Category: สาระรอบตัว
-
การแก้ปัญหาวัยรุ่น “ติดเหล้า-ยาเสพติด” ของ “ไอซ์แลนด์” จากแย่สุด สู่ดีที่สุดในยุโรป!!
ต้องขอบอกเลยว่าปัญหาของยาเสพติด และอบายมุขต่างๆ นั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ที่หลายประเทศต่างก็พบเจอ โดยเฉพาะเหล่าวัยรุ่นทั้งหลายที่ถูกชักจูงโดยสิ่งมอมเมาได้ง่าย ซึ่งแต่ละประเทศก็จะมีวิธีการจัดการปัญหาที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่นประเทศไทยเราก็ออกกฎหมายไม่ให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังเที่ยงคืน ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ไปเที่ยวร้านเหล้า ทั้งหมดนี้ก็เป็นหนึ่งในวิธีการจัดการกับปัญหาดังกล่าว แต่สำหรับวันนี้ เราจะมาพูดถึงวิธีการจัดการกับปัญหายาเสพติด และอบายมุข ให้พ้นจากกลุ่มวัยรุ่นของประเทศไอซ์แลนด์กัน ต้องขอบอกเลยว่ามันเจ๋งและน่าสนใจมากๆ เลยล่ะ ต้องขอบอกก่อนเลยว่าประเทศไอซ์แลนด์นั้นเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรเพียง 335,000 คนเท่านั้น และหากย้อนกลับไปในปี 1997 ประเทศไอซ์แลนด์ถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรวัยรุ่นยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุดในทวีปยุโรป แต่ผ่านมา 20 ปี จนถึงตอนนี้ประเทศไอซ์แลนด์ถือเป็นประเทศที่มีประชากรวัยรุ่นยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์น้อยที่สุดในยุโรป โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรวัยรุ่นลดจาก 42% เหลือ 5% แล้วพวกเขาทำอย่างไร? แนวคิดการแก้ไขปัญหานี้มาจากชายชาวอเมริกัน ศาสตราจารย์วุฒิคุณ Harvey Milkman จากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัย Metropolitan State University of Denver ที่สังเกตเห็นถึงปัญหาว่าที่เด็กวัยรุ่นในปี 1992 ติดยา และติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กำลังพยายามค้นหาวิธีการที่จะทำให้สารเคมีในสมองเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาเลยคิดเล่นๆ ขึ้นมาว่าหากพวกเขาได้รับแรงกระตุ้นอย่างเป็นธรรมชาติจากกิจกรมต่างๆ…
-
10 นิสัยผิดๆ ที่พวกเราอาจจะคิดว่าทำแล้วดี แต่ที่จริงแล้วมันกลับไม่ได้ดีอย่างที่คิด
ในโลกใบนี้มีความเชื่อผิดๆ อยู่มากมายกว่าที่คิด บางสิ่งบางอย่างเป็นอะไรที่เราได้ยินมาตั้งแต่เมื่อสมัยยังเด็ก และหลายๆ อย่างที่เราเชื่อกันมาเพราะมันฟังดูสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ไม่ถูกต้องนั้นสักวันก็จะถูกพิสูจน์ และนำมาซึ่งความจริงที่ถูกต้องกว่า ดั่งเช่น 10 นิสัยผิดๆ ที่พวกเราอาจจะคิดว่าทำแล้วดี แต่ที่จริงแล้วมันกลับไม่ได้ดีอย่างที่คิด ต่อไปนี้ การทำความสะอาดหู เป็นสิ่งที่ควรจะทำเป็นประจำ เรื่องแรกนี้ต้องทำความเข้าใจกันเล็กน้อย การทำความสะอาดหูนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แต่แคะหูด้วยตัวเองต่างหาก ที่อาจจะเป็นอันตรายได้ ขี้หูนั้นจะเคลือบด้านในของหู และปกป้องหูจากเชื้อแบคทีเรียเชื้อรา และแมลงได้ แถมร่างกายของคนเรานั้นมีกลไกที่จะกำจัดขี้หูออกไป โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่หากคุณทำความสะอาดหูด้วยตัวคุณเอง คุณอาจจะได้รับผลตรงข้าม เมื่อคุณทำการแคะหูคุณเองด้วยคอตตอนบัด ขนของคอตตอนบัดที่ตกค้างจะทำให้เกิดการผลิตขี้หูมากขึ้น สิ่งที่คุณควรทำคือการทำความสะอาดหูของคุณออกเบาๆ ด้วยผ้าเปียกหลังอาบน้ำก็เพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตามในบางกรณีร่างกายของคนเราอาจจะไม่สามารถกำจัดขี้หูออกไปได้หมด ในกรณีนั้นแนะนำให้ไปพบผู้เชียวชาญเฉพาะทางเลยจะดีกว่า ให้ยืนห่างๆ ไมโครเวฟเวลาเครื่องกำลังทำงาน เตาอบไมโครเวฟนั้น ไม่ได้เป็นอันตรายอย่างที่หลายคนคิด มันต่างจากรังสีเอกซ์ที่ใช้ในการเอ็กซเรย์มาก ไมโครเวฟไม่ได้ผลิตสารเคมีหรือรังสีที่เป็นไอออนไนซ์ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อดีเอ็นเอหรือการกลายพันธุ์ของยีน ในความเป็นจริงไมโครเวฟทำขึ้นเพื่อให้รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ผลิตได้ไม่หลุดออกมาข้างนอกอยู่แล้วด้วย ดังนั้นตราบใดที่คุณไม่กอดไมโครเวฟที่เปิดอยู่ การใช้ไมโครเวฟจะไม่มีความเสี่ยงใดๆ ต่อสุขภาพ กดน้ำทันทีที่ทำธุระเสร็จโดยไม่ปิดฝาชักโครก ทุกคนรู้ดีว่าควรกดน้ำทันทีที่ทำธุระเสร็จ มันไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำอย่างถูกต้อง ถ้าฝาชักโครกน้ำทิ้งไว้ก่อนกดน้ำ อนุภาคเล็กๆ ของแบคทีเรียจะสามารถพ่นขึ้นจากการกดน้ำได้สูงถึง 2 เมตร…
-
4 นักประดิษฐ์รุ่นเยาว์ กับผลงานเพื่อเปลี่ยนแปลงระดับโลก ทั้งที่มีอายุยังไม่ถึง 20 ปี…
ความรู้และวิทยาการความก้าวหน้าทางด้านต่างๆ อาจจะถูกมองว่าต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสิ่งนั้นๆ ในระดับสูง โดยจะสอดคล้องกับอายุของบุคคลเหล่านั้นด้วย ยิ่งอายุมากก็ยิ่งมีความรู้มาก แต่ในโลกยุคปัจจุบันกลับสวนทางกับความคิดเดิม เมื่อเรื่องของการประดิษฐ์เพื่อเปลี่ยนแปลงโลก มีเสียงและพลังเล็กๆ จากกลุ่มคนรุ่นใหม่เกิดขึ้นมากมาย โดยที่มีอายุยังไม่ถึง 20 ปีเลยด้วยซ้ำ Hannah Herbst สาวน้อยวัย 17 ปี นักประดิษฐ์จากรัฐฟลอริดา ตัวอย่างแรกนั้นก็คือ Hannah Herbst สาวน้อยวัย 17 ปี จากรัฐฟลอริดา เธอได้รับแรงบันดาลใจในการประดิษฐ์ในช่วงอายุ 15 ปี จากเพื่อนทางจดหมายวัย 9 ปี ในประเทศเอธิโอเปีย ที่เล่าถึงปัญหาว่าไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้ ต้องใช้ชีวิตยามค่ำคืนในความมืดมิด และยิ่งเธอได้รู้ความจริงที่ว่ายังมีประชากรกว่าอีก 1.3 พันล้านคน จากทั่วทั้งโลกที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ เธอจึงเริ่มลงมือสร้าง Beacon (Bringing Electricity Access to Countries through Ocean Energy) เครื่องผลิตไฟฟ้าจากคลื่นและกระแสน้ำ สามารถนำไปใช้ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกได้ โดยที่มนุษย์ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำเป็นจำนวนทั้งหมด…
-
ของมันต้องบำรุง!! 10 อาหารช่วยกู้วิกฤตหอยเสื่อมให้กลับมาฟิต แน่น ปึ๋งปั๋งอีกครั้ง
สาวๆ ทั้งหลาย ปัญหาเรื่องสุขภาพของผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งที่ต้องควรเอาใจใส่ไม่แพ้กับเรื่องหน้าตา โดยเฉพาะเรื่องของอวัยวะสุดสำคัญที่บ่งบอกความเป็นหญิงของเราก็ต้องได้รับการดูแลอย่างเป็นพิเศษด้วย ยิ่งอายุมากขึ้น ของที่มีก็ย่อมเสื่อมตามกาลเวลา อวัยวะของคนเราก็เช่นกัน เพราะเราใช้ร่างกายทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมงไม่หยุดพักมันก็ต้องมีส่วนสึกหรอกันบ้าง โดยเฉพาะส่วนสำคัญของสาวๆ ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะว่าอวัยวะส่วนนั้นมีความบอบบางมาก จึงต้องมีการบำรุงรักษาประคบประหงมอย่างดี Katherine Thurer นักสูตินรีเวชผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องของผู้หญิงโดยตรง ได้ออกมาเปิดเผยรายชื่ออาหารถือได้ว่าเป็นประโยชน์ต่ออวัยวะเพศของผู้หญิง ที่ถ้าใครกำลังมีปัญหาเรื่องนี้อยู่ล่ะก็จะต้องเลือกทานอาหารที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เพื่อที่จะได้รักษาน้องเต่าน้อยของเราให้มีอายุการใช้งานนานๆ 1. กิมจิ กิมจิ อาหารขึ้นชื่อจากประเทศเกาหลีทำมาจากผักต่างๆ ที่นำมาหมักด้วยกัน กิมจิอุดมไปด้วยแบคทีเรียที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ลำไส้และช่องคลอดทำงานได้ดียิ่งขึ้น 2. ชา ถึงแม้ว่าการจิบชาอุ่นๆ จะไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพช่องคลอดของสาวๆ แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ดีมากกว่าการจิบไวน์หรือการกินของหวานหลังจากการกินอาหาร เนื่องจากว่าในไวน์และของหวานมีน้ำตาลและยีสต์สูง ซึ่งมันก็ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพสักเท่าไหร่ เปลี่ยนจากจิบไวน์มาเป็นจิบชาเบาๆ น่าจะดีกว่า 3. แซลมอน แซลมอนเป็นปลาที่อุดมไปด้วยไขมันและโอเมก้า 3 ช่วยบำรุงไม่ให้ช่องคลอดแห้งสำหรับสตรีวัยหมดประจำเดือน ควรทานปลาแซลมอนสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หากหาไม่ได้ก็เปลี่ยนมาเป็นอาหารเสริมที่ทำมาจากปลาก็ได้นะ 4. โยเกิร์ต ในโยเกิร์ตอุดมไปด้วยโพรไบโอติกที่จะช่วยบำรุงกระเพาะอาหารรวมไปถึงช่องคลอดด้วยจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพ แต่ทว่าในโยเกิร์ตนั้นมีน้ำตาลที่จะไปเป็นอาหารของแบคทีเรีย ทางที่ดีควรเลือกทานโยเกิร์ตที่มีน้ำตาลน้อยและเพิ่มผลไม้เข้าไปสักหน่อย…
-
9 อาหารเปิบพิสดารสุดอันตราย หาก ‘กินไม่ถูกวิธี’ ได้ไปเที่ยวโลกหน้าอย่างแน่นอน!!
โลกของเราช่างกว้างใหญ่ไพศาล ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ ทั้งเรื่องของธรรมชาติ และวัฒนธรรมในแต่ละที่ที่มีคนอาศัยอยู่ สำหรับวันนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องของ ‘การกิน’ แน่นอนว่าแต่ละประเทศทั่วโลกย่อมมีวัฒนธรรมการกินที่แตกต่างกัน จึงไม่แปลกเลยที่ว่าจะมีการเปิบพิสดารเมนูแปลกๆ มากมายให้เราได้เห็นกัน และนี่คือ 9 อาหารที่มีความเสี่ยงต่อชีวิตของเรา ที่ทางเว็บไซต์ Brightside ได้รวบรวมมาให้เราได้อ่านกัน จะมีอะไรบ้างลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… 1. ปลาปักเป้า การทำอาหารโดยใช้ปลาปักเป้าเป็นวัตถุดิบนั้นเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น แต่ทั้งนี้การแล่เนื้อของมันจะต้องใช้ความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก เชฟที่จะทำหน้าที่นี้ได้ต้องผ่านการเรียนมาไม่ต่ำว่า 3 ปีหรือมากกว่านั้นจนได้รับใบอนุญาตประกอบการชำแหละปลาชนิดนี้โดยเฉพาะเลยทีเดียว เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้พิษเตโตรโดท็อกซิน ไหลเปื้อนอวัยวะส่วนต่างๆ ได้ และหากมนุษย์ทานเข้าไปก็อาจส่งผลให้เสียชีวิตได้เลย!! 2. สมองลิง เป็นเมนูเปิบพิสดารที่นิยมทานกันในแถบเอเชียและแอฟริกัน แต่ปัจจุบันประเทศจีนได้ทำการสั่งแบนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยหากใครที่ฝ่าฝืนก็จะถูกสั่งจำคุกนานถึง 10 ปีเลยทีเดียว การทานสมองลิงแบบดิบๆ ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นโรค โรคครอยตส์เฟลดต์-จาค็อบ (Creutzfeldt-Jakob) เป็นโรคเสื่อมที่เกิดกับระบบประสาทส่วนกลาง และยังไม่มีหนทางรักษาแถมยังสามารถติดต่อได้ โรคดังกล่าวเกิดจากโปรตีนพรีออนเป็นตัวต้นเหตุ ซึ่งพบได้ในสมองของลิง หากทานเข้ามาในร่างกายของมนุษย์ก็จะมีความเสี่ยงที่จะรับมันเข้ามาโดยตรง ที่สำคัญคนที่ป่วยเป็นโรคนี้จากสถิติแล้ว 90% เสียชีวิตหลังจากที่ติดเชื้อ 1 ปี 3. เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นจะมีกรรมวิธีมากมายก่อนที่มันจะถูกนำมาเสิร์ฟบนจาน ซึ่งหากเราทำถูกต้องแล้วก็สามารถทานได้ไม่มีปัญหาอะไร…
-
อะไรก็เป็นมีดได้ แม้แต่ “เส้นพาสต้า” ก็ยังกลายเป็น “มีดสุดคม” ได้ไม่ยาก
เขากลับมาอีกครั้งกับ kiwami japan ยูทูบเบอร์ผู้มีความชอบในมีดเป็นอย่างมาก ซึ่งมาคราวนี้เขาจะมาโชว์ให้เราดูกันว่ามีดนั้นไม่จำเป็นจะต้องจากเหล็กเพียงอย่างเดียว ส่วนวัสดุที่เขาจะใช้ให้เราดูนั่นก็คือ เส้นพาสต้าที่เรากินกันเป็นปกตินั่นเอง!! ภายในคลิปความยาว 14.10 นาทีของเรานั้น เราจะเห็นขั้นตอนการทำทุกอย่างตั้งแต่การนวดแป้ง ไปจนถึงการลับคมและโชว์ให้เราเห็นว่ามีดพาสต้าของเขามันใช้งานได้จริง ที่สำคัญกินได้ด้วย!! ขั้นตอนการทำง่ายแสนง่าย เริ่มจากการทำกรอบไว้ตากแห้งมีด ซึ่งเขาใช้กรอบไม้และตาข่ายสแตนเลสมาทำกรอบ ซึ่งที่ต้องใช้ตาข่ายเพราะต้องการให้อากาศถ่ายเทนั่นเอง จากนั้นเริ่มการบดหรือปั่นเส้นพาสต้าให้กลายเป็นผง . จากนั้นก็ผสมผงพาสต้าเข้ากับน้ำให้กลายเป็นก้อนแป้ง เมื่อได้ก้อนโดมาแล้วก็นำไปใส่ถุง พักไว้จนแป้งโดขยายตัว นำมีดจริงๆ มาเป็นแบบวาดบนแป้ง เอาแป้งมีดไปใส่ภาชนะพลาสติก ใส่น้ำและตามด้วยเอาเข้าไมโครเวฟ จากนั้นเราจะได้มีดแป้งที่เริ่มแข็งตัว เอามีดไปใส่กรอบในตอนแรกและพักไว้ราว 1 สัปดาห์ จากนั้นก็เอามีดไปลับคม ซึ่งขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความอดทนสูงมากๆ เมื่อกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้น เราก็จะได้มีดที่ทำจากแป้งพาสต้าแล้ว หั่นผักได้สบายๆ เลยนะ แต่ที่เด็ดคือ ถ้าเกิดหิวไม่มีอะไรกิน เราสามารถเอาไปลวกน้ำร้อนแล้วตัดกินได้เช่นเดียวกับเส้นปกติ นอกจากมีดเส้นพาสต้าแล้ว kiwami…
-
10 เคล็ดลับที่จะทำให้คุณดูเป็นคนฉลาด สร้างทั้งความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้ตัวเองสุดๆ
การที่เราดูฉลาดนั้นจะทำให้เราสามารถสร้างความได้เปรียบขึ้นอีกมาก ไม่ว่าจะดูมีความรู้และความน่าเชื่อถือมากกว่าปกติ รวมถึงเรื่องของภาพลักษณ์ภายนอกก็ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าคนที่เกิดมาบนโลกนี้ก็ไม่มีใครที่อยากจะถูกมองว่าตัวเองไม่ฉลาด ดังนั้นเราต้องมาพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองกันหน่อยเสียแล้ว และวันนี้เราก็ได้นำเอาเคล็ดลับวิธีที่จะทำให้เพื่อนๆ ดูฉลาด น่าเชื่อถือมากขึ้นมาฝากกัน ลองไปดูกันครับ 1. ปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอกกันเสียหน่อย ว่าตามการศึกษาของคุณ Satoshi Kanazawa นักจิตวิทยาได้กล่าวว่าคนที่ดูสวยหรือหล่อจะดูเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากกว่าและเสน่ห์ที่พวกเขาปล่อยออกมาทำให้พวกเขาดูฉลาด นี่เป็นสิ่งที่ระดับจิตใต้สำนึกของทุกคนรู้สึกได้ 2. อย่าละเลยความประทับใจครั้งแรก ผู้คนมักจะตัดสินคนจากเครื่องแต่งกายก่อนเสมอ นี่เป็นเรื่องน่าเศร้า แต่มันคือความจริง งานศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Coastal Carolina University พบว่าคนที่สร้างความประทับใจครั้งแรกด้วยการแต่งตัวดีๆ จะถูกจดจำได้ยาวนานกว่า โดยเหตุผลคือ เพราะว่าคนรอบๆ ตัวเห็นเราต่างจากคนอื่น หรือบางทีเพราะการแต่งตัวดีๆ มันช่วยเพิ่มความมั่นใจและแสดงให้คนอื่นเห็นถึงด้านดีๆ ของเรา 3. อย่ากลัวที่จะสบตา จากงานวิจัยของศาสตราจารย์ Nora A. Murphy พบว่าการสบตากับผู้พูดหรือผู้ฟังจะทำให้คุณดูเหมือนคนที่เปิดใจรับฟังเหตุผลคนอื่นและยังเหมือนคนที่มีความมั่นใจอีกด้วย 4. กรอบแว่นตาหนาๆ ทีมวิทยาศาสตร์ของ University of Vienna ได้เปิดเผยให้เห็นถึงผลของการใส่แว่นตา นั่นคือมันจะทำให้ไม่ว่าใครก็ตามดูฉลาดมากขึ้น และความหนาของกรอบแว่นยังสัมพันธ์กับความฉลาดอีกด้วย ดังนั้นหากคุณอยากดูฉลาด จงใส่แว่นหนาๆ เข้าไว้ 5. ยิ้มเข้าไว้ ว่าตามผลการศึกษาของ Charles University in Prague การยิ้มดูเหมือนไม่ได้ทำให้เราดูดีขึ้นก็จริง…
-
ไปรู้จัก 8 หมู่บ้านชาวต่างประเทศ สมัยกรุงศรีอยุธยา นี่คือเมืองนานาชาติอย่างแท้จริง!!
“ข้าพเจ้าไม่รู้สึกเบื่อเลยที่จะชมกรุงไกรอันใหญ่โตที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินเสมือนเกาะ มีแม่น้ำกว้างใหญ่ ๓ เท่าแม่น้ำเซนอยู่โดยรอบ ในแม่น้ำเต็มไปด้วยเรือกำปั่นฝรั่งเศส อังกฤษ วิลันดา ญี่ปุ่น ไทย และยังมีเรือใหญ่น้อยอีกเป็นอันมากแทบจะนับมิถ้วน…” บาทหลวงเดอชัวสี อุปทูตชาวฝรั่งเศส หากย้อนกลับไปถึงช่วงยุคสมัยเก่าแก่ของสยามประเทศนั้น ได้มีการติดต่อและค้าขายกับชาวต่างชาติมาเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือที่พำนักหรือบ้านของชาวต่างประเทศในดินแดนสยาม จะรวมตัวแบ่งออกเป็นสัดส่วนที่แตกต่างกันไป แผนที่หมู่บ้านชาวต่างประเทศในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยชาวฝรั่งเศส ข้อมูลชุดนี้อำนวยการโดย อนุสาร อ.ส.ท. โดยเปิดเผยว่า สมัยกรุงศรีอยุธยาชาวต่างประเทศที่เดินทางโดยเรือสำเภา ต้องแล่นเรือเข้าทางปากน้ำสมุทรปราการ ขึ้นไปตามลำน้ำเจ้าพระยา เมื่อถึงชานพระนครด้านใต้ ก็ต้องจอดเรือตรงขนอนหลวงก่อน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ด่านตรวจผู้คนและสิ่งของ พร้อมทั้งเก็บภาษีสินค้าขาเข้าตามที่ตกลงไว้ แล้วจึงผ่านเข้าเขตพระนครได้ เรือสำเภาของต่างชาติได้รับอนุญาตให้จอดทอดสมอในแม่น้ำ คนละฝั่งกับเกาะเมือง ตั้งแต่บริเวณหน้าป้อมเพชร ที่เรียกว่า “บางกระจะ” เป็นแนวลงมาทางใต้ ซึ่งนอกเหนือจากคอนสแตนติน ฟอลคอน และท้าวทองกีบม้า ที่มีหน้าตาเป็นชาวต่างชาติในละครบุพเพสันนิวาสแล้ว ก็ยังมีชาวต่างประเทศชาติอื่น ๆ ที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเช่นกัน สามารถแบ่งออกได้ดังต่อไปนี้… บ้านจีน หมู่บ้านจีน เคยตั้งอยู่ตั้งแต่บริเวณวัดพนัญเชิงลงมาทางใต้ ตามหลักฐานทางเอกสารพบว่าชาวไทยจีนติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระนครินทราธิราช กษัตริย์ลำดับที่ 6 แห่งกรุงศรีอยุธยา…
-
อ้อ อย่างนี้นี่เอง!! บก. Dragon Ball เผยว่าทำไม “ซุปเปอร์ไซย่า” ต้องมีผมสีบลอนด์
เคยสงสัยมั้ยว่า ในการ์ตูนเรื่อง ดราก้อนบอล (Dragon Ball) ทำไมเวลาที่ชาวไซย่าแปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่าแล้วผมต้องเปลี่ยนเป็นสีบลอนด์ด้วยนะ? อย่างที่หลายๆ คนเห็นว่าการมีผมสีบลอนด์หลังแปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่านั้นมันโคตรเท่โคตรคูลเลยสำหรับการ์ตูนขวัญใจมหาชนอย่างดราก้อนบอล แต่เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสีผมทองๆ ที่เราเห็นกัน มันมีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ Hiroyuki Nakano บรรณาธิการคนปัจจุบันของ โชเน็งจัมป์รายสัปดาห์ (Weekly Shonen Jump) สำนักพิมพ์ของการ์ตูนเรื่องดราก้อนบอลในปัจจุบัน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในงานครบรอบ 50 ปีของสำนักพิมพ์ ว่าทำไม ผมของซูเปอร์ไซย่าถึงมีสีบลอนด์ทอง Nakano กล่าวว่า “มีหลายภาพที่ต้องลงสีผมโกคูด้วยสีดำ แต่สมัยที่หนังสือการ์ตูนจะมีสีเพียงแค่ขาวและดำเท่านั้น อาจารย์ Toriyama (ผู้เขียนดราก้อนบอล) จึงเลือกให้ผมของโงกุนเป็นสีบลอนด์เมื่อกลายเป็นซูเปอร์ไซย่า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องลงสี” Nakano อธิบายเพิ่มเติมว่า “การผลิตการ์ตูนรายสัปดาห์ออกมานั้นมีตารางงานที่ค่อนข้างแน่น และมีเวลาที่จำกัด ฉะนั้นจึงต้องประหยัดเวลาในบางส่วน เพื่อนำไปใช้ในส่วนอื่นที่สำคัญกว่า” สรุปง่ายๆ ก็คือ ที่ผมของโกคูตอนเป็นซูเปอร์ไซย่ามีสีบลอนด์ก็เพราะว่า มันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาลงสี ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาเพื่อนำไปเน้นที่เรื่องงานภาพในฉากต่างๆ และลายเส้นได้มากเลยทีเดียว ที่มา: Soranews24
-
ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง แนะนำวิธี “บีบสิว” ที่ถูกต้อง ทำอย่างไรหน้าไม่ช้ำและแผลหายเร็ว
หลายๆ คนคงจะคิดว่าการบีบสิวน่ะเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็ทำกัน แต่จริงๆ แล้วมันเป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดการ ‘ติดเชื้อ’ ได้ง่ายมากๆ!! แถมถ้าบีบแรงไปก็อาจจะทำให้ใบหน้าบอบช้ำได้อีกต่างหาก ฉะนั้นแล้วการบีบสิวถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะไปพบแพทย์เกี่ยวกับผิวหนัง ให้พวกเขาจัดการให้เสียดีกว่า แต่ถ้าหากว่าคุณไม่มีเวลาหรือไม่สะดวกไปพบแพทย์ล่ะก็ วันนี้ #เหมียวหง่าว มีคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังจากสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการบีบสิวที่ทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน มาฝากเพื่อนๆ กัน ขั้นแรกเลยก็คือ เราต้องรอให้หัวสิวมัน ‘สุก’ ซะก่อน วิธีสังเกตง่ายๆ ก็คือถ้าหัวมันมีสีขาวๆ นั่นแหละ ใช่เลย ซึ่งจริงๆ แล้วนั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าการหัวสิวหรือไขมัน มันลามขึ้นมาอยู่ใกล้กับผิวหนังชั้นนอก ทำให้ง่ายต่อการรีดมันออกมา ต่อไปก็หาเข็มมา 1 อัน ใช้ความร้อนทำความสะอาด 1 รอบ จากนั้นก็เอาไปทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ นำสำลีชุบแอลกอฮอล์แล้วทำความสะอาดบริเวณที่เป็นสิวบนใบหน้าของเรา การทำแบบนี้จะทำให้แบคทีเรียอันอาจจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดการติดเชื้อถูกกำจัดออกไป ถึงเวลาบีบมันออกมาแล้ว!! ใช้เข็มจิ้มเข้าไปที่หัวสิวที่สุก จากนั้นก็ใช้คอตตอนบัด 2 อันมากดลงไปข้างๆ บริเวณฐานของสิว แล้วก็ออกแรงเพื่อให้ของเหลวที่อยู่ข้างในไหลออกมาจนหมด ทำความสะอาดด้วย กรดซาลิไซลิก, ยาทารักษาสิว Benzoyl Peroxide, หรือ สารสกัดต้นวิชฮาเซล เป็นอันจบสิ้นกระบวนการ…
-
อีกมุมมอง…อ่านบันทึก “ทูตสยาม” เข้าเฝ้า “พระเจ้าหลุยส์ที่ 14” จากเว็บไซต์ฝรั่งเศส
ต้องขอบอกเลยว่ากระแสฟีเวอร์ของละครเรื่อง ‘บุพเพสันนิวาส’ นี้สร้างปรากฎการณ์มากมายให้กับบ้านเราจริงๆ ทั้งในเรื่องของโซเชียล การท่องเที่ยว รวมไปถึงทำให้คนหันมาสนใจทางด้านประวัติศาสตร์กันมากขึ้น ซึ่งหลายๆ คนก็อาจจะได้อ่านหรือฟังเรื่องราวของยุคสมัย ‘พระนารายณ์’ จากบันทึกของบ้านเรากันมาบ้างแล้ว แต่สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะพาเพื่อนๆ ไปอ่านบันทึกและมุมมองจากฝั่งของชาวต่างชาติกันบ้าง เป็นเหตุการณ์ที่ทูตจากสยามเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งหลายๆ จากการตีความของชาวเน็ต และผู้เชี่ยวชาญหลายท่านก็มองว่าบุคคลที่ถูกส่งตัวไปเข้าเฝ้านั้นก็คือคณะของท่านโกษาปานและคุณพี่หมื่นตัวจริงเสียงจริงที่มีชีวิตอยู่ในช่วงนั้นนี่แหละ!! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรลองไปรับชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… ย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1678 (พ.ศ. 2221) หลังจากชัยชนะเหนือประเทศฮอลแลนด์ ก็ทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กลายเป็นบุคคลที่เรียกได้ว่าทรงอำนาจที่สุดในแถบประเทศทางยุโรป เช่นเดียวกันกับสยาม ที่ในช่วงคริสศตวรรษที่ 17 กำลังเป็นประเทศมหาอำนาจทางวัฒธรรมเป็นอย่างมากในทวีปเอเชีย เรียกได้ว่ามีศักยภาพพอๆ กับจีน และอินเดียเลยทีเดียว วัฒนธรรมของประเทศสยามนั้นเป็นแบบพุทธแต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับความหลากหลายจากวัฒนธรรมอื่นๆ นอกจากนี้สยามในยุคนั้นยังมีความหลงใหลในวัฒนธรรมของชาวตะวันตกอีกด้วย ในช่วงยุคที่ปกครองโดยพระนารายณ์ (ช่วงปี 1657-1688 หรือ พ.ศ. 2200-2231) ประเทศทางฝั่งตะวันตกค่อยๆ มีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พระองค์ทรงมองหาพันธมิตรเพื่อช่วยไม่ให้ประเทศสยามถูกรุกราน และประเทศฝรั่งเศสก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากว่าประเทศสยามยังไม่เคยมีส่วนร่วมทางการค้ากับชาวดัทช์ ทำให้การเจรจาประสบความสำเร็จอย่างง่ายดาย…
-
รหัสลับ Netflix ที่ทำให้คุณสามารถปลดล็อก ประเภทของภาพยนตร์ที่ถูก “ซ่อน” เอาไว้ได้
Netflix คือเว็บไซต์สำหรับรับชมภาพยนตร์และภาพยนตร์ชุดจำนวนนับไม่ถ้วนได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย และขณะนี้ Netflix เองก็กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากให้ประเทศไทยเราด้วยเช่นกัน ทั้งนี้การใช้บริการของเว็บไซต์ Netflix นั้นถือว่าอำนวยความสะดวกในการหาชมภาพยนตร์ได้ดีอย่างยิ่ง เพราะปัจจุบันการจะหาภาพยนตร์ถูกลิขสิทธิ์มาชมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แถม Netflix ยังใช้ระบบเก็บค่าบริการแบบรายเดือน ที่คุณสามารถรับชมภาพยนตร์กี่เรื่องกี่รอบก็ได้ในหนึ่งเดือน สำหรับหมวดหมู่ภาพยนตร์นั้น เราจะสังเกตเห็นได้ว่ามันมีตัวเลือกสำหรับประเภทภาพยนตร์อยู่เท่านี้ แต่หลายคนยังไม่รู้ว่า ที่จริงมีมากกว่านี้อีก การแบ่งประเภทภาพยนตร์ใน Netflix นั้นละเอียดกว่านั้น แถมยังมีความเฉพาะเจาะจงได้มากขึ้นอีก เช่น ภาพยนตร์สยองขวัญเกรดบี ภาพยนตร์สารคดีการเดินทาง หรือว่าภาพยนตร์เฉพาะกลุ่ม เป็นต้น แต่เรื่องนี้น่ะเป็น ความลับ ที่หลายคนยังไม่รู้ วิธีการเข้าไปเลือกประเภทภาพยนตร์แบบละเอียดนั้นง่ายมาก ก่อนอื่น เมื่อคุณเข้าไปที่เว็บไซต์ของ Netflix แล้ว ให้คุณลองมองขึ้นไปด้านบน ในช่อง URL จะเห็นว่ามันปรากฏเป็น http://www.netflix.com/browse แบบนี้ แต่เมื่อคุณคลิกตัวเลือกด้านบนซ้าย แล้วเลือกหมวดหมู่ภาพยนตร์ มันก็จะเข้าไปยังหน้าที่แสดงแต่ภาพยนตร์เท่านั้น ทีนี้ ลองกลับไปมองที่ช่อง URL อีกครั้ง คุณก็จะพบว่ามันขึ้นว่า http://www.netflix.com/browse/genre/เลขอะไรสักอย่าง ทีนี้แหละ ถึงเวลาที่เราจะมาเลือกประเภทภาพยนตร์กันแล้ว โดยด้านล่างจะเป็นรายชื่อประเภทต่างๆ ของภาพยนตร์…
-
เซ็กส์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว การเปลี่ยนแปลงในกิจกรรมการมีเซ็กส์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
การมีเซ็กส์นั้นเป็นหนึ่งในธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต แต่สำหรับมนุษย์แล้ว การมีเซ็กส์นั้นมีความหมายมากกว่านั้น เพราะสำหรับพวกเราที่เป็นเพียงหนึ่งในสัตว์ไม่กี่ชนิดที่มีเซ็กส์เพื่อความสุขแล้ว ความหมายของเซ็กส์นั้น มันไม่ได้เป็นเพียงแค่การกระทำเพื่อขยายพันธุ์อีกต่อไป ในช่วงเวลาที่ผ่านไป ตั้งแต่สมัยโบราณ มาจนถึงปัจจุบันนั้น บทบาทและคุณค่าของการมีเซ็กส์นั้น ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และแม้ว่าจะไม่ได้ยิ่งใหญ่จนพลิกประวัติศาสตร์ แต่ในช่วงเวลาหนึ่งทศวรรคมานี้ การมีเซ็กส์ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน อวัยวะยอดนิยมที่ใช้ในการมีเซ็กส์ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง การมีเซ็กส์ยอดนิยมนั้นยังคงเป็นการใช้จู๋กระทำกับจิ๋มไม่เปลี่ยนแปลง วงการหนังโป๊นั้นเปลี่ยนไปมาในช่วงเวลาหลายปีมานี้ เริ่มต้นจาก ผู้คนส่วนใหญ่ในขณะนี้ มักจะดูสื่อลามกบนโทรศัพท์มือถือ เมื่อเทียบกับทางคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้เวลาโดยเฉลี่ยที่คนใช้ในเว็บไซต์ลามกยังเพิ่มขึ้นจาก 6 นาทีในปี 2010 เป็น 10 นาทีในปี 2016 แม้ว่านั่นอาจจะหมายความว่าคนเราอึดกันมากขึ้น แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจเป็นเพียงแค่คนเราใช้เวลาค้นหาวิดีโอที่ที่ชอบ จากตัวเลือกอื่นๆ ที่มีอยู่มากขึ้นก็เป็นได้ แนวโน้มที่จะมีเพศสัมพันธ์กับใครสักคนในการเดตครั้งแรกลดลง 19% เมื่อเทียบกับปี 2006 ที่มีคนเห็นด้วยกับการมีเพศสัมพันธ์ในการเดตครั้งแรกมากถึง 69% แต่ถึงอย่างนั้น ในปัจจุบันก็ยังมีผู้เห็นด้วยอยู่ที่ 50% ซึ่งก็นับว่าเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งอยู่ดี นอกจากนี้กฎการมีเพศสัมพันธ์ เมื่อเดตกันเกินสามครั้งแล้วเท่านั้น ก็เริ่มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน เพื่อนเพื่อเพศสัมพันธ์เป็นที่นิยมมากขึ้นกว่า 10% จากปี 2006…
-
พอกันทีกับไมเกรน!! อาหาร 7 ประเภทที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว ถ้าไม่อยากปวดต้องลด
ในปัจจุบันก็มีผู้คนจำนวนมากที่กำลังทนทุกข์ทรมานกับโรคไมเกรนที่ในขณะนี้ก็ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่มาที่แน่ชัดของการเกิดโรคนี้ ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญก็ได้มีการยอมรับว่าอาการปวดหัวอย่างรุนแรงนั้นอาจเกิดมาจากยาที่ได้รับเข้าไปนั้นส่งผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ หรือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ แต่อีกหนึ่งเหตุผลก็คือพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อความรู้สึกได้เช่นกัน จากหลายงานวิจัยกล่าวว่าประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของคนทั้งหมดที่ป่วยเป็นโรคไมเกรนนั้นมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงจากการเลือกรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ 1. ชีสที่ใช้เวลาบ่มนาน ชีสที่ผ่านกระบวนการบ่มเป็นเวลานานอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการของโรคไมเกรนเนื่องจากมีระดับของสาร Tyramine สูง เช่นเชดด้าชีส สวิสชีส บลูชีสและพาเมซานชีส แต่ก็มีชีสบางประเภทที่มีระดับของ Tyramine ต่ำเนื่องจากเป็นชีสสด เช่นอเมริกันชีส ครีมชีสและริคอตต้าชีส ส่วนมอสซาเรลลาชีสนั้นมีทั้งประเภทที่บ่มด้วยเวลานานและไม่นาน จึงควรตรวจสอบที่ฉลากของชีสก่อนที่จะซื้อมารับประทาน 2. ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวนั้นมีกรดมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระดับกรดเบสในกระแสเลือดได้ และยังเพิ่มโอกาสในการเกิดอาการปวดหัวจากโรคไมเกรนอีกด้วย บางงานวิจัยกล่าวว่า 11 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มีอาการปวดหัวรายงานว่าเกิดจากการรับประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว นอกจากนั้นผลไม้เหล่านี้ยังมีสาร Tyramine และ Histamine ที่สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพหากร่างกายของคุณได้รับสารเหล่านั้นมากเกินไป 3. ของเย็น ถ้าคุณชอบทานไอศกรีมหรือดื่มน้ำเย็นอย่างรวดเร็วในขณะที่ร่างกายของคุณนั้นมีอุณหภูมิสูงจากการออกกำลังกายหรืออยู่ในอากาศที่ร้อนเกินไป คุณอาจมีอาการปวดหัวอย่างหนัก ซึ่งอาจมีระยะเวลาประมาณ 25-60 วินาที หรืออาจนานถึง 1-2 นาทีเลยทีเดียว 4. กลูเต็น กลูเต็นเป็นโปรตีนที่พบอยู่ในธัญพืชเช่นแป้ง ข้าวสาลี ข้าวไรย์…
-
14 ข้อเสียของการเป็นสาว “โนตม” ที่หากว่าใครไม่ใหญ่จริง ไม่รู้สึกหร๊อกก!!
“อกหักน่ะเรื่องเล็ก แต่อกเล็กน่ะเรื่องใหญ่!” คำพูดดังกล่าวอาจจะเป็นคติยอดนิยมสำหรับสาวๆ หลายคน แต่ขณะเดียวกัน มันก็อาจจะฟังดูขัดหูขัดตาสำหรับผู้ที่เกิดมา “โนตม” เพราะพวกเขาพบว่า ที่จริงแล้วหน้าอกใหญ่ๆ มันก็มีข้อเสียตั้งเยอะ! เอาล่ะ สาวๆ พร้อมหรือยังที่จะไปรับฟัง 14 ความจริงสุดเศร้า สำหรับการเป็นสาวโนตม ที่เมื่ออ่านแล้วคุณอาจเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับขนาดหน้าอดไปเลยก็ได้นะ 1. หน้าอกมีเหงื่อออกมาก (เหนอะหนะจะตาย ใครจะไปชอบ) 2. การจะแต่งตัวแบบไม่มีเสื้อชั้นใน หรือโนบรา ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ (แรงโน้มถ่วงโลกมีจริงนะจ๊ะ) 3. การใส่เสื้อเชิ้ตมีกระดุมนั้นไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย (กระดุมอาจปริ หรือแตกได้ง่ายๆ) 4. เศษสิ่งสกปรกต่างๆ จากเสื้อ มักจะมาสะสมอยู่ตรง “ร่องอก” เสมอเลย 5. เสื้อชั้นในพังไวมาก ไวจนน่าใจหาย 6. ความโนตมของคุณ อาจน่าประทับใจ แต่ก็อาจจะทำให้เกิดความน่าโมโห (ก็มีแต่คนมองต่ำนี่เนอะ) 7. หากพูดคุยใกล้ๆ กับคนที่มักออกท่ามือบ่อยๆ ถือว่าค่อนข้างอันตรายสำหรับหน่มน้มเลยล่ะ …
-
เราจะผอมไปด้วยกัน!! กับท่ายืดกล้ามเนื้อ 12 ท่า ช่วยเผาผลาญไขมัน กระชับทุกสัดส่วน
ความกังวลในเรื่องของไขมันส่วนเกินบนร่างกายถือว่าเป็นปัญหาระดับชาติสำหรับใครหลายๆ คนเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะสำหรับสาวๆ ที่อยากจะมีหุ่นฟิตๆ เฟิร์มๆ ดูดีกระชากใจหนุ่มๆ แต่ทว่ากลับไม่สามารถหาวิธีที่จะเดินทางไปสู่เป้าหมายนั้นได้เลย ในวันนี้เราจึงขอนำเสนอ 12 ท่ายืดกล้ามเนื้อที่สามารถช่วยเผาผลาญไขมัน เสริมสร้างระบบการเผาผลาญ ลดความเครียด และเสริมสร้างกล้ามเนื้อ รับรองว่ามันจะเป็นตัวช่วยให้กับเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดีแน่นอน มีท่าอะไรบ้างเราลองไปดูกันเลยจ้า 1. ท่างูเห่า ท่านี้จะช่วยกระชับบริเวณไหล่ หลัง หน้าอก หน้าท้อง สะโพก และกล้ามเนื้อบริเวณเอว วิธีการคือ นอนคว่ำลงไป เหยียดแขนไว้บริเวณข้างลำตัว สนเท้าชิดติดกัน จากนั้นดันเอาลำตัวช่วงบนขึ้น แหงนศีรษะไปด้านหลัง ทำค้างไว้ 20-30 วินาที 2. ท่านั่งบิดเอว ท่านี้จะช่วยกระชับบริเวณหลัง หน้าท้อง และกล้ามเนื้อบริเวณเอว วิธีการคือ นั่งลงไปกับพื้น เหยียดขาข้างหนึ่งไปข้างหน้า ส่วนอีกข้างให้ชันเข่าขึ้นมาไขว้กับขาข้างที่เหยียดเอาไว้ (ตามในภาพ) จากนั้นจึงบิดเอวไปให้ได้มากที่สุดตามทิศทางของข้างที่ชันเข่าขึ้นมา ค้างไว้ 20-30 วินาที แล้วจึงค่อยเปลี่ยนไปทำอีกฝั่งหนึ่งสลับกัน 3. ท่านักรบ ท่านี้จะช่วยกระชับบริเวณสะโพก หลัง…
-
14 พฤติกรรมง่ายๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อรักษาสุขภาพที่ดีเอาไว้ ให้ไม่จากเราไปไหน
ทุกคนต้องการให้ตัวเองมีสุขภาพดีไปตลอด แต่สิ่งที่ยากสำหรับความต้องการนี้ก็คือการรักษามันเอาไว้ให้อยู่กับเรา เพราะเราส่วนใหญ่มักจะเจอกับปัญหาในเรื่องของความขี้เกียจหรือปัจจัยบางอย่าง จนทำให้ร่างกายของเรากลับไปอยู่ในจุดของความย่ำแย่อีกครั้ง วันนี้ #เหมียวตะปู จึงอยากชวนให้เพื่อนๆ มารู้จักกับ 14 การเปลี่ยนแปลงง่ายๆ ที่จะช่วยให้สุขภาพของเราแข็งแรงอยู่เสมอ มันจะง่ายจริงมั้ย แล้วมันจะมีอะไรกันบ้าง ก็เลื่อนไปดูกันได้เลยจ้า 1. เลิกคำนวณแคลอรีกันได้แล้ว คุณภาพของอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการมานั่งนับแคลอรี เราควรจะใส่ใจเลือกอาหารที่ดีต่อตัวเรา ดูว่ามันดีต่อสุขภาพมากแค่ไหน และจาก การศึกษาระยะเวลากว่า 20 ปี บอกว่า อาหารแปรรูปและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลคือตัวการสำคัญที่ทำให้น้ำหนักเราเพิ่มขึ้น เป็นไปได้ก็ควรจะหลีกเลี่ยงกันด้วยนะ 2. ผักครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง ผักและผลไม้คือแหล่งของไฟเบอร์ น้ำ และสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากมาย ได้มี งานวิจัย บอกเอาไว้ว่ายิ่งคุณมีผักและผลไม้ในจานมากเท่าไหร่ สุขภาพของคุณก็จะดีเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกันกับตอนเราไปซื้อของในตลาด การมีผักอยู่อย่างน้อยซักครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดที่เราซื้อมา นั่นคือจุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ดีแล้ว 3. กินในสิ่งที่อยากกินและในตอนที่อยากกิน เมื่อไหร่ที่เราหักห้ามใจไม่กินสิ่งที่ชอบ พอเราทนไม่ไหวเราก็จะกินมันมากเกินไปจนน้ำหนักขึ้น เพราะฉะนั้นก็ขอให้กินในสิ่งที่อยากกินและเพลิดเพลินไปกับมันโดยไม่รู้สึกผิด แต่ขอแค่อย่าคิดถึงอาหารที่เราชอบตลอดเวลาก็พอ 4. ใช้กฎสองคำ ถ้าอยากกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพมากจริงๆ ขอให้ใช้กฎ สองคำควบคู่ไปด้วย นั่นคือกัดคำแรกแล้วกินน้ำตามหนึ่งแก้ว จากนั้นจึงกัดอีกคำหนึ่ง…
-
10 ภาพเปรียบเทียบ “ชีวิตวัยเด็ก” ในอดีต vs ปัจจุบัน ที่เราทุกคนต่างก็คิดถึงมัน…
เวลาเปลี่ยน อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี ค่านิยม สังคม รวมไปถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่ต้องปรับตัวให้กลมกลืนสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะเด็กๆ ในวันนี้ที่ต้องเติบโตมาในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ เทคโนโลยีอันทันสมัย ซึ่งมีความแตกต่างกับเด็กๆ ในอดีตอย่างเห็นได้ชัด พอลองนึกย้อนวันวานกลับไปมันก็ทำให้เราหวนคิดถึงอยู่เหมือนกันนะ T T 1. ของเล่นเด็กในอดีต vs ปัจจุบัน เมื่อก่อนเด็กๆ จะเล่นของเล่นที่หาได้ตามธรรมชาติ อย่างดีหน่อยก็ตุ๊กตาหรือหุ่นยนต์ใส่ถ่าน เล่นน้ำในแม่น้ำลำคลอง แต่ปัจจุบันเราสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีทันสมัยได้มากขึ้น เหล่าเด็กๆ ก็สามารถหาความบันเทิงได้ง่ายขึ้นจากอุปกรณ์ทันสมัยต่างๆ อย่างวิดีโอเกม หรือของเล่นที่ทันสมัย 2. เล่นนอกบ้านกับเล่นในบ้าน เด็กสมัยก่อนมักจะออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ นอกบ้าน จนพ่อแม่ต้องไปตามตัวกลับบ้าน แต่สมัยนี้ถึงกับต้องขอร้องให้ออกไปเล่นนอกบ้านเลยทีเดียว (ก็ทำไงได้อะ อยู่บ้านมันสบายกว่านี่นา ขนาดผู้ใหญ่ยังไม่อยากออกไปไหนเล้ยยย ฮร่า) 3. แบบอย่างที่เปลี่ยนไป เด็กสมัยก่อนเติบโตมากับสังคมที่ไม่ค่อยมีความหลากหลาย ดังนั้นแบบอย่างของพวกเขามักจะเป็นผู้ใหญ่ที่อยู่ในกรอบ เรียบร้อย หรือแต่งตัวเนี๊ยบ แต่เด็กปัจจุบันนี้เติบโตมาในสังคมที่มีความหลากหลาย มีตัวเลือกมากขึ้น และมองโลกกว้างขึ้น 4. เด็กสาวสายแบ๊วในวันนั้น หายากขึ้นทุกที เด็กสาวสมัยก่อนจะไม่ค่อยแต่งเนื้อแต่งตัวมากนัก…
-
งานวิจัยคอนเฟิร์มแล้วว่า “คนมีคู่…จะอ้วนขึ้น” มาดูกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
การมีคนรักหรือมีแฟนนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ เพราะว่าเมื่อคุณมีคนรัก อะไรๆ ก็ดีไปหมด คุณจะไม่เหงา มีคนคอยอยู่ข้างๆ มีคนให้นอนจับมือกันเล่นๆ อะไรก็ว่าไป แต่หารู้ไม่ว่า การมีแฟนก็มีข้อเสียเหมือนกันนะ ซึ่งเจ้าข้อเสียนี้เป็นสิ่งที่หลายคนไม่ค่อยชอบเสียด้วย นั่นคือ “ความอ้วน” นั่นเอง ผลงานการศึกษาชิ้นใหม่จาก University of Queensland ในออสเตรเลีย ได้ผลลัพธ์ออกมาว่า การที่คนเรามีคู่รักนั้นจะทำให้มีน้ำหนักมากขึ้น การศึกษาดังกล่าว เก็บข้อมูลมาจากผู้คนจำนวน 15,000 คน โดยพบว่าผู้ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่รักนั้นจะมีน้ำหนักมากกว่าคนโสดโดยเฉลี่ยถึง 5.8 กิโลกรัม ที่ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่าผู้ที่มีแฟนแล้ว มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 1.8 กิโลกรัมต่อปี โดยทางผู้วิจัยกล่าวว่า “ผู้ที่แต่งงานหรือว่ากินอยู่กัน จะมีการทานอาหารร่วมกันบ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าจะทานอาหารที่มีประโยชน์ก็เถอะ แต่ว่าพวกที่มีคู่นั้นจะมีแนวโน้มที่จะทานอาหารมากขึ้นกว่าตอนที่ทานคนเดียว ฉะนั้น เขาจึงรับพลังงานเข้าร่างกายมากขึ้น” ทั้งนี้ งานศึกษาวิจัยยังพบอีกว่า คู่ที่แต่งงานแล้ว หรือคู่ที่อยู่ด้วยกันยังมีการส่งเสริมพฤติกรรมทำลายสุขภาพมากขึ้นอีกด้วย เช่น กิน ดูทีวี และดื่มแอลกอฮอล์ด้วยกัน เป็นต้น …
-
เผยภาพหลอนจากโรงพยาบาลบ้าในอดีต ของผู้ป่วยโรค ‘ฮิสทีเรียหญิง’ จากศตวรรษที่ 19
ในยุคสมัยความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์ยังไม่เอื้ออำนวย อาการผิดปกติทางระบบประสาทและจิตนั้นจะถูกมองว่าเป็นผลของเวทมนตร์คาถาในสายตาของผู้คนทั่วไป แต่ทว่าทางด้านการแพทย์นั้นจะถูกมองโดยรวมว่าเป็นบ้าแทน… สิ่งสำคัญที่ทำให้แพทย์สามารถวิเคราะห์อาการของผู้ป่วยได้ก็คือภาพถ่าย หนึ่งในการเก็บข้อมูลผู้ป่วยเพื่อใช้ในการวินิจฉัยและหาหนทางรักษา ซึ่งในอดีตนั้นภาพถ่ายเก่าๆ ก็จะมีความซีดจางบวกการแสดงอาการของผู้ป่วยก็ยิ่งทำให้ดูหลอนได้อีก!! หนึ่งในผู้ป่วยที่กำลังกรีดร้องต่อหน้ากล้องถ่ายภาพ ภาพถ่ายชุดนี้คาดว่าถูกถ่ายไว้ในช่วงปีค.ศ. 1878 – 1910 จากโรงพยาบาล ปีเต-แซลแปตริแยร์ (Pitié-Salpêtrière) ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และอาการของผู้ป่วยหญิงเหล่านี้ถูกจำกัดความด้วยชื่อโรค “ฮิสทีเรียหญิง” หรือชื่อพฤติกรรมการกินผิดปกติในปัจจุบัน ประวัติของผู้ป่วยนั้นไม่ได้รับการเปิดเผยแต่อย่างใด โดยที่รูปถ่ายเหล่านี้เป็นฝีมือของ Albert Londe ช่างภาพที่ถูกจ้างจากนักประสาทวิทยา Jean-Marie Charcot เพื่อถ่ายภาพของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาอาการทางจิต นานนับศตวรรษ โรคฮิสทีเรียหญิงถูกจัดให้เป็นโรคทั่วไปและจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงเท่านั้น พร้อมทั้งอาการที่กระทบต่อสุขภาพจิตหลากหลายทาง… เช่น หงุดหงิดง่าย, มีความต้องการทางเพศ, นอนไม่หลับ, ถ่ายของเหลวไม่ออก, หายใจถี่, ปวดช่องท้องรุนแรง รวมไปถึงนิสัยการก่อปัญหาต่างๆ ผู้ป่วยหญิงกับอาการทางจิต ที่ก่อตัวมาจากโรคฮิสทีเรีย ในอิริยาบถพนมมือสวดภาวนา จนกระทั่งในศตวรรษที่ 19 โรคฮิสทีเรียนั้นมีความเกี่ยวข้องกับมดลูก และได้รับการกล่าวกันว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายออกมาจากร่างกายของผู้หญิง เหล่าหญิงผู้โชคร้ายที่ประสบกับโรคฮิสทีเรียจะถูกนำไปกักตัวในโรงพยาบาลบ้าทันที…
-
อะไรนะ…แค่ดื่มไวน์ ก็ลดน้ำหนักได้!!? นักวิทย์ฯ เผยในไวน์มีสารโพลีฟีนอลช่วยลดน้ำหนัก
สำหรับใครที่กำลังพยายามลดน้ำหนัก แล้วรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการออกกำลังกายหรือควบคุมอาหาร วันนี้มีทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแบบง่ายๆ ชิลๆ ด้วยการ “ดื่มไวน์” เท่านั้น! ไม่ได้เป็นการล้อเล่นหรือพูดขำๆ ทั้งนั้น เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้เสนอว่า ดื่มไวน์ 2 แก้วก่อนเข้านอน จะช่วยให้คุณมีน้ำหนักลดลงได้ วิธีการลดน้ำหนักโดยการดื่มไวน์นี้ มาจากการศึกษาของ Washington State University และ Harvard Medical School ซึ่งการศึกษาดังกล่าวพบว่ามีสารโพลีฟีนอลที่ดีต่อร่างกายชื่อว่า “Reservatrol“ เป็นส่วนประกอบอยู่ใน “ไวน์แดง” ที่จะช่วยเราในการลดน้ำหนัก เจ้าสาร Reservatrol นี้จะช่วยเปลี่ยน “ไขมันสีขาว” ที่เผาผลาญยาก ให้กลายเป็น “ไขมันสีน้ำตาล” ที่สามารถถูกเผาผลาญได้โดยง่าย และนอกจากนี้เจ้าสาร Reservatrol ยังมีส่วนช่วยในการยับยั้งความอยากอาหารอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจหากดื่มไวน์แดงเข้าไปแล้ว คุณจะทานอาหารน้อยลง แต่ถ้าหากว่าใคร ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลย ก็ไม่เป็นไร ยังมีทางเลือกอื่นอีก เพราะว่าเจ้าสารโพลีฟีนอล Reservatrol ตัวนี้ยังมีอยู่ในผลไม้หลายชนิด เช่น บลูเบอรี่ สตรอเบอรี่ และองุ่น เป็นต้น อย่างนี้ #เหมียวฝึกหัด…
-
นักจิตวิทยาบอก คนที่มีลักษณะตรงข้ามกัน ไม่ได้ดึงดูดเข้าหากัน หรือเข้ากันได้ดีเสมอไป
คุณอาจจะเคยได้ยินคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับการความรัก บางคำแนะนำก็น่าสนใจและดูน่าจะใช้ได้จริง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีคำแนะนำอีกมากมายที่ไม่น่าจะจริงสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามคนกว่า 80% มักจะมีความเชื่อที่ว่า “คนที่ลักษณะตรงข้ามกันนั้นมักจะดึงดูดกันและกัน” ว่าเป็นคำแนะนำที่ดี แต่แท้จริงแล้วพวกเขาอาจจะคิดผิดก็ได้ เพราะตามที่นักวิจัยที่ St. Andrews ทำการวิจัยออกมานั้น คนส่วนใหญ่มักที่จะดึงดูดผู้คนที่มีลักษณะคล้ายกันมากกว่า การวิจัยจากวารสารทางจิตวิทยา บอกว่าเหตุผลที่ผู้คนส่วนใหญ่มักที่จะสนใจคนอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกับตัวเองนั้น เป็นเพราะมนุษย์ชอบสิ่งที่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่อย่างบ้านเกิด หรือของที่ใช้เป็นประจำ บวกกับการที่เราเห็นใบหน้าของตัวเองในกระจกทุกวัน ดังนั้นเราจึงถูกดึงดูดจากจิตใต้สำนึกไปยังคนที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับเรา โดยเฉพาะรูปร่างหน้าตา เราจะรู้สึกว่าพวกเขาน่าเชื่อถือและมีความรู้สึกที่ดีกับพวกเขาเหล่านั้นมากขึ้น และด้วยเหตุเดียวกันนี่เองเราจึงมักถูกดึงดูดโดยผู้คนที่ดูคล้ายกับพ่อแม่ของเรา เพราะเราไม่เพียงคุ้นเคยกับใบหน้าของพวกเขา แต่ยังเพราะพวกเขาเป็นคนแรกที่เราผูกพันด้วย นอกเหนือจากการดึงดูดทางลักษณะกายภาพแล้ว ผู้คนยังมักจะถูกดึงดูดโดย คนที่มีทัศนคติ และมุมมองที่คล้ายกัน เช่นศาสนา หรือการเมือง รวมไปถึงคนที่มีลักษณะนิสัยที่ใกล้เคียงกันอีกด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นคนที่รักกันนานๆ มักจะสามารถทำอะไรด้วยกันเป็นเวลาหลายๆ ปีได้ อย่างไรก็ตามงานวิจัยชิ้นนี้ไม่ได้ฟันธงไปว่า คนที่มีลักษณะตรงข้ามกัน ไม่ได้ดึงดูดเข้าหากันแต่อย่างใด เพียงแต่กล่าวในแง่ของจุดร่วมระหว่างความคุ้นเคยกับความสบายใจของคู่รักก็เท่านั้น ดังนั้นแม้คุณกับคนที่คุณรักจะต่างกันสุดขั้วแค่ไหน มันก็มีความเป็นไปได้ที่พวกคุณจะอยู่ด้วยกันได้อย่างยาวนานอยู่ดี ที่มา thechive
-
งานวิจัยเผย ‘การแต่งกายดูดี’ ไม่ไช่แค่ความเหมาะสม แต่ช่วยให้ประสบความสำเร็จได้
ตั้งแต่เด็กจนโตเรามักจะได้ยินคำพูดที่ว่า “ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับสถานที่” หรือ “ต้องแต่งกายให้ดูดี” ซึ่งเรื่องของการเลือกเสื้อผ้าใส่ในแต่ละวันนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้มีผลแค่กับเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก แต่มันยังสามารถส่งผลกับการประสบความสำเร็จของคุณได้อีกด้วย นั่นคือผลจากการศึกษาของบริษัท Yale สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2014 พวกเขาใช้ผู้เข้าร่วมเพศชายจำนวน 128 คน มีอายุตั้งแต่ 18-32 ปี โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่แต่งตัวค่อนข้างมอมแมม (กางเกงวอร์มขายาว รองเท้าแตะ) กลุ่มที่แต่งตัวแบบทั่วไป และกลุ่มที่แต่งตัวดี จากนั้นผู้เข้าร่วมทุกคนจะต้องทำหน้าที่มีส่วนร่วมในการเจรจาการซื้อขายสินค้า เพื่อดูว่าคนจากแต่ละกลุ่มนั้นจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของการสร้างรายได้มากน้อยเพียงใด ผลออกมาว่าคนจากกลุ่มแต่งตัวมอมแมมนั้นคำนวณกำไรได้อยู่ที่ประมาณ 21 ล้านบาท คนจากกลุ่มทั่วไปทำได้ประมาณ 49 ล้านบาท และกลุ่มแต่งตัวดีสามารถทำได้สูงถึง 65 ล้านบาท ผู้ช่วยในการศึกษาครั้งนี้จึงบอกว่ามันเป็นการแสดงให้เห็นถึงเรื่องของการแต่งตัว สำหรับคนที่แต่งตัวมอมแมมมักจะถูกคนอื่นๆ มองข้าม ในขณะที่คนที่แต่งตัวดีจะสามารถรับรู้ได้ถึงการได้รับความเคารพจากคนรอบข้างที่มากกว่า ส่วนอีกหนึ่งการศึกษาก็บอกว่าการแต่งตัวดีช่วยเสริมสร้างลักษณะความเป็นนามธรรมของความคิดได้อีกด้วย โดยจะเกิดความคิดแบบมองภาพรวมเหมือนกับคนที่มีความเป็นผู้นำระดับเจ้าของบริษัท ส่วนคนที่แต่งตัวมอมแมมนั้นจะมัวกังวลในเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง Michael L. Slepian ผู้ช่วยการศึกษาในเรื่องนี้ และเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งสถาบัน…
-
11 ความจริงอันน่าสนใจ ที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับเว็บดูหนังชื่อดัง “Netflix”
ในยุคที่อินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตของพวกเรานั้น คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเราเลือกที่จะทำอะไรต่ออะไรผ่านทางอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ไม่ว่าจะการทำงานจากที่บ้าน การพูดคุย การละเล่น หรือการดูหนังฟังเพลง เพียงแค่เปิด Netflix ขึ้นมา พวกเราก็สามารถดูหนังสนุกๆ ได้หลายต่อหลายเรื่องแล้ว โดยที่ไม่ต้องไปเช่าหนังที่ร้านเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป แต่จากที่ใช้บริการของพวกเขามา เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่าตัว Netflix เองนั้น ก็อาจจะมีเรื่องที่น่าสนใจเป็นของตัวเองเช่นเดียวกัน ถ้าใช่ ก็ขอต้อนรับสู่ 11 ความจริงอันน่าสนใจต่อไปนี้ได้เลย 1. ก่อนที่จะลงเอยที่ชื่อ Netflix บริษัทนี้ได้ผ่านชื่อมาหลายชื่อ เช่น Direct Pix, Replay และ Luna ซึ่งเป็นชื่อของสุนัขของ Marc Randolph ผู้เป็น CEO คนแรกของบริษัท โดยที่พวกเขาตั้งชื่อชั่วคราวของบริษัทนี้ว่า “Kibble” จนกว่าพวกเขาจะหาชื่อถาวรได้ 2. ความคิดในการสร้าง Netflix นั้น เกิดขึ้นในปี 1997 เมื่อ CEO ของบริษัทต้องจ่ายค่าปรับ 40 เหรียญสหรัฐ (ราวๆ 1,200 บาท) เพราะนำเครื่องเล่น VDO ไปคืนช้ากว่ากำหนด โดยหนังที่เขาดูในตอนนั้นคือเรื่อง…
-
15 ความจริงของ แฮมเบอร์เกอร์ ที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน อ่านแล้วระวังจะหิวด้วย
แฮมเบอร์เกอร์เป็นอาหารฟาสต์ฟู้ดที่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้คน ด้วยขนมปังหอมๆ ที่ประกบลงไปบนเนื้อย่างฉ่ำๆ ราดด้วยซอสสุดพิเศษ แซมไว้ด้วยผักกาดหอม มะเขือเทศสดๆ และผักดอง และที่ขาดไม่ได้คือชีสเยิ้มๆ อีกสักแผ่น สองแผ่น แค่ได้ยินก็รู้สึกน้ำลายไหลกันแล้ว แต่วันนี้เราไม่ได้เราไม่ได้จะมาโชว์เมนูแฮมเบอร์เกอร์เฉยๆ แต่อย่างไร แต่เป็น ความจริง 15 ข้อของ แฮมเบอร์เกอร์ ที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน แต่ก็มีรูปด้วยอยู่ดีอ่ะนะ อ่านแล้วระวังจะหิวด้วย คนอเมริกาทานเบอร์เกอร์โดยเฉลี่ย สามอันต่อสัปดาห์ ระบบเพิ่มลดเครื่องเบอร์เกอร์เคยออกแบบมาให้ลูกค้าจะใส่อะไรเป็นในเบอร์เกอร์เท่าไหร่ก็ได้ จนกระทั่งมีกลุ่มคน 8 คนมาสั่งเบอร์เกอร์ที่ใส่ไส้ 100 อย่าง Robert Downey Jr. เคยบอกว่า Burger King ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ เขาเล่าว่าในปี 2003 เขามียาเสพติดจำนวนมากอยู่ในรถ เขาไปจอดสั่ง Burger King มากิน และพบว่ามันห่วยมากจนเขากลับมานั่งทบทวนชีวิต และทิ้งยาเสพติดทั้งหมดในรถลงทะเลไป แต่ชาวอเมริกาเพียงประเทศเดียวก็ทานเบอร์เกอร์ไไปกว่า 50,000,000,000 อันต่อปีแล้ว ร้าน White Castle ในเมือง Wichita รัฐ Kansas…
-
เคล็ดลับของเหล่าหมาที่อายุยืนเทียบเท่าคนอายุ 100 ปี มันคืออะไรกันนะ?
ในกลุ่มสุนัขเอง ก็ยังมีสุนัขที่มีอายุยืนยาวมากกว่าปกติอยู่จำนวนหนึ่ง ถ้าเทียบกับช่วงอายุของคนแล้วบางตัวอายุเกิน 100 ปีเชียวนะ มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้พวกหมาอายุยืนแบบนี้แน่ๆ สัตวแพทย์ในประเทศเกาหลีเกิดความสงสัยขึ้นว่าปัจจัยสำคัญในการทำให้สุนัขมีอายุยืนคืออะไร พวกเขาก็เลยสำรวจจากสุนัขอายุมากในประเทศดู แล้วก็พบกับคำตอบเข้าจนได้ ในประเทศเกาหลียังมีน้องหมากลุ่มหนึ่งที่มีอายุยืนยาวและหน้าตาเยาว์วัยเป็นพิเศษอยู่ อย่างเช่นเจ้า Kancho ตัวนี้ที่มีอายุปาเข้าไป 17 ปีแล้ว ถ้าเทียบกับมนุษย์ก็อายุ 99 ปีแล้วล่ะ มันแตกต่างจากสุนัขทั่วไปตรงที่มันเลือกจะกินผักมากกว่ากินเนื้อสัตว์ ดูสิไม่แตะเนื้อสัตว์เลยสักนิด แต่มันจะใช่เคล็ดลับของความอายุยืนรึเปล่าน้า? และยังมีเจ้าหมารุ่นยาย Kot-nim อายุ 18 ปี, รุ่นแม่ Byul อายุ 17 ปี และ รุ่นลูก Chorong อายุ 16 ปีด้วย เทียบแล้วก็อายุ 94, 99 และ 104 ปีตามอายุคนเลยล่ะ แต่พวกมันก็ไม่ได้กินผักแต่อย่างใด กินอาหารตามปกตินี่แหละ นอกจากนี้ยังมีเจ้า Soon-dol ที่อายุ…
-
นักจิตวิทยาร่วมกันแบ่งปันกฎ 9 ข้อที่จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตที่ดีร่วมกับบุตรหลานของคุณได้
ความขัดแย้งกับเด็กย่อมเกิดขึ้นในทุกครอบครัวอยู่แล้ว นักจิตวิทยากล่าวว่าสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของความขัดแย้งดังกล่าวคือ “การละเมิดความเป็นส่วนตัวของเด็ก” นั่นเอง เด็กๆ จะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองโดนก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวที่ว่านี่เมื่ออายุราวๆ 3 ขวบเป็นต้นไป และจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ และเปลี่ยนแปลงได้ยากมาก ทางเดียวที่ผู้ใหญ่จะทำได้นั้นคือการปรับวิธีการเลี้ยงดูลูกให้เป็นไปตามการพัฒนาการของพวกเขา ดังนั้นนักจิตวิทยาจึงออกมาแบ่งปัน กฎระเบียบ 9 ข้อ สำหรับผู้ใหญ่ที่สามารถช่วยคุณใช้ชีวิตที่ดีร่วมกับบุตรหลานของคุณได้ ซึ่งมีเนื้อหา ดังต่อไปนี้ 1. แทนที่จะด่า ให้ค้นหาข้อดีให้ลูกๆ แล้วสอนไปพร้อมๆ กับการชมเด็กๆ ไม่มีใครชอบที่จะโดนด่า หรือวิจารณ์ แม้แต่คนที่นำเอาคำวิจารณ์ไปปรับปรุงการทำงานเอง ก็ใช่ว่าจะชอบที่ตัวเองต้องถูกวิจารณ์สักเท่าไหร่ และแน่นอนว่าเด็กๆ เองก็ไม่ชอบที่จะโดนวิจารณ์เรื่องแย่ๆ เสียทุกครั้ง ประสบการณ์น่าโมโหเหล่านั้น อาจจะทำให้เด็กๆ ไม่สามารถติดต่อพูดคุยกับผู้คนตามปกติ หรือปิดกั้นตัวเองจนไม่ยอมเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ไม่ดีไปเลย คุณควรที่จะลดการวิจารณ์ของคุณลง แม้ว่าบางครั้งจะดูเป็นเรื่องยากมาก ลองใช้การวิจารณ์บวกกับการพูดชม จะทำให้คุณได้รับผลที่ดีกว่าเดิมอย่างสิ้นเชิง! ตัวอย่างจากภาพ: ลูกร้องเพลงได้เพราะมากเลยนะ ไว้ทานข้าวเสร็จแล้วช่วยมาร้องให้แม่ฟังหน่อยสิ เพราะนักแสดงตัวจริง เขาไม่ทานข้าวไป ร้องเพลงไปกันหรอกนะ 2. ให้ทางเลือกแก่ลูก การทำตามคำสั่งหรือการทำหน้าที่ของครอบครัวเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็เพราะมันจำเป็นนั่นเองที่ทำให้เด็กๆ หลายๆ คนไม่ต้องการที่จะทำมัน โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่ต้องทำที่ว่า มาพร้อมกับเสียงดุด่าแล้วด้วย ดังนั้นแทนที่จะบังคับให้เด็กทำอะไร สู้มอบทางเลือกให้แก่พวกเขาจะดีกว่า…
-
6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการช่วยตัวเอง ที่จริงไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดหรอกนะ!!
การเกิดอารมณ์ทางเพศที่จะต้องการสืบพันธุ์กับใครสักคนนั้นถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แต่เมื่อเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวัฒนธรรม จึงต้องมีการควบคุมอารมณ์ไม่ให้สืบพันธุ์จนมั่วไปหมด มนุษย์จึงได้คิดค้นวิธีการยับยั้งอารมณ์เหล่านั้นโดยการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ซึ่งมีวิธีการมากมายในแบบที่ใจเราต้องการ แต่อย่างไรก็ตามก็มีความเชื่อมากมายเกี่ยวกับการช่วยตัวเองที่กล่าวต่อๆ กันมา ซึ่งความจริงแล้วอาจเป็นความเชื่อที่ผิดก็ได้ 1. การช่วยตัวเองนั้นจะทำให้อวัยวะเพศของคุณเสียหายได้ เป็นเรื่องธรรมดาหากเราจะคิดว่าการสไลด์ของลับอย่างต่อเนื่องจะสามารถทำให้เกิดความเสียหายได้ แต่อย่างไรก็ตามความจริงคือมันแทบจะไม่ทำให้อวัยวะเพศของคุณเกิดความเสียหายเลย เนื่องจากอวัยวะเพศนั้นเป็นอวัยวะที่จำเป็นต่อการสืบพันธุ์ ร่างกายของเราจึงวิวัฒนาการให้อวัยวะสืบพันธุ์ของมนุษย์ยืดหยุ่นได้ ถ้าหากไม่ใช้อุปกรณ์แปลกๆ ช่วยหรือสไลด์ของลับตัวเองกับกระดาษทรายก็คงไม่มีอะไรที่ต้องกังวล แต่จะลองก็ได้นะ ใช้กับเจลหล่อลื่นก็คงไม่เจ็บหรอก (มั้ง) 2. การช่วยตัวเองจะทำให้เกิดปัญหาทางจิต ความจริงแล้วปัญหาทางจิตอย่างดียวของการช่วยตัวเองคือความรู้สึกผิด ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ถูกสั่งสอนมาว่าการช่วยตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ผิด ถึงแม้ว่าจะมีคนมากมายกล่าวไว้แบบนั้น แต่การช่วยตัวเองเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาทางจิตแน่นอน 3. การช่วยตัวเองจะทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศเร็วขึ้น ความจริงแล้วคุณสามารถช่วยตัวเองและพ่นน้ำกี่ครั้งก็ได้ตามที่ใจคุณต้องการ คุณจะไม่เสื่อมสมรรถภาพหากช่วยตัวเองหลายครั้งจนเกินไป เนื่องจากโดยปกติแล้วร่างกายของผู้ชายจะผลิตสเปิร์มอยู่ตลอดเวลาเพื่อเติมถังเชื้อเพลิงให้เต็ม 4. เครื่องสั่นจะทำให้เซ็กส์ของสาวๆ บางคนพังทลาย เหล่าสาวๆ นั้นมักชื่นชอบในการใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อเติมเต็มประสบการณ์อันน่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนที่ไวต่อการสัมผัส เมื่อมีเครื่องสั่นมากระตุ้นจะช่วยให้คุณผู้หญิงนั้นถึงจุดสุดยอดเร็วขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านั่นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้หญิงถึงจุดสุดยอดหรอกนะ 5. ไม่ควรช่วยตัวเองหากมีแฟนแล้ว ไม่มีทางที่การช่วยตัวเองนั้นจะเป็นการนอกใจหรือการไม่ให้เกียรติคู่รักของคุณ ถ้าแฟนของคุณไม่อนุญาตให้ช่วยตัวเอง แสดงว่าเขาน่ะใจร้ายสุดๆ ไปเลย การช่วยตัวเองนั้นถือว่าเป็นกิจกรรมเสริมสร้างสุขภาพและช่วยให้คลายเครียด การที่ห้ามไม่ให้ช่วยตัวเองนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการห้ามไม่ให้มีสุขภาพที่ดีนั่นเอง 6. ช่วยตัวเองมากๆ จะทำให้ตาบอด ตำนานมากมายเกี่ยวกับการช่วยตัวเองนั้นมักจะมาจากช่วงเวลาที่ผู้คนเชื่อว่าจุดประสงค์ของการมีเพศสัมพันธ์นั้นมีไว้เพื่อการสืบพันธุ์เท่านั้น ในการห้ามผู้คนไม่ให้มีความสุขกับการช่วยตัวเองนั้น จึงมีการสร้างข่าวลือมากมาย เช่นการช่วยตัวเองจะทำให้ตาบอด…
-
นักจิตวิทยาแนะนำ 8 วิธีช่วยให้คุณจัดการกับ “ความเครียด” แบบได้ผลชะงัดนัก!!
ว่ากันด้วยเรื่องของ “ความเครียด” ที่หลายท่านต้องเคยประสบกันมาอย่างแน่นอน การดำเนินชีวิตไม่ว่าจะในช่วงวัยเรียนหรือวัยทำงานก็ตาม ก็จะมีช่วงที่สามารถทำให้เกิดความเครียดได้ทั้งนั้น เมื่อใดที่คนเราประสบปัญหาที่ส่งผลต่อชีวิต เมื่อนั้นก็มักจะมีความเครียดตามมาเสมอ แต่ทราบหรือไม่ว่าศาสตร์แห่งจิตวิทยานั้นได้ศึกษาเรื่องของความรู้สึกและอารมณ์ของมนุษย์ รวมไปถึงความเครียดด้วยเช่นกัน แน่นอนว่ามันทำให้มนุษย์เราทราบว่า ความเครียดนั้นเกิดขึ้นได้มันก็ย่อมหายไปได้ หากถามว่าจะทำอย่างไรให้ความเครียดหายไป ลองไปฟังคำแนะนำดีๆ จากนักจิตวิทยาที่จะเป็นวิธีช่วยให้คุณกำจัดความเครียดออกไปได้กันเลยดีกว่าครับ วิธีที่ 1 เขียนทุกอย่างที่เข้ามาในสมองลงไปในกระดาษ John Duffy นักจิตวิทยาและผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นกล่าวว่า “เพื่อลดความเครียดลง ผมบันทึกสถานการณ์ ความคิด ความสัมพันธ์กับผู้คน และไอเดีย ลงไปในกระดาษ เมื่อเขียนลงไปแล้วลองเชื่อมโยงมันให้เป็นโครงสร้าง วิธีนี้มีประโยชน์มากเพราะมันทำให้เราลืมปัญหาไปขณะหนึ่ง สมองเราจะโล่ง และความตึงเครียดจะลดลง หลังจากนั้นเราจะมองสิ่งต่างๆ ในอีกมุมมองหนึ่งเลย” วิธีที่ 2 ลองทำตัวช่างเลือกเสียหน่อย เวลาซื้อของมาทำอาหาร Jeffrey Sumber นักจิตวิทยาบำบัด ใช้วิธีนี้ลดความเครียด เขากล่าวว่า “เมื่อผมรู้สึกซึมเศร้าผมมักจะหาอาหารทาน แต่มันจะต้องเป็นอาหารเพื่อสุขภาพมากๆ แบบที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ผมใช้เวลาไปกับการเลือกซื้อวัตถุดิบ เมื่อได้มาแล้วนำมาหั่นอย่างบรรจง เตรียมซอส และทานอย่างช้าๆ บ่อยครั้งผมมักจะโพสต์มันลงไปใน Facebook จนทำให้เพื่อนๆ อิจฉาเลยล่ะ” …
-
11 ทริคดีๆ ที่แค่ฟังอาจจะดูบ้าบอ แต่ถ้าลองทำดูจริงๆ จะรู้ว่ามันเวิร์คกว่าที่คุณคิด
เรื่องราวในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้เว็บไซต์ Reddit คนหนึ่ง ที่มีชื่อว่า MastaPJ ได้ออกมาบอกชาวเน็ตว่า ให้มาร่วมกันแชร์ทริคแปลกๆ ที่แค่ฟังอาจจะดูบ้าบอ แต่ถ้าลองทำดูจริงๆ จะรู้ว่ามันเวิร์คกว่าที่คิดกันหน่อย แน่นอนว่าโพสต์ของเขานั้นได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม โดยมีเหล่าผู้คนบนอินเตอร์เน็ตได้ออกมาแชร์ทริคดีๆ เป็นจำนวนมาก แล้วเพื่อนๆ ล่ะ อยากได้ทริคดีๆ สำหรับใช้ในชีวิตประจำวันไหม? วันนี้ #เหมียวฝึกหัด ได้นำตัวอย่างทริคดีๆ ทริคแปลกๆ จากชาวเน็ตมาให้อ่านกันแล้ว พิซซ่าจะอร่อยขึ้นถ้ามันชื้นๆ หน่อย เพื่อให้พิซซ่ามีรสชาติดีขึ้น ก่อนที่คุณจะอุ่นมันในเตาอบ หรือไมโครเวฟ ให้วางผ้าที่เปียกเล็กน้อยปิดหน้าพิซซ่า หรือฉีดน้ำพรมไว้ โดยเฉพาะที่บริเวณขอบ ลองใช้เทคนิคการผ่อนคลายของแมวดู คุณต้องการที่จะกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นในระหว่างวันหรือเปล่า? ลองอาบแดดเหมือนกับแมวหรือเด็กๆ ดูสิ คว้าหมอนมาแล้วงีบบนพื้นไปเลย เลือกจุดที่มีแสงแดดอบอุ่นด้วยจะยิ่งดี แต่ถ้าอยู่นอกอาคารอย่าลืมทาครีมกันแดดด้วยนะ แล้วก็อย่านอนเกิน 15-20 นาทีเพื่อไม่ให้ผิวไหม้ ใส่ถั่วลิสงเค็มลงในโค้ก ถั่วลิสงจะมีรสหวานๆ เค็มๆ และนุ่มขึ้น เมื่อใส่ลงในโค้ก นักท่องเที่ยวจำนวนมากใช้เคล็ดลับนี้เพื่อรับประทานขนมได้ง่ายขึ้นขณะขับรถ การใส่ถั่วลิสงลงในขวดโค้กทำให้สามารถดื่มน้ำ และกินถั่วได้โดยใช้มือข้างเดียว ถ้าใส่ถุงเท้ามาจากบ้านมันไม่ค่อยสบายเท้า ลองเก็บถุงเท้าใหม่ไว้ที่โต๊ะทำงานเลยสิ เคล็ดลับนี้เป็นประโยชน์เป็นพิเศษสำหรับผู้หญิง เพราะนอกจากถุงเท้าแล้ว ถ้าคุณใส่ถุงน่องทั้งวันแล้วรู้สึกไม่สบายตัว คุณก็สามารถเตรียมถุงน่องใหม่ไว้เปลี่ยนที่ทำงานได้เลย จะกี่อันก็ได้แล้วแต่คุณชอบ …
-
11 ความจริงอันแปลกประหลาดของเกาหลีเหนือ ที่เราอาจไม่เคยคาดคิดกันมาก่อน
ประเทศเกาหลีเหนือ คือดินแดนที่ถูกปิดกั้น ที่แทบจะไม่มีการเผยแพร่สิ่งต่างๆ ภายในประเทศออกมาให้ชาติอื่นได้รับรู้ ทำให้เราไม่ค่อยได้ทราบว่าภายในนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีความเหมือนหรือแตกต่างกับที่อื่นอย่างไร ซึ่งความจริงแล้วมันอาจเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายโดยที่เราไม่เคยคาดคิดกันมาก่อน และสิ่งที่ #เหมียวตะปู นำมาให้เพื่อนๆ ได้รู้กันในวันนี้คือ 11 ความจริงสุดประหลาดที่เกิดขึ้นในเกาหลีเหนือ มันจะมีความแปลกและต่างจากที่เราเคยคิดเอาไว้มากขนาดไหนนั้น เราลองไปดูกันเลย 1. จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายทุกอย่างสำหรับการเรียน นักเรียนและผู้ปกครองในประเทศนี้จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับทุกอย่างสำหรับการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นค่าวัสดุก่อสร้างอาคาร ค่าเก้าอี้ ค่าโต๊ะเรียน และอีกหลายๆ อย่าง อีกทั้งเด็กนักเรียนยังต้องคอยสร้างผลผลิตให้กับรัฐบาลอีกด้วย 2. ที่นี่มี Godzilla เป็นของตัวเอง แน่นอนว่าสื่อนอกไม่สามารถเข้ามาเผยแพร่ภายในเกาหลีเหนือได้ แต่ดูเหมือนว่าท่านผู้นำ คิมจองอึน อาจจะชื่นชอบ Godzilla เอามากๆ จึงมีการสร้างตัวละครนั้นขึ้นมาในแบบของตัวเอง เรียกว่า Pulgasari ผสมผสานระหว่าง Godzilla , ตำนานอันเก่าแก่ และคิงคอง โดยมันได้กลายเป็นตัวละครยอดฮิตของประเทศนี้ไปเลย 3. ที่นี่ไม่มี Choco Pies เหตุผลที่ขนมดังกล่าวถูกรัฐบาลเกาหลีเหนือสั่งห้ามตั้งแต่ปี 2014 เป็นเพราะว่ามันได้รับความนิยมมากจนเกินไป ซึ่งจุดเริ่มต้นของความนิยมนั้นเกิดจากการที่เขตโรงงานอุตสาหกรรมของประเทศให้ขนมแก่คนงานแทนเงินสำหรับค่าล่วงเวลา จนกลายเป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงในที่สุด…
-
9 สาระและเกร็ดความรู้อันน่าสนใจ ที่จะทำให้ผู้ฟังทึ่งไปกับความรอบรู้ของผู้เล่าได้อย่างดี
โลกของเรานั้นยังมีเรื่องที่เราไม่รู้อีกมากมายนัก การที่ได้รู้อะไรมากกว่าคนอื่นนั้นมักที่จะทำให้เราได้เปรียบในด้านใดด้านหนึ่งอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะในการแข่งขันของสังคม การงาน หรือเพียงเรื่องเล็กๆ อย่างทำให้เรื่องเล่าของเรามีความน่าสนใจมากขึ้น ความจริงต่อไปนี้อาจจะเป็นเพียงเรื่องที่ไม่สำคัญอะไรนัก แต่ก็เป็นเกร็ดความรู้อันน่าสนใจ ที่อาจจะทำให้ผู้ฟังทึ่งไปกับความรอบรู้ของผู้เล่าได้เป็นอย่างดี ไอน์สไตน์เคยจะได้เป็นประธานาธิบดี หลังจากที่ประธานาธิบดีของอิสราเอลเสียชีวิตไปในปี 1952 นายกรัฐมนตรีของประเทศอิสราเอลในตอนนั้นได้มีการติดต่อไปหาไอน์สไตน์เพื่อยืนข้อเสนอให้เขามาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของอิสราเอล ไอน์สไตน์รู้สึกดีใจกับข้อเสนอนี้มาก แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธไปโดยที่ให้เหตุผลว่า “สำหรับผมแล้วสมการทางคณิตศาสตร์มีความสำคัญมากกว่าการเมืองมาก เพราะแม้การเมืองจะเป็นสิ่งสำคัญในยุคปัจจุบัน แต่สมการทางคณิตศาสตร์นั้นเป็นสิ่งสำคัญอยู่ตลอดกาล” ในอดีต ต่างหูเป็นเครื่องประดับสำหรับผู้ชายเท่านั้น สำหรับชาวอียิปต์โบราณแล้วต่างหูเป็นสัญลักษณ์ของสถานะที่สูงส่งเช่น สมาชิกของพระราชวงศ์ นักบวช และคนร่ำรวยเป็นต้น ในยุคการเดินเรือนั้น ลูกเรือจะใส่ต่างหูหลังจากที่พวกเขาข้ามเส้นศูนย์สูตรได้สำเร็จ มันทำให้พวกเขามีสิทธิ์ที่จะดื่มแอลกอฮอล์ฟรี และวางเท้าบนโต๊ะในร้านเหล้า นอกจากนั้นพวกโจรสลัดยังสวมต่างหูเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาทำลายเรือไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งลำ ส่วนทหารจะสวมต่างหูเพื่อเป็นเป็นเครื่องเตือนใจถึงบ้านที่จากมา กระดุมแขนเสื้อเคยมีไว้ใช้ ป้องกันทหารเช็ดน้ำมูกกับแขนเสื้อ กระดุมแขนเสื้อไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อความสวยงามหรือทำให้แขนเสื้อพอดีเท่านั้น ในสมัยก่อนนโปเลียน โบนาปาร์ตได้สั่งให้มีการเย็บกระดุมลงไปบนแขนเสื้อของทหาร เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารเช็ดน้ำมูกกับแขนเสื้อนั่นเอง จีเอ็มโอนั้นไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ จีเอ็มโอหรือ Genetically Modified Organism (สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม) ได้รับการยืนยันจากทางสถาบันวิทยาศาสตร์และงานวิจัยจำนวนมากแล้วว่าไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ สิ่งที่คุณเรียกว่าจีเอ็มโอก็คือผลไม้หรือผักที่คุณสามารถปลูกได้ในสวนของคุณเองนั่นล่ะ ข้อแตกต่างเพียงประการเดียวคือมันมีการแต่งพันธุกรรมให้สามารถช่วยปกป้องตัวเองจากปรสิตได้ ทำให้ผักและผลไม้เหล่านี้เติบโตได้ดีขึ้น อีกทั้งสินค้าจำนวนมากในปัจจุบัน ล้วนแต่ทำมาจากพืชจีเอ็มโอทั้งนั้น หลังจากฝนตก เราจะได้ยินเสียงได้ชัดขึ้น การได้ยินเสียงระหว่าง และหลังฝนตกจะดีขึ้น เนื่องจากมีฝุ่นละออง หรืออนุภาคอื่นๆ อยู่ในอากาศน้อยลง…
-
ศิลปินสร้างสีสันให้ภาพเด็กสาวที่ถูกถ่ายใน ‘ค่ายเอาชวิทซ์’ กับความโหดร้ายที่เธอพบเจอ
ว่ากันว่าภาพเก่าๆ หากนำมาแต่งแต้มให้มีสีสันจะช่วยให้ภาพเหล่านั้น สามารถแสดงให้เห็นถึงความรู้สึก และอารมณ์ของภาพได้มากกว่าเดิม และนี่เองก็เป็นเรื่องราวที่สามารถพิสูจน์ชี้ชัดว่าเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นความจริง!! ศิลปิน Marina Amaral ได้ทำการแต่งแต้มสีสันให้กับรูปภาพของ Czeslawa Kwoka เด็กสาววัย 14 ปี ชาวโปแลนด์ ที่ตกเป็นนักโทษถูกกักขังอยู่ในค่ายกักกันเอาชวิทซ์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่ภาพดังกล่าวถูกแต่งเติมสีสันให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ก็พบว่าภาพนั้นมันช่างดูหดหู่เหลือเกิน เผยให้เห็นถึงความเลวร้ายที่เธอต้องเผชิญมาจากค่ายกักกัน ที่เรียกได้ว่าเป็นนรกบนดินก็ไม่ปาน “มันยากมากที่จะจ้องมองที่ใบหน้าของเธอเป็นเวลานานๆ โดยที่รู้ว่าสิ่งที่เธอพบเจอนั้นมันหนักหนาสาหัสแค่ไหน แม้ว่าการจ้องมองนั้นจะเป็นการมองไปที่ภาพของเธอก็ตาม” Amaral กล่าว “ฉันต้องการให้ Czeslawa ได้รับโอกาสในการบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งอาจจะมีเรื่องราวของผู้คนอีกมากมายที่ตกเป็นเหยื่อในค่ายกักกันเอาชวิทซ์” “ซึ่งมันก็ง่ายมากๆ เพียงแค่เราเปลี่ยนภาพของพวกเขาให้มีสีสันขึ้นมา เราก็รับรู้ได้เลยว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ลองจินตนาการดูว่ายังมีคนอีกมากมายนับล้านคนที่ต้องประสบพบเจอกับความโหดร้ายแบบนี้ แต่ก็ไม่สามารถรอดชีวิตออกมาได้” “จากภาพเราจะเห็นถึงรอยฟกช้ำของเธอ มีรอยตัดอยู่ที่บริเวณปาก และเลือดที่เปื้อนใบหน้า ความโหดร้ายทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพียงเพราะคำพูดที่ชักจูงให้เกิดความเชื่อในทางที่ผิดๆ เท่านั้น” ภาพดั้งเดิมนั้นถ่ายโดยช่างภาพ Wilhelm Brasse เป็นช่างภาพที่มีชื่อเสียงและเขาก็เป็นคนที่ติดตามและเก็บภาพของค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ ตอนที่มีชีวิตอยู่เขาได้เล่าถึงภาพใบนี้ว่า “ผมจำภาพของเด็กหญิงนักโทษคนหนึ่งได้ เพราะเธอดูเด็กมาก แต่ก็มีแววตาที่โกรธเกรี้ยว” “เมื่อเธอเดินทางมาถึงที่ค่าย เธอไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าผู้คนที่นี่พูดอะไรกับเธอบ้าง…
-
13 สุดยอดอัจฉริยะร้อยปีมีหนึ่งคน ที่สามารถเข้าศึกษาในวิทยาลัยตั้งแต่ยังอายุ 10 ต้นๆ
เชื่อว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ที่เกิดมาล้วนแต่อยากเกิดมาเป็นคนฉลาด มีสมองดี แต่สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้มาแบบง่ายๆ ต้องมีการฝึกฝน ตั้งใจศึกษาหาความรู้ใส่ตัวอยู่เสมอๆ ถึงจะได้เป็นคนที่ฉลาดทันคน แต่คนบางคนก็เกิดมาพร้อมกับสมองอันชาญฉลาด เหมือนกับว่าได้รับพรสววรค์มา คนเหล่านี้เราเรียกว่า อัจฉริยะ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นอัจฉริยะได้ไม่ได้เป็นเพราะแค่พรสวรรค์ แต่เป็นความพยายามของพวกเขาที่อยากจะเรียนรู้ในด้านที่ตัวเองชอบ เหมือนกับเหล่าอัจจฉริยะอายุน้อยที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ 1. Michael Kearney เป็นคนที่สำเร็จการศึกษาอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ สำเร็จการศึกษาปริญญาด้านมนุษยวิทยาเมื่ออายุ 10 ขวบ 2. Jeremy Shuler เขาศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอร์เนล เมื่ออายุ 12 ปี สามารถอ่านภาษาอังกฤษและภาษาเกาหลีเมื่ออายุได้ 2 ขวบ 3. Sho Yano สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัย Loyola ตอนอายุ 12 ปี และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทอีกครั้งตอนอายุ 21 ปีจากมหาวิทยาลัยชิคาโก 4. Alia Sabur ลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัย Stony Brook ในรัฐนิวยอร์กตอนอายุ 10 ปี และเมื่ออายุ…
-
รวม 23 ภาพ ที่จะช่วยให้รู้จักกับ ‘โลกใบนี้’ มากยิ่งขึ้น สิ่งที่เราเคยรู้มาก่อนมันขี้ปะติ๋ว!!
