Category: สาระรอบตัว
-
ความน่ากลัวของโลกออนไลน์ เมื่อนำภาพคนอื่นมาเล่นตลก มันจะเปลี่ยนชีวิตคนได้ขนาดไหน!?
การพูดหยอกล้อหรือการใช้รูปภาพล้อเลียนกันนั้นอาจจะเป็นเรื่องสนุกสำรับคุณและเพื่อนๆ แต่บางครั้งการที่คุณนำภาพของคนอื่นจากอินเตอร์เน็ตมาล้อเล่นนั้น ก็อาจจะส่งผลกระทบกับเจ้าของภาพโดยตรงเหมือนกับกรณีของหญิงสาวรายนี้!! เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับ Ashley VanPevenage หญิงสาววัย 20 ปีจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่ถูกนำภาพรีวิวการแต่งหน้าของตัวเองไปล้อเลียนในโลกออนไลน์ และส่งผลต่อจิตใจเธออย่างมาก ภาพถ่ายดังกล่าวถูกเผยแพร่เมื่อช่วงเดือนมกราคมปีที่ผ่านมา โดยเธอได้มีโอกาสเป็นแบบให้กับเพื่อนสาวเจ้าของบล็อกแต่งหน้าทางอินสตราแกรม หลังจากที่ได้รับการแปลงโฉมใหม่จนกลายเป็นสาวสวยผิวเนียน ภาพก่อนและหนังการแต่งหน้าของเธอก็ถูกอัปลงบนอินสตราแกรมของเพื่อนสาว แต่แล้วไม่นานมันก็กลายเป็นกระแสล้อเลียนในโลกออนไลน์ ภาพต้นฉบับที่ถูกอัปในอินสตราแกรม MakeupByDreigh ของเพื่อนเธอ ภาพดังกล่าวถูกโพสต์โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่ใช้ชื่อว่า virtuallyvivi พร้อมกับแคปชั่นที่บอกว่า “ฉันไม่เข้าใจเลยว่าผู้คนทำแบบนี้ได้ยังไง แค่ใช้เครื่องสำอางปกปิดรอยสิวฉันยังทำเองไม่เป็นเลย” และไม่นานภาพดังกล่าวก็กลายเป็นกระแสบนโลกออนไลน์ทันที หลังจากที่ภาพและแคปชั่นของ virtuallyvivi ถูกผู้ใช้รายหนึ่งที่มีผู้ติดตามมากว่า 5 ล้าน อัปภาพเลียนแบบเธอ รูปของ VanPevenage พร้อมกับข้อความเยาะเย้ยถูกรีทวีตมากว่า 8,000 ครั้ง และที่หนักกว่านั้นก็คือ ผู้ใช้อีกรายที่เปลี่ยนแคปชั่นของภาพให้รุนแรงกว่าเดิม “นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณถึงควรพาสาวไปว่ายน้ำในเดตแรก” ข้อความเปรียบเทียบที่อาจจะดูขำๆ แต่สำหรับเจ้าของภาพแล้วอาจจะไม่ใช่แบบนั้น และไม่ได้มีเพียงแค่ภาพของ VanPevenage เท่านั้นที่ถูกนำไปล้อเลียน แต่ถ้าหากคุณลองค้นหาในอินเตอร์เน็ตด้วยข้อความว่า “Women You Need To Take Swimming on The First Date” คุณก็จะพบภาพของคนอื่นๆ ที่มีชะตากรรมไม่ต่างกับหญิงสาวผู้นี้…
-
นักจิตวิทยาเผย 10 เรื่องง่ายๆ ที่บอกว่า “ความสัมพันธ์ในชีวิตคู่” ของคุณยั่งยืนจนน่าอิจฉา
การประคับประคองความสัมพันธ์ของคู่รักนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าในอนาคต แต่ละฝ่ายจะต้องพบเจอปัญหาอะไรในชีวิตบ้าง และปัญหาเหล่านั้นจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่อย่างไร อย่างไรก็ตามดอกเตอร์ Gleb Tsipursky นักจิตวิทยาผู้ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่จัดการกับการคิดและการตัดสินใจที่ดี ได้สรุป 10 เรื่องง่ายๆ ที่เป็นสัญญาณบอกว่าความสัมพันธ์ของคุณมีแนวโน้มจะอยู่ยืนยาวหากมี 10 สิ่งนี้ 1. การช่วยกันรับมือในสถานการณ์กดดัน บางครั้งเราต้องเจอกับสถานการณ์ที่รับมือยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือเป็นเรื่องใหญ่ก็ตาม ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้มักบังคับให้เราต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างในทันที เราจึงควรต้องคอยสนับสนุนคู่รักในส่วนที่เขาขาด เพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้ได้ หากทำดังนั้นได้ ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เราแก้ไขปัญหาอย่างหุนหันพลันแล่น หรือตอบสนองต่อปัญหาช้าได้ดี ยกตัวอย่างเช่น หากคู่รักของคุณมักเกิดอารมณ์ร้อนเมื่อเจอสถานการณ์กดดัน ถ้าคุณเป็นคนใจเย็นและใช้น้ำเย็นเข้าลูบแล้ว มันจะช่วยให้คุณทั้งคู่หาทางแก้ปัญหาได้ดีขึ้น 2. เคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง คุณควรจะคิดไว้เสมอว่า คนทุกคนนั้นมีความคิดไม่เหมือนกัน ทั้งคุณและคู่รักต่างก็มีความคิดเห็น ความชอบ และมุมมองต่อสิ่งต่างๆ เป็นของตนเอง แม้ว่าจะมีความคิดเห็นใกล้เคียงกันขนาดไหน ก็ไม่มีทางที่คู่รักจะมีความคิดเห็นตรงกันทุกกระเบียดนิ้ว ดังนั้นอย่าตัดสินใจอะไรแทนกันโดยเด็ดขาด และอย่าทำเหมือนกับว่าคุณรู้ใจคู่รักเสมอไปด้วย คุณควรจะถามความคิดเห็นของอีกฝ่ายอยู่เสมอและรับฟังมันไว้ จึงจะทำให้ความสัมพันธ์ราบรื่นได้ 3. กล้าที่จะขอ ในเมื่อคนเราไม่รู้ความคิดของกันเสมอไป คุณก็ไม่สามารถจะหวังให้แฟนของคุณตรัสรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่เช่นกัน แทนที่คุณจะรอให้คนรักทำตามที่คาดหวัง คุณควรจะเอ่ยปากบอกด้วยว่าคุณต้องการอะไร พออีกฝ่ายรับรู้จะได้ทำตามความต้องการของคุณได้ อย่างไรก็ตาม คู่รักเองเมื่อได้รับฟังแล้ว ก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ทำตามคำขอของเราด้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพูดคุยกันและเหตุผลของทั้งสองฝ่าย…
-
Begpacker เทรนด์นักท่องเที่ยวฝรั่งมาขอเงินในเอเชีย ทั้งที่ควรจะพกเงินมาให้พอดีระหว่างท่องเที่ยว!?
ด้วยความสวยงามและความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมของซีกโลกตะวันออก ทำให้หลายๆ ประเทศในทวีปเอเชียอย่างเราเป็นจุดหมายปลายทางของเหล่านักท่องเที่ยวชาวตะวันวันตก แต่สิ่งหนึ่งที่เราอาจจะเคยเห็นกันจนชินตาในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมาและยังคงมีให้เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็คือภาพของเหล่านักท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็คเกอร์ที่ออกมาเรี่ยไรเงินเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวของพวกเขาในประเทศแถบเอเชียไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย ไทย ฮ่องกง และสิงคโปร์ จนสื่อต่างประเทศเรียกพวกเขาเหล่านั้นว่า “Beg-packers” ภาพที่พบเห็นได้ทั่วไป คำว่า “Beg” คำศัพท์ที่ฟังเหมือนการดูแคลนนี้ใช้ถูกใช้นำหน้าคำเรียกเหล่านักท่องเที่ยวชาวตะวันตกที่ยืนเรี่ยไรเงินอยู่ตามถนนเพื่อขอสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวของพวกเขาในทวีปเอเชีย ภาพของนักท่องเที่ยวชาวตะวันตก 2 คนที่กำลังนั่งขายโปสต์การ์ดพร้อมป้ายข้อความ “ช่วยสนับสนุนทริปการท่องเที่ยวรอบโลกของพวกเราด้วย” ถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และเป็นเรื่องที่แปลกมาก “เราเห็นภาพเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ ในสิงคโปร์ มันเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ สำหรับการขอเงินใครสักคนเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวของคุณ การทำแบบนี้มันไม่น่าชื่นชมเลย มันเหมาะสำหรับคนที่ต้องการเงินจริงๆ อย่างการรักษาพยาบาล การซื้ออาหาร หรือเงินค่าเทอมลูกๆ ไม่ใช่สำหรับการซื้อของแพงๆ ” คุณ Maisarah Abu Samah ชาวสิงคโปร์ที่ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเหล่านี้ ทำไมต้องเป็นเอเชีย ภาพสวยๆ ของสถานที่ต่างๆ นั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลกันไปชมความสวยงามของพื้นที่นั้น และแน่นอนว่าการท่องเที่ยวแบบประหยัดก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว Louisa นักศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองจากประเทศมาเลเซียเองก็มีได้แสดงความเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “พฤติกรรมของพวกนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังเป็นการมองโลกแบบชาวตะวันตก และพวกเขามองว่าประเทศในแถบเอเชียนั้นมีหลายๆ สิ่งที่แปลกใหม่ การมองแบบนี้ทำให้ประเทศในแถบนี้กลายเป็นเหมือนดินแดนที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น มันเหมือนกับการได้ออกมาผจญภัย” สิ่งที่สะท้อนออกมา คุณ Louisa ยังได้กล่าวเสริมอีกว่า…
-
17 เรื่องแปลกๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นกับร่างกายของคุณ หากออกไปอยู่ใน ‘อวกาศ’
เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เราเคยถามตัวเองกันไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเราขึ้นไปอยู่ในอวกาศ ก็คงจะมีแต่นักบินอวกาศที่เคยเดินทางไปและกลับมาให้คำตอบเราได้ และนี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายมนุษย์ เมื่อเราขึ้นไปอยู่ในอวกาศ และยังมีทฤษฎีเกี่ยวกับหลุมดำ เมื่อเราโดนดูดเข้าไปอีกด้วย 1. สายตาของคุณจะด้อยลงอย่างมาก อาการบกพร่องทางการมองเห็นจากความดันภายในกระโหลก หรือ VIIP เป็นอาการที่นักบินอวกาศเป็นกันมากที่สุดเมื่ออยู่ในอวกาศเวลานานๆ NASA ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้ แต่ยังไม่พบคำตอบที่แน่ชัด โครงการไปดาวอังคารยังคงอยู่ภายใต้คำถาม ว่าจะช่วยนักบินอวกาศอย่างไรกับอาการนี้ 2. คุณอาจจะสูงขึ้นประมาณ 2-3 นิ้ว ถ้าคุณอยากจะสูงขึ้นอีก 2-3 นิ้ว การบินไปในอวกาศอาจจะช่วยคุณได้ชั่วคราว การที่ไม่มีแรงโน้มถ่วงนั้น จะทำให้กระดูกสันหลังยืดขึ้น จากผลตรวจอัลตราซาวด์ ก็ได้ยืนยันว่านักบินอวกาศนั้นสูงขึ้นจริงๆ 3. การโดนรังสี อาจจะส่งผลต่อสุขภาพของคุณ ในการเตรียมตัวภารกิจไปดาวอังคาร นักวิทยาศาสตร์ NASA ได้ศึกษาเกี่ยวกับรังสีที่มาสัมผัสร่างกายมนุษย์มาเป็นเวลานาน ชั้นบรรยากาศของดาวอังคารนั้น บางกว่าของโลกเรา จึงมีการป้องกันรังสีจากอวกาศต่ำกว่าโลก ดั้งนั้น เมื่อเรารู้เกี่ยวกับการป้องกันรังสีมากเท่าไร การที่มนุษย์จะไปดาวอังคารก็จะง่ายขึ้นมากเท่านั้น 4. เล็บของคุณอาจหลุดออกมา นักบินอวกาศจำนวน…
-
นักโบราณคดีค้นพบ “แหล่งล่าสัตว์” ที่มีอายุเก่าแก่ถึง 500,000 ปี พร้อมกับอุปกรณ์หากินจากยุคนั้นเพียบ!!
การค้นพบสิ่งต่างๆ ในโลกของเรานั้นสามารถเป็นหลักฐานซึ่งบ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง รวมไปถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตกาลที่มิได้มีผู้ใดจดบันทึกเอาไว้ อย่างเช่นที่ใน อิสราเอล มีการการค้นพบ ‘แหล่งล่าสัตว์’ ของเหล่าบรรพบุรุษของมนุษย์ที่น่าจะมีอายุราวๆ ครึ่งล้านปี เนื่องจากมีการขุดพบ “ขวานหิน” และเครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆ นับพันชิ้น ในพื้นที่ก่อสร้างและบริเวณใกล้เคียง มีประกาศจากนักโบราณคดี ในวันที่ 7 มกราคม 2017 ว่าหลังจากที่มีการขุดลงไปในดินเพียง 5 เมตร ก็พบหลักฐานทางโบราณคดี ซึ่งก็คือเครื่องไม้เครื่องมือและขวานหินดังกล่าวที่สามารถสันนิษฐานได้ว่าพื้นที่บริเวณนั้นเคยเป็นดังสถานที่รวมตัวกันของเหล่านักล่าสมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ราว 500,000 ปีก่อน สถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ที่ Jaljulia ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเมือง คฟาร์ ซาบา ประเทศอิสราเอล อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับถนนสายหลักหมายเลข 6 ที่มีจำนวนรถที่สัญจรไปมามากที่สุดสายหนึ่งอีกด้วย ด้วยความที่ครั้งหนึ่งในอดีตสถานที่แห่งนี้เคยเป็นแม่น้ำ ลำธาร ประกอบกับการขุดพบโครงกระดูกของสัตว์จำนวนมาก นักโบราณคดีจึงสันนิษฐานว่า สถานที่แห่งนี้ต้องเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ โฮโม อีเร็กตัส ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว “ที่นี่คือทำเลที่เยี่ยมยอดสำหรับมนุษย์” แรน บาร์ไค นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟกล่าว และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ฟลิ้นท์ที่ใช้ทำเครื่องมือไหลมากับแม่น้ำ มีแม่น้ำก็ต้องมีเหล่าสัตว์ ที่นี่มีทุกอย่างที่มนุษย์ยุคนั้นต้องการ” ทำให้นักโบราณคดีเกิดข้อสงสัยว่า มนุษย์ในยุคนั้นน่าจะกลับมาในพื้นที่บริเวณนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกตามฤดูกาล แรน จึงเสริมว่า…
-
คู่รักลดน้ำหนัก เปลี่ยนไปจนคนในครอบครัวกับเพื่อนแทบจะจำไม่ได้ว่าคนเดียวกันใช่ไหมเนี่ย!!
สำหรับคนที่มีน้ำหนักเยอะ การจะขยับเขยื้อนไปไหนแต่ละทีดูจะเป็นสิ่งที่ยากลำบาก อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้มากกว่าคนรูปร่างสมส่วนทั่วๆ ไป ใครหลายคนที่มีรูปร่างจ้ำม่ำจึงมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น และคล่องตัวมากขึ้นกว่าเดิม และคู่รักคู่นี้ก็เช่นเดียวกัน โดยพวกเขาได้ทำการลดน้ำหนักสลายไขมันให้ออกไปจากร่างกาย ชนิดที่ว่าทั้งครอบครัวและเพื่อนๆ แทบจะจำกันไม่ได้เลยว่าเป็นคนเดียวกันจริงหรือเปล่าเนี่ย?? รูปร่างอวบอั๋นของคู่รักคู่นี้ และนี่คือเรื่องราวของ Ben และ Caroline Marshall ผู้เป็นพ่อและแม่ของเด็กๆ ที่น่ารักชื่อว่า Imogen และ Jacob โดยสำหรับลูกๆ ของพวกเขานั้น ทั้งคู่มัักจะเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้รับประทานเสมอ แต่กับตัวของพวกเขาเองกลับ ชอบกินขนมขบเคี้ยวชนิดที่ว่าต้องกินแทบจะทุกคืนเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็แน่นอนว่ารูปร่างของพวกเขาก็ต้องเป็นไปตามพฤติกรรมการกิน แต่อย่างไรก็ตามทั้งคู่ก็เกิดความคิดอยากลดน้ำหนักขึ้นมา เพราะกลัวว่าจะเป็นโรคมะเร็งในอนาคตและไม่สามารถอยู่ดูแลลูกๆ ได้ ติดขนมขบเคี้ยวจนทำให้ร่างกายเริ่มแย่ พวกเขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมโปรแกรมการลดน้ำหนักที่ชื่อว่า Cambridge Weight Plan ซึ่งเป็นโปรแกรมลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั้งในผู้หญิงและผู้ชายชาวอังกฤษ “ฉันได้เริ่มตระหนักว่าสุขภาพของฉันกำลังเริ่มเสื่อมโทรมลง ซึ่งเป็นผลมาจากน้ำหนักตัวของฉัน ฉันจึงอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง นอกจากเพื่อสุขภาพที่ดีแล้วยังจะสามารถเป็นแบบอย่างให้กับเด็กๆ ได้อีกด้วย” “สำหรับ Ben สามีฉัน เขากลัวว่าตัวเองจะเป็นโรคมะเร็ง เมื่อเขาพบก้อนเนื้อขึ้นมาบนใบหน้าของเขา ต้องขอขอบคุณก้อนเนื้อก้อนนั้นทำให้เขาได้รู้ความเป็นจริงที่ว่า น้ำหนักตัวของเขาในตอนนั้นมันมีมากเกินไป และร่างกายของเขาได้เริ่มหมดกำลังต่อสู้กับมันแล้ว อีกทั้งด้วยความที่เขาอยากจะมีชีวิตที่ยืนยาวเพื่ออยู่กับลูกๆ เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมโปรแกรมที่ว่านี้ร่วมกับฉัน” Caroline กล่าว ผอมเพรียวลมราวกับคนละคนเลย หลังจากทั้งคู่ได้เข้าร่วมโปรแกรมลดน้ำหนักอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ก็ปรากฏว่าน้ำหนักของทั้งคู่ลดลงอย่างรวดเร็ว และรูปร่างของทั้งคู่เปลี่ยนไปจนแทบจะจำกันไม่ได้เลยทีเดียว และเธอก็ได้ให้ออกมาสัมภาษณ์ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวของเธอกับสามี…
-
เรียนวาดรูปกับศิลปิน Bob Ross กว่า 403 ตอนฟรีๆ บนยูทูบ หนทางสู่จิตรกรอยู่ไม่ไกลแล้ว
หลายๆ คนคงเคยอยากลองเรียนวาดรูป แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน ถ้าสนใจ ทำไมไม่ลองมาเรียนกับคลิปวีดิโอทั้ง 31 ซีซันของ Bob Ross ‘The Joy of Painting’ ซึ่งสามารถดูได้บนยูทูปโดยไม่ต้องเสียเงินซักบาทดูล่ะ เดิมที่แล้วรายการนี้เป็นรายการทีวีที่เริ่มเมื่อปี คศ. 1983 ถึง 1994 แต่โชคดีแม้เจ้าตัวจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เทปบันทึกของรายการยังคงถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี จากเสียงขอร้องจากแฟนๆ ที่ล้นหลาม Ross ก็ได้มีชีวิตต่ออยู่ในวีดิโอ ในแต่ละครึ่งชั่วโมงของแต่ละคลิป Ross ก็ได้สอนเทคนิคต่างๆ มากมายในการใช้วาดรูปภูมิทัศน์โดยใช้สีน้ำมัน ทำให้คนดูได้ลองวาดตาม ด้วยการให้กำลังใจว่า “คุณก็ทำได้” Ross นั้นพูดให้นักวาดมือใหม่รู้สึกสบายใจ ทำให้มั่นใจว่าเทคนิค alla prima หรือ wet-on-wet จากสมัยศตวรรษที่ 16 ที่เขาสาธิตให้ดูในวีดิโอนั้น ไม่เคยทำให้เกิดข้อผิดพลาด มีแต่ความสุขโดยบังเอิญเท่านั้น ในวิดีโอตอนหนึ่ง เขาบอกว่า “ตอนที่กำลังวาดรูปอยู่ คุณมีพลังไม่จำกัด คุณสามารถย้ายภูเขาได้ ทำให้แม่น้ำเปลี่ยนสายได้ แต่เมื่อฉันกลับบ้าน สิ่งเดียวที่ฉันมีพลังเหนือกว่าก็คือขยะ” แต่อย่างไรก็ตาม…
-
ว่าไงนะ? พืชผักใกล้ตัวเรานั้นสามารถ ‘ได้ยิน’ และ ‘รู้สึก’ ว่ามีภัยคุกคามกำลังจะถูกกิน!?
ว่ากันว่าต้นไม้นั้นมีชีวิต มันสามารถได้ยินเสียงของเราและรับรู้ถึงสิ่งรอบๆ ฟังดูโรเมนติกดีใช่ไหมล่ะ ว่าแต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ต้นไม้จะรู้สึกแบบไหนเวลาที่ใบโดนหนอนแทะกันนะ ดูเหมือนว่าพวกนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Missouri (MU) จะสนใจในเรื่องพวกนี้กันมากเลยทีเดียวเพราะดูเหมือนพวกเขาจะค้นพบว่าพืชนั้นสามารถ “ได้ยิน” ถึงสิ่งรอบๆ ตัวของมันรวมถึง “รับรู้” ถึงเสียงที่เป็นอันตรายต่อตัวของมันอีกด้วย ที่จริงแล้วแนวคิดเรื่องพืชได้ยินเสียงนั้นมีอยู่มานานแล้วตั้งแต่โบราณ แถมในสมัยก่อนยังมีความเชื่อที่ว่าการร้องเพลงให้พืชฟังนั้นจะทำให้การเจริญเติบโดของพืชดีขึ้นอีกด้วย “มันเคยมีงานทดลองชิ้นก่อนหน้าของพวกเราที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตอบสนองของต้นไม้ต่อคลื่นเสียง ซึ่งรวมไปถึงเสียงเพลงต่างๆ “ Heidi Appel นักวิทยาศาสตร์อาวุโสฝ่ายวิทยาศาสตร์พืชประจำส่วนวิชาการเกษตรและอาหาร ทรัพยากรธรรมชาติ และศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตพันธบัตรของ MU กล่าว “อย่างไรก็ตามงานของเราเป็นผลงานชิ้นแรก เกี่ยวกับการที่พืชตอบสนองต่อการสั่นสะเทือนของระบบนิเวศน์พืช” พวกเขาพบว่าการ “สั่นสะเทือนของการทานอาหาร” เปลี่ยนการเผาผลาญของเซลล์พืชทำให้มีการหลั่งสารเคมีที่ป้องกันการถูกหนอนผีเสื้อโจมตีออกมามากขึ้น ด้วยความร่วมมือจาก Rex Cocroft ศาสตราจารย์สาขาชีววิทยาศาสตร์ที่ MU ได้นำหนอนผีเสื้อไปวางไว้บนใบ Arabidopsis พืชเล็กๆ ชนิดหนึ่ง ด้วยการใช้เลเซอร์และชิ้นส่วนเล็กๆ ของวัสดุสะท้อนแสงบนใบของพืช พวกเขาสามารถบันทึกการเคลื่อนที่ของใบในการตอบสนองต่อการเคี้ยวของหนอนเอาไว้ได้ จากนั้น Cocroft และ Appel ได้เล่นเทปบันทึกเสียงสั่นสะเทือนจากการเคี้ยวของหนอนผีเสื้อ ให้กับชุดพืชอีกชุดหนึ่ง ส่วนพืชอีกชุด พวกเขาจะเปิดเทปที่ไม่มีเสียงอะไรเลย Heidi Appel (ซ้าย) และ Rex Cocroft…
-
นักวิทย์ฯ ใกล้ประสบความสำเร็จในการผลิต ‘อสุจิเทียม’ เพื่อประโยชน์สุขของประชากรโลก
วันนี้ เรามาว่ากันด้วยเรื่องของ ‘อสุจิ’ กันดีกว่า อสุจินั้นเป็นตัวสำคัญในกระบวนการให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตหลายๆ ชนิด โดยเฉพาะมนุษย์ ซึ่งการให้กำเนิดลูกของมนุษย์นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนก็มีลูกยาก อาจจะด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ สภาวะทางร่างกาย สุขภาพ และอื่นๆ ซึ่งวันนี้มีข่าวดีมาให้ได้ยินกันแล้วสำหรับคนที่ยังไม่มีลูกหรือมีแล้วแต่อยากมีอีก เพราะนักวิทยาศาสต์ปัจจุบันกำลังจะผลิต ‘อสุจิเทียม’ ได้แล้ว ศาสตราจารย์ Azim Surani นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยเกอร์ดอน ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้ออกมาแถลงในงานประชุมประจำปี Progress Educational Trust Annual Conference ว่าตัวเขาและคณะได้มาถึงครึ่งทางของความสำเร็จในการผลิตอสุจิเทียมแล้ว โดยเป้าหมายของพวกเขาคือการผลิตอสุจิเทียมและรังไข่เทียมขึ้นมาจากสเต็มเซลล์ของมนุษย์หรืออาจจะเซลล์ผิวหนังของมนุษย์ได้เลยทีเดียว โดยกระบวนการดังกล่าวนั้นได้ประสบความสำเร็จมาแล้วโดยการทดลองกับหนู อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นเองก็ไม่ได้ง่ายดาย ยังมีปัญหาที่รอการแก้ไขอีกหลายอย่าง ตามที่นาย Azim ได้ชี้แจงไว้ เช่น เซลล์อสุจิที่ได้นั้นยังมีโครงสร้างไม่เหมือนกันของจริงเท่าใดนัก อีกทั้งเซลล์ต่างๆ จำเป็นต้องใช้เวลาในการพัฒนาตัวเอง ซึ่งก็จำเป็นต้องให้เวลามันด้วยเช่นกัน นาย Azim กล่าวว่า “หากพูดถึงในแง่ของการนำไปใช้จริง มันยังจำเป็นต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน หลายกระบวนการ ซึ่งขั้นตอนและกระบวนการดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง” และกล่าวอีกว่า “การผลิตรังไข่เทียมอาจจะทำให้ดูเหมือนรังไข่จริงๆ ได้ แต่โครงสร้างโมเลกุลนั้นยังไม่ใช่ ซึ่งมันเป็นปัญหามาก…
-
รู้จักกับ ‘หัวนมที่ 3’ สิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติแอบซ่อนไว้ในร่างกายเรา ไม่แน่คุณก็อาจจะมี!!
มนุษย์นั้นถือเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา นอกจากความสามารถในด้านความคิดความอ่านแล้ว ร่างกายของมนุษย์เรานั้นก็ยังมีความลับอีกมากมายซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเจ้าหัวนมที่ 3 นั่นเอง สิ่งลับนี้อาจจะฟังดูแปลกๆ ไปซักนิด แต่เจ้าลักษณะพิเศษนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ และไม่เพียงเท่านั้นเหล่าดาราดังอย่างหนุ่ม Mark Wahlberg และ Harry Styles จากวง One Direction เองก็มีเจ้าหัวนมที่ว่านี้เช่นกัน อ่า… และวันนี้เราก็จะขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับลักษณะพิเศษของร่างกายที่ว่านี้กัน!! Harry Styles และ Mark Wahlberg กับหัวนมที่ 3 ของเขา มาทำความรู้จักกันก่อน เจ้าหัวนมที่ 3 (Third Nipples) หรือมักจะเรียกว่าหัวนมส่วนเกินนี้ จะเป็นลักษณะพิเศษที่ร่างกายของคุณจะมีหัวนมขึ้นเพิ่มมาอย่างน้อย 1 จุดตรงหน้าอกซึ่งบางคนอาจจะมีมากกว่า 8 เลยทีเดียว!! โดยทางการแพทย์จะเรียกอาการผิดปรกตินี้ว่า Polythelia หรือหัวนมหลายหัว อาการดังกล่าวถือเป็นลักษณะพิเศษที่พบได้ยากเกิดได้ทั้งกับชายและหญิง จากการรายงานของศูนย์ข้อมูลทางพันธุกรรมและโรคหายาก (GARD) ระบุว่ามีชาวอเมริกันจำนวน 200,000 คนที่มีลักษณะพิเศษดังกล่าว จะรู้ได้อย่างไรว่าเราเองก็มีหัวนมที่ 3 ?? เจ้าหัวนมซ่อนเร้นนี้จะไม่มีการพัฒนาเต็มที่เหมือนกับหัวนมปรกติ ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณอาจจะไม่สามารถรู้ได้ทันทีว่าตัวเองก็มีหัวนมที่ 3 กับเค้าเหมือนกัน บางอันอาจจะมีลักษณะเป็นติ่งเล็กๆ แต่บางอันก็อาจจะมีลักษณะคล้ายกับหัวนมของคุณ ปรกตินั้นเจ้าหัวนมซ่อนเร้นจะเกิดขึ้นตามแนวเต้านม ซึ่งจะอยู่บริเวณด้านหน้าเราตั้งแต่บริเวณรักแร้ลากผ่านหัวนมของเราไปจนถึงบริเวณของอวัยวะเพศ…
-
ช็อกโกแลตอาจจะสูญพันธุ์ภายในอีก 40 ปี หลังพบวิกฤตสภาพอากาศในโลกที่เปลี่ยนไป
ช็อคโกแลต น่าจะเป็นขนมหวานสุดโปรดของใครหลาย ๆ คน ไม่เพียงแต่มันจะมีรสชาติเอร็ดอร่อยเท่านั้น แต่งานวิจัยยังพบว่าการทานช็อคโกแลตยังทำให้รู้สึกมีความสุขจากสารเอ็นโดรฟินอีกด้วย จึงไม่แปลกที่ตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าสะดวกซื้อจะมีขนมช็อคโกแลตวางขายให้เห็นเต็มไปหมด แต่เชื่อหรือไม่ มีข่าวว่าช็อคโกแลตที่เราชอบทานอาจจะสูญพันธุ์ภายใน 40 ปี เนื่องจากสภาพอากาศของโลกที่กำลังร้อนและแห้งแล้งขึ้นนั่นเอง ปกติแล้วต้นโกโก้นั้นจะเติบโตได้พื้นที่บริเวณ 20 องศาเหนือและใต้จากเส้นศูนย์สูตร ที่มีอุณหภูมิ ฝน และความชื้นที่คงที่ตลอดทั้งปี ดังนั้น ผลผลิตโกโก้ครึ่งหนึ่งของโลกจึงมาจากสองประเทศในแอฟริกาตะวันตกเท่านั้น ซึ่งก็คือไอวอรีโคสต์และกานา แต่ราวๆ ปี 2,050 พื้นที่ปลูกโกโก้จะลดน้อยลงไปอีก สภาพอากาศที่ร้อนขึ้นจะทำให้ต้องนำโกโก้ไปปลูกบนเขาสูงที่มากกว่า 1,000 ฟุต ซึ่งเป็นพื้นที่สงวนไว้สำหรับสัตว์ป่าเท่านั้น เหล่านักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียจึงร่วมมือกับบริษัท Mars เพื่อหาหนทางการแก้ไขปัญหานี้ก่อนที่จะสายเกินไป และพวกเขาก็ค้นพบเทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรมที่เรียกว่า CRISPR ที่ถูกคิดค้นโดย UC Berkeley Innovative Genomics Institute ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี เมล็ดพันธุ์โกโก้ทั้งหลายก็จะสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ทางบริษัท Mars เองก็ใช้งบประมาณไปกับการช่วยลดภาวะโลกร้อนโดยการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เป็นผลมาจากกระบวนการผลิต โดยคาดว่าในปี 2050 จะสามารถลดได้ถึง 60% ขณะที่หลังจากข่าวการสูญพันธุ์ของโกโก้แพร่กระจายออกไป กลับมีข้อมูลจาก Intergovernmental Panel on…
-
พาชมพิพิธภัณฑ์ ‘มนตร์ดำ’ ที่รวบรวมสิ่งของเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องแม่มดไว้กว่า 3,000 ชิ้น!!
“ห่างจากที่นี่ประมาณ 4 กิโลเมตรจากจุดนี้ คุณจะพบกับหินแกะสลักรูปเขาวงกตในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าในบริเวณนี้เคยเป็นที่ประกอบพิธีกรรมในสมัยโบราณมาก่อน ในประเทศอังกฤษนั้นมีเรื่องราวเร้นลับมากมาย และพวกวิญญาณก็อยู่ใกล้กับเรามากกว่าที่คิด” คุณ Cecil Williamson ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์มนต์ดำ The Museum of Witchcraft and Magic จากหมู่บ้าน Boscastle เมือง Cornwall ประเทศอังกฤษเล่าถึงสิ่งที่ยืนยันว่าเหตุใดเขาจึงเริ่มสร้างสถานที่สำหรับเก็บสิ่งของเร้นลับมากกว่า 3,000 ชิ้นขึ้นในที่แห่งนี้ ที่นี่จัดเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เก็บสิ่งของเกี่ยวกับมนต์ดำมากมายเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นโบราณ ลูกแก้ว กระดานผี และเครื่องรางอย่างโหลที่เต็มไปด้วยผึ้ง ซึ่งคนในยุคนั้นเชื่อว่ามันคือเครื่องรางสำหรับความโชคดี และรวมถึงหนังสือมากกว่า 7,000 เล่มที่เล่าถึงความเป็นมาของเวทย์มนตร์ในยุคโบราณ ความสนใจในโลกเวทย์มนตร์ของคุณ Williamson เริ่มต้นขึ้นในสมัยเรียน หลังจากที่เพื่อนร่วมชั้นได้สอนเขาเกี่ยวกับท่องคาถาบางอย่าง และจากนั้นเขาก็เริ่มตามหาสิ่งของทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์เพื่อเก็บสะสม หุ่นจำลองของหญิงสาวลึกลับที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ของสะสมของเขาเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และนอกจากนี้เขายังได้มีโอกาสสนิทสนมกับเหล่าผู้ก่อตั้งลัทธินอกรีตต่างๆ อย่าง Gerald Gardner จากลัทธิ Wicca รวมถึง Aleister Crowley จากกลุ่ม Thelema และคนอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงในวงการนี้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามคุณ Williamson ของเรานั้นไม่ได้มีความคิดที่จะก่อตั้งลัทธินอกรีตเหมือนกับเพื่อนๆ ของเขาเลยแม้แต่น้อย ประติมากรรมของลัทธิ Horned God of Wicca หนึ่งในลัทธินอกรีต ความหลงใหลเรื่องเวทย์มนตร์ของเขาถูกนำไปใช้ในหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษอย่าง MI6 ชายหนุ่มได้รับมอบหมายในการปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการสืบราชการลับและตรวจสอบข่าวปลอมของฝ่ายนาซีในช่วงสงคราม หลังจากสงครามสงบ Williamson ได้ผันตัวเป็นผู้กำกับภาพยนตร์และเริ่มต้นสร้างโลกเวทย์มนตร์ของเขาอย่างจริงจังอีกครั้ง ชายหนุ่มเริ่มตั้งร้านค้าและแกลอรี่แห่งแรกของเขาที่ชายฝั่งของแม่น้ำ Avon ในเมืองเล็กๆ ใกล้ๆ กับเบอร์มิงแฮม แต่โชคร้ายที่ผู้คนในละแวกนั้นไม่ค่อยสนใจเรื่องราวของเวทย์มนตร์และไสยศาสตร์เท่าไหร่ หนำซ้ำร้านของเขายังถูกไฟไหม้อีกด้วย โชคดีที่พ่อมดของเราสามารถรอดมาได้ และถึงแม้ว่าไฟจะไหม้ร้านเดิมของเขาไป แต่ความหลงใหลของเขากลับไม่ได้ถูกเผาไปด้วย คุณ Williamson เริ่มเปิดร้านใหม่ของเขาอีกครั้งในปี 1951…
-
เรื่องราวของ Blind Tom ชายผู้เกิดเป็นทาส สู่นักเปียโนที่มีค่าจ้างสูงที่สุดในยุคศตวรรษที่ 19
ชีวิตของคนเรามักเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และบางครั้งการเปลี่ยนแปลงที่ว่าอาจจะยิ่งใหญ่จนเปลี่ยนชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็เป็นได้ ดั่งเช่นเรื่องราวของชายคนนี้ ‘Blind Tom’ หรือ Thomas Wiggins ชายผู้เกิดเป็นทาส สู่หนทางการเป็นนักเปียโน “Blind Tom” (อันนี้คือฉายาใช่มั้ย ชื่อจริงๆ เขาคือ Thomas Wiggins ใช่ไหม) เป็นนักดนตรีที่เกิดมาเป็นทาสในปี 1850 ในรัฐจอร์เจีย เขาเป็นอัจฉริยะที่อยู่ร่วมในสมัยของ Liszt กับ Rubinstein สุดยอดนักดนตรีทั้งสอง แต่เขากลับไม่สามารถรับรู้ได้ถึงทั้งชื่อเสียง สีผิว หรือแม้แต่ความสำเร็จของเขาเลยแม้แต่อย่างเดียว สิ่งที่เขาสามารถรับรู้นั้นมีเพียงแค่บทเพลงของเขาเท่านั้น เขาอาจทิ้งบทเพลงไว้น้อยมาก แต่ Thomas Wiggins คนนี้ก็เป็นหนึ่งในสุดยอดของสุดยอดแห่งศตวรรษที่ 19 เขาคือชายปริศนาผู้ได้เล่นดนตรีต่อหน้าประธานาธิบดี James Buchanan ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 15 ในธรรมเนียบขาวมาแล้ว ตอนที่ Thomas เกิด เขาถูกขายให้นายพล James Neil Bethune ผู้เป็นทนายจากจอร์เจีย และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ในทันที เด็กชายคนนี้ตาบอดและมีพฤติกรรมที่แปลกประหลาด เขาสนใจในเสียง พิสมัยในเสียงเพลง และต้องการที่จะแยกแยะมันให้เข้าใจ เขาสามารถแยกเสียงสัตว์อย่างแม่นยำและสามารถจำบทสนทนาที่ยาวถึงสิบนาทีได้ จากแหล่งที่มาบางส่วน เมื่อ Thomas จับเปียโนเป็นครั้งแรกเขาสามารถเล่นเพลงที่เขาเคยได้ฟังจากลูกสาวของ Bethune…
-
ผมเอาอยู่!! หนุ่มนักศึกษาอาศัยอยู่หอร่วมกันกับ ‘แฟนสาวทั้งสองคน’ แถมยังแฮปปี้สุดๆ
เพื่อนๆ เคยมีความรักกันรึเปล่า? ความมรักเนี่ยปกติจะเป็นในรูปแบบ ชาย-หญิง แต่มันก็ยังมีแบบอืื่นเช่น ชาย-ชาย หญิง-หญิง และอีกมากมาย แต่ที่เราจะเอาบทความมาให้ชมเนี่ยมันแปลกยิ่งกว่านั้น เพราะความสัมพันธ์ที่นำมาให้ชมนี้เป็นความสัมพันธ์ของ ชายหนึ่ง-หญิงสอง Joe Freeney และ Katie Aitchison ชายหญิงอายุ 21 ปี ทั้งคู่เปรียบเหมือนอัศวินม้าขาวของกันและกัน และ Clare Verduyn เองก็รู้สึกแบบนั้นกับทั้งคู่เช่นกัน ทั้งสามคนตอนนี้ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสามคน มีความสัมพันธ์กันแบบรักสามเส้าที่ไม่เศร้า และฝ่ายชายเป็นคนที่ทำงานบ้านเป็นส่วนใหญ่ในความสัมพันธ์แบบ Polyamorous Joe กล่าวว่า “เพื่อนของผมคิดว่าผมเป็นชายที่โชคดีที่สุดในโลก และนึกว่าผมจะสบายเพราะมีแฟนตั้งสองคน แต่จริงๆ มันก็ค่อนข้างวุ่นวายเลยครับ” “เราตกลงกันว่าจะผลัดกันทำอาหาร แต่สุดท้ายก็มักจะเป็นผมที่ต้องทำเองอยู่ดี และผมยังต้องทำความสะอาดและซักผ้าเป็นส่วนใหญ่อีกด้วย” “แต่ผมรักพวกเธอทั้งคู่และพวกเธอก็รักซึ่งกันละกัน พวกเราเข้ากันได้ดีเลยแหละ” “ผมรู้ว่าคนส่วนมากจะมองพวกเราว่าแปลก แต่ว่าแบบนี้มันดีเลย มันเป็นความสัมพันธ์ที่ดีต่อใจที่สุดที่ผมเคยได้รับมาเลยล่ะ ตราบใดที่เรายังเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน” Joe ยังพูดต่ออีกว่า “ตอนนอน Clare จะนอนอยู่ตรงกลาง เธอกรนด้วย ซึ่งมันก็รบกวนผมกับ Katie แหละ แต่พวกเราชินแล้ว” “เธอยังเป็นพวกชอบดึงผ้าห่มอีกด้วย มันก็ยากนะครับที่จะนอนหลับฝันดีได้บนเตียงคู่กับผู้หญิงสองคนเนี่ย” Joe ผู้ซึ่งเป็น…
-
คุณยายวัย 104 ปี เผยเคล็ดลับอายุยืน นั่นก็คือการกินไดเอตโค้กทุกวัน
ตอนเด็กๆ เชื่อว่าทุกคนคงเคยถูกคุณพ่อคุณแม่ดุเวลาดื่มน้ำอัดลมเยอะๆ กันมาบ้าง เดี๋ยวก็ฟันผุหรอกบ้างล่ะ เดี๋ยวก็กระดูกกร่อนบ้างล่ะ แต่ตอนนี้อาจมีเรื่องไปเถียงพ่อแม่ได้แล้วล่ะ ในเมื่อคุณยายวัย 104 ปี ออกมาให้เราฟังว่าเคล็ดลับอายุยืนของเธอคือ การดื่มไดเอตโค้กทุกวันนั่นเอง เอาล่ะสิ ตกลงการดื่มน้ำอัดลมมันช่วยได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ เอาเป็นว่าไปฟังคุณยายแกกันก่อนเถอะ คุณยาย Theresa Rowley วัย 104 ปี จากเมือง Grand Rapids ในรัฐมิชิแกนบอกกับพวกเราว่าเธออายุยืนได้เพราะน้ำอัดลมไร้น้ำตาลนั่นเอง แถมยังบอกอีกว่าพวกเราควรดื่มโค้กไดเอตอย่างน้อยๆ หนึ่งกระป๋องต่อวันอีกด้วย “ตอนที่ฉันอายุ 100 ปี ฉันไม่คิดว่าฉันจะอยู่ถึง 104 ปีเลย แต่สุดท้ายฉันก็อายุ 101 โดยไม่ได้เป็นอะไรไป แล้วมันก็เป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ฉันอายุ 104” “ฉันดื่มไดเอตโค้กเพราะว่าฉันชอบมัน ฉันไปซื้อของทุกวันพุธก็เพราะว่าฉันต้องการมัน” คุณยายเล่า “ฉันมีกระป๋องเปล่าเป็นถุงๆ ที่ต้องเอาไปคืนเพื่อที่จะซื้อกระป๋องใหม่” แต่ก็มีคนจำนวนมากไม่เชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เพราะที่จริงแล้วไดเอตโค้กออกวางขายเมื่อปี 1982 ซึ่งในตอนนั้นคุณยายก็อายุ 68 ปีไปแล้วเพราะฉะนั้นมันอาจจะไม่ใช่เหตุผลที่คุณยายอายุยืนก็ได้ แน่นอนว่าพวกคุณหมอทั้งหลายก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณยายเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นอย่าพึ่งวิ่งไปเหมาไดเอตโค้กกันมาเสียก่อนล่ะ ตามข้อมูลบนเว็บไซต์…
-
เหตุการณ์ Sankebetsu ‘หมีโจมตีคน’ เมื่อปี 1915 ในญี่ปุ่น ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
ความอันตรายของหมีนั้นมีอยู่มากมาย ทั้งกำลังขาที่รวดเร็วพอที่จะทำให้มนุษย์หมดโอกาสวิ่งหนีและกำลังแขนมากพอที่จะทำให้มนุษย์คอบิดกลับหลังด้วยการตะปบเพียงครั้งเดียว ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่ามนุษย์เราจะลืมความอันตรายของหมีไปกันอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นวันนี้เราจึงนำเรื่องราวของเหตุการณ์หมีสีน้ำตาลโจมตีมนุษย์ที่ร้ายแรงที่สุดมาให้ชมกันเป็นอุทาหรณ์ ในฤดูหนาวปี 1915 ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่หมู่บ้าน Sankebetsu Rokusen Sawa ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งทางตะวันตกของเกาะฮอกไกโดเข้าไปในหุบเขา 29 กิโลเมตร ต้องรับศึกกับหมีสีน้ำตาลยักษ์พันธุ์ Ussuri ที่ตื่นขึ้นจากจำศีลเร็วกว่าปกติ มันหิวโซและเริ่มที่จะออกหาอาหาร ด้วยความดุร้ายมันได้สังหารสิ่งมีชีวิตไปนับไม่ถ้วน ทั้งสัตว์ป่าและมนุษย์ เรื่องราวของมันถูกบันทึกไว้อย่างพิถีพิถันโดยคนในสมัยนั้น และทำให้เรื่องราวอันน่าเศร้ายังนี้คงอยู่มาถึงในปัจจุบัน ทุกอย่างมันเริ่มขึ้นในเช้าวันหนึ่งในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนในปีเดียวกัน เมื่อหมีสีน้ำตาลปรากฎตัวขึ้นที่หน้าประตูบ้านของครอบครัว Ikeda การปรากฎตัวครั้งแรกนั้นจบลงด้วยดีเพราะแม้ว่าหมีจะน่ากลัวแต่มันก็แค่มาขโมยข้าวโพดเล็กน้อยแล้วจากไป แม้ว่ามันจะดูเร็วเกินกว่าเวลาที่ปกติหมีจะออกจากจำศีล แต่การพบสัตว์ป่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกของหมู่บ้านที่เพิ่งจะสร้างเสร็จแห่งนี้ ช่างโชคร้ายที่หมีได้ปรากฎตัวออกมาอีกครั้งในวันที่ 20 พฤศจิกายน ทำให้หัวหน้าครอบครัว Ikeda ตัดสินใจเรียกลูกชายและชาวบ้านจากบ้านใกล้ๆ พวกเขายิงหมีบาดเจ็บได้ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึงอย่างนั้นหมีตัวนั้นก็สามารถหนีกลับเข้าป่าไปได้โดยทิ้งไว้แค่รอยเลือดเท่านั้น พวกชาวบ้านแกะรอยตามไปยังภูเขา Onishika แต่ไม่สามารถหาตัวหมีพบ พวกชาวบ้านที่เชื่อกันว่าหมีจะไม่กลับมาอีกเพราะพิษบาดแผลจากกระสุนปืน ทำให้พวกเขายกเลิกการค้นหาไป หลังจากนั้นไม่นานนักพวกเขาก็รู้ว่าคิดผิด หมีสีน้ำตาลกลับมาอีกครั้งในเช้าวันที่ 9 ธันวาคม ที่บ้านของตระกูล Ota ภายในบ้าน Abe Mayu ภรรยาของหัวหน้าตระกูล Ota กำลังดูแลเด็ก (ซึ่งไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือด) ชื่อ Hasumi Mikio มันได้เข้ามาโจมตีและฆ่าเด็กทิ้งกลางบ้าน หลังจากนั้นก็ลาก Mayu ออกมาจากบ้านในสภาพเละเทะ ร่างของเธอถูกพบและฝังไว้ใต้ต้นไม้และกองหิมะหลังจากนั้น กลุ่มค้นหาของชาวบ้านพบตัวหมีห่างเข้าไปในป่า 150 เมตร…
