Category: สาระรอบตัว
-
แมวอ้วนใครๆ ก็ว่าน่ารัก แต่รู้ไหมว่า…. “คุณกำลังส่งมันไปหาความตายเร็วขึ้น”
เจ้าแมวเหมียวขนปุยสัตว์เลี้ยงแสนรักของใครหลายคน ปกติมันก็น่ารักมากอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะมีความน่าหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย แต่ดูรวมๆ แล้วก็ยังมีเสน่ห์เหลือเกิน แล้วสำหรับบางคน ถ้าเจ้าเหมียวตัวอ้วนกลมก็คงจะยิ่งน่าหมั่นเขี้ยว น่ารัก น่าฟัดยิ่งนัก แต่เพื่อนๆ ที่ศึกษาเรื่องการเลี้ยงสัตว์มาก็คงพอรู้ว่า “ความอ้วน” ในแมวนั้นมันก็อันตรายต่อชีวิตเด็กๆ สี่ขามากพอๆ กับในมนุษย์เลยทีเดียว… การให้อาหารแมวแบบบุฟเฟ่ต์หรือตามใจให้ขนมกินเล่นทุกครั้งที่น้องอ้อน หรือแม้แต่ให้อาหารคนที่มีความเข้มข้นสูงนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคอ้วนในแมวทั้งสิ้น แล้วยิ่งถ้าเจ้าเหมียวเป็นพวกขี้เกียจ ไม่ชอบวิ่งเล่น วันๆ เอาแต่กินๆ นอนๆ ด้วยแล้วล่ะก็มันก็จะยิ่งอ้วนเร็วขึ้นมากเลยทีเดียว เมื่อเจ้าแมวของเราเป็นโรคอ้วนแล้วนั้น อาการที่จะตามมารุกรานสุขภาพของพวกมันก็มีทั้ง โรคเบาหวาน โรคไต ระบบปัสสาวะผิดปกติ รวมถึงพวกเด็กๆ จะเจ็บกระดูกและข้อเพราะรองรับน้ำหนักเยอะ และยังทำให้ต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติด้วย นอกจากนี้ความอ้วนยังทำให้แมวเชื่องช้า ไม่คล่องแคล่วปราดเปรียวตามที่ธรรมชาติของมันควรเป็น โดยรวมแล้วก็จะส่งผลให้แมว “มีอายุขัยสั้นลง” นั่นเอง หากว่าน้องแมวน้ำหนักเกินมาตรฐานไปแล้ว และอยากจะช่วยมันลดน้ำหนักล่ะก็ เพื่อนๆ ควรพามันไปหาคุณหมอเพื่อขอคำแนะนำเรื่องอาหารที่เหมาะสมกับโรคและน้ำหนักตัวของแมว งดให้ขนม หยุดให้อาหารคน เปลี่ยนจากเติมอาหารให้เต็มถ้วยตลอดมาเป็นให้อาหารเป็นมื้อ และกระตุ้นให้น้องออกกำลังกาย มันเป็นเรื่องยากและต้องใช้พลังใจ รวมทั้งความอดทนต่อลูกอ้อนและความอินดี้ของแมวอย่างสูง แต่ถ้าอยากให้เด็กๆ…
-
นักวิทย์พบ หากคนเราไม่มียีนบางตัว เราจะหายจากอาการหลอดเลือดสมองได้ง่ายขึ้น
ถ้าเพื่อนๆ ได้ติดตามข่าวความพยายามในการตัดต่อพันธุกรรมในเด็ก เพื่อสร้างเด็กที่มีความสามารถในการป้องกันโรค HIV เมื่อช่วงปลายปี 2018 เพื่อนๆ อาจจะทราบกันว่าการตัดยีนบางตัวออกไปจากร่างกายของมนุษย์นั้น สามารถสร้างภูมิคุ้มกันเชื้อโรคหลายๆ ตัวได้ นั่นเพราะเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้เอง ทางทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมานำเสนอรายงานชิ้นใหม่ที่ว่า การตัดยีน CCR5 ซึ่งเดิมทีเกี่ยวข้องกับโรค HIV ออกไปจากร่างกายมนุษย์ นอกจะทำให้ภูมิคุ้มกัน HIV ของคนดีขึ้นแล้ว (ตามการผลทดลองในปี 2018) มันยังช่วยให้เราหายจากอาการโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันได้ง่ายขึ้นด้วย งานวิจัยในครั้งนี้นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากการทดลองให้ยา “Maraviroc” (ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วย HIV) ซึ่งมีผลในการหยุดการทำงานของยีน CCR5 กับหนู และพบว่าหนูนั้นมีความสามารถในการควบคุมร่างกายที่ดีขึ้น จริงอยู่ที่ว่าการที่หนูควบคุมร่างกายได้ดีขึ้นก็ใช่ว่ามนุษย์เราจะมีอาการแบบเดียวกัน แต่จากการที่ปกติคนเป็นโรคหลอดเลือดสมองมักจะมีปัญหากับการควบคุมร่างกาย นักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่ายีน CCR5 นั้นอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดสมองก็เป็นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้ทำการทดลองกับคนไข้ที่มีอาการหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน 450 คน โดยที่มีบางส่วนเป็นชาวยิวอัชเคนาซิ (ซึ่งไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอะไรแต่คนเชื่อสายนี้กลับมักจะไม่มียีน CCR5) และพบว่าคนไข้ที่เป็นชาวยิวอัชเคนาซินั้นมีอัตราการฟื้นตัวจากโรคหลอดเลือดสมองเร็วกว่าคนทั่วไปจริงๆ นั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่หากคนเราไม่มียีน CCR5 แล้ว เราจะมีปัญหากับโรคหลอดเลือดสมองน้อยลงจริงๆ และไม่แน่ว่าการตัดยีนบางตัวของมนุษย์ออกไปอาจจะมีผลดีกว่าที่คิดก็เป็นได้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็เป็นหนึ่งในชาวยิวอัชเคนาซิเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ดร.…
-
จีนตัดสิทธิประชาชนกว่า 17.5 ล้านคนไม่ให้ซื้อตั๋วเครื่องบิน เพราะ ‘คะแนนความดี’ ไม่เพียงพอ
เมื่อครั้งยังเป็นนักเรียน หลายคนคงมีประสบการณ์ถูกหักคะแนน ‘ความประพฤติ’ จากการมาโรงเรียนสาย แต่งตัวผิดระเบียบ หรือแหกกฎต่างๆ ของโรงเรียน ที่มีผลต่อการประเมินผลการเรียนของเราในแต่ละเทอม เช่นเดียวกับระบบ Social Credit หรือ คะแนนความดี ในประเทศจีน ที่ตัดคะแนนพฤติกรรมของประชาชนที่ไม่เคารพกฎบ้านเมือง มีผลทำให้ไม่สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินหรือรถไฟความเร็วสูงได้ เมื่อปีที่ผ่านมาชาวจีนกว่า 17.5 ล้านคนถูกตัดสิทธิไม่ให้ซื้อตั๋วเครื่องบิน และอีก 5.5 ล้านคนไม่สามารถซื้อตั๋วรถไฟได้ เนื่องจากคะแนนความดีไม่เพียงพอ สำหรับระบบ Social Credit นั้นประเทศจีนได้เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2014 โดยมีการหักคะแนนความดีจากการฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งการสูบบุหรี่ในที่ต้องห้าม อีกทั้งยังมีการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างระบบจดจำใบหน้าเพื่อช่วยสอดส่องและควบคุมพฤติกรรมของพลเมือง National Public Credit Information Center ยังมีการเผยรายชื่อเพิ่มเติมเกี่ยวกับคนที่อยู่ในบัญชีดำกว่า 169 รายชื่อผ่านทางเว็บไซต์ Credit China โดยคนที่มีรายชื่อปรากฏนั้น จะไม่มีสิทธิ์ในการซื้อตั๋วเครื่องบินหรือรถไฟได้เลยเป็นเวลานาน 1 ปีเต็ม ทั้งนี้ประชาชนบางส่วนยอมรับว่าระบบดังกล่าวจะช่วยให้มีการดูแล ตรวจสอบปัญหาต่างๆ ได้มากยิ่งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แต่ในทางกลับกัน ประชาชนอีกส่วนหนึ่งก็เกิดความกังวลว่า ระบบจะเอื้อให้รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงการใช้ชีวิตประจำวัน…
-
“หญ้าฝรั่น” เครื่องเทศที่แพงที่สุดในโลก ที่อาจหายไปจากอินเดียเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง
สำหรับคนในประเทศไทยที่นับว่ารักเครื่องเทศมากๆ ในระดับหนึ่ง เชื่อว่าคงมีหลายๆ คนที่รู้จักเครื่องเทศอย่างหญ้าฝรั่นกันเป็นอย่างดี เพราะไม่เพียงแต่มันจะใช้เป็นยาและอาหารได้เท่านั้น แต่ตั้งแต่ในอดีตหญ้าฝรั่นก็เคยมีการนำไปใช้เป็นทั้งน้ำย้อมและเครื่องย้อม จนทำให้มันกลายเป็นเครื่องเทศที่มีราคาเป็นอย่างมากไป หญ้าฝรั่นเก็บได้จากดอกหญ้าฝรั่นสมชื่อ โดยจะเป็นการเก็บยอดเกสรเพศเมียสีแดงออกมาจากตัวดอกไม้ออกสีม่วง ซึ่งเชื่อกันว่าถูกใช้ในฐานะเครื่องเทศครั้งแรกๆ ใน อิหร่าน เมโสโปเตเมีย หรือไม่ก็กรีก ก่อนที่จะเผยแพร่ไปทั่วโลกในเวลาต่อมา หญ้าฝรั่นมีกลิ่นฉุนเฉพาะตัวและมีรสค่อนข้างขม มีสรรพคุณในการขับเหงื่อ บำบัดโรคต่างๆ ลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด บรรเทาอาการท้องอืด แถมยังช่วยทำให้เจริญอาหาร ดังนั้นมันจึงมักถูกนำไปทำอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และยุโรปมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ในอินเดียสมัยโบราณหญ้าฝรั่นยังมักจะนำมาย้อมจีวรโดยเหล่าสงฆ์อีกด้วย ทำให้เรียกได้ว่าหญ้าฝรั่นนั้น เป็นเครื่องเทศที่ตลาดค้าขายต้องการอยู่เสมอๆ เลยก็ไม่ผิดนัก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในแคชเมียร์ประเทศอินเดีย หญ้าฝรั่นจะนับเป็นเครื่องเทศที่แพงที่สุด โดยมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ราวๆ กิโลกรัมล่ะ 106,000 บาท เนื่องจากกระบวนการเก็บที่ต้องทำด้วยมือ และเมื่อเก็บแล้วดอกไม้อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการขยายพันธุ์ด้วย ที่สำคัญคือในช่วงหลายปีที่ผ่านมาปริมาณการผลิตหญ้าฝรั่นในแคชเมียร์ยังถือว่าลดลงอย่างน่าใจหายเลยด้วย เพราะจากที่ชาวไร่เคยเก็บหญ้าฝรั่นได้ถึงครั้งละ 400 กิโลกรัมในช่วงปี 2000 ในช่วงปี 2016-2018 ที่ผ่านมา พวกเขากลับสามารถเก็บหญ้าฝรั่นได้เพียง 15 กิโลกรัมเท่านั้น เป็นไปได้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจากการที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ที่อินเดียแทบไม่มีฝนตกเลยก็เป็นได้ และหากปล่อยไว้แบบนี้ หญ้าฝรั่นจากแคชเมียร์ซึ่งนับว่ามีคุณภาพดีที่สุดในโลกก็อาจจะหายไปเลยก็เป็นได้ …
-
นักธรณีพบภูเขาใต้เปลือกโลก สูงกว่าเขาเอเวอร์เรส หลังศึกษาเหตุแผ่นดินไหวในโบลิเวีย
เหตุการณ์แผ่นดินไหวนั้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็มักจะนำมาซึ่งข่าวการสูญเสียที่น่าเศร้าอยู่เสมอ ถึงอย่างนั้นก็ตามการเกิดแผ่นดินไหวเองก็ไม่ได้นำมาแต่เรื่องแย่ๆ เสมอไป เพราะเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในวารสารออนไลน์ “Science” เหล่านักธรณีวิทยาแห่งสถาบันธรณีฟิสิกส์ในประเทศจีนก็ได้ออกมาเปิดเผยการค้นพบครั้งใหม่ ที่เกิดขึ้นได้จากการศึกษาเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในโบลิเวียเมื่อปี 1994 นี่เป็นการค้นพบว่าที่ใต้เปลือกโลกของเรานั้น มีชั้นเคมีที่ไม่ต่อเนื่อง ซึ่งมีลักษณะคล้ายภูเขาขนาดใหญ่ ที่มีความสูงมากกว่าภูเขาเอเวอร์เรส ซ่อนอยู่ข้างใต้เปลือกโลกนั่นเอง โดยเจ้าภูเขาใต้ดินที่ว่านี้อยู่ลึกลงไปใต้ดินราวๆ 660 กิโลเมตร ในช่วงรอยต่อระหว่าง “ชั้นแมนเทิล” หรือ “เนื้อโลก” ส่วนบน และส่วนล่าง ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตรวจสอบโดยไม่มีเหตุการณ์ทางธรรมชาติมาช่วย อย่างไรก็ตามเมื่อมีการคำนวณคลื่นสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหวที่โบลิเวีย ซึ่งเกิดขึ้นจากชั้นโลกในบริเวณใกล้เคียงพอดี นักธรณีวิทยาก็สามารถบอกได้ว่าที่ใต้ดินนั้นมีอะไรบางอย่างขนาดใหญ่อยู่ จริงอยู่ที่ว่าการจะคำนวณขนาดของภูเขาที่อยู่ใต้ดินอย่างชัดเจนนั้นเป็นไปได้ยากมากๆ แต่ Jessica Irving หนึ่งในทีมวิจัยก็บอกว่าหากคำนวณจากแรงสั่นสะเทือนแล้ว ก็เป็นไปได้มากเลยที่ภูเขาลูกนี้จะมีขนาดใหญ่มากกว่าภูเขาเอเวอร์เรส และเผลอๆ จะเป็นภูเขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยพบมาเลย เธอยังบอกอีกว่า กว่าที่จะทราบว่ามีภูเขาลูกนี้อยู่ใต้ดินได้ พวกเธอก็ต้องอาศัยแผ่นดินไหวที่มีขนาดถึง 8.2 ริกเตอร์ และการจะคำนวณขนาดภูเขาก็จะต้องอาศัยการศึกษาแผ่นดินไหวที่มีขนาดใหญ่อีกหลายครั้งเลย อย่างไรก็ตามการวิจัยในครั้งนี้ก็ช่วยให้มนุษย์เราเรียนรู้เรื่องการกำเนิดของผิวโลกเมื่อพันล้านปีก่อนได้เป็นอย่างดี และในอนาคตเองเราก็อาจจะค้นพบความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับลักษณะพื้นดินใต้โลกอีกก็เป็นได้ ที่มา thesun,…
-
เผยเคล็ดลับ “อายุยืน” จากชายอายุกว่า 114 ปี ด้วยการทานอาหาร 5 อย่างเหล่านี้!!
บ่อยครั้งที่ได้ยินว่า “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” เพราะใครๆก็อยากมีสุขภาพดี อายุยืนยาวกันทั้งนั้น จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) อายุเฉลี่ยของคนเราอยู่ที่ 72 ปี ซึ่งบางคนคงมองว่าเป็นตัวเลขที่ไม่สูงเท่าไร เราจึงขอเสนอเคล็ดลับจากชายอายุยืนคนนี้ Bernando LaPallo ชายอายุ 114 ปี เกิดในปี 1901 และเสียชีวิตในปี 2015 ซึ่งเมื่อตอนที่เขามีชีวิตอยู่ก็มักจะถูกถามอยู่เป็นประจำว่า “คุณกินอะไรเข้าไป คุณก็ได้อย่างนั้น” ในทุกๆ มื้ออาหารที่เขาทานจึงประกอบไปด้วยผักออแกนิกและผลไม้ และวัตถุดิบอื่นๆ อีกห้าอย่างดังต่อไปนี้ 1. อบเชย นอกจากอบเชยใช้เป็นเครื่องเทศแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาที่ใช้ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และลดโอกาสในการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ รวมถึงเชื้อ HIV ด้วย แหล่งที่มา: healthline 2. ช็อกโกแลต การรับประทานช็อกโกแลตช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีได้ เพราะช็อกโกแลตช่วยลดคอเลสเตอรอล ทำให้ความจำดี และลดความตึงเครียดได้ แหล่งที่มา: medicalnewstoday 3. น้ำผึ้ง น้ำผึ้งเป็นอาหารจากธรรมชาติที่มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อ ต้านฤทธิ์ของแบคทีเรีย และช่วยชะลอความแก่ จึงมีการนำน้ำผึ้งมาใช้ในเครื่องสำอางหลายประเภท…
-
นักวิทย์ไขปริศนา วิดีโอเอาองุ่นผ่าครึ่งไปอุ่นตู้ไมโครเวฟแล้วเกิดพลาสม่า
เคยเอาองุ่นผ่าครึ่งแบบยังมีเปลือกติดกัน ไปอุ่นตู้ไมโครเวฟกันไหม นี่เป็นวิดีโอที่โด่งดังในโลกอินเทอร์เน็ตอยู่ช่วงหนึ่ง โดยหลังจากที่ไมโครเวฟเริ่มทำงานได้ช่วงหนึ่ง ที่ระหว่างองุ่นทั้งสองจะเกิดประกายพลาสมาขึ้น สร้างความแปลกใจให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ในเวลานั้น หลายๆ คนเชื่อกันว่าเหตุการณ์ที่เห็นนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับองุ่นที่ใช้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้องุ่นพ่นพลาสม่าได้แบบนี้ แต่แล้วเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ก็ได้มีนักวิทยาศาสตร์ออกมาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้โลกได้รู้กันจนได้ นี่เป็นผลการศึกษาที่ได้มาจากการทดลองอุ่นไมโครเวฟวัตถุหลายชนิด เช่นองุ่น ลูกปัดไฮโดรเจล หรือไข่นกกระทาที่มีการเติมน้ำลงไปด้วยกล้องความเร็วสูง และกล้องตรวจจับความร้อน เพื่อศึกษาปฏิกิริยาที่น้ำมีต่อคลื่นไมโครเวฟ ผลที่ออกมาคือหากสิ่งที่น้ำไปอุ่นนั้นมีขนาดและปริมาณน้ำภายในใกล้เคียงกับองุ่น ของเหล่านั้นก็จะเกิดพลาสม่าได้ เช่นเดียวกับองุ่นเลย นั่นเพราะขนาดและปริมาณน้ำที่ใกล้เคียงกับองุ่นเหล่านี้มีความเหมาะสมมากพอที่จะดักความยาวของคลื่นไมโครเวฟไว้ได้พอดี ดังนั้นหากมีของในรูปแบบนี้สองชิ้นวางติดกันอยู่ คลื่นไมโครเวฟก็จะใช้จุดที่เชื่อมกันในการกระโดดข้ามไปมา ทำให้จุดเชื่อมต่อได้รับภาระหนัก จนร้อนขึ้นและระเบิดออกมาเป็นพลาสม่าอย่างที่เห็น แน่นอนว่าการที่ต้องการพื้นที่เชื่อมต่อกันแบบนี้ก็จะทำให้ผลไม้เพียงลูกเดียวไม่สามารถพ่นพลาสม่าออกมาได้ และต่อให้ไม่มีเปลือกเป็นจุดเชื่อมก็ตาม ขอแค่วัตถุดังกล่าววางติดกัน และมีคุณสมบัติที่เหมาะสม มันก็จะมีโอกาสเกิดพลาสม่าได้ถึง 60% นอกจากองุ่นแล้ว บลูเบอร์รี่ ระฆังทอง มะกอก และมะเขือเทศบางชนิดเองก็สามารถพ่นพลาสม่าได้เช่นกัน …
-
นักชีววิทยาพบผึ้งยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกครั้ง หลังเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 1981
ไม่แน่ว่าปี 2019 อาจจะเป็นทองของการค้นพบทางชีววิทยาเลยก็เป็นได้ เพราะแม้ว่าจะเริ่มต้นปีมาได้เพียงสองเดือนมนุษย์เราก็พบว่าจริงๆ แล้ว สัตว์ที่เราเชื่อว่าสูญพันธุ์นั้น แท้จริงแล้วยังมีชีวิตอยู่ถึงสองชนิด โดยไม่นานมานี้เองชีววิทยาก็เพิ่งจะมีการค้นพบเต่ายักษ์เฟอร์นาดินาบนหมู่เกาะกาลาปาโกส ที่เชื่อว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 1906 มาแบบสดๆ ร้อน (อ่านข่าวนี้ได้ที่ พบเต่ายักษ์เฟอร์นาดินาบนหมู่เกาะกาลาปาโกส หลังเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 1906) แต่แล้วเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักชีววิทยาของก็ได้ออกมาประกาศการค้นพบผึ้งยักษ์ที่เชื่อกันว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 1981 อีกครั้ง ภายในป่าใหญ่ของประเทศอินโดนีเซีย นี่เป็นผึ้งยักษ์ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Megachile Pluto ผึ้งยักษ์ที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าผึ้งทั่วไปถึง 4 เท่า โดยตัวที่มีการค้นพบนั้นมีความยาวถึง 3.5 ซ.ม. และความกว้างปีกถึง 6.4 ซ.ม. เรียกได้ว่าเป็นผึ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ไม่ผิดนัก ผึ้งดังกล่าวถูกค้นพบครั้งแรกโดยนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ Alfred Russel Wallace ในปี 1858 ก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยในปี 1981 และถูกพบอีกครั้งโดยทีมนักชีววิทยาชาวอเมริกาและออสเตรเลียในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ข่าวการค้นพบในครั้งนั้นทำให้ช่างภาพนามว่า Clay Bolt รู้สึกสนใจมาก เขาจึงได้นำทีมออกไปสำรวจป่า เพื่อตามถ่ายภาพผึ้งยักษ์ตัวนี้ให้ประชาชนได้มีโอกาสชมกัน อย่างที่เห็นว่าจุดเด่นของผึ้งตัวนี้ไม่ได้อยู่แค่ที่ขนาดตัวของมันเท่านั้น แต่มันยังมีส่วนหัวที่คล้ายกับด้วงกว่าง สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นมาก…
-
พบเต่ายักษ์เฟอร์นาดินาบนหมู่เกาะกาลาปาโกส หลังเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 1906
หากเราพูดถึงสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ตามปกติเราจะคิดว่าสัตว์ที่กล่าวถึงนั้นจะไม่สามารถหาได้บนโลกอีกต่อไปแล้ว และไม่ว่าจะทำเช่นไรสัตว์เหล่านี้ก็คงไม่อาจย้อนคืนมาได้ง่ายๆ ถึงอย่างนั้นก็ตามที่ผ่านๆ มามนุษย์เรากลับพบว่าในหลายๆ ครั้งการที่สัตว์ตัวใดตัวหนึ่งถูกระบุว่าสูญพันธุ์ไปนั้น บางครั้งอาจจะเกิดขึ้นเพียงเพราะมนุษย์หามันไม่เจอเฉยๆ ก็เป็นได้ อย่างเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาเอง จู่ๆ เจ้าหน้าที่กระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกาใน หมู่เกาะกาลาปาโกสแห่งประเทศเอกวาดอร์ ก็ได้ออกมาประกาศว่าเต่ายักษ์เฟอร์นาดินา (Chelonoidis phantasticus) ที่เราเชื่อกันว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 1906 นั้น จริงๆ แล้วยังมีชีวิตอยู่บนเกาะเฟอร์นาดินาเสียอย่างนั้น โดยการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ของกาลาปาโกสได้พบกับเต่าตัวเมียตัวหนึ่งซึ่งเดินทางกลับมายังเกาะเพื่อผสมพันธุ์ตามสัญชาตญาณ เท่านั้นยังไม่พอในบริเวณเกาะเอง เหล่านักวิจัยยังพบร่องรอยของเต่าตัวอื่นๆ ที่คาดกันว่ามาจากสายพันธุ์เดียวกันอีกด้วย ทำให้การค้นพบในครั้งนี้นับว่าเป็นข่าวใหญ่สำหรับเหล่านักอนุรักษ์เลยก็ว่าได้ ในอดีตเต่ายักษ์เฟอร์นาดินา ถูกสันนิษฐานกันว่าสูญพันธุ์ไปจากการระเบิดของภูเขาไฟบนเกาะ ที่เกิดขึ้นบนเกาะอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม การค้นพบนี้ได้ทำลายความคิดที่ว่าเต่ายักษ์เฟอร์นาดินาได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 100 กว่าปีก่อนได้เป็นอย่างดี แถมการที่มันกลับมาผสมพันธุ์ยังทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่ว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นเต่ายักษ์เฟอร์นาดินากลับมาอยู่ในธรรมชาติเป็นจำนวนมากอีกครั้งด้วย ในปัจจุบันทางทีมงานที่เกี่ยวข้องได้ทำการย้ายเต่าตัวเมียที่ถูกพบไปไว้ยังเกาะซานตาครูซเพื่อดูแลอย่างใกล้ชิดก่อนเป็นการชั่วคราว เพื่อที่หากว่าเจ้าหน้าที่สามารถพบเต่ายักษ์เฟอร์นาดินาตัวผู้ พวกมันจะได้มีการสืบพันธุ์อย่างปลอดภัยต่อไป และหากความพยายามในการสืบพันธุ์ครั้งนี้จบลงด้วยดี ทางทีมงานก็หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้เต่าเหล่านี้หลุดพ้นจากสถานะที่ใกล้สูญพันธุ์เป็นอย่างมากต่อไป ที่มา allthatsinteresting
-
พบนกคาร์ดินัลสองสีที่สหรัฐ มีร่างกายครึ่งหนึ่งเป็นตัวเมีย และอีกครึ่งหนึ่งเป็นตัวผู้
นกคาร์ดินัลแดง เป็นนกที่พบเห็นได้ทั่วไปทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา มีจุดเด่นที่สีแดงสด และขนบนหัวตั้ง ตามปกติจะแยกเพศได้ง่ายจากการที่ตัวผู้มีสีแดงสด ในขณะที่ตัวเมียจะมีสีออกน้ำตาล อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้เอง ที่เมืองอิรี รัฐเพนซิลเวเนีย หญิงสาวคนหนึ่งกลับพบกันนกคาร์ดินัลสุดแปลก ที่มีสีตัวซีกขวาแดง และตัวซีกซ้ายสีน้ำตาลเสียอย่างนั้น หญิงสาวคนดังกล่าวนี้มีชื่อว่า Shirley Caldwell ผู้ซึ่งบังเอิญถ่ายภาพนกตัวนี้ได้ในช่วงเช้าของฤดูหนาว เพียงแต่ในเวลานั้นเธอไม่ได้ทราบเลยว่านกตัวนี้มีความพิเศษมากกว่าแค่ที่สีของมัน นั่นเพราะจากคำบอกเล่าของผู้เชี่ยวชาญด้านนกวิทยาเจ้านกตัวนี้ไม่แค่มีขนสองสีแบ่งครึ่งตัวอย่างน่าประหลาดเท่านั้น แต่มันยังเป็นนกในกลุ่มที่เรียกว่า “Bilateral Gynandromorphs” หรือนกที่มีเพศครึ่งหนึ่งเป็นตัวเมีย ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งเป็นตัวผู้นั่นเอง ที่เป็นเช่นนี้เพราะโครโมโซมของนกนั้นแตกต่างไปจากมนุษย์ เพราะแทนที่จะเป็นโครโมโซม X กับ Y นกนั้นจะใช้โครโมโซม W กับ Z หากนกมีโครโมโซม ZZ นกจะเป็นตัวผู้ และหากโครโมโซม ZW นกจะเป็นตัวเมีย นั่นหมายความว่าสำหรับนกแล้ว ไข่จากฝั่งเพศเมียที่มีโครโมโซม ZW จะเป็นตัวกำหนดเพศของลูกนก ซึ่งต่างไปจากมนุษย์ที่ใช้สเปิร์มกำหนดเพศนั่นเอง และกลุ่มอาการ Bilateral Gynandromorphs ก็จะเกิดขึ้นจากการที่ไข่ของนกบังเอิญมีโครโมโซม W กับ Z อยู่ทั้งคู่ และทางสเปิร์มเองก็มีโครโมโซม…
-
หญิงแชร์วิธีจัดการความเศร้า ที่ไม่มีวันหายไป ด้วยทฤษฎี ‘ลูกบอลในกล่อง’
การสูญเสียใครสักคนที่เรารักไป จะทำให้เกิดความทุกข์และความเศร้าโศกเกิดขึ้นและติดอยู่ในใจของเราไปอีกยาวนาน เช่นเดียวกันกับ Lauren Herschel หญิงสาวผู้เคยสูญเสียแม่ไป แต่เธอมีวิธีจัดการกับความเศร้าด้วยทฤษฎี ‘ลูกบอลในกล่อง’ ที่หมอของเธอได้สอนเอาไว้เพื่อรับมือหลังจากเสียแม่ไป Lauren ตัดสินใจที่จะแบ่งปันทฤษฎีของตนเอง หลังจากได้ไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำให้เธอนึกถึงคุณยายวัย 92 ปีของเธอ ที่กำลังจะกลายเป็นโรคสมองเสื่อม และทำให้เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าแม่ของเธอได้ตายไปแล้ว เธอพบว่าทฤษฎีนี้ช่วยให้เข้าใจมากขึ้นว่า ‘ความเศร้าจะไม่มีวันหายไป’ เพราะมันจะฝังอยู่ข้างในเหมือนเพลงเก่าๆ ที่ชอบ หรือเมื่อได้กลิ่นหรือรสชาติ ที่กระตุ้นให้ความทรงจำเก่าๆ กลับมาทำให้รู้สึกเจ็บปวดอีกครั้ง Lauren กล่าวเริ่มว่า “หน้าตาของความเศร้าเป็นแบบนี้ มีกล่องที่มีลูกบอลอยู่ข้างใน พร้อมกับปุ่มความเจ็บปวด” . “เริ่มแรกลูกบอลจะเป็นลูกใหญ่ คุณไม่สามารถเคลื่อนย้ายกล่องโดยที่ลูกบอลจะไม่ไปโดนกับปุ่มความเจ็บปวดได้” “มันกลิ้งไปรอบๆ ด้วยตัวของมันเอง และจะโดนปุ่มความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า คุณควบคุมมันไม่ได้ มันเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา บางครั้งมันก็ไม่ปรานีเรา” . “เมื่อเวลาผ่านไป ลูกบอลจะหดเล็กลง มันเริ่มโดนปุ่มน้อยลงเรื่อยๆ แต่มันจะเจ็บมากเมื่อไหร่ที่ไปโดนเข้า” “คุณจะรู้สึกดีขึ้นเพราะชีวิตต้องก้าวต่อไป แต่รูปข้างล่างแสดงให้เห็นว่า ลูกบอลอาจจะสุ่มไปโดนปุ่มความเจ็บปวดในเวลาที่คุณคาดไม่ถึงได้เสมอ” . …
-
ความอัศจรรย์ของ “พายุกวางเรนเดียร์” ทักษะการป้องกันตัว เพื่อเอาตัวรอดจากการถูกล่า
พวกเราอาจเคยรู้จักกับเจ้า “กวางเรนเดียร์” แค่เพียงในบทบาทของการเป็นสัตว์พาหนะให้แก่ “ซานตาคลอส” แต่ในความเป็นจริงนั้น สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ยังมีความสามารถพิเศษที่พวกเราหลายๆ คนอาจไม่รู้กันมาก่อน กวางเรนเดียร์ ความสามารถพิเศษที่ว่านั้นถูกถ่ายทอดผ่านสารคดีที่ชื่อว่า Wild Way of the Vikings ของสถานีโทรทัศน์ PBS ในสหรัฐอเมริกา โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของ “ชาวไวกิ้ง” ในช่วงคริสต์ศักราช 1000 พวกเขาได้พากันไปถ่ายทำถึงประเทศนอร์เวย์ สถานที่ที่เชื่อว่าชาวไวกิ้งเคยใช้ชีวิตอยู่ในที่แห่งนั้นกันมาก่อน โดยจะมีนักแสดงคนหนึ่งสวมบทบาทเป็นชาวไวกิ้ง ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางหิมะ เทปที่ถูกฉายออกมาในวันที่ 13 ก.พ. 2019 เผยให้เห็นวิธีการออกล่าสัตว์ที่ยากลำบาก เมื่อนักแสดงผู้รับบทเป็นชาวไวกิ้งนั้นต้องเจอกับ “ทักษะการป้องกันตัว” ของฝูงกวางเรนเดียร์ เขาง้างธนูเตรียมยิงออกไป จนเมื่อปล่อยลูกธนูออกไปแล้ว เหมือนว่าเหยื่อจะรับรู้ถึงอันตราย พวกมันเริ่มวิ่งไปในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา กลายเป็น “พายุกวางเรนเดียร์” อย่างที่เห็นนี้ นี่อาจถือว่าเป็นภาพที่หาชมได้ยากของพวกเราหลายๆ คน แต่มันคือสัญชาตญาณการป้องกันตัวเองของเหล่ากวางเรนเดียร์ เพื่อไม่ให้เหล่านักล่าสามารถบุกเข้ามาทำร้ายพวกมันได้ งานวิจัยในปี 2002…
-
รูป “ลูกอัณฑะ” แมลงวันผลไม้กลายเป็นที่กล่าวถึง เนื่องจากเหมือนกลุ่มดาวในอวกาศ
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในทวิตเตอร์ของ Ben Walsh นักชีววิทยา นักศึกษาปริญญาเอก แห่งภาควิชาวิวัฒนาการ นิเวศวิทยา และพฤติกรรมสิ่งมีชีวิต ของมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษได้ทำการโพสต์รูปภาพรูปหนึ่งและกลายเป็นที่กล่าวถึงกันในหมู่ผู้พบเห็นบนโลกอินเตอร์เน็ตไป โดยนี่เป็นภาพที่หากดูเผินๆ จะคิดว่าเป็นภาพสีน้ำสวยๆ หรือว่ากลุ่มดาวในอวกาศได้ไม่ยาก แต่เชื่อหรือไม่ว่าจริงๆ แล้ว ภาพที่เห็นนี้เป็นภาพ “ลูกอัณฑะ” ของแมลงวันผลไม้หรือ “Drosophila melanogaster” ต่างหาก สิ่งที่เรากำลังดูอยู่นี้เกิดจากการที่คุณ Ben Walsh ใช้สีเรืองแสงกับแมลงวันผลไม้ที่ถูกชำแหละ เพื่อตรวจสอบอวัยวะภายใน และถูกถ่ายภาพเก็บไว้ด้วยการใช้มือถือส่องผ่านกล้องจุลทรรศน์อีกที เขาอธิบายว่าส่วนสีเหลืองที่เราเป็นส่วนผนังเนื้อเยื่อของลูกอัณฑะ ส่วนเมฆสีฟ้าที่เราเห็นมาจากน้ำอสุจิ ซึ่งหากสังเกตดีๆ เราจะสามารถเห็นส่วนหัวของตัวอสุจิจำนวนมากจากภายในภาพได้เลย เมื่อนำลูกอัณฑะแต่ละลูกมายืดออก มันจะมีขนาดถึง 2 มิลลิเมตร ซึ่งแม้ว่าจะดูเล็ก แต่ถ้าเทียบกับขนาดของแมลงวันผลไม้เองแล้ว ลูกอัณฑะเหล่านี้ก็มีขนาดเท่าๆ กันความยาวของร่างกายมันเองเลย เท่านั้นยังไม่พอเพราะอสุจิ ของแมลงวันผลไม้นั้น ยังนับว่ามีความยาวมากที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์รู้จักเลยด้วย แม้ว่าในปัจจุบันเราจะยังไม่ทราบว่าทำไมมันถึงต้องมีอสุจิตัวยาวขนาดนั้นก็ตาม “ไม่แน่นะว่าจริงๆ แล้วจักรวาลของพวกเราอาจจะอยู่ในลูกอัณฑะของแมลงวันต่างมิติก็ได้นะ” ผู้ใช้ทวิตเตอร์ Alex Grimaudo…
-
แชมป์โยโย่เล่าประสบการณ์ “ไม่มีเลือดไปเลี้ยง” บริเวณนิ้วชี้ จนต้องรับการรักษา
David Schulte หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dazzling Dave เขาคืออดีตแชมเปี้ยนการแข่งขันโชว์ท่วงท่าลีลาการเล่น “โยโย่” (Yo-Yo) กวาดรางวัลมาแล้วมากมายหลายรายการ David แชมป์โยโย่ ฉายา Dazzling Dave แม้เขาอาจจะไม่ค่อยได้ขึ้นเวทีการแข่งขันแล้ว แต่ David ก็ได้ถูกพูดถึงอีกครั้ง หลังจากที่ในช่วงปี 2019 มีคนไปขุดเจอ “ภาพเอกซเรย์มือขวาของเขา” เหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่ามันน่าสนใจกว่ามือขวาของใครหลายๆ คนก็คือ ภาพจากการตรวจวินิจฉัยหลอดเลือด (ด้วยการฉีดสีเข้าหลอดเลือดและเอกซเรย์ดูการไหลเวียน) พบว่าบริเวณปลายนิ้วชี้ของเขากลับไม่มีเลือดไปเลี้ยงเลย?! ภาพเอกซเรย์มือขวาของ David David จึงได้ออกมาอธิบายภาพที่เราเห็นกันนี้ว่ามันคืออาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการเล่นโยโย่ซ้ำๆ ทุกวัน ติดต่อกันมานานหลายปี เขาเล่าว่าอาการบาดเจ็บดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นในปี 2005 ในช่วงนั้นเขาเป็นอาจารย์สอนเด็กๆ ตามโรงเรียน เกี่ยวกับการเล่นโยโย่นี่แหละ โดยเขามักจะต้องเล่นมันแทบจะติดต่อกันนาน 8-12 ชั่วโมงในแต่ละวัน David เริ่มสังเกตถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับ “นิ้วชี้มือขวา” คือในเวลาที่มือเริ่มเย็น ตรงส่วนของนิ้วชี้มักจะเย็นก่อนส่วนอื่นๆ เสมอ หลังจากนั้น 1…
-
การทดลองใหม่เผย เราอาจค้นพบสสารประมาณ 33% ที่หายไปจากจักรวาล อยู่ในใยเอกภพ
ในตอนที่นักวิทยาศาสตร์คำนวณสสารทั้งหมดที่มีอยู่ในอวกาศ พวกเขาพบว่าปริมาณที่ได้ออกมานั้นมันมากกว่าที่เราเคยคาดเอาไว้ ซึ่งนั่นหมายความว่าในจักรวาลยังมีสสารอีกมากที่ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งที่มนุษย์คาดไม่ถึง โดยหากให้คำนวณเป็นตัวเลขแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็บอกว่ายังมีสสารอีกประมาณ 33% ของจักรวาล ที่มนุษย์ไม่รู้ว่าหายไปไหน หรือว่ามีตัวตนอยู่จริงๆ หรือไม่ แต่แล้วจากเทคโนโลยีระบบสแกนใหม่ล่าสุด ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่าเราน่าจะพบกับสสาร 33% ที่หายไปจากจักรวาลแล้ว ก่อนอื่นต้องบอกไว้ก่อนว่าสสารที่หายไปนี้ ไม่ใช่ “สสารมืด” หรือ Dark matter อันเป็นสสารที่ลึกลับที่มองไม่เห็นแต่มีตัวตนอยู่ กลับกันสสารที่หายไปนี้เป็นเพียงสสารธรรมดาๆ เพียงแค่มนุษย์หามันไม่พบก็เท่านั้น นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง ดาวเทียมสำรวจ Chandra X-ray Observatory ของนาซาได้ทำการสแกน กลุ่มก้อนแก๊สในใยเอกภพ (Filament) บริเวณใกล้ เควซาร์ H1821+643 และพบว่าในกลุ่มแก๊สที่พบนั้นมีออกซิเจนปริมาณมากซ่อนอยู่ ซึ่งที่ผ่านๆ มาเราไม่เคยนำมาคำนวณในการหาสสารของจักรวารเลย นี่เป็นการทดลองที่เกิดขึ้นจากทฤษฎีที่ว่าในใยเอกภพ โครงสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในจักรวาล ซึ่งที่ผ่านๆ มายากที่จะตรวจสอบนั้น น่าจะมีสสารซ่อนอยู่อีกเป็นจำนวนมาก และได้มีการตีพิมพ์ออกมาในนิตยสาร The Astrophysical เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานี้ อ้างอิงจากในรายงาน หากลองคาดการกลุ่มก้อนแก๊สในรูปแบบนี้ทั้งหมดในจักรวาลแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ามีความเป็นไปได้ที่แก๊สเหล่านี้จะมีปริมาณมากพอที่จะทดแทนสสาร 33% ที่หายไปเลย แต่แม้ว่าการค้นพบครั้งนี้จะดูเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากๆ ก็ตาม ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงต้องการการตรวจสอบความถูกต้องของทฤษฎีที่ว่านี้อีกมาก…
-
16 ภาพอันน่าพิศวง ราวกับว่าถ่ายมาจากดาวดวงอื่น จริงๆ แล้วอยู่บนโลกเรานี่แหละ!!
เป็นธรรมชาติของมนุษย์เมื่อพบเจอสิ่งที่แปลกใหม่ต่างจากที่เคย บางคนจะเกิดความกลัว ไม่อยากเข้าใกล้ อย่างเช่น สิ่งมีชีวิตแปลกๆ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่เกิดขึ้นบ่อย หรือเรื่องลี้ลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้ โชคดีที่มีบางคนที่เกิดความสงสัย และมันนำไปสู่การแสวงหาคำตอบจนสามารถเอาชนะความกลัวได้ แต่ถึงอย่างนั้นโลกของเราก็ยังคงมีเรื่องราวอันน่าพิศวงอีกมากมาย ที่พอได้เห็นภาพแล้วก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันอยู่บนดาวดวงนี้!? สำหรับวันนี้ #เหมียวฝึกหัดหมายเลข23 จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมภาพอันน่าพิศวงจากเว็บไซต์ Brightside ที่รวบรวมความแปลกและน่าทึ่งของธรรมชาติมาให้เราได้ชมกัน จะเป็นอย่างไรลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… มังกรตัวเล็ก สัตว์ที่รูปร่างคล้ายมังกรนี้เป็นกิ้งก่าสายพันธุ์ Mexican Alligator ที่พบได้ยากในปัจจุบัน เพราะมีการตัดไม้ทำลายป่าและล่ามันแบบผิดกฎหมาย กาเผือก ปกติแล้วกาจะเป็นสีดำ แต่กาเผือกตัวนี้พบที่หาด Qualicum ในแคนนาดา เมื่อสิบปีที่แล้วกาเผือกสองตัวได้ให้กำเนิดลูกของมัน จึงมีให้เห็นอยู่ในทุกวันนี้ ปรากฏการณ์มหัศจรรย์บนท้องฟ้า ปรากฏการณ์นี้เกิดจากแสงที่สะท้อนจากเกล็ดน้ำแข็ง และเมฆที่ลอยตัวสูง ทำให้เกิดภาพเหมือนเปลวเทียน สายตาอำมหิตของไคจู นักดำน้ำบังเอิญพบเจอเจ้าแมวน้ำที่กำลังดำอยู่ใต้แผ่นน้ำแข็ง การสลายตัวของเปลือกผีเสื้อทะเล (หอยติดปีก) ในน้ำ สิ่งมีชีวิตที่รูปร่างคล้ายหอยนี้เรียกว่าหอยติดปีก หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าผีเสื้อทะเล ที่เปลือกของมันจะสลายตัวหายไปกับน้ำภายใน 45 วัน ขึ้นอยู่กับปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำ บ่อน้ำสีฟ้าเข้ม เป็นบ่อน้ำที่อยู่ในเมือง Ywan Ngan รัฐฉาน…
-
7 เหตุผล ‘ตามหลักวิทยาศาสตร์’ ที่จะมาบอกว่า ‘การเป็นโสด’ มันก็ดีเหมือนกันนะ!!
หลังจากผ่านวันวาเลนไทน์ไปหมาดๆ บางคนอาจจะแอบอิจฉาคนมีคู่อยู่นิดๆ ที่ได้มีโอกาสแสดงความรักในวันพิเศษแบบนี้ เราจึงอยากบอกกับเหล่า ‘คนโสด’ ว่าไม่ต้องน้อยใจไป เพราะความโสดนั้นไม่ได้แย่อย่างที่คิด สำหรับวันนี้ #เหมียวฝึกหัดหมายเลข23 ขอเสนอบทความดีๆ จากเว็บไซต์ Insider ถึง 7 เหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ที่จะทำให้คุณมองว่า โสดแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ!! 1. ความโสดทำให้เรามีเวลาคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ในบางครั้งเราก็ต้องการเวลาเพื่อให้โอกาสตัวเองได้ตั้งคำถามว่า เราเป็นใครและเราต้องการอะไร โดยความสัมพันธ์ในครั้งก่อนๆ จะทำให้เกิดการเรียนรู้เพื่อรับมือกับสิ่งใหม่ตามแนวคิด ‘Repetion Compultion’ หรือที่เรียกว่าการเรียนรู้หลังความเจ็บปวดนั่นเอง 2. คนโสดทำให้สุขภาพดีมากยิ่งขึ้น จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Marriage and Family พบว่าคนโสดหลายคนมีความกระตือรือร้นในการออกกำลังกายมากกว่าคนมีคู่ ทำให้คนโสดมีสุขภาพดี 3. คนโสดมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเพื่อน ใน Journal Contexts พบงานวิจัยที่ว่าด้วยความโสด ทำให้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัวมากกว่าคนแต่งงานแล้ว อาจจะเป็นเพราะคนโสดมีเวลาให้กับพวกเขาเหล่านั้นมากกว่า 4. คนโสดบริหารเงินเก่ง บ่อยครั้งที่เราได้ยินว่าคนโสดเก่งเรื่องเงินๆ ทองๆ เว็บไซต์ debt.org ได้เปิดเผยแล้วว่ามีคนโสดเป็นหนี้บัตรเครดิตเพียงร้อยละ 21 น้อยกว่าคนที่แต่งงานแล้วที่เป็นหนี้ถึงร้อยละ…
-
หญิงเดินหาดพบ ‘ไข่ปลาฉลาม’ เกยตื้นแถมยังมีชีวิตอยู่ เลยพามันกลับสู่ธรรมชาติ
ในโลกอันแสนกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ยังมีเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์อีกมากมายที่เราอาจจะไม่เคยพบเห็น ซึ่งบางครั้งเราอาจจะพบเจอมันได้โดยบังเอิญ เช่นเดียวกับคุณแม่วัย 34 ปีคนนี้ ที่พบกับ ‘ไข่ปลาฉลาม’ ขณะเดินเล่นอยู่ริมชายหาด หลายคนอาจจะจินตนาการไม่ออกว่าหน้าตาของไข่ปลาที่ว่า จะเป็นอย่างไร วันนี้ #เหมียวฝึกหัดหมายเลข23 จะขออาสาพาทุกคนไปชมพร้อมๆกัน! คลิปวิดีโอเหตุการณ์ เรื่องราวต่อไปนี้เกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ในขณะที่คุณแม่ Karissa Otero ได้พาลูกน้อยออกไปเดินเล่นบนชายหาดในรัฐแคลิฟอร์เนีย เธอก็ได้พบเข้ากับ ‘ไข่ปลาฉลาม’ ถูกพัดขึ้นมาเกยตื้นบนฝั่ง เมื่อสังเกตดูดีๆ แล้ว คุณแม่คนนี้ก็พบว่าตัวอ่อนข้างในยังมีชีวิตอยู่เลย และมันก็ดิ้นไปมาในขณะที่ยังมีสายอาหารเชื่อมต่อกับไข่แดงอยู่ ดูราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากนอกโลกยังไงอย่างงั้นเลย!! เอาล่ะมาถึงเรื่องสาระน่ารู้กันสักหน่อยโดยปกติแล้ว ปลาฉลามจะมีการปฏิสนธิภายในและไม่ได้วางไข่เหมือนสัตว์ทั่วไป ซึ่งหน้าตาของไข่ปลาฉลามแต่ละฟองจะมีความแตกต่างกัน ปลาฉลามบางสายพันธุ์จะวางไข่ไว้ในตัวเองและฟักลูกออกมาภายหลังเพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของลูกๆ เราจึงไม่มีโอกาสพบเห็นไข่ปลาฉลามบ่อยนัก แต่ปลาฉลามบางสายพันธุ์ก็จะวางไข่ในติดกับวัตถุใต้น้ำ แล้วปล่อยให้ไข่ฟักเองตามธรรมชาติ ในรูปแบบของแคปซูลหรือกระเป๋านางเงือก (Mermaid’s purses) อย่างที่คุณแม่คนนี้พบเจอนั่นเอง! คุณแม่คนนี้จึงถ่ายวิดิโอไข่ปลาฉลามดังกล่าวไว้ก่อนที่ปล่อยมันสู่ท้องทะเลตามธรรมชาติ และวิดิโอดังกล่าวก็ได้รับความสนใจจากชาวเน็ตเป็นอย่างมาก เพราะบางคนไม่เคยเห็นมันมาก่อน ทำให้มีผู้ชมถึง 845,000 ครั้ง หลายคนคงเห็นแล้วว่าธรรมชาติสร้างความสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ มากมายและยังมีอีกหลายเรื่องราวที่เราไม่เคยรู้ ที่มา: dailymail, australiangeographic
-
ชาวสวนตกใจ กับ ‘แอปเปิ้ลผี’ น้ำแข็งรูปแอปเปิ้ลที่เกาะอยู่บนต้น จากเหตุลมวนขั้วโลกเหนือ
อย่างที่รู้กันดีว่าเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาประเทศสหรัฐอเมริกา ต้องเผชิญกับภัยอากาศหนาวอย่างสุดขั้ว โดยมีสาเหตุมาจากปรากฏการณ์ Polar Vortex หรือ ‘ลมวนขั้วโลกเหนือ’ นั่นเอง จากปรากฏการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้อุณหภูมิในบางพื้นที่ลดต่ำลงแบบชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งอุณหภูมิต่ำสุดจะอยู่ที่ -45 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว ทำให้ประชาชนทั้งหลายต่างก็ตื่นเต้นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก รวมไปถึงหนุ่มเจ้าของสวนแอปเปิ้ลรายนี้ด้วย ที่บังเอิญได้เจอกับเหตุการณ์สุดแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นเพราะสภาพอากาศอันหนาวเหน็บ เรื่องมีอยู่ว่า ในขณะที่ Andrew Sietsema เจ้าของสวนแอปเปิ้ลในรัฐมิชิแกนกำลังทำงานอยู่ในสวนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง เนื่องจากปรากฏการณ์ลมวนขั้วโลกเหนือ เขาก็ได้พบกับน้ำแข็งรูปทรงประหลาด คล้ายกับผลแอปเปิ้ล!? เขาจึงเรียกก้อนน้ำแข็งนี้ว่า ‘แอปเปิ้ลผี’ พร้อมกับถ่ายภาพอัปโหลดลงทวิตเตอร์สร้างความแตกตื่นให้กับบรรดาชาวเน็ตมากมาย Andrew เล่าว่า “โดยปกติแล้วแอปเปิ้ลจะหล่นลงไปที่พื้นหลังจากหมดช่วงฤดูเก็บเกี่ยว แต่บางลูกที่มันไม่ร่วงลงไปก็จะกลายเป็นน้ำแข็งรูปแอปเปิ้ล (แอปปเปิ้ลผี) แบบที่เห็นในรูปนี้แหละ” ซึ่ง Andrew ยังบอกอีกว่าก้อนน้ำแข็งที่เกิดขึ้นสามารถพบเจอได้ในสวนอีกหลายแห่งที่ยังไม่มีการเก็บเกี่ยวพืชผลในช่วงฤดูหนาว อย่างไรก็ตามทางด้านนาย James Wong นักพฤกษศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ก็ออกมากล่าวว่าภาพเหล่าเหล่านี้อาจจะเป็นเพียงการสร้างกระแสก็เป็นได้ เพราะเขาไม่เชื่อว่าแอปเปิ้ลจะเน่าหรือตกลงมาโดยที่เป็นน้ำแข็งแบบนั้น มันดูเจ๋งกว่าที่จะเป็นเรื่องจริง “ผมบอกไม่ได้ว่ามันคือเรื่องจริง แต่หากผู้เชี่ยวชาญคนไหนพิสูจน์ได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือเกิดขึ้นได้ยากขนาดไหน ผมก็ยินดีจะรับฟังนะ” ทางด้าน Sietsema ผู้ชำนาญการทำสวนจากมหาวิทยาลัยรัฐมิชิแกน ได้กล่าวในทำนองเดียวกันว่า…
-
นักวิจัยพบ “ฉลาม” อายุกว่า 512 ปี ขึ้นบัญชี “สัตว์มีกระดูกสันหลังที่อายุมากที่สุดในโลก”!!
“ปลาฉลามกรีนแลนด์” (Greenland Shark) คือปลาฉลามกินเนื้อขนาดใหญ่ รองจากปลาฉลามขาว แต่ด้วยการที่มันอาศัยอยู่ในระดับความลึกกว่า 2,000 ฟุตนับจากผิวน้ำ จึงไม่ค่อยถูกพบเห็นและเป็นที่รู้จักมากนัก เพราะอย่างนั้นเอง นักวิจัยจึงยังคงพยายามตามหาเพื่อทำการศึกษาเกี่ยวกับมันให้มากกว่าเดิม จนกระทั่งพวกเขาได้ไปเจอกับปลาฉลามสายพันธุ์นี้ที่มีความยาว 18 ฟุต (ราว 5.5 เมตร) อายุยืนถึง 512 ปี!! เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ทีมนักวิจัยจากหลากหลายประเทศได้ร่วมทำการสำรวจและค้นพบปลาฉลามตัวดังกล่าวบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของปลาฉลามสายพันธุ์นี้ และล่าสุดในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2019 Julius Nielsen นักชีววิทยาทางทะเล หนึ่งในทีมวิจัย ได้ศึกษาและตรวจสอบเกี่ยวกับอายุของปลาฉลามที่พวกเขาพบ จนทำให้รู้ว่ามันน่าจะถือกำเนิดขึ้นมาในปี 1505 นั่นหมายความว่าปลาฉลามกรีนแลนด์ตัวที่พบนี้อาจมีอายุไม่ต่ำกว่า 512 ปีเลยทีเดียว ถือว่าสูงกว่าที่เหล่านักวิจัยเคยคาดคะเนเกี่ยวกับอายุขัยของปลาฉลามกรีนแลนด์ทั่วๆ ไปซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 400 ปี โดยการวิเคราะห์อายุของปลาฉลามตัวดังกล่าวนั้น พวกเขาได้ใช้วิธีการวิเคราะห์ตามแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ศึกษาบริเวณเลนส์แก้วตาและกระจกตา ดูความสอดคล้องกันของขนาดตัว จากการใช้วิธีการเหล่านั้น ทำให้ปลาฉลามกรีนแลนด์ตัวนี้มีอายุอย่างน้อย 272 ปี แต่จากการศึกษาลักษณะอื่นๆ เพิ่มเติมแล้วมันมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีอายุถึง…
-
นักวิทยาศาสตร์พบ “ยาลดความอ้วน” สามารถทำให้ยุงไม่อยากอาหารและกัดคนน้อยลงได้
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ในชีวิตนี้ก็คงจะต้องเคยพบกับปัญหายุงกัดกวนใจบ้างสักครั้ง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เหล่านักวิทยาศาสตร์จะหาวิธีที่จะไล่ยุงหรือทำให้ยุงไม่กัดคนกันมาเป็นเวลานาน แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้เองทีมนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยร็อกกีเฟลเลอร์ในสหรัฐฯ ก็สามารถคิดวิธีไล่ยุงด้วยวิธีแปลกๆ อย่างการใช้ “ยาลดความอ้วน” กับยุงเพื่อให้ยุงไม่อยากอาหารและไม่มากัดคนได้สำเร็จเสียอย่างนั้น โดยการทดลองไล่ยุงในครั้งนี้ ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Cell และเกิดขึ้นจากการที่ทีมนักวิจัยให้น้ำเกลือผสมยาลดความอยากอาหาร ซึ่งเป็นยาลดความอ้วนจากสารเคมีชนิดหนึ่ง ให้แก่ยุงสายพันธุ์ Aedes aegypti ซึ่งเป็นยุงที่เป็นพาหะโรคไข้เลือดออกในอเมริกาใต้และแอฟริกา Leslie Vosshall หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า ทีมวิจัยเชื่อว่ายาลดความอยากอาหารอาจจะทำให้ยุงตาย หรือไม่มีผลเลย จึงเริ่มการทดลองแบบขำๆ แต่กลายเป็นว่ายุงที่ได้รับยาชนิดนี้เข้าไป กลับเกิดการเบื่ออาหารขึ้นมาจริงๆ และแทบไม่ย่อมดูดเลือดมนุษย์เลย ทำให้การทดลองขำๆ กลายเป็นผลงานที่มีการตีพิมพ์ไป และแม้ว่าว่าการใช้ยาชนิดนี้ในการไล่ยุงในพื้นที่กว้างโดยตรงจะเป็นไปไม่ได้จริง เนื่องจากอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนของยาลดความอ้วนในสิ่งแวดล้อม แต่ทีมนักวิจัยก็มีแนวคิดจะที่หาทางออกเอาไว้แล้วเหมือนกัน นั่นเพราะจากการวิเคราะห์ยุงที่ใช้ในการทดลอง ทีมงานก็พบว่าในยุงนั้นจะมียีนที่ชื่อ NPYLR7 ซึ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อยาที่ได้รับอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อมีการตัดต่อเอายีนตัวนี้ออกจากยุง ยาลดความอ้วนก็จะไม่มีผลกับยุงตัวดังกล่าวอีกต่อไป นั่นหมายความว่าหากเราสามารถหาทางที่จะกระตุ้นยีน NPYLR7 ในยุงและไม่มีผลกับคนได้ เราก็จะสามารถทำให้ยุงไม่รู้สึกอยากอาหารและกัดคนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดนั่นเอง ที่มา theatlantic, thenakedscientists, bbc และ nature
-
สื่อนอกบอกวันสิ้นโลกใกล้เข้ามาแล้ว หลังสหรัฐฯ และรัสเซียถอนสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์
ในวันที่ 24 มกราคมปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สมาชิกคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และความมั่นคงของ จดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ (Bulletin of the Atomic Scientists) หรือ BAS ได้ทำการปรับ “Doomsday Clock” นาฬิกาวันสิ้นโลกเชิงสัญลักษณ์ ที่เปรียบกับการนับถอยหลังมหันตภัยทั่วโลกเข้าสู่ภาวะ “ใกล้เที่ยงคืน” นี่นับเป็นการปรับนาฬิกาที่สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงขั้นสูงสุดตั้งแต่ที่เคยมีมาในช่วงสงครามเย็น และเตือนให้โลกเห็นว่าเราเข้าใกล้เข้าสู่การล่มสลายจากนิวเคลียร์มากถึงเพียงใด ดังนั้นหลายๆ คนคงจะคิดกันว่าในเวลานี้ผู้คน (โดยเฉพาะเหล่าผู้นำประเทศ) น่าจะเข้าใจถึงอันตรายของสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันกันเป็นอย่างดีแล้ว แต่แล้วในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทั่วโลกก็ต้องรู้สึกกังวลอย่างหนักอีกครั้งเมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศฉีกสัญญาข้อตกลงนิวเคลียร์กับรัสเซีย ทั้งที่มีการออกมาปรับนาฬิกาวันสิ้นโลกได้เพียงไม่นาน สัญญาข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ถูกประกาศว่าจะฉีกในครั้งนี้ เดิมทีแล้วเกิดขึ้นจากความพยายามในการยุติความกดดันเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ในสมัยสงครามเย็นของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนของสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีมีฮาอิล เซียร์เกเยวิช กอร์บาชอฟของรัสเซีย (ที่ในเวลานั้นยังเป็นโซเวียต) โดยนี่เป็นสัญญาที่ระบุไว้ว่าทั้งสหรัฐฯ และโซเวียตจะต้องมีการหยุดผลิตหรือใช้งานอาวุธนิวเคลียร์ และขีปนาวุธที่มีระยะตั้งแต่ 500-5,500 กิโลเมตรทั้งหมด ซึ่งมีการลงนามกันมาตั้งแต่ วันที่ 8 ธันวาคม 1987 แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นได้รับการตอบรับโดยการฉีกสัญญากลับจากฝั่งรัสเซีย และกลายเป็นเหตุการณ์ที่สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักออกมาบอกว่าเป็นภัยต่อความปลอดภัยของโลก (โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรป)…
-
นาซาเผย “Ultima Thule” แท้จริงแล้วไม่ได้กลมอย่างที่คิด แต่แบนเหมือนแพนเค้กต่างหาก
หากยังจำกันได้เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ยาน “New Horizons” ของนาซาก็ได้บินผ่าน “Ultima Thule” วัตถุที่อยู่ไกลที่สุดเท่าที่เคยมีการสำรวจมาในระบบสุริยะ (อ่านข่าวเก่าได้ที่นี่ ชม “Ultima Thule” วัตถุรูปร่างคล้ายสโนว์แมนที่อยู่ไกลที่สุดเท่าที่เคยสำรวจมาในระบบสุริยะ) ในเวลานั้นภาพที่ออกมาทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนคิดว่าเจ้า Ultima Thule จะต้องมีรูปร่างกลมๆ เหมือนน้ำเต้า หรือไม่ก็สโนว์แมนเป็นแน่ แต่กลายเป็นว่าเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมนักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าแท้จริงแล้ว Ultima Thule อาจไม่ได้มีรูปร่างอย่างที่เราคิด นั่นเพราะเมื่อนักวิทยาศาสตร์ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้มาจากยาน New Horizons พวกเขาก็พบว่าภาพของ Ultima Thule ที่มาจากยานนั้น มีแสงสะท้อนบริเวณมุมที่คมผิดกับแสงเงาที่จะโผล่ขึ้นมาบนวัตถุทรงกลม ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงคาดกันว่า รูปร่างจริงๆ ของ Ultima Thule น่าจะมีสภาพแบนคล้ายกับแพนเค้กไม่ใช่ทรงกลมสองอันต่อกันอย่างที่เคยมีการประกาศออกมาก่อนหน้า การที่รูปร่างของ Ultima Thule เปลี่ยนไปจากที่คิดเช่นนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์พบกับคำถามใหม่ที่ว่าวัตถุรูปร่างแบบนี้เกิดขึ้นในอวกาศได้อย่างไร เพราะที่ผ่านๆ มา วัตถุที่มีรูปร่างค่อนข้างซับซ้อนเช่นนี้ไม่เคยมีการพบมาก่อนในการสำรวจระบบสุริยะเลย และก็อย่างที่เคยมีการรายงานไว้ว่าข้อมูลเหล่านี้ยังไม่ใช่ข้อมูลทั้งหมดที่มีการส่งมาจากยาน New Horizons ดังนั้นภายใน 20 เดือนข้างหน้าเราก็อาจจะได้ข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับ Ultima…
-
ผู้เชี่ยวชาญบอก ที่เด็กร้องไห้บนเครื่องบิน เพราะมีปัญหาการปรับความดันในหูมากกว่าผู้ใหญ่
เชื่อว่าคนที่ต้องเดินทางด้วยเครื่องบินอยู่บ่อยๆ อาจจะเคยพบกับปัญหาเด็กเล็กร้องไห้บนเครื่องบินกันมาบ้าง จริงอยู่ว่าไม่ใช่เด็กทุกคนที่จะร้องไห้บนเครื่องบิน แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมากที่หากเราพบเด็กเล็กบนเครื่อง เด็กเหล่านั้นจะต้องร้องไห้บนเครื่องบินแน่ๆ ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเด็กเล็กถึงร้องไห้บนเครื่องบิน สำหรับเรื่องนี้หลายๆ คนอาจจะมีเหตุผลในหัวของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเพราะเด็กกลัวเสียงของเครื่องบิน เด็กหูอื้อ หรือไม่ก็ ความรู้สึกตอนเครื่องขึ้นทำให้เด็กไม่สบายตัว ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าจากคำบอกเล่าของ Dr. Simon Baer ที่ปรึกษาศัลยแพทย์หูคอจมูกของอังกฤษแล้ว ที่เด็กเล็กร้องไห้บนเครื่องบินอาจมีเหตุผลเบื้องหลังที่น่าสนใจกว่าที่เราคิดก็ได้ นั่นเพราะในขณะที่เด็กที่โตขึ้นมาหน่อยและผู้ใหญ่อาจจะรู้สึกหูอื้อเวลาที่เครื่องบินขึ้น เด็กเล็กกลับมีปัญหากับการปรับความดันในหูมากกว่าผู้ใหญ่มากเนื่องจากท่อยูสเตเชียนของเด็กเล็กยังไม่มีการพัฒนาที่เต็มที่เหมือนผู้ใหญ่ Dr. Simon บอกว่า แม้เราจะไม่ทราบว่าเด็กเล็กรู้สึกแบบไหนเวลาความกดอากาศเปลี่ยน แต่เด็กเล็กก็น่าจะมีปัญหากับความดันในหูมากกว่าแค่การหูอื้อของผู้ใหญ่ ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะถึงขั้นที่เด็กๆ รู้สึกเจ็บ และอาจแก้ไม่ได้ด้วยการกลืนน้ำลายก็ได้ เขายังบอกอีกว่าตามปกติอาการหูอื้อของคนจะเกิดขึ้นกับตอนที่เครื่องบินขึ้นมากกว่าลง ซึ่งเป็นเหตุผลให้เด็กบางคนร้องไห้เฉพาะเวลาเครื่องขึ้น นับว่าโชคดีมากที่อาการปรับความดันในหูไม่ทันของเด็กเล็กสามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่งโดยอาศัยหลักการที่ว่าท่อยูสเตเชียนจะสามารถเปิดออกได้โดยการเคี้ยว หาว หรือกลืนน้ำ หากเครื่องบินกำลังจะขึ้น ผู้ปกครองสามารถให้เด็กดูดนมจากขวดนม หรือหน้าอกโดยตรง (จุกหลอกก็ใช้ได้นะ) เพื่อให้ท่อยูสเตเชียนเปิดในระหว่างความกดอากาศเปลี่ยน และป้องกันความดันในหูไม่ปกติในเด็กได้ อย่างไรก็ตามวิธีนี้อาจจะไม่สำเร็จเสมอไป และแม้ว่าจะจัดการปัญหาความกดอากาศเปลี่ยนได้ เหตุผลที่เด็กคนหนึ่งจะร้องไห้ก็อาจจะไม่ได้มาจากความดันในหูเท่านั้น ดังนั้นสุดท้ายแล้วความสามารถในการปลอบโยนเด็กของผู้ปกครองจึงยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ครั้งหน้าที่เพื่อนๆ เห็นเด็กร้องไห้บนเครื่อง ก็ขอให้คิดว่าเด็กๆ เหล่านั้นอาจจะมีปัญหาของเครื่องบินมากกว่าผู้ใหญ่แบบเราๆ…
-
เมื่อมีงานวิจัยบอกว่า “การสังหารหมู่ชนพื้นเมืองอเมริกัน” ในศตวรรษที่ 16 ทำให้โลกเย็นลง
แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ก็ตาม แต่เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในระหว่างการล่าอาณานิคมช่วงศตวรรษที่ 16 ชาวยุโรปได้สังหารชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาไปเป็นจำนวนมาก และกลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่สำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษย์ แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงกับสภาวะของโลกในสมัยนั้น ทั้งในการปกครองพื้นที่ สังคม วัฒนธรรม แถมจากงานวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ดูเหมือนว่าชาวยุโรปจะสังหารชนพื้นเมืองอเมริกันไปเยอะมาก จนอุณหภูมิของโลกเย็นลงเลย อ้างอิงจาก Alexander Koch ผู้นำการวิจัยในครั้งนี้ การสังหารหมู่ชนพื้นเมืองนั้นรุนแรงมากพอที่จะทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศลดลงเป็นอย่างมาก จนส่งผลให้อุณหภูมิของโลกโดยรวมตกลง จากการคาดการ การสังหารหมู่ในครั้งนั้นได้ทำให้ชาวพื้นเมืองอเมริกันเหลือเพียง 5-6 ล้านคนจากตอนแรกมีถึง 60 ล้านคน ภายในเวลา 100 ปี ดังนั้นหากคำนวนตามพื้นที่ที่มนุษย์ใช้อาศัย พื้นที่ที่เคยมีคนอยู่ราวๆ 560,000 ตารางกิโลเมตรจะถูกทิ้งร้างจนกลับไปเป็นผืนป่าอีกครั้ง และต้นไม้ในป่าเหล่านี้เองที่ดูดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากอากาศจนทำให้บริมาณคาร์บอนไดออกไซด์บนโลกลดลงไปราวๆ 7-10 ppm เลย (เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ในปัจจุบันถ่านหินที่เราเผาเพื่อเป็นพลังงานจากทั่วโลกจะทำให้คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นราวๆ ปีล่ะ 3 ppm) นั่นหมายความว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นทำให้โลกที่ในช่วงศตวรรษที่ 15-18 ค่อนข้างเย็นอยู่แล้ว (จากภาวะยุคน้ำแข็งน้อย) มีสภาพที่เย็นมากยิ่งขึ้นไปอีก แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่มนุษย์สามารถทำกับโลกได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามงานวิจัยที่ออกมานี้ยังคงถูกมองจากนักวิทยาศาสตร์หลายๆ ฝ่าย ว่ามีการกล่าวอ้างที่เกินจริงอยู่บ้าง และยังคงต้องมีการหาหลักฐานมายืนยันทฤษฎีเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวิจัยดังกล่าว …
-
สหรัฐฯ รายงานพบ “โรคกวางซอมบี้” ในพื้นที่ 26 รัฐทั่วประเทศ กังวลอาจติดต่อสู่คนได้
ในช่วงเดือนมกราคมปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ได้มีรายงานการพบกวางติดโรคประหลาดที่ทำให้กวางมีนิสัยก้าวร้าวผิดปกติในพื้น 26 รัฐของสหรัฐอเมริกา และถูกเรียกกันด้วยชื่อเล่นว่า “โรคกวางซอมบี้” โรคประหลาดที่ว่านี้ถูกเรียกกันในทางวิทยาศาสตร์ว่า “Chronic Wasting Disease” หรือ “CWD” ซึ่งโรคติดต่อทางระบบประสาทที่จะเล่นงานสมอง ไขสันหลัง และเนื้อเยื่ออื่นๆ ในสัตว์จำพวกกวาง CWD ได้ชื่อเล่นมาจากการที่เมื่อกวางติดเชื้อนี้จะมีอาการคล้ายซอมบี้ที่เห็นกันบ่อยๆ ในภาพยนตร์ โดยมันจะมีอาการมึนงง น้ำลายไหลไม่หยุด น้ำหนักลด เดินโซเซ นิสัยก้าวร้าวมากขึ้น หวาดกลัวพวกพ้อง กระหายน้ำรุนแรง สุขภาพย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะตายไปในที่สุด ในปัจจุบันทางผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าโรคกวางซอมบี้ที่ระบาดในครั้งนี้เกิดขึ้นจากอะไร อย่างไรก็ตามพวกเขาเชื่อกันว่าโรคนี้อาจเกิดขึ้นจาก “พรีออน” โปรตีนขนาดเล็กที่มีชื่อเสียงจากการก่อโรควัวบ้าในวัว โรคครอยตส์เฟลดต์-จาค็อบในมนุษย์ และโรคทางสมองอื่นๆ ที่ติดต่อได้อื่นๆ หรืออาจมาจากแบคทีเรียชื่อ Spiroplasma ที่มักนำมาซึ่งโรคในพืช (ที่เป็นอาหารของกวางอีกที) จริงอยู่ว่าโรค CWD จะเคยมีการค้นพบมาตั้งแต่เมื่อ 40 ปีก่อนแล้ว แต่ที่ผ่านๆ มา โรคที่พบนี้ก็ไม่เคยที่จะมีการระบาดรุนแรงขนาดนี้มาก่อน ดังนั้นการรระบาดที่เกิดขึ้นจึงทำให้ทางศูนย์การควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (US Centers for…
-
ศิลปะสะเทือนสังคม สัตว์ 7 ชนิดใกล้สูญพันธุ์ แต่ละชนิดเหลือเพียงรถไฟ 1 ตู้เท่านั้นเอง..
“สัตว์ใกล้สูญพันธุ์” คือสิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดบนโลกของเรา ซึ่งจำนวนที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ นั้นอาจเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อม การถูกล่า หรืออาจเป็นฝีมือของมนุษย์เราเอง พูดไปแล้วก็น่าใจหายแต่เพื่อนๆ หลายคนก็อาจยังมองไม่เห็นภาพว่าพวกมันมีจำนวนเหลือน้อยมากขนาดไหน งั้นเราลองไปดูการเปรียบเทียบจากสถิติของ สหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) Mona Chalabi ศิลปินผู้นำเอาสถิติดังกล่าวมาสร้างเป็นภาพประกอบเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งจำนวนของสิ่งมีชีวิตทั้ง 7 ชนิดนี้ถือว่าเหลือน้อยมากจริงๆ จำนวนของแต่ละชนิดนั้นสามารถยัดใส่ “ตู้รถไฟได้ไม่เกิน 1 ตู้” ว่าแล้วเราก็ลองไปดูจำนวนอันน่าเศร้าของพวกมันกันเลย แรดชวา (Javan Rhinos) เหลือเพียง 63 ตัวทั่วโลก เสือดาวอามูร์ (Amur Leopards) เหลือเพียง 60 ตัวทั่วโลก Oryx Dammahs (สัตว์สกุลโอริกซ์) เหลือเพียง 50 ตัวทั่วโลก Christmas Island Gecko (ลักษณะคล้ายตุ๊กแก) เหลือเพียง 43 ตัวทั่วโลก Burmese…
-
แผนที่สามมิติใหม่เผย กาแล็กซีทางช้างเผือกไม่ได้แบน แต่มีสภาพโค้งงอคล้ายตัว S ต่างหาก
เมื่อพูดถึงรูปร่างของกาแล็กซีทางช้างเผือก เชื่อว่าในความคิดของหลายๆ คนอาจจะนึกถึงภาพของกาแล็กซีรูปก้นหอยที่มีสภาพแบนราบคล้ายแผ่น CD จากภาพที่เห็นกันบ่อยๆ ตามสื่อต่างๆ แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง เหล่านักดาราศาสตร์ก็ได้ออกมาบอกว่าจริงๆ แล้วกาแล็กซีทางช้างเผือกไม่ได้แบนราบคล้ายแผ่น CD อย่างที่เราคิด แต่มีสภาพโค้งงอคล้ายตัว S ในภาษาอังกฤษต่างหาก นี่เป็นข้อมูลที่ถูกเปิดเผยออกมาพร้อมๆ กับแผนที่สามมิติชิ้นใหม่ล่าสุดของกาแล็กซีทางช้างเผือก ที่สร้างขึ้นภายใต้ความร่วมมือของทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแม็กควอรีในออสเตรเลีย และหอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์แห่งชาติในประเทศจีน โดยเจ้าแผนที่สามมิติชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นโดยการวัดระยะทางจากโลกไปยังดาวแสงเซฟีด (Cepheid variable) ดาวที่มีความสว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ จำนวน 1,339 ดวงทั่วกาแล็กซี เพื่อใช้ระยะทางที่ได้ในการคำนวณขนาดและรูปร่างที่แท้จริงของกาแล็กซีทางช้างเผือก การทำเช่นนี้ทำให้แผนที่ตัวใหม่ล่าสุดที่ออกมาได้รับการชื่นชมจากนักดาราศาสตร์หลายรายว่าเป็นแผนที่กาแล็กซีทางช้างเผือก ที่มีความแม่นยำมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลย ทางนักวิทยาศาสตร์ได้บอกว่า การที่ขอบนอกของกาแล็กซีทางช้างเผือกมีสภาพโค้งงอเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติมากเมื่อเทียบกับกาแล็กซีอื่น และแสดงให้เห็นถึงตัวแปรบางอย่างที่มนุษย์ไม่เคยคาดถึง ซึ่งอาจจะเป็นการกระจายตัวของ “Dark Matter” สสารในจักรวาลที่เรามองไม่เห็นแต่รู้ว่ามีอยู่ หรือแรงเหวี่ยงมหาศาลจากใจกลางกาแล็กซีก็เป็นได้ ที่มา astronomy, bbc, earthsky และ theguardian
-
พบแม่เหล็กชนิดใหม่ในยูเรเนียม สลับสถานะเร็วกว่าปกติ เชื่อใช้กับวงการคอมได้ในอนาคต
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าอิเล็กตรอนเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของสสารทุกอย่างในจักรวาล ซึ่งตามปกติแล้วอนุภาคเล็กๆ เหล่านี้จะสร้างสนามแม่เหล็กที่มีขั้วบวกขั้วลบขึ้นมาภายในสสารที่มีมันเป็นองค์ประกอบ ในวัตถุทั่วไปสนามแม่เหล็กเหล่านี้จะชี้ไปแบบมั่วๆ ทำให้ความเป็นแม่เหล็กลบล้างกันเอง (เป็นเหตุผลที่ร่างกายมนุษย์ไม่กลายเป็นแม่เหล็กขนาดใหญ่ไป) และหากสนามแม่เหล็กชี้ไปในทางเดียวกัน วัตถุชิ้นนั้นๆ ก็จะมีสภาพเป็นแม่เหล็กไป เรื่องที่กล่าวมานี้คือการทำงานตามปกติของอิเล็กตรอนในวัตถุต่างๆ ที่นักวิทยาศาสตร์รู้จักกัน แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เองนักวิทยาศาสตร์กลับพบกับการเรียงตัวของอิเล็กตรอนที่ไม่น่าจะเป็นได้ ซึ่งจะทำให้เกิดแม่เหล็กรูปแบบใหม่ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนเข้าเสียแล้ว โดยนี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นกับสารประกอบยูเรเนียมที่มีชื่อว่า “USb2” สารประกอบที่มีการเรียงตัวของอิเล็กตรอนในรูปแบบที่แม้จะไม่ได้เรียงตัวไปในทิศทางเดียวกัน แต่กลับมีความสามารถที่จะเป็นแม่เหล็กได้ ภาพเปรียบเทียบการเรียงตัวของอิเล็กตรอนในวัตถุทั่วไป กับของ USb2 นั่นเพราะ USb2 มี อิเล็กตรอนที่เรียงตัวในรูปแบบที่เรียกกันว่า “Spin Excitons” ซึ่งมีสภาพเป็นกึ่งอนุภาค (Quasiparticle) และหากสภาวะภายนอกเหมาะสม มันก็จะสามารถมีสถานะคล้ายแม่เหล็กได้อย่างรวดเร็ว หากจะพูดให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือสารประกอบ USb2 จะสามารถเปลี่ยนสภาพเป็นแม่เหล็กได้ในเสี้ยวพริบตา และจะกลับเป็นสารปกติในเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งนับว่าเร็วกว่าการใช้ไฟฟ้าเปลี่ยนเหล็กเป็นแม่เหล็กธรรมดามากนั่นเอง ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งชื่อการเรียงตัวของแม่เหล็กแบบนี้ว่า “Singlet-Based” และอธิบายว่าความเร็วในการสลับสถานะแม่เหล็กของสารประกอบแบบนี้อาจทำให้ในอนาคตเราสามารถพัฒนาคอมพิวเตอร์ (ที่เก็บข้อมูลโดยการเปิดปิดแม่เหล็ก) ให้สามารถทำงานได้เร็วยิ่งขึ้นยิ่งกว่าในปัจจุบันก็เป็นได้ ที่มา livescience, newscientist
-
วิวัฒนาการของ ‘ซาลาแมนเดอร์’ จากไข่จนกลายเป็นตัว ธรรมชาติมันน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ!!
