป็นใยอาหาร ในขณะที่นมวัว 1 ถ้วย…
-
“น้องฉัตร” เปลี่ยนโฉม วีณา รอง MUT 2018 เป็นเจ้าหญิงจัสมิน นึกว่าหลุดมาจากภาพยนตร์
ภาพยนตร์เรื่อง Aladdin คงเป็นที่ถูกอกถูกใจสาวๆ เด็กๆ จนอยากจะแปลงโฉมเป็นเจ้าหญิง Jasmine โบยบิยไปกับ Aladdin และพรหมวิเศษให้รู้แล้วรู้รอด วันนี้ #เหมียวเมษา จึงไม่รอช้า หลังจากเห็นช่างแต่งหน้ามือทองของไทย โชว์ฝีมือการแต่งหน้าเลียนแบบเจ้าหญิง Jasmine จึงต้องนำลุคนี้มาฝากเพื่อนๆ ซะแล้ว ช่างแต่งหน้าคนนั้นก็คือ น้องฉัตร ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ นั่นเอง “แต่งหน้าเจ้าหญิง Jasmine นางแบบคือ @veenapraveenar ผมโดย @super_arthair ชุดโดย @patchareethaifabric @ran_cosmetic @browit_by_nongchat #teamnongchat @nongchatmakeup #disney #อะลาดิน #jasmine” https://www.instagram.com/p/Bx1P-PYBHL6/ อย่างที่รู้กันดีกว่าผลงานของน้องฉัตรนั้นมีเอกลักษณ์เน้นโทนฉ่ำๆ หวานๆ ละมุนๆ เคยฝากฝีมือสะบัดแปรงแต่งหน้าบนใบหน้าคนดังในประเทศไทยมากมาย เช่น อั้ม พัชราภา, แอฟ ทักษอร หรือนุ่น วรนุช เป็นต้น โดยผู้ที่มารับบทบาทเป็นเจ้าหญิง Jasmine ให้น้องฉัตรก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ…
-
นักวิจัยพบ “น้ำทะเล 20,000 ปี” ที่มัลดีฟส์ คาดมาจากยุคน้ำแข็งและเค็มกว่าน้ำทะเลปัจจุบัน
กลายเป็นเรื่องที่เหล่านักวิจัยหลายๆ คนให้ความสนใจเป็นอย่างมากไปแล้ว เมื่อวารสาร Geochimica et Cosmochimica Acta ฉบับเดือน กรกฎาคม ค.ศ. 2019 ได้มีการตีพิมพ์การค้นพบ “น้ำทะเลอายุ 20,000 ปี” จากยุคน้ำแข็งในหมู่เกาะมัลดีฟส์ ในบริเวณเอเชียใต้ แน่นอนว่าเมื่อจู่ๆ มีคนมาบอกว่าตนเองค้นพบน้ำอายุ 20,000 ปี เชื่อว่าคงมีหลายคนไม่น้อยที่เกาหัวสงสัยว่า รู้ได้อย่างไรว่าน้ำที่พบอายุเท่าไหร่ และน้ำที่พบนั้นแตกต่างจากน้ำธรรมดาที่เราเห็นกันทุกวันอย่างไร สำหรับคำถามข้อแรกนั้นสามารถอธิบายได้ง่ายกว่าที่คิด นั่นคือน้ำดังกล่าวถูกพบอยู่ในสถานที่ปิด (ในหินปูนใต้ทะเล) ดังนั้นน้ำที่พบจึงไม่ได้ถูกผสมกับน้ำทะเลรอบๆ และสภาพไม่ได้เปลี่ยนไปจากในอดีตเลย โดยในการหาตัวอย่างน้ำเหล่านี้ ทีมนักวิจัยได้เจาะเอาตัวอย่างหินปูนออกมาด้วยสว่านแบบพิเศษ ก่อนจะทำการหั่นหินปูนที่พบออกเป็นส่วนๆ และนำหินปูนดังกล่าวไปเข้าเครื่องกดแบบไฮดรอลิคเพื่อ “คั้น” น้ำที่อยู่ภายในหินออกมา ส่วนคำถามที่ว่าน้ำที่พบนั้นแตกต่างจากน้ำธรรมดาอย่างไร คงต้องบอกว่าแม้จะไม่น่าเชื่อก็ตาม แต่องค์ประกอบของน้ำทะเลที่พบนั้นมีความแตกต่างจากน้ำทะเลในปัจจุบันมากเลยทีเดียว กล่าวคือน้ำทะเลที่พบนี้มีความเค็มที่สูงมาก สูงยิ่งกว่าน้ำทะเลในปัจจุบันเสียอีก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าน้ำทะเลในสมัยก่อนนั้นมีปริมาณเกลืออยู่มากกว่าในปัจจุบัน อย่างน้อยๆ ก็ในช่วงเวลาเมื่อ 20,000 ปีก่อน หมู่เกาะมัลดีฟส์ พื้นที่ซึ่งนักวิจัยเข้าไปตรวจสอบและพบน้ำทะเลโบราณในครั้งนี้ อ้างอิงจากนักวิจัยที่น้ำทะเลโบราณที่พวกเขาพบ ชี้ให้เห็นว่าพวกมันมาจากช่วงเวลาที่ทะเลไม่เพียงแต่เค็มกว่าในปัจจุบัน…
-
งงใจ?! ‘แอปฯ ซื้อของ’ ชื่อดัง เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ติดตามอะไร ซื้อของร้านไหน รู้หมดเลยจ้า!!
ยุคนี้คือยุคที่เราอาจไม่ต้องเดินทางไปซื้อของกันตามห้างด้วยตัวเอง หากแต่สามารถสั่งซื้อผ่านโลกออนไลน์ หรือผ่าน “แอปฯ ชอปปิง” ต่างๆ ได้อย่างง่ายดายเพียงนิ้วสัมผัส รอของมาส่ง จ่ายเงินปลายทาง จอบอ. แม้มันจะดูสะดวกสบายมากแค่ไหน แต่พอพูดถึงเรื่องของความปลอดภัยใน “ข้อมูลส่วนตัว” แล้วล่ะก็ มันอาจกลายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนความคิดของเราจนไม่อยากใช้แอปฯ ซื้อของกันอีกเลยก็ได้นะ เรากำลังพูดถึงประสบการณ์จากผู้ใช้เว็บไซต์ พันทิป รายหนึ่ง หลังจากที่เธอพบว่าตนเองสามารถรับรู้ข้อมูลส่วนตัวของคนรอบข้างได้ผ่าน “แอปฯ ซื้อของชื่อดัง” โดยใช้แค่ “เบอร์โทรศัพท์” เท่านั้นเอง..?! เธออธิบายว่าได้ลองกดหัวข้อ “ค้นหาจากรายชื่อผู้ติดต่อ” ในแทป “ติดตาม” แล้วแอปฯ ก็ถามว่าจะยินยอมให้เข้าถึงสมุดโทรศัพท์ได้หรือไม่? เธอก็ลองกดตกลงดู เพียงเท่านั้น เธอก็ได้รู้ความลับบางอย่างของคนรอบข้าง!! ทางแอปฯ ก็ทำการเชื่อมโยงระหว่าง “เบอร์ในสมุดโทรศัพท์” ของเธอ และ “เบอร์ที่กรอกไว้ในฐานข้อมูล” ก่อนหน้านี้ ทำให้เธอสามารถรับรู้ได้ว่าคนรอบข้างที่เธอมีเบอร์อยู่นั้น พวกเขาใช้ “ชื่อยูสเซอร์” ว่าอะไรในแอปฯ นั่นหมายความว่าต่อให้เราใช้ “ชื่อปลอม” เพื่อทำการซื้อของผ่านแอปฯ นี้ แต่คนรอบข้างก็สามารถรู้ได้ว่าเราใช้ชื่อปลอมว่าอะไร…
-
ชี้เป้า “10 ลิปสติกสีแดง” ราคาหลักร้อยสู่หลักพัน ที่สาวๆ ควรหามาสะสม รวมไว้ตรงนี้แล้ว!!!
ลิปสติกสีแดงเป็นไอเทมที่สาวๆ ต้องมีไว้สักแท่ง เผื่อวันไหนอยากเป็นสาวเปรี้ยวสุดฮอตขึ้นมา แค่ทาลิปสติกสีแดงสีเดียวก็เอาอยู่ บางคนอาจไม่มั่นใจตอนทาลิปสติกสีแดง แต่มันก็มีหลายเฉดแดงให้เลือกดูว่าแบบไหนเหมาะกับเราที่สุด ซึ่งวันนี้ก็มีถึง 10 เฉดแดงเลยทีเดียว นอกจากจะมีสีแดงหลายเฉดแล้วราคา และรายละเอียดก็หลากหลายเช่นกัน ตั้งแต่หลักร้อย สองร้อย จนถึงหลายพัน ทั้งเนื้อแมท หรือลิปกลอส เลือกสรรจาก 10 แบบด้านล่างได้ตามใจเลยน้า… 1. ลิปสติกเนื้อแมท ยี่ห้อ M.A.C สี “Ruby Woo” ราคาราว 850 บาท สามารถหาซื้อได้ที่ร้านค้า Mac Cosmetics Shop ทุกสาขาตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ หรือ Eveandboy เป็นต้น 2. ลิปสติกเนื้อแมท ยี่ห้อ M.A.C สี “Russian Red” ราคาราว 850 บาท สามารถหาซื้อได้ที่ร้านค้า Mac Cosmetics Shop ทุกสาขาตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ หรือ Eveandboy…
-
“LGBTQ” อักษรแทนกลุ่มความหลากหลายทางเพศ แต่ละตัวหมายถึงเพศใดบ้าง?
ไม่นานมานี้ประเทศไต้หวันก็ได้ผ่านร่างกฎหมายแต่งงานในเพศเดียวกันเป็นประเทศแรกของเอเชียไปแล้ว ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ถือเป็นความสำเร็จไม่เพียงเฉพาะของเกย์และเลสเบี้ยน แต่รวมทั้ง LGBTQ ด้วย เอาจริงๆ แล้วที่ผ่านมาถ้าพูดถึงเพศที่ 3 หรือเพศทางเลือก หรือคำอื่นๆ ที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่ไม่ใช่ชาย-หญิงที่รักชอบเพศตรงข้าม หลายๆ คนยังคิดว่ามีเพียงกะเทยและทอมด้วยซ้ำไป แต่ความจริงแล้วมันมีอะไรที่เยอะ และแบ่งแยกย่อยไปได้เยอะกว่านั้นมากๆ แต่โดยรวมแล้วเราสามารถเรียกกลุ่มความหลากหลายทางเพศว่า LGBTQ ได้ เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะทราบอยู่แล้วว่าตัวอักษรใน LGBTQ นั้นย่อมาจากอะไร แต่ถ้าใครยังไม่ทราบ เราลองมาศึกษากันดูดีกว่า L ย่อมาจาก Lesbian เลสเบี้ยน คือ กลุ่มหญิงรักหญิง G ย่อมาจาก Gay เดิมทีนั้นคำว่า เกย์ เป็นคำศัพท์ธรรมดาที่แปลได้ว่า สนุกสนาน เป็นอิสระ สดใส ต่อมาถูกนำมาใช้เรียกคนรักเพศเดียวกันโดยรวมๆ (ใช้กับผู้หญิงได้ด้วย) แต่ส่วนใหญ่จะใช้เรียกกลุ่มชายรักชายมากกว่า B ย่อมาจาก Bisexual ไบ คือคนที่สามารถรักได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง T ย่อมาจาก…
-
นักวิจัยพบ “เชื้อราดูดซึมทอง” ที่ออสเตรเลีย เชื่ออาจนำไปใช้หาทองคำใต้ดินได้ในอนาคต
การที่เชื้อราดึงแร่ธาตุในดินมาใช้นั้น สำหรับหลายๆ คน มันก็คงเป็นเรื่องธรรมดาไม่ต่างอะไรกับการที่มนุษย์ทานอาหาร ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากแร่ธาตุที่เจ้าดึงออกมาจากดิน มันเป็นแร่ธาตุที่มีมูลค่ามหาศาลอย่าง “ทองคำ” นั่นเพราะเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักวิจัยของประเทศออสเตรเลีย ได้ทำการค้นพบเชื้อราสุดแปลกที่จะทำการดูดซึมแร่ทองจากพื้นที่รอบๆ และทำให้รูปร่างของมันมีลายสีทองอย่างน่าอัศจรรย์ เจ้าเชื้อราดูดทองที่ว่านี้เป็นเชื้อราในวงศ์ตระกูล “Fusarium oxysporum” ซึ่งพบเห็นได้ค่อนข้างง่าย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านๆ มาเรากลับไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าเชื้อราเหล่านี้มีการดูดซึมแร่ทองมาใช้งานด้วย ในปัจจุบันเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าทำไมเชื้อราเหล่านี้จึงต้องมีการดูดซึมแร่ทอง อย่างไรก็ตามจากการที่เชื้อราที่ดูดซึมแร่ทองมาเก็บไว้จะมีการเจริญเติบโต และการแพร่พันธุ์ที่เร็วกว่าเชื้อราที่ไม่ได้ดูดซับแร่ทอง เหล่านักวิจัยก็คาดกันว่าทองอาจจะมีส่วนช่วยในการเติบโตของราเองก็เป็นได้ ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์ของ Fusarium oxysporum ที่มีการดูดซึมแร่ทอง อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญ เชื้อราดังกล่าวจะรวบรวมทองคำในดิน ผ่านการทำปฏิกิริยาทางเคมีกับแร่ธาตุใต้ดิน โดยมันจะละลายสะเก็ดทองโดยใช้ปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ก่อนที่จะผลิตสารเคมีอื่นๆ เพื่อทำให้ทองคำที่ละลายอยู่ แข็งตัวขึ้นอีกครั้งรอบๆ ใยของเชื้อรา ความสามารถนี้นับเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก เพราะตามปกติแล้วทองคำจะมีปฏิกิริยากับสายเคมีน้อยชนิดมากๆ ดังนั้นความสามารถในการ “ขนย้ายทอง” ของเชื้อราเหล่านี้ จึงนับเป็นอะไรที่แปลกจนคุณ Tsing Bohu หัวหน้าทีมวิจัยถึงกับออกมาบอกเองเลยว่า หากไม่เห็นด้วยตาตัวเองเขาก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน …
-
7 งานอดิเรกสุดสร้างสรรค์ วางสมาร์ทโฟน ออฟไลน์ชีวิต เพลิดเพลินไปกับการสร้างจินตนาการ
ในยุคสมัยที่เราต่างออนไลน์ตลอดเวลา พกสมาร์ทโฟนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การมีเวลาว่างสำหรับงานอดิเรกเหมือนจะเป็นเรื่องยาก แต่รู้หรือไม่ว่าการวางโทรศัพท์ แล้วหันมาทำงานอดิเรกที่สร้างสรรค์นั้นจะทำให้ชีวิตสนุกมากขึ้น เปิดโอกาสให้จินตนาการได้ทำงานสร้างอะไรสนุกๆ และหากทุกคนกำลังมองหางานอดิเรกที่ได้เสริมสร้างจินตนาการ และง่ายต่อการเริ่มต้นแล้วล่ะก็ ทั้ง 7 อย่างนี้ถือเป็นตัวเลือกที่ดี… 1. การปลูกต้นไม้ เริ่มได้ง่ายๆ แค่มีกระถางต้นไม้ และเมล็ดพืชพันธุ์ตามใจชอบ ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่กว้างขวางด้วย ค่อยๆ รดน้ำ ดูแล บำรุงรักษาไปเรื่อยๆ แค่นี้ต้นไม้ก็จะเขียวขจี เพิ่มความสดใสให้พื้นที่ส่วนตัวได้แล้ว 2. การประดิษฐ์ประติมากรรม การใช้ดินโพลีเมอร์ทำให้การปั้นง่ายขึ้น สามารถนำเข้าเตาอบได้ ง่ายต่อการประดิษฐ์ประติมากรรม ข้าวของเครื่องใช้ รวมไปถึงเครื่องประดับตกแต่งต่างๆ จากที่บ้าน สามารถตกแต่งเพิ่มเติมด้วยการระบายสีอะคริลิคตามใจชอบอีกด้วย 3. การวาดภาพระบายสีตัวเลข งานอดิเรกที่เหมือนได้ย้อนกลับไปในวัยเด็กอีกครั้งหนึ่งคือการวาดภาพระบายสีนั่นเอง แต่ก็ใช่ว่าพอโตขึ้นแล้วจะทำไม่ได้ เพราะเราสามารถใส่จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ได้เต็มที่ในงานศิลปะ ไม่ว่าจะมีฝีมือระดับไหนก็ตาม 4. การแกะสลักบล็อกพิมพ์ ก่อนอื่นต้องเตรียมอุปกรณ์เช่น เสื่อน้ำมัน หรือยางแท่ง เครื่องมือแกะสลัก น้ำหมึก และลูกกลิ้งสำหรับป้ายหมึกก่อน จากนั้นก็วาดลวดลายและแกะสลักตามใจชอบ…
-
“The Sarco” เครื่องการุณยฆาตด้วยตัวเอง เปิดตัวที่อิตาลีแล้ว หลังมีข่าวมาตั้งแต่ปี 2017
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีว่าการ “การุณยฆาต” นั้นในปัจจุบันยังคงเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันเรื่องความเหมาะสมอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามในปัจจุบันก็เริ่มที่จะมีบางประเทศแล้ว ที่เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยมีโอกาสได้เลือกที่จะจบชีวิตตนเอง แทนที่จะทนอยู่กับโลกอันเลวร้าย และความสามารถในการทำการุณยฆาตนี้เองก็นำมาซึ่งเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ๆ เกี่ยวกับการส่งคนไปสู่ความตายโดยที่ไม่เจ็บปวดในเวลาเดียวกัน โดยหนึ่งในเทคโนโลยีรูปแบบนี้ที่มีการพูดถึงมากที่สุดก็คงจะไม่พ้นเครื่อง “The Sarco” ของคุณหมอชาวออสเตรเลีย Philip Nitschke เมื่อล่าสุดนี้เอง เจ้าแคปซูลฆ่าตัวตายสุดล้ำสมัยอันนี้ ได้มีโอกาสถูกนำออกมาเปิดตัวอีกครั้งในสภาพเสร็จสมบูรณ์พร้อมใช้งานภายในงาน Venice Biennale ประจำปี ค.ศ. 2019 ที่อิตาลีแล้ว หลังจากที่มีข่าวการพัฒนามาตั้งแต่ปี 2017 โดยเจ้าเครื่อง The Sarco นั้นเป็นแคปซูลที่ออกแบบมาเพื่อให้คนสามารถเข้าไป “นอนหลับตาย” อยู่ภายใน ด้วยการปล่อยไนโตรเจนเข้าไปในแคปซูลอย่างช้าๆ และทำการตัดออกซิเจน ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานจบชีวิตลงอย่างสงบภายใน 5 นาที อ้างอิงจากคุณหมอ Philip เจ้าเครื่องมือนี้นับว่ามีความปลอดภัยสูงและไม่สามารถนำไปใช้ฆาตกรรมได้อย่างที่หลายๆ คนกังวล เพราะคนที่อยู่ภายในจะต้องมีการทำแบบทดสอบเกี่ยวกับสุขภาพจิตก่อนที่เครื่องจะได้รับอนุญาตให้ทำงาน อีกทั้งผู้ใช้งานเครื่องจะสามารถหยุดเครื่องเมื่อไหร่ก็ได้จากภายใน ตราบใดที่ยังไม่หมดสติ นอกจากนี้ตัวคุณหมอเอง ยังบอกอีกว่าเครื่องมือชิ้นนี้นั้นออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติในการทำซ้ำเป็นอย่างดี และจะมีการเปิดให้มีการดาวน์โหลดพิมพ์เขียวของเครื่องแบบฟรีๆ เพื่อให้เครื่องมือดังกว่าสามารถใช้งานได้ในทุกที่ที่มีคนต้องการ …
-
“รวมภาพห้อง 20 ห้อง” แสดงความแตกต่างของภาวะจิตใจ ก่อนและหลังของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
สภาพแวดล้อมก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สามารถสะท้อนสภาพจิตใจของคนคนนั้นได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีปัญหาทางจิตอย่างเช่น โรควิตกกังวล โรคเครียด และโรคซึมเศร้าเช่นกัน บางครั้งผู้ป่วยอาจไม่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว แต่เมื่อนำภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังให้เห็นชัดๆ ก็ทำให้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นจริงๆ ทั้ง 20 ภาพที่ทุกคนจะได้รับชมนั้นแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของสภาพแวดล้อม ก่อนและหลังของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ที่ชาวเน็ตร่วมกันส่งเข้ามาหลังจากเว็บไซต์ BoredPanda เชิญชวนให้ทุกคนร่วมเปรียบเทียบห้องตนเอง เคยคิดไหมว่าหลังจากหายป่วยแล้วจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน ไปรับชมกันได้เลย… 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13. 14. 15. 16. 17. 18. …
-
“10 รองเท้าสีขาว” ไอเทมที่ขาดไม่ได้ เหมาะกับทั้งหญิงและชาย ต้องไปตำแล้วล่ะ!!
เพื่อนๆ เคยเจอปัญหาอยากได้รองเท้าสีขาวสักคู่แต่ไม่รู้จะเลือกแบบไหนกันบ้างมั้ย? หากคำตอบคือใช่ เราคือเพื่อนกัน เพราะรองเท้าสีขาวนั้นมีมากมายหลายแบบมากๆ เลยล่ะ แต่ละแบบก็มีความโดดเด่น และรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แตกต่างกันทั้งด้านวัสดุ ราคา ความทนทาน น้ำหนัก และความเหมาะสมกับสถานที่ อย่างไรก็ตาม รองเท้าผ้าใบสีขาวทั้ง 10 คู่ที่เว็บไซต์ Dailymail ได้แนะนำไว้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆ ได้บ้างแหละน่า ลองดูแล้วตัดสินใจดูนะ ทุกคู่สวยๆ ทั้งนั้นเลย คละแบบกันไปใส่ได้ทั้งชายและหญิงด้วย 1. รองเท้าหนัง Veja V-10 กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ หลังดัชเชส Meghan Markle แห่งสหราชอาณาจักรหยิบมาสวมใส่ อีกทั้งแบรนด์ Veja ยังเป็นแบรนด์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ราคาประมาณ 5,500 บาท 2. รองเท้า Converse All Star รุ่น Chuck Taylor เป็นรองเท้าที่ราคาไม่แพง คุณภาพสมราคา หากใครที่กำลังมองหารองเท้าสีขาวสักคู่ก็ต้องคู่นี้แล้วล่ะ…
-
ชาวสวีเดนไม่พอใจ หลังทราบข่าวรัฐเล็งแบนอักษรนอร์ส เนื่องจากถูกกลุ่มนีโอ-นาซีนำไปใช้
กลายเป็นข่าวที่สร้างความงุนงงเป็นอย่างมากให้แก่ชาวสวีเดนไปเสียแล้ว เมื่อล่าสุดนี้เอง ทางรัฐบาลของประเทศสวีเดนได้ออกมาเปิดเผยว่าพวกเขานั้นได้มีการเสนอแผนการที่จะแบนสัญลักษณ์โบราณของชาวนอร์สทั้งหมด เนื่องจากสัญลักษณ์เหล่านี้ถูกนำไปใช้โดยกลุ่มนีโอ-นาซี สัญลักษณ์ของนีโอ-นาซีที่คาดกันว่านำมาซึ่งปัญหาในครั้งนี้ อ้างอิงจากการรายงานของสำนักข่าวต่างประเทศ ในปัจจุบันคุณ Morgan Johansson รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ได้กำลังทำการตรวจสอบอยู่ว่าการห้ามสัญลักษณ์นอร์สเหล่านี้ จะสามารถใช้ในการยับยั้งกลุ่มนีโอ-นาซีได้จริงๆ หรือไม่ และคาดกันว่าจะได้ผลลัพธ์ภายในช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ ทั้งนี้หากคุณ Johansson ตัดสินใจว่าการสั่งห้ามสัญลักษณ์นอร์สจะมีผลที่ดีต่อการยับยั้งกลุ่มนีโอ-นาซีจริงๆ การสั่งแบนสัญลักษณ์ในครั้งนี้ อาจส่งผลรวมไปถึงสัญลักษณ์นอร์สทั้งในรูปแบบของภาพการเขียน และเครื่องประดับแบบนอร์สทั้งหมดได้เลย แน่นอนว่าข้อเสนอที่ออกมานี้ สร้างความไม่พอใจให้กับชาวสวีเดนหลายกลุ่มมาก โดยเฉพาะเหล่านักโบราณคดี เนื่องจากสำหรับพวกเขาแล้วอักษรนอร์สโบราณนั้นมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ต่อประเทศเป็นอย่างมาก และไม่ควรถูกแบนเพียงเพราะคนกลุ่มเดียวเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้เองในปัจจุบัน ในระบบโซเชียลมีเดียของชาวสวีเดนจึงได้มีการพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกันอย่างกว้างขวาง โดยที่ส่วนใหญ่จะออกไปทางการแสดงความไม่พอใจ และไม่อยากเชื่อว่ารัฐบาลจะคิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ ในขณะที่อีกหลายๆ คนตั้งคำถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาสักร่างกายด้วยอักษรนอร์ส ทางรัฐบาลจะมีการออกเงินชดใช้ในการลบรอยสักของพวกเขาหรือไม่ นอกจากนี้เองทางกลุ่มความเชื่อทางศาสนาอย่าง Nordic Asa-Community ก็ยังได้มีการออกมาล่ารายชื่อผู้ที่ไม่สนับสนุนการแบนสัญลักษณ์โบราณของรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้วอีกด้วย ซึ่งภายในวันที่ 24 พฤษภาคมนี้เอง พวกเขาก็ได้รับรายชื่อผู้สนับสนุนไปแล้วกว่า 14,500 รายชื่อ ทั้งนี้แม้ว่าอักษรนอร์สโบราณจะถูกนำไปใช้โดยกลุ่มนีโอ-นาซี จริงๆ ก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่มีการใช้อักษรนอร์สโบราณแต่อย่างไร เพราะแม้แต่โลโก้ของ “บลูทูธ” ที่เราคุ้นเคยกันดีนั้น…
-
ชม “ชีสมนุษย์” ซึ่งทำขึ้นจากแบคทีเรียบนร่างกายคนดัง ไม่ว่าจะเป็นที่รักแร้ หู จมูก หรือสะดือ
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีว่าการทำชีสนั้นมีความเกี่ยวข้องกับแบคทีเรียมาอย่างยาวนานแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ตามโดยมากเราจะไม่ค่อยสนใจ (และไม่อยากสนใจ) กันเท่าไหร่ว่าแบคทีเรียที่ใช้บ่มชีสนั้นมันมาจากไหน แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อล่าสุดนี้เอง ทางพิพิธภัณฑ์ Victoria & Albert ของลอนดอน ได้ทำการทดลองทำ “ชีสมนุษย์” ขึ้นมาโดยใช้แบคทีเรียจากร่างกายของคนดังชาวอังกฤษ 5 คน คุณจะยังกล้าทานชีสเหล่านี้อยู่อีกไหม โดยการทำชีสมนุษย์ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานนิทรรศการ “Food: Bigger Than the Plate” และได้รับความร่วมมือจากเหล่าผู้มีชื่อเสียงซึ่งประกอบไปด้วย คุณ Alex James นักดนตรีและนักทำชีส คุณ Heston Blumenthal เชฟชื่อดัง คุณ Professor Green แร็ปเปอร์มากฝีมือ คุณ Ruby Tandoh นักเขียนเกี่ยวกับอาหาร และคุณ Suggs จากวง Madness ซึ่งพวกเขาทั้งหมดจะถูกพาไปเก็บตัวอย่างแบคทีเรียจากซอกต่างๆ ของร่างกาย เช่น รักแร้ หู จมูก และสะดือ…
-
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ 7 เทคนิคป้องกันตัว ในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับ “แก๊สน้ำตา”
“แก๊สน้ำตา” ถือว่าเป็นหนึ่งในยุทธภัณฑ์ที่ทั่วโลกนิยมใช้ในการ “ควบคุมเหตุจลาจล” สลายการชุมนุม เมื่อแก๊สน้ำตาถูกยิงเข้ามากลางวง กลุ่มผู้ชุมนุมก็จะแตกกระเจิงกันออกไป ท่ามกลางควันสีขาวที่พวยพุ่งออกมา หลายๆ คนน้ำหูน้ำตาไหล รู้สึกอึดอัดแน่นหน้าอก ซึ่งหากสูดหายใจเข้าไปมากๆ มันอาจส่งผลถึงขั้นตาบอด หูหนวก หรืออาจถึงแก่ชีวิตได้เลย ในวันนี้ #เหมียวตะปู จึงอยากจะนำเสนอ “เทคนิควิธีการป้องกันแก๊สน้ำตา” ไว้สำหรับเพื่อนๆ ทุกคน หากเราต้องมีโอกาสได้สัมผัสกับมัน เราควรป้องกันอย่างไรดี 1. สวมเสื้อผ้าปกปิดผิวหนังให้มากที่สุด ข้อแนะนำแรกเมื่อเรารู้ว่าอาจต้องเผชิญกับแก๊สน้ำตา นั่นคือการสวมเสื้อผ้าแขนยาว/ขายาว ปกปิดผิวหนังเอาไว้ให้มากที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีซึมเข้าสู่ผิวหนัง 2. ใช้ผ้าชุบน้ำปิดจมูกเอาไว้ ทางที่ดีคือใช้ “หน้ากากกันแก๊ส” นั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้เราสูดดมสารเคมีเข้าไป โดยอุปกรณ์ที่ดีที่สุดก็คือ “หน้ากากกันแก๊ส” แต่ถ้าหากเราไม่มี ก็สามารถใช้ผ้าชุบน้ำปิดจมูกเอาไว้ก่อนได้ และอาจใช้ “แว่นตาว่ายน้ำ” เพื่อป้องกันตาเอาไว้ 3. วิ่งหนีออกมาจากพื้นที่นั้นให้เร็วที่สุด สิ่งสำคัญหลังจากที่เราป้องกันให้สารเคมีเข้าสู่ร่างกายได้น้อยที่สุดแล้ว เราจำเป็นที่จะต้องวิ่งออกมาจากจุดที่มีการกระจายของแก๊สโดยเร็วที่สุด และออกไปยืนรับอากาศบริสุทธิ์ ให้ลมช่วยขับไล่สารพิษ 4.ใช้…
-
พบ “เดโมเด็กซ์” สิ่งมีชีวิตแปดขาตัวน้อย ที่หากินและผสมพันธุ์อยู่บนใบหน้าของคุณ
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีว่าในเวลาที่คนเราหลับ ในบางครั้งก็จะมีเรื่องน่าขนลุกเกิดขึ้นกับเราโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นแมลงบินเข้าปาก หรือแมลงสาบไต่ขึ้นมาเพื่อหาน้ำบนใบหน้า แต่เมื่อล่าสุดนี้เอง ช่องยูทูบที่มีชื่อเสียงในทางวิทยาศาสตร์อย่าง “Deep Look” ก็ได้ออกมานำเสนอวิดีโออันใหม่ ซึ่งกลายเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในโลกอินเทอร์เน็ต และเพิ่มฝันร้ายในยามราตรีให้กับผู้ชมหลายๆ คน ไปในเวลาเดียวกัน นั่นเพราะในวิดีโอที่ออกมานั้น เป็นการสำรวจสิ่งมีชีวิตแปดขาขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่เพียงแต่จะอาศัยอยู่บนร่างกายของเราเท่านั้น แต่ยังแอบผสมพันธุ์ในยามราตรี และวางไข่ไว้บนหน้าของเราอีกด้วย เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวที่ว่านี้มีชื่อว่า “เดโมเด็กซ์” (Demodex) หรือที่เรียกกันว่า “เห็บมนุษย์” และ “ไรบนหน้า” (Face Mites) สิ่งมีชีวิตขนาดราวๆ 0.3 มิลลิเมตรในตระกูล “แมง” (Arachnid) ซึ่งมักพบได้บ่อยๆ ที่รอบดวงตาของมนุษย์ เดโมเด็กซ์สามารถพบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย มีอาหารหลักเป็นไขมันบนร่างกายของมนุษย์ และคาดกันว่าติดต่อจากพ่อแม่ไปสู่ลูกได้ด้วยวิธีการอะไรสักอย่าง เนื่องจากตอนที่มนุษย์เกิดมา เราจะไม่มีเจ้าเดโมเด็กซ์อยู่บนผิวหนัง เจ้าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ถูกพบครั้งแรกในขี้หูเมื่อปี 1842 โดยคุณ Frederick Henle และมีวงจรชีวิตที่สั้นมากๆ แค่ราวๆ 2-3 อาทิตย์ และจะวางไข่ครั้งละราวๆ…
-
เปิดประวัติ ‘การจับมือ’ ก่อนจะกลายเป็นภาษากายที่ใช้แทนการ ‘ทักทาย’ แบบทุกวันนี้
ว่าด้วยเรื่องของ ‘การจับมือ’ อย่างที่เรารู้กันดีว่ามันคือภาษากายอย่างหนึ่ง ที่ใช้แสดงออกถึงการทักทาย และมีการใช้งานกันทั่วโลก แต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันมั้ยครับว่า ‘การจับมือ’ นั้นมันมีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่? ทำไมจู่ๆ มันถึงกลายมาเป็นท่าทางที่แสดงออกถึงการทักทายซะได้ วันนี้ #เหมียวหง่าว จะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกันครับ ย้อนกลับไปในช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาล ในประเทศกรีซ ‘การจับมือ’ เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสงบสุข เผยให้เห็นว่าไม่มีใครที่ถืออาวุธอยู่ในมือ ในช่วงยุคโรมัน การจับมือก็เปลี่ยนมาเป็น ‘จับแขน’ แทน คือจับให้ลึกขึ้นไปอีก เพื่อเผยให้เห็นว่าไม่มีการ ‘ซ่อนมีด’ เอาไว้ในปลอกแขนนั่นเอง ขณะที่การจับมือกันแล้ว ‘เขย่า’ ก็ถูกเพิ่มเข้ามาในภายหลัง มีบางตำราระบุเอาไว้ว่า การจับมือแล้วเขย่านั้นเริ่มต้นขึ้นในช่วง ‘ยุโรปยุคกลาง’ เหล่าอัศวินจะจับมือซึ่งกันและกัน และจะทำการเขย่าเล็กน้อย เพื่อเช็กว่าอีกฝ่ายไม่ได้ซ่อนอาวุธลับเอาไว้ กล่าวคือ ‘การจับมือ’ ไม่ได้เป็นเพียงแค่กิริยาท่าทางทั่วไป แต่เป็นสัญลักษณ์ ที่มีนัยเกี่ยวกับการทักทาย และการผูกสัมพันธ์มาอย่างยาวนานแล้ว ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนจนกลายมาเป็นสัญลักษณ์การทักทายที่เรียกว่าเชคแฮนด์ (Hand Shake) ในปัจจุบัน แต่ในสหรัฐอเมริกาเอง…
-
นักชีววิทยาแปลกใจ หลังพบซากนกหากินบนบกในท้องฉลาม คาดอาจตกทะเลในช่วงอพยพ
สำหรับสัตว์กินเนื้อผู้ได้ชื่อว่านักล่าแห่งท้องทะเลอย่างฉลามแล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ในท้องของพวกมันจะมีซากสัตว์ที่ถูกทานเป็นอาหารอยู่มากมายหลายชนิด แต่ถึงอย่างนั้นในบางครั้ง สิ่งที่อยู่ในท้องของฉลามก็ทำให้เหล่านักชีววิทยาต้องแปลกใจได้เช่นกัน นั่นเพราะเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมา ในระหว่างที่ทีมนักชีววิทยาทำการสำรวจประชากรฉลามเสือ (Galeocerdo cuvier) ในทะเลแถบรัฐมิสซิสซิปปีและอลาบามา พวกเขาก็ต้องพบกับซากนกแปลกๆ อยู่ในท้องของฉลาม เอาเข้าจริงๆ แล้วการที่ฉลามจะมีโอกาสกระโดดขึ้นมากินนกทะเลนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร แต่ปัญหาคือนกที่ถูกพบในท้องฉลามครั้งนี้ กลับมีขนที่ไม่เหมือนนกทะเลแม้แต่น้อย เมื่อเห็นดังนั้นเหล่านักชีววิทยาจึงได้ทำการส่งนกที่พบไปตรวจสอบ DNA อย่างละเอียดที่ห้องทดลอง และที่นั่นเองพวกเขาก็พบว่านกที่ถูกฉลามกินไปนั้น ไม่ใช่นกทะเลจริงๆ แต่เป็นนก “Brown Thrasher” (Toxostoma rufum) ซึ่งตามปกติจะหากินบนบกเป็นหลัก นี่นับเป็นการค้นพบที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะเดิมทีแล้วแม้แต่นกทะเลอย่างนกนางนวลและนกกระทุงเอง เรายังพบมันในท้องฉลามไม่ค่อยบ่อยนัก แต่ในการสำรวจประชากรฉลามเสือครั้งนี้ นักชีววิทยากลับพบนกที่อาศัยอยู่บนบกในท้องฉลามถึง 41 ตัว จากทั้งหมด 105 ตัว สำหรับคำถามที่ว่าทำไม ฉลามถึงสามารถกินนกซึ่งอาศัยอยู่บนบกได้มากขนาดนี้ ทีมนักชีววิทยาคาดการณ์ว่าน่าจะมาจากการที่นกเหล่านี้ถูกพายุพัดไปในระหว่างฤดูอพยพ ดังนั้นพวกมันบางส่วนจึงตกลงไปในทะเลและถูกกินโดยฉลามต่อไปนั่นเอง อนึ่ง การค้นพบในครั้งนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Ecology เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2019…
-
นักวิจัย ทดลองสร้าง “เสียงใต้น้ำที่ดังที่สุด” พบเสียงดังกล่าวดังจนทำน้ำระเหยได้
สำหรับเพื่อนๆ แล้ว เสียงที่ดังที่สุดเท่าที่เราเคยได้ยินมาคือเสียงของอะไร? เสียงของเครื่องบินอย่างนั้นเหรอ หรือว่าเป็นเสียงของปืนและระเบิด ไม่ว่าจะเป็นเสียงของอะไร เชื่อว่ามันก็คงจะไม่ดังไปกว่าเสียงที่เหล่านักวิจัยจากห้องทดลองการเร่งอนุภาคแห่งชาติ SLAC สร้างขึ้นมาแน่ๆ เพราะนี่นับว่าเป็นเสียงใต้น้ำที่ดังที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างขึ้น ซึ่งรุนแรงมากถึงขนาดที่สามารถทำให้น้ำระเหยกลายเป็นไอในทันทีได้เลย นี่เป็นเสียงที่เกิดขึ้นจากการที่นักวิจัยยิงแสงเลเซอร์เอกซเรย์ ใส่น้ำซึ่งยิงออกมาจากเครื่องพ่นน้ำขนาดจิ๋วอีกทีหนึ่ง ในขณะที่จับภาพการทดลองไว้ด้วยกล้องความเร็วสูง การกระทำนี้จะทำให้น้ำที่ถูกยิงออกมาระเหยกลายเป็นไอในทันทีที่สัมผัสกับเลเซอร์ เนื่องจากเกิดคลื่นสั่นสะเทือนอันทรงพลังของเสียงขึ้น ซึ่งหากวัดกันด้วยหน่วยวัดระดับเสียงแล้ว เสียงที่เกิดขึ้นมีความดังถึง 270 เดซิเบล ดังกว่าเสียงของระเบิดนิวเคลียร์ในระยะ 5 เมตร (ซึ่งอยู่ที่ราวๆ 250 เดซิเบล) เสียอีก นับว่าโชคดีมากที่เสียงซึ่งเกิดขึ้นในการทดลองนี้ เกิดขึ้นในห้องทดลองสุญญากาศ ดังนั้นจึงไม่มีใครได้ยินเสียงที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เราสามารถ “มองเห็น” เสียงที่เกิดขึ้นได้ผ่านคลื่นสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในระดับนาโนวินาที ทีมนักวิจัยอธิบายว่า นี่นับเป็นตัวอย่างของเสียงที่ดังที่สุดเท่าที่พอจะเป็นไปได้อย่างแท้จริง เพราะเสียงที่ดังกว่านี้จะทำให้น้ำไม่อยู่ในสภาพที่สามารถให้เป็นสื่อกลางได้อีกต่อไป ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเราต้องมาศึกษาเรื่องเสียงดังๆ เหล่านี้ ทีมนักวิจัยก็ได้ให้เหตุผลไว้ว่า การเรียนรู้ข้อจำกัดของเสียงใต้น้ำนั้นเป็นอะไรที่สำคัญต่อการออกแบบการทดลองหลายอย่างในอนาคต อย่างเช่นในการทดลองโปรตีนคริสตัลบางอย่าง ซึ่งนักวิจัยจำเป็นต้องใช้แสงเลเซอร์ และเครื่องพ่นน้ำคล้ายกับในการวิจัยในครั้งนี้ ดังนั้นหากเราทราบความเข้มข้นสูงสุดของเลเซอร์ที่จะไม่ทำลายน้ำไปเสียก่อนได้ การทดลองเหล่านี้ก็จะสามารถดำเนินการได้ง่ายและถูกต้องแม่นยำขึ้น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนั่นเอง ที่มา…
-
‘เกาะพัลเมอร์สตัน’ สถานที่ที่ประชากร 62 คน สืบเชื้อสายมาจากชายคนเดียวกัน
ในโลกนี้มีสถานที่มากมายที่มีเรื่องมหัศจรรย์ๆ ซึ่งบ้างก็ถูกค้นพบแล้ว บ้างก็ยังรอให้เราค้นพบอยู่ และวันนี้เราก็มีอีกหนึ่งสถานที่ที่มีเรื่องราวมหัศจรรย์มาให้เพื่อนๆ ได้รับชมกัน นั่นคือ “เกาะพัลเมอร์สตัน” เกาะที่มีแนวปะการังรูปเกือกม้า (Coral Atoll) หนึ่งในหมู่เกาะคุก เขตปกครองตนเองของประเทศนิวซีแลนด์ ในเกาะพัลเมอร์สตันนี้ ถือว่าเป็นเกาะที่ประชากรในเกาะใช้ชีวิตแบบ “สโลว์ไลฟ์” ที่แท้ทรู ซึ่งภายในเกาะมีประชากรอยู่เพียง 62 คนเท่านั้น และที่ประหลาดก็คือทุกคนบนเกาะล้วนเป็นลูกหลานของ “ชายคนเดียวกัน” โดยหมู่เกาะดังกล่าวเป็นหนึ่งในผลงานการค้นพบของ James Cook นักเดินเรือชาวอังกฤษชื่อดัง ในตอนที่ค้นพบเกาะ พบว่าไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่มากกว่า 8 ทศวรรษแล้ว ต่อมาในช่วงกลางยุค 1800 ได้มีชาวอังกฤษนามว่า William Marsters ได้มายังเกาะดังกล่าว และตกหลุมรักมันทันที แต่ ณ เวลานั้นเกาะพัลเมอร์สตัน มีเจ้าของคือพ่อค้าชาวอังกฤษชื่อว่า John Brander ทั้งคู่เคยพบกันมาก่อนในตาฮีตี ทาง John เลยแต่งตั้งให้ William เป็นผู้ดูแลเกาะ และยอมให้ปลูกต้นมะพร้าวบนเกาะได้ ซึ่ง William…
-
นักโบราณคดีทุ่มเทเวลา 36 ปี สร้างโมเดล “เมืองโรมโบราณ” ที่ใกล้เคียงของจริงที่สุด
โรมโบราณนั้นเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองในอดีต ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอิตาลีเมื่อ 753 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งหลายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคนั้นได้พัฒนามาใช้ในปัจจุบันเช่น กฎหมาย ศิลปะ สถาปัตยกรรม ภาษา และอื่นๆ เอาเป็นว่าโรมโบราณนั้นมีอิทธิพลต่อโลกปัจจุบันของเรามากพอสมควรเลยทีเดียว และมันก็เป็นแหล่งอารยธรรมอีกแห่งที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมหาศาล หลายคนคงสงสัยว่ากรุงโรมในยุคนั้นหน้าตาเป็นแบบไหน และยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด นักโบราณคดีชาวอิตาลีนามว่า Italo Gismondi จึงได้ทุ่มเทเวลาถึง 36 ปี จำลองมันขึ้นมา แบบจำลองนี้เริ่มสร้างขึ้นในปี 1935 ด้วยสัดส่วน 1:250 และหน้าตาของมันนับว่ามีความใกล้เคียงกับโรมโบราณมากที่สุด และเมื่อสร้างเสร็จแบบจำลองนี้มีความยาวมากกว่า 20 เมตรเลยทีเดียว แบบจำลองนี้จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ The Museum of the Roman Civilization ตั้งอยู่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ใครสนใจอยากเห็นของจริงก็ไปชมกันได้จ้า มีแลนด์มาร์กสำคัญๆ อย่างโคลอสเซียมด้วย . . แบบจำลองยังยิ่งใหญ่ขนาดนี้เลย ของจริงในยุคนั้นคงสุดยอดมากๆ…
-
9 พฤติกรรมที่พวกเราทำกันเป็นประจำ และมันกำลังทำลายการนอนหลับของเราอยู่
หลายคนนั้นยอมรับว่าการ “นอนหลับ” นั้นถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของชีวิต อย่าว่าแต่นอนหลับเลย ได้นอนซุกผ้าห่ม หมอน และน้องเน่าบนเตียงอุ่นๆ นั้นก็ถือว่าคือความสุขของชีวิตแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในการนอนปกตินั้น หลายๆ คนตื่นขึ้นมาด้วยความง่วงชนิดที่การลืมตาและยกหัวออกจากหมอนคือเรื่องยากลำบากที่สุดของวัน จึงทำให้รู้สึกอยากนอนต่อมากกว่าจะไปทำงานหรือเรียน หากว่าเพื่อนๆ ไม่ได้กำลังป่วยเป็นอะไรบางอย่าง (เช่น โรคซึมเศร้า) ล่ะก็ บางทีอาการพวกนี้อาจเกิดจากนิสัยการนอนที่ไม่ดีของเราเองก็ได้นะ ซึ่งจะมีอะไรบ้าง ก็ลองมาสำรวจตัวเองไปพร้อมๆ กันดีกว่า 1. จริงจังกับการนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง จริงๆ แล้วการนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงมันคือค่าเฉลี่ยของผู้ใหญ่ต่างหาก แต่ร่างกายของคนเรานั้นต่างกัน ชั่วโมงการนอนที่เหมาะสมนั้นแต่ละช่วงอายุก็แตกต่างกันด้วย สิ่งที่ทำให้เราสดชื่นหลังตื่นนอนนั้น ชั่วโมงการนอนไม่ใช่ปัจจัยเดียว แต่รวมไปถึงคุณภาพการนอนด้วยนะ ยิ่งถ้าเรากังวลมาก คุณภาพการนอนก็จะแย่ลงอีก 2. ใช้อุปกรณ์ตรวจจับการนอนหลับ เหมือนว่าอุปกรณ์จะบอกข้อมูลต่างๆ เพื่อให้เราปรับปรุงการหลับให้ดีขึ้น แต่ความจริงแล้วค่าต่างๆ มันก็ไม่ได้แม่นยำอะไรขนาดนั้นหรอก แถมบางคนก็หลับได้ดีเป็นปกติอยู่แล้วจนกระทั่งมาเห็นค่าต่างๆ จากอุปกรณ์นี่แหละ… ถ้าคิดว่าการหลับของตนเองมีปัญหาจริงๆ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์จะดีกว่านะ 3. นอนตื่นสายในวันหยุด ความคิดที่ว่าเรานอนเยอะๆ…
-
“21 แฟชั่นลายเสือดาว” รวมทุกไอเทมที่แม่เสือสาวควรมีประดับตู้เสื้อผ้า
ใครรักแฟชั่นลายเสือมาทางนี้เลยจ้าาาาา อากาศว่าร้อนแล้วแต่เราต้องร้อนแรงกว่าให้ได้ อย่าไปยอม เพราะฉะนั้นวันนี้จึงนำลายเสือดาวสุดฮอตมานำเสนอให้ชมกัน! การมีชุดลายเสือติดตู้เสื้อผ้าไว้สักหนึ่งหรือสองไอเทมก็ช่วยเปลี่ยนวันธรรมดาๆ ให้สนุกขึ้นได้ เพราะลายเสือยังไงก็ได้รับความนิยม นำมาแมตช์กับได้ทุกลุกเลยด้วย 21 ไอเทมที่จะได้รับชมกันมีทั้งเสื้อ รองเท้า กระเป๋า และกางเกง สามารถเลือกชมได้ตามแต่ความชอบของแต่ละคนเลยน้า… 1. เสื้อกันหนาวสุดหรู แต่ดูสบายๆ 2. เสื้อคอวีสวยๆ โชว์สร้อยคอ แฝงความเซ็กซี่เล็กๆ 3. รองเท้าแตะลายเสือดาว ใส่ชิลๆ วันหยุด 4. ดัดแปลงกับเสื้อกิโมโนแบบญี่ปุ่น ใส่เดินชายทะเลก็เข้ากันน้า 5. รองเท้าบู้ทคู่นี้ใครเห็นก็ต้องมอง 6. แม่เสือฝึกหัดใส่เป็นถุงเท้าเบาๆ ไปก่อนก็ได้ 7. เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ปิดท้ายด้วยเสื้อคลุมคาร์ดิแกนตัวยาว แค่นี้ก็เอาอยู่ 8. ชุดว่ายน้ำลายเสือดาวตัวเก่ง 9. ไอเทมที่ควรมีประดับตู้เสื้อผ้าคือตัวนี้เลย! 10. ลายเสือดาวภายใต้กางเกงเลกกิ้งขาด สะดุดสายตามากๆ…
-
พบขยะกว่า 414 ล้านชิ้น บนเกาะห่างไกลของออสเตรเลีย นักวิจัยเชื่อยังมีอีกมากอยู่ใต้ดิน
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าปัญหาขยะพลาสติกบนโลกนั้น นับว่าเป็นหนึ่งในปัญหาแก้ยากที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน เพราะนอกจากขยะเหล่านี้จะมีอยู่เป็นจำนวนมากแล้ว มันยังสามารถพบได้ในทุกๆ ที่ไม่เว้นแม้แต่ใต้ทะเลด้วย ว่าแต่เชื่อกันหรือไม่ว่าแม้ความน่ากลัวของขยะพลาสติกจะเป็นเรื่องที่เรารู้กันทั่วโลกแล้วก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ก็ยังบอกว่าพวกเรา ยังประมาณปัญหาเหล่านี้ต่ำไปอยู่ดี นั่นเพราะเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ในงานวิจัยซึ่งมีการตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาเปิดเผยว่า ที่หมู่เกาะ “โคโคส” ของประเทศออสเตรเลีย ในปัจจุบันมีขยะพลาสติกลอยไปติดอยู่ถึง 414 ล้านชิ้นทั้งๆ ที่มีคนอาศัยอยู่เพียง 500 คน ขยะพลาสติกที่อยู่บนเกาะโคโคสนั้น มีน้ำหนักรวมกันมากถึง 238 ตัน และมีขยะที่พบเห็นได้บ่อยๆ เป็นฝาขวดน้ำ หลอด รองเท้าแตะ และแปรงสีฟัน ซึ่งนักวิจัยบอกว่าแค่สองอย่างหลังก็มีจำนวนรวมกันกว่าล้านชิ้นแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญของการค้นพบในครั้งนี้ คือสถานที่ที่มีการพบขยะเหล่านี้ต่างหาก เพราะจากรายงานของเหล่านักวิจัย ขยะที่มีการพบนั้น 93% ถูกฝังอยู่ใต้ทรายบนเกาะ และตัวเลขที่เราเห็นนั้น ก็มาจากการขุดลงไปบนทรายแค่ 10 เซนติเมตรเท่านั้น แถมยังมีพื้นที่อีกหลายแห่งที่ทีมค้นหาไม่สามารถเข้าไปได้อีก อ้างอิงจากในงานวิจัย ปริมาณขยะที่อยู่ใต้พื้นเพียงแค่…
-
นักวิจัยชี้ “กัญชา” อาจมีที่มาจากที่ราบสูงทิเบตเมื่อ 28 ล้านปีก่อน อ้างอิงจากฟอสซิลเกสร
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าในปัจจุบันพืชอย่างกัญชานั้น เริ่มที่จะกลายเป็นที่ยอมรับของหลายๆ ประเทศมากขึ้นเมื่อเทียบกับในสมัยก่อน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในปัจจุบันเราจะสามารถเห็นงานวิจัยใหม่ๆ ของกัญชาปรากฏขึ้นมาเต็มไปหมด และเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์ ก็ได้ออกมาเปิดเผยผลการศึกษาใหม่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับกัญชาอีกครั้ง ด้วยการบอกว่ากัญชาแบบในปัจจุบันนั้น อาจมีจุดกำเนิดมาจากที่ราบสูงทิเบตเมื่อราวๆ 28 ล้านปีที่แล้วก็เป็นได้ คงต้องอธิบายก่อนว่า ตั้งแต่ในอดีตนักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนก็เคยมีการตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้อยู่แล้วว่ากัญชานั้น น่าจะมีต้นกำเนิดมาจากทางเอเชียกลาง อ้างอิงจากการตรวจสอบฟอสซิลเกสร อย่างไรก็ตามที่ผ่านๆ มาเรายังไม่เคยมีหลักฐานที่สามารถชี้ชัดได้เลยว่า ส่วนใดของเอเชียกลางกันแน่ที่กัญชากำเนิดขึ้นจริงๆ แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เองเหล่านักวิจัยของมหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์ก็ได้ออกมาบอกว่า การตรวจสอบฟอสซิลเกสรที่ผ่านๆ มานั้นนักวิทยาศาสตร์มักจะนำฟอสซิลเกสรกัญชา (Cannabis) ไปรวมกับฟอสซิลเกสรของฮอบส์ (Humulus) เนื่องจากทั้งสองเป็นพืชวงศ์กัญชาเหมือนกัน ฮอบส์ (Humulus lupulus) หนึ่งในพืชวงศ์กัญชา (Cannabaceae) การกระทำนี้มักจะทำให้การชี้ชัดที่มาของกัญชาทำได้ยากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นเหล่านักวิจัยจึงได้ลองตรวจสอบข้อมูลงานวิจัย 155 ชิ้นใหม่อีกครั้ง โดยทำการแยกฟอสซิลเกสรกัญชาออกจากฟอสซิลเกสรของฮอบส์อย่างชัดเจนดู ในตอนนั้นเองที่พวกเขาพบว่าสายพันธุ์ของกัญชา ไม่เพียงแต่จะแยกออกมาจากฮอบส์เมื่อราวๆ 28 ล้านปีก่อนเท่านั้น แต่มันยังมีความคล้ายคลึงกับพืชอีกสกุลที่ชื่อว่า “Artemisia” มากถึงขั้นที่ว่าพืชสองชนิดนี้มักจะเติบโตในที่เดียวกันเสมอ …
-
ย้อนรอย “ฮัชชาชียะห์” นักลอบสังหารจากศตวรรษที่ 11 ที่อาจเป็นต้นแบบคำว่า “แอสซาซิน”
เชื่อว่าในช่วงนี้ คงมีหลายคนไม่น้อยที่ได้ยินชื่อของ “ฮัชชาชียะห์” หรือ “ฮัสชาชิน” (Hashshashins) มาจากสื่อต่างๆ อย่างภาพยนตร์หรือเกม ในฐานะของนักลอบสังหารรุ่นแรกๆ และหนึ่งในความเป็นไปได้ของที่มาของคำว่า “Assassin” ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าคนเหล่านี้ เป็นใครมาจากไหนกันแน่ ฮัชชาชียะห์ คือเหล่านักฆ่าที่มีบทบาทเป็นอย่างมากในแถบเปอร์เซียและซีเรียในศตวรรษที่ 11 ว่ากันกว่าถูกก่อตั้งขึ้นมาเป็นครั้งแรกในฐานะผู้ติดตามส่วนตัวของ “ฮัสซัน อิ ซับบาห์” ผู้นำของ “นิซาริส” นักรบของเหล่า “อิสมาอีลียะฮ์” กลุ่มความเชื่อกลุ่มหนึ่งจากนิกายชีอะฮ์อีกที นี่เป็นกลุ่มนักรบที่ได้รับการฝึกฝนที่หลากหลายมากๆ และทำหน้าที่คล้ายหน่วยรบพิเศษให้กับอิสมาอีลียะฮ์ อย่างไรก็ตามแทนที่จะเข้ารบกับศัตรูแบบซึ่งๆ หน้าเพียงอย่างเดียวนักรบเหล่านี้กลับมีความชำนาญเป็นพิเศษในการลอบสังหาร สร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าศัตรูของ ฮัสซัน อิ ซับบาห์มาอย่างยาวนาน ว่ากันว่าฮัชชาชียะห์สามารถเดินทางไปได้ในแทบทุกที่โดยที่ไม่มีใครรู้ และสังหารได้แม้แต่ราชา ซึ่งผลงานที่ทำให้พวกเขาโด่งดังในประวัติศาสตร์ก็อย่างเช่นการสังหารขุนนาง “คอนราดแห่งมงแฟรา” ผู้หนึ่งในผู้นำทัพแห่งสงครามครูเสดครั้งที่สาม ด้วยการปลอมตัวเป็นพระคริสเตียน ภาพการสังหาร Nizam al-Mulk นักวิชาการและราชมนตรีของเซลจุคตุรกี หนึ่งในผลงานสำคัญของฮัชชาชียะห์ นอกจากนี้เหล่าฮัชชาชียะห์ยังมีชื่อเสียงในด้านสงครามทางจิตวิทยาเป็นอย่างมากอีกด้วย อย่างซาลาดินสุลต่านยอดนักรบเอง ก็เคยตื่นมาพบว่ามีมีดอาบยาพิษพร้อมข้อความจากฮัชชาชียะห์ที่ว่าหากจะฆ่าเขาหากเขาไม่ถอนทัพด้วย ซึ่งสร้างความหวาดกลัวแก่ซาลาดินมากจนเขายอมสงบศึกกับฮัชชาชียะห์เลย น่าเสียดายที่เรื่องราวของฮัชชาชียะห์นั้น โดยมากแล้วจะเป็นการบอกเล่าจากมุมของเหยื่อหรือศัตรูของฮัสซัน อิ…
-
งานวิจัยบอก คนเราจะรักสุนัขหรือไม่ อาจมีตัวแปรสำคัญมาจาก DNA!!