-
6 อาหารที่หากทานแล้ว จะทำให้ ‘ผายลม’ ของคุณมีพลังทำลายล้างรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ผายลม หรือที่เราเรียกกันโดยทั่วไปว่าตด เป็นแก๊สจากลำไส้ซึ่งมีกลิ่นเหม็น แต่เพื่อนๆ รู้รึเปล่า ว่าการตดแต่ละครั้งน่ะมีความเหม็นไม่เท่ากันหรอกนะ ปัจจัยใหญ่อย่างหนึ่งที่ส่งผลให้ผายลมมีความเหม็นรุนแรงนั้นก็คืออาหารการกินนั่นเอง วันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่าอาหารชนิดไหนบ้าง ที่หากกินเยอะแล้วจะทำให้ตดของเราเหม็นอย่างแรง แต่ก่อนจะไปถึงส่วนของอาหารเหล่านั้น มาเพิ่มความรู้กันก่อนดีกว่าทำไมผายลมถึงเหม็น ดอกเตอร์ Shawn Khodadadian ผู้อำนวยการในส่วนของคลินิกโภชนาการ จากโรงพยาบาล Lenox Hill Hospital ในกรุงนิวยอร์ก บอกว่าจริงๆ แล้วแก๊สจากลำไส้ใหญ่นั้นไม่มีกลิ่นอะไรเลย แต่กลิ่นมาจากสารอื่นๆ ที่เกิดจากอาหารการกินของเราต่างหาก โดยอาหารที่ทำให้กลิ่นผายลมเหม็นมักจะมีซัลเฟอร์สูง ซึ่งอาหารที่มีซัลเฟอร์จะถูกย่อยโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ จนกลายเป็นไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่เป็นตัวต้นเหตุจริงๆ ของกลิ่นเหม็นนั่นเอง พอรู้แบบนี้แล้วก็ไปดูกันเลยว่าอาหารอะไรบ้างที่ทำให้ตดของเราเหม็น 1. บรอกโคลี ผักบรอกโคลีนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารและสารต่อต้านอนุมูลอิสระ แต่มันก็มีส่วนประกอบของซัลเฟอร์สูงเช่นกัน นอกจากนี้บรอกโคลียังมีไฟเบอร์ และสารแรฟฟิโนสซึ่งส่งผลให้กลิ่นเหม็นด้วยเช่นกัน จึงต้องระวังเรื่องกลิ่นตดให้ดีหากจะทานเยอะๆ 2. กะหล่ำดอก เช่นเดียวกับบรอกโคลี กะหล่ำดอกก็เป็นผักชนิด Cruciferous (พืชที่ีลักษณะเป็นดอก) และผักประเภทนี้นี่แหละที่ขึ้นชื่อเรื่องทำให้ตดเหม็นมากๆ เลย เพราะมันมีสารแรฟฟิโนสมากดังที่กล่าวไปในส่วนของบรอกโคลี 3. ผลิตภัณฑ์จากวัว (นม, ชีส และโยเกิร์ต) …
-
8 เรื่องจริงอันน่าประหลาดเกี่ยวกับ ‘ผู้หญิง’ ในประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยได้ยินในห้องเรียนมาก่อน
ในตำราประวัติศาสตร์โลกที่พวกเราเคยร่ำเรียนกันในโรงเรียนนนั้น นอกจากจะพูดถึงการค้าในเส้นทางสายไหม การปฏิวัติอุสาหกรรม และมนุษย์ยุดหินแล้ว เรื่องราวและชื่อของเหล่าสตรีในประวัติศาสตร์ก็อาจจะเคยผ่านหูเพื่อนๆ กันมาบ้างแน่ๆ แต่ทว่าในตำราที่เราเคยท่องจำกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อคะแนนมิดเทอมหรือคะแนนสอบไฟนอลนั้น อาจจะไม่เคยพูดถึง 8 เรื่องจริงอันน่าประหลาดเกี่ยวกับ ‘ผู้หญิง’ ในประวัติศาสตร์ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้อย่างแน่นอน!! 1. ในยุคโบราณนั้นผู้หญิงมีสิทธิ์ในราชบัลลังก์เท่าเทียมกับผู้ชาย การเมืองการปกครองของอียิปต์โบราณนั้นถือได้ว่ามีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่าอาณาจักรโบราณอื่นๆ เพราะไม่ว่าผู้สืบราชสมบัตินั้นจะเป็นเพศใดก็ตาม พวกเขามีสิทธิ์ที่จะสืบราชบัลลังก์อย่างเท่าเทียมกัน 2. พวกเธอมีสิทธิในการหย่าร้าง ในสมัยกรีกโบราณ สิทธิของสตรีนั้นค่อนข้างที่จะจำกัดแต่อย่างไรก็ตามพวกเธอยังมีสิทธิที่จะสามารถขอหย่าได้ ซึ่งพวกเธอจะต้องหาชายอีกคนเพื่อมายืนยันการหย่าของเธอ ส่วนถ้าหากฝ่ายชายอยากหย่าน่ะหรือ?? ก็แค่โยนพวกเธอออกนอกบ้านเท่านั้นเอง 3. ผู้หญิงในยุคโบราณสามารถมีตำแหน่งที่สำคัญทางศาสนาได้ ย้อนกลับไปที่สมัยอียิปต์โบราณอีกครั้ง ในขณะที่ปัจจุบันเราอาจจะเห็นผู้หญิงนั้นเป็นเพียงแค่นักบวชในศาสนาเท่านั้น แต่ในสมัยอียิปต์พวกเขามีตำแหน่ง God’s Wife Amun ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตำแหน่งทางศาสนาที่สูงสุดอีกตำแหน่งหนึ่งในลัทธินับถือเทพ AMUN เลยทีเดียว 4. และการศึกษาของพวกเธอนั้นก็ไม่ใช่ธรรมดาเลยนะ!! ระดับการศึกษาของผู้หญิงในโรมยุคโบราณนั้นถือเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก ซึ่งโดยส่วนมากแล้วพวกเธอมักจะได้ร่ำเรียนเพียงแค่การอ่านเขียนธรรมดาเท่านั้น แต่บางครอบครัวกลับไม่เห็นด้วยและพยายามที่จะมอบการศึกษาที่สูงๆ ให้กับลูกสาวพวกเขา 5. ถึงแม้จะเป็นสาวยุคโบราณ แต่เราก็มีชุดบิกินีใส่เหมือนกันนะ แน่นอนว่าถ้าหากพูดถึงบิกินี่ล่ะก็ หลายๆ คนอาจจะนึกถึงสาวๆ จากซีกโลกตะวันตกใช่ไหมล่ะ แต่เชื่อหรือไม่จริงๆ แล้วชุดชั้นในแบบบิกินี่นั้นมีต้นกำเนิดมาจากหญิงสาวชาวโรมในยุคโบราณต่างหาก ถึงแม้ว่าในสมัยนั้นมันอาจจะไม่ได้เรียกว่าชุดบิกินี่ แต่สิ่งที่พวกเธอสวมใส่นั้นก็มีลักษณะคล้ายๆ กัน …
-
ภาพความงดงามของ 10 ขุนเขา ที่คุณต้องออกไปสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่งในชีวิต
โลกของเรานั้นมีความสวยงามของธรรมชาติอีกมากมายที่กำลังรอให้เราไปสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นแสงเหนือ ธารน้ำแข็งที่นอร์เวย์ หรือยอดเขาต่างๆ และนอกจากยอดดอยอินทนนทร์ ภูกระดึง หรือดอยขุนตาลแล้ว ในโลกของเรานั้นก็ยังมียอดเขาและเทือกเขาที่สวยงามอีกมากรอคอยให้เราไปสัมผัสอย่างเช่น 10 ขุนเขาที่สวยงามจนคุณต้องเดินทางไปชมสักครั้งในชีวิตที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ 1. Cerro Standhardt ประเทศอาร์เจนตินา Cerro Standhardt เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างประเทศอาร์เจนตินาและชิลี มีความสูงจากระดับน้ำทะเลมากถึง 2,600 เมตร ความสวยงามของที่นี่ก็คือปรากฎการณ์ Rime Ice หรือน้ำแข็งขุ่นนั่นเอง 2. ยอดเขา Grand Tetons รัฐไวโอมิง สหรัฐอเมริกา นี่คือหนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทธยานแห่งชาติ Grand Teton และที่นี่ถือเป็นหนึ่งในยอดเขาที่ง่ายต่อการขึ้นไปสัมผัสความสวยงามของธรรมชาติ เพราะมีทางขึ้นอยู่หลายทางด้วยกัน และหนึ่งในนั้นก็คือบริการรถไฟขนส่งสินค้านั่นเอง 3. เทือกเขา Huangshan มณฑลอานฮุย ประเทศจีน ความสวยงามของวิวก้อนเมฆในหุบเขาแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในความสวยงามที่ตราตรึงใจนักท่องเที่ยวหลายๆ คนเลยทีเดียว และแสงของพระอาทิตย์ที่กระทบกับยอดเขายามเย็นก็ยังโรแมนติกสุดๆ อีกด้วย ที่นี่ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของประเทศจีนเลย 4. ภูเขา Cerro Torre ทางตอนใต้ของประเทศอาร์เจนตินา ภูเขาแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ขึ้นชื่อทางตอนใต้ของภูมิภาคปาตาโกเนียในทวีปอเมริกาใต้เลยทีเดียว ตลอดระยะเวลา 4 วัน นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมความสวยงามของธารน้ำแข็งและความสวยงามของภูเขาที่มีความสูงถึง 3,128 เมตรจากระดับน้ำทะเล 5. Everest ประเทศเนปาล…
-
Million Dollar Point สุสานใต้ทะเลของยุทโธปกรณ์ทางทหารมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์
อย่างที่เรารู้ๆ กันดีว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นถือเป็นหนึ่งในสงครามที่ใหญ่ที่สุดสงครามหนึ่งของโลก มีทหารมากกว่า 100 ล้านนายจาก 30 ประเทศเข้าร่วมรบในสงครามครั้งนี้ แน่นอนว่าสงครามที่ใหญ่ขนาดนี้ก็ย่อมต้องมีการใช้ยุทโธปกรณ์ทางการทหารมากมายด้วยเช่นกัน และวันนี้เราจะขอพาทุกคนเดินทางไปที่หมู่เกาะ Espirito Santo หมู่เกาะเล็กๆ ในประเทศวานูอาตู ที่เป็นสุสานใต้ทะเลของยุทโธปกรณ์ทางการทหารจากกองทัพสหรัฐ บริเวณใกล้ชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกแห่งนี้เต็มไปด้วยเศษซากของยุธโทรปกรณ์หลายร้อยตันจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถูกนำมาทิ้งเอาไว้ และปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในจุดดำน้ำยอดนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งและถูกขนานนามว่า “Million Dollar Point” ยุทโธปกรณ์มากมายประกอบไปด้วยรถบรรทุก รถฮัมวี่ รถถัง รถตักและรถยก รวมถึงแผ่นเหล็กและเครื่องแบบทหารมากมายถูกทิ้งไว้ที่ฐานทัพแห่งนี้ หลังจากที่มันถูกสั่งปิด หลังการปิดตัวของฐานทัพแห่งนี้ กองทัพสหรัฐได้ประกาศขายยุทโธปกรณ์เหล่านี้ให้กับกองทัพอังกฤษแต่ถูกปฏิเสธ ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องทิ้งพวกมันลงก้นมหาสมุทร เนื่องจากที่ฐานทัพแห่งใหม่นั้นไม่มีที่เพียงพอ คุณ Thurston Clarke คอลัมนิสด้านการท่องเที่ยวได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสุสานใต้ทะเลแห่งนี้ว่าเขาเรียกมันว่า “ฐานทัพใต้ทะเล” โดยเขาเล่าว่ากองทัพได้สร้างทางลาดลงไปยังทะเลก่อนที่จะขับรถจี๊ปและยุทโธปกรณ์ต่างๆ ลงไปทิ้งไว้ใต้ทะเล ซากของรถจี๊ปที่ถูกทิ้งเอาไว้ใต้ทะเล คนในท้องที่เล่าว่าพวกเขาเห็นทหารอเมริกันจัดการการกับยุทโธปกรณ์เหล่านี้เหมือนกับว่าพวกเขาไม่อยากจะเห็นมันอีกครั้ง โครงเหล็กและสิ่งของต่างๆ ที่ถูกทิ้ง หนึ่งในอนุสรณ์ขยะจากสงคราม ฐานทัพแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของท่าเพิร์ลฮาร์เบอร์ ในฮาวาย ซากเรือ SS…
-
7 เรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ฉี่’ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน แต่รู้ไว้ก็ดีนะเพราะมันเกี่ยวกับสุขภาพของคุณ!!
บางครั้งการตรวจสุขภาพร่างกายของเราก็สามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ ในห้องน้ำที่บ้าน อย่างที่หลายๆ คนพอจะทราบกันดีว่าเราสามารถตรวจสุขภาพของลำไส้หรือกระเพาะได้ง่ายๆ โดยสังเกตจากสภาพของ ‘ทองคำ’ ที่เบ่งออกมา และเมื่อไม่นานมานี้ทางเว็บไซต์ Bright Side ก็ได้แนะนำวิธีตรวจสอบร่างกายเราง่ายๆ จากปัสสาวะของเราพร้อมกับแนะนำวิธีดูแลตัวเองอีกด้วย จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นไปชมกันเลย!! เริ่มกันที่สีส้ม ปัสสาวะสีนี้อาจเป็นผลมาจากการทานยายาแก้อัก ยาระบาย การทำเคมีบำบัด การทานวิตามินบี 2 หรือการบริโภคพืชผักที่มีสารเบต้าแคโรทีนมากเกินไปนั่นเอง นอกจากนี้การดื่มน้ำน้อยก็อาจจะทำให้ปัสสาวะของคุณมีสีส้มถึงส้มเข้มได้อีกด้วย แต่สิ่งสำคัญอีกข้อหนึ่งนั่นก็คือลองเช็กดวงตาของคุณถ้าหากมีสีเหลืองด้วยล่ะก็นั่นอาจจะหมายความว่าตับของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว!! สีชมพูหรือสีแดงระเรื่อ แน่นอนว่าอะไรที่เป็นสีแดงๆ นั้นมักจะทำให้พวกเราใจคอไม่ดี แต่อย่าเพิ่งแตกตื่นกันเพื่อนรักบางครั้งสาเหตุของปัสสาวะสีแดงนั้นอาจจะมาจากอาหารอย่างบีทรูท พวกเบอรี่ต่าง หรือยาปฏิชีวนะอย่าง Rifadin หรือ Rimactane ที่คุณทานเข้าไปก็ได้ โดยมันจะกลับเป็นปรกติหลังจากนั้น 1 วัน แต่ถ้าหากว่าคุณไม่แน่ใจล่ะก็อาจจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดก็ได้ เพราะบางครั้งปัสสาวะสีนี้อาจจะหมายถึงอาการผิดปรกติของกระเพาะปัสสาวะ หรือไตได้เช่นกัน สีเขียวหรือสีน้ำเงิน นี่อาจจะเป็นสีที่พบเห็นได้ยาก ปัสสาวะสีนี้อาจจะมาจากการกินอาหารที่มีการย้อมสีหรือทานยาบางประเภทอย่างเช่น Amitriptyline, Indomethacin และ Propofol แต่ถ้าหากว่าคุณยังหาสาเหตุไม่พบล่ะก็ แนะนำว่าให้รีบไปพบแพทย์จะดีกว่าเพราะปัสสาวะสีนี้เป็นสีที่พบได้ยาก และมันอาจจะหมายความว่าโดนแบคทีเรียในกลุ่ม Pseudomonas เล่นงานเข้าให้แล้ว และนอกจากนี้คุณยังอาจจะเป็นนิ่วในไตอีกด้วย!! สีน้ำตาล ปัสสาวะสีน้ำตาลนั้นอาจจะส่งสัญญาณเตือนว่าตอนนี้ร่างกายของคุณกำลังขาดน้ำ หรือเป็นผลมาจากการทานผักอย่างรูบาร์บหรือพวกถั่วปากอ้าเข้าไปนั่นเอง แต่ถ้าหากว่าคุณไม่แน่ใจล่ะก็ลองปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูเพราะปัสสาวะสีนี้อาจบอกได้ว่าตับและไตของคุณกำลังมีปัญหานั่นเอง ปัสสาวะมีฟอง ฟองในปัสสาวะนั้นอาจจะเป็นเรื่องปรกติ แต่ถ้าหากว่ามันมากเกินผิดสังเกตุล่ะก็คุณควรไปพบแพทย์…
-
นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของคุณ หากเลือกทานแต่เนื้อ ไม่ทานผักเลย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “เนื้อสัตว์” เป็นอาหารแสนอร่อยที่ทุกคนต่างโปรดปราน ไม่ว่าจะเป็น ไก่ทอด สเต็ก หรือหมูกระทะ แต่เคยสงสัยกันไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนเราตัดสินใจที่จะไม่ทานผักเลย แล้วก้มหน้าก้มตาทานแต่เนื้อเพียงอย่างเดียว!? แน่นอนว่าผลที่ออกมาคือร่างกายของคุณต้องพังเป็นแน่ ดังนั้นอย่าได้คิดจะลองทำดูเชียวล่ะ แม้ว่าคุณจะเกลียดผักแค่ไหนก็ตามเถอะ วิดีโอดีๆ จากทาง AsapSCIENCE ได้ไขข้อข้องใจที่ทำให้เราหายสงสัยว่า หากมนุษย์เราบริโภคแต่เนื้อสัตว์อย่างเดียวโดยไม่มีผักและผลไม้ มันจะทำให้ร่างกายเราเป็๋นอย่างไร!? ร่างกายขาดไฟเบอร์ และกระบวนการเผาผลาญมีปัญหา อย่างแรกเลยถ้าคนเราจะทานแค่เนื้ออย่างเดียวเท่ากับว่าคุณจะขาดไฟเบอร์แบบสุดๆ นำไปสู่อาการท้องผูกและไม่สบาย แต่นั่นก็เป็นแค่อาการเบาที่สุดนะ เพราะยังมีอย่างอื่นตามมาอีก การขาดคาร์โบไฮเดรตหมายถึงคุณจะขาดสารอาหารที่ให้พลังงานมากที่สุดดังนั้นร่างกายของคุณจะไปเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้แทน แน่นอนว่าถ้ามันเป็นแค่นั้นก็คงดี เพียงแต่ระหว่างที่เผาพลาญไขมันนั้นร่างกายจะทำไปพร้อมๆ กับการเผาพลาญโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายไปด้วยซึ่งจะส่งผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตรายได้ อาการโปรตีนเป็นพิษ!? ข้อเสียข้อต่อมาคืออาการโปรตีนเป็นพิษที่จะก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ ท้องเสียและอาจเลวร้ายถึงขั้นเสียชีวิต อาการเหล่านี้เกิดมาจากการสะสมของยูเรียซึ่งเกิดจากการแปลงโปรตีนเป็นน้ำตาลกลูโคสเพื่อให้พลังงานในตับ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเนื้อกระต่ายนั้นมีความอันตรายเป็นพิเศษ เนื่องจากพวกมันมีไขมันในเนื้อน้อยมากจนร่างกายผู้ทานจำเป็นต้องเผาผลาญไขมันของตัวเองไปพร้อมๆ กับโปรตีน ยืนยันด้วยงานวิจัยที่บอกว่าคุณสามารถอดอยากได้แม้ทานเนื้อกระต่ายอย่างต่อเนื่อง ขาดวิตามินซี ความอันตรายอีกอย่างถ้าหากว่าข้างบนยังเลวร้ายไม่พอคือการขาดวิตามินซี เพราะมนุษย์เป็นสัตว์เพียงไม่กี่ชนิดบนโลกที่ผลิตวิตามินซีเองไม่ได้ การขาดวิตามินซีก็แน่นอนว่าจะทำให้คุณมีรอยช้ำง่าย เลือดออกง่าย และแม้กระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงทางบุคลิก แน่นอนว่าอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต หนึ่งในวิธีแก้ปัญหานี้โดยที่ยังทานแค่เนื้อคือการทานเนื้อดิบๆ เพราะการปรุงอาหารเป็นการทำลายวิตามินซีในเนื้อ แต่มันอาจจะทำให้เกิดอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับพยาธิขึ้นมาเช่นได้เช่นกัน บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมชาวเอสกิโมในแคนาดาถึงรอดมาได้ทั้งๆ ที่ก็แทบจะทานแต่เนื้อเหมือนกัน…
-
นักวิทย์วิเคราะห์ “รักระยะไกล” จากงานวิจัย เป็นไปได้ไหม ที่จะไปถึงฝั่งฝัน!?
บางคนเคยบอกว่ารักระยะไกลจะทำให้เราคิดถึงกันมากขึ้น บ้างก็ว่าจะทำให้เราห่างเหินกันไปจนต้องเลิกรา ไม่ว่าเรื่องไหนจะเป็นความจริง นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมาวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรเราลองไปชมกัน… ความความสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนและเพื่อสร้างมันขึ้นมาเราต้องทำอะไรมากมายและการรักษามันให้ดีก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก ส่วนในเรื่องของความสัมพันธ์ระยะไกลยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะส่วนใหญ่มักจะไปไม่รอด หรือถ้ารอดก็มีโอกาสน้อยมากๆ…. แต่ถึงอย่างนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักวิจัยได้พบกับข้อมูลอันน่าตกใจ ที่ไม่ใช่แค่ว่ารักทางไกลนั้นเป็นไปได้แต่มันยังดียิ่งกว่าความรักระยะใกล้เสียด้วยซ้ำ ในปี 2015 นักวิจัยของ Queen’s University ได้ทำการศึกษาคู่รัก 1,142 คู่ทั้งหมดอยู่ในช่วงอายุ 20 ปี ในจำนวนทั้งหมดนี้มี 30 เปอร์เซ็นไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัย และ 77 เปอร์เซ็นเป็นคู่รักทั่วไป ผลการวิจัยพบว่าคู่รักทางไกลมีระดับความใกล้ชิด การสื่อสาร ความมุ่งมั่น ความพอใจทางเพศและความพอใจโดยรวมในระดับที่ไม่แตกต่างกับกลุ่มคู่รักระยะใกล้ “ดูเหมือนว่านี่เป็นการค้นพบครั้งสำคัญเพราะว่าระยะทาง [ความรักระยะไกล] ได้บังคับให้เกิดการสื่อสารกันเพิ่มขึ้นและลึกซึ้งมากขึ้น แต่ถ้าคุณอยู่ในบริเวณเดียวกัน คุณจะสามารถรู้จักกันแค่เพียงผิวเผินและไม่มีโอกาสได้รู้จักกันไปมากกว่านั้นสักเท่าไหร่” ดอกเตอร์ Vinita Mehta ผู้เป็นนักจิตวิทยาทางคลินิกและนักเขียนในวอชิงตัน ดีซีกล่าว โดยธรรมชาติแล้วเมื่อสมองของเราได้รับข้อมูลของคนคนหนึ่งหรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งซ้ำไปซ้ำมาในที่สุดสิ่งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นความเคยตัว และคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่เมื่อเราพบกับสิ่งเร้าใหม่ๆ เราจะตอบสนองต่อเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยปริมาณความรู้สึกที่มากขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่คู่รักใหม่ดูรักกันปานจะกลืนกินนั่นเอง ในความสัมพันธ์ระยะไกลแล้ว คู่รักจะไม่รู้สึกคุ้นเคยกันในระยะเวลาอันสั้น ดั้งนั้นความสัมพันธ์ทั้งหมดจึงค้างอยู่ในสภาพที่คล้ายยังเป็นช่วง ‘ฮันนีมูน’ ก็ว่าได้ แต่นั่นจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคู่รักแต่ล่ะคู่อยู่ดี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการวิจัยใดที่ศึกษาเกี่ยวกับระยะเวลาที่คู่รักระยะไกลจะสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่มั่นคงไว้ได้ แต่ ดอกเตอร์ Mehta…
-
แบนเถอะว๊อย!! เชฟดัง Jamie Oliver เรียกร้องห้ามจำหน่าย “เครื่องดื่มชูกำลัง” ให้แก่เด็กๆ
Jamie Oliver คือเชฟชื่อดังที่ไม่ได้มีความสามารถแค่ในการทำอาหาร แต่เขายังเป็นผู้นำหลักที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนามื้ออาหารสำหรับเด็กนักเรียนในประเทศอังกฤษ และในครั้งนี้เองเขาก็ได้นำเสนออีกหนึ่งแนวคิดที่สำคัญสำหรับอาหารการกินของเด็กๆ ในปัจจุบัน Jamie ต้องการให้รัฐบาลออกมาตรการ “ห้ามขายเครื่องดื่มชูกำลังให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี” เพราะเขาพบว่าการที่เด็กดื่มเครื่องดื่มชนิดนี้เข้าไปจะส่งผลเสียให้กับผลการเรียนของพวกเขา Jamie Oliver เชฟชื่อดังผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในหลายๆ โครงการที่เกี่ยวกับอาหาร พวกเราหลายๆ คนอาจเคยชินกับการดื่มเครื่องดื่มชูกำลังเวลาที่ต้องทำงานในตอนเช้า หรือบางคนก็อาจนำไปผสมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่สำหรับเด็กแล้วอาจไม่เป็นอย่างนั้น เพราะลองคิดกันดูว่าแม้แต่บริษัทผู้ผลิตเอง ยังย้ำให้เราฟังเสมอว่า “เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรดื่ม” ดังนั้นเราก็ไม่ควรขายให้เด็กไม่ใช่หรอ? แม้เราจะรู้ว่าเด็กไม่ควรจะดื่มอะไรแบบนี้ หรือแม้ว่าฉลากข้างขวดจะบอกเอาไว้ชัดเจนมากขนาดไหน แต่พวกเราก็เลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจ ขายให้เหมือนเป็นเรื่องปกติอยู่ดี และจากการที่เราปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นมาโดยตลอด จึงทำให้มีสถิติการดื่มเครื่องดื่มชูกำลังของเด็กอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง จากการศึกษาของ หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารในยุโรป พบว่า กว่า 69 เปอร์เซ็นต์ของวัยรุ่นดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง รวมถึงเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีอีก 24 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง จึงทำให้หลายๆ ที่ตระหนักถึงปัญหาและลงมือแก้ไข อย่างเช่นห้างสรรพสินค้า Waitrose ที่ไม่ขายเครื่องดื่มชูกำลังให้กับวัยรุ่น หรือแม้แต่สหภาพครู NASUWT ก็ยังออกมาเรียกร้องเช่นเดียวกันกับเชฟชื่อดังคนนี้ Kevin…
-
ตำนานของคฤหาสน์ Winchester บ้านหลอกวิญญาณหลอน ที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญ
สำหรับใครที่ชื่นชอบอาวุธปืนล่ะก็ อาจจะคุ้นเคยกับปืนยี่ห้อดังอย่าง Winchester กันเป็นอย่างดี Oliver Winchester ผู้ให้กำเนิดปืนไรเฟิลที่สามารถบรรจุกระสุนได้มากถึง 13 นัด และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Winchester Repeating Arms Company ที่อยู่เบื้องหลังชัยชนะเหนือชนเผ่าอินเดียนแดงของสหรัฐอเมริกา แต่ทว่าหลังจากที่ขับไล่เผ่าอินเดียนแดงและยึดครองแผ่นดินของพวกเขาได้สำเร็จ ชัยชนะของกองทัพสหรัฐกลับทำให้ตระกูล Winchester ต้องได้รับคำสาปและกลายเป็นที่มาของคฤหาสน์ผีสิง The Winchester Mystery house คฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่ที่เมือง San Jose รัฐแคลิฟอร์เนีย จุดเริ่มต้นของตำนานความหลอนของคฤหาสน์หลังนี้ก็คือลูกสะใภ้ของตระกูลอย่าง Sarah Winchester หลังจากที่เธอได้ขอให้คนทรงติดต่อกับวิญญาณของลูกสาวและสามี คนทรงบอกกับ Sarah ว่าสามีและลูกของเธอที่ตายก่อนวัยอันควรนั้นเป็นเพราะคำสาปแช่งของเหล่าวิญญาณจำนวนมากมายที่ตายจากปืนไรเฟิลของบริษัทตระกูลสามีเธอ พวกมันจะตามล่าและพรากชีวิตคนที่เธอรักไปทีละคน ซึ่งคนถัดไปก็คือตัวเธอนั่นเอง คนทรงได้แนะนำให้แม่หม้ายสาวย้ายไปอยู่ทางทิศตะวันตก และสร้างบ้านที่ทำให้เกิดเสียงดังตลอดเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้พวกวิญญาณมารบกวน Sarah ซื้อโรงนาที่ยังสร้างไม่เสร็จพร้อมที่ดินกว้าง 400 ไร่และเริ่มต้นสร้างคฤหาสน์ของเธอ อย่างที่คนทรงบอกกับเธอว่าจะต้องสร้างบ้านที่มีเสียงดังตลอดเวลา งานนี้แม่หม้ายสาวของเราเลยจัดการสร้างคฤหาสน์ Winchester ตลอด 24 ชั่วโมงเลย และนอกจากนี้เธอยังได้ทำการสร้างกลไกต่างๆ อย่างประตูลับ และบันไดหลอกๆ เอาไว้อีกมากมายเพื่อป้องกันพวกผีอีกทีนึงอีกด้วย คฤหาสน์หลังนี้เริ่มก่อสร้างในปี 1884 มันถูกก่อสร้างขึ้นมาโดยที่ไม่มีแบบแปลนและไม่เคยหยุดต่อเติมจนกระทั่งวันสุดท้ายที่เธอเสียชีวิต ซึ่งเป็นเวลากว่า 30 ปีเลยทีเดียว คฤหาสน์หลังนี้มีห้องอยู่มากถึง…
-
ภาพแปลกๆ สมัยสงครามโลก ที่นำมาลงสีใหม่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของทหารในสมัยนั้น
ตามประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกไว้บนโลกนี้กล่าวเอาไว้ว่า โลกของเราเคยมีสงครามใหญ่ๆ เกิดขึ้นระหว่างประเทศหรือเรียกว่า ‘สงครามโลก’ เกิดขึ้นมาแล้วถึง 2 ครั้งซึ่งก็ได้สร้างความสูญเสียอย่างประเมินค่าไม่ได้ให้แก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก และนี่คือภาพสมัยสงครามโลกทั้ง 2 ครั้งที่หาดูได้ยาก โดยแต่ละภาพจะแสดงให้เห็นถึงวิธีการต่างๆ ในสมัยสงครามตั้งแต่การเริ่มหัดพรางตัวโดยพรางเป็นม้าลาย หรือแม้กระทั่งการนำปืนกลไปตั้งไว้บนหลังช้าง รวมถึงยังมีภาพแปลกๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างที่มีสงคราม ซึ่งถือได้ว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นต้นแบบของวิทยาการสงครามในสมัยใหม่เลยก็ว่าได้ โดยแต่เดิมนั้นภาพเหล่านี้เป็นเพียงแค่ภาพขาวดำ แต่เมื่อเร็วๆ มานี้ได้รับการนำมาลงสีใหม่โดยเด็กหนุ่มชาวสเปนวัย 17 ปีืชื่อว่า Joel Bellviure ภาพที่เขาได้เนรมิตขึ้นมาใหม่นี้ทำให้เราได้เห็นถึงรายละเอียดต่างๆ ได้มากขึ้นรวมถึงยังสามารถสื่ออารมณ์ในสมัยสงครามโลกได้ดีขึ้นอีกด้วย ซึ่งจะมีอะไรแปลกๆ บ้างนั้น เรามาดูพร้อมกันเลยดีกว่า ภาพของทหารคนหนึ่ง ขณะทดสอบชุดพรางตัวสีขาวดำที่มีชื่อเรียกว่า ‘razzle dazzle’ ที่จะให้ทหารใช้สำหรับพรางตัวขณะปีนต้นไม้ ซึ่งภาพนี้ถูกถ่ายขึ้นในวันที่ 14 พฤศจิกายน 1917 ภาพของนาวิกโยธินสหรัฐฯ ขณะกำลังนั่งอยู่บนหลังช้างพร้อมกับปืนกล Colt M1895 ซึ่งภาพแปลกๆ นี้สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดขึ้นในปี 1914-1918 ภาพของทหารอเมริกันขณะสวมชุดเกราะ ‘Brewster Body Shield’ ซึ่งมีทั้งส่วนที่ปกคลุมส่วนตัวและส่วนหัว ซึ่งนี่เป็นชุดเกาะของประเทศสหรัฐอเมริกาชิ้นแรกที่พัฒนาขึ้น ให้กองกำลังสหรัฐใช้ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ร้อยโท…
-
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ “ลูกหมาบาเซนจี” 16 ตัวอยู่ด้วยกัน แค่นึกว่าวุ่นวายแล้ว!!!
สำหรับคนไทย หมาพันธุ์บาเซนจีอาจไม่ใช่ชื่อที่่คุ้นหูเท่าไหร่ จริงๆหมาพันธุ์นี้มีต้นกำเนินมาจากทวีปแอฟริกา เป็นหมาล่าเหยื่อชนิดหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นหมาที่แสนรู้และเก่งกาจชนิดหนึ่งเลย แต่ไม่ว่าจะหมาพันธุ์อะไร ตอนมันเด็กๆ ก็คือลูกหมาจอมวุ่นวายทั้งหมด โดยเฉพาะเวลามันอยู่ด้วยกันเยอะๆ รับรองว่าปวดหัวแน่นอน พวกเราาา รุมมมมมม!!! จัดการเลยเพื่อนนนน เบื่อแระ เล่นอย่างอื่นดีกว่า คนเราเยอะ หรือห้องมันเล็กกันแน่เนี่ย คุณอาจจะนึกภาพไม่ออกใช่ไหม ให้คลิปวิดีโอนี้ตอบคุณเลยดีกว่า… ทั้งน่ารักทั้งวุ่นวายจริงๆ อย่างกะจับปูใส่กระด้ง เห็นแล้วอยากได้มาเลี้ยงซักตัวมั้ยล่ะเพื่อนๆ ที่มา Rumble Viral
-
คนมันมีของ!! หากคุณมีบั้นท้ายใหญ่ นักวิทย์เค้าบอกว่าจะฉลาดและสุขภาพดีกว่าคนปกตินะเออ!!
หากจะกล่าวถึงทรวดทรงของผู้หญิงในอุดมคติของใครหลายคน ก็อาจจะหมายถึงผู้หญิงที่มีหน้าตาสะสวย คมคาย มีหน้าอกที่ใหญ่พอประมาณ มีเอวที่คอด รวมถึงการมี ‘ก้น’ ที่ใหญ่โตได้รูปเหมาะกับการจับมาตีเล่น แต่รู้หรือไม่ว่าเรื่องของก้น สามารถบอกอะไรได้หลายอย่าง ซึ่งเคยมีงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่เคยได้เผยว่า ผู้หญิงที่มีก้นใหญ่จะมีสุขภาพที่ดีกว่าผู้หญิงที่มีก้นเล็ก และในตอนนี้ก็มีงานวิจัยใหม่ออกมาบอกอีกด้วยว่า นอกจากผู้หญิงก้นใหญ่จะมีสุขภาพดีแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะมีความฉลาดมากกว่าอีกด้วย!? งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Oxford ประเทศอังกฤษ ที่ได้ศึกษาข้อมูลจากผู้หญิงกว่า 16,000 คน ซึ่งสิ่งที่พวกเขาพบก็คือในผู้หญิงก้นใหญ่ จะมีระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลที่ต่ำมาก อีกทั้งยังมี ระดับกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงขึ้นทำให้ผู้หญิงก้นใหญ่มีโอกาสที่จะเจ็บป่วยเรื้อรังน้อยกว่าผู้หญิงก้นเล็กนั่นเอง นอกจากนี้ ในตัวของผู้หญิงก้นใหญ่ยังมีจำนวนฮอร์โมนที่เรียกว่า Dinopectina ซึ่งมีประโยชน์ในการป้องกันโรคเบาหวาน รวมถึงยังสามารถต้านการอักเสบในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย สำหรับกรดไขมันไขมันโอเมก้า 3 ที่มีอยู่จำนวนมากในตัวของผู้หญิงก้นใหญ่ นักวิจัยบอกว่าเจ้ากรดไขมันโอเมก้านี้ ยังช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพให้ดีขึ้น ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น และยังช่วยดักจับไขมันเลวที่เข้าสู่ร่างกายของเรา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โดยงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Oxford ชิ้นนี้ ยังสอดคล้องกับงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ได้ตีพิมพ์ลงวารสาร Cell Metabolism ที่ได้บอกเอาไว้ว่าช่วงล่างอันใหญ่โตของผู้หญิง จะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่คอยดักจับไขมันไม่ให้สะสมตามอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว แหม มีประโยชน์ขนาดนี้รีบไปฟิตหุ่นให้มีตูดใหญ่ๆ กันดีกว่า ที่มา: unilad
-
แผ่นแปะอินซูลิน ที่จะช่วยลดความเจ็บปวดให้ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ!!
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่จำเป็นต้องใช้อินซูลิน อาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายและรำคาญใจทุกครั้งที่คุณต้องใช้เจ้าเข็มแหลมๆ แทงเข้าไปในร่างกายในทุกๆ วันอย่างแน่นอน แต่นี่อาจจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะเมื่อไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นการรักษาด้วยอินซูลินแบบใหม่ที่คุณจะไม่ต้องเจ็บตัวอีกต่อไป!! เจ้านวัตกรรมทางการแพทย์ชิ้นใหม่นี้ก็คือแผ่นแปะอินซูลินนั่นเอง แผ่นแปะนี้จะกระตุ้นการสร้างอินซูลินเพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ขณะนี้แผ่นแปะชนิดใหม่นี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดลองในห้องแลป มันถูกสร้างขึ้นมาจากวัสดุทางธรรมชาติอย่างสาหร่ายสีน้ำตาลและสารเคมีทางการแพทย์ ความเร็วในการรักษานั้นจะขึ้นอยู่กับระดับกลูโคสในร่างกายของผู้ป่วย ซึ่งแผ่นแปะดังกล่าวจะปล่อยสารเคมีออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อร่างกายต้องการ และค่อยๆ ปรับให้อยู่ในระดับคงที่ ทีมวิจัยจากสหรัฐกล่าวว่าขณะนี้พวกเขาประสบความสำเร็จในการใช้กับสัตว์ทดลองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แผ่นแปะอินซูลินชนิดนี้ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการรักษาแบบนี้จะสามารถช่วยผู้ป่วยโรคเบาหวานได้มากเลยทีเดียว “การทดลองนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ยังสามารถสร้างอินซูลินได้บ้าง แผ่นแปะแบบรายสัปดาห์นี้จะมีความยุ่งยากและสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ป่วยน้อยกว่าแบบเดิม” ดอกเตอร์ Leapman ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์ของสถาบัน NIBIB กล่าว อย่างที่หลายๆ คนทราบกันดี ฮอร์โมนอินซูลินนั้นเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายสามารถสร้างได้เอง และทำหน้าที่ในการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้กลายเป็นพลังงาน แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั้นร่างกายยังพอสร้างอินซูลินได้แต่ไม่มากพอที่จะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจึงทำให้พวกเขาต้องรับอินซูลินเข้าไปและทำการเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับน้ำตาลด้วย ทีมวิจัยค้นพบว่าแผ่นแปะขนาดครึ่งตารางนิ้วนั้นสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้นานถึง 1 สัปดาห์เลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามพวกเขากำลังคำนวนหาขนาดที่เหมาะสมสำหรับใช้กับมนุษย์อยู่ และคาดว่าอีกไม่นานผู้ป่วยโรคเบาหวานคงจะได้มีโอกาสใช้แผ่นแปะชนิดนี้อย่างแน่นอน ที่มา unilad
-
‘เลเบนส์บอร์น’ โครงการลับขยายเผ่าพันธุ์ชาวอารยัน ที่นาซีอยากให้อยู่บนโลกสืบไป!!
ถ้าหากใครที่เป็นแฟนๆ ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ล่ะก็คงจะคุ้นชินกับเรื่องราวของนาซีกันเป็นอย่างดี นอกเนื่องจากแนวคิดแบบชาตินิยมสุดโต่งแล้ว พวกเขายังมีโครงการที่ตั้งเป้าหมายจะผลิตชนชาติในอุดมคติอย่างเชื้อสายอารยันอีกด้วย!! ในช่วงนาซีเรืองอำนาจนั้น คำว่าอารยันถูกใช้เป็นคำเรียกแทนต้นกำเนิดของชาวเยอรมัน ซึ่งผู้นำของพวกเขาเชื่อว่าเป็นเชื้อชาติที่บริสุทธิ์และยิ่งใหญ่กว่าเชื้อชาติอื่นๆ แน่นอนว่าผู้นำมีความคิดแบบนี้ นั่นจึงเป็นที่มาของสมาคมจดทะเบียนเลเบนส์บอร์น โครงการของหน่วย SS ที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาล เพื่อมุ่งเน้นการเพิ่มอัตราการเกิดของเด็กเชื้อสายอารยัน ศูนย์เลเบนส์บอร์นมีหน้าที่ในการคัดเลือกเด็กๆ ที่มีเชื้อสายอารยันบริสุทธิ์เพื่อให้เป็นไปตามการสร้างชาติของพรรคนาซี โดยจะมีการส่งเสริมและมอบสวัสดิการให้กับหญิงสาวที่ไม่ได้แต่งงาน และสนับสนุนให้พวกเธอตั้งท้อง เด็กที่คลอดออกมานั้นจะถูกส่งให้กับคนที่พวกเค้าเชื่อว่าเป็นเชื้อสายบริสุทธิ์อย่างสมาชิกในหน่วย SS ส่วนหญิงคนไหนที่ให้กำเนิดเด็กที่มีเชื้อสายอารยัน ก็จะได้รับเหรียญตรากางเขนแห่งเกรียติยศของแม่เยอรมัน นอกจากนี้ การทำแท้งเด็กที่พิการนั้นก็ยังถือเป็นเรื่องถูกกฎหมายอีกด้วย เพราะพวกเขาไม่อยากให้เด็กอารยันที่เกิดมา มีสภาพไม่สมบูรณ์แบบ ภาพของเหรียญตรากางเขนแห่งเกรียติยศของแม่เยอรมัน สถานรับเลี้ยงเด็กของสมาคมดังกล่าวถูกก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1936 ที่หมู่บ้าน Steinhöring หมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองมิวนิค ก่อนที่จะแพร่ขยายไปทั่วยุโรปในประเทศที่ถูกทหารนาซีรุกราน (สถานรับเลี้ยงเด็กเลเบนส์บอร์นนอกประเทศแห่งแรกนั้นเปิดทำการที่ประเทศนอร์เวย์ในปี 1941) ในช่วงสงคราม มีเด็กหลายคนจำนวนมากถูกลักพาตัวไปจากครอบครัวของพวกเขาและถูกตัดสินเข้าเกณฑ์การเป็นชาวอารยันและถูกเลี้ยงดูในสถานเลี้ยงเด็กเลเบนส์บอร์น โดยการอุปถัมภ์ของครอบครัวเยอรมัน จากข้อมูลระบุว่ามีเด็กมากกว่า 8,000 คนที่เกิดในสถานรับเลี้ยงเด็กในเยอรมนี และมีเด็กอีกมากกว่า 8,000-12,000 คนที่เกิดในสถานรับเลี้ยงเด็กเลเบนส์บอร์นที่ประเทศนอร์เวย์ หลังจากการพ่ายแพ้สงครามของนาซี ศูนย์รับเลี้ยงเด็กเลเบนส์บอร์นถูกกวาดล้าง และเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้ถูกส่งตัวกลับไปหาพ่อแม่ของเขา ในขณะที่บางส่วนกลายเป็นเด็กกำพร้า พวกเขาเหล่านั้นถูกส่งตัวไปดูแลในประเทศชาติต่างๆ ก่อนที่จะได้รับสัญชาติในภายหลัง ซึ่งถือเป็นการปิดตำนานสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนาซีเอาไว้เพียงเท่านี้……
-
นักวิทย์ฯ เฉลยจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเรา ‘หักและดึงนิ้วจนมีเสียง’ แล้วมันเกิดมาจากอะไรกัน!?