เมื่อสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ย่อมเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ แล้วเพื่อนๆ เคยรู้กันบ้างไหมว่ากว่าที่ ‘ไข่ฟองหนึ่ง’ จะกลายมาเป็นซาลาแมนเดอร์นั้นมันจะเป็นอย่างไรบ้าง? สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมคลิปวิดีโอ Time Lapse ที่เผยให้เห็นถึงพัฒนาการจากไข่ กลายมาเป็นซาลาแมนเดอร์ 1 ตัว ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่ากลไกของธรรมชาติคือสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก!! ผลงานคลิปวิดีโอดังกล่าวเป็นฝีมือของ Jan van IJken นักสร้างภาพยนตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ โดยใช้ชื่อว่า Becoming เป็นคลิปสั้นที่เผยให้เห็นถึงความน่าอัศจรรย์ใจของการกำเนิดชีวิตของสัตว์ “รายละเอียดต่างๆ ที่จะเผยให้เห็นถึงการกำเนิดของ ‘ซาลาแมนเดอร์’ ตั้งแต่ยังเป็นไข่ จนถึงตอนที่มันฟักตัวออกมา” นาย Jan กล่าว ในคลิปวิดีโอนั้นเป็นพัฒนาการการเติบโตของเจ้าตัว Ichthyosaura Alpestris ซึ่งเป็นซาลามานเดอร์ชนิดหนึ่ง ช่วงเริ่มแรกนั้นก็เป็นไข่เหมือนสัตว์ต่างๆ ทั่วไป รวมไปถึงมนุษย์ด้วย ก่อนที่จะค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ สร้างอวัยวะต่างๆ ขึ้นมา ทั้งหัวใจ เส้นเลือด จนกลายมาเป็นตัวอ่อนในที่สุด . . . . .…
-
อย. สหรัฐฯ เผย ผู้หญิงที่เป็น “มะเร็ง” จากการศัลยกรรมหน้าอก เพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัวในปี 2018
เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าในปัจจุบันสาวๆ นิยมทำศัลยกรรมกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสริมดั้ง ทำตาสองชั้น ดูดไขมัน และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการเสริมทรวงอก ดังนั้นนี่อาจจะเป็นข่าวร้ายไม่น้อยเลยสำหรับเหล่าสาวๆ ที่รักในการแต่งเติมเสริมร่างกายหลายๆ คน เพราะเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาเปิดเผยว่าในช่วง 2018 ปีที่ผ่านมามีรายงานผู้หญิงที่ไปทำศัลยกรรมเป็นโรคมะเร็งสายพันธุ์หายากเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อนๆ อย่างน่ากลัว จากผลการสำรวจผู้หญิงที่เป็นโรคมะเร็งแบบ Anaplastic Large Cell Lymphoma (มะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่มีเซลล์ใหญ่และโตเร็ว) หรือ ALCL ในกรณีที่มีสาเหตุมาจากการศัลยกรรมทรวงอก ทางสหรัฐฯ ก็พบว่าตลอดช่วงปี 2018 ในประเทศมีรายงานผู้หญิงที่เป็นมะเร็ง ALCL มากถึง 246 ราย นี่อาจจะเป็นตัวเลขที่ดูน้อยแต่หากเทียบกับรายงานในช่วงปี 2010-2017 เราจะพบว่าเดิมทีแล้วตลอดเจ็ดปีมีรายงานผู้หญิงที่เป็นมะเร็ง ALCL จากการศัลยกรรมเพียงแค่ 414 คน และเพิ่งจะมาเพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหายในปี 2018 เท่านั้น เซลล์ ALCL แม้จะมีความเป็นไปได้ว่าตัวเลขในรายงานจะมีความคลาดเคลื่อนไปจากตัวเลขจริงๆ อยู่บ้าง แต่อย่างน้อยๆ คณะกรรมการอาหารและยาก็ยืนยันผู้ป่วยมะเร็ง ALCL ได้อย่างแน่ชัดถึง 457 ราย (รวมที่เสียชีวิตไว้ 9 ราย) อ้างอิงจากข้อมูลของคณะกรรมการอาหารและยา ALCL…
-
งานวิจัยใหม่เผย สามารถวิเคราะห์ “ลักษณะการทำงาน” ในสมองที่บอกว่ามนุษย์ “ยังมีสติ” ได้แล้ว
เคยสงสัยไหมว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนคนหนึ่งยังคงมีสติอยู่? หลายคนอาจจะมองว่าคำถามนี้ไร้สาระ แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เรื่องหนึ่งของวงการแพทย์ ตามปกติแล้วคนเราจะมองคนที่สามารถตอบสนองต่อการกระทำของเราได้ว่ายังมีสติ แต่หากมองให้ลึกลงไปเราก็จะรู้ว่าการตอบสนองไม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินได้ทุกอย่าง เพราะบางครั้งแม้แต่คนไข้ที่นอนเป็นผักหรือเจ้าหญิง/เจ้าชายนิทราก็อาจจะยังมีสติได้เช่นกัน… น่าเสียดายที่ต้องบอกว่าที่ผ่านๆ มาเราไม่มีวิธีการที่ตรวจสอบความมีสติที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมเลย จนกระทั่งในเมื่อไม่นานมานี้ นั่นเพราะเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในวารสารออนไลน์ “Science Advances” ได้มีการตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นใหม่ ที่อาจจะให้คำตอบของปริศนาที่ว่าเราจะทราบได้อย่างไรว่ามนุษย์ยังมีสติอยู่ โดยนี่เป็นงานวิจัยที่เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ และอาศัยการสังเกตคลื่นสมอง เพื่อเรียนรู้ว่าสมองของมนุษย์มีการทำงานเช่นไร ในขณะที่คนเรามีสติ การทดลองในครั้งนี้ มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การช่วยเหลือกลุ่มผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุและอยู่ในสภาพที่นอนไม่ได้สติ ภายใต้การสันนิษฐานว่าในช่วงเวลาที่พวกเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จริงๆ แล้วพวกเขาจะมีสติขึ้นมาอยู่เป็นพักๆ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงตัดสินใจใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “Functional Magnetic Resonance Imaging” หรือฟังก์ชันการถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก fMRI ในการวัดการ “ติดต่อกัน” ของพื้นที่ต่างๆ ในสมอง เช่นเมื่อสมองส่วนนี้ทำงานเลือดจะสูบฉีดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น หรือมีการใช้งานออกซิเจนมาขึ้นเป็นต้น โดยเมื่อนำข้อมูลที่ได้จากคนไข้ 53 รายไปเปรียบเทียบกับคนปกติ 47 คน…
-
10 เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยความรู้ที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับประเทศ ‘นอร์เวย์’ ที่แปลกแต่มีอยู่จริง!!
‘นอร์เวย์’ ประเทศเล็กๆ ในแดนยุโรปที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและประวัติศาสตร์มากมายที่น่าสนใจ ในวันนี้เรามาเพิ่มความรู้เกี่ยวกับพวกเขาสักเล็กน้อยในบทความนี้ดีกว่า โดยนี่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยความรู้ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับที่นี่ ซึ่งจะมีอะไรที่แปลกๆ และชวนให้เราอึ้ง ทึ่งกันได้นั้น ก็ไปชมกันได้เล้ย!! 1. สมเด็จพระราชาธิบดีฮารัลด์ที่ 5 แห่งนอร์เวย์ เคยให้คำปฏิญาณไว้ว่าจะไม่ยอมแต่งงานอย่างเด็ดขาด!! ถ้าเขาไม่ได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เขารัก นั่นคือลูกพ่อค้าขายเสื้อชื่อว่า Sonja Haraldsen ซึ่งในเวลาต่อมาทั้งคู่ก็ได้เข้าพิธีราชาภิเษกสมรสจากความช่วยเหลือของรัฐบาลนอร์เวย์และเธอได้กลายเป็นราชินีของประเทศตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 2. ราคาน้ำมันในประเทศนอร์เวย์ขึ้นชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่แพงที่สุดในโลก โดยมันมีราคาอยู่ที่ 7.82 ดอลลาร์ (ราวๆ 244 บาท) ต่อหนึ่งแกลลอน ขณะที่สหรัฐอเมริกาจะมีราคาเพียงราวๆ 2.99 ดอลลาร์ (ประมาณ 93 บาท) ต่อหนึ่งแกลลอนเท่านั้น 3.ครั้งหนึ่งกษัตริย์เคยใช้บริการรถสาธารณะ เพราะวิกฤติน้ำมัน ระหว่างที่ชาติประสบวิกฤติน้ำมันในปี 1973 กษัตริย์สมเด็จพระราชาธิบดีโอลาฟที่ 5 แห่งนอร์เวย์ เคยโดยสารรถขนส่งสาธารณะเพื่อไปรีสอร์ทของพระองค์ และจ่ายค่าตั๋วด้วย 4. ในออสโล เมืองหลวงของประเทศ จะมีการจัดตั้งต้นคริสต์มาสเพื่อเป็นเกียรติให้กับชนชาติสหราชอาณาจักร โดยได้เริ่มขึ้นในทุกๆ ปีตั้งแต่ปี 1947 เป็นต้นมา…
-
กินจริงจัง!! เปิดการวิเคราะห์ ดูดชาไข่มุกยังไง ไม่ให้ชาหมดก่อนมุก ตัวแปรจะมีอะไรบ้าง
หากใครในนี้เป็นสาวกชานมไข่มุก น่าจะเข้าใจความรู้สึกว่ากว่าจะดูดได้แต่ละเม็ดมันช่างยากเย็นจริงๆ ซึ่งตอนนี้ปัญหาเหล่านี้ได้ถูกนำมาวิเคราะห์อย่างจริงๆ จังๆ เสียที ด้วยความสงสัยเหล่านี้จึงทำให้คุณ Krist Wongsuphasawat ได้ลองหาแนวทางในการดื่มชานมไข่มุก ผ่านหลักการกันเลยทีเดียว ทั้งนี้คุณ Krist ได้แชร์วิธีการดื่มชานมไข่มุกลงบนเว็บไซต์ Medium ซึ่งได้ตอบโจทย์ใครหลายๆ คนที่อยากจะดื่มชานมไข่มุกให้หมดไปพร้อมๆ กันได้อย่างลื่นไหล คุณ Krist นักวิศวะวิเคราะห์ข้อมูลได้เผยว่า การดูดชานมไข่มุกอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดคือ “การได้กินตัวไข่มุกมากที่สุด แล้วตามด้วยตัวชาน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ภาพแทนการกินชานมไข่มุก n แทนชั้นของจำนวนมุก ส่วน Tea Level คือระดับของชา ภาพจำลองสัดส่วนโดย t แทนจำนวนการดูดแต่ละครั้ง ตัวแปรในการกินชานมไข่มุกมีอยู่ 3 อย่าง ดังนี้ (1) ลักษณะความกว้าง x ความยาว ของแก้วชานมไข่มุก (2) อัตราส่วนระหว่างไข่มุก น้ำแข็ง และน้ำชา (3) วิธีการดื่มชาไข่มุกของแต่ละคน ภาพเปรียบเทียบระหว่างแก้วทรงสูง กับแก้วทรงกว้าง …
-
คุณหมอผู้จากไปในวัย 105 ปี ฝากเคล็ดลับที่ทำให้อายุยืน สิ่งนั้นก็คือ “การทำงาน”?!
หลายๆ คนคงอยากที่จะมีอายุยืนยาว หวังที่จะได้อยู่ดูความสำเร็จของลูกหลานก่อนที่จะต้องจากโลกนี้ไปด้วยความแก่ชรา สำหรับใครที่คิดอย่างนั้นอยู่ ในวันนี้ #เหมียวตะปู ก็ได้นำเอาเคล็ดลับอายุยืนจากดอกเตอร์ Shigeaki Hinohara คุณหมอชาวญี่ปุ่นผู้จากโลกนี้ไปด้วยวัย 105 ปี!! ดอกเตอร์ Shigeaki ดอกเตอร์ Shigeaki คือนายแพทย์ชื่อดังแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัย St.Luke’s International และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของโรงพยาบาล St. Luke’s International Hospital ชายคนนี้ได้ใช้ชีวิตมาอย่างยืนยาวเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ก่อตั้งกองทุนเพื่อพัฒนายารักษาโลกในญี่ปุ่น ก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไปในเดือนกรกฎาคม 2017 แต่ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาก็ได้ฝากเคล็ดลับที่ทำให้เขาอายุยืนมากขนาดนี้ เอาไว้ให้กับคนรุ่นหลังได้รับรู้กัน ดอกเตอร์ Shigeaki เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Japan Times บอกเล่าเกี่ยวกับเคล็ดลับต่างๆ ที่ทำให้เขามีอายุยืนยาว เคล็ดลับสำคัญที่สร้างความสนใจให้กับทุกคนก็คือ การที่เขาบอกว่า “การทำงานโดยไม่เกษียณ” นั้น คือวิธีสำคัญที่ช่วยทำให้เขาสามารถมีชีวิตอยู่มาได้นานขนาดนี้ เขาให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า ในตอนที่อายุขัยของคนญี่ปุ่นนั้นเฉลี่ยอยู่ที่ 68 ปี ตอนนั้นวัยเกษียณของชาวญี่ปุ่นจะถูกตั้งไว้ที่ 65…
-
จีนทดลองเรือปล่อยจรวดหยั่งอวกาศไร้คนขับลำแรกของโลก ทำงานได้แม้อากาศเลวร้าย
เมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2019 นักวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีนออกมาเปิดเผยเอกสารการทดลองเรือไร้คนขับที่ออกแบบมาเพื่อปล่อย “จรวดหยั่งอวกาศ” (Sounding rocket) ขนาดเล็ก และเป็นเรือไร้ในรูปแบบนี้ลำแรกที่เคยมีการผลิตมาของโลก โดยนี่เป็นเทคโนโลยีคิดค้นขึ้นเพื่อช่วยเหลือนักอุตุนิยมวิทยาในการตรวจสอบสภาพอากาศเหนือมหาสมุทร 3 ใน 4 ส่วนของโลก ซึ่งที่ผ่านมาจำเป็นต้องใช้เรือหรือเครื่องบินในการสำรวจจนทำให้มีต้นทุนการทำงานที่สูง เรือไร้คนขับที่ว่านี้ถูกคิดค้นขึ้นมาครั้งแรกในปี 2016 และทำการทดลองสำเร็จไปในปี 2017 อย่างไรก็ตามกว่าที่ผลการทดลองจะถูกประกาศออกมาให้โลกรู้มันก็หลังจากนั้นอีกสองปีเลย ภาพของอุปกรณ์เก็บข้อมูลสภาพอากาศที่มักใช้งานกันในปัจจุบัน จากที่ระบุไว้ในเอกสารการทดลอง เรือไร้คนขับลำนี้ถูกเรียกว่า Uncrewed Semisubmersible Vehicle (ยานพาหนะไร้คนขับแบบกึ่งจม) หรือ USSV มันมีความสามารถที่จะฝ่าสภาวะอากาศที่เลวร้ายในทะเลด้วยการดำน้ำ เพื่อไปปล่อยจรวดหยั่งอวกาศในสถานที่ที่ต้องการได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของมนุษย์ โดยตัวจรวดที่ปล่อยขึ้นไปนั้น จะบินขึ้นไปได้สูงสุดราวๆ 8 กิโลเมตรแล้วเพื่อเก็บข้อมูลสภาพอากาศในพื้นที่ ก่อนที่จะเก็บข้อมูลส่งกลับมายังทีมควบคุมที่ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ปล่อยภัยอีกที จริงอยู่ว่าระดับความสูงนี้ถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับจรวดหยั่งอวกาศชนิดอื่นๆ แต่มันก็มากพอที่จะเก็บข้อมูลที่นักอุตุนิยมวิทยาต้องการ และคงทนต่อสภาพอากาศซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการทดลอง จรวดหยั่งอวกาศโดยทั่วไปจะต้องปล่อยจากฐานปล่อยจรวดและบินได้สูงถึง 1500 กิโลเมตร ความสำเร็จในครั้งนี้อาจจะทำให้การสำรวจพายุกลางทะเลที่เคยเป็นเรื่องอันตรายมากๆ สามารถทำได้ง่ายขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และทางทีมวิจัยเองก็หวังจะพัฒนาระบบเซนเซอร์สมุทรศาสตร์ของ USSV…
-
งานวิจัยใหม่บอก “โซนาร์” ไม่เพียงแต่ทำให้สัตว์ทะเลกลัว แต่อาจทำให้วาฬตายได้ด้วย
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์พอจะทราบว่าคลื่นโซนาร์ ส่งผลกระทบบางอย่างกับสัตว์ทะเลบางชนิดเช่นวาฬ จากการที่พวกมันมักจะว่ายน้ำหนีแหล่งกำเนิดคลื่นโซนาร์อยู่เสมอๆ อย่างไรก็ตามจากผลการวิจัยที่ออกมาเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา เราก็ได้ทราบว่าโซนาร์ไม่เพียงแต่ทำให้วาฬว่ายน้ำหนีเท่านั้น แต่มันยังทำให้วาฬถึงตายได้เลยอีกด้วย งานวิจัยในครั้งนี้เกิดขึ้นจากข้อสังเกตที่ว่าก่อนที่จะมีการผลิตคลื่นโซนาร์ที่ใช้งานความถี่ปานกลาง หรือ “MFAS” ในยุค 1960 เราแทบจะไม่เคยได้ยินข่าววาฬอย่างวาฬเบลคคูเวียร์เกยตื้นตายตามชายฝั่งเลย แต่พอ MFAS เริ่มพัฒนาขึ้นเราก็เห็นข่าววาฬรูปแบบนี้เกยตื้นมากขึ้นตามไปด้วย นั่นทำให้นักวิจัยคิดว่าการพัฒนาของ MFAS น่าจะต้องมีความเกี่ยวข้องอะไรกับความตายของวาฬเบลคคูเวียร์แน่ๆ และหลังจากที่พวกเขาตรวจสอบเหตุการณ์วาฬเกยตื้นครั้งใหญ่ที่ประเทศกรีซระหว่างช่วงปี 2002-2014 พวกเขาก็พบว่าวาฬที่เกยตื้นนั้นมีบางส่วนที่มีฟองก๊าซจำนวนมากอยู่ในกระแสเลือด นี่เป็นอาการที่เหล่านักดำน้ำรู้จักกันในชื่อ “โรคลดความกด” หรือ “โรคน้ำหนีบ” (Decompression sickness) ซึ่งมักเกิดขึ้นจากการที่ลอยตัวขึ้นจากน้ำเร็วเกินไป จนก๊าซไนโตรเจนในเลือดกลายเป็นฟอง และอาจอุดเส้นเลือดที่ไขสันหลังหรือสมองจนสลบหรือเป็นอัมพาต จนเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ สิ่งที่พวกเขาพบทำให้นักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นว่าวาฬที่เกยตื้นเหล่านี้น่าจะตกใจคลื่นเสียงของ MFAS จนทำให้พวกมันพยายามว่ายน้ำหนีให้เร็วที่สุด จนขึ้นมายังผิวน้ำเร็วเกินไปจนเกิดอาการโรคลดความกดและเกยตื้นไปในที่สุด การค้นพบในครั้งนี้ช่วยอธิบายเหตุผลว่าทำไมในปี 2004 หลังจากที่สเปนห้ามการใช้คลื่นโซนาร์ในหมู่เกาะคานารีซึ่งเคยเป็นจุดเกยตื้นจุดใหญ่ การเกยตื้นของวาฬก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดได้อย่างดี ดังนั้นหลังจากที่งานวิจัยเสร็จสิ้นลง ทีมวิจัยจึงได้เสมอให้มีการห้ามใช้งานคลื่นโซนาร์ในพื้นที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอันเป็นที่อยู่อาศัยของวาฬเบลคคูเวียร์ เพื่อป้องกันการลดลงของประชากรวาฬในมหาสมุทรต่อไป ที่มา iflscience และ livescience
-
บริษัทอิสราเอลอ้าง กำลังพัฒนายารักษาโรคมะเร็งที่ครอบคลุม พร้อมทดลองใช้งานในหนึ่งปี
เป็นเรื่องที่ทราบกันว่า มะเร็งคือหนึ่งในโรคร้ายที่มนุษย์ต่อสู้ด้วยมาอย่างยาวนาน และแม้จะงานวิจัยมากมายที่ออกมาศึกษาเกี่ยวกับเจ้าโรคร้ายนี้ จนแล้วจนรอดเราก็ยังไม่มีวิธีรักษาโรคมะเร็งที่ครอบคลุมและทำงานได้จริงอยู่ดี แต่เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง บริษัทสายเลือดอิสราเอลอย่าง “Accelerated Evolution Biotechnologies” (เรียกย่อๆ ว่า AEBi) ในปัจจุบันพวกเรากำลังพัฒนายารักษาโรคมะเร็งที่ครอบคลุม และพร้อมทดลองใช้งานได้ภายในเวลาหนึ่งปี ตามปกติแล้วเราอาจจะคิดว่าการออกมาอ้างปากเปล่าแบบนี้ไม่ว่าให้ก็คงจะทำได้ก็จริง แต่การออกมาแถลงการณ์ของทาง AEBi ก็ดูจะมีน้ำหนักกว่าการกล่าวอ้างอื่นๆ มาก เพราะทีมวิทยาศาสตร์ที่กำลังทำงานให้พวกเขาอยู่นั้นเป็นทีมเดียวกับที่ได้รับรางวัลโนเบลเมื่อปี ค.ศ. 2018 จากงานวิจัยเกี่ยวกับเทคนิค “Phage Display” ที่จะแสดงแอนติบอดีบนผิวเฟจที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งมาแล้ว การทำงานของเทคนิค “Phage Display” โดยเจ้ายาตัวใหม่ที่ AEBi กำลังผลิต มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า MuTaTo ซึ่งย่อมาจาก “Multi-Target Toxin” ยาปฏิชีวนะที่จะแสดงผลเป็นพิษทำลายเซลล์มะเร็งในขณะที่แทบจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ กับเซลล์อื่นๆ และมีราคาถูกพอที่จะใช้งานได้ทั่วไป มาถึงตรงนี้เพื่อนๆ อาจจะสงสัยว่าเทคนิค Phage Display มันไปเกี่ยวข้องกับยาที่ทำลายเซลล์มะเร็งเท่านั้นตรงไหน สำหรับเรื่องนี้ ถ้าจะให้อธิบายก็คือเทคนิค Phage Display สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นเทคโนโลยี “SoAP” ระบบที่จะทำให้ทางแพทย์สามารถแยกประเภทของโปรตีนในลำดับ DNA อย่างละเอียด ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถ “ชี้เป้า” DNA ที่ต้องการโดยเฉพาะได้ …
-
นักวิทย์พบ “กาแล็กซีสุดเหงา” ห่างจากโลก 30 ล้านปีแสง และเก่าแก่เกือบเท่าจักรวาล
ในยุคที่เทคโนโลยีเกี่ยวกับดาราศาสตร์ก้าวไกลเช่นนี้มนุษย์เราได้ทำการค้นพบกาแล็กซีใหม่ๆ กันเป็นจำนวนมาก จนทำให้ในบางครั้งการค้นพบกาแล็กซีก็กลายเป็นอะไรที่ดูธรรมดาและไม่น่าสนใจไป แต่เมื่อล่าสุดนี้เองนักดาราศาสตร์ก็สามารถค้นพบกาแล็กซีใหม่ที่น่าสนใจมากพอที่จะนำมาบอกเล่าจนได้ เพราะในขณะที่นักดาราศาสตร์สำรวจอวกาศด้วยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลอยู่นั่นเอง พวกเขาก็พบว่าที่ด้านหลังของกระจุกดาวทรงกลม NGC 6752 ที่อยู่ห่างไปราวๆ 13,000 ปีแสงนั้น แท้จริงแล้วยังมีกาแล็กซีอยู่อีกแห่งหนึ่ง ภาพของกระจุกดาวทรงกลม NGC 6752 นับเป็นกระจุกดาวที่สว่างที่สุดเป็นอันดับ 3 ที่มนุษย์เคยพบมา นี่เป็นกาแล็กซีที่ได้รับชื่อเล่นว่า “Bedin 1” กาแล็กซีขนาดค่อนข้างเล็กที่มีความกว้างสูงสุดอยู่ที่ 3,000 ปีแสง (กาแล็กซีทางทางเผือกมีขนาด 105,700 ปีแสง) แถมยังมีแสงที่ริบหรี่มากจนถูกจัดให้เป็นกาแล็กซีทรงกลมแคระไป แต่แม้ว่ากาแล็กซีทรงกลมแคระจะไม่ใช่ของที่หายาก “Bedin 1” กลับมีความพิเศษกว่านั้น เพราะไม่เพียงแต่มันจะห่างจากโลกถึง 30 ล้านปีแสงเท่านั้น แต่มันยังมีระยะห่างจากกาแล็กซี่ NGC 6744 ที่อยู่ใกล้ที่สุดถึง 2 ล้านปีแสงทำให้ Bedin 1 ถูกเรียกว่าเป็นกาแล็กซี่ “สุดเหงา” แห่งหนึ่งที่มนุษย์เคยพบมาเลย ขึ้นตอนการขยายภาพเพื่อระบุตำแหน่งของ Bedin 1 เท่านั้นยังไม่พอกาแล็กซี Bedin 1 ยังถือว่าเป็นกาแล็กซีที่มีอายุถึง 13,000 ล้านปี…
-
นักวิทยาศาสตร์เผย สนามพลังแม่เหล็กโลกกำลังมีอาการแปลกๆ และยังไม่ทราบว่าเพราะอะไร
เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าสนามพลังแม่เหล็กนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญกับโลกมาก เพราะมันช่วยป้องกันโลกจากลมสุริยะและรังสีคอสมิก และหากโลกไม่มีสนามพลังแม่เหล็กมนุษย์เราก็อาจจะสูญพันธุ์ไปได้ในเวลาสั้นๆ เลย อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้นักธรณีวิทยาจากหลากหลายมหาวิทยาลัยกลับออกมาบอกว่า สนามพลังแม่เหล็กที่คอยปกป้องเรามาตลอดนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมากลับกำลังมีสภาพที่แปลกไป กล่าวคือในเวลานี้ ขั้วแม่เหล็กโลกกำลังเดินเคลื่อนที่จากแถบอาร์กติกของแคนาดา ไปสู่ไซบีเรียของรัสเซียด้วยความเร็วสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลก จริงอยู่กว่าการที่ขั้วแม่เหล็กเคลื่อนที่จะไม่ใช่เรื่องที่แปลกมากนัก เพราะในเอกสารที่เก็บมาตั้งแต่ปี 1580 เองก็มีการบันทึกไว้ว่าขั้วแม่เหล็กโลกจะค่อยๆ เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ในระยะเวลาเวลาหลายศตวรรษ อย่างไรก็ตามการเคลื่อนที่ในครั้งนี้กลับเกิดขึ้นเร็วมากขึ้นจากปีละ 15 กิโลเมตร ไปเป็นปีละ 55 กิโลเมตร แถมยังมีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นอีก นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยโคโลราโดโบลเดอบอกว่า เหตุผลหลักๆ ที่ขั้วแม่เหล็กเคลื่อนที่เร็วขึ้นน่าจะมาจากการที่แกนโลกด้านนอกที่เป็นเหล็กเหลวสร้างสนามพลังแม่เหล็กน้อยลงจากที่ควรเป็น ทำให้ขั้วแม่เหล็กเกิดการเคลื่อนที่เร็วขึ้น อย่างไรก็ตามเหตุผลที่ว่าทำไมสนามพลังแม่เหล็กที่สร้างขึ้น (โดยเฉพาะที่ใต้แคนาดา) จึงได้ลดลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ยังคงเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ไขกันไม่ได้ในปัจจุบัน แถมการที่สนามพลังแม่เหล็กมีภาพที่อ่อนแอลงเช่นนี้ยังเป็นสัญญาณที่บอกว่า สนามพลังแม่เหล็กของโลกอาจจะเกิดการสลับด้านในอนาคต (อีกหลายแสนปี) อีกครั้ง เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อราวๆ 780,000 ปีก่อนเลยด้วย จริงอยู่ว่าการสลับด้านของสนามพลังแม่เหล็กจะเป็นเรื่องของอนาคตอันห่างไกลก็ตาม แต่การที่แกนโลกเคลื่อนที่เร็วขึ้นก็ส่งผลกระทบโดยตรงกับ ระบบหลายๆ อย่างที่อ้างอิงดาวเทียมและสนามพลังแม่เหล็กของโลก (อย่างระบบนำทางของเรือหรือ Google Map) ดังนั้นในปัจจุบันเหล่านักวิทยาศาสตร์จึงได้พยายามเป็นอย่างมากในการหาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงของสนามพลังแม่เหล็กนี้ และจะมีการหาทางรับมือกับผลกระทบต่อระบบนำทางอื่นๆ ของโลกไปพร้อมๆ กันด้วย ที่มา nature, space และ iflscience
-
หนุ่มตั้งใจจะ “ฟ้องร้องพ่อแม่” ของตัวเอง เพราะให้กำเนิดเขามา โดยที่เขาไม่ได้ยินยอม?!
Antinatalism คือหลักความเชื่อที่ว่า “การให้กำเนิดถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง” มองว่าหากเด็กที่จะถือกำเนิดขึ้นมาไม่ได้เป็นคนร้องขอ เราก็ไม่ควรที่จะให้เขาถือกำเนิดขึ้นมาใช้ชีวิตบนโลก ฟังดูอาจเป็นความเชื่อที่แปลกอยู่มาก แต่ก็มีคนที่ศรัทธาในความเชื่อนี้อย่างแท้จริง หนึ่งในนั้นคือหนุ่มชาวอินเดียวัย 27 ปี Raphael Samuel ผู้ศรัทธาในหลักความเชื่อนั้น และต้องการที่จะ “ฟ้องร้องพ่อแม่” ของเขาเอง Raphael ชายผู้ศรัทธาและเผยแพร่หลักความเชื่อนั้น Raphael บอกว่า “ผมอยากจะบอกเด็กอินเดียทุกคนว่าพวกเขาไม่ได้ติดค้างใดๆ กับคนเป็นพ่อเป็นแม่เลย ผมรักพ่อแม่ของผมนะ เรามีความสัมพันธ์ที่ดีมากๆ ต่อกัน แต่พวกเขามีผมก็เพียงเพื่อความสุขและความพอใจส่วนตัว” “ชีวิตของผมมันน่าอัศจรรย์มากๆ แต่ผมก็มองไม่เห็นว่าทำไมถึงควรจะต้องสร้างอีกหนึ่งชีวิตขึ้นมาอยู่ภายใต้ความซับซ้อนของการเข้าโรงเรียน และหางานทำ โดยเฉพาะว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนร้องขอที่จะดำรงชีวิตอยู่เองด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มยังบอกอีกว่า “ชาวอินเดียคนอื่นๆ ควรต้องรู้ว่าการไม่มีบุตรก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกเหมือนกัน และอยากให้พวกเขาได้กลับไปถามหาคำอธิบายจากพ่อแม่ตนเองดูว่า ทำไมถึงได้ให้กำเนิดคุณขึ้นมา” จากความคิดในลักษณะนั้น จึงทำให้ชายหนุ่มต้องการที่จะฟ้องร้องพ่อแม่ของเขาเอง ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า “ให้กำเนิดเขามาโดยที่เขาไม่ได้เป็นคนยินยอมในตอนแรก” “ถ้าพ่อแม่รู้ว่าอะไรดีต่อลูกจริงๆ แล้วทำไมถึงได้ให้กำเนิดพวกเขา?” ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะ Raphael ยังเป็นเจ้าของเพจเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า Nihilinand เพจที่คอยเผยแพร่หลักความเชื่อดังกล่าวออกไป ในเพจที่ว่านั้น เขาได้พูดเอาไว้ว่า…
-
งานวิจัยเผย ไว้หนวดเครามีผลให้คุณผู้ชายสุขภาพผิวแข็งแรงและดูดีมากขึ้น
ผู้ชายกับหนวดเคราเป็นของคู่กัน ซึ่งบางคนอาจจะไว้หนวดเคราให้ดูมีลุคที่เข้มขึ้น แต่บางคนอาจจะมองว่าไม่สุภาพมากนัก ล่าสุดมีงานวิจัยที่เผยแล้วว่าผู้ชายไว้หนวดทำให้มีสุขภาพผิวแข็งแรงและดูดีมากขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย University of Queensland ได้ชี้ว่าหนวดเคราสามารถปกป้องใบหน้าจากรังสี UV ได้ถึงร้อยละ 95 Alfio Parisi หัวหน้างานวิจัยได้กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าการไว้หนวดจะไม่ได้ช่วยได้เท่าการทาครีมกันแดด แต่ก็สามารถกันรังสี UV ได้” เมื่อผิวหน้าโดนแดดน้อยลง ก็จะมีโอกาสเกิดริ้วรอยน้อยลงไปด้วย ซึ่งนั่นเป็นผลของงานวิจัยที่ว่าการไว้หนวดทำให้ดูดีขึ้น Adam Friedmann แพทย์ผิวหนังก็ออกมายืนยันแล้วว่า รังสี UV เป็นต้นเหตุทำให้เกิดริ้วรอย และทำให้ดูอายุมากขึ้น เมื่อคุณผู้ชายไว้หนวดก็จะช่วยป้องกันโรคมะเร็งผิวหนัง และรอยเหี่ยวย่นได้ . จากการทดลองในหมู่ชายที่ไว้หนวด และไม่มีหนวด พบแล้วว่าผู้ชายที่ไว้หนวดมีสภาพผิวที่ดีกว่าผู้ชายที่ไม่มีหนวด ซึ่งสรุปได้ว่าการไว้หนวดทำให้ผู้ชายมีสุขภาพแข็งแรง ห่างไกลจากโรคมะเร็งผิวหนัง และไม่มีริ้วรอย ทำให้ดูดีมากยิ่งขึ้น ที่มา: ladbible
-
ชายผู้คิดค้นยา Ibuprofen และทดลองมันด้วยการใช้รักษา ‘อาการเมาค้าง’ ของตัวเอง!!
Ibuprofen หรือ Brufen เป็นยาแก้ปวดลดการอักเสบที่เรามักจะใช้กันอยู่เป็นประจำ แต่เพื่อนๆ เคยรู้ถึงที่มาของมัน หรือเคยเห็นหน้าของคนที่คิดค้นมันขึ้นมากันบ้างรึเปล่า? ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยว่า ยา Ibuprofen เนี่ย เป็นยาที่มีสรรพคุณทั้งแก้ปวด และลดการอักเสบ เรียกได้ว่ากินหนึ่ง แต่ได้ถึงสองเลยทีเดียว!! ซึ่งแตกต่างจาก Paracetamol ที่แก้ปวดได้เพียงอย่างเดียว ฉะนั้นคนที่คิดค้นมันขึ้นมาได้จะต้องเทพมากเลยทีเดียวเลยทีเดียวใช่มั้ยล่ะ? วันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปฟังเรื่องราวต้นกำเนิดของมันครับ ขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับ ดอกเตอร์ Stewart Adams จบการศึกษาทางด้านเภสัชศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Nottingham ประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตทางด้านเภสัชวิทยาในจากมหาวิทยาลัย Leeds ในปี 1952 หลังจากที่เรียนจบแล้วดอกเตอร์ Adams ก็ได้มาทำงานในบริษัท Boots Pure Drug Company ทำวิจัยคิดค้นหาวิธีการรักษาโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ จากการวิจัยทำให้เขาได้พบกับสเตียรอยด์ชนิดหนึ่งที่ใช้งานได้อย่างเห็นผล แถมยังไม่มีผลข้างเคียงอีกด้วย จนกระทั่งในปี 1962 ในเมือง Nottingham จากการผ่านการทดลองสูตรต่างๆ มากมาย ก็นำไปสู่การค้นพบ…
-
16 ภาพรายละเอียดของสิ่งต่างๆ เมื่อมองผ่าน ‘กล้องจุลทรรศน์’ ที่จะทำให้คุณร้องว้าวแน่ๆ
เพราะด้วยดวงตาของเราไม่สามารถมองเห็นถึงรายละเอียดในทุกๆ อย่างได้ มนุษย์เราจึงผลิตกล้องส่องดูสิ่งต่างๆ ขึ้นมาอย่างกล้องดูดาว กล้องส่องทางไกล หรือว่า ‘กล้องจุลทรรศน์’ เพื่อดูรายละเอียดของสิ่งต่างๆ และนี่คือภาพที่เมื่อเรานำสิ่งของที่เราพบเห็นอยู่ในแทบจะทุกๆ วันไปส่องผ่านกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งผลที่ได้ออกมานั้นมันแทบจะเหลือเชื่อซะจริงๆ เพราะหลายคนคงคาดไม่ถึงแน่ๆ ว่าแท้จริงแล้วเนื้อของสิ่งที่เราคิดมันมีอะไรมากกว่านั้นซ่อนไว้อยู่… เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อของคนเรา พื้นผิวของผลสตรอเบอรี่ ดวงตาของแมลงหวี่ ปลายของปากกาลูกลื่น เนื้อฟันเมื่อมองลึกเข้าไป ตัวอ่อนของปลาม้าลายอายุ 2 วัน ร่องของแผ่นเสียง ปีกของผีเสื้อ ขนตาของมนุษย์ หญ้าเมื่อนำไปส่องผ่านกล้องจุลทรรศน์ (แฮปปี้เชียวนะ) เท้าของยุงลาย จอ LCD ลิ้นของแมว ทราย เข็มและด้าย ผมของมนุษย์ ที่มา: brightside
-
งานวิจัยชิ้นใหม่ชี้ ‘การสูบบุหรี่ไฟฟ้า’ ก็มีความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในสมอง
ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าจริงๆ แล้ว ‘การสูบบุหรี่บุหรี่ไฟฟ้า’ มีผลเสียต่อร่างกายของมนุษย์ อย่างไรบ้าง อันตรายกว่าบุหรี่จริงหรือไม่? อย่างไร? และมันสามารถช่วยให้ ‘เลิกบุหรี่จริง’ ได้จริงไหม? สำหรับวันนี้ #เหมียวฝึกหัดหมายเลข24 ก็มีงานวิจัยชิ้นใหม่ที่ศึกษาเกี่ยวกับความอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าจากต่างประเทศมาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ จะเป็นอย่างไรลองไปรับชมพร้อมๆ กันได้เลย… งานวิจัยดังกล่าวเป็นผลงานของ American Heart Association ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้แจกแบบสอบถามให้กับผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ากว่า 400,000 คน จากจำนวน 400,000 คน มี 66,795 คนที่เป็นคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นประจำ และในกลุ่มคนเหล่านี้จำนวน 40% มีโอกาสเสี่ยงโรคหัวใจ, อีก 71% เสี่ยงเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบ, ส่วนอีก 60% อาจเกิดโรคหัวใจวาย นอกจากนี้จากการศึกษายังพบอีกว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้านั้นมีความเชื่อมโยงกับ ‘การสร้างลิ่มเลือด’ ในร่างกายของเรา จึงเป็นที่มาของความเสี่ยงของกลุ่มโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ และหลอดเลือด แต่อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลในงานวิจัยระบุว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายก็จริง แต่ก็ยังมีความอันตรายน้อยกว่าการสูบบุหรี่จริงถึง 95% Dr Larry Goldstein ผู้บริหารแผนกด้านประสาทวิทยา จากสถาบันประสาทวิทยาในเคนทักกีได้กล่าวว่า “เป็นที่แน่นอนแล้วว่า…
-
การวิจัยเผย โลกเคยเกือบเสียสนามพลังแม่เหล็กในอดีต โชคดีที่แกนโลกแข็งตัวทันพอดี
เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าสนามพลังแม่เหล็กของโลกนอกจากจะทำให้เข็มทิศสามารถหันไปทางเหนือได้อย่างถูกต้องแล้วมันยังช่วยป้องกันโลกของเราจากลมสุริยะและรังสีคอสมิก จนเรียกได้ว่าสนามพลังแม่เหล็กเป็นดั่งโล่ที่คอยปกป้องโลกจากภัยอันตรายจากอวกาศเลยก็ไม่ผิดนัก สนามพลังแม่เหล็กอาจจะฟังดูเหมือนเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับโลกของเรามาเป็นเวลานานแล้ว แต่จากการวิจัยใหม่ของเหล่านักดาราศาสตร์ ดูเหมือนว่าโล่ที่คอยปกป้องโลกในปัจจุบัน จะเพิ่งเกิดขึ้นมาได้ราวๆ 565 ล้านปีเท่านั้นเอง นักดาราศาสตร์ได้ออกมาบอกว่าเมื่อราวๆ 565 ล้านปีก่อน สนามพลังแม่เหล็กของโลกกำลังอยู่ในช่วงที่มีความหนาแน่นต่ำที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้าหรือ “ไดนาโม” ของโลกอยู่ในสภาพที่แย่สุดๆ ผลการวิจัยนี้ออกมาหลังจากที่ John Tarduno นักธรณีฟิสิกส์มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ ได้ตรวจสอบการรวมตัวของแม่เหล็กในผลึกเดี่ยวของแร่กลุ่ม Plagioclase และ Clinopyroxene ที่เกิดขึ้นราวๆ 565 ล้านปีก่อน เพื่อหาลักษณะของสนามพลังแม่เหล็กโลกในเวลานั้น พวกเขาพบว่าโลกในช่วงที่แร่เหล่านี้เกิดขึ้นมีความหนาแน่นของสนามแม่เหล็กต่ำอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จนถึงขั้นที่พวกเขาสามารถกล่าวได้ว่าสนามแม่เหล็กเกือบจะพังทลายไปในเวลาอันใกล้ แม้เราจะไม่รู้ว่าสาเหตุที่ความหนาแน่นนี้ของโลกต่ำเกิดจากอะไร แต่นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการหมุนรอบตัวเองของโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่โลกมีการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้าตามทฤษฎีไดนาโม แต่โชคดีมากที่ในช่วงเวลานั้น แกนด้านในของโลกเกิดการแข็งตัวขึ้นมาในระดับที่เหมาะสมพอดี เพราะการที่โลหะเหลวส่วนหนึ่งของแกนโลกแข็งตัวนี้เองได้ช่วยให้สนามพลังแม่เหล็กของโลกที่เคยกระจายออกไปทั่วทุกทิศ เปลี่ยนไปเป็นรูปคล้ายเครื่องหมาย ∞ แบบในปัจจุบัน และช่วยเหลือโลกเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที จริงอยู่ที่ว่าการแข็งตัวของแกนโลกในเวลานั้นจะยังไม่ถือว่าสมบูรณ์จริงๆ แต่ก็มากพอที่จะทำให้สนามพลังแม่เหล็กคืนสภาพกลับมาได้ และเมื่อแกนโลกเริ่มแข็งตัวมากขึ้นสนามแม่เหล็กก็มีสภาพที่ดีขึ้นไปด้วย และอยู่รอดมาคอยปกป้องพวกเราแบบในปัจจุบันนั่นเอง ที่มา zmescience และ sciencenews
-
หนังสือไกด์เฉดสีเขียนด้วยมือ จากศตวรรษที่ 19 บรรพบุรุษแห่ง PANTONE
ในยุคปัจจุบันการเลือกใช้สีต่างๆทั้งในงานออกแบบ งานศิลปะ และสถาปัตยกรรม เรามักจะนึกถึงแพนโทนกันเป็นอันดับแรก แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการใช้สีจากแพนโทนเองก็มีประวัติศาสตร์ของมันมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 19 ชื่อของหนังสือแพนโทนยุคนั้น คือ Nomenclature of Colours เป็นหนังสือที่เขียน และวาดด้วยลายมือทั้งหมดในปี 1814 โดย Abraham Gottlob Werner นักวิเคราะห์แร่ชาวเยอรมนี Patrick Syme นักวาดและ Robert Jameson นักธรรมชาติวิทยาชาวสกอตแลนด์ สิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ได้เป็นที่รู้จักนั้น เกิดจากการเขียนบรรยายลักษณะของสีที่นำมาจากธรรมชาติ ทั้งจากสัตว์หลายชนิด และพืชพรรณทั้งหมด แม้แต่นักธรรมชาติวิทยาอย่าง Charles Darwin เองยังใช้หนังสือนี้ในทางวิทยาศาสตร์ รายชื่อของสีแต่ละชนิด ที่ใช้ชื่อของสัตว์แต่ละสายพันธุ์ ในการบอกลักษณะของสี เฉดสีฟ้า ลักษณะของพาแลทสีของสีส้มแบบต่างๆ โทนสีเขียวที่มีตั้งแต่ชื่อของแมลงไปจนถึงชื่อของแร่ต่างๆ เฉดสีต่างๆ ที่ได้วาดระบายเป็นแถบแต่ละอัน และใช้ชื่อที่ทำให้นึกถึงสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติได้ทันที แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะดูโบราณและเก่าแก่ ทาง Smithsonian Books ได้มีการนำมาพิมพ์เผยแพร่ใหม่อีกครั้ง และทุกคนสามารถเป็นเจ้าของมันได้ด้วยในขนาดพกพาอีกด้วย หากใครสนใจสามารถหาซื้อได้ที่เว็บไซต์ Amazon …
-
ชม 19 สุดยอดภาพสุดงดงามจากดาวอังคาร ที่รวบรวมมาจากการสำรวจของมนุษย์ที่ผ่านๆ มา
ตั้งแต่ที่มนุษย์เราส่งยานอวกาศขึ้นไปเก็บภาพของดาวอังคารเป็นครั้งแรกในปี 1965 เวลาก็ผ่านเลยไปกว่า 50 ปีแล้ว ดังนั้นในปัจจุบันเล่าจึงมีภาพของดาวดวงนี้อยู่มากมายเต็มไปหมด จริงอยู่ที่จนถึงปัจจุบันมนุษย์เราจะยังไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปมองดูวิวบนดาวอังคารด้วยตัวเองก็ตาม (กำหนดการส่งมนุษย์ไปบนดาวอังคารมีกำหนดการอยู่ในปี 2020) แต่ภาพที่เราได้มาจากดาวอังคารจนถึงถึงทุกวันนี้ก็มีเสน่ห์มากๆ ในแบบของมันเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปรับชม 19 สุดยอดภาพสุดงดงามจากดาวอังคารที่จะมาทำให้พวกเขาร้องว้าวได้ไม่ยากเลย เริ่มกันจากหลุม McLaughlin ขั้วโลกเหนือของดาวอังคาร ที่เติมไปด้วยเนินทราย ร่องรอยทางทิศใต้ของหลุม Gale ที่ถ่ายโดยกล้อง HiRISE ของยานสำรวจดาวอังคารของนาซ่า ขอบของฝุ่นละอองลมขนาดใหญ่ ใกล้ๆ หุบเขาลึก Ganges Chasma หลุม และพื้นลาดชันทางตะวันตกของหุบเขามารินาริส การถ่ายภาพเพื่อตรวจสอบส่วนล้อของยาน Curiosity ที่ออกสำรวจบนดาวอังคาร ภาพของยาน Curiosity ขณะวิ่งผ่านเขต Naukluft Plateau (ตัวยานคือสุดเล็กๆ ตรงกลางค่อนซ้ายของภาพ) เนินทรายในพื้นที่หลุม Arkhangelsky ส่วนสีแดงที่เห็นตรงขอบเกิดจากการประมวนผลภาพของทางนาซา ภาพจากกล้องของยาน Curiosity ขณะขับผ่านด้านข้างของภูเขาหิน อุกกาบาตที่เป็นเหล็กผสมนิกเกิลบนดาวอังคาร …
-
เด็กหนุ่มวัย 20 ปี เสียชีวิตลง จากการกิน “พาสต้า” เหลือทิ้งค้างไว้นอกตู้เย็นนาน 5 วัน!!
เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นอุทาหรณ์ให้กับหลายๆ คน เมื่อเด็กหนุ่มวัย 20 ปีที่รู้จักกันในชื่อ AJ จากเมืองบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เสียชีวิตลง หลังจากที่เขาได้กิน “พาสต้า” ที่เหลือทิ้งค้างไว้นอกตู้เย็นมานานถึง 5 วัน จากการรายงานกล่าวว่า พาสต้า (ที่ทำการปรุงสุกแล้ว) ถูกวางทิ้งไว้บริเวณโต๊ะในห้องครัว โดยที่ไม่มีการเก็บไว้ในตู้เย็นแต่อย่างใด จนกระทั่งผ่านไป 5 วัน AJ ก็ได้ตัดสินใจหยิบมันมาอุ่นกิน เขาเอาเข้าไมโครเวฟแล้วกินเข้าไปตามปกติ ก่อนที่จะออกไปเล่นกีฬานอกบ้านสักครึ่งชั่วโมง พอกลับบ้านมาเขาก็รู้สึกถึงอาการปวดหัวรุนแรง ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน พยายามดื่มน้ำเข้าไปเยอะๆ AJ อ้วกออกมาเรื่อยๆ นานหลายชั่วโมง จนช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืน เขาก็ตัดสินใจที่จะกลับเตียงพยายามข่มตาหลับ หลังจากผ่านไปได้ประมาณ 11 ชั่วโมง พ่อแม่ของเขาเห็นว่า AJ ไม่ยอมตื่นไปเรียนสักที จึงขึ้นไปปลุกแล้วพบว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว ผลชันสูตรเผยว่า เขามีอาการของโรค “อาหารเป็นพิษ” จากเชื้อแบคทีเรีย Bacillus Cereus ซึ่งมีความสามารถในการผลิตสปอร์ และสร้างสารพิษ จากการกินพาสต้าที่เก็บไว้นอกตู้เย็นนานหลายวัน…
-
นักวิทย์บอก “การชนครั้งใหญ่” ในอดีต อาจช่วยให้โลกมีสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่แค่ทำให้เกิดดวงจันทร์
เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเรื่อง “ทฤษฎีการชนครั้งใหญ่” กันมาบ้าง โดยนี่เป็นทฤษฎีที่ว่าในอดีตเมื่อหลายพันล้านปีก่อน โลกของเราเคยชนกับดาวอีกดวงที่มีขนาดใกล้เคียงกับดาวอังคารและทำให้เกิดดวงจันทร์ขึ้น (บางคนก็เรียกดาวนี้ว่า “Theia” ) แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าเมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่ทฤษฎีการชนครั้งใหญ่จะไม่ได้ให้กำเนิดเพียงดวงจันทร์เท่านั้น แต่ยังเป็นที่มาของสิ่งมีชีวิตบนโลกด้วย คงต้องบอกไว้ก่อนว่าสิ่งมีชีวิตแทบทุกชนิดบนโลกนั้นมีส่วนประกอบสำคัญคือ คาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ออกซิเจน ฟอสฟอรัส และกำมะถัน ซึ่งหากขนาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป การที่สิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้นได้อย่างปัจจุบันก็จะเป็นเรื่องที่เป็นไปแทบจะไม่ได้เลย ปัญหาคือจากงานวิจัยของทางมหาวิทยาลัยไรซ์ ในรัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา พวกเขากลับพบว่ามีความเป็นไปได้ ที่โลกในสมัยก่อนจะมีคาร์บอน กำมะถัน และไนโตรเจนในปริมาณที่ต่ำมาก จนถึงไม่มีเลย โดยอ้างอิงจากการที่สารดังกล่าวไม่มีอยู่ในแกนโลก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าในระหว่างที่การเวลาผ่านไปโลกจะต้องได้รับคาร์บอน กำมะถัน และไนโตรเจนมาจากที่ไหนสักแห่งหนึ่ง อย่างอุกกาบาตจากนอกโลก หรือไม่ก็ชนครั้งใหญ่ในกรณีที่ในอดีตมันเคยเกิดขึ้นจริงๆ โดยในงานวิจัยของพวกเขาทีมวิจัยได้อ้างถึงความเป็นไปได้ที่ว่าดาวเคราะห์ที่มาชนกับโลกนั้นน่าจะมีองค์ประกอบหลักของแกนดาวเป็นโลหะที่มีกำมะถันในปริมาณที่สูง ดังนั้นในตอนที่มันชนกับโลกและสร้างดวงจันทร์มันจึงทิ้งสารประกอบสำคัญสำหรับสิ่งมีชีวิต เอาไว้บนโลกไปด้วยนั่นเอง อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับทฤษฎีการชนครั้งใหญ่ที่ถูกอ้างถึงในการทดลอง ทฤษฎีชิ้นนี้เองก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีการพิสูจน์และหาหลักฐานกันในหมู่นักดาราศาสตร์ต่อไป ที่มา foxnews, sciencedaily และ zmescience
-
นักวิทย์พบ หลอดเลือดชนิดใหม่ซ่อนอยู่ภายในกระดูก เชื่อช่วยขนเซลล์ออกจากไขกระดูก
เมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ 2019 นิตยสาร “Nature Metabolism” ได้ทำการตีพิมพ์งานวิจัยของมหาวิทยาลัยดูสบูร์ก ซึ่งได้ออกมาประกาศการค้นพบหลอดเลือดชนิดใหม่ที่ซ่อนอยู่ภายในกระดูก และไม่เคยมีการค้นพบมาก่อนในอดีต โดยจากข้อมูลที่ระบุไว้ในงานวิจัย นักวิทยาศาสตร์พบกับหลอดเลือดชิ้นใหม่ที่ว่านี้ครั้งแรกในกระดูกขาของหนูขนาดเล็ก ด้วยการฉีดสารเคมีที่ทำให้กระดูกของหนูมีสภาพโปร่งใส่ก่อนที่จะพบว่าภายในนั้นมีหลอดเลือดขนาดเล็กๆ กระจายอยู่เป็นจำนวนมาก ภาพของหลอดเลือดชนิดใหม่ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าในกระดูกที่โปร่งใสของหนูมีเส้นกระจายออกมาอยู่ จริงอยู่ว่าตามปกติการค้นพบอะไรในกระดูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะไม่ได้หมายความว่าในกระดูกมนุษย์จะต้องมีสิ่งที่พบอยู่เช่นกันเสมอไป แต่หลังจากที่พบหลอดเลือดชนิดใหม่ที่ว่านี้ หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ก็ตัดสินอาสาตรวจเอ็มอาร์ไอกับขาตัวเองทันที และผลการตรวจสอบก็ออกมาว่ามีโอกาสสูงที่กระดูกของมนุษย์เองก็อาจจะมีหลอดเลือดชนิดใหม่นี้อยู่เหมือนกัน แม้เรื่องที่ว่าไขกระดูกเป็นสถานที่ซึ่งรับหน้าที่ผลิตเซลล์เม็ดเลือด และภูมิคุ้มกันจะเป็นเรื่องที่ทราบกันเป็นอย่างดีในวงการแพทย์ก็ตาม แต่ในปัจจุบันพวกเรากลับยังไม่ทราบว่าเซลล์เม็ดเลือดและเซลล์ภูมิคุ้มกันเหล่านี้ เดินทางออกจากกระดูกไปยังระบบไหลเวียนโลหิตได้อย่างไร ดังนั้นหลอดเลือดที่พบนี้จึงถูกสันนิษฐานว่ามีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการขนย้ายเซลล์เม็ดเลือด และเซลล์ภูมิคุ้มกันจากในกระดูกออกไปสู่ในร่างกายไปนั่นเอง และหากหลอดเลือดเหล่านี้ได้รับการยืนยันว่าทำหน้าที่ขนส่งโลหิตจริงๆ มันก็จะหมายความว่าในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็สามารถไขหนึ่งในปริศนาที่สำคัญที่สุดของร่างกายมนุษย์เลยทีเดียว Matthias Gunzer ผู้นำทีมนักวิทยาศาสตร์ในการทดลองครั้งนี้บอกว่านี่เป็นการค้นพบที่น่าเหลือเชื่อมากๆ เพราะพวกเขานั้นไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าการทดลองของพวกตนเองจะทำให้โลกได้รู้จักกับสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่มีการระบุไว้ในหนังสือเล่มใดๆ มาก่อนในศตวรรษที่ 21 หากเพื่อนๆ สนใจข้อมูลเพิ่มเติมของการค้นพบในครั้งนี้ เพื่อนก็สามารถเข้าไปชมกันได้ที่ ช่อง nature video หรือคลิก ที่นี่ ไม่แน่เหมือนกันว่าการค้นพบของพวกเขาในครั้งนี้ก็อาจจะมีประโยชน์เป็นอย่างมากกับวงการแพทย์ต่อไปในอนาคตเลยก็เป็นได้ ที่มา livescience, newscientist และ sciencealert
-
นักวิจัยเผย ทานของทอดบ่อยๆ เพิ่มอัตราเสี่ยงในการเสียชีวิตมากกว่าคนทั่วไป
หลายครั้งที่นึกไม่ออกว่ามื้อต่อไปจะกินอะไร เรามักจะมองหาตัวเลือกง่ายๆ อย่างเช่น ของทอดต่างๆ โดยเฉพาะไก่ทอด ที่หาซื้อได้ง่าย และอิ่มท้อง เหมาะสำหรับคนที่ต้องใช้พลังงานเยอะๆ ในชีวิตประจำวันแบบเรา เมื่อไม่นานมานี้มีงานวิจัยที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ BMJ พบว่า การทานไก่ทอดบ่อยๆ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ ทำให้ตายก่อนวัยอันควรได้ โดยเฉพาะเพศหญิง เหล่านักวิจัยได้ทำการเก็บข้อมูลจากผู้หญิง 106,966 คน ซึ่งมีอายุ 50-79 ปี ตั้งแต่ 18 ปีที่แล้วจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2017 โดยสำรวจว่าพวกเธอทานของทอดจำพวก ไก่ทอด ปลาทอด หรือเฟรนช์ฟรายส์บ่อยขนาดไหน และผลที่ได้คือจากจำนวนผู้หญิงที่เสียชีวิตกว่า 31,588 คน กว่า 8,358 คนเสียชีวิตจากโรคหัวใจ ซึ่งสาเหตุหลักๆ ก็มาจากการรับประทานของทอดบ่อย Wei Bao ผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก University of Iowa ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัยได้ให้สัมภาษณ์ว่า “เราทราบดีว่าการรับประทานของทอดเป็นเรื่องธรรมดาของชาวอเมริกาและประเทศอื่นๆ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ถึงผลเสียต่อสุขภาพที่มาจากการทานของทอด” นอกจากนั้นผลการศึกษายังบอกอีกว่าคนที่ทานของทอดมากกว่าหนึ่งครั้งต่อวัน จะเพิ่มอัตราความเสี่ยงในการเสียชีวิตถึงร้อยละ 8 โดยการทานไก่ทอดจะทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 13…
-
งานวิจัยใหม่บอก ตลอดช่วงเวลา 1 ล้านปีที่ผ่านมา มนุษย์มีการวิวัฒนาการช้ากว่าลิงเสียอีก
ในปัจจุบันมนุษย์อยู่ในจุดที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกสายพันธุ์หนึ่งเลยก็ว่าได้ พวกเราสามารถสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แถมยังแพร่พันธุ์ไปแทบจะทั่วโลกอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกัน ความประสบความสำเร็จของมนุษย์เองก็ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเริ่มตั้งข้อสงสัยว่ามนุษย์อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาจจะไม่มีวิวัฒนาการอีกต่อไปแล้วในเร็วๆ นี้ แต่เรื่องที่น่าสนใจคือ เมื่อล่าสุดนี้เองในงานวิจัยร่วมของมหาวิทยาลัยอาร์ฮุส และสวนสัตว์โคเปนเฮเกนพวกเขากลับพบว่า มนุษย์นั้นเรามีอัตราการวิวัฒนาการที่ช้ามาตั้งแต่ในสมัยก่อนแล้ว นั่นเพราะหากนำจีโนมของมนุษย์ในสกุล Homo ตลอดช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมา ไปเทียบกับสัตว์ที่มีรูปร่างใกล้เคียงอย่าง ลิงชิมแปนซี กอริลลา และลิงอุรังอุตังแล้ว เราจะพบว่ามนุษย์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงทางจีโนมที่น้อยมากๆ เลย Carl หนึ่งในลิงที่ถูกใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ การวิจัยในครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การหาจีโนมชนิดใหม่ของในกลุ่มครอบครัว ซึ่งสังเกตได้จากการเปรียบเทียบจีโนมของพ่อแม่กับลูกๆ โดยหากลูกๆ มีจีโนมที่ไม่ปรากฏในรุ่นก่อนๆ มันก็จะหมายความว่ารุ่นลูกมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นนั่นเอง โดยเมื่อดูจากผลการทดลองแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ามนุษย์นั้นมีอัตราการกลายพันธุ์น้อยกว่าลิงถึงราวๆ 33% แถมยังมีวี่แววที่จะลดลงไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่อาจฟันธงได้แน่ชัดว่าเพราะอะไรก็ตาม อย่างไรก็ตามการที่เราพบว่ามนุษย์มีการวิวัฒนาการที่ช้าลงตั้งแต่ช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมานั้นก็นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมากๆ เพราะนอกจากงานวิจัยนี้จะบอกว่ามนุษย์เราแทบจะไม่มีการวิวัฒนาการเลยแล้ว มันยังสามารถหมายความว่าช่วงเวลาที่มนุษย์สายพันธุ์นีเอนเดอร์ธัลแยกออกไปจากสายพันธุ์มนุษย์นั้นจริงๆ แล้วอาจเกิดขึ้นช้ากว่าที่เราคิดก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามข้อสังเกตที่ว่านี้ยังคงต้องมีการพิสูจน์กันต่อไปในอนาคต โครงกระดูกของมนุษย์สายพันธุ์นีเอนเดอร์ธัล ที่มา scitech, newsweek และ sciencedaily
-
สถิติล่าสุด เกือบ 1 ใน 50 ของ “วัยรุ่นอเมริกัน” ยอมรับว่าตนเองเป็น “บุคคลข้ามเพศ”!!
“บุคคลข้ามเพศ” หมายถึงคนที่มีเพศภาวะไม่ตรงกับเพศสภาพของตัวเอง เกิดมาเป็นหญิงแต่มีจิตใจเป็นชาย หรืออาจเกิดมาเป็นชายหรือมีจิตใจเป็นหญิงก็ได้ แน่นอนว่าในปัจจุบันเริ่มมีการยอมรับและเปิดกว้างเกี่ยวกับเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น ทำให้บุคคลข้ามเพศกล้าที่จะเปิดเผยตัวเองอย่างเต็มที่ แต่เราอาจไม่รู้เลยว่ามีคนกลุ่มนี้อยู่มากขนาดไหน บุคคลข้ามเพศ ก็คือส่วนหนึ่งของ “กลุ่มบุคคลเพศทางเลือก” (LGBTQ) ล่าสุดในวันที่ 24 มกราคม 2019 จากการรายงานสถิติของ ศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) กล่าวว่า “วัยรุ่นระดับชั้นมัธยม” ทั่วประเทศนั้นมีคนยอมรับว่าตนเองเป็นบุคคลข้ามเพศมากถึง 1.8 เปอร์เซ็นต์ กล่าวคือคิดเป็นจำนวนเกือบ 1 ใน 50 ของวัยรุ่นทั้งหมดนั้น ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในขณะที่มี 1.6 เปอร์เซ็นต์ที่บอกว่า “ยังไม่แน่ใจ” ว่าใช่บุคคลข้ามเพศหรือเปล่า สถิติการศึกษาล่าสุดนี้ ทำให้รัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาเริ่มกังวลและใส่ใจที่จะดูแลกลุ่มบุคคลข้ามเพศมากยิ่งขึ้น ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ถูกยกขึ้นมาพูดถึงก็คือเรื่องของ “การใช้ห้องน้ำ” เพราะยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า “ควรให้คนเหล่านั้นใช้ห้องน้ำตามเพศสภาพจริงตั้งแต่เกิด หรือเพศภาวะกันแน่” การศึกษาในครั้งนี้ยังพบอีกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ของวัยรุ่นที่ยอมรับว่าตนเองเป็นบุคคลข้ามเพศ “เคยพยายามฆ่าตัวตาย” ในปี 2018 ที่ผ่านมา นั่นเป็นเพราะว่ายังคงมีการกลั่นแกล้งกลุ่มบุคคลข้ามเพศภายในโรงเรียนอยู่เสมอ…
-
งานวิจัยใหม่เผย ก้อนหินที่นักบินอวกาศเก็บมาจากดวงจันทร์ จริงๆ แล้วอาจเคยเป็นของโลก
ในตอนที่นักบินของอะพอลโล 14 บินขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ในปี 1971 พวกเขาได้หยิบหินจากดวงจันทร์กลับมายังโลกก้อนหนึ่ง ซึ่งในแม้ว่าหินก้อนนี้จะมีคนสนใจอยู่มาก แต่สุดท้ายมันก็ถูกมองเป็นเพียงก้อนหินจากดวงจันทร์ธรรมดาๆ เท่านั้น แต่จากการตรวจสอบครั้งล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ ก้อนหินก้อนดังกล่าวจะไม่ใช่แค่ก้อนหินจากดวงจันทร์เฉยๆ แต่มีชิ้นส่วนของก้อนหินจากโลกที่ปลิวขึ้นไปบนดวงจันทร์ เมื่อราวๆ 4 พันล้านปีก่อนอยู่ด้วย จุดที่ลูกศรชี้คือชิ้นส่วนที่เชื่อกันว่ามาจากโลก นั่นเพราะในก้อนหินที่พบนั้นมีปริมาณของควอตซ์ เฟลด์สปาร์ และเพทาย ผสมอยู่ถึง 2 กรัม ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับดวงจันทร์ที่ไม่ค่อยมีแร่ทั้งสามชนิดนี้ แถมจากการทดลองทางเคมีการตกผลึกของหินก้อนนี้ยังเกิดขึ้นในสถานที่ที่มีกระบวนการออกซิไดซ์อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้บนดวงจันทร์ที่ไม่มีออกซิเจน นั่นทำให้แทนที่จะบอกว่าก้อนหินก้อนนี้อยู่บนดวงจันทร์มาตั้งแต่ต้น มันมีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะบอกว่าก้อนหินนี้เคยอยู่ใต้ผืนโลกมาก่อน และปลิวออกไปยังดวงจันทร์ด้วยแรงกระแทกจากอะไรบางอย่าง (อาจเป็นอุกกาบาต) เมื่อ 4 พันปีก่อน ด้วยความที่ในสมัยนั้นดวงจันทร์จะอยู่ใกล้โลกกว่าในปัจจุบันถึง 3 เท่า ชิ้นส่วนชิ้นนี้จึงพุ่งไปถึงพื้นผิวของดวงจันทร์ได้ไม่ยาก มันละลายและฝังลงไปในพื้นผิวดวงจันทร์นานหลายพันปี ส่วนหนึ่งของก้อนหินดังกล่าวถูกขุดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อราวๆ 26 ล้านปีก่อนจากการที่พื้นที่ใกล้ๆ ถูกชนด้วยอะไรบางอย่าง (อาจจะเป็นหินจากโลกอีกก้อน) จนเป็นหลุมขนาด 340 เมตร และถูกเก็บกลับมาบนโลกในที่สุดเมื่อ 47 ปีที่แล้ว หลุมขนาด 340 เมตร…
-
“สุดยอดอึ” สิ่งที่สามารถช่วย “เยียวยาผู้ป่วย” ในหลายๆ โรคได้อย่างน่าเหลือเชื่อ!!