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันว่าโลกของเรานั้นมีคนอยู่สองประเภท หนึ่งคือรักสุนัข และสองคือทาสแมว ซึ่งที่ผ่านๆ มาเราเคยเชื่อกันมาตลอดว่าเรื่องพวกนี้เป็นอะไรที่ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนเท่านั้น ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าเมื่อล่าสุดนี้เอง เหล่านักวิจัยของประเทศอังกฤษและสวีเดนได้ทำการค้นพบใหม่ที่บอกว่า คนเรานั้นจะรักสุนัขหรือไม่ มันมีตัวแปรสำคัญจาก DNA ด้วย!! นี่เป็นงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับงานวิจัยก่อนหน้าที่บอกว่า เด็กในบ้านที่พ่อแม่เลี้ยงสุนัข มักจะมีแนวโน้มที่จะรับเลี้ยงสุนัขเมื่อโตตามไปด้วย โดยการทดลองครั้งนี้ มุ่งเป้าไปที่การหาว่าลักษณะ DNA ของคนมีความเกี่ยวข้องกับการที่คนตัดสินใจรับเลี้ยงสุนัขหรือไม่นั่นเอง ในการทำการวิจัยครั้งนี้ ทางนักวิจัยได้ทำการสำรวจคู่แฝด 35,035 คู่ ในประเทศสวีเดน ทั้งแบบที่เป็นแฝดแท้ซึ่งมีลักษณะ DNA ใกล้เคียงกัน และแฝดเทียมซึ่งมีลักษณะ DNA ค่อนข้างต่างกัน โดยลักษณะของ DNA เหล่านี้เองคือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์นำมาใช้ตัดสินว่า พันธุกรรมจะมีผลกับพฤติกรรมและความชอบของมนุษย์หรือไม่นั่นเอง เพราะหากคู่แฝดแท้มีปริมาณการรับเลี้ยงสุนัขที่มากกว่าหรือน้อยกว่า แฝดเทียมอย่างเห็นได้ชัด มันก็หมายความว่าลักษณะ DNA มีความเกี่ยวข้องกับความชอบ (หรือเกลียด) ตามไปด้วย และเมื่อผลการวิจัยออกมา เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบว่า คู่แฝดที่เป็นแฝดแท้จะมีโอกาสรับเลี้ยงสุนัขมากกว่า คู่แฝดที่เป็นแฝดเทียมถึง 50% ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่า พันธุกรรมอาจมีบทบาทสำคัญในความชอบของคน หรืออย่างน้อยๆ ก็ในการตัดสินใจเลี้ยงสุนัขจริงๆ น่าเสียดายที่ตัวเลขที่ออกมานี้สามารถบอกเราได้เพียงแค่ว่า…
-
ไขปริศนา ทำไมขนมโตเกียว ถึงต้องมี ‘เส้นยึกๆ ยือๆ’ บางร้านมี บางร้านก็ไม่มี!?
สำหรับหลายๆ คนแล้ว ‘ขนมโตเกียว’ คงเป็นหนึ่งในขนมที่ผ่านปากกันมาแล้วนักต่อนัก หลายคนก็มีความชอบแตกต่างกันออกไป ทั้งไส้หวาน ไส้เค็ม ใส่ไข่ ไม่ใส่ไข่ ก็แล้วแต่รสนิยมการกินของแต่ละคน แต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันมั้ยครับ ว่าทำไมเวลาเราสั่งซื้อโตเกียวบางร้าน ทำไมคนขายต้องทำเส้นยึกๆ ยือๆ อยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของขนมโตเกียวด้วย? แต่ทำไมบางร้านถึงไม่มี? เผื่อหลายคนสงสัย ลองไปชมภาพปลากรอบ เอ๊ย ประกอบกันดูครับ เรื่องความสงสัยมันเริ่มมาจากโพสต์ของเพจ สลอต ที่หลายครั้งมักจะเอาคำถามแปลกๆ ชวนปวดหัวจากลูกเพจมาแชร์อยู่เป็นประจำ และในครั้งนี้ก็เป็นเรื่องของเส้นยึกๆ ยือๆ บนขนมโตเกียว จึงเกิดเป็นประเด็นถกเถียงขึ้นมาในโลกโซเชียลว่า สรุปแล้วมันมีไว้ทำอะไร? ลองไปอ่านความเห็นของลูกเพจสลอตกันดูครับ ห๊ะ!? ดะ เดี๋ยว!! อาจจะเป็นลายเซ็นของร้านก็ได้ ลืมไปว่าที่นี่คือเพจ สลอต ก็เลยได้ความเห็นน่าปวดหัวเหล่านี้มา เอาล่ะครับเราไปเข้าเรื่องที่เป็นสาระกันบ้าง ก็คือว่ามีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า Pi Shetshotisak ได้เขียนข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ‘ขนมโตเกียว’ เอาไว้ ซึ่งมีหลากหลายข้อมากๆ และที่สำคัญมีอธิบายถึงไอ้เส้นยึกๆ…
-
ชาวเน็ตปวดหัว หลังมีโพลบอกว่า 56% ของคนสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้มีการสอนเลขอารบิก
กลายเป็นกระแสโด่งดังในโลกอินเตอร์เน็ตของสหรัฐอเมริกาไปเสียแล้ว เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา คุณ John Dick ผู้บริหารของบริษัทวิจัยในพิตส์เบิร์ก “Civic Science” ได้ออกมาเปิดเผยผลโพลแบบสอบถามชิ้นหนึ่งที่บอกว่ามีคนสหรัฐฯ มากถึง 56% ที่ไม่ต้องการใช้มีการสอนเลขอารบิกในประเทศ ข่าวที่ว่านี้มาพร้อมกับความเห็นของ John Dick ที่ว่า นี่คือตัวอย่างที่ทั้งน่าขำและน่าเศร้าที่สุดของความดันทุรังของชาวอเมริกันเลย Ladies and Gentlemen: The saddest and funniest testament to American bigotry we've ever seen in our data. pic.twitter.com/Bh3FBsl8sR — John Dick (@jdcivicscience) May 11, 2019 อย่างที่เพื่อนๆ สามารถเห็นกันได้ในผลโพล นี่เป็นการสำรวจความเห็นของชาวอเมริกันว่า “โรงเรียนในอเมริกาควรจะมีการสอนเลขอารบิกเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรหรือไม่” ซึ่งมีผู้เข้าไปรวมตอบมากถึง 3,624 คน และมีกว่า 2,020…
-
งานวิจัยใหม่พบ “ตัวเรือด” ที่คอยดูดเลือดเรา อาจมีชีวิตอยู่บนโลกมาตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์แล้ว
เชื่อว่าตั้งแต่เด็กจนโต เพื่อนๆ คงจะเคยมีประสบการณ์ถูก “ตัวเรือด” หรือ “Bedbugs” ดูดเลือดกันมาบ้างสักครั้ง และคงจะเคยคิดกันขึ้นมาบ้างว่าเจ้าแมลงพวกนี้มันมาจากไหนกัน ว่าแต่เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่าเจ้าตัวเรือดสุดน่ารำคาญนี้ เอาเข้าจริงๆ แล้วอยู่บนโลกมานานกว่ามนุษย์เสียอีก ในงานวิจัยใหม่ล่าสุดที่มีการตีพิมพ์ไปเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักวิจัยได้ใช้เวลากว่า 15 ปีที่ผ่านมาในการเก็บตัวอย่าง ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับตัวเรือดจากทั่วโลก และพบว่าสัตว์เหล่านี้ มีสาย DNA ที่เก่าแก่และยาวนานมาตั้งแต่สมัยไดโนเสาร์ หรือเมื่อ 115 ล้านปีก่อนเลย นี่เป็นงานวิจัยที่ได้รับความสนใจจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกเป็นอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาเราเคยคิดว่าเหยื่อรายแรกๆ ของตัวเรือดนั้น น่าจะเป็นค้างคาวที่มีชีวิตอยู่บนโลกมาตั้งแต่ 50 ล้านปีก่อนเท่านั้น อ้างอิงจากทีมวิจัย พวกเขายังไม่อาจฟันธงได้ว่าเหยื่อของตัวเรือดในสมัยก่อนเป็นตัวอะไรกันแน่ แต่อย่างไรก็ตามคุณ Steffen Roth หนึ่งในทีมวิจัยก็เชื่อว่าเหยื่อของพวกมันคงจะไม่ใช่ไดโนเสาร์อย่างที่หลายๆ คนหวัง นั่นเพราะตามปกติแล้วตัวเรือด มักจะเลือกเหยื่อที่อาศัยอยู่ในรังเป็นที่เป็นทางอย่างนก ค้างคาว หรือมนุษย์เป็นหลัก ซึ่งไดโนเสาร์ส่วนมากจะอพยพจากพื้นที่หนึ่งไปอีกพื้นที่หนึ่งเสียมากกว่า ในปัจจุบันทีมนักวิจัยได้วางแผนที่จะศึกษาต่อยอดงานวิจัยชิ้นนี้ เพื่อหาว่าทำไมเจ้าตัวเรือดเหล่านี้จึงวิวัฒนาการคุณสมบัติที่จำเป็นในการดูดเลือดมาอย่างยาวนานขนาดนี้กัน ซึ่งหากโชคดี…
-
นักวิจัยเตือน เราควรมีกฎหมายคุ้มครองแร่อวกาศ เพราะมนุษย์อาจทำให้ระบบสุริยะพังได้
ในโลกที่มีทรัพยากรของอย่างจำกัด แต่กลับมีความต้องการที่ไร้ขีดจำกัดเช่นนี้ เชื่อว่าคงมีคนไม่น้อยที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าและคิดว่าจะดีแค่ไหนหากเราสามารถเดินทางขึ้นไปหาวัตถุดิบจากดาวดวงอื่นได้ เพียงแต่ในระหว่างที่หลายๆ คนมีความคิดแบบนั้นเอง กลุ่มคนอีกหลายๆ คน ที่เริ่มกังวลว่าการขึ้นไป “ขุดแร่” บนอวกาศเช่นนี้ อาจจะนำมาซึ่งผลเสียต่อดวงดาวอื่นๆ โดยเฉพาะในระบบสุริยะของเราก็เป็นได้ นั่นทำให้เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีเหล่านักวิจัยกลุ่มหนึ่งออกมาเตือนในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Acta Astronautica ว่า พวกเราควรจะมีการออกกฎหมายปกป้องคุ้มครองดวงดาวราวๆ 85% ของสุริยะไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อไม่ให้ดวงดาวถูกนำไป “ใช้งาน” โดยมนุษย์ในระดับที่มากเกินไป นี่เป็นแนวคิดที่ได้แรงบันดาลใจมาจากระบบอุทยานแห่งชาติของโลก บวกกับความกลัวที่ว่าทันทีที่สามารถทำได้ มนุษย์เราจะแห่กันไปเก็บทรัพยากรจากดาวต่างๆ ไม่ต่างจากยุคตื่นทอง หรือยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม อ้างอิงจากในงานวิจัย มนุษย์เรานั้นมีความต้องการวัตถุดิบแบบเหล็กสูงขึ้นเป็นเท่าตัวทุกๆ 20 ปี แถมตัวเลขนี้ยังไม่มีทีท่าที่จะหยุดลงด้วย ดังนั้นหากไม่ระวังให้ดี มันก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่ซึ่งมนุษย์สามารถทำให้ดวงดาวทั้งหมดในระบบสุริยะกลายเป็นแดนรกร้างได้ในเวลาเพียง 460 ปี ดังนั้นแล้ว เหล่านักวิจัยจึงออกมาเตือนว่าเพื่อที่จะป้องกันการใช้งานทรัพยากรที่มากเกินไปของมนุษย์ในอนาคต เราควรจะรีบออกกฎหมายคุ้มครองทรัพยากรอวกาศเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้นั่นเอง ที่มา dailymail, techtimes และ livescience
-
นักวิทย์อังกฤษสร้างสิ่งมีชีวิตจาก DNA สังเคราะห์ได้สำเร็จ โดยใช้แบคทีเรียเป็นต้นแบบ
การสร้างสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ขึ้นมา สำหรับมนุษย์แล้วเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และนำมาซึ่งความเห็นที่แตกต่างกันมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามมันก็เป็นความฝันที่นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนพยายามที่จะทำให้มันกลายเป็นจริงอยู่ดี และแล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง ดูเหมือนว่าเหล่านักวิทยาศาสตร์ของอังกฤษ จะเข้าใกล้การสร้างสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ขึ้นไปอีกก้าวแล้วก็เป็นได้ เพราะพวกเขาได้ออกมาเปิดเผยว่าพวกเขาสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตระดับแบคทีเรียจาก DNA สังเคราะห์ได้สำเร็จแล้วนั่นเอง สิ่งมีชีวิตตัวใหม่นี้ถูกเรียกด้วยชื่อว่า “Syn61” แบคทีเรียสังเคราะห์ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ E. coli (Escherichia coli) แบคทีเรียที่พบได้บ่อยๆ ในสัตว์และอาหารเป็นต้นแบบ เหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์เลือกใช้ E. coli เป็นต้นแบบของ Syn61 นั้นถูกอธิบายโดยนักวิทยาศาสตร์ไว้ว่ามีเหตุผลมาจากการที่แบคทีเรียตัวนี้มีความสามารถในการเอาชีวิตรอดได้สูง แม้ว่าจะมีรหัสพันธุกรรมที่ต่ำ ภาพของแบคทีเรีย E. coli แต่แม้จะบอกว่ามีรหัสพันธุกรรมของต้นแบบที่ต่ำ อ้างอิงจากเหล่านักวิจัย Syn61 นั้นถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยรหัสพันธุกรรมถึงกว่า 4 ล้านตัว ทำให้ Syn61 นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจีโนมสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างมา โดยเจ้าแบคทีเรียเทียมตัวนี้จะมีความแข็งแรงต่ำกว่า E. coli ซึ่งเป็นต้นแบบ เติบโตช้ากว่าราวๆ 60% และเมื่อเทียบกันแล้วมีขนาดตัวที่ยาวกว่าต้นแบบเล็กน้อย ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นผลพวงมาจากการปรับปรุงพันธุกรรมกว่า 18,000 ครั้ง …
-
นักวิจัยพบ ภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงอาจทำให้สัตว์ทะเลตาบอดได้ เพราะออกซิเจนในน้ำลดลง
ผลกระทบจากภาวะอากาศโลกเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับโลกนั้น ในปัจจุบันเป็นเรื่องที่ผู้คนหลายๆ ฝ่ายเป็นกังวลกันเป็นอย่างมาก เพราะตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เราก็มีงานวิจัยมากมายที่ออกมาบอกว่าภาวะอากาศโลกเปลี่ยนแปลงมีอันตรายกับสิ่งมีชีวิตหลายๆ ชนิดมากมายขนาดไหน และแล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง งานวิจัยชิ้นใหม่ล่าสุดที่มีการตีพิมพ์แบบออนไลน์ในวารสาร Journal of Experimental Biology ไปเมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2019 ก็ได้ออกมาเปิดเผยการค้นพบที่ว่า ในปัจจุบันมีสัตว์ทะเลบางชนิดที่อาจจะตาบอดได้ หากสภาพแวดล้อมยังคงมีการเปลี่ยนแปลงแบบในปัจจุบัน นั่นเพราะภายในงานวิจัยชิ้นนี้ ทีมนักวิจัยได้ทำการค้นพบว่าปริมาณ “ออกซิเจน” ในน้ำมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของจอประสาทตาของสัตว์น้ำ (อย่างน้อยๆ ก็สี่ชนิดที่ใช้ในการทดลอง) มากกว่าที่เราคิด อ้างอิงจากข้อมูลที่เปิดเผยออกมา งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการทดลองนำตัวอ่อนสัตว์น้ำ 4 ชนิด ซึ่งประกอบไปด้วย หมึกกระดอง Doryteuthis opalescens หมึกสาย Octopus bimaculatus ปู Pleuroncodes planipes และปู Metacarcinus gracilis ไปทดลองการตอบสนองต่อภาวะออกซิเจนต่ำเป็นเวลา 30 นาที พวกเขาพบว่าตัวอ่อนของสัตว์ทั้ง 4 ชนิดนี้ แม้ว่าจะมีระดับความแตกต่างของระดับผลกระทบอยู่บ้าง…
-
แนะนำ 5 ลิปสติกสีแดงก่ำ เข้ากับทุกลุกทุกสไตล์ เรียกได้ว่าทาไปไหนก็รอด
ว่ากันว่าสาวๆ กับเครื่องสำอางเป็นของคู่กัน ต่อให้มีปากเดียว แต่ลิปสติกจะมีสีเดียวไม่ได้! เพราะในแต่ละวันสาวๆ ต้องทำกิจกรรมมากมาย โทนการแต่งหน้าก็เปลี่ยนไปตามความเหมาะสมด้วย การเลือกสีลิปสติกจึงเป็นสิ่งที่สาวๆ ให้ความสำคัญ ซึ่งสีลิปสติกยอดนิยมที่ครองใจสาวๆ มานานจนถึงตอนนี้ คงหนีไม่พ้นลิปสติกโทนแดงก่ำ ที่สามารถปรับให้เข้ากับทุกลุกทุกสไตล์ เรียกได้ว่าทาไปไหนก็รอด ถ้าเพื่อนๆ คนไหนกำลังมองหาลิปสติกโทนสีนี้อยู่ เรามีตัวเลือกมาให้ทุกคนได้พิจารณา ว่าแต่จะมีลิปสติกจากแบรนด์ไหนบ้างนั้น ตามเราไปดูได้เลย… L’Oréal Paris Matte Lipstick by Color riche #298 ลิปสติกสีแดงก่ำ ทำให้ริมฝีปากดูสุขภาพมีสุขภาพดี เข้ากับ Everyday Look ทุกแบบ ทุกสไตล์ . Maybelline Super Stay Matte lnk #210 สาวๆ คนไหนที่มองหาลิปสติกที่ติดทนนาน กินเยอะขนาดไหนก็เอาอยู่ ลิปสติกรุ่นนี้จาก Maybelline ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง ซึ่งสี #210 ยังเป็นสียอดนิยม เข้าได้กับแทบทุกสีผิว . …
-
นักวิจัยพบสัตว์น้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีใต้ทะเลลึก เชื่อมาจากนิวเคลียร์ช่วงสงครามเย็น
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีกว่าอิทธิพลการจากการใช้ชีวิตของมนุษย์นั้นส่งผลต่อธรรมชาติมากมายกว่าที่เราคิด เพราะในปัจจุบัน เรียกได้ว่าเราแทบจะสามารถพบของเสียจากการใช้ชีวิตของมนุษย์อยู่ได้ในทุกๆ ที่ไม่เว้นแม้แต่ใต้ทะเลลึกเลย และเมื่อล่าสุดนี้เอง เราก็ได้พบกับข่าวที่ไม่ดีเท่าไหร่เกี่ยวกับอิทธิพลการจากการใช้ชีวิตของมนุษย์ต่อธรรมชาติอีกครั้ง เมื่อในงานวิจัยใหม่ล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Geophysical Research Letters เหล่านักวิจัยได้ออกมาบอกว่าพวกเขาพบร่องรอยของอนุภาคนิวเคลียร์ ลึกลงไปใต้น้ำทะเล 11 กิโลเมตร โดยอนุภาคนิวเคลียร์ที่ถูกพบในครั้งนี้ ปนเปื้อนอยู่ในเนื้อของสัตว์เปลือกแข็งอย่าง “แอมฟิพอด” ซึ่งอาศัยอยู่ในร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาอันเป็นร่องลึกก้นสมุทรที่ลึกที่สุดในโลก และเชื่อกันว่าเป็นอนุภาคนิวเคลียร์ ที่เกิดขึ้นจากการทดสอบระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามเย็น ภาพของแอมฟิพอดสายพันธุ์ Lanceola clausi ซึ่งมีนักวิจัยพบว่าปนเปื้อนอนุภาคนิวเคลียร์ ทีมนักวิจัยบอกว่าสัตว์อย่างแอมฟิพอดนั้นมีความเหมาะสมสำหรับวัดค่าสารต่างๆ ในสิ่งแวดล้อมด้วยเหตุผลหลายอย่าง แต่ที่สำคัญคือพวกมันมีการวิวัฒนาการระบบการดูดซึมที่ช้า และลดการหมุนเวียนของเซลล์ลงเพื่อให้ร่างกายเก็บพลังงานไว้ใช้ได้เป็นเวลานาน ลักษณะร่างกายแบบนี้ทำให้พวกมันมักจะเก็บสารแปลกปลอมไว้ในร่างกายเป็นเวลานานกว่าสัตว์อื่นๆ มาก และหนึ่งในสารแปลกปลอมที่นักวิจัยพบว่ามีอยู่เป็นจำนวนมากในร่างกายของมันก็คือ สารกัมมันตรังสีอย่าง Carbon-14 นั่นเอง ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา สถานที่ซึ่งแอมฟิพอดถูกจับมาวิจัย เป็นไปได้ว่าในอดีตแอมฟิพอดเหล่านี้จะกินเหยื่อที่ปนเปื้อน Carbon-14 และจมลงมาจากพื้นผิวของมหาสมุทรอีกที ซึ่งทำให้พวกมันมีปริมาณของ Carbon-14 อยู่ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับภาวะแวดล้อมโดยรอบ อ้างอิงจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ยังแต่ช่วงปี 1945-1963 ได้มีระเบิดนิวเคลียร์รวมๆ แล้วประมาณ…
-
ทำความรู้จักกับอาการ “ผีอำ” ความผิดปกติทางการนอน ที่หลอกหลอนผู้คนมาตั้งแต่ในอดีต
เคยเป็นกันไหม ที่รู้สึกตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันในยามค่ำคืนและพบว่าตัวเองไม่สามารถขยับหรือส่งเสียงได้ ราวกับว่ามีคนมานั่งทับและบีบคอ แถมในบางครั้งเราก็สามารถมองเห็นเงาคนแปลกๆ ในที่ที่ไม่ควรจะมีอยู่ด้วย อาการเหล่านี้คืออาการที่มีชื่อว่า “Sleep Paralysis” หรือที่หลายๆ คนอาจจะรู้จักกันดีในฐานะอาการ “ผีอำ” ซึ่งแม้จะฟังดูเป็นอาการที่น่ากลัว แต่ก็เกิดขึ้นบ่อยกว่าที่เราคิด ผีอำกับประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าผีอำเป็นอาการที่อยู่คู่กับมนุษย์มาค่อนข้างยาวนาน และไม่ได้มีการพูดถึงเฉพาะในไทยเท่านั้น เพราะอาการนี้มีการกล่าวถึงในตำนานและเรื่องเล่าพื้นบ้านในแทบทุกมุมโลก โดยการเรียกที่ต่างๆ กันไปอย่าง “Old hag” และ “Mare” ของทางตะวันตก หรือ “ดาโช” ของประเทศลาว หลักฐานทางการแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุดของอาการผีอำนั้น ถูกบันทึกไว้โดยแพทย์ชาวดัตช์ในปี 1664 โดยเป็นการอธิบายว่าคนไข้คนหนึ่งว่ามีอาการคล้ายโดนอินคิวบัส หรือ Mare โจมตีในยามหลับ ตัวจริงของผีอำ แน่นอนว่าสำหรับในปัจจุบัน Sleep Paralysis หรือผีอำนั้นไม่ใช่เหตุการณ์ทางไสยศาสตร์อีกต่อไป กลับกันมันเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระหว่างการนอน ซึ่งเกิดขึ้นในขณะช่วงการหลับที่เราเรียกกันว่า “REM Sleep” (Rapid eye movement) นั่นเพราะตามปกติในช่วงการนอนหลับนี้ สมองของเราจะมีการยับยั้งการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วยเหตุผลบางอย่าง…
-
รู้จักระบบ SUPER MATCH ที่ถูกนำมาใช้ “หางาน” ให้คุณเจองานที่ใช่ ง่ายกว่าธานอสดีดนิ้ว!!
ช่วงนี้ใครๆ ก็บอกว่าหางานยาก ต้องออกจากบ้านไปสมัคร เดินเหงื่อท่วมทั้งวันก็ยังไม่เจองานเลย และถึงแม้จะเข้าสู่ยุคออนไลน์ ที่ใครๆ ก็หางานผ่านอินเตอร์เน็ต แต่ทว่าก็ยังคงมีปัญหาเรื่องของผู้สมัครขาดคุณสมบัติ กรอกคุณสมบัติไปไม่ครบ หรืองานที่ไม่ตรงใจอยู่ดี JOBTOPGUN เว็บไซต์สมัครงานชั้นนำของไทย เล็งเห็นถึงปัญหานี้ จึงได้นำเสนอเทคโนโลยีที่ยกระดับการสมัครงาน ไปอีกขั้น จะดีแค่ไหนถ้าคุณสามารถค้นหางานทำง่ายๆ ได้จากที่บ้านของตัวเอง และที่สำคัญ ยังมีระบบที่เลือก “งานที่ชอบ” ให้คู่กับ “คนที่ใช่” แบบไม่ผิดหวังอีกด้วย แค่ฟังดูก็รู้เลยว่ามันจะ “ว๊าวววว” ขนาดไหนเลยใช่มั้ยล่ะ จะมัวรอช้ากันอยู่ใย เราไปทำความรู้จักกับเจ้าระบบสุดล้ำนี้กันเลย รู้จักกับ SUPER RESUME เริ่มแรกเราจะขอพูดถึง SUPER RESUME กันก่อน ซึ่งถ้าจะเรียกง่ายๆ เลยมันก็คือ “เรซูเม่อัจฉริยะ” ที่ตอบโจทย์ให้แก่ทั้งผู้ที่กำลังหางานและบริษัทที่กำลังหาคนเข้ามาทำงานด้วย ทางเว็บไซต์ JOBTOPGUN ได้วิเคราะห์ข้อมูลกับฝ่ายบุคคล (HR) จากบริษัทชั้นนำหลากหลายแห่ง เพื่อให้รู้ว่าพวกเขาใช้เกณฑ์พิจารณาจากเรซูเม่อย่างไร และสนใจในเรื่องใดบ้างสำหรับการคัดเลือกคนมาสัมภาษณ์เข้าทำงาน เราจึงไม่ต้องมานั่งคิดเอาเองว่าต้องเขียนเรื่องอะไรลงไปบ้าง เพราะพวกเขาได้เตรียมหัวข้อที่จำเป็นเอาไว้ให้หมดแล้ว ขอเพียงแค่กรอกลงไป ทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้น ไม่พลาดรายละเอียดสำคัญๆ อย่างแน่นอน…
-
เผย 8 เหตุผลไขข้อสงสัย “ทำไมเราถึงตกหลุมรักคนแบบเดิม” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การตัดสินใจชอบใครสักคนที่ถูกตาต้องใจนั้น เพื่อนๆ เคยสงสัยมั้ยว่าเกิดขึ้นจากอะไร? ทำไมเราถึงต้องชอบคนๆ นี้? นิสัยและรูปร่างแบบนี้? ทำไมถึงจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้? ยิ่งไปกว่านั้น หากเพื่อนๆ ลองสังเกตถึงสไตล์ของคนที่เคยชอบดูอาจจะพบถึงความคล้ายกันบางประการของแต่ละคน เช่น บางทีอาจตกหลุมรักแต่นักดนตรีซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือชอบคนเนิร์ดๆ ใส่แว่น ตี๋ๆ หรือหากไม่ใช่ที่หน้าตาก็อาจจะเป็นที่นิสัยใจคอ เป็นต้น เชื่อเถอะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นมักจะมีเหตุผลเสมอ และเหตุผลที่เพื่อนๆ มักจะตกหลุมรักคนเดิมๆ ที่ตั้งใจจะนำเสนอวันนี้ก็มีถึง 8 ข้อด้วยกัน ไปดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง 1. ครอบครัว หรือเพื่อน Katie Chan ผู้เชี่ยวชาญด้านการหาคู่อธิบายไว้ว่าเพราะเพื่อนหรือคนรอบตัวมักจะมีส่วนช่วยในการตัดสินว่าคู่เดตที่คุณถูกใจนั้นผ่านมาตรฐานหรือไม่ นั่นทำให้คุณมีแนวโน้มจะเลือกคนที่คนรอบๆ ตัวถูกใจด้วยจนการเป็นสไตล์แบบเดิมๆ 2. เคมีในร่างกาย Helen Fisher นักมานุษยวิทยาเชื่อว่าที่เราตกหลุมรักใครสักคนแบบเดิมๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเคมีที่มีต่อกัน เช่น สารโดพามีน สารเซโรโทนิน สารเทสโทสเทอโร และสารเอสโตรเจน ซึ่งความสูง – ต่ำของสารแต่ละชนิดก็จะสร้างบุคลิกของแต่ละบุคคลที่ไม่เหมือนกัน 3. DNA…
-
9 ประโยชน์ของ ‘การร้องไห้’ ที่เรายังไม่รู้ มันไม่ได้แสดงถึง “ความอ่อนแอ” เสมอไป
แม้หลายคนจะมองว่า ‘การร้องไห้’ แสดงถึงความอ่อนแอ มองว่า ‘น้ำตา’ สำหรับผู้แพ้เท่านั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ออกมาบอกแล้วว่าการร้องไห้ไม่ได้แย่อย่างที่คิด การหลั่งน้ำตาเป็นการระบายความรู้สึกอย่างหนึ่ง บางครั้งเราก็หลั่งน้ำตาออกมาเพราะความสุข แต่ในบางคราวเราก็ร้องไห้เพราะความเสียใจ น้ำตาจึงช่วยเยียวยาของจิตใจของเราให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ลองมาดูกันว่าการร้องไห้ มีผลอย่างไรต่อร่างกายของเราบ้าง 1. คลายความเครียด การร้องไห้เป็นระบบป้องกันตัวเองของร่างกาย กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งเป็นระบบประสาทที่ทำงานในสภาวะพักผ่อนของร่างกาย ช่วยคลายความเครียด 2. ลดความดันโลหิต ความเครียด ความเสียใจ ทำให้หัวใจทำงานหนัก การร้องไห้จึงช่วยปรับระดับการเต้นหัวใจของเราให้เป็นปกติ 3. ลดความวิตกกังวล การหลั่งน้ำตาเป็นการะบายความกังวลข้างในจิตใจ ทำให้รู้สึกดีขึ้น 4. ตอบสนองความเจ็บปวดของร่างกาย ตอนเด็กๆ เราอาจจะเคยวิ่งหกล้มหรือได้รับบาดเจ็บจนร้องไห้ ทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ออกมาบรรเทาอาการเจ็บปวด 5. ปรับสมดุลให้กลับมาปกติ การร้องให้ช่วยให้ใจเย็นลง เป็นกลไกทางธรรมชาติของร่างกายช่วยให้มองปัญหาต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น 6. ทำให้เห็นถึงพลังสนับสนุนของคนรอบข้าง เป็นธรรมดา เมื่อเราเป็นคนขึ้นร้องไห้เรามักจะให้กำลังใจ เพราะต่างคนต่างเข้าใจความรู้สึกซึ่งกันและกันดี การร้องได้ออกมาจึงทำให้เราเห็นว่ายังมีคนที่คอยอยู่ข้างเราเสมอ 7.…
-
รวม 14 รูปภาพโชว์ “ความแตกต่างของหญิง VS ชาย” ในสถานการณ์ต่างๆ ที่แอบตรงซะด้วย
“หญิง” และ “ชาย” เป็นคำจำกัดความทางเพศของมนุษย์ ที่บ่งบอกถึงความแตกต่างของทั้งสองเพศ ที่ใช้กันเป็นปกติทั่วไป ความแตกต่างของทั้งสองเพศนั้นมีหลายอย่าง ทั้งรูปร่าง อวัยวะ ฮอร์โมน หรือนิสัยใจคอ เหล่านี้ล้วนทำให้ทั้งหญิงและชายไม่เหมือนกัน จึงเกิดเป็นภาพการ์ตูนชุดนี้ที่ BrightSide ได้จำลองสถานการณ์ต่างๆ แสดงให้เห็นว่าหญิงและชายนั้นไม่เหมือนกันสุดๆ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ลักษณะนิสัยใจคอของหญิงและชายจะไม่เหมือนกัน แต่ต่างก็ต้องการกันและกันเพื่อสร้างความสมดุลให้ชีวิตอยู่ดี ไปรับชมกันเลยจ้าาา 1. ไปทำผม ผู้ชายไปตัดผมได้ทรงที่ถูกใจ พร้อมเสียเงินไปแค่ 50 บาท ในขณะที่ผู้หญิงคิดแล้วคิดอีกว่าจะเอาทรงผมอะไรดี ก่อนจะจ่ายตังค์ไป 500 บาท แต่ทรงผมที่ได้ก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ 2. อกหัก ตอนแรกผู้ชายก็ดูอยู่ได้ชิลๆ ในขณะที่ผู้หญิงร้องไห้จะเป็นจะตาย เอาล่ะ อาทิตย์ต่อมาผู้ชายเริ่มเศร้า ในขณะที่ผู้หญิงเริ่มรักตัวเองมากขึ้น พอผ่านไปหนึ่งเดือน ผู้ชายถึงจะเริ่มเข้าใจว่าขาดเธอไม่ได้ แต่ตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว เพราะเธอก็เยียวยาตัวเองได้แล้ว 3. เข้าห้องน้ำ ผู้หญิงก็รอต่อคิวน๊านนานนนนนนน รอก็นาน เข้ากันทีก็นานมากกกกก อั้นรอวนไป แต่ผู้ชายคือมีห้องน้ำนะ แต่ไม่ต้องใช้ก็ได้…
-
เมื่อชุดราตรีไม่ใช่ทาง! รวมไอเดียชุดไปงานแต่งแบบแจ่มๆ ใส่ได้ทุกโอกาสแค่มิกซ์ & แมทช์
สาวๆ เคยพบปัญหาการเตรียมชุดไปงานแต่งเพื่อนไม่ถูกกันบ้างมั้ย? ชุดราตรียาวๆ บางครั้งก็ดูจำเจไม่เป็นตัวเราเอาซะเลย ปัญหานั้นจะหมดไปเพราะ #เหมียวเมษา ได้รวบรวมแฟชั่นสำหรับใส่ชุดไปงานแต่งอันเก๋กู๊ด ไม่จำเจไว้ให้แล้ว! ชุดแฟชั่นสำหรับใส่ชุดไปงานแต่งเก๋ๆ นั้นมีทั้งหมด 17 ชุดด้วยกัน บอกเลยว่าสวย ไม่ซ้ำซาก ใส่ได้ทุกโอกาส มีทุกแบบ ทุกสไตล์ให้ดูเป็นไอเดียเผื่อไว้ในอนาคต ชอบชุดไหนอย่าลืมนำไปเลือกซื้อเลือกหากันได้นะ หลายๆ ชุดเอาไปดัดแปลงกับกระเป๋า รองเท้าก็สวยได้หลายแนวเลย ลองเลื่อนลงไปดูกันจ้า… สีเขียวเอิร์ธโทนสบายตา . เรียบๆ แต่เก๋มาก เหมาะกับทุกงานเลย! เป็นคู่สีที่ลงตัวสุดๆ ขอกดเลิฟ ลายดอกก็มา อย่างเท่เลยอ่ะ จัดไปอีกสักดอก สองดอก สามดอก อีกสักดอก แถมให้เพราะมันเท่จริงจริ๊งงงง สูทเรียบๆ ก็ดูดีนะเนี่ย หรือจะเพิ่มลวดลายก็รอด! หากคู่บ่าวสาวรักสัตว์ ใส่ชุดนี้เข้าธีมแน่นอน ลายจุดยังไงก็ไม่เอ้าท์ . คงความเป็นสาวมั่นได้อยู่ …
-
7 คำแนะนำจากผู้หญิงถึงผู้หญิง ‘เป็นฝ่ายเริ่มสร้างความสัมพันธ์ ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด’
การเริ่มต้นถามคนที่ชอบเพื่อ “ออกเดต” นั้นอาจสร้างความรู้สึกหวาดกลัว หวาดระแวง และอยู่ดีๆ ก็อาจขาดความมั่นใจได้เลยสำหรับคนบางคน และถึงแม้จะพกความมั่นใจเต็มเปี่ยมมาแค่ไหน อาการกลัวก็เป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้อยู่ดี ก็แหม ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าคำตอบของอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร ยิ่งหากเป็นผู้หญิงด้วยแล้วจะให้อยู่ดีๆ เป็นฝ่ายเริ่มต้นทักทายผู้ชายก่อน เข้าไปทำความรู้จักก่อนก็ยิ่งไม่กล้า คิดมากไปกันใหญ่ อย่าให้ต้องถึงขั้นถามออกเดตเล้ย เว็บไซต์ Cosmopolitan เลยบทำการสำรวจความคิดเห็นจา่ 7 สาวๆ ที่กล้าเป็นฝ่าย “เริ่มก่อน” ในความสัมพันธ์ พวกเธอเต็มใจบอกเล่าความคิดและมุมมองให้ทุกคนได้รู้ ทั้งต่อประสบการณ์สมหวังและผิดหวัง ทัศนคติของแต่ละคนจะนำไปคิดตามได้แค่ไหนต้องไปดูกันเลย… 1. “ฉันรู้สึกสบายใจที่จะคุยกับผู้ชายในฐานะคนคนหนึ่งเหมือนกับฉัน และหากฉันเจอผู้ชายที่ฉันสนใจ ฉันก็แค่ชวนเขาออกเดต หากิจกรรมร่วมกันทำ และแลกเบอร์โทรศัพท์กัน” “หลังจากนั้นฉันจะส่งข้อความหาเขาโดยบอกชัดเจนไปเลยว่าคิดกับเขาแค่เพื่อนคนหนึ่งหรือมากกว่าเพื่อน แค่นั้นเอง” 2. “ฉันมองว่ามันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรนะในการให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายชวนออกเดตก่อน หากฉันชวนก่อนแล้วโดนปฏิเสธ ฉันก็แค่ใช้ชีวิตของตัวเองเหมือนเดิมต่อไป “แต่หากผู้ชายที่ฉันชอบมากจริงๆ ปฏิเสธ ตอนนั้นฉันก็คงคิดว่ารู้ตอนนี้ยังดีกว่าไม่รู้คำตอบเลย การถามและการสื่อสารคือสิ่งสำคัญสำหรับฉัน และการโดนปฏิเสธก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของการกระทำแค่นั้นเอง” 3. “ก็แค่ลงมือทำซะ เพราะสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็แค่การโดนปฏิเสธ และมันไม่ใช่จุดจบของชีวิตซะหน่อย ยิ่งรู้เร็วยิ่งดีซะอีก…
-
แนะนำ “25 วิธีสร้างความสุข” เรื่องง่ายๆ ที่สร้างได้ไม่ยาก แค่ลองปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน
“ความสุข” ในแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไป บางครั้งมันอาจจะเป็นความรู้สึกสงบขณะลงมือทำอะไรบางอย่าง การได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อน การมีคนที่ยอมรับคุณโดยไม่มีเงื่อนไข หรือการได้ลงมือทำในสิ่งที่ฝัน แต่บางครั้งความสุขก็สามารถหาได้ง่ายๆ จากกิจวัตรประจำวันรอบตัว ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพียงเล็กน้อยเพื่อทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น ซึ่ง 25 วิธีที่เพื่อนๆ กำลังจะได้อ่านก็คงไม่ยากที่จะลงมือทำเช่นกัน ลองนำไปปรับใช้เพื่อสร้างความสุขกันนะ! กิจวัตรประจำวัน 1. ยิ้ม การยิ้มทำให้สาร “โดพามีน” หลั่งซึ่งจะช่วยให้รู้สึกมีความสุขมากขึ้น เพราะฉะนั้นหากรู้สึกแย่เมื่อไหร่ให้ลองยิ้มดู หรือจะลองยิ้มให้กับตัวเองหน้ากระจกก่อนเริ่มต้นวันใหม่ก็ไม่เสียหายใช่มั้ยล่ะ 🙂 2. ออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล และอาการซึมเศร้า ในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจในตนเอง และสร้างความสุขขึ้นได้เช่นกัน 3. พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างที่รู้ๆ กันว่าปกติควรนอนหลับให้ได้อย่างน้อย 7 – 10 ชั่วโมงต่อคืน เพราะจะทำให้สุขภาพดีขึ้น สมองได้พักผ่อน และอารมณ์ดีๆ ก็จะตามมา 4. ทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารบางประเภทก็ส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย และจิตใจ ลองเปลี่ยนทานเมนูอาหารใหม่ๆ ในแต่ละวันเพื่อความไม่จำเจ…
-
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ “8 วิธีดูแลน้องจิ๊มิ๊” ทำได้ง่ายๆ สร้างความสะดวกสบายต่ออวัยวะเพศ
การดูแลน้องจิ๊มิ๊ หรือน้องสาวของสาวๆ เป็นเรื่องที่ควรรู้สุดๆ เพื่อทำให้ถูกสุขอนามัย ซึ่งเรามีทั้ง 8 วิธีจากเว็บไซต์ HealthLine แหล่งความรู้ด้านสุขภาพที่คุณสามารถทำได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน หากทำตามแล้วเชื่อเถอะว่าน้องสาวของคุณจะรู้สึกแฮปปี้มากขึ้นแน่นอน… 1. ห้ามสวนล้างเข้าไปในช่องคลอดเด็ดขาด! น้องจิ๊มิ๊นั้นเป็นอวัยวะมหัศจรรย์ที่ไม่ใช่แค่ให้กำเนิดมนุษย์ แต่ยังสามารถทำความสะอาดตัวเองได้ด้วย จิ๊มิ๊ของสาวๆ มีความสามารถปรับสมดุลแบคทีเรีย และระดับค่า pH (การวัดภาวะความเป็นกรดหรือด่าง) ได้ โดยไม่จำเป็นต้องล้างน้ำ เพราะการล้างยิ่งจะไปทำให้แบคทีเรียดีถูกทำลาย และค่า pH ถูกเปลี่ยนจนทำให้น้องสาวอ่อนแอและง่ายต่อการติดเชื้อ หากใครกังวลเรื่องกลิ่นก็อย่าห่วงไปเลย! เพราะกลิ่นขึ้นอยู่กับอาหารการกินที่เลือกรับประทานมากกว่า หากอยากให้น้องสาวมีกลิ่นหอมแล้วล่ะก็การกินสับปะรดช่วยได้นะ! 2. อย่าทำให้น้องสาวโล่งเตียน! ขนน้องสาวอาจจะยาวรกรุงรัง สร้างความรำคาญจนต้องตัดแต่งทรงเล็มออกซะบ้างซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่อย่าทำให้มันโล่งจนไม่เหลืออะไรเลยล่ะ เพราะว่าขนในที่ลับนั้นมีข้อดีมากมาย ขนในจุดซ่อนเร้นนั้นช่วยปกป้องน้องจิ๊มิ๊และช่องคลอดจากแบคทีเรีย ช่วยลดแรงเสียดทานและลดกลิ่นอับ ยิ่งไปกว่านั้นการตัดจนทำให้โล่งเตียนอาจสร้างความรำคาญได้มากกว่าเดิมตอนขนน้องจิ๊มิ๊ขึ้นใหม่ เพราะมันจะเกิดอาการคันสุดๆ อย่าหาว่าไม่เตือน! 3. เช็กส่วนผสมของน้ำหล่อลื่นที่ใช้อยู่เสมอ การหล่อลื่นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เพราะมันสามารถสร้างประสบการณ์รักไปสู่อีกระดับที่น่าทึ่งกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นบางอย่างในน้ำหล่อลื่นก็ไม่ดีต่อน้องจิ๊มิ๊ได้ ยกตัวอย่างเช่น กลีเซอรีน แม้ว่ามันจะช่วยรักษาความชุ่มชื้น แต่ก็ทำให้แบคทีเรียเติบโตในช่องคลอด หรือผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอย่างวาสลีนก็ไม่สมควรใช้…
-
นักวิจัยไขปริศนา คอนกรีตระเบิดเมื่อเจอความร้อนสูง พบเกี่ยวข้องกับความชื้นภายใน
เชื่อว่าเพื่อนๆ คงจะรู้จักคอนกรีตกันอยู่เป็นอย่างดี เพราะเจ้าวัสดุชิ้นนี้นั้นไม่ติดไฟ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมในการนำมาสร้างสิ่งก่อสร้างที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย์ไป ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่า แม้คอนกรีตไม่ติดไฟด้วยตัวมันเอง แต่มันก็สามารถระเบิดได้นะ นั่นเพราะในการทดลองของเหล่านักวิจัยจากห้องปฏิบัติการเพื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวัสดุแห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์ พวกเขาได้พบว่าหากทำให้อุณหภูมิของคอนกรีตพุ่งสูงขึ้นถึง 600 องศาเซลเซียส คอนกรีตก็อาจจะระเบิดออกอย่างรุนแรง ราวกับมีใครเอาระเบิดไปใส่ไว้ข้างในได้ นักวิทยาศาสตร์อธิบายไว้ว่า ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากคอนกรีตนั้นเกิดจากการผสมกันระหว่างปูน ทราย และน้ำ ซึ่งแม้คอนกรีตเหล่านี้จะดูเหมือนแห้งแล้วก็ตาม แต่บ่อยครั้งภายในคอนกรีตจะมีความชื้นหลงเหลืออยู่ และเจ้าความชื้นเหล่านี้เองเมื่อโดนความร้อนก็จะเกิดการระเหย หรือเกิดการเคลื่อนย้ายในรูปแบบเฉพาะที่ทำให้โครงสร้างคอนกรีตทนไม่ไหวและระเบิดออกในที่สุด เอาเข้าจริงๆ คอนกรีตนั้นระเบิดได้ง่ายกว่าที่เราคิดมาก เพราะคอนกรีตบางชนิดจะเริ่มพังทลายได้ตั้งแต่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียสเท่านั้น ทำให้หลายครั้งที่เกิดเหตุไฟไหม้ สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นจะถล่มลงมา สร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์ ปัญหาใหญ่เกี่ยวกับการระเบิดของคอนกรีต โดยเฉพาะในคอนกรีตผสมพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความทนทาน คือสิ่งที่ควรทำให้ตัวคอนกรีตทนทาน กลับเป็นสิ่งที่ทำให้มันระเบิดได้ง่ายขึ้นเสียเอง กล่าวคือภายในคอนกรีตตามปกติจะมีรูที่เกิดจากอากาศอยู่ ซึ่งรูเหล่านี้ยิ่งมีมากคอนกรีตจะยิ่งอ่อนแอ ดังนั้นมีคอนกรีตผสมพิเศษจึงออกแบบมาให้มีรูอยู่น้อย แต่เมื่อมีรูอยู่น้อย ความชื้นที่อยู่ข้างในก็จะหาทางออกมาจากคอนกรีตไม่ได้ เมื่อเจอความร้อนและแรงดัน คอนกรีตก็จะระเบิดออกมาในที่สุด การทดลองเกี่ยวกับการระเบิดของคอนกรีต จากช่อง EmpaChannel ทีมนักวิจัยบอกว่าผลลัพธ์จากการทดลองของพวกเขาจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจถึงการเคลื่อนตัวของความชื้นที่เกิดขึ้นกับคอนกรีตในช่วงภัยพิบัติจากไฟไหม้ได้เป็นอย่างดี และไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจจะสามารถสร้างคอนกรีตแบบใหม่ที่ทนทานต่อความร้อนมากกว่าที่เป็นอยู่ก็เป็นได้…
-
เพจหมอถูกทักแชตคุกคาม ถาม ‘เป็นหมอจริงป่ะ?’ หลังโพสต์ให้ข้อมูลเรื่องกัญชาทางด้านจิตเวช
จากกรณีข่าวประเด็นดราม่าเรื่องกัญชากับการรักษาโรคซึมเศร้า จนกลายเป็นประเด็นถกเถียงขึ้นมาอย่างแพร่หลายในโลกออนไลน์ อ่านข่าวเก่าได้ที่ : สรุปประเด็นดราม่า ‘กัญชา’ กับการรักษาโรคซึมเศร้า ที่ถกเถียงกันตอนนี้ เรื่องของเรื่องก็คือผู้ป่วยโรคซึมเศร้ารายหนึ่ง ที่ไปขอใบรับรองแพทย์จากหมอเพื่อนำไปใช้ในการรับรองเพื่อครอบครองกัญชา แต่ถูกคุณหมอปั๊มตราเอาไว้ในใบรับรองเพื่อไม่ให้นำไปใช้เพื่อเหตุดังกล่าว ผู้ป่วยซึมเศร้าจึงเกิดอาการไม่พอใจและนำเรื่องมาโพสต์ลงโซเชียล จนเกิดเป็นประเด็นดราม่าขึ้นมา ทั้งทางผู้ใช้กัญชา และ หมอ ต่างก็หาเหตุผลมาถกเถียงกัน จากนั้นไม่นานเพจ Drama-addict ก็ออกมาเปิดเผยว่ามีแพทย์คนหนึ่งถูกทักแชตในเชิงคุกคาม จากการโพสต์เตือนเกี่ยวกับการใช้กัญชาใน ‘ผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า’ โพสต์ต้นฉบับ ข้อความที่ส่งมาคุกคามเพิ่มเติม โพสต์ต้นฉบับ ซึ่งภายหลังมาทราบว่าเป็นแอดมินเพจ เข็นเด็กขึ้นภูเขา ที่คอยให้ข้อมูลเกี่ยวกับจิตเวชก็ออกมาโพสต์เปิดเผยว่าจากการโพสต์เรื่องกัญชา ทำให้ถูกโจมตีมากที่สุดครั้งหนึ่งเลยทีเดียว โพสต์ต้นฉบับ อันนี้คือโพสต์ที่ทางเพจเข็นเด็กขึ้นภูเขาโพสต์ และกลายเป็นประเด็นนะครับ อย่างไรก็ตามล่าสุดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2562 ทางด้านกรมการแพทย์ ได้เปิดเผยถึงผลการศึกษาผู้ป่วยเสพติดกัญชาที่เข้ารับบริการรักษา จากสถานบำบัดรักษายาเสพติดของรัฐ 6 แห่ง รวมมีผู้ป่วยทั้งหมด…
-
เรื่องราวของ “ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์” คำอธิบายของ “บ้านผีสิง” ที่มีเหตุผลกว่าที่เราคิด
เมื่อพูดถึงบ้านผีสิง ภาพสถานที่ในหัวของแต่ละคนอาจจะเป็นอะไรที่แตกต่างกันไป ถึงอย่างนั้นก็ตามโดยมากแล้ว บ้านผีสิงในความคิดของหลายๆ คนก็คงสามารถอธิบายได้ง่ายๆ ด้วยคำว่า “สถานที่ที่มีวิญญาณอาศัยอยู่” และ “ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์” ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าจริงๆ แล้ว วิทยาศาสตร์กับบ้านผีสิงอาจจะเป็นอะไรที่อยู่ใกล้กันกว่าที่เราคิดก็ได้ เพราะหากเล่าเอาเรื่องราวของบ้านผีสิงไปถามเหล่านักวิทยาศาสตร์แล้ว โดยมากคำอธิบายที่เราได้กลับมา ก็คงจะไม่พ้น “คาร์บอนมอนอกไซด์” (CO) แนวคิดเรื่องคาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นสื่อสำคัญที่ทำให้คนเราเห็นผี เป็นที่แพร่หลายขึ้นมาก ครั้งแรกในปี 1921 เมื่อมีครอบครัวของหญิงสาวชาวอเมริกันครอบครัวหนึ่ง ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านเก่าแก่ และเริ่มรู้สึกถึง “อะไรบางอย่าง” ในที่ที่ไม่มีคน เธอและครอบครัวเริ่มรู้สึกว่าเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เคลื่อนที่ได้เอง รู้สึกว่ามีคนเดินตามทั้งๆ ที่ไม่มีใคร แถมยังมีอาการผีอำ และสามารถมองเห็นใครบางคนนั่งอยู่บนหัวเตียงในเวลานอน เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความไม่สบายใจให้กับหญิงสาวมาก เธอจึงนำเรื่องไปปรึกษาพี่เขย ผู้ซึ่งให้ความเห็นว่าบ้านของเธออาจจะมีพิษอะไรบางอย่างก็เป็นได้ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าถูกต้องอย่างน่าแปลก เพราะเมื่อหญิงสาวกลับไปลองสำรวจบ้านดู บ้านอันเก่าแก่ของพวกเธอนั้นไม่เพียงแต่ใช้เทียนให้แสงสว่างบนทางเดินแทนที่จะเป็นไฟฟ้าเท่านั้น แต่เตาเผาในบ้านยังทำงานผิดพลาดจนปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ไปทั่วบ้านแทนที่จะปล่อยออกปล่องควันอีกด้วย ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เอง ทำให้บ้านของเธอมีคาร์บอนมอนอกไซด์สุมอยู่ในปริมาณที่มาก และทำมาซึ่งภาพหลอนที่พวกเธอพบ ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากเมื่อร่างกายคนเรารับคาร์บอนมอนอกไซด์เข้าไปในปริมาณมาก โมเลกุลของมันจะไปอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดแดง และด้วยความที่ว่าคาร์บอนมอนอกไซด์ถูกดูดซึมได้เร็วกว่าออกซิเจน พวกมันจึงไปบังออกซิเจนไม่ให้เข้าไปสู่กระแสโลหิต นำมาซึ่งการขาดออกซิเจนในเลือดที่จะไปเลี้ยงสมอง…
-
ผู้เชี่ยวชาญอธิบาย ที่หญ้ามีกลิ่นเวลาถูกตัด มันเป็นเหมือนการขอความช่วยเหลือของพืช
เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนคงจะเคยมีประสบการณ์ได้กลิ่นหญ้าที่เพิ่งตัดใหม่ๆ กันมาบ้าง มันเป็นกลิ่นที่แม้จะบอกได้ยากว่ามีลักษณะอย่างไรกันแน่ แต่ก็ให้ความรู้สึกของ “สีเขียว” ได้เป็นอย่างดี ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าเจ้ากลิ่นหญ้าที่ถูกตัดเหล่านี้จริงๆ แล้วมันมีที่มาอย่างไร ทำไมพืชถึงต้องปล่อยกลิ่นเหล่านี้ออกมากันแน่ หากพูดในทางเคมีแล้ว กลิ่นหญ้าที่ถูกตัดมีชื่อเรียกว่า Green Leaf Volatiles (GLV) โดยมันเป็นสารที่มีองค์ประกอบหลักเป็นคาร์บอนซึ่งมักจะถูกปล่อยออกมาโดยพืชที่ได้รับความเสียหายจากแมลง โรคร้าย หรือเหตุอื่นๆ อย่างเครื่องตัดหญ้า อ้างอิงจากข้อมูลของคุณ Ian Baldwin นักนิเวศวิทยาพืช และผู้อำนวยการสถาบันนิเวศวิทยาเคมี Max Planck ในเยอรมนี พืชจะมีการผลิต GLV ในรูปแบบที่ต่างๆ กันไปตามสิ่งที่พวกมันกำลังเผชิญ อย่างในปี 2010 นักวิจัยของมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัมก็พบว่าต้นยาสูบที่ถูกแมลงเจาะ จะปล่อยสาร GLV ที่มีองค์ประกอบแตกต่างจากตอนที่มันถูกรดน้ำอย่างเห็นได้ชัด กลิ่นที่ออกมานี้ในหลายๆ ครั้ง จะถูกใช้งานโดยสัตว์นักล่าที่กินแมลงในการตามหาเหยื่อตามใบไม้ ซึ่งนับว่าเป็นการช่วยหรือพืชไปในทางอ้อมด้วย ราวกับว่าพืชเหล่านี้ปล่อยกลิ่นดังกล่าวออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือไม่มีผิด มวนตาโต (Geocoris) หนึ่งในนักล่าที่อาศัย GLV ในการตามหาเหยื่อที่เป็นแมลงศัตรูพืช แถมสัตว์ก็ยังไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ได้กลิ่น…
-
เด็กชายออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน โดน “เห็บ” ไต่เข้าหูชั้นใน ถึงขั้นต้องผ่าตัดออก
เวลาเราออกไปข้างนอก ไม่ทำงาน ไปเรียน หรือไปเที่ยว หลายครั้งก็ต้องไปผจญกับอะไรมากมาย ทั้งอากาศ ฝุ่น ควัน ผู้คนบนรถเมล์หรือรถไฟฟ้าแน่นๆ จนได้ไข้หวัดกลับบ้านเป็นของฝาก แต่บางคนอาจจะโชคร้ายยิ่งกว่านั้น…โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ออกไปเล่นคลุกดินคลุกทรายนอกบ้านแบบสนุกสุดเหวี่ยง ก็อาจจะได้อะไรที่ไม่คาดคิดกลับมาด้วย เด็กชายวัย 9 ขวบคนหนึ่งใช้เวลาว่างระหว่างอยู่ที่โรงเรียนไปวิ่งเล่นกลางแจ้ง ไม่นานหลังจากนั้นเด็กชายเริ่มได้ยินเสียงวิ้งๆ และรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในหูซ้าย เมื่อพ่อแม่พาเด็กชายไปตรวจดู หมอก็พบว่ามี “เห็บ” ตัวหนึ่ง เข้าไปติดอยู่ในแก้วหูของเขา และฝังตัวเข้ากับผนังช่องหูชั้นใน แพทย์พยายามใช้กล้องส่องและเอาเห็บออกให้แต่ไม่สำเร็จ… เด็กชายถูกส่งตัวต่อเพื่อเข้ารับการผ่าตัด และศัลยแพทย์ก็สามารถช่วยนำเห็บตัวนั้นออกจากแก้วหูของเด็กชายได้อย่างปลอดภัยในที่สุด จากการตรวจอย่างละเอียดพบว่า เห็บตัวนั้นเป็นเห็บพันธุ์ Dermacentor variabilis หรือ เห็บสุนัขที่พบมากในสหรัฐอเมริกา เป็นพาหะของโรคไข้รากสาดใหญ่ ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิตถ้าปล่อยไว้โดยไม่รักษา ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยมีการบันทึกว่ามีผู้ที่เจ็บป่วยหนักหรือเสียชีวิตจากการที่มีเห็บไต่เข้าไปในหู แต่หากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปข้างในก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะในช่องหูนั้นเป็นอวัยวะที่บอบบางนั่นเอง ที่มา INSIDER และ The New England Journal of Medicine
-
งานวิจัยชี้ “เลโอนาร์โด ดา วินชี” อาจวาดโมนาลิซ่าไม่เสร็จ เพราะระบบประสาทแขนเสียหาย
เมื่อพูดถึงภาพของโมนาลิซ่า สำหรับหลายๆ คนแล้วคงมองว่ารูปวาดชิ้นนี้นั้น เป็นผลงานชิ้นเอกของเลโอนาร์โด ดา วินชี เลยก็ไม่ผิดนัก ว่าแต่เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่า แท้จริงแล้วภาพโมนาลิซ่าที่เราเห็นกันบ่อยๆ นี้ สำหรับเลโอนาร์โด ดา วินชีแล้ว มันอาจเป็นภาพที่ “ยังวาดไม่เสร็จ” แถมอันที่จริงแล้วภาพโมนาลิซ่าเอง ก็ไม่ใช่ภาพเพียงภาพเดียวที่เลโอนาร์โด ดา วินชีวาดไม่เสร็จเสียด้วย เพราะในช่วงห้าปีสุดท้ายของชีวิตศิลปินคนนี้ เขามีภาพที่วาดไม่เสร็จอยู่เป็นจำนวนมากอย่างน่าประหลาดเลย จุดร่วมจุดนี้ทำให้เหล่านักวิจัยกลุ่มหนึ่งสงสัยกันมาอย่างยาวนานว่าช่วงปลายชีวิต ศิลปินคนนี้น่าจะต้องพบกับเหตุการณ์อะไรสักอย่างจนวาดภาพต่อไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านๆ มาเราก็คาดกันว่าชายคนนี้ น่าจะมีอาการชาที่มือขวาอันเป็นผลมาจากโรคหลอดเลือดสมอง อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ก็ได้มีงานวิจัยชิ้นใหม่ที่นำโดยแพทย์ชาวอิตาลีสองคน ที่ออกมาพยายามอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับเลโอนาร์โด ดา วินชีในช่วงปลายของชีวิตในมุมมองที่ต่างไปจากที่เคย โดยพวกเขาได้ให้เหตุผลที่ศิลปิน เลโอนาร์โด ดา วินชี ในช่วงปลายของชีวิตว่า น่าจะมาจากการที่เขาเป็นลมล้มจนระบบประสาทที่แขนได้รับความเสียหาย มากกว่าอาการชาจากโรคหลอดเลือดสมอง ทฤษฎีของพวกเขานั้น ใช้ข้อมูลอ้างอิงส่วนใหญ่มาจากภาพเหมือนยามชราของ เลโอนาร์โด ดา วินชี ที่ถูกวาดโดยศิลปินชาวอิตาลี “Giovan Ambrogio…
-
วิธีทำทรีทเมนต์แปลกๆ 8 วิธี ที่มีคนนำไปใช้จริง เพราะเชื่อว่าช่วยรักษาสิวได้
เคยน้อยใจโคชะตามั้ยว่าบางคนไม่เห็นเขาทาครีมหรือดูแลตัวเองเลย แต่ผิวดี ไม่มีรอยด่างดำหรือสิวเลย ในขณะที่บางคนทาครีมบำรุงอย่างดีสิวก็ขึ้นเอาๆ ในปัจจุบันจึงมีวิธีต่างๆ มากมายผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ทั้งสถานเสริมความงาม หมอผิวหนัง และวิธีแสนพิศวงในอินเทอร์เน็ตที่อ้างว่าจะช่วยรักษาสิวบนใบหน้าได้ ซึ่งมันจะมีวิธีแปลกๆ ที่เราไม่คิดว่าจะมีคนทำ แต่มันก็ดันมีจริงๆ ซะด้วย ทรีทเมนต์ฉี่ การเอาฉิ้งฉ่องมาทาหน้าดูเป็นอะไรที่ไม่น่าพิสมัย แต่บางคนที่จนปัญญากับวิธีอื่นๆ อาจจะยากลองทำตามก็ได้ แต่เอาจริงๆ แล้วมันก็มีแพทย์ผิวหนังหลายคนที่แนะนำวิธีนี้ในการรักษาสิวด้วยนะ ซึ่งมันอาจไม่ใช่ฉี่ทั่วๆ ไป แต่เป็นฉี่ที่ผ่านการรับรองมาแล้วก็ได้… ทรีทเมนต์หอยทาก เราอาจเคยเห็นครีมหรือมาสก์หน้าเมือกหอยทากกันมาบ่อยๆ ส่วนมากจะเป็นเครื่องสำอางฝั่งเกาหลีที่คนไทยนิยมใช้ แต่ความจริงแล้วยังไม่มีการยืนยันที่น่าเชื่อถือนะว่ามันสามารถรักษาได้จริงๆ ทรีทเมนต์น้ำมันดิน น้ำมันดินนั้นแพทย์ผิวหนังนำมาใช้มานานมากกว่า 100 ปีแล้ว แต่มันถูกนำมาใช้รักษารังแคและโรคสะเก็ดเงิน มีบางคนที่อ้างว่ามันสามารถรักษาสิวได้ด้วย โดยการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ก่อนจะสร้างเซลล์ผิวใหม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าถ้าเป็นน้ำมันดินที่มีความเข้มข้นอ่อนลงมาก็สามารถใช้กับผิวหน้าได้อยู่เหมือนกัน ทรีทเมนต์น้ำยาเช็ดกระจก อย่าได้ไปทำตามเชียวล่ะ เพราะปกติก็จะมีคำเตือนว่า ระวังอย่าให้โดนผิวหนังอยู่แล้ว เพราะมันเต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายน่ะสิ ทรีทเมนต์เปลือกกล้วย เอาจริงๆ เปลือกกล้วยนั้นมีวิตามินอยู่มากมาย และมีความเย็นที่จะช่วยบรรเทาแผลอักเสบได้ แต่ผลลัพธ์ต่อสิวแล้วมีบางคนได้ผล และบางคนที่ไม่ได้ผล ถ้าคุณไม่แพ้กล้วยจะลองดูก็ได้ เพราะมันไม่แพงและไม่อันตรายนั่นเอง …
-
เจ้าหน้าที่ออสเตรเลีย พบงูประหลาดที่มีสามตา เชื่อเป็นการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สื่อท้องถิ่นในประเทศออสเตรเลีย ได้ออกมาประกาศการค้นพบสุดแปลกในประเทศ หลังเมื่อทีมเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าของอุทยานแห่งชาติและเขตอนุรักษ์สัตว์ป่าแห่งออสเตรเลีย ได้ทำการค้นพบ “งูสามตา” เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา งูตัวดังกล่าวนี้ ถูกพบในพื้นที่ป่าใกล้ๆ ถนนของเมือง Humpty Doo เมืองทางตะวันตกของเมือง ดาร์วิน โดยมีอายุราวๆ 2 เดือน และมีลักษณะเด่นอยู่ที่ดวงตาที่สาม ซึ่งงอกออกมาจากกลางหัวอย่างน่าประหลาด อ้างอิงจากแหล่งข่าว งูตัวดังกล่าวเป็นลูกงูหลามคาเพด ซึ่งเป็นงูสายพันธุ์ท้องถิ่น ซึ่งตามปกติจะมีความยาวได้มากถึง 3 เมตร อย่างไรก็ตาม งูที่พบกลับมีขนาดตัวที่ค่อนข้างเล็ก ด้วยความยาวเพียงแค่ 40 เซนติเมตรเท่านั้น ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีกว่างูตัวดังกล่าวยังคงอยู่ในช่วงเติบโต อ้างอิงจากข้อมูลที่ออกมา เมื่อทีมเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่านำงูตัวดังกล่าวไปทำการเอกซเรย์ พวกเขาก็พบว่า งูตัวดังกล่าวนี้ไม่ได้มีสองหัวรวมกันอย่างที่นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนคาดการณ์ไว้ เพราะมันมีกะโหลกเพียงชิ้นเดียว แต่กลับมีช่องดวงตาเพิ่มขึ้นมาและสามารถใช้การได้ นี่นับว่าเป็นหลักฐานที่ดีว่าตาที่ 3 ของงูตัวนี้นั้น น่าจะเกิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ มากกว่าความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากมลพิษ น่าเสียดายที่ตาที่…
-
ไขข้อสงสัยเรื่อง “ปืนทอง” ของ “พระตำรวจหลวง” ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
อย่างที่ประชาชนชาวไทยทราบกันดีว่า ตลอดต้นเดือนพฤษภาคม 2019 นี้คือช่วงของกระบวนการ “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก” ซึ่งมีการถ่ายทอดสดทั้งในโทรทัศน์ และสื่อโซเชียลต่างๆ และในการถ่ายทอดสดเมื่อวานนี้ (3 พ.ค. 2019) ก็ทำให้หลายๆ คนสังเกตเห็นถึงบางสิ่งที่ค่อนข้างจะแปลกตาเราอยู่สักนิด เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่พวกเราอาจไม่เคยคาดคิดว่าจะเห็นในชีวิตจริงเลยก็ได้ สิ่งที่ว่านั้นก็คือ “ปืนสีทอง” ปืนที่พระตำรวจหลวงประดับไว้ขณะดูแลการทำพระราชพิธี ปืนสีทองกระบอกนั้นได้ทำให้หลายๆ คนเกิดความสนใจเป็นอย่างมาก บางคนก็บอกว่า “คิดว่าปืนแบบนี้จะมีแค่แต่ในเกม” หรือบางคนก็สงสัยว่า “ทำไมถึงต้องเป็นปืนสีทองด้วย?” ล่าสุด สถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พวกเขาก็ได้ออกมาชี้แจงถึงเรื่องของปืนสีทองเอาไว้ว่า… “เรื่องปืน tavor สีทอง แต่นี่ไปใช้ประกอบชุดพระตำรวจหลวง แต่เดิมพระตำรวจหลวงจะมีเฉพาะดาบสีทอง และหอกสีทอง ในโบราณกาลก็สามารถใช้ในการอารักขาได้” “แต่ปัจจุบันดาบและหอกถูกใช้แค่เป็นเครื่องประกอบแต่โบราณ และได้เพิ่ม ปลย. และ ปพ. เข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งนอกจากจะทำสีทองแล้ว สายสะพายปืนและซองแม็กซอง ปพ. ก็ถูกออกแบบตัดเย็บให้ดูกลมกลืนสมเกียรติกับชุดพระตำรวจหลวงด้วย” (ปลย. = ปืนเล็กยาว, ปพ. = ปืนพก) …
-
นักบรรพชีวิน พบกิ้งกือโบราณสายพันธุ์ใหม่ในอำพันที่พม่า คาดมีอายุถึง 99 ล้านปี
ย้อนกลับไปเมื่อราวๆ 99 ล้านปีก่อน ในยุคครีเทเชียส ยังมีกิ้งกือตัวหนึ่งคลานอยู่ในป่าลึกที่ในเวลาต่อมากลายเป็นพื้นที่ที่รู้จักกันในชื่อ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” มันสามารถรอดชีวิตจากการถูกเหยียบโดยไดโนเสาร์มาได้อย่างยาวนาน แต่สุดท้ายก็ต้องจบชีวิตลงเพราะตกลงไปในยางของต้นไม้ แน่นอนว่ายางไม้เหล่านั้นค่อยๆ กลายสภาพไปเป็นอำพันตามกาลเวลา และเมื่อเวลาผ่านไป กิ้งกือตัวดังกล่าวก็ถูกพบโดยเหล่านักวิทยาศาสตร์จนได้ การค้นพบในครั้งนี้ขึ้นในประเทศพม่าเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Zookeys ตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาก และเชื่อกันว่าเป็นกิ้งกือสายพันธุ์ใหม่ที่ยังไม่เคยมีการศึกษามาก่อน อ้างอิงจากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยออกมากิ้งกือที่ถูกค้นพบในครั้งนี้ เป็นกิ้งกือตัวเมียที่มีขนาดราวๆ 8.2 มิลลิเมตร ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในอำพันในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ในสภาพโค้งงอเป็นตัว S และมีลำตัวแบ่งออกเป็นปล้องๆ จำนวน 35 ปล้อง และมีถุงแบบพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อเก็บอสุจิจากตัวผู้ไว้ใช้งานในภายหลังอยู่ที่บริเวณใต้ตัว รูปสามมิติที่สร้างขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ของกิ้งกือที่พบ นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อให้กิ้งกือที่พวกเขาพบตัวนี้ว่า “Burmanopetalum inexpectatum” และพบว่ากิ้งกือที่พวกเขาพบนั้นนับว่าเป็นหนึ่งในหลักฐานของกิ้งกือโบราณที่มีความเก่าแก่มากที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยพบมาเลย จุดเด่นที่น่าสนใจและทำให้กิ้งกือตัวนี้มีความแตกต่างไปจากกิ้งกือตัวอื่นๆ ที่เราเคยพบนั้น อยู่ที่ดวงตาอันเป็นเอกลักษณ์ของมัน เพราะกิ้งกือตัวนี้นั้นมีตาที่ประกอบไปด้วยหน่วยรับแสงเพียง 5 หน่วย ซึ่งนับว่าน้อยมากๆ ในหมู่กิ้งกือที่ตามปกติจะมีหน่วยรับแสงราวๆ 30 หน่วย …
-
การวิจัยฟอสซิลวาฬสีน้ำเงินที่ใหญ่ที่สุดพบ พวกมันตัวใหญ่แบบนี้มานานกว่า 1.5 ล้านปีแล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2006 ที่ใกล้ๆ เมือง Matera ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ชาวนาคนหนึ่งได้ทำการค้นพบฟอสซิลโบราณที่มีขนาดถึง 26 เมตร และทราบในเวลาต่อมาว่าฟอสซิลที่เขาพบนั้นแท้จริงแล้วคือ ฟอสซิลของวาฬสีน้ำเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก (แม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่าวาฬสีน้ำเงินในปัจจุบันก็ตาม) ในเวลานั้น ฟอสซิลที่พบได้ถูกส่งไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ และมีเหล่านักวิทยาศาสตร์มากมายที่เข้ามาตรวจสอบฟอสซิลชิ้นนี้ โดยที่หนึ่งในนั้นก็คือเหล่านักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย พวกเขาได้ทำการวิจัยฟอสซิลชิ้นนี้มาเป็นเวลานานจนกระทั่งพบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับอดีตของการวิวัฒนาการของวาฬสีน้ำเงินที่ว่าวาฬเหล่านี้อาจจะมีชีวิตอยู่บนโลกมาตั้งแต่ช่วงยุคไพลสโตซีน เมื่อ 1.2-1.5 ล้านปีก่อนแล้ว ฟอสซิลส่วนกะโหลก เมื่อมองจากด้านหลัง การค้นพบในครั้งนี้นับว่าต่างไปจากข้อสันนิษฐานที่ผ่านๆ มาของวาฬสีน้ำเงินมาก เพราะในสมัยก่อนเราเคยคิดกันว่าวาฬสีน้ำเงินนั้น เป็นสัตว์ที่เพิ่งปรากฏตัวบนโลกในยุคหลังๆ และมีขนาดตัวที่พัฒนาขนาดขึ้นจากวาฬธรรมดาอย่างรวดเร็วภายในเวลาสั้นๆ อย่างไรก็ตาม จากผลการวิจัยล่าสุดนี้เอง เหล่านักวิทยาศาสตร์กลับพบว่าหากเทียบฟอสซิลวาฬสีน้ำเงินชิ้นนี้เข้ากับ วาฬสีน้ำเงินที่ในปัจจุบัน และฟอสซิลวาฬอื่นๆ ในอดีตแล้ว เราจะเห็นได้ว่าวาฬสีน้ำเงินนั้น แท้จริงแล้วมีการพัฒนาตัวที่ใหญ่ขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ก้าวกระโดดอย่างที่เราเคยคิด แผนภูมิขนาดตัวของวาฬสีน้ำเงินที่เคยมีการพบมา โดยวาฬซึ่งพบที่ Matera จะเป็นจุดสีแดงที่อยู่บริเวณด้านขวาของแผนภูมิ Felix Marx นักบรรพชีวินวิทยาหนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า การค้นพบในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไหร่เลย เพราะการที่สัตว์จะขยายตัวจนมีขนาดใหญ่โตเช่นนี้ได้ หากคิดกันตามปกติก็น่าจะต้องใช้เวลานานอยู่แล้ว ทั้งนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ยังบอกไว้อีกว่าหากแนวคิดของพวกเขาถูกต้องจริงๆ ไม่แน่ว่าในอนาคต เราจะสามารถเห็น…
-
เคยสงสัยไหมว่า คุณหมอจับเหล่า “เด็กน้อย” ให้อยู่นิ่งๆ เพื่อ X-ray ได้อย่างไร?
ใครที่เคยไปตรวจสุขภาพ หรือไม่สบายและต้องเอกซเรย์ตรวจดูภายในร่างกาย คงจะรู้ว่ามันมีขั้นตอนและสิ่งที่ต้องทำหลายอย่างเลยทีเดียว นอกจากนี้ก็ยังต้องอยู่นิ่งๆ จนกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการด้วย จนบางทีก็นึกสงสัยว่า เวลาเอกซเรย์เด็กตัวเล็กที่ยังไม่รู้ประสีประสา ไม่ทำตามคำสั่ง และขยับตัวยุกยิกตลอดเวลานั้น เหล่าคุณหมอมีวิธีรับมือกันอย่างไร เมื่อไม่นานมานี้ก็มีคนมาไขข้อข้องใจให้ชาวเน็ต เมื่อผู้ใช้ทวิตเตอร์ @mowziii ได้ทวีตภาพพร้อมกับแคปชั่นว่า “เพิ่งรู้วิธีที่หมอใช้ในการจับเด็กมาเอกซเรย์ แล้วฉันก็หยุดขำไม่ได้เลย” https://twitter.com/mowziii/status/1121972663562301443 ความจริงแล้วที่เราไม่ค่อยได้เห็นกันเป็นเพราะมันไม่ใช่วิธีที่ใช้เป็นปกติหรอก ส่วนมากแล้วก็จะใช้วิธีจับเด็กให้อยู่นิ่งๆ นั่นแหละ แต่อย่างไรก็ตามอุปกรณ์ในทวีตนี้ก็เป็นวิธีที่ถูกใช้จริงมานานมาก ตั้งแต่ปี 1960 นู่นเลย เจ้าหลอดใสๆ นี้เรียกว่า Pigg-O-Stat ถูกออกแบบมาเพื่อให้เด็กน้อยอยู่ในท่าที่ต้องการโดยไม่ขยับจนกว่าการเอกซเรย์จะเสร็จสิ้น ซึ่งภาพที่ออกมานั้นนอกจากจะได้ความรู้แล้ว ชาวเน็ตต่างก็พากับขำอย่างออกรส เพราะมันเหมือนเด็กน้อยโดนจับใส่เครื่องปั่นยังไงยังงั้น แถมสีหน้ายังฮาสุดๆ อีก ขำมากมั้ย อย่าให้ตูออกไปได้นะ มีแบบภาพเคลื่อนไหว… ดูน้องไม่ค่อยแฮปปี้นะ Pigg-O-Stat pediatric immobilizer for x-raying children. pic.twitter.com/qsNveaIrDF — MachinePix (@MachinePix)…
-
ชมเทศกาล “นากิซูโม่” เทศกาลสุดแปลกของญี่ปุ่น ที่นักซูโม่จะแข่งกัน “ทำให้เด็กร้องไห้”
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันอยู่แล้วว่า ประเทศญี่ปุ่นนั้น เป็นประเทศที่มีประเพณีและงานเทศกาลแปลกๆ อยู่ค่อนข้างมาก เพราะอย่างเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง ที่จังหวัดคานางาวะก็เพิ่งจะมีการจัดเทศกาล “คานามาระ มัตสุริ” หรือเทศกาลแห่ลึงค์กันไปอย่างยิ่งใหญ่และมีผู้คนเข้าชมเป็นจำนวนมาก (อ่านข่าวเกี่ยวกับเทศกาลนี้ได้ที่ “คานามาระ มัตสุริ” เทศกาลลึงค์เหล็ก ที่ชาวญี่ปุ่นจะออกมาแห่ลึงค์ยักษ์ ช่วยทุนวิจัย HIV) แต่เทศกาลที่ว่านี้ก็ไม่ใช่เทศกาลแปลกๆ เพียงอย่างเดียวที่จัดขึ้นในเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาเสียด้วย เพราะในช่วงปลายเดือนเดียวกันเอง ที่ญี่ปุ่นก็มีการจัดเทศกาลสุดแปลกขึ้นมาอีกอัน โดยคราวนี้เป็นเทศกาลแข่งกัน “ทำให้เด็กร้องไห้” ของเหล่าซูโม่ ที่มีชื่อว่า “นากิซูโม่” (泣き相撲) นั่นเอง โดยชื่อของเทศกาลนี้ ก็เกิดจากการรวมคำว่า “นากิ” ที่แปลว่าร้องไห้ เข้ากับคำว่า “ซูโม่” แบบตรงๆ เลย และมีจุดเด่นของงานอยู่ที่นักซูโม่จะอุ้มเด็กๆ มาในลานประลองและพยายามเชียร์ให้เด็กร้องไห้แข่งกันนั่นเอง นี่อาจจะเป็นเทศกาลที่ดูแปลก และเหมือนกับการแกล้งเด็กในสายตาคนหลายๆ คนอยู่บ้าง แต่นี่ก็เป็นประเพณี ที่สืบทอดกันมาถึง 400 ปีภายใต้ความเชื่อที่ว่า “เด็กที่ร้องไห้จะเป็นเด็กที่เติบโต” และการร้องไห้ของเด็กๆ จะช่วยไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปได้ กฎการแข่งขันในครั้งนี้ก็ง่ายๆ ฝ่ายไหนส่งเสียงเชียร์ “นากิ!…
-
ชมภาพจำลอง “ซูเปอร์โนวา” แบบสามมิติจากสถาบันสมิธโซเนียน ที่มีดีกว่าแค่รูป 360 องศา
ในยามที่ดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ในอวกาศสิ้นอายุขัยลง พวกมันมีโอกาสที่จะระเบิดออกพร้อมพลังงานมหาศาล ในเหตุการณ์ที่เรารู้จักกันในนาม “ซูเปอร์โนวา” การระเบิดของก๊าซและฝุ่นละอองที่สามารถขยายสู่อวกาศได้ไกลหลายสิบหลายร้อยปีแสง ที่ผ่านๆ มาการที่เราจะเห็นร่องรอยของซูเปอร์โนวาได้นั้น เราจำเป็นที่จะต้องมีกล้องโทรทรรศน์ประสิทธิภาพสูงที่มากๆ เท่านั้น แต่แล้วในปัจจุบัน ด้วยความก้าวไกลที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยี ในที่สุดเพื่อนๆ ก็สามารถเข้าไปชมภาพร่องรอยของซูเปอร์โนวาแบบชัดเจน 360 องศาได้แล้ว เมื่อทางสถาบันสมิธโซเนียนได้ทำการ จำลองใจกลางของสิ่งที่เหลืออยู่จากซูเปอร์โนวา มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันด้วยตาของตัวเองในระบบ 3 มิติ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปชม ร่องรอยของซูเปอร์โนวาด้วยตัวเองได้ ที่นี่ คำเตือน หน้าเว็บอาจใช้เวลาโหลดค่อนข้างนาน และไม่เหมาะกับการดูด้วยมือถือ แบบจำลองชิ้นนี้เชื่อกันว่าเป็นแบบจำลองของสิ่งที่เหลืออยู่จากซูเปอร์โนวา “Cassiopeia A” ซึ่งมีสภาพเป็นฝุ่นอวกาศหลากสีกว้าง 10 ปีแสง ซึ่งอยู่ห่างการโลกออกไปประมาณ 11,000 ปีแสง และเป็นการจำลองขึ้นจากข้อมูลการสังเกตการณ์ที่เกิดขึ้นจริงโดยหอสังเกตการณ์ทั่วสหรัฐอเมริกา อ้างอิงจากข้อมูลของนักดาราศาสตร์ Cassiopeia A ถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรกในปี 1947 และเชื่อว่ามันน่าจะสังเกตได้จากบนโลกมาตั้งแต่เมื่อ 300 ปีก่อนแล้ว โดยกลุ่มฝุ่นอวกาศเหล่านี้มีความเป็นไปได้ว่าจะยังขยายอาณาเขตออกไปเรื่อยๆ แม้ในปัจจุบัน ด้วยความเร็ว…
-
นักวิทย์พบ พบโคเคนปนเปื้อนในกุ้งจากแม่น้ำ 15 แห่งที่อังกฤษ หวั่นส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อม
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมนักวิทยาศาสตร์จากวิทยาลัยคิงส์คอลเลจลอนดอน และมหาวิทยาลัยซัฟฟอล์ก ได้ออกมาประกาศการค้นพบสุดแปลก เมื่อพวกเขาพบว่ากุ้งในแม่น้ำกว่า 15 แห่งในเทศมณฑลซัฟฟอล์กประเทศอังกฤษ มีการปนเปื้อนของสารเสพติดหลายชนิด อ้างอิงจากเหล่านักวิทยาศาสตร์ การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นในระหว่างที่พวกเขาออกสำรวจสารมลพิษขนาดเล็ก (Micropollutants) ในสัตว์น้ำ เพื่อหาว่าโรงงานอุตสาหกรรมของมนุษย์ส่งผลเช่นไรกับสัตว์น้ำในพื้นที่ใกล้เคียง อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาออกตรวจสอบสัตว์น้ำจริงๆ พวกเขากลับพบว่ากุ้งที่จับมาเป็นตัวอย่างนั้น มีร่องรอยของการปนเปื้อนสารเสพติดจำนวนมาก ทั้งโคเคน เคตามีน (ยาเค) แถมยังมีร่องรอยของยาที่ส่งผลทางประสาท อย่างยาไดอะซีแพม ยาอัลปราโซแลม และยาอื่นๆ ที่อาจมีอันตรายต่อมนุษย์อีกหลายชนิด ในบรรดาสารแปลกปลอมที่มีการพบในตัวกุ้งนั้น โคเคนเป็นสารที่มีการพบได้มากที่สุด โดยทีมนักวิทยาศาสตร์สามารถพบสารตัวนี้ได้ในตัวอย่างกุ้ง “ทุกตัว” ที่พวกเขาจับมา ซึ่งสร้างความกังวลให้กับทีมวิจัยเป็นอย่างมาก พื้นที่ที่มีการเก็บตัวอย่างกุ้งมาตรวจสอบ จริงอยู่ว่าปริมาณของยาเหล่านี้จะอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับที่มนุษย์ใช้ก็ตาม แต่มันก็เป็นปริมาณที่มากพอที่จะทำให้นักวิทยาศาสตร์เกรงว่าจะส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม และสัตว์ป่าได้ ทีมนักวิจัยคาดว่าที่กุ้งแม่น้ำมีการปนเปื้อนเช่นนี้ อาจจะมาจากการที่ผู้คนเทสารเสพติดทิ้งลงท่อน้ำด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ซึ่งน่าเสียดายมากที่ทีมนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถติดตามร่องรอยของการปนเปื้อนไปยังแห่งที่มาของสารผิดกฎหมายเหล่านี้ได้ สิ่งที่พวกเขาทำได้ในปัจจุบัน คือการตั้งความหวังการการค้นพบนี้จะช่วยเตือนให้ผู้คนทราบถึงความเสี่ยงของระบบนิเวศที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ก็เท่านั้น ส่วนการจะชี้ชัดถึงปริมาณการปนเปื้อนจริงๆ ในระบบนิเวศ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่เหล่านักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องมีการตรวจสอบกันต่อไป ที่มา…
-
นักวิทย์เผย มีอุกกาบาตพุ่งชนดวงจันทร์ ในระหว่างเกิดจันทรุปราคาเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
หากยังจำกันได้ เมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา โลกของเราได้มีโอกาสพบกับเหตุการณ์จันทรุปราคาแบบเต็มดวง และกลายเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของผู้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าในระหว่างที่เกิดจันทรุปราคาในวันนั้น บนดวงจันทร์เองก็ยังมีเหตุการณ์ที่น่าสนใจเกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่งด้วย โดยที่แทบไม่มีใครเลยที่รู้สึกตัว นั่นเพราะเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา วารสารดาราศาสตร์มีชื่ออย่าง Monthly Notice of the Royal Astronomical Society ได้ออกมาเปิดเผยว่าในระหว่างจันทรุปราคาเมื่อวันที่ 21 มกราคมนั้น ได้มีเหตุอุกกาบาตพุ่งเข้าชนดวงจันทร์เกิดขึ้นด้วย อ้างอิงจากข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมา อุกกาบาตที่พุ่งเข้าชนดวงจันทร์ในวันนั้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ 30-60 เซนติเมตร พุ่งเข้าชนดวงจันทร์ด้วยความเร็วราวๆ 61,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และทำให้เกิดหลุมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 เมตรแห่งใหม่ขึ้นบนดวงจันทร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นถูกพบเห็นโดยเหล่านักดาราศาสตร์หลายคนทั่วโลก เนื่องจากในตอนที่การพุ่งชนเกิดขึ้นนั้น ได้เกิดแสงสว่างวาบที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตามกว่าที่พวกเขาจะระบุได้ว่าอุกกาบาตที่พุ่งเข้าชนดวงจันทร์มีขนาดและรูปร่างอย่างไรนั้น มันก็หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เวลาเป็นเดือน ในการตรวจสอบภาพที่มีการบันทึกไว้ในกล้องโทรทรรศน์แปดตัวทางตอนใต้ของสเปนเลย พวกเขาบอกว่าแสงที่เกิดขึ้นนี้ มาจากอุณหภูมิของจุดปะทะที่พุ่งขึ้นสูงกว่า 5,400 องศาเซลเซียส ซึ่งนับว่าเป็นความร้อนที่พอๆ กับพื้นผิวของดวงอาทิตย์…
-
นักวิจัยชี้ การมีประสาทรับที่กลิ่นไม่ดียามชรา อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตถึง 46%
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันดีว่าคนเรานั้นเมื่ออายุมากขึ้นประสาทสัมผัสต่างๆ ก็จะค่อยๆ เสื่อมลงไปจากที่เคยเป็น ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน และสิ่งที่คนไม่ค่อยนึกถึงกันเท่าไหร่อย่างการรับกลิ่น แต่อ้างอิงจากงานวิจัยชิ้นใหม่ที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Annals of Internal Medicine เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2019 ที่ผ่านมา ไม่แน่เหมือนกันว่า การสูญเสียความสามารถในการรับกลิ่นนั้น อาจจะมีอันตรายก็ที่พวกเราเคยคิดไว้ก็เป็นได้ นั่นเพราะในงานวิจัยชิ้นนี้เอง เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ทำการค้นพบว่า คนชราที่สูญเสียความสามารถในการรับกลิ่นไป จะมีโอกาสที่จะเสียชีวิต มากกว่าคนชราที่ยังมีความสามารถในการรับกลิ่นตามปกติอย่างน่าประหลาด นี่เป็นงานวิจัยที่จัดขึ้นมาตั้งแต่ในช่วงปี 1997-1998 และนำทีมโดยคุณ Honglei Chen นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยรัฐมิชิแกน และมีอาสาสมัครอายุตั้งแต่ 71-82 ปีเข้าร่วมการทดสอบร่วม 2,300 คน ในการทดสอบนี้เหล่าอาสาสมัครจะได้รับคำสั่งให้ดมกลิ่นที่พบได้บ่อยๆ 12 ชนิด และถูกติดตามจนกระทั่งเสียชีวิต หรือครบ 13 ปี แล้วแต่ว่าอะไรจะมาถึงก่อน จากข้อมูลในงานวิจัย หนึ่งในกลิ่นที่ถูกใช้ในการทดสอบคือกลิ่นสตรอว์เบอร์รี โดยผลการทดลองที่ออกมานั้นพบว่าอาสาสมัครที่มีความสามารถในการรับกลิ่นต่ำ จะมีโอกาสเสียชีวิต หลังจากการทดลองเริ่มต้นขึ้น 10…
-
รวมหลอดใช้ซ้ำได้ 8 แบบ ซื้อครั้งเดียว ใช้ได้นาน แถมช่วยโลกด้วยการลดขยะพลาสติก
อย่างที่เรารู้กันดีว่า มนุษย์โลกสร้างขยะพลาสติกที่ย่อยสลายยากขึ้นมาจำนวนมหาศาลต่อวัน ซึ่งเจ้าขยะเหล่านี้จะคงอยู่ไปแบบนี้นานหลายร้อยปี และสร้างผลกระทบใหญ่หลวงในกับสภาพแวดล้อม ทั้งบนบก แหล่งน้ำ สัตว์ป่า สัตว์ทะเล หลายฝ่ายก็เริ่มตระหนักถึงความจริงข้อนี้และช่วยลดจำนวนขยะพลาสติกในแบบที่สามารถทำได้ ซึ่ง 1 ในขยะพลาสติกที่เก็บกวาดยากและน้ำไปใช้ประโยชน์ต่อแทบไม่ได้ก็คือ “หลอด” นี่เอง ด้วยเหตุนี้ทำให้มีหลายบริษัทและภาคส่วนผลิตหลอดที่เรานำมาใช้ซ้ำได้ขึ้นมาเพื่อให้พวกเราได้เลือกใช้กัน 1. หลอดรักษ์โลกจากต้นข้าวสาลี หลอดชนิดนี้ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ 100% ทำให้มันย่อยสลายง่าย แถมยังสามารถตัดเพื่อให้ได้ความยาวที่ต้องการได้ง่ายๆ ด้วย แล้วเวลาใช้งานก็ไม่แตกหรือเปื่อยยุ่ยเหมือนกับหลอดกระดาษด้วย สามารถซื้อได้ทาง ecostrawz ราคา 144 บาท ได้ 50 ชิ้น 2. หลอดซิลิโคน หลอดนี้ทำจากซิลิโคนปลอดสาร BPA (สารที่ก่อให้เกิดมะเร็งและความผิดปกติทางพันธุกรรม) ทำให้เราใช้งานมันได้อย่างปลอดภัย 100% ใช้ได้กับทั้งน้ำอุ่น-น้ำเย็น-น้ำปั่น ที่สำคัญสีสันสดใสสุดๆ สามารถซื้อได้จากเว็บ Amazon ราคา 248 บาท ได้ 6 ชิ้นพร้อมแปรงทำความสะอาดอีก 2 3. หลอดสแตนเลส ทำจากสแตนเลส…
-
นักวิทยาศาสตร์พบ “เชื้อรามีพิษ” บนสถานีอวกาศนานาชาติ หวั่นเป็นอันตรายกับนักบินได้
นี่คงนับว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าเป็นห่วงสำหรับเหล่านักบินอวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) เลยก็ว่าได้ เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะพบแบคทีเรียชนิดใหม่บนสถานีเมื่อช่วงปลายปี 2018 ที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พวกเขายังมีการออกมาเปิดเผยอีกว่าการอยู่บนอวกาศนั้น ทำให้ไวรัสโรคเริมกลับมาทำงานได้อีกด้วย (อ่านข่าวเก่าได้ที่ นักวิทย์นาซาผวา พบ “แบคทีเรียชนิดใหม่” ในสถานีอวกาศ ที่อาจก่อให้เกิดโรคในหมู่นักบิน และ งานวิจัยพบ การอยู่ในอวกาศทำให้ไวรัสโรคเริมกลับมาทำงานได้ เชื่อส่งผลต่อภารกิจระยะยาว) แต่แล้วเมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง ทางองค์กรนาซาก็ต้องพบกับปัญหาน่าปวดหัวอีกครั้งเมื่อพวกเขาพบว่านอกจากเชื้อโรคมากมายที่กว่ามาข้างต้นแล้ว บนสถานีอวกาศ ISS นั้น ยังมี “เชื้อรา” ที่อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์อาศัยอยู่ด้วย ในอดีตเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้มองว่า เชื้อราจะไม่ค่อยมีผลต่อสุขภาพของมนุษย์มากนักเมื่อเทียบกับเชื้อโรคอื่นๆ อย่างแบคทีเรีย ดังนั้นที่ผ่านๆ มานักวิทยาศาสตร์จึงไม่ได้ตรวจสอบเชื้อราบนอวกาศมากนัก การตรวจสอบแบคทีเรียและเชื้อราที่นำมาจากสถานีอวกาศเผยให้เห็นจุลินทรีย์ที่คล้ายกับที่พบในพื้นที่สาธารณะที่มีคนพลุกพล่านของโลก อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้เองมหาวิทยาลัยเกนต์ในเบลเยียมได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าการอยู่ในอวกาศนานๆ อาจทำให้ร่างกายคนเราอ่อนแอต่อโรคมากขึ้น ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าเชื้อราเองก็อาจจะกลายเป็นอะไรที่มีความเสี่ยงต่อเหล่านักบินมากกว่าที่เคยเป็นมาก็ได้ และเมื่อทางสถานี ISS ลองตรวจสอบสถานีดูจริงๆ พวกเขาก็ต้องพบกับเรื่องที่น่าเป็นห่วงเข้าจนได้ เพราะเชื้อราที่พวกเขาพบบนสถานีนั้น มีเชื้อราอย่าง Aspergillus flavus รวมอยู่ด้วย ซึ่งเจ้าเชื้อราตัวนี้ขึ้นชื่อเรื่องการปล่อยสารอะฟลาทอกซินที่ก่อมะเร็งตับ และสารที่ลดภูมิคุ้มกันของมนุษย์ลง เชื้อรา Aspergillus…
-
งานวิจัยใหม่เผย การมีอัตราส่วนไขมันในร่างกายสูง อาจทำให้สมองของเรา “หดลง”
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า “โรคอ้วน” ส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อร่างกายขนาดไหน มันเพิ่มโอกาสการเป็นโรคได้หลายอย่างทั้งโรคหัวใจ เบาหวาน หลอดเลือดอุดตัน และโรคอื่นๆ อีกมากมายแทบนับไม่ถ้วน ว่าแต่เชื่อกันหรือไม่ว่าจากงานวิจัยใหม่ ที่ถูกตีพิมพ์ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2019 ในวารสาร Radiology โรคอ้วนนั้นไม่ได้แค่เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคเท่านั้น แต่อาจส่งผลกระทบกับโครงสร้างสมองด้วย นี่เป็นงานวิจัยที่จัดขึ้นโดยศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยไลเดนในประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเกิดขึ้นจากการตรวจสอบสมองของอาสาสมัคร 12,087 คน ในอังกฤษ ที่มีอายุเฉลี่ย 62 ปี ด้วยระบบ MRI และนำข้อมูลสมองที่ได้ไปเปรียบเทียบกับ ข้อมูลอัตราส่วนไขมันในร่างกายของ พวกเขาพบว่าอัตราส่วนไขมันในร่างกายของคนเรานั้นมีความสัมพันธ์กับการลดลงของพื้นที่สมองบางส่วน โดยเฉพาะ “สมองเนื้อสีเทา” (Gray matter) ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของระบบประสาทกลาง ภาพเปรียบเทียบสมองของอาสาสมัครหญิงอายุ 65 ปีสองคน คนด้านซ้ายมีอัตราส่วนไขมัน 13% ในขณะที่คนด้านขวามีอัตราส่วนไขมัน 49% สาเหตุที่ความอ้วนส่งผลกระทบกับสมองนั้น สำหรับทางการแพทย์แล้วเป็นเรื่องที่ยังไม่มีการอธิบายอย่างชัดเจนแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นก็ตามที่ผ่านๆ มาเราก็มีงานวิจัยที่ออกมาบอกว่าระหว่างปริมาณไขมันในร่างกายมีความเกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงทางสมองอยู่มากเกินกว่าที่จะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้ โดยหนึ่งในคำอธิบายที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับส่งผลกระทบต่อสมองของความอ้วน คือการมีไขมันในร่างกายมากอาจนำไปสู่การอักเสบของร่างกายในจุดที่ส่งผลสมอง ทำให้สมองเสียเนื้อเยื่อบางส่วนไป …
-
ไขปริศนาภาพดังในทวีต หลังมีคนไม่สบายใจ เมื่อเห็นภาพที่บอกไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแน่
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ (วันที่ 22 เมษายน 2019) ผู้ใช้ทวิตเตอร์ @melip0ne ได้ทำการโพสต์ภาพภาพหนึ่งลงบนอินเตอร์เน็ตพร้อมกับข้อความที่ว่า “ลองบอกชื่อของอะไรก็ได้สักชิ้นในภาพดูสิ” และกลายเป็นที่พูดถึงของคนบนโลกอินเตอร์เน็ตไป Name one thing in this photo pic.twitter.com/zgyE9rL2XP — 𝒅𝒖𝒎𝒃𝒂𝒔𝒔 𝒂𝒔𝒔 𝒊𝒅𝒊𝒐𝒕 (@melip0ne) April 23, 2019 นั่นเพราะภาพที่เขาเอามาลงนั้นไม่เพียงแต่ประหลาดจนไม่อาจบอกได้ว่าเป็นอะไรกันแน่เท่านั้น แต่มันกลับดูน่าขนลุกมากๆ จนมีหลายๆ คนออกมาแสดงความเห็นว่าตนเองไม่สบายใจกับภาพที่เห็นนี้อย่างบอกไม่ถูก นั่นทำให้หลังจากที่ภาพนี้ออกมาไม่นานผู้คนก็เริ่มเอาไปลือกันว่าภาพดังกล่าวอาจจะเป็นภาพที่ถูกนำมาลงโดยมีเจตนาที่ไม่ดี และอาจเป็นอันตรายก็ได้ จนทำให้สื่อต่างประเทศตัดสินใจติดต่อไปยังศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยน็อกซ์เพื่อให้เขาช่วยอธิบายว่าทำไมคนเราถึงรู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นภาพนี้ ความรู้สึกไม่สบายใจ อ้างอิงจาก Dr. Frank McAndrew ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาผู้ให้ข้อมูลกับสำนักข่าว เขาบอกว่าตามปกติแล้วคนเราจะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นอะไรที่ไม่รู้จักหรืออาจเป็นอันตรายได้ อย่างไรก็ตามอย่างที่เราเห็นกันว่าของในภาพล้านแต่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำร้ายเราได้ ดังนั้นความรู้สึกของคนที่ดูภาพนี้ จึงต่างกับความไม่สบายใจทั่วๆ ไปอยู่พอสมควร กล่าวคือภาพเหล่านี้นั้นสร้างความสับสนให้แก่สมองของเราที่พยายามมองให้ออกว่าภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพของอะไรกันแน่ และการที่สมองของเราสับสนในการชี้ว่ารูปที่เห็นเป็นภาพของอะไรนี่เองก็ทำให้หลายๆ คนรู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นภาพดังกล่าวไป ตกลงแล้วมันเป็นรูปของอะไร นอกจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาแล้ว…
-
พบไวรัสกว่า 200,000 สายพันธุ์ ในทะเล คาดส่วนมากไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์
เมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล ที่นำโดยคุณ Matthew Sullivan นักจุลชีววิทยาแห่งมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ ได้ออกมาเปิดเผยการค้นพบสุดเหลือเชื่อและน่าจับตามอง ที่ว่าใต้ท้องทะเลสีครามของเรานั้น มีไวรัสสายพันธุ์ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนอยู่ถึง 200,000 ชนิด นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้น จากการตรวจสอบตัวอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เก็บมาได้ ในระหว่างการออกสำรวจท้องทะเล 80 พื้นที่ทั่วโลก ตั้งแต่ช่วงปี 2009-2013 ที่ผ่านมา โดยไวรัสส่วนใหญ่ที่พวกเขาพบนั้นอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้น้ำราวๆ 4,000 เมตร ในเขตขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ในเบื้องต้นคาดว่าไวรัสเหล่านี้ ส่วนมากจะไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ แม้ว่ามันจะสามารถติดต่อในกลุ่มสัตว์น้ำอย่างวาฬและสัตว์ในตระกูลครัสเตเชีย (กุ้ง ปู) ก็ตาม การค้นพบในครั้งนี้นับว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่มากในทางวิทยาศาสตร์เพราะที่ผ่านๆ มาเราเคยพบไวรัสในท้องทะเลเพียงแค่ 15,000 สายพันธุ์เท่านั้น การค้นพบในครั้งนี้ทำให้ทีมนักวิทยาศาสตร์ออกมาบอกว่า ความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลโดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตจำพวกไวรัสของมนุษย์เรานั้นเป็นอะไรที่มีอยู่อย่างจำกัดมาก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะไวรัสเหล่านี้อาจส่งผลกระทบโดยตรงกับท้องทะเล สถานที่ซึ่งผลิตออกซิเจนให้มนุษย์เราใช้มาตั้งแต่โบราณ และแน่นอนว่าการค้นพบในครั้งนี้เอง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาทางทะเลต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน ที่มา…
-
นักวิทย์พบตำหนิใน “เพชร” อาจช่วยไขปริศนา การกำเนิดของทวีปเมื่อ 2,500 ล้านปีก่อนได้
สำหรับในปัจจุบันแล้ว “เพชร” นับว่าเป็นอัญมณีที่มีค่ามากๆ ชิ้นหนึ่งของโลก เพราะไม่เพียงแต่มันจะเป็นเครื่องประดับที่ใครๆ ก็อยากได้เท่านั้น แต่ความแข็งของมันยังสามารถนำไปใช้ในวงการอุตสาหกรรมหลายอย่าง และเมื่อล่าสุดนี้เองเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็พบกับประโยชน์ที่ไม่น่าเชื่ออีกอย่างของเจ้าอัญมณีสุดแพงนี้เข้าจนได้ เพราะพวกเขาได้พบว่าการตรวจสอบเพชรเหล่านี้นั้น สามารถนำไปสู่การไขปริศนาการกำเนิดทวีปแห่งแรกของโลกได้ด้วย ที่เป็นเช่นนี้เพราะเพชรหลายๆ ส่วนที่อยู่ใต้โลกนั้น มีการเก็บเอาสารต่างๆ (อย่างกำมะถัน) เอาไว้ในรูปแบบของ “ตำหนิเพชร” ซึ่งการศึกษาเจ้าตำหนิที่จะทำให้ราคาเพชรตกลงจากที่ควรเหล่านี้เอง ที่เป็นกุญแจสำคัญของการวิจัยในครั้งนี้ อ้างอิงจากข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ในเพชรจากเหมืองราวๆ สี่แห่งรอบโลก ส่วนมากจะมีไอโซโทปของกำมะถันที่เกิดขึ้นในที่ซึ่งมีออกซิเจนไม่มาก และมีอายุมากถึง 2,500 ล้านปี ซึ่งนับว่าน่าสนใจมาก เพราะแม้แต่ตัวเพชรที่เก็บกำมะถันไว้เอง โดยเฉลี่ยแล้วจะมีอายุเพียง 650 ล้านปีเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า กำมะถันเหล่านี้ในอดีตน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อโลกที่อยู่ในสภาพหลอมเหลว ซึ่งต่อมาไหลขึ้นมาจากใต้โลกในรูปแบบของหินบะซอลต์จนเกิดเป็นทวีป คล้ายกับการกำเนิดของประเทศไอซ์แลนด์หรือเกาะฮาวาย และเป็นเหตุผลสำคัญที่กำมะถันในเพชรไม่โดนอากาศในตอนที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามต่อมาเปลือกโลกของทวีป ได้เกิดการเคลื่อนย้ายและเหลี่ยมล้ำกันเองหลายครั้ง จนทำให้กำมะถันกลับไปอยู่ใต้ดินพร้อมๆ กับเพชรอีกที ในระหว่างที่ตัวทวีปเริ่มเคลื่อนตัวเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มีสภาพเป็นแบบปัจจุบัน แน่นอนว่างานวิจัยในครั้งนี้ จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับโลกให้กับพวกเรามากขึ้นหากนักวิทยาศาสตร์ได้รับเพชรสำหรับทดลองมากขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ตามงานวิจัยนี้ก็เป็นอะไรที่ท้าทายทุนของเหล่านักวิทยาศาสตร์มากเลยเช่นกัน นั่นเพราะการที่พวกเขาจะตรวจสอบสารต่างๆ ในเพชรได้นั้นพวกเขาจำเป็นที่จะต้องทำลายตัวเพชรที่ได้มาทิ้ง ซึ่งพวกเราก็ทราบกันดีว่าเจ้าหินมีค่าเหล่านี้ต่อให้มีตำหนิก็ตามมันก็ไม่ใช่ของที่มีมูลค่าน้อยๆ และหาได้ง่ายเลยนั่นเอง ที่มา…