ด้วยความแตกต่างทางด้านนิสัยของแต่ละคน ทำให้แต่ละคนก็มักจะมีการกระทำที่แปลกๆ เกิดขึ้นได้ และก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มักจะทำกิจกรรมแปลกๆ กับร่างกายของตัวเองในเวลาว่างหรือกังวลใจ อย่างเช่น กัดเล็บ เกาหัว และดึงนิ้วจนเกิดเสียงดังก๊อกๆ จากความชอบดึงนิ้วให้มีเสียงดังบ่อยๆ ได้กลายเป็นสิ่งที่หลายคนทำโดยไม่รู้ตัว ซึ่งรู้หรือไม่ว่าในตอนที่เราดึงนิ้วนั้น เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเราบ้างและมันมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ในวันนี้นักวิทยาศาสตร์ได้หาคำตอบมาให้เราได้รู้กันแล้ว ซึ่งผลของการทำเช่นนี้จะเป็นยังไงบ้าง มาลองดูกันเลยดีกว่า… ในอดีตเคยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 2015 เมื่อนักวิจัยจาก University of Alberta ได้ตีพิมพ์งานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องเสียงที่เกิดขึ้นจากการดึงนิ้ว โดยใช้เครื่องเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ในการหาคำตอบ ซึ่งผลลัพธ์ที่พวกเขาได้ก็คือ เสียงที่ดังเมื่อเราหักหรือดึงนิ้วเกิดมาจากฟองอากาศที่ในของเหลวระหว่างข้อต่อ ที่เรียกว่า ‘น้ำไขข้อ’ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การใช้เครื่อง MRI อาจจะไม่ใช่การหาคำตอบที่ดีที่สุดให้กับเรื่องนี้ เพราะว่ายังมีเครื่องอัลตร้าซาวด์ที่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า จึงทำให้นักวิจัยอีกทีมหนึ่งตัดสินใจหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยจะใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์ตรวจสอบร่างกายแทนเครื่อง MRI เพื่อพิสูจน์ว่ามันให้ผลลัพธ์ที่ตรงกับงานวิจัยก่อนหน้านี้หรือไม่… ทีมนักวิจัยนี้นำโดย Robert D. Boutin นักรังสีวิทยาจาก University of California โดยเขาได้รวบรวมผู้คนที่มีสุขภาพดีกว่า 40 คน และในจำนวน 30 คนเหล่านี้ มักจะดึงนิ้วของตัวเองเป็นประจำ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีอยู่คนหนึ่งที่บอกว่าเขาดึงนิ้วมากกว่า…
-
รู้ไหม ‘อาการติดเกม’ ตอนนี้ถูกตั้งให้เป็นอาการป่วยทางจิตชนิดหนึ่งแล้วนะเออ!!
ตามปกติแล้ว ถ้าคนเราทำอะไรมากๆ มากจนเข้าขั้นเสพติด จนไม่เป็นอันกินอันนอน นั่นก็ถือว่าเป็นอาการป่วยทางจิตแล้ว การเล่นเกมก็เช่นกัน ถ้าเราเล่นเยอะๆ มันก็อาจจะส่งผลต่อสภาพจิตของเราได้ นั่นจึงทำให้ล่าสุดทาง World Health Organisation (WHO) หรือองค์กรอนามัยโลกได้ยืนยันเป็นครั้งแรก ว่า ‘อาการติดเกม’ ถือว่าเป็นอาการป่วยทางจิตชนิดหนึ่ง การประกาศดังกล่าวจะส่งผลทันที หลังจากที่องค์กรอนามัยได้เตรียมทำการอัปเดตหนังสือคู่มือจำแนกโรคประเภทใหม่ในปีหน้า ซึ่งคู่มือดังกล่าวนั้นไม่ได้รับการอัปเดตมาตั้งแต่ปี 1990 Vladimir Poznyak ได้บอกว่า “ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพต้องการให้อาการติดเกมนั้นเป็นที่จดจำ ว่ามันสามารถส่งผลต่อสุขภาพของเราได้ แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่เล่นเกมนั้น จะไม่ได้รับผลร้ายแรงจนเกิดเป็นโรคทันทีเหมือนๆ กับคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ได้รับโรคทันทีหลังจากดื่ม แต่ว่าเมื่อเยอะและนานเข้ามันก็จะส่งผลในขั้นต่อๆ ไปนั่นเอง” นอกจากนี้ทาง ESET ยังเคยทำผลสำรวจผู้คนจำนวน 500 คน ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาพบว่ามีคนมากกว่า 10% ที่ยอมรับว่าพวกเขาเล่นเกมอยู่หน้าจอทีวีและคอมนานกว่า 12 ชั่วโมง ซึ่งนั่นถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลย ยังไม่หมดเท่านั้น เมื่อปี 2016 ทางมหาวิทยาลัย Oxford ยังได้ทำการวิจัยคนที่เล่นเกมกว่า 19,000 คน จากทั้งประเทศสหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และเยอรมนี ด้วยการให้ผู้ร่วมทดสอบเช็กว่าพวกเขามีอาการอะไรบ้างจากทั้งหมด 9 อาการตรวจสอบสุขภาพจากสมาคมจิตเภท …
-
เรื่องราวชีวิตของ Alexander Paul ชายผู้ติดเชื้อโปลิโอ และต้องใช้ชีวิตอยู่ใน ‘ปอดเหล็ก’ เกือบชั่วชีวิต
ในช่วงก่อนที่วงการแพทย์จะมีการสร้างวัคซีนป้องกันโรคขึ้นมา มีโรคระบาดชนิดหนึ่งเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งโรคที่ว่านี้ทำให้เด็กๆ หลายคนในเวลานั้น ต้องติดเชื้อและทนทุกข์ทรมานจากการที่เชื้อโรคเข้าไปทำลายกล้ามเนื้อ รวมถึงเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ในร่างกายโดยเชื้อโรคที่ว่านี้มีชื่อเรียกว่า ‘เชื้อโปลิโอ’ โรคโปลิโอ เป็นโรคติดต่อที่สามารถทำให้เกิดผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อผู้ติดเชื้อ สาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งอาจไปทำลายระบบประสาทจนส่งผลให้ผู้ติดเชื้อมีภาวะอัมพาต หายใจลำบาก หรือถึงแก่ความตายได้ ความอันตรายของโรคโปลิโอต่างเป็นที่รู้กันดีว่ามีความร้ายแรงแค่ไหน ซึ่งในอดีตก็มีผู้ป่วยเป็นโรคนี้เป็นจำนวนมากเนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกันเกิดขึ้นบนโลก และด้วยเชื้อไวรัสนี้เองทำให้ชีวิตของชายคนหนึ่งต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล เพราะโรคโปลิโอได้ไปทำลายกล้ามเนื้อของเขาจนหมดสิ้น นอกจากนั้นแล้วโรคที่ว่านี้มันยังทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า ‘ปอดเหล็ก’ มาตลอดทั้งชีวิตกว่า 60 ปี และนี่คือเรื่องราวของชายชื่อว่า Paul Alexander โรคโปลิโอ เป็นโรคที่ร้ายแรงมากมันสามารถคร่าชีวิตของเราได้อย่างง่ายดาย Paul Alexander เป็นผู้รอดชีวิตจากโรคโปลิโอในอดีต แต่ในตอนนี้เขาต้องใช้เวลาเกือบทั้งหมดในชีวิต อยู่ในเครื่อง “ปอดเหล็ก” ภายในบ้านของเขาที่รัฐเทกซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยผลข้างเคียงจากโรคโปลิโอ ทำให้ Paul เป็นอัมพาตในทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่คอลงไป รวมถึงมันยังทำลายระบบการหายใจด้วย และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในเจ้าปอดเหล็กมาตั้งแต่เด็ก สำหรับปอดเหล็กนี้ เป็นเครื่องช่วยหายใจชนิดใช้แรงขับดันที่จะใช้ในการรักษาชีวิตของผู้ป่วยโรคโปลิโอขั้นร้ายแรงเท่านั้น ในตอนที่ Paul เริ่มป่วยเขาให้ฟังว่าในขณะนั้นเขามีอายุเพียงแค่ 6 ขวบเท่านั้นในตอนที่เริ่มติดเชื้อในปี 1952 ซึ่งเป็นปีที่มีการระบาดของโรคนี้อย่างหนักและเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกาเลยก็ว่าได้ “ในตอนที่ผมเริ่มป่วย ผมก็เป็นเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ โดยเริ่มแรกผมรู้สึกเพียงแค่ไม่สบายนิดหน่อยเท่านั้น แต่เมื่อแม่ผมมาเห็นเธอก็รู้ในทันทีเลยว่าผมป่วยเป็นโปลิโอ เธอจึงพาผมไปรักษาโดยด่วน”…
-
พบกับเรื่องราวของจิ๋นซีฮ่องเต้ กษัตริย์ผู้สั่งให้ประชาชนทุกคนออกตามหา ‘ความเป็นอมตะ’
หากจะกล่าวถึงธรรมชาติของโลก ก็จะมีคำพูดหนึ่งที่กล่าวเอาไว้ว่า ทุกชีวิตต้องมีการ ‘เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป’ ทั้งนั้น เพราะด้วยกาลเวลาที่ไม่เคยหยุดรอใคร ทำให้เราก็ต้องแก่ชราขึ้นในทุกวันๆ และนั่นอาจจะทำให้บางคนสรรหาวิธีเพื่อที่จะเอามาขัดขวางกฎแห่งธรรมชาติอันนี้ ให้เกิดขึ้นได้ช้าที่สุดหรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลย… ตามความเชื่อของบางศาสนาหรือเฉพาะบางคน บนโลกนี้จะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเป็นอมตะ’ ซึ่งหมายถึงการไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่แก่ชราและที่สำคัญคือ ไม่เสียชีวิต!! ซึ่งความเป็นอมตะนี้เคยทำให้ใครบางคนต้องออกเดินทางเพื่อสรรหาวิธีต่างๆ เพื่อจะได้มันมาครอบครองซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีใครที่สามารถหาวิธีนั้นพบแม้แต่คนเดียว จิ๋นซีฮ่องเต้กับการหายาอายุวัฒนะ นอกจากนี้รู้หรือไม่ว่า ความเชื่อเรื่องความเป็นอมตะเกิดขึ้นบนโลกตั้งแต่สมัยโบราณกาลแล้ว และก็มีกษัตริย์องค์หนึ่งที่อยากได้สิ่งที่ว่านี้มาครอบครอง จนถึงขั้นใช้อำนาจในมือบังคับให้คนทุกคนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เสาะหาสิ่งที่ว่านี้และนำมามอบให้แก่เขาให้ได้ และชื่อของกษัตริย์องค์ที่ว่านี้ก็คือ จิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกแห่งประเทศจีน โดยพระองค์ได้รับสั่งให้ประชาชนทุกคนในประเทศเสาะหาความเป็นอมตะมาให้ได้ ตามงานวิจัยชิ้นใหม่ของนักโบราณคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ มานี้ แผ่นไม้ที่บอกเรื่องราวต่างๆ ในอดีต สำหรับหลักฐานที่มายืนยันในเรื่องนี้ก็คือ การค้นพบไม้โบราณที่มีการเขียนเอาไว้ถึงคำสั่งของพระองค์ ซึ่งแผ่นไม้ที่ว่านี้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในปี 2002 ที่ใต้บ่อน้ำแห่งหนึ่งในมณฑลหูหนาน ซึ่งมันได้เขียนเรื่องราวต่างๆ ของประเทศจีนในขณะนั้นเอาไว้ทั้งเรื่อง วัฒนธรรม เศรษฐกิจ กฎหมาย รวมถึงเรื่องยาอายุวัฒนะที่ให้ทุกคนออกตามหาด้วย มีการค้นพบใหม่เมื่อไม่นานมานี้ที่เปิดเผยว่า จากคำสั่งของจิ๋นซีฮ่องเต้ ทำให้รัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งพยายามค้นหายาอายุวัฒนะสำหรับพระองค์ให้จนได้ ยกตัวอย่างเช่นหมู่บ้าน Duxiang ก็มีการเขียนรายงานถึงความล้มเหลวในการเสาะหายาสุดพิเศษนี้ และอีกหมู่บ้านหนึ่งชื่อว่า Langya ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในมณฑลซานตง ก็ได้ลองนำเสนอสมุนไพรที่มาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านให้แก่พระองค์ลองใช้ดู …
-
‘ตู้หยอดเหรียญ’ สัญลักษณ์ของญี่ปุ่น สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่ซ่อนอยู่ในประเทศอย่างไร?
ในประเทศญี่ปุ่น ตู้หยอดเหรียญ เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่ามีอยู่แทบจะทุกที่ในเมืองและขายสินค้าหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น กาแฟ ชา บุหรี่ เบียร์ ซุป ขนมขบเคี้ยว หรือแม้แต่อาหารร้อน ด้วยความสะดวกในการใช้งาน จึงทำให้ประชากรจำนวนมากนิยมมาใช้บริการตู้เหล่านี้ แต่ทว่านอกจากมันจะได้รับความนิยมแล้ว สิ่งนี้สามารถสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของญี่ปุ่นได้อีกหลายๆ เรื่อง เราสามารถเข้าใจสังคมของประเทศนี้ผ่านตู้หยอดเหรียญได้อย่างไรกันบ้าง ลองไปดูกันเลย ค่าแรง William A. McEachern ศาสตราจารย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคอนเนตทิคัต สหรัฐอเมริกา บอกว่า ญี่ปุ่นอยู่ในช่วงประชากรลดลง ผู้อยู่อาศัยจำนวนมากเป็นผู้สูงอายุ และขาดแคลนคนอพยพเข้าเมือง จึงทำให้หาแรงงานได้ยากและค่าแรงงานมีราคาสูง Robert Parry ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์จึงบอกว่า ตู้หยอดเหรียญเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งแม้แต่ร้านค้าปลีกเองก็หันมาใช้ตู้เหล่านี้ เพื่อความสะดวกสบายและไม่จำเป็นต้องจ้างแรงงานเพิ่มเติมใดๆ เลย ความหนาแน่นของประชากรสูง และอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาแพง ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรอย่างมาก ด้วยประชากรราวๆ 127 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในประเทศเล็กๆ ล้อมรอบไปด้วยภูเขาอีกกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้คนกระจายตัวออกไปได้อย่างมาก จนผู้คนกว่า 93 เปอร์เซ็นต์มาแออัดอาศัยกันอยู่ในเมือง เพราะเหตุนั้นราคาของที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ในเมืองจึงมีราคาสูงมาก คนส่วนใหญ่จึงต้องอยู่กันในหอพักเล็กๆ…
-
ตำนานของ ‘มิสเซิลโท’ พืชกาฝากที่ผันตัวมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและคริสต์มาส
ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส นอกจากที่เราจะได้เห็นต้นสนที่ถูกตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงามแล้ว พืชอีกชนิดที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเทศกาลนี้ก็คือ มิสเซิลโท (Mistletoe) พืชกาฝากที่คอยมาแย่งอาหารต้นไม้ แต่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักซะอย่างนั้น วันนี้ #เหมียวตะปู จึงชวนเพื่อนมารู้กันว่า ทำไมต้นไม้ที่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถึงได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความรักและวันคริสต์มาสได้ อีกทั้งจะต้องไปจูบกันใต้พุ่มพืชชนิดนี้เพราะอะไร? หากจะพูดถึงความเป็นมาของเจ้าพืชชนิดนี้ เราคงต้องย้อนกลับไปหลายพันปีเลยทีเดียว ซึ่งชาวกรีกสมัยก่อนเชื่อว่ามันสามารถช่วยรักษาได้ทุกโรค แต่ในความเป็นจริงแล้วพืชชนิดนี้ค่อนข้างจะเป็นพิษกับสัตว์และมนุษย์ เพราะหากบริโภคเข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และปวดท้องได้ แต่ต่อมามันก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อในช่วงคริสต์ศักราช 100 นักบวชเซลติกมองว่าพืชชนิดนี้คือสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ แสดงให้เห็นถึงความชุ่มชื้น เพราะมันจะออกดอกมาตอนช่วงฤดูหนาว ในขณะที่พืชส่วนใหญ่จะล้มตายไปหมด อีกหนึ่งตำนานของพืชชนิดนี้ ถูกบันทึกเอาไว้ในเรื่องราวเทพปกรณัมนอร์ส เมื่อเทพ Baldur บุตรแห่งโอดินถูกทำนายเอาไว้ว่าจะต้องตาย Frigg ผู้ซึ่งเป็นแม่จึงพยายามลงมาขอร้องและทำสัญญากับเหล่าสัตว์และพืชต่างๆ ไม่ให้ไปทำร้ายลูกของเธอ แต่เธอกลับลืมที่จะไปเจรจากับมิสเซิลโท จึงทำให้ Loki ใช้ธนูอาบยาพิษจากพืชชนิดนี้ฆ่า Baldur ต่อมา Baldur ถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง Frigg จึงแต่งตั้งให้มิสเซิลโทเป็นสัญลักษณ์ของความรักและให้คำมั่นไว้ว่าจะจูบทุกคนที่เดินผ่านใต้พืชชนิดนี้ เรื่องราวดังกล่าวยังไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเหตุผลที่ว่า ทำไมต้องไปจูบกันใต้มิสเซิลโท เพราะสาเหตุของเรื่องนั้นเริ่มขึ้นมาจากเทศกาลอันเก่าแก่ของกรีกที่ชื่อว่า Saturnalia จัดขึ้นในวันที่ 17-23 ธันวาคมของทุกปี และธรรมเนียมดังกล่าวก็ถูกนำไปใช้ในงานแต่งงานต่างๆ…
-
ของขวัญอันหวานขม… ชายบริสุทธิ์ผู้ติดคุก 23 ปี กับอิสระภาพอันหนาวเหน็บในโลกแห่งความจริง
หลังจากต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องขังนานกว่า 23 ปีจากความผิดที่เขาไม่ได้เป็นคนก่อ เมื่อเดือนเมษายน 2017 ที่ผ่านมาคุณ Roberto Almodovar ก็ได้มีโอกาสออกมาพบอิสรภาพและได้กอดลูกสาวของเขาอีกครั้งหลังจากมีการพิจารณาคดีความใหม่จากความพยายามของครอบครัว พบกับเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจของชายหนุ่มที่ตกเป็นแพะรับบาปนานมากกว่า 20 ปี และชีวิตหลังหลังจากได้รับอิสรภาพของเขา… จุดเริ่มต้น ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1994 หลังจากที่ Roberto เรียนเสร็จ เขากลับมาที่บ้านคุณป้า ระหว่างทางเขาและแฟนสาวของเขาเกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงและเสียงดังมาก โชคร้ายที่การทะเลาะกับแฟนสาวในวันนั้นทำให้ชีวิตของ Roberto ต้องเปลี่ยนไปตลอดการ เพราะในเวลาเดียวกันดันมีเสียงปืนดังขึ้นเป็นเหตุให้ชาย 2 คนที่นั่งอยู่หัวมุมถนนเสียชีวิตทันที พยานผู้เห็นเหตุการณ์ 2 คนอ้างว่าเป็นฝีมือของ Roberto ชายหนุ่มถูกศาลตัดสินว่าเป็นคนฆ่าชายทั้งสองคน ชายหนุ่มถูกส่งตัวเข้าห้องขังเนื่องจากตอนนั้นไม่มีหลักฐานที่เพียงพอที่จะยืนยันความบริสุทธิ์ของเขาเลย Roberto ตกเป็นหนึ่งในเหยื่อของเจ้าหน้าที่ Reynaldo Guevara ตำรวจจอมฉาวที่เกี่ยวข้องกับการรับสินบน มีผู้ต้องหามากมายที่ต้องเข้าไปอยู่ในห้องขังทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ได้ทำความผิดจากฝีมือของตำรวจผู้นี้ ทางครอบครัวต้องทำแทบทุกวิถีทางเพื่อสู้คดีและทวงความยุติธรรมให้กับ Roberto ค่าใช้จ่ายในการสู้คดีถือเป็นเรื่องใหญ่ คุณป้าของเขาต้องนำบ้านเข้าจำนองเพื่อช่วยเหลือหลานชาย การเรียกร้องความยุติธรรมนั้นกินเวลานานแต่ในที่สุด Roberto ก็ได้ออกมาพบกับอิสรภาพอีกครั้ง แต่ทว่าเวลา 23 ปีในห้องขังทำให้ตัวเขาเปลี่ยนไป… ของขวัญอันหวานขม……
-
พาชม “ช็อกโกแลตทรัฟเฟิล” เคลือบทอง 24 กะรัต ความหรูหราอลังการที่กินได้ แถมอร่อยด้วย
ดูเหมือนช็อกโกแลตจะเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนขาดไม่ได้เลย เพราะนอกจากที่มันจะเป็นของหวานแล้ว มันยังเป็นเหมือนของวิเศษที่กินเมื่อไหร่ก็อารมณ์ดีเมื่อนั้น แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่ามีบริษัทผลิตขนมหวานอยูแห่งหนึ่ง ที่สรรค์สร้างช็อคโกแลตให้ออกมาดูมีค่าราวกับเป็นทองคำเลยล่ะ เรียกได้ว่าเป็นมิติใหม่ของการทานช็อกโกแลตเลยจริงๆ ว่าแต่เขาจะใส่อะไรลงไปในเมนูนี้บ้าง เราไปเปิดส่วนผสมพร้อมๆ กันเลย!! บริษัทขนมหวานจากย่านบรูคลิน ในนครนิวยอร์ก ‘Mini Melanie’ และ Kim Crawford Wines ผู้ผลิตไวน์จากนิวซีแลนด์ ได้ร่วมมือกันรังสรรค์ขนมสุดล้ำที่มีส่วนผสม 3 สิ่งที่ดีที่สุดในโลกเขาไว้ด้วยกัน โดยมีทั้งช็อกโกแลต ไวน์ และทองคำ เกิดเป็นขนมสุดหรูหราที่มีชื่อว่า “Kim Crawford x Mini Melanie Holiday Cake Truffles” พวกเขาได้สร้างขนมหวานที่อัดแน่นไปด้วยดาร์กช็อกโกต มิลค์ช็อกโกแลต และไวท์ช็อกโกแลตทรัฟเฟิล โดยทั้งหมดนี้ทำด้วยมือ และยังเพิ่มความหรูหราเข้าไปด้วยทองคำเปลว 24 กะรัต อีกทั้งประดับด้วย Gold Sugar Drags เพื่อความอลังการอีกด้วย ว่ากันว่าถ้าคุณลองกัดเข้าไปแล้ว คุณจะรู้สึกได้ถึงไวน์รสละมุนที่ไหลออกจากกึ่งกลางของขนม ผสานกับช็อคโกแลตเปี่ยมคุณภาพ แบบนี้ใครจะไม่อยากชิมบ้างล่ะ!! ใครที่อยากลองลิ้มชิมรสชาติความหรูหราสักครั้ง ก็เตรียมเงินไว้…
-
มาชมกระบวนการผลิตไวน์ที่แพงที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าเฉียดล้านบาทต่อขวด!!
เมื่อพูดถึงเครื่องดื่มที่มีผู้คนนิยมกันทั่วโลกและเป็นที่แพร่หลาย ก็คงจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจาก ‘ไวน์’ ที่ไม่ว่าจะเทศกาลไหนๆ ไวน์ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะอาหาร ยิ่งในเทศกาลคริสต์มาสแบบนี้ การจิบไวน์แดงไปพร้อมๆ กับอาหารรสเลิศ ก็คงเป็นเหมือนสวรรค์ย่อมๆ ภายในบ้านแล้วล่ะ ดังนั้นในวันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักไวน์ชนิดหนึ่ง ที่เมื่อรู้ราคาแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงไปตามๆ เพราะว่ามันราคาเกือบล้านบาทเลยที่เดียว ไวน์ขวดที่แพงที่สุดในโลกนี้ จะเป็นยังไง มีคุณสมบัติใดบ้าง เราตามไปอ่านกันในบทความนี้เลยจ้า AurumRed Gold Wine คือไวน์ที่แพงที่สุดในโลก ราคาตกขวดละ 25,000 ยูโร หรือแปลงเป็นเงินไทยที่มีมูลค่าเฉียดล้าน โดยไวน์ขวดนี้ทำมาจากองุ่นสายพันธุ์ Tempranillo ที่เป็นองุ่นแดงประจำชาติของสเปน โดยใช้เทคนิคสมัยใหม่ผสมผสานกับแบบดั้งเดิม แต่สิ่งที่ทำให้ไวน์ชนิดนี้แตกต่างกว่าไวน์ชนิดอื่นก็คือการใช้ “Ozone Therapy” หรือโอโซนบำบัด ที่ใช้ทั่วไปในการรักษาโรคมะเร็ง โรคเอดส์ โรคระบบประสาทและโรคอื่นๆ มาเป็นหนึ่งในกระบวนการการผลิตไวน์ Hilario Garcia ผู้ผลิต AurumRed Gold Wine ที่ไร่องุ่นขนาดเล็กใน La Mancha ประเทศสเปน ได้รู้จักกับกระบวนการโอโซนบำบัด หลังจากที่เขาได้ใช้วิธีนี้รักษาอาการอัมพาตที่กระดูกสันหลังของเขา เมื่อ Garcia ประสบความสำเร็จในการรักษาเขาก็ตัดสินใจทดลองผลิตไวน์ในห้องปฏิบัติการ โดยเติมโอโซนเข้าไปในน้ำที่ใช้ทำไวน์ ซึ่งโอโซนบำบัดนั้นในทางการแพทย์จะเป็นตัวเพิ่มออกซิเจนให้กับร่างกายของเรา…
-
เปิดเผยเบื้องหลังสองภาพตำนาน และราคาที่ Microsoft จ่ายให้ช่างภาพ ที่แตกต่างกัน…
หากใครที่ทันใช้ระบบปฏิบัติการ Window XP จะพบว่าเมื่อเราเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมา ภาพแรกที่พวกเรามักจะได้พบก็คือ ภาพของทุ่งหญ้าเขียวขจีตัดกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆอันสวยงาม ซึ่งภาพที่ว่านี้ถือได้ว่าเป็นภาพระดับตำนาน ที่เห็นครั้งใดก็อดคิดถึงอดีตอันสวยงามไม่ได้ แต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วรูปภาพนี้มีมูลค่ามากกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.2 ล้านบาท) ซึ่งจะแตกต่างกับภาพที่มีชื่อว่า Autumn ที่อยู่ในอัลบั้มภาพพื้นหลังเช่นเดียวกันราวกับฟ้ากับเหว เพราะรู้หรือไม่ว่าภาพ Autumn นั้นมีมูลค่าเพียง 45 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,500 บาท) เท่านั้น สำหรับภาพทุ่งหญ้าสีเขียวนั้นเป็นผลงานการถ่ายภาพของ Charles O’Rear ช่างภาพชาวอเมริกันผู้โด่งดัง โดยเขาได้ตั้งชื่อภาพนี้เอาไว้ว่า “Bliss” ซึ่งเขาได้ถ่ายเอาไว้ขณะกำลังขับรถระหว่างเมือง Napa และ Sonoma ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมกราคมปี 1996 หลังจากนั้นช่างภาพคนนี้ก็ได้ส่งภาพนี้เข้าไปที่ Westlight stock photo agency เพื่อจะให้ช่วยขายภาพนี้ให้เขาหน่อย และในภายหลังบริษัท Westlight ก็ได้ถูกบริษัทของมหาเศรษฐี Bill Gates เข้าครอบครองในปี 1998 บริษัท Microsoft ในตอนนั้นมีภาพให้เลือกใช้นับพันๆ ภาพแต่ว่าในที่สุดแล้วภาพทุ่งหญ้านี้ก็ได้ชนะเลิศและใช้เป็นภาพพื้นหลังหลักสำหรับ Window…
-
เปิดประวัติ “อุลตร้าแมน” ซุปเปอร์ฮีโร่ ที่ไม่ได้มีแค่ตัวโต ปล่อยแสงจิ้วๆ แล้วจากไป
เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่นอย่าง “อุลตร้าแมน” ที่ครองใจเด็กๆ มากว่าครึ่งศตวรรษ ซึ่งจุดเด่นของอุนตร้าแมนที่คนจำได้ ก็คงจะหนีไม่พ้นท่าปล่อยสำแสงสุดเฟี้ยว และไฟกระพริบตรงหน้าออกที่คอยบอกว่า “รีบๆ จัดการสัตว์ประหลาดได้แล้วนะ ก่อนจะหมดเวลา” แต่รู้หรือไม่ จริงๆ แล้ว “อุลตร้าแมน” มีเรื่องราวและประวัติมากกว่าการที่แปลงร่าง ยิงแสง แล้วก็บินกลับดาวเมื่อพลังใกล้จะหมด จุดเริ่มต้นของพวกเขาเป็นอย่างไร แล้วทำไมต้องเดินทางมายังโลก เราไปติดตามพร้อมๆ กันเลยดีกว่า ย้อนกลับเมื่อสองแสนปีก่อน ในจักรววาลอันแสนกว้างใหญ่ มีกาแล็กซี่ M78 ที่ประกอบไปด้วยดวงดาวกว่า 69 ล้านดวง และที่ใจกลางกาแล็คซี่แห่งนั้น มีดวงดาวดวงหนึ่งชื่อว่า “ดินแดนแห่งแสงสว่าง” หรือ “ดาวอุลตร้า” โดยดวงดาวดวงนี้มีขนาดใหญ่กว่าโลก 60 เท่าและมีประชากร “เผ่าพันธุ์อุลตร้า” อาศัยอยู่กว่า 180,000 ล้านคน ในตอนนั้นประชากรของดาวอุลตร้ายังมีลักษณะไม่แตกต่างจากมนุษย์บนโลก อยู่มาวันหนึ่ง ดวงอาทิตย์ที่คอยให้มอบแสงกว่างและเป็นแหล่งพลังงานให้กับดาวอุลตร้า เกิดระเบิดและสูญสลายไปในพริบตา ทำให้ทั้งดาวตกอยู่ในความมืดมิด ประชากรของดาวอุลตร้าจำนวนครึ่งหนึ่ง ค่อยๆ ล้มตายลง ด้วยความหนาวเย็นและความอดอยาก …
-
จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่เราจะสามารถใช้งานสมองได้แบบ 100% เหมือนในหนังเรื่อง Lucy?
เราอาจเคยได้ยินว่ามนุษย์เราใช้สมองเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จึงทำให้หลายๆ คนพยายามหาวิธีการที่จะทำให้เราสามารถใช้งานสมองได้มากกว่านั้น หรือถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะใช้ให้มันถึง 100 เปอร์เซ็นต์ไปเลยแบบในหนังเรื่อง Lucy แต่ในความจริงแล้วมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดการณ์เอาไว้ก็ได้นะ Marc Ettlinger นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาจากกรมกิจการทหารผ่านศึกในสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาพูดว่า ปัจจุบันหลายๆ คนพยายามหาวิธีการที่จะทำให้เราสามารถใช้สมองได้มากกว่าที่เราเข้าใจ ซึ่งเรายึดติดกับความเชื่อนี้ก็เพราะเราเคยได้ยินหลายๆ วิธีที่บอกว่าสามารถช่วยให้เราทำอย่างนั้นได้จริง อย่างเช่นเราเคยได้ยินว่าการหลับ การจดบันทึก การทำกิจกรรมต่างๆ หรือการฝันกลางวันจะสามารถพัฒนาองค์ความรู้และประสิทธิภาพของการคิดของเราได้ จึงทำให้หลายๆ คนออกไปหาอะไรทำ จินตนาการไปถึงสิ่งต่างๆ หรือพักผ่อนเพิ่มอีกซัก 2-3 ชั่วโมง Marc อธิบายว่าการที่เราไม่ออกไปหากิจกรรมใดๆ ทำนอกบ้าน ไม่ชอบจินตนาการ หรือนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ สิ่งเหล่านั้นจะส่งผลในแง่ลบให้กับกระบวนการการคิดของเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นวิธีการแก้ไขที่ว่ามาอาจเป็นเพียงตัวที่ช่วยขจัดปัญหาเหล่านั้นออกไป ไม่ได้เป็นสิ่งที่เพิ่มพูนการใช้งานของสมอง แม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความคงที่ของระบบการรู้คิดในสมองเรา แต่ทั้งหมดนั้นก็แสดงให้เห็นว่า มันช่วยในการทำงานของสมองให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น แต่ไม่ได้เพิ่มขึ้นไปจากเดิมเหมือนที่เราเข้าใจ นั่นหมายความว่าแท้จริงแล้วที่บอกว่าเราสามารถใช้สมองได้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์อาจไม่ได้เป็นความจริง แต่เกิดขึ้นจากจินตนาการของเราที่คิดขึ้นมาและสร้างเป็นเป้าหมายให้กับตัวเองเท่านั้น สิ่งนี้อาจเป็นการคาดการณ์แต่ไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป ยกตัวอย่างถ้าเราเดินทางย้อนเวลากลับไปบอก Aristotle ว่า ในอนาคตเด็ก…
-
สาวๆ ควรรู้!! วิธีที่ฆาตกรต่อเนื่องใช้เลือกเหยื่อ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
การฆาตกรรมต่อเนื่องอาจจะเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ทำให้หลายๆ คนต้องขวัญผวาและไม่กล้าที่จะออกไปไหนกลางค่ำกลางคืนคนเดียวแน่ๆ และถึงแม้ว่าในบ้านเรานั้น ข่าวคราวเกี่ยวกับการฆาตกรรมต่อเนื่องนั้นอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่การรู้เกี่ยวกับการเลือกเหยื่อของอาชญากรเหล่านี้ก็อาจจะช่วยให้คุณระวังตัวได้มากยิ่งขึ้น จากบทความในเว็บไซต์ต่างประเทศได้ระบุว่าเหล่าฆาตกรต่อเนื่องนั้นมักจะเลือกเหยื่อจากลักษณะทางกายภาพอย่างเช่นเพศ เชื้อชาติ อายุ หรือความแข็งแรงของเหยื่อ นอกจากนี้พวกเขามักจะเลือกคนที่มีลักษณะเข้ากับอาชีพหรือการดำเนินชีวิตของพวกเขา มีการเปิดเผยข้อมูลในสหรัฐอเมริกาว่ามีผู้หญิงกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ที่ตกเป็นเหยื่อของฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งพวกเธอนั้นตกเป็นเหยื่อมากกว่าผู้ชายถึง 10 ต่อหนึ่งเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามเหล่าเด็กผู้ชาย ผู้อพยพ และแรงงานชายก็มีโอกาสที่จะตกเป็นเหยื่อได้เช่นกัน นอกจากนี้ในกลุ่มของเด็กผู้หญิง และสาววัยรุ่นก็ยังถือว่าเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของเหล่าฆาตกรต่อเนื่องอีกด้วย “พวกฆาตกรต่อเนื่องนั้นมักจะไม่สามารถโน้มน้าวใจ หรือใช้แรงจัดการกับเหล่าผู้ใหญ่ได้ดังนั้นพวกเขาจึงมักที่จะพุ่งเป้ามาที่เด็กๆ ส่วนเหล่าอาชญากรที่เป็นวัยรุ่นนั้นก็มักจะไม่เลือกเหยื่อที่เป็นสาวๆ สูงวัย เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถที่จะหลอกล่อพวกเธอได้นั่นเอง” ข้อความจากบทความ Killing for sport: Inside the minds of serial killers ของ Pat Brown จากหนังสือ The encyclopedia of serial killers ของ Michael Newton เผยว่านักจิตวิทยาและนักกฎหมายมีความเห็นเหมือนกันคือเหล่าฆาตกรต่อเนื่องนั้นมักจะมีพฤติกรรมในการเลือกเหยื่อเหมือนกับนักล่า ซึ่งพวกมันจะเลือกเหยื่อที่อ่อนแอและไม่ค่อยระวังตัวเหมือนลูกแกะหลงฝูงนั่นเอง ที่มา serialkillersvictimschoosing
-
นักสัตววิทยาเผย โลกกำลังเผชิญวิกฤตใกล้สูญพันธุ์ และอาจจะเร็วกว่าเดิมถึง 100 เท่า!!
ด้วยภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ทั้งการมีมลพิษต่างๆ ที่มากขึ้น รวมถึงภาวะโลกร้อนที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ทำให้โลกของเราดูเหมือนว่าจะมีอายุที่สั้นลงและสิ่งมีชีวิตก็เริ่มสูญพันธุ์กันมากขึ้น และหากยังมีสภาพที่เป็นเช่นนี้อยู่ ก็อาจจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นกับโลกของเรามากขึ้นตามไปด้วย และเมื่อไม่นานมานี้นักสัตววิทยาได้ออกมาเปิดเผยว่า โลกของเราอาจจะต้องเผชิญกับการสูญพันธุ์ขนาดใหญ่อีกครั้ง นับตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ที่สูญพันธุ์ไปเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว โดยรายงานสิ่งแวดล้อม The Living Planet report ซึ่งจัดทำโดยองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) และสมาคมสัตวศาสตร์แห่งลอนดอน (ZSL) ได้คาดการณ์เอาไว้ว่าจากสถานการณ์ในปัจจุบันโลกของเราจะเผชิญกับการสูญพันธุ์ที่ไวกว่ากำหนดเดิมถึง 100 เท่า ด้วยเหตุนี้ ในปี 2020 นี้จำนวนประชากรสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, ปลา, สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์อื่นๆ ที่มีกระดูกสันหลังอื่นๆ จะลดลงถึง 2-3 เท่าในเวลา 50 ปีที่ผ่านมา ในอดีตเราอาจจะมีความคิดที่ว่า ไดโนเสาร์อาจจะสูญพันธุ์ไปจากโลกเนื่องจากมีอุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาชนที่โลกของเรา แต่ในตอนนี้สิ่งที่จะทำให้ดาวดวงนี้ใกล้จะเข้าสู่ภาวะวิกฤตก็คือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มนุษย์’ รายงานสิ่งวาดล้อมนี้ได้วิเคราะห์ข้อมูลสายพันธุ์สัตว์กว่า 3,706 ชนิด และได้พบว่า ในช่วงปี 1970 ถึง 2012 จำนวนประชากรสัตว์แต่ละชนิดลดลงไปถึง 58 เปอร์เซ็นต์ และถ้ายังรักษาระดับนี้ไว้เรื่อยๆ ภายในปี 2020 ตัวเลขจะลดลงไปถึง…
-
ทำความรู้จัก “ศาสนาเจได” กลุ่มคนที่เชื่อในเรื่องของพลัง May The Force Be With You
แต่ละคนนั้นก็อาจจะมีความชื่นชอบส่วนตัวที่แตกต่างกันไป บางคนอาจจะชื่นชอบเหล่าเกิร์ลกรุ๊ป บางคนอาจจะหลงใหลรถยนต์ หรือบางคนอาจจะเป็นแฟนคลับตัวจริงของการ์ตูนมาร์เวล แต่นอกจากความชื่นชอบธรรมดาแล้ว บางครั้งก็อาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเลยก็ว่าได้ เหมือนกับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งผู้ชื่นชอบหนัง Star Wars และหลงใหลในศาสตร์แห่งพลังจนได้รวมตัวกันโดยยึดถือหลักแห่งเจไดในการดำเนินชีวิต พบกับเรื่องราวอันน่าสนใจของศาสนาเจได ลัทธิใหม่ของคนชื่นชอบ “พลัง” May The Force Be With You bro!! เรื่องราวของพวกเขาถูกถ่ายทอดออกมาในภาพยนตร์สารคดีเรื่อง American Jedi จากผลงานของ Laurent Malaquais ผู้กำกับชาวอเมริกาที่เคยมีผลงานหนังสารคดีเกี่ยวกับเหล่าแฟนคลับของ My Little Pony อย่างเรื่อง Bronies เมื่อปี 2013 เนื้อหาในหนังพูดถึงการใช้ชีวิตของเหล่าแฟนคลับ Star Wars ตัวจริงที่ใช้ชีวิตตามหลักของเจไดที่ว่า “ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกนั่นคือสันติสุข ไม่มีอวิชชานั่นคือความรู้ ไม่มีความลุ่มหลงนั่นคือความสงบ ไม่มีกลียุคนั่นคือความสามัคคี และไม่มีความตายนั่นคือพลัง” คุณ Malaquais เติบโตมาในครอบครัวที่เปิดกว้างในเรื่องของศาสนา และความสนใจใน Star Wars ก็ทำให้เขาสนใจเกี่ยวกับศาสนานี้ “ผมเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมที่เปิดกว้างในเรื่องของศาสนา และผมก็ได้รู้จักกับแนวคิดของการเป็นเจไดนี้” ผู้กำกับหนุ่มกล่าว ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง American Jedi ได้ตามติดชีวิตของเหล่าสาวกในศาสนาเจได และหนึ่งในนั้นก็คือ Opie Macleod อดีตนายทหารหนุ่มที่มีเรื่องราวคล้ายๆ กับตัวละครของหนังเรื่องนี้เลยทีเดียว ในตอนที่เริ่มฝึกกับเหล่าเจไดคนอื่นๆ…
-
นักวิทย์ฯ เผยสาเหตุที่มนุษย์ต้อง ‘ตกหลุมรัก’ ซึ่งกันและกัน เพราะมันเกี่ยวกับวิวัฒนาการเพื่อการอยู่รอด!!
การตกหลุมรักเป็นหนึ่งในความลึกลับอันยิ่งใหญ่ของชีวิต เพราะเราไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้น ที่สำคัญเป็นความรู้สึกมีให้เฉพาะบางคนเท่านั้น แต่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ได้มาให้คำตอบแล้วว่าความรู้สึกของการตกหลุมรักนั้น อาจเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในการวิวัฒนาการของเรา นี่ถือเป็นครั้งแรกที่นักวิจัยค้นพบหลักฐานของ “ความรักที่ส่งเสริมวิวัฒนาการของมนุษย์” เพราะมันจะเพิ่มโอกาสในการมีครอบครัวมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาการศึกษาวิจัยจากชนเผ่า Hadza ในประเทศแทนซาเนีย ที่ไม่ได้ใช้ชีวิตตามแบบยุคสมัยใหม่และพบว่าการมีความรู้สึกรักใคร่กันของคู่ครองนั้นมีความเชื่อมโยงถึงความต้องการในการมีบุตรด้วยกันมากขึ้น ผลดังกล่าวนี้สอดคล้องกับการวิจัยก่อนหน้านี้จากมหาวิทยาลัย University College London เมื่อปี 2013 ที่พบว่าความรักอาจมีพัฒนาการในการยับยั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกลิงหรือ Primate (ในที่นี้รวมถึงมนุษย์ด้วย) จากการฆ่าทารก โดยเฉพาะในกลุ่มของสปีชีส์ที่ฝ่ายเพศผู้และเพศเมียมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก็จะทำให้เพิ่มโอกาสที่ทายาทของพวกเขาจะรอดชีวิต และจะยิ่งดีไปกว่านั้นหากเพศผู้มาช่วยเลี้ยงดูบุตรด้วยตัวเอง ในสังคมสมัยใหม่ ปัจจัยบางอย่างเช่น ความสัมพันธ์ระหว่างความรักกับจำนวนบุตรนั้นมีแนวโน้มที่จะมีความเชื่อมโยงกันน้อยลง จึงเป็นเหตุผลที่นักวิจัยหันไปหาชนเผ่าที่เป็นนักล่าสัตว์และอยู่ห่างไกลความศิวิไลซ์อย่างเผ่า Hadza ชีวิตของคน Hadza มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในช่วงหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ ‘ความรัก’ ในหมู่บรรพบุรุษยุคก่อนประวัติศาสตร์ของเราได้ นักวิจัยเขียนไว้ว่า “การศึกษาของเราอาจทำให้เกิดความกระจ่างในเรื่องความหมายของความรัก และการวิวัฒนาการในอดีต โดยเฉพาะสังคมแบบดั้งเดิมของ Hadza ที่การเลือกคู่ที่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลไม่ใช่พ่อแม่ของพวกเขา” งานวิจัยอ้างอิงว่าชนเผ่า Hadza นั้นมีการเลือกคู่ครองตามใจของแต่ละคน มีชื่อว่า Frontiers in Psychology ทั้งนี้มีงานวิจัยที่นำโดย Dr.…
-
คุณหมออเมริกัน ออกมาเตือน “สามเหลี่ยมอันตราย” บนใบหน้าที่คุณไม่ควร “บีบสิว” เด็ดขาด!!
ขึ้นชื่อว่า “สิว” ไม่ว่าใครก็ไม่อยากจะให้มันมาอยู่บนใบหน้าของเรา เพราะหากมันมาอยู่บนใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเราก็จะเหมือนกับอุกกาบาตที่มีตุ่มขึ้นอยู่เต็มไปหมด อีกทั้งดีไม่ดีเมื่อมันหายไปแล้วมันอาจจะทิ้งรอยแดงรอยดำทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้าอีกด้วย สิวสามารถเกิดขึ้นมาได้ด้วยหลายสาเหตุ เช่นความเครียด ความสกปรก หรือฮอร์โมนที่อยู่ในตัวของเรา ซึ่งรูปแบบการขึ้นของมันส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่ทั่วทั้งใบหน้า และไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่ามันจะเกิดขึ้นตรงไหน แต่รู้หรือไม่ว่าใบหน้าของเรามีสามเหลี่ยมสุดอันตรายซ่อนอยู่ ซึ่งหากเกิดสิวขึ้นบริเวณนั้นแล้วห้ามบีบมันออกมาอย่างเด็ดขาด!! เมื่อเร็วๆ มานี้ Dr. Jeremy Brauer ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านโรคผิวหนังแห่ง NYU Langone Medical Center ได้ออกมาเปิดเผยว่าบนใบหน้าของเราจะมีสามเหลี่ยมสุดอันตรายซ่อนอยู่ ซึ่งสามเหลี่ยมที่ว่านี้อยู่บริเวณระหว่างมุมปากทั้งสองข้างของเราไปจนถึงบริเวณจมูก ซึ่งหากเกิดสิวขึ้นบริเวณนี้เราควรจะหลีกเลี่ยงการบีบสิวโดยเด็ดขาด สำหรับสาเหตุที่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าควรหลีกเลี่ยงบริเวณนี้ก็เพราะว่า โดยปกติการบีบสิวจะทำให้ผิวหน้าของเราอักเสบและอาจเกิดบาดแผลที่เชื้อแบคทีเรียสามารถเข้าไปได้ง่ายอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้จุดดังกล่าวมีความอันตรายมากกว่าปกติก็เพราะว่า มันเป็นจุดที่บอบบางและยังมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายกว่า อีกทั้งยังมีเส้นเลือดดำหล่อเลี้ยงอยู่เป็นจำนวนมาก การบีบสิวในบริเวณนี้จึงอาจส่งผลต่อแอ่งหลอดเลือดดำในสมองที่เรียกว่า Cavernous sinus ที่อยู่ในสมองทั้งสองข้างของเราได้ ซึ่งจะแตกต่างกับจุดอื่นบนใบหน้าของเราอย่างที่แก้ม คางหรือหน้าผาก ที่ผลลัพธ์ร้ายแรงที่สุดของการบีบสิวก็เพียงรอยแผลเป็นเท่านั้น “ถ้าหากมีการติดเชื้อที่ผิวหนังอย่างรุนแรงในบริเวณนี้ และไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีมันอาจจะส่งผลต่อสมอง ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงขึ้นมาได้” Dr. Jeramy กล่าว สำหรับการติดเชื้อจากการบีบสิวที่บริเวณสุดอันตรายนี้ สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ และหากคุณสงสัยว่าตัวเองจะติดเชื้อ อย่านิ่งนอนใจไปเพราะอาจส่งผลในภายหลังได้ โดยสัญญาณบ่งบอกว่าเราอาจจะติดเชื้อก็มีหลายอย่างทั้งรอยแดง การบวม มีเลือดออกรวมทั้งการมีหนองด้วย และหากคุณมีอาการต่อไปนี้ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรเข้าไปปรึกษากับทางแพทย์ผิวหนังจะเป็นการดีที่สุด ที่มา:…
-
สโมสรฟุตบอลแห่งนี้ ก็แค่ “ทีมที่ใช้เงินซื้อความสำเร็จ” แบบนั้นใครๆ ก็ทำได้น่ะสิ…!?