พวกเราส่วนใหญ่อาจมองแค่ว่า “อึ” หรือ “อุจจาระ” นั้นเป็นเพียงแค่ของเสียที่ถูกขับออกมาจากร่างกาย แต่สำหรับทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์แล้วมันคือสิ่งที่มีประโยชน์ในแบบที่เราอาจไม่เคยคาดคิดกันมาก่อน นี่จึงเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับอึ จากปากของ “ผู้บริจาคอึ” อย่าง Claudia Campanella เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือนักศึกษาวัย 31 ปี มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร Claudia ผู้บริจาคอึเพื่องานวิจัย ในครั้งแรกนั้น เธอบังเอิญได้ไปเจอกับบทความงานวิจัยที่บอกว่า “การกินอาหารแบบวีแกน” เป็นกลุ่มที่เหมาะที่สุดในการบริจาคอึ อันเกิดมาจากสุขภาพภายในท้องที่ดีกว่าการกินอาหารแบบอื่น การขยับของลำไส้ที่ดีกว่า และอื่นๆ เธอยังได้เห็นบทความสารคดีงานวิจัยเกี่ยวกับการ “ปลูกถ่ายอุจจาระ” เพื่อช่วยเยียวยารักษาอาการของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ออทิสซึ่ม โรคอ้วน และอาการป่วยภายในลำไส้อื่นๆ อีกมากมาย เมื่อเธอรู้ว่าการที่เธอเป็นวีแกนนั้นจะสามารถทำประโยชน์ให้กับงานวิจัยนี้เหล่าได้ดีที่สุด โดยอึของเธอนั้นจะถูกเรียกว่า “สุดยอดอึ” (Super Poo) เธอจึงตัดสินใจที่จะเป็นผู้บริจาคอึนับตั้งแต่ตอนนั้น ปัจจุบัน Claudia เป็นส่วนหนึ่งขอการศึกษาวิจัยด้าน ระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเจาะจงไปยังการใช้อึเยียวยาโรคตับแข็ง สำหรับเรื่องของ “การใช้อึรักษาผู้ป่วย” นั้น ดอกเตอร์ Justin O’Sullivan…
-
นักจิตวิทยาเผย 10 พฤติกรรมด้านลบ ที่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอาการทางจิต
เชื่อว่าหลายคนคงมีพฤติกรรมที่อาจจะเข้าข่ายคำว่า “นิสัยไม่ดี” ซึ่งพฤติกรรมเชิงลบที่ทำต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานาน จนติดเป็นนิสัย ยกตัวอย่างเช่น การบีบสิว ดึงผม กัดเล็บ เป็นต้น หลายคนอาจจะเคยพยายามลด ละ เลิก พฤติกรรมแย่ๆ ที่ติดเป็นนิสัยเหล่านั้น แต่ก็อยากที่จะหักห้ามใจไม่ให้ทำได้ Dr. Dara Bushman นักจิตวิทยาคลินิกได้บอกไว้ว่า พฤติกรรมด้านลบจะกลายเป็นปัญหาเมื่อทำบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถควบคุมได้ ถ้าคุณสงสัยว่าพฤติกรรมแบบไหนบ้าง ที่บ่งบอกนิสัยที่ไม่ดี และเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณเริ่มมีอาการทางจิต ให้คุณลองสำรวจว่าตัวเองกำลังทำสิ่งเหล่านี้อยู่หรือไม่ 1. เสพติดพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ อย่างเช่นการดูรูปที่ทำให้รู้สึกหดหู่ 2. นอนน้อย จนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน 3. จมอยู่กับความเศร้า 4. เข้มงวดในเรื่องการเลือกรับประทานอาหาร จำกัดปริมาณและคำนวณแคลอรี 5. ทำตัวขี้เกียจ เหนื่อยง่าย ไร้แรงบันดาลใจ 6. สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นแค่ชั่วคราว เลิกรากับคู่รักบ่อยครั้ง 7. ตื่นตัวตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากความกังวลใจ 8.…
-
ชม 5 ประโยชน์สุดแปลกของ “ปัสสาวะ” และ “อุจจาระ” ที่แม้จะไม่น่าเชื่อแต่ก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าปัสสาวะและอุจจาระสามารถนำไปดัดแปลงเป็นของที่มีประโยชน์อย่างปุ๋ยได้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าด้วยวิทยาการในปัจจุบันประโยชน์ของปัสสาวะและอุจจาระนั้นไม่ได้หยุดอยู่แต่ที่ปุ๋ยอีกต่อไปแล้ว มันสามารถนำไปทำของอย่างน้ำหอม อาหาร หรือแม้กระทั่งเชื้อเพลิงได้ ซึ่งแม้ว่าบางอย่างที่กล่าวมาจะฟังดูแปลกๆ อยู่บ้าง แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเลยในเวลาเดียวกัน และด้วยเหตุนี้เองในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 5 ประโยชน์สุดแปลกของปัสสาวะและอุจจาระที่แม้จะฟังดูไม่น่าเชื่อแต่ก็เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน เริ่มกันจากการนำอุจจาระไปทำน้ำหอม นี่เป็นการใช้งานของสิ่งที่เราเรียกกันว่า “อำพันทะเล” (Ambergris) ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันคือ “ขี้หรืออ้วก” ของวาฬสเปิร์ม ซึ่งแม้ว่าจะมีกลิ่นแรงมาก แต่หากปล่อยเอาไว้สักพักจะมีกลิ่นหอม จนนิยมใช้ในวงการน้ำหอมมาอย่างยาวนานและมีราคาแพงสุดๆ เท่านั้นยังไม่พอเพราะในอดีตอำพันทะเลยังถูกเอาไปทานเป็นอาหารของคนมีเงินในสหรัฐอเมริกาด้วยนะ ใช้ปัสสาวะย้อมสีหนังสือ นี่เป็นความสามารถของปัสสาวะที่ถูกใช้งานในคัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาใหม่ของชาวไบแซนไทน์เมื่อราวๆ 1,500 ปีก่อน โดยเป็นการอาศัยเชื้อรา “Roccella tinctoria” ที่อยู่ในฉี่หมักเพื่อให้หน้าหนังสือมีสีออกโทนม่วงงดงาม ก่อนที่จะเขียนด้วยหมึกสีทองหรือเงินอีกที เอาอุจจาระไปทำสเต๊ก นี่เป็นการทดลองชวนคลื่นไส้ที่ถูกคิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นในปี 2011 หลังจากที่พวกเขาพบว่าเราสามารถสกัดโปรตีนจากแบคทีเรียในอุจจาระของมนุษย์ได้ ดังนั้นเมื่อเอาโปรตีนที่สกัดออกมาไปผสมกับคาร์โบไฮเดรตและไขมันนักวิทยาศาสตร์ ก็สามารถสร้างอาหารที่มีลักษณะคล้ายเนื้อสัตว์หรือสเต๊กออกมาได้นั่นเอง อย่างไรก็ตามหากเพื่อนๆ สนใจจะทานเนื้อเหล่านี้จริงๆ ทางนักวิทยาศาสตร์ก็เตือนว่าควรจะทำ “เนื้อ” เหล่านี้ไปปรุงให้สุกก่อนเพื่อป้องกันการปนเปื้อนที่อาจจะติดมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เอาปัสสาวะไปเป็นเชื้อเพลิงหุ่นยนต์ นี่เป็นการทดลองที่เกิดขึ้นกับหุ่นยนต์ชื่อ EcoBots จากมหาวิทยาลัยบริสตอลโดยมีเป้าหมายที่จะทำหุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยของเสียโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสีย ขยะบางชนิด หรือแม้กระทั่งปัสสาวะ…
-
18 ภาพหมวกกันน็อค ที่ผ่านการใช้งานแล้ว ไม่ได้ไว้ใช้กันตำรวจ แต่เพื่อชีวิตของผู้ขับขี่
‘ปลอดภัยใส่หมวก’ คำง่ายๆ แต่ความหมายสุดลึกล้ำ คำง่ายๆ ที่เธอใช้ประจำ ซ้ำไปซ้ำมา เพราะถูกนำมาใช้รณรงค์ให้สวมใส่หมวกกันน็อคทุกครั้ง เมื่อขับขี่รถจักรยานยนต์ หากไม่สวมใส่จะโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจโบกมือทักทาย และต้องจ่ายค่าปรับเนื่องจากผิดกฎหมายจราจร อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงเสียชีวิตเมื่อประสบอุบัติเหตุ แม้จะรณรงค์กันมานานแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมีผู้ที่มองข้ามประโยชน์ของหมวกกันน็อคให้เห็นอยู่เป็นประจำ เพราะฉะนั้นแล้ว เรามาดูตัวอย่างหมวกกันน็อคที่ผ่านการใช้งานจริงจากต่างประเทศ พิสูจน์ให้เห็นว่ามันสามารถช่วยชีวิตคุณได้จริงๆ ตัวอย่างของหมวกกันน็อคที่ช่วยชีวิตผู้ขับขี่มาได้ ชาวเน็ตแชร์ภาพหมวกกันน็อค เป็นใบที่ทำให้เขารอดชีวิตจากอุบัติเหตุ หมวกนิรภัยประเภทอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ไม่อยากจะนึกสภาพใบหน้า ที่ไม่มีหมวกกันน็อคป้องกัน แม้จะไม่ได้ขับขี่จักรยานยนต์ แต่ปั่นจักรยานหรืออื่นๆ ป้องกันตัวเองไว้ก่อนจะดีที่สุด หากไม่สวมหมวกในวันนั้น อาจจะรุนแรงมากกว่านี้ มันมีประโยชน์ในแบบที่มันควรจะเป็น . . สภาพที่ยับเยินผ่านการใช้งานมาแล้ว สวมหมวกทุกครั้งเมื่อขับขี่ โดยเฉพาะหมวกเต็มใบ ปกป้องทุกส่วนของศีรษะ เขาเล่าว่าเมื่อ 9 ปีที่แล้วโดนรถชน ขาทั้งสองข้างกับแขนขวาหัก แต่ยังดีที่มีหมวกช่วยเอาไว้ วันใดวันหนึ่งคุณจำเป็นจะต้องใช้มัน . .…
-
เจ้าของ “Virgin Group” สะเทือนใจ สำรวจหลุมลึกใต้ทะเล Great Blue Hole แล้วพบ “ขยะพลาสติก”
สำหรับคนที่ชื่นชอบธรรมชาติ ทะเล และสิ่งลึกลับบนโลกใบนี้ คงจะเคยเห็นภาพของ Great Blue Hole หรือ หลุมน้ำเงินคราม ในหมู่เกาะทางตะวันออก ประเทศเบลิซ ในแถบอเมริกากลาง อย่างแน่นอน หลุมดังกล่าวได้สร้างความรู้สึกอัศจรรย์และความอยากรู้อยากเห็นให้แก่ทุกคน ว่าภายในหลุมสีน้ำเงินนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ มันอาจเป็นประตูสู่มิติอื่น หรือ อาจมีอะไรลึกลับซ่อนอยู่ก็เป็นได้ ล่าสุด Richard Branson ซีอีโอและผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท Virgin Group ได้ลงไปสำรวจหลุมดังกล่าว แต่สิ่งที่เขาเจอกลับเป็นสิ่งที่น่าสะเทือนใจ https://www.instagram.com/p/Bq9y0nWhPtC เขาเล่าว่าเขาเดินทางลงไปโดยใช้เรือดำน้ำ Aquatica Submarine ซึ่งเป็นเรือดำน้ำขนาดเล็กที่สามารถมองสิ่งแวดล้อมภายใต้ท้องทะเลได้ ภายในหลุมดังกล่าวมีลักษณะเหมือนถ้ำที่มีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก คาดว่าบริเวณดังกล่าวเคยเป็นพื้นดินมาก่อน ก่อนจะถูกการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและภูมิศาสตร์ทำให้มันจมลงสู่ท้องมหาสมุทร เมื่อเขาสำรวจลงลึกไปเรื่อยๆ เขาก็ผ่านชั้นไฮโดรเจนซัลไฟด์ซึ่งก่อตัวมาหลายร้อยปี เขาบอกว่าบริเวณดังกล่าวน่ากลัวมาก และไม่คาดหวังว่าจะเจอสิ่งมีชีวิตใดๆ ในบริเวณนี้ ในที่สุดเขาก็มาถึงก้นของหลุมดังกล่าวซึ่งมีความลึกประมาณ 125 เมตรจากระดับน้ำทะเล เขาได้เห็นซากของปู หอย และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งตายไปนานแล้วจากการขาดอ็อกซิเจน และเขายังได้เจอกับอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เขาสะเทือนใจ นั่นก็คือ “ขวดพลาสติก” Branson กล่าวว่า ขยะพลาสติกและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศคือตัวการสำคัญที่ทำลายสิ่งแวดล้อม เขาหวังว่าผู้คนจะตระหนักรู้ถึงปัญหานี้ในเร็ววัน…
-
รู้จักกับ Black Mambas กองกำลังต่อต้านการล่าสัตว์หญิงสุดแกร่งแห่งแอฟริกาใต้
เป็นที่ทราบกันดีว่า จำนวนของสัตว์ป่าในทวีปแอฟริกายังคงลดลงอย่างต่อเนื่องจากการล่าสัตว์อย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาสัตว์ป่าหายากอย่าง แรด ช้าง หรือ เสือ เพื่อปกป้องและป้องกันเหล่าสัตว์ป่าหายาก จึงมีการจัดตั้งหน่วยลาดตระเวนหรือกองกำลังเพื่อคอยดูแลสัตว์ป่าเหล่านั้น ซึ่งพูดถึงกองกำลังหรือหน่วยลาดตระเวน หลายคนอาจจะนึกถึงกองกำลังที่เป็นผู้ชายขึ้นมาก่อน แต่รู้หรือไม่ ในแอฟริกาใต้ มีกองกำลังต่อต้านการล่าสัตว์ที่เป็น “ผู้หญิง” อยู่ด้วย กองกำลังดังกล่าวมีชื่อว่า Black Mambas กองกำลังต่อต้านการล่าสัตว์ที่มีสมาชิกส่วนมากเป็นผู้หญิง (มีผู้ชายเพียง 2 คนเท่านั้นในหน่วย) ประจำการในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ Balule ในอุทยานแห่งชาติ Greater Kruger ในประเทศแอฟริกาใต้ หน้าที่หลักๆ ของกองกำลังดังกล่าวคือปกป้องและป้องกันเหล่าประชากรแรดที่เหลือน้อยเต็มที แต่สิ่งที่กองกำลัง Black Mambas แตกต่างจากกองกำลังต่อต้านการล่าสัตว์อื่นๆ คือพวกเธอไม่ใช้ “ปืน” พวกเธอเชื่อว่าการต่อสู้ไม่จำเป็นต้องใช้กระสุนปืน เป้าหมายของพวกเธอไม่ใช่การสังหารเหล่านายพรานผิดกฎหมาย แต่เป็นการช่วยชีวิตเหล่าแรดป่าต่างหาก งานแต่ละวันของพวกเธอนั้นล้วนแต่อยู่ในพื้นที่อุทยาน พวกเธอจะเดินลาดตระเวนไปเรื่อยๆ เพื่อตรวจหากับดักที่เหล่านายพรานวางเอาไว้ รวมถึงตรวจหาร่องรอยของเหล่านายพรานที่เข้ามาตั้งแคมป์เพื่อล่าสัตว์ หากพวกเธอเจอกับเหล่านายพรานแบบต่อหน้า สิ่งที่พวกเธอทำคือเรียกกำลังเสริมผ่านวิทยุสื่อสาร การเดินลาดตระเวนในทวีปแอฟริกากลางวันแสกๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ พวกเธอต้องเผชิญกับอุณหภูมิราวๆ 40 องศาเซลเซียส รวมถึงอันตรายจากสัตว์ป่าต่างๆ มากมาย แต่นั่นไม่ได้บั่นทอนกำลังใจของพวกเธอแต่อย่างใด …
-
นึกไม่ออกว่า ‘แสง’ เดินทางเร็วแค่ไหน แอนิเมชั่นจาก NASA ระบุ วนรอบโลกได้ 7.5 รอบ/วินาที
คุณเคยคิดสงสัยมั้ยว่า แสงสว่างที่เดินทางมาจากดวงอาทิตย์นั้น เดินทางข้ามสุญญากาศมาจนถึงพื้นผิวโลกด้วยความเร็วเท่าไหร่? ซึ่งโดยนิยามแล้วจะอยู่ที่ 299,792,458 เมตร/วินาที หรือ 1,080,000,000 กิโลเมตร/ชั่วโมง อีกทั้งด้วยระยะห่างของโลกกับดวงอาทิตย์วัดด้วยระยะห่างปีแสง ก็ยิ่งทำให้คิดว่ามันไกลเหลือเกิน แต่แสงสามารถเดินทางมาถึงผิวโลกได้อย่างรวดเร็วจากอัตรานิยามข้างต้น แค่ขับรถเกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ว่าเร็วแล้วนะ… แต่ถ้าคุณอยากจะเห็นภาพว่าแสงเดินทางด้วยความเร็วแสงเนี่ย มันจะเป็นแบบไหนด้วยอัตราเฉลี่ย 300 ล้านเมตรต่อวินาที แอนิเมชั่นชุดล่าสุดโดย James O’Donoghue นักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์จาก NASA จะมาเฉลยให้หายคาใจกัน James O’Donoghue คลิปวิดีโอแรก เป็นคลิปที่ให้ความกระจ่างในเรื่องของความเร็วแสง เมื่อนำแสงมาวิ่งวนรอบโลก ด้วยอัตราความเร็วตามทฤษฎี แสงจะสามารถวิ่งวนรอบโลกได้ 7.5 รอบ ภายใน 1 วินาที (เจ็ดรอบครึ่งต่อวินาที) เมื่อแสงเดินทางวนรอบโลก ทั้งนี้ จากคลิปก็ถูกนำมาใช้อธิบายในเรื่องของการส่งสัญญาณติดต่อสื่อสารกับหุ่นยนต์สำรวจบนดาวอังคาร กว่าจะส่งสัญญาณไปถึงและส่งสัญญาณกลับมา ทำไมถึงต้องรอเป็นระยะเวลานาน เพราะสัญญาณคลื่นไม่ได้มีความเร็วเท่าแสง อีกทั้งยังเป็นการยากที่จะส่งคลื่นติดต่อสื่อสารกับดาวเคราะห์อื่นๆ ที่อยู่นอกระบบสุริยะ …
-
งานวิจัยใหม่บอกปรากฏการณ์ “ภาพมองตามผู้ชม” มีอยู่จริง แต่ไม่ใช่กับ “ภาพโมนาลิซา”
เวลาชมภาพที่มีชื่อเสียง เคยรู้สึกไหมว่าดวงตาของคนในภาพมองตามเราไปทุกที่? นี่คือปรากฏการณ์ที่เหล่าคนที่คลุกคลีอยู่กับวงการภาพวาดรู้จักกันเป็นอย่างดี และตั้งชื่อให้มันว่า “Mona Lisa Effect” โดยจากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ ปรากฏการณ์ Mona Lisa Effect มักจะเกิดขึ้นในกรณีที่ดวงตาของคนในภาพทำมุม 0-5 องศา ซึ่งจะเป็นมุมที่ทำให้คนที่มองภาพเกิดการเข้าใจผิดไปเองว่าตัวเองถูกภาพ “มองตาม” อยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่า Mona Lisa Effect เป็นปรากฏการณ์ที่ได้รับชื่อมาจากภาพวาดของ “เลโอนาร์โด ดา วินชี” เมื่อปี ค.ศ. 1503 อย่าง “ลาโจกอนดา” หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “โมนาลิซา” แต่เชื่อหรือไม่ว่าภาพของโมนาลิซาที่ถูกนำชื่อมาตั้งเป็นชื่อปรากฏการณ์ กลับไม่ได้มีความสามารถในการทำให้เกิด Mona Lisa Effect แต่อย่างใด ความขัดแย้งกันเองอย่างไม่น่าเชื่อนี้เกิดขึ้นเมื่อนักจิตวิทยา Gernot Horstmann ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับ Mona Lisa Effect แล้วสังเกตว่าหากมองภาพของโมนาลิซาดีๆ เขาจะรู้สึกตัวว่าเธอนั้นไม่ได้มองมาที่เขาโดยตรง แต่มองไปที่ทางขวาของเขาเล็กน้อยต่างหาก เมื่อรู้สึกตัวเช่นนี้ Horstmann จึงได้นำภาพโมนาลิซาไปให้อาสาสมัครอีก 24 คนดูทันที…
-
พบสิ่งมีชีวิตในทะเลสาบใต้น้ำแข็งหนา 1 ก.ม. ที่แอนตาร์กติกา เป็นครัสเตเชียและหมีน้ำ
ทะเลสาบเมอร์เซอร์ เป็นทะเลสาบในทวีปแอนตาร์กติกาที่มีจุดเด่นอยู่ที่การที่ตัวทะเลสาบถูกฝังอยู่ใต้น้ำแข็งหนา 1 กิโลเมตร ซึ่งหากคิดกันตามปกติแล้ว ไม่น่าที่จะมีสิ่งมีชีวิตใดๆ ไปอาศัยอยู่ได้ และแทบจะไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน แต่แล้วเมื่อวันที่ 26 ธันวาคมปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา ทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้รับทุนจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกาในการนำสว่านน้ำแรงดันสูงเจาะลงไปใต้พื้นน้ำแข็ง เจาะเอาตัวอย่างโคลนใต้น้ำแข็งขึ้นมาตรวจสอบ มันเป็นโคลนที่เก็บเอาต้นไม้ เห็ดรา และตะไคร่น้ำ จากเมื่อราวๆ หนึ่งล้านปีก่อนในสมัยที่แอนตาร์กติกายังคงอบอุ่นเอาไว้ อย่างไรก็ตามหลังจากที่การตรวจสอบดำเนินไปสักพักนักวิทยาศาสตร์ก็พบกลับเรื่องน่าสนใจเขาจนได้ นั่นเพราะที่ใต้น้ำแข็งหนากว่า 1 กิโลเมตรนั้น พวกเขากลับพบ “ครัสเตเชีย” สัตว์น้ำที่มีรูปร่างคล้ายกุ้ง และ “หมีน้ำ” (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ “ทาร์ดิเกรด”) สัตว์ 8 ขาขนาดเล็ก ที่มีขนาดตัวเพียงราวๆ 1 มิลลิเมตรอยู่ที่นั่น สำหรับทีมนักสำรวจแล้ว การค้นพบในครั้งนี้นับว่าเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงมาก เพราะแม้ว่าสัตว์อย่างหมีน้ำจะได้ชื่อว่ามีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูงก็ตาม แต่สถานที่ที่ใกล้เคียงที่สุดที่เป็นแหล่งอาศัยที่เหมาะสมของมันก็อยู่ห่างจากที่แห่งนี้ถึง 80 กิโลเมตรเลยทีเดียว ความแปลกประหลาดนี้ นั่นทำให้เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2019 ที่ผ่านมา ทางนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการส่งสัตว์นำที่พบไปทำการตรวจสอบ DNA…
-
ผู้ปกครอง “โดนปรับ” กว่า 40,000 บาท หาก “ให้ลูกขาดเรียน” ไปเที่ยวช่วงเปิดเทอม
ในวัยเด็ก เพื่อนๆ อาจเคยต้องลาเรียนเพื่อเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัวผู้ปกครอง แต่หากใครทำอย่างนั้นในเขต Lancashire ประเทศอังกฤษล่ะก็ คนเป็นพ่อเป็นแม่จะต้องเสียค่าปรับการหลายหมื่นบาทเลยนะ!! จากการรายงานในวันที่ 20 มกราคม 2019 เผยว่าทางสภาเขต Lancashire ได้ออกมาตรการ “ปรับเงินผู้ปกครอง” ถ้าหากว่าพวกเขาให้ลูกขาดเรียนเพื่อไปเที่ยวกันในช่วงเปิดเทอม สำหรับจำนวนเงินค่าปรับนั้นก็ถือว่าสูงไม่เบาเลยทีเดียว สูงสุดอยู่ที่ 1,000 ปอนด์ (ราวๆ 40,882 บาท) ต่อเด็กหนึ่งคนกับผู้ปกครองหนึ่งคน ง่ายๆ เลยก็คือ สมมุติมีลูกคนเดียว คนเป็นพ่อก็ต้องเสีย 1,000 คนเป็นแม่เสียอีก 1,000 รวมเป็น 2,000 ปอนด์ แต่หากพาลูก 2 คนไปเที่ยวพร้อมกัน คนเป็นพ่อก็ต้องจ่าย 2,000 ส่วนคนเป็นแม่ก็ต้องจ่ายอีก 2,000 รวมแล้วเป็น 4,000 ปอนด์ หรือกว่า 163,000 บาท!! นี่ถือว่าเป็นการเพิ่มค่าปรับขึ้นมาให้สูงกว่าเดิมมาก จากตอนแรกที่ผู้ปกครองจะโดนปรับในกรณีดังกล่าวสูงสุดเพียงแค่ 120 ปอนด์…
-
อากาศร้อนจัด… “ประเทศออสเตรเลีย” พุ่งทะยาน 48 องศาฯ !! ถนนถึงกับละลาย?!
เพื่อนๆ หลายคนอาจได้ยินข่าวของพนักงานคาเฟ่ในออสเตรเลียทิ้ง “เนื้อดิบ” เอาไว้ในรถ แต่พอกลับมาอีกทีมันกลับสุกชนิดที่ว่าอยู่ในระดับ Well-Done ไปแล้ว?! อ่านข่าวเก่าได้ที่ลิงก์: พนักงานคาเฟ่ออสเตรเลีย ทิ้งเนื้อดิบเอาไว้ในรถ ผ่านไป 4 ชม. เนื้อสุก ชาวเน็ตสงสัยปลอมรึเปล่า!! แม้เรื่องดังกล่าวยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือ ณ ตอนนี้ประเทศออสเตรเลียถือว่ามีอุณหภูมิความร้อนที่สูงเกินค่าเฉลี่ยเอามากๆ พุ่งสูงถึง 48 องศาเซลเซียสเข้าไปแล้ว!! จากการรายงานทางด้านภูมิอากาศในออสเตรเลียล่าสุด เผยให้เห็นภาพแผนที่สภาพอากาศที่มีบางที่ถึงกับเป็นสีดำ นั่นหมายความว่ามีอุณหภูมิความร้อนที่สูงมากนั่นเอง ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ อุณหภูมิได้พุ่งขึ้นไปสูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945) ขึ้นไปแตะ 41 องศาฯ ในช่วงกลางเดือนมกราคม 2019 ที่ผ่านมานี้ วันที่ 17 มกราคม อุณหภูมิในเมืองพอร์ทออกัสตา ทางตอนใต้ของประเทศ อุณหภูมิก็พุ่งสูงถึง 46 องศาฯ ในขณะที่วันก่อนหน้านั้น เมือง White Cliffs ก็ร้อนถึง 48.2 องศาฯ สูงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกสถิติมาเลย…
-
นี่คือ 19 ภาพที่จะมาพิสูจน์ให้เห็นว่า ‘ออสเตรเลีย’ เป็นที่ที่ไม่เหมือนใครในโลก แถมอยู่ยากอีก!!
ขึ้นชื่อมาแต่ไหนแต่ไรแล้วสำหรับประเทศ ‘ออสเตรเลีย’ ในเรื่องของการมีสัตว์แปลกๆ และมีพิษมากมาย แต่ในวันนี้เราจะไปดูเรื่องอื่นๆ กันบ้าง แล้วจะรู้ว่าประเทศนี้มีอะไรแปลกๆ รอให้เราไปสัมผัสอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศหรือผู้คน พวกเขาก็นับได้เป็นปัจเจกในโลกซะจริงๆ แล้วก็ยากด้วยที่ใครจะมาเลียนแบบ เอาล่ะพร้อมกันแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นลองไปดูเรื่องราวแปลกๆ ต่างๆ ของพวกเขากันเลยดีกว่า ในปี 1859 มีกระต่าย 24 ตัวถูกนำมาปล่อยในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งในเวลาต่อมมันได้ขยายพันธุ์กันจนมีนับล้านๆ ตัว คุณสามารถที่จะเจอน้องจิงโจ้ได้ในทุกๆ ที่ ย้ำทุกๆ ที่ เพราะที่นั่นมันร้อนเอามากๆ จนคุณต้องคบพัดลมหรือแอร์เป็นเพื่อนแท้เลยแหละ หรือบางทีก็ต้องหาวิธีแก้ร้อนด้วยวิธีอื่นๆ นอกจากงูกับแมงมุมที่คุณต้องระวังแล้ว บางทีคุณก็อาจต้องระวัง ‘หมู’ ด้วย เพราะครั้งหนึ่งเคยมีหมูตัวหนึ่งไปขโมยเบียร์คนที่มาตั้งแคมป์กิน แล้วมันเกิดเมาทะเลาะกับวัวหน้าตาเฉย บางทีการคาดเข็มขัดนิรภัยก็อาจเหมือนกับการถูกเหล็กร้อนๆ นาบได้ ไม่ว่าอะไรเมื่อได้แช่ตู้เย็นมันจะให้คุณรู้สึกดีขึ้นแน่นอน (เพราะมันร้อนนน) ร้อนจนถนนยังละลายอ่ะคิดดู และนี่คืออุณหภูมิน้ำที่ออกมาจากก๊อก (ประมาณสัก 68 องศาเซลเซียสได้) …
-
11 วิธีการสุดแปลก ที่คนสมัยก่อนใช้ในการซ่อนสุรา ในยุคที่การดื่มสุราเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันว่าตลอดช่วงเวลา 13 ปี ตั้งแต่ปี 1920-1933 สหรัฐอเมริกาได้ตกอยู่ในช่วงเวลาที่รัฐบาลห้ามการจำหน่ายสุราทุกชนิด แถมการครอบครองสุรายังเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอีก แต่ถึงจะมีการห้ามมากแค่ไหนอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ไม่ได้หายไปจากในประเทศอยู่ดี เพียงแค่หนีลงไปอยู่ใต้ดินก็เท่านั้น และแน่นอนว่าผู้คนเองก็ไม่ได้เลิกดื่มสุรา และเพียงแค่แอบดื่มในที่ที่ไม่มีใครรู้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในสมัยนั้นคนเราจะคิดค้นการแอบซ่อนสุราที่น่าสนใจขึ้นมาเต็มไปหมด ซึ่งแม้ว่าการซ่อนหลายๆ แบบจะถูกจับได้ในที่สุดก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความพยายามเพื่อสุราของพวกเขามันสุดยอดจริงๆ ไม่เชื่อก็ลองไปดูการซ่อนสุราสุดแปลกและแอบสร้างสรรค์ทั้ง 11 แบบต่อไปนี้ดูสิ เริ่มกันจากร้าน “Speakeasies” ร้านเหล้าหรือคลับ ที่ต้องมีการบอกรหัสก่อนเข้า แถมบางทียังมีการทำประตูแบบพิเศษอย่างที่เห็นเพื่อไม่ให้เผลอรับสายตรวจเข้าร้าน เรียกได้ว่าทำกันราวกับเป็นฐานทัพลับของทหารเลยก็ไม่ผิด หนังสือปลอมที่ออกแบบมาเป็นที่ซ่อนสุราโดยเฉพาะ หากดึงขอบปกด้านล่างออกจะพบว่าภายในหนังสือนั้นจริงๆ แล้วมีขวดใส่สุราซ่อนอยู่ อุปกรณ์ของใช้ในบ้านอย่างโคมไฟ ถูกดัดแปลงเป็นที่ซ่อนสุรา ภาพนี้มาจากปี 1932 ภาพนี้มาจากปี 1928 โดยเป็นภาพของหญิงสาวในชุดโค้ทยาว หากถอดออกจะเห็นว่าเธอนั้นผูกสุราซ่อนไว้ที่ขาของตัวเอง เป็นไปได้ว่าชุดแบบนี้จะเคยถูกใช้ในการแอบขนส่งสุรา อันนี้ระบบทำงานคล้ายๆ ข้างบน แต่ขนได้มากกว่า อันนี้ภาพของหญิงสาวที่โดนจับในปี 1924 ถูกเรียกกันเล่นๆ ว่า “เสื้อชูชีพเหล้าเถื่อน” ภาพที่ดูเผินๆ…
-
นิตยสารดังบอก ใช้ผัก “พาร์สลีย์” ยัดเข้าจิ๊มิ๊ส์ ช่วยเร่งประจำเดือน แพทย์เตือนอย่าทำตาม!!
Marie Claire นิตยสารรายเดือนสำหรับผู้หญิงชื่อดังในสหราชอาณาจักร ได้เขียนบทความสุขภาพแนะนำให้ผู้หญิงใช้ผัก “พาร์สลีย์” สอดเข้าไปในจิ๊มิ๊ส์ เพื่อให้ “ประจำเดือน” มาเร็วขึ้นได้ หน้าตาของผักชนิดนี้ ฟังดูเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ หลายๆ คนคงไม่เคยได้ยินสรรพคุณในลักษณะนั้นของผักชนิดนี้ แต่ทางนิตยสารดังกล่าวก็ได้ระบุเอาไว้ในบทความว่า… “พาร์สลีย์สามารถช่วยให้ปากมดลูกมีความนุ่มนวล และควบคุมความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกายที่มีผลต่อรอบเดือนที่มาช้ากว่าปกติ ทำให้ประจำเดือนมาเร็วขึ้นกว่าเดิมได้” “หากเราไม่รู้จะกินอาหารอะไรที่มีพาร์สลีย์เป็นส่วนผสมก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะวิธีการที่ให้ผลดีที่สุดก็คือการดื่มชาพาร์สลีย์ หรือการเอาผักดังกล่าวสอดเข้าไปในช่องคลอด” บทความในนิตยสารฉบับวันที่ 9 มกราคม 2019 นั้นยืนยันว่าผักพาร์สลีย์สามารถช่วยได้จริง เพราะมันมีสรรพคุณในการกระตุ้นการไหลของประจำเดือน อย่างไรก็ตาม เมื่อบทความนี้ถูกเผยแพร่ออกไป แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คนก็ได้ออกมาเตือนว่าอย่าได้ทำตามคำแนะนำนั้นอย่างเด็ดขาด ดอกเตอร์ Shazia Malik กล่าวว่า “ไม่มีหลักฐานว่าการที่ผู้หญิงทำอย่างนั้นแล้วมันจะส่งผลดีจริงๆ และยังมีความเสี่ยงต่อสุขภาพร่างกายที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ด้วย” ดอกเตอร์ Sheila Newman ก็บอกว่า “นั่นไม่ใช่สิ่งที่นรีแพทย์แนะนำ คำแนะนำที่ถูกเผยแพร่โดยนิตยสาร Marie Claire นั้นถือว่าเป็นคำพูดที่ขาดความรับผิดชอบ” ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการนำสมุนไพรสอดใส่เข้าไปในช่องคลอด อาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อขั้นรุนแรงได้…
-
ผู้เชี่ยวชาญเผย ควรเริ่ม “สอนการช่วยตัวเอง” ให้กับเด็กๆ ระดับชั้นประถมศึกษา
เรื่องของการ “ช่วยตัวเอง” เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมทางเพศที่เชื่อว่าแทบทุกคนรู้จักกับสิ่งนี้ด้วยตนเอง เรียนรู้จากสื่อที่เห็น หรือคำบอกเล่าจากเพื่อนๆ มากกว่าที่จะเป็นการเรียนการสอนภายในโรงเรียน แต่ล่าสุดในรายการ This Morning จากสหราชอาณาจักร พวกเขาได้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมทางเพศ และหนึ่งในความคิดเห็นที่ได้ก็คือ “ควรสอนการช่วยตัวเองให้กับเด็กประถม” เทปรายการ This Morning Kate Dawson ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพฤติกรรมทางเพศ โดยปกติแล้วเธอจะทำงานร่วมกับเด็กชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น แต่ก็จะได้ทำงานร่วมกับเด็กชั้นประถมอายุประมาณ 8 ขวบอยู่บ้าง Kate บอกว่า “มันเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่เราควรจะพูดเรื่องนั้นกันเป็นปกติ ให้พวกเขาได้สำรวจร่างกายของตัวเองในบริเวณจุดซ่อนเร้น ถ้ามันคือสิ่งที่พวกเขาให้ความสนใจและทำให้รู้สึกดีได้” ส่วนสำคัญที่ทำให้เธอคิดอย่างนั้นก็เพราะว่า เธอมีโอกาสได้พบกับเด็กผู้หญิงหลายๆ คนที่รู้สึกขยะแขยงอวัยวะเพศของตัวเอง Kate ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพฤติกรรมทางเพศ เธอเล่าถึงกิจกรรมหนึ่งที่นำภาพจำลองอวัยวะเพศฉายให้เด็กๆ ได้ชม พอเปิดภาพของอวัยวะเพศชายออกมาก็จะได้รับเสียงหัวเราะกัน แต่พอเป็นภาพของอวัยวะเพศหญิง กลับมีเด็กหญิงบางคนบอกว่า “น่าขยะแขยงจังเลย” เธอจึงมีความต้องการที่จะให้เด็กๆ ไม่ว่าเพศใดก็ควรมองและรู้จักกับอวัยวะเพศของตัวเองได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม Kate ยังบอกอีกว่า “หนังผู้ใหญ่” ที่มีให้เห็นนั้นเป็นการส่งเสริมความเข้าใจในเรื่องของอวัยวะเพศที่เกินจริง เพราะเหล่าดาราที่เห็นเหล่านั้นต่างมีลักษณะร่างกายในอุดมคติ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องมีสัดส่วน อวัยวะเพศแบบนั้นเสมอไป …
-
นักวิทย์พบ จุลินทรีย์อาศัยในแร่ใต้ทะเลลึก เอาชีวิตรอดได้ในสภาพอากาศคล้ายดาวอังคาร
ตามปกติแล้วใต้ท้องทะเลลึกอย่างทะเลที่ญี่ปุ่น ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำ และแรงดันน้ำที่สูงมากมักจะไม่ใช่สถานที่ที่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ อย่างจุลินทรีย์จะไปอยู่ได้เลย ถึงอย่างนั้นเมื่อล่าสุดนี้เอง นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่ามีจุลินทรีย์ประเภทหนึ่งสามารถอาศัยอยู่ใต้น้ำลึก 60 เมตรได้จริงๆ ด้วยการขังตัวเองอยู่ในผลึกคริสตัลใต้ทะเล จะสังเกตได้ว่าในผลึกแร่ มีจุดสีดำอยู่ นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นโดยเหล่านักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยเมจิ ซึ่งนำทีมโดยศาสตราจารย์ Glen Snyder โดยพวกเขาได้ทำการตรวจสอบ “น้ำผลึก” หรือ “ไฮเดรต” (Hydrate) สารประกอบที่มีโมเลกุลของน้ำซึ่งได้รับการเก็บมาจากทะเลลึกทางตะวันตกของประเทศ พวกเขาพบว่าในไฮเดรตที่ได้มานั้นมีเศษแร่ที่เรียกกันว่าโดโลไมต์อยู่ภายใน และบนแร่โดโลไมต์ก็มีจุดสีดำซึ่งเป็นสัญญาณของสิ่งมีชีวิตจำพวกจุลินทรีย์อยู่อีกด้วย แร่โดโลไมต์ตามปกติ แถมจากการที่จุลินทรีย์อยู่ในผลึกเองก็ทำให้นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่าการค้นพบในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของนักวิทยาศาสตร์เองอย่างแน่นอน จากการตรวจสอบจุลินทรีย์นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่า จุลินทรีย์เหล่านั้นจะเรืองแสงภายใต้แสง UV อาศัยอยู่ในก๊าซไฮเดรตและคงทนมากพอที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมของทะเลลึกได้ แร่โดโลไมต์ที่พบหลังถูกส่องด้วยกล้องขยาย 490 เท่า นี่นับว่าเป็นเรื่องน่าสนใจมากเพราะดาวเคราะห์อื่นๆ อย่างดาวอังคารเองก็มีสภาพก๊าซไฮเดรตใกล้เคียงกับสถานที่ที่พบจุลินทรีย์นี้ นั่นหมายความว่า มีความเป็นไปได้ที่จุลินทรีย์ที่พบนี้จะสามารถเอาชีวิตรอดบนดาวอังคารได้ ซึ่งแม้ว่าจุลินทรีย์นี้จะยังไม่เคยมีการค้นพบในที่อื่น แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตจากโลกไปอาศัยอยู่บนดาวอังคารได้จริงๆ นั่นเอง ที่มา livescience
-
สาวต้องใช้ “ทวารเทียม” ตลอดชีวิต หลังโดนแฟนเก่าบังคับให้มีเซ็กส์ทาง “รูทวาร”
“หนังผู้ใหญ่” คือสิ่งที่ปัจจุบันสามารถหาเสพกันได้ง่ายยิ่งขึ้นมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน และแน่นอนว่าการที่เราติดตามชมอะไรบางอย่างมากๆ เข้า บางครั้งก็อาจเกิดพฤติกรรมเลียนแบบตามมาได้ ผลกระทบนั้นอาจไม่ได้ส่งผลต่อผู้ที่เสพมันเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่นกรณีของหญิงสาวชาวออสเตรเลียวัย 41 ปีที่ชื่อว่า Sarah กับประสบการณ์ที่เธอบอกว่าตกเป็น “เหยื่อของผู้ชายที่เสพติดหนังผู้ใหญ่” Sarah เล่าว่าเธอต้องกลายเป็นเหยื่อมาตั้งแต่ตอนที่อายุเพียงแค่ 7 ขวบ ถูกพี่ชายแท้ๆ ขืนใจเพียงเพราะเขาต้องการเลียนแบบสิ่งที่เห็นในนิตยสารที่ไปขโมยมาจากร้านหนังสือ ประสบการณ์อันน่าเศร้าของเธอยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะในปี 2015 เธอถูกแฟนเก่าของตัวเองที่เป็นคนเสพติดหนังผู้ใหญ่ บังคับให้ต้องมีเซ็กส์กันทาง “รูทวาร” โดยที่เธอไม่อาจขัดขืนได้เลย สิ่งที่เธอต้องเจอในตอนนั้นสร้างความสะเทือนใจให้กับความรู้สึกของ Sarah เป็นอย่างมาก เธอยังคงมีความกลัว ไม่กล้าสัมผัสกับร่างกายใคร กลัวแม้แต่อ้อมกอดของแม่ตัวเอง ไม่ใช่แค่ผลกระทบทางใจ แต่ทางกายเองก็หนักไม่แพ้กัน เพราะการมีเซ็กส์ทางรูทวารในครั้งนั้นมันกลับส่งผลให้เกิดแผลอักเสบขั้นรุนแรงในบริเวณดังกล่าว ส่งผลทำให้เธอต้องผ่าตัดหน้าท้องและใช้ “ทวารเทียม” ตลอดชีวิต (Colostomy คือการผ่าตัดเอาลำไส้ใหญ่ออกมาเปิดทางหน้าท้อง เพื่อเป็นทางออกของอุจจาระ ร่วมกับการใช้ถุงทวารเทียมรองรับของเสียที่ออกมา) ลักษณะของการใช้ทวารเทียม และนี่ไม่ใช่กรณีเดียวที่ผู้หญิงได้รับผลกระทบร้ายแรงจากการเลียนแบบสื่อลามกหรือหนังผู้ใหญ่ต่างๆ จากการรายงานในวันที่ 16 มกราคม 2019 กล่าวว่า เด็กสาววัย…
-
อาการหมั่นเขี้ยวมันเป็นยังไง เปิดงานวิจัยระบุ อบอวลไปด้วยความรู้สึกด้านบวกแบบล้นๆ
เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีอาการ “หมั่นเขี้ยว” ซึ่งมักเกิดขึ้นเวลาที่เราถูกใจอะไรสักอย่างแล้วอยากกอดรัดฟัดเหวี่ยง แสดงความหลงใหลต่อสิ่งๆ นั้น ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เราเล่นกับเด็กทารก แก้มยุ้ย ปากนิด จมูกหน่อย หน้าตาน่ารักน่าชัง จนอดไม่ได้ที่เข้าไปฟัด ไปหอมแก้มเด็กคนนั้น งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Yale อธิบายอาการหมั่นเขี้ยว ว่าเป็นความรู้สึกท่วมท้นจากความรักใคร่ ความเห็นดู โดยแสดงออกมาเป็นการกระทำที่อาจจะดูอุกอาจเกินไปนิด แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกด้านบวกเท่านั้น Katherine Stavropoulos นักจิตวิทยา ได้จากการศึกษาหัวข้อ “It’s so Cute I Could Crush It!: Understanding Neural Mechanisms of Cute Aggression” การศึกษานี้จัดขึ้นเพื่ออธิบายอาการหมั่นเขี้ยว โดยใช้การตรวจประเมินการเต้นของหัวใจ Stavropoulos และ เพื่อนร่วมงานของเธอได้บันทึกการทำงานของระบบประสาทของวัยรุ่น 54 คนเมื่อมองไปยังภาพคนและสัตว์ที่ดูน่าหมั่นเขี้ยว ยกตัวอย่างเช่นภาพเด็กแก้มยุ้ย ตาโต ปากเล็ก ทำให้อดไม่ได้ที่จะแสดงอาการออกมา การศึกษาดังกล่าวแสดงให้ถึงการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ เมื่อผู้เข้าร่วมทดลองแสดงอาการหมั่นเขี้ยวมากแค่ไหน สมองก็จะทำงานและสร้างความรู้สึกด้านบวกมากขึ้นเท่านั้น ความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้นจากการทำงานของสมอง…
-
10 ตัวอย่างการเก็บห้อง ความสะอาดและเป็นระเบียบ ทำให้ชีวิตดูดีขึ้นเยอะ
หลายคนคงเคยได้ยินว่าการเริ่มต้นชีวิตที่ดี เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น การแปรงฟันอย่างถูกวิธี เคี้ยวข้าวให้ละเอียด ดื่มน้ำเยอะๆ หรือพับผ้าห่มหลังตื่นนอน ซึ่งเป็นการเสริมสร้างชีวิตที่มีคุณภาพ เนื่องจากการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ไม่มีเวลา หลายคนจึงเลือกที่จะมองข้ามความสำคัญของการทำความสะอาด หรือจัดระเบียบข้าวของในบ้านไป หลายครั้งที่วางของทิ้งไว้ระเกะระกะขวางทางเดิน ปล่อยให้ฝุ่นหนาเตอะเกาะบนโต๊ะที่ใช้ไหนจะกองหนังสือที่วางซ้อนกันจนจะสูงถึงเพดาน ก็ไม่มีวี่แววว่าจะถูกเก็บให้เข้าที่สักที ใครที่กำลังอยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน เราขอแนะนำไอเดียการแปลงโฉมห้องให้สะอาด และเป็นระเบียบ มองดูแล้วสบายตา มีพลังออกไปใช้ชีวิตข้างนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปลี่ยนห้องเก็บของให้เป็นห้องทำงาน จัดระเบียบห้องนอนให้น่าอยู่ วางของในห้องครัวใหม่ เพิ่มพื้นที่ให้สัตว์เลี้ยงแสนรัก เก็บข้าวของบนทางเดิน ทำให้ห้องดูสะอาดตามากยิ่งขึ้น คุมโทนสดใสให้ห้องนอน จัดห้องนั่งเล่นให้สวยงามสำหรับรับแขก เก็บข้าวของที่ไม่ใช้ออกไปให้หมด เพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในบ้าน จัดระเบียบโต๊ะเครื่องแป้งให้สาวๆ หาของได้ง่ายขึ้น ที่มา: buzzfeed
-
ยลโฉม “ถนนฟอกอากาศ” แห่งฮ่องกง ทุ่มงบ 150,000 ล้านบาท หวังช่วยลดมลพิษ 80%
ฮ่องกงเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนน ซึ่งภาครัฐก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเขาวางแผนก่อสร้างทางหลวงแห่งใหม่ จึงต้องนำปัญหาเรื่องมลพิษเข้าไปพิจารณาด้วย และนั่นนำมาซึ่ง “ระบบถนน-หอคอยขนาดใหญ่ที่สามารถฟอกอากาศได้” ซึ่งจะทำให้เป็นระบบกรองอากาศที่ใหญ่ที่สุดของโลกไปในทันที ล่าสุดทางหน่วยงานรัฐออกมาประกาศว่า ระบบถนนที่สร้างมาเป็นเวลา 10 ปี ด้วยงบประมาณสูงถึง 150,000 ล้านบาท (4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เสร็จสมบูรณ์แล้ว ถนนเส้นใหม่นี้มีกำหนดเปิดใช้วันที่ 20 มกราคม 2019 นี้ มีความยาวประมาณ 4.5 กิโลเมตร ซึ่งนับเป็นส่วนอุโมงค์ถึง 3.7 กิโลเมตร หรือคิดเป็น 82% ของทั้งเส้น คาดว่าจะช่วยแก้ปัญหารถติด และอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางจากย่าน Central ไปยัง Island Eastern Corridor จากเดิม 30 นาที เหลือเพียง 5 นาทีเท่านั้น และที่สำคัญก็คือ ระบบช่วยควบคุมมลพิษ!! ผู้รับผิดชอบโครงการเปิดเผยว่า นี่คือความสำเร็จครั้งสำคัญของมนุษยชาติ เพราะระบบถนนใหม่นี้สามารถช่วยกำจัดมลพิษไปได้ถึง 80%…
-
แพทย์รักษาคนไข้อาการสุราเป็นพิษ โดยใช้เบียร์ 15 กระป๋อง แถมได้ผลเป็นอย่างดี!!
ภาวะสุราเป็นพิษ (Alcohol Poisoning) คืออาการที่เกิดจากการดื่มสุราในปริมาณมากในระยะเวลาสั้นๆ จนเป็นอันตรายหรือดื่มสุราเถื่อนที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย เช่นเดียวกับชายที่เราจะนำมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน เขาเกิดอาการภาวะสุราเป็นพิษและต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลอย่างกะทันหัน แต่แพทย์กลับรักษาเขาด้วยการให้ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปอีก แถมได้ผลด้วย!! เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เมื่อ Nguyen Van Nhat หนุ่มเวียดนามถูกหามเข้าห้อง ICU โดยคาดว่าเขาดื่มสุราเถื่อนเข้าไปปริมาณมาก และแพทย์ยังพบว่าระดับแอลกอฮอล์ของเขาสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดมากถึง 1,000 เท่า แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่าเมื่อรู้ว่าแพทย์ที่โรงพยาบาลทำการรักษาเขาโดยการให้เขาดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปอีก ฟังดูเหลือเชื่อ แต่ว่าการรักษาครั้งนี้ได้ผลดีเสียด้วย นาย Nguyen Van Nhat ต้องเข้ารับการรักษาเป็นการด่วน โดยในการรักษาครั้งนี้แพทย์จะให้ผู้ป่วยดื่มเบียร์เข้าไปครั้งละ 1 กระป๋องต่อ 1 ชั่วโมง เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 15 ชั่วโมง (เท่ากับเขาต้องดื่มเบียร์ไปทั้งหมด 15 กระป๋อง) หลังจากการรักษาอาการของ Nhat ดีขึ้นมาก แม้ว่าจะยังมีอาการเมาค้างอยู่บ้าง และหากเพื่อนๆ สงสัยว่าการรักษาครั้งนี้ ได้ผลได้อย่างไร ก็จะสามารถอธิบายได้ว่าเนื่องจากบนโลกใบนี้สามารถแบ่งแอลกอฮอล์ออกได้เป็นสองประเภท คือ Methanol และ…
-
แนะนำ 3 แอปพลิเคชั่น ตรวจเช็ก “มลพิษในอากาศ” ควรจะต้องมีติดเครื่องกันไว้บ้างแล้ว!!
การเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศนั้น การตรวจเช็กสภาพอากาศนั้นถือว่ามีความสำคัญและเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากคุณดันเตรียมเสื้อผ้าบางๆ ไปในช่วงหน้าหนาวล่ะก็บอกได้คำเดียวเลยว่า “งานเข้า” และนอกจากสภาพอากาศแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่นักเดินทางอย่างพวกเราไม่ควรละเลยเลยก็คือคุณภาพอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่างเจ้า PM 10 และ PM 2.5 นั่นเอง และในวันนี้เราก็มีแอปพลิเคชั่นดีๆ ที่จะช่วยเตือนให้คุณเตรียมตัวการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในยุคนี้ที่บอกเลยว่ามลพิษนั้นหนักหนาเสียเหลือเกินครับ 1. Air Quality: Real time AQI แอปพลิเคชั่นแจ้งเตือนคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ จากข้อมูลของศูนย์ตรวจวัดมากกว่า 10,000 แห่งใน 60 ประเทศเช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และประเทศในแถบอาเซียน ซึ่งจะแจ้งให้เราทราบถึงปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 และ PM 10 โดยเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลจากเว็บไซต์ aqicn พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการสวมหน้ากากอนามัยอีกด้วย!! ลิงก์ดาวน์โหลด:Android: play.google . 2. Plume Air แอปพลิเคชั่นรายงานสภาพอากาศสำหรับผู้ใช้ iOS ที่จะแจ้งเตือนคุณภาพอากาศจากทั่วโลกแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้มันยังสามารถทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ของทางผู้ผลิต ซึ่งเป็นเครื่องติดตามเพื่อใช้ในการคำนวณคุณภาพอาการทั้งภายในและภายนอกอาคาร ลิงก์ดาวน์โหลด: iOS เครื่อง Flow ที่ทำงานร่วมกับแอปพลิเคชั่น ที่ช่วยตรวจวัดคุณภาพอากาศรอบๆ ตัวคุณ…
-
คุณพระ!! คลิป “แมงมุม” จำนวนมากลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับเป็นฝนที่ตกลงมา?!
เราอาจเคยเห็นฝนโปรยปรายตกลงมา เม็ดฝนนั้นดูเหมือนว่ากำลังลอยอยู่กลางอากาศ แต่ถ้าหากเราลองเปลี่ยนจากเม็ดฝน เป็น “แมงมุม” จำนวนมากลอยอยู่กลางอากาศเสียแทนล่ะจะเป็นอย่างไร เรากำลังพูดถึงคลิปที่กลายเป็นกระแสโด่งดังในโลกโซเชียล ช่วงต้นปี 2019 ที่เพิ่งผ่านมานี้ ถูกถ่ายเอาไว้โดยชายหนุ่มชาวบราซิลที่ชื่อว่า João Pedro Martinelli Fonseca เขากำลังขับรถพา Jercina Martinelli คุณยายของเขาเดินทางไปยังฟาร์มของตัวเองในเมือง Espírito Santo do Dourado และได้พบกับสิ่งนี้เข้า เขาจึงไม่รอช้า ถ่ายคลิปเก็บเอาไว้ จุดดำๆ ที่เห็นนั้นคือแมงมุมนะ แต่ไม่ต้องตกใจกันไปนะทุกคน เพราะวิทยาศาสตร์ได้อธิบายถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว มันคือสิ่งที่เรียกว่า Parawixia bistriata หรือที่รู้จักกันในชื่อ Raining Spiders (ฝนแมงมุม) นี่ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่หาชมได้ยากในบ้านเรา มักจะเกิดในช่วงที่มีภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ตอนเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน Adalberto dos Santos ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแมงมุมจากมหาวิทยาลัย Federal University of Minas Gerais ในบราซิล บอกว่าแมงมุมในสกุล…
-
งานวิจัยที่ว่า “น้ำอสุจิ” อาจจะมีผล “ลดอาการซึมเศร้า” ที่เกิดกับเพศหญิงได้!?
อาการซึมเศร้า เป็นที่พูดถึงมากขึ้นในช่วงหลัง และแม้จะมีหลายคนที่รู้ตัวว่าตนเองมีอาการดังกล่าว แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ตัวเช่นกัน มีงานวิจัยเกี่ยวกับอาการซึมเศร้าที่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง ถูกตีพิมพ์ผ่านเว็บไซต์ของ University at Albany เมื่อปี 2002 แต่ล่าสุดถูกนำมาทำเป็นข่าวและแชร์ต่อกันมากในโลกออนไลน์ของต่างประเทศ ทางแคทดั๊มบ์จึงถือโอกาสแปลมาให้ได้อ่านกัน เป็นงานวิจัยที่พูดถึงความสัมพันธ์ของ “อสุจิ” และ “อาการซึมเศร้า” ในเพศหญิง งานวิจัยดังกล่าวเป็นผลงานของศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา Gordon Gallup เขาพบความเป็นไปได้ว่า การมีเซ็กส์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย และให้อวัยวะเพศหญิงได้สัมผัสกับน้ำอสุจิ มีส่วนช่วยลดอาการซึมเศร้า การวิจัยนี้มีผู้เข้าร่วมเป็นผู้หญิง 300 คน ทำการเก็บข้อมูลในเรื่องเซ็กส์ของพวกเธอ ไม่ว่าจะเป็น ความถี่ของการมีเซ็กส์ รสนิยมทางเพศ การป้องกันด้วยถุงยางอนามัยหรือไม่ใช้ถุงยาง จากนั้นให้ผู้เข้าร่วมวิจัย ได้ทำแบบประเมินอาการซึมเศร้า พบว่าผู้หญิงที่มีเซ็กส์แบบไม่ใช้ถุงยางอนามัย จะมีคะแนนประเมินต่ำกว่าคนที่ใช้ถุงยางอนามัยในการป้องกันเป็นประจำ ศาสตราจารย์ Gordon จึงให้เหตุผลว่าการมีเพศสัมพันธ์ด้วยการสัมผัสน้ำอสุจิของผู้ชาย มีผลทำให้ลดอาการซึมเศร้าของฝ่ายหญิงได้ พร้อมกับตั้งข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า เพศหญิงที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย แสดงว่ามีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับฝ่ายชาย อาจจะเป็นในลักษณะคู่รัก ขณะที่ฝ่ายหญิงที่มีเซ็กส์ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยเป็นประจำ อาจจะเพราะว่ามีความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่คนรักคนเดียว หรือยังไม่ได้สนิทใจกับคนรักเท่าที่ควร (คนที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกว่า ก็อาจจะมีความสุข และมีอาการซึมเศร้าน้อยกว่าก็เป็นไปได้) …
-
งานวิจัยที่ว่า “ถ้าอยากมีความสุข” ควรใช้เงินซื้อ “ประสบการณ์” มากกว่าซื้อสิ่งของ!?
จริงอยู่ที่ว่าความสุขของคนเรานั้นแตกต่างกันออกไป แต่ถ้าเรามีทรัพยากรอย่างเงินอยู่อย่างจำกัด แล้วกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะนำมันไปสร้างความสุขให้กับตัวเองอย่างไรดี วันนี้วิทยาศาสตร์ได้มีคำตอบให้คุณแล้วนั่นคือ คุณควรที่จะนำเงินตรงนี้ไปใช้ ‘ซื้อประสบการณ์’ อย่างเช่นการท่องเที่ยวหรือกิจกรรมต่างๆ มากกว่าซื้อสิ่งของที่เราอยากได้!! “หนึ่งในศัตรูตัวฉกาจของความสุขคือ ‘ความเปลี่ยนไป’” ศาสตราจารย์ผู้ศึกษาเรื่องนี้กล่าว นี่เป็นผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Cornell University ที่จัดทำขึ้นโดยนาย Thomas Gilovich ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาผู้ศึกษาเรื่องเงินและความสุขมากว่า 2 ทศวรรษ โดยเขาได้กล่าวเอาไว้ว่า ผลการวิจัยสามารถสรุปออกมาได้ว่าคนเราจะมีระดับปริมาณความสุขในการซื้อสิ่งของที่เราอยากได้ มากเท่าๆ กับการซื้อประสบการณ์อย่างการไปเที่ยว… แต่ว่าพอถึงจุดหนึ่งสิ่งของเหล่านั้นก็จะหมดคุณค่าลง และกลายเป็นเพียงทรัพย์สินอย่างหนึ่งของเราเท่านั้น แล้วทีนี้เราก็จะหาสิ่งของชิ้นใหม่มาเต็มเติมให้เรารู้สึกตื่นเต้นและอยากได้มันมาครอบครองอีกครั้ง จนกลายเป็นวัฎจักรที่วนไปไม่รู้จบ และต้องหาความสุขใหม่ๆ จากวังวนนี้อยู่เสมอ “เราซื้อสิ่งของเพื่อให้ตัวเรามีความสุขและรู้สึกว่าประสบความสำเร็จ แต่นั่นก็เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น สิ่งของที่เราได้มาใหม่ในตอนแรกก็จะดูหมดคุณค่าลงเรื่อยๆ” Gilovich กล่าว แต่ว่าในทางกลับกันถ้าหากเรานำไปใช้กับการซื้อประสบการณ์อย่างการท่องเที่ยว ไปดูคอนเสิร์ตหรือว่าฝึกทักษะใหม่ๆ แน่นอนว่ามันอาจดูเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่สิ่งที่ได้จากกิจกรรมตรงนี้คือ ‘ประสบการณ์’ ที่จะติดตัวเราไปตลอดกาล และทุกๆ ความทรงจำจะอยู่กับเราไปตลอดชั่วชีวิต… “ประสบการณ์เป็นส่วนหนึ่งที่ใหญ่เอามากๆ ในตัวของเรามากกว่าพวกข้าวของเครื่องใช้ที่เราสามารถหยิบจับได้” “คุณสามารถรู้สึกหลงรักกับข้าวของได้อย่างไม่น่าเชื่อ และคิดว่ามีสายเชื่อมโยงระหว่างเรากับมัน แต่ถึงอย่างไรแล้วมันก็เป็นเพียงสิ่งของนอกกายที่ไม่ได้อยู่ในตัวเรา ในทางกลับกันประสบการณ์จะเป็นส่วนหนึ่งในตัวของคุณ” “พวกเรา…
-
ค้นพบ K2-288Bb โลกใหม่ใหญ่กว่าโลกเรา 2 เท่า ห่างไป 226 ปีแสง อาจมี “น้ำ-สิ่งมีชีวิต”
เว็บไซต์ NASA ถึงกับขึ้นหัวข้อข่าวว่า “นักวิทย์อาสาสมัคร ค้นพบโลกใหม่ด้วยกล้องโทรทรรศน์ของนาซ่า!!” ก่อนหน้านี้ NASA ส่งกล้องโทรทรรศน์เคปเลอร์ เพื่อไปค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบซึ่งเอื้อต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตในอวกาศ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2018 กล้องโทรทรรศน์ดังกล่าวก็ได้ถูกปลดระวาง เหลือไว้เพียงแต่ข้อมูลอันล้ำค่าที่กล้องส่งกลับมาให้เหล่านักวิทยาศาสตร์บนโลกได้ร่วมวิเคราะห์กันต่อ ล่าสุดมีนักวิทยาศาสตร์อาสาสมัครคนหนึ่ง Adina Feinstein วิเคราะห์ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์เคปเลอร์ ในส่วนที่ตกหล่นหายไป และประสบความสำเร็จในการค้นพบดาวเคราะห์ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอยู่อาศัยได้ (เขตอยู่อาศัย คือเขตซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลจากดาวฤกษ์ มีสภาพอันเหมาะสมที่จะมีน้ำหรือสิ่งมีชีวิตอาศัยบนดาวเคราะห์นั้น) ดาวเคราะห์ดวงใหม่นี้ถูกตั้งรหัสภายใต้ชื่อ “K2-288Bb” ห่างจากโลก 226 ปีแสง และมีขนาดใหญ่ประมาณ 190% หรือราวๆ เกือบ 2 เท่าของโลกเรา ขนาดดาวดังกล่าว ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม Fulton gap ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่กว่าโลก แต่เล็กกว่าดาวเนปจูน เป็นเรื่องไม่บ่อยนัก ที่ดาวเคราะห์ขนาดนี้จะอยู่ในเขตอยู่อาศัย จึงอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีน้ำบนดาวเคราะห์ หรืออาจจะถึงขั้นมีสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดังกล่าวเลยทีเดียว ภาพจำลองจาก NASA . …
-
หญิงชาวจีนพบแพทย์หลังไม่สามารถได้ยินเสียง “ผู้ชาย” เชื่อเกี่ยวข้องกับหูชั้นในรูปหอยโข่ง
เมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศได้รายงานข่าวหญิงชาวจีนผู้ใช้นามสกุลว่า “จาง” รายหนึ่งได้เอาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล หลังมีอาการมีเสียงอื้อในหู อาเจียน และตื่นเช้าขึ้นมาพบว่าเธอนั้นไม่ได้ยินเสียงของแฟนหนุ่มอีกต่อไป หลังจากเข้าไปที่โรงพยาบาล ทางเจ้าหน้าที่ก็พบว่าอาการที่คุณจางเป็นนั้นค่อนข้างแปลกมาก เพราะเธอยังสามารถได้ยินสิ่งที่คุณหมอซึ่งเป็นผู้หญิงพูดพูด แต่กลับไม่ได้ยินเสียงคนไข้ผู้ชายที่อยู่ใกล้ๆ เลย การตรวจสอบอาการของคุณจางทำให้ทางโรงพยาบาลตัดสินว่าเธอนั้นมีอาการที่เรียกกันว่า “Reverse-slope hearing loss” (RSHL) กลุ่มอาการที่ทำให้คนไข้สูญเสียความสามารถในการได้ยินคลื่นเสียงความถี่ต่ำ อย่างเช่นเสียงของผู้ชาย อาการที่เรียกว่า RSHL ถือว่าเป็นอาการที่หาได้ค่อนข้างยากมากเพราะในบรรดาคนที่สูญเสียการได้ยิน 12,000 คน จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีอาการ RSHL เพราะคนเราจะใช้การสั่นของเส้นขนในหูในการช่วยตรวจจับคลื่นเสียง และเส้นขนที่รับหน้าที่จับคลื่นเสียงความถี่สูงก็มักจะบอบบางจนเสื่อมสภาพไป (ตามกาลเวลา พันธุกรรม การใช้ยา หรือการบาดเจ็บ) ดังนั้นตามปกติคนเราจึงเสียความสามารถในการได้ยินคลื่นเสียงความถี่สูงเวลาอายุมากขึ้น RSHL อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยในกรณีของคุณจาง เป็นไปได้ว่าเธอนั้นมีปัญหาสภาพแพ้ภูมิตัวเองในบริเวณหูชั้นในรูปหอยโข่งซึ่งตามปกติจะได้รับการปกป้องอย่างดี จนทำให้เธอสูญเสียการได้ยินเสียงในรูปแบบอย่างที่เห็น Jackie Clark ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส บอกว่าสภาพแพ้ภูมิตัวเองในรูปแบบนี้อาจนำมาสู่การสูญเสียการทรงตัวได้ ทำให้ไม่แปลกเลยที่ก่อนจะสูญเสียการได้ยิน คุณจางจะมีอาการอาเจียน เป็นไปได้ว่าที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะคุณจางมีระดับความเครียดจากการทำงานสูง บวกกับการที่เธอนอนหลับไม่เพียงพอนั่นเอง …
-
งานวิจัยที่ว่า พฤติกรรมการใช้โซเชียลแบบไหน เป็นสัญญาณเตือนโรคซึมเศร้า!?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบัน เราใช้เชื่อมต่อกับสื่อสังคมออนไลน์อยู่ตลอดเวลา จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์หรืออินสตราแกรมก็ต้องกดเช็คกันอยู่ตลอด โดยหารู้ไม่ว่ายิ่งใช้เวลากับมันมากเท่าเรายิ่งมีผลต่อสุขภาพจิตมากขึ้นเท่านั้น!! มีงานวิจัยชื่อว่า “Journal of Applied Biobehavioral Research” ที่แสดงพฤติกรรมในโลกออนไลน์บางอย่างซึ่งเป็นสัญญาณเตือนโรคซึมเศร้า การใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ การติดตามชีวิตผู้อื่นแล้วนำมาเปรียบเทียบกับตัวเอง ทำให้เกิดความไม่พอใจ โดยมองว่าชีวิตตนแย่ว่าคนอื่น หรือในบางครั้งก็ถูกเพื่อนแท็กรูปน่าเกลียดๆ ของเรานำไปสู่อาการเครียดหรือซึมเศร้าได้ สังเกตคนที่ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ที่มีผู้ติดตามจำนวนน้อยนิด มีโอกาสเกิดความเครียดมากกว่าคนที่มีผู้ติดจำนวนมาก จากการศึกษาพบว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนจำนวนมากในสังคมออนไลน์ลดอาการซึมเศร้าได้ ผู้มีอาการซึมเศร้าบางคนการเลือกใช้ Memes หรือ GIFs ในการสื่อสารเพื่อจุดประสงค์ในการเพิ่มความสนใจของคนรอบข้าง หลายคนเลือกที่จะแสดงเฉพาะด้านสมบูรณ์แบบของตนในโซเซียล คอยเช็คยอดวิว ยอดไลก์ของตนอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังพบว่าบางคนโพสต์รูปหรือข้อความถี่ๆ อย่างเห็นได้ชัดในระหว่างการใช้สารเสพติดอีกด้วย หากใครมีพฤติกรรมเหล่านี้แนะนำให้ลดการใช้โซเชียล ลองหากิจกรรมอื่นๆ ที่สนใจทำ ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือจะไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคนอื่นก็น่าสนุกดีนะ!! ที่มา: abcnews
-
สื่อนอกตีข่าวผลวิจัย “คนกินมัง” จะมีร่างกายอ่อนแอกว่า “คนกินปกติ” จริงเท็จเพียงใด!?
เป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันมาได้สักพักแล้วว่าสรุปแล้ว ‘การกินมังสวิรัติ’ มันดีต่อร่างกายมากกว่า ‘การกินเนื้อสัตว์’ จริงๆ หรือไม่? เช่นเดียวกันกับงานวิจัยชิ้นนี้ที่ #เหมียวหง่าว อยากจะลองหยิบยกมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันดูครับ เป็นงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ Medical University of Graz ในประเทศออสเตรีย พวกเขาพบว่าการที่เรารับสารอาหารจำพวกไขมันอิ่มตัว หรือโคเลสเตอรอลน้อย แต่ทานอาหารจำพวกผลไม้ หรือผักเยอะ จะทำให้เรามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็ง โรคภูมิแพ้ และมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพทางจิตมากยิ่งขึ้น งานวิจัยดังกล่าวนั้นได้ทำการศึกษาจากบรรดาอาสาสมัคกว่า 1,320 คน ประกอบไปด้วย คนกินมังสวิรัติ 330 คน, คนที่กินเนื้อแต่ก็ยังกินผักเป็นจำนวนมาก 330 คน คนที่กินปกติแต่เลือกกินเนื้อน้อยกว่าผัก 300 คน และคนที่กินเนื้อหนักๆ 330 คน ผลที่ได้ก็คือบรรดาคนที่กินมังสวิรัติจะมีค่า BMI น้อยมากที่สุด แถมยังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องภาวะของจิตใจมากกว่าคนที่ทานเนื้อ สรุปได้ว่าคนที่ทานมังสวิรัติจะมีสุขภาพที่ดีน้อยกว่า (ในแง่ของโรคมะเร็ง, ภูมิแพ้, และอาการป่วยทางจิต) มีคุณภาพชีวิตที่ดีน้อยกว่า และต้องการการรักษาทางการแพทย์มากกว่าคนที่กินเนื้อร่วมด้วย …
-
งานวิจัยเผย กลุ่มผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มแชร์ข่าวปลอมในเฟซบุ๊กมากที่สุด
ปัจจุบันถือว่าสังคมของเราก้าวเข้าสู่ยุคโซเชียลมีเดียอย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็นใครอายุเท่าไหร่ต่างก็มีแอคเคานต์โซเชียลมีเดียกันทั้งนั้น แต่ประเด็นที่เราจะได้เห็นกันอยู่เสมอก็คือผู้สูงอายุมักจะแชร์ข่าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งบางข่าวที่พวกเขาแชร์ ก็เป็นข่าวปลอมเสียด้วย วันนี้จึงมีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Princeton และมหาวิทยาลัย New York ได้ทำการวิจัยและพบว่าผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป คือกลุ่มอายุที่มีการแชร์ข่าวปลอมในเฟซบุ๊กมากที่สุด งานวิจัยดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในนิตยสาร Science Advances โดยทำการสำรวจพฤติกรรมของผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ในช่วงหลายเดือนก่อนและหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาปี 2016 ในช่วงต้นปีนักวิจัยเริ่มทำงานร่วมกับบริษัทวิจัย YouGov เพื่อทำการรวบรวมตัวอย่างการวิจัย 3,500 คน ทั้งผู้ใช้เฟซบุ๊กและผู้ที่ไม่ใช้ ในวันที่ 16 พฤศจิกายนหลังจากการเลือกตั้ง พวกเขาขอให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กติดตั้งแอปพลิเคชั่นที่สามารถทำให้พวกเขาสามารถเข้าดูการข้อมูลของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นโปรไฟล์ ศาสนา แนวคิดทางการเมืองหรือเพจที่เขากดติดตาม ซึ่ง 49 เปอร์เซ็นต์ของของกลุ่มทดลองที่ใช้เฟซุบ๊ก ยอมแชร์ข้อมูลให้นักวิจัยได้ดู ทางนักวิจัยก็ได้ตรวจสอบลิงก์ที่กลุ่มได้โพสต์ลงในไทม์ไลน์และนำข้อมูลที่พวกเขาได้ไปเปรียบเทียบระหว่างโดเมนเว็บข่าวปลอมและเว็บข่าวจริง หลังจากทำการรวบรวมข้อมูลจากทุกช่วงอายุพบว่าจากกลุ่มทดสอบทั้งหมดจะมีอยู่ 8.5 เปอร์เซ็นต์ที่จะแชร์ข่าวปลอมอย่างน้อย 1 ลิงก์และพบว่าผู้ที่ระบุตัวเองว่าเป็นนักอนุรักษ์นิยมมีแนวโน้มจะแชร์ข่าวปลอมมากกว่ากลุ่มเสรีนิยม เมื่อทำการแบ่งตามช่วงอายุก็พบว่าประมาณ 11 เปอร์เซ็นต์ของผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปจะมีการแชร์ข่าวปลอม ซึ่งมากกว่ากลุ่มอายุ 45-65 ปีเป็นสองเท่าและมากกว่ากลุ่มอายุ…
-
นักวิทย์ค้นพบว่า ‘วงแหวนของดาวเสาร์’ กำลังค่อยๆ หายไป และมันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้!!