บนโลกของเรานั้นมีเรื่องราวอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ จนบางครั้งพอได้เจอกับเรื่องใหม่ๆ ถึงกับทำให้เราคิดไม่ถึงว่ามันคือเรื่องที่แต่งขึ้นไม่ใช่ของจริงกันเลยทีเดียว!? แต่สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมภาพที่จะช่วยให้ทุกคนรู้จักโลกนี้มากยิ่งขึ้น เป็นอะไรใหม่ๆ ที่มีอยู่บนโลกใบนี้อยู่แล้ว แต่เราอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน จะเป็นอย่างไรบ้างลองไปชมกันได้เลยจ้า… 1. Black Swallower เจ้าปลาที่มีชื่อที่เหมาะสมกับมัน เพราะมันสามารถกลืนสิ่งที่มีขนาดใหญ่มากกว่าตัวมันได้ถึง 10 เท่า 2. รถไฟวิ่งผ่านตึกที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ในเมือง Chonqing ประเทศจีน 3. แฟชั่นทรงขนของ ‘อูฐ’ 4. ลูกงูจงอาง 5. ผีเสื้อ Greta Oto กับปีกโปร่งใสที่สามารถมองทะลุไปอีกฝั่งได้ 6. โครงกระดูกของวาฬ 7. กิ้งก่าเครางามที่มีมากมายหลากสีสัน 8. ดอกไม้ทะเล (เหมือนสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวเลยแฮะ) 9. ฝุ่นของขี้เถ้า ที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟ Sinabung ในประเทศอินโดนีเซีย …
-
11 แนวคิดดีๆ จากนักฟิสิกส์ชื่อดัง Stephen Hawking ที่ฝากเอาไว้ในช่วงชีวิตของเขา
ไม่นานมานี้ก็ได้มีข่าวน่าเศร้าที่นักฟิสิกส์ระดับตำนานอย่าง Stephen Hawking ได้เสียชีวิตลงด้วยวัย 76 ปี เขาได้ต่อสู้กับโรค Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) หรือโรค Motor Neurone มาทั้งชีวิตตั้งแต่อายุ 21 ปี ซึ่งในคลาสเรียนหรือจากในหนังสือของเขาก็ได้ฝากแนวคิดดีๆ มากมายให้เป็นบทเรียนกับพวกเรา และนี่คือ 11 แนวคิดดีๆ จาก Stephen Hawking หัวหน้าวิจัยและผู้ก่อตั้งศูนย์ Theoretical Cosmology ที่มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ และผู้แต่งหนังสือ A Brief History of Time ได้ฝากเอาไว้ 1. เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในโรงเรียน “ตอนที่ผมเรียนในโรงเรียน ผมเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งในชั้นเรียนที่มีแต่เด็กหัวดี การบ้านของผมนั้นไม่เรียบร้อยเอามากๆ และลายมือของผมก็สร้างความปวดหัวให้กับครูหลายคน แต่เพื่อนๆ ในชั้นเรียนก็เรียกผมว่าไอน์สไตน์ ผมจึงคิดว่าพวกเขาคงเห็นอะไรดีๆ ในตัวผมแน่ๆ เมื่อผมอายุ 12 ปี เพื่อนของผมคนหนึ่งได้ท้าผมพนันว่าผมคงไม่ประสบความสำเร็จกับอะไรสักอย่างแน่ๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีคนชนะพนันหรือไม่ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นผลของมันเป็นอย่างไรกันนะ” จากหนังสือ My…
-
เปิดประวัติ Stephen Hawking หนึ่งในนักคิดผู้ทรงคุณค่า ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของโลก
เรียกได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่สำหรับวงการนักวิทยาศาสตร์ของโลกกับข่าวเสียชีวิตของยอดอัจฉริยะอย่าง Stephen Hawking หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้จักเขาเท่าไหร่นัก แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงคุณค่าที่ฝากแนวคิดและทฤษฎีสำคัญๆ ไว้กับโลกของเรามากมาย และในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะมาเล่าประวัติของ Stephen Hawking ให้เพื่อนๆ ฟังแบบคร่าวๆ เพื่อให้ทุกคนได้รู้จักกับชายคนนี้มากยิ่งขี้น Stephen Hawking Stephen Hawking เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคมปี 1942 ในเมืองออกซ์ฟอร์ดไชร์ ประเทศอังกฤษ ในวัยเด็กเขาเริ่มต้นเข้าเรียนที่โรงเรียน Byron House ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จากนั้นเรียนต่อระดับมัธยมที่ St Albans High School เมื่อเข้าเรียนได้ไม่กี่เดือนก็ต้องเปลี่ยนโรงเรียน เพราะคุณพ่อของเขาต้องการให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีกว่า เลยส่งให้ไปเรียนที่โรงเรียน Westminster School แทน เมื่อเขาเรียนจบมัธยมและเตรียมเข้ารับการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ในตอนแรกพ่อของเขาต้องการให้เขาเรียนเกี่ยวกับหมอ แต่ Stephen มีความสนใจทางด้านคณิศาสตร์และวิทยาศาสตร์มากกว่า ทำให้เขาตัดสินใจเข้าเรียนในเรียนต่อทางด้านฟิสิกส์และเคมีที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดในปี 1959 หลังจากที่เรียนจบระดับปริญญาตรีในปี 1962 เขาตัดสินใจเรียนต่อในสาขาจักรวาลวิทยา…
-
จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่ ?? ไขข้อสงสัย อาหารตกพื้นไม่ถึง 5 วิฯ เชื้อโรคไม่เห็นจริงหรือ ?
“เห๊ยแกร ยังไม่ถึง 5 วิ หยิบขึ้นมากินเร็ว เชื้อโรคยังไม่ทันเห็นหรอก” หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดแบบนี้หลังจากที่ทำขนมหล่นพื้น และทุกวันนี้เราก็คงได้ยินตำนานเรื่องกฎ 5 วินาทีอยู่ ถึงแม้ว่าเราจะคิดว่าพื้นนั้นสะอาดจนสามารถทานอาหารบนพื้นได้เลย แต่ก็มีงานวิจัยที่ได้มาโต้แย้งเกี่ยวกับกฎ 5 วินาทีว่ามันไม่เป็นความจริงเลย Donald W. Schaffner ศาสตราจารย์และนักจุลชีววิทยาที่มหาวิทยาลัย Rutgers ได้กล่าวถึงงานวิจัยที่เขาใช้เวลาศึกษามาเป็นเวลาสองปีและได้ข้อสรุปว่า ไม่ว่าคุณจะหยิบอาหารที่ทำหล่นขึ้นมาเร็วแค่ไหนก็ตาม ยังไงก็ต้องมีแบคทีเรียติดขึ้นมาด้วยแน่นอน นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยโต้แย้งในปี 2014 จากมหาวิทยาลัย Aston University’s School of Life and Health Sciences ในประเทศอังกฤษ ได้กล่าวว่าอาหารที่ตกพื้นเพียงเวลาไม่นานนั้นจะมีแบคทีเรียน้อยกว่าอาหารที่ตกพื้นเป็นเวลานาน ทำให้มีการนำเสนอว่าการรับประทานอาหารชิ้นนั้นจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ถึงแม้ว่ากฎ 5 วินาทีนั้นจะดูเป็นตำนานคำร่ำลือ แต่มันก็ถือว่าเป็นคำถามเกี่ยวกับสุขภาพที่ต้องการคำตอบยืนยันที่ชัดเจน Schaffner กล่าวว่าเขาสนใจงานวิจัยของศูนย์ควบคุมโรค ที่พบว่าพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียนั้นเป็นปัจจัยอันดับที่ 6 ที่ทำให้เป็นโรคที่เกิดจากการรับประทานอาหารจากปัจจัยทั้งหมด 32 ปัจจัย ศาสตราจารย์ Schaffner และ Robyn C.…
-
อยากสวยต้องอ่าน!! 5 วิธีการกำจัด ‘สิวหัวดำ’ แบบง่ายๆ ที่ทำได้ที่บ้าน
สิวหัวดำ อีกหนึ่งปัญหาที่คอยกวนใจสาวๆ หนุ่มๆ เกือบจะทุกคน สิวหัวดำเกิดจาการอุดตันของรูขุมขน และอีกหลายๆ ปัจจัย เช่นการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้เกิดสิวที่มีหัวเล็กๆ สีดำจำนวนมาก สร้างความรำคาญใจให้กับเรา เราอาจคิดว่าเราดูแลผิวหน้าดีอยู่แล้ว แต่ทำไมเจ้าสิวหัวดำโผล่มาทักทายอยู่เสมอ ในเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องหาวิธีกำจัดมันด้วยวิธีการง่ายๆ ที่ #เหมียวบู้บี้ หามาฝาก เป็นวิธีการกำจัดสิวหัวดำแบบง่ายๆ เพื่อที่ทุกคนจะได้หน้าใสปราศจากสิวหัวดำด้วยวัตถุดิบที่หาได้ใกล้ตัว ไปค่ะ 1. น้ำผึ้งและเลมอน วัตถุดิบที่หาได้ง่ายๆ จากในครัว ถ้าไม่มีก็พุ่งตัวไปที่ร้านสะดวกซื้อหรือตลาดแถวบ้านได้เลยจ้า เลมอนมีคุณสมบัติในการเปิดรูขุมขน และน้ำผึ้งมีคุณสมบัติในการต้านแบคทีเรียที่เป็นตัวการทำให้เกิดสิวหัวดำ วิธีการใช้: นำน้ำเลมอน 1 ช้อนชาผสมกับน้ำผึ้งอีกครึ่งช้อนชา คนให้เข้ากันแล้วทาลงบนจมูก ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที พอแห้งแล้วก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำประมาณ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ รับรอง ใสกริ๊ก 2. ผงฟูและเลมอน ผงฟูจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป เมื่อใช้ร่วมกับเลมอนแล้วก็จะช่วยในการกำจัดเจ้าสิวหัวดำไม่ให้มากวนใจอีกต่อไป วิธีใช้: นำผงฟู 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำเลมอนครึ่งช้อนโต๊ะคนให้เข้ากันแล้วนำไปสครับเบาๆ บนจมูก แล้วค่อยๆ ล้างออกด้วยน้ำอุ่น…
-
10 ข้อเท็จจริงที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับ ‘คิทแคท’ ขนมหวานสุดแสนอร่อย
คิทแคทผลิตภัณฑ์ขนมหวานเวเฟอร์แบบแท่งเคลือบช็อกโกแลต เป็นขนมที่คิดค้นโดยบริษัท Rowntree ประเทศอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันมีการส่งออกไปทั่วโลกภายใต้ชื่อบริษัท Nestle แต่ยกเว้นที่สหรัฐอเมริกาที่ผลิตภายใต้ชื่อของ Hershey ซึ่งตอนนี้เจ้าเวเฟอร์เคลือบช็อกโกแลตนี้ก็กลายมาเป็นของฮิตติดบ้านติดเมืองในหลายๆ ประเทศไปแล้ว ยิ่งในประเทศญี่ปุ่นถือว่าได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จนผลิตรสชาติออกมานับไม่ถ้วนเลยล่ะ แต่กว่าเจ้าขนมหวานยี่ห้อนี้จะมาโด่งดังไปทั่วโลกแบบทุกวันนี้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง และสำหรับคนที่อยากรู้วันนี้ #เหมียวฝึกหัดหมายเลข20 ก็ได้รวบรวมข้อเท็จจริง 10 ข้อที่เกี่ยวกับคิทแคทที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน มาเปิดเผยให้ได้รู้กันครับ 1. ชื่อของ Kit Kat มีการเริ่มใช้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โดยเริ่มมาจากการที่เจ้าของคลับในกรุงลอนดอนได้ทำพายเนื้อและเรียกมันว่า Kit cats 2. บริษัท Rowntree จดเครื่องหมายการค้า Kit Kat และ Kit Cat ตั้งแต่ปี 1911 แต่ไม่ได้ทำเจ้าเวเฟอร์นี้จนกระทั่งปี 1937 3. มันถูกออกแบบมาให้เป็นอาหารกลางวันแบบกล่อง 4. และยังออกแบบมาให้เข้ากับประเพณีดื่มชาตอนกลางวันของคนอังกฤษด้วย 5. ทั่วโลก Kit…
-
เคล็ดลับความงาม ที่คุณทำเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเสริมสวย หรือเครื่องสำอางราคาแพง
วิธีการรักษาความงามนั้นสำหรับคนทั่วไปคืออะไร การออกกำลังกายอย่างนั้นเหรอ การทานอาหารที่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ หรือว่าจะเป็นการไปเข้าคอสเสริมสวยบ่อยๆ เรื่องพวกนั้นมันก็ไม่ผิดเท่าไหร่นัก แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถเพิ่มความสามารถในการรักษาความงามเหล่านั้น ด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำได้เองง่ายๆ แถมไม่ต้องเสียเงินมากมายไปทำศัลยกรรม ในวันนี้ #เหมียวฝึกหัด ขอเสนอ เคล็ดลับความงามที่คุณทำเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเสริมสวยหรือเครื่องสำอางราคาแพง เคล็ดลับสำหรับดูแลร่างกาย ลองทานสลัดบีทรูทต้มดูสิ มันดียังไงงั้นเหรอ? น้ำบีทรูททำความสะอาดเลือดและหลอดเลือดแดง แน่นอนว่าเลือดที่แข็งแรงยอมทำให้รูปลักษณ์ของคุณดูดี ทั้งสีผิวที่กระจ่างใสอมชมพู และคุณภาพของผิวที่ดีขึ้นดูมีน้ำมีนวล แถมสลัดจานนี้ยังช่วยปรับปรุงการทำงานของอวัยวะภายในของคุณด้วยนะ ทานสลัดบีทรูทกันแล้ว คราวนี้ลองมาสครับผิวด้วยซาวครีมกับเกลือดูสิ มันดียังไงงั้นเหรอ? เกลือนั้นมีคุณสมบัติการกำจัดเอาผิวที่ตายแล้ว และสิวเล็กๆ ออกไปจากผิว ส่วนซาวครีมช่วยบำรุงเซลล์ผิว และช่วยลดผลกระทบอื่นๆ ของเกลือบนผิวของคุณ การขัดผิวแบบนี้จะไม่เกิดรอยขีดข่วนหรือทำให้ผิวเสียหาย สนใจแล้วใช่ไหมล่ะ วิธีทำสครับสูตรนี้นั้น เริ่มจากการผสมเกลือทะเลกับเกลือธรรมดาลงในแก้ว แล้วก็ใส่ซาวครีมลงไปผสม ใช้นวดร่างกายหลังจากอาบน้ำในตอนเย็น และล้างออกด้วยน้ำอุ่น คุณสามารถใช้การสครับนี้ได้ทุกวันโดยไม่เป็นอันตราย ยกเว้นว่าคุณจะมีอาการต่อไปนี้ -คุณมีผิวบอบบางมาก -คุณมีเส้นเลือด และเส้นเลือดฝอยอยู่ใกล้ผิวหนังมากๆ -คุณมีรอยแผลเป็น รอยขีดข่วน หรือการอักเสบบนผิวของคุณ เคล็ดลับสำหรับเล็บ เคล็ดลับในการมีเล็บที่แข็งแรง และเส้นผมที่เงางาม คือการเริ่มรับประทานถั่วอย่างน้อย 50 กรัมทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเฮเซลนัท เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ วอลนัท…
-
13 เคล็ดลับจัดระเบียบชีวิต นร. – นศ. ลองนำไปปรับใช้แล้วอะไรๆ ก็จะดีขึ้นกว่าเดิมเย๊อะ!!
การเรียนเป็นสิ่งที่ดี แต่บางทีมันก็ยากลำบากเหลือเกินเวลาที่เราต้องเรียนหลายๆ วิชา แถมยังต้องจำเนื้อหาหรือสาระสำคัญของแต่ละวิชาให้ได้อีก รวมถึงบางครั้งการสั่งการบ้านก็มาพร้อมๆ กันหลายวิชาอีกต่างหาก จนทำให้หลายคนมองว่าชีวิตวัยเรียนนี่มันลำบากสุดๆ สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาแบบนี้อยู่ล่ะก็ วันนี้เราจะนำเสนอเคล็ดลับการจัดระเบียบชีวิต สำหรับนักเรียนและนักศึกษา ลองอ่านและนำไปปรับใช้กันดูนะครับ รับรองว่าชีวิตคุณจะสบายขึ้นแน่นอน… 1. จดบันทึกสิ่งที่ต้องทำ – งานไหนที่ต้องส่ง บทเรียนไหนที่ต้องอ่าน ก็บันทึกมันไว้ซะ อันไหนที่ทำแล้วก็ทำเครื่องหมายเอาไว้ 2. แผนการนำเสนอ – หากว่าเราจะต้องออกไปนำเสนอหน้าชั้นเรียน แนะนำว่าควรเขียนแผนการนำเสนอแยกออกเป็นส่วนๆ เช่น คำนำ ข้อมูลเบื้องหลัง สาระสำคัญ และอื่นๆ พร้อมทั้งเขียนสาระสำคัญสำหรับแต่ละส่วนด้วย 3. ลองเขียนสิ่งที่ต้องทำเป็นข้อๆ ลงในตารางแต่ละวัน คล้ายปฏิทิน – เขียนวันที่ไว้แต่ละหน้า แล้วก็เขียนสิ่งที่ต้องทำประจำวันนั้นๆ เอาไว้ พร้อมทั้งทำเครื่องหมายหากได้ทำอันไหนไปแล้ว 4. พยายามตกแต่งสมุดจดบันทึกรายการหรือแผนที่ต้องทำของคุณให้สวยงามน่าอ่าน 5. เก็บของใช้สำหรับการเรียนให้เป็นส่วนๆ พอมันเป็นระเบียบมันก็จะน่าใช้มากขึ้น 6. อาจจะนำกล่องกระดาษที่ไม่ใช้แล้วมาแยกใส่อุปกรณ์แต่ละชนิิด 7. หากการจดโน้ตของคุณไม่มีประสิทธิภาพ ลองวิธีนี้…
-
เปิดใจหญิงขายบริการอเมริกัน ‘ค่าตอบแทนดี’ และ ‘ไม่ได้มีแต่เซ็กส์’ อย่างที่คุณคิดหรอกนะ…
ผู้หญิงขายบริการคืออาชีพที่มักจะถูกคนหลายๆ ประเทศเหยียดหยาม แต่จะแตกต่างกันตรงที่บางประเทศก็เป็นอาชีพที่ถูกกฎหมาย แต่บางประเทศรวมถึงไทยจะถือว่าเป็นอาชีพที่ผิดกฏหมาย ซึ่งจะมีสักกี่คนที่รู้ว่าคนที่ทำงานแบบนี้คิดอย่างไรกับงานของตัวเอง วันนี้ Alice Little สาวผู้ทำงานเป็นหญิงขายบริการที่ Moonlite Bunny Ranch ในรัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกาได้ออกมาเปิดเผยความในใจเกี่ยวกับการทำงานในสถานค้าประเวณีว่ามันเป็นอย่างไร Alice ได้อธิบายเกี่ยวกับงานของเธอว่ามันน่าอาย ลำบาก มักจะโดนประนามและคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เธอทำได้ดีแค่อย่างเดียวในชีวิต แต่จริงๆ เธอก็คิดทั้งแง่บวกและแง่ลบเกี่ยวกับอาชีพที่เธอทำอยู่ เธอบอกว่าผู้คนต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะเกี่ยวกับงานของเธอ เธอเริ่มเปิดใจโดยการเกริ่นว่า “ลองจินตนาการว่าคุณกำลังยืนอยู่เรียงกันอยู่ในแถวกว่า 20 คนที่เป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ ซึ่งทั้งหมดพยายามจะแข่งกันเพื่อให้ถูกเลือกโดยผู้ชายคนเดียวกันสิ” “เครียดใช่มั้ยล่ะ? และลองนึกภาพว่าต้องทำงาน 12 ถึง 14 ชั่วโมงต่อวัน ห้าวันต่อสัปดาห์ นั่นแหละงานของฉัน” เธอยังอธิบายถึงค่าใช้จ่ายจำนวนมากของหญิงขายบริการอีกว่าเธอต้องหมดค่าถุงยางและเจลหล่อลื่นสูงถึงปีละ 76,000 บาท ต้องเข้าร้านทำเล็บเป็นชั่วโมงๆ และตื่นเช้ามาก็ต้องไปเข้ายิมเพื่อรักษารูปร่าง มันเป็นงานที่หนักมากๆ เลยล่ะ เธอกล่าวว่า “งานของฉันคือการรวมทั้งนักจิตวิทยา โค้ชเรื่องความสัมพันธ์ และผู้เชี่ยวชาญเรื่องเซ็กส์อยู่ในอาชีพเดียวกัน ในระหว่างที่ไม่ได้ทำงาน ฉันก็ต้องเรียนรู้ความรู้สึกเรื่องเพศ จิตวิทยา และเรื่องสังคมด้วยหนังสือ การบรรยาย หรือวิดีโอ อะไรก็ตามที่ฉันสามารถเรียนรู้ได้” เธอได้พูดถึงประเภทลูกค้าที่มาใช้บริการว่า ไม่ได้มีเพียงแค่ผู้ชายอย่างเดียวเท่านั้น…
-
ไขข้อสงสัยของยุงแม้จะไม่มีฟัน แต่ยังสามารถกัดเราได้ เพราะพี่มีเข็มใช้ถึง 6 แบบแหนะ!!
เป็นเรื่องปกติของบ้านเรานั้นที่จะมีเจ้ายุงตัวน่ารำคาญบินไปบินมาข้างๆ หูและดูดเลือดเราไป ทำให้ผิวหนังเกิดอาการบวมและคันหลังจากมันดูดเลือดเสร็จเรียบร้อย เจ้ายุงตัวน้อยนอกจากจะสร้างความรำคาญแล้ว มันยังเป็นสัตว์ที่อันตรายที่สุดในโลกอีกด้วย ถึงมันจะดูตัวเล็กและบอบบาง แต่พวกมันสามารถฆ่าคนได้ 1 ล้านคนต่อปีเลยทีเดียว!! ซึ่งในแต่ละครั้งที่มันกัดมนุษย์นั้นเราแทบจะไม่รู้ตัวจนกระทั่งเกิดอาการคันและบวมขึ้นมา และบางครั้งมันก็ทิ้งของฝากไว้ให้กับเราอีกด้วย เป็นพยาธิและเชื้อโรคที่ร้ายแรง แต่หลายๆ คนก็คงสงสัยว่า เจ้ายุงพวกนี้มันดูดเลือดกันยังไง เข็มดูดเลือดของมันมีการทำงานอย่างไร หรือว่าทำไมยุงถึงเลือกกัดเรามากกว่าที่จะไปกัดคนอื่น? คำตอบก็คือจริงๆ แล้วจะมีแค่ยุงเพศเมียเท่านั้นที่ดูดเลือดเป็นอาหาร ภายในร่างกายของมันจะมีโครงสร้างระบบประสาทชนิดพิเศษที่เรียกว่า cpA neurons ที่สามารถตรวจจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และกลิ่นกาย นอกจากนั้นมันยังไวต่อความร้อนและแสงอินฟราเรด เมื่อรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน มันจึงสามารถหาเหยื่อได้อย่างง่ายดาย และปากของยุงนั้นมีเข็มทั้งหมดถึง 6 เข็มด้วยกันและมีท่อที่ยืดหยุ่นได้ปกคลุมอยู่ ประกอบไปด้วยเข็ม Maxillae (สีน้ำเงิน) 2 ข้างที่ทำหน้าที่เจาะและเลื่อยผ่านชั้นผิวหนังลงไป และมี Mandibles (สีเหลือง) 2 ข้างทำหน้าที่แหวกเนื้อเยื่อออกจากกันในขณะที่เจาะลงไป หลังจากนั้นมันจะปล่อยสารเคมีผ่านน้ำลายด้วยท่อ Hypopharynx (สีเขียว) เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกขึ้นและใช้ท่อ Labrum (สีแดง) ดูดเลือดขึ้นไป ในขณะที่มันกำลังดูดเลือดนั้น…
-
ว็อทอีสดีส!? รวม 17 เรื่องราวแปลกประหลาดแต่เกิดขึ้นจริง ไปเหลาให้เพื่อนฟังต่อก็ยิ่งดี!!
คนในสมัยก่อนมักจะเปรยไว้ว่า ‘โลกของเรานั้นกว้างใหญ่ ยังมีเรื่องอีกมากมายที่เรายังไม่เคยรู้มาก่อน’ คนเราที่เชื่อว่าตัวเองรู้อะไรมามากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ยังมีเรื่องราวอีกใหม่ๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบันให้ได้เรียนรู้อยู่ดี อย่างเช่นเรื่องราวอันแปลกประหลาดทั้ง 17 เรื่องดังต่อไปนี้ แม้จะไม่ค่อยน่าเชื่อสักเท่าไหร่ แต่มันก็เกิดขึ้นจริงๆ มาแล้วนะ!! เวลาการเกิดที่ห่างกันที่สุดของเด็กแฝดจากครรภ์เดียวกันคือ 87 วัน ตู้ไปรษณีย์ที่อยู่ลึกที่สุดในโลกนั้น ตั้งอยู่ใต้น้ำ 10 เมตรที่อ่าว Susami ในประเทศญี่ปุ่น ถุงยางที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ค้นพบ มาจากช่วงปี 1640 และทำมาจากเครื่องในของสัตว์ และปลา ลายบนลิ้นของมนุษย์เรานั้นจะไม่ซ้ำกับใครเลยบนโลก เช่นเดียวกับลายนิ้วมือ จิงโจ้เพศหญิง มีสามช่องคลอด โดยจะทำหน้าที่แยกส่วน ระหว่างลำเลียงน้ำเชื้อและทำการคลอดลูกจิงโจ้ แสงนั้นไม่ได้เดินทางด้วยความเร็วแสงเสมอไป โดยแสงที่เดินทางช้าที่สุดที่มีการบันทึกไว้ มีความเร็วอยู่ที่ประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (เป็นความเร็วที่แสงเดินทางผ่านก๊าสอะตอมมิคชนิดหนึ่ง) Northern Leopard Frog ใช้ดวงตาเพื่อช่วยในการกลืนเหยื่อ ด้วยการใช้ตาหดเข้าไปในหัวของมันและดันอาหารลงลำคอไป ชายคนแรกที่ปัสสาวะบนดวงจันทร์คือ Buzz Aldrin หลังจากที่เขาก้าวลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์ได้ไม่นาน …
-
เจาะลึก ‘โรคพิษสุนัขบ้า’ ที่กำลังระบาด มันคืออะไรกันแน่ และคุณต้องรับมืออย่างไร!?
ในช่วงที่ผ่านมานั้น ตามพื้นที่สื่อและโลกออนไลน์ภายในประเทศไทย มีข่าวคราวเกี่ยวกับการแพร่ระบาดอย่างหนักของโรคพิษสุนัขบ้า ทำให้หลายๆ จังหวัดนั้นถูกประกาศให้เป็นพื้นที่สีแดงโดยกรมปศุสัตว์ ต้องทำการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และมีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว 3 รายตั้งแต่เดือนมกราคม 2018 อาจจะฟังเป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่ทว่าหากไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันมาก่อน หากติดเชื้อแล้วอาจจะหมดหนทางรักษาให้หายขาดได้… แล้วโรคพิษสุนัขบ้านั้นแท้จริงแล้วน่ากลัวขนาดไหน เรามาหาคำตอบกันเถอะ โรคพิษสุนัขบ้า หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ‘โรคกลัวน้ำ’ เป็นเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Lyssavirus หรือ Rabies virus สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนได้ ซึ่งเชื้อไวรัสนี้จะอยู่ในน้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อ ทำให้เกิดภาวะสมองอักเสบทั้งในคนและสัตว์ ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันทีก็จะไม่มีทางรักษาได้ และเสียชีวิตในที่สุด สาเหตุการติดเชื้อสู่มนุษย์ โรคพิษสุนัขบ้านั้นไม่ได้พบแค่ในสุนัขเหมือนในชื่อเพียงเท่านั้น แต่มันสามารถแพร่สู่สัตว์ตระกูลสุนัข ทั้งสุนัขบ้านและสุนัขป่า นอกจากนั้นยังมีสัตว์ตระกูลแมว สัตว์ตระกูลหนู และยังมีค้างคาว วัว ควาย แพะ แกะ ม้า ลิง กระรอก พังพอน หรือก็คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด รวมทั้งมนุษย์ก็สามารถติดเชื้อพิษสุนัขบ้าได้เช่นกัน การติดเชื้อจากสัตว์สู่คนนั้นอาจมาจากการถูกสัตว์ที่ติดเชื้อกัด ข่วน หรือเลียผิวหนังบริเวณที่มีบาดแผล ทำให้เชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำลายนั้นเข้าสู่บาดแผลได้…
-
6 ความเชื่อในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแบบผิดๆ ที่อาจทำให้ผู้ป่วยมีอันตรายยิ่งขึ้นไปอีก
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ในบางครั้งอาจจะเป็นตัวกำหนดโชคชะตาของคนๆ หนึ่งว่าจะอยู่หรือจะตาย ดังนั้นเรื่องเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะยังมีความเชื่อบางอย่างที่คนเราเชื่อกันผิดๆ เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นกันอยู่ โดยที่มีตัวอย่างดังต่อไปนี้ เวลามีแผลให้รีบห้ามเลือดให้แน่นในทุกกรณี จริงอยู่ว่าการไม่ห้ามเลือดนั้น อาจทำให้มีการเสียเลือดมากจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่หากรัดแน่นจนเกินไปก็อาจจะทำให้เสียอวัยวะส่วนนั้นๆ ไปเพราะการขาดเลือดไปเลี้ยงได้เช่นกัน การห้ามเลือดที่ถูกต้องนั้นไม่ควรรัดลงไปที่ตัวแผลเลย แต่ควรรัดที่ด้านบนของแผลเล็กน้อย และไม่ควรทำการห้ามเลือดทิ้งไว้เป็นเวลานาน หากเป็นไปได้ควรมีการคล้ายการรัดทุกๆ 20-60 นาที เวลามีคนบาดเจ็บบนถนนให้รีบพาออกมาข้างทางในทันที แม้ว่าการทิ้งผู้บาดเจ็บไว้กลางถนนเลยนั้นอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ แต่การที่จู่ๆ ไปเคลื่อนย้ายคนเจ็บเลยนั้นก็เป็นเรื่องที่อันตรายเช่นเดียวกัน ผู้ที่บาดเจ็บจากทางท้องถนนนั้นมีโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บที่ไขสันหลัง ซึ่งการที่จู่ๆ ไปเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บอาจนำไปสู่การเป็นอัมพาตครึ่งล่าง หรือถึงแก่ความตายได้ เวลามีคนเป็นลมชักให้รีบหาอะไรมาใส่ปากทันที การหาอะไรมาใส่ปากคนที่เป็นลมชักนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะหากหากเลือกไม่ดีอาจจะทำให้ฟันของผู้ชักเสียหายได้ แล้วฟันที่หักมีโอกาสสูงที่จะลงไปอุดหลอดลม วิธีที่ดีของการปฐมพยาบาลคนเป็นลมชักนั้น ทำได้โดยการหาอะไรมาหนุนที่ศีรษะผู้ป่วย เช่นเสื้อผ้า หรือหมอน และเรียกรถพยาบาล ใช้ยาสีฟัน หรือน้ำมันทาแผลไฟลวก การใช้ยาสีฟัน หรือน้ำมันทาแผลไฟลวกนั้นจะทำให้ตัวยาสีฟันไปคลุมแผลไว้ แต่ไม่ได้ไล่ความร้อนออกไปแต่อย่างไร วิธีที่ดีที่สุดในการรปฐมพยาบาลแผลไฟลวก ทำได้โดยการนำจุดที่โดนลวกแช่ในน้ำเย็นราวๆ 15-20 นาที และปล่อยให้แผลแห้ง หากจะทายาอะไรเพิ่มให้เว้นระยะเวลาอีกสักพักก่อน เวลามีคนเป็นลม ให้หาวิธีปลุกให้เร็วที่สุด อันนี้เป็นความคิดที่ผิดเป็นอย่างมาก โชคดีที่จำนวนคนที่คิดแบบนี้มีอยู่ไม่มากนัก…
-
5 วิธีบรรเทาอาการปวดประจำเดือนแบบธรรมชาติ สำหรับสาวๆ ผู้ทุกข์ทรมาน
โดยปกติแล้วสำหรับสาวๆ ทุกคนนั้นย่อมต้องมีวันแดงเดือดที่ต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดสุดแสนทรมานและความอับชื้นสุดน่ารำคาญนี้ในทุกๆ เดือน ซึ่งในการทานยาเพื่อบรรเทานั้นก็อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพในอนาคตเนื่องจากเป็นสารเคมี จึงมีคนคิดค้นวิธีธรรมชาติที่สามารถทำได้ที่บ้านเพื่อบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ 1. โยคะ การทำโยคะนั้นสงผลดีต่อร่างกายมากมาย แค่ทำท่าง่ายๆ ไม่กี่ท่าก็สามารถบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการทำโยคะทุกวันนั้นจะช่วยทำให้อาการปวดลดน้อยลงในระยะยาวได้อีกด้วย ท่าเด็ก Balasana หรือ Child’s Pose ท่านี้จะช่วยเรื่องการปวดประจำเดือน โดยเฉพาะเมื่ออาการปวดนั้นลามไปถึงหลัง แค่เหยียดตัวเบาๆ ก็สามารถบรรเทาอาการปวดหลังได้แล้ว การวางหมอนไว้บริเวณใต้ลำตัวนั้นจะช่วยให้ทำท่านี้ได้นานขึ้น หากเกิดอาการตึงบริเวณหน้าท้อง ท่าอกชิดเข่า ท่านี้เป็นหนึ่งในท่าที่สามารถบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ดีที่สุด เนื่องจากเป็นท่าที่ผ่อนคลายบริเวณหลังและหน้าท้อง และการโยกซ้ายขวานั้นก็เหมือนกับการนวดหลังไปในตัว ท่าบิดตัว ท่านี้ดีต่อระบบย่อยและขับถ่ายของเสีย เนื่องจากกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียออกมา การบิดทั้งด้านซ้ายและขวานั้นจะช่วยลดอาการปวดหลังและหน้าท้องจากประจำเดือน 2. ความร้อน จากการศึกษาผู้หญิงวัย 18-30 ปีที่ประสบปัญหาปวดประจำเดือนเป็นประจำ พบว่าการใช้ถุงความร้อนที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียสนั้นสามารถบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้มีประสิทธิภาพกว่ายาแก้ปวด Ibuprofen เสียอีก ซึ่งการแช่น้ำอุ่นก็สามารถช่วยบรรเทาได้เช่นกัน แถมยังได้ใช้เวลาผ่อนคลายด้วยตัวคนเดียวอีกด้วย 3. น้ำมันหอมระเหย การนวดด้วยน้ำมันหอมระเหยบางชนิดเป็นเวลาประมาณ 20 นาทีอย่างต่ำนั้นถือว่าเป็นวิธีที่ดีในการช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ซึ่งน้ำมันหอมระเหยที่ดีที่สุดในการบรรเทาอาการปวดก็คือ…
-
พ่อบ้านรู้ไว้!! 10 วัตถุดิบทำอาหารที่ไม่ควรแช่ไว้ในตู้เย็น เพราะมันจะทำให้เสียของ!
ในการทำอาหารนั้น ความสดของส่วนผสมนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราสามารถทำอาหารที่ดีออกมาได้ อย่างไรก็ตามการออกไปตามหาของสดทุกวันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย โดยเฉพาะกับคนที่ต้องทำงานอยู่ทุกๆ วันแล้วด้วย ด้วยเหตุนี้ทำให้มนุษย์คิดค้นการเก็บรักษา และถนอมอาหารออกมามากมาย ทั้งการตาก การดอง หรือการเชื่อม จนกระทั่งในปัจจุบัน เราก็คิดค้นตู้เย็นขึ้นมาเพื่อให้สามารถเก็บอาหารได้นานขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเราจะสามารถใส่ของทุกอย่างลงไปในตู้เย็นได้ เพราะไม่ว่าอะไรก็มีข้อยกเว้นเสมอๆ ในวันนี้เอง #เหมียวฝึกหัด ได้นำความรู้คู่ห้องครัว ที่รู้ไว้ไม่เสียหาย ของวัตถุดิบทำอาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรแช่ไว้ในตู้เย็นมาฝากเพื่อนๆ จะมีอะไรบ้าง เราลองไปชมกันเลย 1. แตงโม แตงโมนั้น ควรจะเก็บไว้เป็นลูกโดยไม่มีการตัด หรือผ่าเพื่อให้มีรสชาติที่ดีที่สุด จากการวิจัยของ United States Department of Agriculture (กรมวิชาการเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา) หรือ USDA พบว่าการเก็บรักษาแตงโมในร่ม ที่อุณหภูมิห้องช่วยรักษาสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีขึ้น แต่ถ้าหากมีการตัดแตงโมไปแล้ว การเก็บแตงโมไว้ในตู้เย็นนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามไม่ควรเก็บแตงโมที่หั่นแล้วไว้ในตู้เย็นเกิน 3-4 วัน 2. มันฝรั่ง อุณหภูมิที่เย็นของตู้เย็นจะทำให้สารพอลิแซ็กคาไรด์ที่อยู่ในหัวมันถูกทำลายไป ทำให้มันมีรสชาติหวานแบบไม่น่าพอใจ และมีรสสัมผัสคล้ายทราย การเก็บมันฝรั่งนั้นขอเพียงเป็นที่ๆ มืดและไม่ร้อนก็เพียงพอแล้ว …
-
คุณกำลังประสบปัญหานี้หรือไม่? มาดู 6 สาเหตุของอาการคันของน้องสาว พร้อมวิธีรักษา
สำหรับสาวๆ ที่มีอาการคันระคายเคืองบริเวณจุ๋มจิ๋ม ซึ่งนอกจากจะสร้างความหงุดหงิดน่ารำคาญแล้ว มันยังบ่งบอกถึงอาการที่น่ากังวลอีกด้วย ในขณะที่อาการคันเหล่านั้นอาจจะเกิดมาจากหลายสาเหตุ บางอันอาจดูน่ากลัว แต่อย่าเพิ่งตกใจไปเพราะแต่ละสาเหตุนั้นย่อมมีวิธีแก้ไข 1. เชื้อราในช่องคลอด ปัญหา: โรคเชื้อราในช่องคลอดนั้นเป็นสาเหตุอาการคันที่พบได้ทั่วไปมากที่สุด “การติดโรคเชื้อรานั้นจะเกิดขึ้นเมื่อระบบภายในของอวัยวะเพศนั้นสูญเสียสมดุล ทำให้มีการเจริญเติบโตของเชื้อราประเภท Candida Albicans มากเกินไป” Dr. Peter Rizk นักสูตินรีเวชวิทยาของศูนย์สุขภาพ Fairhaven กล่าว เขากล่าวว่า “ในการที่จะบอกได้ว่ามีอาการของโรคเชื้อราในช่องคลอดหรือไม่นั้น คุณจะรู้สึกถึงอาการปวดแสบปวดร้อนในขณะปัสสาวะ หรือขณะที่มีเพศสัมพันธ์ และอาจมีก้อนของเหลวสีขาวไหลออกมาด้วย” วิธีรักษา: โรคเชื้อราในช่องคลอดนั้นโดยปกติแล้วจะรักษาด้วยการฆ่าเชื้อรา ซึ่งยานั้นสามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป หรือได้รับจากใบสั่งแพทย์ และที่สำคัญคือควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะวินิจฉัยโรคของตัวเอง 2. ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ปัญหา: ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียนั้นเป็นอาการที่พบได้บ่อยพอๆ กับโรคเชื้อราในช่องคลอดที่ทำให้เกิดอาการคัน แต่สาเหตุนั้นไม่ได้มาจากเชื้อรา แต่มาจากแบคทีเรียนั่นเอง ซึ่งอาจมาพร้อมกับการตกขาว ทำให้เกิดอาการแสบร้อนและมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ วิธีรักษา: ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียนั้นต้องได้รับการตรวจสอบและรักษาจากแพทย์ ซึ่งอาจจะได้รับยาปฏิชีวนะมาทาน 3. ความอับชื้น ปัญหา: ที่ลับอับชื้นนั้นไม่ได้ทำแค่ให้เกิดความไม่สะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่อาการคันอันไม่พึงประสงค์อีกด้วย ซึ่งสาเหตุความอับชื้นอาจเกิดมาจากหลายสาเหตุเช่น การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบเบาๆ…
-
งานวิจัยเผย 80 เปอร์เซ็นต์ของมือปืนกราดยิง ไม่ได้มีความสนใจในวิดีโอเกมส์แต่อย่างใด
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2018 เราอาจได้ยินคำพูดของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา Donald Trump ที่พูดเอาไว้ว่า “วิดีเกมส์คือสิ่งที่ส่งผลให้เกิดการกราดยิง” แต่ผลจากงานวิจัยชิ้นล่าสุดนั้นกลับให้ผลออกมาในทิศทางตรงกันข้าม นี่คือการศึกษาของนักจิตวิทยา Patrick Markey เมื่อเขาพยายามหาคำตอบเกี่ยวกับผู้ก่อเหตุกราดยิงและวิดีโอเกมส์ จนกระทั่งพบว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้ก่อเหตุนั้นไม่ได้มีความสนใจในเรื่องของวิดีโอเกมส์เลย ผลลัพธ์ดังกล่าวเรียกว่าเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความคิดและความเข้าใจของใครหลายๆ คนเป็นอย่างมาก Patrick บอกว่างานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ก่อนหน้านี้อาจมีข้อมูลที่ไม่เหมือนกับผลการศึกษาของเขา แต่ถึงอย่างนั้นข้อมูลดังกล่าวก็ไม่อาจบอกได้ว่าเกมส่งผลกับเรื่องนี้จริงๆ ขณะเดียวกันก็ได้มีการพุ่งประเด็นไปที่เรื่องของบริษัทขายปืนในอเมริกาที่ชื่อว่า Remington ซึ่งมีการผลิตปืนตามต้นแบบจากเกมดังอย่าง Call of Duty ก่อนที่จะพยายามขายให้กับวัยรุ่นผู้ชาย จนพวกเขาถูกฟ้องร้องภายหลังเหตุกราดยิงในปี 2012 ที่มีเด็กเสียชีวิตไปมากถึง 26 คน ซึ่งพบว่าผู้ก่อเหตุใช้ปืนของผู้ผลิตรายนี้ ทนายความ Josh Koskoff อธิบายว่าการกระทำของบริษัทนี้ถือว่าเป็นการส่งเสริมและเพิ่มความเสี่ยงให้มีเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นมาอีก Adam Lanza ผู้ก่อเหตุกราดยิงภายในโรงเรียนประถม เมื่อปี 2012 แน่นอนว่าการขายอาวุธที่ใช้ก่อเหตุให้กับคนร้ายถือว่าเป็นสิ่งที่ผิด แต่หากเราลองมองกลับมาที่เรื่องของวิดีโอเกมส์ที่เกริ่นกันไว้ในตอนแรก การที่เราจะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ส่งผลให้มีการก่อเหตุนั้นกลับไม่สามารถพูดได้เต็มปากเหมือนอย่างกรณีการขายปืน ยิ่งมีงานวิจัยชิ้นใหม่เข้ามาเสริมด้วยแล้ว งานวิจัยและการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่ออกมาขัดกับความเข้าใจของเราหรือแม้แต่ประธานาธิบดีของสหรัฐเองก็ตาม และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ Patrick บอกว่างานวิจัยของเขานั้นยังบอกอีกว่า ยิ่งมีเกมรุนแรงถูกปล่อยออกมาเท่าไหร่…
-
9 เบื้องหลังสุดดาร์กดั้งเดิมของ ‘เจ้าหญิงดิสนีย์’ ที่ไม่ได้สวยงามเหมือนในการ์ตูน
จากการ์ตูนเจ้าหญิงของดิสนีย์ที่เราได้ดูกันอาจจะได้เห็นกันว่าในแต่ละเรื่องก็มีจุดจบที่มีแต่ความสุขสันต์ แฮปปี้เอ็นดิ้งกันอย่างถ้วนหน้า ทำให้เราคิดว่า ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าหญิงเหล่านี้จะต้องสุขสบายเมื่ออยู่กับเจ้าชายที่เธอรัก แต่ทว่าในความเป็นจริง ส่วนมากเทพนิยายเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยอ้างอิงจากบทนิยายเดิมหรือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งมันอาจจะไม่ได้มีจุดจบหรือเบื้องหลังที่สวยงามมากนัก อย่างเช่นเรื่องราวที่ #เหมียวบู้บี้ จะนำมาเล่าสู่กันฟังดังต่อไปนี้ 1. ราพันเซลถูกขับไล่และเจ้าชายตาบอด เรื่องราวของราพันเซลอ้างอิงมาจากเทพนิยายของกริมม์ ซึ่งเนื้อเรื่องตามเดิมได้เล่าเอาไว้ว่าหลังจากที่แม่มดรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของราพันเซลกับเจ้าชายจึง เธอได้ตัดผมราพันเซล แล้วไล่ให้ไปอยู่กลางทะเลทราย เจ้าชายไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็มาหาราพันเซลตามเคย แต่พอปีนผมขึ้นมาแล้วพบว่าไม่ใช่เป็นแม่มดที่รออยู่ จึงพุ่งตัวออกจากหน้าต่างตกลงมาใส่พุ่มหนามจนตาบอด แต่สุดท้ายเขาก็สามารถหาราพันเซลจนเจอแล้วก็ถูกรักษาจนกลับมามองเห็นได้อีกครั้งด้วยน้ำตาของเธอ 2. แอเรียลตรอมใจเสียชีวิตกลายเป็นคลื่นในทะเล เรื่องของแอเรียล เจ้าหญิงน้อยอ้างอิงมาจากตัวละครสุดคลาสิกของ Hans Christian Andersen เงือกสาวช่วยเหลือเจ้าชายจากการพลัดตกน้ำจนเธอตกหลุมรักเขา เธอยอมแลกเสียงอันแสนไพเราะของเธอเพื่อให้ได้ขาที่สวยงาม แต่การก้าวขาแต่ละก้าวต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดสุดจะบรรยาย แถมสุดท้ายเจ้าชายกลับไปแต่งงานกับสาวคนอื่นที่เขาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้ช่วยชีวิต ทางเลือกของเธอมีเพียงแค่ฆ่าเขาซะเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในฐานะนางเงือก หรือยอมกลายเป็นฟองล่องลอยอยู่ในทะเลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเธอก็เลือกอย่างหลัง 3. Maui ในเรื่อง Moana ความจริงแล้วเป็นคนผอมและ Moana ที่แท้จริงไม่มีตัวตน Moana เป็นเพียงหนึ่งตัวละครที่มีคนสร้างขึ้นมา ความคิดเดิมผู้สร้างจะเขียนเรื่องราวของ Maui เท่านั้นแต่เมื่อได้ไปเยือนโปลินีเซียแล้วเจอกับผู้หญิงที่สวยของที่นั่น (ผู้หญิงคนดังกล่าวอยยู่ในรูปด้านขวา) จึงได้นำมาเป็นต้นแบบของ Moana ภาพยนตร์ที่มีการอ้างอิงถึงตำนานของโปลินีเซีย…
-
อุทาหรณ์เตือนใจ…เมื่อเจ้าของไม่ยอมเก็บ ‘ถุงขนมเปล่า’ ไปทิ้ง เป็นเหตุให้น้องหมาเสียชีวิต
น้องหมาส่วนใหญ่จะได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าของที่รักมันมากๆ ไม่ต่างกับสิ่งที่ Christina Young ทำกับน้องหมาของเธอมาโดยตลอด แต่ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งมันต้องจากโลกนี้ไปด้วยสาเหตุที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน วันหนึ่งช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2018 Christina ได้จูบลาเจ้าหมา Petey ของเธอก่อนที่จะออกไปทำงานตามปกติ โดยที่เธอไม่ได้เอะใจเลยว่านั่นคือครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เห็นมันในตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ Christina และน้องหมา Petey ตกเย็นวันนั้นเธอกลับมาที่ห้องแล้วก็ได้เจอกับแฟนหนุ่มที่มาถึงก่อนเธอ 10 นาที พร้อมกับข่าวร้ายที่ทำให้หญิงสาวแทบจะลมทั้งยืน เมื่อเธอได้รู้ว่าเจ้าหมาสุดที่รักของเธอลาจากโลกนี้ไปเสียแล้ว สาเหตุการตายของ Petey คือการขาดอากาศหายใจ หลังจากที่มันเอาหัวยัดเข้าไปในถุงขนม ซึ่งหญิงสาวไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าสิ่งนี้มันจะสามารถพรากเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอไปได้ สำหรับคนเลี้ยงหมาทั้งหลายคงจะเคยเห็นพวกมันเอาหัวยัดเข้าไปในถุงขนมเพื่อมองหาว่ามีของกินเหลืออยู่หรือเปล่า มองว่าเป็นเรื่องปกติไม่นาจะทำอันตรายใดๆ กับพวกมันได้ แต่ดอกเตอร์ Jason Nicholas ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของโรงพยาบาลสัตว์ Preventive Vet บอกว่าความจริงแล้วมันตรงกันข้ามกันเลยต่างหาก เวลาที่น้องหมาแหย่หน้าเข้าไปในถุงขนม พวกมันจะพยายามดิ้นให้เข้าไปหาได้ลึกขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไม่สามารถเอาศีรษะออกมาจากถุงได้ ไม่เกี่ยวว่าน้องหมาของเราจะแข็งแรงหรือตัวใหญ่มากขนาดไหน แต่เมื่อไหร่ที่มันติดอยู่ในนั้นก็จะทำให้มีความเสี่ยงของการขาดอากาศหายใจสูงมาก หากติดอยู่อย่างนั้นมากกว่า 3 นาที สุดท้ายพวกมันก็จะขาดอากาศหายใจตายในที่สุด Jason บอกว่าตามสถิติแล้วมีหมาประมาณ 3-5 ตัวขาดอากาศหายใจในทุกสัปดาห์ โดย…
-
13 เรื่องจริงสั้นๆ แต่น่าสนใจ เล่าจบได้ภายในหนึ่งนาที จะจำไปเล่าก็ได้แม้เป็นคนขี้ลืม
อยากได้เรื่องน่าสนใจไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟังกันไหม? แต่การที่จะจำเรื่องน่าสนใจไปเล่านั้นบางทีก็ใช้เวลามาเกินไป ถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้เรื่องราวสั้นๆ แต่น่าสนใจใช่รึเปล่า? ถ้าใช่ นี่คือบทความสำหรับคุณ แต่ถึงไม่ใช่ บทความนี้ก็น่าสนใจสำหรับคุณอยู่ดี ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวฝึกหัด ขอนำเสนอ 13 เรื่องจริงที่ สั้นๆ แต่ก็น่าสนใจไม่เบา แถมยังสามารถเล่าจบได้ภายในหนึ่งนาที ใครๆ ก็จำไปเล่าได้แม้เป็นคนขี้ลืมก็ตาม… หนึ่งล้านวินาทีเท่ากับ 11 วัน แต่พันล้านวินาทีนั้นเท่ากับ 31 ปีเลยทีเดียว ในจุดๆ หนึ่ง คุณจะเป็นคนต่อไปที่จะตายไปจากโลกใบนี้ อ่างอาบน้ำ คือสิ่งที่ตรงข้ามกับเรือ เพราะอ่างอาบน้ำมีน้ำอยู่ข้างใน แต่เรือมีน้ำอยู่ข้างนอก ตั้งแต่ถูกตั้งเป็นดาวเคราะห์ จนถูกถอนชื่อการการเป็นดาวเคราะห์ ดาวพลูโตยังหมุนรอบดวงอาทิตย์ไม่ครบรอบเลย ถ้าคุณมองโลกจากดาวที่ห่างออกไป 65 ล้านปีแสง คุณจะยังเห็นไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่ จะใช้เวลาขับรถแค่ราวๆ 1 ชั่วโมงในการออกไปนอกโลก ถ้าหากว่าคุณสามารถขับรถตรงขึ้นไปเลย ประเทศรัสเซีย มีพื้นที่มากกว่า พื้นผิวดาวพลูโต ตอนนี้เรามีดาราหนังโป๊ที่เกิดในปี…
-
10 สุขนิสัยที่คุณอาจจะคิดว่าดี แต่มันอาจจะทำร้ายสุขภาพของคุณโดยไม่รู้ตัว!!
การใช้ชีวิตประจำวันในแต่ละวันของเรานั้นเราอาจจะคิดว่ามันดีและปลอดภัยกับสุขภาพของเราแล้ว แต่รู้ไหมว่าบางสิ่งบางอย่างที่เราคิดว่าทำแล้วดีต่อสุขภาพแต่ว่าในความจริงนั้นมันกลับส่งผลร้ายให้กับร่างกายเราโดยไม่รู้ตัว เหล่าบรรดานักวิทยาศาสต์และนักวิจัยหลายท่าน ได้ช่วยกันหาข้อมูลเพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ที่สุด โดยการศึกษารวบรวมข้อมูลจากพฤติกรรมของมนุษย์ที่ทำกันบ่อยๆ จนกลายเป็นนิสัย และเข้าใจผิดว่าสิ่งที่เราทำมันอาจถูกสุขลักษณะ เหมือนดังพฤติกรรมต่อไปนี้ 1. แช่จานชามไว้ในอ่างนานๆ ซิงค์ล้างจานเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แบคทีเรียชั้นเยี่ยม คุณสามารถพบเจอแบคทีเรียได้แทบทุกชนิด ซึ่งอาจจะเป็นตัวการที่ทำให้เกิดความผิดปกติของกระเพาะอาหารและลำไส้ เมื่อทานอาหารเสร็จควรจะล้างโดยทันที ไม่ควรแช่ทิ้งไว้นะจ๊ะ 2. ล้างมือด้วยน้ำร้อน นักวิจัยได้กล่าวว่าอุณหภูมิของน้ำไม่ส่งผลต่อการฆ่าเชื้อโรค การล้างมืออย่างถูกวิธีต่างหากที่จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ และควรล้างมืออย่างน้อย 30 วินาที การใช้น้ำร้อนหรือน้ำอุ่นล้างมือบ่อยๆ จะลดการทำงานของผิวหนังทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้ผิวหนังอักเสบได้ 3. แต่งหน้าไปออกกำลังกาย หลายๆ คนอาจจะใช้เวลาหลังการเลิกงานเพื่อไปเข้ายิมโดยที่ไม่ได้ลบเครื่องสำอางออกจากใบหน้า การออกกำลังกายโดยที่ยังมีเครื่องสำอางอยู่บนผิวจะทำให้ผิวเกิดการอุดตันและไม่ส่งผลดีต่อใบหน้าเท่าไหร่นัก เนื่องจากผิวต้องการอากาศหายใจตอนออกกำลังกาย ลองหน้าสดไปยิมดูก็ไม่เสียหายนะ 4. ใช้เครื่องเป่าลมร้อน เครื่องเป่าลมร้อนสำหรับทำให้มือแห้งอาจจะดูเหมือนว่าเป้นเครื่องที่ทำให้มือของเราปราศจากเชื้อโรค แต่รู้ไหมว่า ในเครื่องเป่าลมร้อนนั้นเป็นแหล่งรวมแบคทีเรียจำนวนมากและกระจายแบคทีเรียเหล่านั้นด้วยอากาศ ถ้าอยากจะให้มือแห้งจริงๆ เลือกใช้กระดาษทิชชูซับมือจะดีกว่า 5. ใช้ถุงเดิมซ้ำๆ การใช้ถุงผ้าซ้ำๆ ทำให้เกิดการสะสมของเชื้อโรคจากสิ่งของที่คุณซื้อมา และมันจะสะสมไปเรื่อยๆ ปนเปื้อนสิ่งของที่คุณซื้อมาใหม่ไปอีกโดยเฉพาะผักและผลไม้ หากจำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็ควรจะซักก่อนใช้ทุกครั้ง…
-
ผู้สร้าง FakeTaxi เผยเบื้องหลังวงการหนังโป๊ ที่คนนอกไม่รู้ ‘แถวนี้เถื่อน รันวงการยากจริงๆ’
หนังผู้ใหญ่ คือหนึ่งในหนทางที่ช่วยให้เราได้ระบายอารมณ์ทางเพศกันอย่างเต็มที่ จนบางครั้งเราก็อาจเคยคิดว่าอยากจะลองไปเป็นดารานักแสดงหนังแนวนี้ดูบ้าง แต่เราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เบื้องหลังการแสดงอันเร่าร้อนของพวกเขานั้น มันกลับเต็มไปด้วยความยากลำบากที่ซ่อนอยู่… อุปสรรคของการเป็นดาราหนังผู้ใหญ่นั้นถูกบอกเล่าผ่าน ชายผู้สร้างเว็บไซต์ YouPorn อีกทั้งยังเป็นเจ้าของค่ายหนังผู้ใหญ่อันโด่งดังทางฝั่งยุโรปอย่าง FakeTaxi และ PublicAgent ซึ่งเขาได้พูดถึงผลเสียที่ตามมาจากการสวมบทบาทเป็นดาราหนังชมพูเอาไว้ ว่ามันบั่นทอนชีวิตประจำวันของเขามากขนาดไหน ชายผู้ก่อตั้งเว็บไซต์และค่ายหนังผู้ใหญ่ชื่อดังในยุโรป เขาอยากให้เราลองคิดภาพตามดูว่า ในวันหนึ่งคุณกำลังเสร็จจากงานอันแสนเหน็ดเหนื่อย ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นของการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งๆ ที่คุณไม่ได้มีอะไรกับใครเลย แต่คุณต้องสัมผัสถึงบรรยากาศการมีเซ็กส์ที่ตลบอบอวล นั่นคงเป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์ซักเท่าไหร่… แล้วลองคิดดูว่าลูกๆ ของเราจะพูดกับคนอื่นๆ ยังไง เวลาที่มีคนถามว่า “พ่อนายทำงานอะไร?” หรือตอนที่เราต้องไปงานโรงเรียนของลูก แล้วต้องเจอกับผู้ปกครองคนอื่นๆ อีก คงต้องคอยมานั่งปกปิดด้วยการบอกคนอื่นๆ ไปว่าเป็นนักแสดงหนัง โดยที่ไม่รู้ว่าความจริงจะถูกเปิดเผยออกมาเมื่อไหร่ ชายคนนี้เล่าให้ฟังอีกว่าแต่ละวันที่กลับถึงบ้าน เขายังต้องเจอกับภรรยาที่มักจะถามเขาว่า “ทำงานวันนี้เป็นยังไงบ้าง?” ซึ่งจะให้เขาตอบไปตรงๆ ว่า… วันนี้เขาได้ถ่ายคนสองคนกำลังมีอะไรกันอยู่บนรถแท็กซี่สีดำ ขณะที่มีจุดซ่อนเร้นของนักแสดงชาย อยู่ห่างจากหน้าเขาไปไม่กี่เซนติเมตร จะให้ตอบไปอย่างนี้ มันก็คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอกว่ามั้ย ไม่ใช่เพียงแค่ในชีวิตประจำวัน ระหว่างการทำงานเองก็มีบางอย่าง ที่ทำให้เขาต้องกุมขมับออยู่เหมือนกัน อย่างตอนที่นักแสดงชายจับกลุ่มคุยกัน เป็นช่วงที่ทุกคนพยายามสาวหรรมส์อันใหญ่ยักษ์ของตัวเอง เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ให้แข็งพร้อมใช้ถ่ายทำ เป็นการพูดคุยธรรมดาที่ดูไม่ธรรมดาเอาซะเลย …
-
9 รายละเอียดสำคัญสำหรับคุณผู้ชาย ส่วนเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้หญิง กำลังแอบมองอยู่นะจ๊ะ…
หนุ่มๆ ทั้งหลายอยากรู้หรือไม่ว่า ผู้หญิงเขามองผู้ชายกันที่ตรงไหน? คำถามนี้เป็นคำถามที่ผู้ชายหลายๆ คนอาจจะสงสัยและต้องการจะหาคำตอบ ว่ามันเป็นยังไงกันนะ ผู้หญิง เป็นเพศที่มักจะจดจำรายละเอียดต่างๆ มีความรอบคอบ และช่างสังเกตมากๆ แต่สิ่งที่พวกเธอแสดงออกมานั้นอาจจะดูเหมือนว่าเธอนั้นไม่ได้คิดอะไร… แต่ทว่าก็มีการแอบเก็บข้อมูลอยู่ลึกๆ อยู่นะ และสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้คือสิ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินผู้ชายจากครั้งแรกที่ได้เห็น ว่าคุณเป็นผู้ชายแบบไหน? 1. เสื้อผ้า กฏ 3 ข้อที่ผู้หญิงใช้ในการประเมินให้คะแนนการแต่งตัวของผู้ชายคือ ความสะอาด การแต่งตัวถูกกาลเทศะ และสุดท้าย ก็ต้องเรื่องรสนิยมล้วนๆ จะเบ้าหน้าดีหรือไม่นั้น แต่หากแต่งตัวดูดี สาวๆ ก็หันมามองได้นะ!! 2. ทรงผม ไม่ว่าจะผมยาว ผมสั้น ผมสีดำหรือผมหงอก ผู้หญิงก็มักจะสนใจเกี่ยวกับเรื่องความสะอาดมาเป็นอันดับ 1 หากเส้นผมสะอาดเรียบร้อย ดูเป็นทรง นั่นหมายความว่ามีการดูแลตัวเองเป็นอย่างดี 3. บุคลิกท่าทางการเดิน ผู้หญิงมองว่าผู้ชายที่เดินแบบมีความกระตือริอร้น และมีความมั่นใจในการเดิน จะช่วยเสริมบุคลิกภาพให้เขาดูเป็นเหมือนผู้นำและสามารถจัดการกับปัญหาได้ แตกต่างจากคนที่เดินแบบเซื่องซึม ก้มหน้ามองพื้นตลอดเวลา ทำให้ดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีความสุขในชีวิตเท่าไหร่ 4. หุ่น ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบผู้ชายที่มีหุ่นแบบสามเหลี่ยมคว่ำ คือช่วงไหล่กว้างแต่ช่วงท้องต้องฟิต…
-
7 เหตุผลรองรับทางวิทยาศาสตร์ ช่วยไขกระจ่างว่า ทำไมเราถึงควรดื่ม ‘กาแฟ’ ทุกๆ วัน
กาแฟ คือเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย ด้วยความขมที่เป็นลักษณะเฉพาะและยังมีคาเฟอีนที่ช่วยในเรื่องของความกระปรี้กระเปร่า ทำให้หลายๆ คนเลือกที่จะให้มันกลายเป็นเครื่องดื่มที่ต้องดื่มเป็นประจำในยามเช้า แต่สิ่งที่เราอาจไม่เคยรู้กันมาก่อนก็คือประโยชน์อื่นๆ ของกาแฟ ซึ่งกลายมาเป็นเหตุผลที่ว่า ‘ทำไมเราถึงควรจะดื่มกาแฟทุกวัน’ มันสามารถช่วยอะไรเราได้บ้าง มันจะดีต่อสุขภาพของเรามากขนาดไหน ลองไปดูพร้อมๆ กันเลยยย 1. กาแฟอุดมไปด้วยสารอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ ตามหลักชีวภาพแล้ว กาแฟคือสิ่งที่ดีต่อร่างกายเราในหลากหลายด้าน เพราะมันเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้กลายเป็นเครื่องดื่มอันดับหนึ่งของชาวอเมริกันที่สามารถช่วยในเรื่องนี้ได้ เอสเปรสโซหนึ่งแก้วจะมีโปรตีน 0.3 กรัม , โพแทสเซียม 116 มิลลิกรัม , วิตามินบี 0.2 มิลลิกรัม , วิตามินบี 5 0.6 มิลลิกรัม , แมงกานีส 0.1 มิลลิกรัม , แมกนีเซียม 7.1 มิลลิกรัม และไนอะซิน 0.5 มิลลิกรัม 2. ลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน จากผลการศึกษาหลายชิ้นชี้ชัดว่า กาแฟสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทได้เป็นอย่างดี ความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์จะลดลงได้มากถึง 65%…
-
เผื่อไว้นะ… เผยข้อมูล 12 ความจริงเกี่ยว “น้องจ้อน” ของคุณผู้ชาย ความไม่ลับแต่ยังไม่ทราบ
อวัยวะเพศชาย จ้อน จู๋ หรือองคชาติ และอีกหลายๆ คำเรียกนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องเกิดคำถามกันมานักต่อนัก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มันเป็นสิ่งสำคัญของผู้ชายอย่างยิ่งยวด นอกจากจะเป็นอวัยวะสำหรับใช้สืบพันธุ์แล้ว มันยังมีความสำคัญในด้านวัฒนธรรมอีกด้วย วันนี้เรามาว่ากันด้วยเรื่องราวที่เฉพาะเจาะจงกับ “น้องจ้อน” ของผู้ชายกันดีกว่า เราจะได้ทำความรู้จักและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันเลยกับ 12 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับองคชาติที่คุณอาจไม่เคยรู้ 1. องคชาติมีหน้าที่หลัก 2 ประการ Michael Reitano แพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทางเพศบอกไว้ว่า องคชาตินั้นมีหน้าที่หลักอยู่ 2 ประการด้วยกันคือ ประการแรก มีไว้ถ่ายของเสียในรูปแบบของปัสสาวะ ประการที่สอง ก็คือ เป็นท่อลำเลียงน้ำเชื้ออสุจิจากอัณฑะออกนอกร่างกาย เพื่อใช้สำหรับสืบพันธุ์และความสุขทางเพศ 2. องคชาติพัฒนาขึ้นมาจากอวัยวะที่มีลักษณะคล้ายคลิตอริสในเพศหญิง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเริ่มต้นชีวิตด้วยเพศหญิงหรือเพศเมีย ก่อนที่จะมีกระบวนการผสมโครโมโซม ฉะนั้น อวัยวะเพศชายจึงไม่แปลกที่จะพัฒนาขึ้นมาด้วยโครงสร้างเดียวกับคลิตอริส เมื่อสิ้นสุดกระบวนการผสมโครโมโซม โครโมโซม XX ก็จะทำให้เกิดเป็นเพศหญิงที่มีคลิตอริสและช่องคลอด ขณะที่โครโมโซม XY ก็จะพัฒนาขึ้นมาเป็นองคชาติและอัณฑะ 3. องคชาติประกอบด้วยท่อ 3 ท่อ…
-
8 วิธีการใช้ชีวิตและพัฒนาทักษะในช่วงว่างงาน สำหรับคนที่เพิ่งเรียนจบหมาดๆ
ในแต่ละปีนั้นก็มีนักศึกษาที่ได้จบการศึกษามากมายและเริ่มเข้าสู่การใช้ชีวิตจริงๆ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่จบการศึกษามาแล้วยังว่างงาน หางานทำไม่ได้ ซึ่งในระหว่างที่หางานอยู่นั้นก็คงจะปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้ ในระหว่างนี้จึงมี 8 วิธีที่จะช่วยไม่ให้เวลานั้นสูญเปล่าหลังจากที่เรียนจบและกำลังหางานทำ ที่จะช่วยให้คุณหางานง่ายขึ้นและยังพัฒนาทักษะอีกด้วย 1. สร้างและรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ การหาเพื่อนหลังจากที่เรียนจบแล้วนั้นเป็นเรื่องที่ยาก แต่เมื่อหาได้แล้วมักจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับชีวิตของเราขึ้นมาได้เลย ดังนั้นจึงต้องคอยหาเพื่อนใหม่แม้ว่าจะมัวยุ่งกับการทำงาน และอย่าลืมรักษาความสัมพันธ์เก่าๆ ที่เคยมีด้วยล่ะ 2. รู้วิธีที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียนมา ไม่ใช่ทุกคนที่จะจบจากคณะหรือมหาวิทยาลัยที่ดีๆ แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง ในขณะที่เราหางานนั้นถึงแม้ว่าไม่ได้จบจากที่ดีๆ มา แต่สิ่งที่เรียนมานั้นอาจเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีประโยชน์สำหรับการงานในอนาคตก็เป็นได้ 3. พยายามทำอาหารกินเอง แม้ว่าการใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัยจะไม่ค่อยได้มีการทำอาหารเองบ่อยเท่าไหร่นัก แถมยังมีอุปกรณ์จำกัดอีกด้วย เมื่อเรียนจบแล้วทักษะการทำอาหารจึงเป็นทักษะสำคัญที่ต้องเรียนรู้เลยทีเดียว ซึ่งในปัจจุบันก็มีเมนูอาหารง่ายๆ มากมายที่ประหยัดและเป็นการฝึกทักษะไปอีกด้วย ที่สำคัญ การทำอาหารกินเองจะทำให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ 4. หาที่อยู่ที่ดีที่สุด หลังจากที่เรียนจบ คุณจะมีอิสระจะไปไหนก็ได้ตามต้องการหรือคุณอาจจะย้ายกลับไปยังเมืองบ้านเกิดของคุณก็ได้ แต่ถ้าคุณกำลังคิดที่จะหาที่อยู่ใหม่ก็ต้องเลือกดีๆ และอย่าลืมดูค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายด้วย 5. จัดระเบียบการใช้เงิน เมื่อเรียนจบแล้วการที่ยังขอเงินพ่อแม่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ ถ้ายังต้องได้รับการสนับสนุนเงินจากทางบ้าน ก็ควรจะใช้อย่างประหยัดที่สุด ดังนั้นเราจึงต้องจัดระเบียบการใช้เงิน ติดตามรายรับรายจ่ายอย่างต่อเนื่อง และควรมีเงินเก็บตั้งแต่เนิ่นๆ 6. พัฒนาทักษะอื่นๆ หากมีทักษะที่หลากหลายก็จะมีโอกาสที่จะได้งานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทักษะการใช้งานคอมพิวเตอร์…
-
18 สิ่งของที่เราใช้ในชีวิตประจำวันไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวว่ามันมีวันหมดอายุเหมือนกันนะ
พวกเรามักจะมีของใช้ที่อยู่ในบ้านที่เราเก็บไว้เป็นสิบๆ ปี ซึ่งของบางอย่างนั้นอาจจะดูว่ามันมีอายุที่ไม่จำกัด แต่จริงๆ แล้วของทุกอย่างย่อมมีวันหมดอายุของมัน ของบางอย่างเมื่อหมดอายุแล้วอาจจะทำให้มันไม่มีประโยชน์ แต่บางชนิดอาจทำให้เกิดอันตรายได้เลย นี่คือ 18 ตัวอย่างข้าวของทั่วไปในบ้านที่พวกเรามักจะเก็บไว้หรือใช้ต่อเป็นเวลานาน แต่จริงๆ แล้วมันมีวันหมดอายุการใช้งานนะ 1. ยาล้างแผล ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ 2 เดือน ยาล้างแผลนั้นมีอายุการใช้งานเพียงแค่ 2 เดือนหลังจากที่เปิดใช้งาน แม้ว่าตัวเลขวันหมดอายุที่พิมพ์ข้างฉลากจะบอกว่ามันยังไม่หมดอายุก็ตาม 2. เครื่องเทศ 2 ปี ข่าวร้ายสำหรับนักสะสมเครื่องเทศหายาก เพราะคุณต้องเปลี่ยนใหม่ทุก 2 ปีเนื่องจากเครื่องเทศจะเริ่มสูญเสียรสชาติและคุณสมบัติของมันไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา 3. รองเท้ากีฬา 6 เดือน หรือ 400 กิโลเมตร เมื่อสวมใส่รองเท้ากีฬาไปนานๆ ระบบรองรับแรงกระแทกและพื้นรองเท้าจะเริ่มเสื่อมลงเรื่อยๆ จึงต้องเปลี่ยนทุกๆ 6 เดือนหรือทุกๆ 400 กิโลเมตร 4. ถุงชา 6 เดือน ถึงแม้ว่าจะเก็บอย่างมิดชิด ถุงชาจะไม่สามารถนำมาใช้ได้หลังจาก 6 เดือน เนื่องจากใบชาจะไม่ละลายน้ำ…
-
คนที่ไว้ใจ…ร้ายที่สุด!! รวมวิธีรับมือเมื่อคุณถูกหักหลังจาก ‘เพื่อนสนิท’
แน่นอนว่า เมื่อเรามีเพื่อนที่เราสนิทและไว้วางใจ เราย่อมซื่อสัตย์ต่อกันและช่วยเหลือกันเมื่อมีโอกาส แต่บางครั้ง เพื่อนของเราอาจจะไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาอาจจะมองแค่ประโยชน์ส่วนตนที่อาจจูงใจให้เขาทำพฤติกรรม “หักหลัง” เราก็เป็นได้ โดยเฉพาะเรื่องความรักความใคร่ เรื่องของตัณหานั้นไม่เข้าใครออกใคร สำหรับผู้ที่จิตใจอ่อนแอและควบคุมกามารมณ์ของตนไม่ได้ ก็อาจตอบสนองอารมณ์ตัวเองโดยใช้ “สามี/ภรรยาของเพื่อน” เป็นต้น Diane Barth นักจิตวิทยาบำบัด นักจิตวิเคราะห์ และนักเขียน ผู้ซึ่งมีความสนใจเรื่องเกี่ยวกับการที่ผู้หญิงถูกเพื่อนหักหลัง และเธอก็กำลังเขียนหนังสือเรื่อง I Know How You Feel: The Joy and Heartbreak of Friendship in Women’s Lives Barth จึงได้ทำการสัมภาษณ์ผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวการถูกเพื่อนหักหลัง พร้อมกับขอคำปรึกษาจากนักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน จึงสรุปได้ออกมาเป็น 6 คำแนะนำจากนักจิตวิทยา เกี่ยวกับวิธีการรับมือเมื่อถูกเพื่อนหักหลัง จะมีอะไรนั้น ไปรับชมพร้อมกันเลย 1. ทำให้สถานการณ์ชัดเจน เมื่อการหักหลังเกิดขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคนทำหรือคนที่ถูกกระทำ กรุณาอย่าใจร้อน และอย่าคิดไปเอง ความเจ็บปวดนั้นชั่วคราว แต่ผลลัพธ์ต่อจากนั้นอาจอยู่ตลอดกาล สิ่งที่เราตีความได้จากสถานการณ์จะส่งผลต่อความเจ็บปวดของเรา ทำให้แน่ใจว่า…
-
8 สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังมีสุขภาพที่ดี ถึงแม้ว่าคุณจะไม่คิดแบบเดียวกันก็ตาม
“สุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องทำเอง” ประโยคนี้ยังคงเป็นความจริงเสมอมา เพราะถึงเราจะมีเงินจำนวนมากมายมหาศาลแต่ถ้าเราไม่รู้จักออกกำลังกายหรือคุมอาหาร ร่างกายเราก็ไม่มีทางที่จะมีสุขภาพดีได้ ซึ่งก็คงมีคำถามว่าทำยังไงถึงจะสุขภาพดีล่ะ หลายๆ คนคงคิดว่าอกกำลังกายมากๆ คุมอาหารให้เคร่งครัดนั่นก็เพียงพอต่อสุขภาพดีแล้ว แต่การทำอะไรที่มากเกินไปมันก็มีผลเสียเหมือนกันและบางสัญญาณที่คุณไม่คาดคิดว่าจะสุขภาพดีกลับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงสุขภาพดี และนี่ก็คือ 8 สัญญาณที่บ่งบอกถึงสุขภาพที่ดี ถึงแม้ว่าคุณจะไม่คาดว่ามันจะดีก็เถอะ ไปชมกันเลยครับ 1. คุณจะกินแค่เวลาที่คุณหิวและจะไม่กินมากเกินไป หากคุณมีอาการกินอาหารมากกว่าที่ตั้งใจไว้และไม่เคยรู้สึกพอเมื่อกินอาหารเสร็จหรือกินอาหารเพื่อแก้เบื่อ นั่นแสดงว่าคุณกำลังมีอาการที่เสพติดอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีคุณจะต้องพยายามปรับพฤติกรรมการกินของตัวเองให้ได้ 2. อาหารที่คุณกินเป็นอาหารที่ดี เวลานึกถึงอาหารเพื่อสุขภาพ หลายๆ คนมักจะนึกถึงแต่อกไก่กับข้าวสวย แต่ในทางกลับกันคุณควรจะกินอาหารให้ที่สุขภาพดีให้หลากหลายกว่านี้ และการงดของหวานมากเกินไปจะเป็นผลเสียต่อคุณด้วย 3. คุณจะกินให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ มนุษย์แต่ละคนย่อมมีความอยากอาหารไม่เหมือนกันและมันก็ไม่มีสูตรตายตัวในการคำนวณแคลอรี่ที่คุณสมควรรับในแต่ละวัน คุณอาจจะสามารถกินได้น้อยหรืออาจจะมากกว่าคนทั่วไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณต้องฟังว่าร่างกายคุณต้องการอะไร และต้องการขนาดไหน 4. คุณสามารถขึ้นบันไดแล้วไม่หอบได้ นี่เป็นตัววัดว่าร่างกายของคุณมีสุขภาพดี คุณไม่ต้องมีความแข็งแกร่งที่สุดยอดหรือต้องออกกำลังกายบ่อยๆ ก็สามารถสุขภาพดีได้ และหากคุณไม่รู้สึกว่าจะตายเวลาที่ขึ้นบันไดล่ะก็นั่นแสดงว่าคุณมีสุขภาพที่โอเค 5. คุณมีอารมณ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่โศกเศร้าไปถึงตื่นเต้นดีใจ นี่ไม่ใช่อาการไบโพลาร์แต่อย่างใด นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาแล้ว่วา “โกรธเป็นบางช่วงถือว่าปกติ มีความเศร้าก็ปกติ รู้สึกรำคาญก็ปกติและรู้สึกหดหู่ก็เป็นเรื่องปกติ อารมณ์เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงสุขภาพจิตที่ดีและคุณควรจะตระหนักได้แล้วว่าไม่มีอารมณ์ใดๆ หรอกที่มันคงที่ตลอดเวลา” …
-
ในปี 2017 มีมหาเศรษฐีชาวจีนเกิดขึ้นมากว่า 210 คน ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีเพียงแค่ 19 คนเท่านั้น
เว็บไซต์ Hurun Global Rich List 2018 ได้รายงานว่า ปี 2017 ที่ผ่านมานั้นโลกของเราได้มีเศรษฐีระดับพันล้านเกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมากถึง 437 คน ซึ่งนั่นถือเป็นตัวเลขที่เยอะมากๆ เลยทีเดียว แต่ที่น่าตกใจกว่าคือจากจำนวน 437 คนนั้น 210 คนเป็นเศรษฐีชาวจีนจีน และประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกากลับมีเศรษฐีเพิ่มขึ้นแค่ 19 คนเท่านั้น!? จากรายงานนั้นปัจจุบันมีจำนวนมหาเศรษฐีบนโลกทั้งหมด 2,694 ซึ่ง 819 คนหรือคิดเป็นจำนวน 30% นั้นเป็นชาวจีน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกคนอยู่ในจีนหรอกนะ เศรษฐีขวัญใจใครหลายคนพี่แจ็กหม่า เห็นแบบนี้เขาไม่ได้รวยอันดับ 1 ของจีนหรอกนะ เพราะจากรายงานพบว่า ปักกิ่งเป็นเมืองที่มีมหาเศรษฐีเยอะที่สุดในประเทศจีน โดยมีจำนวนอยู่ที่ 131 คน และเป็นเมืองที่มีมหาเศรษฐีเยอะที่สุดในโลก ส่วนอันดับรองลงมานั่นก็คือนครนิวยอร์ก ตามด้วยฮ่องกง เซินเจิ้น และเซี่ยงไฮ้ตามลำดับ แม้ในปี 2017 จะมีคนรวยเพิ่มขึ้นมาเยอะขนาดไหน แต่คนที่รวยที่สุดในเอเชียก็ยังคงเป็น Pony Ma เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ Tencent ที่ตอนนี้เขามีทรัพย์สินรวมกันได้มากถึง 47,000,000,000…
-
5 สิ่งที่เกิดขึ้นหากสาวๆ มี ‘เซ็กส์’ ไม่บ่อยหรืองดไปเลย มันส่งผลต่อร่างกายนะรู้มั้ย!?