กลางเดือนธันวาคม ในเมือง Manchester ที่หนาวเหน็บและฝนตกแทบจะตลอดทั้งปี มีสโมสรฟุตบอลใหญ่อยู่ 2 สโมสร… สโมสรหนึ่งประสบความสำเร็จมากกว่า ส่วนอีกสโมสรนั้นกำลังอยู่ในช่วงวิกฤติ พวกเขามีปัญหาทางการเงิน หนำซ้ำผลงานในสนามที่ทำได้ย่ำแย่ ทำให้ตกชั้นจากลีกสูงสุดของประเทศ นั่นทำให้กองเชียร์หมดศรัทธา แทบไม่เข้ามาดูในสนาม ขายตั๋วก็ไม่ได้ พวกเขาไม่มีเงินค่าตั๋วมาจ่ายค่าแรงนักเตะ รวมถึงเจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆ ในสโมสร… นี่ก็ใกล้จะสิ้นปีแล้ว พวกเขาจะผ่านพ้นปีนี้ไปได้อย่างไร แล้วจู่ๆ “อัศวินขี่ม้าขาว” ก็ก้าวเข้ามา เขาไม่ได้มาพร้อมอาวุธ แต่มาพร้อมกับ “เงิน” จำนวนมหาศาล เขาตัดสินใจให้สโมสรฟุตบอลแห่งนี้กู้ยืมเงินโดยไม่คิดดอกเบี้ย นอกจากจะจ่ายค่าแรงนักฟุตบอลได้แล้ว เงินดังกล่าวยังพอจ่ายโบนัสส่งท้ายปีให้กับพนักงานในสโมสรด้วย นั่นทำให้สโมสรพ้นวิกฤติในปีนั้นไปได้ และจนกระทั่งปัจจุบัน… เงินกู้ยืมก้อนนั้นกลายเป็นเสมือนเงินให้เปล่า สัญญาเงินกู้นั้นก็ไม่ได้รับการเรียกคืน สโมสรฟุตบอลแห่งนี้ไม่ได้จ่ายเงินคืนแต่อย่างใด เงิน ซื้อความสำเร็จได้ง่ายๆ จริงหรือ!? แต่ผ่านพ้นไปไม่นาน สโมสรก็พบว่าตัวเองประสบปัญหาทางการเงินอีกครั้ง และ “อัศวินขี่ม้าขาว” ก็กลับมาพร้อมกับเงินก้อนใหญ่ ที่มากกว่าเดิมเกือบ 10 เท่า รอบนี้เขาไม่เพียงแต่จ่ายค่าแรงให้ แต่ยังเคลียร์หนี้สินทั้งหมดของสโมสรแห่งเมืองแมนเชสเตอร์นี้แทบทั้งหมด เขาเป็นคนที่รวยมาก เงินแค่นี้จึงไม่สะเทือนกับฐานะของเขาเลย เขาแค่อยากให้สโมสรแห่งนี้ลืมตาอ้าปากและยิ่งใหญ่ได้เท่านั้น “ในเมือง…
-
ผลวิจัยเผย “คนที่ขำกับมุกตลกร้าย” อาจมีแนวโน้มของอัจฉริยะมากกว่าคนปกติ!!
การจะเล่าเรื่องตลกสักเรื่องหนึ่งให้เพื่อนของเราฟัง เราก็ต้องคิดก่อนว่าเมื่อเล่าไปแล้วเพื่อนของเราจะเข้าใจมุกที่เราต้องการจะสื่อออกไปไหมนะ เพราะบางทีเรื่องตลกที่เราอยากจะเล่าอาจจะกลายเป็นเรื่องแป้กที่ทำให้เรากลายเป็นตัวตลกเองเสียก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องตลกบนโลกนี้ก็มีอยู่นับร้อยนับพันเรื่อง แต่ว่าจะมีตลกอยู่ประเภทหนึ่งที่เรียกว่า ‘เรื่องตลกร้าย’ โดยเนื้อหาของตลกร้ายจะเป็นเนื้อหาที่ค่อนข้างรุนแรง และอาจมีการเสียดสีอยู่ทำให้อาจจะทำให้คนทั่วไป ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งออกมาเกี่ยวกับเรื่องตลกร้าย โดยพวกเขาบอกว่าหากใครที่เข้าใจความหมายของมุกตลกร้าย บุคคลเหล่านั้นดูเหมือนมีความเป็นอัจฉริยะแฝงเอาไว้อยู่!! งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร Cognitive Processing โดยทีมนักจิตวิทยาได้ออกมาเปิดเผยว่า ผู้ที่เข้าใจในเรื่องของมุกตลกร้าย (ในที่นี้หมายถึงเรื่องตลกที่ค่อนข้างสื่อไปในทางที่น่ากลัวอย่างเช่นเรื่องความตาย เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ความผิดปกติ โศกนาฏกรรมอันน่าสลดใจรวมถึงสงคราม) มักจะเป็นคนที่ค่อนข้างฉลาดกว่าคนปกติทั่วไป ซึ่งพวกเขาเหล่านี้มักจะมีระดับ IQ ที่สูง มีความก้าวร้าวเพียงน้อยนิด และสามารถต้านทานต่อความรู้สึกในแง่ลบได้ดีเลยทีเดียว โดยวิธีการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์ขันกับสติปัญญาของนักวิจัยทีมนี้ก็คือ พวกเขาได้นำกลุ่มทดลองชายหญิงกว่า 126 ชีวิตให้ลองอ่านการ์ตูนที่มีเนื้อหาสุดเยือกเย็นจากหนังสือเรื่อง The Black Book ของนักเขียนการ์ตูนชาวเยอรมันชื่อว่า Uli Stein และเมื่อผลการทดสอบออกมาก็ปรากฏว่า ผู้ทดสอบที่เข้าใจเนื้อหาของการ์ตูนเรื่องนี้และสนุกไปกับมัน จะมีระดับ IQ ที่สูงกว่า อีกทั้งยังมีความก้าวร้าวน้อยกว่าผู้ที่ไม่เข้าใจมุกตลกเหล่านี้ ซึ่งนักวิจัยวิจัยได้อธิบายถึงเหตุผลเอาไว้ว่า เป็นเพราะว่ามุมมองความคิดนั้นต่างกัน หากเราไม่สามารถรับมือเรื่องร้ายต่างๆ ที่เข้ามาด้วยอารมณ์ขันและมองโลกในแง่ดี เราจะพลอยรู้สึกแย่ตามเรื่องนั้นๆ ที่ได้รับรู้และอาจแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าวออกมามากกว่ากว่าปกติ แต่หากถามว่าเรื่องมุมมองเกี่ยวกับเรื่องของความฉลาดอย่างไร ทีมนักวิจัยก็ได้บอกว่า เป็นเพราะเรื่องตลกร้ายค่อนข้างจะมีเนื้อหาที่ซับซ้อนกว่าเรื่องตลกปกติ และต้องใช้การตีความจึงจะเข้าใจถึงความหมายได้ โดยการตีความคำคำหนึ่งในมุกตลกจะทำให้เราได้ใช้สมองทั้งซีกซ้ายและขวา…
-
ขอโทษนะ… วิทยาศาสตร์บอกว่า ‘รักแรกพบ’ ไม่มีอยู่จริง สิ่งที่เกิดขึ้นคือตัณหาล้วนๆ
“คุณเชื่อในรักแรกพบมั้ย?” เป็นคำถามที่ใครหลายๆ คนต้องเคยเจอกันมาก่อน กับการมองปุ๊บปิ๊งปั๊บ รักเลยอะไรทำนองนั้น แท้จริงแล้วมันก็อาจไม่ใช่ความรักเสมอไป เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาบอกว่า รักแรกพบนั้นส่วนใหญ่แล้วเกิดจากความต้องการทางเพศเท่านั้นเอง การศึกษาในเรื่องนี้ ถูกเผยแพร่ในวารสารงานวิจัย The International Association for Relationship ศึกษาจากการออกเดตกัน 500 ครั้ง ของนักศึกษาชาวดัตช์และชาวเยอรมัน อายุเฉลี่ยที่ 25 ปีจำนวน 200 คน ทุกคนจะถูกกำหนดให้ทำอยู่สามขั้นตอน แรกสุดคือทำแบบสำรวจออนไลน์ ต่อมาจะถูกศึกษาพฤติกรรมในห้องปฏิบัติการ และสุดท้ายจะได้ไปออกเดตแบบเผชิญหน้ากัน โดยทั้งสามขั้นตอนนี้จะมีเวลาให้แค่ 90 นาทีเท่านั้น เมื่อกลุ่มตัวอย่างทำขั้นตอนที่สามคือการออกเดตแบบเผชิญหน้ากันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจะถูกถามว่ารู้สึกเหมือนกับได้เจอรักแรกพบบ้างหรือเปล่า และให้บอกว่าระดับความเข้ากันได้ทางกายภาพของเขาและเธอนั้นอยู่ที่เท่าไหร่จาก 3 ระดับ ได้แก่ “รู้สึกสนิทสนม” “รู้สึกใกล้ชิด” และ “รู้สึกถึงความต้องการในเรื่องเพศ” จากการพบกันทั้งหมด ผลออกมาว่ามีสิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบเกิดขึ้นมาถึง 49 ครั้ง จากผู้ร่วมการทดสอบแค่ 32 คน และเกือบทั้งหมดนั้นเกิดจากความต้องการในเรื่องเพศแทบทั้งสิ้น หลังจากที่หลงใหลในรูปร่างอันสะดุดตาของเพศตรงข้าม และแม้ว่า…
-
ดูผ่านก็เป็นรูปภาพปกติทั่วไปนะ แต่พอดูอีกทีถึงกับอุทานว่า “เฮ้ย นั่นใครแว้ ?”
ในชีวิตคนเรานี่มันต้องมีบ้างแหละ ที่เวลาเราถ่ายรูปอะไร แล้วจู่ๆมันก็ชอบมีคนหรืออะไรต่างๆมาแย่งซีนประจำ อย่างเหมียวนี่ก็เคยถูกแย่งซีนจนคนอื่นมองข้ามความหล่อของเหมียวไปตลอด วันนี้เหมียวเลยพาเพื่อนร่วมชะตากรรมที่ถูกแย่งซีนเหมือนกันมาให้ทุกคนได้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดว่ามันเจ็บสักแค่ไหน ดูซิว่าจะหาคนที่แย่งซีนเจอกันมั้ย . . . . . . . . . . . . . . . เป็นไงล่ะ รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดรึยัง บางรูปเหมียวก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าในรูปเป็นคนจริงๆ หรือว่าอาจจะมีพลังงานบางอย่างอยู่-ก็-เป็น-ด้ายยยยย ที่มา aplus
-
เปิดกรุดีไซน์ที่ไม่ได้ใช้ใน Justice League Dark แต่ละตัวดูมีสเน่ห์ราวกับหลุดมาจากคอมมิก
ยังจำกันได้ไหมว่าเมื่อหลายปีก่อนทาง DC ได้มีการประกาศแผนจะสร้างจักรวาลหนังของเขา ซึ่งภายในแผนก็มีหนังมากมายที่ถูกเปิดเผนออกมาทั้ง Green Lantern Corp, Cyborg, Flashpoint และอื่นๆ อีกเพียบ แต่ว่าหนึ่งในเรื่องที่ประกาศมานั้นก็ยังมีหนังเรื่องหนึ่งที่ #เหมียวมู่ทู่ ชอบหนึ่งในตัวละครของทีมนี้และอยากดูมากๆ นั่นก็คือ Constantine จากทีม Justice League Dark นั่นเอง เผื่อใครไม่รู้ว่าทีม Justice League Dark นั้นเกี่ยวกับอะไรก็จะอธิบายง่ายๆ ว่า ทีมนี้นั้นจะเป็นทีมที่ตรงข้ามกับ Justice League ที่ต้องสู้กับผู้ร้ายที่เป็นคนธรรมดาหรือก็เอเลี่ยนนอกโลก แต่ทีมนี้จะเน้นสู้กับสิ่งลี้ลับหรือภูติผีแทนนั่นเอง เพียงแต่ว่าล่าสุดเมื่อช่วงกลางปี 2017 ทาง Guillermo del Toro ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเขาจะออกจากการเป็นผู้กำกับของหนังเรื่อง Justice League Dark ซึ่งจนปัจจุบันก็ยังไม่มีการประกาศว่าใครจะมารับช่วงต่อ จนตอนนี้มันให้ความรู้สึกว่าหนังใกล้จะไม่เกิดขึ้นจริงแล้วนั่นเอง ยิ่งผนวกเข้ากับโพสต์ของทาง Joseph Kahn ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมออกแบบของหนังเรื่องดังกล่าวได้ออกมาเผยคอนเซ็ปต์อาร์ตต่างๆ ของหนังให้เราได้เห็นกันแล้ว ยิ่งทำให้เรามั่นใจว่าหนังเรื่องนี้มันจะไม่เกิดขึ้นแน่ๆ เพราะปกติภาพเหล่านี้มันจะถูกปล่อยออกมาหลังหนังฉายไปแล้วสักระยะหนึ่งหรือไม่ก็หนังถ่ายทำเสร็จแล้วนั่นเอง ภาพตัว John Constantine หมอผีที่เทพที่สุดในจักรวาล DC…
-
21 สุดยอดเทคนิคทางจิตวิทยา ช่วยให้คุณสามารถอ่านความคิดของ “คู่สนทนา” ได้ง่ายๆ!!
ในบางครั้ง คำพูดอาจไม่ใช่สิ่งที่สามารถอธิบายทุกอย่างได้ทั้งหมด เพราะความจริงแล้วเราสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ผ่านอวัจนภาษา หรือภาษากายของผู้พูดได้ว่า แท้จริงแล้วในตอนนั้นเขารู้สึกหรือว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ การสังเกตภาษากายสามารถทำให้เรารับรู้ข้อมูลของคู่สนทนาได้มากขึ้นถึง 55 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชาวออสเตรเลีย Allan Pease ได้แนะนำถึงข้อสังเกตง่ายๆ ที่ทำให้เราเข้าใจฝ่ายตรงข้ามได้มากขึ้น เราลองไปดูกันเลยว่ามันมีอะไรบ้าง 1. การหลับตา ถ้าหากอีกฝ่ายกำลังพูดแล้วหลับตาไปด้วย นั่นหมายความว่าเขากำลังพยายามหลบซ่อนตัวจากโลกภายนอก หรือกำลังคิดอะไรอยู่สักอย่าง แต่ที่ทำอย่างนั้นไม่ใช่ว่าเพราะเขากลัวคุณ ในทางตรงกันข้าม เขาอาจจะแค่เหนื่อยที่ต้องคุยกับคุณ เลยหลับตาเพื่อทำให้คุณหายไปแทน 2. ใช้มือปิดปาก วิธีนี้ก็เหมือนกับตอนยังเป็นเด็ก ยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้เวลาที่เราไม่อยากบอกอะไร อาจจะใช้แค่นิ้วโป้งหรือกำหมัดขึ้นมาปิดเอาไว้ ซึ่งบางทีอาจทำเป็นไอ เพื่อปิดบังว่าเราไม่ต้องการบอกบางสิ่งบางอย่างให้อีกฝ่ายรู้ 3. กัดขาแว่น รวมถึงการคาบปากกาดินสอ คาบบุหรี่ หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง สิ่งเหล่านี้คือการแสดงออกถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ภายใน โดยพฤติกรรมในลักษณะนี้จะทำให้รู้สึกปลอดภัย นักจิตวิทยาเผยว่าพฤติกรรมดังกล่าว คล้ายกับตอนดูดนมแม่สมัยเป็นเด็กนั่นเอง 4. การยื่นหน้าออกมา การเอาคางมาเกยไว้บนมือคือท่าทางเพื่อดึงดูดความสนใจของเพศตรงข้าม ให้อีกฝ่ายเชยชมใบหน้าของเราอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นหากผู้ชายคนไหนเห็นสาวๆ ทำท่านี้ก็ควรรับรู้ได้ทันที และกล่าวชมเธอไปในเวลาที่เหมาะสม 5.…
-
การใช้ภาษากายเพื่อช่วยเสริมความมั่นใจ และช่วยลดความเครียดได้ภายใน 2 นาทีต่อวัน
หลายๆ คนพยายามหาวิธีการเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง แต่เราอาจไม่รู้ว่าวิธีการที่ง่ายและได้ผลนั้นอยู่ใกล้ตัวเรามากจริงๆ และนอกจากจะเพิ่มความมั่นใจแล้ว มันยังช่วยลดความเครียดให้คุณได้อีกด้วย ก่อนที่จะไปพูดถึงวิธีการ เราจะมาพูดถึงหลักการทำงานของฮอร์โมนที่ส่งผลต่อความมั่นใจของเรากันก่อน ในงานวิจัยจากหลายสถาบัน เช่น มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยออริกอน หรือมหาวิทยาลัยเท็กซัส พวกเขาบอกเอาไว้ว่า การเป็นผู้นำที่ดี นอกจากจะสามารถกระจายรูปแบบความคิดได้แล้ว ฮอร์โมนก็มีส่วนสำคัญเหมือนกัน ฮอร์โมนที่ส่งผลเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ เทสโทสเตอโรน และ คอร์ติซอล ซึ่งถ้าหากเรามีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอยู่มากเท่าไหร่ ความมั่นใจที่เรามีก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และถ้าเราสามารถลดการสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอลลงได้ ก็จะช่วยลดความวิตกกังวลของตัวเองและรับมือกับความเครียดได้ดียิ่งขึ้น หลักการทำงานของฮอร์โมนทั้งสองตัว สามารถส่งผลกับตัวเราได้อย่างมาก แล้วมันจะมีวิธีการไหนบ้างที่สามารถควบคุมฮอร์โมนเหล่านั้นได้? นั่นแหละคือสิ่งที่เราจะมาพูดกันในวันนี้ วิธีการดังกล่าวคือการทำท่าทางต่างๆ ใช้ภาษากายง่ายๆ ทั่วไปเท่านั้นเอง โดย Amy Cuddy นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ทำการศึกษาเรื่องของความเชื่อมโยงกันระหว่างความแตกต่างของท่าทางและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน งานวิจัย ของเธอได้จำแนกท่าทางของคนเราออกมาเป็นสองแบบ ได้แก่ “ท่าทางที่ดูมีพลัง” กับ “ท่าทางที่ดูไม่มีพลัง” ซึ่งเราสามารถเห็นความแตกต่างของท่าทางเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน “ท่าทางที่ดูมีพลัง” (ด้านบน) กับ “ท่าทางที่ดูไม่มีพลัง” (ด้านล่าง) กลุ่มตัวอย่างในครั้งนี้คือนักศึกษาจำนวน…
-
MIT เผย “โรคเสพติดมือถือ” มีอยู่จริง และส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ร้ายแรงกว่าที่เราคิด!?
ปัจจุบัน แทบทุกคนจะต้องมีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเอง และการที่เล่นแต่มือถือจนแทบไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย แบบนั้นเราอาจเรียกว่า อาการของคนติดมือถือ แต่เพื่อนๆ รู้มั้ยว่าอาการนั้นมันมีอยู่จริงและสามารถส่งผลเสียให้กับสุขภาพเราได้อย่างมาก การเสพติดมือถือจะมีความใกล้เคียงกับการเสพติดโซเชียลมีเดีย เพราะคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น มักจะเล่นโซเชียลมีเดียผ่านมือถือกันทั้งนั้น การโทรคุยกันแทบจะไม่เกิดขึ้น เพราะเราสามารถได้เห็นและสื่อสารกันผ่านโลกโซเชียลได้ นั่นจึงทำให้มีการศึกษาจำนวนมากที่พยายามศึกษาเกี่ยวกับผลเสียที่ตามมาจากสมาร์ทโฟน ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2017 สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือรู้จักกันในชื่อ MIT ได้เผยแพร่ การทดลองของอาจารย์โรงเรียนสอนธุรกิจในประเทศอิตาลี และฝรั่งเศส อาจารย์ทั้งสองคนตั้งกฎห้ามไม่ให้นักเรียนใช้สมาร์ทโฟนเป็นเวลาหนึ่งวัน ผลลัพธ์ที่ได้คือ นักเรียนส่วนใหญ่เกิดความกระวนวายขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าจะเอาเวลาว่างไปทำอะไรดี เนื่องจากปกติพวกเขาจะเช็กโทรศัพท์กันอยู่เสมอ เหมือนอย่างนักเรียนคนหนึ่งที่ปกติจะเช็กมือถือของตัวเองถึง 4 ครั้งในเวลาแค่ 10 นาที การศึกษาในรูปแบบเดียวกันนั้นเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา พบว่าเด็กที่ไม่ได้เล่นมือถือจะทำงานที่ต้องใช้สภาวะทางด้านจิตใจได้แย่ลง รู้สึกสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป และยังส่งผลถึงทางร่างกาย เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย มี การศึกษาหนึ่งที่พูดถึงการเพิ่มสูงขึ้นของผู้มีอาการซึมเศร้าและฆ่าตัวตายในปี 2010 – 2015 จากสถิติของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือรู้จักกันในชื่อ CDC ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงได้รับผลกระทบค่อนข้างมากในช่วงที่สมาร์ทโฟนเริ่มเป็นที่นิยม โดยสถิติการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้นถึง 65 เปอร์เซ็นต์ และหญิงสาวที่มีอาการซึมเศร้าก็เพิ่มอีกกว่า 58…
-
การที่พวกเราไม่เก่งคณิต ไม่ได้แปลว่าโง่ แต่จริงๆ อาจมีความ ‘อัจฉริยะ’ แฝงอยู่ในตัวก็เป็นได้!?
ในสมัยเรียน หลายๆ คนอาจเคยกังวลกับวิชาคณิตศาสตร์ เพราะมันคือหนึ่งในวิชาที่ยากที่สุดและเวลาสอบทีไรคะแนนที่ออกมามันช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน แต่อย่าเพิ่งกังวลไป เพราะจากการศึกษาในมหาวิทยาลัย Zurich Technical University บอกว่าการไม่เก่งคณิตศาสตร์อาจไม่ได้แปลว่าคุณไม่ฉลาด แต่คุณอาจมีความเป็นอัจฉริยะแฝงอยู่ในตัว ศาสตราจารย์ Elsbeth Stern บอกว่าความสามารถทางคณิตศาสตร์เป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด ทำให้มนุษย์ทุกคนสามารถดูออกได้ว่าอันไหนเยอะกว่า อันไหนน้อยกว่า แต่เหตุผลหลักที่ทำให้หลายๆ คนไม่เก่งคณิตศาสตร์คือความผิดพลาดของระบบการศึกษา ที่ไม่สามารถทำให้พวกเขานำคณิตศาสตร์เหล่านั้นมาใช้ในชีวิตจริงได้ Elsbeth พูดว่า “สิ่งสำคัญคือ เรามักจะขาดความเข้าใจในเรื่องของแนวความคิดโดยรวม แม้แต่นักเรียนที่ฉลาดที่สุดก็มักจะไม่สามารถถ่ายโอนข้อมูลเชิงลึกที่ควรได้รับออกไปได้ ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แตกต่างออกไปจากในห้องเรียน” นั่นหมายความว่าการที่เราไม่สามารถทำคณิตศาสตร์ได้ อาจเป็นเพราะการศึกษาที่ไม่ดึงดูดหรือเรียกความสนใจของเรา หรือระบบการสอนที่ขาดความประสิทธิภาพ Elsbeth กล่าวเสริมอีกว่า “บ่อยครั้งที่เด็กถูกสอนให้ท่องจำการคำนวณต่างๆ และไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงรากฐานที่แท้จริงของคณิตศาสตร์ได้” “ในการทดลองก่อนหน้านี้ยังบอกอีกว่า หากมีการสอนให้นักเรียนเรียนเรื่องการบวกและคูณไปพร้อมๆ กัน แทนที่จะเรียนทีละอย่างไป จะช่วยให้เด็กสามารถเข้าใจหลักการของการคำนวณได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหาต่างๆ ในอนาคตได้ดีมากกว่าเดิม” อย่างไรก็ตาม แม้เราจะมีความสามารถติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่สิ่งที่สำคัญคือแรงจูงใจและความพยายาม โดย Malcolm Gladwell เคยพูดถึงทฤษฎีที่เรียกว่า “กฎ 10,000 ชั่วโมงเอาไว้” อธิบายไว้ว่า…
-
จากการศึกษาและงานวิจัยบอกว่า ‘การเสพติดเซลฟี่’ อาจเป็นอาการผิดปกติของจิตใจก็ได้
ในโซเชียลมีเดีย เราอาจได้เห็นเพื่อนๆ เซลฟี่โพสต์ลงในโซเชียลมีเดียกันจนเป็นเรื่องปกติ แต่มันอาจจะไม่ปกติอีกต่อไป เมื่องานวิจัยได้ออกมาเผยว่าการเซลฟี่อาจเป็นความผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่ง ย้อนกลับไปในปี 2014 สมาคมจิตเวชอเมริกัน หรือรู้จักกันในชื่อ APA ได้พูดถึงความผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่งที่ชื่อว่า Selfitis คือคนที่ถูกการเซลฟี่เข้าครอบงำ ต่อมาในปี 2017 จึงได้มีงานวิจัยออกมาเพื่อยืนยันและจำแนกประเภทของอาการชนิดนี้ งานวิจัยดังกล่าวถูกตีพิมพ์ใน วารสารนานาชาติที่เกี่ยวกับสุขภาพจิตและการเสพติด เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน โดยนักวิจัยสองคนจากมหาวิทยาลัย Nottingham Trent University ในอังกฤษ และ Thiagarajar School of Management ในอินเดีย พวกเขาต้องการยืนยันว่าอาการทางจิตดังกล่าวนั้นมีอยู่จริงและต้องการแบ่งระดับความรุนแรงออกมาให้เราเห็นภาพกันได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตามเงื่อนไขต่างๆ ที่ถูกวางเอาไว้ ทั้งสองใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยจำนวนหลายร้อยคน เพื่อทำการสัมภาษณ์แบบกลุ่ม หลังจากนั้นพวกเขาก็แบ่งระดับความรุนแรงของพฤติกรรมการถูกครอบงำจากเซลฟี่ออกมาเป็น 3 ระดับดังนี้ ระดับ 1 ขั้นเริ่มต้น หมายถึงคนที่ถ่ายเซลฟี่อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง แต่ไม่ได้โพสต์รูปเหล่านั้นลงโซเชียล ระดับ 2 ขั้นรุนแรง หมายถึงคนที่ถ่ายเซลฟี่อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง…
-
7 ด้านมืดแห่ง “บริษัทญี่ปุ่น” เพราะโลกไม่ได้มีเพียงเรื่องดี และความจริงมันโหดร้ายกว่าที่คิด…
หากพูดถึงประเทศญี่ปุ่น และสินค้าคุณภาพจากบริษัทญี่ปุ่นแล้ว เราจะนึกถึงการทำงานด้วยความเนี้ยบ คุณภาพงานเยี่ยม และเป็นอะไรที่เชื่อใจได้มากที่สุด แต่ในช่วงหลังมานี้ มีข่าวคราวที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับทั้งการทำงานอันกดดันภายในบริษัทแห่งแดนอาทิตอุทัย รวมถึงข่าวคราวความไม่ได้คุณภาพของสินค้าออกมาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นกระแสที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เนื่องจากทั้งโลกต่างก็มีความเข้าใจว่า “สินค้าญี่ปุ่น” คือสินค้าที่มั่นใจได้ในคุณภาพ เพราะฉะนั้นเมื่อมีการผิดพลาด (ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ตาม) ย่อมมีกระแสลบตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บทความนี้ไม่ได้จะทำมาเพื่อโจมตีประเทศญี่ปุ่นหรือบริษัทแห่งใดโดยเฉพาะ แต่เราจะพาไปดูกันว่าช่วงหลังมานี้ เหล่าบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นหลายแห่งนั้นต่างเผชิญภาวะปัญหารุมเร้ามากขึ้นกว่าในอดีตมากจริงๆ 1. นักข่าวสาวเสียชีวิต จากการทำงานหนัก Miwa Sado ถูกพบเสียชีวิตภายในที่พักของเธอเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2013 ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ภายหลังการสืบสวนทราบว่าเธอประสบภาวะการทำงานหนักจนเกินไป โดยเธอทำงานหนักมาก เฉพาะจำนวนชั่วโมง OT นั้นเธอทำถึง 159 ชั่วโมงในเดือนก่อนเสียชีวิต และหยุดงานแต่เดือนละ 2 วันเท่านั้น อาการ Karoshi คือชื่อเรียกของการเสียชีวิตจากการทำงานหนักจนเกินไป ซึ่งสื่อญี่ปุ่นระบุว่าเธอไม่ใช่รายแรก และด้วยสภาพการทำงานอันกดดันมากเกินไปของออฟฟิศญี่ปุ่น เธอก็ไม่ใช่รายสุดท้ายด้วย 2. ผู้บริหาร Dentsu ลาออก หลังพนักงานทำงานหนักจนฆ่าตัวตาย ทาคะฮาชิ มัตซึริ เสียชีวิตในปี 2015 ขณะที่ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการโฆษณาให้กับบริษัท…
-
ไม่ใช่แค่ชื่อ… เปิดประวัติ Gustave โคตรไอ้เข้ตัวจริง ตำนานที่ยังคงมีลมหายใจถึงทุกวันนี้
นอกจากมนุษย์แล้ว บนโลกนี้ยังเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์มากมายหลายชนิด ซึ่งก็มีทั้งสัตว์ที่เป็นมิตรและสัตว์ที่เป็นอันตราย และหากจะพูดชื่อสัตว์ที่เป็นอันตรายแล้ว ชื่อของจระเข้ต้องติดมาเป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน เพราะว่ารูปร่างหน้าที่น่ากลัวบวกกับการเป็นสัตว์กินเนื้อของมัน ทำให้ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดที่ต้องเข้าใกล้ต่างก็ต้องมีผวากันบ้าง จระเข้บนโลกนี้มีอยู่มากมายนับพันนับหมื่นตัว แต่ว่ามีจระเข้อยู่ตัวหนึ่งที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นตำนานนักฆ่า และได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญมาแล้วมากมาย และชื่อของมันก็คือ กุสตาฟ (Gustave) นั่นเอง กุสตาฟเป็นจระเข้แม่น้ำไนล์ตัวผู้ ซึ่งอาศัยอยู่ที่แม่น้ำรูซิซีในประเทศบุรุนดีในทวีปแอฟริกา ปัจจุบันมันมีอายุกว่า 60 ปีแล้ว อีกทั้งยังมีคนอ้างว่ามันเคยฆ่าคนมาแล้วมากกว่า 300 ชีวิตเลยทีเดียว ไม่ว่ากี่ปีจะผ่านไปก็ไม่เคยมีใครสามารถจับสัตว์ในตำนานตัวนี้ได้ ทำให้เราคาดเดาไม่ได้ว่ามันมีขนาดเท่าไหร่กันแน่ แต่จากการคาดการณ์ของนักวิทยาศาสตร์บวกกับพยานที่เคยเห็นมันตัวเป็นๆ พวกเขาได้คาดคะเนเอาไว้ว่า เจ้ากุสตาฟอาจมีลำตัวที่ยาวมากถึง 7.5 เมตรและมีน้ำหนักมากกว่า 900 กิโลกรัม นั่นจึงทำให้กุสตาฟกลายเป็นจระเข้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยมีผู้พบเห็นในทวีปแอฟริกา และจากขนาดของมันในตอนแรกนักวิทยาศาสตร์คาดเอาไว้ว่ามันอาจจะมีอายุมากกว่า 100 ปี แต่จากการสังเกตที่ฟันของมันแล้วทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วมันมีอายุน้อยกว่านั้นและน่าจะอยู่ราวๆ ที่ 60 ปี และจะสามารถเจริญเติบโตได้มากกว่านี้อีก แม้ว่ากุสตาฟจะไม่เคยถูกจับได้ แต่ตามร่างกายของมันก็มีร่องรอยของกระสุนหลายนัก อย่างเช่นที่ไหล่ขวาของมันมีก็แผลเป็นที่เกิดมาจากแผลที่ลึกเป็นอย่างมาก แต่ที่มาที่ไปของบาดแผลก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามันบาดเจ็บมาจากสิ่งใด แต่จากคำบอกเล่าของคนในท้องถิ่น พวกเขาเล่าว่า บาดแผลของกุสตาฟเกิดจากการที่มันพุ่งเข้าไปโจมตีทหาร ที่พยายามจะสังหารมันด้วยการสาดกระสุนปืน AK47 ใส่…
-
การเปลี่ยนผ่าน “วัฒนธรรมร้านการ์ตูน” ที่กำลังหายไป และเด็กรุ่นใหม่อาจไม่ได้สัมผัสอีกแล้ว
ย้อนกลับไปในสมัยที่เราเรียนประถมหรือมัธยมเมื่อราวๆ สัก 10-20 ปีก่อน สิ่งบันเทิงในยุคนั้นก็มีอยู่หลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการด์เกม เครื่องเล่นเกม รถบังคับ หรือจะเป็นความบันเทิงแบบง่ายๆ อย่างหนังสือการ์ตูน ปัจจุบัน #เหมียวฟิ้น เองอยู่ในช่วง 20 กลางๆ ซึ่งก็เคยสัมผัสสิ่งบันเทิงต่างๆ มาเกือบหมด แต่หนังสือการ์ตูนก็ยังคงเป็นสิ่งที่ให้ความบันเทิงที่ถูกจริตกับเรามากที่สุด และมันไม่ได้เปลี่ยนรูปแบบไปเลย ต่างจากพวกเครื่องเล่นเกมที่มีการพัฒนาหน้าตาและความสวยงาม หรือจะเป็นภาพยนตร์ที่เปลี่ยนแพลตฟอร์มมาแล้วหลายรูปแบบ ก็อย่างว่าล่ะนะ หนังสือมันก็คือหนังสือ ลองนึกย้อนไปในสมัยเรียน (ในช่วงที่อินเตอร์เน็ตยังไม่แพร่หลาย) ทุกครั้งที่เราเลิกเรียน หลายๆ คนจะมุ่งตรงไปยังร้านหนังสือการ์ตูน เพื่อดูว่าหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ที่เราอยากอ่านมันมาหรือยัง? หรือเล่มที่คนอื่นยืมไปจะเอามาคืนแล้วหรือยัง? เพื่อที่เราจะซื้อหรือเช่าไปอ่านกันอย่างสบายอกสบายใจ โดยทิ้งการบ้านไว้ในกระเป๋า (แล้วค่อยไปทำเอาที่โรงเรียน 555+) หลายเรื่องเป็นเรื่องที่เราเองก็ไม่ได้ติดตามอ่านมาก่อน แต่หากเมื่อไหร่ก็ตามที่เพื่อนๆ ในโรงเรียนพูดถึงมากขึ้น เราก็ต้องไปขวนขวายหามาอ่าน เพื่อที่จะได้ไปโม้กับเพื่อนๆ ในวันรุ่งขึ้น หรือหากเรื่องที่เราอยากอ่านยังไม่มีเล่มใหม่ มันก็เป็นโอกาสให้เราลองเขยิบไปดูหนังสือการ์ตูนในชั้นข้างเคียงเพื่อดูว่ามีเล่มไหนน่าสนใจอีกหรือเปล่า จังหวะนั้นแหละที่ช่วยให้เราได้อ่านเรื่องใหม่ๆ ซึ่งเรื่องที่เราได้อ่านในช่วงนั้นก็จะเป็นพวก Bleach เทพมรณะ, Mar อิทธิฤทธิ์พิชิตมายา, Air Gear ขาคู่ทะลุฟ้า (เรื่องนี้บึ้มมาก), Reborn ครูพิเศษจอมป่วน, Conan…
-
งานวิจัยเปิดเผยว่า สิ่งที่ช่วยให้คุณ ‘นอนหลับ’ อย่างสบายที่สุดก็คือ ‘การมีเซ็กส์’
คุณผู้อ่านกำลังประสบกับปัญหาการนอนไม่หลับอยู่หรือเปล่าคะ? เจ้าอาการนอนไม่หลับเนี่ยมันช่างน่าหงุดหงิดซะเหลือเกิน พอจะข่มตาหลับได้สักพักก็ต้องตื่นไปทำงานซะแล้ว พอจบวันจะนอนก็ดันนอนไม่หลับอีก วนลูปแบบนี้ไปเรื่อยๆ ร่างกายจะพังเอานะ ซึ่งปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับนี้ก็กลายเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา หรือผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ก็นำประเด็นเรื่องการนอนไม่หลับมาศึกษาเพื่อหาวิธีคลายปัญหา หนึ่งในหัวข้อที่เกี่ยวกับอาการนอนไม่หลับที่ Michele Lastella จากสถาบัน Appleton Institute for Behavioral Science ของมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลียได้ทำการศึกษาในหัวข้อที่ว่า “เมื่อมีเซ็กส์แล้วจะทำให้อาการนอนไม่หลับหายไป” นั่นแน่ อย่าพึ่งคิดลึกไปถึงฉากนั้นนะ จากการสำรวจข้อมูลจากประชากรชาวรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลียที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 70 ปี จำนวน 460 คน พบว่า 2 ใน 3 คนสามารถนอนหลับได้ดีขึ้นหลังจากที่ได้ขึ้นสวรรค์ก่อนนอน หัวข้อการวิจัยนี้อ้างอิงมาจากหลักฐานการวิจัยที่ถูกค้นพบว่า มนุษย์จะหลั่งฮอร์โมน ออกซิโทซิน ออกมาหลังจากที่สำเร็จความใคร่ด้วยการมีเซ็กส์หรือช่วยตัวเองจนถึงจุดสุดยอด ซึ่งเจ้าฮอร์โมนออกซิโทซินนี้เป็นฮอร์โมนแห่งความผ่อนคลาย ออกฤทธิ์คล้ายยาระงับประสาทและช่วยให้สามารถนอนหลับได้ นอกจากนี้ Michelle ก็ได้แนะนำอีกว่าควรจะนำโทรศัพท์มือถือไปไว้ไกลๆ เพื่อที่จะได้ทำกิจกรรมอย่างสะดวกไม่มีสะดุด เมื่อพร้อมแล้วก็สามารถจูงมือกันขึ้นไปสู่ประตูสวรรค์ได้เลย …
-
7 สิ่งที่ร่างกายพยายามจะบอก ว่าสุขภาพจิตของคุณนั้นเข้าใกล้ขีดอันตรายแล้ว
ในบางทฤษฎีอาจบอกว่าร่างกายและจิตใจเป็นสิ่งที่แยกจากกันโดยสมบูรณ์ แต่เราก็สามารถสังเกตสุขภาพจิตผ่านการตอบสนองของร่างกายเราได้ เพื่อตรวจสอบว่าเรากำลังมีสุขภาพจิตที่ย่ำแย่อยู่หรือเปล่า นักจิตวิทยา Jenny C.Yip จากลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ได้ออกมาแนะนำถึง 7 สัญญาณที่สามารถสังเกตตัวเราเองว่ากำลังประสบปัญหาสุขภาพจิตอยู่หรือเปล่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อการใช้ชีวิตของคุณในระยะยาว มีอะไรบ้าง เราลองไปดูกันเลย 1. หัวใจเต้นแรง อาการใจสั่นหรืออัตราการเต้นของหัวใจที่สูงผิดปกติคือสัญญาณบ่งบอกว่าคุณกำลังวิตกกังวล และมันยังหมายถึงว่าคุณกำลังตกอยู่ในปัญหาความเครียดเรื้อรัง นั่นเป็นเพราะว่าเวลาที่เรารู้สึกกระวนกระวาย สมองของเราจะปล่อยฮอร์โมนออกมาทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น 2. มีอาการแปลกๆ เกิดขึ้นกับมือ อาการเหงื่อออกมือคืออีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังจมอยู่กับความวิตกกังวล ซึ่งอาการดังกล่าวสามารถพบบ่อยเวลาที่คุณถูกกระตุ้นให้ต้องคิดว่า “จะสู้หรือจะถอยหนี” ทำให้ระบบประสาทในร่างกายของเราตอบสนองออกมาอัตโนมัติ 3. รู้สึกว่าภายในร่างกายปั่นป่วนไปหมด การตอบสนองแบบ “จะสู้หรือจะถอยหนี” จะทำให้ร่างกายของเราปล่อยอะดรีนาลีนออกมา จนทำให้การทำงานของระบบย่อยอาหารช้าลงหรืออาจหยุดไปเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นหากใครตกอยู่ในความเครียดตลอดเวลา ก็จะมีอาการมวนๆ ท้อง จนอาจกลายเป็นอาการของโรคลำไส้แปรปรวน ที่ทำให้รู้สึกปวดท้องท้องผูก หรือท้องเสียได้ 4. รู้สึกปวดหัวตุบๆ อยู่เสมอ หากคุณยังคงมีความเครียดไปเรื่อยๆ อาการปวดหัวเรื้อรังก็จะตามมาอย่างง่ายดาย ซึ่งอาการนี้มักเกิดขึ้นในช่วงสายๆ เที่ยงๆ และจะเป็นอย่างนี้ไปนานหลายเดือน 5. รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา การใช้ความคิดอย่างหนักจะทำให้ร่างกายของเรารู้สึกเหนื่อยตามไปด้วย จิตใจของเราก็เปรียบได้กับจานหนึ่งใบ…
-
ทำไมบริษัทขายยางรถยนต์ “มิชลิน” ต้องมาทำไกด์รีวิวอาหาร “มิชลินสตาร์” ด้วยล่ะ!?