หลายคนคงจะจำ ‘ดาวเสาร์’ ได้ จาก ‘วงแหวน’ ขนาดใหญ่ที่อยู่รอบดาว แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าในอนาคตข้างหน้า วงแหวนที่ว่านั้นอาจจะหายไป และมันอาจจะเร็วกว่าที่เราคิดไว้!? หากย้อนกลับไปในปีช่วงปี 1980 ยาน Voyager ของ NASA ได้เดินทางไปถึงดาวเสาร์เพื่อทำการสำรวจ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทราบถึงเรื่องดังกล่าวนี้ ซึ่งวงแหวนของดาวเสาร์จะประกอบไปด้วยหินและก้อนน้ำแข็ง เรียงตัวกันอัดแน่นเป็นแผงขนาดใหญ่มีความยาวโดยประมาณถึง 280,000 กิโลเมตร และบรรดาฝุ่นกับน้ำแข็งทั้งหลายเหล่านั้นก็เกิดการชนและเสียดสีกัน ส่วนที่เป็นน้ำแข็งก็กลายเป็นไอ ก่อตัวเป็นโมเลกุลน้ำไปทำปฏิกิริยากับสนามแม่เหล็กของดาวเสาร์ และท้ายที่สุดก็จะตกลงสู่ดาวเสาร์แต่เมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศก็ถูกความร้อนทำให้ระเหิดหายไป ขณะเดียวกันบรรดาส่วนที่เป็นหินกับฝุ่น ก็จะถูกสนามแม่เหล็กดึงดูดให้ตกลงไปเช่นกัน จากข้อมูลที่เก็บมาได้พบว่าเศษหินในวงแหวนของดาวเสาร์ กำลังตกลงไปสู่ภาพพื้นดินเป็นจำนวน 10,000 กิโลกรัมต่อวินาที ซึ่งเป็นความเร็วขนาดที่ว่าสามารถเติมสระว่ายน้ำที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกให้เต็มได้ภายในระยะเวลาแค่ 30 นาที ด้วยความเร็วขนาดนี้ทำให้วงแหวนของดาวเสาร์จะค่อยๆ หายไปภายในระยะเวลา 300 ล้านปี แต่หลังจากที่ส่งยาน Cassini ไปถึงดาวเสาร์เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา ก็พบเรื่องที่น่าตกใจกว่านั้น เพราะความเร็วจากการสูญสลายหายไปของวงแหวนดาวเสาร์มันมากกว่าที่คิดเอาไว้ …
-
คำขอร้อง 18 ข้อจากเหล่าลูกเรือถึงผู้โดยสาร ได้โปรดหยุดทำสิ่งเหล่านี้เถอะ
ปัจจุบันการเดินทางด้วยเครื่องบินโดยสารเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการเดินทางที่ได้รับความนิยมสุดๆ เนื่องจากว่ามีทั้งความปลอดภัย ความสะดวกสบาย รวมไปถึงราคาที่ถูกจนสามารถจับต้องได้ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้โดยสาร จึงต้องมีการตั้งกฎให้ปฏิบัติตามกันอย่างเคร่งครัด แต่ในบางครั้งก็มีผู้โดยสารที่ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎต่างๆ ที่ตั้งไว้ จากผลการสัมภาษณ์เหล่าพนักงานบนเครื่องบินโดยเว็บไซต์ Insider พวกเขาทั้งหลายอยากจะฝากบอกกับผู้โดยสารดังนี้ 1. รื้อค้นเอาของจากกระเป๋าบนที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะ “การรื้อเอากระเป๋าจากที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะเพื่อเอาสิ่งของจะเป็นการรบกวนทั้งผู้โดยสารท่านอื่นและพนักงานต้อนรับ ” Haley Fox พนักงานต้อนรับสายการบิน US Airline ทางที่ดีก็เอากระเป๋าลงมาด้านล่าง แล้วค่อยค้นหาของจะดีกว่า 2. การรบกวนขอของจากพนักงานขณะที่กำลังสาธิตการใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ การสาธิตการใช้อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะจะเป็นการช่วยชีวิตคุณจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ดังนั้นควรตั้งใจฟังและไม่รบกวนขอสิ่งของจากพนักงานในขณะที่กำลังสาธิต 3. สั่งเครื่องดื่มหลายๆ รายการพร้อมๆ กัน ผู้โดยสารบางท่านมักจะขอเครื่องดื่มจากพนักงานหลายๆ อย่างพร้อมกันเช่น ทั้งกาแฟ และน้ำอัดลม ซึ่งพนักงานจะต้องทำหน้าที่บริการให้กับทุกคนบนเครื่อง การขอหลายๆ รายการพร้อมกันทำให้พนักงานทำงานช้าลง แต่ถ้าพนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่มให้กับทุกท่านเสร็จแล้วสามารถขอได้เสมอ 4. ให้พนักงานทวนรายการเครื่องดื่มทั้งหมดที่มีในขณะที่มีประกาศตอนเริ่มเที่ยวบินแล้ว ตอนเริ่มเที่ยวบินจะมีการประกาศเมนูที่มีเสิร์ฟบนเครื่อง ผู้โดยสารควรตั้งใจฟังและเลือกเครื่องดื่มที่ต้องการ ดีกว่าให้พนักงานมาทวนรายการที่มีซ้ำๆ 5. ไม่สนใจพนักงานขณะที่พวกเขากล่าวคำทักทายคุณ คุณควรเงยหน้าและถอดหูฟังออกในขณะที่พนักงานตั้งใจกล่าวคำทักทายคุณเพื่อเป็นมารยาท 6. วางเท้าหรือเอานิ้วเท้าวางไว้ตรงถาดรองด้านหน้า ถาดรองด้านหน้าที่นั่งผู้โดยสารไม่ควรจะนำเท้าไปวาง…
-
ตำนานเครื่องฟังเพลงพกพา’ Walkman’ นวัตกรรมเปลี่ยนโลก ด้วยไอเดียของการเคลื่อนที่
เมื่อโลกยังไม่เคยได้รู้จักเครื่องฟังเพลงพกพามาก่อน ไม่มีอินเทอร์เน็ตที่ทั่วถึง ไม่มีระบบสตรีมมิ่งเพลง การที่ชาวบ้านคนธรรมดาทั่วไป จะหาเพลงฟังได้ ก็ต้องพึ่งวิทยุทรานซิสเตอร์ หมุนหาคลื่นที่ถูกใจและฟังไปตามโปรแกรมที่สถานีจัดไว้ หรือถ้ามีเงินหน่อยก็ซื้อเทปเพลงของศิลปินที่ชื่นชอบ เปิดกับเครื่องเล่นเทปฟังวนซ้ำๆ ได้ไม่มีเบื่อ ยังไม่รวมการกรอหมุนเทปเพื่อข้ามเพลง… นวัตกรรมการฟังเพลงเปลี่ยนโลกสู่ท้องถนน Sony Walkman ถ้ามองกลับไปในยุคนั้น หากใครใส่หูฟังฟังเพลงจะดูเป็นคนเพี้ยนในสายตาคนอื่น เนื่องจากเทคโนโลยีเครื่องฟังเพลงพกพายังใหม่มาก และหูฟังส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเก็บเสียงได้ดี รวมไปถึงอินเนอร์กับเพลงที่กำลังฟังอยู่ Walkman รุ่นแรก TPS-L2 ซึ่งแน่นอนว่า ในปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ผู้คนหันมาฟังเพลงผ่านสมาร์ทโฟนกันหมด เพราะด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้น ตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ของคนมากขึ้น ซึ่งไอเดียที่เปลี่ยนพฤติกรรมการฟังเพลงของทั้งโลก ไม่ใช่ iPod แต่เป็น Walkman จากบริษัท Sony ตั้งแต่ช่วงปี 1950 วิทยุทรานซิสเตอร์เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เรียกได้ว่า ‘ของมันต้องมี’ ฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง ใครๆ ต่างก็ชอบฟังเพลงกันทั้งนั้น แต่มันมีข้อจำกัดตรงที่ต้องฟังเพลงตามที่สถานีจัดรายการเอาไว้ พกไปไหนมาไหนลำบาก หรือไม่ก็เปิดวิทยุในรถยนต์แทน Masaru Ibuka เช่นเดียวกับผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท…
-
อยากไปอยู่ไหม!? “ไอซ์แลนด์” ประเทศที่ “ไม่มียุง” อาศัยอยู่แม้แต่ตัวเดียว เฮ้ย… นี่พูดจริง
รู้จัก “ยุง” มั้ย?? ถ้านายไม่รู้จัก นายก็ออกจากแก๊งค์เราไปเลย!! (อ่ะ หยอกๆๆ) #เหมียวตะปู เชื่อว่าทุกคนก็คงจะต้องรู้จักกับเจ้ายุงกันอยู่แล้ว อย่างน้อยคงต้องเคยโดนยุงกัดกันมาบ้างแหละนะ แต่รู้หรือไม่ว่ามีประเทศหนึ่งที่ “ไม่มียุงอาศัย” อยู่เลย… ใช่แล้ว คือไม่มียุงมาคอยบินอยู่ข้างหู ไม่มีมาคอยดูดเลือด คือไม่มียุงอาศัยอยู่จริงๆ และที่แห่งนั้นก็คือ “ประเทศไอซ์แลนด์” ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่ยืนยันแล้วว่าไม่มีประชากรของยุงเลยแม้แต่น้อย ที่มีอยู่ก็มีแค่ยุงตัวหนึ่งที่นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัย University of Iceland ไปเก็บกลับมาได้จากบนเครื่องบินในช่วงปี 1980 เท่านั้นเอง Gisli Mar Gislason นักวิจัยคนดังกล่าว บอกว่า “ผมวิ่งไล่ไปทั่วห้องโดยสารเพื่อจับเจ้ายุงตัวนี้ มันคือยุงเพียงตัวเดียวที่คุณสามารถพบเห็นได้ในประเทศไอซ์แลนด์” ปัจจุบันยุงตัวนั้นถูกแช่ไว้ในขวดโหลแอลกอฮอล์ เก็บไว้ที่มหาวิทยาลัย สรุปแล้ว ประเทศนี้ก็คือไม่มียุงอาศัยอยู่จริงๆ เลยสักตัว แต่แล้วทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นได้กันล่ะ?? ถ้าพูดง่ายๆ ก็เป็นเพราะ “ความหนาวเย็น” ที่ทำให้ยุงไม่สามารถเจริญเติบโตได้ แต่ว่าสำหรับประเทศไอซ์แลนด์นั้นจะมีความพิเศษที่มากกว่าประเทศอื่นๆ ประเทศไอซ์แลนด์ Lauren Culler ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยาจากมหาวิทยาลัย…
-
นักวิทย์ไขปริศนา เสียงที่ทำเจ้าหน้าที่ทูตในคิวบาป่วยเมื่อปี 2016 แท้จริงแล้วเป็นเสียงจิ้งหรีด
ในช่วงปลายปี 2016 เจ้าหน้าที่ของสถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศคิวบาหลายสิบคนเกิดรู้สึกป่วยด้วยอาการวิงเวียน ปวดหัว ปวดหู และแม้กระทั่งการสูญเสียการได้ยิน หลังจากที่ได้ยินเสียงประหลาดที่บ้านหรือโรงแรมซึ่งพวกเขาพักอยู่ ในเวลานั้นไม่มีใครบอกได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของ “เสียงประหลาด” ที่เหล่าเจ้าหน้าที่ได้ยินนั้น แท้จริงแล้วมาจากไหน จนทำให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2019 ได้มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งถูกนำมาเผยแพร่ที่การประชุมสังคมบูรณาการและชีววิทยาเปรียบเทียบที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา และบอกว่าที่เจ้าหน้าที่ของสถานทูตมีอาการเช่นนี้ เกิดขึ้นเพราะเสียงของ “จิ้งหรีด” นี่เป็นผลการวิจัยที่เกิดจากการวัดคลื่นเสียงที่เจ้าหน้าที่ของสถานทูตรายหนึ่งได้มีการบันทึกไว้ในคิวบา และพบว่าเสียงที่อัดไว้ มีความใกล้เคียงกับจิ้งหรีดสายพันธุ์ “Anurogryllus muticus” หรือจิ้งหรีดหางสั้นมาก ในตอนที่มีการค้นพบครั้งแรก เสียงที่พบนั้นจะไม่ได้เหมือนกับที่บันทึกไว้เท่าไหร่นัก เนื่องจากเสียงที่ได้รับการบันทึกมานั้นมีจังหวะที่ประหลาดและไม่เป็นธรรมชาติอย่างมาก แต่หลังจากที่การทดลองดำเนินไป นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเสียงที่บันทึกไว้เป็นเสียงมีการสะท้อนผ่านกำแพง พื้น หรือเพดานของที่อยู่อาศัยจนมีความผิดเพี้ยนไปจากเสียงต้นฉบับ นั่นหมายความว่าแม้ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จะยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าเพราะอะไรเสียงสะท้อนของจิ้งหรีดจึงทำให้เจ้าหน้าที่ของสถานทูตมีอาการป่วยได้ แต่อย่างน้อยๆ พวกเขาก็มั่นใจว่าอาการของเจ้าหน้าที่สถานทูตไม่ได้เกิดขึ้นจาก “อาวุธคลื่นเสียง” อย่างที่ทฤษฎีสมคบคิดกล่าวไว้แน่นอน ที่มา livescience
-
กาแล็กซีทางช้างเผือกจะชนกับกาแล็กซีบริวาร และอาจทำให้หลุมดำกลายเป็น “ควาซาร์”
หากเป็นคนที่ได้มีโอกาสติดตามข่าววงการดาราศาสตร์ เพื่อนๆ อาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าในราวๆ 4,000 ล้านปีข้างหน้า กาแล็กซีทางช้างเผือกของเราจะชนเข้ากับกาแล็กซีอันโดรเมดา และอาจนำไปสู่จุดจบของกาแล็กซีอันเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก็เป็นได้ แต่แล้วเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเดอแรมในอังกฤษ ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่าก่อนที่กาแล็กซีที่กล่าวไว้ข้างต้นจะชนกัน กาแล็กซีทางช้างเผือกของเราจะต้องชนกับกาแล็กซีบริวาร (Satellite Galaxy) ที่ชื่อว่า “เมฆแมเจลแลนใหญ่” ก่อน ภาพการรวมตัวของกาแล็กซี M51a และ M51b ที่มีมวลใกล้เคียงกับกาแล็กซีทางช้างเผือก และกาแล็กซีบริวารเมฆแมเจลแลนใหญ่ จริงอยู่ว่ากาแล็กซีบริวารเมฆแมเจลแลนใหญ่จะมีมวลเพียงแค่ 1 ใน 20 ของกาแล็กซีทางช้างเผือก แต่หากการชนกันเกิดขึ้นจริง ปริมาณมวลนี้ก็มากเพียงพอที่จะทำให้หลุมดำที่บริเวณใจกลางกาแล็กซีทางช้างเผือกเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เลย นั่นเพราะการชนกันจะทำให้หลุมดำดูดดวงดาวเข้าไปเป็นจำนวนมากจนมีขนาดใหญ่ขึ้นราวๆ 8 เท่า และอาจถึงขึ้นที่กลายเป็น “ควาซาร์” หนึ่งในวัตถุที่สว่างที่สุดในจักรวาลเลยก็ได้ เท่านั้นยังไม่พอเพราะการชนในครั้งนี้ยังจะทำให้ตำแหน่งของดาวต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกด้วย เพราะดาวจากเมฆแมเจลแลนใหญ่บางส่วน จะถูกร่วมเข้ากับกาแล็กซีทางช้างเผือกต่อไป นับว่าโชคดีมาที่กว่าจะเกิดการชนกันดังกล่าวขึ้นจริงๆ มันก็ในอีกราวๆ 2,000 ล้านปีข้างหน้า และต่อให้เรามีลูกหลานรอดชีวิตไปถึงสมัยนั้นจริงๆ…
-
3 งานวิจัยใหม่เผย AI สามารถถอดรหัสสิ่งที่มนุษย์กำลังจะพูดจากคลื่นสมองได้แล้ว
เมื่อช่วงปลายปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมาที่เว็บไซต์ “bioRxiv” คลังเก็บงานวิจัยที่ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์เกี่ยวกับชีววิทยา ได้มีผลงานวิจัย 3 ชิ้นถูกนำมาเผยแพร่โดยนักวิทยาศาสตร์สามกลุ่ม โดยงานวิจัยทั้งสามนี้ แม้จะมีการทดลองที่ต่างกันอยู่บ้าง แต่ก็มีจุดร่วมที่น่าสนใจอยู่หนึ่งจุด นั่นคือการที่พวกเขาใช้ระบบ AI ในการอ่านระบบเซลล์ประสาท และถอดรหัสคำพูดของมนุษย์ออกมาได้จากคลื่นความคิด จุดร่วมของงานวิจัยทั้งสามถูกรายงานเป็นครั้งแรกโดย Kelly Servick ผู้เป็นนักเขียนของนิตยสารออนไลน์ Science และมีเนื้อความโดยสรุปดังนี้ งานวิจัยชิ้นแรกที่มีการกล่าวถึง ถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 2018 โดยเกี่ยวข้องกับความพยายามในการทดลองช่วยเหลือผู้ป่วยโรคลมชักที่กำลังอยู่ในระหว่างการผ่าตัดสมอง โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ให้ผู้ป่วยจำนวน 11 คนฟังเสียงการอ่านคำศัพท์ต่างๆ และใช้ระบบ “deep learning” ของคอมพิวเตอร์ในการอ่านการประมวลผลของสมองคนไข้ก่อนจะแสดงออกมาในรูปแบบเสียงสังเคราะห์ ผลการทดลองนั้นพบว่า AI สามารถตีความคำศัพท์ได้ถูกต้องราวๆ 75% (อ่านงานวิจัยได้ ที่นี่) งานวิจัยชิ้นที่สองถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2018 เป็นการทดลองกับผู้ป่วยเนื้องอกในสมอง โดยการให้พวกเขาอ่านคำศัพท์หนึ่งพยางค์ และทำการบันทึกคลื่นประสาทในตอนที่อ่านมาให้ AI วิเคราะห์ ผลการทดลองของงานวิจัยชิ้นนี้พบว่า AI สามารถสร้างคำคำศัพท์จากคลื่นประสาทได้ถูกต้องอย่างน่าพึงพอใจ (อ่านงานวิจัยได้…
-
นักวิทย์งง หลังพบตัวอ่อนฉลาม ว่ายไปกินไข่ที่ยังไม่ผสมในมดลูกอีกข้างของมารดาได้
ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อนว่าฉลามเป็นสัตว์ที่มีระบบการขยายพันธุ์ที่แปลก เนื่องจากฉลามบางชนิดออกลูกเป็นไข่ ในขณะที่บางชนิดออกลูกเป็นตัว แถมฉลามหลายๆ สายพันธุ์ยังมีมดลูกถึงสองอันอีกด้วย นั่นทำให้บางครั้งเมื่อต้องดูแลครรภ์ให้กับฉลาม เจ้าหน้าที่ก็อาจจะพบกับเรื่องแปลกๆ ที่ไม่น่าเชื่อ และไม่มีทางเกิดขึ้นกับมนุษย์ได้เลยเหมือนกัน อย่างในช่วงปลายเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เทคโนโลยีอัลตราซาวด์ใต้น้ำรุ่นใหม่ล่าสุดในการสำรวจครรภ์ฉลามพยาบาลสีน้ำตาล (Tawny nurse shark) พวกเขาก็พบว่า ตัวอ่อนฉลามในครรภ์มีการว่ายน้ำจากมดลูกข้างหนึ่งของมารดา ไปยังมดลูกอีกข้างหนึ่งอย่างน่าประหลาด พฤติกรรมที่สุดแสนจะประหลาดของตัวอ่อนฉลามนี้ แม้ว่าจะยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไรก็ตาม แต่เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อกันว่าน่าจะเกิดขึ้นจากการที่ลูกฉลามพยายามไปกินไข่ของพี่น้องที่ยังไม่ได้รับการผสมกับน้ำเชื้อที่มดลูกอีกข้างหนึ่ง เป็นไปได้ว่าเพราะฉลามสายพันธุ์นี้มีมดลูกสองข้าง พวกมันจึงสามารถปฏิสนธิอีกครั้งได้ แม้จะมีลูกในครรภ์อยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้มารดามีลูกมากกว่าหนึ่งตัว และเพิ่มโอกาสรอดของตัวเองให้มากขึ้น ลูกฉลามจึงพยายามลดโอกาสการปฏิสนธิอีกครั้งด้วยการลดจำนวนไข่ที่ยังไม่ได้รับการผสมในมดลูกลง เอาเข้าจริงๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการรายงานว่าลูกฉลามว่ายน้ำข้ามไปยังมดลูกอีกข้าง เพราะในปี 1993 เองก็เคยมีบันทึกของช่อง Discovery ที่บอกว่าพบลูกฉลามว่ายน้ำข้ามไปยังมดลูกอีกข้างมาแล้ว เพียงแต่ว่าในเวลานั้นการค้นพบนี้ทำโดยการเจาะรูส่องกล้องทำให้ หลักฐานที่ว่าไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควรเนื่องจาก “ไม่ได้เกิดขึ้นในระหว่างการสังเกตการณ์ตามธรรมชาติ” และมีความเป็นไปได้ที่ลูกฉลามจะเพียงแค่ว่ายหนีกล้องเท่านั้น อย่างไรก็ตามการว่ายน้ำข้ามมดลูกนั้นไม่ใช่ความแปลกเพียงอย่างเดียวของฉลามชนิดนี้ เพราะจากข้อมูลที่เคยมีการบันทึกไว้ ดูเหมือนว่าตัวอ่อนของฉลามยังสามารถโผล่หัวออกไปดูโลกภายนอกได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องคลอดออกจากครรภ์มารดาด้วย ที่มา livescience
-
เชิญชม ฉากเบื้องหลังภาพยนตร์ดังประจำปี 2018 ที่จะมาเปิดหูเปิดตาเราได้อย่างดี
ในการถ่ายทำภาพยนตร์สักเรื่องหนึ่ง เป็นที่เรารู้กันว่า ต้องผ่านขั้นตอนมาอย่างมากมายที่อยู่เบื้องหลังของการถ่ายทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแคสนักแสดง การเลือกสถานที่ถ่ายทำ โฆษณาหรือการใช้เอฟเฟกต์พิเศษเข้ามาช่วย วันนี้เราก็เลยเอาฉากเบื้องหลังการถ่ายทำของภาพยนตร์หลายๆ เรื่องในปี 2018 มาให้ได้ชมกัน ซึ่งเบื้องหลังหลายๆ ฉากนี่ทำให้เราเปิดหูเปิดตาได้ดีนักแล จะมีภาพยนตร์เรื่องใดบ้างที่เราจะนำเบื้องหลังมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน เอาเป็นว่าไปรับชมกันเลยดีกว่า!! Josh Brolin จะต้องใช้เซนเซอร์กี่จุดล่ะนี่กว่าออกมาเป็น Thanos ให้เราได้เห็นกัน https://www.instagram.com/p/BVAzUSDB0cF/?utm_source=ig_embed นอกจากจะต้องใส่เซนเซอร์มากมายแล้ว ขั้นตอนนี้ก็ดูน่าจะทรมานพอตัวเลยนะเนี่ย https://www.instagram.com/p/BTCgUrThFmx/?utm_source=ig_embed ไม่ใช่หนังในปี 2018 แต่ป๋า RDJ เอาเบื้องหลังมาโพสต์ในปี 2018 จากกองถ่าย Iron Man 3 https://www.instagram.com/p/BldiHixDvFq/?utm_source=ig_embed ก่อนจะเป็นเจไดก็ต้องมีการฝึกซ้อมแบบนี้แหละ ดูหน้าของ Daisy Ridley สิ อินเนอร์นี่มาเต็ม! https://www.instagram.com/p/BTcf_9klT5Z/?utm_source=ig_embed เพื่อนๆ รู้มั้ยว่าเครื่องนี้เขาเอาไว้ทำอะไรกัน มันคือเครื่องที่จะช่วยสร้างโมเดล 3D ของนักแสดงขึ้นบนคอมพิวเตอร์ได้ยังไงล่ะ https://www.instagram.com/p/BRADSbnApFZ/?utm_source=ig_embed จากกองถ่าย…
-
นักวิทย์ตอบคำถาม ในทางวิทยาศาสตร์เราควร “ถอดรองเท้า” ในบ้านหรือไม่?
สำหรับคนไทยแล้วการถอดรองเท้าในบ้านหรือในอาคารอาจจะเป็นภาพที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงรู้ว่ามีชาวตะวันตกจำนวนมากเช่นกันที่จะไม่ถอดรองเท้าในอาคารหรือบ้าน ถ้าอย่างนั้น ในทางวิทยาศาสตร์แล้วเราควรถอดรองเท้าในบ้านรึเปล่านะ? เหตุผลหลักๆ ที่คนเราถอดรองเท้าในบ้านมาจากความคิดที่ว่ารองเท้านั้นสกปรก ซึ่งอาจนำมาซึ่งเชื้อแบคทีเรียไม่พึงประสงค์ได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องพอสมควรเลย เนื่องจากทุกๆ 1 ตารางนิ้วของรองเท้าสามารถมีแบคทีเรียได้เป็นแสนๆ ตัว และไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหนก็ตาม รองเท้าของเราก็จะมีแบคทีเรียติดกลับมาได้แทบทั้งนั้น จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ ในรองเท้ากว่า 96% จะมีแบคทีเรียที่ชื่อว่า “Escherichia coli” หรือเชื้ออีโคไล ซึ่งแม้ว่าหลายๆ ชนิดจะไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์ (บางตัวก็ช่วยในการย่อยอาหารด้วยซ้ำ) แต่บางชนิดก็สามารถทำให้เราป่วยได้เหมือนกัน เท่านั้นยังไม่พอเพราะบนรองเท้าบางส่วนยังมีแบคทีเรีย Staphylococcus aureus อยู่ด้วย ซึ่งอาจจะนำไปสู่อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วงได้ในบางกรณี แบคทีเรีย Staphylococcus aureus มีชื่อแปลว่า “องุ่นสีทอง” ถึงอย่างนั้นก็ตามนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่แนะนำให้เราหวาดกลัวกับการที่ถูกคนเผลอใส่รองเท้าเข้าบ้านมากจนเกินไป เพราะแม้แบคทีเรียที่กล่าวมาอาจจะฟังดูน่ากลัว แต่โดยปกติแล้ว แบคทีเรียเหล่านี้จะไม่เป็นพิษภัยต่อคนที่ร่างกายแข็งแรง กลับกันแบคทีเรียที่ดีบางตัวยังสามารถช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้นได้อีกด้วย ดังนั้นหากจะให้สรุป นักวิทยาศาสตร์ก็บอกว่าคนเรา “ควรจะถอดรองเท้า” หากในบ้านมีคนที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเด็กเล็ก ส่วนบ้านของคนธรรมดาทั่วไป จะถอดรองเท้าหรือไม่ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันขนาดนั้น …
-
นักเรียนหนุ่มควง ‘เหมียวคู่ใจ’ ไปงานพรอม เลยกลายเป็นคู่ที่แย่งซีนทุกคนในงาน
คุณไม่มีวันรู้หรอกว่าแมวมีพลังทำลายล้างมากแค่ไหน จนกว่าคุณจะมีแมวเข้ามาอยู่ในชีวิต เหมือนกับ Sam Steingard และเจ้าเหมียว Ruby ที่มีความผูกพันแน่นแฟ้นอย่างเหลือเชื่อ Sam กับครอบครัวได้พบ Ruby อยู่หลัง Ruby Tuesday เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เห็นได้ชัดว่ามันเป็นแมวจรจัดที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก ครอบครัวของ Sam จึงพานุ้งแมวกลับดูแลจนมันแข็งแรงขึ้น Ruby รักครอบครัวใหม่มาก มันเดินไปส่ง Sam กับน้องสาวของเขา Caroline ไปโรงเรียนทุกวัน และขดตัวนอนกับพวกเขาในเวลากลางคืน Ruby รักทุกคนในครอบครัวก็จริง แต่มันสนิทกับ Sam มากเป็นพิเศษ เพราะชายหนุ่มมักจะพูดกับมันด้วยน้ำเสียงแบบเด็กๆ ซึ่งเจ้าเหมียวชอบเสียงแบบนั้นมาก นอกจากนี้ Sam ยังชอบเอาขนมมากมายให้เจ้าเหมียวกินด้วย Ruby จึงตอบแทนด้วยการกอดชายหนุ่มอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กระทั่งปี 2016 Sam ได้เป็นรุ่นพี่ของโรงเรียน แน่นอน เขาเหมือนเด็กหนุ่มทั่วไปที่คิดเรื่องการหาคู่เดทที่จะควงไปในงานพรอม เวลาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ Sam ยังหาคู่เดทไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะเขามีทางออกที่สมบูรณ์แบบ นั่นคือ การพาคู่หูที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่าง Ruby ไป เมื่อได้ข้อสรุปว่าจะพาเพื่อนเหมียวไปงานพรอม แม่ของ…
-
นักดาราศาสตร์พบแสงประหลาด จากกาแล็กซีห่างไกล เชื่ออาจเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก
ในวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 2017 นักดาราศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ลงทุนร่วม 3,200 ล้านบาท ในความพยายามที่จะตามหาสิ่งมีชีวิตต่างดาวซึ่งมีภูมิปัญญา การลงทุนในครั้งนั้น ทำให้พวกเขาได้พบกับแสงกะพริบอย่างต่อเนื่อง 21 ครั้ง ส่องสว่างออกมาจากกาแล็กซี FRB 121102 ซึ่งห่างจากโลกไปราวๆ 3 พันล้านปีแสง ภายในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมง ในเวลานั้นนักดาราศาสตร์ได้วิเคราะห์แสงที่พวกเขาเห็น และพบว่านี่เป็นแสงที่เกิดจากการลุกจ้าอย่างฉับพลันในช่วงคลื่นวิทยุ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Fast Radio Burst (FRB) ซึ่งเป็นลักษณะสัญญาณวิทยุประหลาดที่เป็นปริศนามาเป็นเวลานานแล้ว สาเหตุของ FRB นั้นเชื่อว่าเกิดจากดาวนิวตรอนที่หมุนเร็วมาก (เรียกกันว่าพัลซาร์) หรือไม่ก็โนวาของดาวนิวตรอนที่เกิดการระเบิดขึ้น อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานใดๆ มายืนยันข้อสันนิษฐานนี้ พัลซาร์ในเนบิวลา M1 แถมที่แปลกคือ ตามส่วนมาก FRB จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ไม่ใช่การกะพริบถี่ๆ เช่นนี้ ดังนั้นการค้นพบในครั้งนี้ กลายเป็นการค้นพบที่มีผู้คนสนใจกันเป็นจำนวนมาก และว่ากันตามตรงแล้ว ในอดีต FRB 121102 เอง ก็เคยมีการพบ FRB มาก่อนแล้วในปี 2012 เช่นกัน เพียงแต่ในเวลานั้น การกะพริบของแสงไม่ได้เกิดขึ้นอย่างถี่ๆ…
-
รู้จักกับ Thalassophobia หรือ “โรคกลัวทะเล” มาดูกันว่าเพื่อนๆ มีอาการที่ว่านี้หรือไม่
“โฟเบีย” คือความกลัวที่รุนแรงมากจนเกินไป มากเกินกว่าเหตุและผลที่สมควรเป็น ยกตัวอย่างเช่น โรคกลัวความสูง (Acrophobia) โรคกลัวแมงมุม (Arachnophobia) เป็นต้น หลายๆ คนอาจไม่ทราบถึงที่มาที่ไปในความกลัวลักษณะนี้ของตัวเอง บางคนอาจเกิดจากความหลังฝังใจที่เลวร้าย ส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน ในวันนี้ #เหมียวตะปู ก็อยากแนะนำให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกับ Thalassophobia หรือ “โรคกลัวทะเล” หนึ่งในความกลัวที่หลายๆ คนเป็นแต่อาจไม่เคยสังเกตกันมาก่อน โรคนี้ก็คือตามชื่อของมัน หากใครที่เป็นก็จะมีความกลัว “ทะเล” ไม่กล้าลงไปเล่นในน้ำทะเล อาจไม่กล้าแม้แต่การล่องเรือออกไป หนักๆ เข้าก็อาจไม่กล้าที่จะเข้าไปเฉียดหรือหันไปมองทะเลได้เลย รวมถึงไม่กล้าลงไปเล่นในน้ำลึกแม้จะเป็นสระว่ายน้ำก็ตาม วิตกกังวลกลัวว่าจะมีอะไรอยู่ข้างใต้นั้น และที่ส่งผลกระทบมากที่สุดก็อาจเป็นไม่กล้าแม้แต่มองภาพถ่าย ชื่อโรคมาจากภาษากรีก คำว่า Thalassa หมายถึงภูติผีในทะเลตามความเชื่อโบราณ สำหรับอาการที่เกิดขึ้นก็จะเหมือนกับความกลัวในโฟเบียอื่นๆ ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก หวาดระแวง อาจไม่สามารถควบคุมตัวเองหรือเป็นตัวของตัวเองได้ แนวทางการรักษาความกลัวในลักษณะนี้ได้ดีที่สุดก็คือการปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อหาวิธีการรักษาร่วมกัน โดยอาจใช้วิธีการบำบัดจิต หรือการจัดระเบียบพฤติกรรมของสมองและจิตใต้สำนึกใหม่ ให้เราค่อยๆ มองว่าสิ่งนั้นไม่น่ากลัวอีก และหากใครอยากรู้ว่าตนเองมีอาการของโรคนี้หรือไม่ และมันรุนแรงมากน้อยแค่ไหน อาจลองพิสูจน์กันดูได้จากภาพที่นำมาให้ชมกันด้านล่างนี้ …
-
เมื่อคิดให้ดีโลกนี้ประหลาด…? 5 ศาสนา “อีหยังวะ” แต่มีคนนับถือเป็นจริงเป็นจังด้วยนะ
คนเราต่างก็มีสิทธิ์ในการเลือกนับถือสิ่งใด หรือศาสนาใดก็ได้ ตราบใดที่ไม่สร้างความเดือดร้อน หรือเบียดเบียนความสงบสุขของใคร หรือหากจะเลือกไม่นับถือสิ่งใดก็ไม่ผิดเช่นกัน แต่ตามปกติผู้คนก็จะรู้จักศาสนาหลักๆ ในโลกไม่กี่ศาสนา เช่นพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ขงจื๊อ แล้วแต่ละศาสนาก็ยังแยกย่อยเป็นอีกหลากหลายนิกาย ที่มีข้อกำหนดและความเชื่อแตกต่างกันออกไปอีก ตามปกติการจะสร้างศาสนาขึ้นมาใหม่ (และทำให้ถูกต้อง) นั้นมีองค์ประกอบที่ต้องมีเป็นหลักสากลอยู่ แต่ศาสนาที่เราจะยกมาให้ดูต่อไปนี้นั้นจะมีองค์ประกอบครบหรือไม่…ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มัน “อีหยังวะ” จริงๆ นะพวกคุณ 1. Jediism (ศาสนาเจได) หนังไซไฟระดับตำนานอย่าง Star Wars นั้นย่อมมีแฟนคลับอยู่ทั่วโลก แต่แฟนคลับเหล่านี้อาจจะรักมั่นคงในหนังเรื่องนี้มากกว่าคนอื่นๆ ไปหน่อยนึงเท่านั้นเอง แต่ว่าไม่ได้เพราะเหล่าสาวกแห่งเจไดเขาปฏิบัติตนตามวิถีแห่งพลังกันอย่างจริงจัง แถมมีวิหารแห่งเจไดตั้งอยู่ที่รัฐเท็กซัสด้วย 2. Universe People (ชาวจักรวาล) เป็นศาสนาที่เชื่อในเรื่องสิ่งมีชีวิตนอกโลกนามว่า Ashtar ที่เฝ้ามองโลกของเราจากเบื้องบน หากใครทำดีและจงรักภักดี Ashtar จะมารับไปตัวยังอีกมิติหนึ่ง 3. Panawave (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) อันนี้จะเรียกว่าเป็นศาสนาก็เรียกได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่ แต่กลุ่มคนเหล่านี้หวาดกลัวต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างมาก พวกเขามีความเชื่อว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสาเหตุทำให้โลกร้อน และจะนำพาหายนะมาสู่โลกของเรา 4. The Church…
-
รู้จักวัฒนธรรม “เผารถ” ช่วงเทศกาลในฝรั่งเศส เผาทำไม? เผากันตั้งแต่เมื่อไหร่?
การเผารถในช่วงเทศกาลนั้นดูจะเป็นประเพณีประจำประเทศฝรั่งเศสไปเสียแล้ว ไม่ว่าการเฉลิมฉลองด้วยการทำลายข้าวของดังกล่าวนี้จะสร้างความไม่พอใจให้ใครหลายคน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ต้องคอยรักษาความสงบเรียบร้อยและเจ้าของรถที่ถูกเผา แต่การกระทำนี้ก็ยังดำเนินมาถึงปัจจุบัน หลายคนอาจจะคิดในใจว่า คนที่ทำแบบนั้นได้ต้องรวยมากแน่ๆ ถึงเอารถมาเผาเล่นเพื่อความสะใจช่วงเทศกาลแบบนี้ แต่แท้จริงแล้วประเพณีนี้ในฝรั่งเศสเป็นการสุ่มเอารถใครก็ตามที่โชคร้ายตามท้องถนนมาจุดไฟเผาต่างหาก ช่วงวันสิ้นปีคนปกติคงอธิษฐานขอให้ตนเองพบแต่ความสุขในปีหน้า สุขภาพแข็งแรง แต่ในฝรั่งเศสนั้นประชาชนผู้มีรถยนต์อยู่ในครอบครองต้องเพิ่มคำอธิษฐานเข้าไปอีกข้อคือ ขอให้รถของตนรอดพ้นจากการถูกเหล่าวัยรุ่นคึกคะนองจุดไฟเผาเล่น นอกจากนี้วันที่มีการเผารถมากที่สุดอีกวันคือวันที่ 14 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันชาติของประเทศฝรั่งเศส ในปีที่แล้วจำนวนรถที่ถูกเผานั้นมีไม่ต่ำกว่า 1,000 คัน ส่วนผู้ต้องหาทำลายทรัพย์สินก็ถูกจับกุมตัวราวๆ 500 คดี ถึงแม้ว่าตัวเลขนี้จะลดลงจากปี 2010-1013 ถึง 20% แต่การที่มีรถโดนเผาเล่นโดยเจ้าของไม่เต็มใจนั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก สาเหตุที่ตัวเลขความเสียหายลดลงนั้นทาง ONDRP (หอสังเกตการณ์อาชญากรรมและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา) ระบุว่า เมื่อสื่อต่างๆ ให้ความสนใจในประเพณีนี้น้อยลง ก็อาจทำให้ความน่าตื่นเต้นของการเผารถลดน้อยลงไปด้วย ประเพณีการสุ่มเผารถนี้เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกช่วงยุค 90 ในการประท้วงทางภาคตะวันออกของประเทศ จากนั้นก็กลายเป็นกระแสลามไปทั่วประเทศที่ผู้คนจะออกมาเผารถเพื่อแสดงออกทางสังคม ต่อมาในยุคหลังก็เกิดเป็นการแข่งขันกันระหว่างแก๊งวัยรุ่นคู่อริในแต่ละพื้นที่ว่าแก๊งไหนเผาได้มากกว่ากัน ส่วนของปีล่าสุดนี้ก็คาดว่าจะมีการเผารวมอยู่ในเหตุการณ์ประท้วงการปรับขึ้นภาษีน้ำมันของรัฐบาลฝรั่งเศส และการประท้วงเรื่องอื่นๆ ที่สืบเนื่องต่อกันมาตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน ที่มา thelocal.fr
-
นางแบบบิกีนี่ลงทุน ‘นวดนม 10,000 ครั้ง’ ในระยะ 2 สัปดาห์ พิสูจน์ว่าจะใหญ่ขึ้นรึเปล่า?
ขนาดของหน้าอกหน้าใจที่มีตามธรรมชาติ หากรู้สึกยังไม่พอใจกับสิ่งที่มี เดี๋ยวนี้ทางเลือกของการเสริมหน้าอกก็มาช่วยทดแทนในส่วนที่ขาดได้ แต่ว่าหากวิธีเสริมหน้าอก ที่ไม่ได้ทำให้ใหญ่ขึ้นตามธรรมชาติยังไม่ตอบโจทย์ เนื่องจากมีความเสี่ยงอื่นๆ อีกมากมาย แล้ววิธีทางธรรมชาติแบบไหนจะทำให้มันใหญ่ขึ้นมาได้บ้างล่ะ? Nana Yasuda ด้วยพื้นฐานความสงสัยแคลงใจนี้ ทางสถานีโทรทัศน์ TV Tokyo จึงจัดรายการพิเศษขึ้นมา โดยมีแขกรับเชิญเป็นนางแบบบิกินี่และเรซควีน Nana Yasuda มาร่วมกันค้นหาคำตอบว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากหน้าอกของหญิงสาวชาวโตเกียววัย 27 ปี ถูกนวดไปทั้งหมด 10,000 ครั้ง? โดยก่อนหน้านี้ทางรายการก็ได้ทำการทดลองจำนวน 10,000 ครั้ง ในหลากหลายรูปแบบมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น การตวัดพู่กัน การเหวี่ยงดาบเคนโด แต่การทดลองนวดหน้าอกครั้งนี้กลับได้รับความสนใจจากผู้ชมเป็นพิเศษ อย่างไรก็ดี ทางรายการได้พิจารณาแล้วว่าหากนวดแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอาจส่งผลอันตรายต่อหน้าอกของ Yasuda ได้ ทางสถานีจึงจัดแจงที่ปรึกษาพัฒนาการหน้าอกมาโดยเฉพาะ เพื่อติดตามกระบวนการนวดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นวิธีการจับให้กระชับใต้ราวนม และกระบวนท่าจัดฝ่ามือและกระบวนนวดหมุนหน้าอก ทั้งนี้ การนวดทีเดียว 10,000 ครั้ง ก็อาจจะหนักเกินกว่าที่หน้าอกของ Yasuda จะรับมือได้ไหว เพราะฉะนั้นจะแบ่งการทดสอบเป็นคอร์สในระยะ 12 วันแทน…
-
ประเทศจีนประสบความสำเร็จ ลงจอดบนดวงจันทร์ “ฝั่งไกล” เป็นประเทศแรกของโลก
ตั้งแต่ที่ยานอะพอลโล 11 ขึ้นไปแตะดวงจันทร์ในปี 1969 มนุษย์โลกก็ได้มีโอกาสไปเหยียบดวงจันทร์กันอีกมากมายหลายครั้ง ว่าแต่รู้รึเปล่าว่าการไปร่อนลงบนดวงจันทร์ที่ผ่านๆ มานั้น ล้วนแต่เกิดขึ้นกับดวงจันทร์ฝั่งใกล้เท่านั้น แต่แล้วเมื่อคืนวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ยานสำรวจ “ฉางเอ๋อ 4” (嫦娥四號) ของประเทศจีน ซึ่งถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ก็ได้ประสบความสำเร็จในการลงจอดบนดวงจันทร์ฝั่งไกล ภาพจำลองของยานสำรวจฉางเอ๋อ 4 ในขณะปฏิบัติภารกิจ เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าดวงจันทร์นั้นจะโคจรรอบโลกโดยหันด้านเดิม (เรียกว่าฝั่งใกล้) เข้าสู่โลกอยู่เสมอๆ ทำให้ดวงจันทร์ฝั่งไกลกลายเป็นฝั่งที่ยังไม่มีใครส่งยานอวกาศไปสำรวจมาก่อน มันเป็นพื้นที่ที่มีพื้นผิวขรุขระ และมีหลุมบ่อซึ่งเกิดจากการถูกวัตถุในอวกาศพุ่งชนอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในหลุมเหล่านี้เองก็ยังมีหลุมที่ชื่อว่า “Von Kármán” ที่มีขนาดใหญ่และลึกที่สุดอยู่ด้วย โดยหนึ่งในเป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้ก็มีอยู่ที่การสำรวจหลุม Von Kármán ที่ว่านี้นั่นเอง ภาพถ่ายชุดแรกจากยานฉางเอ๋อ-4 นอกจากนี้ยานสำรวจฉางเอ๋อ 4 ยังได้บรรทุกสิ่งมีชีวิต 6 ชนิด เพื่อทำการทดลองบนดวงจันทร์ฝั่งไกลอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ เพราะด้วยความที่ดวงจันทร์ฝั่งไกลเป็นฝั่งที่ไม่มีคลื่นวิทยุรบกวนจากโลก ทำให้สถานที่แห่งนี้มีความเหมาะสมที่จะใช้ทำการทดลองตรวจจับคลื่นวิทยุจากอวกาศต่อไปในอนาคต การลงจอดในครั้งนี้นับว่าเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่มากๆ ครั้งหนึ่งของประเทศจีนเลยก็ว่าได้ เพราะมันทำให้ประเทศจีนได้กลายเป็นประเทศแรกของโลกที่มีโอกาสได้สำรวจดวงจันทร์ฝั่งไกลอย่างใกล้ชิด…
-
นักวิทยาศาสตร์งง หลังพบว่าอีกาบางตัวมีพฤติกรรมผสมพันธุ์กับ “ซากกา” ที่ตายไปแล้ว
อีกาเป็นสัตว์ที่มีภาพลักษณ์คู่กับความตายมานาน มันมีสีดำทั้งตัว เสียงร้องที่น่าหวาดผวา แถมยังจิกกินซากศพ จนไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในหลายๆ ที่จะมองว่ากานั้นเป็นภูตแห่งความตายไป ว่าแต่รู้รึเปล่าว่านอกจากจิกกินซากศพแล้ว อีกายังมีเพศสัมพันธ์กับศพอีกด้วย ความจริงสุดแปลกนี้ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ หลังจากที่พวกเขานำซากนกกาที่เพิ่งตายได้ไม่นาน ไปวางไว้ในแหล่งที่อยู่อาศัยของกา และสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมของพวกมัน แต่แทนที่นักวิทยาศาสตร์จะได้เห็นสิ่งที่พวกเขาคิด อย่างการที่อีกาจะเลี่ยงพื้นที่ที่มีเพื่อนตายไป สิ่งที่พวกเขาเห็นกลับเป็นกาบางตัวบินเขามาหาซากกาและเริ่ม “ผสมพันธุ์” กับเพื่อนที่ตายไปแทน เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ทางทีมวิทยาศาสตร์แปลกใจมากเพราะตามปกติ อีกาที่มักจะหลีกหนีอันตรายกลับเข้าไปผสมพันธุ์กับศพที่อาจจะมีทั้งเชื้อโรคและปรสิตเสียอย่างนั้น ในเบื้องต้นนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้อีกาผสมพันธุ์กับศพ เนื่องจากนี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่สัตว์จำพวกนกมักจะทำให้กรณีที่เห็นซากศพของพวกตัวเอง แต่เนื่องจากรูปแบบการผสมพันธุ์ที่ออกมานั้นค่อนข้างก้าวร้าว นักวิทยาศาสตร์ก็คาดการว่าการผสมพันธุ์นี้อาจจะมาจากความสับสนของตัวอีกาเอง จนทำให้พวกมันใช้การข่มขืนเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีอีกาที่บุกรุกพื้นที่ของตนก็เป็นได้ คลิปส่วนหนึ่งของการสังเกตการณ์จากช่อง Kaeli Swift อย่างไรก็ตามการปริมาณของกาที่เข้ามาผสมพันธุ์กับซากกาที่ตายนั้นมีเพียง 4% ของกาทั้งหมด (และมีกาเพียง 25% เท่านั้นซึ่งเลือกที่จะเข้ามาสำรวจศพในตอนแรก) ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าพฤติกรรมการผสมพันธุ์ในรูปแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติในหมู่นก นั่นหมายความว่าอีกาส่วนมากจะหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้ศพตามสัญชาตญาณ อย่างที่นักวิทยาศาสตร์คาดการไว้ และมีอีกาเพียงบางส่วนเท่านั้นที่แปลกไปจากกาปกติทั่วไป ที่มา livescience
-
ชม “Ultima Thule” วัตถุรูปร่างคล้ายสโนว์แมนที่อยู่ไกลที่สุดเท่าที่เคยสำรวจมาในระบบสุริยะ
เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2019 ในขณะที่คนทั่วโลกกำลังฉลองปีใหม่อยู่ ห่างออกไปจากโลกราวๆ 6,400 ล้านกิโลเมตร ยาน “New Horizons” ของนาซาก็ได้บินผ่าน “Ultima Thule” วัตถุที่อยู่ไกลที่สุดเท่าที่เคยมีการสำรวจมาในระบบสุริยะ นี่นับว่าเป็นการบินเข้าใกล้ Ultima Thule มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้ เพราะในคราวนี้ยาน New Horizons สามารถถ่ายภาพของ Ultima Thule ในระยะห่างเพียง 3,500 กิโลเมตรเท่านั้น Ultima Thule มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “2014 MU69” โดยมันเป็นวัตถุที่มีรูปร่างคล้ายน้ำเต้าหรือสโนว์แมน ซึ่งมีการค้นพบเมื่อปี 2014 วัตถุชิ้นนี้มีขนาดอยู่ที่ 33 x 14 กิโลเมตร และคาดกันว่าอาจเกิดจากวัตถุสองชิ้นที่เชื่อมกันในอวกาศ วัตถุชิ้นนี้เชื่อกันว่าอยู่มาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของระบบสุริยะ ก่อนที่จะเย็นตัวลงเป็นเวลาหลายพันล้านปีและอยู่ในสภาพที่เห็นเรื่อยมาจนถึงในปัจจุบัน Ultima Thule เชื่อกันว่าจริงๆ แล้วน่าจะมีสีแดง แม้ว่าในเบื้องต้นจะยังมีเพียงภาพของตัววัตถุเท่านั้นที่ส่งกลับมายังโลกแต่จากการเปิดเผยของทางนาซา ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วยาน New Horizons จะมีข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับ Ultima…
-
10 เรื่องเจ๋งๆ ที่ ‘นักวิทยาศาสตร์’ ค้นพบในปี 2018 โลกของเราพัฒนาไปอีกขั้นแล้ว!!
ด้วยน้ำมือของ ‘วิทยาศาสตร์’ โลกของเรากำลังพัฒนาไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ในปีนี้เองก็เช่นกัน เหล่านักวิทยาศาสตร์มากมายทำงานกันอย่างหนัก เพื่อวิจัยและค้นหาในสิ่งที่มนุษย์เรายังไม่รู้ สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว มีบทความที่น่าสนใจจากเว็บไซต์ Buzzfeed กับ 10 เรื่องเจ๋งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบให้กับมวลมนุษยชาติในปี 2018 จะมีอะไรบ้างไปชมพร้อมๆ กันได้เลยครับ 1. นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เราจะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงจากภาวะโลกร้อนภายในปี 2040 เริ่มต้นกันด้วยข่าวร้าย จากการร่วมมือกันของนานาชาติ บรรดานักวิทยาศาสตร์กว่า 91 คน จาก 40 ประเทศทั่วโลก พบว่าถ้าหากว่าอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงถูกปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศเรื่อยๆ แบบนี้ ภายในปี 2040 อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกเราจะเพิ่มขึ้นอีก 2.7 องศาฟาเรนไฮต์ ซึ่งมันจะส่งผลร้ายแรงเป็นมูลค่ากว่า 54,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (1.76 ล้านล้านบาท) เลยทีเดียว 2. เราค้นพบอวัยวะใหม่ในร่างกายของมนุษย์ อวัยวะนั้นมีชื่อว่า ‘อินเตอร์สติเซียม’ (Interstitium) เป็นอวัยวะที่มีอยู่ทั่วร่างกายของเรา ทำหน้าที่เป็นดั่งซับใน รองรับน้ำจากหลอดเลือด…
-
นักวิทย์ฯ จีนค้นพบวิธีการเปลี่ยน ‘ทองแดง’ เพื่อใช้แทน “ทองคำ” ในแผงวงจร!!
ในวันนี้นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนได้ค้นพบวิธีการเปลี่ยน “ทองแดง” ให้กลายเป็นแร่ใหม่ที่มีคุณสมบัติเกือบเหมือน “ทองคำ” เรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรกับการเล่นแร่แปรธาตุเลยทีเดียว การวิจัยทดลองครั้งนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงวารสาร Science Advances เมื่อวันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2018 โดยมีทีมนักวิจัยชาวจีนจากสถาบันฟิสิกส์เคมีต้าเหลียน (DICP) ในวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ เมืองต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน เป็นผู้ดำเนินการ ในรายงานระบุว่า Sun Jian ศาสตราจารย์จาก DICP และคณะผู้ช่วยนั้นสามารถจำลองแร่ธาตุที่มีลักษณะเหมือนทองคำขึ้นได้ด้วยวิธีการยิงแก๊สอาร์กอนที่ร้อนและเต็มไปด้วยประจุไฟฟ้าเข้าใส่ทองแดง วิธีนี้จะทำให้ละอองอนุภาคที่เคลื่อนตัวเร็ว ได้เข้าไปชนกับอะตอมในทองแดงจนแยกออก และเมื่ออะตอมทั้งหมดเย็นลงและควบแน่นอยู่บนพื้นผิว มันก็จะเกิดสสารลักษณะคล้ายเนื้อทรายขึ้นเป็นชั้นบางๆ เม็ดทรายดังกล่าว จะถูกนำไปยังหอเผาไหม้เพื่อใช้มันเป็นตัวทำละลายเปลี่ยนถ่านหินให้กลายเป็นแอลกอฮอล์ และกระบวนการนี้เองที่พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณสมบัติที่เปรียบเสมือนเงินหรือทองคำ ในด้านการนำกระแสไฟฟ้าได้ดี อย่างไรก็ตาม ผลการทดลองในครั้งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์จะผลิตทองคำเพื่อขาย แต่จะมีประโยชน์มากสำหรับอุตสาหกรรมผลิตแผงวงจรไฟฟ้าที่จำเป็นต้องมี “ทองคำ” เป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้ทางทีมวิจัยยังกล่าวอีกว่า สสารใหม่ที่เกิดจากทองแดงนี้ยังมีคุณสมบัติต้านทานความร้อน การสูญเสียโมเลกุล และการกัดกร่อน ได้อีกด้วย ที่มา: sciencemag, scmp via nextshark
-
ซอสมะเขือเทศ (Ketchup) ซอสจิ้มของชาวตะวันตก แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดจากเอเชีย!!
เมื่อพูดถึง ซอสมะเขือเทศ หรือที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า Ketchup แน่นอนว่าใครๆ ก็ต้องนึกถึงอาหารฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชาวอเมริกัน จากการรายงานพบว่า 97 เปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกัน นั้นมีซอสมะเขือเทศอยู่ในบ้านของตัวเอง เรียกได้ว่าเป็นซอสที่มีอยู่ทุกบ้านเลยจริงๆ แต่หารู้ไม่ว่า ต้นกำเนิดของ Ketchup จริงๆ นั้นมันอยู่ที่ทวีปเอเชียต่างหาก!! National Geographic ระบุไว้ว่า ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ถึงต้นศตวรรษที่ 18 ชาวสหราชอาณาจักรได้พบเจอกับซอสที่เรียกว่า Ketchup เป็นครั้งแรกในเอเชีย โดยอยู่ในรูปแบบของซอสที่หมักขึ้นจากปลา ส่วนวิธีการ Ketchup ในยุคแรกนั้นถูกตีพิมพ์ขึ้นในปี 1732 โดย Richard Bradley โดยมีการอ้างอิงไว้ชัดเจนว่าได้ต้นแบบมาจากตำราอาหารของชาวเอเชียตะวันออก วิธีทำดังกล่าวเกิดจากการที่ชาวอังกฤษได้ชิมซอส Ketchup ของเอเชียแล้วพวกเขาก็พยายามลองทำมันขึ้นมาใหม่จากความจำ โดยพวกเขาใช้วิธีหมักเห็ด ผลวอลนัท หอยนางรม และปลาแอนโชวี ส่วนมะเขือเทศนั้นยังไม่ได้มีบทบาทในช่วงแรก กระทั่งปี 1812 ชายนามว่า James Mease ได้ลองใส่ผลไม้ที่เรียกว่า Love Apple ลงไปในซอส Ketchup ดั้งเดิมพร้อมมะเขือเทศบด เครื่องเทศ และบรั่นดี เขาก็ตั้งชื่อมันว่า Ketchup ตามซอสฉบับดั้งเดิม…
-
ความโสดมันแพง! งานวิจัยต่างประเทศชี้คนโสดจะ “ใช้เงินมากกว่า” คนมีคู่ถึง 4 เท่า!!
ความโสด นอกจากมันจะทำให้รู้สึกเหงาแล้ว ผลการสำรวจล่าสุดยังบอกว่า คนโสดนั้นใช้จ่ายเงินมากกว่าคนมีคู่ไปอีก!! สำหรับคนโสดแล้วการหาคู่มาช่วยคลายความเหงาใจมันก็คงจะดีไม่น้อย แต่บางครั้งคู่ชีวิตก็ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ชาวโสดทั้งหลายก็เลยต้องจ่ายค่าที่พัก ค่าอาหาร หรือค่าน้ำมันรถเองคนเดียวเสียทั้งหมด เมื่อมาถึงจุดจุดนี้ก็คงพอเห็นภาพแล้วว่า “ความโสด” มันไม่ได้ส่งผลเชิงจิตใจอย่างเดียว แต่มันส่งผลถึงยอดเงินในธนาคารของเราอีกด้วย! ผลการสำรวจของ Voucher Codes Pro ที่เก็บข้อมูลจากวัยรุ่นอังกฤษอายุตั้งแต่ 18 ถึง 30 ปีจำนวน 2,125 คน แสดงให้เห็นว่าผู้ที่อยู่ในสถานะโสดจะใช้เงินราว 150 ปอนด์สเตอร์ลิง (เกือบ 6,200 บาท) ต่อสัปดาห์ ขณะที่คนมีคู่รู้ใจนั้นจะใช้เงินราวๆ 39 ปอนด์หรือเพียง 1,600 บาท ต่อสัปดาห์เท่านั้น เรียกได้ว่า น้อยกว่ากันถึง 4 เท่า เลยทีเดียว สำหรับคนโสด ยอดการใช้เงินโดยเฉลี่ย รวมแล้วประมาณ 6,000 ปอนด์ หรือ 247,000 บาทต่อปี โดยเงินเหล่านี้จะหายไปกับค่าเที่ยวกลางคืน ค่าอาหารทั้งทานที่ร้านและซื้อกลับบ้าน สรุปแล้วการเป็นคนโสด…
-
14 “ของหวาน” แปลกๆ น่ารับประทานใน “เทศกาลคริสต์มาส” จากทั่วทุกมุมโลก
25 ธันวาคมของทุกปี ก็คือช่วงเวลาของเทศกาล “คริสต์มาส” วันที่เหล่าซานต้าจะได้ออกทำงานแจกของขวัญ วันที่ทั่วทุกมุมโลกจะมีต้นคริสต์มาสตั้งตระหง่านอยู่ในแต่ละพื้นที่ และงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกันในครอบครัว ทั้งหมดนั้นอาจเป็นสิ่งที่เราเห็นกันจนชิน แต่สิ่งที่เราอาจไม่เคยเห็นเลยก็คือหน้าตาของ “ขนมหวาน” ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเทศกาลวันคริสต์มาสโดยเฉพาะ และมีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ และนี่คือ 14 ขนมหวานจาก 13 ประเทศที่ดูน่ารับประทาน และอาจเป็นอะไรที่เราไม่เคยเห็นกันมาก่อน Bûche de Noël (ประเทศฝรั่งเศส) ลักษณะจะเป็นเค้กโรลที่มีรูปร่างคล้ายกับ “ขอนไม้” สืบทอดมาตั้งแต่ยุคกลาง จากนั้นจึงโรยผงน้ำตาลให้คล้ายกับหิมะ แล้วเติมแต่งท็อปปิ้งตามความต้องการ . Christmas Pudding (ประเทศอังกฤษ) เป็นของหวานที่จะทำทิ้งไว้ตั้งแต่ต้นเดือน ผสมผสานกันด้วยผลไม้ ถั่ว และอาจมีไขมันจากเบคอนซึมมาด้วยเล็กน้อย จากนั้นแช่ตู้เย็นเก็บเอาไว้ แล้วค่อยนำมากินในวันแรกของช่วงเทศกาลวันหยุด . Vínarterta (ประเทศไอซ์แลนด์) มันจะถูกทำออกมาเป็นชั้นๆ ซึ่งจะมีส่วนประกอบของอัลมอนด์ และ/หรือ บิสกิตกลิ่นกระวาน จากนั้นจึงคั่นด้วยแยมลูกพลัม อาจเติมรสชาติด้วยอบเชย กานพลู หรือวานิลลา เสิร์ฟคู่กับกาแฟ . Cranachan…
-
“แพริโดเลีย” ปรากฏการณ์ทางจิตที่ใครก็มี พิสูจน์ความสามารถนี้ได้จาก 15 ภาพ
แพริโดเลีย (Pareidolia) คือชื่อของปรากฏการณ์ทางจิตที่จะเกิดขึ้นในตอนที่เรารับสิ่งเร้าเช่นภาพหรือเสียงที่มีความ “ไม่ชัดเจน” “ไร้รูปแบบ” (ลักษณะของความบังเอิญหรือสุ่มเกิดขึ้นมา) หน้าที่ของปรากฏการณ์ดังกล่าวนั้นจะทำให้เรามองเห็นว่าภาพเหล่านั้นมีความหมายขึ้นมาได้ กล่าวคือเราอาจเห็นบางสิ่งบางอย่างไปอยู่ในภาพด้านหน้าที่เรากำลังมอง ยกตัวอย่างเช่น เห็นก้อนเมฆเป็นสัตว์หรือใบหน้า เป็นต้น และเพื่อนๆ ก็สามารถพิสูจน์ความสามารถนี้ได้จาก 15 ตัวอย่างของภาพที่ไร้รูปแบบ แต่กลับทำให้เราคิดถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ ว่าแล้วก็ลองไปชมกันเลย มองผ่านๆ นี่คงต้องตกใจกันบ้าง แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงแค่ไส้กรอกเองนะ ดูเหมือนว่ามันจะผิดหวังกับบางอย่างอยู่นะ ยิ้มน่ากลัวจัง เจ้าโลมาอ้าปากหวอออ สุนัขที่มาพร้อมกับความร้อนระอุ สงสัยจากง่วงหนักมากจริงๆ ตกใจอะไรเบอร์นั้นล่ะคะคุณพี่ เหมือนกำลังสวดทำพิธีอะไรสักอย่าง ทำไม ทำม๊ายยยย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เหมือนเห็น “ผู้นำนาซี” อยู่บนหัวเจ้างูเลยนะ เครียดมากเหรอ ตัวสกังก์นี่นาาาา หน้าตาแบบตัวร้ายในละคร ชอบภาพสุดท้ายนี้ที่สุดแล้ววววว ที่มา: boredpanda
-
เปิดเรื่องราว “ทวีปซีแลนเดีย” ทวีปจมน้ำที่มีอยู่จริงที่ใต้ประเทศนิวซีแลนด์
เชื่อว่าทุกๆ คนคงจะเคยได้ยินเรื่องราวของทวีปที่จมน้ำไปอย่างแอตแลนติสกันมาบ้าง แต่ในขณะที่แอตแลนติสเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น ในโลกของเราก็ยังมีทวีปที่จมอยู่ใต้น้ำจริงๆ นี่สิ ทวีปดังกล่าวมีชื่อว่า “ทวีปซีแลนเดีย” ทวีปใหม่ของโลกที่ถูกค้นพบในปี 2017 โดยมันเป็นแผ่นดินขนาดใหญ่ ซึ่งจมอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก และอยู่ใต้ประเทศนิวซีแลนด์แบบพอดิบพอดี อันที่จริงต้องบอกว่าประเทศนิวซีแลนด์เป็นส่วนของทวีปซีแลนเดียเพียงไม่กี่ส่วนที่โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำจะถูกกว่า เพราะประเทศนิวซีแลนด์นั้น นับเป็นพื้นที่ส่วนที่สูงที่สุดราวๆ 6% ของทวีปแห่งนี้เลยนั่นเอง ทวีปซีแลนเดียเชื่อกันว่าแยกออกจากมาทวีปแอนตาร์กติกาเมื่อช่วงระหว่าง 85-130 ล้านปีก่อน และจมลงเมื่อ 60–85 ล้านปีก่อนโดยแยกออกมาจากทวีปออสเตรเลียที่อยู่ใกล้ๆ อีกที เส้นสีชมพูแสดงให้เห็นถึงขอบเขตของทวีปซีแลนเดีย ทวีปซีแลนเดียมีการพูดถึงเป็นครั้งแรกในปี 1995 โดยนักธรณีฟิสิกส์และนักสมุทรศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ Bruce Luyendyk โดยในเวลานั้น Bruce ได้พยายามเปรียบเทียบคุณสมบัติทางธรณีวิทยาของแอนตาร์กติกาเข้ากับนิวซีแลนด์ และพบกับความเป็นไปได้ที่ว่าใต้นิวซีแลนด์อาจจะมีแผ่นดินขนาดใหญ่อยู่ Bruce Luyendyk ตอนที่เดินทางไปยังนิวซีแลนด์ แนวคิดของเขาได้รับการพิสูจน์ในปี 2017 โดยทีมนักสำรวจทางธรณีวิทยา 11 คน แถมนอกจากจะพบแผ่นดินแล้ว พวกเขายังมีการพบหินที่เป็นลักษณะร่วมของทวีปทั้งหมดบนโลกทั้ง 3 ชนิด (หินอัคนี หินแปร และหินตะกอน) บนซีแลนเดียอีกด้วย นั่นทำให้ซีแลนเดียมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นทวีปได้จริงๆ…
-
มือสไนเปอร์ผู้เหนี่ยวไกนัดเดียว แต่สังหารผู้ร้ายได้ 6 คน เพราะดันยิงไปโดนระเบิด!!
หลายคนอาจะเคยได้ยินสุภาษิตที่ว่า ‘ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว’ กันอยู่เป็นประจำ ความหมายของมันก็คือทำบางสิ่งบางอย่างลงไปแค่อย่างเดียว แต่ดันได้ผลกลับมาเป็นสองเท่า แต่สำหรับนายทหารพลแม่นปืนของอังกฤษรายนี้ ดันทำได้มากกว่านั้นซะอีก!? เพราะเขายิงปืนแค่นัดเดียว แต่สามารถสังหารผู้ก่อการร้ายได้ถึง 6 คนเลยทีเดียว!! เรื่องราวของนายทหารยศสิบตรีนายหนึ่ง (ไม่เปิดเผยชื่อ) จากกองพันที่ 1 ของหน่วย Coldstream Guards ประเทศอังกฤษ ผู้ถูกยกย่องให้เป็นฮีโร่ของเหล่าทหารอังกฤษ หลังสามารถหยุดยั้งการก่อการร้ายในจังหวัด Helmand ประเทศอัฟกานิสถานเอาไว้ได้ ย้อนกลับไปในเดือนธันวาคม ปี 2013 ขณะที่ทหารอังกฤษกำลังออกตรวจตราความเรียบร้อยประจำวัน จ่าสิบตรีที่เป็นมือสไนเปอร์คอยสอดส่องความปลอดภัยให้กับหน่วยลาดตระเวนพบเห็นกลุ่มคนที่ดูน่าสงสัย 6 ราย และปรากฏว่าทั้ง 6 คนนั้นคือกลุ่มตอลิบาน หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาเริ่มเปิดฉากยิงต่อสู้กับหน่วยลาดตระเวน แต่มีคนหนึ่งที่ดูน่าสงสัย ตัวของเขาดูใหญ่ผิดปกติและพยายามที่จะเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนกระทั่งกลุ่มตอลิบานวิ่งมาหลบที่จุดหนึ่งมีลักษณะเป็นคู ห่างจากสิบตรีไปราวๆ 930 หลา (850 เมตร) เขารู้ตัวแล้วว่าจะต้องลงมือยิง จึงเริ่มคำนวนระยะ และการเคลื่อนไหวของกลุ่มตอลิบาน ก่อนที่จะตัดสินใจเหนี่ยวไกลงไป กระสุนพุ่งไปถูกหน้าอกของคนที่ดูน่าสงสัยที่สุด และไม่เพียงแค่สังหารเขาได้ แต่ปรากฏว่าผู้ก่อการร้ายที่จ่ายิงไปนั้นสวมเสื้อกั๊กที่ติดระเบิดพลีชีพเอาไว้ ซึ่งมันมีน้ำหนักถึง 20 กิโลกรัม!!…
-
ชมภาพการแข่งกีฬา Carom billiards “ประเภทหญิง” ของเกาหลี แล้วคุณจะหลงรักกีฬานี้!
การแข่งขันกีฬาที่ผู้คนมักเฝ้ารอชมกันนั้น ส่วนมากก็จะตกไปเป็นของกีฬายอดนิยมอย่าง ฟุตบอล บาสเกตบอล วอลเลย์บอล หรือมวย เป็นต้น แต่วันนี้ #เหมียวโลลิ เพิ่งจะรู้จักกับกีฬาอีกชนิดหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก แถมการแข่งขันกีฬานี่ก็เป็นภาพที่น่าจับตาดูมากๆ เลยล่ะ… กีฬา Carom billiards กีฬาชนิดนี้มีชื่อว่า Carom Billiards เป็นกีฬาแทงลูกบนโต๊ะสักหลาดคล้ายสนุกเกอร์ แต่มีวิธีการเล่นคล้ายกับบิลเลียด โดยโต๊ะของ Carom Billiards นั้นจะไม่มีหลุม กติกาโดยคร่าวๆ ก็คือผู้เล่นจะต้องทำคะแนนจากการใช้ไม้คิวแทงลูกสีขาวให้ชิ่งกับขอบโต๊ะ 2-3 ครั้งก่อนกระทบกับลูกเป้าหมาย และวันนี้เราก็จะพาไปชมภาพบรรยากาศการแข่งขันกีฬา Carom billiards ประเภทหญิง ในรายการหนึ่งของเกาหลีใต้ ลองไปชมกันดู แล้วจะรู้ว่ากีฬานี้นั้นน่าดู เอ๊ยย…น่าสนใจขนาดไหน!!! แค่หุ่นนักกีฬาก็กินขาดแล้วจ้า เหล่านักกีฬาจ้า อื้อหืม…หัวใจจะวาย (หมายถึงลุ้นว่าจะทำแต้มได้หรือเปล่า ฮ่าๆ) ฝ่ายตรงข้ามก็ใช่ย่อยนะเอ้อ ใครจะไปคิดว่ากีฬา Carom Billiards มันจะน่าดูขนาดนี้!! เอาคลิปจากรายการไปชมกันเลยจ้า …
-
ดราม่า!? องค์กรพิทักษ์สัตว์ ทำคลิป “ชาววีแกน” มีเซ็กส์ได้ดีกว่า “คนกินเนื้อ”
องค์กรพิทักษ์สัตว์ PETA (People for the Ethical Treatment of Animals) คือองค์กรที่ต่อต้านและรณรงค์ไม่ให้เกิดการทารุณกรรมสัตว์ รวมถึงแนวคิดที่ว่า “ไม่ควรบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์” และล่าสุด พวกเขาก็ได้สร้างกระแสในทวิตเตอร์ภายใต้แฮชแท็กที่ชื่อว่า #SureSexIsGreatBut เพื่อแสดงให้เห็นว่า “ชาววีแกน” จะสามารถมีเซ็กส์ได้ดีกว่า “คนกินเนื้อ” โพสต์ของพวกเขาในวันที่ 17 ธันวาคม 2018 ได้เปรียบเทียบให้เห็นว่าคนที่กินแต่ผักผลไม้ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์เลย คนเหล่านั้นจะสามารถมีเซ็กส์ได้ดีกว่าคนที่กินเนื้อสัตว์ โดยพวกเขาได้นำเอาคลิปวิดีโอที่เคยทำเอาไว้ในปี 2016 มาเป็นตัวโฆษณาเปรียบเทียบ คนกินเนื้อสัตว์ VS ชาววีแกน Mimi Bekhechi หนึ่งในคณะกรรมการขององค์กร PETA กล่าวว่า… “การบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์จะเชื่อมโยงกับการอุดตันของหลอดเลือดแดง ส่งผลให้ขาดประสิทธิภาพในการทำงาน ที่ไม่ได้เป็นผลกระทบแค่กับหัวใจของหนุ่มๆ แต่ยังรวมไปถึงอวัยวะที่สำคัญของพวกเขาเหล่านั้น” “ขณะเดียวกัน อาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ได้แก่ ผักผลไม้ และธัญพืชต่างๆ มันจะช่วยขจัดคราบที่เกาะติดอยู่กับผนังหลอดเลือดใหญ่ของเราออกไป ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี” “การไหลเวียนนั้นจะส่งผลดีต่อไปยังแต่ละส่วนของร่างกาย ทำให้ชีวิตรักของหนุ่มๆ…
-
วิธีการเจ๋งๆ ในการเคลื่อนย้าย “หลุมกอล์ฟ” เขาทำกันอย่างไรและใช้อะไรทำ มาชม!
คนที่ไม่ได้อยู่ในวงการกีฬากอล์ฟ หรือแม้แต่คนที่อยู่ในวงการบางคนก็อาจจะยังไม่รู้ว่า หลุมกอล์ฟนั้นมันถูกเคลื่อนย้ายได้ด้วยวิธีการอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดการจำเจ หลุมของสนามกอล์ฟนั้นจะมีการเปลี่ยนตำแหน่งอยู่เสมอ แต่การจะย้ายนั้นใช่ว่าจะขุดหลุมมั่วๆ แบบไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสมแบบขุดหลุมดีดลูกแก้วได้หรอกนะ เพราะการกระทำแบบนั้นอาจทำให้พื้นสนามเสียหาย ฉะนั้น มันจึงมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ช่วยทำให้การขุดหลุมกอล์ฟแม่นยำและปลอดภัย แถมช่วยให้กลบหลุมเก่าได้แนบเนียนอีกด้วย วันนี้เราจึงจะพาทุกท่านไปชมกันว่า การเคลื่อนย้าย “หลุมกอล์ฟ” เขาใช้อะไรทำ และทำกันอย่างไรบ้าง ชมคลิปวิดีโอการย้ายหลุมกอล์ฟกันเลย เริ่มจากการกำหนดจุดที่จะใช้เป็น ตำแหน่งใหม่ของหลุมกอล์ฟ วางเครื่องมือลงไปและตอกมันลงเพื่อสร้างหลุมทรงกระบอกที่มีขนาดตามมาตรฐาน จากนั้นก็ไปนำขอบหลุมและอุปกรณ์อื่นๆ จากหลุมเก่าออกมาให้หมด นำพื้นดินที่ได้จากการขุดหลุมใหม่มาวางกลบลงในหลุมเก่า ด้วยขนาดที่เป็นมาตรฐานทำให้วางลงได้อย่างพอดี จนกลายเป็นพื้นสนามเนียนๆ หลุมใหม่ที่เพิ่งขุดก็จะมีหน้าตาประมาณนี้ แต่ใช่ว่าขุดได้แบบนี้แล้วจะใช้ได้ทันทีนะ หลังจากขุดหลุดที่ได้ขนาดตามมาตรฐานแล้วก็นำขอบหลุม และธงมาปักเอาไว้ เป็นอันเสร็จ ได้หลุมกอล์ฟตำแหน่งใหม่แล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าการย้ายหลุมกอล์ฟมันจะมีวิธีการที่ซับซ้อนแบบนี้! ที่มา: thechive
-
งานวิจัยใหม่บอก มีความเป็นไปได้ที่คนในอนาคตจะเรียกคนยุคเราว่า “มนุษย์ไก่”
เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าบางทีคนในอดีตก็มักถูกเรียกด้วยชื่อเล่นตามลักษณะพิเศษ หรือผลงานที่เคยสร้างไว้ อย่างวัฒนธรรม Corded Ware ในแถบฟินแลนด์เอง ก็ได้ชื่อมาจากเครื่องปั้นดินเผาที่โดดเด่นของพวกเขา นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนในอนาคตเองก็อาจจะมีชื่อเล่นให้กับพวกเราในปัจจุบันเช่นกัน และจากงานวิจัยของธรณีวิทยาชื่อ Carys Bennett แล้ว มีความเป็นไปได้สูงเลยที่พวกเราจะถูกเรียกว่า “มนุษย์ไก่” (Chicken People) ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากหากในอนาคตอันห่างไกลมีการขุดพบฟอสซิลของสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ในปัจจุบัน สิ่งที่ใช้ในการตามรอยพวกเราได้ดีที่สุด จะเป็นไก่เลี้ยงนั่นเอง นั่นเพราะในปัจจุบันเราจะมีไก่เลี้ยงอยู่ทั่วโลกถึง 21,400 ล้านตัว ซึ่งนับว่ามากกว่าสัตว์ปีกชนิดอื่นๆ ในโลกมาก ถึงขั้นที่ว่าเมื่อนำมวลของมันมารวมกันจะมีน้ำหนักถึง 5,000 ล้านกิโลกรัม เลยทีเดียว ตัวเลขที่มากขนาดนี้ทำให้ในโลกมีกระดูกไก่อยู่ในแทบจะทุกที่ โดยเฉพาะในที่ทิ้งขยะ ซึ่งหลายๆ แห่งมีสภาพแวดล้อมเหมาะที่จะรักษากระดูกเหล่านี้จนกลายเป็นฟอสซิลไป ดังนั้นในอนาคตจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักโบราณคดีจะพบฟอสซิลกระดูกไก่เป็นสิ่งแรกๆ แถมกระดูกไก่เหล่านี้ยังเป็นของไก่ที่ผ่านการตัดแต่งพันธุ์กรรมมา จนสังเกตได้ง่ายมากๆ ว่าพวกมันไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแน่ๆ นั่นเพราะเมื่อเทียบกับในอดีต (ในที่นี่คือปี 1957) ไก่สายพันธุ์เดียวกันในปัจจุบันตัวโตขึ้นถึง 4-5 เท่าเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการตัดแต่งพันธุ์กรรมโดยมนุษย์ล้วนๆ อย่างไรก็ตามมนุษย์ไก่นั้นอาจจะไม่ใช่ชื่อเล่นเดียว เพราะหากมองตามความคงทานแล้ว ขยะอย่างพลาสติกหรือโฟมเอง ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกมันจะหลงเหลือไปถึงในอนาคตเช่นกัน …
-
10 อันดับร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เรียกได้ว่าอยู่มาตั้งแต่รุ่นปู่เลยทีเดียว!!
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันนี้ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดถือว่าเป็นร้านอาหารประเภทหนึ่งที่คนนิยมรับประทานเป็นอย่างมาก แต่เพื่อนๆ รู้รึเปล่าว่าร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้ แต่ละแบรนด์ก่อตั้งมานานเท่าไหร่บ้างแล้ว หากไม่รู้ วันนี้เราก็ได้ทำการรวบรวม 10 อันดับร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมาให้ได้ชมกันแล้ว 1. Subway ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีซิกเจอร์เป็นแซนด์วิช เปิดให้บริการมาแล้ว 53 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในเมือง Bridgeport รัฐคอนเนตทิคัต สหรัฐอเมริกาในปี 1965 2. Taco Bell สำหรับ Taco Bell ถือว่าเป็นร้านฟาสต์ฟู้ดที่เพิ่งเข้ามาเปิดบริการบ้านเราไม่นานมานี้ มีอายุประมาณ 57 ปีจากที่ก่อตั้งมาเมื่อปี 1961 ในเมือง Downey รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 3. Pizza Hut หนึ่งในแบรนด์พิซซ่าชื่อดังของที่เปิดบริการในไทยมานาน แบรนด์มีอายุ 60 ปีนับจากวันก่อตั้งสาขาแรกเมื่อปี 1958 ในเมือง Wichita รัฐแคนซัส 4. Burger King …
-
7 เรื่องที่เรามองว่าธรรมดา แต่หากไปทำในประเทศเหล่านี้ มันผิดกฎหมายนะจะบอกให้!!
ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกันออกไป ทั้งประเพณี วัฒนธรรม และรูปแบบการใช้ชีวิต รวมไปถึง ‘กฎหมาย’ อีกด้วย สิ่งเราสามารถทำได้ในประเทศนี้ ในอีกประเทศเราอาจจะไม่สามารถทำได้ และอาจทำให้คุณถูกตำรวจจับได้เลยทีเดียว สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว มีบทความดีๆ จากเว็บไซต์ Brightside มาฝากเป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะมองว่าธรรมดา แต่มันผิดกฎหมายในแต่ละประเทศ จะมีอะไรบ้างลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า 1. การต่อไวไฟของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตในประเทศสิงคโปร์ จากกฎหมายท้องถิ่นของประเทศสิงคโปร์ หากคุณต่อไวไฟโดยที่ไม่ได้แจ้งให้เจ้าของไวไฟทราบก่อน จะถูกมองว่าเป็นแฮกเกอร์และกำลังทำการโจรกรรมข้อมูล ซึ่งมีโทษจำคุกถึง 3 ปีเลยทีเดียว!! 2. ยาแก้ไข้/หวัดบางตัวไม่ได้รับอนุญาตให้พกเข้าไปในประเทศญี่ปุ่น หากคุณไปออกทริปในประเทศญี่ปุ่นและพกยาไปด้วย ต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษสักหน่อยนะ เพราะมียาหลายตัวที่ถูกห้ามนำเข้าไปในประเทศ ยกตัวอย่างเช่นยาแก้ไข้ แก้หวัดบางชนิด ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกจับตัวอยู่ที่สนามบินก่อนที่จะได้ไปเที่ยวก็ได้นะเออ!! 3. การเอ่ยคำสบถในประเทศออสเตรเลีย จงระวังเอาไว้ให้ดี หากคุณดันสบถในที่สาธารณะบนถนนในรัฐควีนส์แลนด์ หรือรัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย แม้ว่าจะเป็นการพูดเล่นก็ตาม จะทำให้คุณถูกจำคุกนานถึง 6 เดือนเลยทีเดียวเชียวล่ะ!! 4. ทำท่า Dab…
-
ชาวเน็ตเสียงแตก ถกประเด็น ‘ซานตาคลอส’ ควรจะเปลี่ยนเป็นเพศหญิง หรือไม่มีเพศ หรือไม่!?
ในช่วงเดือนธันวาคมแบบนี้ บุคคลที่มักจะโผล่มาให้เราได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ก็คงจะหนีไม่พ้น ‘คุณลุงซานตาคลอส’ บุรุษผู้เป็นตัวแทนแห่งวันคริสต์มาส ที่จะทำหน้าที่ ‘แจกของขวัญ’ ให้กับผู้คน ก็อย่างที่รู้กันดีว่ารูปร่างหน้าตา หรือเพศของคุณลุงซานตาคลอส ที่เราเข้าใจกันมาตลอดก็คือคุณลุงแก่ๆ คนหนึ่งที่มีพุงพลุ้ย แถมยังมีหนวดเคราสีขาวที่ยาวเฟิ้ม สวมชุดกันหนาวสีแดงแปร๊ด แต่ทว่าเมื่อวานนี้กลับมีประเด็นขึ้นมาในโลกโซเชียล ในงานเทศกาลคริสต์มาสของเมือง Newton Aycliffe เขต Durham ประเทศอังกฤษ มีอาสาสมัคร ‘ผู้หญิง’ 2 คน มาสมัครรับบทเป็นซานตาคลอสในงาน เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไปก็ทำให้เกิดกระแสออกมาต่อต้านมากมาย ทั้งที่ปรึกษาของกระทรวงแรงงานอย่าง Arun Chandran ก็ออกมาบอกว่า “ยังไม่มีรายงานเข้ามาว่าเราขาดแคลนอาสาสมัคร ‘ผู้ชาย’ ที่จะมารับบทเป็นซานตาคลอส ฉะนั้นเราจะไม่อนุญาตให้ผู้หญิงมารับบทนี้อย่างเด็ดขาด” “ความเข้าใจของผมคือ ซานตาคลอส หรือที่เราเรียกกันว่า ‘บิดา’ แห่งวันคริสต์มาส คือผู้ชาย และมันจะต้องรับบทโดยผู้ชายเท่านั้น” แม้แต่พิธีกรชื่อดังอย่าง Piers Morgan ก็ออกมาพูดถึงเรื่องดังกล่าวผ่านทางรายการ Good Morning Britain ว่า “บิดาแห่งคริสต์มาส…
-
รู้หรือไม่ เพนกวินอาเดลี “อึเป็นสีชมพู” มองเห็นได้จากดาวเทียม แถมช่วยนักวิทย์ได้เป็นอย่างดี
เพื่อนๆ เคยรู้กันรึเปล่าว่าสัตว์น่ารักๆ แบบเพนกวินบางสายพันธุ์เขาอึเป็นสีชมพู!! แถมยังอึเยอะมากๆ จนถึงขั้นที่มองเห็นได้จากอวกาศเลยนะ เพนกวินที่อึเป็นสีชมพูเหล่านี้ คือเพนกวินสายพันธุ์อาเดลี เพนกวินขนาดกลางที่มีลักษณะเด่นอยู่ที่ขนหางซึ่งยาวกว่าเพนกวินอื่นๆ ซึ่งพบได้ทั่วไปในซีกโลกทางใต้ และมักอาศัยอยู่ร่วมกับเพนกวินจักรพรรดิ โดยจากการรายงานของสื่อต่างประเทศ ที่อึของเพนกวินเหล่านี้มีสีชมพูสว่าง น่าจะมาจากการทานอาหารของมัน ซึ่งมี “คริลล์” สิ่งมีชีวิตจำพวกกุ้งขนาดเล็กสีส้มหรือแดงเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งของเสียเหล่านี้มักจะเปื้อนไปกับตัวเพนกวินเอง และพื้นที่อยู่อาศัยของมัน จนทำให้พื้นที่เหล่านั้นกลายเป็นสีชมพูสว่างที่มองเห็นได้จากรูปถ่ายดาวเทียมเลยทีเดียว แต่รอยเปื้อนเหล่านี้สำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้วนับว่ามีคุณค่ามากกว่าการเป็นสิ่งสกปรกเฉยๆ มาก เพราะการที่มันสามารถมองเห็นได้จากดาวเทียมนั้น ทำให้พวกเขาสามารถใช้รอยเปื้อนเหล่านี้ในการติดตามพื้นที่อยู่อาศัยของเพนกวินอาเดลีได้เป็นอย่างดี โดยที่ผ่านๆ มา รูปถ่ายดาวเทียมได้แสดงสถานที่อยู่ใหม่ๆ ของเพนกวินอาเดลีมาเป็นจำนวนมากแล้ว เช่นการค้นพบนกเพนกวินอาเดลีกว่า 1.5 ล้านตัวที่หมู่เกาะแดนเจอร์นั่นเอง การค้นพบในครั้งนั้นทำให้เพนกวินสายพันธุ์อาเดลีที่เคยถูกมองว่าเป็นสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ ได้รับการลดสถานะการอนุรักษ์เหลือเพียงระดับใกล้ถูกคุกคามไป และแน่นอนว่าความสามารถในการติดตามแพนกวินด้วยอึสีชมพูนี้เอง ก็ทำให้การสอดส่องดูแลเพนกวินสายพันธุ์นี้ ทำได้ง่ายขึ้นเป็นอย่างมากเลยนั่นเอง ที่มา allthatsinteresting
-
Madhumala หญิงชาวอินเดีย ที่ได้รับการยอมรับจาก ‘ชนเผ่า’ บนเกาะต้องห้าม!!
กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลก กับกรณีของนักเผยแพร่ศาสนาหนุ่ม พยายามพายเรือเข้าไปใน ‘เกาะต้องห้าม’ ในประเทศอินเดีย ก่อนที่จะถูกชนเผ่าที่อยู่บนเกาะใช้ธนูยิงจนเสียชีวิต แต่ย้อนกลับไปเมื่อ 27 ปีก่อน เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งสามารถติดต่อกับผู้คนที่อยู่บนเกาะนั้นได้ โดยที่ไม่ได้รับอันตราย!? ขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับ Madhumala Chattopadhyay นักมานุษยวิทยา และนักวิจัยหญิงชาวอินเดีย เธอเป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนที่ชาวเผ่าบนเกาะเซนทิเนล หรือรู้จักกันในดีในนาม ‘เกาะต้องห้าม’ ยอมเปิดใจให้ ย้อนกลับไปในวัย 12 ปี Madhumala ได้รับรู้เรื่องราวของเกาะต้องห้ามนี้ผ่านทางโทรทัศน์ และตั้งความใฝ่ฝันเอาไว้ว่าวันหนึ่ง เธอจะต้องพบเจอและติดต่อกับพวกเขาให้ได้ จึงตั้งใจเรียนและในที่สุดเธอก็จบการศึกษาจากคณะมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัย Calcutta ประเทศอินเดีย เธอบอกกับพ่อแม่ว่าการเรียนในสาขาวิชานี้จะเป็น ‘พาสปอร์ต’ ที่ทำให้เธอสามารถติดต่อกับชนเผ่าบนเกาะต้องห้ามได้ จากการร่วมมือกันศึกษาและเก็บข้อมูลอย่างหนักเป็นเวลานานถึง 6 ปี ของ Madhumala และทีมนักวิจัยของหน่วยงาน Anthropological Survey of India ทำให้ทราบว่าชนเผ่าเซนทิเนลที่อยู่บนเกาะต้องห้ามนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชาวเผ่า ‘อันดามัน’ ทำให้เธอทราบถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมรวมไปถึง ‘ภาษา’…
-
หนุ่มมีแฟนเป็น “โรคตื่นตระหนกและโรควิตกกังวล” จึงออกมาแชร์ 7 วิธีรับมือกับอาการ
ต้องยอมรับว่าความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการรับมือกับผู้ที่มี อาการทางจิต ของคนทั่วๆ ไปยังถือว่าน้อย หากว่าไม่ได้เป็นผู้ที่รับการศึกษาด้านนี้หรือเป็นผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับผู้ป่วยทางจิตมาก่อน ก็อาจรับมือได้ยากทีเดียว และวันนี้หนุ่มคนหนึ่งที่แฟนสาวของเขาเคยมีอาการของ โรคแพนิก และ โรควิตกกังวล ก็จะมาเขียนเล่าถึงวิธีการรับมือกับอาการตื่นตระหนกและวิตกกังวล ที่เขาได้เรียนรู้มาจากแฟนสาว สถิติจาก Anxiety and Depression Association of America เผยว่าในชาวอเมริกันกลุ่มโรควิตกกังวล (รวมโรคแพนิกด้วย) นั่นเป็นความเจ็บป่วยทางจิตที่พบบ่อยที่สุด กระนั้นกลุ่มโรควิตกกังวลนับว่าเป็นกลุ่มโรคที่รักษาได้ง่าย แต่ก็มีผู้ป่วยเพียง 36.9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เข้ารับการรักษา แล้วเราจะทำอย่างไรเมื่อพบว่าตัวเองหรือคนรอบข้างมีอาการของโรคแพนิกและโรควิตกกังวล ลองไปอ่านที่หนุ่มคนดังกล่าวเขียนอธิบายเอาไว้กันเลยดีกว่า… นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาการแพนิกจากแฟนของผม 1. พยายามอย่ากอดบ่อย มันใช้เวลานานมากนะกว่าแฟนผมจะรู้สึกดีขึ้นเวลาที่ถูกกอดให้ใจเย็นลง เพราะการกอดมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้หยุดตื่นตระหนก 2. เวลาที่พวกเขาไม่ตอบคุณไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สนใจคุณนะ แต่บางครั้งเป็นเพราะพวกเขายังไม่พร้อมคุยเท่านั้นเอง อาการแพนิกบางทีก็มาตอนทะเลาะกันนั่นแหละ หลายครั้งผมก็ใช้วิธีการเงียบใส่และมันผิดพลาดมาก อันที่จริงถ้าคุณอยากคุยแต่เขายังไม่อยากคุย ก็แค่ลองใช้นิ้วสะกิดพวกเขาเบาๆ ดู 3. หายใจให้ดังๆ เข้าไว้ คุณเคยได้ยินไหมว่าหากเรากอดหรือคลอเคลียกับใคร เราจะหายใจพร้อมๆ กันโดยอัตโนมัติ หรือหากมีใครมาสูดหายใจลึกๆ ใกล้ๆ คุณมันก็จะทำให้คุณอยากหายใจตามจังหวะของคนๆ นั้น เช่นเดียวกันเลย เมื่อพวกเขาเกิดอาการแพนิกและหายใจแรงแบบควบคุมไม่ได้ ให้คุณหายใจดังๆ ช้าๆ…
-
รู้จักกับ 11 รูปแบบของ “การกอด” พร้อมคำอธิบายสั้นๆ ว่าแต่ละแบบสื่อได้ถึงอะไรบ้าง~
การกอด นั้นสำหรับคนไทยส่วนมากอาจมองว่ามันเป็นสิ่งประเจิดประเจ้อ จึงไม่นิยมทำกันในที่สาธารณะเท่าใดนัก แต่หารู้ไม่ว่าการกอดนั้นแท้จริงแล้วมันสื่อความหมายได้หลายอย่าง ชาวตะวันตกนั้นมีวัฒนธรรมการกอดที่หลากหลายรูปแบบ โดยแต่ละแบบก็จะสื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งกอดตัวเอง กอดคนรัก หรือจะกอดเพื่อนก็ได้ วันนี้เราจึงจะแนะนำให้รู้จักกับ การกอด 11 แบบ พร้อมคำอธิบายเบื้องต้นว่าแต่ละแบบนั้น สื่อความหมายอย่างไรบ้าง 1. กอดตัวเอง (Self-hug) การกอดตัวเองนั้นเป็นวิธีการกอดแบบหนึ่งที่จะช่วยส่งผลให้จิตใจได้รับการบำบัด มันจะทำให้คุณรู้สึกสบายใจ ใจเย็น และมีกำลังใจในเวลาเดียวกัน 2. กอดแบบเต้นรำ (Slow dance hug) การกอดแบบนี้จะเกิดขึ้นในงานเต้นรำแบบตะวันตก ท่าทางการกอดรวมกับสายตาที่จ้องมองกันและกันเช่นนี้ เป็นการกอดที่แสดงออกถึงอารมณ์โรแมนติกของคู่เต้นรำ 3. กอดสูงต่ำไม่เท่ากัน (Unequal-height hug) เป็นอีกท่ากอดหนึ่งของคู่รักที่มีส่วนสูงต่างกัน การกอดแบบนี้จะทำให้คู่รักคู่นั้นๆ สร้างความโรแมนติกให้กันได้มากเลยทีเดียว 4. การกอดจากด้านหลัง (A hug from behind) การสวมกอดจากด้านหลังนั้น เป็นวิธีการกอดเพื่อแสดงความรู้สึกที่ลึกซึ้งของผู้กอด แม้ไม่ได้ยินคำว่ารักจากปาก แต่ผู้ถูกกอดก็มั่นใจได้ระดับหนึ่งเลยว่า ผู้กอดนั้นพร้อมจะอยู่ดูแลคนรักไปตลอด 5. กอดแนบกาย (Heart-to-heart…
-
นักวิทยาศาสตร์พบ สิ่งมีชีวิตจำนวนมากใต้พื้นโลก มีมวลคาร์บอนรวมมากกว่ามนุษย์เสียอีก
ตั้งแต่ในอดีตมนุษย์เรามีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตใต้พื้นโลก ถึงอย่างนั้นก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวเหล่านั้นก็เริ่มที่จะถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา แต่เชื่อหรือไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใต้พื้นโลกนั้นมีอยู่จริงๆ เพียงแค่มันไม่เหมือนกับที่เราคิดไว้เท่าไหร่ก็เท่านั้น เพราะเมื่อไม่นานมานี้เอง ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการค้นพบ สิ่งมีชีวิตระดับจุลินทรีย์กว่าพันๆ ล้านตัวกำลังใช้ชีวิตลึกลงไปใต้พื้นดินหลายกิโลเมตร ในพื้นที่ระหว่างเปลือกโลกและแกนโลก ซึ่งที่ผ่านๆ มาไม่เคยมีการตรวจสอบสิ่งมีชีวิตได้มาก่อน นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นโดยทีมนักวิทยาศาสตร์กว่า 1,000 คนจาก 52 ประเทศทั่วโลก หลังจากที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตใต้ผืนโลกมายาวนานกว่า 10 ปี และเชื่อกันว่าพวกมันอยู่ในที่แห่งนี้มาตั้งแต่โลกกำเนิดใหม่ๆ เลยด้วย เท่านั้นยังไม่พอเพราะจากข้อมูลของพวกเขา จุลินทรีย์ที่พบนั้นเยอะมากถึงขนาดที่บอกได้ว่า 70% ของจุลินทรีย์ทั้งหมดบนโลก อาศัยอยู่ใต้ดินเลยทีเดียว ว่าง่ายๆ ว่าหากเปรียบเทียบมวลคาร์บอนกันแล้ว จุลินทรีย์ที่พบใต้ดินนั้น มีมวลคาร์บอนรวมๆ แล้วถึง 15-23 พันล้านตัน ซึ่งมากกว่ามนุษย์ทั้งโลกรวมกันเสียอีก แถมนอกจากจำนวนแล้ว การตรวจสอบในเบื้องต้นของนักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าจุลินทรีย์เหล่านี้ มีความหลากหลายทางพันธุกรรมสูงมาก จนเผลอๆ จะสูงกว่าสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกเลยด้วยซ้ำ นี่นับเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากๆ เลยก็ว่าได้ เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นการยืนยันว่าโลกเรามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ระหว่างแกนกลางกับเปลือกโลกจริงๆ แต่ยังเป็นการค้นพบจุลินทรีย์สายพันธุ์ใหม่เป็นจำนวนมากด้วย และการที่มีจุลินทรีย์ที่สามารถมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โดนกดทับตลอดเวลา ไร้แสงสว่าง แทบไร้อาหาร แถมยังต้องอยู่กับอุณหภูมิสูง (ราวๆ 121…
-
ชมความงามล้ำลึกของ 21 “ชนเผ่า” ต่างๆ ทั่วโลก งานภาพถ่ายโดย Jimmy Nelson!
มนุษย์โลกในปัจจุบันนั้นมีหลายกลุ่มชาติพันธุ์ มีมนุษย์ที่รวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่ม ชุมชน และชนเผ่ามากมายเกินกว่าเราจะรู้จักได้ทั้งหมด พวกเขามีวัฒนธรรม ความเชื่อ และประเพณีที่มีเอกลักษณ์และแตกต่างกันออกไป แบบที่พวกเราไม่ค่อยจะได้พบเห็นเท่าไหร่นักในสังคมเมือง วันนี้ Jimmy Nelson ก็ได้เก็บภาพของ “ชนเผ่าชาติพันธุ์” จำนวน 21 เผ่าจาก 5 ทวีปทั่วโลกมาให้พวกเราได้ชมกัน ก่อนที่พวกเขาจะเลือนหายไปคล้ายกับหลายๆ ชนเผ่าก่อนหน้านี้ ความน่าทึ่ง ความมีเอกลักษณ์ และความงดงามของแต่ละเผ่า จะเป็นอย่างไรบ้าง เราคงต้องไปชมพร้อมๆ กันแล้วล่ะ กับ 21 ชนเผ่าจาก 5 ทวีปทั่วโลก โดยช่างภาพ Jimmy Nelson! 1. เผ่า Hakamou’i บนเกาะอัว พู ในหมู่เกาะมาร์เคซัส ดินแดนเฟรนช์พอลินีเชีย 2. เผ่านกกาน้ำ Yang Shuo ประเทศจีน 3. เผ่าหน้ากาก Mask Dancers เมืองพาโร ประเทศภูฏาน 4. เผ่า Samburu…
-
นักวิจัยเผยว่า ทำไม “จิ้งจก” ที่เราเห็นกันทั่วไป ถึงสามารถ “วิ่งบนน้ำ” ได้ ราวกับใช้วิชาตัวเบา!!
“จิ้งจกพันธุ์หางแบน” คือจิ้งจกบ้านที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไป เพราะแหล่งที่พบส่วนใหญ่นั้นอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะได้เห็นว่ามันสามารถวิ่งบนพื้นราบและปีนป่ายไปตามผนังเพดานได้อย่างคล่องแคล่ว แต่สิ่งหนึ่งที่เราอาจไม่เคยรู้กันมาก่อนเลยก็คือ มันยังสามารถ “วิ่งบนน้ำ” ได้ด้วย?! ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ได้รายงานถึงผลการค้นพบและศึกษาวิจัยเกี่ยวกับลักษณะพิเศษของเจ้าจิ้งจกสายพันธุ์นี้ลงในวารสาร Current Biology ดอกเตอร์ Jasmine Nirody ผู้นำทีมวิจัยดังกล่าว บอกว่าเธอเริ่มศึกษาความสามารถพิเศษนี้ของพวกมัน หลังจากที่เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพบเห็นจิ้งจกบ้านที่สิงคโปร์วิ่งบนน้ำในช่วงฤดูฝน เธอมองว่ามันเป็นเรื่องประหลาดอย่างมากสำหรับสิ่งมีชีวิตขนาดกลางอย่างเจ้าจิ้งจกสายพันธุ์นี้ ทีมผู้วิจัยจึงทำการศึกษาโดยใช้กล้องบันทึกภาพวิดีโอความเร็วสูง สังเกตการณ์การวิ่งบนน้ำของจิ้งจกบ้าน 8 ตัว ในอ่างน้ำความยาว 35 เซนติเมตร รวมทั้งสิ้น 63 ครั้ง จากการศึกษาดังกล่าวจึงพบว่าพวกมันใช้ขาและฝ่าเท้าตีผิวน้ำอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนเกิดฟองอากาศและช่องว่างเก็บอากาศใต้ผิวน้ำ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มันสามารถพยุงส่วนลำตัวราวๆ 72 เปอร์เซ็นต์ให้พ้นเหนือน้ำได้ ลำตัวจะชูขึ้นเหนือน้ำ ขณะเดียวกันส่วนหางจะยังสัมผัสกับน้ำอยู่ ท่าทางของพวกมันจะคล้ายกับการปั่นจักรยาน ผิวหนังที่ไม่ซึมซับความเปียกชื้นของพวกมันก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยของความสามารถพิเศษนี้ ทำให้ไม่เกิดแรงหน่วงขณะวิ่งบนน้ำ ทำให้สามารถวิ่งบนน้ำได้ด้วยความเร็วเกือบ 1 เมตรต่อวินาที นอกจากนั้น พวกมันยังมีการใช้ประโยชน์จากแรงตึงผิวของน้ำเพื่อพยุงตัวเอาไว้ แต่หากมีการเติมสบู่ลงไปในน้ำเพื่อลดแรงตึงผิวลง มันก็อาจจะวิ่งต่อไปได้แต่มีความเร็วลดลงราวๆ 50…
-
NASA เผยภาพ “พื้นผิวบนดาวอังคาร” ภาพชุดแรกแบบคมชัด จากกล้องของยานสำรวจ
InSight คือชื่อของยานสำรวจพื้นผิวของทาง NASA เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ “สำรวจดาวอังคาร” ที่ทางองค์กรต้องทุ่มเงินลงไปกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 32,000 ล้านบาท หุ่นยนต์สำรวจ มันได้ขึ้นไปลงจอดอยู่บนดาวอังคารในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2018 และหลังจากผ่านไปกว่าสัปดาห์ ทาง NASA ก็ได้เผยให้เห็นถึง “ภาพถ่ายชุดแรก” ที่ถูกส่งกลับมา วันแรกที่ลงจอด ภาพถ่ายชุดแรกจากบนพื้นผิวดาวอังคาร ที่เราเห็นกันอยู่นี้คือภาพของ “พื้นผิวบนดาวอังคาร” ที่ถูกถ่ายด้วยกล้องที่เรียกว่า Deployment Camera ซึ่งติดอยู่กับเจ้าตัวหุ่นยนต์สำรวจดังกล่าว โดยพื้นผิวที่เราเห็นนั้นถูกเรียกว่า Elysium Planitia . Bruce Banerdt ผู้นำทีมภารกิจสำรวจในครั้งนี้ และเป็นหนึ่งในนักวิจัยจากทีมทดลอง Jet Propulsion Laboratory ของ NASA กล่าวว่า… “วันนี้ (4 ธ.ค.) เราได้เห็นส่วนเล็กๆ…
-
ฟังเสียงจากดาวอังคาร บันทึกไว้ได้โดยยาน “InSight ” ที่ไม่มีไมโครโฟนด้วยซ้ำ
อย่างที่เราทราบกันว่าในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมายานสำรวจ InSight ของทางนาซาได้ทำการลงจอดบนดาวอังคารได้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และตั้งแต่ในวันนั้นมา ยานสำรวจลำนี้ก็ได้ส่งข้อมูลที่น่าสนใจมากมายกลับมายังโลก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพื้นผิว ภาพถ่าย และข้อมูลอื่นๆ ของดาวอีกเป็นจำนวนมาก แต่หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งของข้อมูลที่ถูกส่งกลับมานั้น อยู่ที่บันทึก “เสียงของดาวอังคาร” จากอุปกรณ์ของยาน InSight ต่างหาก นั่นเพราะแม้ยาน InSight จะไม่มีหากไมโครโฟนติดอยู่ แต่หากแปลงข้อมูลของเครื่องวัดแรงสั่นสะเทือนบนยานแล้ว เราจะสามารถฟังเสียงจากดาวอังคารได้เลยนั่นเอง เสียงจากเครื่องมือวัดแรงสั่นสะเทือนบนยาน แบบไม่ผ่านการตัดแต่งใดๆ (เนื่องจากเสียงที่ได้มาค่อนข้างเบา กรุณาใส่หูฟังเพื่อเสียงที่ชัดเจนขึ้น แต่ถ้ายังไม่ได้ยินอีก แนะนำให้ไปฟังอันข้างล่างแทน) เสียงจากเครื่องมือวัดแรงสั่นสะเทือนบนยาน ที่มีการเพิ่มเสียงขึ้น 2 อ็อกเทฟ นี่คือเสียงของลมบนดาวอังคารที่พัดผ่านยาน InSight ไปด้วยความเร็ว 16-24 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจากคำบอกเล่าของ Bruce Banerdt นักวิจัยหลักของภารกิจ เสียงลมเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกับเสียงลมในทะเลของโลกเลย แต่เครื่องวัดแรงสั่นสะเทือน ไม่ใช่อุปกรณ์เพียงชิ้นเดียวที่ทางนาซาสามารถนำมาแปลงข้อมูลเป็นเสียงได้ และเซนเซอร์วัดความกดอากาศบนยานเอง ก็สามารถจับแรงสั่นสะเทือนได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามเซนเซอร์วัดความกดอากาศนี้ ไม่ได้ไวต่อคลื่นความถี่สูงและตรวจจับได้แต่คลื่นเสียงที่มีความถี่ต่ำ จนทางนาซาต้องเร่งความเร็วเสียงขึ้น 100 เท่า กว่าจะได้เสียงที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ เสียงจากเซนเซอร์วัดความกดอากาศบนยาน (ผ่านการดัดแปลงให้มนุษย์สามารถได้ยินแล้ว) …
-
รู้จักกับ 18 ความใคร่เฉพาะจุด (Fetish) “แปลกๆ” ที่คุณอาจจะมีมันโดยไม่รู้ตัว…
เรื่องราวของแรงขับทางเพศ ค่านิยมทางเพศ และเรื่องของเซ็กส์นั้นมีหลายแง่มุมเสียเหลือเกิน ใช่ว่าการมีเพศสัมพันธ์จะตอบสนองความต้องการทางเพศได้ครบถ้วน เพราะเรื่องแบบนี้มันซับซ้อนสุดๆ หนึ่งในนั้นคือความใคร่ในบางสิ่งที่แตกต่างกันไปตามแต่ละคน หรือที่เรียกว่า “Fetish” นั่นเอง หลายคนอาจเคยเห็นคำนี้ผ่านตามาบ้างแล้วไม่จากที่ไหนก็ตามคำๆ นี้แปลว่า ความใคร่ที่เกิดเฉพาะจุด ไม่ต่างอะไรกับการที่ผู้ชายเห็นหน้าอกผู้หญิง หรือผู้หญิงเห็นกล้ามท้องผู้ชายแล้วเกิดอารมณ์ทางเพศ Fetish ที่แตกต่างอาจทำให้ผู้ชายบางคนเห็นข้อเท้าผู้หญิงแล้วเกิดอารมณ์ได้เช่นกัน แต่ผู้คนโลกใบนี้ไม่ได้มี Fetish กับหน้าอกหรือซิกแพ็กส์เท่านั้น มันมีชนิดที่แปลกๆ อีกเยอะไปหมด วันนี้เราไปดูกันดีกว่าว่า ไอ้ Fetish ที่ว่าแปลกๆ นั้นมีอะไรกันบ้าง… 1. Hybristophilia คือกามวิปริตที่มักเกิดอารมณ์ทางเพศและมีแนวโน้มสำเร็จความใคร่กับคู่รักที่ มีพฤติกรรมชอบข่มขืน เจ้าชู้ โกหก ไม่ซื่อสัตย์ หรือกระทั่งมีลักษณะเป็นอาชญากร 2. Pygophilia ผู้ที่คลั่งไคล้ใน “สะโพก” มากๆ 3. Mechanophilia ผู้ที่เกิดอารมณ์ทางเพศกับเครื่องจักร ผู้คนที่มีอาการของ Mechanophilia บางครั้งสามารถเกิดอารมณ์กับเรือหรือเฮลิคอปเตอร์ได้ 4. Revving เป็นหมวดย่อยของ “ผู้คลั่งไคล้ฝ่าเท้า” แต่ Revving เจาะจงกว่าตรงที่ จะเกิดอารมณ์ทางเพศกับผู้ที่สวมรองเท้ามีส้นและต้องกำลังเหยียบคันเร่งของรถด้วย…
-
สถานที่ท่องเที่ยวลับแห่งสเปน “ชายหาดป็อปคอร์น” ที่มีทรายรูปข้าวโพดคั่วสุดตระการตา
หากพูดถึงของกินที่เรามักจะทานเวลาดูภาพยนตร์ ก็คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากข้าวโพดคั่วหรือที่เรียกกันว่า “ป็อปคอร์น” นั่นเอง และสำหรับใครที่ชื่นชอบป็อปคอร์นเป็นอย่างมาก วันนี้เราก็มีข่าวน่าสนใจมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน ขอเชิญสาวกป็อปคอร์นทุกคนพับกบ เอ้ย พบกับ Popcorn Beach ชายหาดที่เต็มไปด้วยป็อปคอร์น!! เจ้า Popcorn Beach นี้เป็นชายหาดที่อยู่แถบตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง Corralejo ในเกาะ Fuerteventura ที่เป็นหนึ่งในหมู่เกาะคะแนรี ประเทศสเปน ซึ่งเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเรื่องของหาดทรายขาว ก็ตามชื่อของ Popcorn Beach ทรายบนหาดนี้มีทรายจับตัวกันจนเป็นเม็ดที่รูปร่างคล้ายกับป็อปคอร์นและแม้ว่าชายหาดนี้จะน่าสนใจ แต่กระนั้นก็ยังถือว่าเป็นที่เที่ยวที่นิยมและยังไม่เป็นที่รู้จักกันดีนัก แต่ในขณะนี้ด้วยโซเชียลมีเดีย Popcorn Beach ของเราก็ค่อยๆ เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เอาล่ะ เราของไปรับชมภาพของชายหาดป็อปคอร์นด้วยกันเลย https://www.instagram.com/p/BqS-fYWFq0P/?utm_source=ig_embed . https://www.instagram.com/p/BpK2VzGH0Mb/?utm_source=ig_embed . https://www.instagram.com/p/BohY2rdHzlC/?utm_source=ig_embed . https://www.instagram.com/p/Bm8OFGrABZJ/?utm_source=ig_embed . https://www.instagram.com/p/BmglTbWHbo4/?utm_source=ig_embed . https://www.instagram.com/p/BifIXkAHhE9/?utm_source=ig_embed ที่มา Odditycentral, Spain-Holiday
-
น้ำหนักเพิ่มก็เฟิร์มได้ กับ 16 สาวที่จะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า “น้ำหนักเป็นเพียงแค่ตัวเลข”
ปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นยุคที่กระแสดูแลสุขภาพมาแรง ผู้คนต่างออกมาออกกำลังกาย และใส่ใจในอาหารการกินกันมากขึ้น แต่กระนั้นก็ยังมีคนที่เริ่มออกกำลังกายใหม่ๆ ที่ยังเข้าใจผิดและยังถือเอาเลขของน้ำหนักเป็นตัวชี้วัดถึงรูปร่างและสุขภาพอยู่ วันนี้เราเลยทำการรวบรวมรูปภาพของผู้หญิงที่จะมาพิสูจน์ให้เราได้เห็นกันว่า น้ำหนักเป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น เอาล่ะ จะเป็นอย่างไร เราไปรับชมกันเลย!! 1. เพิ่มมา 1.1 กิโลกรัมเลยนะ แต่รูปร่างนี่เฟิร์มกว่าเดิมเยอะ 2. ส่วนผู้หญิงคนนี้ ภายใน 2 ปี น้ำหนักเธอเพิ่มขึ้นมาถึง 4 กิโลกรัม แต่ดูหุ่นของเธอเสียก่อน 3. 56 กิโลกรัม vs 58 กิโลกรัม ส่วนเว้า ส่วนโค้งนี่มาเต็ม!! 4. เปลี่ยนทั้งการกินทั้งการออกกำลังกาย น้ำหนักขึ้นมาเหรอ โนแคร์ โนสนจ้ะ 5. 5 กิโลกรัมที่ขึ้นมาพร้อมๆ กับกล้ามเนื้อ 6. 54 กิโลกรัม vs 58 กิโลกรัม คุณล่ะเลือกที่จะเป็นแบบไหน? …
-
นิตยสาร Forbes เผย 10 อันดับ Youtube Star ที่สามารถทำรายได้มากที่สุดแห่งปี 2018!
Youtube หนึ่งในสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้มากเป็นอันดับต้นๆ สำหรับเผยแพร่คลิปวิดีโอแบบไม่จำกัด ซึ่งนอกจากจะหาความเพลิดเพลินได้มากมายจากเว็บไซต์นี้ได้แล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางการทำรายได้ของใครหลายๆ คนอีกด้วย นิตยสาร Forbes ได้มีการเปิดเผยรายชื่อการจัดอันดับ Youtube Star ที่สามารถทำรายได้มากที่สุดในปี 2018 นี้ออกมาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งทำให้ได้รู้เลยว่า Youtube ก็สามารถทำเงินได้อย่างมหาศาลและมากกว่าที่คิด 10. Logan Paul รายได้ : 14.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 474 ล้านบาท ยูทูบเบอร์หนุมอายุ 23 ปีชาวอเมริกัน เนื้อหาก็จะเป็นการทำอะไรที่ค่อนข้างบ้าระห่ำและแปลกจนไม่ค่อยมีใครทำกันมากนักและกลายเป็นดราม่าอยู่บ่อยๆ 9. PewdiePie รายได้ : 15.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 507 ล้านบาท นักแคสต์เกมชาวสวีเดนที่เล่นเกมให้คนดูเฉยๆ ก็ฟันรายได้ไปมากกว่า 507 ล้านต่อปี ทั้งหล่อ เกรียนและรวยมาก แถมมีผู้ติดตามบนยูทูบมากกว่า 72.5 ล้านคนเลยทีเดียว 8. Jacksepticeye รายได้ : 16…
-
ของเล่นสำหรับผู้ใหญ่ ‘เลโก้ปลาดุ๊กดิ๊ก’ หวังไว้ช่วยลดความเครียด มองน้องดิ้นเพลินๆ
เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 80 ปีแล้ว ที่ชื่อของเลโก้ อิฐบล็อคของเล่นสำหรับเด็กเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และก็มักจะมีสินค้ารุ่นใหม่ๆ ออกมาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ร่วมกับค่ายดังๆ ออกมาเป็นสินค้าและสื่อบันเทิงต่างๆ มากมาย LEGO FORMA แต่โดยส่วนมากแล้ว สินค้าจากทางเลโก้จะเหมาะสำหรับเด็ก ทว่าทางเลโก้เองก็ไม่ได้อยากทอดทิ้งลูกค้ากลุ่มผู้ใหญ่ไป จึงอยากจะสร้างไลน์สินค้าใหม่เพื่อผู้ใหญ่บ้าง โดยล่าสุดนี้ LEGO FORMA ก็ได้ออกมาเป็นรูปร่างบางส่วนแล้ว มันก็คือสินค้าไลน์ใหม่ของเลโก้ แต่ไม่ได้มาในรูปแบบอิฐบล็อคตัวต่อแบบเดิม มาเป็นชุดเกียร์ ก้าน และผิวหนังบล็อคปลาแบบตกแต่งเพิ่มได้ เพื่อให้ผู้เล่นได้สร้างสรรค์ปลาดุ๊กดิ๊กในรูปแบบของตัวเอง . ปัจจุบันยังมีเพียงแค่โมเดลของปลาคาร์ปกับปลาฉลามเท่านั้น ทั้งนี้ เป้าหมายของปลาดุ๊กดิ๊กนั้นเกิดมาเพื่อให้ความผ่อนคลาย สร้างความท้าทายความคิดสร้างสรรค์ เพื่อตอบสนองกับความต้องการของมนุษย์ ผู้ต้องการสร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง ประกอบเอง ระบายสีเอง เล่นเอง . ส่วนประกอบทุกชิ้นจะใช้เวลาในการประกอบไม่กี่ชั่วโมง ก็สามารถกลายมาเป็นตัวปลาที่สมบูรณ์ได้ ทว่าสินค้าชนิดใหม่นี้ยังไม่มีการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เนื่องจากทางบริษัทยังต้องการความคิดเห็นจากลูกค้าอยู่ คลิปวิดีโอโปรโมทจากทาง…
-
ผู้เชี่ยวชาญ NASA เสนอว่า จริงๆ แล้วมนุษย์ต่างดาวอาจเคยมาเยือนโลก แต่เราไม่รู้ตัว!!
เรื่องราวและปริศนาจากนอกโลกสำหรับวันนี้มีอยู่ว่า ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การ NASA ได้ออกมาเตือนว่า ครั้งหนึ่งมนุษย์ต่างดาวทรงปัญญาอาจเคยมาเยือนโลก แต่พวกเราแค่ไม่รู้ตัว โดย Silvano P. Colombano ผู้เชี่ยวชาญจาก NASA เชื่อว่ามนุษย์เราต้องพลาดบางอย่างไปแน่ๆ เกี่ยวกับการมาเยือนของมนุษย์ต่างดาว เพราะทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวในปัจจุบันนั้นแคบจนเกินไป Colombano เขียนอธิบายในรายงาน ถอดรหัสปัญญามนุษย์ต่างดาว เอาไว้ว่า… “ผมอยากจะชี้แจงว่ามนุษย์ต่างดาวทรงปัญญาที่เราคิดว่าจะได้เจอนั้น มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาไม่ได้มีร่างกายที่สร้างขึ้นจากคาร์บอนเป็นหลักอย่างเรา” เขายังเชื่ออีกว่ามนุษย์ต่างดาวนั้นมีวิถีการใช้ชีวิต ภูมิปัญญา และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่ามนุษย์หลายเท่านัก ซ้ำยังสามารถเดินทางข้ามดาวได้อย่างเชี่ยวชาญ เขากล่าวว่า “เราอาจต้องย้อนดูทฤษฎีต่างๆ กันใหม่ สำหรับเรื่องของการเดินทางข้ามดวงดาวนั้น บางที่อายุขัยของมนุษย์เราก็อาจไม่ได้เป็นอุปสรรคอีกต่อไป อีกอย่างมันเป็นไปได้ที่พวก ‘นักสำรวจ’ (มนุษย์ต่างดาว) จะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาที่ตัวเล็กมากๆ จนเราไม่รู้สึกถึงการมาเยือน” นอกจากนี้ Colombano ยังเตือนให้เห็นถึงปัญหาในการพัฒนาเทคโนโลยีของชาวโลกอีกด้วยว่า… “ลองพิจารณาดูว่า ความเจริญของมนุษย์เริ่มขึ้นเมื่อ 10,000 ปีก่อน แต่วิทยาศาสตร์นั้นเพิ่งเริ่มพัฒนาเมื่อ 500 ปีที่ผ่านมานี้เอง ฉะนั้น เราไม่อาจคาดการณ์ถึงการวิวัฒนาการของเทคโนโลยีในภายภาคหน้าได้เลย ต่อให้เป็น 1,000 ปีข้างหน้า หรืออีก 6,000…
-
หญิงสาวเผยเคล็ดลับ ใช้ “ยาพาราเซตามอล” ลบคราบบน “เตารีด” ได้อย่างน่าอัศจรรย์?!
พาราเซตามอล คือยาสามัญประจำบ้านที่เราทราบกันดีว่าสรรพคุณของมันคือช่วยลดอาการปวดและลดไข้ได้ แต่สิ่งที่หลายๆ คนอาจยังไม่เคยรู้ก็คือ เจ้ายาเม็ดเล็กๆ นี้ยังสามารถใช้ในการทำความสะอาดเตารีดได้อีกด้วย ซึ่งนี่ถือว่าเป็นเคล็ดลับอันน่าอัศจรรย์ใจที่คุณแม่วัย 36 ปีได้นำมันออกมาแชร์ให้กับทุกคน คลิปการทำความสะอาดเตารีดของหญิงสาวชาวอังกฤษที่ชื่อว่า Rebecca Harris ได้กลายเป็นกระแสโด่งดังในโลกโซเชียล หลังจากที่เธอใช้ยาพาราฯ ลบคราบบนเตารีดออกไปได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เปิดเตารีดให้ร้อน จากนั้นก็นำเม็ดยาดังกล่าวลงไปวางไว้บนคราบสกปรก แล้วใช้แหนบในการถูไถไปมาให้รอบๆ เพียงช่วงเวลาไม่กี่นาที คราบที่มีอยู่ก่อนหน้านั้นก็จะอันตรธานหายไปในพริบตา คลิปสาธิตวิธีใช้ยาพาราฯ ลบคราบบนเตารีด Rebecca บอกว่า “ฉันรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากที่มันสามารถทำความสะอาดได้จริงๆ หลายๆ คนเองก็ยังคงตกตะลึงกับเรื่องนี้ ซึ่งมันสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว แถมยาพาราฯ ก็มีราคาที่ถูก” Rebecca กับเตารีดที่ดูสะอาดตากว่าเดิมเป็นอย่างมาก นับว่าเป็นอีกหนึ่งสาระน่ารู้อันน่าทึ่งที่หลายๆ คนอาจไม่เคยรู้กันมาก่อน หากใครอยากรู้ว่ามันใช้ได้จริงแท้แค่ไหนก็สามารถลองเอาไปทำตามกันดูได้นะ ที่มา: mirror , europebreakingnews
-
ขอแนะนำให้รู้จักกับ ‘พิพิธภัณฑ์พยาธิ’ ในโตเกียว ที่จะทำให้ขนแขนของคุณลุกเกรียว!!
ในโลกของเรายังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เรายังไม่เคยรู้… เช่นเดียวกันกับเรื่องราวในโลกของ ‘พยาธิ’ ที่เราหลายคนอาจจะกลัวนักกลัวหนา เพราะรูปร่างหน้าตาของมันช่างน่าขยะแขยงเสียเหลือเกิน แต่พูดก็พูดเถอะ ‘มันดูน่าสนใจ’ ไม่น้อยเลยใช่มั้ยล่ะ? เพราะการได้รู้ว่ารูปร่างหน้าตาของมันจะเป็นอย่างไร มีกี่ชนิด หรือทำอะไรได้บ้าง คงจะเป็นเรื่องที่เจ๋งเป้งไม่เบาเลยทีเดียว สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับ ‘พิพิธภัณฑ์พยาธิ’ ในโตเกียว ที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปศึกษาเกี่ยวกับ ‘พยาธิ’ นานาชนิด พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ชื่อว่า Meguro Parasitological Museum ตั้งอยู่ในเขตเมกุโระ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นพิพิธภัณฑ์เพียงแห่งเดียวในโลกที่มุ่งเน้นการโชว์แต่ ‘พยาธิ’ เพียงอย่างเดียว แม้ว่าเขตเมกุโระจะอยู่ห่างจากตัวเมืองของโตเกียวมากๆ แต่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งขึ้นในปี 1953 โดยดอกเตอร์ Satoru Kamegai ด้วยเป้าหมายที่ต้องการจะให้ความรู้กับผู้ชมถึงความหลากหลายของบรรดาพยาธิ และช่วงชีวิตของพวกมัน ในพิพิธภัณฑ์มีพยาธิ 300 ชนิดที่สามารถหามาโชว์ได้จริงๆ ส่วนที่เหลืออีกกว่า 60,000 ชนิด จะเป็นรูปในกระดาษ และในหนังสือ …
-
ศิลปินสังเกตเห็น ‘จิ๊กซอว์’ แต่ละแบบ ถูกตัดมาเหมือนกัน นำมาต่อผสมรวมร่างเป็นภาพใหม่…
หากคุณเป็นคนที่พอจะมีเวลาว่างมากกว่า 10 – 20 นาที ยาวนานจนเป็นชั่วโมง ก็อาจจะหากิจกรรมยามว่างมาทดแทนเพื่อไม่ให้เกิดอาการเบื่อหน่าย ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือกิจกรรมคลาสสิคอย่างการนั่งต่อจิ๊กซอว์ แน่นอนว่า การต่อจิ๊กซอว์เป็นอะไรที่ยากเมื่อต้องเริ่มต้นใหม่ เริ่มจากขอบภาพไปจนถึงชิ้นสุดท้ายกลางภาพ แต่เชื่อเถอะว่า เมื่อเริ่มต่อแล้วจะมีอาการติดพันจนถอนตัวไม่ขึ้น รถไฟม้า!? แต่ทว่าสำหรับศิลปิน Tim Klein ชาวเมืองแวนคูเวอร์และวอชิงตัน กลับสังเกตเห็นว่าจิ๊กซอว์แต่ละภาพนั้น ได้รับการตัดชิ้นส่วนมาเหมือนกันหมดทุกภาพ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังคงตัดชิ้นจิ๊กซอว์ในรูปแบบเดิม แบบเดียวกัน สิ่งที่เขาจะต้องทำนั้นก็เป็นเพียงแค่ นำชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ 2 ภาพ หาจุดเชื่อมต่อกันให้ได้ และจะได้ออกมาเป็นภาพผสมชิ้นใหม่ที่ดูแปลกตาได้อีก… สองฤดูที่แตกต่าง . น้องวัวรถดันดิน . . เสือร่างช้าง . โบสถ์สวนสนุก คฤหาสน์กลางธรรมชาติ ก๊าซซซซซซซ โฆษณาโค้กแบบย้อนยุค มีหมาเป็นพรีเซนเตอร์ !? ตกปลาท่ามกลางเกมครอสเวิร์ด…
-
10 กฎหมายสุดแปลกจากทั่วทุกมุมโลก ที่บางทีก็ส่งสัยว่าคนร่างกฎหมายเขาคิดอะไรกันอยู่
เนื่องจากคนเรานั้นมีวัฒนธรรมที่ต่างๆ กันไป ดังนั้นตั้งแต่ในอดีตจึงมีอยู่หลายครั้งที่กฎหมายที่ดูจะมีเหตุผลในประเทศหนึ่งกลับดูแปลกในอีกหลายๆ ประเทศ และด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชม 10 กฎหมายสุดแปลกจากทั่วทุกมุมโลก ที่บางทีก็ส่งสัยว่าคนร่างกฎหมายเขาคิดอะไรกันอยู่ เริ่มกันจากที่อังกฤษมีกฎหมายห้ามถือ “ปลาแซลมอน” ใน “สถานการณ์ที่น่าสงสัย” ร่างขึ้นมาเมื่อปี 1986 ที่สิงคโปร์ห้ามไม่ให้มีการนำหมากฝรั่งเข้าประเทศ น่าจะทำเพื่อรักษาความสะอาด ที่เดนมาร์กมีการห้ามตั้งชื่อลูกแบบแปลกๆ แบบนี้ก็ตั้งว่า เฟี้ยวฟ้าว สุดสวิงริงโก้ ไม่ได้ดิ ในเม็กซิโก ห้ามขี่จักรยานอย่างไม่ระมัดระวัง คนขี่จะต้องวางเท้าไว้บนแป้นเหยียบเสมอ ในระหว่างขี่จักรยาน (แต่ไม่รู้ทำไมให้ปล่อยมือได้) สวิสเซอร์แลนด์ห้ามแก้ผ้าเดินทางด้วยเท้า กฎหมายนี้เกิดขึ้นหลังจากครอบครัวที่กำลังปิกนิกครอบครัวหนึ่งพบเห็นชายชาวเยอรมัน แก้ผ้าเดินผ่านไป ที่เวนิสห้ามให้อาหารนกพิราบ นั่นเพราะรัฐบาลที่นั่นระบุว่านกพิราบจะนำมาซึ่งโรคและความสกปรกนั่นเอง ที่แคนาดาห้ามผิวปาก เอาจริงๆ คือที่เมือง Petrolia เท่านั้น และไม่ได้ห้ามแค่ผิวปาก แต่รวมไปถึงการส่งเสียงดังเป็นที่รำคาญอื่นๆ อย่างการตะโกน หรือร้องเพลงด้วย ที่ประเทศจอร์เจียห้ามปล่อยไก่ข้ามถนน ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วกฎหมายนี้จะออกมาเพื่อไม่ให้เจ้าของไก่ปล่อยไก่ออกมาเดินเพ่นพานต่างหาก ที่ประเทศกรีซมีกฎหมายห้ามสวมรองเท้าส้นสูง เป็นไปได้ว่าออกกฎหมายนี้มาจากการที่ส้นสูงไปทำให้โบราณสถานเสียหาย ที่เยอรมนีการน้ำมันหมดบนทางด่วนถือว่ามีความผิด…
-
นักวิทยาศาสตร์เชื่อ โลกจะกลับมารวมกันเป็น “มหาทวีป” อีกครั้ง ในอนาคตข้างหน้า
เรื่องที่ว่าทวีปทั้งหมดในโลกของเรานั้นเดิมทีแล้วเคยเป็นทวีปเดียวกันมาก่อน (เรียกกันว่า “มหาทวีปแพนเจีย”) เป็นแนวคิดที่ได้รับความเชื่อถือสูงจากทางนักวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่ในสมัยก่อนแล้ว ว่าแต่ทราบหรือไม่ว่า นักวิทยาศาสตร์เอง ก็มีแนวคิดที่ว่าในอนาคตทวีปทั้งหมดในโลกจะกลับมารวมกันเป็นมหาทวีปอีกครั้งด้วย รูปร่างของมหาทวีปแพนเจียในอดีต นั่นเพราะทวีปต่างๆ ในโลกนั้น เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา และตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน มหาสมุทรแอตแลนติกก็ขยายตัวกว้างขึ้นราวๆ ปีละ 2.5 เซนติเมตร ซึ่งนั่นหมายความว่า โลกจะใช้เวลาอีกราวๆ 250 ล้านปีในการทำให้ทวีปทั้งหมดกลับมารวมกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเรื่องที่ว่ามหาทวีปในอนาคตจะมีรูปร่างหน้าตาออกมาแบบไหนนั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ และนักธรณีวิทยา โดยมีแนวคิดที่ได้รับความนิยม 4 รูปแบบใหญ่ๆ ดังนี้ แบบที่ 1 มหาทวีป “Novopangea” นี่เป็นมหาทวีปที่คาดกันว่าจะเกิดขึ้นในกรณีที่อัตราการขยายตัวของมหาสมุทรแอตแลนติกจะคงที่ต่อไปเช่นในปัจจุบัน มหาทวีปนี้จะมีลักษณะเด่นที่ทวีปทั้งหมดจะจับตัวอยู่เป็นก้อนกลางมหาสมุทรโดยมีทวีปอเมริกาอยู่ทางตะวันออกแทนที่จะเป็นตะวันตก แบบที่ 2 มหาทวีป “Pangea Ultima” นี่เป็นรูปร่างของมหาทวีปที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ มหาสมุทรแอตแลนติกหยุดขยายตัว และกลับกลายเป็นฝ่ายที่หดตัวเสียเอง โดยมหาทวีปนี้จะมีลักษณะเด่นที่ทวีปทั้งหมดจะจับตัวกันคล้ายวงแหวนที่มีทะเลอยู่ตรงกลาง แบบที่ 3 มหาทวีป “Aurica” นี่เป็นรูปร่างของมหาทวีปที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่มหาสมุทรแอตแลนติกมีลักษณะการขยายตัวที่เปลี่ยนไปจนทำให้ทั้ง มหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิกหายไปทั้งคู่ และเกิดเป็นมหาสมุทรใหม่ขึ้นมาแทน ในกรณีนี้มหาทวีปใหม่จะมีลักษณะเด่นที่ทวีปยุโรปรวมกับแอฟริกา ก่อนที่จะเคลื่อนที่มารวมกับ ทวีปเอเชียที่รวมกับโอเชียเนีย และอเมริกาอีกที …
-
มาดู 7 สิ่งสุดลึกล้ำ ที่จมูกของเจ้าหมาสามารถตรวจจับได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่ว่าจะไปถามใคร ทุกคนก็รู้ดีว่าจมูกของเจ้าหมามันดีมากๆ มันสามารถตรวจจับกลิ่นอาหารหรือกลิ่นฉุนได้แต่ไกล แถมยังตรวจจับระเบิดได้อีกด้วย แล้วรู้รึเปล่าว่าแม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามองไม่เห็น เจ้าหมาก็สามารถตรวจจับได้อย่างไม่น่าเชื่อเหมือนกัน วันนี้เราจะมาบอกกันว่ามันตรวจจับอะไรใกล้ตัวเราได้บ้าง 1. ระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ผลการวิจัย ยืนยันแล้วว่าสุนัขสามารถบอกได้ หากระดับน้ำตาลในเลือดของคุณเพิ่มขึ้นหรือลดลง เนื่องจากมันได้กลิ่นสิ่งเหล่านี้ผ่านเหงื่อของเรา หรืออาจช่วยดมกลิ่นเพื่อะบุว่าเราเป็นโรคเบาหวานได้รึเปล่าด้วยนะ 2. โรคมะเร็ง นักวิทยาศาสตร์มีผลวิจัยบอกว่าโรคมะเร็งทำให้เซลล์ในร่างกายของเราทำงานผิดปกติ และเมื่อเป็นโรคมะเร็งร่างกายจะสร้างโปรตีนชนิดหนึ่งซึ่งหมาสามารถดมกลิ่นได้ ทำให้มันรู้ว่าเราเป็นมะเร็ง ถ้าหากว่าเจ้าหมาเริ่มดมกลิ่นคุณแล้วทำท่าทางแปลกๆ เมื่อไหร่ล่ะก็ ควรจะลองไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกายดูนะ ถ้าเป็นโรคอะไรจะได้รู้ตัวตั้งแต่เนิ่นๆ 3. ตัวตนของคนที่อยู่ใกล้ https://www.instagram.com/p/Bpw9dP7B6V6/?utm_source=ig_embed ในขณะที่คนเราใช้สายตาเพื่อแยกแยะรูปร่าง หรือใช้หูเพื่อแยกแยะเสียงของคนที่รู้จัก เจ้าหมาใช้การดมกลิ่นตัวเฉพาะตัวของแต่ละคนเพื่อแยกแยะว่าใครเป็นใคร ดังนั้นถึงคุณจะไปทำศัลยกรรมมาตั้งแต่หัวจรดเท้า มันก็ยังจำคุณได้ 4. โรคลมชัก https://www.instagram.com/p/Bm8B6t3nncf/?utm_source=ig_embed ก่อนจะเกิดอาการลมชัก ร่างกายของเราจะเกิดความผิดปกติขึ้นมาก่อน ผลวิจัยชี้ว่าพวกมันสามารถรู้ว่าเจ้าของจะเกิดลมชักได้ก่อนมีอาการถึง 45 นาทีเลยทีเดียว ดังนั้นถ้าคุณรู้ว่าตัวเองจะเป็นลมชักจากเจ้าหมา คุณก็จะรับมือได้ดีขึ้น 5. กลิ่นของหมาตัวอื่นที่คุณแอบไปเล่นด้วยมา https://www.instagram.com/p/BpzguKDDVtO/?utm_source=ig_embed …
-
10 เรื่องแปลกเกี่ยวกับการใช้ชีวิตระหว่างปฏิบัติการของนักบินอวกาศ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
ตั้งแต่ในอดีตการได้ขึ้นไปใช้ชีวิตในอวกาศอาจจะเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ของเด็กหลายๆ คน อาจจะเพราะการเป็นนักบินอวกาศมันดูเท่มากๆ ก็เป็นได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วชีวิตในอวกาศนั้นไม่ได้เท่อย่างที่เด็กๆ คิดเสมอไป แถมในบางครั้งยังมีเรื่องแปลกๆ ในการใช้ชีวิตอยู่เต็มไปหมดเลยด้วย เหมือนอย่างการใช้ชีวิตของนักบินอวกาศทั้ง 10 ข้อต่อไปนี้ดูสิ เริ่มกันที่ นักบินอวกาศมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจากในอวกาศกันด้วย โดยพวกเขาจะใช้การลงคะแนนเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์แบบพิเศษที่ส่งการลงคะแนนกลับมายังโลกโดยตรงเลยนั่นเอง พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับวันเวลาที่กำหนดขึ้นเอง เนื่องจากในอวกาศทุกๆ 24 ชั่วโมงนักบินจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้น 15 ครั้ง ดังนั้นพวกเขาเลยต้องกำหนด “วัน” ขึ้นมาเองเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนคนทั่วๆ ไป พวกเขาดูหนังเกี่ยวกับอวกาศในอวกาศ แน่นอนว่าการอยู่ในอวกาศนานๆ มันจะต้องมีเบื่อกันบ้าง ในสถานีอวกาศจึงมีหนังมากมายเก็บไว้ให้นักบินได้ดู อย่างไรก็ตามนักบินบอกว่าด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างหนังที่อยู่บนสถานีกลับไม่ค่อยมีที่เกี่ยวกับการทำผิดกฎหมาย นั่นทำให้พวกเขามักจะดูหนังไซไฟเสียเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาห้ามมีเซ็กซ์กันบนอวกาศ (อย่างน้อยๆ ก็ในทางเทคนิค) อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่านักบินจะไม่ได้ถูกห้ามช่วยตัวเองนะ การทานอาหารยากกว่าที่คิด เนื่องจากไม่มีแรงดึงดูด อาหารจึงมักจะลอยไปลอยมาและอาจสร้างความสกปรก ดังนั้นนักบินจึงมักจะให้อุปกรณ์อย่าง เทปกาว หรือเทปตีนตุ๊กแกในการยึดอาหารไว้กับโต๊ะอยู่บ่อยๆ พวกเขามีอุปกรณ์พิเศษในการใช้ห้องน้ำ จริงอยู่ว่านักบินยุคแรกๆ จะใช้ถุงหรือแพมเพิสในการทำธุระ แต่นักบินยุคใหม่นั้นจะมีห้องน้ำอยู่ในสถานีอวกาศด้วย แต่ด้วยความที่ข้างบนนั้นไม่มีแรงดึงดูดพวกเขาจึงต้องใช้ห้องน้ำกันด้วย “ท่อ” แบบพิเศษ เพื่อกันของเสียกระจายไป การนอนมันเหมือนอยู่ในเครื่องดูดฝุ่นชัดๆ เนื่องจากไม่มีแรงดึงดูด…
-
นักวิทย์ก็ยังงง ทั้งๆ ที่มี ‘รูทวารกลม’ แต่ทำไม ‘วอมแบต’ ถึงมีอึเป็นรูปสี่เหลี่ยม!?
โลกของเรานั้นมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นมากมาย และบางครั้งคุณอาจจะคาดไม่ถึงเลยก็ได้!! เพื่อนๆ คงจะรู้จักกับเจ้าตัว ‘วอมแบต’ กันมาบ้างแล้ว มันคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหน้าตาน่ารัก มีกระเป๋าหน้าท้องคล้ายกับจิงโจ้ และสามารถพบเจอได้ที่ประเทศออสเตรเลียเท่านั้น!! และเจ้าวอมแบตเองก็เป็นสัตว์ที่มีความประหลาดมากๆ เลยทีเดียว เพราะแม้ว่า ‘รูทวาร’ ของมันจะเป็นรูกลมๆ แต่เหตุไฉน ‘ก้อนอึ๊’ ของมันถึงออกมาเป็นสี่เหลี่ยมซะได้!? ปริศนาที่ว่านี้เป็นคำถามที่ตอบได้ยากมากๆ แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่ แต่พวกเขาก็พยายามกันอย่างหนักเพื่อศึกษาว่ามันเกิดจ่ากอะไร เราลองไปอ่านข้อมูลที่น่าสนใจไปพร้อมๆ กันครับ อึ๊ของเจ้าวอมแบต Patricia Yang นักศึกษาปริญญาเอกในคณะวิศกรรมเครื่องกล จากสถาบันเทคโนโลยีจอร์เจียในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในผู้ศึกษาหาคำตอบนี้ โดยเธอตั้งข้อสันนิษฐานไว้ที่ ‘รูทวาร’ ของมัน แต่พอตรวจสอบแล้วพบว่ามันไม่ได้เป็นรูปสี่เหลี่ยมแต่อย่างใด เธอจึงทำการ ‘ผ่า’ ร่างของวอมแบตที่เสียชีวิตเองโดยธรรมชาติ เพื่อเช็กดูระบบขับถ่าย ก็พบว่า ‘เศษอาหารต่างๆ จะแข็งตัวในช่วง 8% สุดท้ายของระบบขับถ่าย” จากนั้นก็นำบอลลูนขยายลำไส้ของมันดู ก็พบว่าความยืดหยุ่นของในส่วนท้ายของระบบทางเดินอาหารที่ว่านั้นมียืดหยุ่นความไม่สม่ำเสมอ ไม่เหมือนกับส่วนอื่นๆ นั่นจึงอาจจะทำให้เกิดการปั้นอึ๊…
-
เปิดรายชื่อ 9 อาชีพในฝันของเหล่าคนรักน้องหมา ได้ทั้งเงินและความสุขไปพร้อมๆ กัน
สำหรับคนรักสัตว์แล้ว การที่ได้ดูแลพวกสัตว์ให้นอนหลับสบาย กินดีอยู่ดีก็ถือว่าเป็นความสุขทางใจสำหรับผู้เลี้ยงอีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าเจ้าพวกสัตว์เลี้ยงจะพูดคุยสื่อสารกับเราไม่ได้ แต่เราก็สามารถสัมผัสได้ถึงความรักที่พวกมันมีให้ และคงจะดีไม่น้อย ถ้าหากว่าเราได้ทำงานไปพร้อมๆ กับสิ่งที่เรารัก ซึ่งสำหรับคนรักสัตว์ อาชีพทั้ง 9 อาชีพต่อไปนี้ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจนะ 1. สัตวแพทย์ สัตวแพทย์ผู้ดูแลสัตว์ คอยรักษาสัตว์ที่เจ็บไข้ได้ป่วย หรือดูแลบำรุงให้เหล่าสัตว์ทั้งหลายมีสุขภาพที่ดี ใช้ชีวิตได้นานๆ 2. ผู้ฝึกสอนสัตว์สำหรับงานแสดง ครูฝึกสอนสัตว์ให้สามารถทำการแสดงได้ อย่างเช่นแสดงภาพยนตร์ ละคร หรือแสดงโชว์ต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถพิเศษและทักษะเฉพาะตัว 3.ผู้ฝึกสอนสุนัขกู้ภัย จะต้องได้รับการอบรมจากผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เช่น American Kennel Club หรือศูนย์ฝึกสุนัขตำรวจ เพื่อที่จะฝึกสุนัขให้สามารถไปช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างถูกวิธี 4. ผู้ดูแลสวัสดิภาพสุนัข ดูแลทุกอย่างตั้งแต่เรื่องอาหารการกิน การเอาใจสัตว์ เรื่องสุขภาพ การออกกำลังกาย และเรื่องจิตใจของสัตว์ 5. กรูมเมอร์มืออาชีพ ผู้ดูแลตัดแต่งขนสุนัข ต้องมีทักษะในด้านการตัดขน อาบน้ำให้กับสุนัข เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่สามารถทำรายได้ได้เยอะมากอีกอาชีพหนึ่ง 6. คนพาสุนัขไปออกกำลังกาย อาจจะฟังดูแปลก…
-
แสงสุดท้าย…เมืองในอะแลสกา กำลังเผชิญกับ ‘ค่ำคืนอันแสนยาวนาน’ เป็นเวลา 65 วัน!!
ว่ากันว่า ‘ค่ำคืน’ ของคนเหงา จะรู้สึกยาวนานมากเป็นพิเศษ แต่คนเหงาก็คนเหงาเถอะ บอกเลยว่าคงไม่มีใครที่ต้องเผชิญกับค่ำคืนอันยาวนานเท่ากับผู้คนในเมือง Utqiaġvik อย่างแน่นอน!! เพราะขณะนี้ชาวเมือง Utqiaġvik หรือที่รู้จักกันในชื่อ Barrow ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของรัฐอะแลสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังจะต้องเผชิญค่ำคืนที่ยาวนานเป็นเวลากว่า 65 วัน!! ช่วงค่ำคืนอันแสนยาวนานนี้มีชื่อเรียกว่า Polar Night ซึ่งดวงอาทิตย์จะไม่ขึ้นที่เมืองนี้จนกระทั่งถึงวันที่ 23 มกราคมในปีหน้านั่นเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะมืดสนิทไปเลยนะ ยังมีแสงส่องมาเล็กน้อย ที่เรียกว่า Civil Twilight วันละ 3-6 ชั่วโมงต่อวัน ในช่วงนี้จะมีแสดงตกกระทบลงมาที่วัตถุเล็กน้อย (น้อยจริงๆ จนเหมือนกับช่วงพลบค่ำ) ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อยู่ เหตุการณ์ทางธรรมชาตินี้เกิดขึ้นเพราะแกนโลกของฝั่งขั้วโลกเหนือ เอียงหนีมุมตกกระทบของพระอาทิตย์นั้นเอง และจะเกิดขึ้นแบบนี้เป็นประจำในทุกช่วงฤดูหนาว กลับกัน ในฤดูร้อน ที่เมือง Utqiaġvik ก็จะต้องเผชิญกับช่วงกลางวันที่แสนยาวนานเป็นเวลา 2 เดือนเช่นกัน นั่นเป็นเพราะแกนโลกของขั้วโลกเหนือหันหน้าเข้าสู่ดวงอาทิตย์นั่นเอง ที่มา : ladbible, dailymail
-
5 เหตุผลที่ต้องเลือกใช้ “ปลั๊กไฟคุณภาพ” และข้อเสียร้ายแรง หากใช้ปลั๊กไฟไร้มาตรฐาน!!
โดยปกติแล้วการเลือกซื้อทุกอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ไฟฟ้า เราจะใคร่ควรหาข้อมูลก่อนซื้อเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นรุ่นโทรศัพท์ จอทีวี คอมพิวเตอร์ แต่กลับมองข้ามสิ่งเล็กๆ ที่แสนสำคัญอย่าง ‘ปลั๊กไฟ’ เพราะหลายๆ คนเลือกปลั๊กไฟไปใช้ โดยที่ไม่สนใจความปลอดภัย ขอแค่มีใช้งานเสียบปลั๊กมีไฟเข้าก็พอ… ปลั๊กไฟคุณภาพ สังเกตได้อย่างไร และควรมีอะไรบ้าง?? 1. ดูด้วยตาเปล่า มีม่านป้องกันอันตราย จุดสังเกตข้อแรกของปลั๊กไฟคุณภาพ เรื่องของความปลอดภัยจะต้องมาก่อน ทั้งนี้เด็กเล็กภายในบ้าน จะมีความซุกซนเป็นพิเศษตามวัย เดี๋ยวจะเผลอเอานิ้วแหย่ปลั๊กไฟได้ง่าย ถ้าหากไม่มีม่านนิรภัยในจุดนี้ อาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้ ทางที่ดีควรมีม่านนิรภัยป้องกันในปลั๊กไฟ ด้านในนั้นจะเป็นสื่อนำไฟฟ้าที่ดีมากน้อยต่างกันอย่างไร ก็ขอให้ด้านนอกปลอดภัยเป็นจุดแรก!! 2. ทำจากทองเหลืองแท้ นำไฟได้ดี ไม่เป็นสนิม ว่ากันด้วยเรื่องของตัวนำไฟฟ้าภายในปลั๊กไฟ มีหลากหลายตัวที่สามารถนำไฟฟ้าได้ แต่ที่ดีที่สุดต้องยกให้ ‘ทองเหลืองแท้’ ด้วยคุณสมบัตินำไฟฟ้าได้ดี มีความทนทานสูง ไม่ขึ้นสนิมง่ายๆ ลดความเสี่ยงไฟฟ้าลัดวงจร จุดนี้ต้องสังเกตให้ดีๆ นะ ทั้งในปลั๊กและหัวปลั๊ก จะต้องเป็นของเหลืองแท้เท่านั้น ไม่ใช่เหล็กชุบสีเหลือง!! 3. กันกระแทก ตกลงจากที่สูงก็ยังใช้งานได้ปกติ ตำแหน่งการวางปลั๊กไฟแต่ละจุด นอกจากจะวางบนพื้นราบแล้ว…
-
18 ตัวอย่างคำศัพท์ “ชวนสับสน” ระหว่างภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน VS แบบบริทิช!
ภาษาอังกฤษนั้นแม้จะไม่ใช่ภาษาที่ยาก แต่ก็ไม่สามารถพูดว่า “ง่าย” ได้เต็มปากเช่นกัน เพราะภาษาอังกฤษนั้นถูกใช้ในหลายๆ ประเทศบนโลก ทำให้มีภาษาอังกฤษหลายสไตล์และแต่ละสไตล์ก็จะมีคำศัพท์เฉพาะของตัวเองอีกด้วย รูปแบบภาษาอังกฤษที่ใช้กัน 2 รูปแบบใหญ่ๆ ก็คือ อังกฤษแบบอเมริกัน (American English) และ อังกฤษแบบบริทิช (British English) โดยทั้งสองแบบนี้หลายครั้งมันก็ก่อความสับสนให้ผู้ใช้เพราะว่า คำบางคำดันมีความหมายคนละแบบกันเสียนี่ วันนี้ เราจะพาเพื่อนๆ ไปชม 18 ตัวอย่างคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่มีความแตกต่างกันระหว่างแบบอเมริกันกับแบบบริทิช แล้วจะรู้เลยว่าภาษาอังกฤษมันไม่ง่ายอย่างที่คิด 1. Pants อเมริกัน: กางเกง บริทิช: กางเกงชั้นใน 2. Stuffed อเมริกัน: อิ่ม บริทิช: เซ็กส์ 3. Fanny อเมริกัน: ก้น บริทิช: จิ๊มิ 4. Buff อเมริกัน: คนกล้ามโต บริทิช: คนโป๊เปลือย 5.…
-
5 สาระน่ารู้เกี่ยวกับ “หรรมส์” ที่ขนาดผู้ชายมีติดตัวอยู่ บางทีก็ยังไม่เคยรู้กันมาก่อนเลย
อวัยวะเพศชาย หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ง่ายๆ ได้หลายคำ ไม่ว่าจะเป็น “หรรมส์” , “ไอ้จ้อน” , “ดุ้น” หรือ “น้องชาย” (ที่ไม่ได้หมายถึงคนที่เกิดมาจากมารดาเดียวกัน ตามหลังเรามา) และนอกเหนือจากคำที่ใช้เรียกแล้ว วันนี้เราลองมารับสาระน่ารู้เกี่ยวกับ “หรรมส์” ที่แม้แต่ผู้ชายเองก็ยังอาจไม่เคยรู้กันมาก่อนเลย ไม่ต้องมาอ้อยอิ่งกันให้เสียเวลา ลองไปดูกันเลยดีกว่าว่ามันมีเรื่องไหนกันบ้าง 1. การแข็งตัวครั้งแรกอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนเราคลอดออกมา แน่นอนว่ามันคือสิ่งที่ติดตัวหนุ่มๆ มาตั้งแต่กำเนิด และอาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้วจะมีการแข็งตัวเกิดขึ้นในทันที แต่มันก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่จะเกิดการแข็งตัวตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ผ่านการอัลตร้าซาวด์ แหล่งที่มา: oddee 2. แท้จริงแล้วมันอาจใหญ่กว่าที่เราเห็นถึง 2 เท่า เราอาจคิดมาตลอดว่าไอ้จ้อนของเรามีขนาดแค่เท่ากับที่เรามองเห็น แต่แท้จริงแล้วอวัยวะส่วนนี้นั้นอาจใหญ่กว่าที่เราคิดถึง 2 เท่า เพราะเกือบครึ่งของขนาดที่แท้จริงมันอยู่ภายในร่างกายของเรา แหล่งที่มา: webmd 3. ระหว่างนอนหลับ จะเกิดการแข็งตัวขึ้นมาเองหลายครั้ง เราอาจเคยชินกับการแข็งตัวของไอ้จ้อนตอนตื่นนอน แต่ความจริงแล้วระหว่างที่เรากำลังนอนหลับในแต่ละคืน มันก็จะเกิดการแข็งตัวอยู่เหมือนกัน จากค่าเฉลี่ยบอกว่าใน 1 คืน ไอ้จ้อนของเราจะมีการแข็งตัวประมาณ 3-5 ครั้ง และจะแข็งอยู่นานครั้งละ 25-35…
-
มาปวดหัวไปกับ ‘โจทย์คณิต’ ระดับเบสิกที่ผู้สร้างบอกมีแค่ 4% เท่านั้นที่ตอบถูกมากกว่า 7 ใน 10 ข้อ!!
หากพูดถึงโจทย์คณิตศาสตร์ หลายคนคงจะส่ายหัวเอือมระอาให้กับมัน เพราะมันเป็นอะไรที่ถ้าคนไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจจริงๆ ใช่ไหมล่ะ แต่ว่าลองมาเล่นโจทย์คณิตศาสตร์ระดับเบสิกเหล่านี้ดูก่อน เพราะมันเป็นโจทย์ง่ายๆ เพียงแค่บวกลบคูณหารเท่านั้น แต่ทางผู้สร้างบอกว่ามีเพียงคนแค่ 4% จากที่สำรวจมาเท่านั้น ที่ตอบถูกมากกว่า 7 ข้อขึ้นไปจากทั้งหมด 10 ข้อ!! โดยเจ้าโจทย์คณิตศาสตร์ที่ว่านี้ได้เผยแพร่ลงในเว็บไซต์ Playbuzz โดยทาง Michael Rogers ผู้สร้างควิซนี้กล่าวว่า แม้จะเป็นโจทย์คณิตที่ดูเหมือนง่ายๆ แต่คนที่ตอบถูกเกิน 7 ข้อนั้นมีน้อยมาก และแน่นอนวันนี้ #เหมียวจิวยี่ ได้นำเกมที่ว่านี้มาฝากกัน ถ้าอย่างนั้นมาลองเล่นกันดูดีกว่าว่าคุณจะตอบถูกกี่ข้อ (ห้ามแอบดูเฉลยล่ะ!!) ข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ข้อ 4 ข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 9 …
-
แจกฟรี! สมุดภาพการออกแบบ ‘ดอกไม้ไฟ’ ทั้งรูปแบบและสีสัน ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน
เป็นที่ร่ำลือกันมาอย่างยาวนาน ในเรื่องของความสวยงามในเทศกาลดอกไม้ไฟ ที่จัดขึ้นเป็นประจำกันทุกปี ชื่อของประเทศญี่ปุ่นมักจะมาเป็นอันดับต้นๆ อยู่เสมอ ด้วยสีสันและลวดลายของดอกไม้ไฟสุดตระการตา ทำให้ประทับอยู่ในใจของใครหลายๆ คนได้อย่างไม่ยากเย็น หากแต่ว่า การถ่ายภาพนั้นไม่อาจทำได้ดีเหมือนกันทุกคน จะเก็บความประทับใจของดอกไม้ไฟต่างๆ เอาไว้ ก็ได้แต่เพียงดูผ่านภาพถ่ายจากกล้องคนอื่น หรือตามสื่อต่างๆ . แต่ถ้าหากคุณอยากมีดอกไม้ไฟเก็บเอาไว้กับตัวเอง โอกาสดีๆ ของคุณมาถึงแล้ว เมื่อทางบริษัท Brocks Fireworks ได้ทำการเผยแพร่ภาพวาดดอกไม้ไฟหลากสีสัน ที่ออกแบบโดยบริษัท Hirayama Fireworks และ Yokoi Fireworks นำมาให้ทุกคนได้นำไปใช้ได้ฟรีๆ ทั้งนี้ ภาพวาดดอกไม้ไฟถูกแบ่งออกเป็น 6 เล่ม สามารถดาวน์โหลดได้โดยตรงจากเว็บไซต์ ห้องสมุดสาธารณะเมืองโยโกฮามะ (ลิงก์) โดยกดดาวน์โหลดไฟล์ PDF ได้จากปุ่ม 本体PDF画像 โดยแต่ละเล่มจะเผยให้เห็นรายละเอียดการออกแบบดอกไม้ไฟ แต่ละสี แต่ละช่วงเวลา พร้อมกับการออกแบบลวดลายที่แตกต่างกันไป . . .…
-
จีนล้ำอีกขั้น สร้าง “ดวงอาทิตย์เทียม” ปล่อยพลังงานร้อนแรงกว่าของจริงถึง 6 เท่า!!
หลังจากข่าวคราวการสร้าง “พระจันทร์เทียม” ของประเทศจีนที่เพิ่งประกาศไปเมื่อไม่นานมานี้ วันนี้ชาวแดนมังกรกลับมาพร้อมกับข่าวคราวของการสร้าง ดวงอาทิตย์เทียม อีกแล้ว! อ่านข่าวเก่า: จีนสร้าง “พระจันทร์เทียม” ให้แสงสว่าง แทนการใช้กระแสไฟฟ้า เตรียมปล่อยปี 2020 นี้! สถาบันฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ของวิทยาลัยวิทยาศาสตร์จีนในนครเหอเฝยได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าได้สร้างดวงอาทิตย์จำลองขึ้นมาได้สำเร็จเมื่อวันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน 2018 ดวงอาทิตย์จำลองนี้มีชื่อจริงๆ ว่าเตาปฏิกรณ์ Experimental Advanced Superconducting Tokamak (EAST) ซื่งสร้างความร้อนได้สูงถึง 100,000,000 องศาเซลเซียส ซึ่งความร้อนระดับนี้ถือว่าสูงกว่าแกนกลางของดวงอาทิตย์จริง (14,900,000 องศาเซลเซียส) ราว 6 เท่าเลยทีเดียว ทางสถาบันฟิสิกส์วิทยาศาสตร์อธิบายถึงจุดประสงค์ของ EAST หรือดวงอาทิตย์เทียมนี้ว่าสร้างขึ้นมาเพื่อ “จำลอง” กระบวนการสร้างพลังงานของดวงอาทิตย์จริง ทางสถาบันยังเชื่ออีกว่าการสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาจะช่วยทำให้ค้นพบเคล็ดลับในการสร้างปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันบนโลกมนุษย์ แม้ EAST จะมีสร้างความร้อนได้สูงถึง 100 ล้านองศาเซลเซียส แต่ความร้อนระดับนี้ก็เป็นเพียงความร้อนขั้นต่ำที่สุดในการจุดปฏิกิรยานิวเคลียร์ฟิวชันบนโลก อย่างไรก็ตาม ผลงานดวงอาทิตย์จำลองนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวของวิทยาการมนุษย์ เพราะมันอาจกลายเป็นแหล่งสร้างพลังงานบริสุทธิ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์อีกด้วย ที่มา: nextshark และ Shanghaiist
-
จับ 35 โลโก้แบรนด์ดัง นำมาวิเคราะห์อนาโตมี่ แยกให้เห็นสัดส่วน ที่คิดมาเป็นอย่างดี
หนึ่งในด่านปราการแรกที่จะทำให้ทุกคนบนโลกจดจำแบรนด์ได้ ก็คงต้องเป็นโลโก้ที่มีความสร้างสรรค์ บ่งบอกได้ถึงตัวตนของแบรนด์ เอกลักษณ์จุดเด่นเฉพาะตัว แบบที่ว่า มองเห็นปุ๊บ ก็รู้ได้ปั๊บเลยว่าต้องเป็นแบรนด์นั้น แบรนด์นี้ และสิ่งที่เราได้เห็นกันอยู่เป็นประจำของแบรนด์ระดับโลกยักษ์ใหญ่ หากตัดชื่อออกไป ก็ยังคงจำได้อยู่ดี เนื่องจากมีการคิด วิเคราะห์ และออกแบบมาได้เนี้ยบทุกประการ และเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นได้ล่ะ? Adobe (1982) ทั้งนี้ จากอินสตาแกรม Anatomy of Logos จึงได้นำโลโก้ของแบรนด์ต่างๆ มาวิเคราะห์สัดส่วน ให้คล้ายกับกายวิภาคศาสตร์ (อนาโตมี่) แยกให้เห็นสัดส่วนลายเส้น การใช้รูปทรงต่างๆ รวมไปถึงชื่อผู้ออกแบบ และปีที่นำออกมาใช้โดยละเอียด Bing (2013) National Westminster Bank (1968) McDonald’s (1962) Warner Music Group (1972) Twitch (2009) Mitsubishi Motors (1964)…
-
129 วิธีจับผู้ชายมาเป็นสามี เคล็ดลับจากนิตยสารสมัยเก่าแก่ ร้อยเล่มเกวียนมันอยู่ตรงนี้!!
ถ้าจะให้เปรียบเทียบให้เห็นได้ชัดจากนิตยสารสตรีเล่มนี้ ก็คงจะเป็นประโยค “มารยาหญิงร้อยเล่มเกวียน” ฮร่า เพราะในสมัยก่อนนั้น ยังไม่การเปิดเผยอะไรที่ชัดเจนและยอมรับได้มากเท่ากับสังคมปัจจุบัน ผู้หญิงส่วนใหญ่จะต้องรักนวลสงวนตัวเอาไว้ แต่ในสภาพสังคมปัจจุบัน โลกของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว ทว่าลองย้อนกลับมาดูแนวคิดของคนสมัยก่อนกันดีกว่า ว่าด้วยเรื่องของวิธีการหาผัว จะจับผู้ชายที่หมายปองยังไง เพื่อให้ได้เค้ามาครอง ต้นเรื่องนี้มาจาก Kim Marx-Kuczynski ได้ทำการซื้อนิตยสารสำหรับสตรีที่ชื่อ McCall’s ฉบับปี 1958 (60 ปีที่แล้ว) พร้อมกับบทความ 129 วิธีในการหาผัว ตรงๆ โต้งๆ แบบนี้เลย “ฉันซื้อนิตยสาร McCall’s ปี 1958 มา เพราะบนปกมีโฆษณาบทความที่ชื่อ ‘129 วิธีหาผัว’ และมันไม่ทำให้ผิดหวังเลย เพราะทุกข้อที่เขียนมา แม่มคือเชี้ยอะไรวะเนี่ย แต่ข้อที่ชอบที่สุดคือข้อ 40 ทำเอาขำไม่หยุด ตั้งแต่ได้อ่านไปเมื่อ 3 วันที่แล้ว” หน้าตาปกนิตยสาร น่ารักดูดีเชียว เปิดมาด้วยบทนำ ว่าด้วยเรื่องของปัญหาผู้หญิงในสหรัฐอเมริกากว่า 16 ล้านคน…
-
18 ข้อที่คุณอาจจะยังไม่รู้ เกี่ยวกับชายที่ชื่อว่า Stan Lee ผู้มอบความสุขที่มากกว่าการ์ตูน
การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สะเทือนไปทั้งวงการภาพยนตร์และคอมิกส์ หลังจากที่ได้รับการยืนยันจากหลายแหล่งข่าวว่า คุณปู่ Stan Lee ผู้ให้กำเนิดตำนานแห่ง Marvel ทั้งปวง ได้เสียชีวิตลงด้วยอายุ 95 ปี แฟนๆ ต่างร่วมแสดงความอาลัยต่อการจากไปของเขาทั่วทุกมุมโลก ทั้งนี้ ตลอดทั้งชีวิตของผู้ชายที่ชื่อ Stan Lee เขานั้นเคยผ่านอะไรมาบ้าง กว่าจะมาถึงจุดนี้ เรามาร่วมเรียนรู้และระลึกถึงชายผู้ให้กำเนิดจักรวาล Marvel กันเถอะ Stanley Martin Lieber คือชื่อแรกติดตัวของเขา ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น Stan Lee อย่างเป็นทางการตามนามปากกา เนื่องจากมีความสับสนเวลาพูดชื่อสกุลในชีวิตประจำวัน และไม่อยากแยกจากกับชื่อนามปากกา ตอนเด็กๆ คุณปู่มีความฝันอยากจะเป็นนิติกร ในปี 1939 Stan Lee เริ่มทำงานครั้งแรกกับบริษัท Timely Comics ก่อนจะรีแบรนด์ตัวเองกลายมาเป็น Marvel Comics ในปัจจุบัน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Stan Lee…
-
ในไต้หวันหากพูดว่า Boba Tea อาจไม่ได้หมายถึงชานมไข่มุก แต่แปลว่าหน้าอกใหญ่!!