ว่ากันด้วยเรื่องทางเพศบ้างดีกว่า ไม่รู้ว่าใครในที่นี้ เคยหรือไม่เคยมีเซ็กส์ หรือถ้าหากว่าเคย ก็ไม่รู้ว่ามีเซ็กส์บ่อยครั้งเพียงใด แต่ไม่ว่าคุณจะมีประสบการณ์ทางเพศกันอย่างไร เมื่ออ่านบทความนี้แล้ว คุณจะมีความเข้าใจเรื่องของกิจกรรมทางเพศมากขึ้น และอาจจะทำให้คุณเปิดรับมันมากขึ้นด้วย ผู้เชี่ยวชาญได้มีการศึกษาออกมาแล้วว่า การที่คนเรา “ไม่มีเซ็กส์ หรือมีเซ็กส์แบบนานๆ ครั้ง” นั้นมันจะส่งผลต่อร่างกายคนเราอย่างไรบ้าง เอาล่ะ ถ้าอยากรู้แล้วก็ไปดูพร้อมๆ กันเลย… 1. คุณจะสูญเสียความใคร่ (ความต้องการทางเพศ) เมื่ออารมณ์ทำให้แรงขับทางเพศเกิดขึ้น มันจะกลายเป็นว่า คุณต้องเลือกระหว่าง “ใช้มันซะ” หรือว่า “ปล่อยให้มันสูญสลายไป” นั่นเอง Sari Cooper นักบำบัดทางเพศ กล่าวว่า “คนที่ละเว้นจากการมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลานานจะรู้สึกเฉยชา และสูญเสียความสามารถและความต้องการทางเพศไป” แต่เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน บางคนอาจหาวิธีรับมือได้ ด้วยการคิดค้นวิธีทำให้เซ็กส์ของเขามีความน่าพึงพอใจมากขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้มีกิจกรรมทางเพศมานานแล้วก็ตาม 2. ผนังช่องคลอดบอบบางลง ส่วนมากจะเป็นกับหญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน Sari อธิบายว่า “หากไม่มีกิจกรรมทางเพศเป็นเวลานาน ขณะที่อายุคุณเริ่มมากขึ้น ผนังในช่องคลอดของคุณจะบางลง และจะนำไปสู่ความเจ็บปวดในการร่วมเพศครั้งต่อไป สุดท้ายคุณก็จะไม่ได้มีเพศสัมพันธ์อีกเลย” ทั้งนี้ สมาคมหญิงวัยหมดประจำเดือนของอเมริกาเหนือ ก็ได้แนะนำถึงวิธีการป้องกัน นั่นก็คือการใช้อวัยวะของตนหรือสิ่งของที่ปลอดภัยสอดแทรกเข้าไปในช่องคลอด (ช่วยตัวเอง)…
-
10 สิ่งที่ห้ามทิ้งลงท่อ เพราะว่าถ้าทิ้งลงไปแล้วอาจทำให้ท่อตัน ตัน ตัน ตัน
เคยมีกันไหมปัญหาแบบนี้ ท่อตันได้ตันดี ตันอยู่ทุกวัน แถมบางวันยังมีน้ำไหลย้อนกลับขึ้นมาให้เราทัศนากันเล่นๆ อีก ให้ตายเถอะแค่มองก็จะวิงเวียนแล้ว จะทำยังไงกับชีวิตดี โดยทั่วไปแล้ว สาเหตุของปัญหาท่อตันมาจากการที่มีเศษขยะเศษอาหารเข้าไปอุดตันในท่อ จนทำให้น้ำไม่สามารถไหลได้เป็นปกติ แล้ววิธีการป้องกันปัญหานี้ล่ะต้องทำยังไง เลิกทิ้งขยะลงท่อเหรอ? แน่นอนว่าคำตอบต้องไม่ง่ายแบบนั้น เพราะถ้าเราไม่สามารถทิ้งอะไรลงท่อได้เลย ชีวิตเราคงยากขึ้นไปอีกหลายเท่า วันนี้เราเลยจะพาเพื่อนๆ ไปดูว่า 10 สิ่งของที่ควรระวัง อย่าให้ไหลลงไปในท่ออย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นชีวิตของท่านจะวุ่นวายขึ้นเยอะ ข้าวและพาสต้า ข้าวและพาสต้านั้นเป็นของที่มักจะหลุดลงไปในอ่างล้างจานกันอยู่บ่อยๆ และเจ้าสองสิ่งนี้ก็เป็นตัวการหลักๆ ของการที่ท่อตันเลยล่ะ เพราะทั้งสองอย่างนั้นพองตัวขึ้นเมื่อแช่อยู่ในน้ำนานๆ นั่นเอง เปลือกไข่ หลายๆ คนอาจจะเชื่อว่าถ้าเราทำให้เปลือกไข่มันละเอียดๆ มันก็คงไม่ทำท่อตันหรอกมั้ง แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะเปลือกไข่เล็กๆ เหล่านั้นสามารถติดกันเองเป็นก้อนได้ และสุดท้ายก็กองรวมกันจนทำให้ท่อตันได้ในที่สุด แป้ง แป้ง โดยเฉพาะแป้งสำหรับทำอาหารนั้นสามารถผสมกับน้ำจนกลายเป็นก้อนเหนียวๆ ที่ติดอยู่ในท่อได้ นึกถึงแป้งขนมปังเวลานวดไว้ อะไรแบบนั้นเลย ยา หลายๆ คนนั้นอาจจะคิดว่ายามันละลายน้ำได้ ทิ้งลงท่อคงไม่เป็นไรหรอก แต่ความเป็นจริงแล้วยามันไม่ได้ละลายเร็วขนาดนั้นหรอกนะ ยาบางตัวไม่ละลายเลยด้วยซ้ำ แถมยังทำให้น้ำปนเปื้อนตัวยาอีกต่างหาก แถมแม้แต่ระบบกรองน้ำของต่างประเทศยังไม่สามารถกรองเอาตัวยาออกจากน้ำได้หมดด้วยซ้ำ ของบ้านเรานั้นไม่ต้องพูดถึง เส้นผม…
-
สาวๆ โปรดระวัง 10 สัญญาณอันตราย ที่บ่งบอกว่าแฟนหนุ่มกำลังจะ “หมดรัก” คุณแล้ว
เมื่อเวลาเปลี่ยนไปคนเราก็เปลี่ยนไปด้วย มันเป็นสัจธรรมของโลกอย่างหนึ่งที่เราไม่สามารถปฎิเสธได้ เพียงแค่จะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใดเท่านั้น คู่รักเองเมื่อคบไปนานๆ นิสัยของเราและอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปเช่นกัน นิสัยเปลี่ยนไปนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ที่เรารู้ได้ยากก็คือความรักที่เขามีต่อเรานั้นเปลี่ยนไปด้วยหรือเปล่านี่สิ บางครั้งเราก็สงสัยเรื่องนี้แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสังเกตอย่างไร วันนี้เราก็เลยลองรวบรวมข้อสังเกต 10 ประการที่อาจแปลว่าแฟนของคุณหมดรักคุณไปแล้วมาให้ทราบกัน 1. เริ่มวิจารณ์รูปร่างของคุณ Omar Khayyam นักคณิตศาตร์และผู้ประพันธ์กวีเคยกล่าวไว้ว่า “หากเขารักคุณจริง เขาจะชอบทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ แม้ว่าจะเป็นข้อเสียของคุณก็ตาม” เป็นความจริงหนึ่งที่ใช้ได้กับคู่รักทุกคู่ ถ้าหากคู่รักเริ่มติรูปร่างของคุณบ่อยขึ้นผิดปกติล่ะก็ เขาอาจจะไม่ได้ไม่ชอบรูปร่างของคุณ แต่ลึกๆ แล้วเขาอาจจะไม่ชอบตัวคุณเองก็ได้ บ่อยครั้งที่หลังจากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แม้ว่าเราจะไปลดน้ำหนักมาแต่เขาก็จะหาข้อเสียอย่างอื่นมาว่าเราอยู่ดี 2. เล่าข้อเสียของคุณให้เพื่อนฟัง แม้ว่าจะไม่มีใครในโลกนี้สมบูรณ์แบบไปเสียหมด แต่คนรักกันมักจะมองเห็นข้อดีของคู่รักมากกว่าข้อเสียเสมอ ดังนั้นหากเขาเพ่งความสนใจไปที่ข้อเสียของคุณ แล้วยังเอาไปพูดเล่นกับคนอื่นในที่สาธารณะอีก มันแสดงให้เห็นว่าเขาเริ่มไม่เคารพคุณ และอาจจะหมายถึงความรักที่ลดลงไปอีกด้วย 3. ตำหนินิสัยของคุณเป็นประจำ บ่อยครั้งที่แฟนมักจะบอกว่านิสัยเปิ่นๆ ของคู่รักนั้นช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน แต่ถ้าเกิดเมื่อไหร่เขาเริ่มมองพฤติกรรมเดิมๆ ของคุณที่เคยคิดว่าน่ารักกลายเป็นสิ่งน่ารำคาญในสายตาเขาแทน ก็จงระวังเรื่องความสัมพันธ์เอาไว้ให้ดี 4. ไม่ให้ความสนใจกับสิ่งที่คุณพูด เป็นปกติที่คนเราจะมีความสนใจไม่เหมือนกัน แม้ว่าบางครั้งเรื่องที่คุณพูดอยู่จะเป็นเรื่องที่เขาไม่สนใจเลย แต่ถ้าเขาแคร์คุณจริงๆ เขาก็จะตั้งใจฟังเพื่อให้คุณรู้สึกได้รับความสนใจ ทว่าหากเขาพยายามเปลี่ยนเรื่องสนทนาเป็นเรื่องของตัวเอง หรือบอกให้คุยเรื่องที่คุณสนใจกับคนที่มีรสนิยมแบบเดียวกัน อาจจะแปลว่าเขาไม่สนใจในเรื่องคุณอีกต่อไป 5. ไม่ปลอบประโลมเวลาคุณเศร้า…
-
เอาใจสาวกญี่ปุ่นกับ 14 อาชีพ ที่ชาวต่างชาติสามารถเข้าไปทำได้ในแดนปลาดิบ!!
ประเทศญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศอันดับต้นๆ ที่ผู้คนอยากไปเที่ยวมากที่สุด เนื่องจากเป็นประเทศที่สวยงาม ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ผู้คน และวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้ทำให้ประเทศญี่ปุ่นมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก จนทำให้ใครหลายคนใฝ่ฝันที่จะได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น การที่ชาวต่างชาติอย่างเราๆ จะสามารถเข้าไปใช้ชีวิตเสมือนหนึ่งในประชากรของประเทศญี่ปุ่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเสียทีเดียว เนื่องจากปัจจุบันภาวะขาดแคลนแรงงานที่มีความสามารถในญี่ปุ่น ทำให้ทางประเทศญี่ปุ่นจำเป็นต้องจ้างแรงงานต่างชาติเข้ามาช่วย ถึงแม้จะเป็นจำนวนที่ไม่มาก แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ต้องการจะไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่น วันนี้เราจึงมานำเสนอถึง 13 อาชีพสำหรับชาวต่างชาติ ที่ทางประเทศญี่ปุ่นต้องการมากที่สุด จะมีอาชีพอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย… 1. วิศวกร ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีการทำอุตสาหกรรมจำนวนมาก เช่น อุตสาหกรรมไฟฟ้าและยานยนต์ เป็นต้น ฉะนั้น ตำแหน่งวิศวกรจึงเป็นที่ต้องการจำนวนมาก หากใครที่เรียนด้านวิศวกรรมมาก็ถือว่ามีโอกาสค่อนข้างสูงในการที่จะได้เข้าไปทำงานในประเทศญี่ปุ่น 2. เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ประเทศญี่ปุ่นเองก็ขาดแรงงานที่มีทักษะความสามารถทางไอทีหรือเทคโนโลยีสารสนเทศ ฉะนั้น ผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางด้านนี้ก็มีโอกาสที่จะได้เข้าไปทำงานในประเทศญี่ปุ่นสูงด้วยเช่นกัน 3. เจ้าหน้าที่ธนาคารการลงทุน ในตลาดแรงงานของญี่ปุ่น ธนาคารการลงทุนนั้นถือเป็นสถาบันการเงินที่มีการหมุนเวียนแรงงานเข้า-ออกบ่อยครั้ง หมายความว่า มีการรับเข้าพนักงานทั้งในและนอกประเทศจำนวนมาก และบ่อยครั้ง ชนิดที่ว่า “ปีต่อปี” เลยทีเดียว ฉะนั้น ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับการเงินและการลงทุนเองก็มีโอกาสที่จะถูกรับเข้าทำงานจากธนาคารในญี่ปุ่น …
-
ไขข้อสงสัย ทำไมเจ้าเหมียวที่บ้านถึงชอบเขี่ยข้าวของให้ตกแตก โดยไม่มีสาเหตุ?
เหล่าทาสแมวทั้งหลายเคยสงสัยกันไหมล่ะว่า “เจ้านายตรูมันไปโมโหใครมาฟระ ทำไมชอบเขี่ยข้าวของหล่นแตกเต็มไปหมด” จริงๆ แล้วมันอาจไม่ได้ตั้งใจกวนโมโหเราก็ได้ บางทีมันก็อาจจะมีเหตุผลของมัน เหตุผลเดียวที่เป็นไปได้ที่เจ้าเหมียวนั้นทำตัวแปลกประหลาดก็คือมันกำลังเบื่อนั่นเอง แมวก็ต้องการสิ่งกระตุ้นเหมือนกับมนุษย์ แต่จะให้พวกมันไปนั่งดูทีวีหรือเล่นเกมก็คงไม่ใช่เรื่อง มันก็เลยต้องเขี่ยสิ่งของให้ร่วงเพื่อเรียกร้องความสนใจ การที่นั่งดูมนุษย์ทาสวิ่งอย่างตกใจมาดูของที่หล่นแตกก็คงเพลิดเพลินไม่เบา “แมวของคุณนั้นมักจะมีนิสัยที่ขี้สงสัย ซึ่งมันไม่ได้ตั้งใจที่จะกวนโมโหคุณหรอก” Jackson Galaxy จากรายการ My Cat From Hell กล่าว “มันขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณ ลองเปรียบเทียบกับเด็กน้อยที่คุณให้สีเทียนกับเขา แต่ไม่ได้ให้กระดาษไปด้วย เผลออีกทีห้องนอนก็กลายเป็นจิตรกรรมฝาผนังไปแล้ว” “นี่เรามีของเล่นสำหรับเจ้าเหมียวมากพอรึเปล่า? ถ้ามันยังคงเขี่ยถ้วยกาแฟของคุณให้ร่วงจากโต๊ะ นั่นก็หมายความว่าได้เวลาซื้อของเล่นใหม่แล้ว” เขากล่าว พฤติกรรมที่ชอบทำลายล้างข้าวของนั้นมาจากพฤติกรรมตั้งแต่บรรพบุรุษที่เรียกว่า การเล่นกับเหยื่อ เมื่อแมวของคุณเริ่มข่วนและเขี่ยข้าวของไปมา สำหรับมันแล้วก็คือการต่อสู้และหลอกล่อเหยื่อนั่นเอง “สัญชาตญาณของแมวนั้นบอกกับมันว่า ที่ทับกระดาษหรือแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นคือหนู เป็นเหยื่อให้มันได้ล่า การที่มันเขี่ยไปมานั้นทำให้มันรู้สึกสนุกสนาน” Dr. H. Ellen Whiteley สัตวแพทย์ผู้ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของแมวกล่าว จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้เป็นสัตว์เลี้ยงที่เลวร้ายอย่างที่เราคิด มันก็แค่เบื่อเท่านั้นเอง ที่มา Mentalfloss
-
7 เคล็ดลับแสนง่าย ที่ช่วยให้ดวงตาหย่อนคล้อยของคุณ กลับมาเด้งกระชับสวยงาม
สำหรับสาวๆ หรือหนุ่มๆ ที่ต้องการมีใบหน้าที่ดูดี “ดวงตา” ย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่อาจกำหนดความหล่อสวยของคุณได้เลยทีเดียว แต่เรื่องของอวัยวะหรือลักษณะทางกายภาพที่เราได้มาตั้งแต่กำเนิดนั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถเลือกได้หรอก แล้วถ้าดวงตาตั้งแต่กำเนิดเรามันไม่สวยล่ะ จะทำอย่างไรดี? ไม่ต้องกังวลไป เพราะถึงเราเลือกไม่ได้ว่าเราจะเกิดมามีปาก จมูก หรือดวงตาแบบไหน แต่เราก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ด้วยวิธีต่างๆ ซึ่งวันนี้เอง เราจะแนะนำเคล็ดลับทั้ง 7 ข้อ สำหรับผู้ที่มี “เปลือกตาหย่อนคล้อย” เพื่อทำให้เปลือกตาของคุณกระชับและดูสวยงามขึ้น เอาล่ะ ไปชมกันเลย… 1. ถุงชาคาโมไมล์ คาโมไมล์มีคุณสมบัติป้องกันการโป่งพอง ซึ่งสามารถช่วยลดการหย่อนของเปลือกตาได้ วิธีใช้ง่ายๆ ก็คือ เมื่อคุณต้มชาคาโมไมล์เสร็จแล้ว คุณก็ทำให้ถุงชาคาโมไมล์จำนวน 2 ถุงเย็นลงเสียก่อน จากนั้นก็นำมาวางบริเวณดวงตาประมาณ 15-20 นาที และยิ่งถ้านำถุงชาคาโมไมล์ไปแช่ตู้เย็นก่อนล่ะก็ ความเย็นยังทำให้คุณฟินอีกด้วย 2. ไข่ขาว ไข่ขาวจะช่วยให้ผิวของคุณกระชับและเต่งตึง ก่อนอื่นทำความสะอาดหนังตาและทำให้แห้งเสียก่อน แล้วทาไข่ขาวลงไปบางๆ และรอให้มันแห้ง จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น แล้วคุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ในทันที 3. น้ำแข็ง น้ำแข็งจะช่วยกระชับหลอดเลือดและช่วยลดความหย่อนคล้อยของหนังตา เพียงแค่คุณหยิบก้อนน้ำแข็งมาวางบนเปลือกตา…
-
19 เรื่องราวที่อาจจะทำให้คุณทึ่งไปถึงสันหลัง ไอ้ของแบบนี้มีอยู่จริงๆ ได้ยังไง เหลือเชื่อ
ชีวิตเรานั้นมีแต่เรื่องเหลือเชื่อ แต่ถึงอย่างนั้นความไม่น่าเชื่อที่ว่ากลับมีมากขึ้นๆ ทุกวัน ทับถมกองกันจมจนกลายเป็นโลกที่ไม่มีอะไรแน่นอนไป ถึงอย่างนั้นคนเรานั้นก็อยากจะรู้ในสิ่งที่ตัวเองสงสัยอยู่ดี ราวกับเป็นเจ้าแมวขี้สงสัยเลยไม่ผิด… ดังนั้นก็เข้ามากันเลย เจ้าแมวน้อยขี้สงสัยทั้งหลาย สู่เรื่องราวเหลือเชื่อที่อาจจะทำให้พวกเธอขนพองสยองเกล้า ไม่แน่นะว่าบางที เราอาจจะได้ความสงสัยที่ฆ่าแมวมาสักเรื่องสองเรื่องก็ได้ อุจจาระมนุษย์ซึ่งมีความยาวมากที่สุดที่เคยมีการวัดนั้น มีความยาวอยู่ที่ 26 ฟุต (ราวๆ 8 เมตร) อาหารกลางวันในคุกของสหรัฐอเมริกา มีคุณค่าทางอาหารมากกว่าอาหารกลางวันในโรงเรียนเสียอีก จากการศึกษา แสดงให้เห็นว่าการใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในสถานีรถไฟใต้ดินที่นิวยอร์กนั้น อาจทำให้หูหนวกตลอดชีวิตได้เลย Sonny Graham ได้รับการปลูกถ่ายหัวใจจาก Terry Cottle ผู้ที่ฆ่าตัวตายไปแล้ว เขาแต่งงานกับภรรยาของ Terry แถม 11 ปีต่อมา เขายังฆ่าตัวตายโดยการยิงปืนลูกซองกรอกปาก ในรูปแบบเดียวกับ Terry อีกด้วย ในปี 2012 มีผู้หญิงชาวนิวยอร์กคนหนึ่งถูกไล่ออกจากงานหลังจากที่บริจาคไตให้หัวหน้าของเธอ โดยทางบริษัทให้เหตุผลว่าเธอฟื้นตัวช้าเกินไป ดอกเตอร์ผู้ปล่อยงานวิจัยที่อ้างว่าออทิสติกกับฉีดวัคซีนมีความเกี่ยวข้องกัน ถูกยึดใบอนุญาตทางการแพทย์ ในข้อหาการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จในงานวิจัย ความรู้สึกเวลาที่คุณตกใจตื่นจากการตกจากที่สูงในฝันนั้น มาจากการที่สมองของคุณคิดว่าคุณกำลังจะตาย ผู้หญิงคนหนึ่งเกิดมาโดยมีนิ้วมือข้างขวาเพียง 3 นิ้ว…
-
สาระน่ารู้!! 3 วิธีง่ายๆ สุดเฉียบ ที่จะทำให้คุณเลิกนิสัยติดสมาร์ตโฟนตลอดเวลา
ในยุคปัจจุบันนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เอาเสียมากๆ หากต้องอยู่โดยไร้โทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ตโฟน แค่ไปกินข้าวด้วยกันกับเพื่อนนั้นจะต้องมีการอัปเดตโซเชียลเน็ตเวิร์กหรือถ่ายรูปลงอินสตาแกรม ถ้าเดินทางก็คงจะหลงหากไม่มี Google Map ถึงแม้คุณจะไม่รู้สึกว่าสมาร์ตโฟนที่คุณถืออยู่นั้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณซึมเศร้า คุณก็อาจจะรู้สึกตัวว่าเวลาในแต่ละวันนั้นหมดไปกับการนั่งจ้องหน้าจอสมาร์ตโฟน จากการสำรวจของศูนย์วิจัย Pew Research Center พบว่า 46 เปอร์เซ็นต์ของผู้ครอบครองสมาร์ตโฟนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้หากไม่มีโทรศัพท์ใช้ แต่ก็มีวิธีที่เราจะสามารถทำให้ตัวเองนั้นอยู่ห่างจากสมาร์ตโฟนได้โดยไม่ต้องรู้สึกว่าถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ซึ่งก็มี 3 วิธีง่ายๆ ที่ทำให้เราใช้สมาร์ตโฟนน้อยลงโดยไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดจากอาการลงแดง 1. ปิดระบบสั่น ยอมรับเถอะว่าคุณมักจะหยิบสมาร์ตโฟนของคุณขึ้นมาดูเพื่อเช็กว่ามีใครพยายามติดต่อคุณหรือว่ามีอะไรอัปเดตบนเฟซบุ๊กหรือไม่ จากโพลในปี 2015 พบว่าครึ่งหนึ่งของผู้ใช้สมาร์ตโฟนนั้นหยิบมือถือของพวกเขาขึ้นมาดูทุกชั่วโมงซึ่งการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ่อยๆ นั้นจะทำให้สมองของเรานั้นหลั่งสารโดปามีน ที่ทำให้เรามีความต้องการมากขึ้น ในการที่เราจะหยุดกระบวนการเหล่านั้น เราต้องปิดระบบแจ้งเตือนทั้งหมดที่คอยเบี่ยงเบนความสนใจของเรา ถึงแม้ว่าเราอาจจะพลาดข้อความที่สำคัญไปบ้าง แต่การทำแบบนี้จะช่วยลดอาการที่คิดไปเองว่าโทรศัพท์สั่นได้ 2. ไม่ต้องไปสนใจตัวเลขเปอร์เซ็นต์ของแบตเตอรี่ การเช็กโทรศัพท์ตลอดเวลานั้นจะทำให้เกิดความตึงเครียดได้ว่าคนที่เราส่งข้อความไปหาจะตอบกลับเราเมื่อไหร่ ยิ่งใช้เวลากับโทรศัพท์มากเท่าไร แบตเตอรี่ก็จะยิ่งหมดไวมากเท่านั้น และการที่แบตเตอรี่หมดไวนั้นจะทำให้เราเกิดความกังวลว่าแบตเตอรี่ที่เหลือนั้นจะพอให้อยู่รอดตลอดทั้งวันหรือไม่ การที่เห็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์นั้นจะทำให้เรารู้สึกตึงเครียดมากขึ้น วิธีแก้คือการเข้าไปปรับในตั้งค่าไม่ให้ตัวเลขเปอร์เซ็นต์นั้นแสดงบนหน้าจอให้เหลือแค่ไอคอนแบตเตอรี่ ทำให้เราไม่ยึดติดกับตัวเลขที่ค่อยๆ ลดลง 3. เปิดโหมด Grayscale ให้หน้าจอเป็นขาวดำ วิธีนี้เป็นวิธีที่แนะนำโดย Tristan Harris อดีตนักจริยธรรมในการออกแบบของ…
-
มีเรื่องแบบนี้อยู่จริงๆ เหรอ 13 ความจริงอันน่าอัศจรรย์ ที่อาจจะทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจนิดๆ
ความจริงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ตาย และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น (ทำเสียงเด็กแว่นที่ไปที่ไหนก็มีคนตาย) ดังนั้น ในบางครั้งคนเราจึงเลือกที่จะฝังความจริงเอาไว้ หรือเลือกที่จะหวาดกลัวไปกับสิ่งที่ตนได้ยิน แต่แบบนั้นจะดีแล้วเหรอ ยังมีคนอีกหลายคนบนโลกใบนี้ที่ถามแบบนั้น เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม การที่ปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรเลยนั้น มันอาจจะเลวร้ายกว่าการรับรู้ความจริงที่ไม่น่าสบายใจเสียอีก บทความนี้เหมาะสมกับคนประเภทนี้ อีกอย่าง… เชื่อว่าคนที่เข้ามาอ่านถึงที่นี่ได้แล้ว คงจะไม่มีใครคิดจะถอยกลับกันตอนนี้หรอก ว่าแล้วเราก็ไปดูกันดีกว่า กับความจริงอันน่าอัศจรรย์ ที่อาจจะทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ เวลาที่คุณมองขึ้นไปบนฟ้า คุณไม่ได้กำลังมองขึ้นไปหรอก มันก็แค่แรงโน้มถ่วงของโลกเท่านั้นที่ยังดึงคุณเอาไว้บนโลกใบนี้ หากวันหนึ่งแรงที่ว่านี้หายไป คุณก็จะถูกเหวี่ยงหลุดออกไปนอกโลกใบนี้ทันที แล้วขอเตือนไว้ก่อนนะ ว่าในอวกาศ ไม่มีคำว่าข้างบนหรือข้างล่างหรอก ถ้าหากว่าคุณนอนโดยเฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมง เมื่อคุณอายุ 99 ปี คุณจะเสียเวลา 33 ปีในการนอน นับเป็น 1 ใน 3 ของชีวิตทั้งหมดที่คุณมีเลย นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานกับแมลงสาบมักจะเกิดโรคภูมิแพ้ต่อแมลงสาบ … และในเวลาเดียวกันก็มีอาการแพ้กาแฟบดหรือช็อคโกแลต มันมีจุดร่วมอะไรระหว่างแมลงสาบกับกาแฟบดหรือช็อกโกแลตงั้นเหรอ? อาจจะเพราะสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของต่างประเทศนั้นอนุญาตให้มีการปนเศษแมลงได้ไม่เกิน 60 หน่วยต่อช็อคโกแลต 100 กรัมก็เป็นได้ (ประมาณว่าถ้าผลิตในประมาณมากๆ แมลงสาบดันไต่ลงไปสักตัวก็ไม่เป็นไรอ่ะนะ) โครงกระดูกของคุณจริงๆ…
-
10 วิธีแก้ปัญหาอาการ ‘เท้าเหม็น’ ช่วยให้คุณสามารถเดินเข้าบ้านใครๆ ได้อย่างไม่ต้องกังวล
อาการเท้าเหม็น คือเรื่องกวนใจของใครหลายๆ คน จนทำให้เราไม่กล้าที่จะถอดรองเท้าเวลาต้องอยู่ในที่สาธารณะ หรือตอนไปเยี่ยมบ้านเพื่อน หนักๆ เข้าก็อาจจะมีกลิ่นโชยออกมาแม้ว่าจะใส่รองเท้าอยู่ก็ตาม แต่วันนี้ #เหมียวตะปู ขอนำเสนอวิธีการที่จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวให้กับทุกคนได้ เพื่อนๆ ลองไปทำตามคำแนะนำเหล่านี้ด้วยกันเลยยย 1. แช่น้ำเกลือ วิธีการนี้จะช่วยกำจัดแบคทีเรียที่อยู่ตามผิวหนังและใต้เล็บเท้าของคุณ ซึ่งเป็นตัวการหลักที่ทำให้มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ เกลือจะช่วยให้ผิวหนังของคุณขับความชุ่มชื้นออกมากำจัดแบคทีเรียเหล่านั้นให้หมดไป ส่วนผสมที่จำเป็นของน้ำเกลือคือ น้ำส้มสายชู 1 ส่วน น้ำ 2 ส่วน เกลือ 1 ถ้วย แล้วจึงเอาเท้าแช่ไว้สักระยะหนึ่ง ทำอย่างนี้ประมาณสองสัปดาห์ตอนก่อนนอน รับรองว่าเห็นผล ทางที่ดีอย่าลืมใช้ไม้จิ้มฟันแคะเอาเศษอะไรต่างๆ ที่ติดอยู่ใต้เล็บออกมาด้วยนะ 2. การเลือกถุงเท้า เนื้อผ้าหลายๆ ประเภทของถุงเท้ามักจะทำให้เท้าของคุณเหงื่อออกได้ง่ายๆ จึงขอแนะนำให้ลองเปลี่ยนมาใช้ถุงเท้าที่ทำมาจากผ้าฝ้าย เพราะมันระบายอากาศได้ดี ลดเรื่องกลิ่นและอาการเหงื่อออก แต่ที่สำคัญคืออย่าเอาถุงเท้าไปกองรวมกันไว้ เพราะแต่ละคู่นั้นได้เก็บความชื้นจากเท้าของคุณไปเป็นจำนวนมากซึ่งอาจกระจายและสะสมกันไปได้ 3. โรยแป้งใส่รองเท้า ปัจจุบันจะมีแป้งที่ทำออกมาไว้สำหรับโรยใส่รองเท้า ดับกลิ่นโดยเฉพาะ หรือเพื่อนๆ อาจใช้แป้งเด็กทั่วไปก็ได้ โรยเข้าไปในรองเท้าเล็กน้อยๆ ไม่ต้องเยอะ เพียงเท่านั้นมันก็จะช่วยดูดซับความชื้นภายในรองเท้า ต้นเหตุที่ทำให้มีกลิ่นเหม็นออกมา …
-
14 การกดจุดที่จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยในชีวิตประจำวันของคุณได้ง่ายๆ
การกดจุด คือหนึ่งในวิธีการรักษาซึ่งเชื่อว่าถือกำเนิดขึ้นในประเทศจีน และถูกสืบทอดต่อๆ กันมาอย่างยาวนาน จนเริ่มมีความแพร่หลายมากยิ่งขึ้นเหมือนที่เราสามารถสังเกตเห็นได้ในปัจจุบัน วันนี้เราจึงมาพูดถึงวิธีการกดจุดง่ายๆ ต้องกดตรงไหนยังไง และมันจะดีต่อชีวิตประจำวันของเพื่อนๆ ยังไง เราไปดูกันเลยยย 1. จุดที่เรียกว่า The Three Miles Point มันจะอยู่ตรงบริเวณด้านล่างของกระดูกหัวเข่าประมาณ 3.8 เซนติเมตร (ตามในภาพ) การกดลงไปบริเวณนี้จะช่วยเรื่องการทำงานของระบบย่อยอาหาร รวมถึงอาการปวดท้อง คลื่นไส้ และวิงเวียนศีรษะ วิธีการคือให้เพื่อนๆ นั่งงอขาเอาไว้ กดลงไปตรงจุดนี้ด้วยน้ำหนักที่พอดีมือประมาณ 1 นาที 2. บริเวณตาที่สาม มันคือบริเวณกึ่งกลางของคิ้วทั้งสองข้าง ตรงจุดนี้จะช่วยเรื่องของอาการปวดหัว ความกดดัน ความเมื่อยล้าเรื้อรัง และความเครียดได้ วิธีการคือกดลงไปเบาๆ ค้างไว้ประมาณ 1 นาที 3. จุดที่เรียกว่า The Pericardium Point มันคือจุดที่อยู่บริเวณปลายแขน ห่างจากข้อมือขึ้นมาประมาณ 3 นิ้วมือ ตรงกลางระหว่างเส้นเอ็นทั้งสองเส้น มันจะช่วยปลดปล่อยอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน…
-
ไขข้อสงสัย แบตก็ยังไม่หมด ทำไมโทรศัพท์ถึงดับได้กันนะ? งงจังเลย
หลายคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือกันอยู่คงเคยสงสัยและตั้งคำถามเกี่ยวกับแบตเตอร์รี่โทรศัพท์ของตัวเองว่า ทำไมโทรศัพท์มือถือของตัวเองถึงดับ? ทั้งๆ ที่แบตเตอร์รี่ยังเหลืออยู่ ไม่ถึง 0 เปอร์เซ็นต์เลยด้วยซ้ำ ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอนั้นเชื่อถือไม่ได้เลยหรือ? ความจริงแล้วตัวเลขที่อยู่บนมุมขวาของหน้าจอนั้นไม่ใช่อะไรเลยนอกจากการคาดการณ์ ถึงแม้ว่าตัวเลข 47 นั้นจะดูเฉพาะเจาะจง วิธีเดียวที่จะรู้ได้อย่างแม่นยำคือการสร้างเซ็นเซอร์ในแบตเตอร์รี่ลิเทียมไอออนในโทรศัพท์มือถือ แต่ทางโรงงานที่ผลิตโทรศัพท์มือถือนั้นไม่ได้ผลิตมาด้วย ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือได้ใช้วิธีอัลกอริทึมแทน เพื่อคำนวณว่าพื้นที่ของแบตเตอร์รี่ถูกใช้ไปเท่าไหร่โดยวัดจากความต่างศักย์ไฟฟ้าที่ปล่อยออกมา เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือการเจาะรูถังที่ใส่น้ำเต็มๆ และสังเกตว่าน้ำที่รั่วออกมานั้นไหลเร็วแค่ไหน ระบบอัลกอริทึมนั้นทำงานค่อนข้างดีตลอดเวลา แต่ว่าระบบคาดการณ์ของมันนั้นไม่ใช่ระบบที่สมบูรณ์แบบตลอดการใช้งานเสมอไป ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการใช้งานของแบตเตอร์รี่ เช่นประเภทหรือปริมาณการใช้งาน และการคาดการณ์จะเริ่มมั่วมากขึ้นหากโทรศัพท์มือถือของคุณเริ่มมีอายุการใช้งานที่มาก เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ จะเกิดผลึกคริสตัลในแบตเตอร์รี่ ทำให้ปริมาณของมันลดน้อยลงและทำให้การคาดการณ์ยากขึ้น การที่จะรักษาโทรศัพท์มือถือของคุณไม่ให้มันกลายเป็นที่ทับกระดาษไร้ค่าก็คือการที่ไม่ปล่อยให้แบตเตอร์รี่ของคุณหมดจนเครื่องดับ การพกแบตเตอร์รี่สำรองเพื่อชาร์จเป็นประจำจะทำให้อายุการใช้งานนั้นยืนยาวมากขึ้น นอกจากนั้นการเปิดโหมดพลังงานต่ำก็จะช่วยประหยัดพลังงานมากขึ้น และการใช้งานเฟซบุ๊กผ่านแอปพลิเคชันเว็บไซต์อย่าง Safari สามารถช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าการใช่งานผ่านแอปพลิเคชันของเฟซบุ๊กตรงๆ อีกด้วย และที่สำคัญคือการหลีกเลี่ยงการใช้งานอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือในอุณภูมิที่สูงหรือต่ำจนเกินไป พอรู้แบบนี้แล้วก็อย่าลืมหมั่นตรวจเช็กโทรศัพท์ของตัวเองด้วยล่ะ อย่าปล่อยให้แบตเตอร์รี่ต่ำจนเครื่องดับ ไม่งั้นอาจทำให้อายุการใช้งานลดลงได้ ที่มา Mentalfloss
-
ไขข้อสงสัย ที่มาของคำว่า ‘Meme’ ใครเป็นผู้คิดค้น ต้นตอมันมาจากไหนกันแน่นะ?
ในโลกอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า Meme ซึ่งหลายคนก็ยังคงสับสนว่าจริงๆ แล้วมันอ่านว่า มี-มี่ หรือว่า เม-เม่ กันแน่นะ? จริงๆ แล้วมันอ่านว่า มีม ต่างหากล่ะ ในช่วงยุครุ่งเรืองของมีมนั้นหลายคนคงอาจจะเคยรู้จักแมวหน้าบึ้ง Grumpy Cat หรือ Brian จอมซวย ที่โด่งดังบนโลกอินเทอร์เน็ต แถมไม่นานมานี้ก็ยังมีมีมแม่การะเกดจากเรื่องบุพเพสันนิวาสเกิดขึ้นมาเป็นร้อยๆ มีมเลยทีเดียว ซึ่งหลายคนก็คงมีคำถามว่า ต้นกำเนิดของมีมนั้นมาจากไหน ใครเป็นคนคิดค้นเริ่มต้นการใช้มีมคนแรก? การที่จะหาคำตอบนั้น คงต้องย้อนไปในปี 1976 Richard Dawkins นักชีววิทยาวิวัฒนาการชาวอังกฤษได้เสนอไอเดียในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า The Selfish Gene ที่เขาได้ตั้งคำถามว่า ถ้าความคิดเป็นเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่สามารถแพร่พันธุ์และสามารถกลายพันธุ์ได้ เขากล่าวว่าความคิดเหล่านี้เป็นเหมือนกับรากฐานของวัฒนธรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในสมองของมนุษย์ ในงานวิจัยของ Dawkins หลักๆ นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับพันธุกรรม เขากล่าวว่าทุกชีวิตนั้นต้องอาศัยจากการจำลองแบบ แต่ไม่เหมือนกับเซลล์ ความคิดนั้นไม่ต้องขึ้นอยู่กับรากฐานทางเคมีเพื่อการอยู่รอด พวกมันเริ่มต้นที่สมองและแพร่กระจายส่งต่อไปเรื่อยๆ บางความคิดก็ประสบผลสำเร็จเนื่องจากในความคิดนั้นประกอบไปด้วยความจริงที่แฝงอยู่ ในขณะที่บางความคิดก็ค่อยๆ ตายลงไป บางความคิดอาจจะไม่เป็นความจริงแต่ว่าเป็นที่ยอมรับของสังคม Dawkins ได้เรียกแนวคิดนี้ว่า mimeme…
-
ผู้เชี่ยวชาญเผย ‘ความรีบร้อน’ คือตัวการทำลายการออกเดตของหนุ่มสาวมาแล้วนับไม่ถ้วน
การออกเดตของหนุ่มสาวคือตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของคนสองคนเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะกลายเป็นคนรักกันในที่สุด แต่ว่าความหวังที่จะได้เรียกกันว่าแฟนอาจต้องพังทลายลงไป เพราะเหตุผลง่ายๆ ที่เราอาจไม่เคยรู้กันมาก่อน Jo Barnett ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์และการออกเดต เผยว่าหนุ่มสาวมักจะเจอกับปัญหาใหญ่ที่เป็นตัวทำลายและยับยั้งความรักที่กำลังเบ่งบานของทั้งสองเอาไว้ ปัญหาที่ว่านั้นก็คือความรีบร้อน บางคู่มักจะรีบร้อนมุ่งสู่เตียงนอนก่อนที่จะได้ทำความรู้จักกันและกันดีพอ ไม่มีการสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์และจิตใจ เมื่อทั้งสองเลือกที่จะมีอะไรกันตั้งแต่ช่วงแรกๆ นั่นถือว่าเป็นการข้ามขั้นตอนที่สำคัญไป แทนที่จะได้มานั่งทำความสนิทสนมกันใต้แสงเทียนตอนมื้ออาหารค่ำสุดโรแมนติกอะไรประมาณนั้น ปัญหาดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำให้ฝ่ายชายได้รับทุกอย่างที่ต้องการแบบรวดเดียวจบ ทำให้พวกเขามักจะรู้สึกไม่ค่อยยินดีกับความสัมพันธ์นั้นๆ เท่าไหร่ อาจรู้สึกเฉยๆ กับอีกฝ่ายหรือมองไปในด้านลบแทน ในขณะเดียวกัน ฝ่ายหญิงเองก็ต้องการความสัมพันธ์ที่ดูลึกลับน่าค้นหานิดๆ ไม่ใช่ว่าได้ทุกอย่างที่ต้องการมาแบบตรงตัว ไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ เลย การกระทำแบบนั้นจึงทำให้พวกเธอมองไม่เห็นค่าของผู้ชายที่เธอกำลังคบหาอยู่ ทั้งหมดนั้นแสดงให้เห็นว่ายิ่งเรารีบเร่งความสัมพันธ์กันมากเท่าไหร่ ไฟรักภายในใจเราก็จะยิ่งมอดดับไวไปมากเท่านั้น ทุกอย่างจึงควรจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปดีกว่า Jo บอกอีกว่าการสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ คนส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะบอกอีกฝ่ายว่าต้องการอะไรในความสัมพันธ์ครั้งนี้ อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญต่อความรู้สึกของตัวเองบ้าง สิ่งเหล่านั้นเรามักจะเก็บเอาไว้ในใจและคาดหวังว่ามันจะออกมาตามที่เราต้องการในตอนท้าย แต่ความเป็นจริงแล้วการพูดออกมาอาจเป็นสิ่งที่ส่งผลดีให้กับความรักมากกว่า ความเข้าใจไม่ใช่สิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการมองตาหรือมีอะไรกันเพียงอย่างเดียว เราต้องไม่ลืมที่จะหันหน้ามาพูดคุยกันอย่างเปิดเผย เพราะนั่นคือการสื่อสารที่ชัดเจนและตรงไปตรงมามากที่สุดเท่าที่มนุษย์เราจะทำได้ ที่มา: indy100
-
นักโภชนาการเผย 5 อาหารที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรทานและไม่ควรทานเพื่อสุขภาพของลูกน้อย
ผู้หญิงทุกคน เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองกำลังมีอีกหนึ่งชีวิตที่มาอาศัยอยู่ในร่างกาย สัญชาตญาณแห่งความเป็นแม่ก็ย่อมจะเกิดขึ้น ความรัก ความห่วงหาอาทรที่มีต่อเด็กน้อยในท้อง เป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นแม้ยังไม่ทันได้เห็นหน้า และผู้หญิง จะดูแลชีวิตใหม่นี้ให้ดีที่สุด ในช่วงแห่งการตั้งครรภ์ เป็นช่วงที่ผู้หญิงต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพราะมันไม่ใช่เป็นเพียงการดูแลสุขภาพตัวเอง แต่เป็นการทำให้อีกหนึ่งชีวิตที่จะมาลืมตาดูโลกใบนี้ได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะให้ได้ Melanie McGrice นักโภชนาการอาหาร ได้เผยข้อมูลผ่านเว็บไซต์ Dailymail ถึงเรื่องของการเลือกอาหารที่เหมาะสมกับหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงที่อยากจะตั้งครรภ์และมีลูกน้อยที่สุขภาพแข็งแรง “การทานอาหารของผู้หญิงทั้งช่วงก่อนตั้งครรภ์และระหว่างตั้งครรภ์ มีผลกระทบต่อสุขภาพของทารกในอนาตของเธอทั้งสิ้น” Melanie กล่าว พร้อมกับให้ข้อมูลกับว่าที่คุณแม่ทั้งหลายว่าควรเลือกทานอาหารดังนี้ 1. ปลา จากความเชื่อผิดๆ ที่ว่าที่คุณแม่ทั้งหลายมักจะหลีกเลี่ยงการทานปลา เพราะว่าในปลามีความเสี่ยงจากแบคทีเรียในปลาและปรอท แต่นักโภชนาการก็แนะนำให้ว่าที่คุณแม่ทานปลาบ้าง เพราะปลาอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่จะช่วยซ่อมแซมร่างกาย ควรทานปลาแซลมอนหรือปลาซาร์ดีนสัก 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ 2. น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ นัักโภชนาการอ้างอิงจากข้อมูลผลการวิจัยว่า อาหารจากแถบเมดิเตอเรเนียนได้รับการพิสูจน์ว่าจะช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับร่างกาย น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ที่เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารเมดิเตอร์เรเนียนมีส่วนช่วยลดอาการอักเสบและเพิ่มประสิทธิภาพของภาวะเจริญพันธุ์ และในน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ เหมาะแก่การนำมาทำเป็นน้ำสลัด 3. ถั่วชิกพี หรือถั่วลูกไก่ ถั่วชนิดหนึ่งที่มีโปรตีนสูงมาก นอกจากนี้ยังแนะนำให้ทานถั่วอื่นๆ เช่น…
-
ไขข้อสงสัย ขณะที่แมลงวันตอมอาหาร มันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ??
เป็นเรื่องปกติของบ้านเราที่มักจะมีแมลงวันมาตอมอาหารอยู่เสมอ บางคนก็อาจจะใจบุญสุนทาน มีน้ำใจแบ่งอาหารให้กับเหล่าแมลงทั้งหลาย แต่หารู้ไม่ว่าในขณะที่แมลงวันกำลังตอมอาหารของคุณอยู่นั้น มันอาจทำอย่างอื่นที่ไม่คาดคิดขณะที่กินอาหารอยู่ก็เป็นได้ แมลงวันหรือ Musca Domestica เป็นแมลงที่ไม่มีพิษ ไม่มีเหล็กในหรือเขี้ยว มันหาอาหารอย่างสงบสุขโดยการเที่ยวบินตอมของเสียจากสัตว์หรือขยะอื่นๆ เนื่องจากมันไม่มีฟัน มันจึงต้องกินอาหารที่เป็นของเหลว แต่จะทำอย่างไรหากอาหารนั้นอยู่ในรูปของแข็ง เมื่อเจออาหารที่เป็นของแข็ง แมลงวันจะอ้วกออกมาใส่อาหาร สารประกอบทางเคมีในอ้วกของแมลงวันนั้นจะค่อยๆ สลายอนุภาคของอาหารให้กลายเป็นของเหลว ทำให้มันสามารถดูดได้ราวกับเป็นสเลอปี้ นอกจากนั้นแล้วในขณะที่มันกำลังกินอาหาร มันยังถ่ายอุจจาระไปพร้อมๆ กันอีกด้วย และตัวเมียก็จะวางไข่ด้วยเช่นกัน แมลงวันจอมฉวยโอกาสจะไม่มีพิษมีภัยอะไรเลยหากมันกินแค่อาหารของมนุษย์ แต่มันดันกินอย่างอื่นที่เน่าเสียด้วย เช่นขยะหรือมูลสัตว์ ทำให้มันเป็นพาหะของเชื้อโรคมากมาย “แมลงวันเป็นพาหะของเชื้อโรคขนาดเล็กมากมาย” Jeff Scott นักกีฏวิทยาที่มหาวิทยาลัย Cornell กล่าว “ทุกสิ่งทุกอย่างที่ออกมาจากตัวสัตว์ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรียหรือไวรัส แมลงวันสามารถนำมาแพร่เชื้อบนอาหารของคุณได้ตลอดเวลา” ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าแมลงวันตัวเต็มวัยสามารถแพร่เชื้อโรคและปรสิตได้มากกว่า 100 ชนิด ตั้งแต่แบคทีเรียแกรมลบรูปท่อน วัณโรค รวมไปถึงพยาธิตัวตืด จากงานวิจัยจากวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ Penn State Eberly ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี Nanyang กล่าวว่าแมลงวันจะรับเชื้อโรคด้วยขาของมัน…
-
แนะนำหนึ่งในวิธีตรวจสอบของก๊อปใน Amazon เพราะจะซื้อของออนไลน์ที่ไหนก็ต้องระวังให้ดี
เคยเป็นไหม ซื้อของใน Amazon แล้วได้ของไม่ดี จะส่งไปเปลี่ยนเขาก็ไม่รับ บอกว่าที่เราซื้อมามันเป็นแค่ของก๊อป แต่ว่าตอนเราซื้อมาเราก็ดูดีแล้วนะว่ามันเป็นของจริง ถ้าเคยล่ะก็ครั้งต่อไปที่คุณจะซื้อผลิตภัณฑ์ใน Amazon โปรดอย่าลืมให้ความสนใจกับตัวพิมพ์เล็กๆ ด้านล่างคำว่า “In Stock” ดูนะ เอาล่ะ เห็นอะไรแปลกๆ จากในภาพนี้รึเปล่า ช่องเสียบหูฟังใต้โต๊ะที่เรียกว่า “The Anchor” ชิ้นนี้นั้นถูกผลิตและจัดจำหน่ายโดย Elevation Labs จากเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน สหรัฐอเมริกา และไม่ได้มีการขายลิขสิทธิ์ให้ใครเลยนอกจาก Apple คราวนี้มาดูกันให้ชัดๆ กันอีกทีดีกว่า อย่างที่บอกไปว่า Elevation Labs นั้นไม่ได้ขายลิขสิทธิ์สินค้าชิ้นนี้ให้ใครเลย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่บริษัท Suiningdonghanjiaju Co Ltd จะเป็นผู้ที่จัดจำหน่ายสินค้าสินนี้ได้ แน่นอนว่าถ้ามีคนหลงกดเข้าไปซื้อสินค้าเหล่านี้แล้วล่ะก็ พวกเขาก็จะได้ของก๊อปไปในทันที แล้วไอ้เจ้าสินค้าของ Elevation Labs หายไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่าสินค้าของ Elevation Labs นั้นไม่ได้หายไปไหนหรอก มันก็ยังอยู่ในหน้าเดียว กันนั่นล่ะเพียงแต่ลงไปอยู่ในส่วนผู้ค้ารายอื่นก็เท่านั้น ตรงวงข้างล่างนั่นล่ะ แต่ถ้าอย่างนั้นแล้ว ทำไมสินค้าของ Suiningdonghanjiaju…
-
ข่าวดี!! นักวิทย์พบประชากร ‘เพนกวิน’ 1.5 ล้านตัวอยู่บนเกาะห่างไกลในแอนตาร์กติกา
ถือว่าเป็นข่าวดีมากเลยทีเดียวเมื่อนักวิทย์ค้นพบประชากรเพนกวินกว่า 1.5 ล้านตัว อาศัยอยู่ในทวีปแอนตาร์กติกา โดยที่ไม่เคยรู้มาก่อน!! นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการสำรวจเกาะต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลความเจริญในทวีปแอนตาร์กติกา ถึงกับต้องเซอร์ไพรส์เมื่อพวกเขาได้พบเจอกับเพนกวินฝูงใหญ่ที่มีประชากรมากกว่า 1.5 ล้านตัว ตามรายงานการวิจัยที่ปล่อยออกมาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาพบว่าเพนกวินดังกล่าวเป็นสายพันธุ์ Adélie Penguins ถูกพบบนเกาะที่มีชื่อว่า Danger Islands ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจากฝั่ง Antarctic Peninsula “โดยปกติแล้วเกาะเหล่านี้จะมีประชากรเพนกวินอาศัยอยู่มากมาย” Michael Polito ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมุทรศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ชายฝั่งทะเล จากมหาวิทยาลัย Louisiana State University หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว เพนกวิน Adélie นั้นสามารถพบเจอได้เฉพาะในแถบแอนตาร์กติกาเท่านั้น และจากเดิมเราเข้าใจผิดมาตลอดว่าจำนวนของมันค่อยๆ ลดลงไปเนื่องจากปัญหาภาวะโลกร้อน ทำให้น้ำแข็งละลายเป็นเหตุให้ที่อยู่อาศัยของมันถูกทำลาย “แต่เดิมพวกเราออกสำรวจกันแค่ฝั่งตะวันตก แต่ฝั่งตะวันออกยังไม่เคยตรวจสอบมาก่อน เพราะเป็นสถานที่ที่เข้าไปถึงได้ยากเนื่องจากสภาพอากาศที่โหดร้าย” ท่านรองศาสตราจารย์กล่าว นอกจากนี้การตรวจสอบภาพจากดาวเทียมบนเกาะ Danger Island พบว่ามีร่องรอยของอุจจาระเพนกวินอยู่ แต่ไม่คิดว่าจำนวนของมันจะมีมหาศาลถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าทีมนักวิจัยอย่างมากเลยทีเดียว จากการลงพื้นที่ไปตรวจสอบพบว่ามีรังของเพนกวินมากกว่า 751,527 รัง และจากการคำนวณดูก็ทำให้ทราบคร่าวๆ ว่าจำนวนประชากรของพวกมันน่าจะมีราวๆ 1.5 ล้านตัว นักวิจัยได้คาดการณ์เอาไว้ว่าแท้จริงแล้วเพนกวินเหล่านี้เคยอาศัยอยู่ที่ฝั่งตะวันตกมาก่อน แต่เพราะฝั่งตะวันออกนี้มีพื้นน้ำแข็งที่แข็งแรงและมั่นคง…
-
อยากรู้มั้ย…ว่าผู้หญิงมีอะไรที่ดึงดูดผู้ชายบ้าง? มาดูคำตอบที่นักวิทยาศาสตร์ให้มากันเถอะ
ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องอยากสวย อยากหล่อ อยากดูดีกันทั้งนั้นแหละจริงไหมล่ะ? ในแง่หนึ่ง ก็จริงอยู่ที่ว่าการที่เราหน้าตาดีนั้นอาจจะช่วยดึงดูดเพศตรงข้ามได้ แต่ว่ามันก็ไม่จริงเสมอไป สำหรับคุณผู้หญิง นักวิทยาศาสตร์ได้เผยออกมาแล้วว่า ที่จริง ผู้ชายน่ะ ไม่ได้ถูกดึงดูดด้วยใบหน้าสวยๆ ของคุณผู้หญิงเสมอไปนะ มันอยู่ที่หลายๆ อย่างประกอบกัน แล้วไอ้หลายๆ อย่างที่ว่านั้นมันมีอะไรบ้างล่ะ ถ้าอยากรู้ เชิญไปรับชมพร้อมๆ กันเลย!! 1. รูปร่าง โดยปกติแล้วยามที่ผู้ชายมองผู้หญิง ก็มักจะเกิดความคิดเกี่ยวกับการมีลูกกับคนๆ นั้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น สมองของผู้ชายส่วนใหญ่จึงมักสั่งให้พวกเขามองหาผู้หญิงที่มี สะโพกผาย และ เอวคอด ดูสุขภาพดีและสมบูรณ์ 2. รอยยิ้ม ผู้หญิงที่ยิ้มเก่งนั้นย่อมเป็นจุดสนใจ และดึงดูดผู้ชายได้ดีเลยล่ะ เพราะผู้ชายมักจะคิดว่าการยิ้มนั้นถือเป็นการเปิดช่องทางให้เพศชายเข้าหาได้ แต่ที่จริงมันมีรายละเอียดมากกว่านั้น เพราะผู้ชายมักมองที่ “ฟัน” ของผู้หญิงด้วย แต่ไม่ต้องกังวล เพราะไม่จำเป็นจะต้องฟันสวยแบบดารา แค่เพียงไม่มีกลิ่นปากที่แย่ และฟันไม่เหลืองก็พอแล้ว เพราะสุขภาพของฟันสามารถบ่งบอกได้ถึงสุขภาพร่างกาย และวิธีการดูแลร่างกายยังไงล่ะ 3. สัดส่วนใบหน้าที่สมมาตร ใบหน้าที่สมมาตรนั้นถือเป็นปัจจัยหลักที่จะดึงดูดเพศชายได้เลยทีเดียว เพราะสมองของคนเรานั้นจะรับรู้ได้ถึงใบหน้าที่สมมาตรได้รวดเร็วกว่าใบหน้าที่ไม่สมมาตร…
-
รู้หรือไม่ว่า การอาบน้ำพร้อมๆ กับจิบเบียร์ไปด้วย อาจช่วยให้คุณฉลาดขึ้น!?
หลังจากเครียดและเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวัน แน่นอนว่าคนเราย่อมต้องการการพักผ่อนที่ดี เช่น การอาบน้ำให้สบายตัว หรือการหาเครื่องดื่มเย็นๆ มานั่งดื่มให้สบายใจ แหม่ พูดแล้วก็อยากจะไปอาบน้ำพร้อมกับหาเบียร์เย็นๆ มาจิบเสียหน่อย งงล่ะสิว่าทำไมไม่อาบน้ำให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาจิบเบียร์ แสดงว่ายังไม่รู้สินะ ว่าปัจจุบันได้มีผลการทดลองออกมาแล้วว่า การดื่มเบียร์ขณะที่อาบน้ำนั้นนอกจากจะเป็นการผ่อนคลายแล้ว มันยังทำให้คนเรา “ฉลาด” มากขึ้นด้วย!! อ่านไม่ผิดหรอกครับ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ การทดลองจาก มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ที่นำชาย 40 คน มาเข้าร่วมทดลองโดยการ ให้พวกเขาแก้ปัญหาลับสมองหลายๆ ข้อ ผลปรากฏออกมาว่ากลุ่มชายที่ดื่มเบียร์ 1-2 แก้วก่อนทำ จะสามารถแก้ปัญหาได้มากกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่มถึง 40 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตามนักจิตวิทยา Jennifer Wiley ได้ออกมาชี้แจงว่าการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ไม่ได้ทำให้มีความฉลาดมากขึ้นโดยตรง เธอกล่าวว่า “ผู้คนที่มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดอยู่ที่ 0.07 จะมีความจำที่แย่ลง แต่จะมีความคิดการแก้ไขปัญหาที่สร้างสรรค์ขึ้น” แต่เธอก็ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี เธอบอกว่า “สรุปก็คือ การตั้งใจและจดจ่ออยู่กับปัญหา หรือการมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ จะทำให้มีการแก้ไขปัญหาที่ดี แต่มันก็ไม่เสมอไปหรอก ความคิดใหม่ๆ บางที่ก็มาจากการที่ไม่ได้ตั้งใจหรือจดจ่อ การสูญเสียสมาธิบางทีมันก็ดีนะ” …
-
ผลวิจัยออกมาแล้วว่า คนที่น้ำหนักเกิน(นิดหน่อย) และดื่มแอลกอฮอล์(นิดหน่อย) จะมีอายุยืน!!
ปัจจุบัน กระแสนิยมดูแลสุขภาพกำลังมีบทบาทเป็นอย่างมาก หลายต่อหลายคนพยายามรักษาสุขภาพให้ตนเองดูดีและแข็งแรงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะด้วยการออกกำลังกาย ทานอาหารที่ไม่อ้วน และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น แต่หารู้ไม่ว่าปัจจุบัน ได้มีผลงานวิจัยปรากฎออกมาแล้วว่าผู้ใหญ่ที่มีรูปร่างผอม จะมีอายุสั้นกว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานนิดหน่อย งานวิจัยระยะเวลา 30 ปีในช่วงราวๆ ปี 90 เป็นต้นมา ได้เผยให้เห็นว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินและชอบดื่มแอลกอฮอล์จะมีแนวโน้มที่จะมีชีวิตอยู่ถึงวัยชรามากกว่า อีกทั้งยังแนะวิธีการยืดอายุให้ยาวขึ้นด้วยการออกกำลังกาย 15 นาที และดื่มกาแฟ 2 แก้วต่อวัน การวิจัยครั้งนี้ นักวิจัยได้ให้ผู้คนอายุ 55 ถึง 100 ปีจำนวน 14,000 คน เขียนถึงวิถีชีวิตของตนเอง และหลังจากปี 2003 เป็นต้นไป ผู้วิจัยจึงทำการติดตามศึกษาผู้ที่ยังมีชีวิตราว 1,600 คน ซึ่งทำให้ทราบถึงความลับของการมีชีวิตยืนชาวของพวกเขา พบว่าผู้คนเหล่านั้นมีการดื่มแอลกอฮอล์อยู่พอประมาณ เช่น เบียร์หรือไวน์จำนวน 1-2 แก้วต่อวันหรือต่อสัปดาห์ ซึ่งทำให้พวกเขามีอายุยืนยาวกว่าผู้ที่งดเว้นจากการดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนผู้ที่มีการบริโภคคาเฟอีนในปริมาณตั้งแต่ 200-400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือกาแฟ 1-2 แก้วต่อวัน…
-
ผู้เชี่ยวชาญออกเตือน ‘เด็กๆ จับปากกาเขียนผิดวิธี’ จะส่งผลเสียต่อความแม่นยำในการเขียน…
การจับปากกาหรือดินสอนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ถ้าหากมองลงไปลึกๆ แล้ว จะพบว่าเด็กในยุคปัจจุบันที่เติบโตท่ามกลางอุปกรณ์ทัชสกรีน และใช้เวลาส่วนมากไปกับสิ่งเหล่านี้ จะไม่มีความสามารถในการเขียนหนังสือได้ดีเท่าที่ควร จากรายงานล่าสุดของ NHS Trust ได้กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ ชาวอังกฤษ ที่ไม่สามารถจับปากกาหรือดินสอ เขียนได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนกับเด็กๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา “เด็กๆ ส่วนมากไม่มีความแข็งแรงและความแม่นยำของมือ เมื่อเทียบกับเด็กๆ ในช่วง 10 ปีที่แล้ว” Sally Payne กุมารเวชศาสตร์บำบัดผู้เป็นหัวหน้าทีมวิจัยกล่าว “จะเห็นได้ชัดว่าจำนวนของเด็กที่ไม่สามารถจับดินสอเขียนได้อย่างมั่นคง มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพวกเขาไม่มีทักษะการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานเลย” เธอกล่าวเสริม ลักษณะการจับเครื่องเขียนที่ถูกต้องแบบ Dynamic Tripod นิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง ประสานร่วมกัน สามารถเคลื่อนไหวสะบัดได้เล็กน้อยตามต้องการ ทักษะการเขียนนั้นจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อมือ ซึ่งแตกต่างจากการปัดหรือการแตะหน้าจอ ที่ถูกใช้งานในการอ่านและเขียนข้อความบนโลกออนไลน์ในปัจจุบัน เมื่อการเขียนถูกนำมาใช้บนแผ่นกระดาษ การจับดินสอหรือปากกาที่ถูกต้องนั้นกลายเป็นเรื่องโบราณไปในทันที และตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว การจับเครื่องเขียนที่ถูกต้องนั้นก็มีมากกว่า 1 วิธี อ้างอิงจากงานวิจัยในปี 1996 ทำการสรุปผลการศึกษาอีกหลายชิ้นในช่วงยุค…
-
เฟซบุ๊กล้มเลิกแบ่งหน้านิวฟีดเป็น 2 ส่วน หลังทดลองใช้ใน 6 ประเทศแล้วทุกคนไม่ปลื้ม!!
ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน หลายคนคงจะจำได้ว่าทาง Facebook ได้ออกมาประกาศว่าพวกเขาจะทำการแบ่งหน้านิวฟีดของเราออกมาเป็นสองส่วน ซึ่งจะแบ่งแยกนิวฟีดที่ได้รับการโปรโมตและไม่ได้รับการโปรโมตออกจากกัน ระบบดังกล่าวนั้นได้เปิดทดสอบใน 6 ประเทศที่ทาง Facebook เลือก และผลลัพธ์ที่ได้กลับมาจากแบบสอบถามก็พบว่า พวกเขาไม่ปลื้มกับระบบใหม่แม้แต่น้อย และนั่นก็ทำให้ทางบริษัทได้รับคำตอบสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว… “พวกคุณทั้งหมดได้ให้คำตอบแก่เราแล้ว และพวกเราก็ได้รู้ว่าผู้ใช้ไม่ต้องการให้แยกนิวฟีดออกเป็นสองส่วน” ด้วยเหตุนี้ทาง Adam Mosseri หัวหน้าฝ่ายที่ดูแลในส่วนของนิวฟีดก็ให้สัมภาษณ์ว่า “ในแบบสำรวจผู้ใช้ ส่วนใหญ่ล้วนตอบกลับมาว่าพวกเขารู้สึกไม่พอใจกับหน้านิวฟีดที่แยกออกจากกัน เพราะมันไม่ได้ทำให้รู้สึกเข้าถึงเพื่อนหรือครอบครัวของพวกเขาง่ายขึ้นอย่างที่เราเสนอ” การทดสอบระบบดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นที่ประเทศศรีลังกา, โบลิเวีย, สโลวาเกีย, เซอร์เบีย, กัวเตมาลาและกัมพูชา สุดท้ายแล้ว Adam ก็ได้บอกปิดท้ายว่า การแบ่งหน้านิวฟีดออกเป็นสองส่วนนั้นถือเป็นความล้มเหลว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ได้อะไรกลับมาเลย เพราะว่าจากแบบสอบถามมันทำให้เขารู้ว่า ผู้ใช้นั้นสนใจที่จะเข้าถึงเพื่อนและครอบครัวมากกว่าการเข้าถึงข่าวสาร ฉะนั้นเขาจึงจะหาแนวทางที่พัฒนาให้ระบบนิวฟีดดีขึ้นและตรงตามความต้องการในอนาคต ที่มา gizmodo
-
‘มันหมู’ ติดอันดับ 1 ใน 10 อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุดในโลก
เนื้อหมู คือหนึ่งในวัตถุดิบอาหารที่หลายๆ คนโปรดปราน แต่ทว่าหมูไม่ได้มีดีแค่ส่วนเนื้อเท่านั้น เพราะอีกส่วนหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันก็คือส่วนของ มันหมู นั่นเอง บางคนเวลาที่ไปกินหมูกระทะหรือหมูจุ่มมักชอบที่จะหยิบส่วนของหมูติดมัน สามชั้น หรือมันหมูเพียวๆ เป็นอันดับแรก แม้คนอื่นๆ จะบอกกับคุณอยู่เสมอว่ามันเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ทำร้ายร่างกายของคุณก็ตาม แต่วันนี้มีข่าวดีที่จะทำให้เหล่าคนที่ชอบมันหมูทั้งหลายสามารถมีความสุขกับการกินมันได้มากยิ่งขึ้น (นิดนึงล่ะนะ) ข่าวดีที่ว่านั้นก็คือ มันหมูได้กลายเป็น 1 ใน 10 อาหารที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณค่าทางโภชนาการที่สุดในโลก ลบความคิดที่ว่ามันเป็นอาหารทำลายสุขภาพเพียงอย่างเดียวไปได้เลย จากการรายงานของสำนักข่าว BBC นี่เป็นผลจาก การจัดอันดับ ของเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิเคราะห์วัตถุดิบอาหารกว่า 1,000 ชนิด โดยเรียงอันดับจากสิ่งที่สามารถเสริมสร้างสุขภาพเราได้สมดุลมากที่สุด จากนั้นพวกเขาก็จะทำการให้คะแนนคุณค่าทางโภชนาการกับวัตถุดิบแต่ละอย่าง ยิ่งคะแนนสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นต่อร่างกายเราในแต่ละวันมากเท่านั้น การจัดอันดับในครั้งนี้ทำให้มันหมูติดเป็นอันดับ 8 ของวัตถุดิบที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุดในโลก ได้คะแนนจากผู้ประเมินไป 74 คะแนน เหตุผลที่ทำให้มันได้คะแนนสูงขนาดนั้นก็เพราะว่า มันหมูอุดมไปด้วยวิตามินบีและแร่ธาตุจำนวนมาก แถมยังมีไขมันที่ไม่อิ่มตัวและเสริมสร้างสุขภาพให้กับเราได้ดีกว่าพวกไขมันจากแกะหรือวัวซะอีก จึงไม่แปลกที่มันได้กลายเป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูงเป็นอันดับต้นๆ แต่ถึงอย่างนั้นเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็แนะนำมาว่า เราควรจะบริโภคมันในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไปในแต่ละวัน เพราะไม่อย่างนั้นมันอาจจะกลายเป็นการให้โทษมากกว่าให้คุณประโยชน์ก็ได้นะ ส่วนอาหารอื่นๆ ที่รู้จักกันในบ้านเราและติดอันดับเข้ามาในครั้งนี้ก็จะมี บีตรูท…
-
5 ท่ากายบริหารที่ง่ายซะยิ่งกว่าผูกเชือกรองเท้า ช่วยแก้ปัญหาง่วงนอนตอนทำงาน
ทุกคนรู้ดีว่าการนอนหลับคือวิธีการทำให้เราหายง่วง แต่ถึงอย่างนั้นวิธีนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถใช้แก้ปัญหาดังกล่าวได้ในทุกสถานการณ์ เพราะถ้าเกิดเราง่วงนอนในตอนทำงานขึ้นมา การนอนหลับไปเลยก็อาจทำให้เรากลายเป็นฟรีแลนซ์ไปได้แบบไม่รู้ตัว วันนี้ #เหมียวตะปู จึงอยากชวนให้เพื่อนๆ ได้ลองมาอ่าน ท่ากายบริหารที่ง่ายแสนง่าย เพื่อช่วยคลายความง่วงในยามทำงาน เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากจะตกงานก่อนเวลาอันควร ว่าแล้วอย่ารอช้า ไปแก้ง่วงกันได้เลยยย 1. บิดตัว วิธีที่ง่ายมากๆ นี้คือให้เราบิดตัวไปทางใดทางหนึ่ง อย่างเช่นถ้าเราบิดไปทางขวา ก็ให้เราใช้มือข้างเดียวกันเอื้อมไปจับด้านหลังพนักพิงเก้าอี้เอาไว้ ดึงให้ตัวเราบิดไปให้มากที่สุด แต่อย่าฝืนจนมันเจ็บนะ ส่วนเก้าอี้ใครที่มีที่วางแขนก็สามารถใช้แขนซ้ายช่วยจับดึงให้บิดได้มากขึ้นกว่าเดิม ตอนที่เราบิดตัวไปแล้ว อย่าลืมมองไปรอบๆ ด้วยละ มันจะช่วยให้เราพักสายตาหรืออาจได้สบตาปิ๊งๆ กับคนที่เราแอบชอบอยู่ก็ได้ เรียกว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว จากนั้นจึงค่อยๆ คลายกลับมามองหน้าตรง ก่อนที่จะบิดตัวไปอีกข้าง 2. เหยียดขา วิธีการนี้ทำให้เราหายง่วงและได้กล้ามท้องกับขาในเวลาเดียวกัน โดยให้ใช้มือจับที่พักแขนเอาไว้ เหยียดขาตรงไปข้างหน้าให้สุดและขนานกับพื้น (จะทำทีละข้างหรือพร้อมกันสองข้างก็ได้) จากนั้นให้เราเกร็งเท้าชี้ไปตรงๆ ก่อนที่จะค่อยๆ งอชี้ขึ้นข้างบนสลับกันไปเรื่อยๆ สัก 5 ครั้งแล้วจึงค่อยหดขากลับมา ทำแบบนี้จนกว่าจะรู้สึกผ่อนคลาย 3. หมุนมือเป็นวงกลม ชูมือทั้งสองข้างขึ้นมาด้านหน้า กำหมัดให้แน่นแล้วก็ต่อยหน้าตัวเองให้แรงที่สุด!! หากคุณทำอย่างนั้น มีแต่จะเจ็บตัวเปล่าๆ เราขอแนะนำให้เพื่อนๆ ลองเปลี่ยนเป็นการกำหมัดให้แน่นแล้วหมุนมือทั้งสองข้างตามเข็มนาฬิกาซักสิบวินาที…
-
นักวิทย์ฯ เผยเราสามารถช่วยให้คนตาย “ฟื้น” ขึ้นมาได้ หากทำในช่วงเวลาที่ถูกต้อง…
ความตาย เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครๆ ก็ไม่อยากจะต้องพบเจอทั้งนั้น เพราะเมื่อใดที่คนเราพบเจอกับ “ความตาย” นั่นหมายถึงว่า เราต้องสิ้นสุดการใช้ชีวิตบนโลกนี้ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่กลัวความตายมากๆ เรามีข่าวดีมาฝาก นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาทดลองแล้วพบว่า หลังจากที่มนุษย์สิ้นสุดลมหายใจไปแล้วนั้น ระบบสมองของมนุษย์ยังทำงานต่อได้อีกราว “ห้านาที” ฉะนั้น มันจึงหมายถึงว่า คนตาย มีโอกาสถูกช่วยให้ฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ กลุ่มนักประสาทวิทยาได้เฝ้าสังเกตสัญญาณไฟฟ้าในสมองของคน 9 คน ในช่วงเวลาที่เขาตายลง พบว่าเซลล์ต่างๆ เองก็เริ่มตายลง เมื่อไม่มีการสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยง เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว พวกเขาจึงใช้พลังงานทดแทนเลือดเติมเข้าไป ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เซลล์และระบบต่างๆ ของร่างกายนั้นยังคงทำงานต่อได้ในระยะเวลาหนึ่งหลังหัวใจหยุดเต้น ผลคือมันทำให้เซลล์ประสาทมีพลังงานหล่อเลี้ยงอย่าเหลือล้น แต่หลังจากนั้นมันก็จะนิ่งเงียบและไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อย่างถาวร ซึ่งอาการนิ่งเงียบนี้ ถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต และทางกลุ่มผู้ทดลองเองก็พบว่ามันเป็นช่วงเดียวที่สามารถช่วยให้ผู้ตายฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้งได้ หัวหน้าผู้วิจัย Dr. Jens Dreier จาก วิทยาลัยการแพทย์ชาริเต้ กล่าวว่า “หลังจากที่ไม่มีเลือดหมุนเวียน มันจะเกิดการกลับขั้ว ซึ่งทำให้สูญเสียพลังงานเคมีไฟฟ้าในเซลสมองไป ทำให้เกิดภาวะเป็นพิษในร่างกาย จนกระทั่งตายในที่สุด แต่ที่สำคัญก็คือ มันสามารถย้อนกลับได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราให้พลังงานคืนแก่ร่างกายผู้ตายตอนไหน” สรุปก็คือ ขณะที่คนเราสิ้นชีวิตลง…
-
หนุ่มสาวชาวออฟฟิศควรดู!! นี่คือ 10 อาการที่คุณต้องเผชิญ เมื่อนั่งเป็นเวลานานๆ ในทุกวัน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคปัจจุบันการทำงานในออฟฟิศในแต่ละวันคุณจะต้องใช้เวลาส่วนมากเป็นการนั่งอยู่หน้าจอคอม และเมื่อเลิกงานคนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกใช้เวลานั่งอยู่หน้าจอโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์หรือหน้าจอโทรทัศน์ นั่นแสดงว่าแต่ละวันเราใช้เวลากับการนั่งเป็นมากกว่า 8 ชั่วโมงเสียอีก และเพื่อนๆ รู้หรือเปล่าว่าการนั่งนานๆ แบบนี้ มันสามารถก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้นะ และเพื่อให้เพื่อนๆ ได้รู้ว่าการนั่งนานๆ แบบนี้มีอาการทางสุขภาพอะไรบ้างที่จะตามมา วันนี้เราจึงได้รวบรวมข้อมูลแล้วมาแบ่งให้เพื่อนๆ ได้ชมกันครับ 1. กล้ามเนื้อหลังอักเสบ ศาสตราจารย์ Galen Krantz แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเชื่อว่าการนั่งจะทำให้กล้ามเนื้อหลังวางตัวแบบผิดธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์มักไม่ได้ตั้งใจทำ ในการนั่งแบบผิดท่านี้จะทำให้กระดูกสันหลังและกระดูกเชิงกรานทำงานหนัก ซึ่งจะส่งผลให้เกิดหมอนรองกระดูกเสื่อมได้ 2. เสี่ยงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด การใช้ชีวิตที่ต้องนั่งนานๆ อย่างต่อเนื่องจะทำให้กล้ามเนื้อกับการไหลเวียนของเลือดอ่อนแอลงและมีความเสี่ยงต่อหลอดเลือดอุดตัน การขาดการออกกำลังกายจะนำไปสู่อาการหลอดเลือดแดงแข็งเนื่องจากภาวะไขมันไม่ดีในเลือดสูงส่งผลให้หลอดเลือดตีบได้ 3. เส้นเลือดขอด คนที่ในแต่ละวันต้องนั่งเป็นเวลานานๆ จะทำให้เกิดการไหลเวียนโลหิตในช่วงแขนขาไม่ดี ทำให้มีเลือดดำคั่งตกค้างอยู่ในเส้นเลือดดำซึ่งทำให้เส้นเลือดดำขยายตัว โป่งพองและขดไปมา เป็นเหตุไปสู่การเกิดเส้นเลือดขอด และถ้าโชคร้ายมันจะพัฒนาเป็นลิ่มเลือด ที่จะไปขวางไม่ให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจหรือสมอง 4. โรคอ้วน เมแทบอลิซึมจะทำงานช้าลงและร่างกายของคุณจะเผาผลาญพลังงานได้น้อยลงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เมื่อมีการนั่งเป็นเวลานาน และนั่นจะเป็นต้นตอของการทำให้คุณอ้วนขึ้น 5. กล้ามเนื้ออ่อนแรงและโรคกระดูกพรุน การนั่งหลังงอและขาดการออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหน้าท้องและลำไส้ใหญ่และยังส่งผลกระทบต่อกระดูกอีกด้วย การที่คุณต้องนั่งนานๆ กระดูกจะไม่ได้ทำหน้าที่ยึดจับมากนัก ทำให้ควาามแข็งแรงของพวกมันลดลงและสุดท้ายก็กลายเป็นโรคกระดูกพรุน…
-
นี่แหละคือความจริงทั้ง 9 ข้อของ ‘โรคจิตเภท’ ที่คุณอาจเข้าใจผิดมาตลอดชีวิต…
โรคจิตเภท คืออาการทางจิตของมนุษย์เรา ทำให้ผู้ที่เป็นโรคนี้เกิดความคิดและความเชื่อแปลกๆ ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง บางครั้งอาจทำให้เกิดภาพหลอน มองเห็นอะไรที่ไม่เป็นความจริง หลายครั้งมนุษย์เราเรียกคนที่เป็นโรคจิตเภทว่า “คนบ้า” แน่นอนว่า อาการทางจิตทั้งหลายเป็นเรื่องเข้าใจยาก โดยเฉพาะโรคจิตเภททีี่ถือว่าเป็นโรคค่อนข้างรุนแรง ยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นการที่คนเราไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “โรคจิตเภท” นั้นยิ่งทำให้ผู้ที่เป็นโรคนี้ยิ่งใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้ลำบากมาขึ้น วันนี้เราจึงขอเสนอ 9 ความจริงเกี่ยวกับโรคจิตเภทที่หลายคนยังเข้าใจผิดอยู่ ว่าแต่มีความจริงอะไรบ้าง เชิญไปรับชมกันได้เลย… 1. คนเป็นโรคจิตเภทจะมีหลายบุคลิก ถ้าจะพูดให้ถูกจริงๆ แทนที่จะใช้คำว่ามีหลายบุคลิก ควรใช้คำว่า “จิตใจซับซ้อน” มากกว่า เพราะไม่ใช่ผู้ป่วยโรคจิตเภททุกคนจะมีหลายบุคลิกหรือหูแว่ว การมีจิตใจซับซ้อนและหลายรูปแบบนั้นทำให้ผู้ป่วยมีอารมณ์แปรปรวน เช่น เดี๋ยวชอบเดี๋ยวเกลียดสิ่งเดียวกันในเวลาอันสั้น หรืออาจจะเสียใจอย่างหนักกับเรื่องเล็กๆ แต่กลับเฉยชากับความโศกเศร้าที่รุนแรง เป็นต้น 2. โรคจิตเภทเป็นโรคที่หายาก ไม่เชิงเป็นจริงเสียทีเดียว จากประชากรทั้งหมด จะมีผู้เป็นโรคนี้เพียง 1 เปอร์เซ็นต์ซึ่งดูเหมือนน้อยก็จริง แต่มันกลับถูกพบเห็นได้บ่อยกว่าที่คิด ในทุกๆ 1,000 คน จะมีคนเป็นโรคจิตเภทประมาณ 5 คนได้ 3. ผู้คนที่เป็นโรคจิตเภทนั้นคาดเดาไม่ได้…
-
นักวิทย์เพิ่งค้นพบรอยสักที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ทั้งที่มันอยู่ในพิพิธภัณฑ์มาแล้วกว่า 100 ปี!?
บางครั้งการค้นพบก็อาจจะเกิดขึ้นได้จากสิ่งของที่เรามองข้ามไป อย่างเช่นมัมมี่ชาวอียิปต์ที่ถูกค้นพบเมื่อนานมาแล้วและถูกนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์มาแล้วกว่า 100 ปี แต่พวกเขากลับเพิ่งรู้ว่าศพดังกล่าวมีรอยสักที่เก่าแก่ที่สุดติดมาด้วย ถึงจะบอกว่าเพิ่งค้นพบ แต่ใช่ว่านักวิทย์จะไม่รู้มาก่อนว่าศพดังกล่าวนั้นมีร่องรอยที่เป็นเหมือนรอยสักอยู่ เพราะก่อนหน้านี้รอยสีดำๆ ดังกล่าวนั้นยังไม่ได้รับการยืนยันว่ามันคือรอยสักจริงๆ จนล่าสุดก็ได้ยืนยันแล้วว่ามันคือรอยสักรูปควายป่าและแพะแอฟริกัน ทีมวิจัยชี้ว่ารอยสักดังกล่าวนั้นไม่ใช่เพื่อความสวยงาม แต่รอยสักรูปสัตว์ทั้งสองใช้สื่อถึงพลังของความเป็นชาย ทั้งด้านกำลังลังกาย สุขภาพทางเพศและความคิดสร้างสรรค์ ยังไม่หมดเท่านั้น นักวิจัยยังได้อธิบายเพิ่มเติมถึงความหมายที่ว่าทำไมต้องเป็นวัวและแพะอีกว่า กระทิงที่เห็นเป็นกระทิงที่เรียกว่า ‘ออรอซ‘ เป็นกระทิงยักษ์ในยุคเก่า ที่ปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งกระทิงดังกล่าวนั้นมีความหมายถึงความแข็งแกร่ง แถมยังเป็นสัตว์ที่คนในยุคนั้นเกรงกลัวและเคารพอีกด้วย ส่วนแพะนั้นหมายถึงพลังทางเพศ ซึ่งทีมวิจัยบอกว่าในยุคก่อน แพะถือเป็นตัวแทนเทพในเรื่องดังกล่าวและยังมีการยกย่องมากมายในหลากหลายตำนานทั่วโลก นอกจากนี้รอยสักดังกล่าวยังระบุว่าเป็นรอบสักที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เพราะตัวศพนั้นมีอายุมากกว่า 5,200 ปี นับตั้งแต่ยุคสำริด แถมยังมีรูปร่างที่ชัดเจนต่างจากรอยสักของมนุษย์ยุคน้ำแข็งที่เคยมีบันทึกก่อนหน้าว่าเป็นมัมมี่ที่มีรอยสักเก่าแก่ที่สุด เพราะรอยสักของมัมมี่ตัวดังกล่าวนั้นเป็นเพียงแค่ลายจุดตามร่างกาย ต่างจากมัมมี่ตัวนี้ที่มีรูปร่างชัดเจนนั่นเอง ปัจจุบันศพดังกล่าวได้จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์บริติชที่กรุงลอนดอน ถ้าใครสนใจหรือผ่านไปก็อย่าลืมแวะไปเยี่ยมเยือนรอยสักที่เก่าแก่ที่สุดกันดูได้ ที่มา independent
-
ผลวิจัยเผย ‘คนหัวล้าน’ จะดูดี มีความมั่นใจ แถมดูแข็งแรงกว่าคนทั่วไปอีกต่างหาก!!
ปัญหาหัวล้านกลายเป็นปัญหาที่น่าลำบากใจสำหรับผู้คนไม่ว่าจะหญิงหรือชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเริ่มมีอายุมากขึ้น เพราะว่า การที่ผมหลุดร่วงออกไปนั้นมันเป็นเรื่องที่แก้ไขค่อนข้างยาก อีกทั้งเมื่อคนเราหัวล้านแล้ว มันยังทำให้รูปลักษณ์ของเราไม่เหมือนเดิมอีกด้วย ผู้คนจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อรักษาเส้นผมให้อยู่กับเราได้นานที่สุด ถึงแม้มันจะยากลำบากก็ตาม แต่สำหรับทุกวันนี้ ใครที่รู้ตัวว่าหัวเริ่มล้านไม่ต้องพยายามทำอะไรให้ยากลำบากอีกแล้ว เพราะผลการวิจัยล่าสุดได้เผยออกมาแล้ว ว่าคนหัวล้านจะมีความมั่นใจ และมีความแข็งแกร่งมากกว่าคนปกติ โดยงานวิจัยดังกล่าวเป็นของนักจิตวิเคราะห์ที่ชื่อว่า Steve McKeown ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท MindFixers และเป็นเจ้าของคลินิก McKeown Mckeown กล่าวว่า “จากงานวิจัย 50 เปอร์เซ็นต์ของชายวัย 50 ปีจะมีอาการผมร่วง มันจึงทำให้มีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ บางทีอาจซึมเศร้า พร้อมกับความคิดที่ว่า ‘เราแก้ไขอดีตไม่ได้’ จึงไม่แปลกใจที่ทำให้มีชายหลายคนยอมเสียเงินไปเข้ารับการปลูกผมหรือปกปิดหัวล้าน” ในการศึกษาวิจัยแรกนั้น เหล่าชายที่โกนหัวถูกให้คะแนนว่ามีความโดดเด่นมากกว่าชายที่มีผมเต็มหัวแบบคนปกติ ต่อมาในการศึกษาวิจัยครั้งที่สอง เหล่าชายที่ผมของพวกเขาถูกโกนออกด้วยวิธีดิจิตอล จะถูกมองว่าโดดเด่น ตัวสูง และแข็งแรงกว่าตัวตนจริงของพวกเขา McKeown อธิบายต่อว่า “การที่คุณหัวล้าน มันไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป ในการศึกษาวิจัยผู้วิจัยพบว่า ชายหัวล้านจะถูกมองว่ามีความโดดเด่น มีความมั่นใจ มีความเป็นชายชาตรี มีความแข็งแรง และตัวสูงมากกว่าปกติ ในการศึกษาเขาให้ผู้ที่เข้าร่วมทำการวิจัย มีการให้คะแนนต่างๆ กับภาพของชายสองกลุ่ม ภาพกลุ่มแรกก็คือผู้ชายปกติ ส่วนภาพกลุ่มที่สองนั้นก็คือภาพชายกลุ่มแรกที่ใช้ระบบดิจิตอลตัดต่อผมออก…
-
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบทฤษฎีใหม่แล้วว่า ‘ดวงจันทร์’ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
มนุษย์โลกรู้จัก “ดวงจันทร์” มานานแสนนานแล้ว มีความเชื่อเกี่ยวกับพระจันทร์มากมายทั้งตำนานที่แต่งขึ้นหรือจะเป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าบริวารดวงน้อยของโลกนี้ ถือกำเนิดเกิดมาได้อย่างไร วิทยาการต่างๆ ของมนุษย์นั้นสามารถนำพาเราขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์ได้ และทำให้เกิดทฤษฎีที่ว่า ดวงจันทร์นั้นประกอบขึ้นจากสสารในอวกาศที่ล่องลอยอยู่รอบดวงอาทิตย์ โดยเกิดขึ้นพร้อมกับโลก หรืออีกทฤษฎีหนึ่งที่บอกว่า ดวงจันทร์เกิดจากการปะทุของโลกที่กำลังประกอบตนเองขึ้น และทำให้มีมวลวัตถุจำนวนมากล่องลอยออกไปโคจรเป็นวงรอบโลก และประกอบตัวกันเป็นดวงจันทร์ ทั้งสองทฤษฎีที่กล่าวมานั้นมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่าโลกและดวงจันทร์นั้นประกอบขึ้นจากสสารและวัตถุที่เหมือนกัน แต่มันก็ยังไม่ใช่เรื่องราวต้นกำเนิดของพระจันทร์ทั้งหมด ถึงแม้ทั้งโลกและดวงจันทร์จะมีวัตถุประกอบที่เหมือนกัน แต่มันก็ยังไม่โดดเด่นพอที่จะมั่นใจได้ว่ามันเกิดขึ้นพร้อมกัน จึงมีช่องโหว่ให้สงสัยได้ว่า ที่จริงแล้วดวงจันทร์อาจประกอบตัวเองขึ้นอย่างอิสระ Journal of Geophysical Research จึงมีงานวิจัยออกใหม่มาอธิบายเกี่ยวกับการกำเนิดขึ้นของดวงจันทร์ แต่ก็ยังยากที่จะเข้าใจ ในเอกสารงานวิจัย นักวิจัยเชื่อว่าดวงจันทร์เกิดขึ้นจากปรากฎการณ์ Synestia ที่เมื่อวัตถุขนาดเท่าดวงดาว 2 ดวงปะทะกันแล้วเศษซากต่างๆ กลายเป็นไอระเหย รวมไปถึงหินหลอมเหลวร้อนจัดที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปวงแหวน แล้วหินเหล่านั้นก็รวมกันเป็นทรงกลมพร้อมกับลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว มันจึงเกิดเป็นดาวเคราะห์ การสันนิษฐานดังกล่าวนี้นักวิจัยเพียงเชื่อว่าสามารถอธิบายถึงการกำเนิดขึ้นและความสัมพันธ์ของโลกและดวงจันทร์ได้ โดยการชนกันของสองดาวเคราะห์นั้นทำให้เกิดการรวบรวมเอาหินหลอมระเหยไปประกอบเป็นดวงจันทร์ และส่วนที่เหลือซึ่งมีสถานะเป็นของแข็งก็รวมตัวกันเป็นโลก ทฤษฎีนี้จึงทำให้เกิดความเข้าใจในระดับหนึ่งว่าทำไมดวงจันทร์และโลกจึงมีลักษณะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ที่มา: BGR
-
ท้าความแรงแฮงปลาแดก ‘Surströmming’ จากสวีเดน แค่กลิ่นโชยมา เป็นต้องอาเจียน…
อาหารการกินพื้นบ้านอันเลื่องชื่อจากแถบอีสานของประเทศไทยนั้น คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘ปลาร้า’ หรือ ‘ปลาแดก’ ถือเป็นอีกส่วนผสมที่ขาดไม่ได้ในเมนูส้มตำเลยล่ะ แน่นอนว่าด้วยกรรมวิธีหมักที่ต้องอาศัยเวลา ในเรื่องของกลิ่นจะโดดเด่นมาเป็นอันดับแรก ซึ่งประชาชนชาวไทยนั้นก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีว่ากลิ่นของมันรุนแรงแค่ไหน แต่ถ้าใครชื่นชอบก็จะรู้สึกว่ามันก็หอมในตัวของมันนะ!? เช่นเดียวกันกับเมนูจากสวีเดนตัวนี้ Surströmming ท่านผู้อ่านทั้งหลายอาจจะไม่คุ้นชื่อของมันเลย แต่ #เหมียวเลเซอร์ จะนำมาเสิร์ฟให้กันก่อน เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพว่าพลังของเมนูนี้แทบไม่ต่างจากปลาร้าเลย การทดสอบชิมรสชาติปลาร้าสวีเดนตัวนี้ นำเสนอโดยแชแนล cutlerylover ในปี 2012 เปิดฝากระป๋องออกมาแล้ว ก็จะพบว่าข้างในนั้นมีปลาและน้ำเหนียวๆ บรรจุอยู่ ไหนขอลองชิมน้ำเหนียวข้นข้างในหน่อยสิ… (บรรยายสรรพคุณผ่านทางใบหน้า) แล้วก็ตามด้วยเนื้อปลาเน้นๆ!! และแล้วก็สามารถประมวลรสชาติได้ออกมาเป็น… (ยาวเป็นหางว่าวเชียว) ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอร่อยอูมามิตามพี่แกดีมั้ยนะ ลองพิสูจน์ตามกันได้เลยจ้า!! เอาเข้าจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่พี่แกรายเดียวที่รู้สึกแบบนี้ เพราะยังมีอีกหลายคนร่วมพิสูจน์ด้วย และผลก็ออกมาเหมือนกัน ฮร่าาาา สุดยอดเมนูพื้นบ้านจากสวีเดน ปราบได้แทบทุกคน!! สำหรับเมนู Surströmming นั้นทำมาจากปลาเฮอร์ริ่งแอตแลนติกหมัก มีต้นกำเนิดจากทางตอนเหนือของประเทศสวีเดน และจะได้รับความนิยมสูงในแถบนั้นด้วย…
-
ศิลปินสร้างผลงานบอกเล่า ‘ความทุกข์-ความสุข’ ที่ผู้หญิง ‘อกใหญ่’ ต้องเผชิญ
เกิดเป็นผู้หญิงหน้าอกใหญ่ มักเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชายรวมทั้งผู้หญิงด้วยกันก็ต่างอิจฉา เนื่องจากมีดูมีเสน่ห์มากกว่าผู้หญิงทั่วๆ ไป แต่สำหรับผู้หญิงที่่มีหน้าอกใหญ่อาจไม่ได้ชื่นชอบสักเท่าไหร่ เนื่องจากมีอะไรหลายอย่างที่คนอกใหญ่ทำไม่ถนัดหรือไม่ชอบ และเพื่อตอบความในใจของผู้หญิงอกใหญ่ ผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ @wanwangomigomi จึงได้วาดรูปเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผู้หญิงอกใหญ่ต้องพบเจอในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็ทำให้รู้ว่าการที่หน้าอกหน้าใจใหญ่มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียขนาดไหน จากรูปที่เขาหรือเธอได้โพสต์ลงในทวิตเตอร์ สามารถแบ่งออกเป็นข้อได้ 9 ข้อด้วยกันเราจะนำมาแปลให้เพื่อนๆ ได้ดูนะครับ 1. เวลาที่คุณนั่ง หน้าอกของคุณจะไปติดอยู่บนโต๊ะ ทีี่จริงแบบนี้ก็ยังโอเคอยู่นะ แต่มันไม่โอเคตรงที่ว่าเวลาพนักงานเสิร์ฟเข้ามาหาคุณเพื่อรับออเดอร์ การที่น่าอกกองอยู่บนโต๊ะจะเป็นเรื่องน่าอายนิดๆ ทำให้เราต้องรีบเก็บหน้าอกออกไปด้วยความลำบาก 2. ผู้หญิงอกใหญ่มักจะโดนเพื่อนผู้หญิงด้วยกันเองแกล้งโดยการจับหน้าอก ผู้หญิงคนอื่นๆ ที่หน้าอกหน้าใจน้อยกว่าก็คงอิจฉา อยากจะลองจับดูว่าถ้าหากตัวเองมีหน้าอกใหญ่ๆ บ้างมันจะเป็นอย่างไร 3. ผู้หญิงหน้าอกใหญ่มักไม่อยากวิ่ง การที่มีหน้าอกใหญ่นั่นหมายความว่าคุณต้องแบกสิ่งที่มีน้ำหนักค่อนข้างมากอยู่ตลอดเวลา และหากไม่มียกทรงสำหรับเล่นกีฬา การวิ่งจะทำให้หน้าอกของพวกเธอแกว่งไปมา ทั้งเจ็บทั้งน่าอายเลยล่ะ 4. ยกทรงน่ารักๆ มักทำแต่ขนาดเล็กๆ ปัญหาใหญ่อีกอย่างของผู้หญิงหน้าอกใหญ่คือ คุณจะหายกทรงน่ารักๆ ใส่ไม่ได้ ต้องยอมใส่ยกทรงที่ค่อนข้างเซ็กซี่ แต่ที่สำคัญคือแม้ว่าดีไซน์ยกทรงจะเหมือนกันแต่ยกทรงขนาดใหญ่จะแพงกว่าเสมอ 5. ใส่เสื้อเชิ้ตได้ไม่พอดี ผู้หญิงหน้าอกใหญ่มักจะมีปัญหาเวลาใส่เสื้อเชิ้ต เนื่องจากแม้ว่าคุณจะหาเสื้อที่พอดีกับตัวของคุณได้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเสื้อจะพอดีกับหน้าอกของคุณ ทำให้เวลาใส่เสื้อเชิ้ตแล้วกระดุมอาจจะปริออกมาได้…
-
รู้ไว้ไม่เสียหาย ‘กระดูกหมาแทะ’ สามารถใช้เป็นกาวได้ แถมดีกว่ากาวธรรมดาอีกด้วย !?