ถ้าหากพูดถึงบริษัท มิชลิน สิ่งหนึ่งที่จะผุดขึ้นมาในหัวของพวกเราเลยนั่นก็คือตุ๊กตาสีขาวหน้ารถ 10 ล้อ เฮ๊ยย!! ไม่ใช่บริษัทผลิตยางระดับโลกต่างหากล่ะ แต่ทว่าถ้าหากคุณเป็นแฟนของหนังเรื่อง Burnt หรือชื่นชอบเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารล่ะก็ อาจจะคุ้นเคยกับหนังสือมิชลินไกด์ บุ๊ก กันเป็นอย่างดี และแน่นอนว่าชื่อที่เหมือนกันซะขนาดนี้คงไม่ใช่ความบังเอิญแน่ๆ แต่บริษัทมิชลิน และมิชลินไกด์ บุ๊ก และเรื่องยางกับอาหารนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร วันนี้ #เหมียวเวจจี้ จะพาทุกคนไปหาคำตอบเอง จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์อันยาวนาน อย่างที่เราทราบกันดีว่ามิชลินนั้นคือชื่อของบริษัทผลิตยักษ์ใหญ่ของโลกสัญชาติฝรั่งเศส ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1889 โดยจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทางมิชลินนั้นหันมาสนใจเกี่ยวกับการทำหนังสือไกด์บุ๊กแนะนำอาหารนั่นก็คือในช่วงปี 1900 ทางบริษัทผู้ผลิตมีนโยบายที่ต้องการเพิ่มปริมาณการจำหน่ายยาง จึงเลือกที่จะใช้ตัวไกด์บุ๊กเป็นสิ่งที่แนะนำให้ลูกค้าอยากที่จะขับรถออกไปนอกบ้าน มิชลินไกด์บุ๊กเล่มแรกถูกตีพิมพ์ออกมาทั้งสิน 35,000 ฉบับ โดยภายในหน้ากระดาษกว่า 400 หน้าอัดแน่นไปด้วยข้อมูลต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นการแนะนำการเปลี่ยนยาง สถานที่ตั้งจุดบริการน้ำมัน โรงแรมที่พักรวมถึงร้านอาหาร และแจกให้กับผู้ขับขี่รถยนต์ฟรีๆ แน่นอนว่านี่อาจจะฟังดูเหมือนเรื่องตลก แต่ในสมัยที่ทั่วฝรั่งเศสมีรถยนต์เพียงแค่ 3,000 คัน นี่ก็ถือเป็นแผนการกระตุ้นการใช้รถยนต์ได้ดีทีเดียว และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานหนังสือแนะนำร้านอาหารที่น่าเชื่อถือมากที่สุดเล่มหนึ่ง!! แผนโปรโมตอาจจะไม่ได้ผล!! แน่นอนว่าการที่บริษัทผลิตยางจะมาแนะนำอะไรแบบนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว และยิ่งการแจกฟรีก็ยิ่งทำให้ไม่ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้ามากเท่าไหร่ มันถูกนำไปใช้ในจุดประสงค์อื่นๆ ที่ไม่ใช่การออกไปตามหาร้านดังๆ อย่าที่ทางบริษัทตั้งใจ ดังนั้นในปี 1920 ทางมิชลินจึงได้มีการจัดทำไกด์บุ๊คใหม่ใหม่และทำการจำหน่ายเป็นครั้งแรก!! …
-
สาระน่ารู้เกี่ยวกับ ‘ทางเดินขุรขระ’ ด้วยการออกแบบเพื่อประโยชน์สำหรับคนตาบอดอย่างแท้จริง
หลายๆ คนอาจจะเคยเห็นเทางเท้ารูปร่างแปลกๆ ที่มีทั้งแบบเส้นและแบบจุด ซึ่งบางครั้งเราเองก็มักจะเกิดความสงสัยว่าแท้จริงแล้วเจ้าทางเท้าขรุขระนี้มีไว้ทำอะไรกันแน่!? เมื่อไม่นานมานี้ #เหมียวเวจจี้ ได้พบเรื่องราวเกี่ยวกับประโยชน์และสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเจ้าทางเดินขรุขระนี้ ซึ่งจะเป็นอย่างไรบ้างนั้นไปชมกันเลย… อันที่จริงแล้วเจ้าทางเดินขรุขระนี้ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับคนตาบอดนั่นเอง โดยแผงคอนกรีตที่มาพร้อมกับรอยตะปุ่มตะปั่มนี้จะช่วยให้คนตาบอดทราบว่าพวกเขากำลังจะออกจากเขตทางเท้าเข้าสู่ถนนแล้ว!! และนอกจากนี้มันยังถูกนำไปใช้สำหรับเตือนในการเปลี่ยนแปลงเส้นทาง ส่วนสีเหลืองและสีแดงที่ถูกทาไว้บนทางขรุขระเหล่านั้นก็มีไว้สำหรับเตือนผู้ที่สามารถมองเห็นได้บางส่วนนั่นเอง นอกจากนี้แผ่นทางขรุขระนี้ก็ยังมีรูปแบบต่างหัน ซึ่งแต่ละแบบนั้นก็จะให้ความหมายที่ไม่เหมือนกันด้วย ว่าแล้วเราไปรู้จักรูปร่างหน้าตาของทางเดินสำหรับคนตาบอดในแต่ละรูปแบบกันดีกว่า… 1. Offset Dots แผ่นทางเดินแบบจุดที่เรียงต่อกันเป็นเส้นทแยงนี้ มีความมหายว่าสิ่งที่อยู่ถัดจากเจ้าทางเดินแบบนี้ก็คือทางรถไฟหรือเส้นทางอื่นๆ ที่ไม่ใช่ถนนปกตินั่นเอง 2. Lozenge-Shaped Bumps แผ่นทางขรุขระรูปวงรีนี้ จะคอยเตือนคนตาบอดว่าทางข้างหน้านั้นเป็นเส้นทางของรถราง หรือเส้นทางเดินของระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ 3. Stripes Across a Path เส้นทางเท้าแบบแนวขวางที่จะช่วยเตือนคนตาบอดว่าทางข้างนั้นนั้นเป็นทางต่างระดับ หรือทางเดินขึ้นบันได ซึ่งจะต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น 4. Stripes Along a Path เส้นทางขรุขระแบบตามทางยาวที่มีไว้สำหรับให้คนตาบอดเดินบนพื้นผิวขรุขระนี้เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางระหว่างทางเดิน โดยเริ่มใช้ครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อประมาณปี 1960 ก่อนที่จะกลายเป็นที่นิยมทั่วโลก ลักษณะของเส้นทางเท้าสำหรับคนตาบอดแบบยาว ในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินของญี่ปุ่น ที่มา simplemost
-
รู้หรือไม่ว่า ‘การกัดเล็บ’ เผยให้เห็นถึงบุคลิกภายใน ที่ซ่อนอยู่ในตัวตนของคนเราด้วย!?
หลายๆ คนอาจคิดว่าการกัดเล็บคือพฤติกรรมของคนที่รู้สึกวิตกกังวลหรือตื่นเต้น แต่ความเป็นจริงพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ นี้ กลับสามารถเผยให้เห็นบุคลิกภาพที่ซ่อนอยู่ภายในได้เลยทีเดียว การศึกษาพฤติกรรมดังกล่าวถูกเผยออกมาผ่านงานวิจัยในปี 2015 ของมหาวิทยาลัย Montreal ประเทศแคนาดา บอกว่าการดึงผมตัวเอง การม้วนผมเล่น การกัดเล็บ หรือการทำอะไรซ้ำไปซ้ำมา สามารถบ่งบอกได้ถึงลักษณะบุคลิกบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใน จากงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน Journal of Behavior Therapy and Experimental Psychiatry นักวิจัยบอกว่าพฤติกรรมเหล่านั้นคือการแสดงถึงความเบื่อหน่ายและผิดหวัง ซึ่งเป็นอาการของคนที่มีบุคลิกภาพแบบ Perfectionist ผู้ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบ และที่น่าเป็นห่วงก็คือการมีลักษณะบุคลิกภาพแบบนั้นมากจนเกินไป อาจทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างผ่อนคลายหรือทำสิ่งต่างๆ ได้เหมือนคนทั่วไป ดอกเตอร์ Kieron O’Connor ศาสตราจารย์จิตเวชหัวหน้าการวิจัยครั้งนี้บอกว่า “คนประเภทนี้มักมีแนวโน้มที่จะรู้สึกสิ้นหวัง ขาดความอดทน และไม่พอใจเวลาที่ไปไม่ถึงเป้าหมาย และพวกเขายังจะมีความเบื่อหน่ายมากกว่าคนปกติอีกด้วย” การกัดเล็บคือพฤติกรรมหนึ่งที่สื่อให้เห็นว่า พวกเขารู้สึกเบื่อหรือผิดหวังกับบางเรื่องจนต้องทำไรซ้ำไปซ้ำมา เพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่า “อย่างน้อยก็ยังมีอะไรทำ” ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย แต่สิ่งที่หลายๆ คนคิดว่าการกัดเล็บเกิดจากความเครียดก็ไม่ใช่เรื่องผิดซะทีเดียว เพียงแต่ว่าตามงานวิจัยแล้ว การกัดเล็บเพราะว่าความเครียดหรือตื่นเต้นนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก เมื่อเทียบกับเหตุผลที่พูดมาก่อนหน้านี้…
-
สาวจีนไม่ซักปลอกหมอนมานานกว่า 5 ปี จนทำให้ใต้ขนตามีไรอาศัยอยู่กว่า 100 ตัว!!
การดูแลตนเองให้มีสุขอนามัยที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะมันคือตัวช่วยหลักที่ทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัยจากเชื้อโรค ดังนั้นความเป็นอยู่ทั่วๆ ไปและความสะอาดของสิ่งต่างๆ ภายในบ้านก็ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นคุณอาจต้องเจอปัญหาเหมือนกับเธอคนนี้ได้ เรื่องราวนี้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2015 หญิงสาวแซ่ Xu ในมณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน เธอรู้สึกระคายเคืองและมีอาการตาแดง จึงไปปรึกษากับแพทย์ แต่ด้วยอาการของเธอแพทย์จึงไม่ได้แนะนำวิธีใดๆ ให้มากนัก นอกจากการให้เธอใช้ยาหยอดตาช่วยบรรเทาอาการไป พอเวลาผ่านไป ในเดือนพฤศจิกายน 2017 เธอต้องกลับไปพบแพทย์อีกครั้ง เพราะเธอรู้สึกว่าตาเธอแห้งมาก และขนตาของเธอก็เริ่มที่จะติดกันไปเป็นยวง เมื่อแพทย์ได้ตรวจอีกครั้งก็พบว่า มีไรจำนวนมากอาศัยอยู่ในรูขุมขนบริเวณขนตาของเธอ และนั่นจึงทำให้ต้องเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม เพราะแม้มันจะไม่ได้อันตรายถึงชีวิต แต่ก็เป็นปัญหาที่ไม่ควรปล่อยผ่านไปได้ หลังจากตรวจผ่านกล้องจุลทรรศน์ ทำให้เห็นว่ามีไรกว่า 10 ตัวอาศัยอยู่ในรูขุมขนของขนตาหนึ่งเส้น นั่นหมายความว่าบริเวณขนตาของเธอมีไรมาอาศัยอยู่มากกว่า 100 ตัวเลยทีเดียว แล้วลองคิดดูว่าไรพวกนั้นอาศัยอยู่ตรงนี้มานานถึง 2 ปีอีกต่างหาก สุดท้ายเธอได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคตาแดงและ Blepharitis หมายถึงสภาพที่เปลือกตาอักเสบเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ถูกปล่อยออกมาจากตัวไร แต่หลังจากได้รับการรักษาแล้ว หญิงสาวก็กลับมาหายเป็นปกติในที่สุด หมอบอกว่ากรณีของ Xu นั้นมาจากการถ่ายเทอากาศภายในห้องของเธอที่ไม่เพียงพอ รวมถึงสุขอนามัยส่วนตัว ซึ่งนั่นหมายถึงปลอกหมอนของหญิงสาวที่ถูกใช้มากกว่า 5 ปี…
-
เชฟมือดี เผย 5 สิ่งที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน เกี่ยวกับการทำงานในร้านอาหารสุดโหด!!!
“เชฟ” อาชีพในฝันของใครหลายๆ คน ที่มีหน้าที่สร้างสรรค์การศิลปะอาหารให้กับผู้ลิ้มรสจากทั่วโลก แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าการเป็นเชฟนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แถมการทำงานอยู่หลังครัวนั้นมีความลับที่ทุกคนยังไม่เคยรู้มาก่อน และในครั้งนี้เชฟชื่อดังจะมาเผยเรื่องลับที่ทุกคนยังไม่เคยรู้ เกี่ยวกับการทำงานสุดหินเบื้องหลังการเสิร์ฟอาหารสุดหรู “งานครัวที่ไม่เคยพัก” เชฟต้องทำงานตลอดเวลาเพื่อให้ทันกับความต้องการของลูกค้า “งานครัวคืองานที่ต้องทำตลอด 24 ชั่วโมง คนอื่นคงไม่รู้หรอกว่าเราต้องเตรียมวัตถุดิบทุกอย่างไว้ก่อนที่จะทำอาหารทั้งหมด” Ashley Davis เชฟฝีมือดีที่ได้รับรางวัลเชฟและหัวหน้าเชฟ Copper Pot Seddon ในเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย กล่าวเอาไว้ “เราต้องทำอาหารตลอดทั้งคืนเพื่อให้ทันเวลา และเชฟทำงานมากถึง 14 ชั่วโมงต่อวันเลยล่ะ” “การควบคุมและจัดการงานในร้านอาหารเป็นเรื่องยาก” เชฟ Davis อธิบายประสบการณ์ในร้านอาหารว่า แม้ว่าภาพรวมของร้านอาหารจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าและอาหารที่เสิร์ฟออกไป แต่ในความจริงแล้วมีคนที่ทำงานอยู่เบื้องหลังมากมาย “ร้านอาหารคือเรื่องของทุกคน ตั้งแต่คุณลูกค้า พนักงานเสิร์ฟ ซัพพรายเออร์ เกษตรกร การขนส่ง คนขับรถส่งของ และอีกหลายๆ อย่าง” “ดังนั้นการที่จะลงมาจัดการในทุกๆ ขั้นตอนนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรเลยล่ะ” “เมนูอาหารไม่ได้หรูหราแบบนี้พวกคุณเห็น” Kathleen Schaffer อดีตเชฟผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง Schaffer อธิบายว่ารายการอาหารบางอย่างในร้านอาหารนั้นคือการ “สร้างกำไร” อาหารจานหนึ่งที่มีราคาไม่แพงมากนัก ถูกจัดแต่งให้ดูหรูหราเพื่อที่จะเพิ่มราคาให้สูงขึ้น “หากอาหารขาดส่วนผสมไปอย่างหนึ่ง จะไม่สามารถจัดเสิร์ฟได้เลย” พวกเราไม่สามารถที่จะใช้ส่วนผสมอื่นแทนส่วนผสมที่ขาดหายไปได้ ดังนั้นคนทำอาหารจะต้องจัดหาส่วนผสมนั้นมาให้ได้…
-
รวม 10 เรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในปี 2017 นี้ และหวังว่าปีหน้ามนุษย์เราจะช่วยกันทำให้ดีขึ้นไปอีก
หลายคนอาจคิดว่าโลกของเราเต็มไปด้วยสิ่งเลวร้าย การดิ้นรนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และคนในสังคมที่ต่างคนต่างใช้ชีวิตกันไป แต่ที่คุณคิดอย่างนั้นอาจเป็นเพราะไม่เคยเห็นเรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นได้ ทั้งหมดนี้คือ 10 เรื่องราวแสนอบอุ่นหัวใจในปี 2017 ที่จะทำให้คุณรู้ว่าบนโลกของเรายังคงมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ และเชื่อว่าในปีหน้า การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จะยิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีกนะ 1. คนแปลกหน้าจำนวนมากซื้อรถให้กับเด็กหนุ่มที่ทำงานร้านฟาสต์ฟู้ด เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้น เมื่อ Andy Mitchell ขับรถไปเจอพนักงานร้านฟาสต์ฟู้ดที่ชื่อ Justin Corva กำลังเดินอยู่บนทางเท้าในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา Andy จึงอาสาพาเขาไปส่งยังที่หมาย และได้รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ต้องเดินไกลเกือบ 5 กิโลเมตรทุกวันเพื่อไปทำงาน ชายหนุ่มจึงถ่ายเซลฟี่พร้อมกับโพสต์เรื่องราวของ Justin ลงในเฟซบุ๊ก ทำให้คนในโลกโซเชียลได้เห็นและช่วยกันรวบรวมเงินก้อนหนึ่งเพื่อซื้อรถให้กับเด็กหนุ่มคนนี้ จนในที่สุดเขาก็ได้มีรถเป็นของตัวเอง ประกันภัยรถยนต์ 1 ปี สามารถเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้ฟรี 2 ปี และบัตรเติมน้ำมันอีกกว่า 16,000 บาท 2. ชาวเน็ตและคนดังช่วยกันอวยพรวันเกิดให้กับเด็กคนหนึ่งที่ถูกกลั่นแกล้ง คุณพ่อเจ้าของทวิตเตอร์ที่ชื่อว่า @Hopenlesmyth ถามคนในโลกโซเชียลว่ามีใครรู้จักคนดังหรือดาราบ้างมั้ย เพราะเขาต้องการให้คนเหล่านั้นช่วยอวยพรวันเกิดให้กับ Ollie ลูกชายของเขา เขาเล่าว่าเด็กหนุ่มวัย 9 ขวบคนนี้ถูกกลั่นแกล้งจนทำให้รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า…
-
เบื้องหลังความกล้าหาญของสายลับหญิงแห่งฝรั่งเศส และเรื่องราวการปฏิบัติภารกิจของเธอ
เรื่องราวของทหารหญิงจากกองทัพอังกฤษที่ก้าวเข้าสู่กองทัพตั้งแต่อายุเพียงแค่ 22 ปี เธอเคยผ่านการเผชิญหน้าจากการจับกุมของทหารฝ่ายนาซี และนอกจากนี้เธอยังเคยสังหารฝ่ายศัตรูไปมากกว่า 40 คนอีกด้วย พบกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ของ Violette Szabo สายลับหญิงจากกองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตร และเจ้าของเรื่องราวที่ถูกนำไปทำภาพยนตร์อมตะอย่างเรื่อง Carve Her Name With Pride เหรียญตรา George Cross นั้นถือเป็นเหรียญตราอันทรงเกียรติของเหล่าทหารกล้าผู้ผ่านสมรภูมิรบที่จะได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร และ Violette Szabo เองก็เป็นหนึ่งในทหารหญิงที่ได้รับเหรียญตรานี้ หลังจากที่เธอผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนหน้าที่จะมาเข้ารับราชการในกองทัพ Violette ถือเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่มีความงามไม่น้อยเลยทีเดียว และเธอเองก็เคยทำงานในแผนกจำหน่ายน้ำหอมของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอนมาก่อน Tania Szabo ลูกสาวของเธอ และเหรียญตราที่คุณแม่ของสาวน้อยเคยได้รับมา แม่ของ Violette เป็นสาวชาวฝรั่งเศสที่พบรักกับหนุ่มอังกฤษ ในระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างที่พ่อของเธอได้ขับรถพยาบาลเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในแนวหน้า สายลับสาวลืมตาดูโลกเมื่อปี 1921 ก่อนที่เธอจะย้ายมาอาศัยอยู่ที่อังกฤษเมื่ออายุได้ 12 ปี เธอเป็นลูกสาวคนที่ 2 จากพี่น้องทั้งหมด 6 คน Violette เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่ชื่นชอบกิจกรรมเหมือนผู้ชาย ถึงแม้ว่าจะมีดวงตากลมโตและน่ารักเหมือนเด็ก สาวทั่วๆ ไป แต่ไม่มีท่อระบายน้ำหรือกำแพงไหนที่สาวน้อยไม่เคยปีนป่ายมาก่อน การก้าวเข้าสู่กองทัพของเธอเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่…
-
8 บทเรียนที่เราได้รู้ จากเกมดาร์บี้แมตช์สุดมัน Manchester United 1-2 Manchester City!!
Manchester Derby ฟุตบอลแมตช์สำคัญระหว่างสองทีมคู่อริแห่งเมืองแมน จบลงด้วยผลชนะของทีมเยือน ที่มาฝากประตูในถิ่นโอล แทรฟฟอร์ด ถึง 2 ลูก การแพ้ต่อเรือใบสีฟ้าในครั้งนี้ นับเป็นการพ่ายแพ้เกมพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในบ้านของทีมปิศาจแดง ในรอบ 24 เกมเลยด้วย และนี่คือ 8 สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากฟุตบอลนัดสุดมันนัดนี้… 1. สไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ Pep vs Mou ไม่ว่าจะเจอกับทีมใด Pep คือคนที่เล่นกับฟุตบอล เขาให้สัมภาษณ์ว่าต้องการให้ลูกทีมได้ครอบครองลูกบอลตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นยามบุก หรือยามตั้งรับที่จะช่วยกันไล่กลับมาโดยเร็วที่สุด และไม่ว่าจะเจอกับทีมใด จะเก่งกว่าทีมเขาหรือไม่ จะเล่นในสนามตัวเองหรือออกไปเยือน เขาก็พยายามรักษาปรัชญาตรงนี้ไว้ให้มากที่สุด ขณะที่ Mourinho เขาคือคนที่เล่นกับ “พื้นที่” ทั้งการรักษาพื้นที่ในแนวรับให้มีช่องว่างน้อยที่สุด ฉกฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายพลาดในการใช้ลูกสวนกลับเร็วโจมตีพื้นที่ว่างระหว่างแผงกองหลังกับผู้รักษาประตู รวมถึงพื้นที่ระหว่างเซ็นเตอร์ฮาล์ฟกับแบ็คซ้ายขวา เพื่อให้ปีกที่มีความเร็วจัดการ แต่ดูเหมือนว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา การออกบอลโต้กลับของทีมปิศาจแดงจะไม่ได้ผลนัก และฝั่งทีมเยือนก็ดูจะรับมือกับลูกกลางอากาศได้ดีมากในช่วงท้าย 2. Lukaku ยังไม่สามารถแก้ปัญหาของตัวเองได้ Lukaku ยังไม่สามารถทำประตูในเกมพรีเมียร์ลีกได้ติดต่อกัน 4 นัด นอกเหนือไปจากนั้น เขาก็แทบจะไม่มีส่วนร่วมกับเกมเท่าไรนัก จนแฟนบอลที่เคยตั้งความหวังไว้เริ่มออกมาวิจารณ์ถึงฟอร์มการเล่น…
-
7 สัญญาณอันตรายจากร่างกาย ที่คอยเตือนถึงภาวะหลอดเลือดสมอง แต่คุณเลือกที่จะมองข้าม
ในปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้รายล้อมอยู่รอบตัวเรา ซึ่งโรคบางโรคก็มีอันตรายจนอาจจะทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และมีอีกโรคหนึ่งที่ใครหลายคนเลือกที่จะมองข้ามก็คือ โรคหลอดเลือดสมอง ภัยเงียบที่เป็นสาเหตุทำให้คนเสียชีวิตสูงเป็นอันดับที่ 5 ของโลกเลยทีเดียว โรคหลอดเลือดสมอง คือภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เนื่องจากหลอดเลือดตีบ หลอดเลือดอุดตัน หรือหลอดเลือดแตก ส่งผลให้เนื้อเยื่อในสมองถูกทำลายและการทำงานของสมองหยุดชะงักลงทันที และนี่คือ 7 สัญญาณเตือนจากร่างกายว่าเราอาจมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งบางทีเราก็มองข้ามอาการเหล่านี้ไปว่ามันเป็นเรื่องปกติเดี๋ยวก็หาย หากใครที่มีอาการเหล่านี้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือเข้าไปตรวจร่างกายกับแพทย์บ้าง ก่อนที่ทุกอย่างนั้นจะสายเกินไป… 1. คุณไม่เคยใส่ใจอาการของโรคหลอดเลือดสมองเลย ในแต่ละนาทีที่เราเป็นโรคหลอดเลือดสมองอยู่ สมองของเราจะสูญเสียเซลล์ประมาณ 1.9 ล้านเซลล์ และในแต่ละชั่วโมงโรคหลอดเลือดสมองจะทำให้สมองเราเสื่อมไวกว่าคนปกติถึง 3.5 ปี โดยในระยะยาวผู้ป่วยที่เป็นโรคและไม่ได้เข้ารับการรักษาที่ถูกวิธี มีโอกาสเสี่ยงที่จะพูดได้ช้ากว่าปกติและรู้สึกว่าการพูดเป็นเรื่องที่ยากขึ้น รวมถึงยังสามารถทำให้สูญเสียความทรงจำได้เลยทีเดียว 2. คุณคิดว่าการที่คุณเห็นภาพซ้อนกันมีเหตุมาจากความเหนื่อย ปัญหาในด้านการมองเห็นต่างๆ ทั้งการเห็นภาพซ้อน สายตาเบลอ หรือว่าสูญเสียการมองเห็นในดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกว่าคุณอาจจะป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้ ใครหลายคนคิดว่าอาการเหล่านี้เป็นผลมาจากการมีอายุที่เยอะขึ้นหรือมาจากความเหน็ดเหนื่อย แต่จริงๆ แล้วมีเหตุมาจากเส้นเลือดที่ตีบมาก จนทำให้จำนวนออกซิเจนไม่เพียงพอที่จะขึ้นไปหล่อเลี้ยงดวงตาต่างหาก 3. คุณมักจะเป็นเหน็บชาหลังจากเพิ่งตื่นนอนหรืองีบหลับ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการชาที่แขนหรือขาหลังจากที่เพิ่งตื่นนอน คุณอาจจะคิดว่าเป็นเพราะร่างกายเราโดนกดทับจากการนอนหลับจนเป็นเหน็บชา แต่จริงๆ แล้วนั่นเป็นเพราะว่าการไหลเวียนเลือดตามร่างกายของคุณผิดปกติ…
-
ตำนานพลซุ่มยิงแห่งฟินแลนด์ ‘ยมทูตสีขาว’ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปลิดชีพมากถึง 25 รายในวันเดียว
ในช่วงระหว่างปี 1939-1940 ได้เกิดสงครามที่ชื่อว่า ‘สงครามฤดูหนาว’ ขึ้น โดยเป็นการสู้กับกันระหว่างประเทศรัสเซีย-ฟินแลนด์ และในสงครามครั้งนั้นก็ได้มีผู้คนล้มตายมากมาย และส่วนหนึ่งได้มาจากน้ำมือของพลซุ่มยิงคนหนึ่งที่อ้างว่าเขาเคยฆ่าคนถึง 25 คนในวันเดียว!! ชายคนดังกล่าวมีชื่อว่า Simo Häyhä ชาวฟินแลนด์ที่มีความสูงเพียงแค่ 152 เซนติเมตรเท่านั้น เขาเกิดในวันที่ 17 ธันวาคม ปี 1905 และได้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารสำหรับประเทศฟินแลนด์ ที่ในตอนนั้นกำลังสู้รบกับสหภาพโซเวียต โดยจำนวนผู้คนที่เขาฆ่าไปทั้งหมดระหว่างสงครามนี้มีถึง 505 คนเลยทีเดียว และนั่นได้ทำให้สหภาพโซเวียตตั้งฉายาให้เขาว่า ‘มัจจุราชสีขาว’ เนื่องจากเขามักจะซ่อนตัวอยู่ภายใต้หิมะได้อย่างแนบเนียน ทำให้ไม่มีใครสามารถหาตำแหน่งที่แน่นอนของเขาได้นั่นเอง อาชีพดั้งเดิมของ Simo ก่อนจะมาเป็นพลซุ่มยิงก็คือชาวนา แต่ด้วยความที่เขามีทักษะในการใช้สกีหิมะ การล่าและการยิงที่แม่นยำที่มาจากงานอดิเรกของเขา ทำให้เขาเป็นมือสไนเปอร์ที่ครบเครื่องที่สุดคนหนึ่งในโลก อีกทั้งเขายังใช้ฤดูหนาวที่เป็นอุปสรรคสำหรับใครหลายๆ คนมาเป็นจุดแข็งของตัวเอง ทำให้ Simo เป็นคนที่ทหารรัสเซียรับมือได้ยากที่สุดก็ว่าได้ ระหว่างที่สงครามกำลังลุกโชน มัจจุราชสีขาวได้ฆ่าทหารรัสเซียหลายคนด้วยความแม่นยำจากการใช้ปืน M/28-30 ยิงในระยะไกลถึง 275 เมตร โดยไม่ใช้สโคปช่วยแต่อย่างใด นั่นจึงได้เป็นเครื่องพิสูจน์ในความเป็นสัญชาตญาณความเป็นนักฆ่าในตัวเขาได้เป็นอย่างดี หลังจาก 98 วันที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในสมรภูมิรบ ก็มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นกับ Simo โดยเขาถูกยิงเข้าที่ขากรรไกรในวันที่ 6 มีนาคม 1940…
-
8 เรื่องที่คุณต้องรู้ ก่อนชมแมตช์ฟุตบอล Manchester Derby ปิศาจแดง ปะทะ เรือใบสีฟ้า!!
อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงเวลาฟาดแข้งของฟุตบอลนัดที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของมวลมหาประชาแมนเชสเตอร์ ซึ่งทาง Manchester United ทีมอันดับสองของตารางคะแนน จะต้องเปิดบ้านรับจ่าฝูง Manchester City ว่ากันว่านัดนี้ถือเป็นจุดสำคัญของพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2017-2018 และอาจตัดสินแชมป์กันได้เลยหากฝ่ายปิศาจแดงพลาดท่า และนี่คือ 8 เรื่อง ที่ #ประธานเหมียว อยากให้แฟนบอลได้รู้ก่อนที่จะเปิดฉากฟาดฟันกัน 1. ช่องว่าง 8 คะแนน Manchester United ตามหลัง City อยู่ 8 คะแนน นั่นหมายความว่าหากพวกเขาเอาชนะได้ ช่องว่างจะเหลือเพียงแค่ 5 คะแนนเท่านั้น แต่หากพวกเขาพลาดท่าปราชัย คะแนนจะถูกทิ้งห่างไปที่ 11 แต้มทันที และนั่นหมายถึงการยกถ้วยให้ทีมอริร่วมเมืองไปครึ่งใบแล้ว 2. ผู้เล่นตัวหลักที่ลงสนามไม่ได้ ในส่วนของ Manchester United นั้น จากการสัมภาษณ์ก่อนเกมทางผู้จัดการทีม Mourinho ระบุว่าผู้เล่นที่บาดเจ็บไปทยอยกลับมาพร้อมหน้า โดยเฉพาะ Fellaini, Jones และ Ibrahimovic ขณะที่ทั้ง Michael…
-
พิพิธภัณฑ์ปล่อยงานศิลป์กว่า 20,000 ชิ้น ให้โหลดฟรีๆ ใช้เป็นภาพหน้าจอโทรศัพท์สวยๆ
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเดินทางไปรอบโลกเพื่อเที่ยวชมงานศิลปะตามสถานที่ต่างๆ อันขึ้นชื่อ เพราะนอกจากค่าใช้จ่ายที่สูงแล้ว เวลาก็เป็นข้อจำกัดอันสำคัญ แต่เมื่อไม่นานมานี้ทางพิพิธภัณฑ์ศิลปะ The Los Angeles County Museum of Art (LACMA) จากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ผุดไอเดียใหม่นั่นก็คือพิพิธภัณฑ์แบบออนไลน์ ซึ่งสามารถให้คุณเข้าชมงานศิลป์สวยๆ ผ่านจอคอมที่บ้านได้ง่ายๆ !! นอกจากเราจะสามารถเข้าชมงานศิลปะภายในบ้านง่ายๆ แล้ว เรายังสามารถที่จะดาวน์โหลดภาพผลงานศิลป์เหล่านั้นมาเก็บไว้เป็นวอล์เปเปอร์โทรศัพท์ หรือหน้าจอคอมเอาไว้ชื่นชมเองได้ฟรีๆ อีกด้วย โดยผลงานศิลป์ที่ทางพิพิธภัณฑ์ได้ทำการปล่อยให้ไดาวน์โหลดฟรีๆ ครั้งนี้มีด้วยกันมากถึง 20,000 รูป จากผลงานทั้งหมดกว่า 80,000 ชิ้นงานที่ทางพิพิธภัณฑ์ได้ทำการจัดแสดงเอาไว้ ส่วนใครที่สนใจอยากจะเก็บผลงานศิลปะเหล่านี้เอาไว้ล่ะก็ สามารถเข้าไปชมกันได้ที่เว็บไซต์ LACMA ของทางพิพิธภัณฑ์กันได้เลย ซึ่งภายในเว็บไซต์ดังกล่าวนั้นจะมีการแบ่งหมวดหมู่ของภาพงานศิลป์เอาไว้เป็นหมวดหมู่เพื่อง่ายต่อการค้นหา และนอกจากนี้คุณยังสามารถค้นหาจากคำเฉพาะได้อีกด้วย แต่ที่สำคัญอย่าลืมเลือกเฉพาะภาพโดเมนสาธารณะเท่านั้นนะจ๊ะ!! และนี่คือภาพบางส่วนที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ . . . . ถ้าหากใครอยากได้ภาพความละเอียดสูงล่ะก็สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดกันได้ที่เว็บไซต์เลย… . . . . . . ที่มา mymodernmet
-
งานวิจัยสำหรับหนุ่มๆ กับคำตอบที่ว่าเต้นยังไงให้ “โดนใจ” สาวๆ ในผับได้มากที่สุด
เวลาที่หนุ่มๆ ได้ออกไปท่องราตรีตามผับตามบาร์ การเต้นคือสิ่งที่พวกเขาจะได้แสดงออกมาขณะที่กำลังเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรี แล้วเราเคยสงสัยกันมั้ยว่า การเต้นแบบไหนที่สามารถดึงดูดความสนใจของสาวๆ ได้มากที่สุด? นั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของงานวิจัยชิ้นนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Northumbria ประเทศอังกฤษ และมหาวิทยาลัย Gottingen ในเยอรมัน อยากทราบว่า “การเต้นแบบไหนที่ทำให้สาวๆ รู้สึกสนใจและเข้าหาได้มากที่สุด” โดยไม่นับในเรื่องของรูปร่างหน้าตา หรือบทบาททางสังคมของผู้ชาย พวกเขาจึงทำการทดลองให้ชายหนุ่ม 30 คน วาดลวดลายการเต้นกับจังหวะกลองเป็นเวลา 30 วินาที โดยแต่ละคนก็เต้นไปตามสไตล์ของตัวเอง จากนั้นจึงให้ผู้หญิงจำนวน 37 คนเลือกว่าการเต้นของหนุ่มๆ เหล่านั้น แต่ละคนได้คะแนนเท่าไหร่กันบ้าง ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 7 ระดับ จากดีไปแย่ ต่อมานักวิจัยก็นำผลที่ได้ไปสรุปลงในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และประมวลผลออกมาให้ได้เห็นว่า การเต้นที่สาวๆ ชอบมากที่สุดกับที่ไม่ชอบมากที่สุดนั้นแตกต่างกันอย่างไร ลักษณะการเต้นที่สามารถดึงดูดความสนใจสาวๆ ได้ ลักษณะการเต้นที่ไม่สามารถดึงดูดความสนใจสาวๆ ได้ จากที่เราเห็นผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังกล่าว นักวิจัยได้สรุปเอาไว้ว่า สิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้หญิงรู้สึกสนใจคือ การขยับร่างกายช่วงบน คอ และศีรษะ รวมถึงความเร็วในการขยับขาก็ถือว่ามีส่วนสำคัญกับเรื่องนี้ พวกเขาบอกว่าการเต้นที่สามารถดึงดูดความสนใจสาวๆ ได้ คือการขยับร่างกายด้วยท่าทางที่หลากหลาย…
-
13 สัญญาณของเหล่าหนุ่มๆ ที่บ่งบอกว่าพวกเขากำลัง “มีความรัก” เข้าแล้ว!!
ผู้ชายกับผู้หญิงนั้นมีการแสดงออกถึงความรักที่แตกต่างกัน ซึ่งในแต่ละคนต่างก็มีสไตล์ในการบอกรักที่แตกต่างกัน สาวๆ อย่างเราก็ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามนั้น เขาต้องการที่จะสื่อถึงอะไ รซึ่ง #เหมียวบู้บี้ ก็มีวิธีการสังเกตอาการของผู้ชายที่กำลังตกหลุมรักมาฝากกันค่ะ 1. เขาตั้งใจฟังในสิ่งที่คุณพูดอยู่เสมอ บางครั้งเรื่องที่เราพูดอาจจะดูไม่น่าสนใจมากนัก แต่เขากลับตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ และเขามักจะจดจำเกือบทุกคำพูดของคุณได้ นั่นหมายความว่าเขาสนใจและอยากจะเป็นผู้ฟังที่ดีกับคุณยังไงล่ะ 2. เขายอมคุณอยู่เสมอ ที่เขาทำไปก็เพราะว่าอยากให้คุณสบายใจที่สุดเมื่ออยู่กับเขา ถึงแม้ว่าบางอย่างอาจจะดูขัดใจกับวิถีลูกผู้ชายของเขาไปนิดนึง แต่เขาก็ยังยอมที่จะทำตามในสิ่งที่คุณร้องขอ 3. เขาสแตนด์บายรอช่วยเหลือคุณอยู่ตลอดเวลา วิถีชะนีอย่างเราๆ เวลาอะไรเสียขึ้นมาก็ถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะสามารถซ่อมได้เอง แต่พ่อหนุ่มคนนี้มักจะอาสามาช่วยซ่อมในทันที บางครั้งเราอาจจะไม่ได้เอ่ยปากขอด้วยซ้ำ อันนี้ในกรณีที่สามารถซ่อมได้เองเช่น เปลี่ยนหลอดไฟ ตอกตะปู เช็กรถ แบบนี้นะ ที่เขาทำไปเพราะอยากจะให้คุณรู้ว่า เขาน่ะสามารถเป็นสามีที่ดีได้น๊าาา 4. เขายอมรับและสามารถเข้ากับครอบครัวของคุณได้ดี ถึงแม้ว่าคนในครอบครัวของคุณจะดุ เข้มงวด หรือเป็นแบบไหน เขาก็ยังจะหาวิธีเอาใจคนในครอบครัวของคุณอยู่เสมอๆ แหม่ อยากเป็นลูกเขยก็ต้องเข้าทางผู้ใหญ่สิ จะได้ไม่พลาด 5. เขามักจะถามคุณเกี่ยวกับสไตล์การแต่งตัวของเขา นั่นเป็นเพราะว่าเขาอยากจะดูดีเสมอในสายตาของคุณ บางครั้งถึงกับยอมเปลี่ยนลุคเพื่อให้คุณชอบด้วยซ้ำ 6. เขาชอบที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างกับคุณในทุกๆ วัน การที่ผู้ชายคนหนึ่งยอมที่จะทำสิ่งน่าเบื่อๆ…
-
4 ลักษณะอาการที่บ่งบอกว่า คุณมีความเสี่ยงเป็นโรค “มะเร็งรังไข่” ผู้หญิงทุกคนควรรู้เอาไว้!!
โรคมะเร็งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ทั่วโลกเสียชีวิต เหล่านักวิทยาศาสตร์และแพทย์ทั่วโลกต่างก็ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเพื่อที่จะหาวิธีต่อสู้กับโรคมะเร็งเหล่านี้ แต่ดูเหมือนว่าเรายังห่างไกลจากจุดนั้นพอสมควร สาเหตุของมะเร็ง ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเซลล์มะเร็งเกิดจากอะไร เนื่องจากมะเร็งนั้นสามารถเป็นได้ทุกส่วนของร่างกายไม่ว่าจะเป็นสมอง ปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้ หรือในระบบสืบพันธุ์ของทั้งชายและหญิง โรคมะเร็งจะไม่แสดงอาการจนกว่าร่างกายจะสู้ไม่ไหวจริงๆ ซึ่งกว่าที่ผู้ป่วยจะรู้ตัวว่าเป็นโรคมะเร็งก็อาจจะเข้าสู่ขั้นที่รักษายากแล้ว มะเร็งรังไข่ ภัยเงียบของผู้หญิง มะเร็งรังไข่เป็นอีกหนึ่งโรคที่สามารถพบได้เป็นอันดับสองของผู้หญิง เกิดจากที่เซลล์มะเร็งได้เข้าไปเจริญเติบโตในรังไข่ที่ทำหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนเพศหญิง มะเร็งรังไข่มีอยู่ 3 ประเภทคือ 1.มะเร็งเยื่อบุผิวรังไข่ เกิดจากเซลล์เยื่อบุผิวรังไข่ สามารถพบได้ในหญิงที่อายุ 50 ปีขึ้นไป 2.มะเร็งเซลล์ผลิตไข่ เกิดขึ้นจากเซลล์ที่ผลิตไข่ สามารถพบได้ในเด็กและวัยรุ่น 3.มะเร็งเนื้อรังไข่ เกิดขึ้นจากเซลล์เนื้อเยื่อที่ผลิตฮอร์โมนเพศหญิง แต่พบได้น้อยมากเพียงแค่ 5 % ปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งรังไข่ กลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งรังไข่นั่นก็คือ ผู้หญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปหรือมีประวัติการเป็นมะเร็งเต้านม หรือคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งรังไข่ 4 อาการเสี่ยงที่ส่งสัญญาณว่าคุณผู้หญิงอาจจะเป็นโรคมะเร็งรังไข่ 1. มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อนานกว่า 3 สัปดาห์ 2. ปวดท้อง ปวดสะโพกหลังหมดประจำเดือนหรือปวดท้องมากๆ ขณะที่มีประจำเดือน 3. ทานอาหารน้อยลงในช่วง 3…
-
แผนที่แสดงให้เห็นว่าภาษาต่างๆ ในโลกต้องใช้เวลาเรียนเท่าไหร่ จึงจะสามารถสื่อสารกันได้!!
บนโลกอันกว้างใหญ่ของเรามีประเทศอยู่นับร้อยนับพันประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศก็จะมีการสื่อสารที่แตกต่างกันออกไป ทั้งลักษณะท่าทาง มารยาท รวมถึง ‘ภาษา’ ที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ซึ่งก็มีทั้งประเทศที่ใช้ภาษาของตัวเอง และประเทศที่ใช้ภาษาสากลอย่างภาษาอังกฤษ นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว หากใครอยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษาต่างๆ ในตอนนี้ทาง Foreign Service Institute ก็ได้จัดหมวดหมู่ภาษาต่างๆ ในโลกของเราว่าควรเรียนระยะเวลานานเท่าไหร่ เพื่อจะมีความเข้าใจในภาษานั้นๆ ได้อย่างถ่องแท้ อ้างอิงจากผู้ที่มีภาษาแม่เป็นภาษาอังกฤษ ภาษาต่างๆ บนโลกที่มีการจัดอันดับระยะเวลาในการเรียน และต่อมาผู้ใช้งานเว็บ Reddit คนหนึ่งที่ชื่อว่า Fummy ก็ได้นำข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ไปใส่ไว้ในแผนที่โลกเพื่อให้เราสามารถเข้าใจและเปรียบเทียบระยะเวลาในการเรียนภาษาประเทศนั้นๆ ได้อย่างง่ายดายขึ้นนั่นเอง หมวกแรกยังชิวๆ เรียนแค่ 23-24 สัปดาห์ก็ฟัง พูด อ่าน เขียนได้คล่องปรื๋อ กลุ่มแรกคือกลุ่มภาษาที่มีต้นกำเนิดหรือตระกูลภาษาใกล้ๆ กับภาษาอังกฤษก็อย่างเช่น ภาษาฮอลแลนด์ ภาษาเดนมาร์ก ภาษาสวีเดน ซึ่งมีความคล้ายคลึงราวกับว่าหากรู้ภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ก็เหมือนกับเรียนรู้ภาษาในประเทศเหล่านี้ไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว เริ่มยากขึ้นมาหน่อย ภาษาอินโดนีเซีย ภาษามาเลเซีย และภาษาสวาฮีลี ต้องมีการเรียนถึง 36 สัปดาห์เลยทีเดียว 44 สัปดาห์สำหรับภาษาเหล่านี้…
-
วิทยาศาสตร์บอกว่า ‘ผัวสูง&เมียเตี้ย’ เป็นคู่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ และมีความสุขมากกว่า
ปี 2007 ที่ประเทศอินโดนีเซียได้มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างความสูงของสามีกับความสุขของภรรยา ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากสำหรับคู่รักที่กำลังคบหาดูใจกัน โดยมีผู้เข้าร่วมในการให้ข้อมูลในครั้งนี้จำนวน 8,000 ราย หัวข้อในการศึกษาจะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นของความรู้สึกของภรรยาที่มีต่อสามี ที่มีเกณฑ์ระดับความสูงของสามีมาเป็นเกณฑ์วัดอีกด้วย และผลการศึกษาก็พบว่าผู้หญิงรู้สึกสบายใจมากที่คู่ชีวิตมีส่วนสูงมากกว่า เพราะมันจะรู้สึกว่าเหมือนถูกปกป้อง แถมผู้ชายที่สูงก็ดูมีเสน่ห์มากๆ นะ แต่นี่ไม่สามารถนำมาเป็นเกณฑ์วัดได้ทั้งหมดว่าผู้ชายสูงกับผู้หญิงเตี้ยจะมีความสัมพันธ์ที่ยืนยาวนาน มันขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านอื่นๆ เช่น ความเอาอกเอาใจ ความรัก ความผูกพัน รายได้ หรือความน่าเชื่อถือ เป็นต้น การที่คนสองคนจะรักกันความแตกต่างด้านความสูงมันอาจจะไม่ใช่ประเด็นที่ต้องมาคิดหนักว่าจะเข้ากันได้หรือไม่ เพียงแค่คนสองคนคบหากันด้วยความรักและดูแลกันดีๆ เพียงแค่นี้ชีวิตคู่ก็มีความสุขได้แล้ว ที่มา providr
-
คลิปจากมุมมองหมอฟัน ขณะกำลัง “ผ่าฟันคุด” อยากรู้ไหมว่าหมอทำยังไงบ้าง (เสียวมาก!!)
บทความนี้อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่รุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม ถ้าอยู่มาวันหนึ่งเราเกิดปวดฟันขึ้นมากะทันหันแบบปวดจนแทบทนไม่ได้ เราก็ต้องไปหาหมอฟัน และหากหมอฟันวินิจฉัยโรคออกมาว่า เราจำเป็นต้องผ่าฟันคุด หลายคนก็คงรู้สึกกลัวและไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วการผ่านฟันคุดนั้นเป็นอย่างไร ในวันนี้เราจึงนำวิดีโอการผ่าฟันคุดอย่างละเอียดจากทีมแพทย์ มาให้ทุกคนได้เตรียมตัวเตรียมใจถึงสิ่งที่กำลังจะต้องเผชิญกัน ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นการผ่าฟันคุดจะมีความยากง่ายขึ้นอยู่กับประเภทของฟันเรา ว่ามันมีแนวตั้งหรือแนวนอนและมีความลึกอยู่ที่เท่าไหร่ โดยแต่ละคนก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ขั้นตอนแรกหาฟันเจ้าปัญหาให้พบก่อน โดยในขั้นตอนแรกทันตแพทย์จะให้เราเอกซเรย์ฟันก่อน เพื่อหาว่าเจ้าฟันคุดที่อยุ๋ในปากของแต่ละคน มันไปแอบอยู่ตรงไหนกันนะ และเมื่อได้ผลการเอกซเรย์แล้ว หมอฟันก็จะตรวจสอบความยากง่ายในการผ่าเอาฟันนี้ออกมา แล้วก็มาถึงลำดับต่อไปนั่นก็คือเริ่มการผ่าตัดกันเลย เมื่อวันผ่าตัดมาถึงทางทีมแพทย์จะฉีดยาชาให้แก่เรา เพื่อให้เรารู้สึกเจ็บปวดน้อยลงระหว่างผ่าตัด จากนั้นหมอฟันก็จะเริ่มเอามีดกรีดเปิดเหงือกของเรา เพื่อจะนำฟันซี่ดังกล่าวที่เป็นอาการปวดของใครหลายคนออกมาให้ได้ เสร็จแล้วก็เหลือเป็นหลุมเบ้อเร่อเลย ในระหว่างนี้การกรีดเหงือกจะทำให้เราได้กลิ่นเลือดชัดเจนมากขึ้น แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปว่าเลือดจะไหลลงคอและอาจทำให้สำลัก เพราะว่าพวกเขามีท่อสำหรับดูดเลือดเตรียมพร้อมไว้แล้ว และเมื่อกรีดลงไปลึกพอที่จะสามารถดึงฟันออกมาได้แล้ว หมอฟันก็จะใช้คีมหนีบฟันคุดออกมา หรือว่าในบางกรณีถ้าหากหยิบออกมาทั้งซี่ไม่ได้ ก็จะต้องทำให้ฟันซี่นั้นแตกเพื่อจะหยิบออกมาได้ง่ายขึ้นและทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บน้อยลง จากนั้นเมืื่อนำฟันออกมาแล้ว เหงือกของเราก็จะมีบาดแผลจากการกรีด ซึ่งทางทีมแพทย์ก็จะใช้การเย็บปิดปากแผลของเราเพื่อเป็นการห้ามเลือดที่ไหลออกมา และนั่นก็ได้เสร็จสิ้้นการผ่าฟันคุดแล้วนั่นเอง การผ่าฟันคุดอย่างละเอียดโดยทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญ คำแนะนำและข้อปฏิบัติหลังการผ่าตัดเพื่อถอนฟันคุด ประคบด้วยถุงเย็นประมาณ 30 นาทีทันทีหลังการผ่าตัด 2. ควรกัดผ้าก๊อซแน่นๆประมาณ 30 นาที เพื่อห้ามเลือด และควรเปลี่ยนผ้าชิ้นใหม่หลังจากนั้นจนกว่าเลือดจะหยุดไหล 3.…
-
“จูเลียส ซีซาร์” เคยถูกลักพาตัว แต่ไม่กลัวเพราะเค้าคือจอมทัพแห่งโรมัน แถมยังขอขึ้นค่าไถ่เองอีก!!