-
งานวิจัยในหนูชี้ ทานอาหารตอนเครียด อาจทำให้เราอ้วนได้มากกว่าการทานอาหารตามปกติ
เชื่อว่าเพื่อนๆ คงจะรู้จักใครสักคนที่เป็นพวกยิ่งเครียดก็ยิ่งกิน ซึ่งแม้ว่าจะดูแล้วเปลืองค่าอาหารอยู่บ้างแต่ก็นับว่าเป็นการระบายความเครียดอย่างหนึ่ง และมักจะได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อด้วย ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าการทานอาหารตอนเครียดนั้น อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ เพราะจากการทดลองใหม่ล่าสุด ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Cell Metabolism เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2019 ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าการทานอาหาร (โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลอรีสูง) ในระหว่างที่เครียดนั้นอาจส่งผลให้ร่างกายอ้วนขึ้นได้มากกว่าการทานอาหารแบบเดียวกันในตอนที่ไม่เครียดอีก ความเป็นไปได้นี้ถูกพบเมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับภาวะอารมณ์และการทานอาหารของหนู โดยที่พวกเขาจะแบ่งหนูเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะถูกให้อาหารในสภาพแวดล้อมปกติ ในขณะที่อีกกลุ่มจะถูกให้อาหารในห้องแยกที่มีน้ำสูงในระดับหนึ่งเพื่อให้หนูที่ถูกขังมีความเครียด ผลที่ออกมาคือหลังจากที่การทดลองดำเนินไป 2 สัปดาห์ หนูมีความเครียดและทานอาหารแคลอรีสูง จะมีน้ำหนักมากกว่าหนูที่ถูกให้อาหารแบบเดียวกันในภาวะปกติมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของความเครียดกับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี โดยในระหว่างการทดลองครั้งนี้ นักวิจัยได้พบว่าหนูที่เครียดจะมีการผลิตโมเลกุลที่ชื่อ “Neuropeptide Y” (NPY) ออกมาในระดับที่มากผิดปกติ และเจ้าโมเลกุลตัวนี้เองที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หนูที่เครียดทานอาหารมากผิดปกติไป นั่นเพราะเมื่อนักวิทยาศาสตร์ลองตัดต่อพันธุกรรมหนูให้ไม่หลั่งโมเลกุล NPY พวกเขาก็พบว่าต่อให้หนูเครียดแค่ไหน พวกมันก็จะทานอาหารไม่ต่างกับหนูปกติเลย ดังนั้นนี่จึงเป็นหลักฐานอย่างดีว่า NPY นั้นเป็นโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกับความอยากอาหาร และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในหนูที่เครียดจริงๆ อ้างอิงจากนักวิจัยนอกจาก NPY จะทำให้หนูอยากอาหารแล้วมันยังมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินที่รับหน้าที่ดูดกลูโคสจากเลือดอีกด้วย โดยผลการทำงานทั้งหมดของมันจะส่งผลหนูกินมากขึ้นในขณะที่เผาผลาญน้อยลง และนำไปสู่ความอ้วนในที่สุด เซลล์ประสาทที่ชื่อว่า “Amygdala”…
-
นักวิทย์พบ “ลิ้น” ของเรานอกจากรับรสชาติแล้ว ยังสามารถรับ “กลิ่น” ได้ด้วย
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันดีว่าการรับรู้กลิ่นของมนุษย์นั้นมีความเกี่ยวข้องกับรสชาติของอาหารโดยตรง และนั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เวลาเราเป็นหวัดหายใจไม่ออก รสชาติอาหารที่เราทานจึงไม่เหมือนกับที่เคยเป็น หน้าที่ในการรวมกลิ่นและรสชาติเข้าด้วยกัน ตามปกติน่าจะเกิดขึ้นในสมองซึ่งเป็นอวัยวะ “ประมวลผลกลาง” ของร่างกาย ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าในงานวิจัยล่าสุดนี้เอง นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าลิ้นของมนุษย์เองต่างหากที่รับหน้าที่รวมกลิ่นและรสชาติเข้าด้วยกันก่อนส่งไปให้สมอง ความจริงที่น่าแปลกใจในครั้งนี้ ถูกพบโดยทีมนักวิจัยจากศูนย์ประสาทสัมผัสเคมี Monell ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยที่ไม่แสวงหากำไรในฟิลาเดลเฟีย และตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2019 ในวารสารออนไลน์ “Chemical Senses” การวิจัยในครั้งนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการที่ลูกชายวัย 12 ขวบของหนึ่งในนักวิจัย ถามผู้เป็นพ่อว่าที่งูแลบลิ้นออกมานั้นเพื่อที่จะดมกลิ่นใช่ไหม ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าลิ้นของมนุษย์เองก็อาจจะสามารถใช้รับกลิ่นได้ในกรณีคล้ายๆ กันได้ และเริ่มทดลองเกี่ยวกับการรับกลิ่นด้วยลิ้นทันที แน่นอนว่าระบบลิ้นของมนุษย์นั้นต่างออกไปจากงู ดังนั้นเราจึงไม่อาจฟันธงได้ว่ามนุษย์จะสามารถใช้งานลิ้นในแบบเดียวกับงูได้จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น การทดลองครั้งนี้ก็ทำให้เราพบกับเรื่องที่น่าสนใจมากเช่นกัน นั่นเพราะเมื่อนักวิทยาศาสตร์ทดลองนำเซลล์รับรสชาติของมนุษย์ไปสัมผัสกับโมเลกุลของกลิ่นพวกเขาก็พบว่ามันมีการตอบสนองต่อโมเลกุลของกลิ่นที่เหมือนกับเซลล์การรับกลิ่นของมนุษย์ไม่มีผิด เท่านั้นยังไม่พอเพราะจากการทดลองเพิ่มเต็ม นักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่าในเซลล์รับรู้รสชาติของมนุษย์นั้น สามารถมีทั้ง ตัวรับรสชาติ (Taste receptors) และตัวรับกลิ่น (Olfactory receptors) อยู่ภายในพร้อมๆ กันอีกด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ลิ้นของเราจะมีความสามารถในการรับกลิ่นได้ด้วยได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญคือกลิ่นและรสชาติของสิ่งที่เราทานลงไปนั้น อาจจะรวมกันในลิ้นก่อนที่จะส่งไปยังสมองอีก ซึ่งความจริงในจุดนี้เอง ก็จะเป็นหลักฐานอย่างดีต่อไปว่า…
-
ชม 6 งานเทศกาลสุดแปลก แต่มีอยู่จริงบนโลก ที่อาจจะทำให้คุณไปเข้าร่วมดูสักครั้ง
โลกของเรานั้นมีงานเทศกาลอยู่มากมายหลายอย่าง ทั้งที่เกิดมาจากวัฒนธรรมหรือศาสนา และที่เกิดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนงานเทศกาลก็เป็นสิ่งที่เหล่าผู้คนหลงใหล และแห่กันไปเข้าร่วมอย่างสนุกสนานอยู่เสมอ ดังนั้นในวันนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงได้ไปรวบรวมข้อมูลของงานเทศกาลแปลกๆ แต่น่าสนใจจากทั่วโลกมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน เผื่อที่สักวันเพื่อนๆ อยากลองไปเที่ยวเทศกาลดีๆ ที่ต่างประเทศ จะได้มีตัวเลือกที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นมาอีกสักนิด เริ่มกันจากเทศกาลไฟเบลเทนแห่งสกอตแลนด์ (Beltane Fire Festival) นี่เป็นงานเทศกาลที่จัดขึ้นในวันที่ 30 เมษายน ของทุกๆ ปี โดยในนั้นนี้ผู้คนจะออกมาแก้ผ้าทาตัวด้วยสีในขณะที่วิ่งแห่คบเพลิง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการต้อนรับฤดูร้อนของเมืองเอดินบะระนั่นเอง เทศกาลกระโดดข้ามเด็กทารกแห่งสเปน (El Colacho) นี่เป็นงานเทศกาลที่จัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และเกี่ยวข้องกับการที่ผู้ใหญ่แต่งตัวเป็นปีศาจกระโดดข้ามทารกสมชื่อ โดยที่พวกเขาทำแบบนี้เพราะความเชื่อที่ว่าการที่ปีศาจกระโดดข้ามทารกจะทำให้เด็กๆ ได้รับการให้อภัยจาก “บาปกำเนิด” (Original sin) ตามหลักศาสนาคริสต์ และปกป้องพวกเขาจากสิ่งชั่วร้ายได้ “คานามาระ มัตสุริ” เทศกาลลึงค์เหล็กของญี่ปุ่น (かなまら祭り) นี่เป็นงานเทศกาลที่จัดขึ้นทุกๆ วันอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน โดยธีมของงานจะเกี่ยวข้องกับลึงค์ หรืออวัยวะเพศชายล้วนๆ และมีจุดเด่นอยู่ที่การแห่ลึงค์ยักษ์ของคนในพื้นที่ (อ่านเรื่องราวของเทศกาลนี้ได้ที่ “คานามาระ มัตสุริ” เทศกาลลึงค์เหล็ก ที่ชาวญี่ปุ่นจะออกมาแห่ลึงค์ยักษ์ ช่วยทุนวิจัย HIV)…
-
8 ความจริงแปลกๆ เกี่ยวกับ “ภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ” ที่คุณอาจไม่เคยทราบมาก่อน
เชื่อว่าเพื่อนๆ บางคนอาจจะเคยได้ยินเรื่อง “ภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ” (Post-Mortem Photography) กันมาบ้าง โดยนี่เป็นการถ่ายภาพที่ได้รับความนิยมมากๆ ในช่วงศตวรรษที่ 19 และเกี่ยวข้องกับการถ่ายภาพคนตายให้เหมือนยังมีชีวิต เพื่อเป็นเครื่องจดจำของคนที่จากไป (อ่านเรื่องราวเต็มๆ ของภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพได้ที่ “ภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ” ภาพแปลกจากศตวรรษที่ 19 ที่ถ่ายคนตายเหมือนยังมีชีวิต) การถ่ายภาพในรูปแบบนี้ อาจจะนำมาซึ่งความรู้สึกที่หลากหลาย บางคนอาจมองว่าการถ่ายภาพคนตายเป็นอะไรที่น่าขนลุก ในขณะที่อีกหลายๆ คนอาจจะมองว่าการถ่ายรูปกับคนที่จากไปมันช่างเป็นอะไรที่น่าเศร้าเหลือเกิน แต่ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรกับภาพเหล่านี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะเรียนรู้เรื่องราวของภาพถ่ายสุดแปลกนี้ให้มากขึ้นอีกสักนิด ดังนั้นในวันนี้เราจะไปชม 8 ความจริงที่คุณอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนเกี่ยวกับภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ ที่แน่แน่เหมือนกันว่าอาจจะทำให้คุณเข้าใจความคิดของคนสมัยก่อนที่ถ่ายภาพเหล่านี้มากขึ้นอีกสักนิดก็เป็นได้ เริ่มกันจากข้อที่ 1 : ในหลายๆ ครั้ง คนตายจะถูกถ่ายภาพขณะนอนในโลงศพ เมื่อพูดถึงภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ ตามปกติเราจะนึกถึงภาพคนตายนั่งบนเก้าอี้ หรือยืนในบ้านเป็นหลัก แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วก็มีหลายครั้งอยู่เหมือนกันที่ คนตายจะถูกถ่ายภาพเหล่านี้ขณะนอนในโลงศพเลย การถ่ายภาพในรูปแบบนี้ มักจะถูกทำขึ้นก่อนที่คนรู้จักจะมาเคารพศพ และมีความหมายแฝงต่างไปจากภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพอื่นๆ ตรงที่มันแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่าคนในภาพตายไปแล้ว ข้อที่ 2 : บางครั้งผู้เป็นแม่จะซ่อนตัวอยู่หลังภาพเพื่ออุ้มลูกที่จากไปแล้ว ภาพเหล่านี้มักจะถูกเรียกกันว่า “Hidden Mother”…
-
MIT ปล่อยวิดีโอพิสูจน์ “ทฤษฎีก่อสร้างโบราณสถานหิน” ว่ามนุษย์ขนหิน 25 ตัน ด้วยมือเปล่าได้ยังไง??
ในตอนที่เห็นโบราณสถานที่ทำจากหินยักษ์ (Megaliths) อย่างของที่เปรู จีน และอียิปต์ เชื่อว่าคงจะมีหลายๆ คนไม่น้อยที่สงสัยกันว่า คนในสมัยก่อนขนหินหนักๆ มาสร้างของเหล่านี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าเรื่องนี้มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานแม้แต่ในบรรดาเหล่านักโบราณคดี และนำมาซึ่งข้อสันนิษฐานมากมายที่พยายามออกมาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่แล้วเมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “MIT” ก็ได้ออกมาทำการพิสูจน์หนึ่งในทฤษฎีที่ได้รับความนิยมของการสร้างโบราณสถานจากหินยักษ์ นี่เป็นวิดีโอพิสูจน์ทฤษฎีการเคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่โดยอาศัยแรงโน้มถ่วง การรักษาสมดุล และการงัด ด้วยการแสดงให้โลกเห็นว่าหากมีการเตรียมการที่ถูกต้อง มนุษย์เราก็สามารถเคลื่อนย้ายหินที่มีน้ำหนักถึง 25 ตันได้ แม้จะมีแรงงานอยู่เพียงไม่กี่คนก็ตาม วิดีโอการลงมือขนหินยักษ์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ อย่างที่เห็นจากในวิดีโอ รูปร่างของหินที่ถูกใช้ในการสร้างโบราณสถานมีส่วนสำคัญมากในการขนย้าย เพราะรูปร่างของหินจะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดความหนาแน่นและจุดศูนย์ถ่วงของหิน ซึ่งทำให้หินขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างที่เหมาะสมสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับหินที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมธรรมดาๆ จริงอยู่ว่ารูปร่างของหินที่ทาง MIT ทำออกมาจะเป็นรูปร่างที่ผ่านการคิดค้นมาอย่างดี และล้ำสมัยกว่าที่พบในโบราณสถานจริงๆ มาก แต่หลักการการเคลื่อนย้ายหินของพวกเขานั้น ก็เป็นสิ่งที่พบได้ในโบราณสถานหลายๆ แห่งเช่นกัน อย่างเทคนิคการอาศัยการประสานกันของหินที่เห็นในวิดีโอเอง ก็เป็นแบบเดียวกับที่ชาวอินคาเคยใช้เมื่อราวๆ 1,500 ปีก่อนในการสร้างกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งขึ้นมาในเวลาสั้นๆ และการทดลองในครั้งนี้เองก็เชื่อกันว่าจะสามารถนำไปใช้อ้างอิงกระบวนการคิดของคนโบราณในการสร้างโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้เหล่านักโบราณคดีสามารถเข้าใจสิ่งก่อสร้างในยุคโบราณมากขึ้น…
-
นักวิทยาศาสตร์อ้าง เราอาจสามารถเดินทางผ่านหลุมดำได้จริงๆ แต่มันไม่ได้รวดเร็วอย่างที่คิด
เชื่อว่าเพื่อนๆ คงเคยคิดกันมาบ้างว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคนถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ และจะเป็นไปได้ไหมที่คนเราจะสามารถเดินทางผ่านสถานที่และกาลเวลาได้โดยอาศัยหลุมดำแบบในหนัง ซึ่งในงานประชุมของสมาคมฟิสิกส์อเมริกันเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้รวมตัวกันคิดค้นทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับหลุมดำ ที่ไม่เพียงอาจจะเป็นกุญแจไปสู่การเดินทางข้ามจักรวาล แต่ยังสามารถช่วยคนออกมาจากหลุมดำได้ด้วย โดยทฤษฎีนี้อาศัยแนวคิดที่ว่าในอวกาศนั้นมี “รูหนอน” (Wormhole) เชื่อมหลุมดำสองแห่งที่อยู่ในสถานที่ที่ต่างกัน ซึ่งที่ผ่านๆ มา เราเชื่อกันว่ารูหนอนเหล่านี้แม้จะมีอยู่แต่ก็คงไม่สามารถเดินทางผ่านไปยังอีกด้านได้จริงๆ โดยที่ไม่ทำให้รูหนอนพังไปเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งล่าสุดนี้เอง เหล่านักฟิสิกส์ที่นำโดยคุณ Daniel Jafferis จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ออกมาอ้างว่า เราอาจจะสามารถเดินทางผ่านหลุมดำแห่งหนึ่งไปยังหลุมดำอีกแห่งได้จริงๆ โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “ควอนตัมเอนแทงเกิลเมนต์” (Quantum entanglement) ควอนตัมเอนแทงเกิลเมนต์นั้นหากจะให้อธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด มันก็คือการที่เราเอาอนุภาคสองตัวมา “พัวพันกัน” และหากเราทำอะไรกับอนุภาคตัวหนึ่ง อานุภาคอีกตัวก็จะมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีการเทเลพอร์ตมาตั้งแต่ในอดีต คุณ Jafferis บอกว่าหากเราสามารถหา หรือทำให้หลุมดำสองแห่งอยู่ในสภาพที่พัวพันกันด้วยควอนตัมเอนแทงเกิลเมนต์ได้ มันก็จะมีความเป็นไปได้ที่เราจะเดินทางจากหลุมดำแห่งหนึ่งไปโผล่ที่หลุมดำอีกแห่งได้นั่นเอง อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อนเลย เพราะการที่จะหาหรือสร้างหลุมดำที่อยู่ในสภาพพัวพันกันอย่างสมบูรณ์นั้น มีโอกาสน้อยมากเสียยิ่งกว่าการถูกหวยรางวัลที่หนึ่งติดต่อกันเสียอีก นอกจากนี้คุณ Jafferis ยังบอกอีกว่ามีความเป็นไปได้สูงมากว่าการเดินทางในหลุมดำนั้นอาจจะใช้เวลานานกว่าการเดินทางในอวกาศจากหลุมดำหนึ่งไปยังอีกหลุมดำหนึ่งอีกด้วย ซึ่งหมายความว่าแม้เราจะสามารถใช้หลุมดำเดินทางได้จริงๆ…
-
ผู้เชี่ยวชาญตอบคำถามเกี่ยวกับ “เล็บ” ทำไมเราต้องมี และทำไมมันถึงงอกยาวขึ้นทุกวัน
ตั้งแต่ตอนที่เราอยู่ในท้องมารดาได้ราวๆ 20 สัปดาห์ ร่างกายของเราก็จะเริ่มสร้างอวัยวะเล็กๆ ที่เรียกว่า “เล็บ” ขึ้นที่นิ้วมือและนิ้วเท้า ก่อนที่อวัยวะชิ้นนี้จะงอกยาวขึ้นเรื่อยๆ ไปตลอดจนกระทั่งวันที่เราสิ้นลม ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมมนุษย์ถึงต้องมีเล็บ และทำไมกันเจ้าอวัยวะชิ้นนี้ถึงได้งอกยาวขึ้นทุกวันแบบไม่มีหยุด ทั้งๆ ที่อวัยวะอื่นๆ ของร่างกายมนุษย์มีแต่จะหยุดพัฒนาเมื่อเราอายุมากขึ้น อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับฟอสซิลโบราณในนอร์ทแคโรไลนา หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับเล็บมือของสิ่งมีชีวิตนั้นสามารถพบได้ในฟอสซิลจากช่วง 58-55 ล้านปีก่อน ซึ่งสิ่งมีชีวิตหลายชนิดเริ่มวิวัฒนาการร่างกายของตัวเองให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตบนต้นไม้ ดังนั้น มันคงจะไม่ใช่เรื่องที่ผิดนักที่จะบอกว่าเล็บของเรานั้น เดิมทีแล้วออกแบบมาเพื่อช่วยให้การปีนต้นไม้ได้ง่ายขึ้น ก่อนที่เล็บเหล่านี้จะพัฒนารูปร่างไปตามการใช้ชีวิตของสัตว์ชนิดต่างๆ เช่นกรงเล็บที่ใช้ป้องกันตัวของสัตว์ต่างๆ ในปัจจุบัน สำหรับมนุษย์แล้ว เล็บของพวกเราเป็นสิ่งที่วิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อการปกป้องปลายนิ้วมือเป็นหลัก เนื่องจากพื้นที่เหล่านั้นมีเส้นประสาทอยู่มาก ซึ่งแม้จะทำให้พวกเราสามารถใช้นิ้วมือในการรับสัมผัสได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ปลายนิ้วของเรากลายเป็นจุดอ่อนสำคัญไปด้วย อ่านมาถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะเริ่มสงสัยว่า ถ้าปลายนิ้วของเราสำคัญขนาดนั้นทำไมร่างกายของเราจึงไม่ปกป้องมันด้วยอะไรที่แข็งหรือคงทนกว่านั้น อย่างการใช้กระดูกแบบฟันไปเลย? ทำไมร่างกายของเราถึงปกป้องปลายนิ้วด้วยของที่งอกขึ้นเรื่อยๆ แบบเล็บกัน สำหรับเรื่องนี้ คำตอบมันอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายๆ กว่าที่เราคิด นั่นคือการที่เราปกป้องปลายนิ้วด้วยเล็บนั้น มันก็คล้ายๆ กับการใช้อุปกรณ์ป้องกันแบบใช้แล้วทิ้งนั่นเอง กล่าวคือต่อให้เล็บเราเสียหายหรือถูกทำลายไปขนาดไหน สุดท้ายแล้วร่างกายก็แค่งอกมันขึ้นมาใหม่ และด้วยเหตุผลนี้เอง เล็บของเราถึงยาวขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันตั้งแต่เกิดไปจนตาย …
-
นักวิทย์พบ กระดูก “Fabella” ซึ่งค่อยๆ หายไปในอดีต กำลังกลับมาอีกครั้งพร้อมโรคข้ออักเสบ
ตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา การวิวัฒนาการของมนุษย์ได้เปลี่ยนรูปร่างของเราไปตามความเหมาะสมในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหลังที่ตรงขึ้น กระดูกนิ้วที่ไม่โค้งงออีกต่อไป หรือแม้แต่สมองที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับสมัยก่อน แต่ในระหว่างการวิวัฒนาการเหล่านี้เองในบางครั้งก็จะนำมาซึ่งอวัยวะที่ดูแล้วไม่จำเป็นกับร่างกายเท่าไหร่ได้เช่นกัน อย่างไส้ติ่ง ฟันคุด หรือกระดูกชิ้นเล็กๆ ที่เข่า ซึ่งอย่างหลังนี้เองก็เป็นสิ่งที่เหล่านักวิทยาศาสตร์เชื่อกันมาอย่างยาวนานว่าจะค่อยๆ หายไปเองตามระบบการวิวัฒนาการในอนาคต แต่แล้ว ในงานวิจัยล่าสุดที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2019 เหล่านักวิทยาศาสตร์กลับพบว่ากระดูกชิ้นเล็กๆ ที่เข่า หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Fabella” (มาจากภาษาละตินแปลว่า “ถั่วน้อย”) ไม่เพียงแต่ไม่ได้ค่อยๆ หายไปอย่างที่เราคิด แต่มันกลับมีแนวโน้มที่จะถูกพบมากขึ้นในปัจจุบันด้วย เดิมทีแล้วที่ทีมแพทย์คิดว่ากระดูก Fabella จะค่อยๆ หายไปเองนั้นมาจากการเปรียบเทียบข้อมูลในปี 1875 ที่ระบุไว้ว่าเรามีการพบกระดูกตัวนี้ในมนุษย์ราวๆ 17.9% เข้ากับข้อมูลในปี 1918 ซึ่งมีการพบกระดูก Fabella ในมนุษย์ลดลงเหลือเพียงแค่ 11.2% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ว่ากระดูกเข่าชิ้นนี้จะหายไปเองในอนาคต แต่แล้วจากการตรวจสอบกระดูกดังกล่าวในปี 2018 นักวิทยาศาสตร์กลับพบกับตัวเลขแปลกๆ เกี่ยวกับกระดูก Fabella เข้า เพราะกระดูกตัวนี้ในปัจจุบันถูกพบในมนุษย์ถึง 39% ซึ่งนับว่ามากกว่าที่เคยเป็นมาราวๆ 3…
-
พบฟอสซิลสัตว์โบราณที่เคนยา เชื่อเคยมีรูปร่างคล้าย “วาร์ก” ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์
เพื่อนๆ ยังจำ “วาร์ก” จากภาพยนตร์เรื่อง The Lord of the Rings กันได้อยู่หรือเปล่า มันเป็นสัตว์ประหลาดในมิดเดิลเอิร์ธ ที่มีรูปร่างคล้ายหมี หมาป่า และไฮยีนน่าผสมกัน ซึ่งมักถูกออร์คใช้ในการออกรบ แน่นอนว่าสัตว์ประหลาดในรูปร่างแบบนี้ ล้วนแต่เกิดขึ้นจากจินตนาการของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ที่เป็นคนเขียนล้วนๆ และว่ากันตามตรงว่าไม่น่าที่จะมีอยู่บนโลกจริงๆ ได้ ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าเมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาเหล่านักโบราณคดีในเคนยา กลับออกมาประกาศการค้นพบหลักฐานการมีอยู่ของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วสายพันธุ์หนึ่ง ที่มีรูปร่างคล้ายกับวาร์กอย่างไม่น่าเชื่อ เจ้าสัตว์สายพันธุ์นี้ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า “Simbakubwa kutokaafrika” สัตว์ที่มีขนาดตัวยาว 2.4 เมตร สูง 1.2 เมตร และหนักถึง 1,500 กิโลกรัม ซึ่งมีลักษณะเด่นที่ฟันอันแหลมคม กรามที่แข็งแกร่ง และการทานอาหารที่แทบจะเป็นเนื้อสัตว์ล้วนๆ ส่วนกรามของ S.…
-
สิ้นหวัง “ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง” เพศเมียตัวสุดท้ายตายไปในจีน เชื่อหนีไม่พ้นการสูญพันธุ์
เคยได้ยินเรื่องราวของ “ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง” (Rafetus swinhoei) กันมาก่อนไหม มันคือตะพาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีน้ำหนักตอนโตเต็มวัยได้มากถึง 136-200 กิโลกรัม และมีความยาวเกือบๆ หนึ่งเมตร พวกมันได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเต่าที่อยู่ในภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์มากที่สุดของโลก ด้วยความที่ในปัจจุบันพวกเราพบพวกมันอยู่ทั่วโลกเพียงแค่ 4 ตัวเท่านั้น แถมในหมู่ตะพาบที่พบยังมีตัวเมียที่ยืนยันได้แค่ตัวเดียวอีกด้วย ดังนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาจึงนับว่าเป็นข่าวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของเหล่านักอนุรักษ์ทั่วโลกเลยก็ว่าได้ เพราะในวันนั้นได้มีตะพาบยักษ์แยงซีเกียงตายลงไปอีกหนึ่งตัวแล้ว แถมตัวที่ตายยังเป็นตัวเมียที่มีอยู่เพียงตัวเดียว วึ่งเป็นความหวังสุดท้ายในการกอบกู้สายพันธุ์อีกด้วย อ้างอิงจากสื่อท้องถิ่นของจีน ตะพาบยักษ์ที่ตายไปในครั้งนี้ ตายไปในเวลาราวๆ หนึ่งวันหลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่พยายามผสมเทียมมันเพื่อขยายพันธุ์ ด้วยอายุประมาณ 90 ปี และยังไม่มีหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดถึงสาเหตุที่มันตายไป หนึ่งในความพยายามผสมเทียมที่เกิดขึ้นหลายครั้งก่อนที่ตะพาบยักษ์จะตายไป การตายของตะพาบตัวเมียในครั้งนี้ ทำให้สายพันธุ์ตะพาบยักษ์แยงซีเกียงตกอยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วงและชวนให้สิ้นหวังอย่างถึงที่สุด เพราะในปัจจุบันตะพาบยักษ์แยงซีเกียงที่เหลืออยู่ในความดูแลของมนุษย์จะเหลือเพียงแค่ตะพายตัวผู้อายุ 100 ปีของจีนเท่านั้น ส่วนตะพาบอีกสองตัวนั้นเชื่อกันว่ายังอยู่ที่ไหนสักแห่งในป่าที่เวียดนาม และในปัจจุบันยังไม่สามารถบอกได้เลยว่าเป็นเพศใด ตะพาบยักษ์แยงซีเกียงตัวผู้ตัวสุดท้ายที่อยู่ในการดูแลของมนุษย์ ทั้งนี้สาเหตุที่ตะพาบยักษ์แยงซีเกียงมีปริมาณลดลงจนเสี่ยงสูญพันธุ์อย่างในปัจจุบันนั้น เชื่อกันว่ามาจากการที่มันถูกคุมคามแหล่งที่อยู่อาศัยอย่างหนักโดยมนุษย์ และปัญหาทางมลภาวะนั่นเอง ท้ายที่สุดแล้วความหวังอันริบหรี่ที่ยังพอเหลืออยู่ของตะพาบยักษ์สายพันธุ์นี้สำหรับเหล่านักอนุรักษ์แล้วก็คงจะอยู่ที่การที่จู่ๆ พวกเขาก็พบกับตัวเมียตัวใหม่ในเร็วๆ…
-
ย้อนรอย “เครื่องปรับอากาศ” การสู้กับความร้อนของมนุษย์ ที่มีประวัติยาวนานกว่า 4,000 ปี
สำหรับช่วงเวลาที่อุณหภูมิของประเทศไทยพุ่งสูงขึ้นราวกับเราเข้าใกล้พระอาทิตย์มากขึ้น 10 เท่าเช่นนี้ เชื่อว่าคงมีเพื่อนๆ หลายคนที่รู้สึกขอบคุณเครื่องปรับอากาศกันราวกับมันพระผู้ช่วยให้รอด ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าเจ้าเครื่องปรับอากาศที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้นั้น เกิดขึ้นได้อย่างไรและใครกันที่เป็นผู้สร้างมันขึ้น เพราะในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปย้อนรอยของเจ้าเครื่องใช้แสนสะดวกสบายชิ้นนี้กัน ความพยายามในการต่อสู้กับความร้อนด้วยอากาศเย็นของมนุษย์ มีบันทึกไว้ตั้งแต่ในสมัยอียิปต์โบราณ (ราวๆ 4,000 ปีก่อน) โดยอาศัยการแขวนเสื่อเปียกๆ ไว้ที่ประตูบ้าน ก่อนที่จะพัฒนาเป็นการอาศัยน้ำใน “สะพานส่งน้ำ” (Aqueduct) เพื่อลดอุณหภูมิในสมัยโรมัน ตั้งแต่เวลานั้นมาเราก็มีบันทึกความพยายามในการควบคุมอุณหภูมิห้องให้เห็นอีกมากมาย จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ความรู้เกี่ยวกับการปรับอากาศก็เริ่มมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อย่างในปี 1820 นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษก็ได้ทำการทดลองการทำความเย็นของของเหลวบางชนิด (เช่นแอมโมเนีย) ซึ่งมีส่วนช่วยในการทำงานของเครื่องปรับอากาศรุ่นต่อๆ มา อย่างไรก็ตามหากจะพูดถึงเครื่องปรับอากาศแบบในปัจจุบัน เราก็คงจะลืมชายชื่อ Willis Carrier ไปไม่ได้เลย เพราะเขาคือผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนคิดค้นเครื่องปรับอากาศเครื่องแรกของโลก ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่เราใช้มาจนถึงปัจจุบัน โดย Willis คิดค้นเครื่องปรับอากาศขึ้นครั้งแรกในปี 1902 ในขณะที่เขาอายุได้เพียง 25 ปี และกำลังทำงานอยู่ในโรงพิมพ์ โดยในเวลานั้นเครื่องพิมพ์ในโรงงานของเขาได้เกิดปัญหาในการทำงานขึ้นจากความร้อนและความชื้น ดังนั้น…
-
หนุ่มโชว์คำนวนเวลาด้วย SIN COS TAN จากภาพ “เงา” โต้คำพูดที่ว่า “เรียนมาแล้วไม่ได้ใช้”
ในสมัยเรียน หลายคนคงเคยโอดโอยกับการเรียนวิชายากๆ อย่างคณิตศาสตร์ หรือ ฟิสิกส์ เพราะคิดว่าไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม โตมาก็ไม่ได้ใช้สักหน่อย!! แต่… ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้พิสูจน์แล้วว่าความคิดแบบนั้นมันไม่จริงเลย เพราะเขาได้นำวิชาฟิสิกส์ที่ร่ำเรียนมา มาใช้คำนวนหาเวลาว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว จากภาพถ่ายคุณป้าและเงาบนพื้น!! ภาพถ่ายที่นำมาใช้คำนวนหาเวลา ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า Ukrit Tanasanti ได้โพสต์รูปนี้ดังกล่าวในวันที่ 12 เมษายน 2019 พร้อมกับข้อความว่า “ความนาฬิกาสายขาด และความขี้เกียจไม่รู้ว่ากี่โมงแล้ว และขี้เกียจหยิบโทรศัพท์ เลย…. งัดฟิสิกส์ในหัวมาใช้ซะะะ” หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ร่ายยาวถึงการคำนวนหาเวลาว่าปัจจุบันมันกี่โมงกี่ยามแล้วดังนี้… . เรื่องราวนี้ถูกกดไลก์กว่า 18,000 และถูกแชร์ไปกว่า 22,000 ครั้ง ซึ่งชาวเน็ตส่วนมากก็เข้ามาชื่นชมความเก่งของเจ้าของโพสต์ . . แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีเสียงจากชาวเน็ตอีกด้านที่ออกมาวิจารณ์ว่าเจ้าของโพสต์นั้นว่างเกินไปที่ทำแบบนี้ หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปได้แล้วทำไมไม่ดูเวลา? เจ้าตัวเลย Edit ข้อความเพิ่มเติม ตอบโต้เสียงวิจารณ์ เรียนมาแล้วได้ใช้จริงๆ!! ที่มา: Ukrit…
-
พบ “ฝุ่นรังสีนิวเคลียร์” ในธารน้ำแข็งหลายแห่ง หวั่นอาจละลายออกมาเพราะโลกร้อน
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันดีว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น ธารน้ำแข็งหลายแห่งของโลกได้ค่อยๆ หายไปอย่างน่าใจหาย ด้วยเหตุผลหลักจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จากภาวะโลกร้อน ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่าทุกครั้งที่น้ำแข็งเหล่านี้ละลายหายไปนั้นพวกมันจะทิ้งร่องรอยของสิ่งที่อยู่ภายในเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นซากสัตว์จากในอดีต โบราณวัตถุ หรือแม้แต่ก๊าซเรือนกระจก แถมเมื่อล่าสุดนี้เองนักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบว่า นอกจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ภายในธารน้ำแข็งที่กำลังจะละลายไปในหลายๆ แห่งทั่วโลก ก็ยังมี “ฝุ่นรังสีนิวเคลียร์” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Nuclear Fallout” เก็บเอาไว้อีกเป็นจำนวนมากด้วย ฝุ่นรังสีนิวเคลียร์เหล่านี้เชื่อกันว่าเกิดขึ้นจากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ หรือไม่ก็อุบัติเหตุที่เกี่ยวกับการใช้งานสารกัมมันตรังสีในอดีต มีองค์ประกอบหลักเป็นอะเมริเซียม-241 และซีเซียม-137 อ้างอิงจากนักวิทยาศาสตร์พวกเขาพบฝุ่นรังสีนิวเคลียร์เหล่านี้ในตัวอย่างของธารน้ำแข็งอย่างน้อยๆ 17 แห่งที่ถูกส่งมาจากแถบแอนตาร์กติกา เทือกเขาแอลป์ บริติชโคลัมเบีย และอาร์กติกสวีเดน จริงอยู่ว่าทางนักวิทยาศาสตร์ได้มีการออกมาประกาศว่าการปนเปือนของสารกัมมันตรังสีเหล่านี้น่าจะไม่มีผลกระทบใดๆ กับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน แต่ก็ใช่ว่าสารกัมมันตรังสีที่พบนี้จะไม่เป็นอันตรายเลย เพราะปริมาณกัมมันตรังสีที่พบในธารน้ำแข็งแต่ละอันนั้นนับว่าสูงกว่าค่าปกติที่ปลอดภัยต่อมนุษย์มาก ดังนั้นหากสารเหล่านี้เกิดไหลเข้าสู่แม่น้ำ ทะเลสาบ หรือพื้นที่ทะเลที่สำคัญๆ จากการละลายของน้ำแข็งเพราะโลกร้อน สารเหล่านี้ก็อาจจะไปปนเปือนในห่วงโซ่อาหารและกลับมาเล่นงานมนุษย์ได้เช่นกัน และหากเวลานั้นมาถึงจริงๆ การที่เราจะโทษเรื่องที่เกิดขึ้นกับภาวะโลกร้อนมันก็คงจะเป็นอะไรที่สายเกินไปแล้ว ที่มา livescience, sciencealert และ nationmultimedia
-
งานวิจัยไขปริศนา “สัตว์กินลูกตัวเอง” บางชนิดจำใจทำ เพื่อความอยู่รอดของลูกที่เหลือ!?
สำหรับหลายๆ คนแล้ว เราคงจะทราบกันดีว่าสัตว์หลายๆ ชนิดที่เราคิดว่าน่ารักนั้นจริงๆ แล้วอาจจะมีพฤติกรรมที่ไม่ได้น่ารักอย่างที่เราคิดเท่าไหร่ นั่นเพราะในธรรมชาติมีสัตว์อยู่หลายชนิดที่อยู่ดีๆ ก็จะกินลูกของตัวเอง และตั้งแต่ในสมัยก่อนนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถฟันธงได้อย่างแน่ชัดเลยว่าพวกมันทำไปเพื่ออะไร!? ที่ผ่านๆ มานักวิทยาศาสตร์จะมองว่าการที่สัตว์กินลูกของตัวเองนั้นมีความเกี่ยวข้องกับความเครียดในการคลอดลูก หรือไม่ก็ความหิว อย่างไรก็ตามจากการวิจัยล่าสุดนี้เอง นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่าที่สัตว์กินลูกของตัวเองนั้น จริงๆ แล้วมีเหตุมีผลกว่าที่เราคิดมาก และอาจเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ได้เลย การทดลองที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จัดทำขึ้นมาโดยทีมนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ผู้ซึ่งเฝ้าสังเกตการณ์สัตว์จำพวก กระต่าย ปลา และไก่ โดยจากในการสังเกตการณ์แล้ว พวกเขาก็พบว่าสัตว์ที่มักกินลูกตัวเองจะมีจุดร่วมอยู่ที่การออกลูกพร้อมกันเป็นจำนวนมากๆ และการกินลูกเองก็มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นมากขึ้นในภาวะแวดล้อมที่เลวร้ายขึ้นด้วย ดังนั้นทีมนักวิทยาศาสตร์จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าการที่สัตว์เหล่านี้กินลูกตัวเอง อาจจะเกิดขึ้นจากการ “ควบคุมประชากร” เพื่อไม่ให้ลูกๆ แย่งอาหารกันมากเกินไป และเพิ่มโอกาสให้ลูกที่เหลือมีโอกาสรอดมากขึ้น แถมยังเป็นการ “ควบคุมคุณภาพ” ของทายาทรุ่นต่อไปไปในตัวนั่นเอง เพื่อพิสูจน์แนวคิดนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่นำโดยคุณ Mackenzie Davenport จากมหาวิทยาลัยเทนเนสซี จึงได้ทดลองสร้างแบบจำลองเชิงกลไกเพื่อสำรวจผลกระทบของพฤติกรรมของสัตว์ต่อลูกๆ ในรูปแบบต่างๆ ขึ้น โดยการทดลองนี้ ได้มุ่งเน้นไปที่สัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่เป็นหลัก และการทดลองนี้เองก็ส่งผลออกมาอย่างน่าสนใจและสอดคล้องกับแนวคิดที่ออกมาอย่างยิ่ง… โดยข้อมูลทางสถิติที่ออกมานั้นบอกว่ายิ่งสัตว์ออกลูกมากแค่ไหน พวกมันก็จะมีโอกาสกินลูกมากขึ้นเท่านั้น แถมปริมาณไข่ที่ถูกกินก็จะมีมากขึ้นตามจำนวนไข่ที่มีการวางออกมาด้วย นอกจากนี้พวกเขายังพบด้วยว่าต่อให้เป็นในกรณีที่พ่อแม่จะแทบไม่ได้รับพลังงานจากกการกินลูกเลย…
-
นักวิจัยจีน ตัดต่อยีนมนุษย์ใส่ลิง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ อาจทำให้ลิงฉลาดขึ้น??
คงต้องบอกว่าช่วงเวลานี้นับเป็นช่วงเวลาสำหรับที่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของวงการวิทยาศาสตร์ในประเทศจีนเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากเมื่อปีก่อน เราน่าจะได้ยินข่าวการตัดแต่งพันธุกรรมในมนุษย์เป็นครั้งแรกจากประเทศนี้แล้ว เมื่อล่าสุดนี้เองเหล่านักวิจัยจากสถาบันสัตววิทยาคุนหมิง ยังได้ออกมาประกาศความสำเร็จในการปลูกถ่ายยีนส์สมองคนลงในลิงจนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมกันไปทั่วโลก ในการทดลองครั้งนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้มีการนำยีน “MCPH1” ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นส่วนสำคัญในขั้นตอนการวิวัฒนาการสมองของมนุษย์ไปปลูกถ่ายให้กับลิงจำนวน 11 ตัว ในรูปแบบของไวรัสตั้งแต่ในตอนที่ลิงยังเป็นเพียงตัวอ่อน (Embryos) ผลการทดลองที่ออกมาคือมีลูกลิงที่ตายไปในทันที 6 ตัว ในขณะที่เหล่าลิงที่รอดชีวิตจะต้องถูกนำไปตรวจสอบระบบความจำและสมองด้วยเครื่อง MRI ต่อไป อ้างอิงจากการเปิดเผยของเหล่านักวิทยาศาสตร์ ลิงที่รอดชีวิตจากการตัดแต่งยีนมาได้จะใช้เวลาในการพัฒนานานกว่าปกติ ซึ่งคล้ายกับคนมากกว่าลิง แถมยังมีคะแนนในการทำแบบทดสอบความจำระยะสั้นได้ดีขึ้น แม้ว่าขนาดสมองจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากลิงปกติเลยก็ตาม แน่นอนว่าเมื่อการทดลองนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ทีมนักวิทยาศาสตร์ก็โดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักไม่ผิดจากทีมวิจัยที่ทำการตัดต่อพันธุกรรมฝาแฝดมนุษย์เมื่อปีก่อน อย่างไรก็ตามยังมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่ออกมาบอกว่าการที่ทีมวิจัยทดลองกับสัตว์นั้นน่าจะทำให้ผลงานของพวกเขาเป็นที่ยอมรับได้มากกว่าการทดลองในมนุษย์ที่ผ่านๆ มามาก นอกจากนี้งานวิจัยในครั้งนี้ ยังสนับสนุนแนวคิดที่ว่าการที่สมองใช้เวลาในการพัฒนานาน น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์เรามีสติปัญญาสูงกว่าสัตว์ทั่วไปได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ซึ่งความจริงในจุดนี้เองก็อาจจะช่วยพัฒนาความรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี และแม้ว่าการทดลองในครั้งนี้จะทำให้มีคนจำนวนมากนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปเทียบกับภาพยนตร์อย่างเรื่อง “Planet of the Apes” ที่ลิงทำการล้มล้างมนุษย์ก็ตาม แต่ทีมนักวิทยาศาสตร์ของคุนหมิงเองก็ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่าสมองของลิงนั้นต่างจากมนุษย์มากพอที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวไม่มีทางเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน โดยงานวิจัยชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในวารสาร “National Science Review” เมื่อวันที่ 27 มีนาคม…
-
การวิจัยลายมือพบ “เลโอนาร์โด ดา วินชี” จริงๆ แล้วอาจถนัดมือทั้งสองข้างเท่าๆ กัน
เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยได้ยินเรื่องที่ว่า “เลโอนาร์โด ดา วินชี” สุดยอดอัจฉริยะชาวอิตาลีผู้มีผลงานทั้งทางงานศิลปะ งานประดิษฐ์ และวิทยาศาสตร์นั้นเป็นคนถนัดซ้ายกันมาบ้าง ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าชายคนนี้นั้น แท้จริงแล้วอาจจะไม่ได้ถนัดแค่มือซ้ายอย่างที่เราคิด แต่สามารถใช้มือทั้งของข้างได้อย่างคล่องแคล่วเลย นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เองเหล่าผู้เชี่ยวชาญจาก “Opificio delle Pietre Dure” (OPD) สถาบันศิลปะของกระทรวงมรดกวัฒนธรรมอิตาลีได้ออกมาทำการทดลองตรวจสอบภาพของเลโอนาร์โด ดา วินชี และทีมผู้เชี่ยวชาญก็พบว่า ภาพวาดของเขานั้นมีลักษณะเฉพาะที่แปลกประหลาดอยู่ โดยรูปที่ถูกใช้ในการตรวจสอบในครั้งนี้คือภาพ “Landscape 8P” หรือที่มักจะเลือกกันสั้นๆ ว่า “8P” ซึ่งเป็นภาพร่างลายเส้นที่เลโอนาร์โดวาดขึ้นเมื่อปี 1473 ในตอนที่เขาอายุเพียง 21 ปี . จากในภาพนั้น ผู้เชี่ยวชาญได้พบว่าการตัวหนังสือของเลโอนาร์โดในบริเวณมุมซ้ายบนของภาพมีการเขียนแบบกลับด้าน (ขวาไปซ้าย) ในขณะที่ลายมือด้านหลังของภาพนั้นมีการเขียนแบบปกติ (ซ้ายไปขวา) จริงอยู่ว่าเหตุผลที่เลโอนาร์โดเขียนตัวอักษรกลับด้านนั้นจะยังเป็นเรื่องที่เราไม่อาจฟันธงได้ก็ตาม แต่จากการตรวจสอบภาพด้วยเทคนิคต่างๆ มากมาก เหล่าผู้เชี่ยวชาญก็มั่นใตว่าตัวหนังสือบนภาพนั้นเขียนขึ้นจากคนคนเดียวแน่ๆ ตัวหนังสือแบบกลับด้าน ตัวหนังสือแบบปกติ ความต่างของลายมือที่ออกมาในภาพเป็นหลักฐานอย่างดีว่า เลโอนาร์โดนั้นน่าจะเขียนตัวหนังสือเหล่านี้ด้วยมือที่ต่างกัน…
-
“เพจหมอเวร” ทำภาพเปรียบเทียบ “สายตาปกติ-สายตามีปัญหา” ได้ทั้งสาระ และดีต่อใจสุดๆ
คนที่มีสายตาปกติหลายคนสงสัยว่าการที่สายตาไม่ปกตินั้นมันเป็นอย่างไร ถึงแม้จะถามจากเพื่อนที่ใส่แว่นก็แล้ว หรือนำแว่นของเพื่อนมาใส่ก็แล้ว มันก็ยังไม่เห็นภาพอยู่ดี นั่นทำให้เพจเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า หมอเวร ได้ทำการไขข้อสงสัยนี้ด้วยการทำภาพ นำภาพของคนสายตาปกติมาเทียบกับอาการไม่ปกติของสายตา พร้อมกับอธิบายอาการ ซึ่งบอกได้เลยว่าได้สาระกันไปเต็มๆ แต่นอกจากสาระที่เพจนำเสนอแล้ว สิ่งที่หลายคนเลือกกดเข้ามาอ่านคงจะหนีไม่พ้น “ภาพ” ที่ทางเพจได้ใช้พยาบาลสุดน่ารักจาก โรงพยาบาลสินแพทย์ มาเป็นนางแบบ ที่ดูแล้วสบายตาและดีต่อใจสุดๆ!! โพสต์ต้นทางจากเพจ หมอเวร 1. สายตาสั้น “สายตาสั้นก็จะมีการมองเห็นที่แตกต่างกันนะ ถ้าสั้นมากภาพอาจจะเบลอทั้งหน้าจอเลย แต่ถ้าสั้นไม่เยอะมาก ก็จะเห็นประมาณในรูปนี้แหละเวลามองใกล้ๆ จะชัดแต่มองไกลๆ จะเบลอ” 2. สายตายาว “อันนี้ก็ตรงข้ามกับสายตาสั้นนี่แหละ มองภาพระยะใกล้ๆ ไม่ชัด แต่มองไกลกลับชัดเจนดี” 3. ตาเหล่ (ตาเข) “คนที่มีอาการตาเหล่หรือตาเข ถ้าช่วงตายังปรับตัวไม่ได้จะมองเห็นเป็นภาพซ้อนหรือเบลอๆ แต่พอนานไปสมองจะปรับตัว ค่อยๆตัดการรับสัญญาณของตาที่ผิดปกติออก” “ทำให้ตาข้างที่เบี้ยวมองไม่เห็น และใช้การมองหลักๆจากตาอีกข้างที่ปกติแทน ทำให้การมองเห็นจึงชัดเจนมากขึ้น (แต่อาจกะระยะได้ไม่ค่อยดีนัก)” “คนตาเหล่หรือตาเขบางประเภท อาจมีการผิดปกติแค่การมองเห็นทางลักษณะภายนอกเท่านั้น แต่การมองเห็นของคนไข้อาจจะชัดเจนตามปกติได้ด้วย” 4. สายตาเอียง “คนที่สายตาเอียงนี่บางรายใกล้ก็ไม่ชัด/ไกลก็ไม่ชัด ทำให้ภาพที่มองเห็นอาจเบลอทั้งหมดแบบในรูปนี้ หรือบางรายอาจเห็นภาพซ้อนกันเล็กๆ…
-
สรุป “รัฐประหารซูดาน” เกิดอะไรขึ้น เมื่อทหารยึดอำนาจ ผู้นำที่มาจากการรัฐประหารอีกที??