สำหรับคนที่เข้ามาอ่านคงตกใจว่า “เห๊ยแกร เอากระดูกที่หมามาทำเนี่ยนะ โหดร้ายเกินไปรึเปล่า?” แต่อย่าเพิ่งสาปแช่งด่าทอ #เหมียวฝึกหัด เลย เพราะกระดูกที่เรากำลังกล่าวถึง ไม่ใช่กระดูกที่ชำแหละมาจากสุนัขจริงๆ อย่างที่ทุกคนคิด… แต่มันคือกระดูกที่ทำมาจากหนังวัวที่ปกติแล้วเรามักจะซื้อมาให้สุนัขของเราได้กัดแทะเล่น เพื่อเสริมสร้างกระดูกและฟัน แถมยังใช้เป็นของเล่นได้อีกด้วย ซึ่งโดยปกติคนทั่วไปมักจะเรียกกันติดปากว่า กระดูกหมา นั่นเอง หมากำลังแทะกระดูกหมาที่ไม่ใช่กระดูกหมาจริงๆ แต่เป็นกระดูกที่ทำมาให้หมาแทะเล่น แฮร่ นอกจากมันจะเป็นของเล่นสำหรับน้องหมาแล้ว มันยังสามารถใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้ในแบบที่เราไม่คาดคิด นั่นก็คือนำมาใช้เป็นกาวได้ด้วย ซึ่งมีความเหนียวที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว!! ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ต้องการซ่อมอะไรสักอย่างแต่ว่าในบ้านดันไม่มีกาวเหลืออยู่เลย แล้วบังเอิญว่าที่บ้านเลี้ยงสุนัข และบังเอิญอีกว่ามีกระดูกหมาแทะอยู่พอดี ก็สามารถนำมาทำให้เป็นกาวฉุกเฉินได้ทันที วิธีการทำนั้นไม่ซับซ้อนอะไรมากมาย ถ้าหากมีอุปกรณ์ที่บ้านก็สามารถทำตามได้เลย… เตรียมกระดูกหมาที่ทำมาจากหนังวัวให้พร้อม นำมาแช่น้ำให้นิ่ม หลังจากนั้น แก้ปมออกมา หั่นหรือตัดให้เป็นชิ้นเล็กๆ นำใส่หม้อเพื่อเตรียมต้ม หลังจากนั้นเคี่ยวในหม้อเป็นเวลา 6 ชั่วโมง เมื่อต้มเสร็จแล้วก็ตักเอาหนังที่เป็นชิ้นๆ ออกมา หลังจากนั้นก็กรองเพื่อน้ำชิ้นส่วนเกินออกไป กรองอีกรอบ…
-
สายเผือกมีเฮ! ทริคแสนง่ายในการบันทึก ‘สตอรี่’ ในอินสตาแกรมแบบไม่มีแจ้งเตือนให้เจ้าตัวรู้…
สำหรับหนุ่มสาวสายเผือกทั้งหลาย ที่ชอบเก็บ สตอรี่ ของคนที่ชื่นชอบในอินสตาแกรมมาเก็บไว้คงจะเซ็งกันน่าดูเลยกับฟีเจอร์ใหม่ของแอปพลิเคชัน นั่นก็คือระบบแจ้งเตือนเจ้าของสตอรี่ หากว่ามีใครมากดบันทึกเอาไปนั่นเอง แต่วันนี้ #เหมียวฝึกหัด มีวิธีที่ง่ายแสนง่าย สำหรับการเข้าไปบันทีก “ไอจีสตอรี่” ของอีกฝ่ายได้อย่างไร้ร่องรอย ไม่มีการแจ้งเตือน ไม่มีอะไรปรากฏขึ้นทั้งนั้นนอกจากภาพและวิดีโอที่เราทำการบันทึกมาเท่านั้น อุวะฮ่าๆ (ขำเลว) เอาล่ะ ก่อนอื่น เผื่อเพื่อนๆ คนไหนยังไม่ทราบ ต้องขออธิบายก่อนว่า ฟีเจอร์ใหม่ของอินสตาแกรมนั้น มันร้ายกาจอย่างไร ปกติแล้วเมื่อเราเข้าไปดูสตอรี่ของใคร เจ้าของสตอรี่นั้นก็จะเห็นชื่อเราไปปรากฏอยู่ในรายชื่อของคนที่เข้ามาดู (Seen By) ทีนี้ ปัจจุบัน หากว่าเราเข้าดู แล้วดันไปมือบอนกดบันทึกภาพมาล่ะก็ มันจะมีข้อความเด้งขึ้นมาเตือนว่า ถ้าหากทำแบบนี้อีกครั้ง เจ้าตัวเขาจะสามารถรู้ได้นะว่าใครแอบมาบันทึกสตอรี่ของเขาไป และถ้าหากเรายังหัวรั้น กดบันทึกอีกครั้งมันก็จะมีสัญลักษณ์คล้ายๆ ดอกจันขึ้นที่ท้ายชื่อของเรา ในรายชื่อผู้เข้าชมนั่นเอง ซึ่งถ้าเจ้าของสตอรี่เข้ามาดูในรายชื่อผู้เข้าชม เขาก็จะสามารถรู้ได้ว่า ใครบ้างที่มากดบันทึกสตอรี่ของเขา มีกล่องขึ้นเตือนแบบนี้ ถ้ามันกำลังบันทึกมันจะขึ้นแบบนี้ ขณะที่ใน “รายชื่อผู้เข้าชม” ของอีกฝ่าย จะปรากฏสัญลักษณ์นี้ ท้ายชื่อผู้ที่ทำการบันทึก ก่อนที่เราจะไปทราบวิธีการกัน ขอเตือนไว้ก่อนนะครับว่า…
-
ผลการวิจัยเฉลยออกมาแล้วว่า คนรักหมา VS คนรักแมว ใครจะฉลาดกว่ากัน!!?
การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสักตัวหนึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน บางคนอาจจะชอบเลี้ยงเจ้าตูบ แต่บางคนอาจจะชอบเลี้ยงเจ้าแมวเหมียว ทั้งนี้การเลี้ยงหมาหรือแมวนั้นเองกลับมีสาวกเป็นสองกลุ่มที่ค่อนข้างชัดเจน นักวิจัยหลายคนจึงคิดว่า กลุ่มคนเลี้ยงหมา กับกลุ่มคนเลี้ยงแมวอาจจะไม่ได้แตกต่างกันเฉพาะเรื่องของความชอบของเท่านั้น ทำให้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงทั้งสองกลุ่มนี้ขึ้นมา เช่น ความบุคลิกภาพระหว่างคนชอบเลี้ยงหมา กับคนชอบเลี้ยงแมว เป็นต้น แต่วันนี้ได้มีการศึกษาวิจัยครั้งใหม่ เกี่ยวกับคนที่ชอบเลี้ยงสัตว์เลี้ยง คำถามของงานวิจัยนี้ก็คือ คนเลี้ยงหมากับคนเลี้ยงแมว ใครฉลาดกว่ากัน? ทั้งนี้การศึกษาวิจัยจากคลินิก McKeown ได้เผยว่า “ผู้ชอบเลี้ยงแมว” นั้นจะเป็นผู้ที่มีความรู้สึกอ่อนไหว และยึดมั่นในความเชื่อของตนเองมากกว่า ในขณะที่ “ผู้ชอบเลี้ยงหมา” จะมีความเป็นกันเอง และจะชอบเข้าสังคมมากกว่า แถมจะสะท้อนนิสัยของสัตว์แต่ละตัวที่เขาเลี้ยงอีกด้วย Steve McKeown จากคลินิก McKeown กล่าวว่า “คนชอบเลี้ยงแมวจะเป็นพวกหัวแข็ง เป็นพวกที่จะยึดมั่นในความเชื่อของตนเองมากๆ แม้ว่าจะมีความคิดของคนอื่นเสนอเข้ามาก็ตาม แถมยังสะท้อนนิสัยที่ไม่ค่อยยุ่งกับใครเหมือนกับเจ้าแมวอีกด้วย นอกจากนี้ คนชอบเลี้ยงแมวยังสามารถทำข้อสอบวัดสติปัญญาแล้วได้คะแนนสูงกว่า และดูจะมีการศึกษามากกว่าอีกด้วย พวกเขามีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในมหาวิทยาลัยได้มากกว่าคนชอบเลี้ยงหมา แถมยังสามารถทำงานได้นานกว่า และยังสามารถเลือกเลี้ยงสัตว์ที่ส่งเสริมให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้อีกด้วย” Denise Guastello ผู้ชวยศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย Carroll ซึ่งมีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้ กล่าวว่า “มันก็สมเหตุสมผลนะที่คนชอบเลี้ยงหมาจะมีชีวิตชีวามากกว่า เพราะว่าเขาจ้องแต่จะออกไปเที่ยวข้างนอก พบเจอผู้คน และพาหมาของเขาไปเดินเล่น ขณะที่…
-
นักจิตวิทยาใช้เวลา 3 ปี หา ‘โรคจิต’ ในหนังกว่า 400 เรื่อง ที่เหมือนจริงมากที่สุด!!
คำว่า “โรคจิต” หากว่าอธิบายอย่างง่ายๆ ก็คือคนที่มีพฤติกรรมและจิตใจที่ผิดปกติ ส่วนมากจะสังเกตเห็นได้ว่า คนโรคจิตจะจิตใจเย็นชา ชอบใช้ความรุนแรง และมักจะหาความสุขให้ตัวเองในวิธีแปลกๆ การสังเกตคนโรคจิตจะแบ่งได้เป็นสองประเภท ก็คือผู้ที่เป็นโรคจิตที่เห็นได้ชัดเจน (Classic) กับผู้ที่เป็นโรคจิตแบบไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic) ซึ่งบางครั้งอาการโรคจิตก็สังเกตได้ยากเนื่องจาก อาการสามารถถูกกลบฝังไว้ได้ ภายใต้พฤติกรรมที่ดูปกติ ทั้งนี้ในปี 2014 ก็ได้มีนักจิตวิทยาชาวเบลเยี่ยมท่าหนึ่งนามว่า Samuel Leistedt ต้องการจะค้นหาภาพยนตร์ที่ภายในเรื่องมีตัวละครโรคจิตที่เสมือนจริงที่สุด Leistedt จึงรวบรวมพรรคพวก 10 คนมาช่วยกันดูภาพยนตร์จำนวน 400 เรื่อง ซึ่งใช้เวลาไปกว่า 3 ปีด้วยกัน ภาพยนตร์ที่เขาเลือกดูจะอยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1915 จนถึง 2010 ซึ่งหลังจากที่พวกเขาชมภาพยนตร์ทั้ง 400 เรื่องเสร็จเรียบร้อย ทำให้พบตัวละครที่มีความเป็นโรคจิต 126 ตัว และผลลัพธ์ที่พวกเขาค้นพบครั้งนี้หากเรียงตามความสมจริงของอาการโรคจิต จะพบว่า… อันดับที่ 6 นับทศวรรษ ภาพยนตร์ฆาตกรนักเชือดทั้งหลายได้แสดงออกถึงการเป็นโรคจิตที่ ไม่สมจริงสุดๆ ภาพยนตร์อย่างเช่นเรื่อง A Nightmare on Elm Street และ Friday the…
-
ชายผู้พยายามชูโรงว่า ‘ผู้หญิงดีกว่าทุกด้าน’ แต่ดันถูกตอกหน้ากลับโดยเหล่าผู้หญิงเอง…
เป็นเรื่องแล้วคราวนี้ เมื่อ Michael Moore ผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อดังได้ออกมาโพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ของเขาถึงการยกย่องเพศหญิงว่าเป็นเพศที่ “ดีกว่า” เพศชาย ซึ่งมันก็ฟังดูเหมือนจะดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มสตรีนิยม แต่ผลกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะได้มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่า Jessica Ellis ได้ออกมาโพสต์ทวิตเตอร์แย้ง Moore ว่าที่เขากล่าวมามันไม่จริง พร้อมกับยกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้หญิงมาตอกหน้า Moore เข้าอย่างจัง ลองไปฟังเรื่องราวจริงๆ แบบละเอียดกันเลยดีกว่า… Moore โพสต์ว่า “ไม่มีผู้หญิงคนไหน สร้างระเบิดปรมาณู สร้างโรงงานอุตสาหกรรม ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย และก่อการฆาตกรรมในโรงเรียน เสียหน่อย” และสาว Ellis คนนี้ก็เข้ามาตอบ “เห็นได้ชัดว่า ที่เขาพูดมามันไม่จริง” นี่คือ Elizabeth Graves ที่ทำงานในแมนฮัตตัน ในโครงการหนึ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ Elizabeth Graves และนี่ก็คือ Mary Walton เธอจดทะเบียนเป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมสองแห่ง Mary Walton …
-
14 อาการของคนเหงื่อชุ่มมือ ปัญหาเหล่านี้คือสิ่งที่คุณหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันหงุดหงิดนะโว้ย!!
การที่ต้องเป็นคนที่เหงื่อออกมากกว่าคนปกติ มือ เท้าและข้อพับ จะมีเหงื่ออกเป็นประจำ เชื่อเถอะว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตยากลำบากกว่าคนปกตินิดหน่อยเนื่องจากพอเหงื่อออกมันก็ทำอะไรหลายๆ อย่างไม่ถนัดเอาเสียเลย และถ้าหากคุณอยากรู้ว่าคนที่เหงื่อชุ่มมือ ออกเท้าเป็นประจำ พวกเขาต้องเจอปัญหาอะไรมาบ้างตั้งแต่เกิดมา ในบทความนี้จะทำให้คุณได้รู้เอง ไปดูกันเล้ย 1. การที่คุณมือเหงื่อออกมาก คุณจะกลายเป็นสิ่งที่น่าหัวเราะของครอบครัวไปเลย 2. คุณหลีกเลี่ยงการจับมือกับคนอื่นๆ เนื่องจากไม่อยากให้มือพวกเขาต้องเปียกเหงื่อของคุณ 3. คุณจะตื่นตกใจสุดๆ เวลาแฟนของคุณเลื่อนมือมากุมมือ คุณก็จะหาทางอื่นๆ ที่จะช่วยหลีกเลี่ยงการจับมือ 4. คุณจะมีความคิดที่จะขอโทษที่ตัวเองเกิดมามีมือที่ชุ่มเหงื่ออยู่ตลอดเวลา 5. และเมื่อคุณเข้าเรียนและได้เขียนหนังสือล่ะก็ สุดท้ายคุณก็จะมีรอยหมึกอยู่เต็มสันมือเลยล่ะ 6. ไม่ว่าคุณจะเขียน อ่าน หรือทำอะไรกับสมุด หนังสือ มือของคุณจะก็ทำให้พวกมันเปียกอยู่ดี 8. มือของคุณจะเป็นเหมือนแม่เหล็กดูดทรายและเศษกระดาษ 8. บางครั้งเหงื่อจากมือก็จะหยดลงที่หน้าจอโทรศัพท์ 9. และแน่นอนว่าโทรศัพท์อย่างพวกสมาร์ตโฟน หน้าจอจะต้องเต็มไปด้วยลายมือของเรานั่นเอง 10. เวลาคุณเริ่มคบกับใครแล้วมีกิจกรรมถึงเนื้อถึงตัวกันล่ะก็ คุณก็จะรู้สึกผิดที่มือของคุณชุ่มไปด้วยเหงื่อ 11.…
-
10 ความเชื่อแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นใน ‘ยุคมืด’ เมื่อวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายความจริงได้!?
ยุคมืด คือยุคสมัยที่ศาสนจักรได้เข้าครอบงำสังคมในยุโรป จนทำให้เกิดความถดถอยทางด้านวิทยาศาสตร์และความคิดเป็นอย่างมาก และในช่วงนี้เอง ก็มีความเชื่อแปลกๆ ถือกำเนิดขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน ความเชื่อเหล่านั้นคงเป็นเรื่องเพ้อเจ้อสำหรับคนในยุคปัจจุบัน แต่ว่าถ้าเราจะลองไปเรียนรู้มันซักหน่อยก็ไม่ได้เสียหายอะไร วันนี้ #เหมียวตะปู เลยอยากชวนเพื่อนๆ ไปรู้เกี่ยวกับ 10 ความเชื่ออันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในยุคมืด มันจะพิสดารสักแค่ไหน เราไปติดตามอ่านกันเลย 1. วัฒนธรรมการล่าตัวบีเวอร์ ในช่วงนั้นเหล่านักล่าจะออกไปคร่าชีวิตเจ้าตัวบีเวอร์เพราะต้องการลูกอัณฑะของมันมาใช้ในทางการแพทย์ จนเกิดเป็นเรื่องเล่าในปี 1188 เมื่อชายที่ชื่อว่า Gerald จากประเทศเวลส์ บอกว่าเวลาที่ตัวบีเวอร์เจอนักล่า มันจะกัดอวัยวะเพศของตัวเองเพื่อร้องขอชีวิต ทำให้ทุกคนเชื่อมาตลอดว่าพวกมันทำอย่างนั้นจริงๆ 2. การรักษาด้วยไก่ ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ในสมัยนั้นไม่รู้จะรักษาโรคระบาดด้วยวิธีการใดดี พวกเขาจึงคิดหาวิธีแปลกๆ ออกมามากมาย หนึ่งในนั้นคือการเอาไก่มาถูบริเวณที่มีแผลพุพอง ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะ 3. วิธีการรักษาโรคซิฟิลิส การเป็นโรคซิฟิลิสในยุคนั้นคงถือว่าเป็นเรื่องที่โชคร้ายอย่างมาก เพราะพวกเขาอาจต้องเจอกับหมอบางคนที่แนะนำให้คนไข้ดื่มปรอทซึ่งเป็นสารเคมีอันตรายเข้าไปเป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะกังวลว่าแผลจะหายหรือเปล่า คงต้องกังวลก่อนว่าเขาจะรอดหรือเปล่าดีกว่า 4. เจาะรูที่กะโหลกศีรษะ ความเชื่อที่ว่ามีวิญญาณร้ายอยู่ในหัวของคุณ ทำให้เหล่าคุณหมอในยุคนั้นเกิดความคิดที่จะใช้เครื่องเจาะขนาดเล็กที่เรียกว่า Trephine เจาะรูลงไปในกะโหลกศีรษะซะเลย รับรองว่าจะหายขาดกลับมาเป็นคนปกติดังเดิม 5. สูบใบยาสูบเพื่อการรักษา ช่วงยุค…
-
10 เหตุการณ์ทางจิตวิทยาที่ส่งผลต่อจิตใจ และมันพยายามจะเล่นสนุกกับเราอยู่เสมอ
จิตใจของเราเป็นสิ่งที่ซับซ้อนอย่างมากเพราะไม่อาจเห็นชัดเป็นรูปธรรมได้อย่างส่วนต่างๆ ของร่างกาย แต่มันกลับเป็นสิ่งสำคัญที่ควบคุมและมีความสัมพันธ์กับแทบทุกอย่างที่เป็นเรา ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม ความคิด หรือบุคลิกภาพ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับจิตใจของตัวเอง แถมบางเรื่องยังอาจสามารถกำหนดชีวิตเราได้อย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน วันนี้เราจึงชวนให้เพื่อนๆ ได้มารับรู้เกี่ยวกับ 10 ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาอันแปลกประหลาด จนทำให้เราแสดงพฤติกรรมบางอย่างออกมาโดยไม่รู้ตัว จะมีอะไรบ้าง เราลองไปดูกันเลย 1. Halo Effect นี่เป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นในตอนที่เราดูโฆษณาผลิตภัณฑ์อะไรบางอย่าง เรามักจะตัดสินว่าตัวสินค้านั้นดีไม่ดีขึ้นอยู่กับดาราหรือคนดังที่เป็นคนนำเสนอสินค้านั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะคิดว่าคนที่มีชื่อสียงคือคนที่ไม่เคยทำอะไรผิดเลย ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบมากๆ เราจึงคิดว่าสินค้าที่พวกเขานำเสนอเองก็คงจะดีไม่แพ้กัน 2. Bystander Effect ปรากฏการณ์ทางสังคมอันน่าเศร้านี้เกิดขึ้นในตอนที่เวลาเราอยู่ท่ามกลางฝูงชน คนเยอะๆ แล้วมีคนต้องการความช่วยเหลือ เรามักจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเขาคนนั้นเพราะลึกๆ แล้วเราคิดว่าเดี๋ยวคนอื่นก็คงมาช่วยเอง ก่อนหน้านี้ได้มีงานวิจัยที่ทำให้เราเข้าใจปรากฏการณ์ดังกล่าวชัดยิ่งขึ้นนั่นคือ เมื่อไหร่ที่มีคนหนึ่งในฝูงชนพร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยแล้ว คนอื่นๆ จะตามไปช่วยด้วยเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่าตัวแปรสำคัญคือคนที่จะลุกออกไปช่วยเป็นคนแรกนั่นเอง 3. Spotlight Effect เราอาจเคยมีความคิดประมาณว่าวันนี้ฉันดูซุ่มซ่ามเกินไปหรือเปล่า? ฉันแต่งตัวเข้ากับงานปาร์ตี้มั้ยนะ? ซึ่งความคิดเหล่านั้นอาจเกิดจากการที่เราคิดว่ามีสปอร์ตไลต์สาดส่องมาที่ตัวเองอยู่เสมอ เหมือนกับถูกทุกคนจับจ้อง คอยจับผิดทุกย่างก้าว มีคนมองและจะตัดสินเราตลอดเวลา แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย 4. Online Disinhibition Effect สื่อในปัจจุบันมีอิทธิพลอย่างมากต่อปรากฏการณ์นี้…
-
ชมวิดีโอสอนการเชือดกุ้งล็อบสเตอร์อย่างถูกวิธี หลังมีกฎหมายห้ามต้มทั้งเป็น
ก่อนหน้านี้นั้นมีข่าวว่าที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้ทำการออกกฎหมายฉบับใหม่ สั่งห้ามการต้มกุ้งล็อบสเตอร์ทั้งเป็น ที่สืบเนื่องมาจากงานวิจัยของ Queen’s University ใน Belfast ที่ระบุว่ากุ้งล็อบสเตอร์นั้นมีความรู้สึกเจ็บปวด ทำให้การต้มกุ้งล็อบสเตอร์ทั้งเป็นถูกจัดเป็นการทรมานสัตว์ ตามเนื้อความของกฎหมายนั้น วิธีการสังหารเจ้าแมลงแห่งท้องทะเลเหล่านี้อย่างถูกต้องนั้น มีอยู่สองวิธีด้วยกัน หนึ่งในนั้นเป็นการช็อตไฟฟ้า (ซึ่งไม่เหมาะสมกับการทำอาหารอย่างยิ่ง) และการนำกุ้งล็อบสเตอร์โดยการจุ่มลงในน้ำเค็มแล้วใช้มีดแทงเข้าไปที่สมองของมัน แทนที่จะใช้เวลาหลายนาทีทรมานอยู่กับน้ำร้อน ก่อนที่จะตายจากการถูกต้ม กุ้งล็อบสเตอร์ที่โดนแทงสมองจะถูกฆ่าตายในทันที อย่างไรก็ตามจากกฎหมายการแช่แข็งสัตว์เป็นๆ เพื่อขนส่ง เราจึงไม่สามารถใช้ความเย็นทำให้กุ้งรู้สึกชาก่อนได้ มัดกุ้งให้แน่เพื่อรอเชือด (จำเอาไว้ว่าการกักขังหน่วงเหนี่ยว แย่งชิงอิสระจากกุ้งนั้นไม่ผิดกฎหมาย) วางปลายคมมีดลงในฐานของศีรษะกุ้ง บริเวณที่เปลือกชี้เป็นปลายแหลม ใช้แรงกดทิ่งปลายมีดเขาไปยังสมอง และใช้แรงกดของมือผ่าหัวกุ้งออกเป็นสองส่วน แค่นี้กุ้งก็เดี้ยงสนิท จากไปอย่างสงบ เหลือไว้เพียงร่างการให้เราเอาไปทำอาหารต่อแล้ว ถ้าเห็นกุ้งยังขยับได้ก็ไม่ต้องแปลกใจนะ มันก็แค่การตอบสนองของระบบประสาท ส่วนใครที่ดูเป็นภาพ อ่านเป็นตัวหนังสือแล้วไม่เข้าใจ ก็สามารถเข้าไปดูวีดีโอได้ที่นี่ ที่มา skillet
-
เปิดประวัติ Bolaji Badejo ยักษ์ใหญ่ไนจีเรีย ชายผู้อยู่เบื้องหลังอสูร ‘เอเลี่ยน’ ภาคแรกที่โลกหลงลืม
ในปี 1979 มีหนังสยองขวัญในอวกาศสุดคลาสสิกเรื่องหนึ่งได้กลายเป็นตำนานแห่งวงการหนังไป มันเป็นหนังที่มีสัตว์ประหลาดตัวสูงใหญ่ที่มีมีขากรรไกรขนาดใหญ่และเลือดที่เป็นกรด ที่ไม่ใช้แค่ฆ่าเหยื่อเท่านั้น แต่มันยังจับมนุษย์ผู้โชคร้ายไปฝังตัวอ่อนของพวกมันอีกด้วย หนังเรื่องนั้นคือ “Alien” ที่กำกับโดย Ridley Scott นั่นเอง แต่แม้ว่าแทบทุกคนจะรู้จัก Ripley ตัวเอกของเรื่องที่เล่นโดย Sigourney Weaver กลับมีน้อยคนนักที่จะรู้จักตัวตนทีี่แท้จริงของผู้ที่ซ่อนอยู่ข้างในร่างกายอันน่าหวาดกลัวของอสูรร้ายที่รู้จักกันในนาม Xenomorph ราวกับคำพูดอันโด่งดังจากในเรื่องที่ว่า “ในอวกาศไม่มีใครได้ยินคุณกรีดร้องหรอก” ชื่อของเขาคือ Bolaji Badejo ชายหนุ่มชาวไนจีเรียผู้สูงกว่า 2 เมตร ชายหนุ่มที่ได้รับบทบาทตัวร้ายอันสุดแสนสำคัญของฮอลลีวู้ด ด้วยความบังเอิญล้วนๆ เขาเกิดในเลกอส ประเทศไนจีเรีย ในปี 1953 เขาเป็นบุตรของผู้อำนวยการทั่วไปของ Nigerian Broadcasting Corporation และผู้ดูแลระบบสวัสดิการ จากการสัมภาษณ์ของพี่ชายของเขาในปี 2014 Badejo ไปศึกษาต่อในเอธิโอเปีย และสหรัฐอเมริกาก่อนที่จะย้ายไปเรียนที่ ลอนดอนเพื่อศึกษาศิลปะภาพพิมพ์ ตัวแทนฝ่ายจัดหานักแสดง Peter Ardram พบกับ Badejo ที่ผับในลอนดอน หลังจากที่การดูตัวนักแสดงจบลงโดยไม่สามารถหาคนที่เหมาะสมได้ เขาพบว่า Badejo มีลักษณะตรงตามที่โปรดิวเซอร์ Ivor Powell ต้องการทุกอย่าง ทั้งความสูงและร่างกายที่ผอมเพียว พวกเขาจึงได้จัดให้ Ridley กับ Badejo…
-
ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมเผย การดื่มชาผลไม้ และวิธีการดื่มชาที่ไม่ดี อาจส่งผลเสียต่อฟัน
เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะชอบดื่มชากันพอสมควร แต่อาจจะมีบ้างที่รู้สึกว่าชาที่ดื่มนั้นมันช่างธรรมดาเหลือเกิน ดังนั้นการที่จะเปลี่ยนรสชาติชาที่เราดื่มไปเป็นชาผลไม้บ้างก็น่าสนใจดีเหมือนกันใช่ไหมล่ะ จริงอยู่ว่าการที่นานๆ ดื่มชาผลไม้ทีมันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าดื่มชาพวกนั้นบ่อยๆ เข้า ชาเหล่านั้นอาจจะทำให้เกิดผลเสียกับฟันได้เลยทีเดียว ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมของ King’s College London ออกมาเตือนว่า การดื่มชาผลไม้นั้นมีโอกาสทำให้ฟันเสียมากกว่าปกติถึง 11 เท่า โดยการแจ้งเตือนดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาได้ทำการทดลองวัดระดับกรดในอาหารและเครื่องดื่ม และพบว่าการเลือกชา และวิธีดื่มชาของคนบางกลุ่มนั้นสามารถนำไปสู่การกัดเซาะฟันได้ จากการตรวจสอบนั้น พบว่าว่าชาผลไม้นั้นเต็มไปด้วยกรดอันตรายซึ่งมี ชาขิง ชามะนาว ชาเบอร์รี่ และชากลิ่นกุหลาบนั้น มีระดับของกรดที่สูงที่สุด โดยเฉพาะการดืมชาเปล่าๆ ที่ไม่มีการทานอาหารควบคู่ไปด้วยนั้น อาจทำการเกิดการกัดกร่อนของเนื้อฟันได้มากเป็นสองเท่าของการดื่มชาในระหว่างการทานอาหารเลยทีเดียว นักวิจัยยังบอกอีกว่าการดื่มชาแบบที่อันตรายที่สุดนั้นคือการดื่มชาแบบที่มีการรับรสชาติอย่างละเมียดละมัยเนื่องจากมีการค่อยๆ จิบชา กลั้วชาในปาก หรืออมน้ำชาไว้ จนทำให้กรดมีการสัมผัสกับฟันเป็นเวลานาน ก่อนที่จะกลืนลงไป Dr. Saoirse O’Toole กล่าวว่า “เป็นที่รู้กันดีว่าอาหารที่เป็นกรดนั้น มีความเกี่ยวเนื่องกับการสึกหรอของฟันจากการกัดกร่อน อย่างไรก็ตามการศึกษาของเราได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของ ‘วิธีการ’ บริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นกรด การลดปริมาณกรดในอาหารเป็นกุญแจสำคัญในการชะลอการกัดเซาะฟัน แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินทั้งหมดเลยอาจเป็นเรื่องยาก แต่การแทรกแซงทางพฤติกรรมที่เป็นบางอย่าง อาจประสบความสำเร็จก็ได้” ยังถือว่าโชคดีที่ชาธรรมดาๆ ไม่ได้มีฤทธิ์กัดกร่อนฟันขนาดนั้น แต่สำหรับคนที่ชอบเครื่องดื่มที่ออกรสเปรี้ยวนิดๆ อย่างชามะนาวแล้ว…
-
เผยข้อมูลสวิตเซอร์แลนด์ แม้มีอัตราครอบครองปืนสูง แต่ไม่มีเหตุกราดยิงตั้งแต่ปี 2001
ปัญหาการกราดยิงในสหรัฐอเมริกาถือเป็นหาเรื้อรังที่เกิดมาอย่างยาวนาน จนตอนนี้หลายคนก็พากันคิดไปว่าสหรัฐอเมริกาคือ ประเทศที่มีอัตราการครอบครองปืนสูงที่สุดในโลก!! แต่ความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้น เพราะประเทศที่มีการครอบครองอาวุธสูงที่สุดกลับตกเป็นของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไปซะได้ เพียงแต่ว่าที่สวิตเซอร์แลนด์นั้นกลับไม่มีข่าวการกราดยิงเกิดขึ้นอีกเลย ตั้งแต่เหตุการณ์สังหารหมู่ Zug Massacre ที่เกิดขึ้นในปี 2001 แล้วอะไรคือสาเหตุของความแตกต่างระหว่างสองประเทศนี้ล่ะ… จากการสำรวจในปี 2016 พบว่าประชากรชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่มีอยู่ทั้งหมด 8.372 ล้านคนนั้น มีประชากรที่ครอบครองปืนมากถึง 2 ล้านคน ซึ่งนั่นถือเป็นจำนวนที่สูงมากๆ แต่ว่าอัตราการก่อเหตุฆาตกรรมนั้นเกือบจะเป็นศูนย์ นอกจากนี้สมาคมผู้ครอบครองปืนไรเฟิลแห่งชาติอย่าง NRA (The National Rifle Association) ก็ยังชี้ว่าคนในประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น อาจจะไม่จำเป็นจะต้องมีใบอนุญาตครอบครองปืนด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ผู้ชายในประเทศตั้งแต่อายุ 18 ถึง 34 ปียังต้องเข้ารับการฝึกใช้ปืนตามข้อกฎหมาย โดยเหตุที่ต้องเข้ารับการฝึก ก็เพื่อให้ประชาชนมีความสามารถในการป้องกันเหตุร้ายและเข้าช่วยปฎิบัติงานต่างๆ ได้ทันที และหลังจากผ่านการฝึกแล้ว ผู้ฝึกสามารถเก็บปืนที่ใช้ฝึกไว้กับตัวได้ทันที โดยในปี 2000 ได้มีการออกสำรวจและถามประชากรในประเทศเกี่ยวกับเหตุผลของของการครอบครองปืน ซึ่งกว่า 25% ของประชากรให้คำตอบว่า พวกเขาจะมีและใช้ก็ต่อเมื่อเข้าปฎิบัติหน้าที่ในฐานะตำรวจหรือทหารเท่านั้น กลับกันในอเมริกามีเพียง 5% ที่ตอบในทำนองเดียวกัน…
-
นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณรู้สึกเสียวจี๊ด เวลาเอานิ้วหรืออะไรเข้าไปแหย่ใน ‘สะดือ’
อย่างที่คนเราทราบกันดีว่า “สะดือ” นั้นคือส่วนเหลือของสายสะดือซึ่งเป็นท่อที่ส่งผ่านทุกสิ่งมายังลูกน้อยขณะที่ยังอยู่ในท้องแม่ แต่หลังจากที่เด็กออกมาสู่โลกภายนอก สะดือก็จะกลายเป็นอวัยวะที่ไม่รู้จะเอาไว้ใช้ประโยชน์อะไร คนเราจะมีลักษณะของสะดือที่แตกต่างกัน สะดือแบบที่บุ๋มเข้าไปด้านใน ภาษาบ้านเราจะเรียกว่า “สะดือโบ๋” ส่วนสะดือที่มีลักษณะเป็นจุกนูนออกมาด้านนอก จะเรียกว่า “สะดือจุ่น” ซึ่งทั้งสองแบบก็ไม่รู้ว่ามีประโยชน์อย่างไรเช่นกัน เราจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของมันก็ต่อเมื่อ หากเราเอามือหรืออะไรไปโดน มันจะรู้สึกแปลกๆ และเสียวแปล๊บๆ ซึ่งมันแปลก เพราะกับส่วนอื่นๆ ของร่างกายเราไม่ยักรู้สึกแบบนั้น นอกจากสะดือจะแปลกแล้ว คนที่ชอบมาเล่นสะดือนั้นแปลกกว่าอีก Dr. Christopher Hollingsworth แห่ง NYC Surgical Associates อธิบายว่า “เมื่อสัมผัสสะดือ คุณไม่ได้กระตุ้นให้ผิวหนังเกิดความรู้สึกเท่านั้น แต่มันไปกระตุ้นเส้นใยของกล้ามเนื้อท้องชั้นในอีกด้วย” “ดังนั้น เมื่อคุนเอานิ้วไปสัมผัสกับสะดือมันจึงส่งสัญญาณจากเส้นใยกล้ามเนื้อท้องไปยังกระดูกสันหลัง” Dr. Christopher กล่าวต่อ “เพราะกระดูกสันหลังในชั้นนั้นก็มีหน้าที่ส่งต่อสัญญาณที่เกิดจากถุงและท่อปัสสาวะอีกด้วย มันจึงรู้สึกคล้ายๆ กับเวลาที่คุณไม่สบายตัวยามต้องการเข้าห้องน้ำ” แต่มันมีอะไรยิ่งกว่านั้น บางที เวลาที่เราหรือคนอื่นก็ตามมาสัมผัสสะดือเรา มันทำให้เกิดความรู้สึก “จั๊กจี้” ที่ไม่เกี่ยวกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย แบบนี้มันหมายความอะไรกัน? แน่นอนว่า Dr. Christopher ก็มีคำตอบให้อีกเช่นเคย…
-
Ernestine Shepherd คุณยายวัย 80 ปี นักเพาะกายหญิงที่มีอายุมากที่สุดในโลก!!
การดูแลตัวเองนั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายเราสุขภาพแข็งแรง และห่างไกลจา่กโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ยังทำให้คุณดูอ่อนกว่าวัยเหมือนกับคุณยายวัย 80 ปีผู้นี้อีกด้วย!! เรื่องราวของคุณ Ernestine Shepherd หญิงชาวเมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา ผู้นี้อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆ คนที่กำลังจะเริ่มหันมาออกกำลังกายและดูแลตัวเองได้ไม่น้อยเลยทีเดียว คุณยายท่านนี้เริ่มต้นเข้ายิมและออกกำลังกายครั้งแรกตั้งแต่ตอนที่เธออายุ 71 ปี และเป็นเวลานานหลายปีแล้วที่เธอไม่เคยอยู่ห่างจากลูกเหล็กและยิมเลย คุณ Shepherd จะใช้เวลาประมาณ 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการออกกำลังกายในยิม และด้วยความเชี่ยวชาญบวกกับประสบการณ์ของเธอ ทำให้ตอนนี้เธอคือเทรนเนอร์ประจำทีม Granny Six-Pack ที่เธอก่อตั้งขึ้น และเห็นอายุนำหน้าด้วยเลข 8 แบบนี้แต่ร่างกายของคุณยายท่านนี้ยังคงฟิตปั๋งอยู่เลยทีเดียว เธอสามารถยกน้ำหนักในท่านอนได้มากเกือบ 50 กิโลกรัมเลยทีเดียว คุณ Shepherd หญิงสาวผู้ถูกบันทึกว่าเป็นเพาะกายหญิงที่อายุมากที่สุดในโลกจากกินเนสเวิร์ดเรคคอร์ด ได้ให้สัมภาษณ์ถึงจุดเริ่มต้นการออกกำลังกายของเธอว่า “ฉันกับพี่สาวเริ่มต้นการออกกำลังกายด้วยกัน ตอนนั้นเราไม่เคยเริ่มต้นออกกำลังกายมาก่อนเลย แต่ก่อนที่เธอจากโลกนี้ไป เธอฝากความฝันการเป็นนักเพราะกายที่ได้รับการบันทึกสถิติโลกไว้กับฉัน และฉันก็ทำมันได้สำเร็จ” ในแต่ละวันคุณยายวัย 80 ปีผู้นี้จะเริ่มต้นการออกำลังกายในตอนเช้าหลังจากที่เธออ่านพระคำภีร์เสร็จ โดยเริ่มจากการเดินและวิ่งประมาณ 16 กิโลเมตร และหลังจากนั้นช่วงประมาณ 7 โมงครึ่งเธอก็จะมุ่งหน้าสู่ยิมและฝึกให้กับกลุ่มของเธอ การออกกำลังกายร่วมกันของกลุ่ม Granny Six-Pack นั้นไม่ได้จำกัดอายุ…
-
เสียงครางของแมว อาจไม่ได้หมายถึง ‘ความรู้สึกดีๆ’ ที่ได้เจอเจ้าทาสเสมอไปหรอกนะ!!
เวลาที่เราเล่นกับเจ้าเหมียวเพื่อนรักหรือตอนที่เราพามันขึ้นมานอนตัก เราอาจเคยได้ยินเสียงครวญครางแว่วออกมาจากในลำคอของพวกมัน ทำให้เราเข้าใจว่าเจ้าเหมียวรู้สึกเพลิดเพลินและสุขสบายกับช่วงเวลานั้นอยู่ แต่มันก็อาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไปหรอกนะ Tony Buffington ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแมวและเป็นสัตวแพทย์ในมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา เขาได้ออกมาอธิบายเกี่ยวกับเสียงครางของแมวเอาไว้ว่า “ทุกพฤติกรรมของพวกมันนั้นขึ้นอยู่กับเบื้องหลังความเป็นมา บริบทในตอนนั้น และความคาดหวัง” เขาอธิบายว่ามันก็เหมือนกับการที่เราหัวเราะ แต่ไม่ได้แปลว่าเรากำลังตลกเสมอไป พวกแมวเองก็เช่นกัน การที่มันส่งเสียงร้องไม่ได้แปลว่าต้องมีความสุขเสมอไป อาจเป็นเพราะว่ามันกำลังกลัว หิว รู้สึกเจ็บ หรืออื่นๆ ก็เป็นได้ อย่างถ้าเป็นแม่แมวมันจะส่งเสียงครางออกมา เพื่อนำลูกน้อยที่เพิ่งเกิดมาแล้วยังคงตาบอดกับหูหนวกอยู่ไปยังสถานที่อันอบอุ่นหรือพาไปหาอาหาร ในขณะที่สัตวแพทย์เชื่อว่าลูกแมวส่งเสียงออกมาเพื่อบอกให้รู้ว่าพวกมันยังสบายดี และช่วยสานสัมพันธ์ของมันกับแม่อีกด้วย ผู้เชี่ยวชาญ บอกว่าการร้องครางของแมวจะช่วยให้ปล่อยสารเอ็นดอร์ฟีนที่ทำให้รู้สึกดีออกมา พวกเขาจึงเชื่อว่าการที่มันส่งเสียงแบบนั้นอาจเป็นเพราะว่ามันกำลังกลัวอยู่หรือเจ็บร่างกายอยู่ก็เป็นได้ และต้องการให้สารดังกล่าวมาช่วยเยียวยา อีกทั้งยังมีการศึกษาที่บอกว่าถ้าทั้งร่างกายเราสั่นสะเทือนด้วยความถี่ 35-50 เฮิรตซ์ จะช่วยกระตุ้นรักษาอาการบาดเจ็บของกระดูกได้ และเสียงครางของแมวมีค่าความถี่อยู่ที่ 25-150 เฮิรตซ์ นั่นจึงอาจหมายความว่าพวกมันส่งเสียงแบบนั้นออกมาเพื่อทำให้กระดูกแข็งแรงอยู่เสมอนั่นเอง (วิธีนี้นักบินอวกาศของ NASA เองก็ใช้ เมื่ออยู่ในพื้นที่ไร้แรงโน้มถ่วง) นอกจากนั้นเสียงครางของพวกมันก็มีโอกาสที่จะพุ่งสูงเกิน 150 เฮิรตซ์อยู่เหมือนกัน จาก การศึกษา หนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Current Biology…
-
เจ้าของโมเทลเก็บงำความลับเบื้องหลังสุดหลอนเอาไว้ กลายเป็นเรื่องดัง จนนำไปสู่การสร้างหนัง!!
เรื่องราวสุดหลอนนี้เกิดขึ้นที่โรงแรม Manor House Motel โมเทลจากเมือง Aurora รัฐโคโลราโด โมเทลธรรมดาๆ สำหรับนักเดินทาง แต่ที่นี่กลับกลายเป็นสถานที่ชวนขวัญผวาหลังจากที่มีการเปิดเผยความลับของนาย Gerald Foos ผู้เป็นเจ้าของ ที่ Manor House Motel นั้นไม่ต่างอะไรจากโรงแรมทั่วๆ ไป ที่นี่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเตียงนอนนุ่มๆ ห้องที่สะอาด หรือที่จอดรถสุดกว้างขวาง แต่หลังจากปี 1980 พฤติกรรมของเจ้าของโรงแรมแห่งนี้กลับถูกเปิดเผยโดยนักเขียนรายหนึ่ง Gay Talese นักเขียนชื่อดังเจ้าของหนังสือ Thy Neighbor’s Wife ที่พูดถึงการปฏิวัติทางเพศของชาวอเมริกา ได้รับคำเชิญจากเจ้าของโรงแรม หลังจากที่ Foos ส่งจดหมายไปหาเขาพร้อมกับบอกว่าที่โมเทลแห่งนี้มีเรื่องราวบางอย่างที่น่า Talese น่าจะนำไปทำงานเขียนได้ ทันทีที่นักเขียนหนุ่มมาถึงโรงแรม เขาก็รู้สึกสงสัยที่ช่องลมของโมเทลแห่งนี้ในทันที แต่หลังจากนั้นก็เป็นฝ่ายเจ้าของโรงแรมเองที่พาเขาไปพบกับความลับที่ซ่อนอยู่ในห้องใต้หลังคา Foos เรียกที่แห่งนี้ว่าห้องทดลองของเขา เจ้าของโรงแรมบอกกับนักเขียนหนุ่มว่าเขาใช้ที่นี่ในการเฝ้ามองแขกที่เข้ามาพัก ซึ่งเขาได้เริ่มทำมันตั้งแต่ตอนที่เปิดให้บริการโมเทลแห่งนี้ครั้งแรก “ครั้งหนึ่งผมเคยเห็นคู่รักที่นอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงผ่านช่องลมนี้” Talese เขียนเล่าเรื่องราวของเขาในหนังสือพิมพ์ The New York Times นอกจากการแอบมองแขกผู้เข้าพักแล้ว Foos ยังได้นำกองกระดาษสีเหลืองที่เขาอ้างว่าเป็นสิ่งสำคัญและทำให้นักเขียนเข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องแอบมองลูกค้า “ผมขึ้นไปอยู่บนนั้นจนกระทั้งเช้า มันเป็นอะไรที่เหนื่อยมากๆ ผมจดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในนี้ในขณะที่ผมยังจำได้” Foos เริ่มอธิบายถึงความลับของเขา…
-
9 สัญญาณเตือนสุขภาพ จากอาการ ‘หูอื้ออึง’ เสียงในหูที่คุณไม่ควรปล่อยผ่านไป!!
ว่ากันว่าคนที่รู้เรื่องรางกายของเราดีที่สุดนั้นไม่ใช่คุณหมอหรือคุณแม่ แต่หากเป็นตัวเรานั้นเอง และบ่อยครั้งที่ร่างกายของเราก็มักจะส่งสัญญาณเตือนเวลาที่เราละเลยเรื่องสุขภาพมากเกินไป อย่างเช่นอาการปวดท้อง ปวดหัว หรือไอเรื้อรังนั่นเอง และนอกจากอาการข้างต้นแล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งสัญญาณเตือนจากร่างกายที่เรามักจะไม่ค่อยได้ใส่ใจกันอย่างเช่นอาการหูอื้อนั่นเอง อ่า… และเจ้าอาการที่ว่านี้จะบอกอะไรกับเรานอกจากเวลาขึ้นที่สูงบ้างนั้น ขอเชิญพบกับ!! 9 สัญญาณเตือนสุขภาพ จากอาการ ‘หูอื้ออึง’ ที่คุณไม่ควรปล่อยผ่าน 1. คุณฟังเพลงดังเกินไปหรือเปล่า!? แน่นอนว่าการเปิดเสียงเพลงดังๆ นั้นถือเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คุณหูอื้อ และนอกจากนี้ผู้ที่ต้องทำงานอยู่กับเสียงดังตลอดเวลาก็อาจจะมีอาการที่ว่านี้ด้วยก็ได้ ดังนั้นถ้าหากอยากหลีกเลี่ยงอาการเหล่านี้ล่ะก็ควรลดเสียงเพลงลงหน่อย ส่วนใครที่ต้องทำงานที่มีเสียงดังก็อย่าลืมหาเครื่องป้องกันมาใส่ไว้ล่ะ 2. ได้เวลาทำความสะอาดหูกันแล้วเพื่อนรัก บางครั้งอาการหูอื้อของคุณก็อาจจะเกิดจากการละเลยความสะอาดก็ได้ เพราะบางครั้งคราบไขมันที่อยู่ในหูก็อาจจะไปปิดกันทำให้คุณมีอาการหูอื้อได้นั่นเอง 3. หัวของคุณได้รับการกระทบกระเทือนรึเปล่า!? อาการหูอื้อถือเป็นหนึ่งในสาเหตุที่มาจากศีรษะถูกกระแทก นอกจากนี้อาการอื่นๆ ที่ทำให้คุณรู้สึกคลื่นไส้เวียนศีรษะ หรือทำงานที่มีความเสียงสูง ก็อาจจะทำให้มีอาการหูอื้อได้เช่นกัน 4. อาจจะไม่ค่อยเกี่ยวกัน แต่คุณควรไปพบหมอฟันนะ!! โรค Temporomandibular Joint หรืออาการผิดปรกติของขากรรไกร ซึ่งมีการเชื่อมต่อกับกะโหลกศีรษะของเราอาจจะทำให้การได้ยินของคุณมีความผิดปรกติได้เช่นกัน 5. ยาบางตัวอาจจะทำให้คุณเกิดอาการหูอื้อ ยาบางตัวนั้นก็อาจจะทำให้เกิดอาการหูอื้อได้เช่นกัน ดังนั้นถ้าหากว่าคุณไม่แน่ใจปริมาณการทานในแต่ละมื้อหรือผลข้างเคียงของยาล่ะก็ อย่าลืมถามคุณเภสัชกรคนสวยให้แน่ใจก่อนรับยากลับบ้านล่ะ 6. บางทีมันก็อาจจะเป็นความผิดปรกติของกระดูกในหู…
-
นักวิทย์แนะวิธีการคาดคะเนการเกิด ‘ไมเกรน’ ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ เพื่อรับมือได้ทันท่วงที
อาการปวดหัวไมเกรน คือหนึ่งในสิ่งที่มีคนประสบปัญหานี้กันอยู่ค่อนข้างมาก มันจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน และมีประสาทที่ไวต่อเสียงหรือแสงจนทำให้ต้องนอนพักอยู่บนเตียงแทบจะตลอด หรือหนักกว่านั้นอาจถึงขั้นเข้าห้องฉุกเฉินกันเลย ลักษณะของอาการที่ว่ามานั้นอาจทำให้หลายๆ คนรู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินที่ผิดปกติ แต่ไมเกรนเฉียบพลันบางครั้งไม่ได้เกิดจากสาเหตุเหล่านั้นเสมอไป เมื่อได้มีการศึกษาใหม่ที่บอกว่ามันอาจเกิดจากสาเหตุที่ใกล้ตัวมากกว่านั้น นี่คือ การศึกษา ของดอกเตอร์ Tim Houle จากโรงพยาบาล Massachusettes General ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกตีพิมพ์ในวารสาร Headache เมื่อเขาและผู้วิจัยในทีมพบว่าเมื่อไหร่ที่เรามีความเครียด วันต่อมาเราจะเกิดอาการปวดหัวขึ้น โดยความเครียดที่ว่านั้นไม่ใช่แบบธรรมดาทั่วไป แต่มันคือความเครียดขั้นรุนแรง พวกเขาได้ทำการวิจัยกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 95 คน โดยต้องเป็นคนที่มีอาการปวดหัวเรื้อรังและสามารถเก็บข้อมูลได้ตลอดช่วงเวลากว่า 4,195 วัน โดยจะเก็บข้อมูลระดับความเครียดในแต่ละวันและดูว่ามีวันไหนที่เกิดอาการปวดหัวขึ้นบ้าง จากการบันทึกผลรายงานว่า กลุ่มตัวอย่างต้องเจอกับอาการปวดหัวถึง 1,613 วัน คิดเป็น 38 เปอร์เซ็นต์ของระยะเวลาทั้งหมด ซึ่งโดยรวมแล้วคนเหล่านั้นจะบันทึกผลว่ามีความเครียดอยู่ในระดับน้อยถึงปานกลาง แต่เมื่อไหร่ที่พวกเขารู้สึกว่าตนเองมีความเครียดเพิ่มสูงขึ้น ในวันต่อมาพวกเขาก็จะเกิดอาการปวดหัว ดอกเตอร์ Houle บอกว่า “เราทราบดีว่าบางคนมีความเสี่ยงที่จะถูกอาการดังกล่าวเข้าโจมตีมากกว่าคนอื่นๆ แต่เรายังไม่สามารถคาดเดาความเสี่ยงในแต่ละระดับที่เพิ่มสูงขึ้นภายในตัวบุคคลได้อย่างแม่นยำ การศึกษาในครั้งนี้จึงเป็นตัวสาธิตที่บอกว่ามีความเป็นไปได้ที่เราจะคาดการณ์การโจมตีล่วงหน้าของไมเกรนในคนที่มีอาการปวดหัวในแต่ละราย” หลังจากนี้พวกเขาจะยังคงวิจัยให้มากยิ่งขึ้น…
-
16 ความรู้เกี่ยวกับอาหารที่เรากิน มันอาจจะทำให้คุณหันมากินอะไรที่ดีต่อสุขภาพได้เลยนะ
อาหารคือสิ่งที่เราจะต้องเจออยู่ทุกๆ วัน เพราะเรื่องของการกินเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากกับชีวิตของมนุษย์ แต่ถึงแม้ว่าเราจะได้หยิบจับหรือบริโภคมันอยู่ตลอด แต่จริงๆ แล้วมันอาจจะมีความลับบางอย่างซ่อนเอาไว้โดยที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้ วันนี้เราจึงจะมาพูดเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารการกิน วิธีการบริโภค หรือเรื่องราวแปลกๆ เกี่ยวกับอาหารที่เพื่อนๆ อาจจะไม่รู้กันมาก่อน มีอะไรบ้าง ไปติดตามอ่านกันเลยจ้า 1. สติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่บนผลไม้สามารถกินได้ ปกติเราทุกคนเลือกที่จะแกะมันออก แต่ ความจริง แล้วมันเป็นสติ๊กเกอร์ที่ทำมาจากกระดาษกินได้ รวมถึงกาวที่ใช้ก็อยู่ในเกรดที่สามารถใช้กับอาหารได้อย่างเหมาะสม ซึ่งมีไว้เผื่อเวลาที่เราเผลอกินมันเข้าไป 2. คนที่กินอาหารเผ็ดบ่อยๆ มีแนวโน้มที่จะอายุยืนยาวกว่า จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์ฮาร์วาร์ด บอกว่าการกินอาหารเผ็ดๆ หนึ่งจานต่อวันจะช่วยลดความเสี่ยงในการตายลงไป 14 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคนที่กินเผ็ดแค่สัปดาห์ละครั้งหรือน้อยกว่านั้น ซึ่งนั่นน่าจะเป็นผลจากส่วนผสมของอาหารที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ทำให้ช่วยรักษาระดับคอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ 3. ไม่ควรนำมะเขือเทศไปแช่ตู้เย็น เพราะว่ามันจะเสียรสชาติ หากใครทำอาหารคงจะทราบเรื่องนี้กันดี และวันนี้ได้มีการศึกษาที่มาสนับสนุนความคิดดังกล่าวที่บอกว่า มะเขือเทศจะสูญเสียความสามารถในการพัฒนารสชาติของตัวเองให้เต็มที่ เมื่ออยู่ในอากาศเย็น 4. มะนาวมีน้ำตาลมากกว่าสตรอว์เบอร์รี่ แต่ว่ามันมีกรดไซตริกมากจนเกินไปจึงทำให้เราไม่สามารถรับรู้ถึงความหวานของมันได้ 5. การทำอาหารในไมโครเวฟคือวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาแร่ธาตุและสารอาหารเอาไว้ การนำผักใส่น้ำไปต้มในไมโครเวฟจะทำให้เราได้รับประโยชน์มากกว่าวิธีการอื่นๆ 6. ไข่แดงมีสารอาหารอยู่มากกว่าไข่ขาว ไข่ขาวมีโปรตีนมากกว่าจึงเหมาะกับการไดเอต แต่ถ้าเราต้องการวิตามินและแร่ธาตุแล้วล่ะก็…
-
17 อาการของคนเสพติด ‘กาแฟ’ จะเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะทุกเช้าเราต้องชาร์จจจจจจ
ทุกคนต่างมีความชอบเป็นของตัวเอง บางคนชอบเล่นเกม บางคนชอบฟังเพลง หรือบางคนชอบอ่านหนังสือ จนบางครั้งที่เราชอบทำสิ่งนั้นมากๆ อยู่กับมันทุกๆ วัน มันก็จะแปรเปลี่ยนไปเป็นการเสพติด และหนึ่งในการเสพติดที่หลายๆ คนมักจะเป็นคือการเสพติดกาแฟ จากตอนแรกที่เราดื่มมันเพื่อให้ตัวเองรู้สึกตื่นตัวในตอนเช้า กลับกลายเป็นว่าหลังๆ เราดื่มมันทุกวันจนขาดไม่ได้กันเลยทีเดียว และนี่คืออาการของการเสพติดดังกล่าวที่เชื่อว่าเหล่าผู้ชื่นชอบการดื่มกาแฟจะเข้าใจเป็นอย่างดี ลองไปดูกันเลย รู้สึกหงุดหงิดเวลาตื่นมายามเช้า “เธอต้องตื่นได้แล้วนะ” “เธอเองก็ต้องไสหัวไปให้พ้นซะนะจ๊ะ” คร่ำครวญหาแต่กาแฟ จนกว่าจะได้ดื่มสักจิบนึง ความอดทนต่ำแบบสุดๆ ในช่วงก่อนเที่ยง ในภาพบนจอถามว่า “วันนี้คุณต้องการรับอะไร” เขาจึงแปะกระดาษไปด้วยความอารมณ์เสียว่า “อะไรก็ได้เอามาเถอะ” มีความสามารถในการตามหาร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ที่สุด หรืออยู่รอบๆ บริเวณนั้นทั้งหมด มีการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์อย่างชัดเจน ในตอนก่อนและหลังได้ดื่มกาแฟ สามารถเดาได้เลยว่าคุณจะเข้าห้องน้ำเวลาไหนบ้าง ในภาพสื่อถึงปริมาณการดื่มที่ส่งผลต่อการเข้าห้องน้ำ ตอนแรกๆ อาจยังไม่เท่าไหร่ แต่พอใกล้หมดแก้วก็จะรู้สึกอยากถ่ายหนักขึ้นมาทันที มีแนวโน้มที่จะตัดสินรูปแบบการกินกาแฟของคนอื่นๆ ถ้าจะใส่วิปครีมเยอะขนาดนี้ ก็อย่าเรียกว่าเป็นกาแฟอีกต่อไปเลย สามารถแสดงประสิทธิภาพการทำงานได้มากกว่าค่าเฉลี่ย เมื่อได้รับคาเฟอีนที่เพียงพอ รู้สึกว่าชีวิตเปลี่ยนไปเป็นคนละขั้ว ปวดหัว เวลาที่ไม่ได้รับคาเฟอีน เกิดอาการหวาดระแวงบ้างเป็นครั้งคราวคิดว่าตัวเองจะเป็นโรคหัวใจวายตาย…
-
ผลลัพธ์ของการ “อดนอน” เป็นระยะเวลานาน จะเกิดอะไรขึ้นหากไม่นอน 6 ชั่วโมง ถึง 10 วัน!?
เราอาจเคยมีความคิดว่าถ้าเราหลับน้อยๆ หรือไม่ต้องหลับเลย เราจะมีเวลามากขึ้นไว้ใช้ทำสิ่งต่างๆ ที่ต้องการได้เยอะขึ้น แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ร่างกายของเราไม่อาจทนรับสภาพนั้นไหวได้ เราจึงควรพักผ่อนกันให้เพียงพอเพื่อเริ่มต้นวันใหม่กันอย่างสดใส แต่ถ้าเพื่อนๆ คนไหนยังไม่เชื่อว่าการอดหลับอดนอนมันจะส่งผลเสียอย่างไรกับเรา วันนี้ #เหมียวตะปู เลยอยากชวนทุกคนให้ลองมาดูผลลัพธ์ที่จะได้จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ อดหลับอดนอน หรือถ้าเราไม่นอนพักผ่อนไปเลยเป็นเวลานานๆ ว่าสิ่งเหล่านั้นมันจะส่งผลเสียให้กับเราอย่างไรบ้าง เราลองไปดูกันเลยยย ผ่านไป 6 ชั่วโมงหลังจากที่เรานอนไม่หลับในตอนกลางคืน ร่างกายจะเริ่มผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลที่มากจนเกินไป ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้เราหงุดหงิดและกังวลใจมากยิ่งขึ้น นำไปสู่ความตึงเครียดและความสับสน ผ่านไป 12 ชั่วโมง สมองของคุณจะตัดการทำงานหลายๆ อย่างที่ดูไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ อย่างเช่น ปฏิกิริยาการตอบสนองและการตัดสินใจ ทำให้คุณรู้สึกเชื่องช้าลงไปบ้าง แต่ยังสามารถรับมือกับหน้าที่ในชีวิตประจำวันได้อยู่ ผ่านไป 24 ชั่วโมง แทนที่เราจะรู้สึกเหนื่อยอ่อน เรากลับจะรู้สึกว่าจู่ๆ ก็มีพลังงานพลุ่งพล่านออกมาจนรู้สึกว่าตัวเองสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประสาทสัมผัสคมกริบ มองโลกและคนรอบข้างเป็นสิ่งสวยงามที่น่ารื่นรมย์ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นผลมาจากการที่สมองของเราเพิ่มระดับของสารโดพามีน (สารความสุข) ชดเชยการอดหลับอดนอนนั่นเอง ผ่านไป 36 ชั่วโมง ระบบความจำและปฏิกิริยาการตอบสนองของเราเริ่มลดน้อยลงไป เพราะสมองยังคงต้องรักษาพลังงานเอาไว้สำหรับการทำงานโดยรวม และเวลานี้คือจุดเริ่มต้นของสภาพร่างกายที่จะถดถอยลงไปเรื่อยๆ การทำงานของร่างกายบางอย่างจะปิดตัวลง เหมือนว่าระบบภูมิคุ้มกันกำลังบั่นทอนการเผาผลาญภายในร่างกาย ทำให้รู้สึกเหนื่อยมากๆ …
-
ผู้เชียวชาญแนะวิธีที่จะทำให้คุณเลิก ‘คิดมาก’ สาเหตุของความเครียดและโรคซึมเศร้า
เพื่อนๆ หลายคนเคยมีอาการที่ชอบคิดมากบ่อยๆ มั่งหรือเปล่า #เหมียวฝึกหัด ตอนกลางคืนนี่ไม่สามารถนอนหลับได้เลย เพราะสมองชอบคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอดีต ปัจจุบันหรืออนาคตก็ตาม และถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบคิดมากเหมือนเราแล้วล่ะก็ วันนี้เราก็ได้หาวิธีการที่จะทำให้เลิกคิดมากมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันแล้ว โดยอ้างอิงจาก สำนักงานสถิติแห่งสหราชอาณาจักร (ONS) ได้แสดงค่าสถิติที่เกิดขึ้นของความเครียด ภาวะซึมเศร้าและการคิดมาก ว่าในสหราชอาณาจักรมีอัตราการเพิ่มขึ้นของคนที่มีภาวะซึมเศร้าถึงสองเท่าของทั่วโลก โดยปกติแล้วเราจะพบสองสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดการคิดมาก คือ 1.จมอยู่กับอดีตที่ไม่ดี 2.มักมองอนาคตในแง่ลบ ความเครียด การวิตกกังวลและการคิดมาก สามารถกลายเป็นปัจจัยในการทำให้สุขภาพจิตแย่ลง ถึงการจัดการกับความคิดมากและการมองโลกในแง่ลบอาจไม่สามารถรักษาการเจ็บป่วยทางจิตได้แต่ก็ช่วยให้สามารถใช้ชีวิตแบบรับมือกับความเครียดได้มากขึ้น แต่เมื่อพูดถึงเรื่องกระบวนการคิดและจิต มันยากที่จะฝึกสมองของคุณ มันต้องใช้เวลาในการฝึกฝนมากในการคิดถึงเรื่องที่จะทำให้สุขภาพจิตของคุณดีขึ้น แต่การฝึกคิดถึงเรื่องที่จะทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นแบบนี้มันจะง่ายขึ้นเองเมื่อเวลาผ่านไป การที่จะแก้นิสัยคิดมากนี้ได้ ต้องอาศัยความพยายามทุ่มเทในการฝึกฝนเป็นเวลาอย่างต่ำ 21 วันถึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยได้ และนี่ก็เป็น 6 เทคนิคที่ช่วยให้เพื่อนๆ เลิกนิสัยคิดมากได้ครับ 1. สังเกตความคิดของคุณ หากคุณมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนคิดมากหรือมีความวิตกกังวล มันยากที่จะรู้ว่าตัวเองกำลังคิดมากอยู่ ดังนั้นจึงควรเริ่มจากการตรวจสอบสมองและรับรู้ว่าตัวคุณกำลังคิดอย่างไร จากนั้นคุณก็จะรู้ว่ารูปแบบความคิดที่คุณคิดส่วนมากมันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ 2. คิดอย่างมีประสิทธิผล การจมอยู่กับอดีตที่ไม่ดี จะนำไปสู่รูปแบบการคิดที่มีผลไม่ดีมากขึ้น ดังนั้นควรโฟกัสไปที่หนทางแก้ปัญหา…
-
ย้อนรอย 5 เหตุการณ์ ‘โกง’ สุดอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในการแข่งขันกีฬา ‘โอลิมปิก’
กีฬาโอลิมปิกเป็นมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับมวลมนุษยชาติ เพราะว่าเป็นการแข่งขันระดับโลกที่นำนักกีฬาจากทั่วทุกๆ ประเทศมาไว้รวมกัน กีฬาโอลิมปิกจึงเป็นเป้าหมายสูงสุดสำหรับนักกีฬาทุกคนที่ฝึกซ้อมกันมาอย่างหนัก เพื่อหมายจะคว้าเหรียญรางวัลสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศตัวเองเลยก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นในเทศกาลกีฬานี้ เพราะว่ามีเหตุการณ์บางอย่างที่ถูกจับได้ว่ามีการ ‘โกง’ เกิดขึ้นทั้งๆ ที่กีฬาระดับใหญ่ขนาดนี้ไม่น่าจะมีการเกิดขึ้นได้ และในวันนี้เราจะพาทุกท่านย้อนอดีตไปดูการโกงที่เคยเกิดขึ้น ว่ามีเหตุการณ์ใดที่ได้จารึกลงในประวัติศาสตร์โอลิมปิกบ้าง อีกทั้งเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าหากพร้อมจะเรียนรู้ความผิดพลาดนี้แล้วก็เลื่อนลงดูพร้อมกันได้เลย 1. Jim Thorpe ถูกยึดเหรียญรางวัลเพราะว่าเป็นมืออาชีพ?? ย้อนกลับไปในปี 1912 การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในเวลานั้นได้มีกฏที่เข้มงวดข้อหนึ่งเอาไว้ว่า อนุญาตให้เฉพาะนักกีฬาสมัครเล่นลงแข่งขันเท่านั้น ซึ่งในปีนั้นเอง Jim Thorpe ก็ได้ลงแข่งกีฬาโอลิมปิกที่จัดขึ้นในเมืองสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ซึ่งก็ปรากฏว่าเขาชนะเลิศรางวัลถึง 2 เหรียญทองในการแข่งขันปัญจกีฬาสมัยใหม่และการกรีฑาสิบประเภท แต่เขาก็โดนยึดเหรียญรางวัลคืนไป เนื่องมาจากมีการพบว่าเขาเคยเป็นผู้เล่นเบสบอลระดับกึ่งอาชีพมาก่อนถึง 2 ฤดูกาล ต่อมาในปี 1983 ที่เป็นเวลา 30 ปีหลังจากเขาเสียชีวิต เขาก็ได้รับเหรียญรางวัลคืน แต่ว่าก็ยังคงไม่ได้รับการบันทึกในสถิติโอลิมปิกอยู่ดี 2. การตรวจพบสารสเตอรอยด์ของ Ben Johnson การแข่งขันวิ่ง 100 เมตรชายในปี 1988 ที่ทางประเทศเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ ถือได้ว่าเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งของกีฬาโอลิมปิก เมื่อ…
-
พาวเวอร์แบงก์เกิดไฟลุกไหม้บนเครื่องบิน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาไม่ให้โหลดใต้เครื่อง
เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่าทำไหมถึงมีการห้ามไม่ให้โหลดพาวเวอร์แบงก์ เข้าใต้เครื่องบิน ทั้งๆ บางคนก็เข้าใจว่ามันเป็นการป้องกันการก่อการร้ายที่จะเอาระเบิดยัดใส่ในพาวเวอร์แบงก์ขึ้นเครื่อง แต่นั่นมันไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด เพราะแค่เจ้าตัวพาวเวอร์แบงก์เอง ก็มีความอันตรายมากกว่าที่คิดแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นบนเครื่องบินโดยสารของ China Southern Airlines เที่ยวบินหมายเลข CZ3539 ที่ออกเดินทางจาก เมืองกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง ไปยังสนามบินหงเฉียว ในเซี่ยงไฮ้ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2018 ในการบินครั้งนี้นั้นได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นจากพาวเวอร์แบงก์ของผู้โดยสาร ซึ่งอยู่ในกระเป๋าที่เก็บไว้ในที่เก็บกระเป๋าเหนือศรีษะ เคราะห์ดีที่เพลิงนั้นถูกควบคุมอย่างรวดเร็วโดยแอร์โฮสเตสเครื่อง ตามวิดีโอเหตุการณ์ข้างล่างนี้ Power bank fire on board China Southern CZ3539, Feb 25 2018.?? pic.twitter.com/cby6E62qRv — ChinaAviationReview (@ChinaAvReview) 25 กุมภาพันธ์ 2561 ดูไม้ได้กดเข้าไปดู ที่นี่ อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงจะมีคำถามที่ว่าทำไมจู่ๆ เจ้าพาวเวอร์แบงก์ที่ว่านี้จึงเกิดติดไฟขึ้นมาได้ใช่ไหม ก่อนอื่นต้องอธิบายกันก่อนว่า แบตเตอรี่ในพาวเวอร์แบงก์ นั้นจะมี Lithium เป็นองค์ประกอบ โดยที่แบตเตอรี่ในพาวเวอร์แบงก์นั้นแบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลักๆ คือ Lithium Polymer (เรียกสั้นๆ…
-
Carlos Hathcock มือสไนเปอร์ที่สามารถส่งกระสุนทะลุผ่านกล้องสไนเปอร์ไปโดนหัวของศัตรู
ว่ากันว่าพลแม่นปืนหรือสไนเปอร์นั้นถือเป็นหนึ่งในอาวุธที่สำคัญและสร้างความหวาดกลัวให้กับฝ่ายข้าศึกได้ไม่น้อยไปกว่าเครื่องบินทิ้งระเบิดหรือรถถังหุ้มเกราะเลยทีเดียว เพราะข้าศึกพร้อมที่จะถูกจัดการแบบไม่รู้ตัวได้ทุกเมื่อ และวันนี้เราก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับพลแม่นปืนจากสงครามเวียดนามที่ว่ากันว่า เค้าสามารถจัดการข้าศึกจากระยะไกลได้แม่นยำสุดๆ พบกับเรื่องราวของ Carlos Hathcock พลแม่นปืนจากกองทัพสหรัฐ ที่สามารถจัดการศัตรูที่อยู่ไกลกว่า 2 กิโลเมตรได้อย่างสบายๆ !! Carlos Hathcock สัมผัสกับอากาศของโลกครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 1942 ที่เมือง North Little Rock รัฐอาร์คันซอ เขาคือลูกชายเพียงคนเดียวของบ้าน Hathcock Carlos เติบโตมากับคุณย่าของเขา อดีตนายทหารของเราชื่นชอบอาวุธปืนมาตั้งแต่เด็กๆ เขาเริ่มใช้อาวุธปืนล่าสัตว์ตั้งแต่ตอนอายุได้ 10 ขวบ ก่อนที่จะใช้ความสามารถนี้ในการเข้าร่วมกับหน่วยแม่นปืนของกองทัพสหรัฐที่ Little Rock ในวัย 17 ปี หลังจากเข้าร่วมกองทัพ เด็กหนุ่มถูกส่งตัวไปยังค่ายฝึกที่เมือง San Diego และนี่นั่นเองทำให้เขาได้เรียนรู้หลักสูตรนักแม่นปืนพิเศษเพิ่มเติม ความสามารถในการฝึกของ Carlos ในฐานทัพอากาศสหรัฐที่ Cherry Point ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา นั้นเรียกได้ว่าเป็นพลแม่นปืนที่มีฝีมือหาตัวจับได้ยากที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว ในปี 1962 เขาสามารถทำคะแนนในการฝึกยิงได้ถึง 248 จากคะแนนเต็มทั้งหมด 250 คะแนน นอกจากนี้ Carlos ยังเคยเป็นแชมป์ Wimbledon…
-
โรนัลโด้ กลายเป็นนักกีฬาประสบความสำเร็จที่สุดในโลก ทรัพย์สินทะลุ 13,000 ล้าน
สำหรับใครที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ หรือเคยดูโฆษณารถกระบะ Toyota Hilux Vigo มาก็อาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากับเป็นอย่างดีกับนักฟุตบอลฝีเท้าระดับจักรวาลอย่าง Cristiano Ronaldo หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า CR7 นั่นเอง ด้วยการกวาดถ้วยรางวัลมากมายกับสโมสรปัจจุบันอย่าง Real Madrid และการคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมอย่าง FIFA Ballon d’Or คงจะไม่มีใครที่ปฏิเสธความสามารถของเขาคนนี้แน่นอน!! แต่สำหรับใครที่ไม่เคยดูข่าวฟุตบอลหรือติดตามโฆษณาที่นักเตะคนนี้เป็นพรีเซนเตอร์ล่ะก็ วันนี้ถือเป็นโอกาสดีเลยทีเดียวที่คุณจะได้รู้จักกับนักฟุตบอลที่เรียกได้ว่า “ประสบความสำเร็จมากที่สุด” บนโลกใบนี้ CR7 เค้าคือใคร?? CR7 หรือ Cristiano Ronaldo คือนักฟุตบอลชาวโปรตุเกสที่ปัจจุบันค้าแข้งให้กับยอดทีมในศึกลาลีกาสเปนอย่าง Real Madrid และเค้ายังเป็นหนึ่งในกำลังหลักของทัพฝอยทองโปรตุเกสอีกด้วย Cristiano ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1985 ที่หมู่เกาะ Madeira ประเทศโปรตุเกส เขาเริ่มต้นเส้นทางลูกหนังครั้งแรกเมื่ออายุ 12 ปี กับทีมเยาวชนของสโมสรในบ้านเกิดอย่างสปอร์ติงลิสบอน ก่อนที่จะต้องประสบปัญหาเกี่ยวกับหัวใจทำให้ยอดดาวเตะของเราเกือบเลิกเล่นฟุตบอล แต่หลังจากที่เขารับการรักษาและได้รับการผ่าตัด เด็กชายจากหมู่เกาะ Madeira ก็ได้เล่นให้กับทีมใหญ่ครั้งแรกในปี 2002 และจะย้ายมา Manchester United ในปี 2003 ดาวเตะรายนี้ประสบความสำเร็จแค่ไหนกันนะ!? Ronaldo โลดแล่นอยู่บนสังเวียนพรีเมียร์ลีกได้ 6…
-
ผู้เชี่ยวชาญอธิบาย ทลาย ‘เยื่อพรหมจรรย์’ เลือดไม่ออกเสมอไป และแม้ขาดก็ไม่ได้หายไปเลย
เพศศึกษานั้นเป็นเรื่องยากที่จะสอนให้กระจ่างได้ ผู้สอนนั้นต้องมานั่งกังวลถึงปริมาณความรู้ที่จะใส่เข้าไปในการสอนแต่ละครั้ง เพื่อที่จะไม่ให้มันมากจนเกินไป หรือว่าน้อยจนการสอนไร้ประสิทธิภาพ บวกกับความลึกลับของร่างกายมนุษย์ของเราอีกด้วย ดังนั้นจึงมีหลายกรณีเหมือนกันที่คนเราจะต้องพยว่าความรู้บางเรื่องที่เราเชื่อมั่นมานานแสนนานนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสองคนคือ Nina Brochmann และ Ellen Støkken Dahl นักเขียนหนังสือชื่อดัง The Wonder from Down Under ได้ปฏิเสธความเชื่ออันยาวนานเกี่ยวกับเยื่อพรหมจรรย์ในงาน TEDx Oslo และพวกเขาต้องการให้ทุกคนจดจำเรื่องนี้ไว้ให้ดี ความเชื่อที่หนึ่ง: เยื่อพรหมจรรย์จะฉีกขาดและมีเลือดออกเมื่อมีเซ็กส์ครั้งแรก คนเรานั้นเชื่อว่าเยื่อพรหมจรรย์นั้นคล้ายๆ กับพลาสติกแรปที่เมื่อถูก “ทะลวง” จนเป็นรูแล้วจะไม่สามารถซ่อมให้กลับมาเป็นแทนเดิมได้และเห็นความเสียหายได้อย่างชัดเจน แต่แท้จริงแล้วนั้น เยื่อพรหมจรรย์จะมีสภาพเป็นขอบของเนื้อเยื่อที่บริเวณด้านนอกส่วนทางเข้าของช่องคลอด โดยที่มักจะมีรูปร่างเหมือนโดนัดไม่ก็พระจันทร์เสี้ยวแต่มันก็ไม่แน่เสมอไปเพราะรูปร่างของเยื่อพรหมจรรย์นั้น แตกต่างกันไปในแต่ละคน นั่นทำให้การตรวจสอบเยื่อพรหมจรรย์นั้นเป็นไปได้อย่างยากลำบากมาก เพราะถ้าหากว่าคุณมีเยื่อพรหมจรรย์ที่ยืดยุ่นได้มาก คุณจะแทบไม่มีโอกาสที่จะมีเลือดออกตอนที่มีเซ็กส์เลย ไม่ว่าคุณจะยังบริสุทธิ์หรือไม่ โดยที่โอกาสเกิดเรื่องที่ว่านี้เกิดขึ้นในกว่าครึ่งของผู้หญิงทั้งหมด สาวบริสุทธิ์บางคนก็มีเลือดออก บางคนก็ไม่มีเลือดออก ความเชื่อที่สอง: เยื่อพรหมจรรย์จะหายไปตลอดกาล หลังจากมีเซ็กส์ครั้งแรก เยื่อพรหมจรรย์ก็เหมือนกับ ‘โดนัทรัดผม’ ทั้งในแง่การทำงานและลักษณะ ในความเป็นจริงแล้ว เยื่อพรหมจรรย์สามารถยืดได้ และสำหรับสาวๆ หลายคน เยื่อพรหมจรรย์ยังเหนียวมากพอที่จะรองรับการสอดใส่ทางช่องคลอดได้โดยที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ส่วนสำหรับคนที่เยื่อพรหมจรรย์ไม่ได้ทนทานขนาดนั้น มันจะฉีกออกเล็กน้อยเพื่อรับอวัยวะเพศชาย แต่ก็ใช่ว่ามันจะหายไปเลยอย่างที่เราเชื่อกัน Nina…
-
การเดินทางของต้นฉบับ Alice in Wonderland จากงานเขียนสู่ของขวัญในการร่วมรบของอังกฤษ
สำหรับใครที่เป็นแฟนๆ นิยายล่ะก็ อาจจะคุ้นชื่อของหนูน้อย Alice กันเป็นอย่างดี เรื่องราวการผจญภัยของสาวน้อยในโลกแห่งจินตนาการที่เคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ ถือเป็นหนึ่งในนิยายที่ได้รับความนิยมไม่น้อยเลยทีเดียว และวันนี้เพื่อเอาใจแฟนคลับสาวน้อยรายนี้ #เหมียวเวจจี้ ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับนวนิยายแฟนตาซี Alice in Wonderland และประวัติของหญิงสาวผู้เป็นแรงบันดาลใจในการให้กำเนิดสาวน้อย Alice มาฝากกัน… เรื่องราวการผจญภัยของหนูน้อย Alice ในดินแดนมหัศจรรย์นั้นถูกเขียนขึ้นในปี 1856 โดยนักเขียน ช่างภาพ และนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ Charles Lutwidge Dodgson Dodgson เกิดและเติบโตมาจากมลฑล Cheshire ประเทศอังกฤษ โชคร้ายที่เด็กชาย Dodgson เกิดมาพร้อมกับความบกพร่องทางการได้ยิน และโรคทางระบบประสาทที่ส่งผลให้เขามองเห็นสิ่งรอบตัวมีขนาดที่ใหญ่หรือเล็กกว่าปรกติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ความผิดปรกติเหล่านั้นไม่อาจจะหยุดยั้งความอัจฉริยะของเด็กน้อยได้ และดูเหมือนว่าโรคทางระบบประสาทนั้นจะช่วยส่งเสริมด้านความคิดสร้างสรรค์ให้กับเขา และมันอาจจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้เขาจินตนาการถึงดินแดนมหัศจรรย์ของสาวน้อย Alice ขึ้นมาก็เป็นได้ ในช่วง 3 ปี ก่อนที่นิยายการผจญภัยของสาวน้อย Alice จะถูกตีพิมพ์ Dodgson ได้ออกไปล่องเรือในวันหยุดกับเพื่อนของเขาและเด็กน้อยอีก 3 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือหนูน้อย Alice Liddell วัย 10 ขวบ นักเขียนหนุ่มเล่าเรื่องนิยายการพจญภัยของสาวน้อย Alice ที่ลงไปในโพรงกระต่าย และได้พบกับดินแดนมหัศจรรย์ให้เด็กน้อยทั้ง 3 ฟัง…
-
หนุ่มสาวผ่าตัด ‘เปลี่ยนหัวใจ’ ในวันเดียวกัน ใครจะเชื่อว่าทั้งคู่จะกลายมาเป็น ‘คู่แท้’
นี่แหละน้าบุพเพสันนิวาสจริงๆ ใครจะเชื่อว่าคนที่มาเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเหมือนกัน วันเดียวกัน และอยู่ห้องติดกัน จะกลายมาคู่รักกันได้ ที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ก็คือคู่รักจากเมืองแฟร์แฟกซ์ รัฐเวอร์จิเนีย หนุ่ม Collin Kobelja และสาว Taylor Givens ที่เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2011 ทั้งคู่ต่างได้เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ในเวลานั้นห้องของทั้งคู่ก็อยู่ติดกัน แต่ไม่มีใครทราบมาก่อนว่า ณ อีกฟากหนึ่งของห้อง มี “เนื้อคู่” ของพวกเขาพักฟื้นร่างกายอยู่ “ทุกสิ่งอย่างดูลงตัวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทุกสิ่งเกิดขึ้นเหมือนกับว่ามันถูกกำหนดให้เป็นเช่นนั้น” สาว Givens วัย 24 ปีกล่าว “เราทั้งสองคนช่างโชคดีจริงๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นเหมือนถูกกำหนดมาแบบนั้น” หนุ่ม Kobelja วัย 30 ปีกล่าวเสริม ขณะที่ Taylor Givens ยังมีอายุเพียง 17 ปี เธอเริ่มมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการหายใจและอาการหัวใจสั่น แพทย์ของเธอคาดว่าคงเป็นแค่ความเครียด ทำให้หัวใจทำงานผิดปกติ แต่เมื่อตรวจด้วยการเอ็กซ์เรย์แล้วทำให้พบว่า เธอน่าจะติดไวรัสในหัวใจที่ทำให้หัวใจมีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อเธอไปเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเมื่อเดือนเมษายนปี 2011 แพทย์ก็พบว่าหัวใจของเธอนั้นสูบฉีดเลือดได้น้อย เพียง 10…
-
คุณอาจจะมี ‘ฝาแฝด’ อยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของโลกใบนี้ ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวจะพิสูจน์ให้ดู
เพื่อนๆ เคยพบเหตุการณ์ที่ไปเจอคนที่หน้าเหมือนตัวเองอย่างกะฝาเแฝดบ้างไหมครับ บางคนอาจจะคิดว่ามันก็แค่บังเอิญเป็นคนหน้าเหมือนเฉยๆ แต่จริงๆ แล้ว คนๆ นั้นอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับคุณก็เป็นไปได้ เหมือนอย่าง Neil Douglas ผู้ที่เดินทางด้วยเครื่องบินไปยังประเทศไอร์แลนด์เพื่อร่วมงานแต่ง แต่เขาก็ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยจะได้เจอ เพราะเขาเจอกับคนแปลกหน้าที่หน้าเหมือนกับเขาเอามากๆ Neil กล่าวว่า “ผมขึ้นเครื่องบินเป็นลำดับสุดท้าย และผมเห็นมีคนนั่งอยู่ในที่นั่งผม ผมเลยบอกให้เขาช่วยขยับออกไปหน่อย และพอเขาหันมาเท่านั้นแหละ กลายเป็นผมเห็นหน้าตัวเองหันมาซะงั้น แล้วคนทั้งเครื่องบินก็มองมาที่พวกเราและหัวเราะชอบใจกันใหญ่เลย” แต่จริงๆ แล้วฝาแฝดที่เขาเจอบางทีไม่ใช่เพียงแค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญหน้าเหมือนเฉยๆ ก็เป็นได้ เพราะหลังจากนี้พวกเขายังไปเจอกันที่กันที่โรงแรมและที่อื่นๆ อีกด้วย ดังนั้นเรื่องที่เราจะมีฝาแฝดอยู่ในซักมุมหนึ่งในโลกนี้อาจไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป และเพื่อพิสูจน์ว่าการเจอฝาแฝดไม่ใช่เรื่องบังเอิญพวกเราจึงหาเหตุผลมาสนับสนุนทฤษฏีอยู่ 2 ข้อได้แก่ 1. มีเพียง 0.1% ของจีโนมหรือข้อมูลทางพันธุกรรมเท่านั้นที่จะทำให้เรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหตุผลข้อแรกจะพูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่า 99.9% ของข้อมูลพันธุกรรมของคุณจะต้องไปเหมือนกับใครสักคนหนึ่งในโลกนี้แน่ๆ มีเพียง 0.1% ที่เหลือเท่านั้นที่จะเป็นตัวบ่งบอกเอกลักษณ์ประจำตัวของเราได้ และนี่จะสามารถอธิบายว่าทำไมคนดังทั้งหลายถึงมีข่าวลือว่าพวกเขามีฝาแฝดด้วย แน่นอนว่ามันมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากที่คุณจะเจอกับฝาแฝดตัวเอง แต่โอกาสก็ไม่ใช่ 0% หากพูดตามหลักวิชาการแล้วในคนเจ็ดพันล้านคน มันจะมีคนหนึ่งที่มี DNA คล้ายกับอีกคนอย่างมีนัยสำคัญ หากจะให้ยกตัวอย่าง เราจะมาฟังเรื่องของ Valeriy…
-
Top 10 เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพที่ถูกค้นหาใน Google พร้อมคำตอบที่เป็นประโยชน์กับชีวิตของทุกคน
ในยุคสมัยที่คนเราสามารถหาแทบทุกสิ่งทุกอย่างได้จากอินเตอร์เน็ตนั้น เชื่อว่าเพื่อนๆ อาจจะเคยเอาเรื่องเจ็บป่วยของตัวเองไปเสิร์ชหาใน Google ดูกันบ้างล่ะ ปวดหัวเป็นอะไรไม่รู้พอเสิร์ชดูปรากฏว่าเป็นเนื้องอกในสมองจ้า หรือไม่ก็เลือดกำเดาไหลเป็นอะไรหว่า หาไปหามา อ๋อ เป็นลูคีเมียนี่เอง เพราะอย่างนั้นจึงมีหลายๆ ไม่ค่อยเชื่อข้อมูลจาก วิธีนี้เท่าไหร่นัก แต่ก็ใช่ว่าข้อมูลการค้นหานั้นจะมั่วซั่วไปเสียหมด เพราะยิ่งมีคนค้นหามากเท่าไหร่ โอกาสที่ผลการค้นหาจะมาพร้อมกับข้อมูลดีๆ ก็จะมากขึ้นเท่านั้น และถ้ายิ่งเป็น 10 เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพที่มีการค้นหามากที่สุดเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมาแล้ว ข้อมููลที่ได้มานั้น มันยิ่งเต็มไปด้วยประโยชน์จริงๆ จะเป็นอย่างไรลองไปดูกันเลยดีกว่า 1# อะไรทำให้คนเราสะอึก ไม่น่าแปลกที่คำถามพื้นๆ จะเป็นหนึ่งในสิ่งที่คนเราค้นหากันมากที่สุด เพราะไม่ว่าอย่างไรเหตุผลของการสะอึกก็ยังไม่เป็นที่เด่นชัดแน่นอน มันต่างกันไปในแต่ล่ะคนและแทบจะหาเหตุผลที่เกิดอย่างแน่นอนไม่ได้ แน่นอนว่าทำไมมันถึงหายได้ก็ยังไม่เป็นที่ทราบเช่นเดียวกัน สำหรับเหตุผลที่พอจะรู้ก็มี การที่กระเพาะเต็มเกินไป ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป แอลกอฮอล์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสูบบุหรี่ ความตื่นเต้น ความเครียด เรื่อยไปยันโรคบางชนิดอย่าง ไตวาย 2# จะทำอย่างไรให้หยุดกรน อันนี้คนที่ค้นหาอาจจะไม่ใช่คนกรนเองเท่าไหร่ แต่เป็นคนนอนข้างๆ มากกว่า อย่างไรก็ตามการกรนนั้น เลี่ยงได้ด้วยการ 1. เปลี่ยนท่านอน ให้ยกหัวให้สูงขึ้น หรือนอนตะแคงข้าง 2. ลดน้ำหนักส่วนเกิน 3. เลิกหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์…
-
การส่งเด็กวัย 13 ไปทดลองซื้อปืนในอเมริกา เผยให้เห็นว่าปืนนั้นซื้อง่ายกว่าเหล้าและบุหรี่เสียอีก!?