หลายๆ คนอาจจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของจูเลียส ซีซาร์ รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่และโด่งดังจากโรมันผู้นี้อย่างแน่นอน แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นยอดแม่ทัพและนักปกครองที่เก่งกาจแค่ไหน ครั้งหนึ่งซีซาร์เองก็เคยเสียท่าถูกโจรสลัดจับไปเป็นตัวประกันมาแล้ว!! ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 75 ปีก่อนคริสต์ศักราช ตอนที่จูเลียส ซีซาร์อายุได้ 25 ปี วันหนึ่งในระหว่างที่เขากำลังแล่นเรืออยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ถูกโจรสลัดจาก Cilician ลักพาตัวไป และถูกเรียกค่าไถ่เป็นเครื่องเงิน 20 ทาเลนท์ (หน่วยเงินในสมัยนั้น) หรือประมาณ 19 ล้านบาทในปัจจุบัน แต่ทว่าจูเลียส ซีซาร์กลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเลย เขากลับหัวเราะแล้วบอกกับพวกโจรว่า “เจ้าไม่รู้ซะแล้วว่าไผเป็นไผ!! ทำไมไม่ขึ้นค่าไถ่เป็น 50 ทาเลนท์ล่ะ แค่ 20 น่ะไม่พอสำหรับค่าตัวข้าหรอก ก๊าก ก๊ากๆ!!” แน่นอนเมื่อเจ้าตัวเสนอมาแบบนี้ มีหรือที่เหล่าโจรจะไม่อยากได้เงินจำนวนมหาศาลนั้น โจรสลัดตอบตกลงโดยไม่ลังเล พวกเขาจับตัวจูเลียส ซีซาร์และลูกเรือบางส่วนไว้เป็นตัวประกัน ก่อนที่จะให้คนที่เหลือออกไปหาเงินค่าไถ่ การที่จะอยู่เฉยๆ ในเรือรอเงินค่าไถ่นาน 38 วันโดยที่ไม่ทำอะไรเลยนั้นคงจะไม่ใช่วิถีทางของจอมทัพอย่างจูเลียส ซีซาร์แน่ๆ เขาจึงเริ่มที่แผนการที่จะยึดครองเรือโจรสลัด!! อย่างที่หลายๆ คนทราบกันดี นอกจากความสามารถในการคุมทัพและสู้รบของเขาแล้ว จูเลียส ซีซาร์ยังมีความสามารถในการเขียนบทกวีและร้อยแก้วอีกด้วย ในระหว่างที่ถูกจับเป็นเชลยจอมทัพของเราได้ใช้เวลาว่างในการแต่งบทกวีและร่างสุนทรพจน์ของเขา จูเลียส ซีซาร์อ่านบทกวีและร่างสุนทรพจน์เหล่านั้นให้เหล่าโจรสลัดฟัง…
-
งานวิจัยด้านความรู้สึก “การถ่ายรูปอาหารก่อนกิน” ช่วยเพิ่มรสสัมผัสอาหาร ให้ดีขึ้นได้งั้นหรือ!?
ปัจจุบันการถ่ายภาพอาหารนั้นดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่หลายๆ คนมักจะต้องทำก่อนกินอาหาร ไม่ต่างจากการนั่งพนมมือพร้อมกับท่องว่า “ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง” กันเลยทีเดียว แต่อย่าเพิ่งดูถูกกันไปนะเออ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีผลวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า การถ่ายรูปอาหารก่อนกินนั้นจะช่วยเพิ่มรสสัมผัสที่ดีขึ้น!! ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Consumer Marketing พบว่าผู้คนจะมีการรับรู้รสชาติของอาหารแตกต่างกันเมื่อถ่ายภาพของอาหาร ในการศึกษาดังกล่าวได้ทำการเปรียบเทียบโดยให้กลุ่มตัวอย่างลองทานอาหาร โดยเปรียบเทียบกันระหว่าง การทานอาหารแบบปกติ กับ การถ่ายภาพของอาหารก่อนรับประทาน หลังจากนั้นจึงให้พวกเขาลงคะแนนเพื่อประเมินรสสัมผัสของอาหาร ทางทีมวิจัยเชื่อว่าการถ่ายภาพของอาหารนั้นจะทำให้ผู้บริโภคได้มีรับรู้กลิ่นของอาหาร และมันสามารถช่วยเพิ่มสุนทรียภาพของการทานอาหารได้มากขึ้นนั่นเอง “อย่างน้อยๆ การมองภาพของที่กล้องนั้น จะเป็นการเพิ่มสุนทรียภาพของการรับรู้และการดมกลิ่น พร้อมกับการดูภาพที่สวยงามของอาหารนั้น จะนำผู้บริโภคไปสู่ประสบการณ์การทานอาหารที่พวกเขาคาดหวังไว้” Sean Coary หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าผลการวิจัยนี้จะใช้อธิบายได้เฉพาะอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น เนื่องจากทีมวิจัยพบว่าการถ่ายภาพของอาหารเพื่อสุขภาพก่อนทานนั้น ไม่ได้ช่วยทำให้รสสัมผัสดีขึ้นแต่อย่างใด โดยทีมวิจัยเชื่อว่าทฤษฎีนี้เกี่ยวข้องกับความคาดหวังของเรากับอาหารที่อยู่ตรงหน้านั่นเอง กล่าวคือ เราจะความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเจออาหารที่อยากกิน และจากนั้นการถ่ายภาพของอาหารก็จะช่วยส่งเสริมการรับรู้ของเราต่อจานอาหารที่อยู่ตรงหน้า ตรงกันข้ามกับอาหารเพื่อสุขภาพ มันอาจจะมีรสชาติที่ไม่ถูกปากถูกใจ เท่ากับอาหารที่ไม่มีประโยชน์ การถ่ายภาพจึงไม่ช่วยสงเสริมความอยากให้มากขึ้น เพราะฉะนั้นอาจจะสรุปง่ายๆ ว่า ถ้าไปกินขนมหรือของหวาน การถ่ายภาพก่อนกินก็จะช่วยให้เรารู้สึกว่ามันอร่อยมากขึ้นไปอีก แต่หากไปกินสลัดออแกนิค การถ่ายภาพก็ไม่ได้ทำให้ผักนั้นหวานขึ้นหรอกนะ ฮ่าๆๆ ที่มา says
-
10 อันดับนาฬิกาแพงที่สุดในโลก ที่ผู้นำบางประเทศอาจอยากหามาใส่ โอ้โหมันโก้จริงๆ
นาฬิกานั้นนอกจากจะเป็นเครื่องบอกเวลาแล้ว บางครั้งมันเองก็ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องประดับ และเครื่องบอกฐานะสำหรับหลายๆ คนอีกด้วย และแน่นอกว่าเจ้าเครื่องประดับที่บอกเวลาได้นี้ก็เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชายหลายๆ คนเลยใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นหนุ่มๆ อยากรู้กันบ้างหรือเปล่าว่านาฬิกาเรือนไหนบ้างที่มีราคาแพงระดับโลก!! 10. MAITRES DU TEMPS CHAPTER ONE ROUND TRANSPARENCE ราคาประมาณ 15 ล้านบาท นาฬิกาจากแบร์นด์หรูอย่าง Maîtres du Temps ที่มีทั้งความประณีตในงานออกแบบ มาพร้อมกับงานแกะสลักบนตัวเรือนที่ทำจากทองคำแท้ๆ ที่มีเพียงแค่ 11 เรือนบนโลกเท่านั้น!! 9. CHRISTOPHE CLARET DUALTOW NIGHT EAGLE ราคาประมาณ 17 ล้านบาท นาฬิกาสุดลิมิเต็ดที่มีเพียงแค่ 68 เรือนเท่านั้นบนโลก อีกหนึ่งฉายาของเจ้านาฬิกาสีดำเข้มเรือนนี้ก็คือ “อินทรีย์ดำ” มันมาพร้อมกับคอนเซ็ปต์การออกแบบแบบโลกคู่ขนาน นอกจากนี้มันยังมาพร้อมกับอัญมณีอีก 65 เม็ดที่ส่องแสงอยู่บนหน้าปัดอีกด้วย 8. GEORGE DANIEL CO-AXIAL CHRONOGRAPH ราคาประมาณ 18 ล้านบาท หนึ่งในนาฬิการสุดคลาสสิครุ่นยอดนิยมในศตวรรษที่ 20 หนึ่งในผลงานการสร้างของนักทำนาฬิกายอดฝีมืออย่าง George Daniels ทุกเรือนนั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดสุดประณีต พร้อมกับเทคโนโลยี Co-Axial…
-
เหตุผลว่าทำไม “การตื่นสายนิดหน่อย-ตื่นก่อนนาฬิกาปลุก” มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด!?
การนอนหลับพักผ่อนเป็นอีกหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของมนุษย์ที่ต้องทำในทุกวันอย่างน้อยวันละ 5- 8 ชั่วโมง ซึ่งการจัดการเวลานอนหลับของแต่ละคนนั้นก็ไม่เหมือนกันด้วยเหตุผลหลายประการ แต่อย่างไรก็ตามเราก็ควรจะพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อสุขภาพที่ดี สิ่งที่ยากพอๆ กับการนอนหลับนั่นก็คือการตื่นนอนในทุกๆ วัน มันช่างเป็นช่วงชีวิตที่แสนจะน่าหงุดหงิดเหลือเกินกับเจ้าเสียงนาฬิกาปลุก ซึ่งทางเว็บไซต์ Mentalfloss ก็ได้ออกมาเผยบทความเกี่ยวกับการตื่นนอนมาฝากด้วยล่ะ เรื่องนี้ถูกวิจัยโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านการนอนหลับแห่งมหาวิทยาลัยเยอรมนีได้ทำการวิจัยโดยให้อาสาสมัคร 15 คน นอนที่ห้องแล็ปเพื่อทำการทดลองเป็นเวลา 3 คืน โดยกลุ่มหนึ่งถูกกำหนดไว้ว่าต้องตื่นเมื่อเวลา 6.00 น. ส่วนอีกกลุ่มต้องตื่น 9.00 น. จากผลการวิจัยก็พบว่ากลุ่มที่ต้องตื่น 6.00 น. มีระดับฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้นสูงในเวลา 4.30 น. อาจเป็นเพราะว่าพวกเขากังวลที่จะต้องถูกปลุกและส่งผลให้มีความเครียดเพิ่มขึ้นสูงในระดับหนึ่ง ซึ่งก็เหมือนกับเราตอนที่เรารู้ว่าเราจะต้องตื่นกี่โมง ยิ่งถ้าเป็นเช้าๆ ก็ยิ่งเครียดเพราะรู้สึกว่าเวลานอนมันไม่พอ แต่อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องตื่น 9.00 น. ทางนักวิจัยไม่ได้กำหนดเวลาตื่นให้กับพวกเขา ทำให้ผู้เข้าทำการทดลองกลุ่มนี้ไม่มีฮอร์โมนความเครียด แถมยังตื่นก่อนเวลาด้วยความสดใสอีกด้วย ดังนั้นจึงทำให้ได้ข้อสรุปจากการทดลองดังนี้ หากว่าคุณนอนหลับและตื่นมาโดยที่ไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุก หากว่าคุณเข้านอนและสามารถตื่นในเวลาเดียวกันได้ในทุกๆ เช้า ร่างกายจะค่อยๆ ปรับตัวทำให้เราคุ้นเคยกับเวลาที่เราจะต้องตื่น รู้หรือไม่ว่าวงจรแห่งการนอนหลับของเราควบคุมด้วยโปรตีนที่ส่งผลต่อความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งหากเราพักผ่อนอย่างเพียงพอโปรตีนเหล่านี้ก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นส่งผลทำให้ร่างกายของเราไม่อ่อนเพลีย และสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างอารมณ์ดี สุขภาพกายดี สุขภาพจิตก็ดีตามไปด้วย…
-
คอนเซ็ปต์ตึกใหม่ของ Google ในลอนดอน นักวิเคราะห์ชี้เป็นเทรนด์ของอาคารอีก 20 ปีข้างหน้า
สำหรับใครที่เป็นแฟนคลับของกูเกิลหรือติดตามความเคลื่อนไหวของบริษัทแห่งนี้มาตลอดก็พอจะทราบกันดีว่าทางกูเกิลนั้นมีแผนที่จะสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สำนักงานใหม่ของ Google แห่งนี้จะมีความยาวของอาคารอยู่ที่ 329.7 เมตร หากจับมันมาตั้งขึ้นในแนวตั้ง มันก็จะมีความสูงที่มากกว่าตึก The Shard ที่เป็นแชมป์อยู่ที่ 309.6 เมตรเลยทีเดียว ภาพร่างของอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่ว่านี้ ทางด้าน Bjarke Ingels Group และ Heatherwick Studios บริษัทผู้รับผิดชอบในการก่อสร้างและออกแบบอาการหลังใหม่นี้กล่าวว่า ที่นี่ไม่ใช่อาคารแต่มันคือแลนด์สเคป เนื่องจากมันมีความกว้างที่มากกว่าความสูงนั่นเอง นอกจากนี้ทางด้าน Amy Webb นักอนาคตวิทยาก็ได้คาดการณ์ว่าการสร้างอาคารแบบแลนด์สเคปนี้ จะเป็นหนึ่งในแนวคิดหลักของการสร้างอาคารในสหรัฐอเมริกาอีก 20 ปีข้างหน้าเลยทีเดียว “แลนด์สเคปถือว่าเป็นแนวคิดในการสร้างอาคารแบบใหม่ที่เรายังคงไม่เคยเห็นในสหรัฐ ซึ่งมันอาจจะช่วยให้ชีวิตของเราง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น” Webb กล่าว Webb คาดการณ์ว่าในเมืองใหญ่ๆ ที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างเช่นนครนิวยอร์ก และซานฟรานซิสโกนั้นจะมีแนวโน้มของการสร้างอาคารแบบแลนด์สเคปมากกว่า เนื่องจากตอบสนองต่อการขยายตัวของเมืองแบบโครงข่ายและทางเจ้าของสามารถสร้างห้องได้มากกว่าการสร้างอาคารแบบเดิม แต่อย่างไรก็ตามการสร้างอาคารในลักษณะนี้อาจจะไม่เหมาะสมกับการขยายตัวของเมืองในรูปแบบอื่นๆ และนอกจากนี้คุณ Webb ยังได้กล่าวอีกว่าในอนาคตสหรัฐอเมริกาจะเป็นแหล่งศูนย์กลางทางด้านพันธุวิศวกรรมหรือ Hub for X และการสร้างอาคารในลักษณะดังกล่าวก็จะตอบโจทย์ในด้านนี้ด้วย นอกจากนี้การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ ยังสนับสนุนในการสร้างอาคารแบบแลนด์สเคปนี้ด้วย ยกตัวอย่างเช่นการออกแบบลิฟต์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ทั้งแนวดิ่งและแนวราบนั่นเอง นอกจากนี้การสร้างอาคารแบบแลนด์สเคปยังเป็นการเตรียมรับมือกับนโยบายควบคุมความสูงของอาคารในอนาคตอีกด้วย นอกจากนี้ Webb ยังได้กล่าวถึงการขนส่งในโลกอนาคตอีกว่า…
-
25 ภาพวาดบอกเล่าสังคมปัจจุบัน ที่จะทำให้คุณได้เห็นโลกในมุมที่ไม่เคยมองมาก่อน
การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมปัจจุบัน เราอาจได้เจอกับสิ่งเดิมๆ ดำเนินชีวิตไปตามบรรทัดฐานของสังคมที่ปูทางไว้ให้แล้ว แต่เราเคยตั้งคำถามกันบ้างมั้ยว่าสังคมที่เราอยู่ในทุกวันนี้แท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไรกันแน่? ลึกๆ แล้วมันมีแต่สิ่งที่ดีๆ อยู่รอบตัวเราจริงๆ หรือ? เราลองมาหาคำตอบของคำถามเหล่านั้นจากภาพเหล่านี้กันดู นี่คือภาพวาดของศิลปินชาวฝรั่งเศสที่ใช้ชื่อว่า Dran เขาได้สร้างผลงานสะท้อนสังคมในปัจจุบัน สื่อไปถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเช่นพลังอำนาจของผู้มีอิทธิพล การคุกคามทางเพศ หรือแม้แต่การเสพโลกสังคมจำลอง ซึ่งเราสามารถมองหาความหมายเหล่านั้นได้จากภาพเหล่านี้ ลองไปดูกันเลย บางสิ่งอาจมีจินตนาการและมีอิสระทางความคิดมากกว่าเราก็ได้ แน่ใจแล้วใช่มั้ยว่าสิ่งที่ทำไม่ได้ขัดแย้งกับสิ่งที่พูด แม้จะเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่กลับถูกมองข้ามไปราวกับไม่มีตัวตน เรามีอิสระกันอยู่จริงๆ หรือเปล่า การลวนลามทางสายตาที่มีให้เห็นกันจนเป็นเรื่องปกติ การจัดฉากที่ทำให้สื่อมีอำนาจมากยิ่งขึ้น การศึกษาคือปัญหาใหญ่ของเด็กๆ ในหลายๆ แง่มุม ผลงานของศิลปินผู้อดอยาก พื้นที่เล็กๆ ที่ช่วยลบล้างความเป็นจริงที่เกิดขึ้นด้านนอก รอยยิ้มบนความเจ็บปวดของทั้งตัวเองและผู้อื่น อยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้อยู่ในโลกสังคมเดียวกัน ความหวังที่เชื่อว่าเบื้องหลังของความเลวร้าย มีความสวยงามรอเราอยู่ สื่อทางเพศที่พยายามดึงเราเอาไว้ไม่ให้ไปไหน ไปรษณีย์ผู้รับข้อความจากคนอื่นๆ มาส่งให้กับตัวเอง …
-
Nishinari ย่านใหญ่ในโอซากา ว่ากันว่าคือ “ชุมชนแออัดแห่งญี่ปุ่น” ที่ทางการพยายามปกปิด..
ถ้าหากพูดถึงประเทศญี่ปุ่น ภาพที่จะผลุดขึ้นมาในหัวพวกเราหลายๆ คนเลยนั่นก็คือภาพของอาคารสูงๆ ความทันสมัยและรถไฟความเร็วสูงอย่างชินคันเซ็นนั่นเอง แต่ก็เหมือนกับเมืองใหญ่ๆ ทั่วไป ถึงแม้ว่าจะมีความเจริญมากมาย แต่ก็ยังคงมีบางพื้นที่มีอีกด้านหนึ่งของสังคมและมักจะไม่ถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ และวันนี้เราจะขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับอีกมุมหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังของความเจริญในแดนปลาดิบแห่งนี้ นั่นก็คือย่าน Nishinari หนึ่งในย่านที่มีชื่อเสียงจากเมืองโอซากานั่นเอง Nishinari นั้นถือเป็นหนึ่งใน 24 เขตของโอซาก้า แต่นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวอันขึ้นชื่อแล้ว ย่านแห่งนี้ก็ยังมีบางพื้นที่ที่เรียกว่าเป็นย่านเสื่อมโทรมเองเช่นกัน และหนึ่งในนั้นก็คือสลัม Kamagasaki สลัมที่มีความเป็นมายาวนานตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เดิมที่แห่งนี้เป็นเพียงแค่หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แต่หลังจากเริ่มฟื้นตัวจากสงคราม การพัฒนาประเทศนั่นเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่รัฐบาลญี่ปุ่นต้องเร่งทำให้สำเร็จ การฟื้นฟูประเทศครั้งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับจำนวนของแรงงานที่หลังไหลเข้ามาในประเทศตามเขตเมืองใหญ่ๆ และเขต Nishinari เองก็เป็นหนึ่งในจุดหมายของเหล่าแรงงานเหล่านนั้น ในช่วงปี 1970 ที่นี่ถูกขนานนามว่า “labor towns” หรือเมืองแห่งแรงงาน และที่นี่จึงกลายเป็นตลาดแรงงานที่สำคัญที่สุดในเมือง ก่อนหน้านี้ในปี 1898 ทางการญี่ปุ่นมีแผนกำหนดให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเขต Nishinari นั้นย้ายออกไปยังพื้นที่ Kamagasaki เพื่อเตรียมตัวในการจัดงานนิทรรศการอุตสาหกรรมระดับชาติในปี 1903 และหลังจากที่เกิดวิกฤติฟองสบู่ในญี่ปุ่นเมื่อปี 1991 ความรุ่งเรืองกลับหายวับไปกับตา เศรษฐกิจที่เคยเจริญเติบโตกลับหยุดชะงัก ตลาดแรงงานแห่งนี้เองก็ได้รับผลกระทบนั้นไปด้วย จากตลาดแรงงานที่เคยเจริญเติบโต ตอนนี้กลับกลายเป็นแหล่งของคนตกงาน ไร้บ้าน และกลายเป็นชุมชนแออัดในที่สุด …
-
10 สัญญาณบ่งบอกว่า ‘คู่ของคุณ’ เป็นคนเสพติดการมีเซ็กส์ จนเข้าขั้นน่าเป็นห่วง!?
อาการเสพติดเซ็กส์ เป็นอีกหนึ่งอาการที่หลายๆ คนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอายและไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ในยุคปัจจุบัน ซึ่งคู่รักหลายๆ คู่ก็อาจจะประสบปัญหานี้อยู่ก็เป็นได้ อะไรที่มันมากไปหรือน้อยไปมันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ มันต้องอยู่ในจุดๆ ที่มันพอดี ชีวิตคู่ถึงจะได้อยู่กันยืด และจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่คุณกำลังคบอยู่นั้น เขามีอาการติดเซ็กส์หรือไม่? บทความดีๆ จากผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณ Brian Whitney ให้คุณผู้อ่านลองมาเช็กดูหน่อยซิว่า เขามีอาการเหล่านี้ไหม… 1. เขามักจะโกหกอยู่ตลอดเวลา คนที่เสพติดเซ็กส์มักจะเป็นคนขี้โกหกเพราะว่าเรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ควรจะเป็นความลับ คงไม่มีใครอยากจะป่าวประกาศว่าตัวเองเสพติดเซ็กส์ การโกหกในบางเรื่องบางครั้งมันอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเซ็กส์สักเท่าไหร่ แต่การโกหกก็ถือว่าเป็นการหลอกทั้งตัวเองและคนอื่น 2. เขาเป็นคนขี้นอกใจ ชอบหาโอกาสเต๊าะไปเรื่อย เขามักจะฉวยโอกาสในหลายๆ ครั้ง และมักจะหาช่องทางในการทำให้ตัวเองได้รับโอกาสพิเศษอยู่เสมอ พอได้โอกาสดีๆ ลับหลังคุณปุ๊บ เขาก็ไม่พลาดโอกาสนั้นเด็ดขาด 3. เขามักจะไม่คบใครจริงจัง หรือคบใครเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ข้อนี้สามารถบ่งบอกได้เลยว่าการที่เขาไม่คบกับใครแบบจริงจังนั่นก็เพราะว่าเขาต้องการที่จะเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบคนที่เขาถูกใจที่สุด แต่ไม่ได้หมายคงวามว่าเมื่อเขาพบเจอแล้วจะหยุดอยู่ที่คนคนเดียว ก็อย่างว่าแหละ ของแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้ 4. เขามักจะช่วยตัวเองบ่อยครั้ง แม้กระทั่งหลังมีเซ็กส์ ถึงแม้ว่าพึ่งจะขึ้นสวรรค์กันไปหยกๆ เขาก็มักจะแอบไปช่วยตัวเองอยู่เสมอ นี่แหละเข้าขั้นของการเสพติดเซ็กส์อย่างหนัก 5. เขาเป็นคนขี้ขลาดในบางเรื่อง…
-
ลูกสาวโพสต์ภาพ งานถักของแม่ในภาพเดียว อธิบาย ‘โรคอัลไซเมอร์’ ที่คุณแม่เธอต้องประสบ…
โรคอัลไซเมอร์ คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับสมองที่เสื่อมลงไป ทำให้ผู้ป่วยมีอาการสูญเสียความทรงจำ รู้สึกสับสน และมีปัญหาในการสื่อสาร และอาการจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป และภาพที่ได้ถูกโพสต์ลงใน Reddit ก็คือตัวอย่างของอาการที่เริ่มแย่ลงไปเรื่อยๆ ของคุณแม่ท่านหนึ่ง ภาพนี้ถูกโพสต์ลงไปโดยลูกสาวของเธอ Sara Wuillermin เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2017 เธอต้องการให้ทุกคนได้รับรู้ว่าอาการป่วยของโรคดังกล่าวส่งผลกับการใช้ชีวิตของแม่เธอมากขนาดไหน เธอได้อธิบายเกี่ยวกับภาพนี้เอาไว้ว่า “แม่ของฉันเก่งในการถักโครเชต์มาโดยตลอด จนกระทั่งเธอถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ตอนอายุได้ 54 ปีหลังจากนั้นมาหลายๆ อย่างในชีวิต รวมถึงผลงานการถักโครเชต์ก็เปลี่ยนไป” คุณหมอผู้วินิจฉัยแนะนำให้แม่ของเธอถักโครเชต์ต่อไปเรื่อยๆ แม้จะป่วยเป็นอัลไซเมอร์ก็ตาม นั่นจึงทำให้เราสามารถสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงจากผลงานของเธอที่มีขึ้นในแต่ละปี ยิ่งเวลาผ่านไปความสามารถในการถักก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด คุณแม่ท่านนี้ป่วยมานานกว่า 12 ปี ไม่สามารถจำลูกสาวของเธอหรือแม้แต่การพูดเธอก็ไม่อาจทำได้อีกต่อไปแล้วในปัจจุบัน และถึงแม้ว่าครอบครัวและคนดูแลจะคอยอยู่เพื่อช่วยเหลือชีวิตประจำวันของเธอมาตลอด แต่หมอก็ได้วินิจฉัยออกมาว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน ลูกสาวเล่าว่า “แม่ของฉันไม่สามารถดูแลตัวเองได้ในชีวิตประจำวันทั้งการแต่งตัว กินข้าว อาบน้ำ หรือแม้แต่การเดินไปไหนมาไหนเพียงลำพัง แต่เธอก็ยังคงมีสุขภาพร่างกายส่วนอื่นที่ยังคงดีอยู่ แต่หมอก็ได้วินิจฉัยแล้วว่าเธอคงมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่กี่เดือนหรืออาจจะเป็นปีเท่านั้นเอง” การที่ต้องมีแม่ป่วยเป็นโรคดังกล่าวทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าช่วงชีวิตของเธอทั้งหมดต้องอยู่กับสิ่งสิ่งนี้เสมอ โดยที่เธอไม่ได้รู้สึกชอบมันเลย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เลือกที่จะเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆ และช่วงเวลาอันมีค่าของแม่เธอเอาไว้ จนถึงวันนี้เธอต้องการที่จะบอกให้ทุกคนที่ดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ว่า ไม่มีใครเลยที่ต้องอยู่คนเดียว…
-
5 โรคประหลาด ที่อาจทำให้คุณกลายเป็น ‘ยอดมนุษย์’ เข้าทีม X-Men ได้เลย
บางครั้งความผิดปรกติของร่างกาย ก็อาจจะทำให้เราค้นพบความสามารถพิเศษของตัวเอง อย่างเช่นการห่อลิ้น หรือการที่คุณสามารถงอนิ้วโป้งได้มากถึง 180 องศา แต่ทว่านอกเหนือจากความสามารถพิเศษเหล่านี้แล้ว ในทางการแพทย์นั้นยังมีอาการแปลกๆ อีกมากมายที่จะทำให้เรากลายเป็นยอดมนุษย์ได้เลยทีเดียว อย่างเช่นอาการเหล่านี้… 1. มีความจำเป็นเลิศ สำหรับผู้ป่วยโรค Hyperthymesia นั้นจะสามารถ ที่จดจำรายละเอียดของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้เป็นอย่างดี โดยผู้ป่วยสามารถที่จะบอกรายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเขาที่ผ่านมาตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบันได้ทั้งหมด นอกจากนี้พวกเขายังสามารถจำข้อความทุกข้อความจากหนังสือที่อ่านมานานหลายปีได้อีกด้วย!! 2. ไร้ความรู้สึกเจ็บปวด โรคไร้ความรู้สึกเจ็บปวดนี้ทางการแพทย์เรียกว่า Congenital analgesia โดยผู้ที่ป่วยด้วยอาการนี้จะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ ทางร่างกายเลย จากรายงานพบว่าชาวสวีเดนป่วยเป็นโรคที่ว่านี้มากถึง 40 รายเลยทีเดียว 3. เก่งในหลายๆ ด้าน โรค Savant syndrome นั้นเป็นหนึ่งในหนึ่งในความผิดปรกติของระบบประสาทที่พบได้ยากมากๆ โดยผู้ที่มีอาการดังกล่าวนั้นจะมีความสามารถในรอบๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นดนตรี การคิดเลข การวาดภาพ หรือแม้แต่การสร้างโมเดลสามมิติ คนเหล่านี้ก็สามารถทำได้ดีทุกอย่างเลยทีเดียว 4. ทนความเย็นได้ โรคประหลาดนี้เกิดขึ้นกับหนุ่มชาวดัตช์ผู้หนึ่งนามว่า Wim Hof โดยชายคนนี้สามารถเดินขึ้นยอดเขา Mont Blanc ในสภาพอากาศแสนหนาวเหน็บและเต็มไปด้วยน้ำแข็ง โดยที่ใส่เพียงแค่กางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียวเท่านั้น และที่สำคัญเขายังสามารถลงไปว่ายในน้ำแข็งและอยู่ในนั้นได้นานถึง 120 นาทีเลยอีกด้วย!! 5. ไม่กลัวอันตรายใดๆ โรค Urbach–Wiethe หนึ่งในลักษณะทางพันธุกรรมที่แปลกๆ…
-
9 กฎแห่ง “สไตล์การแต่งตัว” ที่หนุ่มๆ ควรศึกษาเอาไว้ จะช่วยให้คุณดูดียิ่งขึ้นไปอีกขั้น!!
สำหรับหนุ่มๆ ทั่วไปถ้าหากว่าคุณไม่ได้หล่อตี๋เหมือนจุงกิ หรือหล่อเซอร์แบบป๋าเดปป์ การแต่งตัวให้ดูดีนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยชดเชยกับความหล่อของคุณได้ แต่สำหรับหนุ่มๆ หลายคนการเลือกเสื้อผ้า และสไตล์ให้เข้ากับตัวเองพร้อมกับออกไปนอกบ้านอย่างมั่นใจนั้นก็ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยทีเดียวใช่ไหมล่ะ อ่า… ถ้าอย่างนั้นลองไปดูกฎ 9 ข้อง่ายๆ ที่จะทำให้คุณกลายเป็นผู้ชายดูดีกันได้เลย 1. ระวังสีของรองเท้ากับเข็มขัดให้ดี เวลาที่คุณต้องแต่งตัวแบบทางการ แน่นอนว่าการสวมรองเท้าหนังที่มีสีแมตช์กับเข็มขัดนั้นอาจจะดูเป็นเรื่องที่น่าเบื่อไม่น้อย แต่เชื่อเถอะกฎข้อนี้จะทำให้คุณดูดีเวลาที่จำเป็นต้องออกงานที่ดูเป็นทางการ ดังนั้นถ้าหากว่าคุณสวมรองเท้าหนังสีน้ำตาลคุณก็ควรเลือกเข็มขัดหนังสีน้ำตาลนั่นเอง 2. ระวังลวดลายให้ดีล่ะ ลวดลายบนชุดสูทนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้คุณดูเท่และไม่เหมือนใคร แต่แน่นอนว่าชุดที่มีลายผ้ามากเกินกว่าหนึ่งลายนั้นจะทำให้ชุดของคุณหมดความคูลไปทันที และนอกจากนี้มันยังทำให้ชุดของคุณดูเยอะไปอีกด้วย 3. อย่าลืมแต่งตัวตามหัวข้อที่เจ้าภาพกำหนดมา!! แน่นอนถ้าหากว่าในบัตรเชิญบอกให้คุณสวมชุดทักซิโด้สีดำล่ะก็ นั่นหมายความว่าคุณจำเป็นต้องสวมชุดทักซิโด้สีดำ แต่ถ้าหากในบัตรเชิญเขียนว่าชุดสุภาพล่ะก็นั้นหมายถึงชุดสูทนั่นเอง!! 4. โปรดระวังขนาดของเสื้อผ้าให้ดีๆ ล่ะ กฎข้อสำคัญที่คุณควรจำไว้เลยก็คือ คุณก็ควรที่จะเลือกให้มีความพอดีกับตัว ไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นกางเกง เสื้อนอก หรือเสื้อเชิ้ตตัวด้านในก็ตาม 5. คุมโทนสีของเสื้อผ้าให้เข้ากับฤดูกาล ก็เท่ไปอีกแบบนะ ยกตัวอย่างเช่นการสวมเสื้อผ้าสีสดใสที่เข้ากับบรรยากาศของแสงแดดในหน้าร้อน แต่สำหรับในวันที่อากาศไม่ค่อยปลอดโปร่งการเลือกใส่เสื้อผ้าสีโทนเข้มก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันนะ 6. อย่าใส่เสื้อกั๊กทับเสื้อเชิ้ตแบบเปล่าๆ ล่ะ ถ้าคุณไม่อยากดูเขินๆ ล่ะก็ ควรหลีกเลี่ยงการสวมเสื้อกั๊กทับเสื้อเชิ้ตเฉยๆ โดยไม่ใส่เสื้อสูท เพราะเสื้อกั๊กนั้นถูกออกแบบมาสำหรับชุดสูท…
-
เหตุผลทางวิทย์ฯ ที่คุณควรจะโต้เถียงด้วยการ ‘พูด’ เพราะมีน้ำหนักมากกว่าสื่อผ่าน ‘ตัวอักษร’
ปัจจุบันหลายๆ คนเลือกที่จะส่งข้อความตัวอักษรมากกว่าการโทรคุยกัน หรือการไปคุยกันต่อหน้า เพราะเชื่อว่ามันสามารถแทนกันได้ แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป หลังจากที่งานวิจัยได้ออกมาบอกแล้วว่าการพูดคุยกันด้วยเสียงสามารถโน้มน้าวและฟังดูมีน้ำหนักมากกว่าการใช้ตัวอักษร นี่เป็นงานวิจัยทางจิตวิทยาของ Juliana Schroeder จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ผู้ที่ได้ทำการทดลองมาเป็นจำนวนมาก และ งานวิจัยในครั้งนี้ ของเธอก็ได้ถูกตีพิมพ์ในวันที่ 25 ตุลาคม 2017 เธอได้ให้อาสาสมัครจำนวน 300 คนแบ่งออกเป็นกลุ่มที่ได้อ่าน และกลุ่มที่ได้ฟังข้อโต้แย้งในเรื่องของสงคราม การทำแท้ง และความแตกต่างกันของแนวดนตรี จากนั้นจึงให้ทุกคนลองประเมินและตัดสินจากสิ่งที่ตัวเองได้ยินว่ารู้สึกอย่างไรกับคนที่พูดหรือคนที่เขียนข้อความนั้นๆ ผลออกมาคือกลุ่มที่ฟังข้อโต้แย้งผ่านคลิปวิดีโอหรือคลิปเสียงจะมีความรู้สึกสนใจและให้คุณค่ากับคำพูดเหล่านั้นมากกว่ากลุ่มที่ได้อ่านผ่านตัวอักษร ผลลัพธ์ดังกล่าวทำให้นักวิจัยเชื่อว่าการสื่อสารด้วยเสียงจะทำให้ผู้พูดดูเป็นคนมีเหตุผล และมีความเท่าเทียมกันมากกว่าการสื่อสารกันด้วยตัวอักษร และเธอยังมีการทดลองที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติม อย่างเช่นการทดลองหนึ่งที่เธอให้คน 600 คน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของนักการเมืองสองคนในปี 2016 โดยให้ผู้รับการทดลองให้คะแนนนักการเมืองเหล่านั้นหลังจากที่ได้ฟังหรืออ่านการหาเสียงของพวกเขา ในตอนแรกอาสาสมัครเหล่านั้นรู้สึกเกลียดและไม่ชอบผู้หาเสียงอีกฝั่งนึงมาก แต่เมื่อพวกเขาได้มาฟังหรือเห็นบทสัมภาษณ์ของนักการเมืองคนนั้นแล้ว ความรู้สึกไม่ชอบก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่การอ่านก็ช่วยได้ในระดับหนึ่งแต่น้อยกว่าการฟัง ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เราให้น้ำหนักกับการได้ยินคำพูดมากกว่าการอ่านผ่านตัวอักษร และสิ่งนี้จะยิ่งมีความสำคัญในเวลาที่เราเกิดการโต้เถียงกับอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ ลองคิดถึงการอ่านหนังสือพิมพ์ เวลาเราเห็นพาดหัวข่าวข่าวหนึ่ง ความรู้สึกที่ได้รับแตกต่างกับการที่เราได้ฟังข่าวหรือเห็นข่าวผ่านโทรทัศน์ แม้จะเป็นข่าวเดียวกันก็ตาม และถึงแม้ว่าจิตใจคนเราไม่อาจที่จะคาดเดาได้ แต่งานวิจัยเหล่านี้ก็อาจช่วยบอกกับเราได้ว่าเวลาที่เราทะเลาะหรือโต้เถียงกับใคร การพูดคุยกันด้วยเสียง…
-
10 สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่า ‘ระดับน้ำตาล’ ในเลือดของคุณสูงเกินไปแล้ววว!!