ประเทศซูดาน ประเทศหนึ่งในทวีปแอฟริกา ได้ถูกปกครองด้วยรัฐบาลประธานาธิบดี Omar al-Bashir ซึ่งมาจากทหารมายาวนานกว่า 30 ปี แต่ล่าสุดเกิดการรัฐประหารขึ้น หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของซูดาน ได้ออกประกาศว่า ประธานาธิบดี Omar อยู่ภายใต้การควบคุมของทหารแล้ว และประกาศรัฐประหารยึดอำนาจ เป็นการปิดฉากการปกครองภายใต้รัฐบาลทหารของ Omar ที่กินเวลายาวนานถึง 3 ทศวรรษ… อดีตประธานาธิบดี Omar al-Bashir ประธานาธิบดี Omar al-Bashir ผู้ปกครองซูดานมากว่า 3 ทศวรรษ การขึ้นครองตำแหน่งของ Omar เกิดขึ้นเมื่อปี 1989 เมื่อเขาได้ทำการรัฐประหาร โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม กลุ่มอิสลามิสต์ ในการยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในช่วงที่เขายึดอำนาจ ซูดานอยู่ระหว่างสงครามการเมืองของซูดานเหนือและซูดานใต้ นานถึง 21 ปี เขาชนะเลือกตั้งที่เขายุบพรรคคู่แข่ง และเป็นผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดีโดยชอบธรรมเพียงคนเดียว ในปี 1996 จากนั้นจึงตั้งตนเป็นประธานาธิบดีครองตำแหน่งเรื่อยมา และชนะการเลือกตั้งติดต่อกันในปี 2010 และ 2015 เหตุการณ์ประท้วงในเมือง Darfur…
-
ผู้เชี่ยวชาญตอบคำถามเกี่ยวกับ “ภาพหลุมดำ” ไขข้อสงสัยหลังภาพดังถูกเปิดเผยออกไป
กลายเป็นข่าวที่โด่งดังไปทั่วโลกไปแล้ว หลังจากที่เมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทางนาซาได้ออกมาเปิดเผยภาพ “หลุมดำ” ของจริงภาพแรกในประวัติศาสตร์ และนำมาซึ่งประเด็นการพูดคุยถกเถียงกันไปทั่วตั้งแต่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ จนถึงคนทั่วๆ ไปในร้านกาแฟ (อ่านข่าวเกี่ยวกับภาพหลุมดำได้ที่ ‘หลุมดำ’ ภาพจริงแรกในประวัติศาสตร์ หลังเป็นเพียงทฤษฎีมานานกว่า 100 ปี!!) และแน่นอนว่าประเด็นที่มีการพูดคุยกันมากขนาดนี้ย่อมนำมาซึ่งคำถามมากมายเกี่ยวกับภาพหลุมดำในครั้งนี้เป็นแน่ ดังนั้นทางสื่อต่างประเทศจึงได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาพหลุมดำในครั้งนี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการอธิบาย และ #เหมียวศรัทธา ก็ได้คัดเอาคำถามที่น่าสนใจมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันแล้วที่นี่ เริ่มกันจากคำถามพื้นฐานอย่าง “หลุมดำคืออะไร?” หลุมดำหมายถึงวัตถุที่ยังไม่ทราบว่าเป็นของแข็งของเหลวหรือก๊าซ ซึ่งมีแรงโน้มถ่วงสูงมากจนแม้กระทั่งแสงยังถูกดูดเข้าไปด้วย ซึ่งตามปกติจะเกิดขึ้นจากการแตกดับลงของดาวฤกษ์ที่มีมวลมากๆ “ทำไมเราไม่เคยเห็นภาพหลุมดำมาก่อน?” สาเหตุหลักๆ คือหลุมดำที่มนุษย์เคยค้นพบมานั้นมีขนาดที่ไม่ใหญ่เท่าไหร่นักเมื่อมองจากโลก อย่างการที่จะมองหลุมดำที่กลางกาแล็กซีทางช้างเผือกซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ 4 ล้านเท่าเอง หากเปรียบเทียบกับระยะทางแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับการพยายามมองแผ่น DVD บนพื้นของดวงจันทร์ แถมตามปกติหลุมดำจะไม่สามารถมองเห็นได้เพราะการดูดแสงของมันอีกด้วย “ถ้าอย่างนั้นก่อนภาพนี้ออกมาเรารู้ได้อย่างไรว่าหลุมดำมีอยู่จริง” อย่างอิงจากข้อมูลของนาซาการมีอยู่ของหลุมดำถูกคาดการไว้เป็นครั้งแรกโดยทฤษฎีของไอน์สไตน์ ซึ่งแม้จะไม่มีหลักฐานโดยตรง แต่ก็มีหลักฐานอ้อมๆ อยู่หลายอย่าง หลักฐานเหล่านี้ก็อย่างพฤติกรรมหรือสัญญาณที่มาจากวัตถุอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงหลุมดำเอง เช่นเมื่อหลุมดำก็กลืนดาวฤกษ์…
-
ยานอวกาศ “Beresheet lander” ของอิสราเอลชนเข้ากับดวงจันทร์ในระหว่างการลงจอด
หากเพื่อนๆ ยังจำกันได้ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 องค์กรทางอวกาศของอิสราเอล ได้ทำการปล่อยยานอวกาศชื่อ “Beresheet lander” ยานอวกาศจากเงินทุนเอกชนลำแรกขึ้นสู่ดวงจันทร์ พร้อมบรรทุก “แคปซูลกาลเวลา” ที่เก็บเอาข้อมูลประวัติศาสตร์ของมนุษย์ร่วม 30 ล้านหน้าเอาไว้ (อ่านเรื่องราวของยานลำนี้ได้ที่ ยานอวกาศอิสราเอล ที่เดินทางไปดวงจันทร์ บรรทุกประวัติศาสตร์มนุษย์ร่วม 30 ล้านหน้าไว้) ยาน Beresheet lander จริงอยู่ที่ตั้งแต่การปล่อยออกไปยาน Beresheet lander จะมีปัญหาเรื่องบัคในระบบอยู่บ้าง แต่ตลอดเวลากว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมาตัวยานก็สามารถเดินทางไปยังดวงจันทร์ได้เป็นอย่างดี และมีกำหนดการที่จะลงจอดบนดวงจันทร์ภายในวันที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมานี้ แต่แล้วในวันนั้นเองเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ต้องพบกับข่าวร้ายกันอีกครั้งเมื่อยาน Beresheet lander ที่ควรจะลงจอดบนดวงจันทร์ได้โดยสวัสดิภาพ กลับพุ่งเข้าชนพื้นพิวของดวงจันทร์ และทำให้ภารกิจในครั้งนี้จบลงด้วยความล้มเหลวไปในก้าวสุดท้ายแบบพอดิบพอดี หนึ่งในภาพพื้นผิวดวงจันทร์ที่ยาน Beresheet lander ถ่ายไว้ได้ อ้างอิงจากการออกมาเปิดเผยของทาง SpaceIL (องค์กรทางอวกาศของอิสราเอล) ดูเหมือนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในภารกิจครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับระบบเครื่องยนต์หลักของตัวยานเอง ซึ่งเกิดหยุดทำงานไปในระหว่างการลงจอด ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นมากพอที่จะทำให้ชนยานเสียการควบคุมจนชนเข้ากับผิวดวงจันทร์ต่อหน้าประชาชนนับไม่ถ้วนที่เฝ้ามองการลงจอดในครั้งนี้ผ่านการถ่ายทอดสด…
-
รู้จักด็อกเตอร์ Katie บุคคลสำคัญที่ทำให้โลกได้เห็นภาพ “หลุมดำ” เป็นครั้งแรก
ภาพ ‘หลุมดำ’ ที่ถูกเปิดเผยต่อมนุษยชาตินั้นต่างเป็นที่พูดถึง และสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่ใครเลยจะรู้ว่าการค้นพบแหล่งของหลุมดำนั้นเกิดขึ้นจากการสังเกตการณ์ของ Dr. Katie Bouman แห่งศูนย์วิจัยดาราศาสตร์ฟิสิกส์ Harvard-Smithsonian นั่นเอง! เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2019 ที่ผ่านมาได้มีการเปิดภาพหลุมดำครั้งแรกเป็นประวัติศาสตร์โลก โดยภาพดังกล่าวถูกจับได้โดยตัวแทนจากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกในชื่อว่าทีม Event Horizon Telescope (EHT) ถือเป็นการสร้างความก้าวหน้าครั้งยิ่งใหญ่ถึงความเข้าใจของมนุษย์ต่อจักรวาล Dr. Katie Bouman วัย 29 ปีก็เป็นหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของทีมที่ได้ใช้เวลาหลายปีในการเก็บข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์ก่อนจะกลายมาเป็นภาพของหลุมดำในที่สุด Katie อัปโหลดรูปภาพบนเฟซบุ๊กส่วนตัวกับภาพหลุมดำ โดยเธอและทีมได้สร้างชุดคำสั่งขึ้นมาชุดหนึ่งที่สามารถประมวลผลข้อมูลทางดาราศาสตร์ได้ และนำข้อมูลทุกอย่างไปเรียบเรียงเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจได้ในภาพเดียว Katie ได้เข้าร่วมกับทีม EHT เมื่อ 6 ปีก่อนโดยขณะนั้นเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหลุมดำเลยเพราะความเชี่ยวชาญของเธอคือด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และวิศวรกรรมไฟฟ้ามากกว่า แต่เธอมีความสนใจ และความหลงใหลในการ “สร้างวิธีใหม่เพื่อใช้มองในสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า” และนั่นทำให้เธอได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีม เธอไม่เพียงแต่พัฒนาชุดคำสั่งที่นำไปสู่การพบหลุมดำเท่านั้น แต่เธอเชื่อว่าเธอได้นำวิธีคิดแนวใหม่มาสู่ทีมด้วยเช่นกัน Katie ในปี 2013 โดย Katie…
-
10 เคล็ดลับแบบง่ายๆ ในครัวที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน รู้เอาไว้ชีวิตสบายขึ้นเยอะ
สำหรับพ่อบ้านแม่บ้านยุคใหม่แล้ว ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตในแต่ละวันถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ก็จะสบายแล้วก็ต้องประหยัดเวลาอีกด้วย ในยุคที่ทุกสิ่งทุกอย่างดูเร่งรีบแบบนี้ งานครัวเป็นอีกหนึ่งงานที่เรียกได้ว่าค่อนข้างที่จะยากสำหรับใครหลายๆ คน แต่ทว่าเรื่องงานครัวก็สามารถเปลี่ยนให้เป็นเรื่องง่ายๆ ได้นะ จากเคล็ดลับเล็กๆ เหล่านี้ ที่จะทำให้ชีวิตของคุณรู้สึกสะดวกสบายขึ้นได้ไม่น้อยเลยล่ะ 1. เก็บไข่ไว้ให้ได้นานขึ้นด้วยน้ำมันพืช ทาน้ำมันพืชลงบนเปลือกไข่ ก่อนเอาไปแช่ตู้เย็น จะทำให้สามารถเก็บไข่ได้นานกว่าเดิม 2. ปอกเปลือกไข่ได้ง่ายๆ แค่ใช้น้ำเย็น หลังจากต้มไข่จนได้ระดับความสุกตามชอบแล้ว ให้รีบเอาแช่น้ำเย็นจัดทันที จะทำให้สามารถปอกเปลือกไข่ได้ง่ายยิ่งขึ้น 3. ชุบชีวิตมันฝรั่งทอดเหี่ยวๆ ด้วยกระดาษเช็ดปาก วางมันฝรั่งลงบนกระดาษเช็ดปากแล้วนำไปเข้าไมโครเวฟสัก 30 วินาที มันฝรั่งก็จะกลับมากรอบเหมือนเดิม 4. ทำไข่ดาวให้สวยงามด้วยหัวหอม หั่นหัวหอมให้เป็นวง วางบนกระทะแล้วตอกไข่ลงไป เท่านี้ก็จะได้ไข่ดาวที่สวยงาม 5. ใช้คลิปหนีบกระดาษกั้นขวดไม่ให้ไหลไปมา 6. ย่างปลาด้วยการวางบนมะนาว นอกจากจะป้องกันเนื้อปลาติดตะแกรงแล้ว ยังทำให้ปลามีรสชาติมาขึ้นด้วย 7. ทำให้พลาสติกแร็ปสามารถใช้ได้ง่ายๆ ด้วยนำมาแช่ไว้ในตู้เย็น 8. รักษาความสดของผักด้วยถุงพลาสติก นำผักใส่ในถุง เติมลมเข้าไปให้พองๆ…
-
‘หลุมดำ’ ภาพจริงแรกในประวัติศาสตร์ หลังเป็นเพียงทฤษฎีมานานกว่า 100 ปี!!
หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินคำว่า ‘หลุมดำ’ กันมาก่อนแล้ว พร้อมกับทฤษฎีมากมายที่เกี่ยวกับมัน ซึ่งบรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างก็ศึกษากันมาอย่างยาวนานเป็นเวลากว่า 100 ปี!? แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครที่เห็นภาพของ ‘หลุมดำ’ มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ภาพต่างๆ นั้นเป็นเพียงการตีความมาจากทฤษฎีเท่านั้น!! และเมื่อวาน (11 เมษายน 2562) ที่ผ่านมานับเป็นข่าวดีของมวลมนุษยชาติ จากเทคโนโลยีที่ก้าวไกลในปัจจุบัน ทำให้เราได้มีโอกาสเห็น ‘หลุมดำ’ แบบจริงๆ เป็นครั้งแรกแล้วจากกาแล็กซี่อันไกลโพ้น มันมีขนาดความยาวถึง 40 พันล้านกิโลเมตร ใหญ่กว่าโลกถึง 3 ล้านเท่า! เหล่านักวิทยาศาสตร์เคยให้คำนิยามมันไว้ว่า “สัตว์ประหลาด” (a monster) เพราะขนาดและความลึกลับของมัน หลุมดำดังกล่าวนั้นมีระยะห่างออกไปไกลกว่า 500 ล้านล้านกิโลเมตร และถูกถ่ายภาพโดยเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์เป็นจำนวน 8 ตัวทั่วโลกเรียกว่า Event Horizon Telescope (EHT) ศาสตราจารย์ Heino Falcke แห่งมหาวิทยาลัย Radboud ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้กล่าวว่าหลุมดำดังกล่าวถูกค้นพบในกาแล็กซี่ที่เรียกว่า M87…
-
ภาพถ่ายโคลสอัป ‘สิ่งของในชีวิตประจำวัน’ เปิดเผยมุมที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
โลกเราช่างกว้างใหญ่และมีสิ่งต่างๆ มากมายที่ยังคงเป็นความลับเพื่อจะให้เราได้ค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ใหญ่ที่สุดอย่างจักรวาลและอวกาศ หรือจะเป็นสิ่งที่เล็กที่สุดอย่างควาร์ก เป็นต้น เช่นเดียวกับ Pyanek ช่างภาพคนหนึ่งที่ได้ถ่ายภาพสิ่งของในชีวิตประจำวันที่เราสามารถพบเจอได้ทุกวันในแบบระยะใกล้ และมุมองการถ่ายภาพของเขาทำให้เราได้พบกับสิ่งที่ไม่คาดคิด ไอเดียของช่างภาพนั้นเกิดจาก การสำรวจรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่โดยปกติแล้วเราไม่ค่อยสนใจ “เชื่อมั้ยว่าขณะที่ถ่ายภาพโปรเจกต์นี้ ผมได้มองสิ่งของเหล่านี้เหมือนเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ โลกใบใหม่ที่รอให้ผมเข้าไปค้นหาทั้งๆ ที่มันก็อยู่ในโลกใบเดิมที่เราเจอทุกวัน” เขากล่าว Pyanek ช่างภาพโปรเจกต์นี้ ภาพถ่ายในโปรเจกต์นี้ของเขาได้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของสสารต่างๆ ที่เล็กที่สุดที่เราไม่คุ้นเคย และถือเป็นการเปิดโลกในอีกมุมหนึ่งที่สอนให้เราได้มองโลกในมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม รวมถึงการใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าด้วย และนั่นคือความสวยงามของมันที่อนุญาตให้เราใช้จินตนาการตีความได้ตามที่เราต้องการ มาดูกันดีกว่าว่าเพื่อนๆ จะตีความภาพของ Paynek ว่าอย่างไร… เกล็ดน้ำตาลทรายขาว หน้าหนังสือแต่ละหน้า ฝอยขัดหม้อ โฟมสบู่ หัวไม้ขีดไฟ หัวปากกาลูกลื่น ฟองน้ำล้างจาน บุหรี่ มีดฟันปลา พู่กัน เทปหนามเตย ก้อนหินริมชายหาด …
-
ผู้เชี่ยวชาญเตือนภัยเชื้อราดื้อยาอีกครั้ง หลังระบาดหนักในสหรัฐฯ และหลายพื้นที่ทั่วโลก
ในช่วงต้นเดือนเมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ได้มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ออกมาเตือนภัยเกี่ยวกับแบคทีเรียดื้อยาที่มีชื่อเรียกว่า Superbugs หลังจากที่หนังสือพิมพ์ New York Times ได้ออกมารายงานการแพร่กระจายอย่างน่าตกใจหายในสหรัฐฯ ของมัน และความเป็นไปได้ที่ว่าโรงพยาบาลหลายแห่งปกปิดข่าวเกี่ยวกับแบคทีเรียตัวนี้ โดยเจ้านี้มาจากเชื้อราที่สายพันธุ์ชื่อ Candida auris ซึ่งตามปกติแล้วจะอาศัยอยู่บนผิวหนังและเยื่อเมือกโดยไม่มีอันตรายใดๆ เป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามในช่วงหลายปีที่ผ่านมามันก็ได้กระจายไปทั่วพื้นที่สำคัญๆ ของโลกอย่างอังกฤษ สเปน อินเดีย เวเนซุเอลา และสหรัฐอเมริกา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เชื้อรา Candida auris นั้นมีการค้นพบครั้งแรกในปี 2009 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในผู้ป่วยอาการหูอักเสบคนหนึ่ง แม้ว่าเราจะมีตัวอย่างทางการแพทย์ที่ชี้ว่าเชื้อราตัวนี้อาจเคยถูกพบในปี 1996 ที่เกาหลีใต้ก็ตาม Candida auris บนจานเพาะเชื้อ จริงอยู่ว่าตามปกติเชื้อรา Candida auris จะไม่มีอันตรายมากนักก็ตาม แต่หากเชื้อราตัวนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายทางแผล หรือการผ่าตัดของผู้มีระบบภูมิคุ้มกันต่ำ เชื้อรา Candida auris ก็อาจจะมีการแพร่เชื้อในกระแสเลือดทำให้อวัยวะภายในร่างกายล้มเหลวได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่ากลัวของเชื้อราเหล่านี้คือความสามารถในการต้านทานยาและการแพร่กระจายของมันต่างหาก เพราะไม่เพียงแต่เชื้อราในสายพันธุ์ทุกตัวจะมีความสามารถในการต้านทานยาต้านเชื้อราอย่างน้อยหนึ่งตัวเท่านั้น…
-
ย้อนรอยเรื่องราวของ “ทองคำ” โลหะทรงคุณค่า ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องประดับ
ตั้งแต่หลายพันปีก่อน “ทองคำ” ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องหมายแห่งความมั่งคั่งที่มนุษย์พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาครอบครอง มันเป็นโลหะมีค่าที่ไม่เพียงแต่มีมูลค่าสูง แต่ยังมีบทบาทพิเศษที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาอย่างยาวนานตั้งแต่จุดเริ่มต้นของอารยธรรมอีกด้วย ในทางวิชาเคมี ทองคำ คือธาตุเคมีที่มีหมายเลขอะตอม 79 และสัญลักษณ์คือ “Au” ซึ่งมาจากคำว่า Aurum ซึ่งแปลว่า “สีเหลือง” ในภาษาละติน และเป็นหนึ่งในธาตุ 12 ชนิดบนตารางธาตุที่ไม่สามารถระบุชื่อคนที่คนพบได้ การที่เราไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้ค้นพบทองคำเป็นคนแรกนั้น คงจะกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่เรามีเกี่ยวกับการใช้งานทองคำของมนุษย์ ก็มีการระบุไว้ว่าพวกเรามีการใช้โลหะมีค่าเหล่านี้มาตั้งแต่ในสมัยอียิปต์ เมื่อราวๆ 3,000 ปี ก่อนคริสตกาลเลย แน่นอนว่าด้วยความมันวาวและไม่เป็นสนิมของมัน ทำให้ทองถูกใช้งานในฐานะเครื่องประดับเป็นหลักมาตั้งแต่ในสมัยก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าทองคำจะไม่สามารถนำไปใช้งานในด้านอื่นๆ เลยเหมือนกัน นั่นเพราะตั้งแต่ในอดีตมา คนเรามีการนำทองคำไปประยุกต์ใช้กันอย่างหลากหลายกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีอย่างการนำไปผลิตเป็นเหรียญ ไปจนถึงเรื่องแปลกๆ อย่างการใช้เป็นยา หรือแม้แต่ใช้ในการผลิตนาโนเทคโนโลยี ภาพจำลองสามมิติของอนุภาคนาโนของทอง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่ แต่ทองก็สามารถนำมาใช้ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้โดยอาศัยโมเลกุลภายในที่มีลักษณะการเรียงตัวที่เป็นเอกลักษณ์ และพบได้ทั้งในยาที่อาศัยการฉีดเข้าร่างกายอย่าง Myocrisin, Solganol และ Allocrysin หรือยาสำหรับรับทานอย่าง Auranofin ส่วนในทางนาโนเทคโนโลยี เราจะสามารถเห็นการใช้ทองคำมาตั้งแต่ในสมัยโรมันโบราณ…
-
“The Stoned Ape” ทฤษฎีแปลกที่อ้างว่าการ “เมาเห็ด” มีส่วนช่วยในวิวัฒนาการของมนุษย์
ตั้งแต่ในอดีตมาการศึกษาประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ได้นำมาซึ่งทฤษฎีการวิวัฒนาการอันหลากหลายทั้งที่มีความเป็นไปได้สูง และแนวคิดที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในอดีตเราจะมีทฤษฎีที่ฟังดูแปลกสุดๆ แต่กลับมีความเป็นไปได้ปรากฏออกมาให้เห็นกันอยู่บ้าง และหนึ่งในทฤษฎีสุดแปลกเหล่านี้ก็คือทฤษฎี “The Stoned Ape” ของ Terence McKenna นักเขียน นักปรัชญา และพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ที่บอกว่าเหตุผลที่ทำให้มนุษย์เรามีการวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วในอดีตนั้นอาจจะมาจากการ “เมาเห็ด” ก็เป็นได้ The Stoned Ape เป็นทฤษฎีที่ถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรกในปี 1992 ที่ถูกคิดออกมาเพื่ออธิบายการวิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในช่วงรอยต่อของ “โฮโม อีเร็กตัส” และ “โฮโม เซเปียนส์” โดยในทฤษฎีนี้ McKenna ได้อ้างว่าเหตุผลหลักที่ทำให้โฮโม อีเร็กตัสมีขนาดของสมองเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นเกี่ยวข้องการที่มนุษย์โฮโม อีเร็กตัสเปลี่ยนไปทาน “เห็ดวิเศษ” หรือ “เห็ดขี้ควาย” (Psilocybe cubensis) อันเป็นเห็ดที่มีฤทธิ์กับระบบประสาท ในช่วงที่อากาศในแอฟริกาเปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง Terence McKenna ผู้คิดทฤษฎี นี่อาจจะเป็นทฤษฎีที่ฟังดูแปลกและไม่น่าเป็นไปได้จริงๆ แต่ McKenna ก็ใช่ว่าจะตั้งทฤษฎีนี้ขึ้นมาโดยที่ไม่มีอะไรอ้างอิงเลยเช่นกัน…
-
ผู้เชี่ยวชาญเผย การ์ตูน Disney ปลูกฝังความเชื่อผิดๆ ทั้งเหยียดสี ฝึกให้ชินกับความรุนแรง
ในช่วงเวลาวัยเด็กของพวกเราแทบทุกคนคงจะต้องเคยผ่านหูผ่านตากับภาพยนตร์การ์ตูนของค่าย Disney กันมาก่อน ไม่มากก็น้อย แต่ภายใต้ความสนุกสนานอันน่าจดจำเหล่านั้น สิ่งที่เราอาจไม่เคยสังเกตเห็นก็คือบางเนื้อหาการนำเสนอของหนังก็อาจแฝงด้วยบางอย่างที่ไม่เหมาะสมกับเด็กสักเท่าไหร่นัก การ์ตูน Disney บางเรื่องยังคงเป็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญในหลายต่อหลายประเด็น… ดอกเตอร์ Victoria Cann วิทยากรทางด้านมนุษยธรรมจากมหาวิทยาลัย University of East Anglia สหราชอาณาจักร ได้กล่าวถึง การ์ตูนเรื่อง “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” (Beauty and the Beast) เธอบอกว่ามันเป็นเหมือนการปลูกฝังความคิดในลักษณะของ Stockholm Syndrome อาการที่ตัวประกันจะรู้สึกว่าคนที่จับเรามานั้นเริ่มดูเป็นคนดีมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมองเห็นด้านดีของเขา และเริ่มรู้สึกผูกพันกับคนคนนั้น ดอกเตอร์ Victoria อธิบายว่า เนื้อหาของการ์ตูนเรื่องนั้นอาจส่งผลให้ผู้หญิงเข้าใจว่าผู้ชายที่ชอบใช้ความรุนแรง ขี้โมโห (ในเรื่องได้นำเสนอผ่านสัตว์ร้ายที่เป็นตัวเอก) อาจเปลี่ยนกลายเป็นคนดีได้สักวัน ด้วยเหตุนั้นเอง หญิงสาวก็จะทนอยู่กับผู้ชายแบบนั้นโดยเชื่อว่าเขาจะต้องเปลี่ยนเป็นคนดีอย่างแน่นอน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วมันอาจไม่ได้กลายเป็นอย่างนั้นเสมอไป เธอยังพูดถึงภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Aladdin ในปี 1992 ว่ามันได้ถูกนำเสนอออกมาในลักษณะของการ “เหยียดสีผิว” อย่างเห็นได้ชัด…
-
12 ไอเดียเปลี่ยนบ้านของคุณให้กลายเป็น “สวรรค์ของเด็ก” ช่วยเสริมสร้างจินตนาการ
วัยเด็ก คือวัยที่มีความกระหายที่จะเล่น และยังเป็นวัยที่เปิดรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในตัวอย่างมหาศาล เรียกได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเป็นอย่างไร เขาก็จะได้รับอิทธิพลอย่างนั้นมา เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในบ้านให้เหมาะสมกับเด็กนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันจะช่วยหล่อหลอมให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีนิสัยและรสนิยมตามสภาพแวดล้อมที่เขาได้ซึมซับมา วันนี้เราจึงได้นำรูปภาพไอเดียเพื่อให้คุณสามารถนำไปตกแต่งบ้านให้กลายเป็นสวรรค์ของเด็กๆ เพื่อเสริมสร้างจินตนาการของพวกเขากันครับ 1. ห้องลับหลังชั้นวางหนังสือ 2. สไลเดอร์ในบ้าน ไม่ต้องง้อสนามเด็กเล่น https://www.instagram.com/p/Bn_9zIrDBeR 3. เปลี่ยนห้องใต้บันได เป็นบ้านหลังเล็ก 4. กำแพงกระดานชอล์ก เสริมสร้างจินตนาการ https://www.instagram.com/p/BvqfHHUn1tJ 5. เปลี่ยนห้องใต้หลังคาเป็นโซนอ่านหนังสือสุดอบอุ่น https://www.instagram.com/p/BvofxdkDCyY/ 6. หรือจะโซนอ่านหนังสือติดหน้าต่าง ชมวิวธรรมชาติไปด้วย 7. เปลี่ยนห้องนอนลูกของคุณให้เหมือนอยู่ในโลกนิทาน https://www.instagram.com/p/Bq__WWbnSd9 8. เตียงลอย สร้างความรู้สึกเหมือนนอนลอยอยู่บนก้อนเมฆ https://www.instagram.com/p/BkoZOvxhTYh 9. ติดไฟเพิ่มความอบอุ่นให้ห้องนอนใต้บันได 10. เมืองและการจราจรขนาดย่อมในห้องนั่งเล่น https://www.instagram.com/p/BumLxamhoVa 11.…
-
กำลังเครียดอยู่หรือเปล่า? 6 วิธีง่ายๆ คลายเครียดระหว่างวันทำงาน เพื่อจิตใจที่สดใส
เหล่าพนักงานออฟฟิศหรือฟรีแลนซ์ที่นั่งทำงานเคาะแป้นพิมพ์ต๊อกแต๊กๆ หลายคนคงมีความเครียดสะสมอยู่ในตัว ทั้งเรื่องงานไม่เสร็จ ลูกค้าเรื่องมาก เจ้านายเดินส่องอยู่ข้างหลังโต๊ะ คิดงานไม่ออก ท้องผูก หรืออื่นๆ แน่นอนว่าพอเราเครียดๆ มันทำให้จิตใจเราว่อกแว่กจนบางทีก็แทบจะทำงานไม่ได้เลย สมองก็ไม่แล่น งานที่ออกมาไม่ดีก็โดนเจ้านายดุเอาอีก วันนี้ #เหมียวม่วง เลยจะเอาวิธีคลายเครียด 6 วิธีที่ทำได้ง่ายๆ มาฝากกันล่ะ เผื่อว่าเพื่อนๆ จะสามารถเอาไปปรับใช้กันได้ พอเราหายเครียด จิตใจเราก็จะแจ่มใสไปด้วย 1. ระบายเรื่องเครียดกับใครสักคน แม้จะพูดธรรมดาแต่เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญมากๆ หากเรายิ่งเก็บความเครียดเอาไว้กับตัวมันก็จะสะสมเอาไว้รอวันที่มันแสดงออกทางร่างกาย ซึ่งจะทำให้เราป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจเลยทีเดียว ลองหาเพื่อนที่ยินดีช่วยรับฟังเราเวลามีปัญหา แล้วระบายให้เขาฟัง เชื่อสิว่ามันช่วยได้มากจริงๆ 2. ระบายสี คุณไม่จำเป็นต้องเก่งศิลปะหรืออะไรเลย เพียงซื้อสีไม้หรือสีเขียนติดโต๊ะเอาไว้ พร้อมกับสมุดเปล่าๆ หรือสมุดภาพระบายสี (เดี๋ยวนี้มีแบบที่ภาพสวยๆ ซับซ้อนขึ้นมาสำหรับให้ผู้ใหญ่ได้ระบายเล่นด้วยนะ หาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป) ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เราใช้งานสมองทั้งด้านตรรกะและความคิดสร้างสรรค์ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งมันจะช่วยให้สมองของเราผ่อนคลายนั่นเอง 3. ออกไปเดินเล่นสักพัก อย่างที่รู้กันว่าเวลาเราออกกำลังกาย ร่างกายก็จะหลั่งสารที่ทำให้เรามีความสุขออกมา แต่ไม่จำเป็นจะต้องไปวิ่งหรือออกกำลังหนักๆ หรอกนะ แค่เอาตัวออกจากงานที่ทำให้เครียดสักครู่ เดินดูต้นไม้สีเขียวๆ ให้ชื่นใจ มันจะช่วยผ่อนคลายทั้งสมอง…
-
งานวิจัยพบตัวอ่อน “ยุงยักษ์” จะอ้าปากคล้ายพรีเดเตอร์ และจับเหยื่อในเวลาไม่ถึง 1 วินาที
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันว่าในธรรมชาติของโลกนั้น ไม่ได้มีแต่สิ่งมีชีวิตที่น่ารักเสมอไป เพราะในหลายๆ สถานที่ (อย่างเช่นแหล่งน้ำ) เราก็จะสามารถพบสิ่งมีชีวิตที่มีหน้าตาสุดประหลาด ที่มีวิธีล่าเหยื่อราวกับหลุดมาจากหนังอย่างเอเลี่ยน หรือ พรีเดเตอร์ได้เหมือนกัน เพราะเมื่อล่าสุดนี้เองทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการสังเกตการตัวอ่อนของ “ยุงยักษ์” (Chaoborus) แมลงที่แม้ว่าจะมีชื่อภาษาไทยว่ายุงแต่จริงๆ แล้วเป็นแมลงวันพันธุ์หนึ่ง พวกเขาก็พบว่าเจ้าตัวอ่อนเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะมีจุดเด่นที่ร่างกายโปร่งใสราวแก้วเท่านั้น แต่มันยังมีวิธีการ “อ้าปาก” ที่แปลกสุดๆ เลยด้วย อ้างอิงจากวิดีโอความเร็วสูงและการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือ “ซีทีสแกน” นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าตัวอ่อนของยุงยักษ์นั้นมีส่วนปากที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนหลายปล้องประกอบกันซึ่งสามารถกางออกกว้างกว่าส่วนหัวของตัวมันเพื่อจับเหยื่อ ก่อนที่จะ “เคี้ยว” เหยื่อทั้งเป็นและส่งเข้าหลอดอาหารโดยตรง ความเร็วในการกินเหยื่อตั้งแต่เริ่มจนจบของตัวอ่อนยุงยักษ์สายพันธุ์นี้กินเวลาเพียงแค่ 14 มิลลิวินาที (0.014 วินาที) เท่านั้น เร็วกว่าที่คนเราจะมองเห็นด้วยวิธีการตามธรรมชาติมาก ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงต้องทำการสร้างโมเดลสามมิติขึ้นมาเพื่ออธิบายการทำงานของปากตัวอ่อนยุงยักษ์เลย การโจมตีของตัวอ่อนยุงยักษ์นั้น เร็วกว่าการโจมตีการโจมตีของตั๊กแตนตำข้าวซึ่งใช้เวลา 42 มิลลิวินาทีเสียอีก แม้ว่าจะยังเป็นรองกั้งซึ่งใช้เวลา 4-8 มิลลิวินาที และ แมงมุมสายพันธุ์ Chilarchaea quellon ที่ใช้เวลาโจมตีน้อยกว่า 1 มิลลิวินาทีก็ตาม แต่แม้ว่าตัวอ่อนยุงยักษ์จะมีการอ้าปากแบบพิเศษและความเร็วในการล่าเหยื่อที่สูงแค่ไหนก็ตาม มีนก็ใช่ว่าจะสามารถจับเหยื่อได้เสมอไป เพราะแม้ว่ามันมีโอกาสจับไรน้ำได้ถึง…
-
คุณอาจไม่รู้ว่า “ลาลีก้า สเปน” คว้าแชมป์อันดับ 1 ลีกฟุตบอลแข็งแกร่งที่สุดของโลก!?
หากจะพูดถึงลีกฟุตบอลที่ดังที่สุดและคุ้นหูแฟนบอลไทยมากที่สุด เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่นึกถึง ฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก (Premier League) ลีกฟุตบอลระดับโลกจากประเทศอังกฤษ ที่มีการแข่งดวลแข้งกันอย่างเข้มข้นและเป็นที่นิยมมากระดับโลก มีทีมดังที่คุ้นหูอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester United) ที่คว้าแชมป์ชนะเลิศถึง 13 สมัย ทีมเชลซี (Chelsea) คว้าแชมป์ชนะเลิศ 5 สมัย หรือกระทั่งลิเวอร์พูล (Liverpool) ซึ่งแม้ไม่เคยคว้าแชมป์สักสมัย แต่ก็มีแฟนบอลอยู่มหาศาล แต่คุณรู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วมีอีกหนึ่งลีกฟุตบอลระดับโลกที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นลีกฟุตบอลที่เจ๋งที่สุด และสตรองที่สุด หากคิดโดยปัจจัยบางอย่างแล้วล่ะก็ ลีกนั้นก็คือ “ลาลีกา (La Liga)” ฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศสเปน แล้วปัจจัยอะไรทำให้ “ลาลีกา” เป็นลีกฟุตบอลอันดับหนึ่ง!? องค์กร IFFHS หรือสหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลระหว่างประเทศ (International Federation of Football History & Statistics) ได้ทำการจัดอันดับลีกฟุตบอลที่ดีที่สุดระดับโลก ซึ่งข้อมูลล่าสุดในปี ค.ศ. 2018…
-
รู้จัก IPA กับการออกเสียงภาษาอังกฤษ ให้คุณสปีกอิงลิช กับชาวต่างชาติได้ดียิ่งขึ้น!!
การออกเสียง (Pronunciation) เป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสาร ถ้าหากผู้พูดออกเสียงไม่ชัดเจน อาจทำให้ความหมายเปลี่ยนไปได้ เช่น คำว่า ‘สวย’ และ ‘ซวย’ ในภาษาไทยที่มีความใกล้เคียงกันจนชาวต่างชาติอาจออกเสียงผิดจนเกิดความเข้าใจผิดต่อผู้รับฟัง เป็นต้น ภาษาอังกฤษก็เป็นอีกภาษาหนึ่งที่ต้องการการออกเสียงที่ถูกต้องในการสื่อความหมายเช่นกัน โดยหากผู้เรียนภาษาทุกคนอยากออกเสียงให้ได้ใกล้เคียงเจ้าของภาษา เชื่อว่า IPA จะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการออกเสียงอย่างแน่นอน IPA ย่อมาจาก International Phonetic Alphabet หรือในชื่อไทยว่า ‘สัทอักษรสากล’ ซึ่งประกอบไปด้วยสัญลักษณ์เฉพาะที่สามารถใช้เป็นมาตรฐานแทนเสียงพูดได้ในทุกภาษา IPA นั้นก็เหมือนภาษาหนึ่งที่ประกอบไปด้วยสระ และพยัญชนะ เพียงแต่จะแยกลักษณะการออกเสียงตามตำแหน่งในปากของเรานั่นเอง ตารางสระใน IPA ยกตัวอย่างเช่นสระตามรูปด้านบน ซึ่งสระจะขึ้นอยู่กับลิ้นจึงถูกแบ่งเป็น ด้านหน้าคือการใช้ลิ้นบริเวณใกล้ฟัน (Front), ตรงกลางคือลิ้นอยู่ตรงกลาง (Central), และด้านหลังคือลิ้นม้วนกลับไปยังลำคอ (Back) เป็นต้น ตารางพยัญชนะใน IPA ต่อมาคือพยัญชนะ ซึ่งจะใช้หลักในการทำความเข้าใจอยู่ 2 อย่างเท่านั้น ได้แก่ ตำแหน่งการเกิดเสียง (Place…
-
นักวิทย์พบธารน้ำแข็งที่เคยบางลงเพราะโลกร้อน หนาขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ตามปกติเมื่อพูดถึงสถานการณ์โลกร้อนแล้ว เหตุการณ์สำคัญที่ตามมาก็น่าจะเกี่ยวกับการที่น้ำแข็งในหลายๆ ที่บนโลก (เช่นขั้วโลก) ละลายจนทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อล่าสุดนี้เองเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้พบกับปรากฏการณ์แปลกๆ ขึ้นเมื่อมีน้ำแข็งในพื้นที่ทางชายฝั่งตะวันตกของกรีนแลนด์นั้น ไม่เพิ่มแต่ไม่ละลายเท่านั้นแต่ยังหนาขึ้นเรื่อยๆ ด้วย นั่นเพราะแทนที่ธารน้ำแข็งชื่อ “Jakobshavn” จะบางลงและค่อยๆ ไหลเข้าใกล้ชายฝั่งเหมือนกับธารน้ำแข็งอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุโลกร้อน มันกลับหนาขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ไหลออกไปยังทะเลแทน อ้างอิงจากข้อมูลในอดีต ธารน้ำแข็ง Jakobshavn นั้นเป็นที่กังวลของเหล่านักวิทยาศาสตร์มากตั้งแต่ช่วงต้นปี 2000 และในระหว่างปี 2003-2016 ธารน้ำแข็งแห่งนี้ก็เสียความหนาไปถึง 152 เมตร อย่างไรก็ตามตั้งแต่ช่วงปี 2013 เป็นต้นมามันกลับเริ่มกลับมาหนาขึ้นอีกครั้งแถมยังมีทิศทางการเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนไปด้วย ทำให้ในช่วงปี 2016-2017 ที่ผ่านมาน้ำแข็งที่พบก็มีความหนามากขึ้นถึง 30 เมตร การค้นพบในครั้งนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ของนาซาที่เฝ้าสังเกตการณ์เหตุน้ำแข็งละลายในกรีนแลนด์หรือ “Oceans Melting Greenland” (OMG) รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นนับว่าผิดไปจากธารน้ำแข็งอื่นๆ ที่พวกเขาพบมาก นักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาและเนเธอร์แลนด์ได้ออกมาตั้งข้อสันนิษฐานว่าเหตุการณ์แปลกๆ นี้ อาจจะเกิดขึ้นจากการที่ทะเลทางชายฝั่งตะวันตกของกรีนแลนด์มีอุณหภูมิที่ต่ำลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ได้ โดยนี่เป็นปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงทางอากาศที่เรียกว่า North Atlantic Oscillation ซึ่งจะส่งผลให้มหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือมีอุณหภูมิสลับไปมาระหว่างน้ำเย็นและน้ำอุ่นทุกๆ…
-
งานวิจัยพบ ใต้ทะเลสาบเดดซี มีสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวอาศัยอยู่ ด้วยการกินชิ้นส่วนเพื่อนที่ตาย
เมื่อพูดถึง “ทะเลสาบเดดซี” เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะรู้จักชื่อเสียงของที่แห่งนี้กันเป็นอย่างดีแล้ว ไม่ว่าจะในฐานะของสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อ หรือในฐานะของทะเลสาบที่ไม่มีวันจม และแทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้สมชื่อทะเลสาบแห่งความตาย ว่าแต่เชื่อกันหรือไม่ว่าลึกลงไปใต้แหล่งน้ำที่เค็มที่สุดในโลกแห่งนี้ มันยังมีสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวอย่าง “อาร์เคีย” สิ่งมีชีวิตคล้ายแบคทีเรียแต่มีเยื่อหุ้มเซลล์ที่ต่างกันและจัดเป็นสิ่งมีชีวิตคนละประเภท อาศัยอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ แถมอ้างอิงจากงานวิจัยเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาแล้ว พวกมันอาศัยการกินเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่ตายไปในการเอาชีวิตรอดด้วย นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างนักวิจัยจากสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศสฝ่ายใต้เป้าหมายอยู่ที่การสำรวจสิ่งมีชีวิตในทะเลสาบเดดซี เพื่อหาว่าสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวใช้วิธีการแบบไหนกันแน่ในการเอาชีวิตรอดในสถานที่ที่มีสภาวะแวดล้อมยากแก่การอยู่อาศัย อ้างอิงจากทีมนักวิทยาศาสตร์ อาร์เคียที่พวกเขาพบจะเปลี่ยนชิ้นส่วนของเพื่อนที่ตายไปให้เป็น”Wax Esters” โมเลกุลจัดเก็บพลังงานชนิดหนึ่งที่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวนำมาใช้ชีวิตได้ ซึ่งและอาศัยพลังงานเหล่านี้เป็นพลังงานหลักในการใช้ชีวิตใต้ทะเลสาบ จริงอยู่ว่าการกินเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ในโลก และในบรรดาสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเองเราก็จะสามารถพบแบคทีเรียมีความสามารถกินเพื่อนเพื่อสร้าง Wax Esters แต่ที่ผ่านๆ มานักวิทยาศาสตร์ไม่เคยพบเลยว่าอาร์เคียเองจะมีความสามารถเช่นนี้ด้วย อาร์เคียกับแบคทีเรียแม้จะคล้ายกันแต่ก็นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคนละประเภท การค้นพบในครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเช่นนี้ไม่เพียงแต่ล้มล้างความคิดในสมัยก่อนที่ว่า สิ่งมีชีวิตไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับน้ำเค็มจัดของทะเลเท่านั้น แต่มันยังสามารถช่วยอธิบายระบบนิเวศของทะเลสาบเดดซีได้เป็นอย่างดีเลย แถมความรู้ที่มาจากการค้นพบในครั้งนี้ ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่ออธิบายการที่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายอื่นๆ อย่างใต้พื้นโลกได้ด้วย (อ่านข่าวเก่าได้ที่ นักวิทยาศาสตร์พบ สิ่งมีชีวิตจำนวนมากใต้พื้นโลก มีมวลคาร์บอนรวมมากกว่ามนุษย์เสียอีก) และที่แน่ๆ คือทะเลสาบที่ได้ชื่อว่าทะเลสาบแห่งความตายนั้น…
-
งานวิจัยเผย มนุษย์เราจะใช้พื้นที่สมองราวๆ 1.5 Mb ในการเรียนภาษาแม่เมื่อตอนเด็ก
ไม่ว่าเราจะเป็นใครมาจากไหนในอดีตเราก็ต้องเคยผ่านช่วงเวลาที่สมองของเรายังคงเด็กมากจนพูดได้แค่เสียงที่ไม่มีความหมายอย่าง “อ้อแอ้ๆ” ก็เท่านั้น นี่เป็นช่วงเวลาที่คนส่วนมากจะได้เริ่มเรียนรู้ภาษาแม่ของตัวเอง แม้ว่าสำหรับหลายๆ คนแล้วช่วงเวลานี้คงจะไม่เหลืออยู่ในความทรงจำอีกต่อไป แต่เชื่อหรือไม่ว่าจากงานวิจัยใหม่ล่าสุดที่มีการตีพิมพ์ออกมาเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 2019 นักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาเปิดเผยว่าการเรียนรู้ภาษาแม่ (ในที่นี้คือภาษาอังกฤษ) ซึ่งหลายๆ คนมองว่าเป็นเรื่องยากนั้น ตั้งแต่ตอนเกิดไปจนถึงอายุ 18 ปีจะกินพื้นที่ของสมองเราไปแค่ราวๆ 1.5 เมกะไบต์ หรือเท่าๆ กับแผ่นฟลอปปีดิสก์หนึ่งแผ่นเท่านั้น อ้างอิงจากข้อมูลในงานวิจัย หน่วยวัดปริมาณแบบ “ไบต์” ที่ถูกใช้เปรียบเทียบในครั้งนี้จริงๆ แล้วเป็นรูปแบบการเก็บข้อมูลด้วยตัวเลขฐานสองของคอมพิวเตอร์ ซึ่งต่างไปจากรูปแบบการเก็บข้อมูลที่สมองมนุษย์ใช้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย เพราะในอดีตเองก็เคยมีงานวิจัยออกมาบอกแล้วว่าในชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งสมองจะเก็บข้อมูลได้ถึงมากที่สุดถึงราวๆ 25 เพตาไบต์ (ประมาณ 25 ล้านกิกะไบต์) ดังนั้นเราจึงสามารถเปรียบเทียบได้ว่าภาษาที่เรารู้สึกกันว่าเรียนรู้กันยากเหลือเกินนั้น จริงๆ แล้วจึงใช้พื้นที่ในการเก็บในสมองของเราน้อยกว่าไฟล์เพลง Mp3 บางเพลงด้วยซ้ำ ทีมนักวิทยาศาสตร์บอกว่าในวันหนึ่งคนเราจะสามารถจดจำภาษาแม่ได้มากที่สุดราวๆ 1,000-2,000 ไบต์ และในกรณีที่เลวร้ายที่สุดเราจะจดจำภาษาได้ที่ราวๆ 120 ไบต์ต่อวัน ที่น่าสนใจคือภายใน 1.5 เมกะไบต์ ที่สมองเราใช้ในการจดจำภาษานั้น โดยมากแล้วจะไม่ได้ใช้ในการจดจำไวยากรณ์อย่างที่เราคิด…
-
นักวิทย์พบ กบฟักทองในบราซิล มีกระดูกเรืองแสงทะลุผิวหนังได้ เมื่อส่องด้วยแสง UV
ลึกเข้าไปในป่าแอตแลนติก ทางตะวันออกของประเทศบราซิล ทีมนักวิทยาศาสตร์จากหลากหลายสถาบันการศึกษานานาชาติได้เข้าไปทำการสำรวจการใช้ชีวิตของกบฟักทอง (Pumpkin Toadlets) กบพิษที่มีจุดเด่นอยู่ที่สีเหลืองอมส้มเพื่อข่มขวัญนักล่าอื่นๆ ที่นั่นพวกเขาได้บังเอิญใช้ไฟฉาย UV ส่องไปยังกบฟักทองสองสายพันธุ์ (Brachycephalus ephippium กับ Brachycephalus pitanga) และพบว่า กบเหล่านี้จริงๆ แล้วไม่ได้มีจุดเด่นที่สีของมันเท่านั้น แต่พวกมันยังมีกระดูกที่เรืองแสงสีฟ้าทะลุผิวหนังออกมาได้ด้วย โดยแสงที่ออกมานี้เป็นการเรืองแสงแบบที่เรียกกันว่า “การวาวแสง” หรือ “Fluorescence” ซึ่งต่างไปจากการเรืองแสงแบบปกติตรงที่มันจะมองไม่เป็นในที่มืดธรรมดา แต่เป็นการที่โมเลกุลบางชนิดดูดซับแสงไว้และปล่อยออกมาโดยมีความยาวคลื่นมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ในภาวะพิเศษอย่างการได้รับแสง UV แทน ตามปกติแล้วการการวาวแสงในรูปแบบนี้มักจะไม่ค่อยพบในสัตว์ที่อาศัยบนบกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดาสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง แถมตามปกติสีที่แสดงออกมายังมักเป็นสีแดงหรือเขียวด้วย ดังนั้นการค้นพบในครั้งนี้จึงนับว่าเป็นการค้นพบที่ค่อนข้างแปลกเลย ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังไม่อาจฟันธงได้ว่าทำไมกบทั้งสองสายพันธุ์จึงมีการการวาวแสงแบบนี้ แต่พวกเขาก็ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่านี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งในลักษณะการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นเพื่อขู่นักล่าเนื่องจากนกและแมงมุมบางชนิดจะสามารถมองเห็นการวาวแสงได้ อีกข้อสันนิษฐานหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับกบเหล่านี้คือพวกมันการวาวแสงเพื่อสื่อสารกันเองแบบลับๆ เนื่องจากพวกมันไม่มีหูชั้นกลางและไม่สามารถได้ยินเสียงร้องของตัวเองได้ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการการวาวแสงนี้เกิดขึ้นเพื่อหาคู่ในการผสมพันธุ์ อย่างไรก็ตามข้อสันนิษฐานชิ้นหลังนี้จะเป็นจริงได้ในกรณีที่กบสองชนิดนี้สามารถมองเห็นการการวาวแสงแบบนี้ได้เช่นกัน ซึ่งในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถบอกได้เช่นกันว่าพวกมันมีความสามารถนี้ไหม การค้นพบสุดแปลกนี้ได้รับการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในวารสาร Scientific Reports ส่วนทางทีมวิจัยเองในปัจจุบันก็ได้ทำการเตรียมการตรวจสอบกบทั้งสองสายพันธุ์ต่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อที่จะหาคำตอบว่าการการวาวแสงเหล่านี้ แท้จริงแล้วเกิดขึ้นเพื่ออะไรกันแน่ต่อไป…
-
ให้โอกาส “ของเก่ารอวันทิ้ง” ได้กลับมาเป็นของใช้เท่ๆ ในบ้านของคุณกันเถอะ
บ้านคุณมีของเก่าๆ ที่ไม่กล้าทิ้ง แต่ก็ไม่รู้จะเอามาใช้ทำอะไรบ้างมั้ย #เหมียวม่วง ชอบลังเลเวลาจะทิ้งของ เอาแต่คิดว่าเผื่อวันหน้าจะได้ใช้ แต่ก็ไม่ได้เอาไปใช้ทำอะไรสักที สุดท้ายก็กลายเป็นของ “รอวันทิ้ง” กองเต็มไปหมด ถ้าเพื่อนๆ เป็นเหมือนกันล่ะก็ มาดูไอเดียรีไซเคิลของเก่าๆ ในบ้านกันเถอะ นอกจากจะไม่ต้องทิ้งของเก่า เราก็ได้อะไรใหม่ๆ ใช้จากการประดิดประดอยเล็กๆ นี่แหละ ที่วางหนังสือติดผนังจากบันไดเก่าๆ พื้นรองเท้าจากยางรถ รับรองเกาะถนนดีเยี่ยม หัวเข็มขัดนิรภัยอันที่ไม่ใช้แล้วก็เอามาทำที่เสียบกุญแจเท่ๆ แร็กเกตตีเทนนิสอันเก่าๆ ใส่กระจกเข้าไปก็เหมือนมีกระจกแบบถืออันยักษ์ เสื้อฮูดดี้ตัวเก่าก็เอามาม้วนๆ ที่เตียงให้น้อง อันนี้น่าสนใจ เอาไปปลูกต้นข้าวสาลีอ่อนให้เจ้านายแมวบ้าง แจกันรองเท้าสวยๆ จะมีชั้นวางไปทำไม เล่มไหนยังไม่อ่านก็เอามาใช้เป็นแท่นไปก่อน กล่องกระดาษใส่ไข่ เอามาใส่ของใช้จุกจิก หรือเครื่องประดับ กระป๋องและขวดโหลเก่าๆ ทาสีใหม่ให้สดใส คู่ต้นไม้สวยๆ https://www.instagram.com/p/BvHQNc7HDqf/?utm_source=ig_web_copy_link เทียนในถ้วยงามๆ ตั้งไว้บนโต๊ะก็ดูเก๋ดี https://www.instagram.com/p/Bu4GrLIHFE1/?utm_source=ig_web_copy_link หลายบ้านเปลี่ยนประตูแล้วเสียดายที่จะโยนทิ้งไปเฉยๆ เอามาทำโต๊ะกินข้าวซะเลย https://www.instagram.com/p/Bu7fDr2AJZR/?utm_source=ig_web_copy_link…
-
นักวิทย์เผย ประชากรกบทั่วโลกลดลงอย่างน่าใจหาย หลังเชื้อราสองชนิดระบาดรุนแรง
ย้อนกลับไปในช่วงยุค 1970 นักวิทยาศาสตร์ของโลกได้พบกับเหตุการณ์ประหลาด เมื่อประชากรกบของโลกเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องและรุนแรงทั้งๆ ที่พวกมันก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแล้ว การลดลงอย่างปริศนานี้เกิดขึ้นเรื่อยมาจนกระทั่งในยุค 1990 ซึ่งในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็พบกับ “Batrachochytrium dendrobatidis” และ “Batrachochytrium salamandrivorans” เชื้อราที่อยู่เบื้องหลังการลดลงของกบในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา “Batrachochytrium dendrobatidis” และ “Batrachochytrium salamandrivorans” จะก่อให้เกิดโรคชื่อ Chytridiomycosis ซึ่งโรคนี้เองที่เป็นสาเหตุหลักของการลดลงของประชากรกบที่ผ่านๆ มา แต่ปัญหาคือในเวลานั้น นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้คิดไว้เลยว่าเจ้าเชื้อราสองตัวนี้ในอนาคต และลุกลามรุนแรงได้มากขนาดไหน นั่นเพราะเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ทีมนักวิทยาศาสตร์ 41 คนจากนานาประเทศ ก็ได้ออกมาเปิดเผยความจริงที่ว่าตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เชื้อราสองตัวนี้ได้ทำให้ประชากรสัตว์สายพันธุ์ครึ่งบกครึ่งน้ำของโลกกว่า 500 สายพันธุ์ลดลงไปอย่างน่าใจหาย แถมยังทำให้สัตว์อีกอย่างน้อย 90 สายพันธุ์สูญพันธุ์ไปแล้วด้วย กบเรดอายหนึ่งในสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ 500 สายพันธุ์ที่ได้รับผลจากเชื้อราสองตัวนี้ อ้างอิงจากงานวิจัยที่ออกมา เชื้อราเหล่านี้คาดกันว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากที่คาบสมุทรเกาหลี โดยมันจะมีความสามารถในการแพร่พันธุ์และติดต่อในหมู่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างรวดเร็วผ่านทางการสัมผัสตัวในหมู่สัตว์ และการแพร่กระจายของสปอร์ไปบนผิวน้ำ เมื่อเชื้อราเหล่านี้สัมผัสกับผิวสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่เป็นเหยื่อมันจะเริ่มแพร่กระจายตัวอย่างรวดเร็วจนทำให้ ผิวของสัตว์ลอกออกมา…
-
นักวิจัยเกาหลีเตือน ไวรัสไข้วัดใหญ่ในสุนัข อาจติดต่อข้ามสายพันธุ์มายังมนุษย์ได้
เป็นที่ทราบกันว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นในสัตว์นั้นในบางครั้งก็จะสามารถเกิดการติดต่อข้ามสายพันธุ์มายังมนุษย์ได้ ดังนั้นที่ผ่านๆ มาหากมีโรคภัยไข้เจ็บระบาดรุนแรงในหมู่สัตว์ใกล้ตัวคนเราปล่อยครั้งก็จะมีการออกมาประกาศเตือนภัยโดยเหล่าแพทย์อยู่เสมอ และแล้วเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม ค.ศ. 2019 นี่เองเราก็ได้เห็นการออกมาเตือนภัยในรูปแบบดังกล่าวอีกครั้ง เมื่อเหล่านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกาหลีในประเทศเกาหลีใต้ได้ออกมาประกาศผลการวิจัยใหม่ที่ว่า ไวรัสไข้หวัดใหญ่บางชนิดในสุนัขนั้นอาจมีความสามารถติดต่อข้ามสายพันธุ์มายังคนก็เป็นได้ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยที่กินเวลากว่า 10 ปี ซึ่งต่อยอดจากงานวิจัยในอดีต ที่ว่าไวรัสไข้หวัดหมู (H1N1/2009) และไวรัสไข้หวัดนก (H3N2) สามารถติดต่อไปยังสุนัขได้ แต่ในงานวิจัยล่าสุดนี้เองทางมหาวิทยาลัยเกาหลีได้พบว่าไวรัสไข้หวัดหมู และไข้หวัดนกนั้นไม่เพียงแต่ติดต่อไปยังสุนัขได้เท่านั้น แต่มันยังสามารถ “ผสมกัน” ในสุนัขจนเกิดเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ด้วย ไวรัส H1N1 ที่มีประวัติเคยระบาดในหมูและสุนัขมาแล้ว โดยไวรัสตัวใหม่นี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2012 และถูกเรียกโดยเหล่านักวิทยาศาสตร์ว่า “CIVmv” ซึ่งแม้ว่าในตอนแรกที่ออกมาไวรัสตัวนี้จะดูไม่มีผลกระทบกับคนเป็นพิเศษ แต่เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ามันมีโอกาสที่จะติดต่อมายังมนุษย์ได้ด้วย ข้อสรุปนี้ เกิดจากการที่นักวิทยาศาสตร์พบว่าไวรัสตัวนี้สามารถติดต่อจากสุนัขไปยังตัวเฟอเรทที่มีระบบตัวรับกรดซิลิก (ซึ่งไวรัสจะใช้ในการผูกตัวกับเซลล์) คล้ายมนุษย์ ได้มีการติดไวรัส CIVmv ไปแล้ว แถมยังเกิดขึ้นเร็วมากๆ เมื่อเทียบกับการติดต่อข้ามสายพันธุ์ของไวรัสอื่นๆ ที่ผ่านมาด้วย เมื่อติดไวรัสตัวนี้แล้วสุนัขและเฟอเรทจะมีปัญหากับระบบทางเดินหายใจ มีอาการ ไอ น้ำตาไหล จาม อ่อนเพลียและความอยากอาหารลดลง ซึ่งเป็นอาการโดยพื้นฐานของไข้หวัดใหญ่ในสุนัข …
-
หนุ่มอินเดียเสียชีวิต หลังตรวจพบพยาธิจำนวนมากในสมอง ตาขวา และถุงอัณฑะ
เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา วารสาร “The New England Journal of Medicine” ได้มีการออกมาเปิดเผยข่าวประหลาด เมื่อมีชายหนุ่มอายุ 18 ปีชาวอินเดียคนหนึ่งถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาล ด้วยอาการชักกระตุก หมดสติ และมีการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง พ่อแม่ของชายหนุ่มบอกกับทีมแพทย์ว่าลูกชายของพวกเขามีอาการเจ็บที่บริเวณขาหนีบมาเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้เองเขากลับมีอาการชัก และตาขวาบวมอย่างผิดปกติ หลังจากที่ทางทีมแพทย์ตรวจสอบร่างกายของชายหนุ่มอย่างละเอียดด้วยระบบ MRI และการตรวจสอบอื่นๆ พวกเขาก็พบว่าชายหนุ่มคนนี้มีถุงน้ำซึ่งเกิดจากพยาธิตัวตืดอยู่ที่สมองชั้นนอก เหนือตาขวา และถุงอัณฑะ อ้างอิงจากในรายงานนี่คืออาการของโรค Neurocysticercosis โรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิตัวตืดในระบบประสาทซึ่งพบได้ในประเทศแถบแอฟริกา ลาตินอเมริกา และเอเชีย โดยในกรณีนี้ชายหนุ่มมีการติดเชื้อจากพยาธิตัวตืดหมู (Taenia solium) ซึ่งคาดว่าติดมากับการทานอาหารของตัวชายหนุ่มเอง ส่วนหัวของ Taenia solium เมื่อส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ อาการของโรคนี้สามารถรุนแรงได้ถึงระดับเสียชีวิต โดยเฉพาะในกรณีของชายคนนี้ เขามีถุงน้ำจำนวนมากในร่างกายจนไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาต่อต้านปรสิตธรรมดา ทำให้สุดท้ายทีมแพทย์จำเป็นต้องรักษาโดยพึ่งพาสเตียรอยด์และยาต้านโรคลมชักแทน น่าเสียดายที่แม้ว่าทางทีมแพทย์จะพยายามยื้อชีวิตของชายหนุ่มมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถช่วยเหลือชายคนนี้ไว้ได้อยู่ดี เพราะหลังจากที่ทนทรมานอยู่ราวๆ…
-
สาวลองใช้ “เม็ดทำความสะอาดฟันปลอม” ซักรองเท้าเก่าๆ โอ้โห อย่างกะเพิ่งซื้อใหม่
เชื่อว่าหลายๆ คนต้องมีรองเท้าผ้าใบกันคนละคู่เป็นอย่างน้อย เพราะมันใส่สบายเดินวิ่งสะดวก แต่พอใส่ไปนานๆ เข้ามันก็เปื้อนและเก่าไปตามกาลเวลา ถึงจะซักอย่างดี แต่วันหนึ่งคราบที่ออกไม่หมดก็จะฝังแน่นจนรองเท้าเราดูหมองไปเลย ยิ่งถ้าเป็นสีขาวก็ยิ่งไปกันใหญ่ Ali Moore เองก็มีรองเท้าผ้าใบสีขาวอยู่คู่หนึ่งที่มีคราบสกปรกฝั่งแน่น ไปนานก่อนหน้านี้เธอได้ไปเห็นคนแชร์เคล็ดลับการทำความสะอาดคราบเปื้อนบนโซฟาโดยใช้เม็ดฟู่ที่ใช้ทำความสะอาดฟันปลอมในกลุ่มเฟซบุ๊กชื่อ Mums Who Clean Ali คิดว่าวิธีนี้ก็อาจจะได้ผลกับรองเท้าผ้าใบด้วยก็ได้ เธอจึงไม่รอช้าไปซื้อเจ้าเม็ดฟู่ที่ว่ามาลองใช้โดยทันที เธอละลายเม็ดฟู่ 3 เม็ดลงในน้ำอุ่น ถอดเชือกผูกรองท้าออกแล้วจุ่มรองเท้าลงไปในน้ำดังกล่าว ระหว่างที่แช่ก็ใช้แปรงสีฟันเก่าๆ ค่อยๆ ขัดให้ทั่วแล้วก็แช่ทิ้งเอาไว้ 1 คืน หญิงสาวบอกว่า “ในตอนเช้า ฉันก็โยนมันลงไปในเครื่องซักผ้า ใส่ผงซักฟอกสูตรขจัดคราบลงไป รวมทั้งผ้าขนหนู 1 ผืน (เพื่อไม่ให้รองเท้ากระทบกับผนังเครื่องซักผ้าเสียงดัง) พอซักเสร็จแล้วก็เอาไปตากแดด” เมื่อรองเท้าแห้งแล้วเธอพบว่ารองเท้าคู่เดิมของเธอขาวสะอาดขึ้นมากๆ ขาวสะอาด ปิ๊งๆ ถ้าเพื่อนๆ คนไหนอยากลองทำตามล่ะก็ไปหาซื้อเจ้าเม็ดนี้ได้ตามห้างหรือร้านขายยาทั่วไป ราคาประมาณ 100 กว่าบาทเท่านั้นจ้า ที่มา Mirror
-
นักวิทย์ฯ เนเธอร์แลนด์แจก “กัญชาสังเคราะห์” ในการทดลองแบบควบคุมเป็นครั้งแรกของโลก
เพื่อนๆ เคยได้ยินข่าวเรื่อง “กัญชาสังเคราะห์” หรือ “K2” กันไหม มันเป็นการผลิตสารที่ส่งผลคล้ายกัญชาขึ้นมาด้วยการพ่นสารเคมีลงบนใบพืช ทำให้สามารถกำหนดระดับความเมาได้ง่าย และเชื่อกันว่ามันเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์กว่ากัญชาธรรมชาติ อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดได้ว่ากัญชาสังเคราะห์นั้นส่งผลกับคนมากน้อยเพียงใด ดังนั้นเมื่อไม่นานมานี้เอง เหล่านักวิทยาศาสตร์จากประเทศเนเธอร์แลนด์จึงได้จัดการทดลองสุดแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนด้วยการแจกกัญชาให้อาสาสมัครเพื่อทดสอบผลกระทบของกัญชาสังเคราะห์ต่อมนุษย์เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้สูบเสียเลย งานวิจัยชิ้นนี้ได้มีการตีพิมพ์ไปเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา และจัดทำขึ้นโดยมีอาสาสมัครเข้าร่วมทั้งหมด 17 คน โดยแต่ละคนจะต้องมาที่ห้องทดลองสองครั้งในช่วงเวลาที่ห่างกัน 7 วัน โดยในครั้งแรกนั้น อาสาสมัครจะได้รับกัญชา ที่มีการผสมกัญชาสังเคราะห์จากสารชื่อ JWH-018 ส่วนในการมาครั้งที่สอง พวกเขาจะได้รับกัญชาธรรมชาติ โดยที่อาสาสมัครจะไม่ทราบว่าตัวเองได้กัญชาแบบไหนไปในตอนที่ทำการทดสอบ ผงสาร JWH-018 ที่นำไปทำกัญชาสังเคราะห์ ในบรรดาอาสาสมัครนั้นจะมี 5 คนซึ่งได้รับกัญชาสังเคาระห์ในปริมาณที่กำหนดตามน้ำหนักตัว ในขณะที่อีก 12 คนจะได้รับกัญชาสังเคราะห์ในปริมาณที่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่คน และทุกคนจะต้องถูกสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 12 ชั่วโมงยังจากที่มีการเสพกัญชาไป น่าเสียดายที่ผลที่ออกมานั้นไม่เป็นที่น่าพอใจอย่างที่หวังไว้ เพราะแม้ว่าผู้เสพกัญชาทุกคนจะมีอาการหัวใจเต้นเร็วราวๆ 1 ชั่วโมงหลังจากเสพกัญชาสังเคราะห์ไปก็ตาม แต่อาการอื่นๆ ของอาสาสมัครทั้งการแสดงออก ปริมาณสารเคมีในกระแสเลือด และความรู้สึกของผู้เสพ…
-
ตีแผ่ 16 “ความเชื่อผิดๆ” ที่ผู้คนมักจะได้ยินกันอยู่บ่อยๆ หลังอ่านจบผมนี่ถึงบางอ้อเลยครับ!