ปัจจุบันนี้หากพูดถึงกระแสที่กำลังมาแรงในประเทศไทย คงไม่มีกระแสไหนแรงเท่า “ชานมไข่มุกฟีเวอร์” อีกแล้ว เรียกได้ว่าจะหันมองไปทางไหนก็ต้องมีร้านชาไข่มุกหรือคนถือแก้วชาไข่มุกให้เห็นกันเต็มไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ด้วยความสร้างสรรค์ของมนุษย์ ก็มีคนจับเจ้าไข่มุกกลมๆ หนึบๆ นี้ลงไปอยู่กับอาหารคาวนานาชนิดเสียด้วย (ข่าวเก่า) จริงๆ แล้วเจ้าชานมไข่มุกที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้มีต้นกำเนิดมาจากไต้หวัน โดยคุณหลินชิ่วฮุย แห่งร้านชาชุนสุ่ยถังตั้งแต่ปี 1988 ก่อนที่จะมาฮิตกระจายในทั่วโลกเมื่อไม่กี่ปีผ่านมานี้ ในต่างประเทศ ชานมไข่มุกจะถูกเรียกว่า Boba Tea ซึ่งมาจากรูปร่างของมันที่กลมๆ คล้ายกับฟองสบู่ (Bubble) จนเพี้ยนมาเป็นคำว่า Boba นั่นเอง แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าคำว่า Boba (波霸) ในภาษาจีนแล้ว มันไม่ได้หมายความถึงชานมไข่มุกเลยสักนิดเดียว เพราะมันคือคำแสลงที่มีความหมายว่า “หน้าอกใหญ่” ต่างหาก!! โดยร้านชาไข่มุกในไต้หวันจะใช้คำว่า Zhenzhu (珍珠 ) ที่มีความหมายตรงตัวว่าชานมไข่มุก แต่กระนั้นแล้วก็ยังมีบางร้านที่ใช้คำว่า Boba อยู่เพื่อเรียกลูกค้าชาวต่างชาติ รวมยังใช้เรียกไข่มุกที่มีขนาดใหญ่กว่า 7 มิลลิเมตรด้วย และถึง Boba จะแปลว่าหน้าอกใหญ่ก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้นจริงๆ นะ…
-
การเปลี่ยนแปลงของ 10 มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ มันไม่ง่ายเลย
ไม่ว่าใครๆ ก็อยากที่จะมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ใช้ไม่มีวันหมด แต่การที่จะเป็นเศรษฐีได้นั้น ถ้าไม่นับเรื่องโชคชะตา (บังเอิญถูกหวย) ก็ต้องใช้ความสามารถและความพยายามเป็นอย่างมากกว่าที่จะสร้างให้ตัวเองกลายเป็นเศรษฐีได้ นี่คือเรื่องราวของ 10 มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลกที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่ ซึ่งแต่ละคนนั้นไม่ได้ใช้โชคชะตาในการก้าวมาถึงจุดที่เป็นผู้มีทรัพย์สินมากมาย แต่ใช้ความสามารถของตัวเองที่มีก้าวไปสู่ความสำเร็จ 1. Steve Wozniak วิศวกรคอมพิวเตอร์และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Apple เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขของ Steve Jobs และเป็นผู้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นแบบของ Apple 2. Susan Wojcicki เธอคือประธานกรรมการบริหารของ Youtube เว็บไซต์เครือข่ายโซเชียลมีเดียอันดับต้นๆ เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จทางด้านไอที เคยเป็นผู้จัดการการตลาดให้กับ Google และเป็นผู้ที่แนะนำให้ Google ซื้อ Youtube ดำรงตำแหน่งผู้บริหารตั้งแต่ปี 2014 3. Richard Branson ก่อนหน้าที่เขาจะเรียนจบ เขาบอกกับครูที่ปรึกษาเอาไว้ว่าเขาอาจจะเข้าคุกหรือกลายเป็นเศรษฐีก็ได้ ปัจจุบันเขาเป็นมหาเศรษฐีเจ้าของ Virgin Group ที่มีธุรกิจแทบจะครบวงจรทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นสายการบิน ดนตรี การเงินและการท่องเที่ยวต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน 4. Tim Cook ในอดีตเป็นนักศึกษาที่ค่อนข้างเงียบขรึมแห่งมหาวิทยาลัย…
-
เรื่องจริงอาจไม่เหมือนในหนัง กับ 12 ความเชื่อผิดๆ ที่อยู่ในภาพยนตร์ฮอลลีวูด
ภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่องที่มีฉากน่าตื่นตาตื่นใจให้เราได้รับชม แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าฉากน่าตื่นตาตื่นใจเหล่านั้น บางฉากก็ไม่เป็นความจริงไปเสียหมด วันนี้ #เหมียวโคบี้ เลยทำการรวบรวมข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกในหลายๆ ฉากของภาพยนตร์ฮอลลีวูดมาให้ได้รับชมกัน ข้อเท็จจริงอันไหนจริงอันไหนปลอมมาดูกันเล้ย 1. ในภาพยนตร์: หากมนุษย์ตกทรายดูดจะถูกดูดจนตาย vs ความจริง: ทรายดูดค่อนข้างหนาแน่น ถึงจะถูกดูดลงไปจริงๆ แต่จะไม่จมไปทั้งตัว 2. ในภาพยนตร์: คุณสามารถเข้าไปในช่องระบายอากาศได้อย่างง่ายดาย vs ความจริง: ช่องระบายอากาศเหล่านี้มันแคบมากๆ 3. ในภาพยนตร์: ปลาปิรันยาสามารถแทะร่างกายทั้งหมดของมนุษย์ได้ภายในไม่กี่วินาที vs ความจริง: ปลาปิรันยาเป็นปลาที่ขี้ขลาดและระมัดระวังตัว จึงไม่มีเคสที่มีคนตายจากการถูกปิรันยาโจมตี 4. ในภาพยนตร์: หากมีรูบนตัวเครื่องบิน ทุกคนจะถูกดูดออกไปตามรูกันหมด vs ความจริง: แม้จะจะเกิดรูบนเครื่อง จนทำให้คนที่อยู่ใกล้จุดดังกล่าวถูกดูดออกไป แต่ความดันอากาศระหว่างเครื่องและชั้นบรรยากาศจะกลับมาเสถียรตามเดิมภายในไม่กี่วินาที จะเหลือก็แค่เสียงดังของลม 5. ในภาพยนตร์: การฉีดอะดรีนาลีนที่ถูกต้อง ควรฉีดเข้าที่หัวใจโดยตรง vs ความจริง: การฉีดอะดรีนาลีนควรฉีดเข้าที่เส้นเลือด 6. ในภาพยนตร์: ดาวเคราะห์น้อยสามารถพุ่งเข้าชนและทำลายโลกได้ทุกวินาที…
-
5 การศึกษาทางการแพทย์สุดแปลก ที่เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ แถมยังมีเหตุมีผลสุดๆ เลยด้วย
กว่าที่การแพทย์ของมนุษย์จะก้าวหน้ามาได้แบบปัจจุบัน มนุษย์เราก็ผ่านการศึกษาทางการแพทย์มามากมายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาสรีระในสมัยก่อน หรือแม้กระทั่งการทดลองกับมนุษย์ในช่วงสงคราม แต่ถึงแม้ว่าการแพทย์ของมนุษย์จะพัฒนามากขึ้นทุกวันนี้แล้ว คนเราก็ยังไม่หยุดที่จะศึกษาเพิ่มเติม แถมการศึกษาบางอย่างยังฟังดูแปลกแบบสุดๆ เลยด้วย เหมือนอย่าง 5 การศึกษาสุดแปลกต่อไปนี้ เริ่มกันที่การทดลองที่ให้คนดื่มเหล้าจนเมาของวารสาร Human Factors นี่เป็นการทดลองที่ทำขึ้นเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการขับขี่ของคนสี่กลุ่มในปี 2006 โดยกลุ่มที่หนึ่งจะถูกเชิญไปดื่มค็อกเทลจนเมาเละเทะ กลุ่มที่สองจะถูกสั่งให้ใช้มือถือโทรศัพท์คุยไปด้วยระหว่างขับรถ กลุ่มที่สามให้ใช้สมอลทอร์คคุยโทรศัพท์ไปด้วยระหว่างขับรถ และกลุ่มที่สี่เป็นคนปกติ แน่นอนว่าผลที่ออกมาของสามกลุ่มแรกนั้นเละเทะสุดๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าการใช้โทรศัพท์ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม ทำให้เกิดอุบัติเหตุมากกว่าคนเมาเสียอีก โดยการใช้โทรศัพท์แบบใช้มือถือ ทำให้เกิดอุบัติเหตุมากกว่าคนปกติถึง 5 เท่า การศึกษาอาการแพ้ถั่วบราซิลผ่านน้ำอสุจิ เรื่องของเรื่องคือมีผู้หญิงที่แพ้ถั่วบราซิลคนหนึ่งเกิดอาการแพ้ถั่วหลังจากมีเซ็กซ์กับแฟนที่กินถั่วบราซิลมา ทั้งๆ ที่เขาทั้งอาบน้ำและแปรงฟันมาแล้ว ทำให้เกิดความสงสัยว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เธอมีอาการแพ้ จนเกิดเป็นการทดลองขึ้น โดยในการทดลองนี้แพทย์ได้ฉีดน้ำอสุจิของแฟนที่กินถั่วบราซิลไปได้ 4 ชั่วโมงลงไปที่ผิวของเธอ และพบว่าว่าการแพ้ของหญิงสาวนั้นสามารถเกิดจากโปรตีนของถั่วบราซิลที่อยู่ในน้ำอสุจิได้ด้วย การทดลองกำลังแขนของศพ นี่เป็นการทดลองที่เกิดขึ้นในปี 2015 เพื่อพิสูจน์แนวคิดที่ว่าการที่มือมนุษย์ต่างไปจากลิง (ฝ่ามือและนิ้วสี่นิ้วสั้นกว่าลิง แต่มีนิ้วโป้งยาวกว่า) ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่เพื่อใช้เครื่องมือ แต่เพื่อการต่อสู้ด้วย อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้แรงของกล้ามเนื้อเข้ามาเป็นตัวแปร นักวิทยาศาสตร์จึงใช้แขนที่ตัดมาจากศพในการทดลองนั่นเอง โดยผลการทดลองพบว่าการกำมือโจมตีของมนุษย์ทำให้เกิดแรงกระแทกมากกว่าการแบมือถึง 2 เท่า ซึ่งหมายความว่าการที่มนุษย์มีมือต่างไปจากลิง มีส่วนช่วยในการต่อสู้จริงๆ การทดลองที่ให้คนดื่มเลือดตัวเอง การทดลองนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับแวมไพร์ หรือโรคแวมไพร์…
-
7 วิธีการแปลกๆ ที่มนุษย์เคยทำเพื่อ “ลดน้ำหนัก” เห็นอย่างนี้แล้ว ตรูยอมอ้วนดีกว่า…
เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนคงอยากที่จะมองหา “วิธีการลดน้ำหนัก” กันอยู่ ซึ่งต้องบอกกันว่าวิธีการลดน้ำหนักที่นำมาให้อ่านกันในวันนี้ คือหลากหลายวิธีที่เพื่อนๆ “ไม่ควรทำตาม” อย่างเด็ดขาด นี่คือวิธีการลดน้ำหนักในแบบที่เรียกว่าทั้ง “แปลกและอันตราย” เพราะถึงแม้ว่ามันจะได้ผลจริงๆ แต่มันก็จะมีผลกระทบตามมาจนอาจอันตรายถึงชีวิตได้เลย 1. การกินสำลี เพื่อนๆ บางคนอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับ Cotton Ball Challenge การที่นำ “สำลี” ชุบน้ำหรือน้ำผลไม้แล้วกินมันเข้าไป ทำให้ร่างกายเหมือนถูกเติมเต็มด้วยอาหารจานหลัก ปัญหาก็คือสำลีที่กินกันเข้าไปนั้นมันเป็นสิ่งที่ย่อยได้ยาก และสามารถส่งผลเสียต่อกระเพาะอาหารกับลำไส้ได้ อันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว แหล่งที่มา: healthline 2. การเย็บปักลงบนลิ้น “การเย็บปัก” เศษผ้าหรืออะไรบางอย่างลงไปบนลิ้นของเรานั้น ฟังดูแล้วมันคงเป็นวิธีที่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่ แต่แน่นอนว่าเมื่อเรารู้สึกเจ็บที่ลิ้น เราก็จะไม่สามารถกินอาหารได้ตามปกติ ทำได้แค่ดื่มของเหลวเข้าไป (แม้มันจะได้ผลจริง แต่ก็ถือว่าเป็นวิธีการที่ไม่ควรทำตามอย่างเด็ดขาด) แหล่งที่มา: abcnews 3. การกินแบบเจ้าหญิงนิทรา การกิน “ยาระงับประสาท” หรือ “ยานอนหลับ” เข้าไปเพื่อให้เราไม่ต้องตื่นขึ้นมากินอาหาร มันคือหนึ่งในวิธีการที่เคยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และปัจจุบันยังคงมีบางคนทำอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน แต่แน่นอนว่าการรับยาที่มากจนเกินไป มันอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อร่างกายจนทำให้ต้องหลับไปตลอดกาล แม้มีเจ้าชายมาจุมพิตก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาได้อีกเลย แหล่งที่มา: womenshealthmag …
-
8 อาหารพิสดารสุดหยึยที่พบได้ทั่วโลก เรียกได้ว่าแปลกจนต้องร้องขอชีวิต!!
ในโลกใบนี้มีมนุษย์อยู่ด้วยกันมากมายหลายล้านคน ซึ่งแต่ละคนก็มีสังคมและเชื้อชาติที่ต่างกันไปและในแต่ละเชื้อชาติก็ย่อมจะมีวัฒนธรรมหรืออาหารการกินที่ต่างกันอีกที วันนี้เราก็เลยจะมานำเรื่องของอาหารสุดหยึยที่ทางพิพิธภัณฑ์ของแปลก Mälmo ประเทศสวีเดนได้รวบรวมมา จะมีอาหารประเภทไหนกันบ้างเราไปรับชมกันเลย 1. อวัยวะเพศกระทิง อวัยวะเพศของกระทิงนั้นเป็นอาหารที่พบเจอได้ในประเทศจีน โดยเชื่อกันว่าเมื่อได้รับประทานมัน จะช่วยให้เจ้าโลกของเราจะฟิตปึ๋งปั๋ง 2. ซุปค้างคาว ก็ดังชื่อบอก ซุปค้างคาวเป็นซุปที่ถูกปรุงขึ้นมาจากค้างคาวผลไม้ ซึ่งเป็นอาหารยอดฮิตในประเทศกวม โดยที่ซุปค้างคาวนั้นมีกลิ่นที่ค่อนข้างแรง ตามที่เล่าลือกันมารสชาติของมันก็เหมือนไก่นี่แหละ 3. Haggis อีกอาหารสุดหยึยยอดฮิตของประเทศสกอตแลนด์ เจ้า Haggis นี้ถือว่าเป็นอาหารประเภทพุดดิ้งที่ทำมาจากการตับ, ปอดและหัวใจของแกะ ซึ่งนำทั้งหมดนั้นมาบดผสมกับหัวหอม ไขมัน และข้าวโอ๊ต 4. ไวน์หมักลูกหนู ก็ตามที่ชื่อบอกเอาไว้ เจ้าสิ่งนี้คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่หมักจากลูกหนูไร้ขน ซึ่งอาหารชนิดนี้จะพบได้ในทางตอนใต้ของประเทศจีนและเกาหลี 5. ลูกตาแกะดอง ลูกตาแกะดองเป็นอาหารที่นิยมในประเทศมองโกเลีย โดยจะเสิร์ฟคู่กับน้ำผลไม้ ซึ่งบางเวลาก็เอามาใช้ดื่มเพื่อแก้อาการเมาค้างได้ 6. Su Gallu Su Gallu คือชีสชนิดหนึ่งที่เกิดจากการนำนมแกะไปหมักในกระเพาะของลูกแพะที่ถูกฆ่า ซึ่งเป็นอาหารที่พบได้ในซาร์ดิเนีย…
-
15 ภาพเคลื่อนไหวแห่งการขึ้นรูป “แม่พิมพ์คุกกี้” ที่จะทำให้คุณฟินอย่างไม่รู้ตัว
คุกกี้ คือขนมอบยอดฮิต ที่ไม่ว่าหลายๆ คนต่างต้องเคยรับประทานมันมาด้วยกันทั้งนั้น ในอดีตนั้นเนื่องจากเทคโนโลยีที่ยังไม่ก้าวหน้าสักเท่าไหร่ เรามักคุกกี้จะมีรูปร่างกลมๆ เป็นซะส่วนมาก แต่ด้วยความสร้างสรรค์ของมนุษย์ บวกกับเทคโนโลยีต่างๆ ปัจจุบันจึงสามารถสร้าง “แม่พิมพ์คุกกี้” ออกมาได้และทำให้คุกกี้ในปัจจุบันมีรูปร่างเป็นของต่างๆ นานาชนิด แน่นอนว่าเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านนี้คงเคยรับประทานคุกกี้รูปร่างต่างๆ มานักต่อนักแล้ว แต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่าเจ้าแม่พิมพ์คุกกี้นี้ มันทำมาอย่างไรกันนะ หากสงสัยล่ะก็ วันนี้ #เหมียวโคบี้ ก็ได้ทำการรวบรวมภาพขั้นตอนการทำแม่พิมพ์คุกกี้แต่ละรูปแบบมาให้ได้ดูกันแล้ว ขอบอกเลยว่าดูไปก็ฟินไป เอาล่ะไปรับชมกันเล้ย 1. แม่พิมพ์รูปเจ้ากวาง 2. ใบเมเปิลสุดสวยงาม 3. มีตารอบตัวๆ มีตัวลายตาๆ ฮูลา ฮูลาาา 4. กวางเรนเดียร์ 5. แม่พิมพ์รูปเจ้าไก่ 6. เต็นท์อินเดียนแดง 7. มาดูรูปคนกันบ้าง 8. สำหรับวันคริสต์มาสที่จะถึงนี้ ขาดไม่ได้เลยสำหรับเจ้าต้นคริสต์มาส…
-
เปิดเรื่องราว “โรคต้นไม้มนุษย์” อาการประหลาดที่ทำให้ผิวคนกลายเป็นเหมือนเปลือกไม้
Epidermodysplasia Verruciformis อาจจะเป็นชื่อที่ฟังดูประหลาดสำหรับหลายๆ คน แต่เชื่อเถอะว่าชื่อของมันไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่แปลก เพราะนี่เป็นชื่อของโรคอันสุดแสนจะประหลาด ที่ทำให้คนที่เป็นมีผิวที่คล้ายกับ “เปลือกไม้” งอกออกมาจากมือและเท้านั่นเอง ด้วยอาการแบบนี้เองที่ทำให้ Epidermodysplasia Verruciformis บางครั้งก็ถูกเรียกกันว่า “โรคต้นไม้มนุษย์” โดยมันเป็นกลุ่มโรคทางผิวหนังที่เกิดขึ้นได้ยากมากๆ และมาพร้อมกับความเสี่ยงเป็นมะเร็งที่สูงตามไปด้วย สาเหตุที่เกิดโรคเช่นนี้ขึ้นก็ถูกสันนิษฐานไว้โดยทีมแพทย์ว่าน่าจะมาจากการผสมผสานทางพันธุกรรมของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์ Epidermodysplasia Verruciformiswart นั่นเอง โดยเดิมทีไวรัส Epidermodysplasia Verruciformiswart นั้นก็เกิดขึ้นยากมากแล้ว ขนาดที่ว่าในหนึ่งปีจะมีคนเป็นโรคนี้เพียงแค่ราวๆ 600 คนเท่านั้น แต่ในบรรดาคนเหล่านั้นเอง จะมีคนที่ภูมิคุ้มกันร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับไวรัสได้อย่างที่ควรอยู่ด้วย ทำให้โรคออกอาการรุนแรงจนมือเท้าสามารถมองเห็นเป็นต้นไม้เด่นชัดได้ อย่างไรก็ตามโอกาสที่จะเกิดอาการแบบนี้นั้นเรียกได้ว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย จนทำให้แพทย์หลายๆ คนแทบจะไม่มีโอกาสได้ศึกษาโรคนี้เลยด้วยซ้ำ นั่นจึงทำให้คนที่ป่วยเป็นโรคนี้ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ดีเอามากๆ เพราะนอกจากจะต้องทนกับความเจ็บปวด และความอับอายที่จะให้ใครเห็นมือแล้ว อาการนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาที่แน่ชัดอีกด้วย สิ่งเดียวที่ทีมแพทย์ทำให้ผู้ป่วยได้คือการตัดเนื้อเยื่อส่วนที่มีอาการทิ้งและนำเนื้อจากส่วนอื่นมาแปะแทน ซึ่งก็นำมาซึ่งการผ่าตัดมากมายหลายครั้ง แถมมือที่ออกมายังมีลักษณะคล้ายคนโดนไฟไหม้มาอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอเพราะด้วยความแปลกของโรคนี้ทำให้แพทย์ไม่อาจบอกได้เลยว่าอาการที่พวกเขาเป็นนั้นจะกลับมาลุกลามอีกครั้งหลังจากการผ่าตัดหรือไม่ด้วย ที่มา allthatsinteresting, dailymail
-
วิหารซาตานฟ้อง Netflix 50 ล้านเหรียญ ก็อปรูปปั้นไปใช้ในซีรีส์/สร้างความเชื่อผิดๆ!!
กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากต่างประเทศอยู่ ณ ขณะนี้เลย กับกรณีของวิหารซาตานยื่นฟ้อง Netflix และ Warner Bros. ในข้อหาขโมยเอา ‘รูปปั้นซาตาน’ ไปใช้ในซีรีส์เรื่องใหม่ โดยไม่ได้รับอนุญาต!! เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาทางด้านวิหารซาตานได้ทำการยื่นคำร้องกล่าวหาว่าบริษัททั้งสอง ได้ทำการละเมิดลิขสิทธิ์ ทำการดัดแปลง และตีความรูปปั้นไปแบบผิดๆ ในผลงานซีรีส์ล่าสุด ก็คือเรื่อง Chilling Adventures of Sabrina แก่หน่วยงานที่รับหน้าที่ดูแลกฎหมายธุรกิจที่นิวยอร์ก รูปปั้นในซีรีส์ พวกเขาระบุว่าการกระทำในครั้งนี้ส่งผลให้วิหารได้รับความเสียหายทางการเงินมากมายมหาศาล และต้องการที่จะเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินมูลค่ากว่า 50 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1,651 ล้านบาท แน่นอนว่าในซีรีส์เรื่องดังกล่าวนั้นมีฉากของรูปปั้นออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง แถมในฉากยังใช้ในแง่ที่ว่าเหล่าแม่มดทั้งหลายจะมารับพลังมนตร์ดำจากซาตาน ซึ่งทางวิหารมองว่ามันเป็นการปลูกฝังความเชื่อในเรื่องที่ผิด รูปปั้นของวิหารซาตาน ซึ่งรูปปั้นที่เป็นปัญหานั้นมันดันไปเหมือนกับของวิหารแบบเด๊ะๆ คือมีเด็กสองคนยืนอยู่ข้างตัวของ Baphomet แล้วแหงนหน้าขึ้นไปมองที่ใบหน้าแพะด้วย “โดยปกติแล้วเนื้อหาเกี่ยวกับวรรณกรรมของซาตานตั้งใจจะสอนเราถึงการกระทำที่ขัดต่อคำสอนของพระเจ้า มากกว่าที่จะเป็นการบอกว่าซาตานนี้คือสิ่งมีชีวิตที่เป็นปิศาจ” “จากซีรีส์เรื่อง Chilling Adventures of Sabrina แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความหมายของรูปปั้นที่พวกเขาเอาไปใช้นั้นมันตรงกันข้ามกับความเชื่อของวิหารอย่างสิ้นเชิง พวกเขาใช้รูปปั้น Baphomet เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของปิศาจ” บนเป็นรูปปั้นจากวิหาร…
-
พรรคการเมือง ‘คนรักเบียร์แห่งโปแลนด์’ ตั้งเล่นๆ ชูนโยบายต้านเหล้า แต่ดันชนะจริงๆ
ในเรื่องของการเมืองแบบนี้ คุณคงไม่คิดว่าจะมีใครมาคิดนโยบายบ้าบอแบบเล่นตลก เพื่อเอามาเป็นนโยบายบริหารประเทศหรอก อย่างเรื่องของการชูนโยบายให้เบียร์เป็นเครื่องดื่มประจำชาติ เพื่อต่อต้านอาการติดเหล้าของคนในประเทศ… ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องพูดกันเล่นๆ ในวงเหล้า แต่เรื่องแบบนี้กลับเกิดขึ้นจริง และมีนโยบายแบบนี้จริง จากพรรคการเมืองที่ตั้งโดยกลุ่มคนรักเบียร์ ที่กวาดคะแนนได้อย่างล้นหลามจากนโยบายดังกล่าว Janusz Rewiński ผู้ก่อตั้งพรรคคนรักเบียร์แห่งโปแลนด์ (เสื้อขาว) พรรคการเมืองนี้มีชื่อว่า Polska Partia Przyjaciół Piwa (PPPP) หรือแปลเป็นไทยได้ว่า พรรคคนรักเบียร์แห่งโปแลนด์ ก่อตั้งขึ้นในปี 1990 โดยนาย Janusz Rewiński ที่ตั้งใจจะเสียดสีวัฒนธรรมการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะคนในประเทศติดเหล้าอย่างหนัก จากเครื่องดื่มประเภทวอดก้า และกลายมาเป็นปัญหาที่ว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เสพติดการดื่มวอดก้าหนักมากจนเสียสุขภาพ การงานไม่ค่อยทำ พรรคพลังเบียร์แห่งโปแลนด์จึงก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเสียดสีประชดประชัน โดยชูนโยบายการแก้ปัญหาคนติดวอดก้า ให้มาดื่มเบียร์แทน!? ไอเดียแรกเริ่มง่ายๆ ก็คือ เปลี่ยนบรรยากาศนั่งร้านเหล้าให้มาเป็นนั่งผับสไตล์อังกฤษ จิบเบียร์อุ่นๆ และนั่งคุยกับเพื่อนด้วยบทสนทนาเรื่องต่างๆ แทนการดื่มวอดก้าจนเมาหัวทิ่ม ความหรรษาในความตั้งใจของพรรคนี้ ชูนโยบายทางการเมืองด้วยการเปลี่ยนเครื่องดื่มในผับ เน้นขายเบียร์คุณภาพเยี่ยม อันเป็นสัญลักษณ์แห่งอิสรภาพในการแสดงออก…
-
4 ข้อแนะนำ จะเล่นเกมยาวๆ ให้จบได้อย่างไรโดยที่ไม่ต้องดอง!? หากคุณไม่มีเวลา…
สำหรับชาวเกมเมอร์วัยทำงานทั้งหลายแหล่ ส่วนใหญ่แล้วคงจะประสบกับปัญหา ‘มีเงินซื้อเกมแต่ไม่มีเวลาเล่น’ เลยทำให้ทุกวันนี้เกมทั้งหลายแหล่ที่ซื้อมาต่างก็ถูกดองเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะเกมยาวๆ เนื้อเรื่องโหดๆ ภาพสวยๆ ที่ต้องใช้เวลาในการเล่น 60 ชั่วโมงขึ้นไป หลายๆ คนก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะซื้อมาเพื่อเสพเนื้อเรื่องต่างๆ จนครบหมดสิ้น แต่จากเวลาที่มีน้อยนิดเหลือเกินก็ทำให้อาจจะต้องเล่นแบบรวบรัด หรือเล่นสักพักก็รู้สึกว่าเวลามันไม่พอ จนกลายเป็นว่าเก็บดองเอาไว้ในที่สุด!! สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว ก็มีบทความดีๆ จากเว็บไซต์ Kotaku มาฝากเพื่อนๆ กันครับ เป็นเคล็ดลับที่จะช่วยให้เพื่อนๆ สามารถเล่นเกมยาวๆ อย่างสนุกและไม่เบื่อ ไม่ดองได้ แม้จะมีเวลาเล่นเพียงน้อยนิดก็ตาม จะเป็นอย่างไรบ้างลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… 1. เลือกเกมที่มีเนื้อเรื่องใหญ่ๆ ไปเลย การเลือกเกมที่มีจบได้นั้นถือเป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ เพราะสักวันหนึ่งคุณจะรู้ว่ายังไงมันก็ต้องจบ แต่หากคุณเล่นเกมที่จบเป็นตา มันจะทำให้คุณรู้สึกว่าไม่สามารถไขว้คว้าถึงความสำเร็จอะไรในเกมได้เลย และมันจะทำให้คุณติดงอมแงมจนเลิกเล่นไม่ได้ ฉะนั้นจงเลือกให้ดีครับว่าจะเล่นเกมอะไร 2. มีเวลาเท่าไหร่ก็เล่นเท่านั้น สำหรับวัยทำงานทั้งหลายแล้ว จะมีเวลาว่างก็แค่ช่วงเย็นๆ หรือก่อนนอนเพียงแค่วันละ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น หรือบางคนก็อาจจะมีแค่ 1 ชั่วโมง ก็ใช้เวลาเท่านั้นในการเล่นมันนั่นแหละ ค่อยๆ…
-
“มาติช” กับการไม่ติดดอกป๊อปปี้ลงสนาม เพราะฮีโร่สงคราม อาจจะเป็นผู้ร้ายของคนอีกฝั่ง!?
‘ดอกป๊อปปี้’ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่ง ‘การไว้อาลัย’ ให้กับเหล่าทหารผ่านศึก ที่พวกเขายอมสละเลือดหลั่งลงบนพื้นแผ่นดินเพื่อปกป้องเอาไว้ แม้จะต้องแลกมาด้วยชีวิตก็ตาม ในช่วงวันที่ 11 พฤศจิกายนของทุกปี ในประเทศอังกฤษ จะถูกยกให้เป็นวันทหารผ่านศึก ประชาชน ภาครัฐ หรือภาคเอกชน ก็จะมีการนำ ‘ดอกป๊อปปี้’ มาประดับไว้ตามเสื้อผ้า หรือสถานที่ต่างๆ เพื่อเป็นการไว้อาลัย รวมไปถึง ‘พรีเมียร์ลีกอังกฤษ’ หนึ่งในลีกฟุตบอลที่มีคนติดตามทั่วโลก ก็จะมีการนำดอกป๊อปปี้สีแดงมาติดเอาไว้ที่เสื้อทีมแต่ละทีมอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ‘ในโลกของความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามอย่างที่เราคิด’ เพราะบางครั้งเหล่าฮีโร่ในสายตาของอีกคนหนึ่ง สำหรับอีกคนหนึ่งอาจมองว่าเป็น ‘ผู้ร้าย’ ก็เป็นได้ และนี่คือเรื่องราวของ Nemanja Matic นักฟุตบอลของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ปฏิเสธการติด ‘ดอกป๊อปปี้’ เอาไว้บนเสื้อ… เขาได้ทำการโพสต์เล่าเรื่องราวในวัยเด็กผ่านอินสตาแกรม และมันคือเหตุผลที่เขาไม่ติดดอกป๊อปปี้เอาไว้บนเสื้อแข่ง “ผมรู้ดีว่าทำไมทุกคนถึงติดสัญลักษณ์ดอกป๊อปปี้ ผมให้ความเคารพกับการตัดสินใจ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น และผมเองก็รู้สึกเสียใจกับทุกคนที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปในสงคราม” “อย่างไรก็ตามสำหรับผมแล้ว มันเหมือนกับเป็นการตอกย้ำถึงภาพความทรงจำอันเลวร้าย ตอนที่ผมอายุได้ 12 ขวบ ผมเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กๆ อาศัยอยู่ในเมือง Vrelo ประเทศเซอร์เบีย บ้านเกิดของผมถูกทิ้งระเบิดเมื่อปี…
-
13 ความจริงเกี่ยวกับดินแดนแห่งน้ำแข็ง ‘แอนตาร์กติกา’ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน!!
ทวีป ‘แอนตาร์ติกา’ เป็นดินแดนแห่งความหนาวเหน็บ ที่นี่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งแทบจะทั้งหมด จึงมีเรื่องราวอีกมากมายที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้… สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชม ‘เรื่องจริง’ ของทวีปอันลึกลับแห่งนี้กัน จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… 1. การจับคู่ใน Tinder ครั้งแรกในแอนตาร์กติกา ในค่ำคืนอันเหน็บหนาวของช่วยเดือนธันวาคม นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันที่ไปทำการวิจัยในแอนตาร์ติกานึกครึ้มเปิดแอป Tinder ขึ้นมา ในช่วงแรกเขายังไม่เจอใครที่อยู่ใกล้เคียง แต่แล้วจู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาคนหนึ่ง เป็นนักวิทยาศาสตร์หญิงที่กำลังนั่งเฮลิคอปเตอร์มาลงที่ศูนย์วิจัยพอดี!! 2. มีสถานที่ในแอนตาร์กติกาที่ไม่มีฝนตกหรือหิมะตกมาตลอดระยะเวลา 2 ล้านปี ในแอนตาร์กติกาจะมีพื้นที่ประมาณ 1% ที่ไม่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ซึ่งเค้าเรียกกันว่า โอเอซิสแห่งแอนตาร์กติก ซึ่งในปัจจุบันขนาดของมันมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากภาวะโลกร้อนนั่นเอง 3. มีน้ำตกในแอนตาร์กติกาที่มีชื่อว่า ‘น้ำตกเลือด’ แต่มันไม่ใช่เลือดจริงๆ หรอกนะ แต่เป็นเพราะแร่ธาตุต่างหากล่ะ!! เมื่อน้ำแข็งละลายและแร่เหล็กไปสัมผัสกับอากาศ ก็จะทำให้เกิดปฏิกริยากลายเป็นสีแดงแบบที่เห็นนี้แหละจ้า 4. หินอุกกาบาตตกที่แอนตาร์ติกาเยอะกว่าที่อื่นบนโลกใบนี้…
-
15 ภาพ “แผนที่ประเทศและโลก” ที่มาพร้อมความฮาและความบันเทิงจากชาวเน็ต!!
สำหรับคนที่มีอารมณ์ขันมากๆ ไม่ว่าจะหันมองอะไรก็มักจะหาความตลกความบันเทิงจากสิ่งนั้นได้เสมอเลยจริงไหม? สำหรับคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ในด้านของความฮา แม้จะมองไปเห็นสิ่งของธรรมดาๆ อย่าง แผนที่โลก มันก็สามารถกลายเป็นความบันเทิงได้เสียอย่างนั้น วันนี้ลองไปชม ความบันเทิงที่เกิดจากแผนที่โลก ผลงานของชาวเน็ต บางอันมีสาระ บางอันก็ไม่มีสาระเน้นตลกอย่างเดียว ไม่รู้เหมือนกันนะว่าพวกเขาใช้อะไรคิด แต่มันบันเทิงสุดๆ เลยล่ะ! นี่คือตำแหน่งของ “ผับ” ในประเทศอังกฤษ ป้าดดด! แน่นเชียว แผนที่โลกก็ดูไปดูมาก็เหมือนแมวที่กำลังเล่นกับออสเตรเลียอยู่… แผนที่แสดงชื่อเรียกทิศแบบงงๆ ในทวีปแอนตาร์กติกา ทุกด้านจะถูกเรียกว่าทิศเหนือ ยกเว้นแถบกลางๆ จะเป็นทิศใต้!? ชื่อสถานที่ต่างๆ ในแผนที่ของไอซ์แลนด์จะทำให้คุณเข้าใจว่าโรค Dyslexia (โรคอ่านภาษาไม่ออก) เป็นยังไง มุมมองของโลกโดยมีผืนทวีปแอนตาร์กติกาเป็นศูนย์กลาง ประเทศบอสเนียถูกปิดกั้นจากมหาสมุทรและทะเลโดยแผ่นดินประเทศโครเอเชีย ชาวบอสเนีย: “อยากว่ายน้ำจังเลย” ชาวโครเอเชีย: “ไม่ให้ว้อย” นี่คือแผนที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่แสดงเฉพาะ “แม่น้ำ” เท่านั้น ว่างเปล่าเชียว แผนที่โลกที่แสดงผลตามเขตเวลา (Time Zone) ดูคล้าย The Matrix…
-
ชาวเน็ตงงเห็น ‘โปรแกรมเมอร์’ ใช้ ‘เป็ดยาง’ ตรวจโค้ด แต่พวกเขายืนยันมันได้ผลจริงจริ๊งนะ
เราคงรู้กันอยู่แล้วว่าการเขียนโปรแกรมขึ้นมาโปรแกรมหนึ่งนั้นยากขนาดไหน ขนาดแค่ภาษาซีที่เรียนตอนมัธยมก็ว่ายากแล้ว การเขียนโปรแกรมต้องใช้โค้ดที่ยากขึ้นกว่านั้นอีก แต่สิ่งที่ยากที่สุดอาจจะไม่ใช่การที่เหล่าโปรแกรมเมอร์ต้องเขียนโปรแกรม เพราะสิ่งที่ยากที่สุดของการทำโปรแกรมก็คือการตรวจหาจุดบกพร่อง ข้อผิดพลาดที่เราเขียนไปหรือที่เรียกว่า Debugging นั่นเอง แต่เพื่อนๆ รู้มั้ยว่า โปรแกรมเมอร์ในต่างประเทศมีการใช้ “เป็ดยาง” ในการช่วย Debugging อ้าว!! งงกันล่ะสิ ว่าเป็ดยางมันจะช่วยได้ยังไงหรือเจ้าเป็ดยางนี้จะเป็นชื่อโปรแกรมนะ ต้องตามมาดูกัน เรื่องของเจ้าเป็ดยางในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อสมาชิกเว็บ Tumblr นามว่า Ultrafacts ซึ่งเป็นแอคเคาท์ที่คอยนำเสนอความรู้หรือข้อมูลต่างๆ ของโลกนี้ได้โพสต์ภาพที่มีข้อความว่า “มีสิ่งที่ถูกเรียกว่า “เป็ดยางดีบัคกิ้ง” ซึ่งโปรแกรมเมอร์จะโชว์โค้ดที่พวกเขาเขียนมาให้เป็ดยางดู และภาวนาให้เจอกับบัคของโปรแกรม” ซึ่งหลังจากที่เขาโพสต์ภาพดังกล่าวลงใน Tumblr ก็มีชาวเน็ตขี้สงสัยเข้ามาถามกันเพียบว่ามันมีจริงเหรอ? มันอาจจะเป็นชื่อโปรแกรมรึเปล่า? จนโปรแกรมเมอร์ตัวจริงต้องออกมายืนยันว่ามันคือเป็ดยางจริงๆ !! “ในฐานะโปรแกรมเมอร์ผมบอกได้เลยว่านี่เป็นสิ่งที่คุณต้องทำ เรามีการแบนเป็ดยางจากห้องเพราะทุกๆ คนแม่งชอบขว้างใส่กำแพงเวลาที่พวกเขาแก้โค้ดที่มีปัญหาได้” “ผมทำงานที่บริษัทสตาร์ทอัปสิ่งที่คุณจะได้เจอในสำนักงานเมื่อเข้าไปทำงานครั้งแรกก็คือเจ้าเป็ดยางพวกนี้ แถมบริษัทเรายังมีเป็ดยางเวอร์ชั่นใหญ่กว่าปกติเพื่อเอาไว้ใช้แก้ปัญหาที่ยากด้วย บางครั้งเป็ดหนึ่งตัวก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ คุณก็ต้องถ่อไปยืมเป็ดของเพื่อนร่วมงานมาช่วยรวมพลังกันเพื่อแก้ปัญหานั้น และก็เคยมีครั้งหนึ่งเราแก้ปัญหาไม่ได้สักที เลยเอาเป็ดมารวมกันและอ้อนวอนกับเทพเจ้าเป็ด จนในที่สุดเราก็สามารถแก้ปัญหาได้ เป็ดยางพวกนี้ช่วยมาหลายชีวิตแล้วและสมควรได้รับความเคารพในฐานะฮีโร่” สรุปแล้วเป็ดยางไม่ใช่ของเล่น แต่เป็นเทพเจ้าของโปรแกรมเมอร์!! ที่มา…
-
ผลงานอาร์ทม้วนกระดาษและสี กับคอนเซปต์ ‘ภูเขาและรังผึ้ง’ สัมผัสถึงความคันยุบยิบ
หลากหลายผลงานทางด้านศิลปะที่มีให้เราได้เลือกเสพ ตามสายของศิลปินแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นวาด ปั้น ถ่ายภาพ หรืออะไรก็ตามแต่ ล้วนขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้เสพงานศิลป์ทั้งสิ้น สำหรับผลงานในครั้งนี้ เป็นการนำเสนอของ Amy Genser ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานด้วยการม้วนกระดาษ และการระบายสีอะคริลิค เพื่อเป็นการจำลองภูมิประเทศแบบหินและมหาสมุทร ให้ดูมีมิติขึ้นมา Lunar Spin (2016) งานประติมากรรมของเธอนั้น ได้แรงบันดาลใจจากสภาพของธรรมชาติและเหล่าสิ่งมีชีวิตต่างๆ เช่น ตัวเพรียง การเรียงตัวเป็นท่อของรังผึ้ง และรูปแบบของกระแสน้ำที่ไหลผ่านมหาสมุทร นอกเหนือจากการจัดเรียงและระบายสีแล้ว งานชุดดังกล่าวยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากการพรรณนาภาพธรรมชาติ ในระดับมาโครและไมโครด้วย เช่น กระบวนการระดับเซลล์ หรือภาพถ่ายแนวภูเขาจากดาวเทียม เป็นต้น Black and White Squares (2018) . Collecting Pebbles (2017) Black and White Squares (2018) Aquatic Interstellar Dream (2018)…
-
5 อาชีพแปลกๆ แต่ก็มีอยู่จริงบนโลก แถมบางอันยังมีมาจนในปัจจุบันอีกด้วย
โลกของเรานั้นมี งานให้เลือกทำมากมายมาตั้งแต่ในสมัยก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนตัดฟืน ชาวนา หรืออัศวิน และงานอื่นๆ อีกมากมายที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี แต่ในขณะเดียวกันในโลกใบนี้เองบางครั้งก็จะมีงานประหลาดๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนทำอยู่จริงๆ เช่นกัน เหมือนอย่างอาชีพแปลกๆ ทั้ง 5 อย่างต่อไปนี้ ตัวตลกประจำงานศพ นี่เป็นงานที่ทำกันอย่างจริงจังในศตวรรษที่ 4 ในโรมันโบราณ เพื่อช่วยดึงความสนใจของแขกไปจากความเศร้าของการสูญเสียคนรัก ด้วยการล้อเล่นกับคนตาย หรือในบางครั้งก็เอาหน้ากากที่ทำจากหน้าคนตายมาใส่เลยด้วย แม้จะฟังดูไม่เคารพคนตายอยู่บ้าง แต่คงต้องบอกว่าแนวคิดของคนเรามันต่างกันไปตามยุคสมัยและวัฒนธรรมล่ะนะ คนลองกลิ่นปาก นี่เป็นงานที่อาจจะจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับการลองอาหารก็ได้ โดยงานของพวกเขาคือการไปดมกลิ่นปากสมชื่อ เพื่อใช้ในการอ้างอิงประสิทธิภาพของหมากฝรั่งหรือน้ำยาดับกลิ่นปากเป็นหลัก ที่สำคัญงานแบบนี้ยังมีอยู่ในปัจจุบันด้วย เพียงแต่หายากขึ้นมาก และเน้นไปที่การดมกลิ่นปากสัตว์เลี้ยงแทนนั่นเอง คนเลี้ยงกา มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “The Ravenmaster” ซึ่งนับว่าเป็นชื่อที่เท่สุดๆ ถ้าไม่นับว่าจริงๆ แล้วงานนี้ก็แค่คนเลี้ยงนกนั่นล่ะ ซึ่งอาชีพนี้ก็เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษนั่นเอง โดยในสมัยนั้นมีความเชื่อว่าหอคอยแห่งลอนดอนจะต้องมีกาเฝ้าอยู่ 6 ตัว ไม่เช่นนั้นอังกฤษจะล่มสลาย ดังนั้นทางวังจึงมีการจ้างคนมาดูแลกาทั้งหก (และกาสำรอง) เพื่อให้มีกาบินอยู่ที่หอคอยเสมอๆ คนรอสีแห้ง สำหรับคนที่ชอบวาดภาพสีน้ำ คงจะเคยรู้สึกรำคาญที่จะต้องรอให้สีน้ำแห้งกันมาบ้าง ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการจ้างคนมาค่อยดูสีให้ตัวเองใช่ไหมล่ะ…
-
14 ความจริงเกี่ยวกับเรื่องภูมิศาสตร์ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ ที่อาจจะไม่มีในตำรา
บนโลกอันแสนกว้างใหญ่แห่งนี้ ยังมีเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินแห่งนี้ ยังมีอีกหลายสิ่งที่ให้เราเข้าไปพิสูจน์และเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน วิชา ภูมิศาสตร์ คือวิชาที่จะทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องราวของโลกใบนี้มากขึ้นและหลายๆ คนอาจจะคุ้นเคยกันดี และเรื่องราวต่อไปนี้ คุณอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ 1. ยอดเขาเอเวอร์เรสไม่ได้สูงที่สุดในโลก ภูเขาที่มีความสูงที่สุดในโลกความจริงก็คือภูเขาไฟ Chimborazo ถ้าวัดความสูงของภูเขาจากจุดศูนย์กลางของโลก ยอดเขาเอเวอร์เรสมีความสูง 3,964 ไมล์ ส่วนภูเขา Chimborazo สูง 3,967 ไมล์ 2. มีสนามฟุตบอลที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่าง 2 ซีกโลก สนามฟุตบอลที่ชื่อว่า Estadio Milton Correa ประเทศบราซิล ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ เพราะว่าตรงกึ่งกลางของสนามบอลแห่งนี้อยู่ระหว่างเส้นศูนย์สูตรพอดี 3. Point Nemo เป็นจุดที่ห่างไกลแผ่นดินมากที่สุดในโลก จุดนี้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ห่างจากแผ่นดินราว 2,688 กิโลเมตร ตั้งชื่อว่า Nemo ตามชื่อกัปตัน Nemo ผู้บังคับการเรือดำน้ำจากเรื่อง 20,000 Leagues Under the Sea…
-
23 ภาพที่จะเปลี่ยนมุมมองของคุณต่อ ‘โลกใบนี้’ ในระยะเวลาสั้นๆ แค่ 5 นาที!!
โลกของเรานั้นช่างกว้างใหญ่ไพศาล ยังมีเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เราไม่เคยเห็นกันอีกมากมาย… สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว อยากจะขอพาเพื่อนๆ ไปชมภาพต่างๆ ที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งในมุมของเทคโนโลยีที่ใช้ในปัจจุบัน หรือธรรมชาติที่กว้างใหญ่ไพศาล และมันจะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อโลกนี้ของคุณไปเลยก็เป็นได้ จะเป็นอย่างไรไปชมกันได้เลยจ้า… 1. นี่คือถุงมันฝรั่งวางขายอยู่ในร้านที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,200 เมตร 2. สายโทรศัพท์เมื่อถูกตัดออก 3. แอปเปิลที่ถูกกัดกินโดยตัวต่อ 4. เหรียญเล็กๆ แต่มีความลับซ่อนอยู่ภายใน 5. เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นกระรอกท้องนี่แหละ 6. ใกล้เวลาออกโบยบินสู่โลกกว้างแล้ว 7. ซื้อบัตรจับมือซาลามันเดอร์มั้ยล่ะ!? 8. นาฬิกาแดด (Sundial) ที่สามารถบอกเวลาได้ทั่วโลก 9. ไข่กบ 10. ถนนในเกาหลีใต้สามารถฉีดน้ำออกมาจากกลางถนนเพื่อทำความสะอาดได้เอง 11. ไข่ไก่ดิบเมื่อเอาเปลือกแข็งๆ ของมันออกไป 12. นี่คือ Elasmotherium…
-
มาดู 21 ภาพครอบครัวสัตว์ ขนความน่ารักกันมาทั้งพ่อแม่ลูก มนุษย์ได้เห็นมียิ้มแก้มปริ
เรารู้นะว่าเพื่อนๆ หลายชอบลูกสัตว์ตัวน้อย ด้วยควาน่ารักจิ้มลิ้มในแบบที่น่าทนุถนอมของพวกมัน ใครก็ต้องยกใจให้ทั้งนั้นแหละ แต่ลูกสัตว์ตัวน้อยเดี่ยวๆ ว่าน่ารักแล้ว เราขอบอกเลยว่ามันฟีลกู้ดเทียบกับการได้เห็นความอบอุ่นที่สัตว์อยู่พร้อมหน้ากันแบบพ่อแม่ลูกไม่ได้หรอก ลองดูครอบครัวสัตว์พวกนี้แล้วจะรู้ว่า การที่เราได้เห็นพวกมันอยู่ด้วยกันทั้งครอบครัว ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความรักที่แม่กับพ่อมีให้ลูก และความรักที่ลูกมีให้พ่อแม่ด้วย ดีต่อใจมากๆ เลย เธอเอาพุงบังลมให้ลูกหน่อย ลูกจะได้รู้สึกอุ่น ดูลูกๆ สิซนจนคุณแม่ต้องทำรั้วกั้นไม่ให้หนีเลย วันนี้ไม่ว่างเล่นด้วยนะมนุษย์ เราจะกล่อมลูกนอน ลูกซนจังเลยค่ะ แม่เหนื่อย ครอบครัวนี้ลูกๆ เรียบร้อยเหมือนคุณพ่อคุณแม่เป๊ะ เดินตามคุณแม่ไปนะ ถ้าใครเดินช้าเดี๋ยวพ่อเอาพุงชนเลย แม่กำลังสอนวิถึแบบแมวๆ ให้ลูกอยู่ เลี้ยงลูกเหนื่อยไหมตะเอง เก๊าเป็นกำลังใจให้นะ เหมือนคุณแม่กำลังสอนลูกหอนประสานเสียงอยู่ ลูกกับแม่ แรดไม่ต่างกันเลย ว่ากันว่าทุกวันนี้คุณแม่ก็ยังหาลูกไม่เจอ… อยู่กับแม่มันอุ่นใจแบบนี้นี่เอง อยู่ๆ ก็กัดหางแม่ ถ้าไม่ใช่ลูกตบคว่ำไปแล้ว มีครอบครัวหาวกว้างขนาดนี้ อายชาวบ้านจัง รักแม่นะ…
-
14 เคล็ดไม่ลับกับวิธีใช้ทางลัดเล็กๆ บนคีย์บอร์ด ที่รู้เอาไว้แล้วชีวิตง่ายขึ้นเยอะ
ในยุคของเทคโนโลยีแบบนี้ สิ่งต่างๆ รอบตัวของเราก็ดูเหมือนว่าจะหมุนไปเร็วขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะคอยอัปเดตให้เราได้ใช้กันอยู่เสมอ หน้าที่ของเราก็คือใช้มันให้เกิดประโยชน์มากที่สุด คอมพิวเตอร์เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ถือได้ว่าทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก และทุกคนอาจจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ในวันนี้ เราจะมาแนะวิธีการใช้คอมพิวเตอร์ที่เราคุ้นเคยกัน ด้วยการใช้ทางลัดบนคีย์บอร์ดแบบง่ายๆ ที่จะทำให้ชีวิตนั้นง่ายขึ้นเยอะเลย 1. ค้นหา Windows: Ctrl+F Mac: Command+ F หากว่าหาอะไรบนหน้าเว็บไม่เจอหรือตัวหนังสือมันเยอะเกินไป กดปุ่ม Ctrl+F แล้วพิมพ์คีย์เวิร์ดที่ต้องการค้นหาลงไป 2. พับหน้าต่างลงทั้งหมด Windows: Windows+M เรียกกลับมา Windows + Shift + M Mac: Option + Command + M 3. เปิดแท็บที่เพิ่งปิดล่าสุด Windows: Ctrl+ Shift + T Mac: Command + Shift + T…
-
การทดลองในตำนาน ‘คืนชีพศพด้วยกระแสไฟฟ้า’ ต้นแบบของแฟรงเกนสไตน์
หนึ่งในตัวละครชื่อดังจากนวนิยายสยองขวัญแนววิทยาศาสตร์ร่วมสมัย ต้องยกให้ ‘แฟรงเกนสไตน์’ มาเป็นอันดับต้นๆ ด้วยการนำแนวคิดคืนชีพให้กับซากศพ จากการประกอบชิ้นส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน ด้วยวิวัฒนาการทางด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์ แต่ก่อนที่คุณจะคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องนวนิยายสยองขวัญ ตามจินตานาการเพียงเท่านั้น เอาเข้าจริงๆ แล้ว พอจะมีเค้าโครงมาจากความเป็นจริงอยู่บ้าง จากการทดลองของนักฟิสิกส์นามว่า Giovanni Aldini Giovanni Aldini ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 17 มกราคม 1803 ชายหนุ่มนาม George Forster ถูกประหารชีวิตจากความผิดฐานฆาตกรรม ด้วยวิธีการแขวนคอภายในคุกนิวเกท ณ กรุงลอนดอน และหลังจากการประหารชีวิต ศพของเขาถูกนำไปประจานทั่วเมือง ก่อนที่จะถูกนำร่างไร้วิญญาณมากระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าอีกทีหนึ่ง โดยศพที่ถูกนำมาส่งนั้นมีจุดประสงค์เพื่อการทดลอง และจะทำการทดลองโดยนักปรัชญาธรรมชาติ และนักฟิสิกส์ชาวอิตาเลียน Giovanni Aldini ผู้มีศักดิ์เป็นหลานของ Luigi Galvani ผู้ค้นพบการกระตุ้นศพให้ขยับได้ในสัตว์ ด้วยกระแสไฟฟ้า ภาพวาดจำลองการทดลองของ Giovanni Aldini บันทึกจากการรายงานผ่านหนังสือพิมพ์ The Times ระบุว่า…
-
15 ตัวการ์ตูนที่เราคุ้นตา แท้จริงแล้วมี “ต้นแบบ” มาจากคนเหล่านี้นี่เอง!!!
ตัวละครในการ์ตูนดังๆ ที่เราคุ้นหน้าค่าตากันดี หลายตัวเองผู้วาดก็มีต้นแบบมาจาก คนจริงๆ ที่พวกเราหลายคนคาดไม่ถึง หลายครั้งที่นักวาดการ์ตูนเลือกใช้ต้นแบบจากคนในชีวิตจริงเพื่อออกแบบตัวละครของเขาให้ง่ายขึ้น หรืออีกเหตุผลหนึ่งก็คือเป็นการให้เกียรติบุคคลผู้นั้นโดยนำมาเป็นแบบของตัวละครนั่นเอง เอาล่ะ วันนี้ลองไปชม 15 ตัวการ์ตูนดัง ที่มีต้นแบบมาจาก “คนจริงๆ” บางตัวก็ดูแปลกจนไม่คิดเลยว่าจะมีต้นแบบเป็นคนจริงๆ ฮ่าๆ 1. Ursula มีต้นแบบมาจาก Divine (อีกตัวตนหนึ่งของ Harris Glenn Milstead) 2. Popeye มีต้นแบบมาจาก Frank “Rocky” Fiegel 3. Edna Mode มีต้นแบบมาจากนักออกแบบเสื้อผ้า Edith Head 4. Milhouse Van Houten มีต้นแบบมาจาก Josh Saviano 5. แร้งทั้ง 4 ตัวจาก The Jungle Book มีต้นแบบมาจาก The Beatles 6. Betty Boop มีต้นแบบมาจาก Helen Kane …
-
5 การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม ที่จะมอบความพิเศษและน่าหลงใหลให้แก่คนเหล่านั้น
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลกใบนี้ต่างมีการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์อย่างเราๆ ก็ด้วย วันนี้ #เหมียวโคบี้ จึงได้ทำการรวบรวม 5 การกลายเป็นพันธุ์ทางพันธุกรรมของมนุษย์ ซึ่งจะทำให้คนที่เป็นกลายเป็นมนุษย์ที่พิเศษยิ่งกว่าคนธรรมดามาให้ชมกัน ไปรับชมกันเล้ย 1. นัยน์ตาสีฟ้า ตาสีฟ้าเป็นกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นในยีน HERC2 คนที่มีนัยน์ตาสีนี้จะมีแรงดึงดูดมากกว่าคนอื่นๆ และจากการศึกษาพบว่าผู้หญิงที่มีนัยน์ตาสีฟ้า จะสามารถรับมือกับความเครียดและทนต่อความเจ็บปวดได้ดีกว่านัยน์ตาสีเข้ม แต่น่าเสียตายไม่มีตัวอย่างการทดสอบกับผู้ชาย 2. นัยน์ตาสีเขียว นัยน์ตาสีเขียวนี้ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม โดยจากการสำรวจพบว่าการกลายเป็นพันธุ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับประชากรที่เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ซึ่งการกลายพันธุ์แบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องหายากเสียด้วย ทั่วโลกเราจะมีมนุษย์นัยน์ตาสีเขียวอยู่เพียงราวๆ 2% เท่านั้น และนัยน์ตาของเขาจะมีเมลานินน้อยกว่าทั่วไป ทำให้พวกเขาไวต่อรังสี UV มากกว่าคนปกติ 3. ตาสองสี ตาสองสี (Heterochromia) หรือบางทีก็ถูกเรียกว่า Odd Eye สาเหตุหลักๆ ก็มีปริมาณเม็ดสีเมลานินในดวงตาทั้งสองข้างนั้นไม่เท่ากัน จนเกิดสีที่ไม่เหมือนกันออกมา นอกจากทางพันธุกรรมแล้ว ตาสองสียังสามารถเกิดได้จากอาการบาดเจ็บหรือโรคต่างๆ อีกด้วย 4. Poliosis หรือภาวะผมหงอกเฉพาะที่ Poliosis หรือภาวะผมหงอกเฉพาะที่ถือเป็นการกลายเป็นพันธุ์ทางพันธุกรรม ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผมหรือขนทุกส่วนของร่างกาย…
-
ศิลปินวาดภาพ ‘กลุ่มอาการป่วยทางจิต’ เพื่อให้ความดาร์กชัดเจน ที่ผู้ป่วยต้องสู้กับมัน
ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว (2017) ศิลปินในนาม Shawn Cross ได้นำอาการความกลัวต่างๆ ในกลุ่มโฟเบีย มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานชุด Feartober ขึ้นมา ถ่ายทอดเป็นภาพแห่งความกลัวได้อย่างชัดเจน (ข่าวเก่า) และจะกลายมาเป็นประเพณีส่วนตัวประจำทุกปีของเขา เมื่อถึงช่วงปลายเดือนตุลาคม เขาจะปล่อยภาพชุดใหม่ ที่เกี่ยวข้องกับอาการป่วยทางจิต หลังจากที่สังคมเริ่มมีการเปิดกว้างและใส่ใจในเรื่องนี้มากขึ้น แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยที่ประสบกับโรคประเภทนี้ มักจะถูกมองว่า ‘เป็นบ้า’ โดยที่คนปกติทั่วไปนั้น อาจจะไม่สามารถรับรู้ได้ว่า อาการของผู้ป่วยในแต่ละโรคจะเป็นเช่นไร ซึ่งจะบอกเล่าได้จากภาพวาดดังต่อไปนี้ Attention Deficit Hyperactive Disorder (ADHD โรคสมาธิสั้น) Antisocial Personality Disorder โรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม Anxiety Disorder โรควิตกกังวล Avoidant Personality Disorder ความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบหลีกเลี่ยง Bipolar Disorder โรคไบโพล่าร์ หรือ โรคอารมณ์สองขั้ว Body Dysmorphia…
-
15 สิ่งที่คุณอาจไม่เคยรู้ว่ามันมี “ชื่อเรียก” กับเขาด้วย โถ่…ปล่อยให้ด้นสดมาตั้งนาน!!
เคยไหม เวลาจะพูดถึงอะไรบางสิ่งแต่ดันนึกไม่ออกว่ามันถูกเรียกว่าอะไรกันแน่?? หลายครั้งเมื่อจะพูดถึงมัน เราอาจจะต้องคิดชื่อเรียกขึ้นมาเอง อย่างเช่น ร่องที่อยู่ใต้จมูกและอยู่เหนือริมฝีปาก ที่บางครั้งเราก็จะเรียกมันว่า “ร่องจมูก” หรืออื่นๆ เพราะเราไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมันเรียกว่าอะไรนั่นเอง ในภาษาไทยเราไม่รู้ว่ามีการบัญญัติศัพท์ที่เราไม่ค่อยเจอในชีวิตประวันได้ครอบคลุมขนาดไหน แต่สำหรับภาษาอังกฤษต้องบอกเลยว่า เขามีชื่อเรียกอย่างครอบคลุมเลยล่ะ วันนี้เชิญไปพบกับ ชื่อเรียกภาษาอังกฤษของสิ่งต่างๆ ที่คุณไม่ยักรู้ว่าไอ้สิ่งเหล่านี้มันมีชื่อเรียกของมันอยู่นะ… 1. Arachibutytophobia เป็นชื่อเรียกของ: อาการกลัวเนยถั่วบนหน้าขนมปังติดเพดานปาก… 2. Arms Akimbo เป็นชื่อเรียกของ: การนำแขนมาเท้าขาหรือสะโพกให้ข้อศอกชี้ออกข้างตัว 3. Columell Nasi เป็นชื่อเรียกของ: เนื้อชิ้นเล็กๆ ที่คั่นอยู่ตรงกลางรูจมูกทั้งสองข้าง 4. Dysania เป็นชื่อเรียกของ: อาการที่กึ่งหลับกึ่งตื่นหลังถูกปลุก 5. Ferrule เป็นชื่อเรียกของ: โลหะบริเวณปลายดินสอที่มีไว้ใส่ยางลบ 6. Googleganger เป็นชื่อเรียกของ: คนที่มีชื่อเหมือนกับคุณ 7. Griffonage เป็นชื่อเรียกของ: การเขียนด้วยลายมือที่อ่านไม่ออก …
-
สถาบันศิลปะแห่งชิคาโก ปล่อยภาพคอลเลคชั่นกว่า 52,000 ชิ้น มีคุณภาพสูงและใช้ได้ฟรี!!
หากใครที่ชื่นชอบและหลงใหลในการเสพงานศิลปะ ยินดีด้วยคุณมาถูกที่แล้ว เพราะในข่าวนี้ #เหมียวเลเซอร์ ได้หยิบเรื่องราวดีๆ ของฟรีมีคุณภาพมาให้ท่านถึงที่… The Collection จากสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก แยกเป็นหมวดหมู่ตามความสนใจประเภทงานศิลปะ โดยเมื่อไม่นานมานี้ทางสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก (Art Institute of Chicago) ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ได้ทำการปล่อยคอลเลคชั่นศิลปะให้แก่ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมและนำไปใช้งานได้แบบฟรีๆ ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น The Bedroom โดยที่ภาพผลงานศิลปะแต่ละชิ้นนั้น เป็นภาพที่มีรายละเอียดในระดับสูง ยกตัวอย่างเช่นผลงาน “The Bedroom” ของแวน โก๊ะ “The Girl by The Window” โดยเอ็ดเวิร์ด มุงค์ หรืองานเด่นจากฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา “A Sunday on La Grande Jatte — 1884” และผลงานศิลปะชิ้นเอกอื่นๆ อีกมากมาย The Girl by…
-
หากจะเป็นตำรวจหญิงในอินโดฯ ต้องผ่านการทดสอบว่าเป็น “สาวพรหมจรรย์” โดยใช้ 2 นิ้ว?!
นี่คือสิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มานานหลายปี กับเรื่องที่ว่าการสอบเป็นตำรวจหญิงในประเทศอินโดนีเซียนั้น จะมีการทดสอบดูว่าพวกเธอยังเป็น “สาวพรหมจรรย์” อยู่หรือไม่ โดยการใช้ 2 นิ้วแหย่เข้าไปในอวัยวะเพศ?! จากการรายงานบอกว่าผู้หญิงในประเทศอินโดนีเซีย นิยมที่จะเข้าสอบบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนหนึ่งมาจากการที่สาวคนดังหน้าตาดีหลายๆ คนที่ทำอาชีพนี้อยู่ ตำรวจหญิงในประเทศอินโดนีเซีย แต่สิ่งที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากก็คือ “การทดสอบพรหมจารี” ของหญิงสาว ซึ่งพวกเธอจะต้องถูกเอานิ้ว 2 นิ้วแหย่เข้าไปภายในอวัยวะเพศเพื่อดูว่าเยื่อพรหมจรรย์ของพวกเธอนั้นมีการฉีกขาดหรือไม่ แน่นอนว่าวิธีการทดสอบดังกล่าวคงเป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้กับคนหลายๆ ฝ่าย ซึ่งมองว่ามันเป็นการกดขี่ข่มเหงผู้หญิง ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเห็นได้ชัด การทดสอบพรหมจรรย์นั้นไม่ได้ถูกเขียนระบุเอาไว้อย่างชัดเจน แต่มันคือสิ่งที่หลายๆ คนทำไปตามค่านิยมความเชื่อในเรื่อง “การรักษาพรหมจารีของผู้หญิง” Andreas Harsono เจ้าหน้าที่ขององค์กรปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน (Human Rights Watch) คือหนึ่งคนที่ออกมาต่อต้านเกี่ยวกับการทดสอบดังกล่าว เขาเล่าว่าสำหรับตำรวจในประเทศอินโดนีเซียนั้น พวกเขามักจะมีความคิดไม่ยอมรับตำรวจหญิงที่ประกอบกิจกรรมทางเพศในชีวิตประจำวัน หรือเคยทำงานเกี่ยวกับอะไรแบบนั้นมาก่อน “พูดง่ายๆ คือพวกเขาคิดว่าต้องการแต่ “ผู้หญิงดีๆ” มาเป็นตำรวจเท่านั้น” Andreas กล่าว แต่ถึงอย่างนั้นการทดสอบพรหมจรรย์โดยใช้นิ้วแหย่เข้าไปก็เป็นเรื่องที่ทำให้หลายๆ ฝ่ายรู้สึกรับไม่ได้ เพราะมันอาจเป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตใจของผู้หญิงหลายๆ คนได้เลย Andreas บอกว่าสิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือแพทย์ที่จะทำการทดสอบพรหมจรรย์นั้น…
-
ความจริง 10 ประการของโลกใบนี้ที่ “แปลกประหลาด” จนเราต้องขนลุกกันเลยทีเดียว…
แม้ว่าเราจะผ่านชีวิตกันมาคนละหลายสิบปี แต่เชื่อเถอะว่ามันจะต้องมีความจริงบางประการที่คุณยังไม่เคยรู้มาก่อนเป็นแน่ แต่ใช่ว่าคนเราจะต้องรู้ไปหมดเสียทุกเรื่อง อย่างน้อยๆ เรื่องอะไรที่น่าสนใจหรือแปลกประหลาด ก็คงไม่ลำบากนักหากจะรู้ไว้เท่ๆ ประดับบารมี วันนี้ เราจึงขอเสนอ ความจริงสุดประหลาด 10 ประการ ที่คุณๆ ทั้งหลายอาจจะไม่เคยรู้กันมาก่อน จะมีอะไรบ้าง ไปชมพร้อมๆ กันเลย… 1. มีการศัลยกรรมมาก่อนการค้นพบ “ยาระงับความเจ็บปวด” จาก livescience 2. ทางตอนเหนือของประเทศซูดาน โจรผู้ร้ายที่ติดอาวุธจะถูกลงโทษด้วยวิธีการ “ตรึง” บนกางเขน จาก wikipedia 3. หนึ่งใน 50 ของผู้คนรอบตัวเราจะมีอาการหลอดเลือดโป่งพอง แต่แค่หลอดเลือดยังไม่แตกเท่านั้นเอง จาก bafound 4. เราสามารถสูญสลายได้อย่างทันทีเมื่ออยู่ในอวกาศ จากบางสิ่งที่เราไม่อาจมองเห็นได้ทัน จาก wikipedia 5. ทารกในครรภ์สามารถตกใจและร้องไห้ได้ แต่ในครรภ์ไม่มีอากาศรวมถึงปอดและหลอดลมของเด็กถูกเติมเต็มด้วยน้ำคร่ำ มันจึงไม่มีเสียงออกมา จาก verywellfamily 6. บางครั้งเป็ดก็กินพวกเดียวกันเองหากว่าพวกมัน “รู้สึกเบื่อ” จาก articles.extension 7.…
-
ชายหนุ่มสะสม “ขยะพลาสติก” ของตัวเองตลอด 1 ปีเอาไว้ จำนวนทั้งสิ้นกว่า 4,490 ชิ้น!!
พวกเรารู้กันดีอยู่แล้วว่า “ขยะพลาสติก” เป็นปัญหาระดับโลกที่ควรต้องได้รับการแก้ไขให้ได้มากที่สุด เพราะการที่มันเป็นขยะที่ย่อยสลายได้ยาก จึงสามารถส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมและธรรมชาติได้อย่างมหาศาล และเพื่อเป็นอีกแรงหนึ่งที่จะทำให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหาข้อนี้ Daniel Webb หนุ่มชาวอังกฤษจึงตัดสินใจเก็บสะสมขยะพลาสติกของตัวเองตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เห็นว่ามันมีเยอะมากขนาดไหน Daniel ผู้พยายามให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหาขยะพลาสติก ตลอดระยะเวลา 1 ปีในการเก็บสะสมขยะพลาสติกของตัวเองที่ใช้ในชีวิตประจำวัน มันมีทั้งสิ้นกว่า 4,490 ชิ้นเลยทีเดียว เฉลี่ยแล้ววันละ 12 ชิ้นเลยทีเดียว ขยะพลาสติกที่เขาใช้อยู่เรื่อยๆ ก็จะมีตั้งแต่ ขวดนม พลาสติกห่ออาหารหรือขนม ฝาแก้วกาแฟ และพวกของใช้อื่นๆ อีกมากมาย . นอกจากที่เขาจะทำให้ทุกคนได้รู้ว่ามันเยอะมากขนาดไหนแล้ว เขายังได้ร่วมมือกับดอกเตอร์ Julie Schneider นักวิจัยที่ช่วยศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับขยะพลาสติกต่างๆ ที่ Daniel เก็บเอาไว้ จากข้อมูลบอกว่า 93 เปอร์เซ็นต์ของขยะพลาสติกที่ Daniel ใช้ทั้งหมดเป็นการใช้ครั้งเดียว (แบบขวดนมที่พอกินหมดแล้วก็ไม่ได้นำมาใช้ซ้ำ) และมีมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ที่ปัจจุบันยังคงไม่สามารถนำมารีไซเคิลได้ . …
-
NASA ค้นพบภูเขาน้ำแข็งรูป ‘สี่เหลี่ยมผืนผ้า’ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หาดูยากสุดๆ!!
ธรรมชาติมักจะสร้างความน่าแปลกใจให้กับเราได้เสมอ เช่นเดียวกันกับเรื่องราวต่อไปนี้… จากการค้นพบล่าสุดขององค์กร NASA สร้างความตกตะลึงให้กับชาวโลกมากมาย กับ ‘ภูเขาน้ำแข็ง’ รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ และหาดูได้ยากยิ่ง!! ภาพดังกล่าวนี้ถูกแชร์ลงโซเชียลมีเดียโดย NASA เมื่อวันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561 เป็นภาพของภูเขาน้ำแข็งที่มีหน้าเรียบกริ๊บ แถมยังมีมุม 90 องศา ที่ดูเหมือนกับชิ้นเค้กที่ถูกตัดอย่างพิถีพิถันลอยอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรเลยก็มิปาน ลักษณะของภูเขาน้ำแข็งนี้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างสมบูรณ์ แสดงว่าเพิ่งจะแยกตัวออกมาจากหิ้งน้ำแข็งใหญ่ได้ไม่นาน จึงยังไม่ถูกคลื่นลมในทะเลกัดเซาะเปลี่ยนรูปร่างไปมากนัก เจ้าภูเขาน้ำแข็งนี้ถูกจับภาพโดยนักวิทยาศาสตร์จากปฏิบัติการ IceBridge ของ NASA ขณะที่กำลังทำหน้าที่สำรวจธารน้ำแข็งในคาบสมุทรแอนตาร์กติกตะวันออก เพื่อเก็บข้อมูลถึงความเปลี่ยนแปลงของขั้วโลก ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน หลายคนอาจจะมองว่ามันถูกใครบางคน ‘ตัด’ จนออกมาในสภาพแบบนี้รึเปล่า? ขอบอกเลยว่าสบายใจได้ เพราะจริงๆ แล้วมันสามารถเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เมื่อนึกถึงภูเขาน้ำแข็ง หลายๆ คนอาจจะเข้าใจว่ามันคือก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ไม่มีรูปทรง แต่เอาจริงๆ แล้ว ‘ภูเขาน้ำแข็ง’ มันแบ่งออกเป็นสองแบบ จำแนกจากรูปร่างของมัน คือภูเขาน้ำแข็งแบบ Tabular กับ Non-Tabular…
-
9 อาการ Phobia สุดแปลก ความกลัวที่อันตรายถึงตาย แต่ก็มีคนที่มีอาการเหล่านี้จริงๆ นะ
Phobia คืออาการทางจิตของมนุษย์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไป มันคือความรู้สึกกลัวขั้นขีดสุดโดยที่มักเกิดจากเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างร้ายแรง หรือบางครั้งเราเองก็ไม่ทราบสาเหตุถึงความกลัวที่มากขนาดนั้น โดยความกลัวที่ว่านั้นจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามสิ่งที่เรากลัว ยกตัวอย่างเช่น Claustrophobia (โรคกลัวที่แคบ) หรือ Acrophobia (โรคกลัวความสูง) เป็นต้น แต่สำหรับ 9 อาการ Phobia ที่นำมาในวันนี้ มันคือความกลัวที่เกิดขึ้นจากสิ่งแปลกๆ อย่างที่เราอาจไม่เคยได้ยินกันมาก่อน จะมีอะไรบ้างนั้นก็ต้องลองไปชมกันเอาเองเลยยย Auchloclaustrophobia (กลัวการเปิดตู้เสื้อผ้า) อาการนี้จะทำให้เราไม่กล้าแม้แต่จะคิดเปิดตู้เสื้อผ้าเลยแม้แต่น้อย ซึ่งอาจเป็นอาการที่สืบทอดต่อมาจากการกลัวที่แคบ Hippopotomonstrosesquippedaliophobia (กลัวศัพท์ยาวๆ) เป็นอาการที่จะทำให้เรารู้สึกหวาดกลัวและวิตกกังวลทุกครั้ง เวลาที่ได้เห็นหรือได้ยินคำศัพท์หรือมีคนมาพูดในคำที่ต่อกันยาวๆ แบบไม่มีการเว้นวรรคใดๆ Porphyrophobia (กลัวสีม่วง) ขึ้นชื่อว่าเป็นสีม่วง ไม่ว่าจะเฉดไหนก็ตามแต่ คนที่มีอาการนี้ก็จะรู้สึกกลัวและขยาดมันไปซะทั้งหมด Sociaphobia (กลัวการถูกคนอื่นตัดสิน) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีก็ตาม คนที่มีอาการนี้นั้นจะไม่ชอบให้ใครมาตัดสินตัวเองอย่างเด็ดขาด ซึ่งความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นอาจทำให้เขากลายเป็นคนหลีกหนีสังคมไปได้เลย Nomophobia (กลัวว่าโทรศัพท์จะใช้การไม่ได้) ความวิตกกังวลของอาการนี้จะทำให้เราจำเป็นต้องชาร์จแบตเอาไว้เสมอ อยู่แต่ในที่ที่มีสัญญาณ เพราะเมื่อไหร่ที่มือถือเราแบตหมด ใช้เน็ตหรือโทรออกไม่ได้ เมื่อนั้นเราก็จะเกิดความวิตกกังวลขึ้น Ebulliophobia (กลัวฟอง) อาการนี้คือตัวอย่างที่ทำให้เราทุกคนเข้าใจกันอย่างชัดเจนว่า ความกลัวนั้นมันสามารถเกิดขึ้นได้อย่างไร้เหตุผลจริงๆ…
-
พ่อโพสต์เดือด…เมื่อลูกชายถูกเพื่อนแกล้งเพราะ ‘ทาสีเล็บ’ ไปโรงเรียน โดนใจชาวเน็ตสุดๆ!!