เชื่อหรือไม่ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นอาวุธปืนกลายเป็นของที่หาซื้อได้ง่ายแสนง่าย ยิ่งกว่าเหล้า บุหรี่ หรือหวยขูดเสียอีก หลายคนอาจรู้สึกว่าไม่จริง หรือเป็นไปไม่ได้ แต่คำตอบคือมันคือเรื่องจริง ดูได้จากการทดลองเชิงสังคมที่เรานำมาให้ชมในวันนี้ การทดลองดังกล่าวถูกเผยแพร่ลงบนเฟซบุ๊กของ Jason Simpson วัย 13 ปี ในคลิปวิดีโอจะเป็นการทดลองให้นักแสดงหนุ่มน้อยอายุ 13 ปีชื่อว่า Jack จากเวอร์จิเนีย เข้าไปขอซื้อสิ่งของต่างๆ เช่น เบียร์ บุหรี่ นิตยสารโป๊ หวยขูด และสุดท้ายก็คือปืนนั่นเอง Jack จะถูกบอกให้เดินทางไปยังร้านขายของต่างๆ รอบเมือง ซึ่งแม่ของเขาต้องมาเป็นคนขับรถพาไปส่ง เนื่องจากเขายังไม่ถึงวัยที่ได้รับอนุญาตให้ขับรถได้ สถานที่แรกที่เขาต้องแวะเข้าไปก็คือร้านสะดวกซื้อ Jack ต้องเข้าไปขอซื้อ “เบียร์” กับพนักงาน แน่นอนว่าพนักงานปฏิเสธที่จะขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเด็กที่มีอายุไม่ถึงเกณฑ์อย่างแน่นอน “ไม่ ขายให้ไม่ได้แน่นอน เขาดูเหมือนเด็กอายุ 12 ปีด้วยซ้ำ” พนักงานคิดเงินกล่าว . ร้านขายของถัดไป Jack จะต้องเข้าไปขอซื้อ “บุหรี่” และผลลัพธ์ก็ออกมาเช่นเคย พนักงานขายบอกว่าไม่สามารถขายบุหรี่ให้…
-
คุณแม่สละตัวเองช่วยลูกจนเป็นอัมพาต ถูกสามีทิ้ง แต่ก็เลี้ยงลูกๆ 3 จนเติบโตและได้ดี
เรื่องราวในวันนี้เป็นเรื่องสุดน่าประทับใจกับความรักและความห่วงใยที่แม่คนหนึ่งจะสามารถมีให้กับลูกๆ ได้ การเสียสละเพื่อลูกของหญิงคนหนึ่ง โดยที่ไม่คำนึงถึงตัวเองแม้แต่น้อย กลายเป็นความซาบซึ้งที่ลูกๆ ไม่มีวันลืมได้เลย คุณแม่ลูกสาม วัย 30 ปี Joy Veron ได้เคยสร้างวีรกรรมอันแสนยิ่งใหญ่เอาไว้ ทำให้ Annie และ Chloe ลูกสาวของเธอสองคนได้ถือโอกาสเนื่องในวันแม่ ทำคลิปวิดีโอบอกเล่าเหตุการณ์ที่แม่ของพวกเธอได้แสดงความเสียสละช่วยเหลือชีวิตของพวกเธอเอาไว้ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตนเองเลย คลิปจากใจของลูกๆ “เราอยากจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแม่ของพวกเรา” คุณแม่ Joy และคุณพ่อแต่งงานกันในปี 1991 หลายปีหลังจากนั้น เธอก็มีลูกสาว 2 คน และลูกชายอีก 1 คน ครอบครัวของ Joy อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมาตลอด จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุขึ้นในปี 1999 ที่ได้เปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของครอบครัวไปตลอดกาล อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่ทั้งครอบครัวกำลังไปเที่ยวด้วยกัน รวมไปถึงปู่ย่าตายายอีกด้วย ทั้งครอบครัวตั้งใจว่า จะไปเช่าบ้านไม้ตากอากาศกัน ส่วนเด็กๆ ที่ขณะนั้นต่างมีอายุเพียง 7, 5, และ 3 ปี พากันรู้สึกตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก “มันงดงามมาก…
-
10 กิจกรรมสร้างความบันเทิงจากอดีต ที่ผู้คนต่างเอ็นจอยไปกับมัน แต่แปลกสำหรับคนยุคปัจจุบัน
ทุกวันนี้คนเรามักจะหันหน้าเข้าหาโทรทัศน์ สมาร์ทโฟน โซเชียลมีเดีย วิดีโอเกม หรือคอมพิวเตอร์ เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกเบื่อและต้องการความบันเทิงให้กับจิตใจ พร้อมกับคิดว่าเทคโนโลยีเหล่านั้นช่างเป็นสิ่งให้ความบันเทิงที่ดีเสียจริงๆ แล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่า ก่อนหน้าที่เทคโนโลยีความบันเทิงอย่างที่กล่าวไปจะถูกสร้างขึ้น คนสมัยก่อนเขาทำอะไรเพื่อให้ได้รับความบันเทิงกันบ้าง เอาล่ะครับวันนี้ #เหมียวฝึกหัดหมายเลข21 จะพาทุกท่านไปรับชม 10 กิจกรรมเพื่อความบันเทิงของคนสมัยก่อนว่าเขาทำอะไรกันบ้าง บอกเลยว่าไม่ค่อยคำนึงถึงมนุษยธรรมซักเท่าไหร่… 1. เกมกระดาน เกมกระดานชิ้นแรกของโลกถูกคิดค้นขึ้นตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว เช่น เกมกระดานจากประเทศอียิปต์ที่เรียกว่า Senet เป็นเกมที่ประกอบไปด้วยกระดานและหมากเดินที่เรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุด กฎของเกมยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ที่ทราบแน่นอนก็คือเป็นเกมสำหรับเล่น 2 คน คล้ายกับหมากรุกสมัยปัจจุบันนี่แหละ ตามตำนานเชี่อว่าเกม Senet ถูกสร้างขึ้นโดย Thoth เทพแห่งปัญญา ผู้ที่ท้า Khonsu เทพแห่งดวงจันทร์ให้แข่งขันกับตน เมื่อ Thoth ชนะจึงขอให้ในหนึ่งปีมีจำนวนวันเพิ่มขึ้น 5 วันเพื่อให้ Nut เทพีแห่งท้องฟ้าหลุดพ้นจากคำสาปของเทพ Ra และสามารถให้กำเนิดบุตรได้ 2. การประลองนักสู้ Gladiator พวกเราอาจจะพอรู้เรื่องราวเกี่ยวสิ่งนี้กันมาบ้างแล้ว…
-
ช่างภาพกับโปรเจกต์สะท้อนสังคม แอบถ่ายภาพปฎิกิริยาของผู้คนที่มีต่อ ‘คนอ้วน’
บางครั้ง “ความอ้วน” อาจกลายเป็นสิ่งแปลกตาสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ เนื่องจากผู้คนมักถูกดึงดูดความสนใจจากสิ่งใดก็ตามที่มีความแตกต่างไปจากตนเอง แต่หารู้ไม่ว่า การเป็นผู้ที่ต้องถูกมองด้วยสายตาอันแฝงไปด้วยหลายๆ นัยยะ นั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีเลยแม้แต่น้อย ช่างภาพหญิงนามว่า Haley Morris-Cafiero เธอมีน้ำหนักเกินและมีรูปร่าง “อ้วน” เนื่องจากในอดีตเธอเป็นโรคเกี่ยวกับการกิน อีกทั้งยังมีภาวะขาดไทรอยด์ซึ่งทำให้ระบบการเผาผลาญทำงานได้ช้า ครั้งหนึ่งใน ปี 2010 ช่างภาพนายหนึ่งที่กำลังถ่ายภาพให้ Haley บังเอิญมองไปเห็นชายที่มองมายังเธอด้วยสีหน้าที่เหมือนจะตัดสินตัวเธอ ทำให้เธอรู้ว่าผู้คนมักมีคำวิจารณ์เกี่ยวกับรูปร่างและน้ำหนักของเธอ เธอจึงคิดโปรเจกต์นี้ขึ้นมา โปรเจกต์นี้มีชื่อว่า Wait Watchers ที่เธอนำกล้องไปตั้งไว้ยังจุดต่างๆ แล้วถ่ายตัวเธอขณะทำกิจกรรมตามปกติ เช่น เดินเล่น กินไอศกรีม หรือลองเสื้อผ้า ขณะที่เธอเองก็แต่งกายด้วยชุดแสนธรรมดาที่ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่ปฏิกิริยาของผู้คนที่มีต่อเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าความอ้วนทำให้เธอเป็นจุดสนใจ เมื่อภาพถ่ายในโปรเจกต์ของ Haley ได้ถูกเผยแพร่ออกไปบนโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างก็เข้ามาให้กำลังใจพร้อมทั้งพยายามแนะนำให้เธอหันมาดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย เลือกเสื้อผ้าและการแต่งกายที่ดีขึ้น และแต่งหน้า Haley เองก็ยอมรับข้อแนะนำเหล่านั้นพร้อมทั้งทำการเก็บภาพปฏิกิริยาของผู้คนที่มองมาขณะที่เธอกำลังพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเอง แต่ผลลัพธ์กลับออกมาว่า สีหน้าและแววตาในปฏิกิริยาของผู้คนที่มามาเหล่านั้นก็ยังคงออกมาเหมือนเดิม Haley อธิบายว่าเธอไม่ได้ทำโปรเจกต์นี้ขึ้นมาเพื่อทำให้ใครรู้สึกแย่ ด้วยตัวของเธอเองแล้วเธอไม่ได้สนใจเลยว่าใครจะมองเธออย่างไร “ฉันไม่ได้ทำมันด้วยความโมโหนะ ฉันว่ามันเหมือนกับการทดลองเชิงสังคม มันไม่ใช่การจับผิดผู้คน แต่มันเป็นการสะท้อนภาพใบหน้าและแววตาที่พวกเขามองฉัน…
-
“3 วิธีการพูด” ที่เป็นสัญญาณว่าคุณมีแนวโน้มของ “โรคซึมเศร้า” ลองไปสังเกตกันดู…
ในสังคมปัจจุบันนี้เราสามารถพบเห็นผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าในสมัยก่อน โดยผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะไม่เหมือนกับความรู้สึกเศร้าของคนทั่วไปที่เกิดขึ้นและหายไปเป็นครั้งคราว พวกเขาจะรู้สึกซึมเศร้าเป็นประจำและแต่ละครั้งก็ยาวนานกว่าปกติ แถมบ่อยครั้งยังไม่รู้สาเหตุของความเศร้าด้วย อย่างไรก็ตามการที่จะสังเกตว่าเราหรือคนรอบตัวเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก บางคนก็เป็นโรคซึมเศร้าโดยที่ไม่รู้ตัว หากอยากทราบแน่ชัดต้องไปให้จิตแพทย์วินิจฉัยเท่านั้น แต่ในวันนี้มีอีกหนึ่งวิธีสังเกตที่ได้ผ่านผลการรับรองจากนักวิจัยแล้ว ด้วยการสังเกตจากวิธีพูดของแต่ละคนนั่นเอง งานวิจัยที่ว่านี้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารวิทยาศาสตร์ Clinical Psychological Science โดยทำการทดลองจากการอ่านบันทึก และฟังบทสนทนาจำนวนมากของคนที่เป็นโรคซึมเศร้า และคนที่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า จึงสังเกตเห็นว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะมีการใช้ภาษาที่แตกต่างออกไปดังนี้ 1. มักจะใช้สรรพนามบุคคลที่หนึ่งที่เป็นเอกพจน์ คนเป็นโรคซึมเศร้ามักจะใช้สรรพนามกล่าวถึงตัวเองเช่น ฉัน ผม หรือเรา(ในกรณีที่หมายถึงตัวเองคนเดียว) อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นตัวชี้ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นมากนัก อาจจะเป็นเพราะเพวกเขาชอบปลีกตัวมาอยู่คนเดียวมากกว่าจะอยู่คนจำนวนมากก็ได้ อีกทั้งการใช้สรรพนามแบบนี้ ยังทำให้เราเห็นว่าคนที่เป็นโรคซีมเศร้ามักจะให้ความสนใจกับตัวเองและแนวคิดของตัวเองมากเป็นพิเศษ และไม่ค่อยสนใจแนวคิดในแบบของคนอื่นมากนัก 2. พูดถ้อยคำที่มีความหมายในเชิงลบอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับคนทั่วไปแล้ว คนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะใช้คำที่มีความหมายเชิงลบมากกว่า โดยคำพูดเหล่านั้นมักจะเกี่ยวกับอารมณ์ในเชิงลบเช่น เศร้า และเหงา เป็นต้น และยังรวมไปถึงคำพูดอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ของตัวเองด้วย แต่ผลการวิจัยก็ชี้ว่าการใช้สรรพนามบ่งบอกถึงโรคซึมเศร้าได้ดีกว่าการใช้คำพูดในเชิงลบอย่างเห็นได้ชัด 3. ภาษาที่ใช้มักจะมีความสุดโต่ง เมื่อคนเราอยู่ในภาวะซึมเศร้าก็มักจะใช้ภาษาแบบสุดโต่ง (ถ้าไม่ขาวก็ดำไปเลย ไม่มีระหว่างกลาง) มากกว่าที่คิด อย่างเช่นคำว่า เป็นประจำ ไม่เคย เต็มไปหมด…
-
20 โมเมนต์น่ารักของมนุษย์พ่อ ยามพาลูกสาวไปออกเดต นี่แหละคือผู้ชายที่เป็นให้ได้ทุกอย่าง
พ่อ คือคำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย พ่อคือคนที่ช่วยสั่งสอนเราให้เติบโตขึ้นไปในทางที่ดี พ่อคือคนที่คอยให้กำลังใจและอยู่เคียงข้างกันเสมอ พ่อคือคนที่เสียสละหลายๆ อย่างเพื่อให้ลูกๆ อย่างเราได้มีความสุข และสำหรับลูกสาวทั้งหลาย พ่อคือผู้ชายคนแรกที่รักเราจากใจจริง หากสาวๆ ได้ลองย้อนวันวานกลับไปตอนที่ยังเป็นเด็ก เราอาจไม่เคยสังเกตกันเลยว่าพ่อนี่แหละคือผู้ชายคนแรกที่เราได้ไปออกเดตด้วย ทั้งพาไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง คอยช่วยรับฟังปัญหาต่างๆ และวันนี้เราก็อยากชวนให้เพื่อนๆ ได้มาย้อนวันวานการออกเดตครั้งแรกของเรากับคุณพ่อ ผ่านภาพความประทับใจเหล่านี้ เราลองไปดูกันเลย #1 นี่คือเดตแรกของคุณพ่อและลูกสาวสองต่อสอง ซึ่งเขาตั้งใจที่จะพาเธอไปในทุกๆ เดือน ขอแค่เพียงได้นั่งมองเด็กหญิงตัวน้อย ความรู้สึกที่ได้รับมันก็มากมายมหาศาลแล้ว เธอเปรียบได้กับเจ้าหญิงตัวน้อยๆ ของคุณพ่อ #2 เด็กสาวได้ออกไปดูการแข่งขันฮอกกี้น้ำแข็งด้วยกันกับพ่อของเธอ หญิงสาวได้มาเปิดโลกกว้าง เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน กลายเป็นความทรงจำอันแสนประทับใจของทั้งสอง #3 หนึ่งในเป้าหมายของครอบครัว คือการได้พาสาวน้อยไปออกเดตกับคุณพ่อ ดื่มด่ำกับช่วงเวลามื้ออาหารเย็นกันอย่างเพลิดเพลิน เธอไม่รอช้ารีบแต่งตัวให้พร้อมที่จะออกไปมีความสุขกับคนที่เธอรักและรักเธอ #4 บางครอบครัวทำให้การออกเดตของพ่อลูกกลายเป็นวัฒนธรรมประจำบ้าน #5 การได้ออกไปเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน คือสิ่งที่ช่วยให้ทั้งสองสามารถมีความสุขกับวันข้างหน้าได้อย่างเต็มที่ #6…
-
นศ. สาวเผยชีวิตที่ต้องต่อสู้ เจอภาพหลอนทางการสัมผัสแทบทุกวัน แต่เอาชนะมันได้ถ้าไม่ยอมแพ้!!
โรคจิตเภท (Schizophrenia) เป็นโรคทางจิตใจของคนที่ทำให้ผู้ที่ป่วยโรคนี้จะมีความเชื่อที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง มีเสียงอยู่ในหัว เกิดภาพหลอน และยากที่จะเข้าใจว่าอะไรคือความเป็นจริง ตัวอย่างของอาการจิตเภท เช่นในภาพยนตร์เรื่อง Shutter Island, A Beautiful Mind, Fight Club และแม้แต่ Lord of the Rings แต่ในความเป็นจริงๆ แล้วผู้ที่ป่วยเป็นโรคจิตเภทนั้นต้องพบเจอกับความน่าสะพรึงกลัว อย่างเช่นนักศึกษาหญิงคนนี้ Cecilia McGough ที่ได้ออกมาเล่าว่าโรคจิตเภทได้ส่งผลกระทบให้เธออย่างไรบ้าง เธอบอกว่าเหมือนกับชีวิตของเธอเป็นฉากที่เราเห็นกันในหนังสยองขวัญยังไงอย่างงั้น หญิงสาววัย 23 ปีกล่าวว่าหลายครั้งที่เธอต้องพบเจอกับ “ผี” ซึ่งปรากฏขึ้นมาต่อหน้าเธอ เช่น ตัวที่เธอเรียกมันว่า Mr. Blob Man เธอบอกว่ามันเป็นตัวที่มาเป็นลักษณะของเงา แต่บางครั้งเธอก็เห็นภาพหลอนที่เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นกันมาในภาพยนตร์ “เป็นช่วงเวลาประมาณปลายๆ มัธยม ที่ฉันเริ่มเห็นภาพหลอนเป็นเจ้าตัวตลกจากหนังเรื่อง It ของ Stephen King มันน่ากลัวมาก และฉันก็ยังเห็นแมงมุมยักษ์อีกด้วย” Cecilia กล่าว “ฉันเห็นเจ้าตัวตลกแทบทุกวัน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเริ่มเห็นเด็กหญิง (เหมือนในหนังเรื่อง The Ring) ภาพนี้มันกลับทำให้ฉันกลัวมากกว่าเดิม ฉันกลัวว่าเด็กคนนั้นจะมาแทงฉัน” เธอกล่าวต่อ “มันคืออาการประสาทหลอนทางการสัมผัส…
-
11 อาหารที่ควรบริโภคในแต่ละวัน เพื่อช่วยให้คุณหลับฝันดีราตรีสวัสดิ์ เต็มอิ่มตลอดคืน
หลายๆ คนอาจกำลังประสบปัญหารู้สึกว่าตัวเองพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนแบบหลับๆ ตื่นๆ ไม่เต็มอิ่ม จนทำให้เกิดความอ่อนเพลียในวันถัดไป แต่วันนี้เรามีวิธีง่ายๆ ที่จะสามารถช่วยให้การนอนของเพื่อนๆ เป็นไปอย่างสุขสบายมากกว่าเดิม วิธีที่เราพูดถึงก็คือเรื่องของการกิน เพราะสิ่งที่เราเลือกบริโภคจะสามารถส่งผลให้กับการนอนของเราได้ นี่จึงเป็น 11 สิ่งที่ควรกินในแต่ละวัน จากหนังสือ The Sleep Doctor’s Diet Plan: Lose Weight Through Better Sleep ของผู้เชี่ยวชาญทางด้านการหลับ ดอกเตอร์ Michael Breus อาหารเหล่านั้นจะมีอะไรกันบ้าง เราลองไปดูกันเลยจ้า 1. เนื้อวัว เนื้อวัวนั้นอุดมไปด้วยกรดอะมิโน Tryptophan ซึ่งดีต่อกระบวนการการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินที่ช่วยควบคุมการนอนหลับของเราได้ นอกจากนั้นมันยังมีวิตามินบี 3 และธาตุเหล็กที่ช่วยบรรเทาอาการพักผ่อนไม่เพียงพอ รวมถึงความรู้สึกกระสับกระส่ายได้เป็นอย่างดี 2. ทูน่า ปลาชนิดนี้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 เข้าสู่ร่างกาย เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราสามารถหลับเต็มตื่นมากยิ่งขึ้น 3. แซลมอน เจ้าปลาชนิดนี้เป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารจานโปรดของใครหลายๆ คน และมันยังเป็นสิ่งที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3…
-
7 เรื่องเล่าตุ๊กตาสุดหลอน เก็บไว้อ่านตอนเช้าเถอะ ถ้าไม่อยากนอนฝันร้าย เตือนแล้วนะ!! ห้ามด่า
สำหรับหลายๆ คนแล้ว เหล่าตุ๊กตาสุดน่ารักนั้นอาจจะเปรียบเหมือนเพื่อนผู้แสนซื่อสัตย์ ที่ช่วยคลายความเหงาให้เราได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ว่าจะให้รับบทเป็นคุณพ่อ หรือคุณลูก พวกมันก็ไม่เคยบ่นซักคำเลยใช่ไหมล่ะ แต่ทว่าเมื่อเราเริ่มโตขึ้นมา เวลาที่มองกลับไปที่เจ้าตุ๊กตาเหล่านั้น มันกลับรู้สึกขนลุกยังไงชอบกลเหมือนกันนะว่าไหม เหมือนกับพวกมันกำลังจะบอกเราว่า “แกรู้ได้ยังไง ว่าเราอยากจะเล่นพ่อแม่ลูก ฮ่าๆ ไอ่พวกมนุษย์ ฮ่าๆ!” อืม… แค่นึกก็ขนลุกแล้วใช่ไหมล่ะ แต่ความหลอนจากเพื่อนซี้ในวัยเด็กของเรายังไม่หมดเพียงเท่านี้หรอก เพราะนอกจากตุ๊กตาที่บ้านเราแล้ว ยังมีเรื่องราวอันชวนขนหัวลุกของเหล่าตุ๊กตาผีทั้ง 7 ตัวที่นำมาฝากกันในวันนี้อีกด้วย อ๊ะๆ !! แต่ถ้าหากใครอยากได้รับความน่ากลัวแบบคูณ 10 ล่ะก็เราขอแนะนำให้เปิดเพลงนี้ไปด้วยนะ เริ่มกันที่ตัวแรก Robert ตุ๊กตาที่มองตามคุณตลอดเวลา ถึงแม้จะดูหน้าตาจิ้มลิ้มและดูเหมือนว่าไม่มีพิษมีภัย แต่ความหลอนของพี่ Robert เองก็ไม่ใช่ย่อยเลยทีเดียว แต่เดิมเจ้าตุ๊กตาตัวนี้เป็นของศิลปินนามว่า Robert Eugene Otto โดยวีรกรรมความเฮี้ยนของมันก็คือการส่งเสียงหัวเราะออกมาในตอนดึก และมักจะออกมาเดินเล่นในบ้านเวลาที่เจ้าของอยู่ ปัจจุบัน Robert ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Fort East Martello ในรัฐฟลอริด้า โดยพนักงานของที่นี่เล่าว่า หัวของตุ๊กตานั้นมักจะหันตามผู้ชม หลังจากที่เขาเดินผ่านตู้ของมันไป 2. ตุ๊กตา Mandy กับรอยยิ้มที่แสนน่ากลัว เรื่องราวความหลอนของเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ เป็นที่เล่าขานของเหล่าพนักงานและอาสาสมัครจากพิพิธภัณฑ์ Quesnel…
-
ผืนดินและธรรมชาติในสภาวะสงคราม ภาพเขตปลอดทหาร จากชายแดนเกาหลีเหนือและใต้
เขตพื้นที่ปลอดทหารหรือ Demilitarized Zone (DMZ) ขึ้นในปี 1953 หลังจากที่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้เจรจาหยุดยิงชั่วคราวสำเร็จ โดยพื้นที่ดังกล่าวมีความกว้าง 4 กิโลเมตร ยาว 250 กิโลเมตร ตลอดแนวชายแดนทั้งสองประเทศ ซึ่งถ้าหากตัดเรื่องของสงครามออกไป ความสวยงามของธรรมชาติในพื้นที่ DMZ นั้นก็เรียกได้ว่าไม่แพ้ในสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออื่นๆ เลยทีเดียว และวันนี้เราก็มีภาพถ่ายผลงานของคุณ Park Jongwoo ที่ถ่ายทอดความสงบและความงดงามของผืนดินกับธรรมชาติในสถานที่ที่เรียกได้ว่ามีความอ่อนไหวที่สุดในคาบสมุทรเกาหลีแห่งนี้ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ภาพของแสงไฟยามคำคื่นใน DMZ เขตปลอดทหารแห่งนี้พาดผ่านพรมแดนธรรมชาติที่มีความยาวมากถึง 4 กิโลเมตร พื้นที่ส่วนมากถูกปกคลุมได้ด้วยทุ่นระเบิดและถูกเฝ้ามองด้วยพลแม่นปืนของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ยังมีการตรวจตราความปลอดภัยอย่างเข้มงวดอีกด้วย เรียกได้ว่าเบื้องหลังความสวยงามของธรรมชาติที่นี่ ยังคงซ่อนอันตรายไว้อีกไม่น้อยเลยทีเดียว ทุ่นระเบิดและการตรวจตราอย่างเข้มงวด ทำให้ DMZ ได้รับการขนานนามจากอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอย่างนายบิล คลินตัน ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในโลก ผลงานภาพถ่ายจากคุณ Park Jongwoo นี้ถูกเผยแพร่เมื่อปี 2009 เขาพบว่าธรรมชาติของที่นี่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์อย่างมาก การถูกตัดขาดจากการรบกวนทำให้ที่นี่กลายเป็นเหมือนสวรรค์ของพวกสัตว์ป่า นอกจากนี้ยังมีการระบุว่าพื้นที่ในเขต DMZ ยังมีพันธุ์ไม้และสัตว์ป่าหายากมากถึง 6,000 ชนิดด้วยกัน ซึ่งในจำนวนนี้มีสัตว์ป่าคุ้มครองมากถึง 106 ชนิดด้วยกัน …
-
สภาพของหยดน้ำตา จากหลากหลายความรู้สึก กลายเป็นผลึกแห่งความทรงจำที่แตกต่าง
การที่น้ำตาของคนเราไหลออกมา ไม่ได้เกิดจากอารมณ์โศกเศร้าเสียใจเสมอไป แต่อาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เจ็บปวด ความสบายใจ ความโกรธ หรือแม้แต่ความสุข ก็อาจทำให้มีน้ำตาไหลออกมาได้เช่นกัน แต่ทุกท่านทราบหรือไม่ว่า น้ำตาที่ไหลออกมา ถึงแม้จะออกมาเหมือนๆ กัน แต่มันมีผลึกภายในที่แตกต่างกันมากๆ เลยล่ะ ช่างภาพนามว่า Rose-Lynn Fisher จึงได้สร้างโปรเจกต์ Topography of Tears ที่ใช้กล้องจุลทรรศน์ถ่ายภาพ “ผลึก” หยดน้ำตาของมนุษย์ที่เกิดจากอารมณ์ต่างๆ ออกมา เธอนำหยดน้ำตาของเธอมาหยดลงบนแผ่นสไลด์ ทำให้มันแห้ง แล้วส่องผ่านกล้องจุลทรรศน์ “มันน่าสนใจมาก มันดูเหมือนกับภาพถ่ายทางอากาศ ราวกับว่าฉันมองจากบนเครื่องบินลงมายังภูมิทัศน์ของพื้นดินแน่ะ” เธอกล่าว และเธอก็กล่าวอีกว่า “ในที่สุดฉันก็สงสัยว่า น้ำตาจากความเศร้าโศกนั้นมันแตกต่างจากน้ำตาจากความสุขหรือเปล่านะ? และมันจะเป็นยังไงถ้าเอาไปเทียบกับน้ำตาที่เกิดจากหัวหอม?” น้ำตาแห่งการหัวเราะอย่างหนัก น้ำตาแห่งการเปลี่ยนแปลง ในเชิงวิทยาศาสตร์ น้ำตาถูกจัดประเภทออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ตามวิธีการเกิดของมัน ชนิดแรกก็คือ Psychic Tears เป็นน้ำตาที่เกิดจากอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะทางลบหรือทางบวก ชนิดที่สองคือ Basal Tears คือน้ำตาที่ไหลต่อเนื่องทีละนิดๆ เพื่อทำหน้าที่หล่อลื่นดวงตา และชนิดสุดท้ายก็คือ Reflex Tears คือน้ำตาที่เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งก่อความระคายเคืองให้ดวงตา…
-
ที่มาของ ‘วันหยุดสุดสัปดาห์’ เหตุใดเราต้องหยุดทำงานกันในวัน เสาร์-อาทิตย์
เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมพวกเราถึงได้หยุดงานกันในวัน เสาร์-อาทิตย์ จริงอยู่ว่าหลายๆ คนอาจจะไม่ได้หยุดวันนั้นแต่ถ้าหากนับจากประชากรส่วนใหญ่ที่รวมทั้งพวกเด็กๆ แล้ว วันหยุดของพวกเขาส่วนมากก็จะไม่พ้นสองวันนี้ใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมสองวันนี้จึงเป็นวันหยุดยอดนิยมกัน? มาหาคำตอบไปด้วยกันที่นี่เลย ในบางประเทศ (รวมทั้งไทยด้วย) มักจะมีตลาดนัดในวันหยุดเสมอๆ ในรูปคือตลาดนัดในประเทศจีน วันหยุดในสมัยก่อนนั้น ไม่ได้ใช้หลักการกำหนดในแบบปัจจุบันและแตกต่างกันไปในแต่ล่ะประเทศ ชาวโรมโบราณ จะมีวัน Nundinae (ภาษาลาตินแปลว่าตลาด) ซึ่งประชาชนส่วนหนึ่งจะหยุดจากการทำงานของตัวเองมารวมตัวกันในเมืองเพื่อซื้อขายสินค้าต่างๆ การนับวันแบบ 7 วันต่อสัปดาห์โดยไม่มีการอ้างอิงกับดวงจันทร์หรือหลักการทางธรรมชาติใดๆ นั้นเริ่มต้นขึ้นจากศาสนายิว เชื่อกันว่าระบบนับวันแบบนี้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ประมาณช่วง 6 ศตวรรษก่อนก่อนคริสตกาล ชาวยิวนั้นจะถือว่าตั้งแต่พระอาทิตย์ตกในวันศุกร์ถึงพระอาทิตย์ตกในวันเสาร์เป็นวันพักผ่อน ของพวกเขา ส่วนการหยุดพักผ่อนในวันอาทิตย์นั้นเชื่อกันว่ามาจากความแพร่หลายของศาสนาคริสต์ โดยอ้างอิงตามคัมภีร์ไบเบิล ว่าวันที่ 7 นั้นเป็นวันของการพักผ่อนและการบูชาพระเจ้า เมื่อทำการนับวันตามหลักความคิดที่ว่าหนึ่งสัปดาห์มี 7 วันแล้ว วันอาทิตย์จึงถูกนับเป็นวันหยุดพักผ่อนนั่นเอง อย่างไรก็ตามวัฒนธรรมการหยุด 2 วันนั้นเกิดขึ้นพร้อมๆ จากการลดสัปดาห์การทำงานให้สั้นลงในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ในอังกฤษ ในช่วงนั้นได้มีการเรียกร้องจากแรงงานในประเทศเพื่อเวลาการพักผ่อนที่ยาวนานขึ้น จากการทำงานในสภาพการทำงานที่เลวร้ายของอุตสาหกรรมในตอนนั้นที่หนักยิ่งกว่าการทำไร่ทำนาที่ยังมีเวลาหยุดพักเมื่อไม่มีแสงแดด โดยมีการยืดเวลาวันหยุดให้ครอบคลุมไปยังวันเสาร์ตั้งแต่บ่ายสองเป็นต้นไป และเป็นครั้งแรกที่พจนานุกรมภาษาอังกฤษออกซฟอร์ดมีการใช้คำว่า Weekend หรือสุดสัปดาห์ ในปี 1879…
-
งานวิจัยเผย การฉีดน้ำยาทำความสะอาดบ้าน อาจมีพิษต่อร่างกาย เท่าสูบบุหรี่ 20 มวนต่อวัน
เดิมทีแล้วก็ใช่ว่าคนเราจะชอบการทำความสะอาดกันทุกคน บางคนก็มองว่ามันเป็นเรื่องน่ารำคาญ บางคนก็มองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกเลย แต่ในเวลานี้คนเหล่านั้นอาจจะได้ข้ออ้างที่จะไม่ทำความสะอาดมาเพิ่มอีกข้อแล้วก็ได้ เหตุมีอยู่ว่า งานวิจัยชิ้นหนึ่งในนอร์เวย์พบว่า ผู้หญิงที่ทำความสะอาดที่บ้านจะมีความจุปอดลดลงเร็วกว่าปรกติ 4.3 มิลลิลิตรต่อปี และสำหรับผู้หญิงที่ทำงานเกี่ยวกับการทำความสะอาด จะมีความจุปอดลดลงเร็วกว่าปรกติ 7.1 มิลลิลิตรต่อปีเลยทีเดียว โดยเทียบได้กับการสูบบุหรี่ยี่สิบมวนต่อวัน กลุ่มคนเหล่านั้นยังมีจำนวนผู้เป็นโรคหอบหืดมากกว่าคนปรกติอีกด้วย แต่น่าแปลกที่คนทำความสะอาดที่เป็นผู้ชายนั้น ไม่ได้รับผลกระทบเหล่านี้ ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ Cecile Svanes จากมหาวิทยาลัย Bergen กล่าวว่า “สารเคมี ที่ใช้สำหรับการทำความสะอาด อาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อปอดของคุณ” งานวิจัยอีกชิ้นซึ่งตีพิมพ์ใน American Association for the Advancement of Science (สมาคมอเมริกันเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์) พบว่า 50% ของสารอินทรีย์ระเหยง่ายในอากาศที่ลอสแอนเจลิส นั้นมาจาก สี สารกำจัดศัตรูพืช น้ำยาซักผ้าขาว และน้ำหอม ซึ่งบางส่วนใช้ในส่วนผสมของน้ำยาทำความสะอาดหลายชนิด Oistein Svanes ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในงานวิจัยนี้กล่าวว่า “ในระยะยาวสารเคมีสำหรับทำความสะอาดอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อปอดของคุณ สารเคมีเหล่านี้ที่จริงแล้วไม่ได้จำเป็นเลย แค่ผ้าไมโครไฟเบอร์ และน้ำ ก็เพียงพอสำหรับการทำความสะอาดส่วนใหญ่แล้ว” …
-
ผลจากการศึกษาพบว่าการสูบ ‘กัญชา’ มีส่วนทำร้ายสมองน้อยกว่าการดื่มแอลกอฮอล์
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเปิดเผยผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย University of Colorado Boulder ที่พบว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นั้นจะส่งผลทำร้ายสมอง มากกว่าการสูบกัญชา!! ซึ่งจากการศึกษาเผยว่าการสูบกัญชานั้นไม่ได้ส่งผลเสียต่อสมองในระยะยาว ซึ่งแตกต่างจากดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างเป็นประจำ การศึกษาดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในวารสาร Addiction ซึ่งได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ของระดับสารสีเทาและสีขาวในระหว่างการดื่มแอลกอฮอล์และสูบกัญชา ซึ่งสารดังกล่าวนั้นจะส่งผลต่อการทำงานของสมอง การศึกษาครั้งนี้ได้ทำการทดสอบในกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 55 ปี จำนวน 853 คนที่มีการใช้กัญชาและดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งได้ผลการศึกษาที่น่าสนใจอย่างมาก จากการศึกษาพบว่าในกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่มีการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำนั้นจะมีระดับของสารสีเทาที่มาก ซึ่งสารดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ใหญ่มากกว่ากลุ่มวัยรุ่น โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มเป็นเวลานานหลายปี นอกจากนี้ทีมวิจัยยังพบอีกว่าปริมาณของสารสีขาวนั้น ก็จะส่งผลกระทบต่อสมองกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีการดื่มแอลกอฮอล์เช่นกัน แต่สารดังกล่าวกลับไม่ส่งผลต่อผู้ดื่มที่อยู่ในกลุ่มของวัยรุ่น ส่วนในกลุ่มผู้ใช้กัญชาเป็นระยะเวลา 1 เดือนนั้นพบผลการศึกษาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งพวกเขาพบว่าการสูบกัญชาในระยะเวลาดังกล่าวไม่มีความสัมพันธ์กับปริมาณของสารทั้งสองตัวแต่อย่างใด “ในด้านของผลกระทบเชิงลบนั้น กัญชาแทบไม่ส่งผลกระทบเลยเมื่อเทียบกับแอลกอฮอล์” ดอกเตอร์ Kent Hutchison หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว แต่อย่างไรก็ตามดอกเตอร์ท่านดังกล่าวก็ได้เผยว่าถึงแม้ว่ากัญชาจะไม่ได้ส่งผลเสียต่อสมอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง “เมื่อเราลองดูการศึกษาเก่าๆ เราจะพบผลการศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งระบุว่ากัญชานั้นลดขนาดของ hippocampus ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสมองในการสร้างความทรงจำระยะยาวและการกำหนดทิศทางในที่ว่าง นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาในช่วงเวลาใกล้ๆ กันที่เผยว่ากัญชานั้นมีความสัมพันธ์กับการเปลี่นแปลงของ cerebellum ที่ทำหน้าที่สำคัญในการประมวลการรับรู้และการควบคุมการสั่งการ” ดอกเตอร์ Kent กล่าว ที่มา unilad
-
21 เหตุผลที่คุณควรจะตกลงปลงใจกับ ‘ทาสแมว’ ลองคบดูรับรองไม่เสียใจ
วันวาเลนไทน์เพิ่งผ่านไปไม่นานนี้เองนะครับ คนที่มีแฟนต่างก็พากันออกไปเที่ยว ไปกินข้าวด้วยกัน แล้วอัปรูปหวานแหววลงบนเฟซบุ๊กให้คนโสดอิจฉาเล่นกันเพียบเลย ส่วนคนโสดคนไหนที่อยากจะหาแฟนดู เราแนะนำให้ลองคบกับทาสแมวดูนะ เพราะนอกจากจะมีจิตใจดี มีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกแล้วพวกเขายังมีข้อดีอีกแยะเลย ลองไปฟังกันดู 1. ทาสแมวไม่ได้รอรับความรักอย่างเดียว พวกเขารู้ว่าต้องเอาชนะใจอีกฝ่ายให้ได้ 2. ในทางกลับกันอีกฝ่ายก็ต้องพยายามเอาชนะใจทาสแมวด้วยนะ 3. แต่เมื่อทาสแมวมีใจให้กับคุณแล้ว พวกเขาจะซื่อสัตย์ต่อคุณเพียงคนเดียว 4. นอกจากนี้พวกเขายังสามารถทนต่อปัญหาต่างๆ ได้มาก 5. ทาสแมวยังมีความละเอียดอ่อน จึงมักจะคิดถึงความต้องการของคุณเสมอ 6. ทว่าพวกเขาก็รู้ว่าการรักตัวเองก็สำคัญด้วยเช่นกัน 7. อีกอย่างทาสแมวสามารถอยู่นิ่งๆ โดยไม่มีอะไรทำได้ จึงไม่ต้องหาเรื่องทำตลอดเวลา 8. ในขณะเดียวกันทาสแมวก็เข้ากับคนที่ชอบผจญภัยได้เป็นอย่างดี 9. ทาสแมวยังสามารถตื่นเช้าได้ แม้ว่าจะไม่มีนาฬิกาปลุกก็ตาม 10. แถมพวกเขายังไม่เอาความคิดของคนส่วนใหญ่มาเป็นบรรทัดฐานด้วย พวกเขารู้ว่าคุณมีความคิดเป็นของตัวเอง 11. ทาสแมวต้องการเวลาส่วนตัวบ้าง ดังนั้นพวกเขาก็รู้ดีว่าคนอื่นก็ต้องการเวลาส่วนตัวเหมือนกัน 12. อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้ดีว่าการนอนด้วยกันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด…
-
13 โมเมนต์เฉพาะตัว สำหรับคนที่เรียน “ภาษาที่สอง” จนพูดได้สองภาษาเท่านั้นที่จะเข้าใจ
คนที่สามารถใช้ภาษาในการสื่อสารสองภาษานั้น ในภาษาอังกฤษจะเรียกกันว่า “Bilingual” คนพวกนี้นั้นจะมีตั้งแต่คนที่เกิดมาพูดได้สองภาษาเลยและประเภทที่เรียนรู้ภาษาที่สองจนช่ำชอง ว่ากันว่าเมื่อไหร่ที่คุณใช้ความคิดเป็นภาษาที่สองเมื่อนั้นเองที่คุณจะถือเป็น Bilingual แล้ว ในคนจำพวกนี้เองก็จะมีโมเมนต์แปลกๆ เฉพาะตัวที่คนปรกติจะไม่ค่อยเข้าใจนักอยู่ วันนี้เอง #เหมียวฝึกหัด จึงได้หาตัวอย่างของโมเมนต์เฉพาะตัวของคนที่พูดได้สองภาษาเท่านั้นที่จะเข้าใจมาให้ชมกัน คิดคำตอบในข้อสอบออก แต่ดันคิดออกเป็นอีกภาษาเลยต้องมานั่งแปลภาษาตัวเอง แค่คิดคำตอบก็ยากพอแล้วแท้ๆ ถ้าเจอคนพูดได้สองภาษาเหมือนกันแถมเป็นภาษาเดียวกันด้วย จะกลายเป็นเพื่อนกันในทันที ส่วนจะเป็นเพื่อนกันนานแค่ไหนค่อยว่ากันอีกที เพื่อนๆ (โดยเฉพาะพวกที่ไม่ได้เรียนภาษา) มักจะคิดว่าคุณแปลทุกอย่างในภาษาที่คุณรู้ได้ คนนะไม่ใช่พจนานุกรม เวลาพูด บางครั้งจะเปลี่ยนภาษาไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลย ไม่ได้ดัดจริตนะ เวลาเปลี่ยนกลับไปใช้ภาษาที่ไม่ได้ใช้มานานก็อาจจะต้องใช้เวลาระลึกชาติพอสมควร ก็มันลืมจริงๆ นี่นา บางทีอ่านภาษาหนึ่งอยู่ดีๆ ก็คิดว่าอ่านอีกภาษาอยู่เสียอย่างนั้น ยิ่งถ้ามีเรื่องหนังสือเปิดอ่านจากซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้ายด้วยนะ คุณพยายามทำให้คนอื่นทึ่งที่คุณพูดได้หลายภาษา ซึ่งบางครั้งก็แป้ก จู่ๆ ก็เผลอใช้คำแสลงจากอีกภาษา จนคนอื่นงงไปหมด แล้วเย็นวันนั้น ทุกคนก็จะใช้แสลงคำนั้นเป็น ใช้เรื่องที่ว่าพูดได้หลายภาษาสมัครงานเสียเลย อะไรได้เปรียบทำหมด อยากจะใช้คำในภาษานี้ แต่นึกไม่ออกว่าคำๆ นั้นในอีกภาษาต้องพูดว่าอย่างไร ยิ่งกว่าสตั้นอีก เวลาอยากได้ตังค์…
-
งานวิจัยพิสูจน์แล้วว่า ‘โชคลาง’ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แล้วเราจะเพิ่มมันได้ด้วยวิธีการใดได้บ้าง
เรื่องโชคลางเป็นสิ่งที่มีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อว่ามันจะมีอยู่จริง อีกทั้งยังคงเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมาจนถึงปัจจุบัน แต่งานวิจัยชิ้นล่าสุดจากนักจิตวิทยา Richard Wiseman ออกมาเผยแล้วว่า เรื่องของโชคลางนั้นมันมีอยู่จริง จากการศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าวภายใต้ชื่องานวิจัย The Luck Factor (ปัจจัยที่ส่งผลต่อโชค) ได้ผลออกมาว่าความโชคดีไม่ใช่เรื่องราวของเวทมนตร์ แต่ส่วนใหญ่แล้วมันเกิดจากทัศนคติของเราทั้งสิ้น ซึ่งเป็นตัวที่ส่งผลกับการตัดสินใจ การได้รับโอกาสต่างๆ ในชีวิต และความโชคดีที่เราจะได้รับ Richard จึงเปิดสถาบันที่ชื่อว่า Luck School เพื่อแผ่ขยายความโชคดีไปให้กับทุกๆ คน และนี่คือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสำหรับเพื่อนๆ ที่จะช่วยให้พวกเรามีสิ่งที่เรียกว่า โชคดีกันมากยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้าง เราไปดูกันเลยยย 1. วิธีเพิ่มโอกาสให้กับตัวเองได้มากที่สุด พวกเรามักคิดว่าตัวเองไม่ได้รับโอกาสที่มากพอในเรื่องของการประสบความสำเร็จในการทำงาน การเลือกคู่ครอง หรือการเติมเต็มความฝัน ซึ่งปัญหาใหญ่ของสิ่งเหล่านั้นเกิดจากความไม่ตั้งใจและความกลัวไม่กล้าเสี่ยง ทำให้คุณลดความสนใจในการคิดสิ่งใหม่ๆ ได้ทำ ได้ลองสิ่งต่างๆ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ จึงต้องเปิดตาและใจให้กว้างเข้าไว้ ไม่ต้องรอให้มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน แต่จงเป็นนายของชีวิตตัวเอง ลงมือทำในสิ่งที่ต้องการ อย่ากลัวในสิ่งที่เรายังไม่รู้หรือยังไม่เกิดขึ้น 2. รับฟังลางสังหรณ์ของตัวเอง การอยู่กับภวังค์ความคิด ความรู้สึกของตัวเองจะช่วยให้คุณโชคดีมากยิ่งขึ้น ผู้ที่มีโชคลาภมักจะเป็นคนที่สามารถจับสัญญาณของร่างกายและจิตใจตัวเองที่ถูกส่งเข้ามา และเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจมันได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม คนที่กระวนกระวายกับความรู้สึกมากจนเกินไปและหวาดกลัวที่จะเชื่อมั่นในสิ่งนั้นก็จะกลายเป็นคนที่ขาดโชคลาภไปแทน วิธีการที่ดีคือเพื่อนๆ…
-
ทำความรู้จักกับ “นินจา” พวกเขาเป็นใคร? มีคาถาจริงหรือไม่? เชิญชมการทดลองและคำอธิบายเชิงจิตวิทยา
นักลอบสังหารแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย ผู้ที่มีความว่องไวและเชี่ยวชาญการต่อสู้หลายรูปแบบ คือคำนิยามที่ผู้เขียนให้กับ “นินจา” นอกจากนินจาจะมีความสามารถด้านการต่อสู้แล้ว ว่ากันว่าพวกเขายังมีคาถาอาคมอีกด้วย แต่ว่าอย่าเพิ่งตื่นเต้นไป วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ “นินจา” ให้มากขึ้น ด้วยประวัติของพวกเขา และคำอธิบายเชิงจิตวิทยา ว่าที่จริงแล้วนินจาคืออะไรและมีความเป็นมาอย่างไรบ้าง ต้นกำเนิดของนินจา นินจา (Ninja) หรือ ชิโนะบิ (Shinobi) แปลว่า “ทำอย่างลับๆ” เป็นคำที่สามารถบ่งบอกคุณลักษณะของพวกเขาได้อย่างดี เนื่องจากนินจาเป็นกองกำลังสายลับในสมัยเซ็งโงะคุช่วงศตวรรษที่ 15 พวกเขามีทักษะขั้นสูงในด้านการจารกรรม วินาศกรรม การแฝงตัว การลอบสังหาร และการสู้เป็นกลุ่ม อาวุธที่เหล่านินจาใช้ก็จะเป็นอาวุธที่พกพาง่าย ใช้สะดวก น้ำหนักเบา และสามารถใช้ได้ในระยะไกล เช่น มีดสั้น และดาวกระจาย ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า ก็คือ “การทำสัญลักษณ์มือโบราณเก้ารูปแบบ” ที่เชื่อว่าเป็นคาถาอาคมของเหล่านักฆ่ากลุ่มนี้ ในช่วงความไม่สงบทางสังคมช่วงศตวรรษที่ 15-17 เหล่านินจานั้นมีบทบาทมากในจังหวัดอิกะ โดยเฉพาะรอบหมู่บ้านโคะกะซึ่งเป็นหมู่บ้านฝึกฝนนินจาด้วยตำราชิโนะบิที่มาจากปรัชญาสงครามของจีน โดยในช่วงปี 1868 สมัยฟื้นฟูเมจิ คำว่า “นินจา” ก็ได้กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าขานและตำนานตั้งแต่นั้นมา และในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองที่เรื่องราวของเหล่านินจาถูกนำมาแต่งเติม เช่นที่ว่า…
-
กลุ่มผู้ชาย รวมตัวกันมาเผยความจริงว่าเคยโดน ‘ข่มขืน’ สื่อถึงความอยุติธรรมที่ได้รับ
แน่นอนว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับทุกเพศทุกวัยย่อมเป็นเรื่องที่มีอิทธิพลต่อสังคมมนุษย์เป็นอย่างมาก “การข่มขืน” ก็เป็นหนึ่งในประเด็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและส่งผลกระทบทางลบกับหลายๆ ฝ่าย ไม่แปลกหากว่าพูดถึงเรื่องของการข่มขืนแล้วเราจะนึกถึงภาพเหยื่อที่เป็นเพศหญิง เพราะจากที่เราเห็นกันตามสื่อส่วนมากเป็นเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วนั้นเพศชายที่ถูกข่มขืนเองก็มีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว และวันนี้ พวกเขา “ชายที่เคยถูกข่มขืน” รวบรวมความกล้าก้าวออกจากความเงียบงัน สู่การแสดงออกถึงความจริงที่หลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการข่มขืน ในโลกแห่งความจริงนั้น ตามรายงานจากองค์กรต่อต้านความรุนแรงทางเพศของสหรัฐอเมริกาชื่อ RAINN พบว่าร้อยละ 10 ของเหยื่อที่ถูกข่มขืนเป็นเพศชาย และผู้ชายร้อยละ 0.33 ของอเมริกาเคยถูกข่มขืนหรือเกือบถูกข่มขืน “นายควรขอบคุณที่ฉันอุตส่าห์ยอมส่งข้อความหานายนะ” ในประเทศอังกฤษเองก็มีตัวเลขจำนวนผู้ชายที่ถูกข่มขืนสูงด้วยเช่นกัน เกือบจะร้อยละ 12 ของเหยื่อการข่มขืนทั้งหมดของประเทศเป็นเพศชาย แต่ว่าปัจจุบันกลุ่มชายที่เคยถูกข่มขืนกลุ่มหนึ่งตัดสินใจที่จะออกมาบอกเล่าถึงความจริงที่หลายๆ คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องของการข่มขืน “ไม่ต้องมีอะไรกันก็ได้ แค่ให้ฉันเลี้ยงเหล้าคุณอีกแก้วก็พอน่า…” ชายกลุ่มนี้ออกมาบอกเล่าเรื่องราวของตน โดยการเขียนประกาศถึง “คำพูด” ที่ผู้กระทำชำเราใช้กับพวกเขาในเหตุการณ์ความรุนแรงนั้นๆ การเผยแพร่นี้กระทำผ่านเว็บเพจของ Tumblr ที่ชื่อว่า Project Unbreakable ภายในเป็นการรวบรวมภาพถ่ายที่มุ่งเน้นช่วยเหลือเหล่าผู้ประสบความรุนแรงทางเพศ ความรุนแรงภายในบ้าน และความรุนแรงในวัยเยาว์ “ไม่ต้องห่วง พวกหนุ่มๆ น่ะชอบแบบนี้กันทั้งนั้น” ท่ามกลางเหล่าสตรีที่เผยข้อมูลที่ตนได้ผ่านการถูกข่มขืน ชายเหล่านี้เองก็ได้ต่อสู้เพื่อจุดยืนของตน โดยการชูป้ายที่รวมเอาคำพูดของผู้กระทำชำเราที่ได้พูดต่อพวกเขาให้โลกได้รับรู้ “ไม่มีใครรักแกหรอกน่า และก็ไม่มีใครสนใจแกด้วย แกมันเป็นของชำรุดไปแล้ว” โปรเจกต์นี้ยังได้ก่อให้เกิดผลกระทบเล็กน้อยในเชิงของการตอบโต้เรื่องผลการรายงานเกี่ยวกับการข่มขืนที่ต่ำกว่าความเป็นจริง…
-
สองหนุ่มพี่น้อง เจ้าของกิจการ ‘ขนย้ายของ’ ฮีโร่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้หลุดพ้นการถูกกดขี่
เรื่องราวน่าประทับใจที่จะนำมาเสนอในวันนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสองพี่น้องชายหนุ่มที่ทำอาชีพรับจ้างขนของแถมยังคอยช่วยเหลือผู้คน ราวกับว่าพวกเขา เป็น “ฮีโร่” กันเลยทีเดียว ในรัฐแคลิฟอร์เนียปี 1997 สองพี่น้อง Aaron Steed และ Evan ได้ก่อตั้งกิจการ “ขนย้ายของ” ขึ้นมาเป็นของตัวเอง เนื่องจากในขณะนั้นทั้งคู่เป็นนักกีฬาของโรงเรียน ทำให้พวกเขาต้องพบเจอปัญหาในการหางานเสริมที่มีเวลาตรงกับตารางเวลาที่แน่นขนัดของพวกเขา แต่พวกเขายังคงต้องการเงินที่จะมาส่งตัวเองเรียน ทำให้วันหนึ่งหลังจากที่พวกเขาถูกจ้างโดยพ่อของเพื่อนให้ไปช่วยขนย้ายข้าวของออกจากบ้าน พวกเขาจึงตัดสินใจก่อตั้งกิจการขนย้ายของโดยใช้ชื่อว่า “Meathead Movers” กิจการของพวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นบริษัทขนย้ายของที่ใหญ่ที่สุดในแคลิฟอร์เนีย อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่คอยช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงภายในครอบครัวอีกด้วย หลังจากที่ Aaron กับ Evan ก่อตั้งกิจการได้ไม่นานนัก ก็มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาที่บริษัทจำนวนหนึ่ง ผู้ติดต่อเผยว่าพวกเขาถูกกดขี่และทำร้ายภายในบ้าน ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ไม่มีเงินแถมยังแทบจะไม่มีหวังที่จะออกจากสภาวการณ์ที่ถูกกดขี่เช่นนั้น แต่สองพี่น้องคู่นี้คิดว่าอย่างไรก็ต้องช่วยเหลือคนพวกนั้นให้ได้ หากว่าผู้ที่ติดต่อเข้ามาขอความช่วยเหลือให้สามารถหลบหนีออกจากสถานการณ์ความรุนแรงภายในบ้านได้ล่ะก็ สองพี่น้องก็จะช่วยเหลือโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และไม่มีคำถามใดๆ ทั้งนั้น “ตั้งแต่นั้นมา พวกเราก็ให้การบริการแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายสำหรับเหยื่อของความรุนแรงภายในบ้าน” Evan กล่าว สองพี่น้องนึกได้ถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่ติดต่อเข้ามาเมื่อหลายปีก่อน เธอเล่าว่าเธอถูกทำร้ายโดยคนรักเก่าของเธอแทบจะทุกวัน และยังถูกข่มขู่ว่าจะทำร้ายลูกสาวและหลานของเธออีกด้วย จากนั้นบริษัท Meathead ก็เข้ามาช่วย พวกเข้าเข้ามานำตัวหญิงสาวพร้อมลูกสาวและหลานของเธอหนีออกจากบ้านหลังเดิม เท่านั้นยังไม่พอพวกเขายังเตรียมที่นอนพร้อมเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นให้กับที่พักแห่งใหม่สำหรับหญิงสาวและเด็กๆ แถมยังเอาดอกไม้ใส่กระถางมาให้เป็นของขวัญต้อนรับเข้าสู่บ้านใหม่อีกด้วย จากนั้นชื่อเสียงของพวกเขาได้แพร่กระจายออกไป และหนุ่มๆ ในบริษัทก็เข้ามาทำหน้าที่ตามคำปฏิญาณที่ตั้งใจเอาไว้…
-
ปัญหาน้องชายเล็กที่ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับหนุ่มๆ กับสิ่งที่สามารถลดขนาดจุ๊ดจู๋ตัวน้อยได้
อวัยวะเพศชายที่เราอาจจะเรียกกันว่า หรรมส์ จุ๊ดจู๋ น้องชาย หรืออะไรก็แล้วแต่นั้น เป็นส่วนสำคัญสำหรับผู้ชายทุกคน และแน่นอนว่าหนุ่มๆ มักจะกังวลในเรื่องของขนาดเล็กใหญ่ ซึ่งมีความแตกต่างกันไป ไม่มีมาตรฐานตายตัว ปัจจุบันยังคงไม่มีสิ่งที่บอกว่าคุณจะทำยังไงให้น้องชายของคุณใหญ่ขึ้นมาได้จริงๆ ในทางตรงกันข้าม กลับมีหลากหลายงานวิจัยที่บอกว่าพฤติกรรมบางอย่างหรืออะไรบางอย่างสามารถทำให้น้องชายของเรามีขนาดที่เล็กลง และอาจทำให้มันไม่แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน ซึ่งนั่นก็คือหัวข้อที่เราจะมาบอกเพื่อนๆ กันในวันนี้ สิ่งแรกที่จะสร้างปัญหาให้กับจุ๊ดจู๋น้อยก็คือการสูบบุหรี่ ซึ่งวารสารทางการแพทย์ Medical News Today บอกว่า สารพิษในบุหรี่จะสร้างความเสียหายให้กับหลอดเลือดบริเวณน้องชาย ทำให้สูญเสียการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อบริเวณนั้น การแข็งตัวจึงเป็นไปได้ยาก ในปี 1998 ก็เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยแพทย์บอสตัน สหรัฐอเมริกา พวกเขาศึกษากับหนุ่มๆ จำนวน 200 คน แล้วพบว่าคนที่สูบบุหรี่จะมีน้องชายสั้นกว่าคนไม่สูบ และยังมีการยับยั้งการไหลเวียนของหลอดเลือดจนทำให้มันแข็งตัวได้ยาก ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการสูบบุหรี่ แต่การใช้ยาก็สามารถส่งผลกับขนาดของน้องชายเราได้เหมือนกัน อย่างเช่นยาที่ชื่อว่า Adderall สำหรับผู้ป่วยโรคสมาธิสั้น รวมถึงยากล่อมประสาทและยารักษาอาการทางจิตบางชนิด การศึกษาในปี 2012 ก็ได้บอกไว้ว่ายารักษาปัญหาของต่อมลูกหมากที่ชื่อว่า Finasteride ส่งผลให้หรรมส์สั้นลงและลดความรู้สึกสัมผัสของมัน และวารสาร Urology เองก็เคยพูดถึงการค้นพบที่ว่า 41…
-
ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ‘วัยรุ่น’ คือความเยาว์ที่แตกต่างแต่เหมือนกัน ไร้สัญชาติและไร้พรมแดน…
ผลงานภาพถ่ายของช่างภาพจากบรุกลิน สหรัฐอเมริกาที่ถ่ายทอดเรื่องราวของวัยรุ่นจากสถานที่ต่างๆ ทั่วทุกมุมโลกชุดนี้ ได้เผยให้เห็นถึงสิ่งหนึ่งที่สะท้อนออกมาจากแววตาของพวกเขา คุณ Amy Touchette ช่างภาพสาวของเราได้ออกเดินทางไปยังนิวยอร์ก ฮาวาย และโตเกียว เพื่อพบกับเหล่าวัยรุ่นที่มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของวัฒนธรรม ครอบครัว และสังคม เธอได้บันทึกภาพของพวกเขาและเรียนรู้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างความสัมพันธ์ของพวกเขากับเพื่อนและคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นความสนุกในการใช้ชีวิต และการดูแลเอาใจใส่จากผู้ปกครอง ซึ่งสิ่งที่เธอสัมผัสได้ก็คือรอยยิ้มอันสดใสของพวกเขานั้นเอง กลุ่มเป้าหมายของ Touchette คือวัยรุ่นอายุระหว่าง 13-19 ปี ซึ่งเธอจะขอความยินยอมจากพวกเขาก่อนที่จะเริ่มทำการบันทึกภาพ “หลังจากที่สังเกตความหลากหลายของภาพถ่าย ฉันอยากจะจับคู่ภาพที่มีลักษณะคล้ายกันไว้ด้วยกัน ภาพของผู้คนที่มีลักษณะคล้ายกันในสถานที่ที่แตกต่างกันคงจะถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว” ช่างภาพสาวให้สัมภาษณ์ ภาพของกลุ่มวัยรุ่นหญิงจากนิวยอร์ก (ซ้าย) และกลุ่มวัยรุ่นจากเกาะโอวาฮู ฮาวาย (ขวา) ช่างภาพสาวเล่าว่า ภาพถ่ายของวัยรุ่นจากสถานที่ต่างๆ เหล่านี้ทำให้เธอเข้าใจถึงวิถีชีวิตและสิ่งที่เป็นภัยคุกคามกับพวกเขา ซ้าย: กลุ่มเด็กชายจากญี่ปุ่นที่กำลังเดินทางกลับบ้าน ขวา: กลุ่มวัยรุ่นจากนิวยอร์ก ภาพของเด็กสาวจากเกาะโอวาฮู ฮาวาย (ซ้าย) และภาพของเด็กสาวจากนิวยอร์ก (ขวา) “วัยรุ่นก็คือผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้ถูกขัดเกลา พวกเขากำลังสัมผัสกับชีวิตแบบผู้ใหญ่ แต่กลับมีประสบการณ์ที่ไม่มากเท่าไหร่ ฉันพยายามจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นธรรมชาติที่หลากหลายของพวกเขาให้มากที่สุด แต่ฉันทำได้เพียงแค่บันทึกภาพในช่วงเวลาสั้นๆ ของชีวิตพวกเขาเท่านั้น” Touchette ให้สัมภาษณ์ …
-
เรื่องราวของหญิงสาวผู้มีอาการเสพติดเซ็กส์และหนังผู้ใหญ่มาตั้งแต่อายุแค่ 12 ปี
การที่เรามีอาการเสพติดอะไรซักอย่างมากจนเกินไป ย่อมเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดผลเสียตามมา และบางครั้งมันก็อาจจะกระทบถึงชีวิตประจำวันของเราเองไปอย่างยาวนาน เหมือนอย่างเรื่องราวของเธอคนนี้ที่เสพติดการมีเพศสัมพันธ์และหนังผู้ใหญ่ นี่คือเรื่องราวของ Erica Garza วัย 35 ปี หญิงสาวผู้อาศัยอยู่ในเมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เธอต้องต่อสู้กับอาการเสพติดหนังผู้ใหญ่มานานกว่า 20 ปี Erica หญิงสาวผู้มีอาการเสพติดเพศสัมพันธ์และหนังผู้ใหญ่อย่างหนัก เธอเล่าว่าเริ่มมีความรู้สึกละอายใจและตื่นเต้นในเรื่องเพศมาตั้งแต่ตอนที่อายุได้แค่ 12 ปี ซึ่งในตอนนั้นเธอจำเป็นต้องใส่ชุดดามหลังเอาไว้ เพราะเธอถูกรังแกจนทำให้กระดูกสันหลังคด จากนั้นการเสพติดของเธอก็เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกตอนที่เธอมีโอกาสได้ดูหนังผู้ใหญ่แบบเรียบง่ายในช่อง Cinemax หลังจากที่พ่อแม่ของเธอหลับไปแล้ว เธอยังเล่าถึงคลิปหลุดของ Pamela Anderson และ Tommy Lee ในปี 1997 ที่กลายเป็นยากระตุ้นให้กับเธออย่างมากตอนที่อายุได้ 15 ปี ภาพของ Erica ในตอนที่ยังเป็นเด็กวัยรุ่น Pamela Anderson และ Tommy Lee เจ้าของคลิปหลุดที่กระตุ้นความต้องการทางเพศของ Erica ในตอนนั้นหนุ่มๆ ที่อยู่รอบข้างเธอมองว่าเธอเป็นคนที่เจ๋งดี เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องของหนังผู้ใหญ่…
-
รวมเคสจัดฟันแฟชั่นที่เกิดขึ้น ‘จริง’ ในบ้านเรา ภัยอันตรายที่จากความสวยเพียงไม่กี่ร้อย
สำหรับหลายๆ คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับฟันไม่ได้รูป หรือมีปัญหาในการรับประทานอาหาร การจัดฟันอาจจะเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับเราได้ นอกจากฟันที่สวยได้รูปแล้ว อีกหนึ่งผลพลอยได้ของการรักษานี้ก็คือสีสันของยางรัดฟัน ที่ทำให้มันกลายเป็นค่านิยมความสวยงามแบบผิดๆ จนส่งผลให้กระแสการดัดฟันแฟชั่นที่มีราคาถูกนั้นได้รับความนิยมอย่างมาก ถึงแม้ว่าทางกระทรวงสาธารณสุขและสื่อต่างๆ จะออกมาเตือนอยู่หลายครั้งว่า ความงามราคาหลักร้อยนี้อาจจะต้องแลกมาด้วยความสูญเสียมากมาย จนบางครั้งอาจต้องแลกด้วยชีวิตเลยก็ตาม แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยกล้าที่จะเสี่ยง และทำให้การจัดฟันเถื่อนยังคงเป็นที่นิยมในทุกวันนี้ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงอันตรายและความน่ากลัวของการจัดฟันแฟชั่น วันนี้ #เหมียวเวจจี้ จึงขอรวบรวมกรณีของความสูญเสียมาให้ได้ชมกัน เริ่มกันที่กรณีแรก เป็นเรื่องราวของผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อว่าคุณอมฤต ชัยบุตร ที่ได้โพสต์ภาพของช่องปากที่ทางลูกศิษย์ส่งมาให้ชม ซึ่งภาพดังกล่าวนั้นก็ไม่ใช่ฝีมือใครที่ไหน เจ้าเหล็กดัดฟันเถื่อนนั่นเอง!! ภาพจากเฟซบุ๊กของคุณอมฤต ชัยบุตร ส่วนกรณีต่อมานั้นก็คือเรื่องราวจากแฟนเพจห้องทำฟันหมายเลข 10 ที่โพสต์ภาพของฟันที่ไม่ได้รูปหลังจากผู้ป่วยได้ไปทำการจัดฟันแฟชั่นมา พร้อมกับข้อความว่า “แม่ค้าบอกปลอดภัย100%……เชื่อแม่ค้าซะงั้น กรรมเวร อย่าคิดว่าแค่เอาลวดเอาเหล็กไปติดไว้เฉยๆ ไม่เป็นไรหรอก แรงจากลวดแม้เพียงเล็กน้อยก็ค่อยๆ ขยับฟันไปทีละนิด รู้ตัวอีกทีฟันก็เรียงผิดรูปไปหมดแล้ว” ส่วนกรณีต่อมาอาจจะน่ากลัวสักหน่อยสำหรับใครที่ใจไม่แข็งพอ โดยเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมาทางเพจชื่อดังอย่างหมอแล็บแพนด้า ได้โพสต์ภาพอันน่าสยดสยองของฟันจากผู้ป่วยรายหนึ่งที่ต้องถูกถอนออกมายกแผงหลังจากที่ได้ทำการดัดฟันแฟชั่นมา ส่วนกรณีล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เลยนั่นก็คือทางเฟซบุ๊ก Vittawat Pongsapas ได้โพสต์ภาพของฟันที่โค้งงออย่างมาก หลังจากที่ได้ทำการดัดฟันแฟชั่นมา…
-
สิ่งของภายในบ้านที่คุณอาจไม่เคยรู้ว่ามัน ทำให้คุณมีโอกาส ‘เป็นมะเร็ง’ ได้
“โรคมะเร็ง” เป็นโรคที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์เราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ฉะนั้นหากคนเราได้ยินว่าอะไรที่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ ก็มักจะหลีกเลี่ยงสิ่งก่อมะเร็งเหล่านั้น แต่ถึงจะหลีกเลี่ยงอย่างไรก็ยังหนีไม่พ้นสารก่อมะเร็งอยู่ดี เพราะผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาได้ออกมาบอกว่า “สิ่งของในบ้าน” ของเราเอง ก็ยังแอบซ่อนสารก่อมะเร็งเอาไว้เหมือนกัน แล้วทีนี้จะหลีกเลี่ยงมะเร็งกันได้ยังไงล่ะ? ไม่ต้องกังวลไป เพราะบทความนี้จะมาบอกทุกท่านเองว่าของใช้ในบ้านชนิดใดบ้างที่มีสารก่อมะเร็ง และควรจัดการกับสิ่งของเหล่านั้นด้วยวิธีใด เชิญทุกท่านไปดูพร้อมๆ กันเลยดีกว่า… 1. โซฟา โซฟา ที่นอน และเฟอร์นิเจอร์จำพวกหุ้มเบาะต่างๆ นั้นเต็มไปด้วยสาร TDCIPP เป็นสารที่ใช้หน่วงการติดไฟแต่กลับสามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ แถมสาร TDCIPP ยังถือว่าเป็นหนึ่งใน 10 สารที่พบเห็นบ่อยที่สุดในบ้านอีกด้วย วิธีแก้: ตรวจสอบเฟอร์นิเจอร์หุ้มเบาะของคุณว่าผลิตก่อนหรือหลังปี 2013 เพราะก่อนปี 2013 นั้นมีการใช้สาร TDCIPP บ่อยที่สุด นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบป้ายสินค้าหรือสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าว่ามีการใช้สารหน่วงการติดไฟ TDCIPP นี้หรือไม่ 2. พรมและผ้าม่าน หากคุณสูบบุหรี่ในบ้าน พรมและผ้าม่านจะเป็นสถานที่ที่กักเก็บสาร Cadmium สารก่อมะเร็งที่ออกมาจากควันบุหรี่ มันจะคงอยู่แม้ว่าควันบุหรี่จะหมดไปแล้วก็ตาม สารแคดเมียมที่ติดอยู่ตามพรมและผ่าม่านนั้นจะทำให้ผู้ที่ไม่ได้สูบได้รับผลกระทบทางอ้อมและมีโอกาสเป็นมะเร็งได้ วิธีแก้: เลิกสูบบุหรี่ หรือสูบบุหรี่นอกบ้าน 3.…
-
ความสามารถในการมองเห็นภาพ 3 มิติของตั๊กแตนตำข้าว แตกต่างกับมนุษย์อย่างเหนือชั้น
ภาพ 3 มิติเป็นสิ่งที่เราอาจจะเคยเห็นจากหนังหลายๆ เรื่องที่นำสิ่งนี้มาใช้ประกอบกับความสมจริง ซึ่งพวกเราก็จะมองภาพเหล่านั้นผ่านแว่นตา 3 มิติ แต่เราอาจจะไม่รู้มาก่อนว่าความสามารถในการมองภาพ 3 มิติไม่ได้มีแค่มนุษย์เท่านั้น แต่มันยังรวมถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ นก หรือแม้แต่ ตั๊กแตนตำข้าว แต่ที่พิเศษมากยิ่งไปกว่าก็คือ ตั๊กแตนตำข้าวนั้นไม่ได้มีแค่ความสามารถในการมองภาพ 3 มิติ แต่มันยังสามารถทำบางส่วนได้ดีกว่ามนุษย์อีกด้วย และนั่นก็คือผลลัพธ์ที่ได้จากงานวิจัยในครั้งนี้ นี่คือการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Newcastle ประเทศอังกฤษ โดยนักวิจัยที่ชื่อว่า Vivek Nityananda และศาสตราจารย์ Jenny Reed การวิจัยในครั้งนี้พวกเขาได้สร้างแว่นตาสามมิติขนาดจิ๋วไปสวมให้กับตั๊กแตนตำข้าววัยกลัดมัน โดยติดเอาไว้ที่ดวงตาของมันด้วยขี้ผึ้ง จากนั้นพวกเขาจึงให้มันไปอยู่ตรงหน้าจอมอนิเตอร์ ในจอจะมีวงกลมที่มีสีแตกต่างกันซ้อนทับกัน วงนึงเป็นสีสว่างอีกวงเป็นสีทึบ โดยวงกกลมนั้นจะหมุนวนไปรอบๆ จอก่อนที่จะตีวงแคบเรื่อยๆ แล้วไปจบลงที่ตรงกลางจอ การทดลองให้มันมองวงกลมผ่านแว่น 3 มิติ จากการทดสอบนี้ทำให้เข้าใจได้ว่าตั๊กแตนตำข้าวสามารถมองเห็นภาพสามมิติและจับการเคลื่อนไหวได้ ซึ่งการทำงานของระบบการมองเห็นนั้นอาจเหมือนของมนุษย์ นั่นคือคนเราจะใช้ตาข้างหนึ่งจับภาพไว้หนึ่งภาพ ในขณะที่ดวงตาอีกข้างก็จะจับภาพไว้อีกภาพหนึ่ง แล้วระบบประสาทของเราก็จะมองเห็นจากความแตกต่างของสองภาพนั้น หลักการทำงานของเราคือ ตาซ้ายจับไว้ภาพหนึ่ง ตาขวาจับไว้ภาพหนึ่ง แล้วเราจะมองเห็นความแตกต่างของสองภาพนั้น …
-
8 สัญญาณที่บ่งบอกว่า ‘แฟนหนุ่ม’ ที่คุณกำลังคบหาอยู่นั้น เขารักคุณมากจริงๆ นะ
บางครั้งสาวๆ ก็อาจเกิดความสงสัยกันขึ้นมาว่าชายหนุ่มที่อยู่เคียงข้างเรานั้น เขาจะรักเราจริงหรือเปล่า? จนคุณอาจจะพยายามใช้วิธีการร้อยแปดพันเก้าในการพิสูจน์ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีที่ง่ายมากๆ ด้วยการสังเกตกับ 8 สัญญาณที่จะสามารถบอกคุณได้ว่า แฟนหนุ่มเขารักคุณจริงๆ นะ จะมีอะไรบ้าง เราลองไปดูกันเลย 1. เขาฟังคุณมากกว่าที่จะพูด ผู้ชายมักจะพูดถึงเรื่องของตัวเองหรือความสำเร็จที่เคยได้รับ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรเกิดขึ้นในตอนที่พวกเขามีความรัก เพราะรักแท้จะทำให้พวกเขาเกิดความสนใจในตัวอีกฝ่ายและเห็นอกเห็นใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมากขนาดไหนก็ตาม พวกเขาจึงจะรับฟังสาวๆ ข้างกายอย่างตั้งใจและถามเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ 2. เขาใส่ใจเพื่อนและครอบครัวของคุณ หนุ่มที่รักคุณจริงจะต้องใส่ใจในเรื่องของครอบครัวและเพื่อนๆ ของคุณ เพราะเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณไปแล้ว ซึ่งแม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้ชอบหรือเคารพคนเหล่านั้น แต่เขาก็จะไม่มาคอยกีดกันคุณออกจากสังคมที่มี แต่เขาพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเสมอทุกครั้งที่คุณต้องการ 3. เขาจะไม่ผลักคุณออกจากบทสนทนาหรือการโต้เถียง คุณอาจเคยได้ยินประโยคว่า “หยุดเลย ผมจัดการตรงนี้เองได้” นั่นเป็นสิ่งที่คุณจะไม่ได้ยินจากปากของชายที่รักคุณจากใจ เพราะเขาจะปฏิบัติกับคุณให้เท่าเทียมกับตัวเอง อีกทั้งเขายังจะมอบโอกาสให้คุณได้แสดงความคิดเห็นอยู่เสมอ 4. เขาภูมิใจในความสำเร็จของคุณและมักจะเอาไปพูดกับคนอื่นๆ อยู่บ่อยครั้ง ผู้ชายจำนวนมากไม่ชอบเห็นแฟนสาวของตัวเองประสบความสำเร็จ ยิ่งถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ด้วยแล้ว แต่ผู้ชายที่รักคุณจริงจะมองว่าคุณคือส่วนหนึ่งของเขา เขาจึงรู้สึกดีใจอยู่เสมอที่ได้เห็นความสำเร็จของคุณ และชอบที่ได้อวดเรื่องนี้กับเพื่อนๆ ของเขา 5. เขารู้สึกยินดีในความเป็นคุณและคอยให้กำลังใจอยู่เสมอ ชายที่รักจริงจะทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ สำคัญ…
-
รู้หรือไม่ว่าอาการเหนื่อยล้าของมนุษย์มีทั้งหมด 5 แบบด้วยกัน คุณล่ะเข้าข่ายอันไหนกันบ้าง?
ในชีวิตการเรียนหรือการทำงานก็ตาม “ความเหน็ดเหนื่อย” นั้นย่อมเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่พ้น ซึ่งเมื่อเวลาที่เรารู้สึกเหนื่อยขึ้นมา สิ่งที่เรามักจะทำก็คือล้มตัวลงนอนบนเตียงแสนสบาย แต่หารู้ไม่ว่านอกจากการพักผ่อนแล้ว พลังงานที่เติมเข้าไปในร่างกายเรายังส่งผลถืงการฟื้นฟูความเหนื่อยล้าของเราด้วย Jackie Lynch นักโภชนาการกล่าวกับ Cosmo Australia ว่าสารอาหารที่ร่างกายเรารับเข้าไปนั้นส่งผลถึงความเหนื่อยล้า พร้อมทั้งเผยว่าความเหนื่อยล้าที่สัมพันธ์กับสารอาหารนั้นสามารถจำแนกประเภท ออกมาได้ 5 ประเภทดังนี้ 1. Energy Highs and Lows (พลังงานสูงๆ ต่ำๆ) เมื่อระดับ น้ำตาลในเลือด มีทั้งการเพิ่มขึ้นและลดลงในวันเดียวกันก็จะทำให้เหนื่อยได้ 2. Emptiness (อาการขาด) ระดับ แมกนีเซียม ในร่างกายนั้นส่งผลต่อระบบการทำงานของกล้ามเนื้อและความตึงเครียด หากระดับแมกนีเซียมไม่เหมาะสมอาจจะทำให้เป็นตะคริว ปวดหัว กล้ามเนื้อกระตุก และใจสั่นได้ 3. Lacking Stamina (ไม่มีแรง) อาการเหนื่อยล้าของคุณอาจเกิดจากการที่มี ธาตุเหล็ก ในร่างกายต่ำ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของฮีโมโกลบิน หากมันต่ำลงแล้วจะทำให้รู้สึกหมดเรี่ยวแรง และมักพบในผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือน 4. Reduced Concentration (ไม่มีสมาธิ) อาจเกิดจากการขาด วิตามินบี ที่ช่วยสร้างพลังงาน สาเหตุหลักก็คือ ความเครียดเรื้อรัง และการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้สูญเสียวิตามินบีมาก…
-
10 ความรู้สึกบนฐานเกี่ยวเนื่องกับ ‘เวลา’ และคำตอบทางจิตวิทยาที่อธิบายให้กระจ่าง
การควบคุมกาลเวลานั้นคงเป็นพลังพิเศษในความฝันของใครหลายๆ คน เพราะจะได้ย้อนเวลาไปแก้อดีต หรือหยุดเวลาเพื่อทำอะไรให้มันสนองความต้องการ แต่พวกเราเองก็รู้ดีนั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก หรือแทบจะเป็นไม่ได้เลย ในขณะที่พวกเราได้แต่รอให้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบวิธีการท่องเวลาและควบคุมเวลา ปัจจุบัน นักจิตวิทยาได้ออกมาเผยถึงข้อมูลที่จะทำให้รู้เท่าทัน “ความเร็วของเวลา” ราวกับจะสามารถควบคุมเวลาได้เลยทีเดียว แล้วข้อมูลที่ว่านั้นจะมีอะไรบ้างไปดูพร้อมกันเลยดีกว่า 1. เวลาเดินช้าลงเมื่อเรารู้สึกเบื่อ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะเวลาที่เราทำกิจกรรมที่แสนน่าเบื่อ มันทำให้สมองเราเบนความสนใจจากกิจกรรมนั้นๆ มาอยู่ที่ตัวเอง ทำให้เรารับรู้ถึงสิ่งรอบตัวมากเกินไป นั่นจึงทำให้การรับรู้เวลาของเรานานขึ้นด้วยนั่นเอง ตรงกันข้าม หากเรากำลังทำกิจกรรมที่สนุกหรือน่าสนใจล่ะก็ สมองเราจะมุ่งสนใจไปยังกิจกรรมนั้นๆ แทน ทำให้เรารับรู้ถึงเวลาได้น้อย จึงรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเร็ว 2. เวลาเดินช้าลงเมื่อต้องพบเจอกับความไม่แน่นอน เคยไหมเมื่อเราจะต้องออกไปทำงานในอีก 10 นาที แต่เรากลับเพิ่งตื่น ต่อให้เราเร่งรีบแค่ไหนมันก็ยังจะรู้สึกว่า ทำไม 10 นาทีมันช่างผ่านไปรวดเร็วเสียเหลือเกิน แต่ถ้าหากว่าคุณกำลังรอลุ้นผลการตรวจครรภ์ที่จะปรากฏออกมาใน 10 นาทีล่ะก็ คุณจะรู้สึกว่าเป็น 10 นาทีที่นานเหลือเกิน นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อคุณไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต คุณจะคิดมาก และรับรู้รายละเอียดรอบตัวได้มาก สมองจึงรับรู้เวลาอยู่ตลอด และทำให้รู้สึกว่าเวลานานขึ้นนั่นเอง 3. เวลาเดินช้าจนแทบจะไม่เดินเลย หากเราจ้องมองแต่นาฬิกา อาการดังกล่าวเขาเรียกกว่า “Stopped Clock Illusion” ในขณะที่เข็มนาฬิกากระดิกไปเรื่อยๆ หากเรามองมันตลอดมันจะรู้สึกถึงเวลาที่ยาวนานขึ้นนิดหน่อย…
-
22 พฤติกรรมของ “หนอนหนังสือ” ที่คนธรรมดาจะไม่เข้าใจ แต่เหล่าคนรักการอ่านนั้นรู้ดี…
คนที่ชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจมักจะมีพฤติกรรมบางอย่างที่แตกต่างจากคนทั่วไป หลักๆ ก็คือพวกเขามีความรักการอ่านที่สูงกว่าคนธรรมดาทั่วไปจนเทียบไม่ติดเลยนั่นแหละ คนที่ไม่ใช่คอหนังสืออาจะทำความเข้าใจคนชอบอ่านได้ยาก วันนี้เราเลยลองรวบรวมพฤติกรรมและนิสัยบางอย่างที่คนชอบอ่านหนังสือน่าจะเป็นกันมาให้ทุกคนได้ดู เจอกันคราวหน้าจะได้เข้าใจพวกเขามากยิ่งขึ้น 1. ว่าด้วยเรื่องการชอปปิ้ง แทนที่จะเอาเงินไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆ หรือของใช้เหมือนคนทั่วไป พวกเขาคิดว่าเก็บเงินไว้ซื้อหนังสือนี่แหละดีที่สุด 2. บางครั้งเราก็รู้สึกว่าการได้อ่านหนังสือเงียบๆ มีความสุขกว่าการออกไปสังสรรค์พูดคุยกับคนหมู่มากเสียอีก 3. แม้ว่าจะอ่านหนังสือเล่มเก่าจนจบหมดแล้ว แต่ก็ทำใจทิ้งมันไม่ลงอยู่ดี ขอยอมให้หนังสือกองท่วมบ้านยังดีซะกว่า 4. เมื่อคุณเข้าสู่โลกของการอ่านแล้ว ไม่ว่าจะโจรขึ้นบ้าน ไฟไหม้ แผ่นดินไหว หรือโลกแตกก็ไม่สามารถฉุดคุณให้หยุดอ่านได้ 5. นักอ่านตัวจริง ต้องอ่านหนังสือได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นบนรถไฟฟ้า หรือตอนว่างจากการทำงาน 6. ถ้าเกิดหนังสือเล่มไหนถูกเอาไปทำเป็นภาพยนตร์ แต่พวกเขายังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นก่อน ก็จะไม่มีวันไปดูภาพยนต์เรื่องนั้นจนกว่าจะได้อ่านหนังสือจบเด็ดขาด 7. สำหรับคนที่เป็นแฟนของคนชอบอ่านหนังสือ คุณไม่จำเป็นต้องหาเรื่องคุยกันตลอดเวลาก็ได้ แค่นั่งเป็นเพื่อนเธอตอนเธออ่านหนังสืออยู่ก็ได้ใจเธอไปเต็มๆ แล้ว 8. หนังสือแต่ละเล่มเปรียบเสมือนเพื่อนคนหนึ่ง แม้ว่าเราจะใช้เวลาด้วยกันมาไม่มาก แต่เธอจะอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป 8. ด้วยความที่อ่านหนังสือมามาก เวลาจะจีบใครสักคน หนอนหนังสือมักจะมีสกิลในการพูดจาไพเราะเพราะพริ้งเหมือนกับบรรยายฉากรักอยู่เลย แต่บอกไว้ก่อนว่าเราพูดไม่ค่อยเก่งหรอกนะ 9. คนรักการอ่านจะต้องจัดเวลาว่างให้ตัวเองได้อ่านหนังสือเสมอ ถ้าหากเพื่อนชวนไปเที่ยวแต่ไม่ได้อ่านหนังสือล่ะก็…
-
เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ หลีกเลี่ยง 6 พฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้น้องชายคุณเศร้าเหว่า!!