บนโลกของเรานั้นมีความเชื่อผิดๆ มากมายที่บอกกันปากต่อปากมาจนถึงคนรุ่นหลัง แต่เมื่อวิทยาศาสตร์ได้ก้าวหน้าขึ้นมาแล้ว ความเชื่อหลายอย่างก็ถูกพิสูจน์แล้วว่ามันไม่จริง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ถึงความจริงดังกล่าว ในวันนี้ #เหมียวฝึกหัดหมายเลข25 จึงขอนำเสนอความเชื่อที่ผู้คนมักจะเข้าใจผิดไป และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นกันครับ 1. กระทิงเกลียดสีแดง จริงๆ แล้วกระทิง “ตาบอดสี” ที่จริงพวกมันคิดว่าชุดของนักสู้กระทิงเป็นภัยจึงวิ่งเข้าใส่เท่านั้นเอง อ้างอิงจาก: livescience 2. ห้ามว่ายน้ำหลังทานอาหาร คนเชื่อว่าการกินก่อนว่ายน้ำทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นตะคริวมากกว่าเดิม จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพียงแต่ว่าการที่ท้องอิ่มจะทำให้หายใจได้สั้นลง อ้างอิงจาก: BBC 3. น้ำเกลือเดือดเร็วกว่าน้ำเปล่า การโรยเกลือลงไปไม่ได้ทำให้น้ำเดือดเร็วขึ้น ที่จริงมันทำให้ใช้เวลานานขึ้นด้วยซ้ำในการทำให้น้ำเดือด อ้างอิงจาก: livescience 4. สมองซีกซ้ายและขวา มีการเชื่อกันว่าพรสวรรค์ของคนเราถูกแบ่งเป็นซีกซ้ายและขวา แต่ที่จริงแล้วไม่เป็นความจริง อ้างอิงจาก: psychologytoday 5. สุนัขขับเหงื่อทางน้ำลาย ไม่เป็นความจริง พวกมันแค่ควบคุมอุณหภูมิผ่านการหอบ ส่วนการขับเหงื่อนั้นจะเกิดขึ้นบริเวณอุ้งเท้า อ้างอิงจาก: livescience 6. บนอวกาศสามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้ ไม่มีสิ่งก่อสร้างจากมนุษย์ที่มองเห็นจากบนอวกาศ แต่ไฟของเมืองในตอนกลางคืนสามารถมองเห็นได้ อ้างอิงจาก:…
-
8+1 การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ที่แสดงให้เห็นว่าคุณ ‘อายุเยอะขึ้น’ แล้วนะ!
หลายคนทราบกันดีว่าร่างกายของคนเราจะเปลี่ยนไปทุกช่วงอายุ ตั้งแต่วัยเด็กที่ไปสู่วัยหนุ่มก็จะเริ่มเสียงเปลี่ยน, ร่างกายเติบโตขึ้น และส่วนสูงเพิ่มขึ้น เป็นต้น จนถึงการเปลี่ยนแปลงสู่วัยแก่ที่เราได้เห็นจากพ่อแม่ หรือคุณปู่คุณย่าของเรา อย่างเช่น ร่างกายอ่อนแอลง หรือผมร่วง แต่ยังมีการเปลี่ยนแปลงต่อร่างกายมากกว่านี้เมื่อเรามีอายุมากขึ้นที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ซึ่งจะมีอะไรบ้างก็สามารถติดตามได้ที่นี่เลยครับ… 1. ฟันจะมีความรู้สึกน้อยลง เมื่ออายุมากขึ้น เส้นประสาทในฟันของเราจะเริ่มเสื่อมสภาพลง ทำให้ฟันของเราเริ่มที่รู้สึกต่ออาหารร้อนและเย็นน้อยลง อ้างอิงจาก American Dental Association 2. บั้นท้ายจะมีขนาดเล็กลง เมื่ออายุมากขึ้น ของเหลวในเซลล์ที่สูญเสียไปจะทำให้รูปร่างของเราเปลี่ยนไป ผู้หญิงจากที่เอวบางและบั้นท้ายกว้างจะกลายเป็นเอวกว้างและบั้นท้ายบาง อ้างอิงจาก verywellfit 3. ขนตาจะสั้นลง พบว่า 44% ของชายและหญิงจะสังเกตเห็นว่าขนตาของพวกเขามีขนาดสั้นและบางลงเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น อ้างอิงจาก Southlands Vision 4. เท้ามีขนาดใหญ่ขึ้น นักศัลยกรรมกระดูกกล่าวว่าเท้าของเราจะแบนขึ้น ใหญ่ขึ้น และกว้างขึ้น เป็นเพราะเส้นเอ็นจะอ่อนตัวลงเมื่ออายุเยอะขึ้น เป็นเหตุว่าทำไมหลายคนถึงใช้รองเท้าเบอร์ใหญ่ขึ้นกว่าคู่เก่าที่เคยซื้อเมื่อนานมาแล้ว อ้างอิงจาก ดร. Joy Roland 5. ฝ้าและกระจะหายไป ฝ้าและกระเกิดจากเซลล์ที่สร้างเม็ดสีเมลานินขึ้นมาเพื่อปกป้องผิวของคุณจากรังสียูวี…
-
แบบสอบถามญี่ปุ่นเผย “ทรงผมแบบไหนที่มีแนวโน้มจะได้งาน?” จากปาก ผจก.ฝ่ายบุคคล
หลายท่านน่าจะทราบว่าเมื่อเข้าไปสมัครงาน นอกจากความสามารถหรือระดับการศึกษาที่เรียนมาแล้ว ‘รูปลักษณ์ภายนอก’ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ฝ่ายบุคคลจะนำมาพิจารณาในการรับเข้าทำงาน เช่นเดียวกับ ‘ทรงผม’ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในรูปลักษณ์ภายนอกที่สามารถบ่งบอกบุคลิกของแต่ละคนได้ หากคุณมีทรงผมที่ไม่เรียบร้อยก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณพลาดโอกาสที่จะได้งานนั้นๆ ไป แต่ในสายตาของฝ่ายบุคคลที่มีประสบการณ์การประเมินคนเข้าทำงานมาเป็นเวลายาวนาน เขาจะมีมุมมองเป็นอย่างไรกันเกี่ยวกับเรื่องนี้? บริษัท AB&C ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่มหานครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และเป็นเจ้าของเครือร้านทำผม Agu ทั่วประเทศ ได้ทำแบบสอบถาม ผู้จัดการฝ่ายบุคคลชาวญี่ปุ่น 200 คน ถึงความเห็นของพวกเขาเกี่ยวกับ ‘ทรงผม’ คำถามแรกถามว่า พวกเขา ‘สนใจ’ ทรงผมของพนักงานใหม่หรือไม่ ซึ่ง 63% กล่าวว่าพวกเขา ‘สนใจ’ และมี 52% ที่บอกว่าพวกเขาจะเข้าไปตักเตือนหากเห็นว่าไม่เหมาะสม คำถามต่อไปคือการแสดงรูปภาพของผู้หญิง 11 คนที่มีทรงผมต่างกันให้กับผู้จัดการฝ่ายบุคคลดู และให้พวกเขาเลือกว่า คนไหนที่ดูเหมือนจะทำงานเก่งที่สุด จะเห็นได้ว่า 3 อันดับแรกที่ถูกเลือกมากที่สุด เป็นทรงผมที่ดูสะอาดเรียบร้อย และถูกหวีอย่างเป็นระเบียบ ในขณะที่ทรงผมยุ่งๆ ทรงผมที่ผ่านการดัดและย้อมสีมา ไม่ได้รับความนิยมจากเหล่าผู้จัดการฝ่ายบุคคลเท่าไหร่นัก จากนั้นเหล่าผู้จัดการบุคคลก็ถูกถามถึงเรื่องสีผม พวกเขาขอให้เลือกว่า…
-
ชม “ทุ่งไหหิน” แหล่งโบราณคดีไหหินทรายของลาว ที่ยังไม่ทราบว่าสร้างขึ้นเพื่ออะไร
เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่อง “ทุ่งไหหิน” หรือ “Plain of Jars” กันมาก่อนไหม มันเป็นแหล่งโบราณคดีและแหล่งท่องเที่ยวที่มีความมหัศจรรย์และลึกลับที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ที่เชียงขวาง แขวงทางเหนือของประเทศลาวเพื่อนบ้านของเรา ที่แห่งนี้เป็นแหล่งโบราณคดีประเภทหินขนาดใหญ่ (Megalith) ที่ประกอบไปด้วยหินรูปร่างคล้ายไหหลายร้อยอันที่มีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ 2,000-3,000 ปี โดยส่วนมากแล้วจะทำจากหินทราย มีชิ้นที่ใหญ่ที่สุดสูงถึง 3 เมตร และน้ำหนักสูงสุด 15 ตัน ทุ่งไหหินถูกบันทึกไว้ว่ามีการค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1930 โดยความร่วมมือระหว่าง นักโบราณคดีชาวลาวและชาวญี่ปุ่น พร้อมๆ กับวัตถุโบราณเกี่ยวกับพิธีกรรมที่น่าจะเป็นงานศพใกล้ๆ และโครงกระดูกมนุษย์ในไหบางลูก เหตุผลที่แท้จริงที่คนในสมัยก่อนสร้างไหเหล่านี้ขึ้นมายังคงเป็นปริศนาแม้ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามอ้างอิงจากสิ่งที่พบพร้อมๆ กับไห เหล่านักโบราณคดีก็คาดว่าที่แห่งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมหลังความตายของคนสมัยก่อนหรือไม่ก็ใช้เป็นที่เก็บน้ำฝน ในขณะที่ตำนานของทางลาวเองได้ระบุว่า ที่แห่งนี้นั้นเป็นที่เก็บสุราโบราณ ซึ่งกษัตริย์ในสมัยก่อนสั่งให้สร้างขึ้นหลังสามารถปราบยักษ์ที่เป็นศัตรูได้ ทุ่งไหหินในลาวนั้น ถูกแบ่งเป็นสามกลุ่มตามสถานที่ตั้งของมันโดยกลุ่มที่หนึ่งมีอยู่ประมาณ 200 ลูก และมีขนาดใหญ่กว่าในกลุ่มอื่นๆ ห่างจากเมืองโพนสวรรค์ประมาณ 7.5 กิโลเมตร กลุ่มที่สอง อยู่ห่างจากเมืองไปทางใต้ 25…
-
งานวิจัยใหม่ชี้ ที่คนเราออกเสียง “f” และ “v” ได้ อาจจะมาจากการเปลี่ยนแปลงอาหารการกิน
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันว่าความสามารถในการออกเสียงที่ซับซ้อนของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่เราได้รับมาจากการวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานของมนุษย์ ว่าแต่เชื่อกันไม่ว่าเสียงบางเสียงที่เราใช้กันในปัจจุบันนั้น เป็นเสียงที่เราเพิ่งจะใช้กันได้เมื่อไม่กี่พันปีก่อนนี้เอง นั่นเพราะอ้างอิงจากงานวิจัยใหม่ของมหาวิทยาลัยซูริค เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาอ้างว่าเสียง /f/ และ /v/ ที่เราใช้กันในปัจจุบันนั้น ไม่ได้มาพร้อมกับการวิวัฒนาการของมนุษย์เมื่อ 300,000 ปีก่อนอย่างที่พวกเราเคยคิด แต่มาจากการทำการเกษตรเมื่อราวๆ 10,000-4,000 ปีก่อนเท่านั้น (แล้วแต่พื้นที่ของโลก) โดยทางนักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายว่าในตอนที่มนุษย์เราเริ่มมีการทำการเกษตรนั้น บรรพบุรุษของเหล่ามีการเปลี่ยนอาหารหลักจากเนื้อสัตว์ไปเป็นผลิตภัณฑ์การเกษตรซึ่งมีความนุ่มมากกว่าอาหารในอดีตมาก ความนุ่มนี้ทำให้ระบบฟันของคนเรานั้นมีความเปลี่ยนแปลงไป จากที่ฟันบนเคยอยู่ในระดับเสมอกับฟันล่าง คนในสมัยนั้นก็พัฒนาฟันบนที่ยืนไปข้างหน้ามากกว่าฟันล่างเล็กน้อยขึ้น หรือที่เรียกว่า “Overbite” และเจ้าฟันนี้เองที่เป็นกุญแจสำคัญของการออกเสียงในมนุษย์ ภาพการเปรียบเทียบฟันแบบเสมอกัน (ซ้าย) และฟันแบบ Overbite (ขวา) นั่นเพราะเมื่อนักวิทยาศาสตร์ทดลองสร้างแบบจำลองของศีรษะมนุษย์ในคอมพิวเตอร์ดู พวกเขาก็พบว่าการที่คนเรามีฟันแบบ Overbite นั้น จะทำให้เราออกเสียงที่ต้องอาศัยริมฝีปากล่างและฟันบน หรือ “Labiodental” ได้ง่ายกว่าการมีฟันแบบเสมอกันถึง 29% เลย การค้นพบนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าในสมัยก่อนเสียง /f/ และ /v/ น่าจะไม่เป็นที่นิยมหรือไม่มีการใช้งานเลยในสมัยก่อน และเพิ่งจะมามีการใช้งานในช่วงที่ฟันของเราเปลี่ยนแปลงไปแล้วเท่านั้น อย่างไรก็ตามการวิวัฒนาการในครั้งนี้กลับไม่ได้มีแต่ข้อดีเท่านั้น เพราะมันทำให้ขากรรไกรล่างของเราสั้นลงกว่าในอดีตและส่งผลกระทบโดยตรงกับฟันคุดอย่างในปัจจุบันไปนั่นเอง จริงอยู่ว่าในปัจจุบันงานวิจัยครั้งนี้ยังคงมีการถกเถียงกับในหมู่นักวิทยาศาสตร์…
-
นักวิทย์พบ การทานน้ำเชื่อมข้าวโพดแบบฟรุ๊กโตสสูง ทำให้หนูเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันอยู่แล้วว่าการทานของหวานปริมาณมากนั้นส่งผลที่ไม่ดีต่อร่างกาย แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากการนักวิทยาศาสตร์พบว่าการทานหวานนั้นสามารถเพิ่มโอกาสเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย อย่างน้อยๆ ก็ในหนู นั่นเพราะเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เองในวารสาร “Science” นักวิจัยได้ค้นพบความจริงที่น่าสนใจที่ว่าหนูที่ทานเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำเชื่อมข้าวโพดแบบฟรุ๊กโตสสูงหรือ HFCS (High fructose corn syrup) ราวๆ 12 ออนซ์จะมีการเร่งการสะสมเนื้องอกขึ้นในร่างกาย ที่สูงกว่าหนูซึ่งทานน้ำเปล่ามากอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าผลการวิจัยที่ในเกิดขึ้นในหนูนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นกับคนเสมอไป แต่นักวิจัยก็บอกว่าหนูที่ถูกทดลองในครั้งนี้มีการตัดต่อยีนเพื่อให้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้นแล้ว แถมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรายังพบว่าในปัจจุบันที่คนเรามีอัตราการทานน้ำตาลมากขึ้น เด็กๆ ยังมักมีอาการมะเร็งลำไส้เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เลยว่าอาการที่เกิดขึ้นกับหนูนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นกับคนได้จริงๆ นอกจากนี้งานวิจัยยังชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่น่าสนใจของความเกี่ยวข้องระหว่างน้ำตาลกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อก่อนเราจะคิดว่าความอ้วนจากการทานของหวานนั้นเป็นปัจจัยของมะเร็งลำไส้ แต่ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วน้ำตาลอาจจะเป็นปัจจัยของมะเร็งเองโดยตรง ไม่ใช่ความอ้วนอย่างที่เราคิด เพราะแม้แต่หนูที่ไม่อ้วน นักหากทานน้ำเชื่อมข้าวโพดแบบฟรุ๊กโตสสูงในระดับที่กล่าวไว้ข้างต้นก็จะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ได้เช่นกัน นับว่าโชคดีมากที่การทดลองครั้งนี้นั้นไม่ได้พบแต่ปัญหาของน้ำตาลเท่านั้น เพราะการทดลองครั้งนี้เองยังมีการค้นพบอีกว่าในเนื้องอกที่พบนั้นมีเอนไซม์ที่ชื่อ “Ketohexokinase” หรือ “KHK” อยู่ ซึ่งเป็นตัวการหลักที่ทำให้เนื้องอกโตขึ้น ด้วยการเปลี่ยนฟรักโทสเป็นไขมันชื่อ “Fructose-1-phosphate” ดังนั้นหากเราให้ยาที่ส่งผลโดยตรงกับเอนไซม์ตัวนี้เราก็อาจจะหยุดเนื้องอกที่เกิดจากน้ำเชื่อมข้าวโพดได้นั่นเอง …
-
นักวิจัยเอาหูฟังไปใส่ให้จระเข้ 40 ตัว เพื่อหาคำตอบการได้ยินของไดโนเสาร์ในอดีต
ตั้งแต่ในอดีตแล้วเพื่อไขปริศนาทางวิทยาศาสตร์ ในบางครั้งเหล่านักวิจัยก็จะต้องทำการวิจัยที่ฟังดูแปลกสุดๆ กันบ้าง อย่างที่ผ่านๆ มาเองเราก็เคยเห็นนักวิทยาศาสตร์สวนท่อปัสสาวะตัวเอง หรือให้อาสาสมัครดื่มเลือดเพื่อการทดลองกันมาแล้ว และเมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมานี้เองเราก็ได้เห็นนักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองแปลกๆ กันอีกครั้ง เมื่อเหล่านักวิจัยตัดสินใส่มอมยานอนหลับจระเข้ 40 ตัวก่อนที่จะเอาหูฟังไปใส่ให้เพื่อทำการทดลองเกี่ยวกับการได้ยินของพวกมัน นี่เป็นการวิจัยที่เกิดขึ้นจากแนวคิดที่ว่านักล่าในน้ำอย่างจระเข้นั้นน่าจะอาศัยทักษะการฟังเพื่อล่าเหยื่อมากกว่าทักษะอื่นๆ ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะนำไปสู่ความรู้เรื่องการได้ยินของสัตว์โบราณที่สูญพันธุ์ไปแล้วอย่างไดโนเสาร์ด้วย อ้างอิงจากข้อมูลของทีมวิจัยจระเข้เป็นสัตว์เพียงไม่กี่ชนิดบนโลกที่มีทั้งลักษณะทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ยังคงคล้ายกับไดโนเสาร์ ดังนั้นพวกมันจึงเป็นสัตว์ที่เหมาะสมกับการทดลองครั้งนี้ไป โดยในการทดลองครั้งนี้นักวิทยาศาสตร์จะมุ่งเน้นไปที่การตรวจจับความต่างของเวลาที่เสียงจะไปถึงหูซ้ายและขวา หรือ ITD (Interaural Time Difference) เป็นหลัก ซึ่งแม้ว่าตามปกติ ITD จะกินเวลาแค่ในระดับหนึ่งในล้านของวินาทีแต่มันก็สามารถบ่งบอกถึงลักษณะการได้ยินของสัตว์ได้เป็นอย่างดี แถมเจ้าระบบที่ว่านี้ยังเป็นระบบสำคัญที่สัตว์มีกระดูกสันหลังส่วนมากใช้ในการระบุตำแหน่งที่มาของเสียงอีกด้วยไม่ว่าจะในการใช้ชีวิตตามปกติ หรือการล่าเหยื่อ ตัวอย่างของ ITD ในกรณีนี้จะสังเกตได้ว่าหูซ้าย (ภาพบน) จะได้ยินเสียงช้ากว่าหูขวา (ภาพล่าง) เล็กน้อย ช่องว่างระหว่างการได้ยินนี้เองที่สัตว์บางชนิดใช้ในการระบุตำแหน่งที่มาของเสียง ผลการทดลองที่ออกมานั้นนับว่าน่าสนใจเลยทีเดียว เพราะไม่เพียงแต่จระเข้จะมีลักษณะของ ITD ที่คล้ายกับนกซึ่งเป็นทายาทอีกชนิดของไดโนเสาร์มาก แต่ระบบของพวกมันยังต่างไปจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีก การทดลองในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ว่า การได้ยินของสัตว์อย่างไดโนเสาร์เองก็น่าจะแตกต่างไปจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่นกัน แถมยังมีความเป็นไปได้สูงว่าพวกมันจะพัฒนาการได้ยินมาอยู่ในรูปแบบนี้ค่อนข้างนานแล้วด้วย เท่านั้นยังไม่พอเพราะจระเข้นั้นมีขนาดสมองเมื่อเทียบกับตัวที่น้อยมากๆ ดังนั้นการทดลองนี้จึงยังเป็นหลักฐานอย่างดีว่าความสามารถทางการได้ยินนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับขนาดของสมองเลย…
-
11 วาทะของฆาตกรต่อเนื่องคดีดัง หลากคำสารภาพที่เอ่ยถึงความรู้สึก จากเบื้องลึกในจิตใจ
เมื่อมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้น ส่วนใหญ่แล้วจะจบลงที่การคลี่คลายคดีจนนำไปสู่ผู้ลงมือตัวจริง และความสูญเสียจะเกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียว ทว่าบนโลกแห่งความโหดร้ายนี้ กลับเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องมากมาย และยิ่งเมื่อได้ฟังคำสารภาพถึงแรงจูงใจและวิธีการกระบวนความคิดของเหล่าฆาตกร ก็ยิ่งทำให้รู้สึกและสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวภายใต้เบื้องลึกในจิตใจของพวกเขา… Robert Pickton – อยากทำเพิ่มอีกครั้ง น่าจะทำให้ถึง 50 อดีตชาวไร่ฟาร์มหมูจากแคนาดา นาย Pickton อาจจะลงมือกับเหยื่อผู้หญิงไปมากถึง 49 ราย และทำลายศพเหล่านั้นด้วยการนำไปแยกชิ้นส่วนและบดให้ละเอียด จนกลายมาเป็นอาหารให้กับหมูในฟาร์ม ทว่าในขณะที่ต้องสงสัยก็เผลอปริปากให้กับตำรวจนอกเครื่องแบบ และถูกจับกุมตัวในปี 2002 Gary Lee Sampson – ผมเปลี่ยนวิธีเพราะหน่ายกับการที่มีเลือดติดเสื้อ ในปี 2017 นาย Sampson ยอมรับว่าลงมือฆาตกรรมเหยื่อไป 3 รายจากปี 2001 และเขาก็ยอมให้จับกุมแต่โดยดี ซึ่งในระหว่างที่เขาเผยคำสารภาพ สิ่งที่เขาพูดถึงก็คือเริ่มลงมือด้วยวิธีการใช้ของมีคมแทงเหยื่อ แต่เลือกใช้วิธีการบีบและรัดคอแทนจนเหยื่อสิ้นใจในตอนท้าย ด้วยสาเหตุข้างต้น Carl Panzram – สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผมไม่เคยรู้สึกเสียใจเลย Carl…
-
20 ภาพแห่งการเปิดโลก สารพัดหลายสิ่งที่ไม่น่าจะได้เห็นบ่อยนัก ในชีวิตประจำวันของเรา
สิ่งที่เราได้เรียนรู้และได้ศึกษาจากภายในห้องเรียนนั้น เป็นองค์ความรู้ทางวิชาการที่จะช่วยคอยเปิดโลกกว้างให้กับเรา ทว่า ยังมีอีกหลากหลายสิ่งที่เราอาจจะยังไม่รู้ เนื่องจากบนโลกของเรานั้นมีเรื่องราวที่น่าทึ่งซ่อนอยู่เต็มไปหมด… เพราะบางสิ่งเราไม่อาจพบใจได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวันของเรา และอาจจะไม่เคยได้เห็นเลยก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นแล้ว ลองมาดูกันว่า เรื่องไหนบ้างที่เรายังไม่รู้กันดีกว่า! หัวใจที่ใสสะอาด ผ่านการชำระล้างอย่างหมดจด เพื่อใช้ในการปลูกถ่ายหัวใจ รูปปั้นโมไอบนเกาะอีสเตอร์ มีส่วนลำตัวฝังไว้ใต้ดิน นกฟลามิงโกวัยเบบี๋ จะมีลักษณะเป็นแบบนี้ รูปทรงของเกล็ดน้ำแข็ง ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปรากฏการณ์แสงเหนือแสงใต้ บนดาวเคราะห์ที่ต่างกัน บนผิวหนังของเสือเมื่อไร้ขน มีลายเหมือนรอยสักบนผิว โครงสร้างระบบประสาทของมนุษย์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ลูกโลกพร้อมผิวสัมผัสนูน เพื่อคนตาบอด งานของนักข่าวกับการทำรายการข่าว บนแผ่นหลังจะติดตั้งไมค์ลอย พร้อมกับใส่หูฟังอินเอียร์เพื่อรับฟังบรีฟจากทีมงาน หิมะที่ปกคลุมหลังคาตาข่ายกรงนกของสวนสัตว์ Saint Louis เบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ Baby Driver ตัวเอกแสดงผ่านกล้อง คนขับตัวจริงคุมพวงมาลัยบนหลังคารถ จุลินทรีย์ที่มาพร้อมกับมือของเด็กวัย 8 ขวบ หลังออกไปเล่นนอกบ้าน…
-
งานวิจัยใหม่เผย “ช่วงอายุ” ที่เหมาะกับการเรียนรู้ “ภาษา” วัยผู้ใหญ่นั้นอาจจะสายไปหรือ??
ทุกวันนี้ผู้คนทั่วโลกต่างให้ความสนใจในด้านภาษามากขึ้น เพราะภาษานั้นเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์และหากใครก็ตามสามารถพูดได้หลายภาษา พวกเขาก็มักจะมีความได้เปรียบมากกว่าคนอื่น หลายคนน่าจะคิดเหมือนกันว่า แล้วถ้าวันนี้เราอยากเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ อายุแบบนี้ยังจะพอทันอยู่มั้ย? และจริงไหมที่ว่า “เด็ก” สามารถเรียนรู้ “ภาษา” ได้อย่างรวดเร็วมากกว่าผู้ใหญ่? ทีมวิจัยของสถาบันต่างๆ ได้ให้คำตอบมาแล้ว “ภาษา” เป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสารของมนุษย์มาตั้งแต่โบราณกาล เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา สถาบัน MIT ในสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาโดยการทดสอบทางออนไลน์กับคนหลายวัยจำนวน 670,000 คน พบว่าช่วงเวลาของการเรียนรู้ภาษาจะเริ่มยากมากขึ้นเมื่อผ่านพ้นช่วงวัยหนึ่งไปแล้ว ยังทราบอีกว่าช่วงสำคัญที่สุดในการเรียนรู้ให้เทียบเท่าเจ้าของภาษานั้นคือ “ช่วงอายุ 10 ขวบ” ส่วนคนที่อายุ 18 ปียังพอได้เปรียบในการเริ่มเรียนภาษาใหม่ๆ แต่หลังจากผ่านพ้นช่วงนั้นแล้วจะเริ่มเรียนรู้ได้ยากมากขึ้น ควรเริ่มเรียนภาษาใหม่ก่อนอายุ 18 ปี อย่างไรก็ตามเมื่อผ่านพ้นช่วงวัย 18 ปี คนเรายังคงสามารถเข้าใจภาษาใหม่ๆ ได้ไวอยู่ก็จริง แต่จะไม่สามารถเรียนรู้ได้เทียบเท่าเด็กที่ยังพอมีเวลาในการเรียนรู้แบบระยะยาวมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นแล้วเคยมีงานวิจัยจากประเทศอิสราเอลที่ทำการทดสอบกลุ่ม 3 กลุ่มแบ่งออกเป็นช่วงอายุ 8 ปี, 12 ปีและคนหนุ่มสาว (อายุไม่แน่ชัด) เพื่อให้เรียนรู้คำศัพท์ที่คิดขึ้นมาใหม่เองในเวลาไม่กี่นาที ผลที่ออกมาคือคนหนุ่มสาวสามารถทำเวลาในการจำได้ดีกว่า รองลงมาคือเด็กวัย…
-
ในอนาคต มนุษย์อาจได้กิน “เนื้อจากแล็บ” โดย “ไม่ต้องฆ่าสัตว์” เพื่อการบริโภค
ตั้งแต่ปี 2018 ที่ผ่านมานี้ อุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เนื่องมาจากมีกลุ่มผู้บริโภคที่นิยมทานอาหารที่มาจากพืชเท่านั้นหรือ “วีแกน” สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบาธ ประเทศอังกฤษ ได้ทำการทดลองที่อาจฟังดูแปลกๆ ไปบ้าง นั่นคือการ “เพาะพันธุ์เซลล์ของสัตว์” ภายในห้องแล็บ ซึ่งจะได้เนื้อที่ไม่ได้เกิดจากการถูกฆ่าเพื่อการบริโภค… เนื้อจากแล็บ (Lab-grown meat) ไอเดียทั้งหมดในการทำเนื้อจากแล็บ คือการใช้หญ้าเป็นอาหารให้กับเซลล์ของสัตว์เหล่านี้เพื่อให้มันสามารถเจริญเติบโตได้และท้ายสุดมันจะกลายเป็นก้อนเนื้อโปรตีนล้วนๆ และหากจะให้มีรสสัมผัสที่เหมือนเนื้อจริงมากกว่านี้ อาจเป็นไปได้ว่าในอนาคตนักวิทยาศาสตร์สามารถเพิ่มเซลล์ของไขมันสัตว์เข้าไปได้อีกด้วย วิธีในการทำเนื้อสังเคราะห์จากแล็บ ดอกเตอร์ Marianne Ellis วิศวกรด้านเคมีจากมหาวิทยาลัยบาธ เห็นว่าเนื้อจากแล็บนี้อาจกลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการทานโปรตีนที่สามารถแจกจ่ายแก่คนทั่วโลกในสภาวะขาดแคลนได้ โดยที่มหาวิทยาลัยบาธทำการทดลองด้วยวิธีธรรมชาติทั้งหมดเพื่อให้ปลอดภัยมากที่สุด และเบื้องต้นพวกเขาเริ่มใช้เซลล์ของกลุ่มสัตว์ฟันแทะ (เช่น หนูและกระรอก) ก่อน เพราะราคาถูกกว่าและทำการวิจัยได้ง่ายกว่าหมูหรือวัว หัวหน้าทีมในการทำวิจัย ดร. Marianne Ellis ดร. Marianne Ellis กล่าวว่า… “สิ่งที่เรากำลังทำในตอนนี้คือการออกแบบถังปฏิกรณ์ชีวภาพเพื่อให้เกิดกระบวนการทางชีวะ และสามารถผลิตเนื้อเหล่านี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ในอนาคตเราจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านปศุสัตว์ และได้บริโภคเนื้อที่มีความปลอดภัยและมีคุณภาพ” นอกจากนั้นแล้ว Richard Parr ผู้อำนวยการสถาบัน Good…
-
งานวิจัยพบ การอยู่ในอวกาศทำให้ไวรัสโรคเริมกลับมาทำงานได้ เชื่อส่งผลต่อภารกิจระยะยาว
สำหรับเหล่าคนที่ทำงานบนอวกาศแล้ว การที่สภาพพื้นที่นอกโลกส่งผลกับร่างกายมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่พวกเขาทราบกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอาการเกี่ยวกับกระดูกที่เกิดจากสภาพไร้น้ำหนัก หรืออาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หากไม่มีการเตรียมตัวให้ดีอวกาศก็จะทำให้คนเราป่วยได้อย่างง่ายๆ เลย และแล้วเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา เหล่านักบินอวกาศก็ได้พบกับผลกระทบใหม่ของการใช้ชีวิตนอกโลกอีกครั้ง เมื่อพวกเขาพบว่าในร่างกายของนักบินอวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติกว่าครึ่ง มีการร่องรอยการแบ่งตัวของไวรัสโรคเริม (Herpes simplex) อีกครั้งทั้งๆ ไวรัสมีสภาพหยุดนิ่งมาเป็นเวลานานแล้ว เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าไวรัสโรคเริมนั้น หากติดเชื้อไปแล้วมันจะคงอยู่ในร่างกายไปตลอดชีวิต และกว่าครึ่งของชาวสหรัฐฯ จะเคยเป็นโรคนี้มาก่อนสักครั้งในชีวิต ดังนั้นการที่ไวรัสนี้ตัวนี้กลับมาทำงานอีกครั้งในสภาวะนอกโลกได้จึงทำให้ทางนักวิทยาศาสตร์เป็นกังวลอย่างมาก เพราะแม้ว่าการที่ไวรัสกลับมาแบ่งตัวจะไม่ได้หมายความว่าโรคเริมกลับมาแสดงอาการอีกครั้งเสมอไปก็ตาม แต่ก็มีนักบินบางส่วนแล้วที่มีอาการของโรคเริมขึ้นมาให้เห็นจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่อาศัยในสถานีเป็นเวลานานแล้ว นั่นหมายความว่ายิ่งมนุษย์อยู่ในอวกาศนานแค่ไหน คนเคยมีไวรัสก็จะมีโอกาสกลับไปเป็นโรคอีกครั้งมากขึ้นเท่านั้น และนั่นก็อาจทำให้ไวรัสตัวนี้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำภารกิจระยะยาวอย่างการส่งมนุษย์ไปยังดาวอังคาร แถมแม้ตัวนักบินจะไม่มีอาการเองพวกเขาก็ยังสามารถแพร่โรคให้กับคนอื่นได้อยู่ดี โรคเริมแบบแสดงอาการที่ริมฝีปากล่าง ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้พยายามอย่างมากในการหาทางป้องกันเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ เช่นการทดลองใช้วัคซีน อย่างไรก็ตามในบรรดาวัคซีนป้องกันไวรัสจำพวกนี้นั้น เรามีก็ยังมีเพียงแต่ของโรคงูสวัด ซึ่งแม้จะมีอาการใกล้เคียงกับโรคเริม แต่ก็เป็นไวรัสคนละตัวกันอยู่ดี ที่มา livescience, health และ sciencealert
-
งานวิจัยใหม่เผย สมองคนเรารับรู้สนามแม่เหล็กโลกได้ และบางคนอาจทำได้ดีกว่าคนอื่นๆ ด้วย
เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่า “สนามพลังแม่เหล็ก” นั้นมีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกมากมายแค่ไหน เพราะไม่เพียงแต่มันจะช่วยป้องกันพวกเราจากพายุสุริยะแล้ว สนามพลังแม่เหล็กยังถูกใช้โดยสัตว์ต่างๆ หลายชนิดเพื่อเป็นสื่อนำทางในการเดินทางหรืออพยพอีกด้วย มาถึงตรงนี้แล้วคงมีหลายคนไม่น้อยเลยที่คิดว่าน่าเสียดายจริงๆ ที่มนุษย์เรานั้นไม่สามารถรับรู้การมีอยู่ของสนามพลังแม่เหล็กได้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าอ้างอิงจากงานวิจัยใหม่ล่าสุดของเหล่านักวิทยาศาสตร์ สมองของมนุษย์เรานั้นแท้จริงแล้วก็รับรู้ถึงสนามพลังแม่เหล็กได้เช่นกัน โดยนี่เป็นงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร “eNeuro” และอ้างว่าตัวเองสามารถหาหลักฐานที่ยืนยันว่ามนุษย์สามารถรับรู้ถึงสนามพลังแม่เหล็กได้ จากอนุภาคแม่เหล็กที่กระจายอยู่ในสมอง เอาเข้าจริงๆ แล้วแนวคิดที่ว่าคนเรารับรู้ถึงสนามพลังแม่เหล็กได้นั้น มีมาตั้งแต่ในช่วงยุค 80 แล้ว โดยในสมัยนั้นเรียกกันว่า “Magnetoreception” หรือการรับรู้แม่เหล็ก อย่างไรก็ตามแม้จะมีการทดลองอย่างมากในช่วงยุค 90 เราก็ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันแนวคิดนี้ได้อยู่ดี จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เอง นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองให้อาสาสมัคร 34 คนไปนั่งในห้องมืดและปล่อยคลื่นแม่เหล็กในระดับเดียวกับสนามแม่เหล็กโลกเป็นระยะๆ (ในระดับที่เบากว่าที่เครื่อง MRI ปล่อยราวๆ 100,000 เท่า) ในขณะที่ทำการสังเกตการณ์คลื่นอัลฟา ในสมองของอาสาสมัครไปด้วย ผลที่ออกมาคือในบรรดาอาสาสมัคร 34 คน จะมีอยู่ 4 คนที่มีปฏิกิริยาต่อคลื่นแม่เหล็กที่ถูกปล่อยอย่างชัดเจน โดยที่พวกเขามีการขยับศีรษะตาม ในขณะที่คลื่นอัลฟาในสมองเองก็ลดลงถึง 60% ในช่วงเวลาเดียวกัน Connie Wang บอกว่านี่เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์เองก็แปลกใจเช่นกัน เพราะพวกเขาไม่ได้คิดไว้เลยว่าจะพบกับคนที่ตอบสนองต่อคลื่นแม่เหล็กได้อย่างชัดเจนขนาดนี้ และเหล่านักวิทยาศาสตร์เองก็ไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร ดังนั้นเพื่อไม่ให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความบังเอิญนักวิทยาศาสตร์จึงทดลองซ้ำอีกครั้งในอีกหลายสัปดาห์ให้หลัง…
-
นาซาเผย วันที่ 18 ธ.ค. 2018 มีอุกกาบาตระเบิดเหนือท้องฟ้า รุนแรงกว่าปรมาณู 10 เท่า
เพื่อนๆ ยังจำกันได้ไหมว่าวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ตัวเองทำอะไรกันอยู่ หรือในวันนั้นตัวเองมีความรู้สึกแปลกๆ ไหม เพราะในระหว่างที่หลายๆ คนคงจะไม่รู้สึกตัวกัน ในวันนั้นที่เขตแดนระหว่างรัสเซียกับรัฐอลาสก้า ได้มีอุกกาบาตขนาดเท่ารถบัสระเบิดเหนือท้องฟ้าด้วยความรุนแรงเทียบเท่ากับระเบิดทีเอ็นที 173 กิโลตัน หรือมากกว่าระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่าราวๆ 10 เท่า เจ้าอุกกาบาตลูกที่ว่านี้ถูกพบโดยทางนาซาหลังจากที่เกิดเหตุจริงๆ ด้วยระบบตรวจจับขีปนาวุธของกองทัพอากาศ และคาดกันว่ารุนแรงจนมีคลื่นเสียงความถี่ต่ำ (ที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยิน) ดังไปทั่วโลกเลย อ้างอิงจากทางนาซาอุกกาบาตที่ตกมานี้หนักราวๆ 1,360 ตัน มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 เมตร และพุ่งด้วยความเร็ว 115,200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีรัศมีระเบิดกว้าง 25 กิโลเมตร ซึ่งรุนแรงน้อยกว่าเหตุอุกกาบาตตกในปี 2013 ราวๆ 60% ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมถึงแทบจะไม่มีใครรู้สึกตัวถึงอุกกาบาตลูกนี้เลย? สำหรับเรื่องนี้ทางนาซาได้บอกว่ามาจากการที่อุกกาบาตที่ตกมาค่อนข้างเล็กแถมยังมีจุดระเบิดในชั้นบรรยากาศเหนือทะเลซึ่งห่างไกลผู้คนมากๆ ทำให้ระบบตรวจจับอุกกาบาตโลกจึงตรวจจับไม่ได้ และแทบจะไม่มีใครรู้ โดยข่าวของอุกกาบาตนี้ถูกเฉยแพร่ออกมาให้โลกทราบในงานการประชุมวิทยาศาสตร์ดวงจันทร์และดาวเคราะห์ในเท็กซัส เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาเท่านั้น อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ก็ออกมายืนยันว่าผู้คนไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก…
-
สาระเจ๋งๆ กับ 10 ข้อเท็จจริงสุดประหลาด เกี่ยวกับ “เซ็กส์” ที่คุณอาจยังไม่รู้มาก่อน!!