เรื่องของ ‘การกลั่นแกล้งในโรงเรียน’ ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ควรได้รับความสนใจ เพราะหากปล่อยทิ้งเอาไว้นานๆ อาจส่งผลให้บาดแผลมันฝังลึกในจิตใจของเด็กได้ เช่นเดียวกันกับเรื่องราวของเด็กชายคนนี้ ที่ ‘ทาสีเล็บ’ ไปโรงเรียน ทำให้เขาถูกกลั่นแกล้ง แต่พ่อของเขากลับเลือกที่จะไม่อยู่เฉย และออกมาโพสต์ตอบโต้จนกลายเป็นกระแสไวรัล เรื่องมีอยู่ว่านาย Aaron Gouveia จากรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา คุณพ่อลูกสามได้ออกมาเล่าเรื่องราวของลูกชายของเขาชื่อว่า Sam ถูกเพื่อนๆ ร่วมชั้นกลั่นแกล้งที่โรงเรียน เพราะเขา ‘ทาสีเล็บ’ ไปโรงเรียน คุณพ่อ Aaron เล่าผ่านโพสต์ว่า “นี่คือลูกชายของผม Sam เขาอายุ 5 ขวบ และเพิ่งจะได้เรียนรู้ถึงความเลวร้ายของการถูกกลั่นแกล้ง ความโกรธของผมมันทะลุถึงขีดสุด ฉะนั้นจึงต้องขอโทษด้วยหากพูดหยาบไปสักนิดหนึ่ง และผมต้องการที่จะอยากจะพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ (ยาวสักหน่อยนะ)” “Sam เป็นลูกชายคนกลางของผม เขาเป็นเด็กผู้ชาย ที่ดื้อ ซน ชอบส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ชอบเล่นจนเนื้อตัวสกปรกมอมแมม เขาชอบบรรดารถบรรทุก และชอบเล่นกีฬา แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนใคร คือเขาชอบอะไรหลายๆ อย่างที่เด็กผู้หญิงให้ความสนใจ” “Sam…
-
13 ภาพที่จะทำให้เห็นว่า ‘การบิดเบือนความจริง’ มันสามารถทำได้ไม่ยากเลย…
โดยส่วนใหญ่แล้วคนเรามักจะ ‘ตัดสิน’ เรื่องราวจากมุมที่เห็นเพียงมุมเดียว ซึ่งจริงๆ แล้ว ‘ความจริง’ มันอาจจะมีอะไรมากกว่านั้น เช่นเดียวกันกับ ‘ภาพถ่าย’ ที่เราเห็นกันอยู่ในโลกโซเชียล ความจริงแล้วมันอาจจะยังไม่เผยความจริงทั้งหมดออกมาก็ได้ สำหรับบทความนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปพิสูจน์พร้อมๆ กันว่าสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้น มันคือความจริง เหตุการณ์ 1 เหตุการณ์เราสามารถเติมแต่ง สรรค์สร้างเรื่องราวให้คนเข้าใจ ‘ความจริง’ ผิดไปได้อย่างง่ายดาย จะเป็นอย่างไรลองไปชมได้เลยจ้า… 1. ภาพของเจ้าชายวิลเลียมที่โชว์มือขึ้นมาเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า พระองค์กำลังจะมีบุตรตัวน้อยคนที่ 3 2. ภาพของหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐ กำลังเอาน้ำให้กับทหารจากอิรักดื่ม ในปี 2003 3. สถานีรายงานข่าว 4. ในงานเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของ Donald Trump 5. งานสนับสนุน Hillary ในเมือง Omaha 6. ทหารเล่นกับเด็ก 7. ในงานแถลงเปิดตัวแคมเปญของพรรคอนุรักษนิยมโดย…
-
รู้จักกับ Fuck Tha Police เพลงแรปในตำนาน ประท้วงความไม่ยุติธรรมของ “ตำรวจ”
N.W.A (Niggaz Wit Attitudes) คือชื่อของกลุ่มศิลปินแรปเปอร์ผิวสีระดับตำนาน ประกอบไปด้วย Arabian Prince, MC Ren, Ice Cube, Eazy-E, DJ Yella และ Dr.Dre เริ่มก่อตั้งขึ้นมาในปี 1986 รายชื่อเรียงจากซ้ายไปขวา พวกเขาส่วนใหญ่เติบโตมาจากในเมือง Compton ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เมืองที่ชาวผิวสีจำนวนมากถูกตราหน้าว่าเป็นพวก “แก๊งสเตอร์” และต้องถูกกดขี่ข่มเหงโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ คนผิวสีจะต้องเผชิญกับการใช้ชีวิตในสังคมแบบที่ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้อย่างปกติ เป็นความเหลื่อมล้ำที่เห็นได้ชัดระหว่างคนผิวขาวและคนผิวสีในยุคนั้น ลองคิดภาพตามกันดูว่าแค่พวกเขาจับกลุ่มยืนคุยกันอยู่ข้างถนน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะจอดรถและตรงเข้ามาสอบถามทันที เพียงเพราะว่าพวกเขาเป็นคนผิวสี ซึ่งบางครั้งอาจถึงขั้นจับกุมตัวไปอย่างไร้เหตุผลเลยก็ได้ เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนต่างจับตามองทุกการกระทำของคนผิวสี พร้อมที่จะแจ้งข้อหาจับผิดทุกๆ อย่าง และการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุต่อคนผิวสีก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไป และสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นแค่จากตำรวจที่เป็นคนผิวขาวเท่านั้น เพราะแม้แต่ตำรวจผิวสีเองก็ยังทำพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันด้วย ภาพจากภาพยนตร์ปี 2015 ที่พูดถึงชีวิตของศิลปินกลุ่มนี้ การใช้ชีวิตที่ต้องถูกกดขี่โดยตำรวจที่มีหูมีตาอยู่ทั่วเมือง ความรู้สึกของพวกเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงเพื่อต่อต้านความไม่ชอบธรรมของพวกเขา มันคือจุดเริ่มต้นของเพลงระดับตำนานอย่าง Fuck Tha Police Fuck…
-
17 เรื่องจริงของเหล่า ‘เกมเมอร์’ ที่หลายๆ คนอาจไม่รู้ หากคุณเก็ตล่ะก็ เราคือพวกเดียวกัน!!
สำหรับเหล่าเกมเมอร์ทั้งหลายแล้ว การได้เล่นเกมถือเป็นกิจกรรมยามว่าง ที่ช่วยผ่อนคลายจากความตึงเครียดในชีวิตได้เป็นอย่างดี และแน่นอนว่าชีวิตของเหล่าเกมเมอร์มันก็ไม่ได้เหมือนกับบุคคลธรรมดาๆ ทั่วไปหรอกนะ!! และนี่คือเรื่องราวที่เหล่าเกมเมอร์เท่านั้นจะเข้าใจได้เป็นอย่างดี จะมีอะไรบ้างลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… 1. เวลาจับคีย์บอร์ดทีไรมันมักจะอยู่ในท่านี้ตลอด 2. และปุ่ม 4 ปุ่มนี้เองก็มักจะถูกใช้งานหนักมากที่สุด จนถึงกับถลอก!! 3. เซฟบ่อยๆ ปลอดภัยไว้ก่อน!! (โดยเฉพาะเกมที่การเลือกของเราส่งผลต่อเนื้อเรื่อง) 4. เล่นไม่เก่งแต่ขอให้อุปกรณ์เทพ 5. เกมเมอร์หัวใจแคร์รี่ (แย่งกันเล่นอยู่นั่นแหละ) 6. โต๊ะคอมก็คือโต๊ะกินข้าว 7. สิ่งที่น่าหนักใจที่สุดคือการ ‘ตั้งชื่อตัวละคร’ 8. ขออีกตานึง ไม่มีอยู่จริง!! 9. สัญลักษณ์ของเกมเมอร์ตัวจริง!! 10. เล็บมือซ้ายจะต้องสั้นเสมอ ส่วนข้างขวาเอาไว้คลิกเมาส์ ช่างมัน!! 11. คนเล่นเกมส่วนใหญ่จะเก่งภาษาอังกฤษ 12. การสุ่มกาชา กับความเกลือที่มีอยู่จริง!!…
-
ภาพถ่ายย้อนยุค การทำงานของ ‘นักเขียนแบบ’ ก่อนที่ AutoCAD จะถือกำเนิดขึ้นมา!!
วันเวลาผ่านไป เทคโนโลยีต่างๆ ก็พัฒนาตามไปด้วย… แล้วเพื่อนๆ ทราบไหมว่า ในงานออกแบบต่างๆ เมื่ออดีตที่ผ่านมาก่อนที่จะมีเครื่องไม้เครื่องมือ มีโปรแกรมต่างๆ มาช่วยในการทำงานให้สะดวกสบายยิ่งขึ้นนั้น มันจะยากลำบากสักแค่ไหนกันเชียว!? ย้อนกลับไปในช่วงก่อนปี 1982 ในงานเขียนแบบต่างๆ นั้น จะต้องใช้แรงงานมนุษย์ในการวาดแบบอย่างมหาศาล จนกระทั่งมีซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า AutoCAD เข้ามา ห้องทำงานเขียนแบบ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเจ้า AutoCAD นั้นมันคืออะไร? มันก็คือซอฟต์แวร์ช่วยออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์ ที่สามารถรองรับการทำงานได้ทั้งในรูปแบบ 2 มิติ และ 3 มิติ โดยจะถูกนำไปใช้งานในด้านการออกแบบด้านวิศกรรม สถาปัตยกรรม และอุตสาหกรรมต่างๆ ของทั้งรัฐ และเอกชนทั่วโลก และภาพเหล่านี้คือการทำงานของเหล่านักเขียนแบบ ก่อนที่ AutoCAD ถูกพัฒนาขึ้นมาจนสำเร็จ จะเป็นอย่างไรบ้างลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยครับ… บรรดานักเขียนแบบทั้งหลาย . . เป็นภาพเหตุการณ์ที่หาดูได้ยากจริงๆ ถ้าเป็นในยุคนี้แค่เปิดคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวก็ครบจบเลย . . . .…
-
18 ตัวเลขอันน่าอัศจรรย์กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เมื่อเวลาผ่านไป 24 ชั่วโมง
เวลาเป็นสิ่งไม่เคยรอใคร และเพียงไม่กี่วินาที ก็สามารถเกิดเหตุการณ์ได้มากมายหลายอย่างขึ้นกับโลกของเรา วันนี้เราจึงได้นำสถิติโดยเฉลี่ยของสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งจัดการเก็บสถิติโดย Real Life Lore มาให้ได้ชมกันครับ ใน 24 ชั่วโมง จะมีการผลิตรถยนต์ 200,000 คัน ใน 24 ชั่วโมงจะมีการใช้น้ำมันไปทั้งหมดประมาณ 79 ล้านบาร์เรล จะมีสิ่งมีชีวิตประมาณ 150-200 สปีชีส์ สูญพันธ์ใน 24 ชั่วโมง ใน 24 ชั่วโมงจะมี 18 ล้านคนที่ฉลองวันเกิดตัวเอง โดยเฉลี่ยแล้วมนุษย์โลกจะเดินประมาณ 5,000 ก้าวใน 24 ชั่วโมง ใน 24 ชั่วโมงจะมีคู่รักที่แต่งงานกันถึง 6,500 คู่ 200 ล้านนี่คือจำนวนคนที่กำลังมีเซ็กส์กันใน 24 ชั่วโมง ใน…
-
6 สัตว์ตระกูล “นก” ที่ดูสวยแบบแปลกๆ จนเหมือนกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก
ในโลกใบนี้มีสัตว์ตระกูลนกอยู่มากมายหลายชนิด (#เหมียวโคบี้ ก็เป็นหนึ่งในเหล่านกด้วย…) ซึ่งถ้าเป็นชนิดทั่วๆ ไปเพื่อนๆ ก็คงจะเคยเห็นกันอยู่เป็นปกติ วันนี้เราจึงจะมานำเสนอสัตว์ในตระกูลนกที่มีรูปร่างแปลกแหวกแนว จนเหมือนกับไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในโลกมาให้ได้ดูกันครับ จะมีนกตัวไหนกันบ้างนั้นไปรับชมกันเล้ย 1. พญาแร้ง (King Vulture) หนึ่งในสายพันธุ์นกที่มีประโยชน์ต่อโลกเรามากที่สุด ก็คือเจ้าแร้งพวกนี้แหละครับ เพราะมันจะคอยเก็บกวาดซากสัตว์ต่างๆ พญาแร้งก็ถือว่าเป็นหนึ่งในพวกมันด้วย เราสามารถพบมันได้ทุกที่ในเม็กซิโกตลอดจนถึงอาร์เจนตินา ในตำนานบอกว่าชื่อของพญาแร้งนั้นได้รับมาจากชนเผ่ามายา โดยที่ให้มันเป็นพญาของแร้งเพราะว่าเป็นคนกลางที่คอยรับส่งข้อความระหว่างมนุษย์และพระเจ้า 2. นก Cock-of-the-Rock เจ้านกสุดแปลกนี้เป็นสายพันธุ์พื้นเมืองในแถบอเมริกาใต้ ซึ่งจะพบเจอได้ในเขตร้อน โดยที่ตัวผู้จะใช้หงอนทรงพัดสุดโดดเด่นของมันในการดึงดูดตัวเมีย และเมื่อทำการจับคู่ผสมพันธุ์กันได้แล้ว ตัวเมียก็จะแยกออกไปใช้ชีวิต ทำรังในกองหินและดูแลไข่ด้วยตัวมันเอง หรือพูดง่ายๆ คือตัวผู้มีหน้าที่ผสมพันธุ์เพียงเท่านั้นเอง 3. นกปักษาสวรรค์ (Bird-of-Paradise) ปักษาสวรรค์เป็นนกขนาดเล็กประมาณ 25 เซนติเมตร มีสีสันสวยงาม ขนของพวกมันสามารถดูดซับแสงแดดได้ถึง 99.95% แต่ละตัวจะมีขนหางที่ยาวหรือขดม้วนแตกต่างกันไปแล้วแต่ชนิด และเจ้าปักษาสวรรค์นี้ถือว่าเป็นนักที่มีพฤติกรรมแตกต่างจากสายพันธุ์อื่นๆ เพราะตัวผู้จะลงไปเต้นเกี้ยวพาราสีตัวเมียอยู่บนดิน และถ้ามันถูกใจตัวเมียตัวไหน แม้ว่าจะเป็นต่างชนิดกัน มันก็ยังจะร่วมผสมพันธุ์ด้วยอยู่ดี 4. ไก่ฟ้าสีทอง (Golden Pheasant)…
-
5 ผลผลิตที่มีชื่อเสียงของโลก ซึ่งเกิดขึ้นจากความบังเอิญล้วนๆ ไม่ได้ตั้งใจแต่อย่างใด
สิ่งของหลายอย่างบนโลก ไม่ว่าจะเป็นของกิน เครื่องดื่ม ของใช้ หรือแม้แต่ฉากในภาพยนตร์ที่เราชอบกัน บางครั้งก็เกิดขึ้นโดยที่คนทำไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นเลยสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมผลผลิตเหล่านั้นมันกลับออกมาดีอย่างไม่น่าเชื่อ จนทำให้ความบังเอิญธรรมดาๆ กลายเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาไป และสิ่งของที่เกิดจากความบังเอิญเหล่านั้น กลายเป็นสิ่งที่โลกต้องจดจำไปได้เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะมาชม 5 ผลผลิตที่มีชื่อเสียงของโลกซึ่งเกิดขึ้นจากความบังเอิญล้วนๆ ไม่ได้ตั้งใจแต่อย่างใด คุกกี้ช็อกโกแลตชิป คุกกี้ช็อกโกแลตชิปนั้นแรกเริ่มเดิมทีเกิดจากการที่ Ruth Wakefield เจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งจะทำคุกกี้ช็อกโกแลต แต่กลับไม่มีดาร์กช็อกโกแลตสำหรับทำขนมเหลืออยู่ เธอจึงเอาช็อกโกแลตแบบหวานมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่คุกกี้โดยหวังว่ามันจะละลายในระหว่างอบ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ละลาย และออกมาเป็นคุกกี้ช็อกโกแลตชิปแบบที่เรารู้จักไป ไอศกรีมโคนวาฟเฟิล เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1904 ในงาน St. Louis World’s Fair เมื่อ Arnold Fornachou พ่อค้าไอศกรีมคนหนึ่ง ขายไอศกรีมดีมาก จนถ้วยกระดาษที่เตรียมมาใส่ไอศกรีมหมด และบังเอิญว่าในเวลานั้นข้างๆ ร้านของเขามีร้านขายวาฟเฟิลแบบกรอบเปิดอยู่พอดี ด้วยเหตุนี้แทนที่จะปิดร้านกลับ Fornachou ก็เลยซื้อวาฟเฟิลแบบกรวยมาทำเป็นโคน และกลายเป็นต้นกำเนิดของไอศกรีมวาฟเฟิลไป ชีสเบอร์เกอร์ จากคำกล่าวอ้างของร้าน Rite Spot ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ช่วงปี 1920 เชฟหนุ่มชื่อ Lionel Sternberger เผลอทำเนื้อที่ต้องใส่ในเบอร์เกอร์ไหม้ไปเล็กน้อย…
-
25 การเปลี่ยนแปลงตัวเอง เมื่อตั้งใจลดน้ำหนักอย่างจริงจัง กลายเป็นคนละคนอย่างเห็นผล!
การหันมาใส่ใจสุขภาพ ดูแลตัวเองถือว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง นอกเหนือจากการที่มีสุขภาพดีชีวิตยืนยาวแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป จะช่วยทำให้ตัวตนของเราดูดีขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว… แม้ว่าการลดน้ำหนัก การควบคุมอาหารอาจจะเป็นเรื่องที่เริ่มต้นได้ยากในช่วงแรกๆ แต่ผลของความพยายามและความตั้งใจอย่างจริงจัง จะก่อเกิดเป็นผลงอกเงย ตอบแทนความเหนื่อยได้อย่างคุ้มค่า กับ 25 ตัวอย่างดีๆ ที่จะช่วยเป็นแรงผลักดันให้คุณเริ่มต้นได้ ไม่มากก็น้อย… ใช้เวลาทั้งหมด 365 วัน จาก 99 กิโลกรัม สู่ 61 กิโลกรัม เผาผลาญน้ำหนัก 104 กิโลกรัมภายใน 3 ปี ปัจจุบันขนาดตัวเล็กกว่าครึ่งหนึ่งจากที่เคยเป็น เปรียบเทียบจากปี 2010 กับปี 2018 ปัจจุบันหน้าคล้าย Gal Gadot มวากกก! จากน้ำหนัก 145 กิโลกรัม ลดเหลือ 104 กิโลกรัม ในระยะเวลา 3 ปี แถมมวลกล้ามให้ด้วยเอ๊าะ! ต่อไปนี้จะมาว่าเป็นคุณพ่อลงพุง ไม่ได้แล้วน้าาาาา…
-
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า ทำไมเราถึงไม่ควรเอา “กระดาษทิชชูมาวางรองก้น” ตอนนั่งชักโครก
ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากเข้าไปใช้ห้องน้ำสาธารณะตามปั๊มน้ำมันหรือในห้างสรรพสินค้ากันสักเท่าไหร่ เพราะเรามักจะรู้สึกกังวลที่เรื่องความสะอาด และเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจติดต่อมาหากันได้ หลายๆ คน (โดยเฉพาะกับผู้หญิง) จึงมักจะใช้วิธีการนำ “กระดาษทิชชูมาวางเรียงรอบๆ ฝารองนั่งชักโครก” เพราะคิดว่าจะสามารถป้องกันไม่ให้ก้นของเราสัมผัสกับแบคทีเรียได้ แต่ความจริงแล้วมันอาจเป็นอะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม Philip Tierno ศาสตราจารย์ทางด้านสาธารณสุข ของศูนย์พยาบาล NYU Langone สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “ความจริงแล้ว ฝารองนั่งชักโครกนั้นสะอาดกว่าอ่างล้างจานในห้องครัวของคนส่วนใหญ่ซะด้วยซ้ำ” โดยเขาได้อธิบายว่าตัวฝารองนั่งนั้นถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันเชื้อโรค ด้วยรูปร่างและพื้นผิวที่เรียบลื่น ช่วยให้เชื้อโรคต่างๆ ไม่สามารถมาเกาะได้ ในทางตรงกันข้าม กระดาษทิชชูกลับมีพื้นผิวที่หยาบและถูกออกแบบมาเพื่อดูดซับสิ่งต่างๆ มันจึงจะทำให้เชื้อโรคที่ลอยอยู่ในอากาศนั้นมาเกาะอยู่ได้ง่ายกว่า เมื่อเรานั่งลงไปก็เท่ากับว่าเราสัมผัสกับเชื้อโรคมากกว่าปกติ งานวิจัยในสหรัฐอเมริกาบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เชื้อโรคจากอุจจาระของเราจะสามารถแพร่กระจายไปในอากาศได้จากตอนที่เรากดชักโครก และเป็นเรื่องง่ายที่เชื้อโรคเหล่านั้นจะไปเกาะอยู่ตามกระดาษทิชชู เมื่อนำทิชชูไปวางเรียงกันตรงฝารองนั่ง นั่นหมายความว่าคุณกำลังเปิดโอกาสที่จะสัมผัสกับเชื้อโรคมากกว่าเดิม (แหล่งอ้างอิง: US National Library of Medicine National Institutes of Health) นอกจากนั้น Philip ยังแนะนำอีกว่าวิธีการหลีกเลี่ยง ไม่สัมผัสกับเชื้อโรคได้ดีที่สุดก็คือ ให้คุณเกร็งขาทำท่าสควอชให้ก้นลอยเหนือชักโครกเอา…
-
14 คำศัพท์เก๋ๆ จาก “ภาพยนตร์” บัญญัติขึ้นใหม่โดย Oxford Dictionary เชียวนะ!!
เมื่อโลกเปลี่ยนไปอะไรๆ ก็ต้องเปลี่ยนตาม อย่างเช่น ภาษา ที่ต้องปรับตัวตามสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ขณะที่ ภาพยนตร์ ก็กลายเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มักอยู่ในบทสนทนาของผู้คนทั่วโลก และภาพยนตร์เองก็มีการนำเสนอความแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น ภาษาโดยเฉพาะคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาสากลนั้น ก็จะต้องมีการบัญญัติศัพท์บางคำเพื่อให้ประเด็นทางภาพยนตร์มีการสื่อสารที่เข้าใจได้มากขึ้นนั่นเอง และล่าสุดทาง Oxford Dictionary ก็ได้บัญญัติศัพท์ใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจาก “ภาพยนตร์” ลองไปชมคำศัพท์บัญญติใหม่ที่น่าสนใจเหล่านี้กันหน่อยดีกว่า 1. Altmanesque (Adj.) คำแปล: ลักษณะภาพยนตร์ที่นำเสนอตามแบบฉบับของ Robert Altman ซึ่งส่วนมากจะมีความเป็นธรรมชาติสูง แต่จะแฝงมุมมองแปลกๆ และการหักมุมที่สุดโต่งเอาไว้ 2. Dutch Angle (N.) คำแปล: มุมกล้องแบบหนึ่งที่เส้นแนวตั้งของภาพจะเอียงออกข้างไปด้านใดด้านหนึ่ง คล้ายกับว่าเป็นภาพที่ผู้มองกำลังเอียงศีรษะอยู่ 3. Giallo (N.) คำแปล: ประเภทหนึ่งของภาพยนตร์ที่มีความสยองขวัญและกามารมณ์สูงโดยเฉพาะรูปแบบของ “การถ้ำมอง” ศัพท์คำนี้ได้มาจากภาพยนตร์ฆาตกรรมลึกลับสะเทือนขวัญสัญชาติอิตาลีที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ระหว่างงานศิลปะและการแสวงหากำไร 4. Groundhog Day (N.) คำแปล: สถานการณ์หนึ่งที่มีเรื่องราวน่าเบื่อหรือไม่น่าพอใจเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในแบบเดิมๆ 5.…
-
6 สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่า ‘โรคเส้นเลือดในสมอง’ กำลังจะเกิดขึ้นกับคุณแล้ว!!
‘โรคหลอดเลือดสมอง’ ถือเป็นหนึ่งในโรคที่มีความรุนแรง และเป็นสาเหตุการตายเป็นอันดับ 3 รองจากโรคหัวใจ และโรคมะเร็ง จากรายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่า มีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองกว่า 15 ล้านคนทั่วโลก ในทุกๆ 6 วินาที จะมีคนเสียชีวิตด้วยโรคสมอง 1 คนเลยทีเดียว (จากประชากรโลกทั้งหมด) และมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2563 จะมีผู้ป่วยโรคนี้เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า!! นอกจากนี้โรคหลอดเลือดสมองยังเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต จนทำให้เกิดความพิการหรือทุพพลภาพได้อีกด้วย และในวันนี้เอง #เหมียวหง่าว ก็อยากจะนำข้อมูลดีๆ มาฝากเพื่อนๆ กันครับ เป็นบทความจากต่างประเทศเกี่ยวกับ ‘สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณอาจจะป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองได้’ เพื่อเอาไว้สังเกตการณ์คนในครอบครัว หรือกระทั่งตัวเอง จะได้ไปหาหมอและรักษาได้อย่างทันท่วงที!! 1. มีความดันเลือดสูง การมีความดันเลือดสูงนั้นสามารถนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพได้มากมายเลยทีเดียว และหนึ่งในนั้นก็คือโรคเส้นเลือดสมอง เพราะเส้นประสาทในสมองนั้นมีความบอบบางมากๆ หากความดันเลือดมากเกินไปก็ส่งผลให้มันรั่ว หรือแตกขึ้นมาก็ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ได้เลยล่ะ 2. มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น โรคหลอดเลือดในสมองจะทำให้เรามองเห็นภาพซ้อนกันเป็นสองภาพ หรือสูญเสียการมองเห็นข้างใดข้างหนึ่งไป จากแบบสอบถามผู้ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมองของประเทศอังกฤษกว่า…
-
สาวตั้งกระทู้แชร์ประสบการณ์ iPhone หาย ทำอย่างไรให้ได้คืน พร้อมวิธีการปฎิบัติตัว
iPhone เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่มีคนนิยมใช้มากเป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากคุณภาพของตัวเครื่องและฟังก์ชันต่างๆ ทำให้หลายคนเลือกที่จะซื้อสมาร์ทโฟนแบรนด์นี้มาใช้กันอย่างมากมาย หลายครั้งที่มักจะเกิดเหตุการณ์ iPhone หายไป อาจะเป็นเพราะว่าลืมหรือถูกขโมย อาจจะสร้างความเดือดร้อนใจให้กับผู้ใช้เป็นอย่างมาก สมาชิกเว็บไซต์พันทิปชื่อ Leftsw ได้มาแชร์ประสบการณ์ iPhone หายไปและวิธีตามหาเครื่องคืน ในกระทู้หัวข้อ “15 ชั่วโมงกับการตามหา iphone ที่หายไป…….สุดท้ายก็ได้คืนมา(มีวิธีการตาม iphone คืน)” เริ่มต้นที่ทางเจ้าของกระทู้ลืมมือถือไว้ในห้องน้ำของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน จ.นครสวรรค์ แต่พอรู้ตัวว่ามือถือหายเพียง 5 นาที พอกลับมาดูก็ไม่เห็นมือถือ เห็นแต่คนที่มาเข้าห้องน้ำต่อแต่พอถามก็บอกว่าไม่เห็นมือถือของเธอเลย เจ้าของกระทู้ได้ใช้มือถือของเพื่อนลองโทรเข้าแต่ก็ปิดเครื่อง จึงได้ไปเปิด Find My iPhone เอาไว้ แล้วส่งข้อความไปว่ายินดีซื้อเครื่องคืน เธอเช็คสัญญานเป็นระยะๆ เปิดแผนที่ดูก็รู้ว่าอยู่ในอำเภอเดียวกัน จึงโทรแจ้งตำรวจทันที และทำการโหลดแผนที่ที่พบสัญญาณครั้งสุดท้ายเอาไว้ รุ่งขึ้นตำรวจได้ไปตามถึงที่อยู่ที่พบสัญญาณมือถือครั้งสุดท้าย แต่มือถือไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนั้นแต่อยู่ที่ทำงานของคนที่นำมือถือไป ตำรวจจึงตามไปเอาคืนถึงที่ สภาพมือถือคือถูกถอดเคสและซิมออก คนที่เอาไปอ้างว่าไม่รู้จะนำไปคืนที่ใคร แต่เจ้าของกระทู้ก็ไม่ตั้งใจเอาความ ได้โทรศัพท์คืนก็ขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ภูลาดยาวที่เป็นผู้ช่วยในการตามหาในครั้งนี้ วิธีปฏิบัติเมื่อ iphone…
-
ตัวอย่าง 15 วิดีโอเกม “สายโหด” อยากได้เลือดและความรุนแรงเชิญทางนี้เลย!! (18+)
(คำเตือน: บทความอาจมีภาพและเนื้อหารุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม) วิดีโอเกมนั้นเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ให้ความบันเทิงกับผู้คนได้ ขณะที่รสนิยมของผู้คนนั้นแตกต่างกันไป รูปแบบหรือ “ธีม” ของเกมก็ต้องมีหลากหลายด้วย มีเกมอยู่หลายเกมที่มักถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ ในแง่ของ “ความรุนแรง” แม้ว่าความรุนแรงจะสร้างความบันเทิงให้กับหลายๆ คนได้ แต่ต้องยอมรับว่าบางเกมนั้นมันรุนแรงจะเข้าขั้นโหดเลยทีเดียว วันนี้ เราจะพาไปรู้จักกับ เกมสุดโหด ที่ใครเล่นก็ยากจะลืมลง เพราะมันเต็มไปด้วยเลือดและภาพต่างๆ ที่ชวนสยดสยอง ว่าแต่จะมีเกมอะไรบ้างนั้น ไปชมพร้อมๆ กันเลย 1. Carmageddon ใครจะเชื่อล่ะว่าเกมรถแข่งแบบนี้ก็มีภาพอันโหดเหี้ยมยามที่เราขับรถไปบดขยี้ปุถุชนคนเดินเท้าจนเลือดกระจาย 2. Left 4 Dead 2 มันคงจะเป็นเกมซอมบี้ที่ดีไม่ได้เลยหากไร้ซึ่งภาพของเลือดและร่างกายอันน่าขยะแขยง อย่างเช่นเกมนี้หากคุณใช้อาวุธระยะประชิดละก็รับรองว่าเลือดสาดสมใจแน่ๆ 3. DOOM แม้จะเป็นเกมเก่าๆ อย่าง Doom ก็ถือได้ว่าเป็นเกมที่เต็มไปด้วยเลือดและตับไตไส้พุง อีกทั้งบรรยากาศในเกมยังน่าขนลุกอีกด้วย 4. Postal 2 ความรุนแรงถือเป็นหัวใจสำคัญของเกมนี้เลยก็ว่าได้ เนื้อหาส่วนใหญ่ของเกมนั้นเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ เพราะมีแต่ฉากอันน่ารังเกียจและน่าขยะแขยง 5. Sniper Elite 3 ความโหดของเกมนี้อยู่ที่ภาพเอกซ์เรย์ขณะที่เรายิงปืนไปโดนเป้าหมาย เรียกได้ว่าเน้นรายละเอียดของเลือด อวัยวะ และร่างกายมนุษย์อันน่าสยดสยองได้ดีทีเดียว …
-
Larry Tesler ผู้สร้างระบบ Copy/Cut & Paste ให้เราได้ใช้งานกันจนถึงทุกวันนี้!!
หากคุณเป็นคนที่ใช้ ‘คอมพิวเตอร์’ อยู่เป็นประจำแล้วล่ะก็ จะต้องรู้จักกับระบบ Copy/Cut & Paste กันอย่างแน่นอน!! เพราะมันสร้างความสะดวกสบายให้กับพวกเราได้อย่างมากมายมหาศาลเลยทีเดียว จนชนิดที่ว่า ถ้าหากไม่มีระบบนี้คงจะจินตนาการการใช้งานคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันไม่ออกเลยแม้แต่น้อย!! สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ มาทำความรู้จักกับบุคคลผู้ให้กำเนิดระบบ Copy/Cut & Paste กันครับ เพื่อแสดงความขอบคุณที่สร้างมันขึ้นมาทำให้ชีวิตของเราสบายขึ้นเยอะเลย ขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับชายที่ชื่อว่า Larry Tesler นักวิศกรคอมพิวเตอร์ ผู้อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์การสร้างระบบ Copy/Cut & Paste ขึ้นมา และมันสามารถช่วยเซฟพลังงานในการกดคลิก รวมไปถึงการกดปุ่มต่างๆ บนคีย์บอร์ดไปได้เยอะเลย!! Tesler เป็นหนึ่งในคนที่บ้าคอมพิวเตอร์มากๆ เขาทำงานเป็นหน่วยวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีให้กับศูนย์ใหญ่ของ Xerox PARC ที่ตั้งอยู่ในเมือง Palo Alto รัฐแคลิฟอร์เนีย ย้อนกลับไปในช่วงปี 1970s คอมพิวเตอร์ยังคงเป็นเพียงแค่ไอเดียที่ยังคงทำการทดลองกันอยู่เท่านั้น ซึ่งหลายๆ คนต่างก็คิดว่ามันคงจะไปไม่ถึงไหนอย่างแน่นอน ในปี 1973-76 Tesler ได้ทำการพัฒนาระบบที่มีชื่อว่า Smalltalk-76 และในระหว่างการพัฒนาก็ทำให้ทฤษฎีการ…
-
20 อันดับบริษัท “นายจ้างดีเด่นระดับโลก ประจำปี 2018” โดยนิตยสาร Forbes
นิตยสาร Forbes นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจและการเงินในสหรัฐอเมริกา ประกาศผลการจัดอันดับ World’s Best Employers 2018 หรือ นายจ้างดีเด่นระดับโลกประจำปี 2018 ไปเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยทาง Forbes ได้จัดอันดับ 500 บริษัทที่มีนายจ้างดีเด่น โดยให้พนักงานตอบแบบสอบถามให้คะแนนนายจ้างของตัวเอง และโอกาสที่จะแนะนำบริษัทให้กับเพื่อนหรือคนในครอบครัว และนี่ คือ 20 อันดับสูงสุดที่ได้รับการจัดว่าเป็น บริษัทที่มีนายจ้างดีเด่นระดับโลก ประจำปี 2018 20. Siam Commercial Bank – ประเทศไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ 19. Vicinity Centres – ออสเตรเลีย บริษัทอสังหาริมทรัพย์ 18. Salesforce.com – สหรัฐอเมริกา บริษัทผลิตซอฟต์แวร์และโปรแกรม 17. IBM – สหรัฐอเมริกา บริษัทคอมพิวเตอร์ 16. Volkswagen Group…
-
แพทย์อธิบาย กรณีของหญิงมะกันที่เกือบ “แขนพิการ” หลังรับการฉีดวัคซีนรักษาไข้หวัด!
ประเทศไทยเราก็นับว่าเข้าสู่เหมันตฤดูแล้ว แม้ว่ากลางวันแดดจะยังร้อนเป็นไฟในบางพื้นที่ แต่เชื่อว่าหลายคนก็คงได้สัมผัสความหนาวเย็นกันบ้างแล้วในยามค่ำคืน เข้าหน้าหนาวแบบนี้สิ่งที่ควรระวังเป็นพิเศษก็คือ ไข้หวัด ที่มักจะเข้าสู่ร่างกายเราเสมอยามที่อุณหภูมิต่ำลง ซึ่งเมื่อเป็นหวัดแล้วเราก็อาจจะต้องรับยาเพื่อรักษาไปตามระเบียบ แต่บางครั้งเรื่องราวมันก็ไม่ได้ราบรื่นแบบนั้น หญิงคนหนึ่งนามว่า Jacalyn Broze จากรัฐมินนิโซตา เธอเกือบ “แขนพิการ” ของเธอไปหลังจากรับวัคซีนรักษาไข้หวัด ปกติแล้ว Jacalyn จะฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี แต่ล่าสุดในปี 2017 หลังได้รับการฉีดวัคซีน มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเธอมากกว่าความเจ็บปวดธรรมดา หัวไหล่ข้างที่ได้รับวัคซีนเกิดอาการเจ็บปวดรุนแรง ไหล่ตกและขยับไม่ได้ กระทั่งแพทย์จับเส้นกระดูกสันหลังของเธอยังสังเกตเห็นเลยว่าไหล่ของเธอไม่เท่ากัน เธอจึงไปพบแพทย์หลายแห่ง จนสุดท้ายก็ทราบว่าอาการผิดปกตินี้เรียกว่า SIRVA หรือ อาการเจ็บหัวไหล่จากการฉีดวัคซีน เป็นอาการเจ็บปวดแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังได้รับการฉีดวัคซีนที่ “ไม่ถูกวิธี” อาการนี้อาจเกิดขึ้นได้หาก ตำแหน่งที่เข็มวัคซีนเจาะเข้าไปนั้นอยู่สูงเกิน หรือไม่ก็เจาะเข็มเข้าไปลึกเกิน ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเจ็บที่เส้นเอ็น ข้อต่อ และถุงน้ำในหัวไหล่ได้ แพทย์กล่าวว่า อาการ SIRVA สามารถเกิดขึ้นได้ทุกครั้งทุกครั้งที่ฉีดยา (ที่แขน) แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นน้อยมาก อย่างไรก็ตาม อาการ SIRVA นั้นสามารถหายได้ หากใครเป็นหวัดไม่สบายก็อย่ากลัวที่จะรับการฉีดวัคซีนเลยนะ เป็นห่วง… ที่มา: shared…
-
Waterphone เครื่องดนตรี “สุดหลอน” ที่มาของเสียงประกอบในหนัง ‘สยองขวัญ’
ถ้าพูดถึง เครื่องดนตรี หลายคนจะต้องนึกถึงเสียงและบทเพลงอันไพเราะเป็นแน่ใช่ไหมล่ะ?? แต่สำหรับวันนี้ เครื่องดนตรีที่เราจะมานำเสนอหาได้เป็นเสียงอันไพเราะไม่ แต่กลับเป็นเสียงแห่ง ความหลอน ที่จะชวนให้คุณขนหัวลุกไปพร้อมๆ กัน ใครที่เคยดูหนังผีหรือหนังสยองขวัญก็น่าจะเคยได้ยินเสียงประกอบที่มันฟังดูวังเวง น่ากลัว และหลอนประสาท วันนี้เราตามทวิตเตอร์ @CyaUtsuLshiTro ไปชมแหล่งกำเนิดของเสียงพวกนี้กันเลย คำอธิบายบนทวิตเตอร์ เขียนเอาไว้ว่า… “เสียงที่น่ากลัวในหนังผีส่วนมากก็มาจากเครื่องดนตรีที่ชื่อว่า Waterphone นี่แหละ มันสามารถใช้ได้กับคันไวโอลิน ไม้กลอง ยาง และมือเปล่า ซึ่งเสียงที่ได้ก็จะน่ากลัวต่างกันออกไป” https://twitter.com/CyaUtsuLshiTro/status/1050302303700275200?ref_src=twsrc%5Etfw%7Ctwcamp%5Etweetembed%7Ctwterm%5E1050302303700275200&ref_url=https%3A%2F%2Fsoranews24.com%2F2018%2F10%2F15%2Fjapanese-netizens-entranced-by-creepy-musical-instrument-that-produces-nightmarish-sounds%2F อันที่จริงเจ้า Waterphone นั้นมีมานมนานแล้วนับตั้งแต่ปี 1969 ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Richard Waters มันเป็นวัตถุทรงกระบอกที่ติดไว้กับกระทะซึ่งเป็นส่วนฐาน รอบๆ กระทะก็จะมีแท่งเหล็กหลากความยาวติดอยู่รอบๆ ตั้งขึ้นมาคล้ายทรงกระบอก เสียงของเจ้า Waterphone นั้นไม่เหมาะจะเล่นในวงออเครสตา มันจึงถูกนำมาใช้เป็นเสียงประกอบหนังสยองขวัญนั่นเอง อีกเวอร์ชั่นหนึ่งของ Waterphone (ลองฟังเสียงกันดู) และนี่ก็เป็นเครื่องดนตรีอีกชนิดหนึ่งที่ออกแบบขึ้นเพื่อสร้างเสียงประกอบภาพยนตร์สยองขวัญโดยเฉพาะ ถึงแม้เครื่องดนตรีเหล่านี้จะไม่เป็นที่จรรโลงใจสำหรับเรานัก แต่หนังสยองขวัญก็คงจะสร้างความหลอนให้ผู้ชมได้ไม่สุดหากไร้ซึ่งเสียงประกอบอันชวนขนหัวลุกเหล่านี้… ที่มา: Twitter/@CyaUtsuLshiTro, Great Big Story, Bob…
-
มาดูเมนูกาแฟ “แก้วเด็ด” ของแต่ละประเทศทั่วโลก วัฒนธรรมแตกต่าง…กาแฟก็ต่างด้วย!
การดื่มกาแฟที่ใครหลายคนอาจทำเป็นกิจวัตรประจำวัน และเอร็ดอร่อยไปกับมันในยามเช้า หารู้ไม่ว่าแต่ละประเทศทั่วโลกก็มีวิถีการดื่มกาแฟเป็นของตัวเอง แถมแตกต่างจากบ้านเรามากเสียด้วย ไปดูกันว่า ประเทศต่างๆ ในโลกมีประเทศใดบ้างที่มีการดื่มกาแฟที่ต่างจากบ้านเรา และแตกต่างจากที่เราทราบกันอย่างไรบ้าง… Kaffeost (ฟินแลนด์) ชาวฟินแลนด์บางกลุ่มจะชอบรินกาแฟร้อนใส่บนก้อนลิ่มชีส (Juustoleipä) เพื่อจะได้รับรสชาติของกาแฟตามแบบฉบับกิจวัตรของชาวฟินแลนด์ Türk Kahvesi (ตุรกี) กาแฟที่ดีของชาวตุรกีนั้นจะต้องดื่มไปพร้อมกับตะกอนกาแฟที่ตกอยู่ก้นแก้ว เพราะกาแฟของชาวตุรกีนั้นเคี่ยวด้วยหม้อทองเหลืองก่อนดื่มและไม่ผ่านการกรองใดๆ ทำให้มีตะกอนตกอยู่เสมอๆ Yuanyang (มาเลเซีย) กาแฟสำหรับชาวมาเลเซียนั้นดื่มตอนกลางวันหรือกลางคืนก็ได้ มีทั้งแบบเย็นและแบบร้อน โดยจะมีอัตราส่วนผสมก็คือ กาแฟดำ 3 ส่วน และชานมฮ่องกงอีก 7 ส่วนนั่นเอง Frappe (กรีซ) เป็นกาแฟสำเร็จรูปชงเย็นพร้อมโฟมนม ริเริ่มโดย Nescafé ในปี 1957 และภายหลังก็กลายเป็นเมนูโปรดของชาวกรีซไปเลย Espresso Romano (อิตาลี) ชาวอิตาลีนั้นเป็นนักดื่มกาแฟของแท้ พวกเขาเชื่อว่ากาแฟเอสเปรสโซที่เราดื่มกันนั้นจะยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นเมื่อฝานมะนาวใส่ลงไปสัก 1 ซีก ว่ากันว่ามันจะดึงเอารสชาติของเมล็ดกาแฟออกมามากขึ้น Cà phê đá (เวียดนาม) กาแฟรสหวานผสมขมนี้เป็นหนึ่งในกาแฟอันที่ชาวเวียดนามโปรดปราน…
-
“สาวนักดื่ม” ลดน้ำหนักไปได้กว่า 31 กิโลกรัม หลังได้แรงบันดาลใจจากการ “งดเหล้า 1 เดือน”
ในแต่ละปี ประเทศอังกฤษจะมีชาเลนจ์ที่ชื่อว่า Go Sober October ชวนให้คนหันมา “งดเหล้า” ตลอดเดือนตุลาคม โดยจะมีการเรี่ยไรเงินเข้า กองทุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง Macmillan และสิ่งนั้นก็ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับ “สาวนักดื่ม” จากเมืองนิวคาสเซิล ซึ่งเธอคือคนที่ชื่นชอบการดื่มแอลกอฮอล์เป็นอย่างมาก แต่เธอก็ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการนี้จนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองไปได้อย่างเห็นได้ชัด ก่อนเปลี่ยนแปลงตัวเอง หลังจากเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง Dionne Mein สาววัย 23 ปีผู้เคยมีน้ำหนักมากถึง 99 กิโลกรัม ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่เธอดื่มไวน์ครั้งละ 2 แก้วทุกวันหลังเลิกงาน และมักจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนอยู่เสมอ ดื่มเบียร์ครั้งละไม่ต่ำกว่า 10 แก้ว เธอบอกว่าไม่ใช่แค่เรื่องของการดื่มแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียว แต่ทุกครั้งเวลาที่เธอกำลังจะกลับบ้านหลังจากออกไปเที่ยวกับเพื่อน เธอก็มักจะแวะซื้อพวกอาหารสำเร็จรูปกลับไปกินในคืนนั้นๆ อยู่เสมอ จนกระทั่งในเดือนตุลาคม 2017 เธอตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ Go Sober October เพื่อช่วยสนับสนุนกองทุนดังกล่าว และต้องการที่จะลองทำอะไรสักอย่างเพื่อแม่ของเธอ ซึ่งไม่ค่อยชอบให้เธอดื่มแอลกอฮอล์สักเท่าไหร่ Dionne เล่าว่าในตอนนั้นไม่มีใครคิดเลยว่าเธอจะเข้าร่วมในโครงการนี้ และจากการเลิกดื่มเพียงแค่ 1 เดือน…
-
14 สิ่งที่เล็กที่สุดในโลก แม้แต่ “ช่างแอร์ในตำนาน” ยังต้องเปลี่ยนคำพูดว่า “มันเล็กจริงๆ ครับ”
บทความนี้ได้รวบรวมเอาสิ่งต่างๆ ที่มีขนาด “เล็กที่สุดในโลก” มาไว้รวมกัน ซึ่งหลายๆ สิ่งนั้นอาจเป็นอะไรที่เพื่อนๆ ไม่เคยเห็นกันมาก่อน และมันก็ดูแปลกจริงๆ ไม่ใช่แค่กับสิ่งของ แต่ยังมี “คนตัวเล็ก” รวมอยู่ในสถิติเหล่านี้ด้วย ส่วนจะมีเรื่องอะไรกันบ้างนั้น และมันจะเล็กมากขนาดไหนก็ต้องลองไปชมกันเลยจ้าาา ปืนที่เล็กที่สุดในโลก นี่คือปืนที่ชื่อว่า The SwissMiniGun Miniature Revolver C1ST ขนาดประมาณกุญแจ แต่สามารถยิงกระสุนจิ๋วด้วยความเร็วกว่า 434 กม./ชม. ถูกผลิตออกมาครั้งแรกในปี 2005 ขายกันในสหรัฐอเมริกา ด้วยราคาประมาณกระบอกละ 200,000 บาท นักเพาะกายตัวเล็กที่สุดในโลก Aditya “Romeo” Dev หนุ่มชาวอินเดียผู้มีความสูงแค่ราวๆ 83 เซนติเมตร หนักประมาณ 9 กิโลกรัม เป็นนักเพาะกายที่ตัวเล็กที่สุดในโลก ยกน้ำหนักได้ประมาณ 3 กิโลกรัม เสียชีวิตไปในปี 2012 กิ้งก่าที่เล็กที่สุดในโลก กิ้งก่าสายพันธุ์ Jaragua Sphaero ถูกพบครั้งแรกในปี 2001 ที่อุทยานแห่งชาติ Jaragua สาธารณรัฐโดมินิกัน…
-
Ilha da Queimada Grande ดินแดนร้างแห่งอสรพิษ เกาะที่ว่ากันว่าอันตรายที่สุดในโลก
Ilha da Queimada Grande เป็นเกาะที่อยู่นอกชายฝั่งของเมืองเซาเปาโล ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบราซิล และเป็นเกาะร้างที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่มาตั้งแต่ช่วงปี 1920 แต่จะบอกว่าเป็นเรื่องแปลกก็คงจะไม่ได้ เพราะ Ilha da Queimada Grande เป็นดินแดนแห่งอสรพิษที่มีประชากรงูอยู่เป็นจำนวนมาก ถึงขั้นที่ว่าทุกๆ 1 ตารางเมตร จะมีงูอยู่ราวๆ 5 ตัวเลยทีเดียว ในอดีตไม่มีใครทราบว่างูปริมาณมากมายขนาดนี้เข้ามาอาศัยอยู่ในเกาะแห่งนี้ได้อย่างไร แต่จากตำนานพื้นบ้านของคนในพื้นที่ ว่ากันว่างูเหล่านี้ถูกโจรสลัดนำมาปล่อยไว้เพื่อดูแลขุมทรัพย์ที่ถูกฝังไว้ อย่างไรก็ตามจากทฤษฎีในปัจจุบัน เดิมทีที่แห่งนี้จะเคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศบราซิล ก่อนที่ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อ 10,000 ปีก่อนทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นเกาะไป และงูเหล่านี้ก็เป็นผู้อยู่อาศัยของเกาะมาตั้งแต่ต้น แต่การที่งูไปติดอยู่บนเกาะเช่นนี้ก็ทำให้พวกมันต้องวิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอดเช่นกัน อย่างงู “Golden Lancehead” ที่พบได้เฉพาะที่นี่ ก็วิวัฒนาการพิษของตัวเองจนรุนแรงมากกว่างูพิษบนแผ่นดินใหญ่ถึงห้าเท่า นั่นเป็นเพราะในเกาะที่แยกตัวออกจากแผ่นดินเช่นนี้ งูพิษจำเป็นที่จะต้องล่านกต่างถิ่นเป็นอาหาร ดังนั้นมันจึงต้องมีพิษที่แรงพอที่จะสังหารนกในทันทีที่ถูกกัดนั่นเอง นอกจากนี้การอยู่บนเกาะที่หาอาหารได้ยากก็ยังทำให้ Golden Lancehead กลายเป็นงูที่ดุร้ายมากมันแทบจะโจมตีทุกสิ่งที่เข้าใกล้ จนทำให้อัตราการโดนงูกัดในบราซิลกว่า 90% มาจากงูสายพันธุ์นี้ทั้งหมด นั่นทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นดินแดนมรณะที่แทบจะไม่มีคนอยากย่างกรายเข้าไป อย่างไรก็ตามในเกาะนี้เองก็มีขุมทรัพย์ที่ไม่น่าเชื่อซ่อนอยู่เช่นกัน…
-
17 ภาพสะท้อน “ความเป็นจริงในปัจจุบัน” สภาพสังคมที่เราเห็นแล้วอาจยิ้มกันไม่ออก
เมื่อกาลเวลาเปลี่ยน หลายๆ สิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปตาม เช่นเดียวกันกับสภาพสังคม วิถีชีวิตของพวกเราในปัจจุบันที่มีความแตกต่างจากในอดีต และบางอย่างก็อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ เราสามารถมองเห็นถึงสิ่งเหล่านั้นได้ ผ่านภาพวาดการ์ตูนของศิลปินชาวคิวบา Angel Boligán ผู้สร้างผลงานเสียดสีและสะท้อนสังคมที่เราต้องพบเจอในยุคนี้ ยุคที่เราโดนกดขี่และครอบงำโดยเทคโนโลยี สิ่งยึดติด เครื่องเล่น อดัมกับอีฟ รั้งเอาไว้ กับดัก เวลาของการรับประทานอาหาร การเติบโตของเด็ก ผู้ชักใย ช่วงเวลาของคนรัก การแสดงความรักที่ต่างกันตามวัย บากบั่น ค้ำจุน หมดสิทธิ์ออกเสียง นักการเมือง การสลายไปของหนังสือ น้ำดื่ม ผู้ผดุงความยุติธรรม เพื่อนแท้ เพื่อนๆ สามารถลองไปติดตามผลงานในลักษณะนี้ของศิลปินคนดังกล่าวได้ที่อินสตาแกรม angelboligan รวบรวมและเรียบเรียงโดย #เหมียวตะปู
-
16 กฎหมายแปลกๆ ในสหรัฐอเมริกา พิลึกเกินหน้าเกินตา นี่ไม่ได้ตั้งเอาฮาหรอกนะจะบอกให้
ในแต่ละพื้นที่ทั่วโลกก็จะถูกปกครองกันด้วย “กฎหมาย” ที่แตกต่างกันออกไป บางอย่างอาจเหมือนกันก็มี แต่ที่ต่างไปเลยก็เยอะอยู่นะ แต่สำหรับกฎหมายทั้ง 16 ข้อใน สหรัฐอเมริกา นี้ มันไม่ได้มีแค่ความแตกต่างเพียงอย่างเดียว เพราะต้องบอกว่ามันเป็นกฎหมายที่ดูแปลกเอามากๆ แม้ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรถึงตั้งกฎเหล่านี้ขึ้นมา แต่เราลองไปดูดีกว่าว่ามีอะไรฮาๆ บ้าง รัฐแคลิฟอร์เนีย: ห้ามกิน “กบ” ที่ตายตอนกำลังถูกนำมาแข่งกระโดดอยู่ แหล่งที่มา: legislature รัฐฟลอริด้า: การมีส่วนร่วม อนุญาตให้ “โยนคนแคระ” ในร้านเหล้า ร้านอาหาร หรือร้านที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ เจ้าของร้านจะถูกปรับสูงสุด 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราวๆ 32,000 บาท) แหล่งที่มา: leg.state รัฐแอละแบมา: “พลุกระดาษ” (ปล่อยกระดาษสีเล็กๆ ให้กระจายออกไป) ถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แหล่งที่มา: library.municode รัฐแอริโซนา: ห้ามเอาของเหลือให้ “หมู” กิน จนกว่าจะได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง แหล่งที่มา: azleg รัฐอิลลินอยส์: คนขาย “สัตว์เลื้อยคลาน” จะต้องแนะนำให้ลูกค้าฟังเสมอว่า…
-
คลิปขณะที่แพทย์ดึง “พยาธิ” ออกมาจาก “ดวงตา” คนไข้!! ทั้งลุ้นและเสียวในเวลาเดียวกัน….
สำหรับใครที่กำลังคิดหาหนทางในการลดน้ำหนัก อยากจะกินให้น้อยลงกว่าเดิม บอกเลยว่าคลิปวิดีโอนี้อาจช่วยคุณได้อย่างแท้จริง นี่คือคลิป “การดึงพยาธิออกมาจากตา” ของคนไข้วัย 60 ปีคนหนึ่ง กับช่วงเวลาสุดระทึก เห็นแล้วรู้สึกทั้งขนลุกและหวาดเสียวไปพร้อมๆ กันเลย คำเตือน: ภาพและวิดีโออาจสะเทือนขวัญของผู้รับชมเป็นอย่างมาก คลิปนี้ถูกถ่ายในขณะที่แพทย์กำลังใช้คีมขนาดเล็กคีบเจ้าปรสิตที่อยู่ในดวงตาของคนไข้ หลังจากที่เขารู้สึกแปลกๆ กับดวงตาและมารับการตรวจที่โรงพยาบาล New Medical Centre เมือง Kundapur ประเทศอินเดีย เราจะเห็นได้ชัดเลยว่าตัวพยาธินั้นเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตรงบริเวณตาขาว เห็นแล้วก็รู้สึกยึกยือพิกล โดยแพทย์จำเป็นต้องคีบมันออกมาอย่างระมัดระวัง ไม่ให้มันตาย เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจตามมา เมื่อเอามันออกมาได้สำเร็จถึงทราบว่าเจ้าพยาธิที่เราเห็นนั้นมีความยาวถึง 15 เซนติเมตรเลยทีเดียว!! จากการรายงานบอกว่าพยาธิที่เราเห็นนั้นมีชื่อเรียกว่า Wuchereria Bancrofti เป็นปรสิตที่ถูกส่งต่อมาผ่านการถูก “ยุงกัด” พบในคนจำนวนกว่า 120 ล้านคนทั่วโลก และการติดเชื้อจากพยาธิชนิดนี้จะทำให้เกิด “โรคเท้าช้าง” ถึงอย่างนั้น แพทย์ก็บอกว่านี่เป็นกรณีที่หายากมาก เพราะปกติแล้วจะไม่ค่อยมีการพบพยาธิชนิดนี้อยู่ในบริเวณดวงตาของมนุษย์มาก่อน คลิปเอาพยาธิออกมาจากตา…
-
นี่คือ 10 วิธีที่เจ้าตูบใช้ “บอกรัก” มนุษย์ ถึงผมพูดไม่ค่อยเก่ง…แต่ก็รักมะนู้ดหมดใจนะฮับ~
สำหรับคนที่เลี้ยงสุนัขหรืออยากเลี้ยงเจ้าตูบสักตัวไว้เป็นเพื่อน สิ่งที่สำคัญคือต้องรู้จักธรรมชาติของพวกมันเสียก่อน เนื่องจากพวกมันไม่สามารถพูดกับเราได้วิธีสื่อสารของมันก็จะเหลือเพียง “ภาษากาย” เท่านั้น เราย่อมรู้ดีว่าเรานั้นรักเจ้าตูบของเรามากมายขนาดไหน แต่เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่า “เจ้าตูบของเรานั้นมันรักเราบ้างหรือเปล่า?” บทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ ได้เข้าใจเจ้าตูบของตัวเองมากขึ้นกับ วิธีการบอกรักของเจ้าตูบ ลองไปดูกันเลยว่า เมื่อพวกมันอยากบอกว่า “รักนะเจ้ามนุษย์” มันจะแสดงออกอย่างไรกันบ้าง! 1. จ้องตา งานวิจัยเผยว่า สุนัขก็คล้ายกับมนุษย์ที่สามารถสร้างความผูกพันเชิงอารมณ์ได้ทางสายตา ฉะนั้นหากเจ้าตูบของเรามองเข้ามาในตาเราอย่างซึ้งๆ ก็แปลว่ามันกำลังบอกรักเราอยู่นั่นเอง จาก sciencemag 2. เอาของเล่นมาให้ นักวิจัยพบว่าสุนัขนั้นเป็นสัตว์ที่ขี้หวงทรัพย์สินของตนเองมาก แม้จะเป็นเพียงของเล่นก็ตาม มันจะทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้คนหรือสัตว์แปลกหน้ามาแตะต้องของของมัน ฉะนั้น หากมันตัดสินใจคาบของเล่นมาให้ใครแล้วล่ะก็ หมายความได้ว่ามันรู้สึกรักและไว้ใจคนคนนั้นมากเลยล่ะ จาก pets4homes 3. เวลาคุณหาว มันก็จะหาวตามด้วย การศึกษาวิจัยพบว่า การที่สุนัขหาวตามคนนั้นเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากความเอาใจใส่ ที่มันหาวตามพวกเราก็เพราะมันอยากให้เรามีความเกี่ยวโยงและใกล้เคียงกับมันนั่นเอง จาก livescience 4. นอนหลับปุ๋ยกับคุณ ถึงจะไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์แต่แค่มองด้วยตาก็น่ารักแล้ว เมื่อเจ้าตูบของคุณเข้ามานอนหลับปุ๋ยบนเตียงหรือบนตัวของคุณนั้นก็เท่ากับมันรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่กับคน อีกทั้งยังเป็นสัญญาณของความรักและไว้ใจอีกด้วย 5. สายหางดุ๊กดิ๊ก นักวิจัยพบว่าการส่ายหางของสุนัขนั้นเป็นวิธีหนึ่งในการสื่อสาร และเมื่อมันส่ายหางให้เราดูก็แปลว่าพวกมันกำลังเปิดโอกาสให้เราเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ อีกทั้งยังต้องการได้รับความรู้สึกดีๆ จากเราอีกด้วย จาก petmd…
-
5 การดัดแปลงสายพันธุ์สัตว์ของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นจริงบนโลก และไม่ได้ทำไปเพื่อเป็นอาหาร
กลายเป็นเรื่องชินชาไปแล้วที่เมื่อพูดถึงการดัดแปลงพันธุกรรมหรือ “จีเอ็มโอ” แล้ว หลายๆ คนจะนึกถึงอาหารออกมาเป็นอย่างแรก อย่างการดัดแปลงสายพันธุ์หมูให้มีเนื้อแดงมากขึ้น แต่เชื่อหรือไม่ว่าบางครั้งมนุษย์ก็ทำการดัดแปลงสายพันธุ์สัตว์เพื่อเหตุผลอื่นๆ ที่ไม่ใช่การนำไปทำเป็นอาหารเช่นกัน เหมือนกับการดัดแปลงสายพันธุ์ต่อไปนี้ นักวิทยาศาสตร์แคนาดากำลังพยายามสร้างผึ้งที่ทนต่อโรคและอากาศหนาว ผึ้งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของแคนาดามาก ทั้งทางตรงอย่างน้ำผึ้งและทางอ้อมอย่างการผสมเกสรพืช อย่างไรก็ตามด้วยโรคในผึ้ง และอากาศโลกที่เปลี่ยนไป ปริมาณผึ้งในธรรมชาติของแคนาดาจึงกำลังลดลงอย่างน่าใจหาย นั่นทำให้นักวิทยาศาสตร์พยายามเป็นอย่างมากที่จะรักษาผึ้งของแคนาดาเอาไว้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจะต้องน้ำเข้าผึ้งจากต่างประเทศก็เป็นได้ นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ พยายามสร้างลิงที่เป็นออทิสติกและโรคจิตเภท นี่อาจจะฟังดูเลวร้ายสำหรับหลายๆ คน อย่างไรก็ตามนี่เป็นหนทางในการศึกษาอาการทางจิตของมนุษย์โดยไม่ต้องทดลองกับมนุษย์จริงๆ นี่เป็นโครงการที่การทดลองส่วนใหญ่จัดขึ้นในประเทศจีน เนื่องจากหากทำในสหรัฐฯ ที่เป็นบ้านเกิดพวกเขาอาจจะต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งกับกลุ่มปกป้องสิทธิสัตว์หลายครั้งเลยก็เป็นได้ นักวิทยาศาสตร์อินเดียสร้างด้วงที่มีสามตา นี่เป็นงานวิจัยที่ทำให้ด้วงมีตาที่สามงอกออกมาระหว่างตาทั้งสองดวง แถมยังใช้งานได้จริงอีกด้วย นี่เป็นการงอกอวัยวะใหม่แลกกับเขาที่เล็กลงหรือหายไป นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากเพราะตามปกติการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างร่างกายสิ่งมีชีวิตจะมาจากยีนหลายตัวมาก โดยการทดลองในครั้งนี้เชื่อกันว่าจะสามารถนำไปสู่การสร้างอวัยวะเทียมในห้องเล็บเลยก็เป็นได้ นักวิทยาศาสตร์ชาวเวียดนามได้สร้างม้าน้ำทองคำ นี่เป็นผลงานที่เกิดจากการผสมยีนของแมงกะพรุนกับทอง และฉีดให้กับไข่ของม้าน้ำ โดยการทำแบบนี้จะทำให้ม้าน้ำมีสีทองเป็นประกาย ซึ่งเชื่อกันว่าจะนำไปสู่การตัดแต่งสายพันธุ์ที่ดีขึ้นในอาหาร นอกจากนี้ทีมงานยังบอกด้วยว่าการทดลองนี้ยังอาจนำไปสู่การทดแทนยีนที่ไม่ดีของมนุษย์ด้วยยีนอื่นๆ ที่ดีกว่า และในปัจจุบันทีมของพวกเขาก็กำลังทดลองกับสัตว์อย่างหนู เพื่อคิดค้นอินซูลินรูปแบบใหม่ที่ช่วยรักษาโรคเบาหวาน นักวิทยาศาสตร์จีนดัดแปลงหมูเป็นสัตว์เลี้ยง จริงอยู่ที่การดัดแปลงสายพันธุ์สุกรจะเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คิด แต่ทราบหรือไม่ว่าที่จีนมีการดัดแปลง “หมูจิ๋ว” เพื่อมาเป็นสัตว์เลี้ยงด้วย ซึ่งที่จริงที่จริงแล้วหมูจิ๋วเป็นหมูสายพันธุ์ที่มีอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องดัดแปลงพันธุกรรมด้วยซ้ำ แต่ที่มีการสร้างหมูจิ๋วขึ้นมา มันมาจากความบังเอิญล้วนๆ เพราะเดิมทีแล้วนี่เป็นการกระทำเพื่อสร้างหนูทดลองในงานวิจัยเกี่ยวกับเซลล์ต้นกำเนิดต่างหาก นั่นทำให้ทางทีมวิจัยวางแผนที่จะขายหมู่ที่ว่าในราคา…
-
10 ข้อเท็จจริงของมนุษย์และร่างกาย ที่ “แปลกแต่น่าสนใจ” รู้เอาไว้ก็เท่ดีเหมือนกันนะ!
ร่างกายของมนุษย์เรานั้นเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า “มหัศจรรย์” เลยก็คงไม่ผิด เพราะร่างกายคนเรามีส่วนประกอบที่ละเอียดซับซ้อนแถมมีการทำงานที่หลากหลายและเป็นระบบ ถ้าคุณคิดว่าคุณรู้จักร่างกายตัวเองดีแล้ว เมื่ออ่านบทความนี้รับรองเลยว่าคุณจะต้องถอนคำพูด เพราะว่ามีอีกหลายสิ่งเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ที่คุณอาจไม่เคยรู้ งั้นวันนี้ไปชมกันเลยกับ 10 เรื่องจริงแปลกๆ ของร่างกาย ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน! 1. มนุษย์กับ “ตัวทาก” มีดีเอ็นเอที่เหมือนกันมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ จาก หนังสือ God’s Solution (2007) โดย Declan Hayes 2. การสะอึกเกิดจากการกระทำของบรรพบุรุษราว 370 ล้านปีก่อนที่ทำเพื่อป้องกันน้ำเข้าปอดขณะว่ายน้ำ จาก embarrassingproblems 3. โรคหัวใจมักกำเริบในวันจันทร์ (เพราะความเครียดที่ต้องออกจากวันหยุดไปทำงาน) จาก nytimes 4. มนุษย์คนเดียวก็สามารถเป็นอาหารให้กับ “ยุง” ได้ถึงหนึ่งล้านตัว จาก ba-bamail 5. คนเราจะโกหกได้ดีขึ้นเมื่อต้องการเข้าห้องน้ำ จาก วารสารการวิจัย Consciousness and Cognition เล่ม 37 หน้า 112-122 6.…
-
โปรเจกต์ ‘ถ่ายนู๊ดสลับร่าง’ นางแบบไม่ต้องแก้ผ้าต่อหน้ากล้อง แต่ช่างภาพแก้เองจ้า!
ด้านสายงานช่างภาพของนาย Trevor Christensen เป็นการถ่ายรูปแนวพอร์ตเทรต ซึ่งไม่ว่ากี่งานที่ผ่านมาปัญหาของตัวนางแบบหรือนายแบบ มักจะเกิดอาการเกร็ง ดูไม่ผ่อนคลายอย่างที่ควรจะเป็น Trevor Christensen ช่างภาพพอร์ตเทรต เป็นคนแก้ผ้าเอง และด้วยไอเดียที่จะช่วยทำให้ผู้อยู่ต่อหน้ากล้องรู้สึกผ่อนคลายได้ เขาจึงตัดสินใจ ‘ถ่ายนู๊ด’ แต่ไม่ใช่ให้คนถูกถ่ายแก้ผ้าหรอกนะ เพราะช่างภาพจะเป็นคนแก้ผ้าเอง!? Austin แฟนสาววัย 27 ปี Hillary เพื่อนวัย 24 ปี Jordan เพื่อนวัย 24 ปี Madelyne เพื่อนสมัยประถม อายุ 25 ปี “ความคิดผมเป็นแบบว่าผมคือคนที่รู้สึกสบายๆ เมื่อถ่ายภาพ ก็จะทำให้วัตถุหรือคนในภาพ รู้สึกสบายเมื่อต้องถูกถ่ายเช่นกัน แล้วถ้าหากผมเป็นช่างภาพที่ไม่ค่อยสบอารมณ์อยากถ่ายบ้าง คนที่ถูกผมถ่ายก็จะไม่รู้สึกแย่กว่าผมเหรอ?” Christensen กล่าวถึงโปรเจกต์นี้ วงดนตรี The Fictionist Susie อายุ 22…
-
18 เอกลักษณ์เฉพาะตัวของประเทศญี่ปุ่น หาที่ไหนไม่ได้แล้วนอกจากที่ ‘ญี่ปุ่น’ อ่ะ!!
เอกลักษณ์ประจำชาติที่ทำให้ทั่วโลกจดจำได้ เกิดขึ้นได้จากหลายๆ สิ่ง ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์มักจะเกิดจากความแปลก หรือ ความโดดเด่นของชาตินั้นๆ และชาติญี่ปุ่นเอง ก็มักจะมีอะไรให้เรารู้สึกแปลกใจและอึ้งอยู่เสมอ สิ่งที่พวกเขาทำกันเป็นปกติกลับกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ความญี่ปุ่น’ ไปแล้ว เพราะคงไม่มีใครใส่ใจเท่ากับที่นี่แล้วล่ะ!! รู้หรือไม่ว่าบนกระป๋องทุกใบ จะมีอักษรเบลล์สำหรับผู้พิการทางสายตาด้วย ระบุให้ทราบว่าเป็นเครื่องดื่มอะไร สปิริตของกองเชียร์ซามูไรน้ำเงิน ไปที่ไหนก็ยังคงเก็บขยะในส่วนของตัวเอง ให้เรียบร้อยอยู่เสมอ (เห็นได้จากทั้งบอลโลก 2014 และ 2018) ฝาปิดท่อระบายน้ำทุกเมืองจะมีเอกลักษณ์และสีสันเป็นของตัวเอง Love the customized manhole covers they have in each locality around #Japan. #urban #design #nofilter pic.twitter.com/0F76oog0hY — Jonathan Hsy 許維成 (@JonathanHsy) April 15, 2018 ฟังก์ชั่นเสียงรบกวนเวลาถ่ายหนัก ไม่ได้มีไว้ประดับเฉยๆ ใช้งานได้จริงเพื่อกลบเสียงวางระเบิด …
-
ที่มาของ #fallingstars เทรนด์การถ่ายรูปที่กำลังฮิต ดูกระจัดกระจาย เท่ได้แบบไม่ต้องเห็นหน้า
โลกโซเชียลมักจะมีอะไรเจ๋งๆ แปลกๆ มาให้เราได้ดู ได้ลองทำอยู่เสมอ อย่างเช่น Kiki Challenge หรือ Dele Alli Challenge อย่างที่เราเห็นกันไปก่อนหน้านี้ และล่าสุดก็ได้มีเทรนด์ยอดฮิตที่กำลังเริ่มแพร่กระจายออกไป กับการถ่ายรูปในแบบที่ชาวเน็ตเรียกว่า #fallingstars การถ่ายรูปแบบไม่ต้องเห็นหน้า ทำท่าเหมือนล้มลงไป ข้าวของกระจัดกระจาย ตัวอย่างการถ่ายรูปแบบที่เรียกกันว่า #fallingstars . . ตอนนี้บางคนอาจเริ่มสงสัยกันแล้วว่าเทรนด์ดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นมาจากไหนกัน ใครเป็นคนคิด? วันนี้เราจึงจะพาไปรู้จักและชมผลงานต้นฉบับของการถ่ายรูปในลักษณะนี้ โดยฝีมือช่างภาพชาวอิตาลีที่ชื่อว่า Sandro Giordano ผู้ให้กำเนิดการถ่ายภาพในแบบดังกล่าว Sandro ผู้คิดค้นการถ่ายภาพในลักษณะนั้น เขาได้อธิบายเอาไว้ว่าตนเองได้คิดการถ่ายภาพในลักษณะนี้ขึ้นเพื่อเป็นเหมือนกับการถ่ายทอดให้เห็นถึงการใช้ชีวิตอันยากลำบากในปัจจุบัน จนทำให้เราอยากจะภาพตัด ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ล้มลงไปซะตอนนั้นเลย ภาพที่เห็นแสดงถึงความเหนื่อยล้ากับชีวิตความเป็นอยู่ ถ่ายทอดออกมาอย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยเขามองว่า “ความสมบูรณ์แบบ” ก็คือ “ความไม่สมบูรณ์แบบ” นั่นเอง ผลงานของเขา ในหัวข้อที่ชื่อว่า IN EXTREMIS และเหตุผลที่เขาไม่ถ่ายให้เห็นใบหน้าของนายแบบนางแบบก็เพราะเขาคิดว่า “มันไม่จำเป็น เพราะในแต่ละภาพ…
-
16 ภาพการ์ตูนเล่น “มุกควาย” สไตล์ฝรั่ง แถมได้ฝึกจำคำศัพท์กันด้วยนะเอ้อ!!
นับวันคนไทยเราจะยิ่งมีอารมณ์ขันกันมากขึ้น สังเกตได้จากการเล่นมุกกันบนโลกโซเชียลที่เรียกได้ว่า ปู ชง ตบ กันได้อย่างไม่มีติดขัด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะนอกจากจะได้เสียงหัวเราะแล้วยังเหมือนเป็นการบริหารสมองไปด้วย สำหรับภาษาอังกฤษเองก็มีการเล่นมุกตลก (มุกควาย) เหมือนกันนะ แต่วันนี้จะเป็นมุกที่เกี่ยวกับคำศัพท์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านได้ชมมุกควายแล้วยังได้จดจำคำศัพท์เพิ่มขึ้นอีกด้วย เอาล่ะ ไปชมพร้อมๆ กันเลยดีกว่ากับ 16 คำศัพท์ที่มาพร้อมมุกควาย ผลงานสุดฮาสุดน่ารักจาก HandsOffMyDinosaur ซึ่งจะช่วยให้จำศัพท์ได้ดีขึ้น! 1. Planet = ดาวเคราะห์ Plan = แผน, วางแผน Screw *แสลง* = พัง, ยุ่งเหยิง 2. Parking = ที่จอดรถ King = ราชา Queen = ราชินี 3. Robot = หุ่นยนต์ Robe = ผ้าคลุมอาบน้ำ Nude = เปลือยกาย 4. Tyrannosaurus =…
-
ชาวเน็ตแชร์ภาพตัวเองตอนเป็น ลูกเป็ดขี้เหร่กับปัจจุบัน นี่คนเดียวกันจริงๆ ป่าวเนี่ย
หลายคนอาจจะเคยได้ยินนิทานเรื่อง ลูกเป็ดขี้เหร่ ลูกหงส์น้อยที่ดันหลงไปอยู่ในฝูงเป็ด เมื่อมันเติบโตมาในฝูงเป็ด มันมีลักษณะที่ไม่เหมือนกับลูกเป็ดน้อยตัวอื่นๆ เลยโดนเรียกว่าเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ แต่พอเมื่อมันโตขึ้นกลับรู้ว่าตัวเองนั้นไม่ใช่ลูกเป็ดแต่อย่างใด มันคือหงส์ที่ต้องรอเวลาที่เหมาะสมถึงจะฉายความงามออกมา วลี “ลูกเป็ดขี้เหร่” จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยกับคนที่ตอนเป็นเด็กนั้นขี้เหร่ แต่พอโตขึ้นมาแล้วกลับสวย หล่อขึ้นมา ชาวเน็ตได้มีการร่วมกันแชร์รูปภาพของตัวเองแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเองทั้งก่อนและหลัง เมื่อดูๆ แล้ว น่าจะเข้ากับคำว่า “ลูกเป็ดขี้เหร่” มากๆ เลย เชื่อเถอะว่าการดัดฟันนั้นสามารถเปลี่ยนใบหน้าคนได้จริงๆ ไม่มากก็น้อยเลยล่ะ การเปลี่ยนแปลงในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปี อย่าดูถูกเด็กอ้วนข้างบ้าน โตมาอาจจะหล่อเหลาแบบนี้ก็ได้ ตอนเด็กก็มีเค้าความสวยอยู่นะ ยิ่งโตยิ่งสวย นอกเรื่องแป๊บ ทรงผมตอนเด็กนายจ๊าบจริงๆ อายุ 17 กับ 25 คือมันดี๊ดีจริงๆ นี่คนเดียวกันเปล่าค้าบบบบ พอโตปุ๊บ ฉายความหล่อมาเลย ดูกล้ามนั่น ให้ตายสิ >< สวยไม่สวย ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาบ้าๆ บ๊อง…
-
6 โรงเรียนสุดแปลกแหวกแนว ที่ไม่อยากเชื่อว่าจะมีจริง…!!