อาหารการกินนั้นถือเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกายเราอย่างมาก นอกจากจะส่งผลถึงสุขภาพแล้ว ยังส่งผลถึงชีวิตเซ็กส์อีกด้วยนะเออ!! และถ้าหากหนุ่มๆ คนไหนที่อยากให้เรื่องบนเตียงของคุณราบรื่น และเพิ่มประสิทธิ์ภาพของฮอร์โมนเพศชายล่ะก็ วันนี้เราก็มีข้อแนะนำดีๆ จากเว็บไซต์ Men’s Health มาฝากกัน จะมีอะไรบ้างนั้นไปชมกันเลย… 1. คุณทานอาหารประเภทขยะมากเกินไปหรือเปล่า?? ดอกเตอร์ Jamin Brahmbhatt จากศูนย์สุขภาพ Orlando เคยกล่าวเอาไว้ว่า “หัวใจที่แข็งแรงเท่ากับเรื่องเพศที่แข็งแรงด้วย” ดังนั้นพวกอาหารที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ก็ย่อมส่งผลเสียต่อเรื่องบนเตียงของคุณด้วย การทานอาหารฟาสต์ฟู้ดและอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูงเป็นประจำจะส่งผลต่อการทำงานของหัวใจคุณ และทำให้คุณอ้วนได้ ซึ่งดอกเตอร์ Brahmbhatt ได้อธิบายเอาไว้ว่า “ผู้ชายที่เป็นโรคอ้วนนั้นมีความเสี่ยงที่จะมีปริมาณฮอร์โมนเพศชายต่ำกว่าคนทั่วไป” 2. คุณชอบทานกาแฟแบบลดปริมาณคาเฟอีน (DECAF) ใช่ไหม?? ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟนั้นมีผลต่อเรื่องบนเตียงคุณ จากผลการศึกษาขั้นต้นของสมาคมโรคหัวใจอเมริกันพบว่า ผู้คนที่ดื่มกาแฟปรกติ 3 แก้ว (คาเฟอีนประมาณ 100 มิลลิกรัม) มีอัตราการไหลเวียนของเลือดเพิ่มขึ้นมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ หลังจากผ่านไป 75 นาที ซึ่งมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ดื่มกาแฟแบบ DECAF และการเพิ่มขึ้นของอัตราการไหลเวียนของเลือดนี้นอกจากจะส่งผลดีต่อหัวใจของคุณแล้ว มันยังส่งผลดีกับน้องชายอีกด้วย โดยดอกเตอร์ Joshua Gonzalez กล่าวว่า “อัตราการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้น ส่งผลอย่างมากต่อเรื่องสมรรถภาพทางเพศ” 3. คุณเป็นคนชอบดื่มแอลกอฮอล์หรือเปล่า?? จริงอยู่ว่าการดื่มเหล้าอาจจะทำให้คุณรู้สึกซู่ซ่า…
-
พบกับ 7 การทดลองอันสยดสยองที่เคยเกิดขึ้นบนโลกในอดีต ช่างน่าหดหู่ใจซะจริงๆ
(บทความนี้อาจมีภาพที่มีเนื้อหารุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม) ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโลกของเราในอดีตนั้น เคยมีความโหดร้ายเกิดขึ้นอย่างมากมายเพียงใด และยิ่งในช่วงที่เกิดสงครามขึ้นแล้ว การบาดเจ็บล้มตายรวมถึงการจับเชลยมาใช้แรงงาน ถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่เราสามารถเห็นได้ในทุกวันในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ แต่ว่าก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่อาจดูรุนแรงและวิปริตในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือการทดลองต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยสงคราม วิธีการทดลองนี้ส่วนมากก็จะใช้เหล่าเชลยศึกเป็นเหยื่อในการทดลอง ซึ่งมันก็ได้สร้างความทรมานใจให้แก่ผู้พบเห็นอย่างเราๆ เป็นอย่างมาก และนี่คือ 7 การทดลองสยองโลก ที่ว่ากันว่ามีความอำมหิตที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งมันจะน่ากลัวขนาดไหน รวมทั้งมีวิธีการอย่างไรบ้าง เชิญชมพร้อมๆ กันได้ ณ บัดนี้ 1. การทดลองเย็บเด็กให้กลายเป็นแฝดตัวติดกัน นี่เป็นหนึ่งในการทดลองของระบบนาซี ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Dr. Josef Mengele เกิดสนใจในการทำฝาแฝดขึ้นมา เขาจึงได้ทำการทดลองโดยใช้เด็กกว่า 1,500 คู่ในการทดลองครั้งนี้ และเมื่อถึงค่ายกักกันก็ปรากฏว่ามีเด็กที่สามารถรอดชีวิตเพียง 200 คู่เท่านั้น วิธีการทดลอง ในการทำแฝดสยามนั้น ทีมการทดลองนี้จะนำเด็กสองคน นำมาควักอวัยวะภายในบางอย่างออก จากนั้นก็จะเย็บให้ตัวติดกัน โดยเด็กๆ ส่วนมากจะเสียชีวิตจากการติดเชื้อ การทดลองนี้จึงสามารถบอกได้ถึงความโหดร้ายของนาซีได้เป็นอย่างดี 2. การทดลองเปลี่ยนสีตา การทดลองเรื่องนี้ก็เป็นของนาซีอีกเช่นเดียวกัน โดยการเปลี่ยนสีตาที่ว่านี้ มักจะใช้ผู้ทดลองเป็นชาวยิวเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าพวกเขาเป็นเชลยศึกที่ถูกจับมานั่นเอง…
-
15 เรื่องจริงสุดแสนพิลึกเกี่ยวกับ ‘สะดือ’ อวัยวะประจำกาย ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
สะดือ คือสิ่งที่อยู่คู่กับร่างกายเรามาตั้งแต่เกิด เป็นสิ่งที่เรามักจะสังเกตเห็นอยู่ทุกครั้งแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ทำให้เราอาจไม่เคยรู้กันมาก่อนเลยว่าเจ้าสิ่งนี้มันมีความเจ๋งหลายๆ อย่างซ่อนอยู่ วันนี้เราเลยจะมาพูดถึง 15 ความจริงเกี่ยวกับสะดือที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน ว่าแล้วก็อย่ารอช้า เราไปทัศนาพร้อมๆ กันเลยยย 1. ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสะดือ เราอาจคิดมาตลอดว่าทุกคนมีสะดือ แต่ความจริงแล้วกลับมีคนอยู่ประเภทหนึ่ง ซึ่งมีอาการที่เรียกว่า Umbilcal Hernia ทำให้ตอนพวกเขาเป็นทารก ส่วนของลำไส้จะไปโผล่อยู่ด้านในผนังลำไส้ แพทย์จึงจำเป็นต้องทำการผ่าตัดและสุดท้ายพวกเขาเหล่านั้นก็จะไม่มีสะดือ ยกตัวอย่างนางแบบสาว Karolina Kurkova 2. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางตัวก็จะไม่มีสะดือ ตามหลักชีววิทยาบอกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต้องมีสะดือ แต่ธรรมชาติกลับเล่นตลก ทำให้พวกมันบางตัวอย่างเช่น จิงโจ้หรือ Monotreme ไม่มีสะดือ 3. สิ่งมีชีวิตอย่างโลมากลับมีสะดือซะงั้น!? แม้มันจะอาศัยอยู่ในทะเล แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่ายังไงพวกมันก็นับว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนกันนะ 4. ถ้าพูดตามหลักแล้ว สะดือก็คือแผลเป็นแรกที่เกิดขึ้นบนร่างกายเรา ถ้าไม่มองถึงเอกลักษณ์ที่แตกต่างแล้ว จริงๆ มันก็คือแผลเป็นที่เกิดจากการตัดสายสะดือตั้งแต่ตอนเราเกิดมาเท่านั้นเอง 5. สะดือของทุกคนจะมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกัน มีแบคทีเรียกหลากหลายสายพันธุ์อาศัยอยู่บริเวณส่วนนี้ โดยมีการค้นพบอยู่ที่ประมาณ 2,400 ชนิด และแต่ละคนก็จะมีแบคทีเรียมาอาศัยอยู่ในลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยก่อนหน้านี้ได้มีการค้นพบแบคทีเรียในสะดือของคนคนหนึ่งผ่านการทดสอบตัวอย่างสิ่งปนเปื้อนในประเทศญี่ปุ่น…
-
Kevin Horsley คนความจำดีระดับโลก สอนเทคนิคพัฒนาความจำ ที่คุณเอาไปทำตามได้…
บ่อยครั้งที่เรามักจะหลงลืมสิ่งต่างๆ รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นชื่อคน วันที่ หรือแม้กระทั่งรหัสที่ตัวเองเป็นคนตั้งเอาไว้เอง หลายคนก็เลยเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนความจำไม่ดี ทว่าจากคำบอกเล่าของคนที่มีความจำดีจนเป็นที่ยอมรับในระดับโลกแล้ว ในโลกนี้ไม่มีคนความจำไม่ดีอยู่หรอก พวกเขาเพียงแต่ยังไม่ได้ฝึกฝนความจำของตัวเองต่างหาก พอได้ยินแบบนั้นแล้ว วันนี้เราก็เลยหยิบเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่จะมาช่วยให้เพื่อนๆ มีความจำดีมากขึ้นได้มาฝากกัน ซึ่งเทคนิคนี้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในคนที่แข่งขันกันด้านความจำเลย Kevin Horsley เป็นคนแนะนำเทคนิคพวกนี้มาเอง เขาเป็นคนที่สามารถจำค่าพาย ซึ่งเป็นเลขทศนิยมเรียงชุดตัวเลขที่ไม่ซ้ำแบบกันเลยได้มากถึง 10,000 หลักแน่ะ น้อยคนในโลกนักที่จะมีความจำดีระดับนี้ Kevin Horsley ปรมาจารย์ด้านความจำในระดับนานาชาติ โดยวันนี้เราขอหยิบเรื่องการจำชื่อมาใช้เป็นตัวอย่างหลักในการเรียนรู้ เพราะจากการเก็บสถิติความหลงลืมของชาวอเมริกัน 800 คนแล้ว เรื่องที่พวกเขาหลงลืมบ่อยที่สุดก็คือชื่อคนนั่นเอง เบื้องต้น Horsley อธิบายว่าข้อมูลที่เรารับรู้ได้ 90 เปอร์เซ็นต์นั้นมักจะมาจากภาพ ดังนั้นเราจึงสามารถจำภาพได้ดีกว่าเสียง เราจึงจำชื่อซึ่งเป็นเสียงเพียงอย่างเดียวได้ยาก จากสถิติแล้วเรื่องที่คนเราลืมมากที่สุดคือ ชื่อคน รหัส ที่เก็บกุญแจ เบอร์โทรศัพท์ และวันที่ ตามลำดับ เทคนิคง่ายๆ อย่างแรกที่เขาแนะนำให้ทำก็คือหลังจากที่เราได้ยินชื่อแล้ว ให้เรารีบหาภาพแปลกๆ มานิยามชื่อนั้นทันที ยิ่งภาพนั้นไม่ธรรมดามากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เราจำแม่นมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากสมองของเรามักจะจำสิ่งที่ดูไม่มีเหตุผลได้มากกว่าสิ่งที่มันธรรมดาทั่วไป…
-
Lonnie Johnson นักวิทยาศาสตร์จาก NASA ชายผู้อยู่เบื้องหลังปืนฉีดน้ำยี่ห้อดัง
ถ้าหากพูดถึงวันสงกรานต์ สิ่งหนึ่งที่ทุกๆ คนนึกถึงก็คงจะหนีไม่พ้นการได้พบปะสังสรรค์กับเหล่าญาติๆ และกิจกรรมเล่นน้ำนั่นเอง เจ้ากิจกรรมที่ว่านี้สร้างความสนุกสนานให้กับพวกเราได้ไม่น้อยเลยทีเดียวใช่ไหมล่ะ?? และถ้าหากพูดถึงการเล่นสาดน้ำแล้วล่ะก็ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือปืนฉีดน้ำนั่นเอง!! และวันนี้เราจะขอพาทุกคนมารู้จักกับชายผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบปืนฉีดน้ำยี่ห้อดังอย่าง Super Soaker ซึ่งขอบอกไว้ก่อนเลยว่าดีกรีของนักออกแบบผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว พบกับเรื่องราวอันน่าสนใจของคุณ Lonnie Johnson นักวิทยาศาสตร์จาก NASA และกองทัพสหรัฐผู้ให้กำเนิดเจ้าปืนฉีดน้ำยี่ห้อนี้!! ย้อนกลับไปเมื่อปี 1982 คุณ Lonnie Johnson ได้เริ่มต้นการออกแบบปืนฉีดน้ำกระบอกแรกของเขา ซึ่งอันที่จริงแล้วเขาไม่ได้ทำหน้าที่แค่ออกแบบเจ้าปืนฉีดน้ำนี้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงปืน Nerf Gun ตลอดจนเครื่องแปลงพลังงานความร้อนอีกด้วย นอกจากเป็นนักออกแบบของเล่นแล้ว คุณ Johnson ยังทำงานในโครงการยานสำรวจกาลิเลโอของ NASA และโครงการเครื่องบินทิ้งระเบิด Stealth Bomber ของกองทัพสหรัฐอีกด้วย “ผมเริ่มต้นออกแบบ Super Soaker ครั้งแรกโดยใช้เวลาว่างของผม ไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงาน หรือที่บ้าน หรือทุกๆ ที่ ซึ่งในตอนนั้นผมกำลังทำโครงการลับสุดยอดอย่าง Stealth Bomber ของทางกองทัพสหรัฐอยู่ด้วย” คุณ Johnson ให้สัมภาษณ์ นอกจากนี้นักออกแบบมากความสามารถของเรายังได้ให้สัมภาษณ์อีกว่า แต่เดิมนั้นเขาตั้งชื่อให้กับสิ่งประดิษฐ์ของเขาว่า The Drencher ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อมันเนื่องจากปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ ในตอนแรกคุณ Johnson…
-
สถิติเผย การช่วยตัวเองเป็นเหตุทำให้ผู้คนในเยอรมนีเสียชีวิตกว่า 100 คนต่อปี!?
ว่ากันว่าสัญชาติญาณทางเพศของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่หักห้ามได้ยาก การเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นเป็นเรื่องทางธรรมชาติ ฉะนั้น “การช่วยตัวเอง” เพื่อระบายความต้องการทางเพศออกมาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก และก็ไม่มีใครคาดคิดด้วยว่าการช่วยตัวเองจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ มีการศึกษาใหม่ออกมาซึ่งผลลัพธ์ของมันพบว่า การช่วยตัวเองได้ทำให้ชาวเยอรมันเสียชีวิต 80 ถึง 100 รายต่อปี เนื่องจากการถึงจุดสุดยอดนั้นทำให้เกิดความเสี่ยงจนถึงชีวิตได้ จากบันทึกของ The Legal Medicine ในเมืองฮัมบูร์ก เยอรมนี แสดงให้เห็นถึงผู้เสียชีวิต 40 ราย จากการช่วยตัวเองตั้งแต่ปี 1983 ถึงปี 2003 ซึ่งผู้เสียชีวิตมีตั้งแต่อายุ 13 ปี ไปจนถึงอายุ 79 ปี ปัจจัยสำคัญของการเสียชีวิตที่พบมากที่สุดในผู้เสียชีวิตดังกล่าวก็คือการกั้นออกซิเจนของตนเองขณะกำลังมีความรู้สึก “ถึงจุดสุดยอด” อาการแบบนี้ถูกเรียกว่า Auto Erotic Asphyxiation การเสียชีวิตลักษณะนี้กลายเป็นสิ่งผิดปกติ และแพร่หลายมากขึ้นเป็นวงกว้าง อีกทั้งยังพบในกลุ่มที่มีรสนิยมทางเพศที่หลากหลาย ชายคนหนึ่งถูกพบว่าเสียชีวิตหลังจากที่พยายามละลายชีสใส่ตนเอง ส่วนผู้เสียชีวิตอีกรายหนึ่งถูกพบว่าเสียชีวิตหลังจากหนีบดวงไฟต้นคริสต์มาสไว้กับหัวนมของเขา นายแพทย์ Harald Voß ได้เตือนถึงสิ่งที่ถูกมองข้ามในอาการ Auto Erotic Asphyxiation…
-
วัดความรู้รอบตัวกับ 10 เรื่องจริงเกี่ยวกับโลกใบนี้ ที่คุณอาจจะเข้าใจผิดมาโดยตลอด
เรื่องราวความรู้รอบตัวนั้น อาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้คุณสร้างบทสนทนาระหว่างเพื่อนๆ ได้ง่ายๆ และบางครั้งมันยังทำให้คุณดูเท่ขึ้นมาอีกนิดหน่อยด้วยนะเออ (ถ้าไม่โม้เยอะเกินไปอ่ะนะ) และถ้าหากว่าคุณมั่นใจว่าเป็นคนหนึ่งที่มีความรู้รอบตัวไม่แพ้กับผู้ชนะจากรายการเกมเศรษฐีล่ะก็ เราขอท้าคุณด้วยคำถาม 10 ข้อต่อไปนี้เลย… 1. ที่ดินแดนน้ำแข็งอย่างทวีป Antarctica ก็มีภูมิประเทศแบบทะเลทรายเหมือนกัน ถูกต้องแล้วจ้าา!! เจ้าทะเลทรายที่ว่านี้ก็คือ McMurdo Dry Valleys หรือที่ถูกขนานนามว่าทะเลทรายสุดหนาวเย็นแห่งขั้วโลกใต้นั่นเอง จากข้อมูลระบุว่าดินแดนแห่งนี้ไม่ฝนหรือหิมะตกเลย นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่ที่ไม่มีหิมะปกคลุม กว้างกว่า 4,800 ตารางกิโลเมตอีกด้วย 2. ซิดนีย์ ไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศออสเตรเลียหรอกนะตัวเอง!! ถูกต้องนะครัชช!! เพราะเมืองหลวงที่แท้จริงของชาวออสซี่ก็คือเมืองแคนเบอร์รา ที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศต่างหากล่ะ 3. ดวงตาของเราจะขยายใหญ่ขึ้น เมื่ออายุมากขึ้นจริงหรือ!? คำตอบคือ!! ผิด จากข้อมูลของเว็บไซต์ทางการแพทย์อย่าง offlineclinic ระบุว่าดวงตาเป็นแค่อวัยวะเดียวในร่างกายที่ไม่มีการเปลี่ยนขนาด 4. เมื่อวัดความสูงจากพื้นถึงยอด ยอดเขา Everest คือยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ผิดจ้าา!! แน่นอนว่าถ้าหากวัดจากความสูงในระดับน้ำทะเลแล้วล่ะก็ ยอดเขา Everest คือยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกแต่ถ้าหากวัดจากความสูงจากพื้นถึงยอดล่ะก็ตำแหน่งของยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกจะตกเป็นของยอดเขา Mauna kea จากฮาวาย 5. ทุกวันนี้ยังคงมีชาวออสเตรเลียบางกลุ่มที่อาศัยอยู่ใต้ดิน?? ถูกต้องนะครับบ!! ซึ่งดินแดนใต้ดินที่ว่านี้ก็คือเมือง Coober Pedy ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลียนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันสถานที่แห่งนี้มีผู้อาศัยอยู่ใต้ดินมากกว่า 2,000 คนเลยทีเดียว!!…
-
ภาพง่ายๆ กับสิ่งที่เห็น มันสามารถบ่งบอกถึงความเป็นตัวคุณได้ ผ่านการทดสอบทางจิตวิทยา
หนึ่งในการทดสอบทางจิตวิทยาที่พวกเรามักจะเห็นได้โดยทั่วไปก็คือการทดสอบประเภทที่เรียกว่า Projective Test หรือก็คือการฉายภาพสิ่งที่ตัวเองเป็น โดยให้พวกเรามองไปที่ภาพๆ หนึ่งแล้วบอกมาว่าเราเห็นอะไร เพื่อเป็นการสะท้อนถึงสิ่งที่ตัวเราเป็น ในวันนี้เราก็ได้นำหนึ่งในภาพที่สามารถช่วยทดสอบได้ในลักษณะเดียวกัน เอามาให้เพื่อนๆ ลองดูกันว่า ลึกๆ ภายในจิตใจแล้วเรามีอะไรซ่อนอยู่ เราอาจจะหลงลืมความเป็นตัวเองในแบบนี้ไปแล้ว หรือมันจริงกับความเป็นตัวเรามากขนาดไหน ว่าแล้วก็ลองไปดูกันเลย ให้เพื่อนๆ มองมาที่ภาพนี้ไม่เกิน 10 วินาที และจดจำสิ่งที่เราสามารถ สังเกตเห็นได้เป็นอย่างแรก เพื่อนๆ สามารถเลื่อนไปดูคำตอบของสิ่งเราเห็นด้านล่างได้เลย ถ้ำ ถ้าเห็นถ้ำเป็นอย่างแรก แสดงว่าเพื่อนๆ เป็นคนที่รักษาสมดุลของตัวเองอยู่เสมอ ใจเย็น มองโลกในแง่บวก และมีความเข้มแข็งภายในตัวเอง ทำให้เรื่องร้ายๆ ไม่สามารถสร้างความกดดันให้กับคนประเภทนี้ได้เลย และเพื่อนๆ ก็มักจะได้เป็นคนที่คอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำคนรอบข้างอยู่เสมอ UFO ถ้าสังเกตเห็นจานบินเป็นอย่างแรกสุด นั่นอาจหมายความว่าเพื่อนๆ เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนไหวและอารมณ์ก็พร้อมจะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ ซึ่งการที่เพื่อนๆ อ่อนไหวต่อความเครียดได้ง่ายแบบนี้จะส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาอย่างเช่น โรคนอนไม่หลับหรือฝันร้ายอยู่บ่อยๆ ทางแก้คือการปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเองออกมาบ้าง อย่าเก็บไว้คนเดียว และอย่าให้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ มาทำให้ตัวเองรู้สึกหงุดหงิดไปตลอด เพราะมันอาจทำให้ต้องเจอกับปัญหาไมเกรน จมอยู่กับความรู้สึกในแง่ลบ หรืออาการที่น่าเป็นห่วงอีกหลายๆ…
-
9 สัญญาณบ่งบอกว่า คุณเสพติด ‘การดื่มน้ำ’ มากเกินไป ส่งผลเสียต่อร่างกายนะคร้าบ!!
คิดว่าหลายๆ คนทราบดีอยู่แล้วว่า การดื่มน้ำเยอะๆ มีประโยชน์หลากหลายมากๆ เช่นช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล… ไหนจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย แต่ว่าอะไรที่มากเกินไปมันก็ไม่ดีหรอก เช่นเดียวกันกับการดื่มน้ำในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ การดื่มน้ำมากเกินไปจะทำให้เกิดภาวะน้ำเป็นพิษ หรือที่รู้จักในชื่อ Hyponatremia (ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ) โดยปริมาณโซเดียมในเลือดจะต่ำกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา เช่น ปวดศีรษะ อ่อนล้า คลื่นไส้อาเจียน หรือเลวร้ายที่สุดอาจถึงขั้นเสียชีวิต หากเพื่อนๆ กังวัลว่าตัวเองจะเป็นคนที่ดื่มน้ำมากเกินไปหรือไม่ ก็ควรสำรวจ 9 สัญญาณดังต่อไปนี้ ที่จะคอยบอกกลายๆ ว่าคุณดื่มน้ำมากเกินไปแล้วนะ!! 1. คุณจะไม่ออกจากบ้านไปไหน หากไม่มีขวดน้ำติดตัวไปด้วย หากคุณเป็นคนที่ชอบถือขวดน้ำติดตัวไปไหนมาไหนด้วยตลอด และหากเห็นปริมาณน้ำในขวดลดลงก็จะเติมให้เต็มอยู่เสมอ แสดงว่าคุณอาจจะเป็นคนที่ดื่มน้ำมากเกินไปแล้วล่ะ 2. คุณมักจะดื่มน้ำ แม้ว่าคุณจะไม่กระหายก็ตาม หากเรารู้สึกกระหายน้ำเมื่อไหร่ แปลว่าร่างกายเราเรียกร้องให้เราเติมน้ำเพื่อรักษาสมดุล มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะบอกได้ว่าควรดื่มน้ำหรือยัง และถ้าหากคุณดื่มน้ำอยู่ตลอด โดยที่ไม่รู้สึกกระหายเลย นั่นแปลว่าเพื่อนๆ ดื่มน้ำมากเกินไปแล้ว 3. คุณจะดื่มน้ำอย่างต่อเนื่อง จนกว่าปัสสาวะของคุณจะใส เชื่อว่ามีหลายๆ คนที่คิดว่าการที่ดื่มน้ำจนปัสสาวะกลายเป็นสีใสๆ แสดงว่าสุขภาพดี แต่ว่าจริงๆ แล้วการที่จะรู้ว่าสุขภาพดีนั้น ปัสสาวะต้องเป็นสีเหลืองน้ำตาลคล้ายๆ กับฟางข้าวต่างหาก…
-
เปิดตำนาน Cerberus หมาแห่งนรก ผู้เฝ้าประตูเชื่อมต่อระหว่าง ‘ความเป็น’ และ ‘ความตาย’
ในตำนานเทพเจ้าของชาวกรีกนั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตทรงพลังและทรงอำนาจ และคราวนี้จะเอ่ยถึงสัตว์ในเทพนิยายกรีกที่ได้รับความนิยม หยิบยกมาเป็นตัวละครสำหรับภาพยนตร์แฟนตาซีและเกมด้วย สัตว์ในตำนานนั้นก็คือ Cerberus (เซอร์เบอรัส) หมาสามหัวผู้เฝ้าประตูสู่นรก ประตูที่ตั้งอยู่ในยมโลกอันมืดมัว ดวงวิญญาณทั้งหลายต้องผ่านประตูนี้เข้าไปสู่ดินแดนนรกแห่ง Hades และเมื่อเข้าไปแล้วจะไม่มีใครสามารถรอดพ้นจาก Cerberus ออกไปได้ ในยุคโบราณ สุนัขนั้นถือว่าเป็นสัตว์ป่าที่ยังไม่ถูกนำมาเลี้ยงในบ้าน พวกมันวิ่งไปทั่วท้องถนนเป็นกลุ่มเพื่อตะกุยคุ้ยขุดหาอาหาร Cerberus จึงกลายเป็นตัวละครสะท้อนถึงความกลัวสุนัขในยุคโบราณ และถูกออกแบบให้มีรูปลักษณ์น่ากลัวโดยการผสมผสานสิ่งมีชีวิตนานาชนิดเข้าไปด้วย ชื่อ Cerberus นั้นมาจากคำภาษากรีกว่า “Kerberos” ที่แปลว่า “ลายด่าง” แต่ภาพที่ออกมาสำหรับตำนานของชาวกรีกนั้น คือสุนัขสามหัวแห่งนรกที่มีหางงูและมีกรงเล็บราชสีห์ สำหรับศีรษะทั้ง 3 ของ Cerberus นั้นหมายถึง อดีต ปัจจุบันและอนาคต แต่แหล่งข้อมูลบางแห่งบอกว่ามันสื่อถึง การกำเนิด ความเยาว์ และความชรา ความสามารถของ Cerberus ที่โดดเด่นก็คือสายตา ว่ากันว่าถ้าหากผู้ใดบังเอิญสบสายตากับมัน จะต้องกลายเป็นหินทันที (ความสามารถเหมือน Medusa) นอกจากนี้เขี้ยวและฟันของมันคมราวกับใบมีดอาบยาพิษ และถ้าหากพิษของมันหยดลงสู่พื้น จะทำให้พืชที่ชื่อว่า Wolf’s Bane…
-
รอดแล้ว!! เผยวิธีการที่จะช่วยให้คุณสามารถหลับได้สนิทอีกครั้ง หลังสะดุ้งตื่นมากลางดึก
เคยเป็นกันบ้างไหมที่ดันทะลึ่งตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วจะนอนยังไงก็นอนไม่หลับ จนทำงานทำการด้วยความอ่อนเพลียตามๆ กันไป เหตุการณ์เช่นนี้ก็อาจจะทำให้ใครหลายคนเกิดความหงุดหงิดตัวเองที่มีพฤติกรรมดังกล่าว แล้วยังแก้ไม่ได้สักที ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ #เหมียวจิวยี่ เข้าใจเป็นอย่างดี และเคยเป็นอยู่บ่อยๆ ในวันนี้เราจึงหาวิธีการแก้ไขมาให้เพื่อนๆ ที่ต้องประสบชะตาเดียวกันนำไปลองใช้กันดู เพราะนี่คือวิธีการจากงานวิจัย ที่จะช่วยให้คุณหลับสนิทได้อีกครั้งหลังจากต้องตื่นมากลางดึก ซึ่งจะมีวิธีใดบ้างนั้นลองตามไปดูกันเลยดีกว่า 1. วางโทรศัพท์มือถือให้อยู่ห่างๆ ตัวเข้าไว้ มีหลายคนที่สะดุ้งตื่นกลางดึกแล้วไม่รู้จะทำอะไร เลยหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ข้างตัวมาเช็คอีเมล เล่นเฟซบุ๊กไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เช้าเข้าไปแล้ว การวางโทรศัพท์ไว้ให้ห่างตัวจึงเป็นวิธีที่ทำให้เรารู้จักการหักห้ามใจตัวเองไปในตัวนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยหลายแห่งบอกอีกด้วยว่า แสงสีฟ้าที่ออกมาจากจอโทรศัพท์มือถือหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็เป็นอีกตัวการหนึ่งที่เป็นอุปสรรคสำหรับการนอนหลับของเรา แต่ถ้าในรายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ควรลดความสว่างของหน้าจอให้ลดน้อยลงเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดแสงสีฟ้าตัวร้ายให้น้อยลงที่สุด 2. ทำห้องนอนของคุณให้มีเสียงที่เงียบและมีแสงไฟให้น้อยที่สุด “การตื่นขึ้นกลางดึกมักจะมีสาเหตุส่วนมากมาจากความเครียด ความกังวล หรือความคิดอันยุ่งเหยิงของเราในเวลานั้น ซึ่งการตื่นกลางดึกนั้นจะไปกระตุ้นอารมณ์เหล่านี้ให้มีมากยิ่งขึ้นไปอีก” Rachel Ross ที่ปรึกษาด้านการนอนหลับที่ได้รับการรับรองจากหลายสถานบันกล่าว ซึ่ง Ross ก็ได้เสนอวิธีแก้ง่ายๆ ให้กับผู้ที่ตื่นกลางดึกบ่อยๆ ว่าควรทำบรรยากาศภายในห้องนอน ให้เหมาะสมกับการพักผ่อนให้มากที่สุด โดยธรรมชาติของคนเรานั้น บรรยากาศที่เหมาะสำหรับการนอนหลับก็คือไม่มีเสียงรบกวน รวมถึงไม่มีแสงรบกวน(มืด) นั่นเอง แต่ถ้าหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ให้ใช้อุปกรณ์อย่าง ที่อุดหู หรือผ้าปิดตาก็ใช้ได้เช่นเดียวกัน 3. ใช้ความเป็นธรรมชาติเข้าช่วยสิ …
-
ภาพชวนงง เปรียบเทียบรูปเดียวกัน แต่ไหงกลายเป็นว่ามองเห็นความแตกต่างได้ไง!?
บ่อยครั้งที่ดวงตาของเรามองสิ่งที่อยู่ข้างหน้าได้ไม่ตรงตามความเป็นจริง แม้ว่าจะมีแถลงไขแล้วว่าจริงๆ ภาพนั้นมันเป็นอย่างไร ดวงตาเราก็มองเป็นแบบอื่นอยู่ดี ภาพที่เราเห็นไม่ตรงตามความเป็นจริงเหล่านี้เรียกว่าภาพลวงตา ถ้ายังนึกไม่ออกว่ามันเป็นยังไงลองไปดูภาพเปรียบเทียบนี้ดูครับ ภาพถนนสองเส้นที่ดูเหมือนจะเป็นคนละภาพกัน แต่เป็นภาพเดียวกัน ภาพสองภาพนี้เหมือนกับภาพที่ถ่ายจากที่เดียวกัน เพียงแต่ว่ารูปด้านซ้ายมือน่าจะถ่ายจากมุมใกล้ถนน ส่วนรูปด้านขวามือน่าจะถ่ายจากมุมชิดทางเดินใช่ไหมล่ะครับ แต่ว่าอันที่จริงแล้วภาพทั้งสองภาพนี้เป็นภาพเดียวกันเป๊ะเลยต่างหาก ภาพนี้ผ่านตาผู้ใช้งานเว็บไซต์โซเชียลมีเดีย Reddit และ Imgur กว่าล้านคนแล้ว ทุกคนที่ได้เห็นภาพนี้ต่างก็ประหลาดใจที่ได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วภาพทั้งสองนั้นเหมือนกันไม่มีผิด ชาวเน็ตคนหนึ่งคอมเม้นต์ว่า “ประหลาดจริงๆ ฉันรู้นะว่าภาพสองภาพนี้เป็นภาพเดียวกัน แต่อะไรบางอย่างทำให้สมองของฉันไม่เชื่อแบบนั้น ฉันอยากรู้จังเลยว่ามันเกิดจากอะไรกัน” ภาพเปรียบเทียบให้เห็นว่ามันเป็นภาพเดียวกัน ชาวเน็ตอีกท่านหนึ่งก็คอมเมนต์ว่า “สำหรับฉันแล้วภาพนี้ดูเหมือนกับว่าถนนในแต่ละภาพมีทิศทางที่แตกต่างกัน โดยเส้นหนึ่งมันดูเอียงออกไป ฉันทำใจเชื่อได้ยากว่าถนนสองเส้นนี้มันเหมือนกันทุกประการ“ แต่ชาวเน็ตอีกส่วนหนึ่งก็ไม่เห็นความแตกต่างระหว่างภาพทั้งสองเลย “ฉันคิดได้แค่ว่ามันก็เป็นภาพสองภาพที่เหมือนกัน รู้สึกแปลกจังที่มองไม่เห็นภาพลวงตาเหมือนคนอื่นเขา” ภาพบันไดไม่สิ้นสุดที่หลอกตาเหมือนกับภาพถนนสองภาพแรก ระหว่างที่ชาวเน็ตกำลังสงสัยกันว่าเหตุจึงเห็นภาพต่างกันได้ ในที่สุดก็มีผู้ใช้ Reddit ท่านหนึ่งออกมาชี้แจงให้ฟังว่าทำไมเราถึงเห็นภาพหลอกตาแบบนี้ เขาบอกว่า “ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าถนนทั้งสองเส้นนั้นมาบรรจบกันที่ด้านล่างของภาพ สมองของเราก็เลยพยายามมองสองภาพนี้ให้รวมเป็นภาพเดียวกัน โดยมองว่าภ่าพหนึ่งในนั้นแยกออกไปอีกทิศทางหนึ่ง ดังนั้นเราจึงมองว่าภาพทางซ้ายมือจึงดูมีองศาที่แตกต่างกับภาพทางขวามือ” นอกจากภาพถนนเส้นนี้แล้ว ก็ยังมีภาพลวงตาอีกมากมายที่ดวงตาของเรามองต่างไปจากความเป็นจริง เนื่องจากสมองพยายามจะปรับมุมมองของภาพ 2 มิติ ให้กลายเป็นภาพ 3 มิติ…
-
เผยหลักฐานชาวพื้นเมืองอังกฤษ 10,000 ปีที่แล้ว ผล DNA แสดง “ผิวคล้ำ ตาฟ้าและผมหยิก”
เพื่อศึกษาเกี่ยวกับบรรพบุรุษของตัวเอง ชาวอังกฤษจึงได้หาข้อมูลจากร่างของชายที่มีอายุเก่าแก่และสภาพสมบูรณ์ที่สุดซึ่งก็คือโครงกระดูก Cheddar Man หลังจากที่พวกเขาขุด Cheddar Man ขึ้นมาได้ก็ได้ทำการวิจัยรูปร่างของคนอังกฤษยุคเก่าจากร่างโครงกระดูกนี้ตลอดมา จนล่าสุดได้มีการเปิดเผยถึงลักษณะของชาวอังกฤษโบราณคร่าวๆ มาแล้วว่าคนอังกฤษสมัยก่อนนั้น มีผิวคล้ำ ดวงตาสีฟ้า และมีผมหยิกงอ โครงกระดูก Cheddar Man . โครงกระดูก Cheddar Man ถูกขุดพบเมื่อปี 1903 ในถ้ำแห่งหนึ่งจากบริเวณแนวผา Cheddar George มณฑลซัมเมอร์เซต ประเทศอังกฤษ มันเป็นโครงการดูกที่มีสภาพสมบูรณ์และมีอายุเก่าแก่ที่สุดตั้งแต่นักวิจัยเคยพบมา ตอนนี้มันถูกเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์ The Natural History Museum ในอังกฤษ ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมานี้นักวิจัยพยายามหาคำตอบมาตลอดว่าบรรพบุรุษของพวกเขามีลักษณะอย่างไร และมีความเหมือนหรือแตกต่างกับตนเองมากน้อยแค่ไหน จนเมื่อไม่นานมานี้เองจึงได้ใช้ผลการวิจัยประกอบกับเทคโนโลยีการปั้นโมเดลมาสร้างบรรพบุรุษของพวกเขาให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น นักวิจัยจึงได้ใช้สว่านเจาะกระดูกหูด้านในของ Cheddar Man ลึกลงไป 2 มิลลิเมตรแล้วนำผงกระดูกที่ได้ไปวิจัยต่อถึงลักษณะ DNA ของเขา นักวิทยาศาสตร์ Dr. Tom Booth จากพิพิธภัณฑ์เผยผลวิจัยที่น่าทึ่งจากการตรวจ DNA…
-
พืชรับรู้และแสดงออกได้!? นักวิทย์ทดลองมอมยาชา และสังเกตว่ามันได้สติกลับมามั้ย
มีการทดลองหรืองานวิจัยมากมายที่พยายามจะแสดงให้เราเห็นว่าพืชก็เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นกัน ต้นถั่วสามารถตัดสินสภาพของดินที่มันเติบโตได้ว่าดีหรือไม่ พืชบางชนิดก็ไวต่อการสัมผัส ต้นกาบหอยแครงก็สามารถนับเวลาได้เมื่อมีแมลงเข้ามาในกับดักของมัน นี่เป็นอีกหนึ่งงานวิจัยที่เพิ่งเผยแพร่ในเว็บไซต์งานวิจัย Annals of Botany แสดงให้เราเห็นว่าพืชนั้นจะหยุดนิ่งเมื่อให้ยาชาปริมาณหนึ่งเข้าไป แถมยังเป็นยาชนิดเดียวที่ใช้ในการผ่าตัดมนุษย์อีกด้วย สิ่งที่ได้เรียนรู้จากงานวิจัยนี้ก็คือพืชนั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน ซึ่งอาจจะไม่ต่างจากสัตว์มากเท่าไร Frantisek Baluska นักชีววิทยาด้านเซลล์พืชที่มหาวิทยาลัย Bonn ในประเทศเยอรมณีและผู้ร่วมวิจัยกล่าวว่า “พืชไม่ได้เป็นแค่เครื่องตอบสนองอัตโนมัติเหมือนหุ่นยนต์ พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึก อาจจะเป็นความรู้สึกเจ็บปวดหรือมีความสุข ในการที่จะใช้ชีวิตที่ซับซ้อนนี้ พวกมันต้องมีตัวบ่งชี้อะไรบางอย่าง” บางครั้งพืชก็ใช้ตัวบ่งชี้ที่ว่านั้นในการรับมือกับความเครียด การแข่งขันหรือพัฒนาการ มันรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมและผลิตยาชาในตัวมันเอง คล้ายกับการที่มนุษย์ปล่อยสารเคมีเพื่อลดความเจ็บปวดนั่นเอง และยาชาที่ใช้กับมนุษย์ยังสามารถใช้กับพืชได้อีกด้วย ถึงแม้จะยังไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมถึงใช้ได้ผลก็ตาม ผู้วิจัยได้นำต้นและเมล็ดพืชหลากชนิดที่ไวต่อการสัมผัสไปไว้ในห้องกระจกและแช่รากของมันด้วยยาชา Lidocaine และวัดปริมาณคลื่นไฟฟ้าในเซลล์ต้นกาบหอยแครง เมื่อผ่านไป 1 ชั่วโมงพบว่าพืชต่างๆ ไม่ตอบสนอง เมล็ดพืชไม่เจริญเติบโต แล้วต้นกาบหอยแครงก็ไม่มีปฏิกิริยาต่อการกระตุ้นที่ปากของมัน เซลล์ทั้งหมดหยุดทำงาน เมื่อยาชาหมดฤทธิ์ พืชทั้งหมดก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ราวกับว่ามีใครมากดปุ่มพักเอาไว้ เหมือนว่าพวกมันกลับมามีสติอีกครั้ง บางทีเราอาจไม่คิดว่าพืชเหล่านี้ก็มีสติเหมือนกัน พวกมันจึงมีความคล้ายคลึงกับสัตว์มากๆ Dr. Baluska และทีมได้เสนอแนะเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเยื่อหุ้มเซลล์ในทางกายภาพว่า อาจจะมีจุดร่วมที่สามารถอธิบายการทำงานของยาชาระหว่างพืชกับสัตว์ก็เป็นได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าอะไรคือตัวการทำให้เซลล์ของพืชหยุดการทำงาน…
-
ภาพเก่าเล่าใหม่ ศิลปินทำภาพเก่าแก่อายุ 100 ปีให้กลับมามีสีสัน ย้ำเตือนถึงเหตุการณ์ประท้วงเรียกร้องสิทธิสตรี
เนื่องจากวันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านมานั้น เป็นเครื่องย้ำเตือนให้นึกถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นในวันเดียวกันนี้แต่เป็นในปี 1918 ที่สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ได้ยินยอมให้หญิงที่มีอายุเกิน 30 ปี มีสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง Tom Marshall ช่างภาพคนหนึ่งที่ชื่นชอบในประวัติศาสตร์จึงต้องการแสดงให้เห็นถึงความพยายามและความยากลำบากของสตรีในการเรียกร้องสิทธิของตนท่ามกลางสังคมที่มีการแบ่งแยกเพศ Tom ได้นำภาพเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์กว่า 100 ปีเหล่านั้นมาเติมสีสันให้มีชีวิตชีวามากขึ้น เพื่อเตือนใจคนยุคปัจจุบันและทำให้สังคมปัจจุบันไม่มีการแบ่งแยกเพศหรือชนชั้นอีก Millicent Fawcett (1847-1929) – ผู้รณรงค์ด้วยสันติภาพ Millicent Fawcett เป็นผู้ที่รณรงค์ให้สตรีมีสิทธิเข้าถึงการศึกษา เธอก่อตั้งสมาคมสิทธิสตรี (NUWSS) ขึ้นมาเพื่อทำการรวบรวมกำลังสตรีให้ดำเนินการรณรงค์ด้วยวิธีสันติเช่น การเขียนจดหมาย แจกจ่ายใบปลิว และนิตยสาร ที่มีเนื้อหาเป็นการเรียกร้องสิทธิของสตรี แต่ก็มีสมาชิกของกลุ่มบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีที่อ่อนโยนของ Fawcett ในปี 1903 Emmeline Pankhurst จึงแยกตัวจากกลุ่ม NUWSS แล้วก่อตั้งสหพันกฎหมายและสังคมของสตรี (WSPU) โดยมีคติประจำกลุ่มก็คือ “สิ่งที่สำคัญคือการกระทำ ไม่ใช่คำพูด” Emmeline Pankhurst ถูกจับกุมขณะพยายามที่จะแสดงตนร้องทุกข์กับพระเจ้าจอร์จที่ 5 ในเดือนพฤษภาคม ปี…
-
ทำไมแมวถึงวิ่งเป็นผีเข้าในเวลากลางคืน คลายความสงสัย ด้วยคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์
เพื่อนๆ ที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะน้องหมาหรือน้องแมวคงจะเคยพบเจอเหตุการณ์ที่เจ้าสัตว์เลี้ยงของเรานั้นจู่ๆ ก็วิ่งพล่านไปทั่ว เหมือนมันกำลังคึกมาจากไหนก็ไม่รู้ และสุดท้ายก็จบลงที่การหอบแฮ่กๆ หรือไม่ก็แอบไปงีบที่ไหนสักแห่ง ไม่แปลกที่หลายๆ คนจะพบเจอเหตุการณ์แบบนี้ ว่าแต่เคยสงสัยกันหรือเปล่าว่า ทำไมมีเพียงเฉพาะเจ้าเหมียวที่วิ่งคึกแบบนี้ในเวลา “กลางดึก” ราวๆ ตี 2 เห็นจะได้ มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าสงสัยมากทีเดียว แต่วันนี้นักวิจัยได้คำตอบทางวิทยศาสตร์ออกมาแล้ว Mikel Delgado นักวิจัยหลังปริญญาเอกในคณะสัตวแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียของเมืองเดวิสกล่าวว่า “มีไม่กี่เหตุผลสำหรับเหตุการณ์นี้ เหตุผลแรกก็คือแมวเป็นสัตว์จำพวกที่คึกคักในยามที่พระอาทิตย์ขึ้นและลง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหยื่อตามธรรมชาติ (สัตว์จำพวกฟันแทะ) ของมันกำลังออกหากิน แมวไม่ใช่สัตว์หากินกลางคืนโดยกำเนิดแต่สัญชาติญาณของมันจะบอกเมื่อถึงเวลาที่ต้องออกล่าเหยื่อ” เมื่อพวกแมวนอนหลับกลางวันมากๆ นาฬิกาชีวิตของมันก็จะเปลี่ยนไป “พวกมันมักจะตื่นตัวเมื่อเราตื่น หากเมื่อเราออกไปข้างนอก เจ้าพวกแมวก็นอนกักเก็บพลังงานเอาไว้ เมื่อเรากลับมาถึงบ้านพวกมันก็จะมีพลังงานเต็มเปี่ยมรอให้ปล่อยออกมาได้เต็มที่” Mikel กล่าวเพิ่ม Mikel ได้อธิบายว่าการวิ่งพล่านยามดึกของเจ้าเหมียวมันก็ดูสนุกดี แต่อาจจะไม่ใช่สำหรับคนที่มีปัญหาทางการนอนหลับ ทางที่ดีควรหากิจกรรมให้มันทำขณะที่เราไม่อยู่บ้าน เพื่อกระตุ้นให้มันใช้พลังงานระหว่างวันและคึกยามค่ำคืนน้อยลงนั่นเอง ที่จริงเจ้าเหมียวอาจจะกำลังวางแผนครองโลกอยู่ก็ได้นะ ที่มา: Skepticalkitten
-
นักจิตเผย การเล่นเกม “เดอะซิมส์” ช่วยให้มีสุขภาพกายและจิตที่ดียิ่งขึ้น
ทุกวันนี้เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักเกม The Sims เพราะว่ามันเป็นเกมที่จำลองชีวิตของคนเราให้ผู้เล่นเลือกใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้หรือทำอะไรก็ได้ตามใจชอบภายในเกม เช่น กิน เที่ยว จีบหนุ่มสาว หรือแม้แต่ซัมบาลาเฮ้ แถมยังมีโหมดสร้างบ้านที่ผู้เล่นสามารถออกแบบได้เองแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าการเล่น The Sims มากๆ จะส่งผลเสียให้กับชีวิตเราต่างๆ นานา บางคนถึงกับคิดว่าทำให้เราหลงอยู่ในโลกของเกมและแยกตัวออกจากโลกแห่งความจริง หากดูจากเนื้อหาของเกมแล้วความคิดดังกล่าวอาจจะน่าสนใจและเป็นไปได้ แต่วันนี้ผลลัพธ์ปรากฏออกมาแล้วว่า เมื่อนำไปเทียบกับกิจกรรมอื่นๆ ที่พยายามหนีความจริงของโลก เช่น ยาเสพย์ติด แอลกอฮอล์ หรือการพนัน การเล่นเกมประเภทจำลองชีวิตเช่น The Sims นั้นเป็นการหนีจากความจริงของโลกได้อย่างมีประสิทธิผล Steve McKeown นักจิตวิเคราะห์ ผู้ก่อตั้ง Mind Fixers และเป็นเจ้าของ The McKeown Clinic กล่าวว่า “เกมจำลองชีวิตแบบ The Sims จะเข้ามาแทนชีวิตจริงของเรา คำแนะนำที่ว่าเราควรใช้เวลากับโลกชีวิตจำลองมากกว่าโลกแห่งความจริงนั้นเริ่มมีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ และได้กลายมาเป็นอีกโลกหนึ่งที่เราสามารถเข้าไปใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้ตามที่เราต้องการ The Sims ทำให้คนเราสามารถหนีจากความเป็นไปของโลก ความกดดันต่างๆ…
-
23 สาระเกี่ยวกับ “มหาสมุทร” พาดำดิ่งลึกลงไป พิสูจน์ให้คุณรู้ว่าโลกใต้น้ำนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน…
แม้ว่าเราจะเคยดูหนังหรือว่าสารคดีต่างๆ มากมายเกี่ยวกับมหาสมุทรบนโลกของเรา แต่ก็ยังมีความจริงอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้และยังต้องศึกษาเพิ่มเติม นี่คือ 23 สาระเกี่ยวกับมหาสมุทรที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ที่จะพาคุณไปสำรวจปริศนาและสิ่งแปลกๆ ใต้มหาสมุทร ที่จะทำให้เราได้รู้ว่ามันกว้างใหญ่และน่ากลัวมากแค่ไหน 1. เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วที่คนส่วนใหญ่จะรู้ว่าโลกของเราถูกปกคลุมด้วยผืนน้ำเป็นส่วนมาก ซึ่งปกคลุมไปถึง 71% จากพื้นที่ทั่วโลก 2. ผืนโลกที่ปกคลุมด้วยมหาสมุทรนั้นกว้างใหญ่ไพศาลจนน่าเหลือเชื่อ ในภาพคือภาพถ่ายแค่มหาสมุทรแปซิฟิคเพียงมหาสมุทรเดียว 3. ความลึกเฉลี่ยของมหาสมุทรอยู่ที่ประมาณ 3.6 กิโลเมตร 4. ซึ่งมีค่าเท่ากับตึกที่สูงที่สุดในโลกต่อกัน 4.5 ครั้ง ตึกที่สูงที่สุดในโลกคือตึก Burj Khalifa ตั้งอยู่ในเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีมากกว่า 160 ชั้นด้วยความสูงประมาณ 827 เมตร 5. ส่วนที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรมีชื่อเรียกว่า Challenger Deep อยู่ที่ใต้มหาสมุทรแฟซิฟิคในร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนามีความลึกกว่า 11 กิโลเมตร 6. เมื่ออยู่จุดที่ลึกที่สุดของมหาสมุทร ความดันใต้ทะเลจะสูงกว่าบนผิวน้ำประมาณ 1,000 เท่า จากข้อมูลอ้างอิงของ National Geographic…
-
ผู้เชี่ยวชาญเผยวิธีการสังเกตว่าอีกฝ่ายกำลัง ‘โกหก’ อยู่หรือไม่ ภายในเวลา 5 วินาที
การโกหก เป็นสิ่งที่แทบจะทุกคนบนโลกต้องเคยทำกันมาก่อน โดยจากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าคนเราจะโกหกประมาณ 11 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 2 ครั้งต่อวันเลยทีเดียว การโกหกในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องใหญ่ๆ เสมอไป แต่อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการพูดโกหกเกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึกของตัวเอง เช่น บางครั้งที่เรารู้สึกหงุดหงิด แต่ก็เลือกที่จะบอกเพื่อนว่าเราไม่ได้เป็นอะไร แล้วเราเคยสงสัยกันมั้ยว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายกำลังโกหกเราอยู่? วันนี้เราจึงมาพูดถึงวิธีการจับโกหกได้ใน 5 วินาที โดยนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้โดยเฉพาะ ดอกเตอร์ Paul Ekman ข้อสังเกตแรกที่เราจะสามารถเช็กได้ว่าอีกฝ่ายโกหกอยู่หรือไม่ คือให้เราลองสังเกต การขยับศีรษะ ของคนคนนั้นในตอนที่เขากำลังปฏิเสธเรื่องอะไรซักอย่าง Paul อธิบายว่าหากอีกฝ่ายส่ายหัวซ้ำไปซ้ำมา นั่นอาจหมายถึงว่าเขากำลังโกหกอยู่ เพราะคนเรามักจะไม่ทำอย่างนั้นในตอนที่กำลังพูดความจริง ต่อมาคือเราต้องสังเกตการแสดงออกทางสีหน้า เพราะว่าคนเราทุกคนจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่เผยสีหน้าความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมา ซึ่งบางครั้งมันก็อาจจะขัดกับสิ่งที่เขาพูดอยู่ในตอนนั้นก็ได้ อย่างที่สามคือการสังเกตลักษณะการขยับมือ ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งอย่างที่เราสามารถสังเกตได้ง่าย โดยให้เราดูว่าอีกฝ่ายได้ทำมือออกมาเป็น เชิงสัญลักษณ์ ในตอนที่กำลังพูดอยู่หรือไม่ เช่น การชี้นิ้ว เอามือปาดเหงื่อ หรือเอามาปิดบังใบหน้าของตัวเอง เมื่อไหร่ที่เป็นอย่างนั้นก็ขอให้เดาเอาไว้ในใจเลยว่าเขากำลังโกหกอยู่ สัญญาณสุดท้ายก็คือวิธีการพูดหรือบทสนทนาที่กำลังพูดกันอยู่ ให้เราสังเกตว่าอีกฝ่ายมีการพักช่วงหรือทำให้บทสนทนาขาดตอน…
-
นักวิทย์เผย เฟรนช์ฟรายส์ของแมคสามารถช่วยแก้เรื่องหัวล้านพร้อมทำให้ผมขึ้นอีกด้วย
หลายคนคงเคยได้ยินว่าอาหารฟาสต์ฟู้ดนั้นนำมาซึ่งผลเสียมากมายให้กับร่างกาย ทั้งมะเร็งเอย ความอ้วนเอย แต่วันนี้เหล่าคนรักอาหารฟาสต์ฟู้ดเตรียมเฮได้เลย โดยเฉพาะผู้ที่ชื่อชอบ “เฟรนช์ฟรายส์” เพราะว่านักวิจัยได้ค้นพบข้อดีของมันแล้ว นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยโยโกฮามาพบว่าสารที่มีฤทธิ์ลดกรด (Dimethylpolysiloxane) ในเฟรนช์ฟรายส์ของร้าน McDonald นั้นสามารถทำมาผลิตเป็นเซลล์ปลูกผมได้ (HFGs) ศาสตราจารย์ Junji Fukuda แห่งมหาวิทยาลัยโยโกฮามากล่าวว่า “ปัจจัยสำคัญของการผลิต HFGs ก็คือการเลือกใช้สารตั้งต้นสำหรับการเพาะเลี้ยง พวกเราใช้สาร Dimethylpolysiloxane ที่ออกซิเจนสามารถไหลผ่านได้ดี และมันก็ได้ผลเป็นอย่างมาก” ด้วยวิธีการดังกล่าวทำให้ประสบผลสำเร็จในการสร้างเซลล์ปลูกผมราวๆ 5,000 เซลล์จากการทดลองปลูกถ่ายเซลล์ในหนู ศาสตราจารย์ Fukuda กล่าวว่าผู้คนมีปัญหาหัวล้านมากขึ้นโดยเฉพาะในสังคมผู้สูงอายุ ปกติแล้วการบำบัดรักษาอาการนี้จะเป็นการสร้างเซลล์รูขุมขนขึ้นใหม่แต่ละจุด แต่ความท้าทายในวิธีรักษาแบบใหม่ครั้งนี้ก็คือการสร้างเชื้อเซลล์ปลูกผมที่เป็นการรักษาครอบคลุมเป็นวงกว้าง ขณะทำการทดลองผู้ทดลองได้ฉีดเซลล์ HFG ที่ผสมสารจากเฟรนช์ฟรายส์เรียบร้อย เข้าไปในหนูแล้วพบว่าหนูมีขนขึ้นเป็นรูปแบบดั้งเดิมตาม “ขวัญ” ของมัน แสดงให้เห็นว่าเซลล์สามารถปรับให้เข้ากับรูปแบบรูขุมขนของมนุษย์ได้เช่นกัน มีความเป็นไปสูงว่าวิธีการเหล่านี้กลายเป็นขั้นตอนเตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่การผลิตตัวยาที่ใช้สำหรับปลูกขนหรือผม และแก้ปัญหาหัวล้านของผู้คนได้ แม้ว่าการรับประทานเฟรนช์ฟรายส์อาจจะทำให้ได้รับสารที่ช่วยปลูกผมได้ แต่หากรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดในปริมาณที่มากเกินไปก็ยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพอยู่ดี ฉะนั้น ควรบริโภคแต่พอเหมาะนะครับทุกท่าน ที่มา: Dailymail
-
งานวิจัยเผย!! คนที่ปวดหัวไมเกรน อาจมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง
อาการปวดหัวไมเกรนอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ กับหลายคน แต่ถ้าหากเจ้าอาการที่ว่านั้นไม่ได้รุนแรงจนถึงขั้นที่ทำให้คุณไม่สามารถลุกไปไหนได้ หรือหนักจนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล่ะก็ เราก็มักจะไม่สนใจและปล่อยปละละเลยกันใช่ไหมล่ะ แต่!! อย่าเพิ่งชะล่าใจไปเพื่อนรัก บางครั้งการปวดหัวไมเกรนธรรมดาๆ นั้นก็อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้นะเออ!! ผลงานวิจัยชิ้นล่าสุดจากประเทศเดนมาร์กเผยว่า ผู้ป่วยที่มีอาการปวดหัวไมเกรนนั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป โดยทำการศึกษาจากสถิติผู้ป่วยไมเกรนมากกว่า 50,000 รายและผู้ป่วยที่ไม่มีอาการปวดหัวมากกว่า 500,000 รายตลอดระยะเวลา 19 ปี โรคหลอดเลือดสมองหรือ Stroke นั้นจะทำให้สมองขาดเลือดซึ่งสาเหตุมาจากผู้ป่วยหัวใจวาย 49 เปอร์เซ็นต์ และผู้ป่วยที่มีก้อนเลือดที่บริเวณขาและปอด 59 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 25 เปอร์เซ็นต์คือผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจเต้นผิดปรกติ และดูเหมือนว่างานนนี้หนุ่มๆ จะต้องระวังกันมากเป็นพิเศษแล้ว เพราะผลการศึกษาดังกล่าวยังเผยอีกว่า เพศชายที่มีอาการปวดหัวไมเกรนนั้นมีความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าคนทั่วไปถึง 12 เท่า คุณหมอ Kasper Adelborg ผู้ทำการศึกษาครั้งนี้อธิบายว่าอาการบีบเกร็งของหลอดเลือดที่ผิดปรกตินั้นไม่เพียงแค่ทำให้เกิดอาการไมเกรนเท่านั้น และอาการดังกล่าวยังเพิ่มโอกาสของการเกิดโรคหลอดเลือดในสมองอีกด้วย นอกนี้การใช้ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์ หรือ Non-steroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs) เพื่อแก้อาการปวดหัวไมเกรน ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายอีกด้วย เนื่องจากยาชนิดนี้จะทำให้เลือดแข็งตัวผิดปรกติ…
-
ขึ้นเตียงปุ๊บง่วงเลย.. 10 วิธีที่จะช่วยทำให้คุณเข้านอนแล้วง่วงหลับเร็วกว่าคนอื่น
อาการนอนไม่หลับ หนึ่งในปัญหายอดฮิตสำหรับคนสมัยใหม่ บางครั้งอาจจะมีต้นตอมาจากความเครียดสะสมที่เราต้องเจอในทุกๆ วันนั่นเอง เจ้าอาการที่ว่านี้นอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพกายเราแล้ว มันก็ยังทำให้หลายๆ คนรู้สึกหงุดหงิดหรือเสียสุขภาพจิตอีกด้วยเช่นกัน และถ้าหากว่าคุณเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่กำลังเผชิญชะตากรรมแบบนี้ล่ะก็ ลองเอา 8 วิธีง่ายๆ ที่เรานำมาฝากในวันนี้ไปใช้ดูสิ ไม่แน่อาการนอนไม่หลับของคุณอาจจะดีขึ้นก็ได้!! 1. ลองเขียนสิ่งที่ต้องทำก่อนที่คุณจะนอนดูสิ!! จากการศึกษาล่าสุดที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Journal of Experimental Psychology พบว่าการเขียนสิ่งที่ควรทำ 5 นาทีก่อนนอน จะทำให้เรานอนหลับได้เร็วขึ้น เนื่องจากมันช่วยคลายความกังวลให้ก่อนเข้านอนนั่นเอง 2. ลองหลับตาแล้วนึกภาพว่าคุณกำลังทำสิ่งที่มีความสุขมากที่สุด ข้อแนะนำดีๆ จากโค้ชทีมเบสบอล หลังจากที่พิชเชอร์ในทีมของเขาประสบปัญหานอนไม่หลับเป็นเวลานาน ซึ่งโค้ชคนดังกล่าวได้แนะนำให้เขาลองนึกภาพของการขว้างบอลที่ดีที่สุดก่อนนอน และนั่นก็ได้ผลดีไม่น้อยเลยทีเดียว 3. ท่องคำว่า “สีดำ สีดำ” ให้ขึ้นใจ คำแนะนำจากชาวเน็ตท่านหนึ่งที่ทำแล้วมันได้ผลดีไม่น้อยเลยทีเดียว เอ๊ารอช้าอยู่ใยลองกันเลย.. สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ สีดำ อ่า..…
-
เปิดตำนาน “เพกาซัส” อาชามีปีกสายซัพพอร์ต ที่ได้ช่วยเหล่าฮีโร่มาแล้วนักต่อนัก
หากเราพูดถึงสัตว์ที่เป็นพาหนะที่มักโผล่มาในภาพยนต์หรืออนิเมชั่นที่เกี่ยวกับเทพนิยายกรีก แน่นอนว่าชื่อของเจ้าม้ามีปีก “Pegasus” ต้องโผล่ออกมาเป็นแน่แท้ Pegasus เป็นสัตว์วิเศษที่สามารถเจอได้ในตำนานเทพกรีก เจ้าสัตว์ตัวนี้มีรูปร่างเหมือนม้า กายสีขาวแต่มีปีก ซึ่งพ่อของมันอาจจะเป็นเทพแห่งทะเลอย่าง Poseidon ในขณะที่แม่คือ Medusa Pegasus นั้นเป็นที่รู้จักจากการที่ได้ให้ความช่วยเหลือ Perseus และ Bellerophon ในการทำภารกิจ Pegasus เกิดมาในช่วงที่ Perseus สะบั้นคอของ Medusa ขาด และทันใดนั้นเจ้าม้ามีปีกตัวนี้ก็บินออกจากคอที่ขาดนั้น ภายในหลังนี้ Pegasus ได้เป็นเป็นพาหนะของ Bellerophon และยังพบเจอได้จากการช่วยฮีโร่ในการขจัดสัตว์ร้ายเช่น Chimera และเรื่องราวการบินไปที่ Olympus ในนิยายของ Hesiod เขียนไว้ว่า Medusa ได้มีเพศสัมพันธ์กับ Poseidon ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ จนก่อกำเนิดเป็น Pegasus กับ Chrysaor Hesiod ยังกล่าวถึงหลังจากที่ Pegasus ได้เกิดออกมาเจ้าม้าก็ได้บินไปที่ Olympus ซึ่งเป็นที่อยู่พระราชวังของ Zeus และ Pegasus ก็ได้รับหน้าที่กลายเป็นพาหนะของเทพเจ้าสายฟ้า แต่ในตำนานอีกแบบบอกว่า Pegasus ได้ใช้เวลาอยู่บนโลกก่อนที่จะบินไปที่ Olympus และระหว่างนั้น Pegasus…
-
เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไมเฟซบุ๊กถึงรู้ไปซะทุกเรื่อง!? นี่คือระบบกลไกการทำงานของมัน!!
นี่คือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวคุณ เมื่อคุณกำลังพูดคุยถึงสิ่งของที่คุณอยากได้มาใช้ในบ้าน และหลังจากนั้นสิ่งของสิ่งนั้นก็ได้ปรากฏอยู่ในแถบโฆษณาบนเฟซบุ๊กในเวลาถัดมา ความรู้สึกแบบนี้แทบจะเหมือนกับการที่เรากำลังถูกสอดส่องพฤติกรรมโดยโซเชียลเน็ตเวิร์กผ่านโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ของคุณเอง แต่โชคดีที่นั่นไม่ใช่ประเด็น เทคโนโลยีในการโฆษณากลุ่มเป้าหมายของเฟซบุ๊กนั้นได้ล้ำหน้าอย่างเหลือเชื่อ โดยการคาดการณ์ล่วงหน้าถึงสิ่งที่เราต้องการหรือว่าสนใจจนทำให้เรารู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกดักฟังการสนทนาอยู่ และเทคโนโลยีสุดล้ำของเฟซบุ๊กที่กล่าวถึงก็คือ Facebook Pixel Facebook Pixel เป็นโค้ดหรือระบบติดตามซึ่งจะติดตั้งอยู่แทบจะทุกเว็บไซต์ โดยระบบนี้จะติดตามและศึกษาพฤติกรรมจากการโพสต์และการค้นหาบนเว็บไซต์ ถ้าหากคุณกำลังค้นหาวงดนตรีวงโปรดของคุณ ไม่ต้องแปลกใจเลยถ้าโฆษณาทัวร์คอนเสิร์ตของวงนั้นจะขึ้นมาให้เราเห็น สิ่งที่หลายคนยังไม่รู้ก็คือการที่เฟซบุ๊กนั้นก็ยังคงสอดส่องพฤติกรรมของเรา แม้ว่าเราจะไม่ได้ใช้งานมันอยู่ก็ตาม เนื่องจาก Facebook Pixel ที่ถูกติดตั้งลงบนเว็บไซต์นับล้าน ทำให้ระบบของมันสามารถคำนวณเวลาที่เราใช้ไปกับเว็บไซต์ดังกล่าว และประมวลผลข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้งานออกมา ทำให้โฆษณาที่โผล่ขึ้นมาเหล่านั้นจะเฉพาะเจาะจงมากๆ การใช้ประโยชน์จากการรวบรวมข้อมูลบุคคลที่สามทำให้โฆษณาบนเฟซบุ๊กแม่นยำขึ้น เฟซบุ๊กยังสอดส่องตำแหน่งของคุณจากการเช็กอิน ข้อมูลละติจูด ลองติจูดจากการใช้อินเตอร์เน็ตบนมือถือและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่สามารถบอกตำแหน่งของคุณได้ เพื่อคำนวณหาโฆษณาที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น หากเราไปเที่ยวต่างจังหวัด เราก็จะเห็นโฆษณาของธุรกิจหรือโฆษณาอื่นๆ ในจังหวัดนั้น และระบบนี้ยังสามารถทำงานได้ในขนาดพื้นที่ที่เล็กลงมาอีกได้ หากเราเช็กอินในห้องสรรพสินค้า ก็อาจจะขึ้นเป็นโฆษณาสินค้าที่กำลังวางขายอยู่ในห้างฯนั้น ข้อมูลดังกล่าวที่ถูกรวบรวมถือว่าเป็นประโยชน์ต่อทางเฟซบุ๊กอย่างมาก จึงทำให้ทางบริษัทได้คิดค้นวิธีเก็บข้อมูลในขณะที่เราออฟไลน์เช่นกัน จากการสัมภาษณ์ผู้ที่ได้สืบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้พบว่าทางเฟซบุ๊กนั้นได้ซื้อข้อมูลจากองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ทำให้ทางบริษัทได้ข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ พฤติกรรมการใช้จ่าย หรือแม้กระทั่งแอปพลิเคชันร้านค้าที่เราไว้วางใจ ยิ่งเก็บรวบรวมข้อมูลได้มากเท่าไร ทางเฟซบุ๊กก็จะคำนวณเลือกโฆษณาให้เราได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ว่าการกระทำแบบนี้จากทางเฟซบุ๊กจะเหมือนกับการลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเฟซบุ๊กได้สอดแนมคุณจริงๆ การที่ระบบนั้นทำหน้าที่ได้ดี…
-
พิพิธภัณฑ์แปลกๆ จากทั่วโลก ที่คุณควรมาร์กจุดไว้ และลองไปให้ได้ซักครั้ง
เมื่อพูดถึงพิพิธภัณฑ์ เรามักจะนึกถึงสถานที่ที่รวบรวมสิ่งของต่างๆ ที่หาดูได้ยาก สิ่งของเก่าแก่ที่มาจากยุคประวัติศาสตร์หรือโครงกระดูกฟอสซิลไดโนเสาร์ แต่ก็มีพิพิธภัณฑ์บางแห่งที่ได้รวบรวมสิ่งของแปลกประหลาดต่างๆ ซึ่งบางทีดูแล้วก็ไม่น่าจะเอามาเป็นสิ่งของที่สามารถนำมาตั้งโชว์ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ยังมีผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เหล่านี้มากมาย เมื่อเวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศแล้ว เราก็คงอยากเก็บภาพความทรงจำ หรือประสบการณ์ที่ไม่เคยลืมเลือน ลองไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ดูสิ 15. พิพิธภัณฑ์เส้นผม Avanos ประเทศตุรกี พิพิธภัณฑ์เส้นผม Avanos ในเมือง Cappadocia ประเทศตุรกี ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1979 เมื่อตอนนั้นยังมีเส้นผมแค่ไม่กี่ปอยที่ถูกนำมาตั้งโชว์ หลังจากนั้นก็ได้มีผู้หญิงกว่า 16,000 คนได้ทิ้งปอยผมห้อยไว้กับผนังและเพดาน 14. พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมพิธีศพจากทั่วโลก ประเทศรัสเซีย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้จัดแสดงพิธีศพจากวัฒนธรรมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเผาศพ การทำมัมมี่ และวิธีอื่นๆ อีกมากมาย และยังแสดงให้เห็นถึงเสื้อผ้าที่สวมใส่ในพิธีรวมไปถึงชนิดของโลงศพที่ใช้ของแต่ละวัฒนธรรมอีกด้วย . 13. พิพิธภัณฑ์รวมศิลปะห่วย ประเทศสหรัฐอเมริกา อ่านไม่ผิดหรอก เพราะสถานที่นี้ได้รวมงานศิลปะที่ดูห่วยจนสามารถตั้งเป็นงานนิทรรศการได้ ซึ่งนิทรรศการนี้จะนำงานศิลปะไปโชว์ทั่วโลกด้วยเช่นกัน และยังมีหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับงานศิลปะเหล่านี้อีกด้วย บางครั้งความห่วยก็มีความดีอยู่ในตัว 12. พิพิธภัณฑ์ใต้น้ำ Cancun ประเทศเม็กซิโก หากได้ไปเที่ยวเมือง Cancun แต่คุณเบื่อที่จะเล่นน้ำทะเลหรือว่าอาบแดด…
-
พาชม 4 ความลับของ Bilderberg Group กลุ่มการประชุมที่เป็นปริศนาที่สุดในโลก
ว่ากันว่าเหตุการณ์ใหญ่ๆ ในโลกทั้งในอดีตหรือในปัจจุบัน ต่างก็ถูกขับเคลื่อนโดยบุคคลกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกลุ่มที่ว่านี้เป็นความลับอันสุดยอดที่คนทั่วไปไม่มีทางจะเข้าถึงได้ และยังเป็นผู้ที่ควบคุมเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงนโยบายหลักๆ ของโลกเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าความเชื่อในเรื่องนี้จะเริ่มมีเค้าความจริงขึ้นมา เมื่อมีการประชุมประจำปีแห่งหนึ่งที่รวบรวมสุดยอดผู้นำของโลก รวมถึงหัวกะทิด้านศาสตร์ต่างๆ มาไว้รวมกัน โดยกลุ่มการประชุมนี้มีชื่อเรียกว่า Bilderberg Group ซึ่งสิ่งที่พวกเขาประชุมกันแต่ละครั้งนั้น เชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้เลยก็ว่าได้ สถานที่แรกที่มีการจัดประชุมขึ้น การประชุม Bilderberg นั้นเป็นการประชุมลับ ที่จัดขึ้นในทุกปี โดยจะมีผู้เข้าร่วมในแต่ละครั้งอยู่ที่ 120-150 คน ซึ่งก็จะมีทั้งผู้นำจากทวีปยุโรป รวมถึงทวีปอเมริกาเหนือ นอกจากนี้ยังมีผู้เชี่ยวชาญจากด้านต่างๆ ทั้ง ด้านอุตสาหกรรม ด้านการเงิน ด้านการศึกษา เลยด้วย เจ้าชายแบร์นฮาร์ดแห่งลิพเพอ-บีสเตอร์เฟลด์ จุดเริ่มต้นของสมาคมแห่งนี้ จุดกำเนิดของการประชุมลับสุดยอดนี้ เกิดขึ้นจากการจัดตั้งของ เจ้าชายแบร์นฮาร์ดแห่งลิพเพอ-บีสเตอร์เฟลด์ ในปี 1954 และการประชุมครั้งแรกก็เกิดขึ้นที่โรงแรม Bilderberg ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปีเดียวกันนั่นเอง ซึ่งจริงๆ แล้วความริเริ่มในการจัดประชุมครั้งนี้ขึ้นมาจากหลากหลายผู้คนรวมถึง Józef Retinger นักการเมืองชาวโปแลนด์ ผู้ที่มีความกังวลเกี่ยวกับการต่อต้านอเมริกา (Anti-Americanism) ที่กำลังมีขึ้นในยุโรปตะวันตก ณ เวลานั้น จึงได้เสนอให้มีการประชุมนานาชาติที่ผู้นำจากประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกาจะมาประชุมร่วมกัน เพื่อเพิ่มความแข็งให้กับทั้งสองฝั่ง รวมถึงเพื่อจะสร้างความร่วมมือทางด้าน…
-
“Latah Syndrome” อาการของโรคบ้าจี้ มันมีอยู่จริงๆ เค้าไม่ได้แกล้งนะตัวเอง!!
สำหรับในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ถ้าหากใครได้ติดตามเรื่องราวบนโลกออนไลน์ ก็คงจะเคยเห็นคลิปของชายหนุ่มที่มีอาการบ้าจี้และขี้ตกใจ ที่ทำเอาชาวเน็ตถึงกับฮาท้องแข็งไปตามๆ กันเลยทีเดียว คลิปวิดีโออาการบ้าจี้ของคุณกฤติเดช สมตน ได้รับความนิยมจากชาวเน็ตอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามก็ได้มีหลายๆ คนตั้งข้อสงสัยว่า แท้จริงแล้วอาการดังกล่าวนั้นเป็นเพียงแค่การแกล้งทำ หรือเป็นอาการที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จริงๆ กันแน่!? และเพื่อเป็นการคลายความสงสัยของทุกคน วันนี้เราก็ได้นำข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับอาการดังกล่าวมาฝากกัน… อาการบ้าจี้หรือที่เรียกว่า Latah Syndrome ถือเป็นความผิดปรกติทางพฤติกรรมของผู้คนที่มักจะแสดงอาการตกใจขึ้นมาอย่างกระทันหัน เมื่อถูกกระตุ้นจากสิ่งรอบข้าง คำว่า Latah คือคำภาษามาเลเซียที่มักใช้เรียกอาการของกลุ่มหญิงสาวที่มีอาการกลัวและทำตามสิ่งที่ถูกบอกอย่างหยุดไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นมีคนพูดใกล้ๆ พวกเธอว่า “งู” พวกเธอก็จะพูดว่า “งู” ตามนั่นเอง และอาการดังกล่าวยังมีในกลุ่มประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างประเทศไทย อินโดนีเซียอีกด้วย จากงานวิจัยในปี 2001 ได้ทำการศึกษากลุ่มอาการของโรคดังกล่าว และได้ข้อมูลที่น่าสนใจที่ระบุว่าผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับความเครียดอย่างเช่นการสูญเสียลูกหรือสามีมาก่อน มีโอกาสที่จะเกิดอาการดังกล่าวตามมา และนอกจากนี้อีกกลุ่มหนึ่งที่มีโอกาสเป็นโรคบ้าจี้ได้ก็คือผู้ที่มักจะมีการฝันแบบแปลกๆ นั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามความเชื่อมโยงเกี่ยวกับกลุ่มอาการดังกล่าวนั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญก็ได้ให้คำแนะนำว่า ผู้ที่อาการดังกล่าวควรที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น และค่อยๆ ปรับพฤติกรรมไม่ให้ตอบสนอง แต่ในกรณีที่มีความรุนแรงและมีการเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดปรกติดจนรบกวนชีวิตประจำวันเป็นเวลานานก็ควรที่จะพบแพทย์เพื่อใช้ยาในการรักษา และปรับพฤติกรรมต่อไป ที่มา wikipedia, anthropology
-
หนุ่มทดลองหลับวันละประมาณ 4 ชั่วโมง ตามเหล่าอัจฉริยะ ด้วยการนอนแบบ Polyphasic!!
พวกเราส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า เราควรจะต้องนอนหลับให้ได้อย่างต่ำ 6-8 ชั่วโมงเพื่อการพักผ่อนที่เพียงพอ แต่เราอาจไม่เคยรู้กันมาก่อนว่าอัจฉริยะหลายๆ คนที่มีชื่อเสียงในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็น Leonardo Da Vinci หรือ Nikola Tesla นั้นใช้เวลาในการนอนต่อวันแค่ประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น นั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้หนุ่มนักเขียนในเว็บไซต์ Bright Side ตัดสินใจลองนอนหลับเหมือนอย่างอัจฉริยะเหล่านั้นดูบ้าง เพื่อต้องการทราบว่าสุดท้ายแล้วมันจะส่งผลต่อการทำงานของร่างกายและสมองมากขนาดไหน Da Vinci หนึ่งในอัจฉริยะที่บอกว่าตนเองนอนแค่ประมาณ 4 ชั่วโมงต่อวัน การนอนหลับของเหล่าอัจฉริยะนั้นถูกเรียกว่าการนอนหลับแบบ Polyphasic หรือการแบ่งให้ตัวเองนอนหลายๆ ครั้งต่อวัน ชายหนุ่มจึงแบ่งเวลาการนอนของตัวเองเป็น 3 ครั้ง นั่นคือการนอนตอนกลางคืนเป็นเวลา 4 ชั่วโมง ตั้งแต่ตี 1 ครึ่ง ถึงตี 5 ครึ่ง จากนั้นก็จะนอนพัก 25 นาทีตอนช่วงหลังอาหารกลางวัน และหลังจากการทำงานกลับมาบ้าน ชายหนุ่มเริ่มต้นแผนการนอนหลับของตัวเอง โดยเขาจำเป็นต้องพกที่อุดหูและผ้าปิดตาไปทำงานด้วย เพื่อใช้ในการบังคับให้ตัวเองนอนหลับตอนหลังกินข้าวกลางวันไป ซึ่งเขาก็เคยถูกเตือนมาแล้วว่าการวางแผนในครั้งนี้จะทำให้เขาต้องตกอยู่ใน “ภาวะซอมบี้” ซัก 2…
-
ค้นพบเมืองใหญ่ของ “มายา” ที่หายไป บ้าน 60,000 หลัง หรือนครแห่งทองคำมีจริง!?
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานการค้นพบเมืองโบราณ คาดว่าเป็นซากอารยธรรมจากชาวมายาที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต การค้นพบนี้เกิดขึ้นที่ประเทศกัวเตมาลา เมืองแห่งนี้เป็นที่รู้จักในนามของ Tikal, Holmul และ Witzna ถูกค้นพบด้วยการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์และโดรน แล้วพบกับเครือข่ายสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ป่ารกทึบพื้นที่ 2,100 กิโลเมตร การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่นี้สำคัญต่อวงการโบราณคดีเป็นอย่างยิ่ง จากหลักฐานที่ได้คือการค้นพบเมืองโบราณที่เคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดเมื่อ 1,200 ปีที่แล้ว พบแท่นหินที่เป็นรากฐานของอาคารบ้านเรือนกว่า 60,000 หลัง รวมไปถึงโครงสร้างพีระมิดสูง 7 ชั้น และกำแพงเมือง ป้อมปราการ คูน้ำ ทางยกระดับขนาดใหญ่ โดยคาดว่ามีจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ประมาณ 10-15 ล้านคน อารยาธรรมมายามีความเก่าแก่ราว 3,000 ปี ครอบคลุมพื้นที่อเมริกากลาง ทางตอนใต้ของเม็กซิโกและประเทศกัวเตมาลา รวมไปถึงพื้นที่ใกล้เคียง ทำให้เชื่อว่าชาวมายามีความก้าวหน้าทางด้านวิศวกรรม คณิตศาสตร์ สถาปัตกรรมและดาราศาสตร์ อารยธรรมมายาคืออาณาจักรที่เคยเจริญรุ่งเรืองมากๆ ในอดีต เหล่านักวิจัยพบว่าอาณาจักรมายาที่ถูกค้นพบนี้กว้างและซับซ้อนกว่าที่คาดการณ์เอาไว้อย่างมาก สามารถเทียบเท่าได้กับอารยธรรมกรีกและจีนโบราณได้เลย เทคโนโลยีที่ใช้ในการค้นหาในครั้งนี้คือเทคโนโลยี LiDAR หรือ Light Imaging, Detection And Ranging เป็นการสำรวจด้วยแสงเลเซอร์และโดรน นอกจากนี้เทคโนโลยีนี้ยังถูกนำมาใช้ในการค้นหาทางโบราณคดีอื่นๆ…
-
ตำนานของ ‘ลิลิธ’ เทพแห่งเซ็กส์ นางมารผู้ชั่วร้าย หรือแท้จริงแล้วเป็นเทพธิดาแห่งอิสรภาพ!!