“เซ็กส์” เป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งในการดำเนินชีวิตของคู่รักหลายๆ คน และเราก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่ามันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาเพื่อการดำรงของเผ่าพันธุ์ นอกเหนือจากนั้นเซ็กส์เองก็เป็นสิ่งที่มักจะเกิดกับมนุษย์เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรักและความใกล้ชิด รวมถึงยังมีประโยชน์ในด้านสุขภาพด้วย แต่คุณรู้หรือไม่ว่านอกจากประโยชน์ของมันแล้ว เซ็กส์ยังเป็นสิ่งที่ทำให้นักวิจัยต่างๆ ทำการทดลองและค้นหาคำตอบเกี่ยวกับมันมากมาย จนได้มาซึ่งข้อเท็จจริงแปลกๆ อีกเพียบ ในวันนี้ #เหมียวฝึกหัดหมายเลข24 จึงจะพาทุกคนมาดูกันกับ 10 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ “เซ็กส์” ที่คุณอาจจะยังไม่รู้มาก่อน!! 1. เริ่มต้นกันด้วยข้อเท็จจริงนี้ รู้หรือไม่ว่าระหว่างที่เพศหญิงให้กำเนิดลูก พวกเธอบางคนอาจถึงจุดสุดยอดได้ด้วย แหล่งที่มา: livescience, independent 2. นอกจากมนุษย์แล้ว ชิมแปนซีแคระกับโลมาเองก็อาจมีเซ็กส์เพียงเพื่อความพึงพอใจ แหล่งที่มา: scienceline 3. รู้หรือไม่ว่าการที่ไอ้จ้อนไซส์ปกติจะแข็งตัวได้ ต้องมีเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงประมาณสองช้อนโต๊ะด้วยกัน แหล่งที่มา: mrsmartypants 4. งานวิจัยหลายชิ้นได้แสดงให้เห็นว่าผู้ชายที่เสียชีวิตระหว่างการมีเซ็กส์ ราว 85% เกิดจากหัวใจวายขณะกำลังมีเพศสัมพันธ์กับชู้รัก (ระวังไว้ให้ดีหนุ่มๆ ) แหล่งที่มา: medicalbag 5. คู่รักชาวกรีกครองตำแหน่งมีเซ็กส์กันมากที่สุดในโลก เฉลี่ยแล้วประมาณ 138 ครั้งต่อปี ส่วนคู่รักชาวญี่ปุ่นเฉลี่ยแล้วมีเซ็กส์กัน 45 ครั้งต่อปี ครองอันดับมีเซ็กส์น้อยที่สุดในโลก… แหล่งที่มา: onaverage…
-
เกร็ดความรู้คู่ปัญญา สัตว์อะไรมีฟันมากที่สุดในโลก? หากนับฟันทั้งหมดที่มันใช้ในหนึ่งชีวิต
สำหรับวงการบรรพชีวินวิทยาแล้วจริงเล็กๆ อย่าง “ฟัน” ของสัตว์นับว่าเป็นหลักฐานสำคัญของขั้นตอนการวิวัฒนาการที่น่าทึ่งเลยก็มีผิดนัก อย่างงูที่ออกแบบเขี้ยวมาเพื่อใช้ฉีดพิษ หรือวอลรัสที่สามารถใช้เขี้ยวขนาดใหญ่ฝังลงไปบนน้ำแข็งเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองไหลไปตามพื้นลื่นๆ ได้ ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าบนโลกใบนี้นั้น สัตว์ชนิดใดกันแน่ที่มีอวัยวะสุดน่าทึ่งเหล่านี้อยู่มากที่สุด สำหรับสัตว์บกแล้วสัตว์ที่มีฟันมากที่สุดที่มนุษย์รู้จักมาก็คงเป็นตัวนิ่มยักษ์ (Priodontes maximus) ที่อาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นของอเมริกาใต้ โดยมันมีฟันอยู่ 72 ซี่ นี่อาจจะเป็นตัวเลขที่ดูไม่มากเท่าไหร่ แต่ตัวนิ่มยักษ์ก็ถือว่ามีฟันเยอะอยู่ในระดับต้นๆ ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเลย เพราะเอาจริงๆ แล้วสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีฟันน้อยที่สุดกลุ่มหนึ่งเลย ส่วนสำหรับปลานั้นหลายๆ คนอาจจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ฉลามจะได้ตำแหน่งนี้ไป เพราะเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนี้นั้น ใช้ระบบหมุนเวียนฟันเก่าทิ้งและเลื่อนฟันชั้นต่อไปขึ้นมาแทนได้นั่นเอง นั่นทำให้แม้ฉลามจะมีฟันที่ถูกใช้งานอยู่ที่ครั้งละราวๆ ร้อยกว่าซี่ แต่ตลอดทั้งชีวิตของมัน ปลาฉลามจะสามารถมีฟันได้เป็นหมื่นๆ ซี่ โดยเฉพาะฉลามแนวปะการัง ที่ทั้งชีวิตใช้ฟันโดยเฉลี่ยถึง 30,000 ซี่เลย ฉลามเสือบาฮามาสหนึ่งใน 60 สายพันธุ์ ของฉลามแนวปะการัง ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่าฉลามเป็นสัตว์ที่มีฟันมากที่สุดเช่นนั้นเหรอ? สำหรับเรื่องนี้แล้วคงต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับการให้ความหมายของคำว่าฟันในแต่ละคน แต่หากเรามองฟันเป็นอวัยวะที่อยู่ในปากและมีหน้าที่ช่วยในการทานอาหารแล้ว สัตว์ที่มีฟันมากที่สุดก็คือ “ทากทะเล” นั่นเอง นั่นเพราะหากเราใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูในปากของทากทะเล เราจะพบว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนี้นั้นมีฟันเล็กๆ ที่การใช้งานคล้ายตะไบในปากกว่าแสนซี่ (ซึ่งเรียกกันว่า “แรดูลา”)…
-
เปิดตำนาน “ต้นไม้ภูต” ความเชื่อเก่าแก่ของชาวไอร์แลนด์ ที่แม้แต่รัฐบาลยังต้องหลีกทางให้
เคยได้ยินตำนาน “ต้นไม้ภูต” ของชาวไอร์แลนด์กันมาก่อนไหม? นี่เป็นต้นไม้ที่ปรากฏออกมาบ่อยๆ ในตำนาน เรื่องเล่า และนิทานของประเทศไอร์แลนด์ตั้งแต่ในอดีต และเป็นที่เชื่อถือของคนหลายๆ กลุ่มในประเทศว่าเป็นทางเชื่อมไปยังอีกโลกหนึ่ง ต้นไม้ที่ถูกมองว่าเป็นต้นไม้นั้น โดยมากแล้วจะเป็นต้นฮอร์ธอร์นหรือไม่ก็ต้นแอชที่ขึ้นอยู่โดดๆ กลางที่โล่ง ไม่ว่าจะเป็นกลางทุ่งหรือริมถนน และในหลายๆ ครั้งก็จะมีหินอยู่ใกล้ๆ ลำต้นด้วย ชาวไอร์แลนด์เชื่อว่าที่ต้นไม้ภูตมีสภาพเช่นนี้เนื่องจากจริงๆ แล้วต้นไม้เหล่านี้ถูกภูตใช้งานเป็นประตูในการเดินทางไปมาระหว่างโลกมนุษย์กับโลกของภูต ดังนั้นมันจึงตั้งอยู่ในที่ที่มองเห็นได้ง่าย และได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี ด้วยหินซึ่งมีเวทมนตร์บรรจุไว้ ว่ากันว่าใครก็ตามที่ตัดหรือทำร้ายต้นไม้ภูตจะต้องพบกับโชคร้ายไปตลอดชีวิตจากความโกรธแค้นของเหล่าภูต แถมการกระทำที่เรียกว่าทำร้ายต้นไม้นี้ก็รวมไปถึงการเด็ดดอกไม้จากต้นเลยด้วย แม้ว่าโทษจะไม่แรงเท่าการตัดต้นไม้ตรงๆ ก็ตาม ด้วยเหตุนี้เองต้นไม้ที่งอกขึ้นมาแบบเดียวๆ จึงมักได้รับการดูแลเป็นอย่างดีโดยชาวไอร์แลนด์ โดยในบางเวลาพวกเขายังมักพันกิ่งก้านของต้นไม้ดังกล่าวด้วยผ้าสีตามความเชื่อที่ว่าจะนำมาซึ่งโชคดีอีกด้วย ตำนานของต้นไม้ภูตนั้นอาจจะเป็นความเชื่อที่ดูเก่าก็จริงอยู่ แต่มันก็แตกต่างไปจากตำนานอื่นๆ ของชาวไอร์แลนด์ตรงที่ยังมีคนเชื่ออยู่เป็นจำนวนมากแม้ในปัจจุบัน อย่างสนามกอล์ฟ “Ormeau Golf Club” ในเมืองเบลฟาสต์เองก็มีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่งซึ่งผู้ดูแลไม่ยอมตัดแต่งกิ่งเลย (เพราะกลัวไปทำร้ายต้นไม้ภูต) แถมหากผู้เล่นเผลอตีลูกกอล์ฟไปโดนต้นไม้ พวกเขาก็จะได้รับทำแนะนำให้ขอโทษต้นไม้ต้นนี้ด้วย ความเชื่อเรื่องต้นไม้ภูตนั้นฝังลึกถึงขั้นที่ว่าเมื่อปี ค.ศ. 1999 ทางรัฐบาลจำเป็นต้องเลื่อนการสร้างทางมอเตอร์เวย์จากการที่มีต้นไม้ภูตขวางทางอยู่ แถมสุดท้ายพวกเขาก็ต้องสร้างทางอ้อมต้นไม้ไปตามข้อเรียกร้องของคนในพื้นที่เลย และแม้ว่าเราจะไม่สามารถบอกได้ว่าต้นไม้ภูตนั้นมีอยู่จริงๆ…
-
สุดยอด 5 พลังทางความคิดของ Henry Ford ที่คนอยากประสบความสำเร็จต้องเข้ามาดู!!
หากพูดถึงหนึ่งในบุคคลสำคัญระดับโลกของอุตสาหกรรมรถยนต์ หลายๆ คนคงนึกถึง Henry Ford ชายผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์รถยนต์ชื่อดังอย่าง Ford ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ เขาเกิดเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ปี ค.ศ.1863 และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดคำว่า “ชนชั้นกลาง” ขึ้นมา เขาคือคนแรกที่ประยุกต์ระบบสายพานการผลิตเข้ากับยานยนต์ ทำให้ยานยนต์ของเขาในยุคนั้นถือว่าทันสมัยอย่างมาก ด้วยความคิดไม่ธรรมดาเหมือนใคร ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในตำนานของรถยนต์อเมริกันไปแล้ว สิ่งสำคัญคือ Henry Ford นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นนักธุรกิจที่มีความคิดในการทำงานที่น่าสนใจมากๆ และในวันนี้ #เหมียวฝึกหัดหมายเลข24 จะพาไปดูกับสุดยอด 5 พลังทางความคิดของเขาคนนี้กัน 1. จงทำสิ่งที่คุณกำลังทำให้ดีที่สุด จนถึงขั้นว่าคนอื่นคิดว่าคุณคิดค้นมันขึ้นมาเอง ชายที่ชื่อว่า Henry Ford เป็นคนหนึ่งที่เรียกได้ว่า “คลั่งไคล้” ในยานยนต์เอามากๆ และเชื่อว่าการเลือกทำในสิ่งที่รักมากที่สุด มันจะทำให้คุณตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นและมีพลังพร้อมขึ้นมาทำงานในทุกๆ วัน อีกสิ่งที่จะทำให้การทำงานออกมาดีคือเราต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง แล้วทุกอย่างจะออกมาราวกับว่างานนั้นมันเป็นตัวตนของคุณจริงๆ 2. ความผิดพลาดคือโอกาส “ความผิดพลาดก็คือโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่ แต่ครั้งถัดไปจะเป็นการเริ่มต้นด้วยวิธีที่ชาญฉลาดมากขึ้น” จากคำพูดของเขาทำให้เห็นว่า Henry Ford ประสบความล้มเหลวมาหลายครั้ง แต่เขาเลือกนำความผิดพลาดเหล่านี้เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่จะพัฒนาไปเรื่อยๆ และมันเหมือนกับว่าเรามีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง 3.…
-
ประชาชนตื่น หลังมีข่าวนักวิทย์ย้อนเวลาอนุภาคในควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้ MIT แย้ง “ไม่จริง”
เพื่อนๆ คิดว่ามนุษย์เรานั้นจะในอนาคตจะสามารถสร้างเครื่องมือย้อนเวลาหรือ “ไทม์แมชชีน” ขึ้นมาได้ไหม และหากสร้างขึ้นได้ เราจะสร้างมันขึ้นมาได้เมื่อไหร่กัน เพราะเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เองได้มีข่าวที่ว่านักวิทยาศาสตร์ของทางสถาบันฟิสิกส์และเทคโนโลยีแห่งมอสโก (หรือ “MIPT”) สามารถทำการย้อนเวลา “อนุภาค” ภายในควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า “Qubits” ได้สำเร็จ และถูกประกาศออกมาโดยสื่อหลายแห่งในต่างประเทศ มันคืออะไรกันนะ!? นี่เป็นการทดลองที่เกิดขึ้นโดยการจำลองอนุภาคอิเล็กตรอนจำนวนหนึ่ง ซึ่งสามารถกระจายตัวไปได้ในรูปแบบที่หลากหลาย ก่อนที่จะใช้ “ปัจจัยภายนอก” ในการทำให้อนุภาคเหล่านั้นกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม โดยใช้กลุ่มข้อมูลที่อาจจะแสดงผลเป็นเลข “หนึ่ง” เลข “ศูนย์” หรือตัวเลขที่ผสมกัน ทางสื่อต่างประเทศอธิบายว่า การทดลองนี้ก็คล้ายกับการแทงสนุกเกอร์ไปอยู่ในตำแหน่งมั่วๆ ในการแทงครั้งแรก และทำให้ลูกสนุกกลับไปอยู่ที่เดิมโดยการกลิ้งย้อนกลับโดยไม่ใช้มือจับ โดยทางนักวิจัยได้ออกมาอ้างว่าหากมี Qubits สองหน่วยพวกเขาจะสามารถ “ย้อนเวลา” ได้สำเร็จถึง 85% แต่หากมี Qubits สามหน่วยความผิดพลาดจะมากขึ้นทำให้พวกเขาย้อนเวลาสำเร็จเพียง 50% แน่นอนว่าเมื่อผลการทดลองนี้ถูกนำเสนอไปก็มีประชาชนที่ให้ความสนใจกับผลการทดลองที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามทางนิตยสาร MIT Technology Review ของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ได้ออกมาบอกว่างานวิจัยชิ้นนี้นั้นไม่สามารถนำมาอ้างว่าทำการย้อนเวลาได้จริงๆ เลย …
-
งานวิจัยใหม่ชี้ มนุษย์เราอาจอาศัยอยู่ในทวีปออสเตรเลีย มาตั้งแต่เมื่อ 120,000 ปีก่อน
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีว่าทวีปออสเตรเลีย นั้นเป็นทวีปที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากๆ แห่งหนึ่งของโลก เพราะจากหลักฐานที่เราพบมาในอดีต มนุษย์เรานั้นเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มาตั้งแต่เมื่อ 65,000-70,000 ปีก่อน จนชาวอะบอริจินได้ชื่อว่าเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกไป นี่อาจจะเป็นตัวเลขที่ดูมากแล้วสำหรับหลายๆ คนก็จริงอยู่ แต่เมื่อล่าสุดนี้เอง เหล่านักวิจัยจากหลากหลายแห่ง ก็ได้ออกมาเปิดเผยความเป็นไปได้ใหม่ที่ว่าการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในออสเตรเลีย จริงๆ แล้วอาจจะเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 120,000 ปีก่อนต่างหาก โดยนี่เป็นงานวิจัยที่อ้างอิงหลักฐานชิ้นใหม่ซึ่งถูกพบในทางใต้ของรัฐวิกทอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งประกอบไปด้วยหินที่โดนไฟเผาจนเป็นสีดำ และเปลือกหอยโบราณจำนวนหนึ่ง จากคำบอกเล่าของนักวิทยาศาสตร์หินที่พวกเขาพบถูกเผาจนดำในลักษณะที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติหรือไฟฟ้า ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่หินเหล่านี้จะถูกเผาโดยน้ำมือของมนุษย์ ส่วนเปลือกหอยโบราณที่พวกเขาพบเองก็ล้วนแต่เป็นของหอยที่ทานได้ ซึ่งบ่งบอกถึงหลักฐานการใช้ชีวิตของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี เป็นไปได้ว่าหินที่พวกเขาพบจะเป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากการก่อไฟทำอาการและใช้ชีวิตของคนในสมัยก่อน แถมมันยังมีอายุเก่าแก่กว่าที่คาดไว้ถึง 55,000 ปี ภาพหินซึ่งเป็นหลักฐานเก่าว่ามีมนุษย์อยู่ที่ออสเตรเลียตั้งแต่เมื่อ 65,000-70,000 ปีก่อน อย่างไรก็ตามการทดลองในครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อกังขาเลย เพราะพวกเขานั้นไม่มีการพบวัตถุโบราณที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยมือมนุษย์ อย่างพวกเครื่องมือหรือภาชนะเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แถมจากการตรวจสอบ DNA ก่อนหน้าเอง ก็บอกว่าชาวอะบอริจินนั้นมีร่องรอยทางพันธุกรรมสามารถย้อนรอยกลับไปเพียง 75,000 ปีเท่านั้น แถมยังแยกออกมาจากชาวยูเรเชียอีกที ดังนั้นจึงไม่น่าจะอยู่ในพื้นที่นี้เมื่อ 120,000 ปีก่อนได้ (อ่านข่าวเก่าได้ที่ ข้อมูลทางพันธุกรรมชี้ อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือ “ชาวอะบอริจิน” ในออสเตรเลีย)…
-
เปิดตำนาน “แจ๊คคาโลป” เรื่องราวของกระต่ายมีเขา ที่เหล่าผู้คนตามหากันในศตวรรษที่ 20
เคยได้ยินเรื่องเล่าของแจ๊คคาโลปกันมาก่อนไหม มันคือกระต่ายที่มีเขาเหมือนกวาง ที่ว่ากันว่าเป็นตำนานพื้นบ้านของทางทวีปอเมริกาเหนือ และกลายเป็นหนึ่งในสัตว์ที่เป็นที่ต้องการมาก จนมีคนออกมาตามหาเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาหนึ่ง ชื่อของแจ๊คคาโลป (Jackalope) มาจากคำว่า “Jackrabbit” กับ “Antelope” ซึ่งก็แปลว่ากระต่ายกับแอนทิโลปสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายกวาง แบบตรงๆ เลย โดยเชื่อกันว่าชื่อนี้ถูกตั้งขึ้นตามลักษณะของแจ๊คคาโลปเอง น่าแปลกที่เรื่องราวของแจ๊คคาโลปสามารถย้อนรอยกลับไปได้ถึงเพียงแค่ช่วงปี 1930 เท่านั้นซึ่งถือว่าไม่เก่ามากเมื่อเทียบกับตำนานอื่นๆ โดยส่วนมากจะเชื่อกันว่ามันเป็นสัตว์ลูกผสมของกวางที่สูญพันธุ์ไปแล้วกับกระต่ายนักฆ่า ซึ่งเป็นตำนานอีกเรื่องในสมัยก่อน และคาดกันว่าอาศัยอยู่ทางตะวันตกของทวีปอเมริกาอีกที ชื่อเสียงของแจ๊คคาโลปนั้นโด่งดังมากในสมัยนั้น จนมีคนมากมายออกมาอ้างตัวว่าเคยพบมัน ทั้งเหล่าคนที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาเอง และคนที่อยู่ในทางยุโรป อย่างในเยอรมันก็มีคนออกมาอ้างว่าเจ้ากระต่ายตัวนี้ยังไม่ได้มีแค่เขากวาง แต่ยังมีเขี้ยวและปีก ส่วนทางสวีเดนก็บอกว่าสัตว์ตัวนี้มีครึ่งหลังเป็นไก่ป่า ในบางตำนานของแจ๊คคาโลปนั้นมีการระบุไว้ว่าแจ๊คคาโลปนั้นสามารถเลียนเสียงมนุษย์ได้ แถมยังมีเรื่องเล่าบางที่ซึ่งบอกว่านมของมันมีผลเป็นยาปลุกอารมณ์ และเขาของมันก็ยังนำมาทำยาได้อีก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนในสมัยนั้นจะออกล่ากระต่ายตัวดังกล่าวกันเต็มไปหมด อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของแจ๊คคาโลปนั้น เป็นไปได้ว่าแท้จริงแล้วอาจจะเกิดขึ้นจากพี่น้อง Herrick ผู้ซึ่งอาศัยในรัฐไวโอมิงเท่านั้น และไม่ใช่ตำนานที่มีมาแต่โบราณอย่างที่หลายๆ คนเชื่อ เพราะอ้างอิงอ้างอิงจากบันทึกในสมัยก่อน พี่น้อง Herrick เป็นนักล่าที่เปิดร้านสตัฟฟ์สัตว์ และวันหนึ่งในช่วงปี 1930 พวกเขาก็นึกสนุกลองผสมชิ้นส่วนสัตว์หลายๆ ชนิดเข้าด้วยกัน โดยหนึ่งในนั้นคือกระต่ายกับเขากวาง และเกิดเป็นที่มาของตำนานแจ๊คคาโลปไป …
-
นักวิทย์วิเคราะห์กระดูกหมูใกล้ “สโตนเฮนจ์” อาจถูกใช้จัดงานฉลองใหญ่มาก่อน
สโตนเฮนจ์เป็นหนึ่งในโบราณสถานหินขนาดยักษ์ ที่ได้ชื่อว่ามีชื่อเสียงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่บริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ และมีอายุอย่างต่ำถึง 4,000 ปี ตั้งแต่ในอดีตมาเหล่านักโบราณคดีได้ทำการถกเถียงและตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับการใช้งานของโบราณสถานแห่งนี้กันมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมอะไรสักอย่าง จนกระทั่งเมื่อล่าสุดนี้เองทีมนักโบราณคดีก็ได้ทำการค้นพบกระดูกของหมูจำนวนราวๆ 131 ตัว ถูกฝังเอาไว้ในพื้นที่ใกล้เคียงกับสโตนเฮนจ์ และทำมาซึ่งทฤษฎีที่ว่าโบราณสถานแห่งนี้ในสมัยก่อนอาจจะเคยถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานฉลองขนาดใหญ่ก็ได้ นั่นเพราะจากการตรวจสอบกระดูกหมูที่พบ นักวิทยาศาสตร์ก็ทราบว่ากระดูกเหล่านี้ไม่เพียงแต่มาจากช่วง 2,800-2,400 ปีก่อนคริสตกาลเท่านั้น แต่พวกมันยังมีอาหารการกินที่ต่างกันมาก ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีที่แสดงให้เห็นว่าหมูเหล่านี้ถูกเคยถูกเลี้ยงในสถานที่ที่ต่างกัน และถูกพามารวมกันที่ใกล้ๆ สโตนเฮนจ์เพื่อใช้ในงานฉลอง จากรายงานการทดลองในบรรดาหมูที่พบมีอย่างน้อยๆ 5 ตัวที่เดินทางมาจากสกอตแลนด์และอีกหลายๆ ส่วนก็น่าจะเดินทางมาจากเวลส์ อ้างอิงจากการพบ สตรอนเชียม-87 สารที่พบบ่อยๆ ในกระดูกสัตว์ที่มาจากพื้นที่เหล่านี้ นี่นับว่าเป็นการเดินทางที่ถือว่าค่อนข้างไกล และต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในสมัยก่อนเลย เพราะหมูนั้นไม่ใช่สัตว์ที่เหมาะสมกับการเดินไกลๆ ด้วยเท้าแบบในสมัยก่อน นั่นหมายความว่าไม่ว่างานฉลองที่จัดขึ้นที่สโตนเฮนจ์นั้น น่าจะต้องมีความสำคัญเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงสามารถทำให้คนยอมลำบากรวบรวมหมูมากขนาดนี้มาใช้ โดย Dr Richard Madgwick แห่งสำนักโบราณคดีและศาสนาจากมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ หนึ่งในทีมวิจัยเล่าว่าการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงระดับความซับซ้อนของสังคมในสมัยในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และหากการนำหมูเหล่านี้มาที่สโตนเฮนจ์จะมีเหตุผลเพื่อใช้ทำอาหารเลี้ยงแขกในงานจริงๆ งานฉลองที่เกิดขึ้นนั้น ก็อาจจะไม่ใช่แค่งานฉลองสำคัญเฉยๆ แต่อาจจะเป็นงานฉลองที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดครั้งหนึ่งของสมัยนั้นเลย ที่มา allthatsinteresting, sciencemag และ iflscience
-
งานวิจัยใหม่ชี้ การบริโภคไข่มากกว่า 3-4 ฟองต่อสัปดาห์ เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจถึง 6%
เพื่อนๆ ชอบทานไข่กันไหม เชื่อว่าคงมีอยู่หลายคนเป็นแน่ที่ชอบเจ้าวัตถุดิบอาหารชิ้นนี้ เพราะไม่ว่าจะต้ม ผัด ทอด หรือนึ่ง ไข่ก็เป็นหนึ่งในของที่ปรุงง่ายและอร่อยอยู่เสมอ ดังนั้นนี่อาจจะนับเป็นข่าวร้ายสำหรับหลายๆ คนเลยก็ได้ เพราะเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาวารสาร JAMA ได้ทำการตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นใหม่ที่บอกว่าการบริโภคไข่มากกว่า 3-4 ฟองต่อสัปดาห์นั้นอาจทำให้เรามีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้สูงขึ้น 6% และมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากเหตุผลอื่นๆ มากขึ้นอีก 8% เทียบกับคนที่ทานไข่น้อยกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์ ดูเหมือนว่าเหตุผลหลักที่ไข่อาจจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพจะมาจากคอเลสเตอรอลของตัวไข่เอง ซึ่งทางทีมวิจัยพบว่าหากทานคอเลสเตอรอลเกิน 300 มิลลิกรัม (ไข่หนึ่งฟองมีคอเลสเตอรอล 373 มิลลิกรัม) คนเราจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้นถึง 17% เลยทีเดียว โดยนี่เป็นการทดลอง ที่เกิดขึ้นจากการเก็บข้อมูลในกลุ่มผู้ใหญ่ 29,615 คน ผู้อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา และจะถูกติดตามอาการทางสุขภาพเป็นเวลา 17.5 ปี ของเหล่านักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นไฟน์เบิร์ก แน่นอนว่างานวิจัยนี้ขัดแย้งโดยตรงกับ “แนวทางการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกัน” ที่จัดทำโดยกรมอนามัย และกรมการเกษตรของสหรัฐอเมริกา ที่มีการถอดคอเลสเตอรอลจากอาหารต้องควบคุมในปี 2015 และบอกว่าไข่ไก่สามารถทานได้ทุกวันโดยไม่ต้องกังวล สำหรับเรื่องนี้ผู้ทำการวิจัย…
-
นักวิจัยเผย ผู้หญิงบางคนอาจมียีนหายากที่ทำให้ยาคุมกำเนิดเกิดความผิดพลาดได้บ่อยขึ้น
สำหรับคนที่ใช้งานยาคุมกำเนิดแบบรายเดือน ไม่ว่าจะเป็นแบบ 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด คุณอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่ายาคุมกำเนิดรูปแบบนี้ บางครั้งก็ไม่สามารถคุมกำเนิดได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งแม้ว่าจะเกิดจากปัจจัยที่หลากหลาย แต่ส่วนมากแล้วคนก็มักจะคิดว่าเกี่ยวกับการทานยาที่ไม่ถูกต้อง แต่จากผลงานวิจัยใหม่ล่าสุดของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยโคโลราโดในเดนเวอร์ที่ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 2019 ดูเหมือนว่าที่บางครั้งยาคุมกำเนิดไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์นั้น อาจจะมาจากยีนบางตัวของผู้หญิงเองก็เป็นได้ โดยในระหว่างการวิจัยในครั้งนี้ ทีมวิจัยได้พบว่าในเวลาที่ทานยาคุมกำเนิด ผู้หญิงที่มียีนหายากที่ชื่อ “CYP3A7” จะมีระดับฮอร์โมนเลือดที่น้อยกว่าผู้หญิงทั่วๆ ไป ซึ่งบางครั้งก็อยู่ในระดับที่น้อยเกินกว่าที่ยาคุมกำเนิดจะทำงานได้ ยีน CYP3A7 เดิมทีแล้วเป็นยีนที่เกี่ยวกับเอนไซม์ในตับ ซึ่งทำงานในตอนที่มนุษย์เรายังเป็นทารกในครรภ์และหยุดทำงานไปก่อนที่จะเกิด แต่ในกรณีหายาก ยีนตัวนี้ก็จะไม่มีการหยุดทำงานซึ่งส่งผลให้เด็กที่เกิดมามีความสามารถย่อยสลายยีน “Estrogen” และ “Progestin” ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ใช้ในการคุมกำเนิดได้เร็วกว่าคนทั่วไป Dr. Aaron Lazorwitz หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า เมื่อก่อนนั้นหากผู้หญิงท้องในระหว่างการใช้ยาคุม โดยมากแล้วผู้คนจะโทษให้เป็นความสะเพร่าในการทานยาของฝ่ายหญิง แต่จากงานวิจัยนี้ ไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการทานยาคุมกันใหม่เลย แน่นอนว่างานวิจัยชิ้นนี้ยังคงจำเป็นต้องมีการทดลอง กันอีกมากกว่าที่เราจะมั่นใจได้ว่ายีน CYP3A7 นั้นส่งผลต่อการทำงานของยาคุมกำเนิดจริงๆ แต่หากผลการทดลองนี้ถูกต้องจริงๆ แล้ว ไม่แน่ว่าอีกหน่อยก่อนที่จะมีการจ่ายยาคุม แพทย์อาจจะต้องตรวจยีนของผู้หญิงที่มารับยาก่อนก็เป็นได้ …
-
นักวิทย์พบหมึกกระดองที่ถนัดขวา จะมีโอกาสชนะในการต่อสู้และการผสมพันธุ์กว่าหมึกที่ถนัดซ้าย
สำหรับมนุษย์เรานั้นอัตราความแตกต่างระหว่างคนถนัดขวาและคนถนัดซ้าย จะอยู่ที่ประมาณ 9:1 โดยคนส่วนใหญ่จะถนัดขวา และตามปกติแล้วมือข้างที่ถนัดจะไม่สำคัญกับชีวิตมากถึงขั้นที่เห็นผลได้อย่างชัดเจนนัก (ยกเว้นในกิจกรรมเฉพาะหรือการเล่นกีฬาบางประเภท) แต่ดูเหมือนว่าการถนัดซ้ายหรือถนัดขวานั้น สำหรับสัตว์อย่าง “Cuttlefish” หรือ “หมึกกระดอง” นั้น จะส่งผลกับชีวิตมากกว่ามนุษย์มาก เพราะจากการวิจัยที่ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น หมึกกระดองที่ถนัดขวาจะมีโอกาสชนะในการต่อสู้ และการผสมพันธุ์มากกว่าหมึกกระดองที่ถนัดซ้าย นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นหลังจากที่นักวิทยาศาสตร์สังเกตพฤติกรรมของหมึกกระดองกลุ่มหนึ่ง และพบว่าหมึกกระดองส่วนมากนั้นถนัดซ้าย อ้างอิงจากงานวิจัยดั้งเดิม บวกกับการเคลื่อนไหว และการใช้ดวงตาของมัน ถึงอย่างนั้นก็ตามนักวิทยาศาสตร์กลับพบว่าในยามที่หมึกกระดองเหล่านี้หาคู่ ตัวผู้ที่มักจะได้ผสมพันธุ์กลับเป็นผู้ที่เข้าหาตัวเมียจากทางขวาเสียเป็นส่วนใหญ่ นักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่าในการต่อสู้กันเองของหมึกกระดอง ตัวผู้ที่ถนัดขวา (ส่วนน้อย) ยังมักจะมีชัยเหนือ ตัวผู้ที่ถนัดซ้าย (ส่วนมาก) อีกด้วย ซึ่งทำให้เกิดข้อสังเกตมากมายเกี่ยวกับระบบความถนัดในบรรดาสิ่งมีชีวิตในโลกขึ้น (รวมทั้งมนุษย์ด้วย) จากผลการค้นพบในครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์คาดการว่าการที่หมึกกระดองที่ถนัดขวามักจะมีชัยเหนือหมึกกระดองที่ถนัดซ้ายน่าจะมาจากการที่วิธีว่ายน้ำในตอนสู้ของมัน ซึ่งยากที่จะคาดการณ์กว่า คล้ายกับที่พบในวงการกีฬาของมนุษย์ และเมื่อหมึกกระดองที่ชนะการต่อสู้แย่งชิงตัวเมียมักจะเป็นตัวที่ถนัดขวา ตัวเมียจึงมักชินกับแนวคิดที่ว่าตัวผู้ที่ว่ายน้ำเข้าหาจากทางขวา (ถนัดขวา) จะเป็นตัวผู้ที่แข็งแกร่ง ดังนั้นตัวผู้ที่เข้าหาตัวเมียในรูปแบบนี้จะมีโอกาสได้รับการยอมรับจากตัวเมีย มากกว่าการเข้าหาจากทางซ้ายไป นี่อาจจะเป็นการศึกษาที่ดูจะไม่มีอะไรสำคัญ แต่เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ให้ความสนใจกับผลการทดลองที่ออกมาเป็นอย่างมาก เพราะงานวิจัยนี้อาจจะให้คำตอบเราว่าทำไมสิ่งมีชีวิตถึงมีมือข้างที่ถนัด และทำไมคนส่วนมากจึงมักถนัดมือข้างเดียวกันทั้งๆ ที่ถนัดมือข้างอีกข้าง (ที่เป็นส่วนน้อย) อาจทำให้เราได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้นแท้ๆ ที่มา phys และ livescience
-
นักวิทยาศาสตร์เผย แมงมุมสายพันธุ์ใหม่ ถูกตั้งชื่อตาม “สตอร์มทรูปเปอร์” จากสตาร์วอร์
เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าเวลาที่มีการค้นอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ ดวงดาว หรือสายพันธุ์ของสัตว์ บ่อยครั้งผู้ที่เป็นคนค้นพบก็จะได้รับสิทธิ์ในการตั้งชื่อของสิ่งที่พบ โดยมากแล้วชื่อที่ถูกนำมาตั้ง จะเป็นชื่อของผู้ที่พบเองหรือไม่ก็ชื่อที่เกิดจากภาษาโบราณอย่างภาษาละติน แต่มันก็มีบางครั้งเหมือนกันที่ชื่อที่ถูกนำมาตั้งจะได้แรงบันดาลใจมาจากอะไรแปลกๆ อย่างภาพยนตร์เรื่อง “สตาร์วอร์” ได้เช่นกัน นั่นเพราะเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมาประกาศว่า แมงมุมขาโก่งสายพันธุ์ใหม่ 6 ชนิดซึ่งถูกค้นพบที่ทวีปอเมริกาใต้ จะได้รับชื่อสปีชีส์ว่า “Stormtropis” ชื่อที่มีต้นแบบมาจาก “สตอร์มทรูปเปอร์” เหล่ากองทหารที่มีชื่อเสียงแห่งฝั่งจักรวรรดิ ที่แมงมุมเหล่านี้ได้ชื่อว่า Stormtropis มาจากเหตุผลว่า แมงมุมทั้ง 6 ชนิดนั้นมีรูปร่างที่คล้ายคลึงกันมาก แถมบางพันธุ์ยังมีความสามารถในการพรางตัว และอ้างอิงจากนักวิทยาศาสตร์บางคน มันซุ่มซ่ามเงอะงะคล้ายสตอร์มทรูปเปอร์ที่ยิงอะไรก็ไม่เคยโดน แน่นอนว่าแมงมุมทั้งหกชนิดที่ถูกค้นพบนั้นย่อมมีลักษณะการใช้ชีวิตที่ต่างกันไปตามถิ่นที่อยู่และสายพันธุ์ ถึงอย่างนั้นพวกมันกลับมีรูปร่างที่คล้ายกันมาก โดยตัวผู้จะมีกรงเล็บ 2 อันต่อขาหนึ่งข้าง (ซึ่งน้อยกว่าแมงมุมขาโก่งอื่นๆ ที่จะมีกรงเล็บ 3 อัน) และมีอวัยวะเพศที่เห็นได้ชัด ส่วนตัวเมียจะมีอวัยวะเพศรูปร่างคล้ายเห็ด ซึ่งแน่นอนว่าต่างจากแมงมุมขาโก่งอื่นๆ เช่นกัน อันที่จริงแล้วแมงมุมตระกูล Stormtropis นั้นมีอยู่ค่อนข้างเยอะและพบได้ง่ายกว่าที่คิด…
-
งานวิจัยพบ “หนอนริบบิ้น” บางสายพันธุ์งอกหัวออกมาใหม่ได้ แม้สมองถูกทำลายไปแล้ว
เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่องราวของหนอนทะเลที่ชื่อ “หนอนริบบิ้น” กันมาก่อนไหม สำหรับหลายคนแล้ว ชื่อของเจ้าหนอนตัวนี้อาจจะเป็นอะไรที่ไม่คุ้นหูเอาเสียเลย ในขณะที่บางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงของมันในฐานะหนอนประหลาดที่พ่นใยสีขาวได้ ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าเจ้าหนอนริบบิ้นนั้นไม่ได้มีความสามารถแค่พ่นใยสีขาวเท่านั้น เพราะจากงานวิจัยใหม่ล่าสุด เจ้าหนอนในตระกูลนี้ บางสายพันธุ์สามารถงอกสมองใหม่ได้ด้วย เอาเข้าจริงๆ เรื่องของสมองในสัตว์จำพวกหนอนหรือไส้เดือนนั้นเป็นอะไรที่แปลกอยู่แล้วเพราะพวกมันมีทั้งสายพันธุ์ที่ไม่มีสมอง สายพันธุ์ที่ใช้เส้นประสาทต่างสมอง หรือแม้กระทั่งสายพันธุ์ที่มีสมองคล้ายกับมนุษย์ แต่จากการทดลองที่ผ่านๆ มา นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่ามีแค่หนอนริบบิ้นบางสายพันธุ์เท่านั้นที่งอกสมองออกมาใหม่ได้เมื่อหัวถูกทำลายไป อ้างอิงจากรายงานที่ถูกตีพิมพ์ออกมาในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2019 เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทดลองกับหนอนริบบิ้นจำนวน 22 สายพันธุ์ (และเทียบข้อมูลกับอีก 13 สายพันธุ์) ทุกๆ ตัวจะสามารถซ่อมแซมหางตัวเองได้ แต่ที่แปลกคือในบรรดาหนอนเหล่านั้นกลับมีถึง 5 สายพันธุ์ที่งอกหัวออกมาใหม่พร้อมกับสมองได้ อันที่จริงแล้วนักวิทยาศาสตร์พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าในบรรดาหนอนริบบิ้นที่ได้มาจะมีอย่างน้อยๆ หนึ่งชนิดที่งอกสมองใหม่ได้ (เพราะก่อนหน้านี้เคยมีผลการทดลองยืนยันอยู่) แต่พวกเขาก็ไม่คิดเลยว่าจะมีหนอนงอกหัวใหม่ได้มากถึง 5 ชนิดเช่นนี้ การงอกหัวและสมองใหม่ของหนอนริบบิ้น Lineus sanguineus หนึ่งในห้าหนอนที่งอกหัวใหม่ได้สำเร็จ นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกเพราะหนอนที่ถูกนำมาทดลองนั้น ล้วนแต่มีบรรพบุรุษเดียวกันทั้งสิ้น และแน่นอนว่าบรรพบุรุษดังกล่าวก็ไม่ได้มีความสามารถในการงอกหัวเลยด้วย นั่นทำให้นักวิทยาศาสตร์มองว่าความสามารถสุดแปลกนี้น่าจะเพิ่งพัฒนาขึ้นมาในช่วง 10-15 ล้านปีก่อนเท่านั้น ไม่ได้มีมานานมาแล้วอย่างที่งานวิจัยอื่นๆ เคยคาดไว้…
-
นักวิทย์พบ เซลล์แมมมอธ “คืนชีพ” ชั่วคราว และพยายามแบ่งตัว หลังฉีดเข้าไปในไข่ของหนู
ย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 2011 ที่ไซบีเรีย นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการค้นพบมัมมี่ของช้างแมมมอธอายุกว่า 28,000 ปีตัวหนึ่ง ถูกฝังอยู่ในชั้นดินที่เป็นน้ำแข็งคงตัวหรือ “เพอร์มาฟรอส” และมีสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีการพบมา แน่นอนว่าตั้งแต่วันนั้นมา เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้พยายามใช้ประโยชน์จากความสมบูรณ์ของมัมมี่ตัวนี้ในการทดลองต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงความพยายามในการคืนชีพแมมมอธด้วยการโคลนนิ่ง และแล้วหลังจากที่เวลาผ่านไปเกือบ 8 ปี ในที่สุดเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมารายงานความคืบหน้าของการทดลองที่พวกเขาทำจนได้ เพราะเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมารายงานการ “คืนชีพ” ของเซลล์แมมมอธ หลังจากที่มีการปลูกถ่ายลงไปในไข่ของหนู นี่เป็นการทดลองที่จัดทำขึ้นโดยการนำนิวเคลียสที่มีความสมบูรณ์ค่อนข้างสูงของช้างแมมมอธสายพันธุ์ “Mammuthus primigenius” ไปปลูกถ่ายไว้ในไข่ของหนูทดลองเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเซลล์ดังกล่าว พวกเขาพบว่าการกระทำนี้จะทำให้โครโมโซมของช้างแมมมอธเกิดการปฏิกิริยาขึ้น และมีร่องรอยของการเริ่มต้นกระบวนการแบ่งตัวให้เห็น ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 28,000 ปี เซลล์ก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมาทำงานได้อีกครั้ง น่าเสียดายกระบวนการแบ่งตัวของเซลล์ช้างแมมมอธในไข่หนูกลับหยุดการทำงานลงกลางคันก่อนที่จะมีการแบ่งตัวเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งเป็นไปได้ว่ามีสาเหตุมาจากความเสียหายของเซลล์ที่นำมาใช้ ทีมนักวิทยาศาสตร์บอกว่าผลการทดลองที่ออกมานั้นทำให้พวกเขามั่นใจว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันยังไม่มีความก้าวหน้ามากพอที่จะโคลนนิ่งช้างแมมมอธได้ (อย่างน้อยก็ด้วยเซลล์จากมัมมี่ที่พบ) เพราะแม้ว่าพวกเขาจะใช้เซลล์ที่มีสภาพดีที่สุดในการทดลอง แต่ผลที่ออกมาก็ยังคงจบลงด้วยความล้มเหลวอยู่ดี ถึงอย่างนั้นก็ตามตัวการทดลองในครั้งนี้เองก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ เพราะ Rebekah Rogers ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านชีวสารสนเทศของมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา บอกว่าแค่การที่นักวิทยาศาสตร์สามารถฉีดเซลล์ของช้างแมมมอธลงไปในไข่ของหนูได้ก็เป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์อยู่แล้ว เพราะหากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้เป็นไปตามที่อ้างจริงๆ…
-
พบหลักฐานพายุสุริยะเก่าแก่ ในน้ำแข็งที่กรีนแลนด์ เชื่อแรงกว่าที่เคยพบตลอด 70 ปีที่ผ่านมา
เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์พายุสุริยะหรือ “Solar Storm” กันไหม นี่เป็นปรากฏการณ์อนุภาคประจุไฟฟ้าพุ่งออกมาจากดวงอาทิตย์ และทำให้สนามแม่เหล็กโลกแปรปรวน จนบางครั้งก็ทำให้ระบบการสื่อสารบางอย่างของมนุษย์ไม่สามารถใช้การได้ จริงอยู่ที่เหตุการณ์พายุสุริยะอย่างพายุสุริยะนั้นย่อมต้องเคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วตลอดชีวิตอันยาวนานของโลก แต่จากรายงานล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ดูเหมือนว่าเมื่อราวๆ 2,500-2,600 ปีก่อน โลกเราจะเคยพบกับพายุสุริยะที่น่าสนใจมากๆ ครั้งหนึ่ง นั่นเพราะเจ้าพายุที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น มันรุนแรงมากพอที่จะทิ้งร่องรอยของมันไว้ในแผ่นน้ำแข็งที่กรีนแลนด์ ในสภาพของคาร์บอน เบริลเลียม และคลอรีน แถมยังติดอยู่อย่างนั้นมาจนถึงในปัจจุบันเลยด้วย และเจ้าแผ่นน้ำแข็งที่ว่านี้เองก็กลายเป็นสิ่งที่เหล่านักวิทยาศาสตร์นำมาศึกษาจนพบหลักฐานของพายุสุริยะครั้งใหญ่นี้ อ้างอิงจากการคำนวณอนุภาค พายุสุริยะในครั้งนั้นมีความรุนแรงสูงกว่าที่เราเคยมีการบันทึกตลอดช่วง 70 ปีที่ผ่านมาถึง 10 เท่า และมีความรุนแรงในระดับที่ใกล้เคียงกับพายุสุริยะที่รุนแรงที่สุด ที่มนุษย์เคยเจอมาเมื่อปี ค.ศ. 775 เลย ความรุนแรงขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ถูกรบกวนเท่านั้น แต่ยังมากพอที่จะลดระดับโอโซนของโลกลง จนสิ่งมีชีวิตต้องพบกับรังสีอัลตราไวโอเลตที่รุนแรงขึ้นด้วย แถมการค้นพบพายุสุริยะที่รุนแรงมากหลายครั้งเช่นนี้ ยังทำให้เราทราบว่าสภาพภูมิอากาศในอวกาศอาจจะเลวร้ายกว่าที่เราเคยคาดการณ์ไว้ และไม่แน่ว่าโลกอาจจะต้องพบกับพายุสุริยะที่รุนแรงอีกครั้งเร็วกว่าที่คิดด้วย ซึ่งหากเวลานั้นมาถึง และเราไม่มีการเตรียมการรับมือที่ดี พายุสุริยะนี้ก็อาจจะทำให้เราต้องเสียอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ดาวเทียมหลายๆ ดวง และสุขภาพร่างกายของมนุษย์หลายๆ คนไปเลยก็เป็นได้ การค้นพบในครั้งนี้ทำให้ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้เตรียมการค้นหาร่องรอยอื่นๆ ของคลื่นสุริยะในอดีตบนโลกทันที เพราะจากคำบอกเล่าของ Raimund Muscheler หนึ่งในทีมวิจัยเอง…
-
ตอบคำถาม “คนเราเรียนรู้ในยามหลับได้ไหม” นักวิทย์บอกได้ แต่อาจไม่ใช่แบบที่เราคิด
เคยคิดกันไหม ว่ามันจะดีแค่ไหนถ้าคนเราสามารถเรียนหนังสือในยามหลับได้ จะเป็นไปได้หรือไม่ที่คนเราจะใช้เครื่องมืออะไรสักอย่างในการอัดความรู้เข้าไปในสมองขณะที่เรานอนหลับ คำตอบของคำถามนี้คือทั้งได้และไม่ได้ เพราะในขณะที่การเรียนรู้ในขณะหลับด้วยการฟังเสียงแบบที่เราเห็นกันบ่อยๆ ในหนังหรือการ์ตูนจะแทบไม่มีโอกาสเป็นไปได้ สมองของเราก็ใช่ว่าจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยในยามหลับเช่นกัน ความพยายามในการคิดค้นวิธีการเรียนรู้ในตอนหลับนั้นอยู่คู่กับนักวิทยาศาสตร์มานานแสนนานแล้ว โดยเราสามารถพบงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้เรื่อยๆ ตามยุคสมัยและมีชิ้นที่เก่าแก่ที่สุดมาจากปี 1914 เลยทีเดียว โดยในเวลานั้น นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน Rosa Heine พบว่าคนเราจะจำเรื่องที่เรียนรู้ก่อนนอนได้ดีกว่าเรื่องที่เรียนมาในตอนกลางวัน แต่หากจะพูดถึงงานวิจัยที่เกี่ยวกับการอัดความรู้เข้าไปในหัวตอนหลับครั้งแรก เราคงต้องมองย้อนไปในปี 1930 ที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเปิดคำพูดให้กำลังใจกับผู้เขารับการทดลองขณะหลับผ่านอุปกรณ์ที่ชื่อ “Psycho-phone” ในเวลานั้นนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาอ้างว่าคนเราสามารถเรียนรู้เรื่องราวจาก Psycho-phone ได้จริงๆ แต่ในอีกราวๆ 20 ปีต่อมาคำกล่าวอ้างเหล่านี้ก็โดนล้มล้างไปโดยนักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มที่ทำการสแกนคลื่นสมองของคนในยามหลับ และพบว่าลักษณะของคลื่นสมองที่เกิดขึ้นเวลาเราเรียนรู้อะไร จะเกิดขึ้นได้ในยามที่คนเราตื่นอยู่เท่านั้น งานวิจัยชิ้นนี้ทำลายความเป็นไปได้ของการเรียนรู้ยามหลับ ในเวลานั้นไปจนหมด และแทบจะไม่มีใครสามารถล้มล้างงานวิจัยชิ้นนี้ได้เลย จนกระทั่งโลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 นั่นเพราะในปี 2012 นักวิทยาศาสตร์ในอิสราเอลก็พบความจริงที่น่าสนใจข้อหนึ่งของสมองเข้า เพราะแม้สมองของคนเราจะไม่สามารถ “เรียนรู้” สิ่งใหม่ๆ ในยามหลับ แต่หากมีการใช้วิธีที่ถูกต้องเราก็สามารถ “สร้างความทรงจำใหม่” ให้สมองในตอนที่หลับอยู่ได้ โดยนี่เป็นผลการทดลองที่เกิดขึ้นจากการเปิดเสียงรูปแบบหนึ่งพร้อมๆ กับกลิ่นเหม็นให้อาสาสมัครดมในยามหลับในช่วงเวลาหนึ่ง และพบว่าเมื่ออาสาสมัครตื่นพวกเขาจะกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวทันทีที่ได้ยินเสียงรูปแบบเดียวกับในตอนหลับ เพราะสมองเชื่อว่าจะมีกลิ่นเหม็นตามมาในภายหลัง…
-
พบ “LLSVP” ภูเขายักษ์สองลูกใต้โลก ที่กว้างเท่าทวีปและสูงกว่าเขาเอเวอร์เรส 100 เท่า
เป็นเรื่องที่เราทราบกันอยู่แล้วว่าโลกของเรานั้นประกอบไปด้วยชั้นโลกหลายชั้น และชั้นโลกเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่สำรวจได้ยากมาก แม้ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน นั่นทำให้ที่ผ่านๆ มาเราแทบจะบอกไม่ได้เลยว่าในพื้นที่ระหว่างชั้นโลกเรานั้นมีอะไรอยู่กันแน่ เว้นก็แต่เรื่องหนึ่ง คือที่ใต้โลกของเรานั้นมีภูเขาขนาดใหญ่เท่าทวีปซ่อนอยู่ถึงสองแห่งนั่นเอง เจ้าภูเขาเหล่านี้เป็นกลุ่มหินร้อนที่ถูกเรียกกันว่า “Large Low Shear Velocity Province” หรือ “LLSVP” เนื่องจาก เวลาคลื่นแผ่นดินไหวเคลื่อนผ่านพื้นที่นี้ การสั่นสะเทือนจะเคลื่อนที่ช้าลงเป็นอย่างมาก LLSVP ส่วนที่หนึ่งนั้นตั้งอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนอีกส่วนหนึ่งนั้นตั้งอยู่ที่แอฟริกาและบางส่วนของมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งหากนำมาตั้งบนพื้นโลกมันจะสูงกว่าภูเขาเอเวอร์เรสถึง 100 เท่า ซึ่งมากพอที่จะทำให้สถานีอวกาศอย่าง ISS จำเป็นต้องบินอ้อมมันเลย ภูเขาใต้ดินนี้ถูกพบครั้งแรกตั้งแต่ในช่วงปี 1970 ถึงอย่างนั้นในปัจจุบันเราก็ยังแทบไม่ทราบอะไรนอกจากการมีอยู่และขนาดที่ใหญ่โตของมันอยู่ดี และเนื่องจากการที่มันฝังอยู่ลึกมาก และมีขนาดใหญ่โตจนการสำรวจแทบจะเป็นไปไม่ได้ อ้างอิงจากแหล่งข้อสันนิษฐานของนักศึกษาปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เป็นไปได้ว่าเจ้า LLSVP จะเกิดจากสารความร้อนสูงที่ระเบิดออกมาจากแกนโลก และเย็นลงในชั้นเนื้อโลกจนมีสภาพแบบในปัจจุบัน ถึงอย่างนั้นก็ตามการกำเนิดของมันก็ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องมีการพิสูจน์กันต่อไปอยู่ดี แต่แม้ว่าเรื่องราวของ LLSVP จะยังคงเป็นเรื่องที่ดูลึกลับสำหรับมนุษย์ มันก็ใช่ว่าเราจะไม่มีวิธีใช้ประโยชน์จากมันเลยเช่นกัน เพราะอ้างอิงจากวารสาร Nature รูปร่างของ LLSVP นั้นอาจสามารถนำมาอ้างอิงในการทำแผนที่หาเหมืองเพชรได้นั่นเอง ที่มา eos, nature และ livescience
-
งานวิจัยใหม่บอก “โรคซึมเศร้า” อาจมีความเกี่ยวข้องกับ “อาการเส้นเลือดในสมอง”
เชื่อว่าในปัจจุบันหลายๆ คนคงจะทราบกันแล้วว่าโรคซึมเศร้านั้นส่งผลต่อมนุษย์มากมายกว่าที่เราเคยคิดกันในอดีต มันไม่ใช่เรื่องของคนที่อ่อนแอหรือท้อแท้ แต่อาจเกี่ยวข้องโดยตรงกับสารเคมีในสมองและทำให้คนคนหนึ่งสามารถฆ่าตัวตายได้ไม่ยาก หากไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอ แต่เชื่อหรือไม่ว่าโรคซึมเศร้านั้นอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับโอกาสที่คนเราจะเป็นโรคเส้นเลือดในสมองด้วย นี่เป็นผลการศึกษาที่ได้รับการเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2019 โดยทีมแพทย์จากภาควิชาประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยไมอามีมิลเลอร์ หลังจากที่พวกเขาใช้เวลาถึง 14 ปีในการติดตามอาสาสมัคร 1,100 คน (ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 70 ปี) ในเมืองนิวยอร์ก ผลที่ออกมาคือในช่วงเวลา 14 ปีนั้น มีอาสาสมัครประมาณ 100 รายที่มีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งแม้จะไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร แต่หากนำข้อมูลที่ได้ไปเปรียบเทียบกับข้อมูลสุขภาพจิตของอาสาสมัครแล้ว ทีมแพทย์ก็พบกับตัวเลขที่น่าสนใจมากๆ ชุดหนึ่งเข้า สำนักแพทย์ของมหาวิทยาลัยไมอามีมิลเลอร์ นั่นเพราะเมื่ออ้างอิงจากข้อมูลทางสถิติแล้ว ทีมแพทย์ก็พบว่าอาสาสมัครที่มีอาการของโรคซึมเศร้าในระดับสูงนั้นมีโอกาสป่วยเป็น หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic stroke) สูงกว่าคนทั่วไปถึง 75% เลย โดยจากที่ระบุไว้ในรายงาน มีอาสาสมัครที่ถูกระบุว่ามีอาการของโรคซึมเศร้าในระดับสูงถึง 11% ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งมากกว่าตัวเลขรวมกันของอาสาสมัครที่ไม่มีอาการโรคซึมเศร้า หรือมีอาการในระดับต่ำรวมกันซึ่งอยู่ที่ 7% เสียอีก จริงอยู่ว่าผลการทดลองที่ออกมานี้ยังคงเป็นเพียงผลการทดลองขั้นต้นเท่านั้น แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก็ทำให้ Dr. Marialaura เจ้าของรายงานออกมาบอกเลยว่าการค้นพบนี้อาจจะทำให้ความสำคัญของการรักษาโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นจากที่เคยมากเลยก็ได้…
-
#ChallengeForChange ท้าทุกคนสร้างการเปลี่ยนแปลง ให้โลกน่าอยู่ขึ้นได้ด้วยมือตัวเอง
หลายๆ คนอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับบางสิ่ง หนึ่งในนั้นก็คงหนีไม่พ้นกับเรื่องของ “ธรรมชาติ” เพราะเราต้องไม่ลืมว่าตัวเราเองทุกคนต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกด้วยกันทั้งนั้น แล้วทำไมเราต้องรอให้ใครมาสร้างการเปลี่ยนแปลง ในเมื่อตัวเราเองก็สามารถทำมันได้ง่ายๆ ?! และนี่คงเป็นที่มาของแฮชแท็กยอดฮิต ณ เวลานี้ที่บอกว่า #ChallengeForChange โพสต์เชิญชวนทุกคนมาเล่น (11 มี.ค. 2019) นี่คงถือว่าเป็นความท้าทายใหม่จากเพจ We Don’t Deserve This Planet ที่จะไม่ใช่แค่ให้เรามีอะไรทำโพสต์ลงโซเชียล แต่มันยังจะช่วยทำให้โลกของเราน่าอยู่ขึ้นได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงและสองมือของเราเอง ความท้าทายนี้ก็ง่ายๆ เพียงแค่เราถ่ายภาพสถานที่ที่รู้สึกอยากให้มีการ “ทำความสะอาด” หรือควรได้รับ “การซ่อมแซม” จากนั้นก็ให้เราลงมือจัดการแก้ไขมันด้วยตนเอง และถ่ายภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ตัวอย่างคนที่ได้ลองทำตามการท้าทายดังกล่าว คืนความสวยงามกลับสู่ธรรมชาติกันเถอะทุกคน อาจไม่ต้องทำอะไรให้ยิ่งใหญ่มากมาย ขอแค่ช่วยกันทีละนิดทีละหน่อยก็เกินพอแล้ว . แต่หากชวนกันไปเป็นหมู่คณะแบบนี้ได้ก็ยิ่งดีแหละนะ . . . . หากถามว่าความท้าทายนี้ได้อะไรกลับมา เราลองคิดถึงรอยยิ้มของพวกเขาเหล่านี้ รวมถึงตัวเราเองที่กำลังรับชมการเปลี่ยนแปลงนี้กันดูสิ เพื่อนๆ คนไหนที่ได้ลองทำความท้าทายนี้แล้ว ก็อย่าลืมเก็บภาพมาอวดกันไว้ใต้คอมเมนต์ด้วยนะฮะ…
-
“เบื้องหลัง” ก่อนจะมาเป็นชุดสูท Captain Marvel และทำไมแฟนๆ ไม่ชอบชุดนี้นัก!?