“โรงเรียน” คือสิ่งที่เราเอาไว้ใช้เรียกสถานที่ที่คอยมอบความรู้และสอนการใช้ชีวิตพื้นฐานให้กับเด็กๆ รุ่นใหม่ตั้งแต่ชั้นบริบาลจนถึงระดับดุษฎีบัณฑิต โดยธรรมดาแล้วโรงเรียนก็จะเป็นสถานที่เราสามารถกันได้บ่อยๆ แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าในโลกนี้ยังมีโรงเรียนอีกหลายแห่งที่ “ไม่ธรรมดา” และคุณจะไม่สามารถพบเจอได้บ่อยๆ แน่ๆ เหมือนอย่างโรงเรียนสุดแปลกแหวกแนวที่เราจะนำมาให้เพื่อนๆ ได้ดูกันในวันนี้ครับ 1. โรงเรียนบนเรือ จากประเทศบังกลาเทศ ประเทศบังกลาเทศ เป็นประเทศที่ถือว่าเจออุทกภัยอยู่บ่อยครั้ง นั่นก่อให้เกิดปัญหาแก่ทุกๆ คนไม่เว้นแต่นักเรียนที่ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ เพื่อแก้ปัญหานี้ Swanirvar Sangstha องค์กรไม่แสวงหากำไรจึงได้ทำการสร้างโรงเรียนบนเรือขึ้นมา โดยโรงเรียนบนเรือถูกสร้างขึ้นทั้งหมด 100 ลำและในนี้จะเป็นที่ที่มีอุปกรณ์การเรียนรู้อย่างครบครันไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต แถมยังมีห้องสมุดเล็กๆ ให้อีกด้วย และแม้ว่าปัญหาน้ำท่วมจะหายไปแล้ว แต่โรงเรียนบนเรือก็ยืนยันเปิดให้บริการอยู่ 2. โรงเรียนประถมและหลุมหลบภัย Abo โรงเรียน Abo ตั้งอยู่ในเมือง Artesia รัฐนิวเม็กซิโก ในช่วงสงครามเย็นมีแนวโน้มว่าเมืองจะเกิดสงครามอาวุธนิวเคลียร์เกิดขึ้น ประธานาธิบดี John F. Kennedy จึงได้ตัดสินใจสร้างที่โรงเรียน Abo ขึ้นเพื่อทำเป็นทั้งสถานที่มอบความรู้แก่เด็กๆ และใช้เป็นหลุมหลบภัยยามจำเป็น 3. โรงเรียนมัธยม Harvey Milk ในโรงเรียนที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1985…
-
5 ปริศนา “กระตุ้นไหวพริบ” ฝึกสมองให้ได้ขบคิดก่อน แล้วค่อยอ่านเฉลยนะจ๊ะ~
การทำงานมันต้องใช้สมองและความคิดเป็นอย่างมาก แต่บางครั้งสมองของเราก็ไม่ได้พร้อมที่จะใช้งานตลอดเวลา มันต้องมีการกระตุ้นกันบ้างจริงไหม? การฝึกให้สมองได้ขบคิดอะไรเล็กๆ น้อยๆ ดูท่าจะเป็นแบบฝึกของสมองที่ได้ผลดีทีเดียว วันนี้เราเลยนำแบบฝึกมาให้สมองของท่านได้รับการกระตุ้นกันสักหน่อย ขอเชิญเหล่าผู้มีปัญญาและไหวพริบทั้งหลายมาพบกับ 5 ปริศนาประลองไหวพริบ จะยากจะง่ายไม่สำคัญ แต่อย่างน้อยขอให้สมองได้ขบคิดบ้างก็ถือว่าได้ประโยชน์แล้ว!! ข้อแรก ห้องห้องหนึ่งมีพี่น้องหญิงสาวอยู่ด้วยกัน 5 คน: เอมิลี กำลังอ่านหนังสืออยู่, บาร์บารา กำลังทำอาหาร, เคที กำลังเล่นหมากรุก ส่วน เจมี กำลังซักผ้า คำถาม: คนสุดท้ายที่เหลือ ทำอะไรอยู่? ข้อที่สอง มีชายสองคนอยู่ในห้องเดียวกัน คนหนึ่งหันหน้ามองไปทางทิศใต้ คนหนึ่งหันหน้ามองไปทางทิศเหนือ คำถาม: ทั้งสองคนสามารถมองเห็นกันได้อย่างไรโดยไม่ใช้กระจก? ข้อที่สาม คุณติดอยู่ในห้องใต้ดินของบ้านหลังหนึ่งที่มีสวิตช์ไฟอยู่ 3 อันสำหรับเปิดไฟ 3 ดวงของชั้นบน คุณต้องหาให้พบว่าสวิตช์ไฟอันไหนใช้กับไฟดวงไหน โดยก่อนจะตอบคุณสามารถขึ้นไปดูที่ชั้นบนได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น คำถาม: คุณจะตอบให้ถูกได้อย่างไร? ข้อที่สี่ พ่อ 2 คนกับลูก 2 คนออกไปล่าสัตว์ในป่า แต่ละคนยิงกระต่ายได้คนละ…
-
15 ความจริงอัน ‘น่าสะเทือนขวัญ’ ของโลกมนุษย์ แล้วเราจะรู้จักโลกใบนี้มากขึ้น…
โลกเรานี้มีความจริงหลายประการที่น่ากลัวเกินกว่าจะเชื่อได้ แต่ได้ชื่อว่าเป็น ความจริง แล้วแสดงว่ามันจะต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงแล้วได้รับการบันทึกไว้ให้ผู้คนได้ประจักษ์ ความจริงหลายๆ อย่างก็เป็นเรื่องใกล้ตัว ที่เราไม่เคยสังเกตมาก่อน เช่น เรื่องของหัวใจที่มีแรงดันมากพอจะฉีดเลือดให้พุ่งไปไกลได้ถึง 9 เมตร เป็นต้น ยังมีความจริงที่ไม่จรรโลงใจแบบนี้อีกมากมาย ขอเชิญทุกท่านไปชมกันเลยกับ 15 ความจริงสะเทือนขวัญ ที่ฟังแล้วอาจทำให้ขนลุกได้… 1. หัวใจของคุณสามารถฉีด เลือด ให้พุ่งออกมาได้ไกลถึง 9 เมตรเลยล่ะ จาก The Physiology of Faith 2. Gaslighting คือการคุกคามทางจิตใจ ที่บุคคลจะได้รับข้อมูลปลอมมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดข้อ สงสัย ในความทรงจำของตนเอง (คล้ายๆ ว่าล้างสมองด้วยจิตวิทยา) จาก Gaslighting 3. ในปี 1977 มนุษย์ได้รับคลื่นวิทยุจาก นอกโลก คลื่นสัญญาณมีความยาว 72 วินาที ปัจจุบันยังไม่มีใครทราบที่มาของสัญญาณนี้ จาก Wow! signal 4. ประเทศสหรัฐอเมริกา มีคนตายราว 6,000 คนต่อปีเนื่องจากการใช้…
-
แค่รักหมาก็หาเงินเข้าบ้านได้ มาพบกับชายที่ทำเงินได้หลักล้านจากความรักหมากัน
คนรักหมามีอยู่มากมายทั่วโลก และพวกทุกคนต่างก็มีความรักให้หมาอย่างท่วมท้นกันทั้งนั้น แต่คงมีไม่กี่คนหรอกที่ใช้ความรักนี้เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพได้ด้วย เรียกได้ว่ารักหมาทำให้ทั้งสุขใจและรวยทรัพย์ไปพร้อมๆ กัน หนึ่งในนั้นก็คือหนุ่ม Matthew Nelson เจ้าของทวิตเตอร์ @dog_rates ที่โด่งดัง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อผู้ชายงานว่า WeRateDogs นั่นเอง WeRateDogs เป็นทวิตเตอร์ที่ทำการรีวิวคะแนนความน่ารักให้เจ้าหมาที่เพื่อนๆ ทางบ้านส่งมาให้ แม้ว่าจะทำอะไรง่ายๆ แต่มันก็โดนใจคนจำนวนมาก จนตอนนี้มียอดฟอลโลว์ทะลุ 7 ล้านไปแล้ว ด้วยยอดฟอลโลว์ที่สูงมากขนาดนี้ ทำให้ Nelson สามารถใช้มันทำธุรกิจอย่างการลงโฆษณาหรือขายสินค้าได้ด้วย ทำให้เขามีความสุขกับการรีวิวน้องหมา และมีเงินใช้ในแต่ละเดือนด้วย Nelson เริ่มสร้างทวิตเตอร์นี้ขึ้นเมื่อปี 2015 ตอนที่เขาอยู่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย โดยมีเป้าหมายว่าจะทำมันเพื่อความสนุก และสร้างรอยยิ้มให้กับคนรักหมาเท่านั้น เขาบอกว่า “ในอินเตอร์เน็ตมีแอคเคาท์ที่ลงรูปสัตว์น่ารักอยู่มากมาย แต่ไม่มีใครที่ใช้ประโยชน์จากส่วนที่ใช้พิมพ์ข้อความคู่กับรูปน่าๆ พวกนั้นเลย ผมก็เลยทำซะเอง” แค่ไม่กี่เดือนทวีตของเขาก็มีคนฟอลโลว์มากกว่า 100,000 คนแล้ว ซึ่งก็ถือว่าเกินความคาดหมายของเขามาก แต่ก็ยังถือว่าเทียบไม่ได้เลยกับยอดฟอลโลว์ปัจจุบัน หลังจากที่ทวิตเตอร์ของเขาเริ่มกลายเป็นธุรกิจเต็มตัว Nelson ก็ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย Campbell University เพื่อที่จะได้ดูแลทวิตเตอร์อย่างเต็มตัว และนี่คือตัวอย่างการให้คะแนนหมาของเขา… นี่คือเจ้า Jinx…
-
ทฤษฎีใหม่สุดแปลก พระเยซูคริสต์ใช้ “กัญชา” ในการแสดงปาฏิหาริย์รักษาผู้คน!!
อย่างที่เราทราบกันว่าการใช้กัญชาเพื่อการรักษาเริ่มที่จะกลายเป็นที่ยอมรับในหลายๆ ประเทศแล้ว แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนเดินมาบอกว่า การใช้กัญชารักษามีมานานกว่าที่เราคิดมาก นานถึงขั้นที่ว่าพระเยซูคริสต์เองก็เคยใช้กัญชาในการแสดงปาฏิหาริย์การรักษามาแล้ว!! นี่เป็นทฤษฎีที่ถูกเผยแพร่ออกมาโดยคุณ David Bienenstock นักเขียนและบรรณาธิการของนิตยสาร “High Times” ซึ่งมีความเชื่อว่ากัญชาน่าจะนิยมใช้ในทางแพทย์ในทางตะวันออกกลางเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แนวคิดที่ว่าพระเยซูคริสต์ใช้กัญชาในการรักษานั้นมาจากชื่อของพืชประหลาดในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสูตรการทำน้ำมันเจิมศักดิ์สิทธิ์ใน Exodus (อพยพ) 30: 22-25 พืชที่ว่านี้ถูกเรียกว่า “Q’aneh-bosm” ซึ่งในพระคัมภีร์ภาษาไทยระบุไว้ว่าเป็นตะไคร้ อย่างไรก็ตาม Chris Bennett นักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับกัญชาผู้ออกหนังสือจำนวนมากกลับบอกว่า Q’aneh-bosm บางครั้งก็ถูกเรียกว่า “Keneh-bosm” และมีความเป็นไปได้ว่ารากศัพท์ของคำว่า “Kan” จาก Keneh จะแปลว่า กัญชา หรือพืชจำพวกกก ส่วน Bosm น่าจะแปลว่า กลิ่นหอม นั่นทำให้มีความเป็นไปได้ที่ว่าตัวตนที่แท้จริงของ Q’aneh-bosm จะเป็นกัญชานั่นเอง อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ใช่ว่าจะไม่มีคนออกมาโต้แย้งเลย เพราะ Lytton John Musselman ศาสตราจารย์วิชาพฤกษศาสตร์ที่ Old Dominion University ก็ได้ออกมาบอกว่า Q’aneh-bosm นั้นน่าน่าจะแปลว่า “ว่านน้ำ” มากกว่า นี่เป็นแนวคิดที่ตรงกับที่นักประวัติศาสตร์หลายๆ คนเชื่อ เพราะตั้งแต่ในอดีตว่านน้ำมักจะถูกใช้ในการรักษาอยู่เสมอ อีกทั้งยังถูกใช้มาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบันเลยอีกด้วย …
-
ชมทฤษฎีจากคนที่เชื่อว่า “โลกแบน” กับการพยายามอธิบายเหตุการณ์ “จุดราตรีเสมอภาค”
คนเรานั้นรู้ว่าแท้จริงแล้วโลกกลมมาตั้งแต่ในอดีต และที่ผ่านมาก็มีคนที่ออกมาพิสูจน์เรื่องนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโคลัมบัส กาลิเลโอ และเหล่าคนมีชื่ออื่นๆ จากหลากหลายวงการ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนที่เชื่อว่าโลกแบนอยู่ในปัจจุบันอยู่ดี พวกเขาคิดว่าแนวคิดเรื่องโลกกลมที่ผ่านๆ มาทั้งหมดเป็นเพียงข้อมูลชวนเชื่อของนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น และมีการนำแนวคิดทางวิชาการมากมายมาเพื่อยืนยันความคิดของพวกเขาเอง รูปแบบแผนที่ของโลกที่แบน และล่าสุดนี้เองพวกเขาก็ได้ออกมาพยายามอธิบายเกี่ยวกับ “จุดราตรีเสมอภาค” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้กลางวันเท่ากับกลางคืนเนื่องจากดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งพอดีกับเส้นศูนย์สูตรนั่นเอง นี่เป็นเหตุการณ์ที่อธิบายได้ยากมากหากโลกไม่ได้เป็นทรงกลมและหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าคนที่เชื่อว่าโลกแบนก็สามารถหาทฤษฎีมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นจนได้ จากข้อมูลของ Samuel Birley Rowbotham เจ้าของบทความเกี่ยวกับทฤษฎีโลกแบนที่มีชื่อเสียง ดูเหมือนว่าเดิมทีแล้วเหล่าคนที่เชื่อว่าโลกแบนจะใช้แผนที่ที่มีขั้วโลกเหนือเป็นศูนย์กลางของแผนที่ และคิดว่าดวงอาทิตย์นั้นเป็นก้อนแก๊สที่ลุกเป็นเพลิงอยู่ตลอดเวลาที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วรอบโลก พวกเขาบอกว่าดวงอาทิตย์ที่ว่าจะมีรูปแบบการเคลื่อนที่ และความสูงจากพื้นที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล แต่จะอยู่ที่ประมาณ 5,000 กิโลเมตรเหนือพื้นโลกนั่นเอง และในช่วงจุดราตรีเสมอภาคดวงอาทิตย์ก็จะเคลื่อนที่ตามเส้นศูนย์สูตรพอดี ทำให้กลางวันกับกลางคืนเท่ากันนั่นเอง อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี่มีจุดบอดอยู่ นั่นก็คือการที่ดวงอาทิตย์อยู่เหนือพื้นโลกไป 5,000 กิโลเมตร จะทำให้ดวงอาทิตย์ “ไม่มีวันตก” เนื่องจากดวงอาทิตย์จะไม่เคลื่อนที่ลงไปอยู่ต่ำกว่าระดับ เส้นขอบฟ้านั่นเอง หากอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมของทฤษฎีดวงอาทิตย์ไม่มีวันตก เพื่อนๆ สามารถเข้าไปชมกันได้ที่ช่องยูทูบ Wolfie6020 นอกจากนี้การที่จะให้ดวงอาทิตย์ตกในทิศที่ถูกต้องในวันที่มีจุดราตรีเสมอภาค แสงอาทิตย์ของเหล่าคนที่เชื่อว่าโลกแบนยังต้องมีการโค้งและหักเหที่แปลกประหลาดมากอีกด้วย นั่นทำให้จนถึงปัจจุบันยังไม่มีโมเดลโลกแบนใดๆ ที่สามารถแก้ปัญหาจุดราตรีเสมอภาคได้อย่างแท้จริง ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีคนพยายามที่จะทำมัน ดังนั้นไม่แน่ว่าในอนาคต เราอาจจะได้เห็นทฤษฎีใหม่แบบแปลกๆ จากเหล่าผู้คนที่เชื่อว่าโลกใบนี้แบนก็เป็นได้ ที่มา livescience และช่องยูทูบ Flat Out
-
ศิลปินสรรค์สร้างโปรเจกต์ Toy Stories เก็บภาพ ‘ของเล่น’ ของเด็กๆ ที่อยู่ทั่วโลก!!
หากย้อนกลับไปในวัยเด็ก ทุกคนต่างก็ต้องเคยมี ‘ของเล่น’ เป็นของตัวเอง และมันเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยคลายความเหงาได้เป็นอย่างดีในเวลาว่าง แต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่า ในแต่ละประเทศทั่วโลกนั้น เหล่าเด็กๆ จะเล่นของเล่นแบบไหนกันบ้าง? จะเหมือนกับที่เราเคยเล่นเมื่อตอนยังเป็นเด็กๆ หรือไม่ หรือไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนๆ กันไปหมด สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะพาเพื่อนๆ ไปชมผลงานโปรเจกต์ถ่ายภาพของช่างภาพ Gabriele Galimberti จากประเทศอิตาลี ในชื่อว่า Toy Stories ซึ่งเขาจะพาทุกคนไปชมของเล่นของเหล่าเด็กๆ จากทั่วโลก!! “ผมได้ทำการบันทึกสิ่งของต่างๆ ที่สร้างความสนุกสนานให้กับเหล่าเด็กๆ ซึ่งมันสามารถบอกเล่าถึงวัฒนธรรม และเบื้องหลังชีวิตที่พวกเขาได้เติบโตมา แม้มันจะดูไม่มีค่าหรือดูแปลกอะไร แต่ก็เป็นความภาคภูมิใจ ที่มันสามารถสร้างความสนุกสนานและเป็นเพื่อนให้กับพวกเขาได้เป็นอย่างดี” Gabriele กล่าวถึงผลงานของตัวเอง เขาเดินทางไปยัง 50 ประเทศทั่วโลก เพื่อสร้างโปรเจกต์ Toy Stories ขึ้นมา และนี่คือเรื่องราวที่เขาเก็บมาได้ จะเป็นอย่างไรลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… Noel Hawthorne วัย 5 ขวบ จากเมือง South Dallas รัฐ Texas…
-
15 ภาพอวัยวะของร่างกาย เมื่อมองผ่าน ‘กล้องจุลทรรศน์’ ราวกับสิ่งที่เราไม่รู้จักมาก่อนในชีวิต!?
เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะรู้จักกับ ‘อวัยวะ’ ในร่างกายเป็นอย่างดี เพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัวของเรามากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่เพื่อนๆ เคยเห็นภาพของพวกมัน ‘ผ่านกล้องจุลทรรศน์’ หรือไม่ ขอบอกเลยว่ามันจะกลายเป็นภาพ ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตเลยทีเดียว ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… 1. ลิ้น 2. กระดูก 3. ลำไส้เล็ก 4. หัวใจ (ตรงบริเวณหลอดเลือดหัวใจ) 5. ผิวหนัง 6. ม่านตาดำ 7. ปอดของคนที่มีสุขภาพดี 8. เซลล์มะเร็งปอด 9. เม็ดเลือดแดง 10. รังไข่ (ที่มีการตกไข่) 11. เส้นผม 12. ฟัน 13. คราบแบคทีเรียที่เกาะบนฟัน …
-
ชาวเน็ตแชร์ “มุกตลกร้าย” ของการเป็นคนเก็บตัว (Introvert) ให้เราเข้าใจมากขึ้น!
การที่คนเรามี บุคลิกภาพแบบเก็บตัว (Introvert) นั้นบางครั้งก็ไม่รู้จะอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่างไร เช่นว่าบางครั้งคนเหล่านี้ก็อยากให้คนนู้นคนนี้ชวนไปเที่ยว แต่ติดตรงที่ว่าไม่ชอบเข้าสังคมเสียนี่ หลายครั้งก็เกิดความเข้าใจผิด หรือผิดใจกันในหมู่เพื่อนเลยก็มี ที่คนซึ่งมีลักษณะแบบ Introvert ไม่ยอมออกมาเที่ยวหรือมาร่วมสังสรรค์ร่วมกันกับเพื่อนๆ ครั้งนี้ชาวเน็ตที่มีบุคลิกแบบเก็บตัวทั้งหลายจึงพากันออกมา เล่นมุกตลกร้ายๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ชาว Introvert เป็น เผื่อคนทั่วไปมาอ่านจะได้เข้าใจมากขึ้น เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วไปชมกันเลย… 1. ฉันฝึกจินตนาการเรื่องเผชิญหน้ากับคนอื่นมาเป็น 10 ครั้งแล้ว แต่พอเจอจริงๆ ก็ลืมไปทั้งหมด ใครทำได้อย่างที่คิดฉันก็ขอยินด้วยด้วย จาก infj-fish 2. อยากถูกชวนแต่ไม่อยากไปไหน อยู่บ้านมันเหงาแต่ก็ไม่อยากให้ใครมาอยู่ด้วยนอกจากคนที่ชอบเท่านั้น และแม้ว่าจะเป็นคนที่ชอบ เอาจริงๆ ก็ยังไม่อยากให้เขาอยู่นานเลย จาก southernbellecityhippie 3. Dylan: “ไปเที่ยวกันมั้ย พรุ่งนี้?” Jorel: “เมื่อวานฉันเข้าร่วมงานสังคมไปแล้วอะ ยังไงช่วยรอสัก 3 วันนะ จนกว่าตัวฉันจะพร้อมทำกิจกรรมสังคมใหม่อีกครั้ง” จาก incorrecthollywoodundeadquotes 4. วิธีฆ่าคน Introvert: ปล่อยให้มันอดอาหารจนหิวเกือบตาย แล้วเอาคนแปลกหน้าเข้าไปยืนในห้องครัวซะ จาก justin-feddichini 5.…
-
22 ภาพเคลื่อนไหว ที่จะทำให้คุณรู้ว่ากระบวนการต่างๆ ในโลกนี้เขาทำกันได้อย่างไร
การสร้างสรรค์สิ่งของหรือกระบวนการต่างๆ นี้เองก็ถือว่าเป็นศาสตร์สุดมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ที่หากคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการนั้นๆ หรือไม่ได้รู้จักกับคนในวงการจะไม่รู้วิธีทำเลย แล้วเพื่อนๆ ล่ะมีกระบวนการไหนที่สงสัยว่ามันทำขึ้นมาได้อย่างไรบ้างรึเปล่า? หากว่ามี ก็ไม่ต้องห่วงไป วันนี้ #เหมียวโคบี้ ได้นำภาพการกระบวนต่างๆ ที่หลายๆ คนสงสัยมาให้ได้ชมกันแล้วครับ ขอบอกเลยว่าน่าสนใจฝุดๆ ถ้าพร้อมแล้วเราไปรับชมกันเลยครับผม 1. เคยสงสัยกันบ้างมั้ยว่าแม่พิมพ์คุกกี้เขาทำกันอย่างไร https://www.instagram.com/p/BnjsJyYnp_E/?utm_source=ig_embed&utm_campaign=embed_video_watch_again 2. วิธีการทำโลโก้สุดจ๊าบ https://instagram.com/p/Bnabx4Clu41/?utm_source=ig_embed 3. เบื้องหลังการถ่ายทำฉากแอคชั่นในภาพยนตร์ https://www.instagram.com/p/BnJj4uQneLd/?utm_source=ig_embed 4. วิธีที่ไม้เลื้อยใช้เพื่อจะนำพาตัวเองเลื้อยขึ้นเสาที่อยู่ไกลให้ได้ 5. วิธีที่สอนให้น้องหมาดมกลิ่นยาเสพติด 6. การดับไฟป่าโดยใช้เฮลิคอปเตอร์ https://instagram.com/p/BnSAn_NFJDN/?utm_source=ig_embed 7. เครื่องจักรที่ใช้เก็บขยะในแม่น้ำ ลำคลอง 8. การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำ เมื่อมองผ่านดาวเทียม 9. การอัดขึ้นรูปพลาสติกนี่น่าอัศจรรย์ https://instagram.com/p/BmoaCNcAMSD/?utm_source=ig_embed 10. การทำเมคอัพแบบมือโปรที่เราเห็นกันในหนังฮอลลีวูดบ่อยๆ 11. เคยสงสัยหรือไม่ว่าเวลาเขาถ่ายทำมุมมองข้างพวกนกที่บินอยู่ เค้าทำกันได้อย่างไร?…
-
20 สาระน่ารู้เกี่ยวกับ “สัตว์โลก” นานาชนิด ความน่ารัก สัญชาตญาณอันโดดเด่น ที่เราอาจไม่เคยรู้
เรายังคงต้องอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ร่วมกับเหล่า “สิงสาราสัตว์” นานาชนิด โดยที่เราอาจไม่เคยคิดที่จะสนใจการใช้ชีวิตของพวกมันกันมาก่อนเลย แต่ทว่าความเป็นจริงยังคงมีอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับพวกมัน และบางอย่างอาจทำให้เราอิจฉาในสัญชาตญาณความน่ารักของมันด้วยก็ได้ ยกตัวอย่างเป็น 20 เรื่องราวน่ารู้เหล่านี้ที่จะช่วยเปิดโลกทัศน์ของเพื่อนๆ ให้กว้างขึ้น 1. “นากทะเล” จะจับมือกันไว้ขณะที่นอนหลับ เพื่อไม่ให้แยกจากกันขณะลอยตัวอยู่ แหล่งที่มา: dailymail 2. “นาก” จะอุ้มลูกน้อยขึ้นมาเวลาที่เจออันตราย เพื่อหวังว่านักล่าจะรู้สึกเห็นใจมันบ้าง แหล่งที่มา: animals.mom 3. “กระรอก” ปลูกต้นไม้เป็นพันๆ ต้นในแต่ละปี เพราะพวกมันมักจะจำไม่ได้ว่าฝังลูกโอ๊กไว้ตรงไหนบ้าง แหล่งที่มา: sciencedaily 4. “โลมา” มีภาษาเป็นของตัวเอง และมีการตั้งชื่อให้กับแต่ละตัวเวลาเรียกหากันด้วย แหล่งที่มา: animalfactsencyclopedia 5. “นกพัฟฟิน” จะครองรักกับคู่ของมันไปตลอดชีวิต เมื่อเจอคู่แท้แล้วจะพากันไปสร้างรังอยู่บนหน้าผา ใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น แหล่งที่มา: natgeokids 6. “หอยนางรม” สามารถเปลี่ยนเพศได้ โดยจะเลือกเพศที่เหมาะที่สุดในการครองรักกับอีกฝ่าย แหล่งที่มา: wikipedia 7. “ม้าน้ำ” จะครองรักกับคู่ของมันไปตลอดชีวิต และจะเกี่ยวหางกันเอาไว้อยู่เสมอ แหล่งที่มา: scribol…
-
ทาสแมวจงระวัง!! เพราะชายคนนี้ “ติดเชื้อหายาก” จากน้องเหมียว อันตรายถึงชีวิต!!
หากใครกำลังอุ้มน้องเหมียวอยู่ หลังจากอ่านเรื่องนี้ไปเพื่อนๆ อาจต้องรีบปล่อยมันไปในทันที เพราะมีคนที่ “ติดเชื้อร้ายแรง” อันตรายถึงชีวิตจากน้องแมวมาแล้ว กรณีดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ New England Journal of Medicine ชายคนหนึ่งจากรัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา ได้รับเชื้อแบคทีเรียที่ส่งผ่านมาจากแมวของเขา จากการรายงานบอกว่าชายคนดังกล่าวมีอาการไข้ขึ้นอยู่นานเป็นสัปดาห์ แถมยังมีรอยบวมแดงเกิดขึ้นบริเวณคอด้านขวาของเขาอยู่อย่างนั้นถึง 2 เดือน ชายหนุ่มเล่าให้แพทย์ฟังว่า 2 วันก่อนหน้าที่จะมีอาการดังกล่าว แมวของเขาได้ตายไปด้วยโรคที่สัตวแพทย์บอกว่ามันป่วยเป็น “มะเร็งเม็ดเลือดขาว” โดยไม่มีการตรวจสอบอย่างละเอียด แต่จากอาการของเขานั้น แพทย์ได้สรุปออกมาว่าแท้จริงแล้วแมวของเขาอาจได้รับเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Francisella Tularensis ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตทั้งกับคนและสัตว์ เชื้อแบคทีเรียดังกล่าวสามารถพบได้ในแมว ซึ่งมันอาจติดเชื้อมาจากการไปล่าเหยื่อที่มีเชื้อโรค จากนั้นก็ส่งเชื้อดังกล่าวผ่านมาให้กับคน โดยอาจเป็นการข่วนหรือกัด ด้วยเหตุนั้นเอง ชายคนนี้จึงต้องเข้ารับการรักษา ใช้ยาปฏิชีวนะอยู่นานกว่า 4 เดือน ถึงได้หายเป็นปกติได้ในที่สุด โรค Tularensis หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โรคไข้กระต่าย” เป็นโรคติดต่อจากสัตว์ถึงคน โดยเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Francisella Tularensis ซึ่งสามารถพบในสัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนมมากกว่า 100…
-
นักจิตวิทยาแบ่ง ‘ความรัก’ ออกเป็น 7 รูปแบบ แล้วความรักของคุณล่ะเป็นแบบไหน!?
‘ความรัก’ ถือเป็นสิ่งที่แสนสวยงาม ทุกคนบนโลกล้วนแล้วแต่ถูกหล่อเลี้ยงกันด้วยความรัก แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่าความรัก หากมองในมุมจิตวิทยาแล้วมันมีหลากหลายประเภทเลยล่ะ นี่คือ ‘รูปแบบของความรัก’ ที่ถูกจำแนกออกเป็น 7 ประเภทโดยนักจิตวิทยาวิทยาชาวอเมริกันที่มีชื่อว่า Robert Sternberg จะมีอย่างไรบ้างลองไปชมกัน… 1. ความหลงใหล เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องการความเข้าใจซึ่งกันและกัน คู่รักต่างก็ไม่มองหาจุดเหมือนหรือจุดต่าง แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ด้วยกัน อย่างไรก็ตามรูปแบบความรักแบบนี้จะไม่ยั่งยืนและมั่นคง หลายๆ คู่มักจะเลิกกันไปหากมีความรักแบบนี้ให้แก่กัน 2. ความชอบ ในรูปแบบความสัมพันธ์นี้คุณจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ คู่รักจะถูกยึดติดกันด้วยคนสนใจทั่วๆ ไป อย่างเช่น มุมมองต่อชีวิต และความรู้สึกที่ถูกใครคนใดคนหนึ่งเข้าใจ อย่างไรก็ตามหากคู่รักคู่ไหนที่อยู่ในรูปแบบความสัมพันธ์นี้สุดท้ายจะจบลงที่การเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากกว่าที่จะเป็นคนรัก 3. ความรักที่ว่างเปล่า คู่รักที่เคยประสบกับความรักแบบนี้จะอยู่ด้วยกันเพียงเพราะว่ามีข้อผูกมัด โดยที่ไม่มีสนิทใกล้ชิดหรือความใคร่หลงเหลืออยู่เลย ซึ่งบางครั้งมันอาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งสองคนต่างก็รักกันไปจนถึงจุดที่อิ่มตัวมากๆ แต่แล้วจู่ๆ มันก็จะจางหายไป แต่ในทางกลับกัน คู่รักที่เคยประสบกับความรักแบบนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากได้รับการเติมเต็มทางด้านความรู้สึก และความใคร่ให้กันได้ 4. ความรักที่เป็นเพียงภาพลวงตา ความรักแบบนี้จะมีทั้งข้อผูกมัดและความใคร่ต่อกัน เหมือนกันกับความรักที่เกิดขึ้นกับคู่รักทั่วๆ ไป…
-
นักวิทย์ฯ สำรวจร่องทะเลลึก ทึ่งพบปลาสายพันธุ์ใหม่ที่จะ ‘ละลาย’ ทันทีที่ขึ้นสู่ผิวน้ำ!!?
เพราะด้วยความที่โลกของเรามีความลับซ่อนอยู่มากมาย จึงทำให้เราได้มีเรื่องแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้ประหลาดใจอยู่เสมอ และนี่ก็คืออีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ที่เพิ่งจะมีการค้นพบ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ออกสำรวจท้องทะเลลึกแล้วได้พบกับปลาสายพันธุ์ใหม่ที่จะ ‘ละลาย’ ทันทีหากขึ้นมาเหนือผิวน้ำ!? โดยเจ้าปลาสายพันธุ์ใหม่ที่ว่านี้ถูกพบเจอเข้าอย่างบังเอิญ ขณะที่ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Newcastle University กำลังสำรวจร่องลึกเปรู-ชิลี หรือร่องลึกอาทากามา หนึ่งในจุดที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรแปซิฟิก บริเวณชายฝั่งของประเทศเปรู ในการสำรวจร่องดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์ต้องใช้วิธีการหย่อนกล้องรุ่นพิเศษลงไปในมหาสมุทรที่มีความลึกประมาณ 7,500 เมตร ซึ่งด้วยความลึกขนาดนี้จึงทำให้มีอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง รวมถึงมีแรงดันที่สูงเกินกว่าที่มนุษย์จะสามารถทนรับไหว วิดีโอของปลาดังกล่าว อย่างไรก็ตามแม้ว่าสภาพแวดล้อมจะโหดร้ายเพียงใด แต่ภายในร่องลึกแห่งนี้ก็ยังมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่อย่างมากมาย รวมถึงปลา 3 สายพันธุ์ใหม่ ที่มีชื่อเรียกว่าปลา Atacama Snailfish สีชมพู สีม่วงและสีน้ำเงิน “มันต้องมีบางอย่างเกี่ยวกับปลาประเภท Snailfish (หนึ่งในปลาวงศ์ Liparidae) ที่ทำให้มันสามารถปรับตัวอาศัยอยู่ในความลึกมากๆ ได้ขนาดนี้ และที่เหนือกว่าปลาอื่นๆ คือพวกมันยังเป็นห่วงโซ่อาหารสูงสุดของที่นี่ด้วย เลยทำให้มันไม่มีผู้ล่ารวมถึงคู่แข่งในการหาอาหาร” “ส่วนอาหารของพวกมันก็คือเหยื่อที่ไม่มีกระดูกสันหลังจำนวนมากที่ตกลงไปที่นั่นไงล่ะ” Thomas Linley นักวิจัยกล่าว เป็นที่น่าอัศจรรย์จริงๆ ในส่วนของเรื่องร่างกายที่ทำให้มันสามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า ส่วนที่แข็งที่สุดในร่างกายของพวกมันก็คือฟันและกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่อยู่ภายในหูชั้นใน ส่วนร่างกายที่เหลือของมันทั้งหมดจะเป็นส่วนที่อ่อนนุ่ม ซึ่งส่วนที่อ่อนนุ่มนี้เองจึงทำให้มันสามารถรับแรงดันที่มีขนาดสูงในทะเลลึกขนาดนี้ได้ …
-
10 อันดับ “เซเลบ” กับค่าตอบแทนที่ได้จากการโพสต์ ‘อินสตาแกรม’ เพียงโพสต์เดียว!!!
ใครว่า โซเชียลมีเดีย ไม่มีประโยชน์ สมัยนี้การเป็นเน็ตไอดอล หรือการที่โด่งดังบนอินเทอร์เน็ตนั้นสามารถทำเงินได้มากมายมหาศาลขึ้นอยู่กับว่าเรานั้นโด่งดังขนาดไหน (วัดจากยอดผู้ติดตาม) หลายคนคงทราบกันดีว่าเว็บไซต์ Youtube นั้นเป็นแหล่งทำเงินชั้นยอด หลายคนจึงผันตัวเป็น ยูทูบเบอร์ กันมากมาย ขณะเดียวกัน Instagram เองก็ตอบแทนคุณไม่น้อยเลยหากคุณมีผู้ติดตามหลักแสนหลักล้าน วันนี้เราลองไปชม 10 อันดับคนดัง ที่มียอดผู้ติดตามหลายล้าน ดูกันซิว่าเมื่อพวกเขาโพสต์ภาพบนอินสตาแกรมแต่ละที จะได้เงินมากมายมหาศาลขนาดไหน!! (จากน้อยไปมาก) 10. Kendall Jenner ยอดผู้ติดตาม: 93 ล้านคน รายได้ต่อหนึ่งโพสต์: 16.3 ล้านบาท!! 9. Lionel Messi ผู้ติดตาม: 97 ล้านคน รายได้ต่อหนึ่งโพสต์: 16.3 ล้านบาท (เท่ากับ Kendall) 8. Neymar da Silva Santos Junior ผู้ติดตาม: 100 ล้านคน รายได้ต่อหนึ่งโพสต์: 19.55…
-
ความรู้ล้วนๆ !! ชาวเน็ตแชร์คู่มือแสนตลก การแยกแยะรูปร่างและนิสัยของแมลงตระกูลผึ้ง
หากพูดถึงแมลงที่ต่อยเราได้และมักจะเห็นพวกมันออกหาน้ำหวานจากดอกไม้ต่างๆ หลายๆ คนคงนึกถึง “ผึ้ง” เป็นอย่างแน่นอน และถ้าพูดถึงผึ้งเราก็คงนึกถึงแมลงอีกชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายกันแต่ขนาดใหญ่กว่าผึ้งอย่าง “ต่อ” หรือ “แตน” รวมถึงชนิดอื่นๆ ด้วย แต่ด้วยความคล้ายคลึงของรูปร่างของแมลงเหล่านี้ ทำให้หลายคนมักมีปัญหาในการแยกประเภท วันนี้จึงได้มีชาวเน็ตคนหนึ่งทำคู่มือแยกแยะรูปร่างและนิสัยของแมลงเหล่านี้แบบตลกๆ มาให้เราได้ดูกันครับ ไปชมกันเลย แมลงภู่ – เหมือนจะมีพิษสงร้ายกาจ แต่จริงๆ แล้วมันไม่สามารถทำอะไรคุณได้ – ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าแก้ว – อาศัยอยู่ตามรั้วบ้านของคุณ – พยายามจะบินใส่อย่างเกรี้ยวกราดเพื่อจะทำให้คุณกลัวและออกห่างจากรังของมัน ผึ้งน้ำหวาน – นี่คือผึ้งที่ต้องการความช่วยเหลือแบบสุดๆ – ทำหน้าที่ผสมเกษรดอกไม้ได้เป็นอย่างดี – เป็นมิตรสุดๆ ไปเลย – สามารถต่อยได้เพียงครั้งเดียว (แล้วก็จะตาย) บัมเบิลบี – ทำหน้าที่ผสมเกษรดอกไม้ได้ดีเช่นกัน – อ้วนจนไม่น่าจะบินได้ (555) – ยอมให้คุณเลี้ยงมันได้โดยไม่ต้องยุ่งยาก – จริงๆ แล้วมันเหมือนกับหมีแพนด้าที่บินได้… …
-
สาวเล่าประสบการณ์ทุกอย่างที่หลายคนอยากรู้ เกี่ยวกับการเกิดมาแล้วมี ‘จิ๊มิ 2 อัน’!?
เรื่องราวของหญิงสาว ที่มี ‘จิ๊มี’ 2 อัน และในวันนี้เธอก็จะมาเล่าประสบการณ์ชีวิตของเธอให้พวกเราได้รับฟังกัน Maddie Schueller หญิงสาววัย 21 ปีจากรัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา มองดูเผินๆ แล้วเธอก็เป็นเหมือนกับผู้หญิงธรรมดาๆ ทั่วไป แต่ถ้าหากมองลึกเข้าไปข้างใน จะทำให้รู้ว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดา เพราะว่าเธอเป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับจิ๊มิถึง 2 อัน ไม่ใช่แค่ช่องคลอดแต่มดลูกก็มี 2 อันด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ยากมากๆ แค่ 0.003 เปอร์เซนต์เท่านั้น!! อย่างไรก็ตาม Maddie ใช้ชีวิตโดยที่ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าตัวเองมีน้องจิ๊มิถึง 2 อัน จนกระทั่งไปตรวจร่างกายและรู้ตัวเมื่อ 2 ปีก่อนหน้านี้เอง Maddie เปิดเผยว่าจิ๊มิทั้งสองของเธอนั้น แยกออกจากกันอย่างชัดเจนโดยแบ่งเป็น ‘ฝั่งซ้าย’ กับ ‘ฝั่งขวา’ ซึ่งฝั่งขวานั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าอันที่อยู่ฝั่งซ้าย “สมัยตอนฉันอายุ 12 หรือ 13 นี่แหละ ฉันเป็นประจำเดือนครั้งแรกแล้วใช้ผ้าอนามัยแบบสอด แต่กลายเป็นว่าเลือดก็ยังไหลอยู่ นับตั้งแต่นั้นมาฉันก็เลยต้องใช้ผ้าอานามัยแบบปกติมาโดยตลอด”…
-
สาวแชร์การเปลี่ยนแปลงของตัวเธอจากการหันมาทานเนื้อ หลังเป็นวีแกนอยู่ 4 ปี
“วีแกน” ถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่งในการดำเนินชีวิต โดยคนที่เป็นวีแกนจะเน้นการทานมังสวิรัติหรือหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากส่วนประกอบทั้งโดยตรงและโดยอ้อมจากสัตว์ ซึ่งในปัจจุบันมีคนนิยมเป็นวีแกนกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยให้เหตุผลข้อดีต่างๆ นานาของการเป็นวีแกน บ้างก็ว่าจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง บ้างก็ว่าไม่เบียดเบียนสัตว์ เช่นเดียวกันกับ Kasumi Kriss บล็อกเกอร์สาวจากประเทศเนเธอร์แลนด์คนนี้ก็เป็นอีกคนที่ใช้ชีวิตแบบวีแกนมาก่อน เธอกินอยู่อย่างวีแกนถึง 4 ปี แต่วันนี้เธอเลิกเป็นวีแกนและแชร์ความเปลี่ยนแปลงของตัวเธอจากการหันมาบริโภคเนื้อไปด้วย ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว Kasumi ตัดสินใจที่จะทานอาหารอย่างวีแกนด้วยเหตุผลที่เชื่อว่ามันจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ในช่วงแรกๆ ของการทานมังสวิรัติ สิว ฝ้า ความเป็นอยู่ของเธอดีขึ้นรวมถึงเธอยังรู้สึกมีพลังงานล้นเหลืออีกด้วย แต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาการย่อย พอผ่านมาได้ 2 ปีจากที่เริ่มเป็นวีแกน ข้อดีๆ ที่มีก็หายไป สิว ฝ้า ผิวแห้งๆ และระคายเคืองกลับมาปรากฏให้เธอได้เห็นอีกและดูเหมือนว่าอาหารปกติที่เธอทานอย่างปกติเริ่มไม่ส่งผลดี เล็บกับผมของเธอเปราะบางและขาด/หักง่ายมากๆ และเนื่องจากร่างกายสะสมความเครียดนี้เรื่อยๆ ทำให้ประจำเดือนของเธอไม่มาเป็นเวลา 4 เดือนเลยทีเดียว หลังจากนั้น Kasumi ได้ทำการทดลอง โดยการกินไข่ต้ม 1 ฟองและพบว่าไข่ต้มให้ผลลัพธ์เกินความคาดหมายมากๆ เพราะถัดมา…
-
10 สัญญาณอันตราย บ่งบอกว่าบ้านของเราอาจถูก “หัวขโมย” หมายตาอยู่ก็เป็นได้
ในยุคที่มี “โจรขโมย” อยู่ทั่วทุกหนแห่ง แน่นอนว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจคงไม่อาจดูแลพวกเราได้ทุกคน เพราะฉะนั้นการดูแลตัวเองให้ดีที่สุดก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ในวันนี้ #เหมียวตะปู จึงอยากชวนให้เพื่อนๆ ได้มารับสาระน่ารู้ ข้อควรระวัง กับสัญญาณอันตรายที่อาจบ่งบอกว่าบ้านของเรากำลังถูกหมายตาโดยผู้ประสงค์ร้ายอยู่ แน่นอนว่าการกันไว้ดีกว่าแก้ ว่าแล้วเราก็ลองไปเรียนรู้ข้อสังเกตเหล่านี้กันดูเลย 1. ขยะหายไป บางคนอาจไม่คิดว่านี่เป็นสัญญาณสำคัญ แต่เหล่าโจรขโมยนั้นสามารถรับรู้ข้อมูลส่วนตัวของเราบางอย่างได้จากขยะที่เราทิ้งไป อย่างเช่นพวกกระดาษสำเนาบัตรประชาชนที่เราไม่ใช้ หรือเอกสารงานบางอย่าง เพราะฉะนั้นแล้ว การที่มีคนมาค้นถังขยะหน้าบ้านเรา เขาคนนั้นอาจไม่ใช่คนเก็บขยะหรือคนจรจัดก็ได้นะ 2. สุนัขหาย อาจดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่แน่ว่ามันอาจคือสัญญาณของการโจรกรรม เพราะหากไม่มีน้องหมาของเราแล้ว หัวขโมยทั้งหลายก็จะทำงานได้ง่ายขึ้นแหละจริงมั้ย 3. น้ำมันหมด อยู่ดีๆ ก็พบว่ารถน้ำมันหมด แท้จริงแล้วเราอาจไม่ได้ลืมเติมน้ำมัน หากแต่พวกหัวขโมยมันมาดูดน้ำมันเราออกไป เมื่อน้ำมันใกล้หมดถัง เราก็จำเป็นที่จะต้องแวะปั๊มระหว่างทางกลับบ้าน ทำให้เดินทางกลับมาช้าลง 4. แม่บ้านคนใหม่ สำหรับบ้านใครที่จ้างแม่บ้านมาดูแล การที่มีคนอ้างว่าเป็นแม่บ้านคนใหม่ที่ทางบริษัทส่งมา แท้จริงแล้วเขาอาจเป็นหัวขโมยที่ต้องการแอบเข้าไปในบ้านเราแบบเนียนๆ เพราะฉะนั้นควรเช็กดูให้ดีๆ ไม่ใช่แค่แม่บ้าน เพราะต้องดูถึงช่างซ่อมต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นช่างประปา ช่างไฟ หรือแม้แต่ช่างแอร์ 5.…
-
10 วิธีการรักษาทางการแพทย์ “แปลกๆ” ในอดีต โชคดีแล้วที่เราไม่ได้เกิดมาในยุคนั้น…
โรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอกับมนุษย์เรา แต่โชคดีที่มนุษย์นั้นสามารถหาทางรักษาโรคต่างๆ ได้ แต่กว่าจะค้นหาวิธีการรักษาแต่ละโรคได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย ทุกวันนี้ เพียงการรักษาด้วยการฉีดยาหรือผ่าตัดสำหรับบางคนก็อาจจะร้อง “ยี้” แล้ว แต่ลองย้อนกลับไปสมัยก่อนที่การแพทย์กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาล่ะก็ รับรองว่าการรักษาโรคไม่ได้ทำง่ายๆ เพียงแค่ฉีดยาแน่นอน ไปชมกันเลยว่าในสมัยก่อนการรักษาโรคต่างๆ กว่าจะประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้ได้ต้องผ่าน ความเชื่อผิดๆ แบบไหนมาบ้าง…?? 1. รักษาด้วยการ “มีเซ็กส์กับชาย/หญิงบริสุทธิ์” ครั้งหนึ่งเมื่อคุณมีโรคติดต่อทางเพศ มีความเชื่อว่าหากไปมีเพศสัมพันธ์กับชาย/หญิงบริสุทธิ์ โรคจะถูกส่งต่อไปสู่คนผู้นั้น และคุณก็จะหาย (แถมทุกวันนี้บางที่ก็ยังเชื่อแบบนี้อยู่เลย) 2. รักษากามโรคด้วย “โรคมาลาเรีย” ครั้งหนึ่ง แพทย์ส่วนใหญ่เชื่อว่าการฉีดเชื้อโรคมาลาเรียเข้าไปในผู้ที่ป่วยเป็นโรคซิฟิลิสจะทำให้อาการไข้สามารถทำลายเชื้อของทั้งสองโรคได้ แต่ผลสุดท้ายคนไข้ก็ตายด้วยโรคมาลาเรีย 3. หนูตายรักษาได้แทบทุกอย่าง ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณซากหนูที่ตายนั้นจะถูกนำมาใช้รักษาอาการปวดฟัน ส่วนในสมัยเอลิซาเบธ ศพหนูจะถูกผ่าครึ่งแล้วนำมารักษาหูด นอกจากนี้หนูตายตามรายงานยังบอกว่าเคยถูกนำมาใช้รักษาอาการไอกรน โรคหัด ฝีดาษ และการฉี่รดที่นอนอีกด้วย 4. เหล็กแหลมร้อนรักษาริดสีดวง ในสมัยโบราณ นักบวชกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อการใช้เหล็กแหลมร้อนเสียบเข้าไปในรูทวารนั้นสามารถรักษาอาการริดสีดวงทวารได้ 5. การใช้ปรอทเหลว ในสมัยกรีกและเปอร์เซียโบราณมีการใช้ปรอทเหลวเป็นเครื่องทาคล้ายยาขี้ผึ้ง ส่วนชาวจีนโบราณใช้เป็นยาอายุวัฒนะ และมีการใช้เป็นยาวิเศษอีกหลายแห่ง แต่ความจริงแล้วปรอทเหลวมีแต่จะนำความตายมาให้ 6.…
-
19 เกร็ดความรู้เจ๋งๆ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “ความรู้ของเรา” ยังน้อยนิดนักสำหรับโลกใบนี้
การศึกษาและวิจัยในหลายๆ แขนงของมนุษย์ทำให้เราได้ทราบถึงเหตุและผล ข้อดีข้อเสีย หรือประโยชน์และโทษของสรรพสิ่งต่างๆ เท่าที่มนุษย์จะหยั่งถึงได้ แต่การศึกษาวิจัยนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง มีการค้นพบใหม่ๆ เกิดขึ้นมาแทนที่ความรู้เก่าๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง วันนี้เราจึงขอนำเสนอ ข้อเท็จจริง 19 ข้อ ที่ถือว่าเป็น “เกร็ดความรู้” ใหม่ๆ ให้ท่านผู้ชมได้รับทราบกัน จะมีสาระความรู้อะไรบ้าง ไปชมพร้อมๆ กันเลย… 1. โอกาสที่น้ำดื่มคุณจะปนเปื้อนโมเลกุลจาก “ฉี่ไดโนเสาร์” คือประมาณ… 100 เปอร์เซ็นต์!! จาก dailymail 2. อ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์ในที่มืด แค่ทำให้ตาล้าเร็วกว่าเดิม ไม่ได้ส่งผลเสียต่อสายตาของคุณแต่อย่างใด จาก health.harvard 3. ในอวกาศจะไม่ได้ยินเสียงใดๆ แต่จะได้กลิ่นแปลกๆ เช่น กลิ่นควันดีเซล กลิ่นดินปืน และกลิ่นบาร์บีคิว เป็นต้น จาก popsci 4. แพะมีตาดำเป็นทรง “สี่เหลี่ยมผืนผ้า” จาก science20 5. เต่าบางชนิดสามารถหายใจทาง “ก้น” ได้ด้วยล่ะ จาก infinitespider …
-
ชมฉากของการ์ตูน Lilo & Stitch ที่เปลี่ยนไป หลังจากเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรม 9/11
อย่างที่รู้กันดีว่าเหตุการณ์ 9/11 ถือเป็นหนึ่งใน ‘โศกนาฏกรรม’ ครั้งยิ่งใหญ่ มีผู้คนมากมายที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้เกือบ 3,000 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 6,000 คน โศกนาฏกรรมในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากผู้คนมากมายทั่วโลก ส่งผลกระทบมากมายเป็นวงกว้าง และเพื่อนๆ รู้ไหมว่าจากเหตุการณ์นี้เองได้สร้างผลกระทบกับวงการภาพยนตร์การ์ตูนด้วย!? หลายๆ คนคงจะรู้จักกับการ์ตูนเรื่อง Lilo & Stitch ได้เป็นอย่างดี ในยุค 2000s ต้นๆ ถือเป็นหนึ่งในการ์ตูนที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของ Disney เลยก็ว่าได้ และจากผลของเหตุ 9/11 ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องของการ์ตูนเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ในปี 2002 การ์ตูนเรื่อง Lilo Stitch มีฉากที่ Stitch ผองเพื่อนขับยานอวากาศผ่านเทือกเขาเพื่อหลบหนีตัวร้าย แต่ย้อนกลับไปปีก่อนหน้านี้ ก่อนจะเกิดเหตุ 9/11 ในฉากนี้จะเป็นฉากที่ Stitch และ Jumba ขโมยเครื่องบินเพื่อหลบหนีจากจอมปิศาจ Gantu ระหว่างที่ขับเครื่องบินก็มีการขับแบบโลดโผนโจนทยานในเมืองใหญ่ หลบตึกระฟ้าต่างๆ หรือแม้แต่กระทั่งมีการเฉี่ยวชนตึกก็มี …
-
กองทัพสหรัฐฯ เผยเคล็ดลับแห่งการนอน ที่ช่วยให้คุณสามารถนอนหลับได้ภายใน 2 นาที
เพื่อนๆ เคยประสบปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับบ้างหรือไม่ แบบที่ตอนกลางวันบ่นเหนื่อย บ่นง่วง อ้างนู่นอ้างนี่และคิดเอาไว้ว่าถ้ากลับไปถึงบ้านแล้วเราจะหลับให้เต็มอิ่มเลย แต่พอกลับไปถึงบ้านจริงๆ ร่างกายกลับไม่ง่วงนอนสักนิด ไม่ว่าจะพยายามหลับขนาดไหนก็ยากที่หลับมากๆ หากเพื่อนๆ ประสบปัญหานอนหลับยากแบบที่พูดถึง วันนี้เรามีเทคนิคการนอนหลับซึ่งถูกพัฒนาโดยกองทัพอเมริกาเพื่อใช้กับเหล่าทหารมาให้ชมกันครับ โดยเทคนิคนี้จะสามารถทำให้เราหลับได้ภายใน 2 นาทีเลยเดียว ขั้นตอนของการเทคนิคดังกล่าว – เริ่มโดยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้าของคุณเสียก่อน รวมถึงกล้ามเนื้อลิ้น คางและรอบๆ ดวงตาด้วย – จากนั้นก็ผ่อนไหล่ของคุณลงให้ต่ำสุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะเริ่มผ่อนคลายแขนช่วงบนและแขนช่วงล่างในข้างใดข้างหนึ่งก่อน จากนั้นค่อยมาทำกับอีกข้าง – หายใจออก ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหน้าอก เมื่อเสร็จแล้วก็มาผ่อนคลายกล้ามเนื้อขากันต่อ โดยเริ่มจากทางต้นและค่อยไปยังกล้ามเนื้อน่อง – หลังที่คุณผ่อนคลายร่างกายตามขั้นตอนข้างบนมาเป็นเวลา 10 วินาทีแล้ว คุณก็จะรู้สึกว่าหัวของคุณนั้นโล่งปลอดโปร่ง ต่อมาก็จะมีการใช้เทคนิคที่ได้รับมาจากหนังสือ Relax and Win: Championship Performance สามขั้นตอนดังนี้ 1. นึกภาพว่าคุณกำลังโน้มตัวลงบนเรือแคนูบนทะเลสาบสุดสงบที่ไม่มีอะไรเลยเว้นแต่ท้องฟ้าสีสันสดใสที่อยู่เหนือคุณ 2. นึกภาพว่าคุณกำลังอยู่บนเปลกำมะหยี่สีดำ ในห้องที่มืดสนิท 3. ท่องคำว่า “ไม่คิด ไม่คิด ไม่คิด” ในหัวซ้ำๆ กันเป็นเวลา…
-
หนุ่มสำรวจฐานทัพนิวเคลียร์เก่า พบ “ปุ่มนิวเคลียร์” ทำลายโลกได้เพียงนิ้วสัมผัส…
Drew Scanlon เกมเมอร์และยูทูบเบอร์หนุ่มเจ้าของแชแนลยูทูบ Cloth Map ในคลิปวิดีโอท่องเที่ยวของเขา เขาได้ลงไปสำรวจยังสถานที่ซึ่งเคยเป็นฐานทัพนิวเคลียร์ในประเทศยูเครน และพบกับปุ่มๆ หนึ่งที่ว่ากันว่ามันคือ ปุ่มทำลายโลก ฐานทัพนิวเคลียร์ในยูเครนแห่งนี้ถูกทิ้งไว้ตั้งแต่ปี 2001 และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยว ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์และสิ่งของต่างๆ ภายในจะยังคงดูสะอาดและอยู่ในสภาพที่ดี เขาเดินสำรวจลึกลงไปภายในอุโมงค์ที่เต็มไปด้วยความมืด ผนังสองด้านของทางเดินนั้นเรียงรายไปด้วยท่อต่างๆ และประตูที่มีความหนาเป็นสองเท่าของปกติ สุดท้าย ณ กลางห้องเขาก็พบ สิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิเช่น “ปุ่มกด” ชมคลิปการเดินชมฐานทัพนิวเคลียร์ของยูเครนกันเลย หลังจากทั้งคู่เดินเข้ามายังห้องควบคุม Dmytro ผู้ทำหน้าที่เป็นไกด์นำเที่ยวบอกกับ Drew ว่าขณะนี้เข้าได้ยืนอยู่ในห้องที่ใช้ “ทำลายโลก” เป็นที่เรียบร้อย Dmytro ยังบอกต่ออีกว่าปกติที่เราเห็นในภาพยนตร์จะเป็นปุ่มใหญ่ๆ สีแดง แต่ของจริงมันก็มีรูปร่างเหมือนปุ่มธรรมดาสีเทาๆ แต่หากกดลงไปเพียงครั้งเดียวมันก็สามารถทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เลยทีเดียว ผู้นำเที่ยวอธิบายว่า ภายในฐานทัพแห่งนี้จะมีอาหาร น้ำ และยาเพียงพอสำหรับ 45 วันของการอาศัยหลบภัยหลังกดปุ่มยิงระเบิดนิวเคลียร์ Dmytro อธิบายต่อว่า หากกดปุ่มลงไปแล้วจะมีเสียงเตือนดังออกมาทันที และจะมีแสงสีเขียวปรากฏขึ้นขณะที่ยิงระเบิดนิวเคลียร์ จากนั้นจะมีแสงอีกสีหนึ่งปรากฏขึ้นเพื่อบอกว่านิวเคลียร์ได้ถูกยิงออกไปเรียบร้อยแล้ว “คุณลองนับดู จากนี้…
-
10 ความจริงอันน่าอัศจรรย์ เก็บไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง หรือจะเอาไปจีบนางในฝันก็ได้ (ติดมั้ยไม่รู้นะ)
นี่คงเป็นอีกหนึ่งบทความสาระน่ารู้ที่ #เหมียวตะปู รู้สึกว่ามันอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันก็จริง แต่มันกลับสามารถช่วยเติมเต็มหลายๆ อย่าง ทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จนเพื่อนๆ อาจต้องตกใจกับเรื่องเหล่านี้ ถามว่ามันเอาไปใช้อะไรได้มั้ย? ที่แน่ๆ อย่างน้อยมันก็สามารถเอาไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง หรือบางอย่างอาจสามารถเอาไปจีบผู้สาว ผู้บ่าวที่เราแอบปิ๊งอยู่ก็ได้ ส่วนจะมีเรื่องอะไรกันบ้างนั้น ก็เลื่อนลงไปดูด้านล่างกันได้เลย 1. “กุหลาบ” ในอวกาศ นักบินอวกาศและนักวิจัยของ NASA เกิดคำถามว่าดอกกุหลาบที่เติบโตในอวกาศ กับดอกกุหลาบที่เติบโตบนโลกจะมีกลิ่นแตกต่างกันหรือไม่ ซึ่งสุดท้ายพวกเขาพบว่ากลิ่นของมันต่างกันจริงๆ อ้างอิง: nasa , curiosity 2. “ลิงชิมแปนซี” จะสร้างที่นอนใหม่ทุกๆ วัน นักวิจัยพบว่าลิงชิมแปนซีจะสร้างรังหรือที่นอนของมันใหม่ในทุกๆ วัน โดยเลือกเอาใบไม้อ่อนๆ มาทำเป็นหมอนรอง แถมยังมีงานวิจัยบอกอีกว่าที่นอนของพวกมันมีแบคทีเรียน้อยกว่าของมนุษย์อีกด้วย อ้างอิง: nationalgeographic , theguardian 3. Manatee Nebula Nasa พบ Nebula (กลุ่มของก๊าซและฝุ่นผงที่รวมตัวกันอยู่ในอวกาศ) ที่มีรูปทรงเหมือนกับตัว Manatee (พะยูนหางกลม) บนอวกาศ อ้างอิง: space , nrao 4. “เต่า” สามารถใช้แขนขาเทียมทดแทนได้ เคยมีเต่าที่สูญเสียแขนขาของมันไป…
-
8 ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทั้งแปลกประหลาด ทั้งงงว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ถึงศึกษาเรื่องเหล่านี้?!
การทดลองหรืองานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สามารถเป็นข้อพิสูจน์ความเป็นจริงหลายๆ อย่างบนโลกของเรา ซึ่งแน่นอนว่าจุดเริ่มต้นของการวิจัยเหล่านั้นมันก็เกิดขึ้นมาจากความสงสัยน่ะแหละ ในวันนี้ #เหมียวตะปู ก็อยากชวนให้เพื่อนๆ ทุกคนได้ไปรับรู้เกี่ยวกับผลการวิจัยต่างๆ ซึ่งมันช่างเป็นอะไรที่แปลกเหลือเกิน ไม่ใช่แค่ผลของมัน แต่ยังทำให้เราได้ตั้งคำถามกันด้วยว่านักวิจัยเขาคิดอะไรกันอยู่ถึงศึกษาเรื่องเหล่านี้ รอช้าอยู่ไย ไปรับชมสาระเหล่านี้พร้อมๆ กันเลย 1. หมัดหมากระโดดได้สูงมากจริงๆ ผลงานวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ลงในวารสาร Veterinary Parasitology บอกว่าหมัดหมานั้นสามารถกระโดดได้สูงมากจริงๆ มากกว่าหมัดแมวซะอีก โดยมันสามารถกระโดดได้สูงสุดที่ 50 เซนติเมตร ลองคิดดูว่าถ้าขนาดตัวมันเท่ากับมนุษย์แล้วมันจะกระโดดได้สูงมากขนาดไหน 2. ทุกคนปัสสาวะโดยใช้ระยะเวลาพอๆ กันหมด นักวิจัยชาวอเมริกันและไต้หวันพบว่า พวกเราสามารถฉี่ออกมาจนหมดกระเพาะปัสสาวะได้ในเวลา 21 วินาที รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีน้ำหนักมากกว่า 3 กิโลกรัมด้วย สงสัยต้องลองจับเวลาดูบ้างแล้ว 3. แกล้งคนอื่นเพราะรู้สึกสนุกจริงๆ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย Chicago สหรัฐอเมริกา ศึกษาว่าคนที่ชอบแกล้งคนอื่น ทำร้ายจิตใจคนอื่นนั้น เขารู้สึกอย่างไรกับการกระทำดังกล่าว? คำตอบก็คือคนเหล่านั้นรู้สึกสนุกกับการแกล้งคนอื่นจริงๆ อาจไม่ได้ทำไปเพราะความแค้นใดๆ เลย 4. เป็ดบางตัวชอบมีอะไรกับศพ นี่คือการศึกษาจากพิพิธภัณฑ์ Annual…
-
วิจัยชิ้นใหม่ชี้ นอนหลับไม่เพียงพอ-อดนอน ส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพมากกว่าที่คุณคิด!!
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างจะต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการนอนหลับ เนื่องจากเป็นกลไกตามธรรมชาติในการพักผ่อนร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในช่วงเวลาดังกล่าว และจะตื่นขึ้นอีกครั้งเพื่อใช้ชีวิตในวันต่อๆ ไป แต่ในรูปแบบการใช้ชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน หน้าที่การทำงานและตัวอย่างจากบุคคลอัจฉริยะที่มักจะทำตัวให้ยุ่งอยู่ตลอด เวลาในการนอนต่อวันในจำนวนที่น้อยกว่าคนทั่วไป นั่นเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวบุคคล… เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม ที่ผ่านมา ในงานประชุมแถลงข่าว ESC Congress 2018 ของกลุ่มนักวิจัยโรคหัวใจและหลอดเลือดแห่งยุโรป เผยผลการวิจัยและศึกษาหลายชิ้นว่า การนอนหลับที่น้อยหรือมากเกินไป มีส่วนเพิ่มความเสี่ยงในโรคกลุ่มนี้ เช่น หลอดเลือดแข็งตัว หัวใจวาย ภาวะหัวใจล้มเหลว และอื่นๆ ทีมนักวิจัยได้ทำการศึกษาค้นคว้า 11 ชิ้นผลงานที่มีผู้เข้าร่วมเป็นกรณีศึกษากว่า 1 ล้านราย และผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็เพื่อที่จะหาจำนวนชั่วโมงที่พอเหมาะสำหรับการนอนของมนุษย์ จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ? ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับแต่ละบุคคลนั้นอาจแตกต่างกันไป นักวิจัยด้านการนอนหลับมักจะกล่าวว่า คนทั่วไปควรนอนหลับ 7 – 9 ชั่วโมงต่อคืน เป็นจำนวนชั่วโมงที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและสมอง ลดอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งและการเสียชีวิต แต่เมื่อพูดถึงในเรื่องของโรคหัวใจและหลอดเลือด ทีมนักวิจัยได้วิเคราะห์ออกมาแล้วว่าจำนวนที่จะลดความเสี่ยงได้คือ 6 – 8 ชั่วโมงต่อคืน หากนอนน้อยกว่านั้นจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด 11% ภายในระยะเวลาประมาณ 9.3…
-
7 ความเชื่ออันน่าเหลือเชื่อ ของบุคคลในอดีตกาล ที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ‘เพศศึกษา’
ก่อนที่เราจะมีความรู้ที่ถูกต้องตามหลักการในปัจจุบัน จะต้องใช้เวลาในการศึกษาและขจัดความเชื่อเดิมๆ ออกไปให้หมด และในด้านทางความเชื่อเอง ก็ถูกยึดติดอย่างเหนียวแน่นไปหลายชั่วอายุคน ความเชื่อเรื่องเพศเองก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่กว่าจะเข้าใจและยอมรับได้ ต้องผ่านอะไรมาเยอะมากๆ และในอดีตก็มีคนที่เชื่อเรื่องแบบนี้เยอะเช่นกัน เกินกว่าจินตนาการของคนในยุคปัจจุบันจะเอื้อมถึงได้ ลองมาดูกันเถอะ 1) เมื่อนานมาแล้ว หลายวัฒนธรรมต่างเชื่อว่าผู้หญิง มีโอกาสจะถูกสาบให้เป็นกลีบเขมือบ ตำนานอันแปลกประหลาดเกี่ยวกับเขี้ยวฟันแหลมคมในโยนี ก่อเกิดขึ้นตามรากวัฒนธรรมท้องถิ่นตั้งแต่ชิลี แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น และกรีซ บางตำนานก็บอกว่าเป็นคำสาป บางตำนานก็บอกว่าเป็นพรจากพระเจ้าบ้าง 2) นักวิทย์เคยเชื่อว่าในสเปิร์มจะมีมนุษย์ตัวจิ๋วอยู่ ในช่วงศตวรรษที่ 17 และ 18 นักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งเคยเชื่อในทฤษฎีพรีฟอร์เมชัน ที่มีคนตัวขนาดเล็กมากๆ อยู่ในไข่และสเปิร์ม แถมยังมีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตัวเองด้วยแหละ 3 การช่วยตัวเองคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยที่อธิบายไม่ได้ แพทย์ในศตวรรษที่ 18 ยกให้เป็นความผิดของ ‘การช่วยตัวเอง’ ที่ก่อให้เกิดโรคที่ยังสาเหตุแน่ชัดไม่ได้อย่างเช่น อาการตาบอด ลมบ้าหมู เป็นลมล้มชัก สูญเสียความทรงจำ รวมไปถึงกระตุ้นการเติบโตอย่างรวดเร็วในเด็ก 4 ที่หนักกว่านั้นคือ หน้าอกจะไม่โต… ปี…
-
กรณีศึกษาชายรับประทานปลาดิบ ติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อ ต้องตัดแขนด้านซ้ายทิ้ง…
เมนูทะเลดิบๆ มักจะนิยมรับประทานกันในแถบประเทศเอเชีย และภายในบ้านเราเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเมนูยอดนิยมส่วนมากก็จะเป็นปลาดิบและหอยดิบ เป็นต้น ทั้งนี้ การรับประทานอาหารทะเลดิบนั้นมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ หากไม่ได้ทำตามกรรมวิธีขั้นตอนที่สะอาดเพียงพอ จนอาจนำไปสู่การสูญเสียอวัยวะกันได้เลยทีเดียว กรณีศึกษาจาก ชายวัย 71 ปี จากประเทศเกาหลีใต้ ถูกเปิดเผยผ่านเว็บไซต์ของวารสารทางการแพทย์ New England Journal of Medicine โดยแพทย์เจ้าของเคส ได้กล่าวถึงคนไข้ที่รับประทานปลาดิบเข้าไป หลังจากระยะเวลา 12 ชั่วโมง มือซ้ายของเขาก็เริ่มมีอาการปวดแสบและบวมเป่งคล้ายกับลูกกอล์ฟอย่างรุนแรง รวมถึงมีไข้หนักอีก 2 วัน จนกระทั่งเข้ามาพบแพทย์เป็นการฉุกเฉิน ตุ่มพองบนฝ่ามือนั้นมีขนาด 3.5 ซม. x 4.5 ซม. และลุกลามไปทั่วหลังมือจนถึงท่อนแขน แพทย์ได้วินิจฉัยว่าเขาติดเชื้อ Vibrio vulnificus แบคทีเรียแกรมลบทรงแท่งที่มักจะพบได้ในอาหารทะเลดิบ และในส่วนของการลุกลามนั้นก็เป็นเพราะเขามีประวัติป่วยเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 ความดันโลหิตสูง และเป็นโรคไตระยะสุดท้าย ส่งผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันล้มเหลวจนเชื้อแบคทีเรียกินแขนด้านซ้าย แม้ว่าจะทำการรักษาเบื้องต้นด้วยการดูดหนองออกจากตุ่มพอง และตัดชิ้นส่วนมือที่ติดเชื้อออกไป พร้อมกับให้ยาปฏิชีวนะ แต่กลับไม่เป็นผล…
-
17 ความจริงเกี่ยวกับ “ทารันทูล่า” เรามาก้าวข้ามอาการ ‘กลัวแมงมุม’ ไปด้วยกันเถอะ!!
แมงมุม เป็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่าน่ากลัว ด้วยความที่รูปลักษณ์ของมันดูไม่น่ารักน่าชังเหมือนกันสัตว์ชนิดอื่นๆ ผู้คนจำนวนมากจึง “กลัว” พวกมันอย่างมาก โดยเฉพาะ แมงมุมทารันทูล่า ที่มีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับแมงมุมที่พบเจอตามบ้านเรือน รวมไปถึงลักษณะทางกายภาพของมันยังน่าเกลียดน่ากลัวอีกด้วย ขาและลำตัวก็มีขนหยุบหยับ แถมมีเขี้ยวอีกด้วย แต่ว่า แมงมุมชนิดนี้มันน่ากลัวจริงหรือเปล่า? วันนี้เรามาก้าวข้ามความกลัวไปด้วยกันดีกว่ากับ ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกี่ยวกับ เจ้าแมงมุมทารันทูล่า ลองอ่านดูแล้วคุณอาจจะ “รัก” พวกมันมากกว่าเดิมก็ได้นะ 1. แมงมุมทารันทูล่ามีอยู่บนโลกแค่ราวๆ 900 สายพันธุ์เท่านั้นเอง 2. มีทารันทูล่าไม่กี่สายพันธุ์หรอกนะที่ทำอันตรายได้จากการกัด ส่วนใหญ่จะเจ็บน้อยกว่าผึ้งต่อยเสียอีก 3. กรามของแมงมุมทารันทูล่าจะขยับเป็นแนวตั้ง ต่างจากแมงมุมชนิดอื่นที่ส่วนมากจะขยับเป็นแนวนอน 4. พวกมันมี 8 ตาซึ่งแต่ละดวงนั้นสามารถมองเห็นสิ่งที่เคลื่อนไหวได้แม้จะเล็กจิ๋วก็ตาม แถมจะมีขนอยู่รอบๆ ซึ่งช่วยรับสัมผัสการสั่นสะเทือนได้ดีเลยล่ะ 5. ทารันทูล่าบางสายพันธุ์จะมีขนที่เหนียว ทำให้พวกมันสามารถปีนป่ายได้แม้เป็นพื้นผิวที่แสนเรียบลื่น 6. ในช่วงหน้าร้อนจะเป็นช่วงที่พวกมันออกมาเดินเพ่นพ่านกันมากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ทารันทูล่าออกหาคู่นั่นเอง 7. ทารันทูล่าที่อาศัยอยู่บนต้นไม้จะหาคู่จากกลิ่นของตัวเมีย และเดินตามเส้นใยที่ตัวเมียทิ้งเอาไว้จนทั้งคู่ได้พบกัน (แหม โรแมนติกสุดๆ) …
-
พบ “ร่องรอยสิ่งมีชีวิต” จากภาพถ่ายพื้นผิวดาวอังคาร มีทั้งสิ่งก่อสร้างและซากเอเลี่ยน
แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวนั้นถือเป็นเรื่องน่าสนใจทีเดียว เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์เราก็ยังไม่สามารถตอบได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่มีอยู่จริงกันแน่ หลายครั้ง มีข่าวคราวการปรากฏขึ้นของ UFO หรือ เอเลี่ยน ออกมามากมายทั่วโลกอินเทอร์เน็ต แต่นั่นก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือเรื่องจริงไม่ใช่ตัดต่อ เร็วๆ นี้เมื่อช่วงวันที่ 13 สิงหาคม 2018 ข่าวคราวที่ว่ามีแววจะพบ “มนุษย์ต่างดาว” ก็กลับมาอีกครั้งหลังจากมีคนพบว่าภาพถ่ายดาวอังคารที่ทางเว็บไซต์ Gigapan ได้เผยออกมาเมื่อปี 2015 นั้น มีบางอย่างดูคล้ายกับ “สิ่งก่อสร้าง” ปรากฏขึ้นในภาพ ภาพถ่ายดาวอังคาร และสิ่งที่ดูเหมือนสิ่งก่อสร้าง เชื่อกันว่าอาจเป็นฐานทัพของเอเลี่ยน แต่เรื่องราวนี้ก็ไม่ได้รับการสานต่อแต่อย่างใด ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างจริงๆ หรือว่าเป็นเพียงการก่อตัวของชั้นหินบนพื้นผิวดวงดาว ทางองค์การ NASA เองก็ไม่มีท่าทีจะสนใจเรื่องดังกล่าว ล่าสุดในวันที่ 27 สิงหาคม 2018 กลับมีเหตุให้ต้องหันมาสนใจเรื่องของเอเลี่ยนบนดาวอังคารอีกครั้งหลังมีคนพบว่าภาพถ่ายดาวอังคารจาก NASA นั้นเผยให้เห็นร่องรอยของสิ่งมีชีวิต เริ่มต้นจากนาย Steve Martin อดีตข้าราชการพลเรือนวัย 56 ปีจากเมืองเคนท์ ที่บังเอิญไปเห็นว่าในภาพถ่ายพื้นผิวดาวอังคารของ NASA นั้น มีภาพคล้ายกับสิ่งมีชีวิตปรากฏอยู่ในภาพ ภาพดังกล่าว Steve เชื่อว่ามองเห็นเหมือนกับ ตา ปาก…
-
สถาบันสุขภาพ วิเคราะห์ตัวละครน่ารักจาก Winnie The Pooh อาจเป็นตัวแทนของ “ความผิดปกติทางจิต”
การ์ตูนแสนสดใสในวัยเด็ก ที่ชวนให้ผู้อ่านร่วมสนุกไปกับการผจญภัยของเด็กหนุ่มและหมีสีเหลืองพร้อมเหล่าผองเพื่อนสรรพสัตว์ตัวน้อยในป่าหนึ่งร้อยเอเคอร์ การ์ตูนเรื่องนี้ก็คือ Winnie The Pooh นั่นเอง ภาพที่เราจดจำเหล่าตัวละครจากเรื่องนี้ได้ก็คงจะหนีไม่พ้นความน่ารักที่แตกต่างกันไปตามแต่ละตัว อย่างเช่น หมีพูห์ ก็จะดื้อ ไม่ค่อยฉลาด และซุกซน ส่วน พิกเล็ต ก็จะขี้กลัวขี้ระแวง เป็นต้น หารู้ไม่ว่า ตัวละครน่ารักๆ เหล่านี้ แท้จริงแล้วมันคือสัญลักษณ์และตัวแทนของ ความผิดปกติทางจิต ที่เป็นไปตามงานวิจัยของ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ ของสหรัฐอเมริกา ส่วนตัวละครไหนเป็นตัวแทนของโรคอะไร ไปดูพร้อมๆ กันเลย!! 1. พิกเล็ต หลายคนที่เคยรับชมหรืออ่านการ์ตูน Winnie The Pooh ก็คงจะรู้ดีว่าเจ้าลูกหมูพิกเล็ตนี้ค่อนข้างขี้กังวลและขี้กลัว เขากลัวสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้จักและกังวลเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเสมอ แน่นอนเพราะว่าเขาเป็นตัวแทนของ อาการวิตกกังวล และ ความภูมิใจแห่งตน ยังไงล่ะ 2. ทิกเกอร์ เจ้าเสือจอมกระโดดสุดร่าเริงนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ของ โรคสมาธิสั้น (ADHD) และอาการ ขาดการควบคุมความต้องการของตนเอง สังเกตดูดีๆ จะพบว่าทิกเกอร์มักทำอะไรโดยไม่คิดและไม่ค่อยเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด นอกจากนี้ทิกเกอร์ยังอารมณ์เสียง่ายและใจเย็นลงได้ยากแม้ในสถานการณ์ที่เขาควรจะใจเย็น นี่เป็นอาการจริงๆ ของโรคสมาธิสั้น 3. แรบบิท ปกติแล้วแรบบิทจะดูเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในกลุ่มเพราะเขาดูเป็นคนจู้จี้และจอมวางแผน…