ปิศาจและเทพีชั่วร้ายแห่งลัทธินอกศาสนา คือสิ่งที่ผู้คนนิยามให้กับ “ลิลิธ” หนึ่งในภูติสาวที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ต้นกำเนิดของเธอนั้นมาจากมหากาพย์กิลกาเมช และยังถูกกล่าวถึงในพระคำภีร์ไบเบิลกับพระคำภีร์ทัลมุดอีกด้วย ในความเชื่อของชาวยิว ลิลิธถือได้ว่าเป็นปิศาจที่เลื่องชื่อ ในขณะที่บางตำนานเล่าว่าเธอนั้นเป็นหญิงคนแรกที่ถูกสร้างขึ้นมาบนโลก แต่กลับถูกสร้างด้วยเศษตะกอนและสิ่งสกปรก ชื่อของเธอ “ลิลิธ” แปลว่า รััตติกาลหรือกลางคืน เธอนั้นมักจะมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับราคะ อิสรภาพ และความสยดสยอง ปิศาจโบราณแห่งชาวสุเมเรียน คำว่า “ลิลิธ” นั้นมาจากคำว่า “Lilitu” ของชาวสุเมเรียนที่แปลว่า ภูตแห่งสายลม หรือปิศาจหญิง เธอถูกกล่าวถึงในจารึกเล่มที่ 12 ของมหากาพย์กิลกาเมชของชาวเมโสโปเตเมียโบราณราว 2,100 ปีก่อนคริสตกาล ในเนื้อเรื่อง ลิลิธปรากฏกายขึ้นบนกิ่งไม้รวมกับปิศาจตนอื่นๆ แต่ถึงกระนั้นผู้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังคงถกเถียงกันว่าเธอนั้นเป็นปิศาจหรือเป็นเทพีที่ชั่วร้ายกันแน่ และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ลิลิธก็ปรากฏขึ้นในตำนานของชาวยิวเช่นกัน ทำให้ไม่สามารถทราบได้เลยว่าปรากฏที่ใดก่อนกัน แต่ที่ทราบแน่นอนก็คือแต่ละการปรากฏตัวของเธอนั้นล้วนเกี่ยวของกับเวทย์มนต์ของสุเมเรียน พระคำภีร์ทัลมุดของชาวบาบิโลเนีย ลิลิธถูกพูดถึงว่าเป็นภูตมืดที่มีกามารมณ์เกินควบคุมและเป็นอันตราย ในพระคำภีร์กล่าวว่า เธอนั้นบำรุงตนเองด้วย “น้ำกาม” ของผู้ชายเพื่อให้กำเนิดปิศาจ จนได้ชื่อว่าเป็น “มารดาแห่งเหล่าปิศาจ” จากนั้น ลิลิธ ก็กลายเป็นที่รู้จักในวัฒนธรรมที่หลากหลาย จนภายหลังได้เข้ามาสู่ยุโรปเหนือ…
-
ตำนานของชาวอารยัน ตัวตนที่แท้จริง กับการถูกลบเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
หากพูดถึงชาว “อารยัน” แล้วล่ะก็ หลายท่านอาจะเคยได้ยินชื่อ แต่ก็อาจไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วชาวอารยันเป็นใครกันแน่ เพราะปัจจุบันประวัติและจุดกำเนิดของชาวอารยันนั้นถูกบิดเบือนไปมากเหลือเกิน ที่หลายคนเข้าใจก็คือ ชาวอารยันคือชนกลุ่มคนผิวขาว ผมสีอ่อน ตาสีฟ้า และเป็นชนที่อยู่บนวรรณะสูงของอินเดีย ความเชื่อนี้คาดว่าเป็นเพราะจักรวรรดินาซี ที่ได้แพร่ขยายความคิดนี้ออกไปเพื่อใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ มีเพียงช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 เท่านั้นที่ชาวอารยันมีความเท่าเทียบกันกับชาวเยอรมันและชาวนอร์ดิก และก่อนหน้าที่ความเข้าใจเกียวกับชาวอารยันจะถูกบิดเบือน คำว่า “อารยัน” ถูกกล่าวถึงว่าเป็นภาษาโบราณที่ได้เผยแพร่ออกสู่แผ่นดินย่อยของอินเดีย อารยันที่แท้จริง แรกเริ่มเดิมทีชาวอารยันเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชีวิตอยู่ใน อิหร่าน ช่วงก่อนประวัติศาสตร์ และน่าจะอพยพเข้ามาสู่ตอนเหนือของอินเดียช่วง 1,500 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอินเดียในทวีปย่อยเรียกผู้ที่อพยพเข้ามาใหม่ว่า “อารยา” และคำว่า อารยัน หรือ “Aryan” นั้นไปคล้ายกับภาษาเปอร์เซีย “ērān” ที่หมายถึงประเทศอิหร่านอีกด้วย ก่อนชาวอารยันอพยพเข้ามา อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุนั้นรุ่งเรืองมากในประเทศอินเดีย มีศาสนาเกิดขึ้นตั้งแต่ 5,500 ปีก่อนคริสตกาล มีการทำการเกษตรตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล และมีสังคมเมืองตั้งแต่ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล และมีช่วงเวลาที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล…
-
คุณพระ!! 10 สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย ถ้าหากว่าเราเลิกกินเนื้อสัตว์ไปเลย แหมเพิ่งรู้นะเนี่ย
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบในรสชาติของ ‘เนื้อสัตว์’ ที่มันทั้งเหนียวนุ่มละมุนลิ้น แถมยังเต็มไปด้วยรสชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้หลายคนถึงกับตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ที่ไม่ว่ามื้อไหนๆ ก็ขอให้มีเนื้อสัตว์สักนิดหน่อยก็ยังดี(อย่างน้อยก็ดีต่อใจละกันเนอะ) แต่ถ้าอยู่มาวันหนึ่งเนื้อสัตว์หายไปจากโลก ก็อาจจะเป็นเรื่องที่เศร้ามากๆ สำหรับบุคคลเหล่านี้ แต่รู้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างถ้าหากร่างกายของเราไม่ได้รับเนื้อสัตว์เลย หลายคนอาจจะสงสัยในเรื่องนี้ และในวันนี้เราก็ได้หาคำตอบมาให้แก่ทุกคนแล้ว ว่าถ้าหากไม่ได้กินเนื้ิอสัตว์เลยจะมีผลอย่างไรต่อร่างกายบ้างนะ ว่าแล้วก็อย่าเสียเวลา ไปดูพร้อมๆ กันเลยดีกว่า 10. น้ำหนักตัวของคุณจะลดลง การที่คุณเลิกกินเนื้อสัตว์ไปเลย จะทำให้น้ำหนักตัวของคุณลดลงอย่างแน่นอน แถมยังไม่จำเป็นต้องนับแคลลอรี่ที่เรากินต่อวันเพื่อลดความอ้วนอีกด้วย เพราะสิ่งที่เราจะกินได้ก็มีเพียงพืชผัักที่มีพลังงานแคลลอรี่เพียงน้อยนิดเท่านั้น จากผลงานวิจัยที่ได้กล่าวเอาไว้ 9. แบคทีเรียทำหน้าที่ปกป้องร่างกายในลำไส้จะมีจำนวนมากขึ้น นั่นเป็นเพราะว่าอาหารที่เรากินเข้าไปมีผลต่อการเกิดแบคทีเรียดังกล่าวได้ จากข้อมูลงานวิจัยกล่าวเอาไว้ว่า ในคนที่กินเฉพาะพืชผักจะมีจำนวนแบคทีเรียชนิดดีนี้มากกว่าคนที่กินเนื้อสัตว์ ทว่าหากเป็นคนที่เพิ่งจะเลิกกินเนื้อแล้วล่ะก็ อาจจะต้องเผชิญกับอาการท้องอืดท้องเฟ้อ เนื่องมากจากลำไส้และตับอ่อนของคุณกำลังปรับตัวให้เข้ากับอาหารประเภทพืชผักนั่นเอง 8. ผิวพรรณของคุณจะดูสุขภาพดี เปล่งปลั่งมากขึ้น ในเหล่าผู้คนที่เลิกกินเนื้อสัตว์ จะสามารถสังเกตเห็นได้ทันทีเลยว่า สิวต่างๆ ที่เคยขึ้นอยู่บนใบหน้าของเรานั้นจะหายไปในทันที รวมทั้งผิวพรรณของเราก็จะดูสุขภาพดีมากขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวเอาไว้ว่า ถ้าเราเปลี่ยนจากการกินเนื้อสัตว์ไปกินผักผลไม้แทน ก็เหมือนกับการชะล้างสารพิษที่ติดค้างอยู่ในร่างกาย และการกระทำเช่นนี้จะส่งผลดีต่อผิวพรรณเราด้วย 7. เราจะรู้สึกกระปี้กระเปร่ามากขึ้น หนึ่งในข้อที่สำคัญที่สุดที่คนเลิกกินเนื้อสัตว์ได้สังเกตเห็นก็คือ รู้สึกเหนื่อยน้อยลง “ฉันเคยหมดแรงในตอนเย็นแม้ว่าฉันนั่งอยู่แต่ในสำนักงานตลอดทั้งวันก็ตาม แต่ในตอนนี้ฉันต้องออกกำลังกายเพื่อที่จะให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อยแทน” มังสวิรัติคนหนึ่งกล่าวเอาไว้ ส่วนเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะว่านอกจากการบริโภคแต่พืชผักจะทำให้น้ำหนักตัวของเราลดลง…
-
Phorusrhacidae ตระกูลนกสุดโหดในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มวลมนุษยชาติจะถือกำเนิดขึ้น!!
เคยมีใครบางคนกล่าวเอาไว้ว่าหากจะศึกษาอะไรสักอย่างให้เริ่มต้นที่ตัวเองก่อน โรงเรียนต่างๆ จึงได้เกิดวิชาประวัติศาสตร์ขึ้นมาเพื่อให้เรารู้พื้นเพความเป็นมาของตัวเรา รวมถึงในยุคก่อนที่เราจะถือกำเนิดขึ้นมาด้วย ก่อนที่มนุษยชาติอย่างเราๆ จะถือกำเนิดขึ้น เชื่อกันว่าครั้งหนึ่งโลกของเราเคยถูกปกครองโดยสัตว์อย่าง ไดโนเสาร์ รวมถึงสัตว์แปลกๆ อย่างอื่นอีกจำนวนมากที่เราไม่รู้จัก ดังนั้นเพื่อให้รู้ประวัติความเป็นมาของโลกที่เราอาศัยอยู่ให้ดียิ่งขึ้น วันนี้เราจึงจะพาทุกท่านไปรู้จักกับตระกูลนกยักษ์ตระกูลหนึ่งที่มีความโหดเหี้ยมถึงขั้นมีผู้ขนานนามให้ว่า “นกแห่งความสยองขวัญ” เลยทีเดียว Phorusrhacidae คือชื่อเรียกของนกตระกูลที่กล่าวไว้ข้างต้น พวกมันเป็นกลุ่มนกที่มีขนาดใหญ่แต่ไม่สามารถบินได้ โดยเจ้านกชนิดนี้สามารถพบเห็นได้ทุกพื้นที่ของโลกใบนี้ในเมื่อเวลาประมาณ 60 ล้านปีก่อน ซึ่งมีความเชื่อกันว่ามันน่าจะถือกำเนิดขึ้นในยุคครีเทเชียสช่วงต้นๆ และเมื่อเวลาผ่านไปพวกมันก็มีวิวัฒนาการแบ่งออกเป็น 25 สายพันธุ์ที่แตกต่างกันออกไป บางสายพันธุ์ก็จะกินแต่เฉพาะซากสัตว์ที่ตายแล้วเท่านั้น ขณะเดียวกันบางตัวก็มีสัณชาตญาณนักล่าที่โหดเหี้ยมจนถึงขั้นกระหายเลือดเลยทีเดียว โดยข้อมูลเหล่านี้ได้มาจากซากฟอสซิลที่เผยให้เห็นถึงลักษณะทางกายภาพของพวกมันนั่นเอง ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นนักล่า ทั้งกรงเล็บที่แหลมคมเหมาะสำหรับการทิ่มแทง จงอยปากที่พร้อมจะฉีกเนื้อของเหยื่อผู้โชคร้ายให้หลุดออกจากกระดูกได้อย่างง่ายดาย รวมถึงขาของพวกมันที่มีความแข็งแรงพอที่จะทำให้กระดูกของสัตว์ตัวอื่นแตกได้เลยทีเดียว จากคุณสมบัติทั้งหมดที่ได้กล่าวมา จึงทำให้มันเป็นนักล่าที่น่าเกรงกลัวสำหรับสัตว์น้อยใหญ่มากมายในสมัยนั้น จากคำบอกกล่าวของผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ นอกจากร่างกายของมันจะทำให้สัตว์ตัวอื่นๆ หวาดหวั่นแล้ว วิธีการฆ่าเหยื่อของพวกมันยังถือว่าเป็นวิธีที่ซาดิสม์แบบสุดๆ อีกด้วย เพราะว่าพวกมันจะใช้ปากคาบเหยื่อขึ้นมาแล้วจับทุ่มลงพื้นไปเรื่อยๆ จนกว่าเหยื่อจะแน่นิ่งไปในที่สุด สำหรับหนึ่งในสัตว์ที่มีรูปร่างใหญ่ที่สุดในตระกูลนกตระกูลนี้มีชื่อว่า Titanis walleri โดยพวกมันมีแหล่งที่อยู่อาศัยอยู่บริเวณที่ราบชายฝั่งของรัฐเท็กซัสและฟลอริด้า ของประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันนั่นเอง ส่วนสาเหตุที่ทำให้มันสูญพันธฺุ์ยังไม่เป็นที่แน่ชัดนัก แต่ผู้เชี่ยวชาญได้สันนิษฐานเอาไว้ว่า น่าจะมาจากอุณหภูมิในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกมันไม่สามารถปรับตัวได้และล้มตายไปในที่สุด วิดีโอของเจ้านกตระกูลนี้ที่จะมาบอกเรื่องราวความเป็นมาต่างๆ ที่มา: mentalfloss
-
ผู้เชี่ยวชาญ 7 เทคนิคป้องกันตัว เมื่อโดนทำร้ายระยะประชิด ป้องกันไม่ให้ถูกต่อย “ม้ามแตก”!!
จากที่เราเคยได้ยินข่าวกันบ่อยครั้งเกี่ยวกับเรื่องของการล่วงละเมิดทางเพศหรือการทำร้ายผู้ที่อ่อนแอกว่า ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และปัญหาเหล่านี้ยังไม่มีทางแก้ ทำได้เพียงแค่หาวิธีป้องกันตัวเมื่ออันตรายมาถึง สาวๆ ทั้งหลายก็คงจะรู้ดีกว่า ผู้หญิงมักจะตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิด ในวันนี้เราจึงมีวิธีการป้องกันตัวแบบง่ายๆ จาก Victor Lyalko ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้นำมาถ่ายทอดเป็นภาพแบบเข้าใจง่ายๆ 1. จำไว้ว่าจุดอ่อนอยู่ตรงไหน จุดอ่อนบนร่างกายที่ง่ายต่อการโจมตีที่ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องพ่ายแพ้กับจุดนี้นั่นก็คือ ดวงตา จมูก ลำคอ หน้าอก เข่า และหว่างขา 2. การจู่โจมที่ง่ายที่สุดคือการใช้มือ จับนิ้วมือของฝ่ายตรงข้ามแยกออกจากกันให้แรงที่สุด วิธีนี้จะทำให้เขาร้องออกออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ถ้าไม่สามารถจับมือได้ให้ใช้นิ้วหรือกำปั้นระแทกเข้าไปตรงกลางของกระดูกไหปลาร้าหรือลูกกระเดือกของอีกฝ่าย หรือถ้าอยากจู่โจมขั้นรุนแรงขึ้นให้จับบริเวณหว่างขาแล้วจับอย่างเต็มแรง 3. วิธีป้องกันตัวหากโดนจู่โจมจากด้านหน้า ถ้าอีกฝ่ายเข้าประชิดตัวเกินไปจนคุณใช้มือโจมตีใบหน้าไม่ได้ ให้กำมือแล้วยื่นลงหน้าสะดือสร้างช่องว่างระหว่างคุณกับคนร้าย จากนั้นใช้หัวโขกเข้าที่จมูกของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็ใช้เข่ากระแทกเข้าที่จุดยุทธศาสตร์ ถ้ามีช่องว่างระหว่างตัวคุณกับคนร้าย ลองใช้อีกวิธีหนึ่งคือเหยียดแขนซ้ายไปกันแขนของคนร้าย แล้วใช้ฝ่ามือขวากระแทกเข้าที่คางและจมูก สุดท้ายตีเข่าเข้าที่จุดยุทธศาสตร์เหมือนเดิม 4. วิธีปล่อยมือให้เป็นอิสระ หากโดนจับที่ข้อมือให้จำไว้ว่าถ้าถูกจับมือข้างไหนให้หมุนมือไปทางด้านนิ้วหัวแม่มือของคนร้าย พอมือหมุนไปอยู่ข้างล่างของมืออีกฝ่ายก็ออกแรงดึงมือออกมา เท่านี้มือก็เป็นอิสระพร้อมที่จะป้องกันตัวขั้นต่อไป 5. วิธีป้องกันตัวหากโดนจู่โจมจากด้านหลัง ยืดตัวเอาหัวกระแทกหน้า หรือก้มลงจับที่เข่าคนร้ายแล้วดึงมาข้างหน้าอย่างเต็มแรงเพื่อให้อีกฝ่ายล้มลง วิธีนี้จะทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถลุกขึ้นได้ 6. วิธีป้องการตัวหากโดนจู่โจมจากด้านข้าง…
-
19 เกร็ดสาระแบบสั้นๆ เข้าใจง่าย ในเรื่องของสิ่งใกล้ตัวที่เราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน
ในโลกของเราเต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งสิ่งมีชีวิตอย่างคนหรือสัตว์ และสิ่งไม่มีชีวิตอย่างต้นไม้ ภูเขา ทะเลอีกด้วย จึงมีความรู้เกี่ยวกับโลกนี้อยู่มากมายเสียจนใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงจำไม่หมดเลย วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปเพิ่มพูนเกร็ดความรู้ใหม่เอง พวกเราจะได้มีความรู้รอบตัวเพิ่มขึ้นไปพร้อมๆ กัน ถ้าเรียนรู้เรื่องใหม่ทุกวันเป็นประจำเราอาจจะเป็นอัจฉริยะในอนาคตก็ได้ใครจะไปรุู้ 1. นกไม่ฉี่กันหรอก เพราะมันไม่มีท่อปัสสาวะนั่นเอง ดังนั้นใครที่เคยคิดว่านกฉี่ใส่ไม่มีจริงนะจ๊ะ 2. ในมะเขือม่วงก็มีสารนิโคตินเหมือนกัน แต่มีอยู่น้อยนิดเท่านั้น เทียบกับบุหรี่ไม่ติดเลย 3. เด็กทารกไม่สามารถฝันได้ นักประสาทวิทายาเชื่อว่าคนเราจะเริ่มฝันได้ตอนที่อายุ 4-5 ปีแล้ว 4. ดวงดาวสามารถทำลายดาวเคราะห์ที่เข้าไปใกล้มันมากเกินไปได้ ดีนะที่โลกเราไม่มีดวงดาวรอบๆ 5. เต่าก็สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองได้เหมือนกับคนนั่นแหละ สัตว์บางชนิดอย่างช้างและสิงโตทะเลเองก็เช่นกัน 6. แมงกะพรุนระเหยเป็นไอได้ เนื่องจากร่างกายแมงกะพรุนประกอบด้วยน้ำกว่า 98 เปอร์เซนต์เลย ถ้ามันถูกแดดเผาจนระเหยไปก็แทบจะไม่เหลืออะไรเลยนั่นเอง 7. เราสามารถรับประทานทองคำได้ แต่เครื่องประดับทองคำทั่วไปมีแร่ที่กินไม่ได้ผสมอยู่ด้วย อย่าเผลอลองกินล่ะ 8. เจ้าจ๋อก็ขัดฟันเหมือนกันนะ พวกมันมักจะใช้ขนนกหรือใบหญ้าแทนไหมขัดฟัน จะได้รักษาความสะอาดช่องปากและยิ้มสวยด้วย 9.…
-
เรื่องเล่าจากภาพอายุ 100 ปี เกิดอะไรขึ้นบ้างในอเมริกา และกล้องถูกใช้ไปเพื่ออะไรบ้าง…
สมัย 100 กว่าปีก่อน เทคโนโลยีการถ่ายภาพนั้นถือเป็นความใหม่ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจคนสมัยนั้นเป็นอย่างมาก และการเข้าถึงกล้องถ่ายรูปก็ไม่ได้ง่ายดายและรวดเร็วแบบปัจจุบัน ฉะนั้นการที่ช่างภาพสมัยก่อนจะถ่ายภาพแต่ละครั้งมันจึงมีความหมาย จึงเกิดงานแสดงภาพถ่ายที่ชื่อว่า Paper Promises: Early American Photography ที่ พิพิธภัณฑ์ J. Paul Getty ใน Los Angeles ที่แสดงถึงความเป็นไปเป็นมาของภาพถ่ายจากร้อยกว่าปีก่อน แล้วภาพที่ถูกถ่ายออกมาสมัยนั้นจะเป็นอย่างไร ผู้คนสมัยก่อนเขาใช้กล้องอย่างไร ใช้ถ่ายอะไรกันบ้าง เชิญไปชม 19 ภาพถ่ายพร้อมเรื่องเล่าความเป็นมาจากสมัยกว่า 100 ปีก่อน ภูเขา Ophir ใน California ปี 1859-1860 โดย Carleton Watkins การถ่ายภาพนั้นกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการราวปี 1839 กล้องยุคนั้นมีชื่อว่า Daguerreotype ซึ่งมีลักษณะเป็นกล่องไม้ขนาดพอดีมือ ที่มีกระบวนการบันทึกรูปภาพลงบนผลึกโลหะ (ผลึกเกลือเงิน) ซึ่งสามารถทำให้เกิดภาพที่คนสมัยนั้นกล่าวกันว่า สมบูรณ์แบบที่สุด จากนั้นจึงมีการพัฒนาฟิล์มเป็นกระดาษแก้วเนกาทีฟส์ ซึ่งสามารถพิมพ์ภาพออกมาได้หลายขนาด ถือได้ว่ามีความสะดวกยิ่งขึ้น แต่มันก็ยังมีความไวต่อแสงสูง อดีตทาสแรงงานในฟาร์มของ Mr. Toller ในรัฐ Virginia…
-
ทำความรู้จักกับยุค Wild West ต้นกำเนิดวิถีคาวบอย จากยุคสงครามกลางเมืองอเมริกา
สำหรับใครที่เป็นแฟนหนังฮอลลีวูด อาจจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับหนังแนว Western หรือแนวคาวบอยนั่นเอง และด้วยอิทธิพลของหนังแนวนี้ ก็ยังส่งผลไปถึงการแต่งตัวและวิถีชีวิตแบบคาวบอยที่หลายๆ คนชื่นชอบอีกด้วย แต่เพื่อนๆ รู้กันบ้างหรือเปล่าว่าอันที่จริงแล้ววิถีชีวิตแบบคาวบอยนี้มีจุดกำเนิดมาหลังจากยุคสงครามกลางเมืองของอเมริกาเมื่อช่วงประมาณปี 1865-1895 นั่นเอง ยุคของคาวบอยหรือที่รู้จักกันว่า Wild West หรือ American Frontier นั้นมีต้นกำเนิดมาจากทางทิศตะวันออกของแม่น้ำมิสซิสซิปปีรวมไปถึงดินแดนดาโคตา รัฐเนวาดา ออริกอน ยูทาห์ โคโลราโด นิวเม็กซิโก และแคลิฟอร์เนีย ในดินแดนต่างๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของคาวบอยนั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นดินแดนที่ไม่มีกฎหมายเข้มงวดมากเท่าไหร่ หรือเรียกง่ายๆ ก็บ้านป่าเมืองเถื่อนนั่นเอง และบ่อยครั้งที่เรื่องราวจากดินแดนเหล่านี้มักจะถูกเผยแพร่ไปตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยครั้ง และเมื่อถึงวัฒนธรรมของยุคอนานิคมมาถึงก็ทำให้วัฒนธรรมแบบ Wild West ได้รับความนิยมมากขึ้น และมันก็กลายเป็นสิ่งที่ฝั่งลึกลงไปในจิตวิญญาณของผู้คน คาวบอยหนุ่มบนหลังม้าประมาณปี 1887 สัญลักษณ์ในยุค Wild West อย่างที่เราเคยเห็นบทบาทของคาวบอยในหนังฮอลลีวูดกันมามากมายแล้ว คำว่า “คาวบอย” นั้นยังถูกใช้เรียกแทนคนที่ทำงานเกี่ยวกับปศุสัตว์อีกด้วย และในความเป็นจริงแล้วเหล่าคาวบอยนั้นมักจะไม่ได้สวมหมวกปีกกว้างอย่างที่เราเห็นกันหรอก เพราะมันทำให้ทำงานได้ไม่สะดวก แถมยังมีราคาแพงอีกด้วย หนึ่งเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นที่จดจำที่สุดของยุค Wild West และเป็นแรงบันดาลใจให้กับฉากดวลปืนในหนังหลายๆ เรื่องเลยนั่นก็คือการดวลที่คอกโอเค บริเวณใจกลางเมืองทูมบ์สโตน (Tombstone) รัฐอริโซน่า การดวลดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างพี่น้องตระกูล Earp ทั้งหมด 4 คนและกลุ่มคาวบอยจากตระกูล…
-
เรียนรู้วีถีแห่งทหารโรมัน ทำไมมันถึงเกรียงไกรกว่าชาวบ้านเค้า และพิชิตเมดิเตอเรเนียนได้
ก่อนที่ประเทศอังกฤษจะเข้ามาเปลี่ยนประวัติศาสตร์การยึดครองอาณาจักรนั้น อาณาจักรโรมันถือว่าเป็นอาณาจักรที่ใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดในโลก มีจำนวนประชากรสูงถึง 20% ของจำนวนคนทั้งหมดบนโลก และมีอาณาจักรแผ่ไพศาลไปถึง 3 ทวีปเลยทีเดียว แต่การที่ครอบครองอาณาเขตมากขนาดนั้นจะต้องอาศัยความเป็นระเบียบวินัย และพละกำลังทหารในการปกครองก่อนที่จะความคิดของผู้คนจะถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับแนวคิดทางการทหาร คัดเลือกทหารอย่างไร ในยุคเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรโรมัน ได้มีการคัดเลือกพลเมืองชนชั้นสามัญซึ่งส่วนใหญ่มาจากแถบชนบท เนื่องจากเป็นคนประเภทที่ทำงานหนักได้ การที่จะเข้าร่วมนั้นต้องมีจดหมายรับรองว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง มีอิทธิพล ในกรณีที่มีชื่อเสียงในทางที่แย่จะส่งผลต่อหน่วยที่จะได้เข้าร่วม นอกจากนั้นต้องมีร่างกายที่แข็งแรง ต้องเป็นผู้ชายที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป และต้องเข้าประจำการอย่างต่ำ 25 ปี ถ้าไม่ได้เป็นพลเมือง คนที่ไม่ใช่พลเมือง (มาจากอาณาเขตที่ถูกพิชิตโดยกองทัพโรมัน) จะได้เข้าร่วมกองทัพ Auxilia ซึ่งเป็นกองทัพเสริม ส่วนใหญ่จะเป็นพลทหารม้าและพลธนู กองทัพ Auxilia นั้นถือว่าเป็นกองทัพที่สำคัญในการรวบรวมอาณาเขตที่ถูกยึดให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ผลตอบแทนที่พวกเขาจะได้รับคือเมื่อคนในครอบครัวมีลูกหลาน พวกเขาจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพลเมือง ทำไมถึงต้องเข้าร่วม ในปัจจุบันนั้นก็มีเหตุผลต่างๆ มากมายในการเข้าร่วมกองทัพเหมือนกับสมัยก่อน มีรายได้ที่มันคง มีอาหารการกินที่ดี หลังจากที่ปลดประจำการก็จะได้ที่ดินที่สามารถใช้เพาะปลูกได้ และบางครั้งก็ได้รางวัลเป็นสมบัติที่ยึดมาได้จากสนามรบด้วยเช่นกัน จะระบุตัวตนของทหารโรมันได้อย่างไร การแต่งกายของทหารโรมันจะเป็นเสื้อสีขาว มีเข็มขัดทหารที่ดูหรูหรา สวมใส่รองเท้าบูท มีผ้าคลุมสำหรับป้องกันสภาพอากาศที่ไม่ดี และมีกางเกงที่ดูเหมือนกับผู้หญิงแต่ว่ามีความป่าเถื่อนในตัว มีการฝึกอย่างไร…
-
เปิดตำนานของ Medusa เจ้าแม่หัวงู หากใครได้สบตาเป็นต้องแข็งทุกราย บ่เว้นผู้สาว
หากคิดถึงปิศาจที่สามารถทำให้คนแข็งกลายเป็นก้อนหินได้ล่ะก็ ชื่อของ Medusa ย่อมถูกนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ แน่นอน แต่เอาจริงๆ ถามว่ามีใครที่รู้ประวัติของเธอกันบ้างมั้ย น้อยคนนักที่จะตอบได้ วันนี้เราเลยนำเรื่องราวของ Medusa หญิงผู้ที่หัวเป็นงูมาให้เพื่อนๆ ได้รับชมกันครับ เราสามารถเจอชื่อของ Medusa ได้ตั้งแต่มหากาพย์ที่เก่ามากๆ อย่าง กำเนิดปวงเทพ (Theogony) ที่ถูกเขียนโดย Hesiod ตามที่ผู้เขียนได้ว่าเอาไว้ Medusa นั้นเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา ที่มีพี่น้องทั้งหมดสามคนรวมตัวของเธอเองคือ Sthenno, Euryale และ Medusa ซึ่งทั้งหมดเป็นลูกของ Phorcys กับ Ceto ทั้งสามอาศัยอยู่เหนือ Oceanus ที่ขอบโลกในเวลากลางคืน พี่น้องของ Medusa นั้นล้วนแต่เป็นอมตะ ยกเว้นก็แต่ตัว Medusa เองเท่านั้น ถึงอย่างนั้น Medusa กลับเป็นคนที่มีใบหน้าที่สวยและเป็นที่นิยมมากที่สุดในพี่น้องทั้งสาม น่าแปลกที่ในมหากาพย์กำเนิดปวงเทพของ Hesiod ได้เล่าถึงเพียงต้นกำเนิด Medusa และการตายของเธอด้วยมือของ Perseus เพียงแค่เล็กน้อย โดยไม่ได้ลงรายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม อย่างไรก็ตามเราสามารถอ่านรายละเอียดเรื่องราวของ Medusa กับ Perseus ได้ใน Metamorphoses ซึ่งถูกเขียนโดย Ovid โดยที่เขานั้นอธิบายรูปร่างของ Medusa…
-
ไอเดียเสริมพลังใจ หนุ่มใช้ไม้ไอติมเขียนข้อความให้กำลังใจแฟนต่อสู้กับโรคซึมเศร้า
ข้อมูลสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) บอกว่า มีคนมากกว่า 300 ล้านคนทั่วโลกป่วยเป็นโรคซึมเศร้า โดยสิ่งที่ต้องกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยดังกล่าวกลับไม่ใช่เรื่องของจำนวนผู้ป่วย แต่เป็นเรื่องของวิธีการรับมือกับผู้ป่วยเหล่านั้น ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงเป็นเรื่องที่หลายๆ คนคิดกันไม่ตก หลายๆ คนที่มีคนใกล้ตัวป่วยเป็นโรคซึมเศร้าพยายามหาทางที่จะช่วยเหลือพวกเขาให้ได้มากที่สุด เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่ใช้ชื่อใน Reddit ว่า Bovadeez เพราะแฟนสาวของเขาเองก็จมอยู่กับอาการของโรคซึมเศร้ามาอย่างยาวนานเช่นเดียวกัน เขาจึงคิดวิธีที่จะหาทางช่วยเหลือเธอ จนกลายมาเป็นของขวัญชิ้นนี้ นี่คือขวดโหลที่เต็มไปด้วยข้อความต่างๆ มากมายเขียนลงไปบนไม้ไอติม เป็นสิ่งที่เขาต้องการสื่อให้แฟนสาวได้รับรู้ว่าเขารู้สึกเป็นห่วงและรักเธอมากขนาดไหน ชายหนุ่มแยกข้อความออกมาเป็น 4 ประเภทตามสี ได้แก่ สีส้ม คือคำคมหรือวลีต่างๆ ที่มีความหมายในแง่บวก ไว้สำหรับการให้กำลังใจ จากบทประพันธ์ของนักเขียนชื่อดังหลายๆ คนที่เขาชื่นชอบ สีเหลือง คือคำพูดหรือความคิดเชิงบวกจากตัวเขาเอง เพื่อคอยเตือนใจให้แฟนสาวได้รับรู้ว่าเธอสำคัญและมีความหมายมากขนาดไหน ยกตัวอย่างข้อความที่เขียนว่า “เธอสวยมาก” , “ฉันรักเธอ” หรือประโยคที่ว่า “อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ” สีม่วง คือแนวทางที่จะช่วยทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย อย่างเช่นข้อความที่บอกให้เธอ “หยุดพักบ้าง” ในตอนที่เธอกำลังฝืนตัวเอง หรือ “ลองฟังเพลงที่เธอชอบดู” ไม่มีสี คือไม้ไอติมว่างๆ ที่มีไว้ให้แฟนสาวเขียนช่วงเวลาที่เธอมีความสุขมากที่สุดในชีวิตลงไป เพื่อหวังว่าในอนาคตที่เธอกลับมาหม่นหมอง ขอเพียงให้เธอกลับมาดูเรื่องราวที่เคยเขียนไว้และกลับมายิ้มได้อีกครั้ง…
-
งานวิจัยเผย คนที่ “นอนกรน” มีความเสี่ยงด้านปัญหาสุขภาพมากกว่าคนทั่วไป
การนอนกรนถือเป็นหนึ่งในอาการที่ไม่พึงประสงค์สำหรับคู่รักหลายๆ คู่เลยทีเดียว เพราะเจ้าเสียงที่ดังราวกับรถบรรทุกโอ่งวิ่งบนถนนลูกรังและเผลอทำโอ่งตกแตกมันช่างรบกวนการนอนหลับของเราจริงๆ เลยว่าไหม แต่การนอนกรนนั้นไม่ได้ส่งผลเสียกับคู่นอนของคุณเท่านั้น แต่นักวิจัยยังได้เผยอีกว่าผู้ที่นอนกรนนั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างๆ สูงกว่าคนทั่วไปอีกด้วย!! นักวิจัยจากโรงพยาบาล Henry Ford เผยว่าการนอนกรนนั้นจะทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ โดยพวกเขาพบว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับความหนาของผนังหลอดเลือดแดง ความหนาของผนังหลอดเลือดนี้เป็นเหมือนสัญญาณของโรคหลอดเลือดตีบ ซึ่งจะทำให้การไหลเวียนของเลือดลำบากยิ่งขึ้น จนนำไปสู่ความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke นั่นเอง และไม่เพียงแค่ผู้ที่นอนกรนเท่านั้นที่จะมีความเสี่ยงที่ผนังหลอดเหลือดจะหนาตัวขึ้น แต่คนที่สูบบุหรี่ มีสภาวะน้ำหนักเกิน และมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของความดันรวมถึงคอเลสเตอรอลก็เข้าข่ายในความเสี่ยงเช่นกัน นายแพทย์ Robert Deeb หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวว่า “การกรนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาเพราะอาจะมีความเสี่ยงหยุดหายใจขณะนอนหลับได้ รวมถึงความเสี่ยงของความดันโลหิตสูง และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือดเช่นกัน” จากการรายงานของสื่อต่างประเทศเผยว่า งานวิจัยชิ้นนี้เป็นผลงานชิ้นแรกที่มีแสดงให้เห็นหลักฐานของการนอนกรนและความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด จากการวิจัยดังกล่าวยังพูดถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างโรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ หรือ OSA ที่มีความสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน มะเร็ง หรือเสื่อมสมรรถภาพเพศ ทั้งชายและหญิงอีกด้วย นอกจากนี้งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Harvard ยังได้เผยอีกว่าโรคหยุดหายใจขณะนอนหลับนั้นมีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการการรับรู้ของผู้ที่มียีน Apolipoprotein E ที่จะทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย ยังไม่หมดเพียงเท่านั้นการนอนกรนยังส่งผลกระทบถึงปริมาณออกซิเจนในเลือดที่ลดลงและทำให้ง่วงนอนตอนกลางวันอีกด้วย ศาสตราจารย์ Susan Redline จากสถาบันการแพทย์ของมหาวิทยาลัย Harvard กล่าวว่า “จากการศึกษาของเราพบหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าการนอนกรนนั้นมีส่งผลเสียต่อความเร็วในการประมวลผลและความจำ ซึ่งสามารถพยากรณ์ได้ว่ามันเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจที่ลดลง การรักษาอาการนอนกรนนั้นจะช่วยป้องกันความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมด้วย”…
-
15 บทเรียนจากคำสอนจากท่าน ‘ดาไล ลามะ’ ที่จะทำให้คุณรู้ซึ้งถึงคุณค่าของการใช้ชีวิต
มนุษย์เราต้องดำเนินชีวิตไปทุกๆ วัน แต่ก็ด้วยสังคมที่ดูยุ่งเหยิงในทุกวันนี้ ทำให้หลายคนมองหาความสุขในชีวิตของตัวเองไม่เจอ ในปัจจุบันจึงมีหนังสือที่เกี่ยวกับการหาความสุขง่ายๆ ในแต่ละวันออกมามากมาย ซึ่งผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านนี้ก็ต้องมีชื่อของ องค์ดาไลลามะ ผู้นำจิตวิญญาณแห่งทิเบต รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน หลายๆ คนคงจะเคยได้ยินชื่อของ องค์ดาไลลามะ แต่อาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าท่านเป็นใคร สำหรับตำแหน่งดาไลลามะนั้น เป็นตำแหน่งของประมุขคณะสงฆ์แห่งศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่จะสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งในปัจจุบัน เทนซิน เกียตโซ (Tenzin Gyatso) ก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็นองค์ดาไลลามะองค์ที่ 14 อยู่ และผลงานของท่านก็มีให้เห็นอย่างมากมาย ทั้งการเป็นผู้ที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพให้แก่ประเทศและประชาชนชาวทิเบต จนกลายเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ รวมถึงยังได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพอีกด้วย สำหรับอีกอย่างหนึ่่งที่ท่าน ดาไลลามะ มีให้กับโลกใบนี้ก็คือคำสอนต่างๆ ที่เราสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันให้มีความสุขได้ง่ายๆ และนี่คือ 15 บทเรียนที่อาจจะทำให้เราอาจจะมีความสุขยิ่งขึ้นในชีวิตที่วุ่นวายๆ อย่างทุกวันนี้เมื่อลองนำไปปฏิบัติดู ซึ่งคำสอนของท่านที่ได้กล่าวมาจะเป็นเช่นไรนั้น มาอ่านไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า 1. จุดประสงค์สูงสุดในชีวิตของคนเราคือการมีความสุข เราไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตบ้าง แต่อย่างไรหัวใจของเราก็ต้องการความหวัง และมันจะทำให้เราสามารถก้าวต่อไปได้ 2. ความขัดแย้งเกิดขึ้นเมื่อเรายึดติดกับความแตกต่างระหว่างกันทั้งเรื่อง เชื้อชาติ ศาสนา การศึกษา ฐานะ แต่จริงๆ แล้ว สิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่เราต้องจำไว้ก็คือ เราล้วนเป็นมนุษย์เหมือนๆ กัน ซึ่งหากมองในมุมมองก็จะทำให้ไม่เห็นความแตกต่างรวมถึงไม่เกิดความขัดแย้งขึ้น …
-
ไขข้อข้องใจชายหนุ่ม กับประเด็นที่ว่า.. ทำไมนางเอกหนังโป๊ฝั่งญี่ปุ่น ชอบครางเสียงโทนสู๊งสูง
หนังโป๊จากประเทศญี่ปุ่นนั้นเรียกได้ว่าได้รับความนิยมไม่น้อยเลยทีเดียว และถ้าหากว่าคุณเคยดูล่ะก็สิ่งหนึ่งที่มักจะสัมผัสได้นอกจากความเร่าร้อนของดารานำหญิงแล้วล่ะก็ เสียงร้องของพวกเธอเองก็ช่างปลุกเร้าได้ไม่น้อยเลยทีเดียว… แต่เราเคยสงสัยกันบางหรือเปล่าว่าทำไมเหล่านางเอกพวกนี้เขาถึงได้มีน้ำเสียงที่เล็กและน่ารักแบบนี้นะ และทำไมเวลาที่พวกเธอส่งเสียงกระเส่านั้นมันมักจะออกเป็นโทนเสียงสูงๆ กันนะ!? อ่า… และเพื่อให้หนุ่มๆ ได้เพลิดเพลิน เอ๊ย!! เพื่อเป็นการไขข้อข้องใจ วันนี้เราก็ได้นำเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าเสียงร้องแห่งความสุขนี้มาฝากกัน ภาพของความน่ารักคิขุนั้นเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของสาวญี่ปุ่น ภาพลักษณ์ความไร้เดียงสาเหล่านี้เองก็ถือเป็นหนึ่งในจุดขายของหนังผู้ใหญ่จากแดนปลาดิบ ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้พวกเธอดูเหมือนสาวน้อยวัยใสได้ไม่ใช่มีเพียงแค่การแต่งหน้าเท่านั้น แต่เสียงเองก็ถือเป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน จุดเริ่มต้นของน้ำเสียงสูงและแหลม น้ำเสียงที่สูงและแหลมนั้นจะทำให้พวกเธอดูเหมือนกับสาวๆ วัยรุ่น เพื่อให้พวกเธอรับบทสาวมัธยมหรือผู้หญิงที่ไร้เดียงสา ซึ่งหนังในแนวนี้ถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น นอกจากนี้น้ำเสียงดังกล่าวยังได้รับความนิยมในหนังผู้ใหญ่แนวอื่นๆ อีกด้วย เนื่องจากมันแสดงให้เห็นว่าพวกเธอเองก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่กำลังต้องการมันด้วยเช่นกัน Erika Nishimori หนึ่งในนักแสดงหญิงแบบชั่วคราวของวงการเอวีได้เล่าว่า การทำเสียงสูงและยั่วยวนนั้นถือเป็นหนึ่งในงานของเธอ “ฉันต้องทำท่าทางแบบเหนียมอาย มันเป็นบทที่ต้องร้องไห้และแสดงว่าฉันกำลังกลัว และนั่นมันทำให้พวกชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้น” เธอให้สัมภาษณ์ น้ำเสียงของความอ่อนน้อม ในวัฒนธรรมของญี่ปุ่นนั้นผู้ชายจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่มีความเข้มแข็ง ส่วนผู้หญิงจะต้องมีความอ่อนน้อม โดยจะต้องทำหน้าที่ภรรยาที่ดีและคอยเชื่อฟังสามี แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันแนวคิดแบบนี้ได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนไปอย่างมาก หนังผู้ใหญ่รวมถึงสื่อบันเทิงต่างๆ ก็ได้มีการพัฒนาเนื้อหาจากนวนิยายหรือเรื่องแต่งเสริมเข้าไปด้วยเช่นกัน โดยเนื้อหาของเรื่องมักจะแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงเป็นพวกขี้อายและไม่ค่อยเต็มใจ ก่อนที่จะถูกฝ่ายใช้กำลังเพื่อขืนใจพวกเธอ ซึ่งน้ำเสียงอันสูงแหลมนั้นก็ทำให้พวกเขารู้สึกพอใจด้วยเช่นกัน ตัวอย่างของการสร้างเสียงครางที่จะขาดไปไม่ได้จากสื่อฝั่งญี่ปุ่น (อย่าลืมใส่หูฟังก่อนนะ!!)… …
-
งานวิจัยเผย ‘วิดีโอเกม’ ไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้เล่นมีพฤติกรรมเกรี้ยวกราด
เราอาจเคยได้ยินหรือเชื่อว่า วิดีโอเกม คือสิ่งที่กระตุ้นเหล่าผู้เล่นให้มีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว และยิ่งเกมมีความสมจริงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้คนเหล่านั้นมีความก้าวร้าวเพิ่มมากขึ้นตามไป แต่จากงานวิจัยในมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษได้ออกมาบอกว่า ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกนะ นี่เป็นงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย York ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Computers in Human Behavior เหล่านักวิจัยได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 3,000 คน เพื่อต้องการทราบว่า เกมเป็นสิ่งสำคัญที่เพิ่มความก้าวร้าวของคนได้จริงหรือไม่ การทดลองของพวกเขากำหนดให้กลุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม และต้องเจอกับเกมที่มีความหลากหลายต่างกันไป โดยในการทดลองแรกแบ่งให้กลุ่มหนึ่งเล่นเกมขับรถที่ต้องคอยหลบสิ่งกีดขวาง ส่วนอีกกลุ่มเล่นเกมที่ได้สวมบทบาทเป็นหนูที่คอยหลบไม่ให้ถูกแมวจับได้ จากนั้นผู้เข้าร่วมจะได้ทำแบบทดสอบที่ให้พวกเขาแยกรูปภาพของสิ่งต่างๆ ว่าจัดอยู่ในประเภทของยานพาหนะหรือว่าสัตว์ ซึ่งหากผู้เข้าร่วมสามารถทำการแยกประเภทได้ไวกว่าปกติ นั่นหมายความว่าเกมที่พวกเขาเล่นสามารถส่งผลกับความคิดของพวกเขาได้จริง แต่ผลการทดลองที่ออกมากลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้เล่นเกมขับรถที่มีบางคนแยกหมวดหมู่ของภาพที่เห็นได้ช้ากว่าปกติมากเลยทีเดียว สำหรับการทดสอบครั้งแรก แสดงให้เห็นว่าเกมไม่ได้ส่งผลต่อตัวผู้เข้ารับการทดสอบ หลังจากนั้นจึงเข้าสู่การทดลองต่อไป ให้คนเหล่านั้นได้มาเล่นเกมที่มีความสมจริงเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์มากยิ่งขึ้น อย่างเกมแนวที่เรียกว่า Ragdoll Physics ที่สมจริงในลักษณะทางกายภาพ เกมที่พวกเขาได้เล่นในครั้งนี้มีความสมจริงทั้งตอนหกล้ม ตกบันได หรือตอนที่ตกลงมาจากตึก ร่างกายของหุ่นในเกมจะตอบสนองเหมือนกับมนุษย์จริงๆ เช่นอาการบาดเจ็บต่างๆ นอกจากนั้นพวกเขายังได้เล่นเกมต่อสู้ หรือเกมการรบอื่นๆ อีกด้วย เกมในรูปแบบ Ragdoll Physics ดอกเตอร์ David…
-
15 วิธีที่นักวิทยาศาสตร์แนะนำ เพื่อเอาชนะ ‘ความง่วง’ ให้รอดพ้นไปได้ในแต่ละวัน
ความง่วงระหว่างวันมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ นะครับ บางทีอาจารย์อาจจะสอนน่าเบื่อจนเราอยากหลับ หรืองานที่ทำมันอาจจะเยอะจนเราเหนื่อยล้าก็เป็นไปได้ แถมในสมัยนี้คนก็นอนกันดึกด้วย จึงมีคนมาง่วงเอาตอนช่วงกลางวันเยอะเลย แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เราจะมาปล่อยให้ความง่วงขัดขวางการใช้ชีวิตประจำวันของเราไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์จึงได้แอบกระซิบบอกวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้เราไม่ง่วงระหว่างวันมาดังต่อไปนี้ 1. อย่าดื่มกาแฟและเครื่องดื่มชูกำลังเยอะ กาแฟและเครื่องดื่มชูกำลังช่วยให้เราหายง่วงในระยะสั้นได้ก็จริง แต่การดื่มเครื่องดื่มพวกนี้จะทำให้เราดึงพลังงานที่มีไปใช้เพื่อให้ตื่นตัวในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น พอมันหมดฤทธิ์แล้วเราก็จะล้าหนักกว่าเดิมเสียอีก แถมพอดื่มมันเข้าไปแล้วยังทำให้เราพักผ่อนได้ไม่เต็มที่ในช่วงกลางคืนอีกด้วย ถ้าให้ดีก็อย่าดื่มเยอะล่ะ 2. อาบน้ำร้อนสลับกับน้ำเย็น ถ้าเครื่องทำน้ำอุ่นที่บ้านมีระบบสลับน้ำร้อนและน้ำเย็นล่ะก็ ใช้ระบบนี้ตอนอาบน้ำได้เลย มันจะช่วยให้ร่างกายของเรารู้สึกตื่นตัวมากกว่าปกติ หรือถ้าเกิดง่วงมากแต่อยู่นอกบ้าน แค่เอาน้ำเย็นล้างหน้าเสียหน่อยก็ช่วยได้เหมือนกัน 3. ให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากๆ หากว่าร่างกายของเราได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ จะทำให้เรารู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันที ในทางกลับกันหากว่าร่างกายของเราขาดออกซิเจนเราก็จะหาวอยู่บ่อยๆ นั่นเอง การทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนเยอะขึ้นทำได้ง่ายๆ โดยการนอนราบลงบนพื้นเรียบแล้ววางมือข้างหนึ่งไปบนท้อง ส่วนอีกข้างก็วางไว้บนหน้าอก จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ จนมือของเรารู้สึกว่าท้องและอกพองขึ้น จากนั้นจึงสูดหายใจออกยาวๆ จนท้องยุบลงไป ทำซ้ำสัก 5-10 ครั้งก็น่าจะได้ออกซิเจนเพียงพอแล้ว 4. ทานไอศกรีมในช่วงเช้า หลายคนคงสงสัยล่ะสิว่าทำไม การทานไอศกรีมถึงช่วยให้หายง่วงได้ นั่นก็เพราะว่านักวิทยาศาสตร์เขาทดลองแล้วว่าการทานของเย็นๆ ช่วยให้สมองของเราตื่นตัวมากขึ้น แต่อย่ากินบ่อยจนติดเป็นนิสัยล่ะ เพราะหากกินบ่อยเราก็จะอ้วนเอาได้…
-
โคตรปั่น หนุ่มแกล้งเนียนเป็นเซเลป คนแห่ตามมาถ่ายรูปด้วย แถมทำเป็นรู้จักอีกต่างหาก
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2012 ได้มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอผ่านทางช่องยูทูป Brett Cohen มันเป็นคลิปวิดีโอที่ชายหนุ่มที่ชื่อว่า Brett Cohen อยากจะคลายข้อสงสัยอะไรบางอย่าง เขาคิดว่าจะทำอย่างไรให้มีคนสนใจ และถ้าวันหนึ่งเขากลายเป็นเซเลบขึ้นมาล่ะ มันจะเกิดอะไรขึ้น และเขาต้องการที่จะรู้ว่าสังคมในตอนนั้นกำลังนิยมความมีชื่อเสียงหรือไม่ ด้วยวิธีการเหล่านี้ เขาก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรโดดเด่น เขาเริ่มคิดว่า จะทำอย่างไรให้เขากลายเป็นคนที่มีคนสนใจได้ เขาเริ่มแผนด้วยการแต่งตัวแบบดาราพร้อมกับจ้างบอดี้การ์คคุ้มกัน 2 คน และยังมีช่างภาพที่ทำทีว่าเป็นปาปารัสซี่คอยตามถ่ายภาพเขา ทันใดที่เขาก้าวออกจากโรงแรม ปาปารัสซี่หนุ่มทำทีเป็นตะโกนว่า “นั่นมันดารานี่” และนั่นก็ทำให้มีคนเริ่มสนใจและเชื่อว่าเขาเป็นดาราจริงๆ มีคนมาขอถ่ายรูปด้วยแฮะ นี่ก็อีกคน สวยๆ ทั้งนั้นเลย ทีมงานทำทีเป็นนักข่าวไปสัมภาษณ์คนที่มารุมล้อมที่จะถ่ายรูปกับเขาและถามว่า รู้จักเขาไหม หนุ่มคนนี้บอกว่า เขาน่าจะแสดงเรื่องสไปเดอร์แมน ส่วนลุงคนนี้บอกว่า “พ่อหนุ่มคนดังเป็นนักร้อง ผมชอบซิงเกิ้ลแรกของเขามาก แต่ไม่รู้ว่าชื่อเพลงอะไร ” แหม่ เนียนเลยนะ สาวๆ แก๊งนี้ก็มาขอถ่ายรูปและบอกกับสื่อว่า พวกเธอรักเขามาก จากคนธรรมดาๆ ที่กลายมาเป็นเซเลบปลอมๆ แต่ผลตอบรับมันเกินกว่าที่เขาคาดไว้มาก …
-
สาธารณสุขอังกฤษเผย บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่จริง 95% ช่วยให้คนเลิกบุหรี่จริงได้!!
เคยมีหลายๆ คนเคยตั้งข้อสงสัยกันว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้านั้นสามารถช่วยให้เลิกบุหรี่ได้จริงรึเปล่า? หรือจะทำให้สูบหนักยิ่งกว่าเดิม และในวันนี้เอง #เหมียวหง่าว ก็มีผลงานการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญจากอังกฤษมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน งานวิจัยของผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย University College London และศูนย์วิจัยโรคมะเร็งของอังกฤษ ได้ทำการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ได้ผลสรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้านั้นช่วยให้คนที่คิดจะเลิกสูบบุหรี่มีแนวโน้มที่จะเลิกสูบบุหรี่สำเร็จมากยิ่งขึ้น บุหรี่ไฟฟ้านั้นได้รับอนุญาตให้วางขายในประเทศอังกฤษมาตั้งแต่ปี 2007 หลังจากนั้นก็ได้รับความนิยมเรื่อยมา โดยปัจจุบันนั้นมีคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าถึง 3 ล้านคนในประเทศอังกฤษ จนกลายมาเป็นอุปกรณ์ยอดฮิตเพื่อใช้ในการเลิกบุหรี่แทนหมากฝรั่งและแผ่นแปะนิโคติน สำนักงานสาธารณสุขของอังกฤษก็ได้ออกมายืนยันแล้วว่า บุหรี่ไฟฟ้านั้นอันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดาถึง 95% เลยทีเดียว มันจึงกลายเป็นที่น่าสนใจว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าน่ะสามารถช่วยให้เลิกบุหรี่ได้จริงรึเปล่า!? เอาล่ะเราลองไปติดตามผลงานการวิจัยกันที่ข้างเล่างนี้พร้อมๆ กันเลยดีกว่า… งานวิจัยชิ้นนี้ก็ถูกนำไปตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ของอังกฤษ (BMJ) โดยวิธีการวิจัยนั้นได้ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาเรื่องการใช้อุปกรณ์ในการสูบบุหรี่ในช่วงปี 2006-2015 ร่วมกับข้อมูลจากหน่วยงานที่ให้บริการเลิกบุหรี่ของสำนักงานสาธารณสุขมาประกอบ และผลการศึกษาก็พบว่า ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ นั้นไม่ได้ทำให้คนอังกฤษเลิกบุหรี่กันมากขึ้น แต่ทำให้คนที่คิดว่าจะเลิกบุหรี่อยู่แล้ว สามารถเลิกบุหรี่ได้สำเร็จได้ประมาณ 18,000 คนเมื่อปีก่อน และข้อมูลที่ได้ก็บอกว่าการที่มีผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น 1% ก็ทำให้มียอดของคนที่สามารถเลิกบุหรี่ได้สำเร็จเพิ่มมากขึ้นอีก 1% ด้วยเช่นกัน เท่านั้นยังไม่พอ ยิ่งมีคนใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากยิ่งขึ้นก็ยิ่งทำให้มีผู้เข้ารับการบำบัดโดยการให้นิโคตินเทียมลดลงไปด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตามแพทย์ได้ออกมาชี้แจงว่า วิธีการเลิกบุหรี่ที่ดีและได้ผลที่สุดนั้นก็คือการบำบัดโดยใช้ยาจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ร่วมกับการช่วยเหลือให้คำแนะนำจากหน่วยงานบริการเลิกบุหรี่ของสาธารณสุข …
-
ทำความรู้จัก “โรคกลัวการอยู่เดียว” ภัยเงียบที่อาจทำให้คุณเป็นกลายเป็น “โรคซึมเศร้า”
เพื่อนๆ เคยกลัวการอยู่คนเดียวมั้ย? เราไม่ได้หมายถึงการอยู่ในคนในที่มืด ที่ร้าง หรือแค่ที่ใดที่หนึ่ง แต่เราหมายความรู้สึกกลัวที่จะอยู่คนเดียวในทุกๆ ที่จนทำให้การใช้ชีวิตประจำวันมีปัญหาไปด้วย ความรู้สึกที่ว่านี้ในทางจิตวิทยามีชื่อว่า Autophobia Isolaphobia และ Monophobia หรือโรคกลัวการอยู่คนเดียว โดยอาการของโรคนี้คือคุณจะรู้สึกกังวล หดหู่ และไม่มั่นใจเมื่อต้องอยู่คนเดียว สาเหตุของโรคกลัวการอยู่คนเดียว มักจะมาจากความรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งในบางช่วงเวลา ทั้งจากเพื่อน ครอบครัว รวมไปถึงคนรัก จนทำให้ความมั่นใจลดลงและกังวลเมื่อต้องอยู่คนเดียว เพื่อให้เพื่อนๆ เห็นภาพของโรคกลัวการอยู่คนเดียวชัดขึ้น #เหมียวขี้ส่อง ขอแชร์ประสบการณ์ตรงของตัวเองที่เคยประสบมา และคิดว่าหลายๆ คนน่าจะเป็นเหมือนกัน 1. ไม่ชอบอยู่หรือทำอะไรคนเดียว ไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง กินข้าว เดินเล่นในห้าง หรือแม้แต่ไปซื้อของในตลาด สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกกลัวที่จะทำคนเดียวลำพัง แต่ในอีกทางหนึ่ง คุณจะรู้สึกมีความสุขกับการใช้เวลาเงียบๆ อยู่คนเดียว 2. สูญเสียความมั่นใจเมื่อต้องอยู่คนเดียวในที่สาธารณะ เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องอยู่ในที่สาธารณะตามลำพัง คุณจะมีความกังวล หวาดระแวงเพราะคิดว่าคนอื่นกำลังจับจ้องมาที่คุณ แล้วก็จะเกิดความคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา จนอยากหนีออกจากตรงนั้น 3. พยายามแสร้งทำว่ามั่นใจ คุณจะพยายามทำตัวมั่นใจเสมอ เช่น พยายามเดินหลังตรง ไม่วอกแวก ทำตัวเหมือนเก่ง…
-
เมื่อ PM 2.5 ฝุ่นพิษปกคลุมกรุงเทพ นี่คือ 4 เรื่องที่คุณควรรู้ ว่าจะรับมือมันอย่างไร!?
ขณะนี้ชาวกรุงเทพฯ กำลังประสบปัญหากลุ่มหมอก กลุ่มฝุ่น หรือกลุ่มควันบางอย่างที่ปกคลุมไปทั่วเมือง โดยเจ้ากลุ่มก้อนหมอกฝุ่นควันอะไรพวกนี้ถูกเรียกว่า PM 2.5 ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่า PM 2.5 มันคืออะไร มันมาจากไหน และมันเป็นอันตรายหรือไม่ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับมันกันดีกว่า… 1. PM 2.5 คืออะไร PM 2.5 ฝุ่นอนุภาคขนาดจิ๋ว ที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นผมถึง 25 เท่า เข้าสู่ร่างกายทางโพรงจมูก ก่อนจะเข้าสู่เส้นเลือด และเกิดเป็นโรคต่าง ๆ โดยเฟซบุ๊กเพจ Greenpeace Thailand ออกมาได้เผยแพร่คลิปวิดีโอที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเจ้า PM 2.5 ซึ่งเป็นฝุ่นพิษขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งประกอบไปด้วยสารพิษหลากชนิด ได้แก่ 1. P-A-Hs คือสารพิษชนิดหนึ่งที่ทำให้เป็นมะเร็ง 2. ปรอท ทำลายระบบประสาท ทำให้เป็นอัมพาต มะเร็ง 3. สารหนู ทำให้เป็นโรคผิวหนัง หากถูกสารนี้ จะมีอาการมึนเวียน ตัวชา อยากอาเจียน และ 4. แคดเมียม ที่จะกัดส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ผิวหนัง ปอด กระดูก…
-
“คนข้ามเชื้อชาติ” อาจเป็นสิ่งที่คนนิยมในปี 2018 หรือนี่อาจเป็นเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจใหม่?
บางครั้งเราก็เลือกเพศที่จะเกิดมาไม่ได้ แต่วิถีชีวิตของเราเองก็ไม่อาจถูกกำหนดด้วยเพศสภาพได้เช่นกัน อย่างที่เห็นกันว่า ถึงแม้บางคนเกิดมาเป็นเพศชาย แต่หากว่าจิตใจของเขาเป็นเพศหญิง เขาก็ย่อมเลือกที่ใช้ชีวิตแบบผู้หญิงได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนส่วนมากนั้นยอมรับแล้วกับการข้ามเพศที่เรียกกันว่า “Transgender” แต่ปัจจุบันกลับมีสิ่งที่ล้ำไปกว่านั้น สำหรับคนที่คิดว่าตนเองนั้นจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นคนในชนชาติที่ตนเกิดมา แต่กลับเป็นคนอีกชนชาติหนึ่งอย่างสมบูรณ์ จึงเกิดสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “การข้ามชนชาติ” หรือ “Transracial” ขึ้นมา มีใครเคยสงสัยไหมว่า ที่จริงแล้วบรรพบุรุษของเรามาจากที่ไหนกันแน่? เช่น คุณปู่ หรือคุณปู่ของปู่ หรือเก่ากว่านั้น ที่จริงแล้วเขามี “ชนชาติ” เดียวกับเราหรือไม่ อย่างเช่น ตัวเราเป็นคนไทยแบบนี้ ทวดของทวดเราอาจจะเป็นชาวยุโรปก็ได้นะ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราคงรู้สึกแปลกหากเราจะบอกว่า เราเป็นชาวยุโรป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครทำแบบนั้นหรอกนะ มีหญิงข้ามเพศผิวขาวคนหนึ่งจากเมืองนิวออร์ลีนส์ ในอเมริกา ชื่อว่า Ja Du ซึ่งเมื่อเธอแนะนำตัว เธอจะบอกกับคนอื่นๆ เสมอว่าเธอนั้นเป็นหญิงข้ามเพศที่เป็นชาว “ฟิลิปินส์” หลังจากเรื่องราวของเธอถูกเผยออกไป ไม่มีใครสงสัยเรื่องการข้ามเพศของเธอ แต่ผู้คนกลับตั้งคำถามกับการที่เธอบอกว่าเธอเป็นชาวฟิลิปินส์มากกว่า เพราะเธอดูไม่เหมือนชาวฟิลิปินส์เท่าไหร่ Ja Du (ชื่อเดิม Adam Wheeler)…
-
เสื้อผ้าสุดเจ๋ง ช่วยผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งเต้านมให้แช่น้ำบ่อน้ำร้อนได้เหมือนคนปกติ
ในบ่อน้ำร้อนของญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นบ่อน้ำร้อนตามธรรมชาติหรือว่าอ่างน้ำร้อนในโรงอาบน้ำ ทุกที่จะมีกฎที่คนญี่ปุ่นรู้กันที่ว่า “ทุกคนที่เขามาอาบน้ำ จะต้องเปลือยทั้งตัว” พวกเขาเชื่อว่าการแช่น้ำทั้งๆ ที่ไม่ถอดชุดจะเป็นการทำให้น้ำไม่บริสุทธิ์ และการแก้ผ้าอาบน้ำนั้นไม่มีอะไรต้องอาย ถึงอย่างนั้นทุกเรื่องก็ต้องมีข้อยกเว้นเหมือนกัน บริษัทสิ่งทอในนะงะโนะ ชื่อ Bright Eyes พบว่าผู้รอดชีวิตจากมะเร็งเต้านมมักจะรู้สึกไม่ดีและขาดความมั่นใจเวลาไปบ่อน้ำร้อน เพราะพวกเขามีบาดแผลขนาดใหญ่ที่หลงเหลือมาจากการผ่าตัด ดังนั้น Hitomi Kato ผู้บริหารสูงสุดของ Bright Eyes ผู้ที่เคยเข้ารับการผ่าตัดมะเร็งเต้านมเช่นกัน จึงได้คิดค้นชุดสำหรับอาบน้ำของสาวๆ ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งเต้านมขึ้น และให้ชื่อมันว่า Bath Time Cover (ชุดอาบน้ำปกปิด) เจ้าชุดที่ว่านี้ออกมาวางจำหน่ายสองแบบคือแบบตะขอและแบบสายผูก หน้าตาคล้ายเสื้อชั้นในแบบไหล่ แต่ไม่จำเป็นต้องถอดออกเมื่อเข้าของอาบน้ำหรือบ่อน้ำร้อน เพราะตัวชุดออกแบบมาให้ทำการล้างและถูสบู่ทำความสะอาดร่างกายผ่านเนื้อผ้าได้เลย แถมยังออกแบบมาให้เป็นมิตรต่อความสะอาดของน้ำในบ่อแช่อีกด้วย โดยที่ความสามารถที่ว่านี้ได้รับการยืนยันจากนักวิจัยจาก Shinshu University ในนะงะโนะและได้รับการรับรองจาก กระทรวงสาธารณสุขของรัฐบาลญี่ปุ่น กระทรวงแรงงานและสวัสดิการ กระทรวงกิจการภายใน การสื่อสารและที่ดิน กระทรวงโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม อีกด้วย ตัวชุดนั้นออกแบบมาให้แห้งเร็วจนสามารถเช็ดตัวไปด้วยผ้าขนหนูได้เลยโดยไม่ต้องถอดออก อันที่จริงชุดนี้ก็ออกมาขายเป็นเวลานานกว่า 20 ปีแล้วแต่กลับไม่เป็นที่รู้จักในหมู่คนญี่ปุ่นเท่าที่ควร ดังนั้นเหล่าพนักงานของ Bright Eyes จึงออกไปกระจายข่าวของชุดนี้ในนะงะโนะอยู่เสมอๆ บวกกับการที่รัฐบาลออกมาขอความร่วมมือในการอนุญาตปกปิดร่างกายอาบน้ำ ทำให้ในบัจจุบันสามารถใช้ชุดตัวนี้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว ข้อความที่ใหญ่ที่สุดแปลว่า “น้ำพุร้อนของ Shinshu…
-
ชม ‘ตู้เย็นธรรมชาติ’ อุโมงค์น้ำแข็งใต้ดินขนาดยักษ์ เก็บปลาได้มากโข ผลงานของนักสร้างชาวเยอรมัน
ในสมัยก่อนถ้าหากว่าไม่มีตู้เย็น หรือมีของจำนวนมากมายมหาศาลจนยัดใส่ตู้ไม่ได้จะทำอย่างไร แน่นอน ก็ทำถ้ำขนาดใหญ่ที่อุณหภูมิติดลบ 12 ถึง 14 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปีมาใส่ยังไงล่ะ พูดไปก็เหมือนจะง่าย แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายเลย ก็ใครมันจะไปเสียเวลาทำเรื่องแบบนั้นล่ะ แต่เชื่อไหมล่ะว่า มีคนทำความคิดบ้าๆ นั่นขึ้นมาจริงๆ อุโมงค์นี้ชื่อว่า Merzlotnik สร้างขึ้นโดยการเจาะลึกเข้าไปในชั้นน้ำแข็งใน Novy Port มันเป็นเขาวงกตใต้ดินอันเป็นอนุสาวรีย์แห่งยุคอดีต และผลลัพธ์แห่งชัยชนะของวิศวกรรมเยอรมันผู้สร้างมันขึ้นมาได้ ในสภาวะไม่เอื้ออำนวยอย่างที่สุด ในช่วงปี 1950 Gustav Backmann อัจฉริยะชาวเยอรมันผู้ถูกเนรเทศออกมายังโซเวียต ได้สร้างตัวอุโมงค์ใต้ดินกว้างกว่า 7,000 ตารางเมตร ซึ่งกว้างกว่าทำเนียบขาวของโดนัลด์ทรัมป์ในวอชิงตันดีซีเสียอีก เพื่อใช้เป็นตู้แช่ปลาที่ไม่ว่าจะฤดูไหนก็มีอุณหภูมิติดลบ 12 ถึง 14 องศาเซลเซียส ที่นี่ถูกใช้เป็นที่เก็บรักษาปลาที่จับได้ก่อนที่จะส่งออกไปยังยุโรปตะวันตกซึ่งเป็นรายได้หลักสำหรับสหภาพโซเวียตในสมัยนั้น . . . Backmann ถูกเนรเทศจากเยอรมัน เมื่อตอนอายุได้ 30 ปี ในระหว่างที่มีการบุกโจมตีเมืองเลนินกราด (เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปัจจุบัน) เมื่อปี 1942 หลังจากที่ต้องมาทำงานอยู่ในพื้นที่ของสหภาพโซเวียต และทำงานเกี่ยวกับการส่งออกปลามาเกือบ 8 ปี โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากอาร์กติก เขาก็ได้กลายมาเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิค…
-
ดูการทำงานของ “ทีวีเก่า” ผ่าน “กล้องสโลว์โมชัน” ที่คุณอาจจะไม่รู้ว่า มันแสดงภาพแบบนี้นี่เอง
เพื่อนๆ รู้รึเปล่าว่าโทรทัศน์หรือจอคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้มีหลักการในการทำงานอย่างไร แล้วไอ้ Frame Rate ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ เวลาเล่นเกมมันคืออะไรกันแน่? ก่อนที่จะตอบคำถามพวกนั้นได้ เราคงต้องมาอธิบายหลักการทำงานของหนัง เกม หรือวีดีโอที่เราดูผ่านจอเหล่านั้นกันก่อน ต้องอธิบายกันก่อนว่าภาพที่เราเห็นในจอทีวีนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวอยู่จริงๆ แต่อย่างใด สิ่งที่เราเห็นนั้นแท้จริงแล้วเป็น “ภาพลวงตา” ที่เกิดจากการมองภาพนิ่งที่สลับไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วจนดวงตาของมนุษย์มองไม่ทันต่างหาก ซึ่งยิ่งจำนวนภาพที่เปลี่ยนไปต่อหนึ่งวินาทีมีมากขึ้นเท่าไหร่ ภาพที่เราเห็นก็จะยิ่งรู้สึกลื่นมากขึ้นเท่านั้น จำนานภาพที่แสดงในหนึ่งวินาทีนี้ถูกเรียกกันอย่างติดปากว่า “Frame Per Second” หรือ FPS นั่นเอง แต่โทรทัศน์ โดยเฉพาะรุ่นเก่าๆ นั้นไม่สามารถสร้างภาพลวงตาเหล่านั้นทั้งภาพได้ทันภายในหนึ่งวินาทีโทรทัศน์เก่าส่วนมากจึงใช้ระบบสร้างรูปขึ้นทีละเส้นๆ คล้ายๆ เครื่องปริ้นเตอร์แบบหัวแข็ม และด้วยเหตุผลที่ว่านี้เองทำให้หากไม่ได้ปรับ FPS ของจอโทรทัศน์ให้ตรงกับความเร็วของกล้องไว้ก่อน เวลาเราเอากล้องไปถ่ายวีดีโอหรือรูปภาพโทรทัศน์เราจะเห็นเส้นวิ่งผ่านไปบนจอโทรทัศน์นั่นเอง คราวนี้เราก็มาดูการทำงานของโทรทัศน์ในแบบ Slow Motion กัน โดยหลักการของการถ่ายภาพ Slow Motion คือจับภาพด้วยความเร็วสูงนั่นเอง หลักการคล้ายๆ โทรทัศน์โดยบันทึกด้วยความเร็วกว่า 1600 FPS และนำมาฉายด้วยความเร็วปกตินั่นเอง และเมื่อเพิ่มความเร็วเป็น 2500 FPS เราก็ยิ่งเห็นการเคลื่อนไหวของหน้าจอได้ชัดขึ้น ส่วนเพื่อนๆ ที่อยากดูภาพเคลื่อนไหวของการลากเส้น…
-
เปิดตำนาน Food Taster อาชีพสุดเสี่ยงในอดีต ที่สามารถคร่าชีวิตของคุณได้เลย
เชื่อหรือไม่ว่า ครั้งหนึ่ง ยาพิษ นั้นเป็นอาวุธสังหารที่มีประสิทธิภาพสูงที่คร่าชีวิตผู้คนได้อย่างแยบยล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ทรงอำนาจที่ล้วนมีผู้คุ้มกันอันตรายอยู่รอบตัว ยาพิษนั้นจึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักลอบสังหาร ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเพียงแค่นำยาพิษไปผสมกับอาหารหรือเครื่องดื่มของเป้าหมายก่อนที่เขาจะกินหรือดื่มเข้าไป เพียงเท่านั้น บุคคลที่ต้องการกำจัดก็เป็นอันสิ้นใจ ดังนั้นในยุคสมัยก่อน ความกลัวยาพิษที่ปนเปื้อนมาในอาหารและเครื่องดื่มนั้นได้แพร่กระจายไปทั่ว ผู้สูงศักดิ์และเศรษฐีต่างพากันจ้าง “คนชิมอาหาร” ไว้ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น และความกลัวเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ในยุคสมัยปัจจุบัน… ดังนั้น CatDumb จึงขอพาทุกท่านมาอ่านเรื่องราวอันเป็นตำนานของคนชิมอาหาร ว่าลองได้รับตำแหน่งนี้เข้าแล้ว ชีวิตของคนชิมอาหารจะเป็นอย่างไรกันบ้าง เฮโลตุส (Halotus) – นักวางยาต้องสงสัย เฮโลตุสเป็นคนที่มีชื่อเสียงเนื่องจากเขานั้นเป็นถึงคนชิมอาหารของจักรพรรดิคลอดิอุสแห่งโรมัน (Claudius) เขานั้นทำหน้าที่ชิมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อทดสอบว่ามียาพิษปนเปื้อนมาหรือไม่ ก่อนนำไปถวายให้แก่องค์จักรพรรดิ แต่วันหนึ่งหนึ่งจักรพรรดิคลอดิอุสก็สิ้นใจจากยาพิษที่ติดมากับเห็ดที่เฮโลตุสนำมาถวาย เขาจึงถูกขังในข้อหาปลงพระชนม์โดยความจริงแล้วเป็นฝีมือของพระมเหสีนั่นเอง แต่ต่อมาไม่นานขณะที่จักรพรรดิเนโร (Nero) ขึ้นครองราชย์ เขาก็กลับมาเป็นคนชิมอาหารอีกครั้ง และเมื่อเปลี่ยนยุคสมัยเป็นจักรพรรดิกัลบา (Galba) ผู้ที่ตั้งใจจะฆ่าบ่าวรับใช้ของ อดีตจักรพรรดิเนโรทุกคน แต่เฮโลตุสกลับได้รับการไว้ชีวิต จากนั้นชื่อของเฮโลตุสก็ถูกลืมเลือน คนชิมผู้โชคร้ายของ มาร์ก แอนโทนี (Mark Antony) ไม่ใช่ผู้ชิมทุกคนจะโชคดีอย่างเฮโลตุส…
-
ผลวิจัยเผย “เครื่องดื่มชูกำลัง” ส่งผลเสียต่อวัยรุ่นส่วนใหญ่ ทำให้นอนไม่หลับ-เสี่ยงโรคหัวใจ
เครื่องดื่มชูกำลังนั้นกลายมาเป็นสิ่งที่หลายคนนึกถึงเมื่อต้องการกระตุ้นตัวเองให้ตื่นตัวและมีเรี่ยวแรงทำสิ่งต่างๆ ได้ยาวนานขึ้น เช่น เมื่อต้องอ่านหนังสือดึกดื่นเมื่อใกล้สอบ เมื่อต้องเล่นกีฬาเป็นเวลานาน หรือเพื่อผสมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ตาม หารู้ไม่ว่าการวิจัยปัจจุบันพบแล้วว่า สำหรับเด็กๆ จนถึงวัยรุ่นนั้น การดื่มเครื่องดื่มชูกำลังนั้น เป็นอันตราย ต่อร่างกายมากกว่าที่ใครหลายคนคิด นักวิจัยของ มหาวิทยาลัย Waterloo รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดาได้ทำการศึกษากับวัยรุ่นตั้งแต่อายุ 12 ถึง 24 ปี พบว่า 55% ของเหล่าวัยรุ่นได้รับผลทางลบจากการดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง แม้จะดื่มไม่เกินวันละ 2 ขวดก็ตาม เครื่องดื่มชูกำลังนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่ามีคาเฟอีนสูง และนักวิจัยก็เชื่อว่าการดื่มเครื่องดื่มชูกำลังพร้อมแอลกอฮอล์ หรือดื่มขณะออกกำลังกายนั้นจะทำให้เป็นอันตรายมากขึ้นอีก จึงพยายามเรียกร้องให้มีการจำกัดอายุการซื้อเครื่องดื่นชูกำลัง ศาสตราจารย์ David Hammond หัวหน้าผู้วิจัย กล่าวว่า “เมื่อเทียบกับกาแฟ เครื่องดื่มชูกำลังนั้นมีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่า” “อาจจะเป็นเพราะว่าในเครื่องดื่มชูกำลังนั้นใช้วัตถุดิบที่ต่างจากกาแฟ หรือไม่ก็เป็นเพราะวิธีการดื่ม ที่ดื่มพร้อมแอลกอฮอล์หรือดื่มขณะออกกำลังกาย” ผลของงานวิจัย ซึ่งได้รับการตีพิมพ์จาก Canadian Medical Association Journal วัยรุ่นชาวแคนาดา 2,055 คนถูกขอให้ดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง และผลออกมาว่า วัยรุ่น 24.7% หัวใจเต็นเร็ว 24.1% นอนไม่หลับ พร้อมอาการข้างเคียง…
-
นี่คือ 10 เรื่องจริงเกี่ยวกับ ‘การดูแลสุขอนามัยร่างกาย’ ที่คุณอาจเข้าใจผิดมาโดยตลอด!!
การดูแลความสะอาดและสุขอนามัยของเรานั้น บางคนทำมันเสียจนชินและเป็นกิจวัตรกันเลยทีเดียว แต่ทราบหรือไม่ว่าการดูแลสุขอนามัยในชีวิตประจำวันบางอย่างของเรานั้น ถ้าหากทำไม่ถูกวิธีแล้วล่ะก็ อาจก่อให้เกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดตามมาก็เป็นได้ ดังนั้น วันนี้เราขอนำเสนอ 12 ความจริงเกี่ยวกับการ ‘ดูแลสุขอนามัย’ ที่หลายคน เข้าใจผิด ซึ่งสามารถส่งผลร้ายต่อสุขภาพเราได้ แล้วความจริงเหล่านี้มีอะไรบ้าง เชิญไปรับชมกันเลยดีกว่า… 1. การกัดเล็บช่วยแก้เครียด ความจริงคือ: การกัดเล็บนั้นแม้จะเป็นพฤติกรรมที่ทำตอนเครียด แต่มันไม่ได้ช่วยแก้เครียด แถมมันมีโอกาสทำให้เชื้อโรคมีโอกาสเข้าไปในร่างกายเราได้ แถมยังทำให้เสียบุคลิกอีกต่างหาก ฉะนั้นเลิกกัดเล็บเสียเถอะ 2. การใช้ก้านสำลี (คอตตอนบัทท์) ในการแคะหูนั้นสะอาดกว่า ความจริงคือ: การแคะหูด้วยก้านสำลีนั้นทำให้ขึ้หูของเราส่วนหนึ่งถูกดันเข้าไปในหูมากขึ้น ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่จะนำไปสู่การบาดเจ็บของแก้วหู และสูญเสียการได้ยินในที่สุด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าหากมีปัญหาจริงๆ ควรไปพบแพทย์ อ่านบทความเรื่องไม่ควรใช้ก้านสำลีได้ที่ www.catdumb.com/dont-use-q-tips-064/ 3. ไม่ล้างมือหลังเข้าห้องน้ำเพราะไม่จำเป็นและทำให้เสียเวลา ความจริงคือ: การล้างมือนั้นเป็นวิธีที่ดีและง่ายที่สุดในการป้องกันการเจ็บป่วยที่อาจเกิดจากเชื้อโรค ซึ่งสามารถส่งต่อกันได้หลังจากเข้าห้องน้ำ เพราะฉะนั้นเสียเวลาสักนิดเพื่อสุขภาพของคุณและคนรอบข้างเถอะ 4. ไม่ยอมเปลี่ยนแปรงสีฟันเป็นเวลานาน เพราะใช้ยังไม่พัง ความจริงคือ: แปรงสีฟันนั้นมีการสะสมแบคทีเรียจากการที่เราแปรงฟันแต่ละครั้งไปเรื่อยๆ ทันตแพทย์แนะนำว่าคนเราควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุกๆ 2-3 เดือน หากนานกว่านั้นจะนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพรุนแรงได้ 5. แปรงฟันอย่างไรก็ได้ ตามใจตนเอง ความจริงคือ:…
-
5 วิธีการเอาตัวรอดของแบรนด์ธุรกิจ จากการปรับเปลี่ยนรูปแบบของเฟซบุ๊กในปี 2018
จากกรณีที่พี่ Mark Zuckerberg เจ้าของเฟซบุ๊กได้ทำการปรับเปลี่ยนระบบการแสดงผลที่หน้านิวส์ฟีด ให้มีการโชว์คอนเทนต์หรือโฆษณาของแบรนด์หรือธุรกิจต่างๆ ให้แสดงผลน้อยลง ส่งผลให้โอกาสในการหาลูกค้าหน้าใหม่ๆ ลดลงไปเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่ามันจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจมากมาย เพราะส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ใช้เฟซบุ๊กเป็นพื้นที่ในการทำโฆษณาแทบทั้งสิ้น!! แล้วเราจะมีวิธีอยู่รอดได้อย่างไร!? หากสูญเสียพื้นที่ในการโฆษณาและหาลูกค้า วันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมคำแนะนำจากบทความของเว็บไซต์ Socialmediatoday กันครับ ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าที่พี่ Mark เค้าทำไป จริงๆ ก็เป็นการรับมือกับปัญหาที่เฟซบุ๊กได้เผชิญมายาวนานหลายปี ซึ่งปัญหานั้นก็คือเหล่าคอนเทนต์ด้อยคุณภาพจากแบรนด์ต่างๆ อย่างเช่น Click Bait หรือการ Engagement Baiting (การเรียกร้องให้ผู้ใช้งานมีส่วนร่วมโดยการให้กดไลก์กดแชร์) และเมื่อมองในมุมนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่เหล่าแบรนด์ต่างๆ จะหันมาพัฒนาคอนเทนต์การโฆษณา หรือวิธีการหารายได้ด้วยวิธีที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น จากเหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้มีความเห็นจากนาย James Whatley ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดของบริษัท Ogilvy UK ก็ได้ออกมาให้ความเห็นว่า “หากคุณเป็นสำนักพิมพ์หรือทำคอนเทนต์โฆษณาที่ผลิตแต่ผลงานดีๆ น่าสนใจและมีคุณภาพอยู่แล้ว ขอบอกเลยว่านี่คือโอกาสทองของพวกคุณ” ฉะนั้นการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึ่มของเฟซบุ๊กไม่ได้เป็นจุดจบทุกอย่างของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ หรือเล็กแค่ไหนก็ตาม เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้น!! นั่นหมายความว่า เราจะต้องปรับตัวไปตามการเปลี่ยนแปลงที่เฟซบุ๊กได้วางเป้าหมายเอาไว้ ถ้าหากคุณยังใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นพื้นที่หลักในการเข้าถึงลูกค้าอยู่ล่ะก็นะ… แล้วเราจะต้องทำอะไรกันบ้าง!? เป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยากลำบากมากๆ เพราะคุณจะยอมทิ้งเฟซบุ๊กที่มียูสเซอร์มากถึง 2 พันล้านยูสเซอร์ไปเหรอ?…
-
สาวๆ ควรรู้! 7 อาหารใกล้ตัว ที่อาจจะทำให้ผิวของคุณพังได้โดยไม่คาดคิด
หากว่าคุณอยากจะมีผิวสวยใสไร้ฝ้ากระล่ะก็ คุณควรจะรักษาสุขภาพผิวหนังให้ดี นอกจากการใช้ครีมกันแดดและครีมบำรุงผิวแล้ว การเลือกกินอาหารที่เป็นประโยชน์ก็เป็นปัจจัยหลักในการรักษาสุขภาพผิวเช่นกัน แต่ในบางครั้งอาหารที่เราคิดว่ามันจะช่วยให้เราสุขภาพดีได้ กลับมีผลเสียต่อผิวของเราอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว หากว่าเพื่อนๆ ไม่อยากให้ผิวพังเกินเยียวยาก็ควรจะระวังอาหารต่อไปนี้เอาไว้ด้วย 1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวหนังของเครื่องสำอาง Time Bomb คุณ Michaella Bolder เคยบอกไว้ว่า “การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดต่อผิวหนังของคุณ” นั่นเป็นเพราะหลังจากคุณดื่มแอลกอฮอล์แล้ว มันจะส่งผลให้ฮอร์โมนของคุณทำงานผิดปกติซึ่งเป็นเหตุให้คุณ มีสิว ได้ นอกจากนี้แล้วเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณอ่อนแอลงและลดจำนวน ไมโครไบโอม ซึ่งเป็นแบคทีเรียสำคัญในลำไส้ที่มีผลต่อสภาพผิวของคุณด้วย อีกอย่างหนึ่งการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ทำให้คุณผิวแห้งเนื่องจากขาดน้ำด้วยนั่นเอง ทางที่ดีคุณควรจะจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ไว้แต่พอเหมาะนะ 2. เค้กข้าว อาหารจำพวกเค้กข้าวนั้นหมายถึงของกินใดๆ ก็ตามที่นำข้าวไปแปรรูปเป็นก้อนหรือเป็นชิ้น ซึ่งที่เราจะรู้จักกันดีก็คือแป้งต๊อกของประเทศเกาหลีใช้เป็นวัตถุดิบหลักของต๊อกป๊อกกีนั่นเอง แม้ว่ามันจะดูมีประโยชน์แต่แท้จริงแล้วเค้กข้าวแทบไม่มีส่วนผสมอื่นใดเลยนอกจากแป้งจึงถือว่ามีสารอาหารน้อย แล้วมันก็กินง่ายจนทำให้เราเผลอกินเยอะเกินควรอีกด้วย หากกินเยอะมากเกินไปจะทำให้เราอ้วนและมีริ้วรอยบนใบหน้ามาก ในเค้กข้าวเองก็ยังมี Advanced Glycation End Products (AGEs) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เราดูแก่กว่าวัยแถมยังเป็นต้นเหตุหนึ่งของจุดด่างดำและสิวด้วย 3. ซูชิ น่าเสียดายที่อาหารจานโปรดของใครหลายคนอย่างซูชินั้นมีเกลือในปริมาณมาก จึงทำให้ผิวหนังของเราแห้งเสียได้ นอกจากนี้แล้วโซเดียมในเกลือยังทำให้ผิวของเราบวมน้ำได้อีกด้วย ที่สำคัญคือซูชิมีข้าวอยู่เป็นปริมาณมาก ซึ่งในข้าวนี้มีสารไกลเซมิกอินเด็กซ์ที่ดูดเอาความชุ่มชิ้นจากผิวหนังชั้นนอกออกไปทำให้ผิวหนังแห้งและดูแก่กว่าวัยอันควรด้วย หากต้องไปกินซูซิ เราขอแนะนำให้คุณกินน้ำมากกว่าปกติจะได้ทำให้ผิวชุ่มชิื้นขึ้นเป็นการทดแทน 4. ผลิตภัณ์จากนมวัว …
-
ความจริงสุดมหัศจรรย์เกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์ เรื่องใกล้ตั๊วใกล้ตัว แต่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน!?