เข้าโรงเป็นที่เรียบร้อยกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ Captain Marvel เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2019 นี้ และเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของ Marvel ที่ตัวดำเนินหลักนั้นเป็นซูเปอร์ฮีโร่หญิง!! แต่ขณะเดียวกันก็มีเสียงแฟนๆ แยกออกเป็นสองฝ่ายเกี่ยวกับเรื่อง “ชุดสูทของ Captain Marvel” ที่บ้างก็บอกว่าชุดทำออกมาได้ใกล้เคียงกับฉบับการ์ตูนมาก แต่อีกฝั่งก็บอกว่าทำไมมันไม่เซ็กซี่เหมือน Wonder Woman แน่นอนว่าทางเว็บไซต์ต่างประเทศเลยสรุปเรื่องราวให้ฟังว่า “ทำไมชุดของซูเปอร์ฮีโร่หญิงที่ใช้ชื่อจริงว่า Carol Danvers ถึงออกมาเช่นนี้??” Brie Larson ในบทบาท Captain Marvel ก่อนหน้านี้เรามักจะเห็นตัวละครซูเปอร์ฮีโร่หญิงในภาพยนตร์หลายๆ เรื่องมักจะมีชุดแบบเซ็กซี่เสมอ ทั้ง Cat Woman, Black Widow หรือชุดเกาะอกเหล็กกระโปรงสั้นของ Wonder Woman ส่วนชุดของ Captain Marvel ดูจะเป็นชุดที่ดูเหมาะสำหรับกัปตันอเมริกาเสียมากกว่า Captain Marvel ในชุดสูทสีเขียวและหมวกเกราะโมฮอก ในการออกแบบชุดซูเปอร์ฮีโร่ครั้งนี้ได้ Jamie McKelvie ดีไซเนอร์ที่ออกแบบชุดให้กับตัวละครในคอมมิกหลายๆ เรื่อง เขาได้นำชุดสุดคลาสสิคจากในคอมมิกของ…
-
ไขปริศนา เหล่าสัตว์รู้จักปู่ย่าตายายของตัวเองหรือไม่ นักสัตววิทยาบอก “บางชนิดทราบ”
เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าระบบพ่อแม่ลูกนั้นไม่ได้มีการใช้งานแค่เพียงในหมู่มนุษย์เท่านั้น เพราะในบรรดาเหล่าสัตว์โลกอื่นๆ หลายชนิดเราก็สามารถเห็นภาพพ่อแม่ดูแลลูกๆ ของตัวเอง หรือลูกๆ เดินตามพ่อแม่ได้เช่นกัน ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าสัตว์อื่นๆ นอกจากมนุษย์จะมีระบบครอบครัวที่ซับซ้อนเพียงไหน พวกมันมีระบบปู่ย่าตายายหรือไม่ ในวันนี้เราจะมาไขปริศนาข้อนี้กัน น่าเสียดายที่คงต้องบอกว่าสำหรับสัตว์ส่วนมากแล้ว คำตอบของคำถามนี้คงจะเป็นคำว่า “ไม่” เพราะอายุขัยของพวกมันนั้นไม่ได้มากพอที่จะทำให้มันพบกับญาติรุ่นปู่ย่าตายายได้ แถมในสัตว์อีกหลายๆ ชนิดพวกมันยังมักออกเดินทางจากถิ่นกำเนิดเพื่อป้องกันการแย่งอาหารอีกทำให้โอกาสที่สัตว์จะเจอญาติรุ่นปู่ย่าตายายเป็นเรื่องที่น้อยมากๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าสัตว์อื่นๆ นอกจากมนุษย์จะไม่รู้จักปู่ย่าตายายของตัวเองเลย เพราะอ้างอิงจากหนังสือ “The Social Behavior of Older Animals” ของนักสัตววิทยาชาวแคนาดาชื่อ Anne Innis Dagg เธอได้พบว่าสัตว์ในตระกูลลิงนั้น อาจจะมีระบบปู่ย่าตายายคล้ายกับคนก็เป็นได้ นั่นเพราะในระหว่างการสังเกตุการณ์ค่างในอินเดียของเธอ Anne ก็พบว่าค่างเพศเมียที่มีอายุมากแล้ว มักจะอาศัยอยู่กับค่างทั้งที่เป็นรุ่นลูกและรุ่นหลานของตัวเอง ค่างที่อายุมากมักจะทำหน้าที่ปกป้องเด็กๆ ในฝูงจากอันตรายรอบข้าง แถมจากรายงานของ Anne เธอยังพบว่าค่างบางตัวจะมีพฤติกรรมดูแลหลานๆ ของตัวเองดีกว่าเด็กๆ ตัวอื่นในฝูงด้วย นอกจากค่างแล้วสัตว์อื่นๆ ที่เราคาดกันว่ามีระบบปู่ย่าตายายก็ได้แก่วาฬบางชนิด ซึ่งตัวเมียที่ชราแล้วจะรับหน้าที่ดูแลหลานๆ ในระหว่างวาฬที่เป็นแม่ออกหาอาหาร และช้างซึ่งเหล่าผู้อาวุโสและคอยสอนโขลงของตัวเองด้วยประสบการณ์ที่เรียนรู้มาทั้งชีวิต แม้เราจะไม่อาจฟันธงได้ว่าช้างอาวุโสใช้วิธีไหนในการส่งต่อความรู้ของตัวเอง แต่จากการศึกษาเมื่อปี 2016 เราก็ยืนยันได้ว่าช้างรุ่นปู่ย่าตายายจะให้เวลาอยู่กับหลานๆ อย่างมีนัยยะสำคัญจริงๆ แต่สัตว์เลี้ยงรู้ด้วยนมเองก็ไม่ใช่สัตว์เพียงประเภทเดียวที่มีระบบปู่ย่าตายายเช่นกันเพราะในปี…
-
NASA เผยภาพกำแพงเสียงรวมตัวกัน ที่จะนำไปสู่การบินเหนือเสียงโดยไม่เกิดโซนิคบูม
เป็นเรื่องที่หลายคนคงจะทราบกันแล้วว่าเครื่องบินรบในปัจจุบันนั้นมีความสามารถในการบินด้วยความเร็วเหนือเสียง จนเกิดเป็นปรากฏการณ์เครื่องบินฝ่ากำแพงเสียง โดยที่ผ่านๆ มานั้นการบินฝ่ากำแพงเสียง จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็จับภาพได้หากใช้กล้องแบบพิเศษ และมีชื่อเรียกกันว่าภาพ “Knife-Edge” จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเครื่องบินนั้นกำลังพุ่งผ่านโมเลกุลของอากาศ และทำให้สภาพของอากาศบิดเบือนไปจนเกิดเสียงและแรงกระแทกที่ดังสนั่นหรือที่รู้จักกันในชื่อ “โซนิคบูม” แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้เองทางองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือนาซาก็ได้ทำการพัฒนาระบบกล้องถ่ายภาพของพวกเขาขึ้นไปอีกขั้น จนทำให้พวกเขาสามารถจับภาพเครื่องบิน T-38 สองลำพุ่งผ่านกำแพงเสียงพร้อมๆ กัน ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เลย จากรายงานของทางนาซา เครื่องบินทั้งสองลำเป็นเครื่องบินทดสอบที่บินด้วยระยะห่างกัน 9 เมตร ในระดับความสูงที่ต่างกัน 3 เมตร โดยเป็นการถ่ายภาพจากเครื่องบินอีกลำที่บินอยู่สูงกว่าเครื่องบินทั้งสองราวๆ 610 เมตรอีกที ภาพที่ออกมานั้นหากดูเผินๆ อาจคล้ายกับการพุ่งผ่านกำแพงเสียงธรรมดาๆ เพียงแต่มีเครื่องบินสองลำ แต่หากสังเกตให้ดีๆ เราจะพบว่ากำแพงเสียงในส่วนที่ถูกพุ่งผ่านนั้นมีอยู่จุดหนึ่งที่เกิดการรวมตัวกัน จนไม่มีรูปทรงอย่างที่ควรเป็น ลักษณะของภาพที่ออกมานี้เชื่อกันว่าจะสามารถช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศเมื่อเกิดการฝ่ากำแพงเสียงได้เป็นอย่างดี และอาจช่วยให้เราสามารถพัฒนาเครื่องบินระบบใหม่ที่บินเหนือเสียงได้ดีกว่าที่เคยด้วย โดยในเบื้องต้นทางนาซาทางนาซาได้ใช้ข้อมูลดังกล่าวนี้ในการร่วมพัฒนาเครื่องบิน X-59 เครื่องบินซึ่งมีความมีความสามารถในการเร่งความเร็วเหนือเสียงได้โดยที่ไม่เกิดโซนิคบูม ซึ่งใช้งบประมาณในการคิดค้นราวๆ 7,850 ล้านบาท และคาดกันว่าจะสามารถทดลองใช้งานได้จริงในปี 2021-2022 ต่อไปนั่นเอง ที่มา livescience
-
งานวิจัยพบ “หวีวุ้น” สามารถสร้างทวารขึ้นมาเพื่อขับถ่าย และทำให้หายไปในยามที่ไม่ใช้
เพื่อนๆ รู้จัก “หวีวุ้น” (Comb Jelly) กันไหม หวีวุ้นเป็นหนึ่งในสัตว์ทะเลที่มีร่างกาย 95% เป็นน้ำ มีลักษณะคล้ายแมงกะพรุน (แต่จริงๆ แล้วมาจากคนละไฟลัมและไม่ได้มีความใกล้ชิดกันเลย) และเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตชนิดแรกๆ ที่เกิดมาบนโลกเลย จริงอยู่ว่าหวีวุ้นนั้นอาจจะคล้ายแมงกะพรุนมากจนหลายๆ คนเข้าใจผิด แต่สิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้ก็มีจุดที่แตกต่างกันมากๆ อยู่หนึ่งจุด นั่นคือในขณะที่แมงกะพรุนใช้ปากทั้งทานอาหารและขับถ่ายของเสีย (ระบบทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์) หวีวุ้นนั้นมีทั้งปากและรูทวาร (ระบบทางเดินอาหารสมบูรณ์) แต่เจ้าระบบทางเดินอาหารนี้เองที่ทำให้หวีวุ้นกลายเป็นสัตว์ที่แปลกกว่าสัตว์อื่นๆ ไป เพราะเจ้าสัตว์น้ำตัวนี้นั้นสามารถทำให้รูทวารปรากฏขึ้นหรือหายไปได้ตามที่ตัวเองต้องการเลย โดยหลังจากที่หวีวุ้นกินอาหารเข้าไปมันจะเก็บของเสียจากการย่อยอาหารเอาไว้ในตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งของเสียในตัวมันมากพอที่จะทำให้อวัยวะภายในสัมผัสกับผิวหนังชั้นนอก ในเวลานั้นเองหวีวุ้นจะสร้างรูแบบชั่วคราวขึ้นมาบนผิวหนังซึ่งใช้ในการทำให้ของเสียไหลออกไปจากตัวคล้ายการขับถ่าย และปิดเจ้ารูที่ว่าในตอนที่การขับถ่ายจบลง การขับถ่ายในรูปแบบนี้เองทำให้หวีวุ้นไม่จำเป็นต้องมีรูทวารอยู่ตลอดเวลาเหมือนสัตว์ชนิดอื่นๆ และแม้จะฟังดูยุ่งยากอยู่บ้างแต่ด้วยระยะห่างระหว่างเครื่องในกับผนังชั้นนอกที่ไม่มากก็ทำให้หวีวุ้นสามารถขับถ่ายได้บ่อยกว่าที่เราคิด นักวิทยาศาสตร์ที่สังเกตการณ์เจ้าสัตว์ชนิดนี้บอกว่าระบบการขับถ่ายของหวีวุ้นนั้นแม้จะถูกเรียกว่าเป็นระบบทางเดินอาหารสมบูรณ์ แต่จริงๆ แล้วก็ยังมีความก้ำกึ่งกับระบบทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์อยู่ เป็นไปได้ว่าเจ้าหวีวุ้นนั้นเป็นสัตว์ที่หยุดการวิวัฒนาการระบบขับถ่ายไว้กลางทางก่อนที่มันจะมีทวารถาวรแบบในปัจจุบัน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงนักวิทยาศาสตร์ก็ชื่อว่าการศึกษาเจ้าสัตว์ชนิดนี้ อาจจะนำเราไปสู่ความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับขั้นตอนการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่เราไม่เคยทราบมาก่อนเลยก็เป็นได้ ที่มา allthatsinteresting, newscientist และ livescience
-
กรณีศึกษาเด็กป่วยเป็น “บาดทะยัก” จนเกือบเสียชีวิต แต่พ่อแม่ก็ยังปฏิเสธไม่ให้ลูกฉีดวัคซีน
ในตอนนี้ลัทธิต่อต้านการฉีดวัคซีนกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ในด้านชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก เพราะความเชื่อส่วนบุคคลดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก ไม่เพียงลูกหลานของคนที่เชื่อจะเสี่ยงติดโรคที่เคยระบาดในอดีต ทั้งที่สามารถป้องกันได้แล้ว การไม่ฉีดวัคซีนก็จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่โรคเหล่านั้นจะกลายพันธุ์ ดื้อยา และพัฒนาเชื้อให้ร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม สุดท้ายโรคดังกล่าวก็จะกลับมาระบาดในสังคมอีกครั้ง ทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคได้เผยกรณีศึกษาหนึ่งที่เกิดขึ้นในรัฐออริกอน สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2017 มีเด็กชายคนหนึ่งป่วยเป็นบาดทะยัก ซึ่งถือว่าเป็นบาดทะยักในเด็กเคสแรกในรอบ 30 ปีเลยทีเดียว เด็กชายวัย 6 ขวบคนนี้ออกไปเล่นบริเวณฟาร์มนอกบ้านและเกิดอุบัติเหตุทำให้เด็กชายมีแผลที่หน้าผาก แผลดังกล่าวก็ถูกล้าง เย็บ และปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยครอบครัวของเด็กชายเอง 6 วันต่อมาอาการของเด็กคนดังกล่าวก็แย่ลง กรามของเขาเกร็งแน่น กล้ามเนื้อกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ พ่อกับแม่ของเขาจึงเรียกหน่วยแพทย์ให้มานำตัวลูกชายส่งโรงพยาบาลในทันที ระหว่างทางมาโรงพยาบาลเด็กชายยังรู้สึกตัว ได้ขอน้ำดื่มแต่ด้วยอาการแข็งเกร็ง ทำให้เด็กชายไม่สามารถเปิดปากเพื่อดื่มน้ำได้ แม้แต่การหายใจก็มีปัญหา แพทย์ผู้รักษาเห็นอาการของเด็กน้อยก็สามารถบอกได้ทันทีว่าเขาป่วยเป็นอะไร มันคือ “โรคบาดทะยัก” นั่นเอง แพทย์จึงได้ใส่เครื่องช่วยหายใจให้ ให้ยาต้านพิษ วัคซีน DTaP ซึ่งจะช่วยเขาจากโรคคอตีบ บาดทะยัก และไอกรน และยาฆ่าเชื้อแก่เด็กชายทันที อาการของเขาแย่มากจนหมอต้องให้ยาที่ทำให้เขาเป็นอัมพาต และเปลี่ยนวิธีช่วยหายใจด้วยการเจาะและสอดท่อทางคอแทน ต่อมาเด็กชายต้องอยู่ในห้องฉุกเฉินที่มืดสนิท เสียบที่อุดหู เพื่อให้มีสิ่งกระตุ้นอาการเกร็งให้น้อยที่สุด เพราะการเกร็งขณะป่วยเป็นบาดทะยักนั้นทำให้เจ็บปวดราวกับเป็นตะคริวทั่วร่าง และมันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาหากได้ยินเสียง…
-
เปิดภาพถ่ายสภาพแวดล้อม ภายในห้องของผู้สูบบุหรี่ กับคราบที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า!!
เชื่อว่าทุกคนคงได้ยินถึงข้อเสียของการสูบบุหรี่มานักต่อนัก ทั้งเรื่องฟันเหลือง ปากดำ รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า กลิ่นเหม็น และอื่นๆ อีกมากมาย แต่อาจจะมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนอาจคิดไม่ถึงถึงผลกระทบว่าจะเป็นอย่างไรหากนักสูบทั้งหลายสูบบุหรี่ในที่อยู่อาศัย หรือในห้องปิด ลองมาดูภาพสิ่งแวดล้อมความเป็นอยู่ของผู้ที่สูบบุหรี่ในห้องดูว่ามีความแตกต่างจากห้องปกติเพียงใด ไปรับชมกันเลย คราบเหลืองๆ ตามผนังไม่ใช่สีทาบ้านแต่อย่างใด… แต่มันคือคราบบุหรี่จากสิงห์อมควันทั้งหลาย หน้าห้องของคนที่สูบบุหรี่มีคราบสีน้ำตาลอย่างเห็นได้ชัด คราบบุหรี่หลงเหลืออยู่บนพื้นพรม ภาพเปรียบเทียบสีผนังของห้องที่สูบและไม่สูบ ทำให้เห็นๆ กันไปเลย น้ำที่เห็นไม่ใช่เพราะสีตกใส่ผ้าม่านแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะบุหรี่ล้วนๆ สีของเพดานในห้องที่เตรียมไว้สำหรับคนสูบบุหรี่ที่สนามบิน ภาพเปรียบเทียบระหว่างผนังสีปกติกับเพดานสีน้ำตาลจากคราบบุหรี่ สิงห์อมควันอาศัยอยู่ในห้องนี้มานานกว่า 25 ปี แล้วดูสภาพห้องสิ… คราบบุหรี่ยังขนาดนี้ กลิ่นมันจะขนาดไหนกันนะ? ผู้เช่ารายหนึ่งสูบบุหรี่อย่างหนักและไม่ยอมทำความสะอาดผนังห้องเลย… มันน่ากลัวมากจริงๆ… แค่ 1 ปี ผนังยังเป็นคราบได้ขนาดนี้ แล้วถ้าสูบบุหรี่มานานกว่านั้นล่ะ ปอดจะขนาดไหน.. ผนังถูกทำความสะอาดได้แต่ปอดแกะออกมาทำความสะอาดไม่ได้นะมนุษย์ อย่าลืมหมั่นดูแลสุขภาพตัวเอง และผู้คนรอบกายด้วยนะ …
-
พิพิธภัณฑ์เผย “ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์” ตอนเพิ่งเกิดอาจตัวเท่าไก่งวง และมีขนเหมือนลูกเจี๊ยบ
เมื่อพูดถึงไดโนเสาร์อย่าง “ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์” หรือ “ทีเร็กซ์” เชื่อว่าหลายๆ คนคงนึกภาพเจ้าไดโนเสาร์อันเป็นเอกลักษณ์จากในภาพยนตร์เรื่อง “จูราสสิค พาร์ค” หรือ “จูราสสิค เวิลด์” ขึ้นมาเป็นเรื่องแรกๆ นั่นเพราะขนาดตัวที่ใหญ่โตและน่าเกรงขามของเจ้าสัตว์ตัวนี้ คงทำให้มีคนหลงรักในความแข็งแกร่งของมันกันเป็นจำนวนมาก ว่าแต่เชื่อกันหรือไม่ว่าแม้แต่เจ้าไดโนเสาร์อย่างทีเร็กซ์เอง ก็มีช่วงเวลาที่ตัวไม่ได้ใหญ่โตกับเขาเช่นกัน เพราะจากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยมาจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน ดูเหมือนว่าทีเร็กซ์นั้นในตอนที่ฟักออกมาจากไข่ใหม่ๆ จะตัวเล็กมาก แถมยังมีขนเหมือนลูกเจี๊ยบด้วย อ้างอิงจากข้อมูลที่ถูกเปิดเผยออกมาในตอนที่ทีเร็กซ์ฟักออกมาจากไข่ในช่วงวันแรกๆ มันจะมีขนาดใกล้เคียงกับไก่งวงเท่านั้น แต่อัตราการเติบโตที่รวดเร็วมากๆ ของมันก็จะทำให้เจ้าทีเร็กซ์จิ๋วเหล่านี้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึงวันละ 3 กิโลกรัมตลอดช่วง 13 ปีแรกของชีวิต นั่นทำให้ในตอนที่มันอายุได้ราวๆ 20 ปี ทีเร็กซ์ที่โตเต็มไวจะมีส่วนสูงถึง 3.6-4 เมตร และหนักระหว่าง 6-9 ตันเลยทีเดียว หนึ่งในทีมนักบรรพชีวินวิทยา Mark Norell บอกว่านอกจากแนวคิดเรื่องทีเร็กซ์ตัวเล็กและมีขนในวัยเด็กแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์ยังพบอีกว่าแขนของทีเร็กซ์จริงๆ แล้วยังมีขนาดที่เล็กกว่าที่เราคาดไว้ในอดีตอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ไปเลยเช่นกัน นั่นเพราะจากรูปแบบกระดูกที่พบ นักบรรพชีวินวิทยาก็เชื่อกันว่ากล้ามเนื้อส่วนแขนของทีเร็กซ์นั้นแข็งแรงกว่าสภาพที่เราเห็นมากพอสมควร ถึงอย่างนั้นก็ตามทีเร็กซ์คงจะไม่จำเป็นต้องใช้แขนของมันสักเท่าไหร่ เพราะเจ้าทีเร็กซ์นั้น มีแรงกัดถึง 34,500 นิวตันซึ่งมากกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในปัจจุบันเลย…
-
เปิดภาพวาด ‘คณิตศาสตร์ทางดนตรี’ การถ่ายทอดความสุนทรีย์ของ John Coltrane
ปกติแล้วในการฟังเพลงนั้น เรามักใช้ประสาทสัมผัสการฟังคือหูเพื่อดื่มด่ำกับศาสตร์ทางดนตรีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงตัวโน้ต เครื่องดนตรี รวมไปถึงเนื้อเพลง อ่านดูแล้วอาจเป็นการยากถ้าจะนำศาสตร์ทางดนตรีมาผสมรวมกับศาสตร์อื่นๆ โดยเฉพาะศาสตร์ทางด้านตัวเลขหรือคณิตศาสตร์ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า John Coltrane สามารถนำสองศาสตร์นี้มาผสมรวมกันได้อย่างลงตัว John Coltrane คือนักแซกโซโฟน นักแต่งเพลง และหัวหน้าวงดนตรีแจ๊สชาวอเมริกัน ผู้ผุดไอเดียการนำดนตรี คณิตศาสตร์ และเรขาคณิตเข้าด้วยกัน ทั้งๆ ที่มันไม่น่าจะเป็นสิ่งที่มาบรรจบพบกันได้ ไอเดียนี้เชื่อว่าเกิดขึ้นในขณะที่จอห์นกำลังร่ำเรียนแนวเพลงอินเดียอย่างลึกซึ้งพร้อมกับศึกษาทฤษฏีบางอย่างของอัลเบิร์ต ไอสไตน์ และนั่นทำให้เกิด “วงกลม” (The Circle) ขึ้นจากการฟังผลงานเพลงของตัวเอง รูปภาพของเขาได้เปิดเผยสู่เพื่อนๆ และอาจารย์ของจอห์นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1967 ภายใต้ชื่อว่า “The Coltrane Circle” หรือ “Coltrane’s Circle of Tones” ผลงานนั้นประกอบไปด้วย วงกลมของลำดับที่ 5 (The Circle of Fifths) ซึ่งจากทฤษฎีทางดนตรีนั้นคือวงกลมที่ประกอบไปด้วยตัวโน้ต สัญลักษณ์ทางดนตรี และระดับเสียงต่างๆ ที่ผู้เรียนศาสตร์ทางด้านดนตรีจะเข้าใจดี อย่างไรก็ตาม…
-
11 เรื่องที่คุณอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับ “โอริโอ้” ก่อนจะมาเป็น “บิด ชิมครีม จุ่มนม” ในทุกวันนี้
“โอริโอ้” คือขนมคุ๊กกี้และครีมที่เชื่อว่าน่าจะเป็นของโปรดของใครหลายคน ด้วยรสชาติที่หวานนุ่มลิ้นจากครีม บวกกับสัมผัสที่กรุบกรอบจากคุ๊กกี้ นอกจากสโลแกน “บิด ชิมครีม จุ่มนม” แล้ว วันนี้เราจะมานำเสนอ 13 เรื่องที่คุณอาจจะยังไม่รู้ เกี่ยวกับขนมที่โด่งดังไปทั่วโลกนี้ 1. โอริโอ้กำเนิดขึ้นในปี 1912 โอริโอ้ถูกผลิตครั้งแรกในปี 1912 โดยบริษัท Nation Biscuit Company (Nabisco) เป็นหนึ่งในสาม “บิสกิตชั้นสูงที่สุด” ที่บริษัทปล่อยออกมาเคียงข้างกับ Mother Goose บิสกิต และ Veronese บิสกิต ภายหลัง บิสกิตทั้งสองแบบได้จากไป แต่โอริโอ้ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน 2. Oreo เป็นทั้งคำนามเอกพจน์และพหูพจน์ ในภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะมีโอริโอ้จำนวนกี่ชิ้น คำว่า Oreo ก็จะไม่เติม s เข้าไป เพราะ Oreo เป็นทั้งคำนาม เอกพจน์ และพหูพจน์ ในโซเชียลหรือเว็บไซต์หลักของโอริโอ้ เราจะเห็นได้ว่าทางแบรนด์เรียกตัวเองว่า “Oreo…
-
รับมือหน้าร้อน!! วิธีดื่มน้ำที่ดี ให้ร่างกายไม่ “ฮีทสโตรก” โรคลมแดดที่อันตรายถึงชีวิต
ผ่านมาเกือบ 1 เดือน หลังจากที่ทางกรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศว่าเข้าสู่หน้าร้อนไปตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประเทศไทยที่มีอากาศร้อนอยู่แล้ว ก็ดูจะร้อนขึ้นไปอีก ชาวกรุงเทพฯ และปริมณฑล อากาศจะร้อนอบอ้าว มีอุณภูมิเฉลี่ยสูงสุดตลอดทั้งฤดูร้อนอยู่ที่ 39 องศาเซลเซียส ขณะที่บางจังหวัด เช่น แม่ฮ่องสอน ลำปาง ตาก หรือกาญจนบุรี คาดว่าอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุด จะขึ้นไปแตะถึง 42-43 องศาเซลเซียสอีกด้วย หน่วยงานหรือสื่อหลายสำนักต่างก็ออกมาบอกวิธีเตรียมตัวรับมือกับอากาศในหน้าร้อน เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น จะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมามากมาย ทั้งปวดหัว ปวดท้อง ท้องเสีย โดยเฉพาะฮีทสโตรก (Heat Stroke) หรือ โรคลมแดด ที่อาจจะมีอันตรายถึงชีวิต ฮีทสโตรก (Heat Stroke) คืออะไร!? ฮีทสโตรก (Heat Stroke) หรือโรคลมแดด เป็นภาวะที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไป จนทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของสมองในส่วนของการควบคุมอุณภูมิของร่างกาย ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส ซึ่งจะส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบสมอง โดยอาการของผู้ที่เกิดภาวะฮีทสโตรก…
-
20 ภาพ ไอเดียเรียบง่าย แต่สามารถใช้งานได้จริง และควรจะมีมาตั้งนานแล้ว!!
ในชีวิตประจำวันของเรานั้นมีหลายอย่างที่เรารู้สึกคุ้นเคยและชินชากับมันจนลืมนึกไปว่าถ้ามีตัวช่วยหรือไอเดียดีๆ ก็อาจทำให้ชีวิตที่แสนจะยากนั้นง่ายขึ้นได้ ลองไปดู 20 ภาพด้านล่างสำหรับสิ่งประดิษฐ์จากความคิดที่แสนเรียบง่ายแต่ใช้ได้จริงเพื่อสิทธิขั้นพื้นฐานและความสะดวกสบายในชีวิตของมนุษย์ ไปชมกันเลย! จุดจอดจักรยานสาธารณะ พร้อมปั๊มเติมลม เปิดโอกาสให้เด็กพิการได้เล่นของเล่นบ้างงง จอดรถให้ตรงช่องมันยากนักใช่มั้ย เขียนเส้นบนกำแพงให้ซะเลย อยากเห็นวิวสำหรับคนตาบอดสี คงต้องตีตั๋วไปที่รัฐเทนเนสซีซะแล้ว ที่สิงคโปร์ ผู้สูงอายุมีเวลาข้ามถนนได้มากกว่าเดิมถึง 10 วิ เพียงแค่แตะบัตร ใช้เท้ากดง่ายกว่าเยอะเลยใช่มั้ยล่ะ ทำไมปกติถึงคิดไม่ถึง… ต้องการผู้ช่วยช้อปปิ้งหรือไม่ สาวๆ เลือกได้เพียงแค่หยิบตะกร้าเลยจ้า กระดาษกราฟในฝันของนักเรียนเคมี กล้วยสุกงอมหอมขนาดนี้ เอาสูตรขนมปังกล้วยหอมไปด้วยเลย ซื้อ 1 ได้ถึง 2! ไอเดียดีๆ รูบิคสำหรับคนตาบอด ต้องลองมาดวลด้วยกันซะแล้ว อย่าลืมติดแผนการอพยพหนีไฟในระดับพื้นดินล่ะ ตอนคลานจะได้ปลอดภัยหายห่วง ก่อนล้างโถต้องล้างมือก่อน เพื่อสุขอนามัยที่ดีของสุภาพบุรุษหลังจากเข้าห้องน้ำนะ ป้ายบอกทางติดกับรถเข็นในสวีเดน หมดปัญหาการหลงและหาโซนสินค้าไม่เจออีกต่อไป น้องหมาจะได้รอเจ้าของข้างนอกซูเปอร์มาเก็ตอย่างสบายอกสบายใจที่เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก แค่สร้างภาพลวงตาก็ป้องกันอุบัติเหตุจากการวิ่งในห้องโถงได้แล้วนะเนี่ย…
-
นักวิทย์พบไวรัสชนิดใหม่ ทำอะมีบาให้กลายเป็นหินได้ คล้ายเมดูซ่าในเทพปกรณัมกรีก
ความสามารถในการทำให้เหยื่อกลายเป็นหินนั้น เป็นหนึ่งในลักษณะพิเศษที่เป็นที่โด่งดังของปีศาจในเทพนิยายอย่าง “เมดูซ่า” และถูกมองว่าเป็นเพียงเรื่องในเทพนิยายที่ไม่น่ามีอยู่จริงมาเป็นเวลานาน แต่แล้วเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง นักวิทยาศาสตร์กลับได้มีการออกมาเปิดเผย การมีตัวตนอยู่ของไวรัสชนิดใหม่ที่มีความสามารถทำให้เหยื่อกลายเป็นหิน ซึ่งอาศัยอยู่ในโคลนจากน้ำพุร้อนที่ประเทศญี่ปุ่น โดยเจ้าไวรัสตัวนี้มักจะอาศัยอยู่ในอะมีบาชื่อ “Acanthamoeba castellanii” และทำให้อะมีบาที่ติดเชื้อพัฒนาผิวชั้นนอกที่หนาและแข็งคล้ายหินขึ้นก่อนที่จะเข้าสู่สภาพหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวที่เรียกว่า “Encystment” อะมีบา Acanthamoeba castellanii นักวิทยาศาสตร์มองว่าความสามารถของไวรัสตัวนี้นั้นคล้ายกับปีศาจมีชื่อในเทพปกรณัมกรีกมาก จึงได้ตั้งชื่อให้ไวรัสดังกล่าวว่า “Medusavirus” ในเวลาต่อมา แต่ความสามารถในการทำให้เหยื่อกลายเป็นหินนั้นไม่ใช่เพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ไวรัสตัวนี้คล้ายกับเมดูซ่า เพราะจากการตรวจสอบรูปร่างของไวรัสเอง นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าไวรัสตัวนี้มีรูปร่างที่น่าสนใจมากเลย นั่นเพราะไวรัสตัวนี้ ไม่เพียงแต่จะมีลักษณะที่ใหญ่กว่าไวรัสทั่วไป (เรียกกันว่าไวรัสยักษ์) แต่มันยังมีหนามที่มีส่วนปลายเป็นทรงกลมจำนวนกว่า 2,600 อันติดอยู่รอบตัวด้วย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เปรียบว่าคล้ายกับงูบนศีรษะของเมดูซ่า และไม่เคยมีการพบมาก่อน ส่งผลให้ไวรัสตัวนี้ถูกเสนอให้จัดหมวดหมู่เป็นไวรัสในตระกูลใหม่ไป รูปจำลองของ Medusavirus เท่านั้นยังไม่พอเพราะยีนหลายตัวของ Medusavirus ยังมีการถูกพบในอะมีบาที่มันอาศัยอยู่อีกด้วย ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีที่ว่าไวรัสตัวนี้น่าจะมีอยู่บนโลกมาตั้งแต่โบราณแล้ว นับว่าโชคดีมากที่ไวรัสตัวนี้ไม่สามารถอาศัยในร่างกายของมนุษย์ได้ และในปัจจุบันเองนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ทำการศึกษาเจ้าไวรัสตัวนี้ต่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยพวกเขาหวังว่าจะสามารถทราบลำดับการวิวัฒนาการของไวรัสตัวนี้ได้ในเร็วๆ นี้ ที่มา livescience และ syfy
-
5 ข้อสังเกตง่ายๆ บ่งบอกได้ว่าคนตรงหน้าของเรานั้น อาจกำลัง “โกหก” เราอยู่
“คำโกหก” เป็นสิ่งที่เราทุกคนมีโอกาสจะได้ยินอยู่ทุกวัน จากงานวิจัยที่ถูกเผยแพร่ในหลายประเทศนั้นกล่าวว่า ในหนึ่งวันเราจะได้ยินคำพูดโกหกจากคนอื่นราวๆ 10-200 ครั้งเลยทีเดียว นอกจากนั้น ในการทำแบบสำรวจกับผู้ใหญ่จำนวน 2,000 คนแล้วพบว่า 4 คำโกหกที่คนเราใช้พูดกับคนรักมากที่สุดก็คือ “ฉันกำลังฟังอยู่”, “ฉันไม่ได้อารมณ์ไม่ดี”, “ฉันดื่มไปแค่แก้วเดียวเอง” และ “ฉันไม่เห็นข้อความที่คุณส่งมา” เรียกว่าชีวิตเราอาจต้องเจอกับคำโกหกเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอดแหละนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว เราจะรู้ได้ไงว่าคนไหนพูดความจริง หรือว่าคนไหนกำลังโกหกเราอยู่? วันนี้ #เหมียวตะปู จึงนำสาระน่ารู้ที่จะทำให้เพื่อนๆ สามารถดูได้ว่าใครอาจกำลังโกหกเราอยู่กันแน่ Robert Phipps ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากาย ได้จับมือกับ Grosvenor Casinos คาสิโนในสหราชอาณาจักร ช่วยกันวิเคราะห์ดูว่าจะมีข้อสังเกตไหนบ้างที่ทำให้เรารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโกหกอยู่ และนี่คือ 5 ข้อสังเกตง่ายๆ ที่ได้จากการวิเคราะห์ของพวกเขา จะมีอะไรบ้างเราลองไปชมกันเลย 1. การแสดงออกทางใบหน้าในชั่วอึดใจ มันคือการแสดงออกเล็กๆ ในช่วงเวลาที่สั้นเอามากๆ ประมาณแค่ 1 ใน 4 วินาทีเลยก็ว่าได้ หากแต่มันคือความรู้สึกที่แท้จริงของคนคนนั้นที่พวกเขาเองก็ไม่อาจควบคุมได้ หากเราสังเกตเห็น เราก็จะรู้ได้ว่าความรู้สึกที่เขาพูดออกมากับความรู้สึกจริงๆ…
-
เว็บนอกแนะนำ 13 ทริกเด็ดๆ สำหรับเปลี่ยน “บ้านหลังน้อย” ให้ดูกว้างขึ้นได้ รู้ไว้ไม่เสียหาย!!
หากว่าเรามีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในบ้านหลังไม่ใหญ่นัก แต่ว่าเราอยากจะมีพื้นที่ให้รู้สึกกว้างมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เราก็อาจจะหาสารพัดวิธีมาแก้ไขถึงจุดด้อยข้อนี้ของบ้านหลังน้อย อย่างเช่นการใช้ไอเดียล้ำๆ เหล่านี้ที่เว็บไซต์ Brightside แนะนำมาว่าบางทีมันอาจมีส่วนช่วยในการประหยัดพื้นที่บ้านของเราได้ ซึ่งจะมีไอเดียอะไรเจ๋งๆ มาให้เราทำตามได้บ้างก็ลองดูกันเล้ย!! 1. โปรดจำไว้ว่าหัวใจสำคัญก็คือการเก็บของให้เข้าที่ ใช้ทุกพื้นที่ให้คุ้มค่ามากที่สุด โปรดจำไว้ว่า “พื้นที่” นี่คือกุญแจไปสู่การมีบ้านที่กว้างขึ้น https://www.instagram.com/p/Bpfyae5lukQ/?utm_source=ig_embed . https://www.instagram.com/p/BtTcrQAhj9Q/?utm_source=ig_embed 2. บางทีโต๊ะใหญ่ๆ ก็อาจจะดูเต็มบ้านเกินไป ถ้าไม่จำเป็นเกินไปล่ะก็อาจใช้แค่โต๊ะกาแฟเล็กๆ ก็เพียงพอแล้ว 3. สำหรับใครที่มีจักรยานก็อาจจะเก็บด้วยวิธีการ ‘แขวน’ เพื่อเป็นการประหยัดเนื้อที่ 4. ถ้วยชามมีไว้ใช้เฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น จะได้ไม่เกะกะ (ส่วนที่ไม่ได้ใช้เป็นประจำ จะไปยัดซ่อนเอาไว้ในตู้ก่อนก็ได้) 5. ใช้การแขวนสิ่งของต่างๆ ตามข้างผนังเพื่อเป็นการใช้พื้นที่ให้มีประโยชน์มากที่สุด . . https://www.instagram.com/p/BsfyJXSBqOQ/?utm_source=ig_embed 6. ลองใช้อุปกรณ์ที่สามารถประยุกต์ใช้งานได้ง่ายอย่างเตียงพับดู 7. ลองใช้ชั้นวางแบบล้อเลื่อนดูสำหรับพื้นที่เล็กๆ 8. จัดวางเครื่องซักผ้าให้เข้าสู่ตำแหน่งที่พอดีกับมัน 9. เปลี่ยนพื้นที่ใต้เตียงให้กลายเป็นที่เก็บของ…
-
นักวิทย์อธิบาย ทำไมบางครั้งเรารู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว มันเกิดจาก “ช่องว่าง” ระหว่างความคิด
เคยสงสัยไหมว่าทำไม เวลาที่ได้ทำอะไรที่ชอบแล้วรู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน และเวลาที่ต้องทำอะไรที่น่าเบื่อ หนึ่งนาทีมันกลับรู้สึกว่านานเป็นปีๆ แน่นอนว่าหลายๆ คนอาจจะมองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ว่าเป็นเรื่องราวของความรู้สึกของมนุษย์เฉยๆ ซึ่งแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ในความจริงแล้วการที่มนุษย์รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเวลามีความสุขนั้นเป็นเรื่องที่มีการอธิบายในทางวิทยาศาสตร์มากกว่าที่เราคิด อ้างอิงจาก Dr. Michael Shadlen นักประสาทวิทยาแห่งศูนย์การแพทย์เออร์วิงของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์กซิตี้ สมองคนเรานั้นจะมี “ช่องว่าง” ในระหว่างความคิดอยู่ เจ้าช่องว่างนี้ทำงานคล้ายกับการเว้นวรรคในหนังสือ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในทุกๆ ประโยชน์หรือทุกๆ ถ้อยคำที่มีการเขียนไว้ ในกรณีที่เรากำลังตั้งใจทำอะไรที่ชอบอยู่สมองจะมองช่องว่างดังกล่าวในภาพรวม คล้ายกับการอ่านหนังสือและหยุดในท้ายย่อหน้า ทำให้ทุกอย่างดูผ่านไปเร็วกว่าในความเป็นจริง ในขณะเดียวกันหากเราทำในสิ่งที่ไม่ชอบสมองจะมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นจุดๆ ไป คล้ายการหยุดอ่านหนังสือในทุกๆ คำที่เขียนไว้ การกระทำเช่นนี้จะทำให้ในช่วงเวลาเท่าๆ กันสมองมีช่องว่างของความคิดมากกว่าเวลาทำสิ่งที่ชอบและทำให้ความรู้สึกด้านเวลาดูนานขึ้นตามไปด้วย แต่นี่ไม่ใช่แค่เหตุผลเดียวที่เรารู้สึกว่าเวลายาวนานไม่เท่ากันในสถานการณ์ต่างๆ กัน เพราะนอกจากเรื่องช่องว่างระหว่างความคิดแล้ว สมองของเรายังใช้เวลาในการประมวลผลสิ่งที่เราควรจะทำแตกต่างกันไปในแต่ละเหตุการณ์ด้วย หากเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยพบมาก่อน สมองจะใช้เวลาในการประมวลผลสถานการณ์นั้นๆ นาน ในขณะที่หากเราทำเรื่องอะไรซ้ำๆ ของเดิมสมองก็จะดึงข้อมูลมาจากประสบการณ์และไม่จำเป็นต้องประมวลผลใหม่ทำให้เวลาในการทำสิ่งเหล่านั้นดูไวกว่าที่เป็นจริงๆ หากจะให้ยกตัวอย่างก็อย่างเช่นการที่เรานั่งรถนานๆ เราอาจจะบ่นในครั้งแรกๆ แต่หลังจากที่ต้องนั่งรถสายนี้ทุกวัน เราก็จะรู้สึกว่าเวลาที่เราใช้นั่งรถมันสั้นลง ทั้งๆ ที่รถก็วิ่งด้วยเวลาเท่าเดิม นี่คือเหตุผลเดียวกับที่คนเรารู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่อายุมากขึ้น ผิดกับตอนเด็กๆ ที่เวลาแต่ละคนมีมันดูยาวนานและมีค่าสุดๆ เลยนั่นเอง…
-
รายงานใหม่เผย พบผู้รับศัลยกรรมเสริมบั้นท้าย ป่วยด้วยโรคมะเร็งเป็นรายแรกของสหรัฐฯ แล้ว
สำหรับเพื่อนๆ ที่ติดตามข่าววงการแพทย์มาอาจจะเคยได้ยินข่าวที่ว่าการผ่าตัดเสริมอกด้วยซิลิโคน (โดยเฉพาะแบบผิวไม่เรียบ หรือ Textured Implants) อาจจะนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็งหายากบางชนิดได้ อ้างอิงจากรายงานขององค์กรอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา ว่าแต่เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่านอกจากการเสริมหน้าอกแล้ว การผ่าตัดเสริมบั้นท้ายเองก็อาจจะสามารถทำให้เราเป็นมะเร็งได้เช่นกัน มะเร็งที่ว่านี้ คือมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่มีเซลล์ใหญ่และโตเร็ว (Anaplastic Large Cell Lymphoma) หรือ ALCL ซึ่งเป็นมะเร็งที่ช่วงปีที่ผ่านมามีผู้ศัลยกรรมหน้าอกเป็นกันมากขึ้นอย่างน่าใจหาย เซลล์ของ ALCL เอาจริงๆ การที่ผู้ศัลยกรรมบั้นท้ายจะเป็นมะเร็ง ALCL เองก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไรเพราะซิลิโคนแบบผิวไม่เรียบที่มีปัญหากันอยู่นั้น มีการใช้งานในการศัลยกรรมบั้นท้ายเช่นกัน ถึงอย่างนั้นก็ตามรายงานล่าสุดที่ออกมาเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2019 ในวารสาร Aesthetic Surgery Journal กลับเป็นรายงานชิ้นแรกของมะเร็ง ALCL ในผู้ศัลยกรรมบั้นท้าย ที่มีการรายงานออกมาเท่านั้น นี่เป็นเรื่องราวของหญิงสาววัย 49 ปี ที่ทำศัลยกรรมบั้นท้ายด้วยซิลิโคนแบบผิวไม่เรียบ ก่อนที่จะเริ่มป่วยและไปพบแพทย์ ในช่วงเวลาราวๆ หนึ่งปีหลังจากการศัลยกรรม โดยผลการตรวจสอบออกมาว่าเธอนั้นมีแผลเป็นหนองในเนื้อเหยื่อบริเวณใกล้ๆ ซิลิโคน และมีมะเร็ง ALCL กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ รวมทั้งปอดเป็น ซึ่งมะเร็ง ALCL นี้เองที่ส่งผลให้คนไข้เสียชีวิตไปในอีกไม่กี่เดือนต่อมา จริงอยู่ว่านี่เป็นเพียงรายงานที่บอกว่ามีผู้ศัลยกรรมบั้นท้ายที่เป็นมะเร็ง ALCL เท่านั้นและไม่ได้เป็นการระบุว่า…
-
10 ทริคดีๆ ที่จะช่วยให้เท้าของเพื่อนๆ สุขภาพดี และชีวิตจะง่ายขึ้นอีกเยอะเลย
หลายๆ คนก็คงมีปัญหากับเท้าอยู่บ้าง ไม่ว่าจะส้นเท้าแตก หรือโดนรองเท้ากัด ใส่ส้นสูงก็เจ็บ เดินเยอะก็เมื่อย วันนี้ #เหมียวม่วง เลยจะเอาทริคเจ๋งๆ 10 อย่างมานำเสนอ เผื่อชีวิตทุกคนจะได้ง่ายขึ้น 1. ถ้าใส่ส้นสูงเป็นประจำล่ะก็ลองติดเทปรัดนิ้วชี้กับนิ้วกลางของเท้าเข้าด้วยกันดู มันจะช่วยให้นิ้วไม่เจ็บมาก 2. พยายามเดินด้วยเท้าเปล่าให้มากเข้า มันจะช่วยให้เท้าได้พักหายใจจากการโดนรองเท้าห่อหุ้ม จะได้มีโอกาสเป็นเชื้อราน้อยลงด้วยนะ 3. ยืดเส้นบริเวณเท้าหลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน ช่วยคลายความตึงเครียดและลดความเจ็บปวดได้ https://www.instagram.com/p/s6Wv5ohmc1/?utm_source=ig_web_copy_link 4. ฉีดแอลกอฮอล์ใส่รองเท้าช่วยปิดรูขุมขนและลดเหงื่อ https://www.instagram.com/p/BsBe6J4njWo/?utm_source=ig_web_copy_link 5. ติดซิลิโคนชิ้นเล็กๆ ไว้ที่พื้นรองเท้า ช่วยให้รองเท้าเกาะพื้น จะได้ไม่ลื่นล้ม 6. แช่เท้าในน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลจะช่วยลดปัญหาเรื่องกลิ่นเท้าได้ 7. พยายามจัดรองเท้าให้เป็นคู่ๆ ห่างๆ กัน จะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคและกลิ่นได้ แถมดูเป็นระเบียบหยิบใช้ง่ายด้วย 8. ถ้ารองเท้ารัดเท้าไปหน่อยล่ะก็ ลองเอาถุงใส่น้ำใส่เข้าไปในรองเท้าแล้วแช่ช่องฟรีซดู มันจะช่วยขยายรองเท้าไปอีกนิดนึง https://www.instagram.com/p/Bh2WZmyn2Av/?utm_source=ig_web_copy_link 9. ขอบหลังรองเท้าชอบเสียดสีกับหลังเท้าจนเป็นตุ่มใช่มั้ย…