ตอนที่เราเรียนชั้นมัธยมศึกษาคุณครูคงจะสอนให้เรารู้จักกับร่างกายมนุษย์ในวิชาชีวศึกษามาบ้างแล้ว ว่าร่างกายของเรานั้นมีอะไรอยู่บ้าง ทำงานอย่างไรบ้าง แล้วแต่ละส่วนมีหน้าที่อะไร วันนี้เรามาทำความรู้จักกับร่างกายของเราให้มากขึ้นกว่าเดิมดีกว่า ยังมีหลายอย่างที่ตอนเรียนคุณครูไม่ได้สอนไว้ เพราะมันไม่ออกข้อสอบ รับรองว่าสิ่งที่เราจะนำเสนอให้เพื่อนๆ ดูต่อไปนี้ไม่มีอยู่ในหนังสือเรียนแน่นอน 1. ตอนที่คุณผู้หญิงกำลังตั้งท้องอยู่ ร่างกายจะยืดหยุ่นได้มากกว่าเดิม 2. ร่างกายของเราสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้เยอะกว่าที่คุณคิด จริงๆ ทุกคนสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้เหมือนกับนักกล้ามระดับโลกเชียวนะ 3. มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวบนโลกที่หลั่งน้ำตาจากความปลื้มปิติได้ สัตว์ชนิดอื่นจะหลั่งน้ำตาเมื่อได้รับความเจ็บปวดหรือเศร้าเท่านั้นแหละ 4. หนึ่งในกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกายเรา ก็คือ ‘ลิ้น’ นั่นเอง 5. ตาดำของเราจะกว้างมากขึ้น เมื่อเรากำลังมองคนที่ชอบอยู่ 6. เด็กทารกส่วนมากเกิดมาพร้อมกับดวงตาสีฟ้า 7. คุณคงรู้อยู่แล้วว่าเราทุกคนมีกลิ่นตัวและลายนิ้วมือที่แตกต่างกัน แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าลวดลายบนลิ้นเองก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลเหมือนกันนะ 8. ตอนที่คุณจาม ความเร็วของอากาศที่พุ่งออกมาจะเร็วถึง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว เร็วอย่างกับรถแข่งเลย! 9. ในร่างกายของคนทุกคน ประกอบไปด้วยอะตอมกว่า 7 พันล้านล้านล้านล้าน ตัวเลยทีเดียว ลองนำมาเขียนเป็นเลขจะได้จำนวน 7,000,000,000,000,000,000,000,000,000…
-
แปลกแต่จริง 9 สาเหตุความตายในอดีต อันมีต้นเหตุมาจากการแต่งกายคร่าชีวิตมนุษย์
โลกนี้มีสาเหตุการตายอยู่มากมายก็จริงอยู่ แต่เพื่อนๆเชื่อหรือไม่ว่า ในสมัยก่อนนั้นมีคนที่เสียชีวิตเพราะเครื่องแต่งกายอยู่เป็นจำนวนมากจนน่าเหลือเชื่อกันเลยทีเดียว ซึ่ง 9 สาเหตุที่เพื่อนๆ กำลังจะได้ชมนั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุการตายจากเครื่องแต่งกายแปลกๆ ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นขอเชิญรับชมได้เลย ใช้เครื่องสำอางที่ทำจากสารตะกั่ว ในยุคของพระราชินี Elizabeth ที่หนึ่งนั้น ความขาวซีดคือสัญลักษณ์ของความงาม (คล้ายๆ กับบ้านเราตอนนี้เลย) ดังนั้นพวกชนชั้นสูงในตอนนั้นจึงทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งผิวที่ขาวสวยกว่าคนอื่น จึงได้ซื้อสารที่ชื่อ Ceruse ซึ่งมีตะกั่วเป็นองค์ประกอบหลักในการแต่งหน้า แน่นอนว่ายิ่งรวยก็ยิ่งเอามาใช้เยอะ ซึ่งคนที่น่าจะรวยและมีอำนาจที่สุดในตอนนั้นอย่างพระราชินี Elizabeth ก็ได้ใช้ไอ้เจ้าสารตัวนี้ในปริมาณที่มาก จนทำให้ผิวเธอดูดซึมสารตะกั่วเข้าไปมากจนเธอถึงกับล้มป่วยและถึงแก่ความตายนั่นเอง แถมให้ว่าในสมัยนั้นผู้หญิงอยากสวยกันมากขนาดหาต้น Belladonna หรือที่รู้จักในชื่อ Deadly Nightshade ซึ่งก็แน่นอนว่าพืชนี้มีพิษสมชื่อ โดยทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ วิงเวียน คลื่นไส้ และตาพร่ามัว มาบดผสมน้ำหยดใส่ตาเพื่อให้ตาดูสว่างสดใสกันอีกด้วย โดนประหารเพราะเอาขนนกผิดชนิดมาติดหมวก ประเทศอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 16 นั้นพยายามสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แบ่งระดับชนชั้น ดังนั้นจึงได้ประกาศให้ คนทุกคนที่อายุเกิน 13 ปีต้องสวมหมวก โดยที่หมวกจะมีขนสัตว์ปีกต่างๆ ติดอยู่ โดยที่คนที่อยู่ในชนชั้นต่ำจะต้องใช้ขน เป็ด ห่าน ไก่ หรือไก่ป่า ส่วนพวกชนชั้นสูงจะติดขน นกยูง นกกระจอกเทศ นกกระยาง หงส์ หรือขนสัตว์ปีก หากคนชั้นต่ำเอาขนของพวกชั้นสูงมาติดจะต้องพบกับโทษประหาร …
-
พจนานุกรมญี่ปุ่นให้ความหมายคำว่า “โอตาคุ” ว่าเป็น “ผู้ขาดสามัญสำนึกทางสังคมทั่วไป”
เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาสำนักพิมพ์ Iwanami Shoten ของญี่ปุ่นได้พิมพ์พจนานุกรมยอดนิยมของญี่ปุ่นที่ชื่อว่า Kojien เป็นครั้งที่ 7 ซึ่งในการพิมพ์ใหม่ครั้งนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงคำศัพท์เก่าๆ และระบุคำศัพท์ใหม่ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยไว้เป็นจำนวนมาก ถึงอย่างนั้นการเปลี่ยนความหมายของคำศัพท์ใหม่ๆ ที่ว่านั้น กลับได้ผลตอบรับที่ไม่ดีเท่าที่ควร โดยที่ทาง Iwanami Shoten นั้นได้ระบุความหมายของ “LGBT” ผิดโดยระบุว่าเป็น “ผู้คนที่มีรสนิยมทางเพศที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่” ซึ่งในส่วนของ Lesbian, Gay และ Bisexual นั้นจริงอยู่ว่าระบุเป็น “รสนิยมทางเพศ” ได้ แต่ Transgender จริงๆ แล้วเป็น “อัตลักษณ์ทางเพศของแต่ละบุคคล” ต่างหาก ครั้งนี้ก็เช่นกันเมื่อกลุ่มแฟนๆ เดนตายของ เกม อนิเมะ หรืองานอดิเรกอื่นๆ หรือที่รู้จักกันว่า โอตาคุ ออกมาแสดงความไม่พอใจกับการให้ความหมายของ โอตาคุ ของสำนักพิมพ์ Iwanami Shoten ที่ระบุว่า “โอตาคุ: 1. วิธีการในการพูดอย่างเคารพถึง บ้านของบุคคลที่พูดด้วย 2. วิธีการในการพูดอย่างเคารพถึง สามีของบุคคลที่พูดด้วย 3. วิธีการในการพูดแทนอย่างเคารพถึง บุคคลที่พูดด้วย 4. (มักเขียนด้วย คะตะกะนะ) คนที่มีความกระตือรือร้นหรือความชอบที่มากผิดปกติเกี่ยวกับสาขา หรือสิ่งของใดๆ เป็นการเฉพาะ แต่มีความสนใจในเรื่องอื่นๆ…
-
ชาร์จมือถือผิด ชีวิตเปลี่ยน!? หญิงสาวเศร้ารูปหาย 33,000 รูป เพราะชาร์จแบตไม่ถูกต้อง!!
ในชีวิตประจำวันของเราต้องใช้โทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟนเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่การรักษาให้มีอายุการใช้งานที่ยืนยาวนั้น หากทำผิดวิธีอาจจะทำให้เกิดความเสียหาย หรือสูญเสียข้อมูลสำคัญไปจนหมดเลยทีเดียว นักเขียนบทความเกี่ยวกับความสวยงามของ Insider ที่มีชื่อว่า Brianna Arps ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการถ่ายรูปเซลฟี่กว่า 33,000 รูป ได้สูญเสียข้อมูลทั้งหมดในโทรศัพท์ของเธอจากการชาร์จแบตอย่างผิดวิธี Arps มักจะชาร์จโทรศัพท์เมื่อแบตเตอร์รี่ต่ำมากๆ เสมอ เธอเปิดเพลงและถ่ายรูปเมื่อแบตเหลือประมาณ 3% จนโทรศัพท์ของเธอดับ หลังจากนั้นก็ก็เสียบเข้ากับที่ชาร์จของเธอ และทำแบบเดิมประมาณ 5 ครั้ง แต่ในครั้งที่ 6 โทรศัพท์ของเธอก็เปิดไม่ติดเมื่อเสียบเข้ากับที่ชาร์จ หลังจากที่รอถึง 25 นาทีและรีเซ็ตเครื่องอีกครั้ง จอโทรศัพท์ของเธอก็ติดขึ้นมาในโหมด Recovery หลังจากที่เชื่อมต่อเข้ากับ iTune และทำตามขั้นตอนที่ได้รับคำแนะนำ เธอก็พบว่าภาพถ่ายกว่า 30,000 รูป ไม่ว่าจะเป็นรูปตอนจบการศึกษา รูปอื่นๆ และข้อมูลสำคัญอีกมากมายของเธอได้หายไปหมดแล้ว ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ Apple ได้อธิบายว่าสาเหตุหลักที่โทรศัพท์ของเธอเข้าสู่โหมด Recovery นั้นอาจเกิดมาจากตัวเครื่องที่ร้อนเกิน หรือพบข้อมูลที่เสียหาย เขาแนะนำว่าให้พยายามหลีกเลี่ยงการใช้งานโทรศัพท์ในการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันหรือถ่ายรูป ในขณะที่เหลือแบตเตอร์รี่เพียงเล็กน้อย การกระทำเหล่านี้อาจจะทำให้เกิดการเขียนโค้ดของโทรศัพท์ที่อาจจะทำให้เครื่องดับ และในระหว่างนั้นอาจจะทำให้โทรศัพท์เข้าสู่โหมด Rocovery…
-
ตีแผ่เบื้องหลัง “ไอดอล” ผ่านสารคดี “โตเกียวไอดอล” ความมุ่งมั่น ความผิดหวัง การแข่งขันและเพศ
ต้องยอมรับว่าตั้งแต่มีการปรากฏตัวของ BNK48 มันก็เริ่มทำให้นิยามของคำว่า “ไอดอล” ในบ้านเราค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละหน่อยๆ จากที่แต่ก่อนต้องน่ารัก เรียนเก่ง หรือเซ็กซี่เพียงอย่างเดียว ก็เริ่มมีมิติอื่นๆ เข้ามาด้วย ทั้งเรื่องของความพยายาม การแข่งขัน มิตรภาพ ความคิดความอ่าน ไหวพริบ เพราะยิ่งไอดอลมีคุณสมบัติเหล่านี้เยอะเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเองมากขึ้น และเพราะมันเริ่มมีการพูดถึงกลุ่มไอดอลอย่าง BNK48 บ่อยขึ้นๆ จนคนในบ้านเราเริ่มมองว่านี่มันคือกลุ่มอะไร? ทำไมถึงมีกฎเกณฑ์เยอะแยะ? ทำไมถึงมีผู้คนให้ความสนใจเยอะขนาดนี้? มันมีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้องหรือเปล่า? ไอ้ที่เกริ่นๆ มามันมีคำตอบหมดเลยในสารคดี “โตเกียวไอดอล” ที่#เหมียวฟิ้นเพิ่งดูไปใน Netflix ต่อไปนี้จะเป็นการสรุปเนื้อหาสำคัญบางช่วงบางตอนนะครับ 1. ในญี่ปุ่นมีคนที่เรียกตัวเองว่าไอดอลราวๆ หมื่นคน มีทั้งกรุ๊ปใหญ่ๆ แบบพวก AKB48, NMB48, SKE48 ไปจนถึงกลุ่มที่เล็กมากๆ ตามเมืองเล็กๆ หรือแม้แต่ไอดอลเดี่ยวๆ ที่มีกลุ่มคนไปดูไม่มากมายอะไรก็ยังมี 2. ในบรรดาไอดอลทั้งหลาย มีไม่น้อยเหมือนกันที่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นไอดอล แต่มองว่านี่คือทางผ่านไปสู่อาชีพนักร้องหรือนางแบบ เลยเลือกที่จะใช้เวทีไอดอลเพื่อฝึกปรือฝีมือ 3.…
-
14 วาทะกรรมของ “Martin Luther King Jr.” ที่ทั้งให้แง่คิด และเปลี่ยนมุมมองต่อโลกของเรา!!
หากพูดถึงบุคคลที่มีอิทธิพลมากพอจะเปลี่ยนความคิดของคนทั้งโลกได้ล่ะก็ หลายคนคงจะนึกถึงยอดมนุษย์ในภาพยนต์ที่มีพลังเหนือธรรมชาติที่พร้อมจะต่อกรกับวายร้ายทั้งปวงได้ แต่ในชีวิตจริงก็มีชายคนหนึ่ง ที่แม้จะไม่มีพลังวิเศษใดๆ แต่ความคิดของเขานั้นก็สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้เช่นกัน เขาคือ Martin Luther King Jr. นักสู้เพื่อความยุติธรรม ที่ทุ่มเทเวลาตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้คน จนเป็นที่รู้จักดีทั่วโลก เขาเป็นผู้นำขององค์กร Southern Christiam Leadership Conference (SCLC) ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนของคนแอฟริกันและคนอเมริกัน Martin Luther King Jr. นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่ต่อสู้ด้วยวิธีสันติเท่านั้น เขาช่วยนำการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความสงบของผู้คน จนเคยได้รับรางวัลโนเบลด้านสันติภาพมาแล้วในปี 1965 แถมยังนำเงินทั้งหมดที่ได้จากรางวัลนี้ไปให้กับกลุ่มสิทธิมนุษยชนอีกด้วย เขาเป็นนักพูดที่มีความสามารถ โดยคำพูดของเขามักจะเปี่ยมไปด้วยพลัง และแฝงไว้ซึ่งแนวคิดดีๆ เสมอ วันนี้เราจึงอยากให้เพื่อนๆ ได้ลองมาฟังคำพูดที่ดังไปทั่วโลกของเขาดู เผื่อว่าทุกคนจะได้รับแรงบันดาลใจและแนวคิดที่ดีจากเขาบ้าง 1. “คำถามที่มีมาช้านานและสำคัญที่สุดในชีวิตคือ ‘คุณได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง?’ “ 2. “ความเชื่อ คือการสร้างก้าวแรกในขณะที่คุณมองไม่เห็นทางเดินข้างหน้า” 3. “ความอยุติธรรมแห่งหนใดก็ตาม เป็นศัตรูต่อความยุติธรรมทั่วโลกทั้งสิ้น” 4. “ชีวิตของเราจบลง เมื่อเราเมินเฉยต่อสิ่งที่สำคัญ” …
-
เปิดตำนาน “เสี่ยเจิ้ง” นักแสดงฮ่องกง กว่าจะโด่งดัง มีนาฬิกาหรูใส่ มันไม่ง่ายเลย!!
ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา มีนักแสดงสัญชาติเอเชียคนหนึ่งซึ่งโด่งดังมากในโลกอินเตอร์เน็ตของประเทศไทย ซึ่งหลายคนคงจะได้เคยผ่านมา เคยเห็นมุกตลกมากมายในโลกโซเชียลเป็นภาพเกี่ยวกับเขากันบ้างแล้ว แต่น้อยคนนั้นที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้วพี่แกเป็นใคร ดังนั้นวันนี้เราจึงจะพา เพื่อนๆ ไปรู้จักกับเขากัน… ชื่อของเขาคือ Kent Cheng Jak-si เขียนเป็นตัวจีนเท่ๆ ว่า 郑则士 หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม เคนท์ เจิ้ง แต่ในบทความนี้เราจะขอเรียกว่า พี่เจิ้ง เลยแล้วกัน พี่เจิ้งของเรานั้นเกิดวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 1951 เขาเป็นดาราหนังและโทรทัศน์ของฮ่องกง ผู้ที่เคยได้รับรางวัล “Hong Kong Film Awards“ มาแล้ว พี่เจิ้งเกิดในครอบครัวจนๆ ครอบครัวหนึ่งในฮ่องกง และมีความฝันตั้งแต่เด็กเลยว่าอยากเป็นนักแสดง แต่เส้นทางนั้นไม่ได้สวยงามโรยด้วยกลีบกุหลาบหรอกนะ เขาเขียนมันลงไปในใบสอบถามของทางโรงเรียน แต่กลายเป็นว่าโดนคุณครูด่าเละ สงสัยคุณครูจะคิดว่าพี่แกหล่อก็ไม่หล่อ พ่อก็ไม่รวย จะเป็นดาราได้อย่างไรละมั้ง!? “ไม่ต้องหน้าเกาหลีตรูก็ดังได้” พี่เจิ้งไม่ได้กล่าวไว้ แต่ด้วยความพยายามอย่างไม่ท้อถอย… – ในปี 1972 เขาได้เข้าทำงานในอุตสาหกรรมโทรทัศน์ แต่ยังไม่ได้เป็นนักแสดง – ปี 1976 ความฝันของเขาก็เป็นจริง เมื่อได้แสดงละครเรื่องแรกทางช่อง…
-
การทดสอบที่ว่า “ความรวย” ทำให้คนเราคบกันเล่นๆ ไม่จริงจัง เป็นเรื่องจริงหรือ!?
ความสัมพันธ์ของคนเรา นับวันยิ่งจะซับซ้อนมากยิ่งขึ้น มีทั้งการคบสั้น คบยาว คบซ้อน คบเล่น หรือคบอะไรก็ตามแต่ มันทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า อะไรกันนะที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้คนเราตัดสินใจว่า จะคบกับใครและรูปแบบไหน จึงได้เกิดการศึกษาหนึ่งซึ่งได้รับการตีพิมพ์โดย Evolution and Human Behavior ขึ้นมา โดยผลสรุปของมันปรากฏออกมาว่า คนเราจะมีความสัมพันธ์แบบไม่จริงจัง (ระยะสั้น) มากขึ้นเมื่อเรารู้สึกว่าเรา “รวย” การศึกษาทดลองนี้เก็บข้อมูลมาจากหนุ่มสาวที่อาสามาเป็นกลุ่มตัวอย่าง (ชาย 75 คน หญิง 76 คน) โดยขั้นตอนการทดลองนั้นคือ การให้เหล่ากลุ่มตัวอย่างทั้งชายและหญิงดู “ภาพคู่เดท” ที่จัดมาให้ 50 ภาพ แล้วจัดกลุ่มภาพเหล่านั้นออกมาว่าต้องการจะคบคนในภาพเป็นระยาว ระยะสั้น หรือไม่คบเลย จากนั้นจึงให้กลุ่มตัวอย่างดู ภาพสิ่งของหรูหรา ต่างๆ เช่น เงิน รถสปอร์ต และเครื่องเพชร อัญมณีทั้งหลาย เป็นต้น เมื่อดูแล้ว ให้กลุ่มตัวอย่างกลับไปเลือกภาพคู่เดทอีกครั้ง จากนั้นจึงสลับกับการฉาย วิดีโอการเลี้ยงลูก แล้วก็ให้กลับมาเลือกคู่เดทอีกครั้ง และสุดท้ายสลับไปฉาย ภาพสัตว์ที่เป็นอันตราย แล้วจึงกลับมาให้เลือกคู่เดทอีกครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ หลังจากที่กลุ่มตัวอย่างดูภาพสิ่งของหรูหราแล้ว…
-
งานวิจัยไขข้อสงสัยว่า ‘เงิน’ สามารถซื้อความสุขให้เราได้จริงๆ หรือเปล่า
หลายคนคงเคยได้ยินใช่ไหมว่า “เงินนั้นไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่าง” หรือ “เงินนั้นซื้อความสุขไม่ได้” และเชื่อว่าหลายๆ ท่านก็คงใช้ประสบการณ์ของตนเองตอบได้ทันทีว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นจริงดังว่าหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนก็จะต้องมีคำตอบเป็นของตัวเอง และเกิดเป็นประเด็นถกเถียงกันในที่สุด วันนี้ คำถามที่ว่า “เงินซื้อความสุขได้หรือไม่?” ได้มีการศึกษากันอย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้ว โดยนักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเออร์ไวน์ ที่ได้ทำการศึกษาว่า ต้องใช้เงินมากขนาดไหนถึงทำให้คนรู้สึกได้ถึงความสุข ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ยังได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร Emotion โดย American Psychological Association อีกด้วย มีงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่ศึกษาถึงรูปแบบการเข้าสังคมแบบมุ่งเน้นตนเอง หรือมุ่งเน้นผู้อื่น จำแนกตามแต่ละชนชั้นทางสังคม โดยภายหลัง นักวิทยาศาสตร์ชื่อว่า Paul K. Piff กลุ่มนักศึกษา และผู้ช่วยวิจัย จึงพยายามจะขยายผลโดยการใช้ข้อมูลรายได้ในครอบครัวของแต่ละคนจากงานวิจัยก่อนหน้ามาใช้เทียบกับการเกิดอารมณ์ต่างๆ ทั้ง 7 ที่เป็นองค์ประกอบของความสุข ได้แก่ อารมณ์ขัน ความกลัว ความเห็นอกเห็นใจ ความพึงพอใจ ความกระตือรือร้น ความรัก และความภาคภูมิใจ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ การที่ได้รายได้สูงนั้นสัมพันธ์กันกับอารมณ์พึงพอใจ ภาคภูมิใจ และอารมณ์ขัน ซึ่งอารมณ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มุ่งเน้นไปยังตนเอง ในขณะที่การมีรายได้ต่ำนั้นสัมพันธ์กันกับอารมณ์ที่มุ่งเน้นไปยังผู้อื่น…
-
ชายวัย 34 ปิดหูปิดจมูกเพื่ออั้นจาม ส่งผลหนักถึงลำคอรั่ว ต้องนอนโรงพยาบาลนานถึง 2 สัปดาห์
ในยามที่เราอยู่ในพื้นที่สาธารณะที่ต้องการความเงียบสงบ เช่น ห้องสมุด โรงภาพยนตร์ หรือบนเครื่องบิน ก็ตาม ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีฝุ่นผงหรือสิ่งใดที่ทำให้เราต้อง “จาม” ออกมาจนก่อให้เกิดเสียงดัง หากคำนึงถึงมารยาทสาธารณะแล้ว หลายคนคงเลือกที่จะ “กลั้นจาม” เอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวนผู้อื่น แต่หารู้ไม่ว่าการกลั้นจามสามารถทำให้คุณถึงกับนอนโรงพยาบาลได้เลยทีเดียว ในวันจันทร์ ที่ 15 มกราคม 2018 ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก แห่งมหาวิทยาลัย Hospitals of Leicester NHS Trust ได้เผยกับ BMJ Case Reports ว่าผู้ป่วยชายอายุ 34 ปี รายหนึ่ง ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลังจากพบว่าเสียงของเขาผิดปกติ ในรายงานกล่าวว่า ผู้ป่วยใช้มืออุดจมูกและปากตนเองก่อนเกิดการ “จามอย่างรุนแรง” จากนั้นเขาจึงรู้สึกได้ว่าเหมือนมีบางอย่างในลำคอพองและแตก การวินิจฉัยในระยะแรกจึงพบว่า มีอากาศถูกกอัดฝังอยู่ที่เนื้อเยื่ออ่อนในลำคอเล็กน้อย เป็นอาการเดียวกับ ภาวะลมในช่องเยื่อหุ้มปอด หากพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือการจามของเขาทำให้คอเขาทะลุเป็นรูเล็กๆ นั่นเอง “ผู้ป่วยบอกว่าเขากลั้นจามเพราะไม่อยากจามออกมาใส่ผู้อื่นหรือแม้แต่ในอากาศ ดังนั้น หมายความว่าเขากลั้นจามมาตลอดราวๆ 30…
-
10 เรื่องจริงเกี่ยวกับ ‘หน่มน้ม’ ที่คุณอาจไม่จำเป็นต้องรู้ แต่รู้ไว้ก็ดี เพราะโม้ให้เพื่อนฟังได้!!
มิตรสหายท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า บนโลกนั้นแบ่งคนเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกคือชอบมองหน่มน้ม และประเภทที่สองคือชอบมองก้น เพื่อนๆ ว่าตัวเองเป็นแบบไหนกัน แต่ที่แน่ๆ ผู้เขียนเป็นแบบแรกล่ะ วันนี้เลยจะเอาข้อเท็จจริงของหน่มน้มมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน 1. ค่าเฉลี่ยของหน่มน้มนั้นเพิ่มขึ้นตลอด อ้างอิงตามการวิจัย ค่าเฉลี่ยขนาดของหน้าอกนั้นเพิ่มขึ้นจาก 20 ปีก่อนจากขนาด 34B ปัจจุบันได้มาอยู่ที่ขนาด 34D แล้ว ซึ่งเหตุผลหลักๆ มาจากการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเพศหญิง 2. หน้าอกข้างซ้ายมักจะใหญ่กว่าข้างขวา มันไม่เหมือนกับที่เราคิดว่าหน้าอกนั้นเท่ากัน ซึ่งปกติแล้วหน้าอกคนส่วนใหญ่นั้นมีขนาดที่แตกต่างกัน แต่เพียงแต่ตาเรานั้นไม่สามารถแยกออกนั่นเอง 3. ทุกๆ คนนั้นชอบมองหน่มน้ม! อ้างอิงตามวารสารการวิจัย Sex Role ผู้ชายและผู้หญิงนั้นมักจะจ้องมองไปที่หน้าอกของผู้หญิงที่เพิ่งพบเจอสักสองสามวินาที 4. หน้าอกจะเคลื่อนตัวถึง 8 นิ้ว ขณะที่กำลังวิ่ง ขณะที่เรากำลังวิ่งนั้น หน้าอกจะมีการเคลื่อนตัวเป็นรูปเลข 8 และทำให้เป็นเหตุผลที่น่าอกขยับขึ้นลงได้ถึง 8 นิ้ว 5. การคลึงหน่มน้ม สามารถทำให้ถึงจุดสุดยอดได้ แม้ว่าผู้หญิงจะสามารถถึงจุดสุดยอดของพวกเธอได้เพียงแค่คลึงเต้านมและหัวนมก็ตาม…
-
สิ่งที่ผู้คนเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับ ‘การปั๊มหัวใจ’ ไม่ได้ช่วยทำให้หัวใจหยุดเต้นกลับมาตามปกติได้
ในนาทีชีวิต ที่ผู้ป่วยกำลังจะหมดลมหายใจลง เราก็เคยอาจจะเห็นอุปกรณ์ที่ชื่อว่า ‘เครื่องปั๊มหัวใจ’ ช่วยชีวิตของผู้คนมาแล้วมากมาย แต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วเครื่องปั๊มหัวใจไม่สามารถทำให้หัวใจที่หยุดเต้นแล้วสามารถกับมาทำงานได้ อีกทั้งยังมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับเจ้าเครื่องนี้เกิดขึ้นอย่างมากมาย และในวันนี้ทางเพจที่มีชื่อว่า 1412 Cadiology ก็ได้นำความจริงเกี่ยวกับเครื่องช่วยชีวิตอันนี้ มาให้หลายคนได้ทราบถึงความสามารถจริงๆ ของมันกัน ซึ่งบางทีสิ่งที่เราเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องนี้มาตลอด อาจจะเป็นสิ่งที่ผิดก็เป็นได้ และความจริงที่ว่านั้นจะเป็นอย่างไร ก็ไปเรียนรู้พร้อมๆ กันเลยดีกว่า เครื่องปั๊มหัวใจสามารถทำให้หัวใจที่หยุดเต้นแล้ว กลับมาเต้นอีกครั้งได้จริงหรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่จริง เพราะว่าหัวใจที่หยุดเต้นลงไปแล้ว ไม่ว่าจะใช้กระแสไฟฟ้าแรงสูงขนาดไหน ก็ไม่สามารถที่จะทำให้มันกลับมาเต้นได้อีกครั้งหนึ่ง แล้วทำไมคุณหมอจึงเอาไฟฟ้ามาช๊อคใส่คนไข้กันล่ะ ที่เราเห็นคุณหมอนำกระแสไฟฟ้ามาช๊อคใส่คนไข้ก็เพราะว่า ต้องการจะทำให้หัวใจที่เต้นเร็วเกินไปกลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากหัวใจที่เต้นเร็วเกินไป จะทำให้หัวใจไม่สามารถบีบเลือดออกไปได้นั่นเอง เต้นเร็วเกินไปแล้วเอาไฟฟ้ามาช๊อคใส่ทำไมอีก นั่นก็เป็นเพราะว่าสาเหตุหนึ่งที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีหัวใจเต้นเร็วเกินไป ก็คือไฟฟ้าลัดวงจรในหัวใจ และการที่เรานำไปไฟฟ้าไปช๊อคนั้น ก็เพื่อจะให้เซลล์ทุกเซลล์ในหัวใจถูกกระตุ้น และเข้าสู่ระยะพักฟื้นพร้อมกันทั้งหมด เหมือนการรีเซ็ตเพื่อทำงานใหม่พร้อมๆ กันก็ว่าได้ ถ้าอย่างงั้นก็แสดงว่าการรักษาผู้ป่วยที่หัวใจหยุดทำงาน การช๊อคหัวใจต้องรีบทำให้เร็วที่สุดล่ะสิ ถูกต้องครับ ซึ่งหากเป็นเหตุการณ์ที่ฉุกเฉินเราก็อาจจะใช้การกดหน้าอกบีบเลือดออกจากหัวใจซื้อเวลาไปก่อน และต้องทำการช๊อคหัวใจให้เร็วที่สุดแต่ไม่ใช่ลากเครื่องมาแล้วช๊อคไฟฟ้าทุกราย เราลากเครื่องมาเพื่อตรวจให้แน่ใจว่าหัวใจหยุดทำงานจากหัวใจเต้นเร็วเกินไปจริงรึเปล่า ถ้าใช่ถึงจะสามารถทำการช๊อคได้ …
-
เรื่องราวชีวิตเส้นทางลูกหนังของ Ronaldinho จากวันแรกจนวันสุดท้าย ชายผู้เตะฟุตบอลด้วยรอยยิ้ม
หากกล่าวถึงชื่อ ‘โรนัลโด้’ เหล่าแฟนๆ คอบอลทั้งหลายคงคิดว่าในบรรดาเหล่านักเตะที่ดีที่สุดในโลกนั้นมีอยู่แค่ 2 คน ซึ่งก็คือ R9 และ CR7 เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วยังมีอีกคนหนึ่ง ชายผู้นั้นก็คือ โรนัลโด้ เดอ แอสซิส โมเรย์ร่า (Ronaldo de Assis Moreira) หรือที่เรารู้จักกันในนาม เจ้าเหยินน้อย โรนัลดิญโญ่ นั่นเอง ในวงการฟุตบอลเขาคือชายผู้ที่มีแต่คนรัก เพราะความรักที่มีต่อฟุตบอลจากใจจริงทำให้เขามักจะยิ้มแย้มเสมอเมื่ออยู่ในสนาม…. เรื่องราวของ โรนัลดิญโญ่ เริ่มต้นขึ้นในปี 1980 ที่เมือง Porto Alegre ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศบราซิล ในยุคสมัยที่สภาพสังคมไม่ค่อยสู้ดีนัก, การคอร์รัปชัน, อาชญากรรม, และ การแบ่งชนชั้นทางสังคม ครอบครัวของเขาเรียกได้ว่าอยู่ในชนชั้นกลาง มีสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด 4 คนด้วยกัน คือพ่อ แม่ ตัวเขา และพี่ชายที่มีอายุมากกว่า 9 ปี ภายหลังคุณพ่อของเขาได้เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลวฉับพลัน ส่งผลให้แม่ที่ทำอาชีพเป็นนางพยาบาลต้องเป็นคนหาเงินเข้าบ้านเพียงลำพัง แรงบันดาลใจที่ทำให้โรนัลดิญโญ่หันมาสนใจฟุตบอลนั้นมาจาก โรแบร์โต้…
-
6 สัญญาณบ่งบอกว่า “ตับ” ไม่สามารถทนรับ “ไลฟ์สไตล์” คุณได้อีกต่อไป เปลี่ยนด่วน!!
ไลฟ์สไตล์ของเพื่อนๆ บางคนอาจทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมาได้ โดยเฉพาะเพื่อนๆ ที่ชอบออกไปสังสรรค์ดื่มแอลกอฮอล์ยามดึกบ่อยๆ แน่นอนว่าอวัยวะที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็ย่อมต้องเป็น “ตับ” นั่นเอง วันนี้ #เหมียวตะปู แปลบทความสาระน่ารู้จากเว็บต่างประเทศ ที่พูดถึง 6 สัญญาณอันตรายต่อร่างกายเรา และสามารถสังเกตตนเองได้ว่า ตับของเรากำลังอยู่ในขั้นวิกฤต และควรจะเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของตัวเองกันได้แล้ว… 1. รู้สึกว่าในหัวยุ่งเหยิงไปหมด เวลาที่ตับของเราทำงานหนักจนเกินไป จะทำให้ระบบการกรองเลือดในร่างกายของเราแย่ลง ส่งผลให้มีสารพิษต่างๆ นั้นปะปนไปสู่สมองได้มากกว่าคนปกติ อาการดังกล่าวเราสามารถสังเกตได้จากความรู้สึกสับสน มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ และตัดสินใจอะไรต่างๆ ได้ยากยิ่งขึ้น 2. น้ำตาลในเลือดต่ำ หนึ่งในหน้าที่ของตับคือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ดังนั้นเวลาที่ตับมีปัญหา ระดับน้ำตาลในเลือดของเราก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ ฉุนเฉียวง่าย และไม่มีสมาธิในการทำสิ่งต่างๆ 3. ฮอร์โมนไม่มีความสมดุล ตับคืออวัยวะที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนเพศของเรา การทำงานของตับที่ผิดปกติจึงอาจทำให้ระบบฮอร์โมนเอสโตรเจน และเทสโทสเตอโรนของเรามีความไม่สมดุล จนอาจเกิดปัญหาร้ายแรงอย่างการขาดความต้องการทางเพศไป หรือมีอาการก่อนเป็นประจำเดือนที่รุนแรงมากกว่าเดิม 4. อารมณ์แปรปรวน ปัญหาในเรื่องของความจำและอารมณ์ที่แปรปรวนอาจเกิดจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับตับ อีกทั้งยังอาจส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า ซึ่งหากใครสังเกตอาการของตัวเองแล้วคิดว่าน่าจะเป็น ก็ควรเข้ารับการตรวจรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในทันที 5. ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน หลายๆ คนอาจเชื่อว่าการที่เราเป็นหวัดได้ง่ายหรือติดเชื้ออยู่บ่อยๆ…
-
อยู่กันมาตั้งหลายปี เคยสงสัยกันมั้ยว่าทำไม ‘คริสต์มาส’ ถึงต้องฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม?
ถ้าหากมีคนถามว่าทำไมเราฉลองคริสต์มาสกันในวันที่ 25 ธันวาคม เชื่อว่าคนไทยกว่าครึ่งจะต้องตอบว่าเพราะเป็นวันประสูติของพระเยซูกันอย่างแน่นอน แต่เชื่อไหมล่ะว่าความเชื่อนี้ที่ว่าพระเยซูประสูติในวันนี้นั้น ไม่มีเขียนอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลเลยแม้แต่น้อย ถ้าอย่างนั้นมีหลักฐานอะไรมาบอกไหมล่ะว่าวันคริสต์มาสไม่ใช่วันประสูติพระเยซู สารานุกรมคาทอลิกระบุไว้ว่า “ไม่มีเดือนใดในปีที่เจ้าหน้าที่ผู้มีเกียรติ ไม่ได้ตั้งให้เป็นวันประสูติพระคริสต์” อีกสาเหตุหนึ่งที่บอกว่าพระเยซูไม่ได้ประสูติในเดือนธันวาคมคือ คัมภีร์ไบเบิลบท ลูกา 2:8 ที่ว่าในระหว่างที่พระเยซูได้ประสูติ “ไม่ไกลจากที่นั่น มีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งกำลังเฝ้าฝูงแกะตอนกลางคืน” ตามปกติแล้วจะไม่มีคนเลี้ยงแกะพาแกะออกมาในฤดูหนาว ลูกา 2:1-4 ยังบอกอีกว่า โยเซฟพามารีย์ไปจดทะเบียนที่เมืองเบธเลเฮมในตอนที่ออกัสตัสซีซาร์ออกคำสั่งให้ทุกคนทั่วอาณาจักรไปจดทะเบียนสำมะโนครัว และเป็นเวลาเดียวกับที่พระเยซูประสูติ คำสั่งที่ว่าไม่ได้ออกมาในฤดูหนาว ถ้าอย่างนั้นแล้ว ในวันที่ 25 ธันวาคม มีอะไรมันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ ในสมัยของศาสนาโบราณ วันนี้เป็นวันเลี้ยงฉลองพระเสาร์และวันประสูติของ เทพแห่งดวงตะวัน Mithra เดิมทีแล้ววันเลี้ยงฉลองพระเสาร์จะเริ่มจากวันที่ 17 ธันวาคม แต่ก็มีการยืดงานไปจนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ชาวโรมันโบราณเชื่อว่างานเลี้ยงฉลองนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพแห่งการเก็บเกี่ยวและการเลี้ยงสัตว์ ส่วน Mithra นั้นเชื่อกันโดยชาวโรมันโบราณว่าเขาประสูติในวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันศักดิ์สิทธิ์จากศาสนาโบราณจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม Mithras แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดมาจากทางเปอร์เซีย ในช่วง 6 ศตวรรษก่อนคริสตกาลนั่นเองภาษายุคเก่าเรียกท่านว่า Mitra และเพี้ยนเป็น Mithras ในภาษาโรมันในที่สุด ว่ากันว่าคนโรมันพบเรื่องของเทพองค์นี้ตอนบุกไปเปอร์เซีย ปีใหม่ของผู้นับถือ Mithras และวันประสูติของท่านจะถูกจัดในวันเดียวกันคือวันที่ 25…
-
ที่มาของ “เฮนน่า” ศิลปะบนเรือนร่างจากยุคโบราณ ที่ยังมีศิลปินอนุรักษ์ไว้จนถึงทุกวันนี้
สำหรับใครที่ชื่นชอบงานศิลปะบนเรือนร่าง ไม่ว่าจะเป็นการสักหรือการเพนต์ร่างกาย คงจะคุ้นเคยหรือได้ยินชื่อการสักด้วยหมึกที่สามารถจางออกเองได้อย่างการสัก “เฮนน่า” กันมาบ้างแน่ๆ อันที่จริงแล้วการสักแบบนี้ไม่ใช่ศิลปะที่เพิ่งเกิดขึ้นมาบนโลกนี้หรอกนะ แต่มันถือว่าเป็นหนึ่งในศิลปะจากยุคโบราณเลยทีเดียว และวันนี้เราจะขอพาทุกคนไปรู้จักกับต้นกำเนิดของงานศิลปะชิ้นนี้กัน!! เฮนน่ามาจากไหนกันนะ!? อันที่จริงนั้นเฮนน่าคือชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ในพื้นที่ของทวีปแอฟริกาและทางตอนเหนือของทวีปเอเชีย โดยดอกของเจ้าพันธุ์ไม้ชนิดนี้มักนิยมนำมาใช้ในการทำน้ำหอม ส่วนใบของมันนั้นมักจะนำมาใช้สกัดเป็นสารเรียกว่า Lawsome ที่มีลักษณะเป็นสีส้มหรือแดงเข้ม โดยคุณประโยชน์ของเจ้าสารสกัดที่ว่านี้ก็มีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการใช้สำหรับลดไข้ ทำให้หลับสบาย รักษาอาการปวดหัว รวมถึงย้อมสีผมและผิวได้อีกด้วย ประวัติของการสักเฮนน่า เมื่อประมาณ 1,000 ปีที่แล้ว ศิลปะการสักเฮนน่านั้นเริ่มต้นขึ้นในแถบประเทศอินเดีย แอฟริกาและทางเอเชียตะวันออก แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานที่ระบุว่าประเทศใดเป็นผู้เริ่มต้นการใช้หมึกจากต้นไม้นี้สำหรับการทำงานศิลปะบนเรือนร่าง แต่มีหนึ่งข้อสันนิฐานที่น่าสนใจเผยว่าการใช้หมึกดังกล่าวนั้นน่าจะมีการพัฒนามาจากแถบทะเลทราย เนื่องจากการสักเฮนน่าที่ผิวหนังนั้นจะช่วยทำให้รู้สึกเย็นขึ้น การสักด้วยหมึกดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมาก ในหมู่ของชาวฮินดูและมุสลิมเองก็มีการทำศิลปะบนเรือนร่างนี้สำหรับในงานฉลองหรือวันสำคัญทางศาสนาต่างๆ ในประเทศอินเดียนั้นพวกเขาจะเรียกวันก่อนจัดพิธีแต่งานว่า “Night of Henna” ซึ่งในวันดังกล่าวนั้นเพื่อเจ้าสาว และฝ่ายหญิงในครอบครัวของเธอจะมีการสักเฮนน่าตามร่างกาย ตามความเชื่อว่าจะเป็นการมอบความโชคดีให้กับคู่บ่าวสาว นอกจากในประเทศอินเดียแล้ว เฮนน่ายังถูกนำไปผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมอื่นๆ และมีการออกแบบลวดลายที่สื่อความหมายแตกต่างกันออกไปอีกด้วย อย่างเช่นในแอฟริกานั้นรูปแบบของรอยสักดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นรูปทรงเรขาคณิตและมีความหนา ส่วนการออกแบบของชาวอาหรับนั้นจะเน้นลวดลายที่ละเอียดอ่อนและมีลวดลายที่สื่อถึงผู้หญิง การสักเฮนน่าที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ . ที่มา mymodernmet
-
โศกนาฏกรรมอันเป็นเบื้องหลังเพลง Zombie ของ The Cranberries ที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน
เรื่องราวที่น่าเศร้านั้นสามารถเกิดขึ้นได้เสมอรอบตัวเรา โดยไม่มีใครทราบว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับใครและเมื่อไหร่ บางครั้งเหตุการณ์เลวร้ายก็อาจเกิดขึ้นโดยที่เราไม่คาดคิด จนทำให้เราตราตรึงกับภาพเหตุการณ์น่าเศร้าที่เกิดขึ้น เริ่มต้นปี 2018 มาไม่ทันไร ก็มีข่าวร้ายอันน่าเศร้าเกิดขึ้นเสียแล้ว เมื่อนักร้องสาวชาวไอริช Dolores O’Riordan นักร้องนำแห่งวง The Cranberries ได้เสียชีวิตในวัย 46 ปี ผลงานชิ้นสำคัญที่ทำให้ Dolores และ The Cranberries โด่งดังก็คือบทเพลงที่ชื่อว่า “Zombie” ที่ปล่อยออกมาในปี 1994 ซึ่งเพลงนี้ก็ได้กลายเป็นเพลงมีชื่อเสียงไปทั่วโลกที่แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก เพลง Zombie นอกจากจะเป็นเพลงที่ติดหูใครหลายๆ คนแล้ว เบื้องหลังของเนื้อหาในเพลงยังเป็นสิ่งที่น่าสนใจอีกด้วย เพราะที่มาที่ไปของมันนั้นเกิดจากโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจริงในประเทศอังกฤษ แต่ก่อนที่เราจะลงลึกไปยังเบื้องหลังของบทเพลง เราไปฟังเพลง Zombie แบบเต็มๆ กันก่อนดีกว่า ในวันที่ 20 มีนาคม 1993 มีระเบิดถูกวางซ่อนไว้ในถังขยะ ในเมืองวอร์ริงตัน โดยชนกลุ่มน้อยชาวไอริช การระเบิดทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายสิบราย และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือมีผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นเด็กชาย Tim Parry วัย 12 และ Jonathan Ball วัย 3…
-
15 เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ กับการมีประจำเดือนและความขมขื่น ที่ผู้หญิงในอดีตยากจะหลีกเลี่ยง
ในอดีตกาล วิทยาศาสตร์หรือความรอบรู้ยังไม่เจริญก้าวหน้าเท่ากับปัจจุบัน จึงทำให้เกิดความเชื่อหลายๆ อย่างที่ผิดไปจากความเป็นจริง อย่างเช่นความเชื่อในเรื่องประจำเดือนของผู้หญิง ช่วงก่อนศตวรรษที่ 19 แพทย์ในยุคนั้นเชื่อว่าผู้หญิงหลั่งเลือดออกมาเพื่อระบายความร้อน อารมณ์และความรู้สึกที่ผิดปกติ ซึ่งมันผิดไปจากความเป็นจริงที่เกี่ยวข้องกับการตกไข่ แต่คนในยุคนั้นไม่เคยรับรู้ถึงเรื่องนี้มาก่อน นอกจากความเชื่อแบบนี้แล้ว ยังมีความเชื่อหรือตำนานแปลกๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของประจำเดือน เราลองไปรับรู้พร้อมๆ กันเลยยย 1. ชาวโรมันโบราณเชื่อว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนคือแม่มดมนต์ดำ นักปรัชญาชาวโรมัน Pliny The Elder บอกว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนจะสามารถบังคับพายุฝนฟ้าคะนอง ลมบ้าหมู ฟ้าผ่า และความแห้งแล้งอุดมสมบูรณ์ได้ รวมถึงเวทมนตร์ที่ใช้ป้องกันตัวอย่างการฆ่าสัตว์ที่จะเข้ามาทำร้ายเพื่อแค่การมอง เลือดเมนส์ที่ไหลออกมาก็ยังเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดหมาบ้าขึ้นมาอีกต่างหาก 2. ชาวอียิปต์โบราณนำกระดาษพาไพรัสแบบอ่อนมาใช้เป็นผ้าอนามัยแบบสอด ชาวอียิปต์ใช้กระดาษดังกล่าวพันรอบๆ แท่งไม้เพื่อใช้เป็นผ้าอนามัยแบบสอดและช่วยในเรื่องของการคุมกำเนิด ในขณะที่ชาวโรมันใช้ขนสัตว์ในการทำผ้าอนามัยแบบเดียวกัน 3. ชาวยุโรปในยุคกลางจะเผาคางคกเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดียิ่งขึ้น นักประวัติศาสตร์ Amy License บอกถึงวิธีการที่ง่ายมากๆ เพียงแค่จับคางคกมาเผาในหม้อ แล้วนำขี้เถ้าของมันไปใส่ถุงเอาไว้ โดยพกพาถุงที่ใส่ขี้เถ้านั้นให้มันอยู่ใกล้ๆ กับช่องคลอด เท่านี้เลือดลมก็ไหลเวียนดีขึ้นแล้ว 4. ชาวฝรั่งเศสเชื่อว่าการมีเพศสัมพันธ์ตอนที่เมนส์มาจะทำให้มีสัตว์ประหลาดคลอดออกมา ตามข้อมูลจาก The Curse: A Cultural…
-
นักชีววิทยาออกสำรวจป่าฝน พร้อมกับภาพเหล่าพืชพันธุ์สุดแปลก แต่เต็มไปด้วยความงาม…
นักชีววิทยาได้คาดประมาณจำนวนสปีชีส์ของเชื้อราได้ราวๆ 120,000 ชนิดบนโลกใบนี้ ซึ่งทำให้มีสิ่งมีชีวิตอีกนับล้านให้เราได้ค้นหา จึงควรรีบถ่ายรูป เก็บข้อมูลไว้ก่อนที่จะสายเกินไป สปีชีส์ส่วนใหญ่ที่ยังไม่สามารถอธิบายได้อาศัยอยู่ในเขตร้อน ซึ่ง Danny Newman และ Roo Vandegrift ผู้ศึกษาเกี่ยวกับเชื้อราและเห็ดได้เดินทางไปเพื่อศึกษาและเก็บข้อมูลในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ในปี 2014 ทั้งคู่ได้เดินทางไป Reserva Los Cedros หนึ่งในลุ่มน้ำที่ไม่ได้มีการจดบันทึกไว้สุดท้ายของ เทือกเขาแอนดีสทางด้านตะวันตก พวกเขาได้ทำการถ่ายภาพทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็น ตั้งแต่นั้นมา รัฐบาลของประเทศเอกวาดอร์ก็ได้มีการประกาศว่าจะเปิดสถานที่นี้ให้กลายเป็นเหมืองแร่ ส่วนพื้นที่ที่มีเห็ดแปลกๆ ขึ้นก็จะถูกทำลาย “การระบุและอธิบายเชื้อราที่หายากนั้นจะช่วยแสดงให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อมตรงนั้น และความสำคัญของบทสนทนานี้” Newman พูดถึงโปรเจกต์ของเขา . จากการที่เป็นส่วนหนึ่งของผู้อยู่อาศัยในเดือนมกราคม ที่มหาวิทยาลัยโอเรกอน Newman ก็กำลังศึกษาเพื่อเรียงลำดับของ DNA ของเชื้อรากว่า 350 ชนิด และกำลังต้องการความช่วยเหลือจากสังคมในเรื่องของงบประมาณค่าใช้จ่าย . . . . . ถ้าสนใจ สามารถรับชมเพิ่มเติมได้ที่ Mushroom Observer…
-
“Reckless” เจ้าม้าผู้กลายเป็นฮีโร่ในสงครามเกาหลี และวีรกรรมของมันจะถูกจดจำไปอีกนานแสนนาน
ในสงครามเกาหลีนั้น สหรัฐอเมริกาได้รบต้านทานศัตรูที่ด่านเวกัสในขณะกำลังถอยทัพ เสียงแห่งการต่อสู้ดังราวกับ “ทอร์นาโด 20 ลูกกำลังถาโถม” ที่เกิดจากอาวุธยุโธปกรณ์ของกองทัพเรือซึ่งกำลังขับไล่กองทัพจีนออกไปในวันที่ 27 มีนาคม 1953 ขณะที่ยืนหยัดปกป้องด่านเวกัสด่านที่ตั้งชื่อขึ้นเพราะการปกป้องที่ยากไม่ต่างอะไรจากการพนันเลย เหล่าทหารก็ปลื้มปีติเมื่อมองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยปรากฏออกมาจากม่านควันที่ปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ ในวันนั้นทั้งวันเพื่อนทหารของพวกเขาได้ทำการฝ่าเข้าไปในกลุ่มควันมรณะนั้น เพื่อนำกระสุนและขวัญกำลังใจกลับมาให้ การเดินทางไปมา 51 รอบเพียงลำพัง ผ่านทุ่งนาไร้ผู้คน ผ่านเขาชัน ต่อสู้กับธรรมชาติจนคอและขาล้าเต็มทีก็เพื่อนำกระสุนมาส่งให้แก่หน่วยรบ โดยทหารในกองทัพรู้ดีถึงวีรกรรมกล้าหาญของทหารที่ีไม่ธรรมดาผู้นี้ เพราะว่าเธอคนนั้นไม่ใช่มนุษย์แต่เป็น “ม้า” ม้าตัวนี้ชื่อ “Reckless” ตลอดชีวิตในสมครามของมัน มันได้ขนของไปมาบนเขา และอพยพผู้บาดเจ็บลงเขาไปรักษา มันโดนกระสุนเข้าสองนัด และมีครั้งหนึ่งที่มันสวมชุดป้องกันและได้เข้าไปปกป้องทหาร 4 นายจากสะเก็ดระเบิด “ม้าเป็นสัตว์นักสู้ แต่ Reckless วิ่งฝ่าอันตรายไปอย่างนั้น เพราะมันรู้ว่ามีคนต้องการมันอยู่” Robin Hutton นักเขียน Sgt. Reckless: America’s War Horse กล่าว แม้ว่ามันจะเป็นม้าชั้นยอดแต่มันก็ไม่ได้เกิดมาเป็นสัตว์ขนสัมภาระ แรกเริ่มมันเกิดในสนามม้ากรุงโซล ประเทศเกาหลี มีขนสีน้ำตาล ซึ่งมันเคยมีชื่อว่า “Ah Chim Hai” ที่แปลว่า “เปลวเพลิงแห่งรุ่งอรุณดิ์”…
-
11 พิธีกรรมการ ‘พรากชีวิตคน’ เมื่อบุคคลเหล่านั้นไม่ได้มองเห็นคนข้างๆ เป็นมนุษย์เหมือนกัน…
การนำสัตว์หรือมนุษย์ไปใช้เป็นเครื่องบูชายัญเป็นสิ่งที่เราสามารถพบเห็นได้จากประวัติศาสตร์เก่าแก่ ซึ่งในปัจจุบันวิธีการทำนองนี้ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่เราสามารถยอมรับได้ ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ที่ช่วยแก้ปัญหาหลายๆ อย่างได้ บวกกับความโหดร้ายป่าเถื่อน พิธีกรรมเหล่านั้นจึงเริ่มหายสาบสูญไปจนหมด วันนี้เราจะชวนให้ทุกคนลองย้อนกลับไปดูว่า ในสมัยอดีตกาลเคยมีพิธีกรรมหรือวิธีการฆ่ามนุษย์แบบไหนบ้าง และมันเลวร้ายมากขนาดไหน ว่าแล้วก็ลองไปอ่านเรื่องราวทั้งหมดนั้นกันเลย 1. จากคำบอกเล่าของนักคิดชาวโรมันในสมัยก่อนที่ชื่อ Strabo เขาบอกว่าชาวเซลติกโบราณที่อาศัยอยู่บนเกาะอังกฤษ ใช้วิธีการจับสัตว์และมนุษย์มาผูกไว้กับหุ่นฟางแล้วเผาทั้งเป็น โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นเครื่องบรรณาการบูชาพระเจ้า ซึ่งนักโบราณคดีในปัจจุบันยังไม่สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้ เพราะมันอาจเป็นการเป่าหูทำให้ชาวเซลติกกลายเป็นคนเถื่อนเท่านั้นเอง 2. ชาวโรมันสมัยก่อนได้คิดวิธีการลงโทษผู้คนอย่างโหดร้ายและพยายามทำให้มันเหมือนเป็นเรื่องตลก โดยจะจำลองให้คนเหล่านั้นตายเหมือนเทพที่อยู่ในตำนานปรัมปรา อย่างการเผาทั้งเป็นให้เหมือนกับ Hercules บางคนถูกล่ามโซ่แล้วฉีกเอาอวัยวะภายในออกมาเหมือนอย่างที่เทพ Prometheus ต้องเจอ ผู้หญิงบางคนถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์กับกระทิง เหมือนอย่างเทพผู้เป็นมารดาของกระทิงทั้งปวง Pasiphae ซึ่งหากผู้หญิงคนนั้นสามารถรอดชีวิตมาได้ เธอก็จะถูกฆ่าอยู่ดี 3. ชาวกรีกโบราณมีเครื่องประหารชนิดหนึ่งชื่อว่า The Brazen Bull ทำจากทองแดงและมีลักษณะรูปร่างเหมือนกระทิง วิธีการใช้งานก็คือให้คนโดนลงโทษเข้าไปอยู่ข้างใน แล้วจึงจุดไฟเผาจากด้านนอกจนถึงแก่ความตาย ระหว่างนั้นเสียงที่ร้องโหยหวนออกมาจะเหมือนกับเสียงร้องไห้ของกระทิง 4. ในประเทศญี่ปุ่นจะมีความเชื่อที่เรียกว่า Hitobashira โดยจะฝังคนเป็นๆ ลงไปข้างใต้พื้นหรือในกำแพงของสิ่งปลูกสร้าง เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นสำเร็จลงได้ด้วยดี ซึ่งคนที่ถูกฝังส่วนใหญ่จะเป็นอาสาสมัคร อย่างเช่นเหล่าซามูไรที่ต้องการใช้จิตวิญญาณ อยู่เฝ้ารักษาปราสาทหรือวัดต่างๆ 5. ในหลายๆ…
-
5 ภาพยนตร์เกี่ยวกับ “ครู” เนื่องในวันครูแห่งชาติ ที่แนะนำว่าควรหามาชมให้ครบ..!!
คุณครู คือคนที่ช่วยขัดเกลาความรู้ หยิบยื่นสิ่งดีๆ ให้กับนักเรียนทุกคน ช่วยส่งเสริมให้เราเป็นคนดี สามารถก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างสมบูรณ์พร้อม เพราะครูไม่ใช่คนที่มอบให้แต่ความรู้จากหนังสือหรือในห้องเรียน แต่พวกเขาคือคนที่ช่วยสนับสนุนและผลักดันให้เราสามารถมีชีวิตที่ดีได้ในอนาคต เนื่องในโอกาสวันครูแห่งชาติปี 2018 พวกเราชาวเหมียวจึงอยากชวนให้เพื่อนๆ ไปรับชมภาพยนตร์เกี่ยวกับคุณครู เพื่อรำลึกถึงหน้าที่ที่อาจารย์ทุกคนต้องรับผิดชอบ จนทำให้เราก้าวเข้ามาอยู่ในจุดๆ นี้ได้ จะมีเรื่องอะไรที่เราแนะนำบ้าง ลองไปดูกันเลย 1. School of Rock เรื่องราวของมือกีต้าร์สุดร็อก Dewey Finn ที่จับผลัดจับผลูกลายเป็นครูประจำชั้นในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ที่เต็มไปด้วยลูกคุณสนใจแต่การเรียนเป็นหลัก บางคนยังไม่รู้จักเลยว่าดนตรีร็อกคืออะไร แต่แล้ว Dewey ก็บังเอิญได้เห็นพรสวรรค์การเล่นดนตรีของนักเรียนในห้อง เขาจึงเกิดความคิดที่จะตั้งวงร็อกประจำโรงเรียนขึ้นมา 2. Harry Potter ซีรีส์หนังชื่อดังที่กล่าวถึงโรงเรียนเวทมนตร์เรื่องนี้ ไม่ได้มีจุดเด่นอยู่ที่แค่ตัวละครพระเอก นางเอ หรือตัวโกงเพียงอย่างเดียว แต่เราจะได้เห็นการสั่งสอนของ ศาสตรจารย์ดัมเบิลดอร์ ซึ่งใช้คำพูดที่นิ่มนวลแต่ล้ำลึก คอยนำพาเหล่านักเรียนทุกคนให้เดินไปตามทางที่ถูกต้อง และพร้อมที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเด็กๆ อยู่เสมอ อาจารย์อีกคนที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องก็คือ ศาสตราจารย์สเนป ผู้ที่มีใบหน้านิ่งเฉย ดูเคร่งขรึม ดุดัน และน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังสิ่งเหล่านั้น เขากลับเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนและคอยช่วยเหลือนักเรียนมาโดยตลอด อย่างที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน…
-
20 ความจริงทางวิทยาศาสตร์ ที่เราเคยเชื่อว่ามันจริงมาตลอด แต่นั่นมันไม่ใช่เลยจ้า!!
วิยาศาสตร์นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเล่นแง่ แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ จริงๆ แล้วมันควรจะมีวัตถุประสงค์ แต่ก็มีข้อมูลผิดๆ มากมาย ซึ่งอาจจะใช้เวลายาวนานถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเลยทีเดียว กว่าจะคิดได้ว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้นมันผิด ยกตัวอย่างเมื่อสมัยก่อน ผู้คนนั้นปฏิเสธที่จะเชื่อว่าจริงๆ แล้วโลกของเรา และดาวทั้งหลายนั้น ต่างโคจรรอบดวงอาทิตย์ จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง กาลิเลโอ ได้พิสูจน์ แต่ถึงแม้ว่าวิทยาศาสตร์จะมาไกลขนาดไหน ก็ยังจะมีคนเชื่อข้อมูลแบบผิดๆ อยู่อีก นี่คือ 20 ตัวอย่างข้อเท็จจริง ที่ผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ออกมาแล้วว่าไม่เป็นจริง 1. ผมหรือขนของคุณ จะไม่หนาขึ้นเมื่อโกนบ่อยๆ บางครั้งการโกนหนวดอาจจะทำให้ดูเหมือนว่าหนวดที่งอกขึ้นมานั้นดูหนาขึ้น แต่ในความจริงแล้วมันก็หนาเท่าเดิม 2. ผมและเล็บจะไม่ยาวขึ้นหลังจากคุณตายแล้ว เมื่อคุณตายเซลล์ต่างๆจะหยุดทำงาน ผมและเล็บจึงหยุดการเจริญเติบโต นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมคนตายถึงไม่มีเล็บเพราะว่าผิวหนังจะหดตัวลงหลังจากที่ตายแล้วนั่นเอง 3. ผมของคุณจะไม่หงอกเร็วถ้าคุณย้อมมัน จริงๆ แล้วสีผมของเราเป็นผลมาจากเซลล์เม็ดสีซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ การไม่ดูแลสุขภาพ หรือความเครียด ดังนั้นการย้อมผมไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย 4. แม่นกจะทิ้งลูกตัวเองหากถูกสมุษย์สัมผัสตัวลูก ความจริงแล้วนกนั้นมีต่อมการรับกลิ่นที่เล็กมากทำให้ความสามารถการดมกลิ่นนั้นไม่ดีนัก แม่นกจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำถ้าเราไปสัมผัสลูกของมัน 5. Daddy Longlegs ไม่ใช่แมงมุมที่พิษร้ายแรงที่สุดในโลก…
-
7 สัญญาณที่บ่งบอกว่า คุณกำลังเสี่ยงต่อการเป็นโรค “ภูมิแพ้เซ็กส์” เข้าให้แล้ว…
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าความต้องการทางเพศหรือเซ็กส์ เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ทุกๆ คนย่อมต้องการมัน ไม่ว่าคุณจะมีคนรัก จะไม่มีคนรัก ก็ย่อมมีทางออกกับเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน แต่ที่สำคัญที่สุดในการที่จะมีเพศสัมพันธ์คือการป้องกัน ไม่ว่าจะป้องกันโรคติดต่อ หรือป้องกันอาการแพ้ต่างๆ วันนี้เราจะมาพูดถึงการแพ้ที่เกิดขึ้นจากการมีเซ็กส์ ซึ่งหลายๆ คนไม่เคยรู้มาก่อนว่าการมีเซ็กส์นี่ก็มีอาการแพ้เกิดขึ้นได้เหมือนกัน โดยอาการของโรคภูมิแพ้จะมีอาการใดบ้างเราไปตามดูกันเลยดีกว่า 1. มีอาการแสบคัน การที่คุณแพ้น้ำอสุจิ พอคู่นอนของคุณปล่อยน้ำออกมา คุณจะรู้สึกแสบคัน พุพองและบวมอยู่ในช่องคลอด ถ้าคุณมีอาการนั้นให้รีบไปปรึกษาหมอโดยทันที และอย่าลืมป้องกันด้วยล่ะ 2. มีอาการคัน การที่คุณมีอาการคันที่ช่องคลอดนั้น มันอาจจะเป็นสัญญาณแรกที่แสดงออกว่าคุณนั้นได้ติดเชื้อซะแล้ว ซึ่งผู้หญิงประมาณ 75% จะเคยเกิดอาการแบบนี้อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ว่าหากคุณมีอาการคันเฉพาะเหลังมีเซ็กส์ ให้คุณไปหาหมอ เพราะคุณอาจจะแพ้น้ำอสุจิก็เป็นได้ 3. มีอาการที่ไม่เคยเกิิดขึ้นกับคู่นอนคนเก่าของคุณ ต้องคำนึงถึงเสมอว่าน้ำอสุจิของทุกคนนั้นไม่ได้ถูกทำมาให้เหมือนกัน ซึ่งมันมีโอกาสที่แอนติบอดีในร่างคุณจะตอบสนองต่อโปรตีนในอสุจิของคู่นอนที่ต่างกันออกไป ซึ่งคุณอาจจะไม่รู้สึกถึงอาการแพ้ จนกว่าคุณจะได้ไปหาหมอเพื่อตรวจสอบการแพ้ 4. คุณจะมีอาการเฉพาะตอนที่มีเซ็กส์แบบไม่ใส่ถุงยาง ถ้าเกิดคุณแพ้ของพวกยาง เวลาใส่ถุงยางมีเซ็กส์คุณก็จะมีอาการแสบคัน เจ็บ ช่องคลอด แต่มันจะตรงกันข้าม ถ้าคุณแพ้เซ็กส์ เพราะคุณจะมีอาการตอนที่มีเซ็กส์แบบไม่ใส่ถุงยาง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าคุณอยากมีลูกคุณต้องยอมรับความเจ็บปวดนี้นะ เพราะสมัยนี้คุณแม่ที่อยากมีลูกแต่ไม่อยากมีแฟนก็สามารถทำกิฟท์ได้ 5.…
-
‘Army of Beauties’ ทีมเชียร์จากเกาหลีเหนือ เตรียมตัวเยือนโอลิมปิกฤดูหนาว ที่เกาหลีใต้
Army of Beauties หรือคำที่ใช้เรียกกองเชียร์ของชาวเกาหลีเหนือ ที่มีภรรยาของท่านผู้นำอย่าง Ri Sol-Ju เป็นแกนหลักในการตามให้กำลังใจของทัพนักกีฬาชาวโสมแดง เมื่อปี 2005 ที่ผ่านมาทัพกองเชียร์นี้ได้เดินทางออกจากกรุงเปียงยาง ลงมาทางตอนใต้เพื่อเชียร์ทัพนักกีฬาของพวกเขาในมหกรรมกรีฑาชิงแชมป์เอเชียที่เมืองอินช็อนประเทศเกาหลีใต้ และล่าสุดพวกเขากำลังเตรียมตัวเพื่อเดินทางมาเชียร์ทัพนักกีฬาโสมแดงอีกครั้งในกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 2018 ที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ที่จังหวัดคังว็อน ประเทศเกาหลีใต้ หลักการคัดเลือกผู้นำเชียร์ของเกาหลีเหนือนั้นจะมีการเลือกที่ค่อนข้างเข้มข้น คุณ An Chan-Il นักวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับประเทศเกาหลีเหนือให้สัมภาษณ์ถึงกองเชียร์ Army of beauties ว่า “โดยส่วนมากแล้วพวกเธอจะมีส่วนสูงประมาณ 163 เซนติเมตร และมาจากครอบครัวที่มีฐานะ ซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นเด็กๆ ที่ศึกษาในมหาวิทยาลัย Kim Il-Sung University“ กองเชียร์ของเกาหลีเหนือในการแข่งขันฟุตบอลหญิงที่สนาม Gimcheon ประเทศเกาหลีใต้ในปี 2003 กองเชียร์ของเกาหลีเหนือนี้ปรากฏตัวครั้งแรกในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมเมื่อปี 2002 ในเมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ โดยประกอบไปด้วยผู้คนมากกว่า 300 คนที่แต่งกายด้วยชุดประจำชาติของเกาหลี สื่อต่างประเทศได้รายงานว่าการปรากฏตัวของกองเชียร์ชาวโสมแดงนี้อาจจะเป็นสัญลักษณ์ที่ดีสำหรับการสานสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ Cho Myung-Ae อดีตเชียร์ลีดเดอร์ชาวเกาหนีเหนือก็ได้รับความนิยมอย่างมากในเกาหลีใต้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวอันน่าประทับใจของทั้งสองชาติที่เกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันกีฬา อย่างเช่นการร่วมเชียร์ทัพนักกีฬาเกาหลีเหนือโดยกองเชียร์เกาหลีใต้ ในการแข่งขันฮอกกี้น้ำแข็งเมื่อปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามความตึงเครียดทางการทหารของทั้งสองประเทศในช่วงที่ผ่านมานั้นก็ยังคงเป็นข้อสังเกตว่าในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่จะมีขึ้นในวันที่ 9…
-
15 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ‘เบียร์’ ที่แม้แต่นักดื่มเบียร์ตัวยงก็อาจไม่เคยทราบกันมาก่อน!?
หนึ่งในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่พวกเราหลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือ เบียร์ น้ำเมาที่ใช้ดื่มกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งในวันที่ 7 เมษายนของทุกปี ถูกตั้งให้เป็น “วันเบียร์แห่งชาติ” เพื่อเป็นการระลึกถึงช่วงที่สหรัฐอเมริกา อนุญาตให้ผลิตและขายเบียร์ภายในประเทศได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1933 นอกจากประเทศมหาอำนาจแล้ว หลายๆ แห่งรวมถึงบ้านเราก็สามารถบริโภคเครื่องดื่มชนิดนี้ได้อย่างถูกกฎหมาย แต่ถึงแม้ว่าเราจะดื่มมันบ่อยแค่ไหน แต่ความจริงเราอาจยังรู้จักกับมันได้ไม่ดีพอเลยด้วยซ้ำ วันนี้เราเลยมาจะพูดถึง 15 เรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับเบียร์ มีอะไรบ้างนั้นลองไปอ่านกันได้เลย 1. อียิปต์ขึ้นชื่อว่าเป็นอารยธรรมแรกที่มีการเก็บภาษีเบียร์ โดยราชินีคลีโอพัตรา บอกว่าการเก็บภาษีมีขึ้นเพื่อลดจำนวนขี้เหล้าให้น้อยลง แต่หลายๆ คนกลับเชื่อว่าการเก็บภาษีในครั้งนั้นมีไว้หารายได้ในการทำสงครามกับกรุงโรม 2. เบียร์ คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่คนนิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา จากสถิติปี 2016 มีถึง 43 เปอร์เซ็นต์ของเหล่านักดื่ม ที่ยกให้เบียร์เป็นที่หนึ่งในดวงใจ และในปี 2015 รัฐบาลได้เงินจากการเก็บภาษีเบียร์ภายในประเทศและเบียร์นำเข้า เป็นจำนวนเงินกว่า 114,000 ล้านบาท 3. ในปี 1695 สหราชอาณาจักรทำการขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เบียร์แพงที่สุด ในขณะที่เหล้าจินถูกที่สุด โดยภาษีเหล้าจินอยู่ที่ประมาณ 2 เพนนี (ประมาณ 1 บาท) แต่เบียร์จะอยู่ที่ราวๆ…
-
วิเคราะห์นิสัยแบบญี่ปุ่นโบราณ ด้วยการ ‘กำมือ 3 แบบ’ คุณเป็นคนแบบไหนกันนะ!?
แต่วันนี้เราจะมาดูวิธีทำนายนิสัยแต่ละคนด้วยการ “กำมือ” แบบที่คนญี่ปุ่นโบราณใช้ หรือเรียกการทดสอบนี้ว่า Kobushi Shindan (แปลว่าการวิเคราะห์กำมือ แต่คำนี้ก็ยังหมายถึงนักรบ หรือซามูไรได้ด้วย เพราะฉะนั้นเลยคิดว่าอาจจะมีการโยงไปถึงการทดสอบนักรบในยุคโบราณหรือไม่ ต้นฉบับระบุว่ายังไม่มีข้อมูลชัดเจน) แต่ปัจจุบันเป็นวิธีสนุกๆ เพื่อนๆลองสังเกตตัวเองดูสิว่าเราจะกำมือแบบไหนกัน นอกจากนั้นยังเอาไปทำนายนิสัยของคนใกล้ตัวคุณได้ด้วยนะ แบบเล่นเป่ายิ้งฉุบแก้ผ้า… เฮ้ยยย ไม่ใช่ละ ต้องบอกให้เขาลองกำมือดูสิ 1. คนที่กำมือแล้วนิ้วโป้งอยู่บนนิ้วชี้… อาจจะมีนิสัยว่าาาา??? บุคลิกภายนอกของคุณ : คุณเป็นคนที่มีความเป็นผู้นำ ยุติธรรมและชอบช่วยเหลือผู้อื่น คุณยังชอบที่จะนำพวกเขาและพวกเขาก็ต้องการที่จะพึ่งพาคุณ บุคลิกภายในของคุณ : คุณอาจจะเหมือนคนที่เข้มแข็งภายนอก แต่ที่จริงคุณเป็นคนใสซื่อและต้องการการยอมรับจากคนอื่น สำหรับความรัก : คุณเป็นคนที่ไม่เก่งด้านการถ่ายทอดความในใจของตัวเอง แต่คุณจะเปี่ยมไปด้วยความรักและพร้อมปกป้อง ซึ่งเห็นว่าคนอื่นสำคัญกว่าตัวเอง 2. คนที่กำมือแล้วนิ้วโป้งอยู่ตรงนิ้วกลาง… อาจจะมีนิสัยว่าาาา??? บุคลิกภายนอกของคุณ : คุณเป็นประเภทเข้ากับคนง่ายและมักถูกยอมรับจากคนรอบข้างว่าเป็นคนที่มีไอเดียที่บรรเจิดเสมอ อีกนั้นเป็นคนที่มีความสามารถมาก บุคลิกภายในของคุณ : คุณเป็นคนประเภทกลัวที่จะเจ็บ กลัวว่าจะโดนทำร้ายจิตใจ คุณกลัวความผิดพลาดและความล้มเหลวมาก และแคร์คนรอบข้าง ถึงแม้รอบข้างคุณจะมีคนอยู่มากมาย แต่มักจะพยายามมองหาคนที่พร้อมจะอยู่ข้างคุณเสมอและผ่านเรื่องเลวร้ายไปด้วยกัน สำหรับความรัก : คุณลังเลกับความรักครั้งใหม่ เพราะกลัวความล้มเหลว คุณเป็นคนที่ใช้เวลานานกว่าจะเปิดใจให้ใครเข้ามาและอาจจะเย็นชานิดๆ 3. คนที่กำมือแล้วนิ้วโป้งอยู่ข้างในมือ… อาจจะมีนิสัยว่าาาา??? บุคลิกภายนอกของคุณ : คุณเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์และเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ คุณเป็นคนจิตใจดี ไม่กล้าทำร้ายจิตใจคนอื่น คุณเป็นคนที่สามารถในการกลืมกลืนไปกับในทุกสังคม นอกจากนี้คุณก็ยังเป็นคนที่แคร์คนอื่นอีกด้วย บุคลิกภายในของคุณ…
-
‘พรฮับ’ สรุปภาพรวมปี 2017 เทรนด์ความสนใจในหนังชมพู เป็นข้อมูลเพื่อการศึกษาจริงๆ นะ…
พรฮับ คือเว็บไซต์เผยแพร่วิดีโอแนว 18+ ที่เปิดให้บริการมานานถึง 5 ปี และมีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2017 มีการเข้าชมเว็บไซต์มากกว่า 28,000 ล้านครั้ง มีวิดีโอถูกอัปโหลดลงไปมากกว่า 4,000,000 คลิป หน้าตาโลโก้ของเว็บไซต์ พรฮับ ในปีสุดพิเศษที่ผ่านมา ทางทีมงานจึงได้ทำสถิติขึ้นมาว่า ผู้ใช้งานจากทั่วโลกมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องใดบ้าง โดยที่พวกเขาได้ทำการจัดอันดับและแบ่งกลุ่มเอาไว้เป็นหัวข้อ และเราได้คัดมาบางส่วนที่น่าสนใจ จะมีอะไรบ้างเราลองไปดูกันเลยยย คำที่ใช้ค้นหาบ่อยที่สุดในปี 2017 อันดับ 1 คือ “หนังโป๊สำหรับผู้หญิง” อันดับ 2 คือชื่อการ์ตูน “Rick and Morty” และอันดับ 3 คือ “Fidget Spinner” !? แนวของคลิปวิดีโอที่มีการค้นหา เยอะที่สุดเลยคือ “เลสเบี้ยน” รองลงมาคือแนวแบบ “Hentai” หมวดหมู่ยอดนิยมประจำปี สูงสุดได้แก่ “เลสเบี้ยน” อีกเช่นเคย…
-
9 เรื่องจริงเกี่ยวกับ ‘อุ้งตรีน’ ของเหล่าเจ้านาย ที่ทาสอย่างคุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
เจ้าเหมียวทั้งหลายไม่ได้มีเพียงแค่ความน่ารัก น่าฟัดจากพฤติกรรมหรือหน้าตาของพวกมันเพียงอย่างเดียว แต่เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของพวกมันคืออุ้งเท้าน้อยๆ ทั้ง 4 ข้างของมัน แต่อุ้งเท้าของมันก็ไม่ได้มีเพียงแค่ความน่ารักหรือไว้ใช้เดินเพียงอย่างเดียว แต่ความจริงแล้วมันคือสิ่งสำคัญต่อเจ้าแมวทั้งหลายเป็นอย่างมาก ซึ่งเราอาจไม่เคยรู้กันมาก่อนเลยก็ได้ จะมีอะไรบ้างเราลองไปดูกันเถอะ 1. อุ้งเท้าเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญสำหรับเจ้าเหมียว อุ้งเท้าของพวกมันก็เหมือนกับมือของมนุษย์ เราสามารถสังเกตได้ว่ามันถนัดซ้ายหรือถนัดขวากันแน่ โดยอาจใช้อาหารบางอย่างมาล่อวางไว้ในที่ที่มันเอื้อมไม่ถึง เพื่อดูว่ามันยื่นมือไหนออกไปมากที่สุด ซึ่งถ้าอยากให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ก็ให้ลองสังเกตมันซัก 75 ครั้ง 2. การเดินแบบยกส้นของน้องเหมียว หากเราสังเกตดูเจ้าเหมียวจะเดินได้เงียบมากๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความที่มันเป็นสัตว์ละเอียดอ่อน และอีกส่วนหนึ่งคือเป็นทักษะการเอาชีวิตรอดของพวกมัน การเดินด้วยปลายเท้าทำให้มีความเงียบ และสามารถพุ่งเข้าหาเหยื่อ (จานข้าว) ได้ไวยิ่งขึ้น ในจังหวะที่เราไม่ทันได้รู้ตัว 3. อุ้งเท้ามีความคล่องตัวอย่างมาก เจ้าเหมียวสามารถพลิกแพลงอุ้งเท้าได้อย่างอิสระ โดยเฉพาะอุ้งเท้าตรงขาหน้าที่จะมีอยู่ส่วนหนึ่งไว้สำหรับเกาะเกี่ยวอยู่บนกิ่งไม้ได้อย่างมั่นคง หรือแม้แต่ตอนลงมาจากต้นไม้ ขาหน้าก็คือส่วนหลักที่จะลงมาสัมผัสกับพื้นก่อน อย่างไรก็ตามขาหน้าจะอ่อนแอกว่าขาหลังที่มีกล้ามเนื้ออยู่มากกว่า 4. อุ้งเท้าคือส่วนสำคัญที่ใช้รับแรงกระแทก บริเวณผ่าเท้าของเจ้าเหมียวสามารถช่วยให้พวกมันรับแรงกระแทกได้อย่างดีเยี่ยมเมื่อตอนที่กระโดดลงมาจากที่สูง รวมถึงทำให้มันเดินไปไหนมาไหนได้อย่างเงียบเชียบอีกด้วย 5. เป็นอุปกรณ์ทำความสะอาดชั้นเลิศ นอกเหนือจากการเลียแล้ว เจ้าเหมียวมักจะใช้อุ้งเท้าในการทำความสะอาดร่างกายของตัวเอง โดยพวกมันจะเลียอุ้งเท้าก่อนแล้วค่อยเอื้อมไปทำความสะอาดร่างกายในจุดที่มันไม่สามารถเลียได้ เช่น หลังหู หรือบริเวณใต้คาง …
-
6 ผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน แต่ไม่รู้มาก่อนว่าของพวกนี้มีส่วนผสมมาจากสัตว์ด้วย
อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเราจะนำร่างของสัตว์ที่ตายไปมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ หนัง หรือขนของพวกมัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่เพื่อนๆ ได้ดูหกสิ่งต่อไปนี้อาจจะทำให้เพื่อนๆ ตกใจก็เป็นได้เพราะไม่ว่าอันไหนๆ ก็เป็นของที่เราใช้ในชีวิตประจำวันทั้งนั้น แถมไม่น่าจะเป็นไปได้เลยว่าของพวกนี้นี่ล่ะ มีส่วนผสมมาจากสัตว์กับเขาด้วย หมึกสำหรับสัก ใช่ว่าทุกคนจะชอบการสัก และต่อให้ชอบมันก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้ว่าน้ำหมึกที่เขาใช้สักมันมาจากไหน แน่นอนว่าจะใช้สีย้อมผ้ามาสักเลยก็คงกระไรอยู่ เพราะฉะนั้นน้ำหมึกสำหรับสักจึงทำมาจากกระดูกสัตว์ที่ถูกนำมาเผาจนดำ ใช้เจลาตินสกัดจากกีบเท้าสัตว์เป็นสารยึดเหนี่ยว และยังใช้ไขมันสัตว์เป็นสารคงตัวอีกด้วย หมากฝรั่ง หมากฝรั่งที่เราเคี้ยวเวลาเหงาปาก บางคนอาจจะคิดว่าทำมาจากน้ำตาลไม่ก็ยางไม้อะไรประมาณนั้น แต่รู้หรือไม่ว่าที่จริงแล้วหมากฝรั่งนั้นทำมาจาก Lanolin ซึ่งเป็นสารที่ผลิตจากผิวหนังของแกะนั้นเอง พวกมันใช้สารนี้ในการเคลือบปกป้องขนของพวกมัน ถ้าจะเรียกให้ง่ายๆ ไอ้เจ้า Lanolin มันก็คือเหงื่อของแกะนั้นเอง เพราะงั้นว่ากันตามตรง หมากฝรั่งก็คือเหงื่อแกะสกัดนั่นเอง เบียร์ ไวน์ และน้ำส้ม เดี๋ยวๆ เบียร์ มันน่าจะทำจากข้าวไม่ใช่เหรอ ไวน์ก็หมักจากน้ำองุ่น และน้ำส้มก็คั้นจากส้มสิ มันจะไปเป็นสัตว์ได้อย่างไร ก็อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอก แต่ไอ้เครื่องดื่มที่ว่ามาทั้งหมดนั้น มันดันมีส่วนผสมของสารชนิดหนึ่งที่ชื่อ Isinglass ซึ่งไอ้สารตัวนี้ก็สกัดมาจากเหงือกปลาน้ำจืดนั่นเอง มันทำให้เครื่องดื่มพวกนี้ดูใส ว่าง่ายๆ ก็ทำให้เบียร์ออกมาหน้าตาเหมือนฉี่นั่นล่ะ น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาปรับผ้านุ่มและ Dryer…
-
NASA เผยผลการสำรวจดาวอังคาร ล่าสุดพบ ‘น้ำสะอาด’ อยู่ภายใต้พื้นผิวของดวงดาว!!
ว่ากันว่าดวงดาวที่ใกล้ที่สุดที่มนุษย์จะสามารถย้ายไปอยู้ได้ก็คือดาวอังคารนั่นเอง คำพูดเหล่านั้นทุกวันนี้ก็ใกล้จะเป็นจริงขึ้นไปอีกก้าวแล้วเมื่อ ล่าสุด NASA ได้เปิดเผยผลการสำรวจดาวอังคารว่าพบน้ำสะอาด อยู่ภายใต้พื้นผิวของดวงดาวแล้ว นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าพวกเขาได้พบกับแหล่งน้ำในรูปแบบก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ใกล้กับพื้นผิวของดาวอังคาร ซึ่งอาจเป็นการค้นพบที่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลสำหรับภารกิจการสำรวจดาวอังคารในอนาคต การค้นพบที่ถูกตีพิมพ์ในหนังสือ “Science” นี้ นำโดย Colin Dundas จากการทีมสำรวจทางธรณีวิทยาของรัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการใช้เครื่องมือ HiRISE (High Resolution Imaging Science Experiment หรือ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ด้วยภาพความละเอียดสูง) ซึ่งอยู่ภายในดาวเทียมสำรวจ พวกเขาพบแปดตำแหน่งพื้นผิวของที่ลาดชัน หน้าผา และร่องลึก ที่ได้ถูกน้ำกัดเซาะและเผยให้เห็นก้อนน้ำแข็ง ในบางพื้นที่ก้อนน้ำแข็งนั้นหนาถึงราว 100 เมตร โดยฝังอยู่ใต้ดินที่ลึกเพียง 2 ถึง 3 เมตร ยิ่งไปกว่านั้นน้ำแข็งดูเหมือนจะเรียงเป็นชั้นๆ ไม่ต่างกับชั้นตะกอนในโลก หมายความว่าแต่ละชั้นจะแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยาที่แตกต่างกันของดาวอังคาร “สิ่งเหล่านี้ทำให้เราได้รู้รายละเอียดโครงสร้างแนวตั้งของแผ่นน้ำแข็งดาวอังคารมากขึ้น และแสดงให้เห็นว่ามันมีเพียงชั้นดินบางๆ ปกคลุมไว้เท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือมันมีน้ำแข็งบนดาวอังคารที่ถูกฝังเอาไว้ตื้นๆ นี่ล่ะ” Dundas กล่าว แสงสะท้อนสีน้ำเงินคือบริเวณที่มีน้ำแข็งอยู่ แม้พวกเราจะรู้กันอยู่แล้วว่าบนดาวอังคารนั้นมีน้ำแข็งอยู่ใต้พื้นดิน แต่การค้นพบครั้งนี้ก็บอกพวกเราว่ายังมีน้ำแข็งบางส่วนที่อยู่ใกล้กับพื้นผิวของดาวอยู่ด้วย ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าถึงได้โดยภารกิจการสำรวจในอนาคตต่อๆ ไป เช่นรถสำรวจ European ExoMars ในช่วงต้นปี 2021 ซึ่งมีสว่านที่สามารถเจาะใต้พื้นผิวดาวได้ 2 เมตร…
-
วิทยาศาสตร์พิสูจน์ความจริงของชาว ‘ไวกิ้ง’ กับการพา ‘แมวเหมียว’ ขึ้นเรือทุกครั้งที่ออกไปพิชิตโลก
พวกเราเคยได้ยินคำพูดที่ว่าแมวคิดจะครองโลกกันใช่ไหม แน่นอนว่าบางคนอาจจะคิดว่ามันก็แค่เรื่องล้อเล่น แต่หลังจากอ่านบทความนี้แล้วเพื่อนๆ อาจจะต้องเปลี่ยนความคิดก็ได้ เพราะแมวมันคิดจะครองโลกจริงๆ นะ มันถึงกับขึ้นเรือตาม “ไวกิ้ง” ไปปล้นสะดมเลยทีเดียว จากการศึกษา DNA ของแมวโบราณนักวิทยาศาสตร์สามารถตรวจสอบได้ว่า มีการเลี้ยงแมวอยู่ในเขตตะวันออกและอียิปต์ตั้งแต่ประมาณ 1 แสน 5 หมื่นปีก่อน เมื่อตามรอยการเลี้ยงแมวบ้านไปเรื่อยๆ พวกเขาก็พบว่าแม้แต่พวกไวกิ้งก็มีการเลี้ยงแมวไว้ในบ้านด้วยเช่นกัน ซึ่ง DNA ของสายพันธุ์ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยนั้น ถูกพบในกว่าสามสิบแหล่งโบราณคดีทั่วทั้ง ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา น่าเสียดายที่เราไม่มีหลักฐาน ที่บอกว่าแมวในสมัยก่อนหน้าตาต่างจากปัจจุบันอย่างไร นักวิจัยตรวจสอบโดยมุ่งเน้นไปที่ DNA ที่ส่งผ่านจากแม่สู่ลูกเท่านั้น พวกเขาพบว่าแมวป่าที่มาจากตะวันออกกลาง และแมวป่าที่อยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันออก มี DNA mitochondrial ที่คล้ายกัน หรือก็คืออาจจะมาจากเชื้อสายเดียวกันก็เป็นได้ จากการวิจัยยังพบอีกว่า การเพิ่มจำนวนอย่างมหาศาลของแมวเลี้ยงนั้นน่าจะเกิดขึ้นถึงสองครั้งในประวัติศาสตร์ ครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเพราะสิ่งที่คุ้นเคยกันดี แมวป่าได้เข้ามาในพื้นที่เกษตรกรรมเพราะไปล่าพวกหนูที่กัดกินเมล็ดพืชในแถบนั้น พวกเกษตรกรที่เห็นความมีประโยชน์เหล่านั้นจึงได้เริ่มเลี้ยงพวกแมวที่เข้ามาในพื้นที่ มาล่าหนูอยู่ดีๆ ได้ทาสเฉยเลย สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือหลังจากนั้นหลายพันปี ก็มีการเกิดการเพิ่มจำนวนของแมวเลี้ยงขึ้นมาอีกครั้ง สาเหตุของครั้งที่สองมาจาก คนเดินทะเลในสมัยโบราณเช่นชาวเรือและชาวไวกิ้งรับเอาแมวมาเลี้ยงบนเรือของพวกเขา เป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก ทำไมพวกคนเหล่านี้ถึงต้องการแมวบนเรือของพวกเขาที่ต้องใช้ในการเดินทางระยะยาวแบบนั้น? ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมากในการพาแมวขึ้นมาบนเรือ เนื่องจากแมวสามารถกำจัดพวกหนูในเรือได้ ทำให้หนูไม่ขยายพันธุ์จนล้นเรือ และเรือจะได้ไม่โดนพวกหนูเหล่านั้นแทะจนเป็นรูรั่ว…
-
7 ข้อผิดพลาดที่มักจะเกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องของ ‘แสง’ ที่ทุกคนควรรู้เอาไว้ จะได้ถ่ายภาพออกมาสวยๆ
เคยไหมเวลาที่เราเข้าไปสตูดิโอเพื่อถ่ายภาพครอบครัว ถ่ายแบบ ถ่ายรูปครึ่งตัว นิ้วครึ่งหรือ 2 นิ้วอะไรก็ตามแต่ แล้วภาพที่ออกมานั้นมันช่างไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย วันนี้ ช่างภาพที่มีนามว่า Antti Karppinen นั้นจะมาแชร์วิธีใช้แสง 7 แบบของสตูดิโอที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่งในการถ่ายภาพบุคคลหรือที่เขาเรียกกันว่าภาพ Portrait นั่นเอง อีกทั้งยังเสนอวิธีการแก้ไข เผื่อใครสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อให้การถ่ายภาพในสตูโอนั้นสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น 1. แสงจากไฟหลักอยู่ต่ำเกินไป ทำให้เกิดเงาหนาที่สันจมูกและข้างใบหน้า วิธีแก้: ยกไฟหลักขึ้นนิดหน่อย พยายามปรับองศาหน้ากล้อง และดวงไฟให้หันเข้าหานางแบบหรือนายแบบ 45 องศา 2. แสงจากไฟหลักอยู่สูงเกินไป ทำให้เกิดเงาหนาที่เบ้าตา กราม และคาง วิธีแก้: ปรับไฟหลักลงให้พอดี 3. ใช้ไฟลบเงาไม่ถูกต้อง อาจจะวางผิดที่หรือความสว่างไม่ถูกต้อง จนแยกไฟหลักกับไฟลบเงาไม่ออก วิธีแก้: พยายามวางไฟลบเงาให้อยู่ระหว่างกล้องและไฟหลัก โดยสว่างให้แค่พอกลบเงาดำได้นิดหน่อย 4. ใช้ไฟแยกไม่ถูกที่ ทำให้จมูกเกิดแสงและเงาที่ไม่พึงประสงค์ วิธีแก้: วางไฟแยกให้เยื้องไปด้วยหลังนางแบบหรือนายแบบเล็กน้อย เพื่อให้จมูกมีเงาที่ธรรมชาติ 5. แสงจากไฟแยก สว่างจ้าเกินไป จนทำให้มองไม่เห็นรายละเอียดข้างใบหน้า วิธีแก้: ลดความสว่างของไฟแยกลง…