น้ำตาลและของหวานอาจจะเป็นของโปรดสำหรับหลายๆ คน แต่อย่างที่เรารู้ๆ กันดี การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินไปนั้นย่อมส่งผลเสียต่อร่างกายเราอย่างแน่นอน และนอกจากการตรวจเลือดที่โรงพยาบาลแล้ว บางครั้งสัญญาณจากร่างกายของเราก็อาจจะบอกคุณได้ว่า ตอนนี้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณนั้นสูงเกินไปหรือเปล่า!? 1. ปวดปัสวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน ถ้าหากว่ามีสภาวะน้ำตาลในเลือดสูงนั้น ระบบทางเดินปัสสาวะของคุณนั้นจะเกิดการติดเชื้อได้ และมันจะทำให้คุณรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยๆ นั่นเอง 2. รู้สึกกระสับกระส่าย การมีปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงนั้นจะทำให้ร่างกายของเราขาดฮอร์โมนอินซูลีน เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายขาดฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้ร่างกายดึงน้ำตาลกลูโคสออกจากเซล ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกกระสับกระส่ายและอ่อนเพลีย นอกจากนี้ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงยังทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะขาดน้ำ เนื่องจากต้องการขับน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกายนั่นเอง 3. ริมฝีปากแห้ง ปริมาณของกลูโคสที่อยู่ในเลือดและน้ำลายที่มากเกินไป ซึ่งเป็นผลมาจากระดับน้ำตาลในที่เลือดสูงเกินไป จะทำให้คุณเกิดอาการปากแห้งได้ 4. น้องชายไม่ตื่นนอน นี่อาจจะเป็นปัญหาที่ท่านชายหลายๆ คนไม่อยากพบเจอแน่นอน โดยต้นตอของสาเหตุนี้มาจากการสูญเสียการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดระยะยาว ซึ่งจะมีผลต่อระบบประสาทและหลอดเลือด 5. รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ถ้าหากไทรอยด์ฮอร์โมนของคุณอยู่ในระดับต่ำ มันจะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย ง่วงนอน หรือรู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่านอกจากนี้ฮอร์โมนต่อมไทยรอยด์นั้นจะควบคุมการเผาผลาญอาหารในร่างกาย และมีผลโดยตรงต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย 6. น้ำหนักเกิน/อ้วน นี่อาจจะเป็นสัญญาณพื้นฐานของสภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเลยก็ว่าได้ พลังงานจากอาหารที่มากเกินไปจะสะสมอยู่ในร่างกายของคุณและมันจะทำให้คุณอ้วนนั่นเอง 7. ผิวหนังแห้งและคัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายของคุณมีการไหลเวียนของเลือดที่ต่ำ จะทำให้ผิวหนังของคุณรู้สึกแห้งและเกิดอาการคันได้…
-
ภาพการทำงานของปาปารัสซี่ในอดีต ที่ต้องเสี่ยงตัวเองและทำตัวน่ารำคาญยิ่งกว่าสมัยนี้ซะอีก
ปาปารัสซี่ อีกหนึ่งอาชีพที่รู้จักกันในฐานะของช่างภาพที่คอยติดตามถ่ายชีวิตของเหล่าคนดังหรือดาราในมุมที่หลายๆ คนไม่รู้ โดยการทำรายได้ของปาปารัสซี่จะมาจากการนำภาพไปขายให้กับหนังสือพิมพ์ คำว่าปาปารัสซี่นั้นมีต้นกำเนิดมาจากตัวละครในภาพยนตร์เรื่อง La Dolce Vita ปี 1960 ที่ตัวละครนั้นเป็นช่างภาพที่คอยตามถ่ายดารา จึงทำให้มีช่างภาพผันตัวมาเป็นปาปารัสซี่กันอย่างมากมายในยุคนั้น แต่ว่าอาชีพปาปารัสซี่ในสมัยนั้นไม่ได้จะเป็นกันง่ายๆ ต้องคอยติดตามดาราอยู่ตลอดเวลาซึ่งในบางครั้งก็มีวางมวยกันบ้างระหว่างดารากับปาปารัสซี่ มาดูกันดีกว่าว่าปาปารัสซี่ในยุคเก่าเค้าต้องเจออะไรบ้าง Walter Chiari กำลังวิ่งไล่ Tazio ปาปารัสซี่ที่คอยติดตามเขาในปี 1957 บางทีปาปารัสซี่กับดาราก็ย่อมมีปากเสียงกันบ่อยๆ Anita Ekberg ไล่ปาปารัสซี่ด้วยธนูเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 1960 Lucien Benedetti และ Marina Meucci ผจญกับปาปารัสซี่ในปี 1965 ปาปารัสซี่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ กว่าจะได้รูปของดารา . Stefania Sandrelli ช่วงยุค 60s ภาพสองปาปารัสซี่นั่งคุยกันถูกถ่ายไว้เมื่อปี 1958 การจะได้ภาพแต่ละใบมันไม่ง่ายนัก ถึงแม้จะเสี่ยงแต่ผลตอบแทนก็คุ้ม…
-
ไขความลับกับ “ความรู้สึก” ของสัตว์ต่างๆ ว่าพวกมันจะมีความรู้สึกและอารมณ์ใดกันบ้าง
ความรู้สึกของคนเรานั้นมีมากมายหลายอย่างทั้ง ดีใจ เสียใจ ภูมิใจ เศร้า เหงา และอีกหลายๆ อารมณ์ แต่เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่าสัตว์ต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเราพวกมันมีความรู้สึกกันบ้างไหมนะ?? ใครหลายคนอาจจะคิดว่าสัตว์ต่างๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนกันหากดูจาก บุคลิกที่แตกต่างกันของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเรื่องนี้ก็มีการถกเถียงกันมาหลายทศวรรษด้วยคำถามที่ว่า กิริยาท่าทางต่างๆ ที่สัตว์แสดงออกมามันออกมาจากความรู้สึกภายในของมันใช่หรือไม่ ทดสอบเรื่องของแพะๆ ในศตวรรษที่ 17 ได้มีนักปรัชญาชื่อว่า René Descartes ศึกษาเกี่ยวกับประเด็นความรู้สึกของสัตว์ และได้ออกมายืนยันว่าสัตว์ทั้งหลายต่างไม่มีความรู้สึกอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกทางด้านกายภาพอย่างการเจ็บ การปวด หรือความรู้สึกภายในอย่าง ความเศร้าเสียใจ ดีใจ ความรู้สึกเช่นนี้จะมีแต่ในตัวมนุษย์เท่านั้น แต่การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ได้แสดงให้เห็นว่าความเชื่อเหล่านั้นเป็นความเชื่อที่ผิด โดยพวกเขาใช้แพะซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในการทดลอง การทดลองต่างๆ แสดงให้เห็นว่าแพะนั้นสามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างหลากหลายในสถานการณ์ที่กำหนดให้ วิธีการทดลองก็คือ นักวิจัยจะลองเรียกแพะเข้ามาใกล้ๆ และมันก็เข้ามาหานักวิจัยจริงๆ เพราะว่าพวกมันหวังว่าจะได้อาหารเหมือนที่เคยได้ แต่เมื่อไม่มีรางวัลให้แก่มันแล้ว มันก็ดูเศร้าๆ และผิดหวังเล็กน้อย ซึ่งนอกจากการดูอารมณ์ของมันแล้ว นักวิจัยยังได้ศึกษาเรื่องภาษากายของแพะ การวัดอัตราการเต้นของหัวใจเพื่อเปรียบเทียบกับอารมณ์ในตอนที่เรียกมันเข้ามาหา นอกจากนี้พวกเขายังใช้ความถี่ของเสียงในการวิเคราะห์ด้วย การทดลองความรู้สึกของม้า นอกจากแพะแล้ว ม้าก็เป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่มีอารมณ์หลากหลาย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะว่าม้าเป็นสัตว์ที่ชอบเข้าสังคมอยู่แล้ว โดยพวกมันมักจะมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับตัวอื่นๆ ในฝูง…
-
หนังสั้นสะท้อนคำว่า ‘ความสุข’ ในสังคมปัจจุบัน เปรียบเทียบได้ดั่งชีวิตของหนูตัวน้อย
ความสุขคืออะไร? เป็นคำถามที่ใครหลายๆ คนอาจต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตในการตอบคำถามนี้ หรือบางคนที่คิดว่ารู้แล้วว่าความสุขของตัวเองคืออะไรนั้น ความเป็นจริงนั่นอาจไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงสำหรับเราก็ได้ มันอาจเป็นเพียงสิ่งที่สังคมตีกรอบไว้ให้เราเดินไปตามทาง ความหมายในลักษณะนั้นเราสามารถทำความเข้าใจกันได้ผ่านการ์ตูนสั้นความยาวไม่เกิน 5 นาทีของศิลปินในประเทศอังกฤษที่ชื่อว่า Steve Cutts กับการสะท้อนคำว่าความสุขในสังคมปัจจุบัน นำเสนอผ่านการใช้ชีวิตของเจ้าหนูตัวน้อย พวกเราลองไปหาความหมายของคำว่าความสุขจากหนังสั้นเรื่องนี้กันเลย เจ้าหนูที่มารับบทเป็นมนุษย์ กับการที่เราต้องเดินไปตามทางเดียวกันอยู่เสมอ ความสุขที่เราเห็นได้จากสื่อโฆษณา ผลิตภัณฑ์สินค้าต่างๆ ที่บอกว่ามันคือสิ่งที่สร้างความสุขให้กับเรา เมื่อเราเชื่อว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นคือความสุข ตอนที่มีโปรโมชั่นลดราคานั่นก็เปรียบกับสวรรค์ของหลายๆ คน แต่นั่นอาจไม่ใช่สวรรค์ที่แท้จริง แต่เป็นเพียงแค่สงครามที่พวกเราต้องเข้าไปต่อสู้ แก่งแย่งกันเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา และเมื่อเราต้องเจอกับสมรภูมิหนักๆ ปัญหาต่างๆ ที่ถาโถม เราก็อาจมองหาความสุขจากสิ่งที่เรียกว่าของมึนเมา การใช้วิธีแก้ปัญหาในลักษณะนั้น อาจทำให้เราต้องเจอกับปัญหาที่ตามมามากกว่าเดิม และจบลงด้วยการกินยารักษา หรือเข้าโรงพยาบาล เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เชื่อว่าสามารถทำให้เรากลับมามีความสุขได้ และเงินคือสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับทุกความสุขของเรา จนทำให้คนส่วนใหญ่ต้องพยายามไขว่คว้าเป็นเจ้าของมันให้ได้มากที่สุด ปลายทางของความสุขก็คือการทำงาน เปรียบได้กับการถูกล่อมาให้ติดกับอยู่ในชีวิตที่เราเองก็ไม่ได้อยากมี แต่ทำไปก็เพื่อความสุข แล้วอย่างนั้นทั้งหมดที่ว่ามามันใช่ความสุขของเราจริงหรือเปล่า? รับชมวิดีโอกันแบบเต็ม กับการสะท้อนคำว่าความสุขในสังคมปัจจุบัน สุดท้ายแล้วความสุขใช่สิ่งที่เราถูกปลูกฝังมาจากสังคมในสมัยนี้จริงหรือเปล่า หรือมันเป็นเพียงแค่เป้าหมายที่ทำให้เราสามารถทนอยู่กับความทุกข์จากการหาเงินกันแน่ และวนกลับมาที่คำถามเดิมว่า…
-
ทฤษฎีแห่งการ ‘สบตา’ เผยถึงสาเหตุที่ว่า ทำไมการสบตาในระหว่างสนทนาจึงเป็นเรื่องยาก
หลายคนอาจเคยสงสัยว่าเวลาที่เราคุยกับคนอื่นทำไมเขาถึงไม่ชอบมองตาเราตรงๆ แต่เลือกที่จะมองไปทางอื่นตอนที่พูดกับเรา? คำถามนี้ได้มีคำตอบออกมาอธิบายให้เพื่อนๆ เข้าใจกันว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อนักวิทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น โดยพวกเขาได้ทำ การทดสอบ กับอาสาสมัครจำนวน 26 คน แล้วให้เล่นเกมต่อคำศัพท์โดยขณะที่เล่นต้องมองหน้าของคนที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ไปด้วย ผลที่ได้คือการต้องนั่งสบตากับใบหน้าที่หันมามองเราทำให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบใช้เวลาในการคิดคำศัพท์นานกว่าการที่ไม่ต้องสบตา นั่นจึงแสดงให้เห็นว่าการมองตากันจะทำให้ยากต่อการคิดคำพูดของเรา โดยเฉพาะกับคำที่เราไม่คุ้นเคย นักวิจัยได้ออกมาบอกว่า “แม้กระบวนการการพูดและการสบตาจะไม่เกี่ยวกัน แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะไม่สบตาอีกฝ่ายขณะที่พูด และจากการทดสอบนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสองอย่างนั้นมีการรบกวนซึ่งกันและกันอยู่” เมื่อปี 2016 เองก็ได้มี การวิจัยเกี่ยวกับการสบตา ของนักจิตวิทยาชาวอิตาลีที่ชื่อว่า Giovani Caputo เมื่อเขาได้ให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบสบตากับคนคนหนึ่งเป็นเวลานานถึง 10 นาที ผลที่ได้ก็คือผู้ทดสอบหลายๆ คนถึงกับเห็นภาพหลอนว่าใบหน้าอีกฝ่ายเป็นสัตว์ประหลาด เป็นคนรู้จัก หรือแม้แต่เห็นว่าเป็นใบหน้าของตัวเอง ผลลัพธ์ของงานวิจัยนั้นเรียกว่า Neural Adaption หมายถึงการที่สมองเกิดการตอบสนองที่เปลี่ยนไปแม้ว่าสิ่งเร้าตรงหน้าจะยังคงเดิม ยกตัวอย่างการวางมือเอาไว้บนโต๊ะ เราจะรู้สึกทันทีในตอนแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เราก็จะลืมความรู้สึกไปว่าเรากำลังเอามือวางไว้บนโต๊ะอยู่ Neural Adaption ก็อาจเป็นสิ่งที่อธิบายให้กับงานวิจัยในมหาวิทยาลัยเกียวโตครั้งนี้ได้ว่าเป็นการตอบสนองที่ผิดเพี้ยนไปของสมองมนุษย์ ถึงอย่างไรนักวิจัยชุดนี้ก็ตั้งใจว่าจะศึกษาเรื่องของการสบตาต่อไป โดยพวกเขาวางแผนเอาไว้ว่าครั้งต่อไปจะศึกษาในเรื่องของการใช้คำพูดและการใช้ภาษากายหรืออวัจนภาษา ว่าการสบตาทำให้เกิดผลที่แตกต่างกันหรือเปล่า …
-
ผอ.โรงเรียนส่งจดหมายถึงผู้ปกครอง เพื่อให้พวกเขาเข้าใจลูกๆ แม้จะได้คะแนนสอบเท่าไหร่ก็ตาม
หลายๆ คนที่เป็นหนึ่งในแก๊งเด็กหลังห้องคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับกระดาษซองขาวๆ ที่จ่าหน้าซองเป็นชื่อของคุณพ่อคุณแม่ และเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณกลับมาถึงบ้านพร้อมกับเห็นเจ้ากระดาษซองนี้อยู่บนโต๊ะกินข้างล่ะก็… ไม่อยากจะนึกภาพต่อจากนั้นเลยทีเดียวใช่ไหมล่ะ แต่บางครั้งจดหมายจากทางโรงเรียนนั้นก็ไม่ได้น่ากลัวเสมอไปหรอก อย่างเช่นจดหมายของโรงเรียนมัธยมจากประเทศสิงคโปร์ที่ส่งถึงผู้ปกครองนักเรียนทุกคนก่อนที่การสอบจะเริ่มต้นขึ้น!! ชาวเน็ตรายหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า saraboulos ได้โพสต์ภาพของจดหมายฉบับดังกล่าวลงบนโลกออนไลน์ ซึ่งข้อความในจดหมายดังกล่าวนั้นได้บอกกับผู้ปกครองให้เข้าใจในตัวลูกๆ ของพวกเขา พร้อมกับบอกว่าพวกเด็กๆ อาจจะทำบางอย่างได้ดีมากกว่าการสอบ และในโลกนี้ก็ไม่ได้มีแค่อาชีพหมอ ทนาย และวิศวกรเท่านั้น “แด่เหล่าผู้ปกครองที่รัก… การสอบของลูกๆ คุณจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ฉันรู้ว่าคุณกำลังกังวลกับคะแนนสอบของพวกเด็กๆ แต่ได้โปรดจำไว้ว่าในบรรดานักเรียนที่สอบเหล่านี้ บางคนอาจเป็นศิลปินที่ไม่จำเป็นต้องเข้าใจในวิชาคณิตศาสตร์ หรือบางคนที่อยากจะเป็นนักลงทุนนั้นก็อาจะไม่ต้องสนใจในวิชาประวัติศาสตร์หรือวรรณกรรม เรามีเด็กบางคนที่เป็นนักดนตรีที่คะแนนวิชาเคมีไม่ได้จำเป็นอะไรกับชีวิต เรามีเด็กบางคนที่เป็นนักกีฬาที่ความแข็งแกร่งทางร่างกายสำคัญกว่าคะแนนวิชาฟิสิกส์ ถ้าหากว่าพวกเขาทำคะแนนในวิชาต่างๆ เหล่านี้ได้ดีนั้นก็เป็นเรื่องที่เยี่ยม แต่ถ้าหากว่าพวกเขาทำได้ไม่ดีล่ะก็ อย่าพรากความมั่นใจและความภูมิใจของพวกเขาไป และบอกลูกๆ ว่ามันก็แค่การสอบไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต เราอยากให้พวกคุณบอกเขาว่าไม่ว่าพวกเขาจะได้กี่คะแนนคุณก็ยังคงรักพวกเขาและจะไม่ตัดสินพวกเขาจากคะแนนสอบ ได้โปรดบอกกับพวกเขาแบบนี้ อย่าให้คะแนนสอบมาทำลายความฝันและความสามารถของพวกเขา ได้โปรดอย่าคิดว่ามีแต่หมอกับวิศวกรเท่านั้น ที่จะมีความสุขบนโลกใบนี้ได้” ข้อความบางส่วนจากจดหมายของทางโรงเรียน และนี่คือจดหมายฉบับนั้น ข้อความจากจดหมายเหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งที่พ่อแม่หลายๆ คนควรพูดปลอบใจพวกเด็กๆ เวลาที่พวกเขาทำเรื่องบางเรื่องไม่ได้ และอย่างที่ทางโรงเรียนบอกไม่ได้มีแค่บางอาชีพเท่านั้นที่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ ที่มา inspiremore
-
แผนที่โลกแห่ง ‘เซ็กส์’ เผยให้เห็นพื้นที่แห่งเสรีภาพทางกามรมณ์ ให้ทายประเทศไทยมีสีอะไร??
การขายบริการทางเพศนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมและไม่ถูกต้อง แต่สำหรับในบ้างประเทศนั้นการขายบริการทางเพศเองกลับเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย และมีข้อกฎหมายต่างๆ ที่ดูแลผู้ที่ทำงานด้านนี้ เมื่อไม่นานมานี้ได้มีชาวเน็ตท่านหนึ่งได้โพสต์ภาพของแผนที่เกี่ยวกับกฎหมายของการค้าประเวณีในประเทศแต่ละประเทศ ซึ่งแผนที่ดังกล่าวถูกจัดทำขึ้นโดยหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนเมื่อปี 2008 ก่อนที่จะมีการนำออกมาเผยแร่ในปีถัดมา โดยทางหน่วยงานได้แบ่งสีของระดับกฎหมายไว้ทั้งหมด 4 ระดับด้วยกัน และนี่ก็คือภาพของแผนที่ที่ว่านั้น จากคำอธิบายในแผนที่ดังกล่าว สีเขียวนั้นหมายถึงการค้าประเวณีนั้นเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายและมีการควบคุม โดยพื้นที่ที่จัดอยู่ในกลุ่มสีเขียนนั้นยกตัวอย่างเช่นประเทศเม็กซิโก บางพื้นที่ของประเทศออสเตรีเลีย และรัฐเนวาดาเป็นต้น ส่วนต่อมาคือสีน้ำเงินหมายถึงการค้าประเวณีนั้นเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย แต่ไม่มีการควบคุมจากรัฐ ส่วนการเปิดซ่องและอาชีพแม่เล้านั้นถือเป็นส่งที่ผิดกฎหมายในประเทศเหล่านี้ และสีส้มหมายถึงพื้นที่ที่ไม่มีการเอาผิดกับผู้ค้าประเวณี แต่จะมีการดำเนินคดีกับผู้ชื้อและเหล่าพ่อเล้าแม่เล้าแทน สุดท้ายสีแดงหมายถึงการค้าประเวณีนั้นถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายในประเทศเหล่านี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทยของเรานั่นเอง ถึงแม้ว่าการค้าประเวณีนั้นจะเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรม แต่ในปี 2017 นาย Andrew Boff จากสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยมของอังกฤษเองก็ได้ออกมาสนับสนุนการจัดระเบียบของการขายบริการทางเพศในเมือง ทางการอังกฤษได้มีการนำร่องจัดการควบคุมพื้นที่การขายบริการในเมือง Holbeck เป็นที่แรกในปี 2015 โดยในพื้นที่ดังกล่าวนั้นอนุญาติให้ขายบริการได้ตั้งแต่ช่วง 7 โมงเช้าถึง 1 ทุ่ม จากการรายงานของสื่อต่างประเทศพบว่าอัตราการถูกทำร้ายร่างกายของโสเภณีนั้นลดลงเหลือแค่ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นจาก 50 เปอร์เซ็นต์ ที่มา indy100, wikipedia
-
วิทยาศาสตร์แห่ง ‘ความกลัว’ ที่บ่งบอกว่าความรู้สึกนี้มันดีต่อสุขภาพของคุณ
ทุกๆ คนมีความกลัวแตกต่างกันไปและเรามักจะคิดว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นมานี้ไม่ได้มีผลดีกับตัวเราเลย มันเหมือนกับทำให้เสียสุขภาพจิตอยู่เสมอเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรากลัว แต่ความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาบอกว่าความกลัวมันก็ดีต่อสุขภาพเราอยู่เหมือนกัน วันนี้ #เหมียวตะปู จึงชวนให้เพื่อนๆ มาเข้าใจเกี่ยวกับ 6 เหตุผลที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าความกลัวมันส่งผลให้กับสุขภาพของเราในทางที่ดียังไง มีอะไรบ้างเราไปดูกันเลย 1. ปลดปล่อยความกลัวของคุณออกมา ความรู้สึกกลัวเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่แรกไม่ต่างกับความเศร้า ความสุข หรือความโกรธ ซึ่งนักจิตวิทยาที่ชื่อ Steve Orma บอกว่า ”การมีความรู้สึกกลัวก็คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เรามีชีวิตรอดต่อไปได้” เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีที่เราจะมีความรู้สึกแบบนี้ 2. ความกลัวทำให้เรารับรู้ถึงอันตราย ความรู้สึกในลักษณะนี้จะส่งผลไปถึงร่างกายของเราในรูปแบบที่เรียกว่า “การตอบสนองแบบสู้หรือหนี” ซึ่งหากเราขาดความกลัวไป เราก็จะไม่สนใจกับอันตรายที่เข้ามาหาและร่างกายเราก็จะไม่ตอบสนองต่อสิ่งนั้นๆ ยกตัวอย่างเวลาที่มีรถวิ่งเข้ามาหาเราด้วยความเร็ว ความกลัวจะทำให้ร่างกายเราตอบสนองและสามารถโดดหลบออกมาได้ในเสี้ยววินาที เราจึงควรต้องขอบคุณมันที่ทำให้เรารอดจากอันตรายมาได้ในหลายๆ ครั้ง 3. ความกลัวคือการเติมเต็มชีวิต เวลาที่เรากลัวเราก็อาจจะหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นไปหรืออาจจะเผชิญหน้าและก้าวผ่านมันไปได้ ซึ่งหากเป็นแบบนั้นก็เท่ากับว่าเราได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่ให้กับชีวิตของเราเอง เหมือนเวลาที่เรากลัวการบินอยู่บนท้องฟ้า แต่วันหนึ่งเราสามารถก้าวขึ้นเครื่องบินได้เป็นครั้งแรก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือเราสามารถออกไปเที่ยวเจอสิ่งใหม่ๆ ได้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น รวมถึงความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเราประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ก้าวผ่านความกลัวของตัวเองไปได้ 4. เป็นประโยชน์ต่อหน้าที่การงาน อย่างคำพูดที่ว่า “กลัวงานไม่เสร็จ” หรือ…
-
รองเท้านั้นสำคัญไฉน? วิทยาศาสตร์ชี้ มันสามารถเผยให้เห็นถึงลักษณะของคุณได้
ปัจจุบันตลาดของรองเท้านั้นเรียกได้ว่ามีการเติบโตอย่างมาก จากที่เราเห็นแบรนด์ต่างๆ ที่พาเหรดกันเปิดตัวรองเท้าแบบใหม่แทบจะทุกเดือนเลยทีเดียว และแน่นอนว่าการแข่งขันแบบนี้ก็ย่อมส่งผลทำให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ มีตัวเลือกที่มากขึ้นนั่นเอง และนอกจากความสะดวกสบายและความสวยงามของรองเท้าแต่ละแบบแล้ว มันยังบ่งบอกถึงสิ่งที่คุณคาดไม่ถึงอีกด้วย งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Research in Personality ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้คนและรองเท้าที่พวกเขาสวมใส่ โดยจากการศึกษาได้เผยว่าลักษณะของรองเท้านั้นมีความเกี่ยวข้องกับลักษณะนิสัยของผู้สวมใส่ด้วย 1. สีของรองเท้า จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ชอบสวมรองเท้าสีฉูดฉาดหรือรองเท้าแบบหรูๆ นั้นจะมีลักษณะเป็นคนที่ชอบเก็บตัวและไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นสักเท่าไหร่ ส่วนผู้ที่ชอบสวมรองเท้าสีสันธรรมดาๆ หรือรองเท้าเก่าๆ นั้นจะมีลักษณะนิสัยที่ชอบเข้าสังคมมากกว่า 2. สภาพของรองเท้าที่สวมใส่ ถึงแม้ว่าเราไม่อาจจะตัดสินคนอื่นๆ ได้จากรูปลักษณ์ภายนอกก็ตาม แต่จากการศึกษาพบว่าคนที่มีการทะนุถนอมรองเท้าอย่างดีนั้นมักจะมีลักษณะนิสัยที่เป็นคนชอบห่วงใยผู้อื่น พวกเขามักจะแคร์คนรอบข้างและใส่ใจกับงานที่ทำด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่สวมรองเท้าเก่าๆ นั้นจะเป็นคนที่มีความมั่นคงทางอารมณ์ และไม่ค่อยอ่อนไหวกับสิ่งรอบกาย 3. รองเท้าส้นสูง หลายๆ คนอาจจะคิดว่าผู้หญิงที่ชอบสวมรองเท้าส้นสูงนั้นเป็นพวกที่ดูเกรี้ยวกราดและจะเป็นสาวขี้โมโห แต่จากการศึกษาพบว่าอันที่จริงแล้วพวกเธอนั้นไม่ได้มีอารมณ์ที่ฉุนเฉียวหรือเป็นคนขี้โมโหแต่อย่างใดเลย และนอกจากนี้ผู้หญิงที่สวมรองเท้าส้นสูงนั้นจะเป็นที่ดึงดูดของเพศตรงข้ามอีกด้วย อย่างไรก็ตามทั้ง 3 ข้อนี้อาจจะเป็นเพียงแค่ผลจากการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างเท่านั้น แต่ในชีวิตจริงนั้นเราอาจจะไม่สามารถที่จะตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกได้เลย แต่การทำความรู้จักและคุ้นเคยต่างหากที่จะเป็นสิ่งที่บอกเราว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเรานั้นมีลักษณะนิสัยอย่างไร… ที่มา inc, designtaxi
-
ภาพถ่ายสถานที่เดิม ในวันเวลาที่เปลี่ยนไป ช่วยหยุดยั้ง ‘โรคซึมเศร้า’ ที่กลืนกินตัวตน
สถานที่ องค์ประกอบ สิ่งแวดล้อมต่างๆ อาจยังคงเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ความรู้สึกของเราที่มีให้กับสิ่งนั้นอาจต่างไปจากเดิมมากเช่นเดียวกันกับชายคนนี้ เมื่อสถานที่ที่เคยสร้างความทุกข์กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเป็นสุขอย่างที่ไม่เคยคาดคิดก่อน เขาคนนี้มีชื่อว่า Craig Stone นักเขียนชาวอังกฤษที่ได้แชร์เรื่องราวของตัวเองลงในทวิตเตอร์ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2017 เขาได้พูดถึงเกี่ยวกับอาการของโรคซึมเศร้าที่เขาเป็น กับความรู้สึกที่เปลี่ยนไปเมื่อได้กลับมาในสถานที่ที่เขาเคยคิดจะฆ่าตัวตาย โพสต์ของเขาที่พูดถึงความรู้สึกดีๆ ที่ไม่เหมือนเดิมกับสถานที่แห่งนี้ ในโพสต์บอกว่า “เห็นม้านั่งตรงนั้นมั้ย เมื่อ 8 ปีก่อน ผมนั่งแล้วคิดว่าอยากโดดลงไปจากสะพาน Blackfiars ตอนนั้นเลย แต่วันนี้ผมพาลูกมาถ่ายรูปในที่ที่เดิมและผมก็จะทำอย่างนี้อีกในวันต่อๆ ไป ความรู้สึกตอนนี้มันดีกว่าตอนนั้นมาก ผมได้เจอกับความสดใสที่มากกว่าครั้งไหนๆ ขอแค่เราหยุดคิดแล้วความรักก็จะเข้ามาหาเราเอง #โรคซึมเศร้า” โพสต์ดังกล่าวทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาให้กำลังใจและสนับสนุน Craig บางคนถึงกับติดต่อเขาเป็นการส่วนตัว เพื่อเป็นแรงผลักดันให้กับการตัดสินใจของเขาที่จะก้าวเดินต่อไปในวันข้างหน้า วันต่อมาเขาโพสต์ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้ เขารู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก Craig ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Indy100 ว่าเขาได้พบกับจิตใจที่งดงามของคนจำนวนมากถาโถมเข้ามา บางคนพูดถึงประสบการณ์การเป็นโรคซึมเศร้าของตัวเอง ซึ่งเมื่อเราได้พูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์ชีวิตคล้ายๆ กัน สามารถช่วยให้เราฟื้นฟูจิตใจที่บอบช้ำให้กลับมาแข็งแรงได้ เขาและลูกชาย Obie เขายังบอกอีกว่า “ในตอนแรกผมไม่ได้คิดจะแชร์เรื่องนี้ออกไปเลย…
-
ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว คนเมามี 4 ประเภท ลองสำรวจกันดูว่าคุณเป็นสายไหน!?
อาการเมานั้นนอกจากจะเกิดจากการแพ้ยานพาหนะแล้ว บางครั้งเวลาที่คุณดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เองก็อาจจะทำให้คุณเกิดอาการเมาได้เหมือนกัน (เผื่อใครยังไม่เคยดื่ม) และเมื่อไม่นานมานี้ทางทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย University of Missouri สหรัฐอเมริกา ก็ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับอาการเมาของคนเราในแบบต่างๆ ทีมวิจัยได้ทำการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 374 คน และโดยให้พวกเขาจับคู่ออกไปดื่มกันและให้สังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่าย ซึ่งผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Addiction Research & Theory สามารถแบ่งกลุ่มคนเมาได้ 4 ดังนี้ 1. ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่เมา The Hemingway ทีมวิจัยได้เรียกนักดื่มในสายนี้ว่าตามแบบชื่อของนักเขียนชาวอเมริกันที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า เขาสามารถดื่มหนักแค่ไหนก็ได้โดยที่ไม่เมาเลย คนเมาสายนี้มักจะไม่มีบุคลิกที่เปลี่ยนไปเลยไม่ว่าพวกเขาจะเมามากแค่ไหน แต่อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงมีสติที่ช้าลงและเดินเซเล็กน้อย นักวิจัยพบว่ามีคนเมาในแบบ The Hemingway มากถึง 42 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างทั้มหมด 2. Mary Poppins สายเฟรนด์ลี่ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเริ่มเมานั้น คุณจะกลายเป็นคนที่อัธยาศัยดีขึ้นมาทันที คุณพร้อมที่จะเป็นมิตรกับทุกๆ คนในร้าน และโดนเหยียบเท้านิดหน่อยก็ไม่อาจทำให้คุณโกรธได้เลย 3. พ่อนักวิชาการใหญ่ หรือ The Nutty Professor โดยปรกติแล้วคนเมาสายนี้มักจะมีแนวโน้มที่เป็นคนเงียบๆ ในตอนที่พวกเขายังมีสติอยู่ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เหล้าเข้าปากและเริ่มเมาได้ที่ล่ะคุณเอ๊ย!! งานนี้พูดเป็นน้ำไหลไฟดับเลยทีเดียวแถมยังชอบโชว์ออฟอีกด้วย 4. Mr. Hyde จอมทำลายล้าง Mr.…
-
10 คำพูดติดตลกสุดสยอง ของเหล่าผู้ต้องโทษประหาร และเป็นประโยคสุดท้ายในชีวิต…
การกระทำเป็นตัวกำหนดอนาคตต่างๆ หากทำความดีก็ย่อมได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน หากทำชั่วก็ต้องได้รับสิ่งไม่ดีตอบแทน เหมือนกับคนเหล่านี้ที่ทำความชั่วจนผิดกฎหมายและได้รับโทษถึงประหารชีวิต แต่ว่าก่อนที่การประหารชีวิตจะเกิดขึ้น พวกเขาก็มีโอกาสที่จะได้พูดคำสุดท้ายก่อนที่วิญญาณจะหลุดออกจากร่างไป และนี่คือ 10 คำพูดสุดท้ายของนักโทษประหารที่มีความผิด หากอยากรู้ว่าพวกเขามีคำพูดว่าอย่างไรก็ต้องตามไปดู…. 1. George Appel “สุภาพบุรุษทั้งหลาย พวกคุณกำลังจะพบกับ Appel อบ” George Appel ได้กล่าวคำพูดนี้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นคำพูดที่ห่อเหี่ยวใจที่สุดในโลก โดยเขาถูกประหารชีวิตด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในข้อหาฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในปี 1928 2. Carl Panzram “เร็วๆ เข้าสิไอ้พวกงั่ง ฉันอาจจะฆ่าคนได้เป็นโหลหากพวกแกยังไม่ลงมือสักที” Carl Panzram ฆาตกรต่อเนื่อง ที่ทั้งข่มขืนและเป็นหัวขโมย เขาอ้างว่าได้ฆ่าคนไปกว่า 22 คนและข่มขืนผู้หญิงอีกกว่า 1,000 คน Carl ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอที่เมืองแคนซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 5 พฤษภาคม 1930 3. Jame French “พวกเขาจะพาดหัวข่าวว่าไงกันนะ เฟรนช์ฟรายส์ทอดหรอ” Jame…
-
งานวิจัยเผย 8 ส่วนของร่างกายผู้หญิง ที่สามารถดึงดูดผู้ชายให้สนใจได้มากที่สุด!!
ในปัจจุบันสาวๆ หลายคนมีความเชื่อว่าผู้ชายชอบผู้หญิงที่หน้าอกใหญ่ และคิดว่าหนุ่มๆ เลือกที่จะมองก้นกับหน้าอกเป็นสองอย่างแรก แต่ความเป็นจริงมันอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ได้ เพราะในงานวิจัย 8 ส่วนของร่างกายผู้หญิงที่ผู้ชายสนใจมากที่สุดมันกลับไม่มีสองส่วนนั้นเลย นี่เป็นผลงานวิจัยของดอกเตอร์ Midge Wilson ศาสตราจารย์ภาคจิตวิทยาและการศึกษาเกี่ยวกับเพศ ในมหาวิทยาลัย DePaul รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา โดยเขาบอกว่าผู้ชายจะมีพฤติกรรมในการสังเกตสัดส่วนผู้หญิงที่อยากจะเข้าไปเป็นคู่ด้วย ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้เรียกว่า “การประเมินสมรรถภาพการสืบพันธุ์” และนี่ก็คือ 8 อันดับสิ่งที่ผู้ชายให้ความสนใจและรู้สึกว่ามันน่าดึงดูดมากที่สุดสำหรับผู้หญิง มีอะไรบ้างไปดูกันเลยยย สัดส่วนระหว่างเอวและสะโพกทางด้านขวา ผู้วิจัยบอกเอาไว้ว่าสัดส่วน 7:10 ของเอวและสะโพกเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าน่าดึงดูดมากที่สุด เพราะนั่นแสดงให้เห็นถึงการคลอดลูกง่าย เพราะเอวเล็กแต่สะโพกผาย การมีเสียงที่แหลมสูง เสียงในลักษณะนั้นบ่งบอกได้ถึงขนาดตัวที่เล็ก มีร่างกายแบบผู้หญิ๊งผู้หญิง อีกทั้งยังทำให้ดูเด็กอีกด้วย ซึ่งการที่ผู้หญิงดูเด็กมันก็ยิ่งทำให้ผู้ชายรู้สึกสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะตามหลักแล้วอายุ 20 ถึง 31 ปีคือช่วงอายุที่ผู้ชายมองว่านี่แหละเหมาะแก่การเป็นแม่ของลูก เพราะฉะนั้นก็อย่าลืมมีเสียงที่สองเอาไว้ใช้เวลาเจอหนุ่มๆ ด้วยนะ มีสุขภาพผมที่ดี จากการศึกษาบอกว่าผมที่ยาว หนา และดูมันเงาเป็นสิ่งที่สามารถสร้างแรงดึงดูดได้ดีมากๆ ส่วนผมที่ดูแห้งและหงอกนั้นจะเป็นสิ่งที่ให้ผลตรงกันข้าม เพราะมันทำให้สาวๆ ดูแก่เกินวัยไม่เป็นที่สนใจของชายหนุ่ม แต่งหน้าน้อยๆ การแต่งหน้ามาแบบจัดเต็มอาจช่วยให้คุณมีความมั่นใจขึ้น แต่มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจหนุ่มๆ ได้…
-
ชมความฟินของการ “สวอชเครื่องสำอาง” เนื้อแน่นๆ สีชัดๆ น่าตำทั้งน้านนนน!!!
หากสาวๆ อย่างเราต้องการเครื่องสำอางที่ถูกใจซักอย่าง การทดลองตัวอย่างดูก่อนนั้นเป็นอะไรสำคัญสุดๆ เพราะมันจะช่วยทำให้เราเห็นเม็ดสีที่ชัดเจน และรู้ถึงเนื้อสัมผัสของเครื่อสำอางนั้นๆ ดังนั้นเชื่อเลยว่าสาวๆ ทุกคนต้องเคยทำการสวอชลิปสติกหรืออายแชโดว์ลงบนแขน หลังมือของตัวเองจนเป็นรอยสีเต็มไปหมด แต่มันปฏิเสธไม่ได้เลยว่านั้นคือความสุขของสาวๆ วันนี้เราจึงจะพาไปชมการสวอชสีเครื่องสำอางแบบแน่นๆ ที่เห็นแล้วฟินสุดๆ 1. เป็นการสวอชสีของ Juvia’s Place Palette ได้แน่นสุดๆ เห็นแล้วฟินจริงๆ 2. ลิปสติกเนื้อแมทแน่นๆ เมื่อสวอชลงไปก็จะได้สีแบบนี้ 3. อายแชโดว์สีประกายระยิยระยับเป็นกลิตเตอร์ ก็ดูจะสวยงามสุดๆ เมื่อทดลองทาบนแขน 4. เพอร์เฟกต์สุดๆ กับแถบสีอายแชร์โดวที่มาในธีมเมอร์เมดแบบจัดหนัก 5. อายแชโดว์สีแน่นๆ ที่ไม่ว่าจะผิวสีไหน ก็สามารถใช้ได้และเห็นเม็ดสีที่เด่นชัด 6. ลิปน่ารักๆ แพ็คเกจเหมือนขนมในวัยเด็ก ก็มีสีสันที่น่าโดนไม่น้อย 7. เปลือกตาต้องเด่นเป็นประกายด้วยอายแชโดว์กลิตเตอร์สุดพีค ที่ป้ายตรงไหนก็ระยิบระยับแน่นอน 8. อายแชร์โดวจาก Melt ก็มาแบบประกายแน่นๆ ที่ดูหรูหราสุดๆ 9. นี่มันรอยสักรึเปล่าเนี้ย เนียนกริบจริงๆ…
-
ชีวิตที่ไม่ยอมแพ้ของ Jean-Dominique Bauby ชายผู้กระพริบตาเขียนหนังสือ ‘ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ’
บางครั้งความไม่สมบูรณ์แบบของร่างกาย และความทุพพลภาพนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตใจของมนุษย์ และบางคนก็เลือกที่จะยอมแพ้ต่อโชคชะตา แต่ทว่าคุณ Jean-Dominique Bauby นักหนังสือพิมพ์ นักเขียนชื่อดังชาวฝรั่งเศสผู้นี้กลับไม่คิดแบบนั้น เขาลุกขึ้นสู้และเขียนหนังสือขายดีออกมาได้ ถึงแม้เขาจะสามารถทำได้แค่กระพริบตาข้างซ้ายเท่านั้น วันที่ 8 ธันวาคมปี 1995 Jean-Dominique ชายวัย 43 ปี บรรณาธิการของนิตยสารชื่อดังอย่าง ELLE ถูกหามตัวส่งโรงพยาบาลด้วยการการเส้นเลือดในสมองแตก เขาสลบไปนานถึง 20 วัน หลังจากตื่นขึ้นมาเขาพบว่าตัวเองอยู่ในอาการอัมพาตทั้งตัวหรือที่เรียกว่า Locked-in syndrome ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างมาก แต่ตอนนี้นักเขียนและบรรณาธิการชาวฝรั่งเศสผู้นี้กลับต้องใช้ชีวิตอยู่บนเตียงผู้ป่วย ในตอนนี้ร่างกายของเขาเหลือเพียงแค่การรับรู้ และสามารถโต้ตอบด้วยการกระพริบตาเท่านั้น ในสถาณการณ์ที่ชีวิตต้องอยู่ในจุดที่ต่ำสุด สิ่งต่างๆ ที่เคยทำได้กลายเป็นแค่เพียงอดีต ในตอนนี้บางคนอาจจะตัดสินใจที่จะขอยอมแพ้และไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่สำหรับชายวัย 43 ปีผู้นี้กลับไม่ใช่แบบนั้น เขาตัดสินใจที่จะเขียนเล่าเรื่องราวของตัวเอง!! หนังสือ The Diving Bell and the Butterfly หรือ ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ งานเขียนจากนักเขียนผู้เป็นอัมพาตทั้งตัว หลังจากที่เริ่มเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดในหัวของตัวเอง Jean-Dominique ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเขาผ่านการกระพริบตาเพื่อสื่อสารกับคนเขียน โดยให้คนท่องชุดตัวอักษรที่เรียงตามความถี่ในการใช้ในภาษาฝรั่งเศส และ Jean-Dominique จะกระพริบตาเมื่อถึงตัวอักษรที่เขาต้องการ หนังสือเล่มนี้เปรียบเหมือนแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย มันทำให้คนที่หมดหวังและท้อแท้กล้าที่จะหลุดออกจากชุดประดาน้ำและกลายเป็นผีเสื้อ…
-
นักวิทย์ NASA แนะนำปลูกสับปะรดไว้ในห้องนอน ช่วยลดอาการ ‘กรน’ และช่วยให้หลับสบายขึ้น!!
ปัญหาการนอนกรนอาจจะเป็นหนึ่งในปัญหาสำหรับใครหลายๆ คน และแน่นอนว่าคนที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นคู่นอนของคุณนั่นเอง!! บางคนอาจจะพยายามหาหนทางในการแก้ปัญหาการนอนกรนนี้ไม่ว่าจะเป็นการไปพบแพทย์ หรือการใช้ยาแผนโบราณ แต่สำหรับใครที่ไม่มีเวลาไปพบแพทย์หรือมีเงินไม่พอที่จะหาน้ำมันสกัดจากเขากวางแม่ลูกอ่อนที่เป็นโรคเก๊ามาทานล่ะก็ วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยลดอาการกรนและช่วยเรื่องการหายใจระหว่างนอนหลับจากนักวิทยาศาสตร์ขององค์การ NASA มาฝากกัน!! วิธีการแก้ปัญหาการนอนกรนนี้คุณสามารถทำเองที่บ้านได้ง่ายๆ และที่สำคัญยังมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากอีกด้วย โดยจากงานวิจัยพบว่าการปลูกต้นสับปะรดไว้ในห้องนอนนั้นจะช่วยลดเสียงกรนและทำให้การนอนหลับของคุณนั้นดีขึ้นอีกด้วย!! องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ NASA เจ้าของงานวิจัยชิ้นดังกล่าวเผยว่าต้นสับปะรดนั้นจะผลิตออกซิเจนออกมามากว่าพืชชนิดอื่นๆ ดังนั้นมันจึงมีส่วนช่วยในการนอนหลับและทำให้การนอนของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย โดยปรกติแล้วสับปะรดนั้นเป็นพืชที่เจริญเติบโตค่อนข้างช้า และมันจะใช้เวลามากถึง 21 ถึง 24 เดือนในการออกผลเล็กๆ บนส่วนยอด วิธีการปลูกสับปะรดในกระถางนั้นเราสามารถทำได้โดยการดึงจุกสับปะรดออก และนำใบตรงโคนจุกออกประมาณ 1-2 ใบ จากนั้นจึงนำไปแช่น้ำเพื่อให้รากออก โดยทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน ก่อนที่จะนำไปปลูกลงในกระถาง นอกจากนี้ยังมีพืชอื่นๆ อีกเช่นกันที่ทาง NASA ได้แนะนำให้ปลูกไว้ในห้องนอนเพื่อช่วยทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นหมากเหลือง (Areca Palm) ที่มีส่วนช่วยในการลดพิษ หรือ ปาล์มสิบสองปันนา (Dwarf Date Palm) ที่ช่วยกำจัดสารไซลีนที่ปะปนมากับอากาศได้อย่างดีอีกด้วย (อ่านข่าวเก่า NASA เผย 10 ต้นไม้ที่ควรปลูกไว้ในห้องนอน…
-
พาไปดูความหมายที่แท้จริงของ “โพธิ์ดำ โพธิ์แดง ข้าวหลามตัด ดอกจิก” บนไพ่ที่เราเล่นกัน
สำหรับใครที่ชื่นชอบการละเล่นบวกเลขบนไพ่คงจะคุ้นเคยกับสัญลักษณ์ทั้ง 4 อย่างดอกจิก ข้าวหลามตัด โพธิ์แดง และโพธิ์ดำ แต่เพื่อนๆ รู้กันไหมว่าเจ้าสัญลักษณ์ทั้ง 4 นี้เองก็มีที่มาที่ไปเหมือนกันนะ!! เกมไพ่นั้นถือเป็นหนึ่งในของเล่นโบราณที่ได้รัความนิยมอย่างมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีการเล่นมากมายในพื้นที่แถบยุโรปจนกระทั่งแพร่หลายมายังแถบเอเชียอย่างประเทศจีน สัญลักษณ์ไพ่ดั้งเดิมนั้นเริ่มต้นจากชุดไพ่แบบละตินที่มีการใช้สัญลักษณ์ของถ้วย เหรียญ กระบอง และดาบในการแบ่งระดับของไพ่ ซึ่งจากข้อมูลพบว่ามีการเริ่มใช้สัญลักษณ์เหล่านี้ตั้งแต่ปี 1370 เลยทีเดียว ชุดไพ่แบบละติน ชุดไพ่ดั้งเดิมพร้อมกับสัญลักษณ์ถ้วย เหรียญ กระบอง และดาบ ต่อจากนั้นสัญลักษณ์ทั้ง 4 นั้นก็ได้มีการพัฒนาไปเรื่อยๆ แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ อย่างเช่นในเยอรมนีก็ใช้สัญลักษณ์หัวใจ กระดิ่ง ลูกโอ๊ก และใบไม้แทนสัญลักษณ์ในชุดไพ่แบบละติน หรือชุดไพ่แบบฝรั่งเศสที่ใช้สัญลักษณ์ดอกจิก ข้าวหลามตัด โพธิ์แดง และโพธิ์ดำที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีในปัจจุบันนี้เอง!! ชุดไพ่แบบเยอรมันที่ดัดแปลงมาจากชุดไพ่ดั้งเดิมของละติน และนอกจากสัญลักษณ์เหล่านี้จะใช้ในการแบ่งระดับของไพ่แล้ว แต่ละใบยังมีความหมายซ่อนอยู่ภายในอีกด้วย ดอกจิก หรือ Club สัญลักษณ์ที่มีการดัดแปลงมาจากกระบองในชุดไพ่ของละติน ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าสัญลักษณ์นี้อาจหมายถึงเหล่าขุนนางนั่นเอง นอกจากจะรู้จักกันในชื่อของ Club แล้วในบางที่ยังเรียกไพ่ดอกจิกว่า trefoils อีกด้วย ซึ่งเจ้าไพ่ใบนี้เป็นสัญลักษณ์ของฤดูหนาว ฤดูใบไม้ร่วง กลางคืน…
-
7 ทางออกปัญหาชีวิตคู่ของญี่ปุ่น แหวกแนวไม่เหมือนที่ไหน จนประเทศอื่นตามไม่ทันแล้ว!!
เมื่อพูดถึงประเทศญี่ปุ่น เราก็มักจะมีหัวข้อต่างๆ มากมายที่หยิบมาพูดเกี่ยวกับประเทศนี้ได้ไม่รู้จบ ด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่จัดว่ามีความโดดเด่นอันดับต้นๆ ในหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมหรือเทคโนโลยี แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นนั้นแปลกกว่าใครและติดอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งนั่นก็คือปัญหาการฆ่าตัวตาย โดยญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายเป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งเหตุผลใหญ่ๆ ก็มักจะมาจากงานและชีวิตคู่ที่มีปัญหา และเมื่อชีวิตคู่มันมีปัญหา ชาวญี่ปุ่นก็ไม่มัวมานั่งคิดหาทางออกแค่ทางเดียว แต่ความหัวใสของพวกเขากลับทำให้เกิดทางออกใหม่ที่ต่อยอดเป็นธุรกิจได้สบายๆ และมันก็แหวกจนน่าสนใจเลยล่ะ เซ็กส์ดอล เซ็กส์ดอลหนึ่งในทางออกยอดฮิตของหนุ่มๆ ที่ล้มเหลวกับความรัก และมักจะเป็นตัวเลือกเป็นอันดับต้นๆ เพราะพวกเขาสามารถเลือกความสวยงามของตุ๊กตาเซ็กส์ดอลได้ตามที่ต้องการ และเธอก็ไม่ร้องขอหรือพูดอะไรกลับด้วย บริการเช่าสัตว์เลี้ยง อีกหนึ่งบริการที่คนเหงาในญี่ปุ่นมักเลือกใช้ เพราะการเลี้ยงสัตว์ในญี่ปุ่นจะต้องมีพื้นที่พอสมควร และบ้านส่วนใหญ่ก็มีพื้นที่ไม่มากพอ ฉะนั้นการเช่าเลี้ยงเพื่อคลายเหงาจึงเป็นอีกหนึ่งทางออกที่น่าสนใจ บริการกอดและคุยเป็นเพื่อน บริการนี้ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องความรักหรือชีวิตคู่ โดยจะเป็นการใช้บริการด้วยการจ่ายข้าวของมูลค่าสูงเป็นการแลกเปลี่ยน โดยบริการนี้มีชื่อเรียกว่า 援助交際 หรือ enjo-kōsai แฟนเสมือนจริง ปัจจุบันเทคโนโลยีเสมือนจริงนั้นมีความก้าวหน้ามาก ฉะนั้นการที่จะเกิดแฟนเสมือนจริงจึงไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่ออีกต่อไป โดยหนุ่มโสดมักจะเลือกใช้วิธีนี้สร้างแฟนในโลกเสมือนจริงผ่าน VR ซึ่งสามารถพาไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ตามแต่ต้องการ โฮสต์คลับ ไม่ใช่เฉพาะหนุ่มๆ เท่านั้นที่ประสบปัญหาความรักจนต้องหาตัวช่วยอื่นๆ สาวๆ ก็เช่นกันเพราะบางครั้งพวกเธอก็เลือกใช้บริการโฮสต์คลับที่ให้บริการเหมือนแฟนจริงๆ แถมยังเป็นหนุ่มหล่ออีก ซึ่งมันก็สามารถคลายปัญหาดังกล่าวได้ส่วนหนึ่งนั่นเอง บริการครอบครัวจำลองเพื่อฝึกฝนการมีครอบครัว คุณฟังไม่ผิดหรอก มันมีบริการนี้จริงๆ โดยบริการดังกล่าวจะให้ผู้ใช้บริการสามารถเช่าสามี…
-
13 สายพันธุ์แมลงแปลกๆ แต่งดงาม ที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ขึ้นมา จนเรายังหลงรัก…
ในโลกนี้เต็มไปด้วยสัตว์หลากหลายสายพันธุ์ ทั้งงดงาม ทั้งแปลก และน่าหลงใหล ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการสร้างสรรค์ขึ้นตามธรรมชาติ อย่างแมลงแปลกๆ เหล่านี้ที่มีควางดงาม และถือเป็นสัตว์หายากที่เราหลายคนอาจไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตนี้ 1. หนอนแก้ว อัญมณี หนอนแก้ว อัญมณีมีรูปร่างกึ่งโปร่งแสง มีปุ่มเป็นกรวยแหลมเรียงรายทั่วทั้งร่าง แต่ละปุ่มจะมีจุดสีส้มอยู่ภายใน ที่ดูคล้ายกับเครื่องประดับอัญมณี พบได้ในอเมริกากลาง อเมริกาใต้ และแคริบเบียน 2. ผีเสื้อปีกแก้ว ผีเสื้อปีกแก้วอาศัยอยู่ในอเมริกากลางและใต้เช่นกัน ปีกของมันจะไม่มีสีสันสดใสเหมือนที่พบในผีเสื้อทั่วไป ลักษณะดังกล่าวนี้ช่วยให้มันได้เปรียบในเรื่องการพรางตัว 3. ไหม ไหมเป็นหนึ่งในแมลงที่มีความสำคัญอย่างมากและเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผีเสื้อ เนื่องจากตัวอ่อนของไหมถูกนำมาผลิตเป็นผ้าไหมมานานนับพันปีแล้ว ไหมไม่สามารถบินหรือกินได้ แต่มันจะพึ่งพาและเอาตัวรอดจากสิ่งที่ตัวอ่อนกิน สามารถพบได้ในประเทศจีน เอเชียตะวันออก และทางใต้ของเขตปกครอง Primorsky ในประเทศรัสเซีย 4. ด้วงเต่าทอง ด้วงเต่าทอง จะเป็นสีแดงอมน้ำตาลและมีจุดดำอยู่ตามตัวและปีก ส่วนใหญ่แล้วมันจะกินใบมันฝรั่งเป็นอาหาร มันสามารถพบได้ทั่วไปในอเมริกา แต่ยังเป็นที่สงสัยว่าสีสันที่สวยงามของมันนั้นมาจากไหน 5. ตั๊กแตนกล้วยไม้สีชมพู ตั๊กแตนกล้วยไม้สีชมพูถือเป็นสัตว์ที่มีความเป็นเลิศในด้านการพรางตัว ซึ่งสามารถพบได้ในป่าเขตร้อนของอินโดนีเซียและอินเดีย มันเป็นแมลงที่สามารถเปลี่ยนสีตัวเองให้กลมกลืนกับดอกกล้วยไม้จนคุณแทบแยกไม่ออกเลยหล่ะ ส่วนอาหารของมันคือแมลงชนิดอื่นๆ และคาดว่าน่าจะกินเกสรดอกไม้ด้วย…
-
คลายข้อสงสัยจากผู้เชี่ยวชาญ มีเซ็กส์บ่อยๆ ทำให้ “น้องจิ๋มไม่กระชับ” จริงหรือไม่???
เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่สาวๆ ทั้งหลายจะต้องทำความเข้าใจอย่างละเอียด กับคำถามที่เราต่างสงสัยกันมานานแสนนานว่า “ถ้ามีเซ็กส์บ่อยๆ จะทำให้จิ๋มหลวมหรือเปล่านะ??” ซึ่งคำถามนี้จะไปถามใครก็ดูจะน่าอายไปหน่อย แถมยังเป็นปัญหากวนใจทำให้เวลามีเซ็กส์ทีไรไม่มั่นใจทุกที Dr.Michelle Metz สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องของผู้หญิงจึงได้ออกมาให้ความรู้กับสาวๆ ทุกคน เราไปอ่านพร้อมๆ กันเลยดีกว่า ย้อนกลับไปตอนที่เราเป็นเด็กน้อยวัยใสไร้เดียงสา เราอาจจะคิดว่าคงไม่สิ่งแปลกปลอมใดๆ สามารถเข้าไปในน้องจิ๋มของเราได้ แต่เมื่อโตขึ้นมาก็ได้เรียนรู้ว่า น้องจิ๋มของเราเนี่ยมีความมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก ซึ่งน้องสามารถเป็นทางผ่านตั้งแต่อวัยวะเพศ อุปกรณ์อื่นๆ ยันเบบี๋เลยล่ะ จากคำถามที่ว่า “ถ้ามีเซ็กส์บ่อยๆ จะทำให้จิ๋มหลวมหรือเปล่านะ??” Dr.Michelle ก็ได้ออกมาให้ออกมาให้คำตอบว่าเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง ทั้งใช่และไม่ใช่ ช่องคลอดนั้นเป็นกล้ามเนื้อที่มีความยืดหยุ่นสูงมากสามารถยืดได้สูงสุดเมื่อคลอดลูกซึ่งลักษณะที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา และในขณะที่มีเซ็กส์ กล้ามเนื้อช่องคลอดจะยืดออกเพื่อรองรับขนาดที่แตกต่างของอวัยวะเพศชายที่เข้ามาเพื่อไม่ให้จิ๋มเกิดอาการบาดเจ็บจนเกินไป แต่ถ้าหากว่าช่องคลอดของคุณเกิดการขยายตัวเร็วไปนิดหนึ่งก็อาจจะทำให้เจ็บจนน้ำตาซึมเลยก็ได้ ของแบบนี้มันต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป และช่องคลอดมันจะหดตัวกลับก็ต่อเมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมหรือห่างหายจากการมีเซ็กส์ไปช่วงระยะหนึ่ง แปลว่าการที่คุณมีเซ็กส์บ่อยหรือเปลี่ยนคู่นอนที่มีขนาดอวัยวะเพศต่างกัน ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าจะทำให้จิ๋มหลวมแต่อย่างใด แต่กล้ามเนื้อส่วนนี้ก็ย่อมมีการเสื่อมสภาพนิดหน่อยหากว่าใช้งานอย่างหนักหน่วงเกินไป “ตอนที่เยื่อพรหมจารีของเราฉีกขาดจากการมีเซ็กส์ครั้งแรกและมีเลือดออกเล็กน้อย นั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายของกล้ามเนื้อช่องคลอด” Dr. Michelle กล่าว นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญก็ยังบอกไว้อีกว่า สาวๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องจิ๋มฟิตหรือไม่ฟิต ความกว้างของช่องคลอดในแต่ละคนนั้นก็แตกต่างกันไป มันก็อาจจะมีบ้างที่กล้ามเนื้อส่วนนั้นเสื่อมสภาพ แต่ว่าสาวๆ ไม่ต้องเป็นกังวล มันเป็นเรื่องที่ปกติมากๆ…
-
อดีตทหารหญิงของกองกำลังเกาหลีเหนือ เปิดเผยชีวิตแสนลำบาก เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น!!
ประเทศเกาหลีเหนือเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ นั่นจึงหมายความว่ารัฐบาลเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดไว้ในมือ ดังนั้นการจะปกปิดข่าวอะไรบางอย่างจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร และยิ่งถ้าเป็นข่าวเกี่ยวกับกองทัพแล้วล่ะก็แน่นอนว่า นั่นคือความลับสุดยอดของพวกเขาเลย แต่ว่าในวันนี้ ได้มีอดีตทหารหญิงของกองกำลังเกาหลีเหนือคนหนึ่งได้ออกมาเปิดเผยความจริงที่ว่า ทหารหญิงที่อยู่ในกองทัพเกาหลีเหนือมีชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนจะเลวร้ายเสมือนกับการตกนรกบนดินเลยก็ว่าได้ ผู้หญิงหลายคนตัดสินใจเข้าร่วมกับกองทัพตั้งแต่ยังเป็นสาว Lee So Yeon อาสาสมัครเข้าไปรับใช้กองทัพตั้งแต่อายุ 17 ปีเพื่อแสดงความรักต่อชาติ และตามรอยสมาชิกของครอบครัวของเธอที่ได้รับใช้ชาติอยู่ก่อนแล้ว สำหรับประโยชน์ที่ทางรัฐบาลใช้จูงใจให้ครอบครัวต่างๆ พากันมาเป็นทหารก็คือ การรับรองว่าจะมีอาหารให้กินอย่างแน่นอน เนื่องจากในยุค 1990-2000 ประเทศเกาหลีเหนือกำลังเผชิญกับภาวะอดอยากอย่างรุนแรง และนั่นจึงเป็นเหตุให้ผู้หญิงหลายพันคนตัดสินใจเข้าร่วมกับกองทัพเหมือนกับ So Yeon ฝึกให้มีความรักชาติ และเคารพในตัวท่านผู้นำ ระยะแรกๆ ที่เข้ากองทัพนั้น เธอก็บอกว่ารู้สึกสนุกกับการใช้ชีวิตการเป็นทหาร แต่แล้วเมื่อเวลาเวลาผ่านไปไม่นานด้วยการที่ประเทศเริ่มขาดแคลนอาหาร และการฝึกที่หนักเริ่มส่งผลที่ไม่ดีต่อตัวเธอและเพื่อนร่วมกองทัพของเธอ “หลังจากเข้าร่วมกองทัพได้ 6 เดือนพวกเราก็ไม่สามารถมีประจำเดือนได้อีกต่อไป เพราะว่าขาดสารอาหารและอยู่ในสภาพที่แวดล้อมที่ตึงเครียดตลอดเวลา แต่ว่าก็มีทหารหญิงหลายคนที่รู้สึกดีใจที่ประจำเดือนหายไป เพราะพวกเธอคิดว่าหากยังมีอยู่คงจะลำบากกว่านี้เยอะ” So Yeon บอกถึงความลำบากในขณะนั้น ความเป็นอยู่ในกองทัพเต็มไปด้วยความลำบาก เธอยังได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า สิ่งที่ลำบากที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือพวกเธอไม่สามารถอาบน้ำหรือว่าทำความสะอาดใดๆ ได้เลยเพราะว่าท่อน้ำที่พวกเธอใช้นั้นต่อลงมาจากภูเขาซึ่งบางครั้งก็มีงูหรือว่ากบติดออกมาด้วย ถึงแม้ว่าผู้หญิงจะมีการฝึกที่ไม่ลำบากเท่าผู้ชาย แต่พวกเธอก็หวังที่จะได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่านี้ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับผู้ชายเพราะว่าพวกเขาได้รับอาหารอย่างเต็มที่และมีสุขอนามัยที่ดีกว่าพวกเธอแบบเทียบกันไม่ติด ระหว่างที่ So…
-
“โทรศัพท์เก่า” แต่ยังมีค่า นักวิทย์นำมาติดตั้งในป่า เพื่อป้องกันปัญหาลักลอบตัดไม้!?!?
ในปัจจุบัน พื้นที่ป่าบนโลกค่อยๆ ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดในทุกๆ ปี และสาเหตุสำคัญคือการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าอย่างหนักหน่วง แม้จะมีความพยายามป้องกันจากเจ้าหน้าที่รัฐและองค์กรต่างๆ แต่ด้วยพื้นที่ป่าที่กว้างขวาง จึงทำให้การป้องกันโดยสมบูรณ์เป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้เอง Topher White นักฟิสิกส์และวิศวกรคนนี้ จึงคิดค้นวิธีการป้องกันกลุ่มลักลอบตัดไม้ทำลายป่าอย่างผิดกฎหมาย ด้วยการนำโทรศัพท์เก่าๆ เข้าไปติดบนต้นไม้ใหญ่ เท่านี้เขาก็สามารถป้องกันการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าได้แล้ว เขาทำได้อย่างไร!? วิธีการของเขาก็ง่ายๆ เพียงแค่นำโทรศัพท์เก่าๆ เหล่านั้นมาติดตั้งแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์และไมโครโฟนคุณภาพสูงเข้าไป จากนั้นก็นำไปติดตั้งบนต้นไม้สูงๆ ด้วยการออกแบบอุปกรณ์ตามวิธีของเขานั้น ไมค์ของโทรศัพท์จะสามารถรับเสียงจากพื้นที่โดยรอบรัศมีประมาณ 1 กิโลเมตรได้ หากมีใครใช้เลื่อยไฟฟ้าเมื่อไหร่ เครื่องนี้ก็จะสามารถรับสัญญาณได้ทันที เขาบอกว่าการตัดไม้ในปัจจุบัน 50-90 เปอร์เซ็นเป็นการตัดไม้แบบผิดกฎหมายทั้งนั้น แต่การที่ให้มนุษย์มานั่งฟังว่า มีการใช้เลื่อยไฟฟ้าตรงไหน ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นการใช้เครื่องมือดังกล่าวจะทำให้สิ่งต่างๆ ง่ายดายขึ้นเยอะ แล้วใครล่ะจะเป็นคนนั่งฟังเสียงที่โทรศัพท์ดังจับมาได้ ก็ไม่ใช่มนุษย์อีกนั่นแหละ (ใครมันจะมานั่งฟังเสียงเลื่อยไฟฟ้าทั้งวันทั้งคืน) เขาได้พัฒนาซอฟแวร์ขึ้นมาตรวจจับเสียงเลื่อยไฟฟ้า หากมีเสียงเกิดขึ้น เครื่องก็จะส่งสัญญาณและพิกัดไปยังโทรศัพท์มือถือของเจ้าหน้าที่ในทันที เขาได้ทำการทดลองบนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ผลปรากฎว่าเจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงตัวกลุ่มผู้ลักลอบตัดไม้ได้ทันท่วงที ความสำเร็จนั้นส่งผลไปยังประเทศอื่นๆ อย่างเช่นแคมเมอรูน เอกวาดอร์ และบราซิลได้นำเครื่องดังกล่าวไปทดลองใช้ด้วย …
-
ย้อนอดีตโศกนาฏกรรมเครื่องบิน Luada Air ตกเสียชีวิตทั้งลำ กับด้านมืดอันหดหู่ใจของคนไทย
เชื่อว่าเด็กๆ หลายคนยุคใหม่หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า ในประเทศไทยเคยเกิดโศกนาฎกรรมทางด้านการบินครั้งหนึ่งที่สร้างความสะเทือนใจให้แก่ผู้คนในยุคนั้นเป็นอย่างมาก และเป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นด้านมืดของคนไทยอันน่าหดหู่ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2534 เมื่อเที่ยวบินที่ NG004 ของสายการบิน Lauda Air จากประเทศออสเตรีย ที่เดินทางมาจากฮ่องกงด้วยเครื่องบิน Boeing B-767-3Z9ER เครื่องบินกำลังจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองไปยังท่าอากาศยานนานาชาติเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งภายในเครื่องบินลำนี้มีผู้โดยสารทั้งสิ้น 213 คนและลูกเรืออีก 10 คน หลังจากเครื่องบินขึ้นได้ไม่นานกัปตันชาวอเมริกัน Thomas J. Welch และผู้ช่วย Josef Thurner ชาวออสเตรียได้รับการสัญญาณภาพแจ้งเตือนว่า มีความผิดพลาดทางระบบที่อาจทำให้ระบบผันกลับแรงขับ (Thrust Reverser) ของเครื่องยนต์หมายเลข 1 แต่หลังจากตรวจสอบคู่มือแล้วพวกเขาตัดสินใจไม่ทำอะไร เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา สุดท้ายขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่เหนือบริเวณรอยต่อของจังหวัดอุทัยธานีกับจังหวัดสุพรรณบุรี ระบบผลักดันแรงขับที่เครื่องยนต์หมายเลข 1 ก็ทำงานขึ้นมากะทันหัน ทำให้เครื่องบินสูญเสียแรงยกจนฉีกแยกออกจากกันเป็นส่วนๆ กลางอากาศที่ความสูง 1,200 เมตร และตกที่บริเวณอุทยานแห่งชาติพุเตย จังหวัดสุพรรณบุรี ผลคือผู้โดยสารและลูกเรือทั้ง 223 คน รวมไปถึงกัปตันและนักบินผู้ช่วยเสียชีวิตทั้งหมดในทันที ทำให้อุบัติเหตุครั้งนี้ ถือว่าเป็นหายนะทางการเดินทางทางอากาศที่รุนแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย…
-
เอาใจคนรักธรรมชาติ รวมต้นไม้เล็กๆ น่ารัก 5 พันธุ์ที่คุณสามารถวางประดับห้องนอนได้
การปลูกต้นไม้นั้นอาจจะเป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่ชื่นชอบของหลายๆ คน เพราะนอกจากจะเป็นการได้ผ่อนคลายแล้ว บางครั้งต้นไม้เหล่านี้ยังช่วยมอบความสดชื่นให้กับบ้านของเราอีกด้วย และสำหรับใครที่ชื่นชอบการปลูกต้นไม้ จนอยากจะให้พื้นที่สีเขียวติดตามคุณไปทุกที่รวมถึงในห้องนอนด้วยล่ะก็ เรามีพันธุ์ไม้ที่น่าสนใจและดูแลง่ายมาฝากกัน คลาสซูล่า ลักษณะ ต้นไม้ต้นเล็กๆ ที่มาพร้อมกับใบอันอวบอ้วนสุดน่ารัก คุณสามรถปลูกไว้ในห้องนอนหรือโต๊ะทำงานของคุณก็ได้ นอกจากความสวยงามแล้ว มันยังดูแลง่ายและมีความอึดเหมาะสำหรับอากาศบ้านเราอีกด้วยนะ!! การดูแลรักษา คลาซูล่านั้นเป็นพืชชอบแสงแดด ดังนั้นคุณควรวางเค้าไว้ใกล้ๆ กับหน้าต่าง หรือที่มีแสงแดดส่องถึง และควรรดน้ำอย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง และอย่าลืมรองกระถางด้วยวัสดุอุ้มน้ำอีกด้วยล่ะ ลิ้นมังกร ลักษณะ หนึ่งในพืชที่มีความอดทนสูงและดูแลง่ายอีกชนิดหนึ่ง ถ้าหากว่าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ขี้ลืมหรือไม่ค่อยมีเวลาดูแลต้นไม้ล่ะก็เราขอแนะนำเจ้าลิ้นมังกรเลย การดูแลรักษา ถึงแม้ว่าจะเป็นพืชที่มีความทนทาน แต่คุณก็ควรดูแลและไม่ควรรดน้ำพวกเค้ามากเกินไป และเพื่อความสวยงามคุณควรหมั่นตรวจดูที่ใบของเจ้าต้นไม้พันธุ์นี้ด้วย เพราะเมื่อไหร่ก็ตามถ้าหากมันได้รับน้ำและความชื้นในอากาศไม่เพียงพอ จะทำให้แผ่นใบไม่สดใสสวยงาม พลูด่าง ลักษณะ พืชอีกหนึ่งชนิดที่มีความสวยงามและดูแลค่อนข้างง่าย ความสวยงามของพลูด่างนั้นอยู่ที่ใบและพุ่มของพวกมันนั่นเอง นอกจากนี้พลูด่างยังใช้ดูดสารพิษอย่างแอมโมเนียได้อีกด้วยนะ การดูแลรักษา การปลูกพลูต่างนั้นอาจจะใช้ภาชนะที่หาได้ง่ายๆ และอาจจะปลูกโดยใช้น้ำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามอย่าลืมละเลยเรื่องแสงแดดล่ะ เพราะว่าพืชชนิดนี้ค่อนข้างที่จะชอบแสงแดดมากเลยทีเดียวล่ะ ปราสาทนางฟ้า ลักษณะ นี่คือต้นกระบองเพชรที่มีลักษณะคล้ายกับปราสาท และด้วยลักษณะที่ตั้งตรงของมันและดอกสีเหลืองสดนั้นก็เป็นที่ดึงดูดใจ และน่านำไปประดับห้องไม่น้อยเลยทีเดียว การปลูก การดูแลเจ้ากระบองเพชรสายพันธุ์นี้ก็เหมือนกับการดูแลต้นกระบองเพชรสายพันธุ์อื่นๆ และอย่างที่ทราบกันดีว่าต้นกระบองเพชรนั้นเป็นพืชที่ไม่ค่อยชอบน้ำดังนั้นไม่ควรรดน้ำมากเกินไปจนน้ำขังหรือแฉะเพราะอาจจะทำให้รากเน่าได้ เจอราเนียม…
-
13 ภาพความผูกพันธ์และเรื่องราวระหว่างพี่สาว-น้องสาว ที่แตกต่างกันออกไป
ผู้หญิงคนไหนที่มีพี่สาวหรือน้องสาวก็จะเข้าใจได้ดีถึงความละเอียดอ่อนในเรื่องความสัมพันธ์ของตนเองกับพี่น้อง การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กเต็มไปด้วยความรู้สึกร่วมกันหลายๆ อย่างทั้งความเชื่อใจ การแข่งขัน ความรัก ความเข้าใจกัน และอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนั้นก็ทำให้พี่น้องของแต่ละครอบครัวมีความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันไป ความสัมพันธ์ในลักษณะนั้นเราสามารถรู้สึกผ่านเรื่องราวของพี่สาวน้องสาวเหล่านี้ ที่ถูกบันทึกลงไปในหนังสือที่ชื่อว่า Sisters จากฝีมือของนักเขียน Emma Finamore และช่างภาพ Sophie Harris-Taylor ที่ได้ถ่ายทอดความสัมพันธ์ของพวกเธอผ่านบทสัมภาษณ์และรูปภาพที่สะท้อนให้เห็นในหลายๆ อย่าง ว่าแล้วก็ชวนให้พวกเราทุกคนไปได้รับรู้ความสัมพันธ์เหล่านั้นร่วมกันเลย Anna (อายุ 28 ปี) และ Kate (อายุ 37 ปี) พวกเธออยู่ห่างออกไปกันในคนละประเทศ Kate อยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ Anna อยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ การเติบโตของทั้งสองแตกต่างกันมากเพราะคนน้องเป็นที่รักของคนในสังคมและสนิทกับคนในครอบครัว ขณะเดียวกันคนพี่กลับเป็นเหมือนแกะดำภายในบ้านและชอบอยู่ตัวคนเดียว Kate พูดถึงน้องสาวเธอว่า “ฉันรู้สึกอิจฉาเธอแต่ไม่ได้รู้สึกในแง่ลบนะ ฉันคิดว่าเธอเป็นคนตลกและมีความสามารถ เป็นคนสวย ฉันอิจฉาที่เธอสูงกว่าและมีกระมากกว่า” Anna เองก็รู้สึกแบบเดียวกับพี่ของเธอ “ฉันอิจฉาพี่สาวที่ดูดีกว่าฉัน มีพรสวรรค์มากกว่า เธอเป็นคนฉลาดและประสบความสำเร็จมากกว่าใครในครอบครัว” Anne (อายุ 62 ปี) และ…
-
8 เหตุผลเพื่ออธิบายทฤษฎี ‘กระเพาะหลุมดำ’ ทำไมถึงรู้สึกหิวและหยุดกินไม่ได้ซักที
เพื่อนๆ หลายคนอาจเคยมีอาการที่เรียกว่า “กระเพาะหลุมดำ” ทำให้เรารู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลา อยากกินโน่นกินนี่ไปซะหมด เห็นของกินแล้วมันก็อดไม่ได้จริงๆ แล้วอยากรู้กันบ้างมั้ยว่าทำไมเราถึงได้มีอาการแบบนั้น? ถ้าอยากรู้ก็ต้องลองเลื่อนลงไปอ่านดู เพราะวันนี้ #เหมียวตะปู จะพาเพื่อนๆ ไปพบกับเหตุผลว่าทำไมเราถึงได้หิวอยู่ตลอดเวลากับ “8 เหตุผลที่ทำให้คุณรู้สึกหิวและไม่อาจหยุดกินได้” อย่ารอช้าไปดูกันเลย นอนดึกเกินไป การนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอในตอนกลางคืนเป็นสิ่งที่ทำให้ฮอร์โมนเกรลินเพิ่มขึ้นจนเกิดความรู้สึกหิวขึ้นมา และลดฮอร์โมนเล็ปตินที่ทำให้เรารู้สึกอิ่ม นอกจากนั้นยังเป็นตัวกระตุ้นสารเคมีในเลือดของเราจนทำให้ต้องการกินโน่นกินนี่อยู่เรื่อยๆ ซึ่งอาการเดียวกันนี้สามารถเจอได้ในกัญชา จากการศึกษาพบว่าผู้ที่นอนเพียง 4 ชั่วโมงจะไม่สามารถหยุดกินจุกจิกได้แม้จะกินอาหารมื้อหนักไปแล้วก็ตาม เพราะฉะนั้นเราจึงควรนอนให้ได้ 7-9 ชั่วโมง เพื่อหยุดพฤติกรรมการกินและช่วยลดน้ำหนักของเราในขณะที่หลับได้ดี ลักษณะของการกินอาหารเช้า การรับประทานอาหารเช้าที่มีโปรตีนต่ำหรือการไม่กินอาหารเช้า ทั้งสองอย่างนี้จะทำให้คุณไม่สามารถควบคุมความหิวของตัวเองได้ จากการศึกษาเมื่อนำคนในลักษณะนั้นมาเปรียบเทียบกับคนที่ทานอาหารเช้าที่มีโปรตีนสูงพบว่า คนในกลุ่มที่สองสามารถควบคุมแรงจูงใจในการกินของตัวเองได้ดีกว่า กินแต่อาหารไขมันต่ำหรือไม่มีไขมัน การกินอาหารแบบนั้นเป็นเรื่องที่ดีที่่ช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัว แต่เราควรกินมันเข้าไปบ้างเพื่อให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม เพราะไขมันก็เหมือนกับโปรตีนหรือไฟเบอร์ที่ช่วยทำให้เรารู้สึกอิ่มได้จริงๆ โดยเราสามารถกินไขมันดีได้ในน้ำมันมะกอก ถั่ว หรือพวกอาโวคาโด น้ำคือสิ่งจำเป็น จากการศึกษาพบว่าการดื่มน้ำมากกว่า 3 แก้วต่อวันสามารถช่วยลดแคลอรี่ลงไปได้มากถึง 205 แคลอรี่ และในความเป็นจริงความรู้สึกหิวของเราอาจมาจากความกระหายน้ำก็ได้ ดังนั้นเราควรจิบหรือดื่มน้ำอยู่เสมอเพื่อให้ร่างกายของเราไม่ขาดน้ำ เครียดกับสิ่งเล็กๆ…
-
13 เคล็ดลับ “ถ่ายรูปด้วยสมาร์ทโฟน” ด้วยเทคนิคง่ายๆ แต่ได้ภาพสวยระดับมืออาชีพ…
สำหรับคนที่ต้องใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพอยู่เป็นประจำ ก็คงอยากจะได้ทริคเสริมดีๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวก และความแปลกใหม่ให้กับภายถ่ายมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริมอะไรมากมายให้ยุ่งยากและสิ้นเปลือง วันนี้ก็มี 13 เคล็ดลับถ่ายภาพในโทรศัพท์มือถือ มาฝากเพื่อนๆ ชาวเว็บกันค่ะ สร้างสไตล์แปลกใหม่ ให้รูปภาพของคุณดูแหวกแนวไม่ซ้ำใคร จะมีเคล็ดลับอะไรบ้างนั้น เราไปชมกันเลยค่ะ 1. กดชัตเตอร์บนปุ่มหูฟัง ตัวกดเพิ่มเสียงที่มาพร้อมกับหูฟังก็สามารถใช้เป็นปุ่มชัตเตอร์ได้เหมือนกันนะคะ แค่เชื่อมต่อหูฟังเข้ากับโทรศัพท์มือถือ เข้าใช้งานกล้องแล้วกดที่ปุ่ม “+” เพียงเท่านี้ก็ถ่ายรูปเราได้ง่ายๆ แล้วค่ะ 2. ขาตั้งกล้อง ขาตั้งกล้อง DIY ทำง่ายๆ ด้วยกระดาษแข็งหรือพลาสติกที่ไม่ได้ใช้ ดัดงอให้เป็นรูปฟันปลา เท่านี้เราก็จะได้ถ่ายภาพรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ แล้วค่า 3. ถ่ายภาพแฝดจากพาโนรามา เข้าที่โหมดพาโนรามา เริ่มถ่ายนางแบบจากมุมแรกก่อน และให้กล้องแพลนไปอย่างช้าๆ จังหวะที่นางแบบเปลี่ยนมุมไปแล้ว ให้กล้องหยุดอยู่กับที่สักพักนึง จากนั้นค่อยแพนกล้องไปยังนางแบบอีกรอบ 4. โลกใบเล็กในมือถือเรา หากใครที่อยากได้ภายพถ่ายแบบทรงกลม ลองโหลดแอพพลิเคชั่น RollWorld มาใช้กันดูนะคะ เปลี่ยนภาพสีเหลี่ยมธรรมดาๆ ให้กลายเป็นโลกกลมๆ ในมือถือของเรา . 5. ถ่ายภาพใต้น้ำ ใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพใต้น้ำดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว วิธีแรกมือถือใส่ลงไปในแก้วใส่ กดถ่ายภาพผ่านหูฟัง ส่วนวิธีที่สอง นำมือถือห่อในถุงยางอนามัย แค่นี้ก็ป้องกันไม่ให้น้ำซึมผ่านเข้ามาได้แล้วค่ะ…
-
4 เหตุผลยืนยันว่า ภาษาจีนนั้นสำคัญ ถึงขั้นเศรษฐีและราชวงศ์อังกฤษ สอนเด็กๆ ให้เรียนแล้ว!!
ความรู้ในภาษาที่สองเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพในยุคนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าภาษาอังกฤษอย่างเดียวจะไม่เพียงพอเสียเเล้ว ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ในด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยชาวต่างชาติที่เดินทางมาเยือนมากที่สุดและมีกำลังซื้อมากที่สุดเห็นจะเป็นประเทศจีน และเป็นประเทศที่คนส่วนใหญ่มักไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ในปัจจุบันต่างประเทศเริ่มตื่นตัวและส่งเสริมลูกหลานให้เรียนภาษาจีนกลาง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นภาษาที่นิยมใช้เป็นอันดับหนึ่งของโลก ไม่เว้นแม้แต่ตระกูลเศรษฐีหรือราชวงศ์ที่ผลักดันให้ลูกหลานของพวกเขาเรียนภาษาจีนกลางตั้งแต่เล็กๆ 1. Jeff และ MacKenzie Bezos Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon และ MacKenzie ภรรยาของเขา ซึ่งมีลูกทั้งหมด 4 คน ทดลองหลักสูตรหลายวิชาเพื่อการศึกษาของลูกๆ ของพวกเขา Mackenzie กล่าวกับนิตยสาร Vogue ว่า “เราพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่าง รวมไปถึงการท่องเที่ยวนอกฤดูการ การทดลองวิทยาศาสตร์ในห้องครัว การฟักไข่ เรียนภาษาจีน เรียนคณิตศาสตร์หลักสูตรของสิงคโปร์ รวมทั้งสโมสรและการกีฬาต่างๆ กับเด็กในละแวกอื่น ๆ” 2. Mark Zuckerberg และ Priscilla Chan Mark Zuckerberg ผู้บริหารสูงสุดของเฟซบุ๊กและภรรยาของเขา Priscilla Chan ที่เป็นลูกสาวของผู้ลี้ภัยชาวจีน ซึ่งแน่นอนว่าเธอพูดภาษาจีนกวางตุ้งได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งคู่แนะนำภาษาจีนกลางกับ…
-
10 ภาพลวงตาระดับกวาดรางวัล ลองพิสูจน์ด้วยตาของคุณเองว่าจะลวงแค่ไหน!!
หากพูดถึงภาพลวงตาต่างๆ หลายคนอาจจะเคยเห็นกันมาแล้วจำนวนมากซึ่งหลายภาพนั้นอาจทำให้คนดูนั้นเกิดความสับสนว่า รูปภาพมันขยับได้เองหรือหรือว่าสมองของเขาเห็นขยับอยู่นะ แต่ถ้าอันนั้นยังไม่ยากมาลองดูภาพลวงตาเหล่านี้กันดีกว่า เพราะว่านี่คือ 10 ภาพลวงตาที่ได้รางวัลมาจากการประกวดภาพลวงตาอันทรงเกียรติที่ได้จัดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2005 1. ภาพหีบลวงตา ที่เข้ารอบสุดท้ายในปี 2007 ภาพหีบลวงตานี้มีวงกลมอยู่ถึง 16 จุดที่จะซ่อนอยู่ในครั้งแรกที่เห็น ซึ่งมันทำให้เรามองไม่เห็นโดยใช้รูปทรงแบบเส้นตรงปิดบังเอาไว้ ซึ่งภาพลวงตาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นจากการที่สมองมีชุดความคิดที่ว่าภาพนี้มีมุมและเป็นทรงเหลี่ยมนั่นเอง 2. ภาพงูหมุนหมุนทวนเข็มนาฬิกา ที่เข้ารอบสุดท้ายในปี 2005 หากลองจ้องดูดีๆ แล้วภาพนี้จะเหมือนวงล้อที่หมุนอยู่ตลอดเวลา แต่จริงๆ แล้วมันเป็นภาพนิ่งที่หยุดอยู่กับที่ โดยภาพงูที่เราเห็นมันขยับอยู่นั้นเกิดจากการที่ตาของเราขยับไปยังจุดต่างๆ ในภาพซึ่งจริงๆ แล้วในภาพไม่ได้มีอะไรขยับอยู่เลยนอกจากสายตาของคุณเอง 3. ตารางซ่อนคำ เข้ารอบสุดท้ายการประกวดในปี 2005 ลองเลือกจุดตรงกลางที่คิดว่าอยู่กึ่งกลางของภาพ แล้วลองจ้องมองดู 30 วินาทีคุณจะเห็นตารางเขียนเป็นคำว่า “heal” 4. หน้ากากแห่งความรัก เข้ารอบสุดท้ายในปี 2011 การหลอกตาประเภทนี้จะมีชื่อเรียกเฉพาะว่าเป็นแบบ bistable ซึ่งแต่ละคนจะมองเห็นภาพนี้ไม่เหมือนกันบางคนก็เห็นเพียงหน้าของคนๆ เดียวแต่บางคนก็เห็นเป็นใบหน้า 2 ใบหน้า 5.…
-
9 วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ในการเพิ่ม ‘ความมั่นใจ’ ให้กับตัวเราเองได้ง่ายๆ
ความมั่นใจในตัวเองเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคน เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้การใช้ชีวิตของเราสามารถดำเนินไปได้ดีกว่าเดิม ถึงอย่างนั้นหลายๆ คนก็ยังคงขาดสิ่งนี้ไปและไม่รู้ว่าควรสร้างหรือพัฒนาความมั่นใจของเราอย่างไร ในบทความนี้เราจึงมาพูดถึงวิธีการเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองที่ใครก็สามารถทำได้ เพื่อช่วยให้ทุกคนสามารถก้าวเดินต่อไปกันได้อย่างมีความสุขมากกว่าเดิม เพื่อนๆ ลองไปศึกษาดูกันเลย ท่านั่งและการมองขึ้นไปด้านบน การนั่งหลังตรงจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและลดฮอร์โมนคอร์ติซอลลง นั่นหมายความว่ามันทำให้เรามีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการติดรูปไว้บนฝาด้านตรงข้ามเพื่อให้เราได้เงยหน้ามองขึ้นไปสูงเหนือระดับสายตาเล็กน้อยก็ช่วยให้เกิดผลลัพธ์เดียวกันได้ เอามือเท้าเอวหรือเอาเท้าวางไว้บนโต๊ะ ประสานมือหนุนศีรษะ หลายคนเคยคิดว่าการเอามือเท้าเอวหรือนั่งแบบท่าทางนักเลงๆ อย่างการเอาเท้าวางไว้บนตัวแล้วประสานมือไว้หลังศีรษะ ท่าทางแบบนั้นต้องเป็นคนที่มีความมั่นใจเท่านั้นถึงจะทำได้ แต่ในความเป็นจริงสองท่านี้มีไว้ให้สำหรับคนทั่วๆ ไปเพิ่มความมั่นใจต่างหากละ . ผ่อนคลายและจริงใจกับตัวเราเอง สิ่งสำคัญที่จะทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้นก็คือการเห็นคุณค่าในตัวเราเอง แต่อย่าพยายามหลอกตัวเองว่าเราเป็นคนที่เพอร์เฟ็กต์ไปซะทุกเรื่อง จงยอมรับและเข้าใจในข้อผิดพลาดของตัวเองและมองว่าเราเองก็เป็นคนที่มีคุณค่า รักตัวเองให้เหมือนกับที่เรารักคนอื่นๆ ลบประโยค “นี่คือชีวิตของฉัน” และ “สิ่งนี้เกิดขึ้นกับฉันอยู่เสมอ” ออกไปจากหัว ความคิดแบบนั้นเป็นตัวที่ทำให้เรามองว่าตัวเองเป็นคนโชคร้ายหรือต้องเจอแต่เรื่องร้ายๆ อยู่คนเดียว ทำลายความมั่นใจของเราไปเรื่อยๆ ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย จงเปลี่ยนไปใช้ความคิดที่ว่า “สิ่งที่เราเจอเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนอยู่แล้ว” ขณะที่รู้สึกหวาดกลัว จงคิดถึงความตื่นเต้นของตัวเรา อย่าไปคิดถึงความวิตกกังวล ยกตัวอย่างเวลาที่เราออกไปพูดหน้าห้องประชุมแล้วรู้สึกกลัวหรือประหม่า ให้พยายามคิดว่าเรารู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ทำและอย่าคิดว่าเรากลัวหรือวิตกกังวล จงมองว่ามันเป็นเรื่องสนุกที่เราได้ออกมาทำในสิ่งนี้ หมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ การออกกำลังกายคือสิ่งที่ทุกคนทราบกันอยู่แล้วว่ามันดีต่อสุขภาพของเรา อีกทั้งมันยังช่วยให้เรามีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย มองหาสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น สิ่งเล็กๆ น้อยๆ…
-
จัดเต็ม 600 หลักสูตรออนไลน์เรียนฟรี จาก 200 มหาวิทยาลัยชื่อดัง รวมถึง Ivy League อีกด้วย!!
การเรียนรู้ไม่ได้มีการจำกัดพื้นที่แค่ในห้องเรียน ยิ่งเป็นสมัยนี้แล้วยิ่งสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆ ผ่านอินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับคอร์สออนไลน์ที่เรานำมาฝากในวันนี้ ใครที่ชอบค้นคว้าหาความรู้ต้องถูกใจมากๆ เพราะคุณจะสามารถเรียนคอร์สออนไลน์จากมหาวิทยาลัยดังๆ ได้แบบฟรีๆ กันเลย จากข้อมูลในปี 2014 พบว่านักศึกษาอเมริกันกว่า 5.8 ล้านคนจะลงทะเบียนเรียนคอร์สออนไลน์ที่เปิดให้เรียนฟรีกันอย่างน้อย 1 คอร์ส เพื่อเป็นการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมนอกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มหาวิทยาลัยดังๆ ระดับโลกหลายแห่งก็มีคอร์สออนไลน์ให้เรียนฟรีมากมาย คอร์สทั้ง 600 คอร์สมาจากกว่า 200 มหาวิทยาลัย ที่สำคัญคือมีคอร์สจากมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับ Ivy League (กลุ่มสถาบันระดับท็อปของสหรัฐอเมริกา) เปิดให้ผู้ที่สนใจได้เรียนฟรีอีกด้วย คอร์สเรียนฟรีจากมหาวิทยาลัย Ivy League มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (9 คอร์ส) ได้แก่ – The Climate-Energy Challenge – Modern Masterpieces of World Literature – Religion, Conflict and Peace – Ancient Masterpieces of World Literature – China Humanities:…
-
ถ้าคนอ้วนกินช็อกโกแลต 5 ครั้งต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันไม่ให้พวกเขาเกิดโรคหัวใจวายได้
ช็อกโกแลตเป็นสิ่งที่หลายคนเข้าใจว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกับคนอ้วนยิ่งไม่ควรไปกินมันเพราะจะทำให้อ้วนมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม แต่งานวิจัยนี้ได้ออกมาลบล้างความเชื่อนั้นไปเพราะผลลัพธ์ออกมาแล้วว่า ถ้าคนที่มีน้ำหนักเกินปกติกินช็อกโกแลต 5 ครั้งต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจวายได้ คนทั่วไปอาจทราบกันดีว่าคนที่มีน้ำหนักมากเกินไปมีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็น โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ (หรือเรียกว่า CAD) จนอาจเกิดภาวะหัวใจวายขึ้นมาได้ แต่งานวิจัยก็ได้ออกมายืนยันแล้วว่าช็อกโกแลตสามารถช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องนี้ได้ ผลลัพธ์ดังกล่าวเกิดจากงานวิจัยศูนย์การแพทย์ของโรงพยาบาลในบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ทำการศึกษากับทหารผ่านศึกจำนวน 148,465 คนที่มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 64 ปี โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ชาย ในตอนแรกผู้เข้ารับการวิจัยทุกคนไม่มีใครป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจเลย จากนั้นพวกเขาแต่ละคนก็ถูกแบ่งกลุ่มตามความถี่ในการกินช็อกโกแลตขนาด 28 กรัมต่อหนึ่งสัปดาห์ บางคนได้กิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ บางคนได้กิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือบางคนไม่ได้กินเลย ผ่านไป 2 ปีครึ่ง กลุ่มตัวอย่างจำนวน 4,065 คนมีอาการป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ และจากการวิเคราะห์พบว่าคนที่มีน้ำหนักมากเกินค่ามาตรฐานและรับประทานช็อกโกแลต 5 ครั้งต่อสัปดาห์แทบจะไม่มีความเสี่ยงในการเป็นโรคดังกล่าวเลย โดยเฉพาะกับคนที่บริโภคดาร์กช็อกโกแลต ผลลัพธ์อันน่าทึ่งนี้เชื่อว่าเกิดจากสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่มากในช็อกโกแล็ต จึงทำให้ลดคอเรสตอรอลที่ไม่ดีต่อร่างกายลงได้ทำให้ไม่เกิดปัญหาไขมันอุดตัน นอกจากนั้นสารประกอบ Flavanols ก็ช่วยลดความดันโลหิต ทำให้เลือดลมสูบฉีด และป้องกันสภาวะลิ่มเลือดได้อีกด้วย …
-
นักวิทย์ฯ คอนเฟิร์ม ‘ผู้หญิง’ ขับรถดีกว่าผู้ชาย มีแนวโน้มผิดพลาดน้อยเพราะไม่วอกแวก
ความเชื่อที่ว่าผู้ชายขับรถได้ดีกว่าผู้หญิง แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเพราะนักวิทยาศาสตร์ชาวนอร์เวย์ได้ออกมายืนยันแล้วว่าผู้หญิงสามารถขับรถได้ดีกว่าผู้ชายบางคนซะอีก งานวิจัยของพวกเขาเกิดขึ้นมาจากสถิติขององค์กรอนามัยโลก ได้ออกมาบอกว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนั่นก็คือการเสียสมาธิและความใจลอย นักวิทยาศาสตร์จึงทำการศึกษาว่าช่วงอายุ เพศ และบุคลิกภาพแบบไหนบ้างที่ส่งผลให้เกิดอาการใจลอยหรือถูกดึงดูดความสนใจจากสิ่งอื่นๆ ได้ง่าย การขาดสมาธิขณะขับขี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน กลุ่มตัวอย่างแรกของการศึกษานี้คือเด็กมัธยมปลายจำนวน 1,100 คน ซึ่งในจำนวนนั้นมีอยู่ 208 คนที่มีใบขับขี่แล้ว และอีกกลุ่มตัวอย่างเป็นเหล่าผู้ใช้รถใช้ถนนทั่วๆ ไป 414 คน จากนั้นได้มีการสอบถามเกี่ยวกับความถี่และรูปแบบที่ทำให้กลุ่มตัวอย่างเสียสมาธิในขณะขับรถว่ามีอะไรบ้าง รวมถึงทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อการเสียสมาธิหรือใจลอยในตอนขับรถ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการฟังวิทยุคือสิ่งที่ทำให้เสียสมาธิขณะขับรถมากที่สุด และเมื่อดูในเรื่องของเพศ ช่วงอายุ กับบุคลิกภาพแล้วพบว่า วัยรุ่นชายคือกลุ่มที่มีอาการเสียสมาธิและใจลอยตอนขับรถมากที่สุด กลุ่มอื่นๆ ที่มีแนวโน้มขาดสติขณะขับรถก็คือ คนที่ขับรถบ่อยๆ คนที่ใจร้อนหงุดหงิดง่าย และคนที่มีบุคลิกภาพชอบสนใจในสิ่งรอบข้าง ขับรถก็ต้องมองถนน จะมามองกล้องแบบนี้มันก็ไม่ได้ ผู้วิจัย Ole Johansson จากสถาบันเศรษฐศาสตร์การขนส่งอธิบายว่า “คนที่อยู่ในกลุ่มขาดสติระหว่างขับรถคือคนที่เชื่อว่าอาการใจลอยเป็นสิ่งที่ทุกคนในสังคมก็เป็นเหมือนๆ กัน อยู่นอกเหนือการควบคุมและคิดว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมสติของตัวเองเอาไว้ได้ ทำให้พวกเขามุ่งความสนใจไปกับสิ่งอื่นขณะขับรถนอกเหนือจากถนนด้านหน้า” ในขณะเดียวกันจากการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ใน Frontiers in Psychology บอกว่ากลุ่มผู้หญิงที่มีอายุนั้นให้ผลในทางตรงกันข้าม เพราะพวกเธอสามารถควบคุมสติของตัวเองไว้ได้อย่างดี ทำให้มีอาการเสียสมาธิและใจลอยที่น้อยมาก บางทีเราก็อาจกดดันสาวๆ มากเกินไปจนทำให้เธอขาดความมั่นใจในการขับรถ…
-
11 ทริคที่จะทำให้คุณไม่เลิกล้มความตั้งใจในการไปเข้ายิม หลังจากผ่านไป 1 เดือน
หลายคนอาจตั้งใจเอาไว้ว่าต้องไปเข้ายิมออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน แต่พอเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่บางคนก็รู้สึกขี้เกียจขึ้นมาซะแล้ว บางคนก็หาเวลาว่างไม่ได้ จากที่ตั้งใจเอาไว้ก็กลายเป็นล้มเหลวไปซะอย่างนั้น ครั้งนี้ #เหมียวขี้อ้อน ก็จะขอมาบอก 11 เคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เพื่อนๆ เลิกล้มความตั้งใจไปเข้ายิมหลังจากที่ผ่านไป 1 เดือน รับรองว่ามันจะต้องช่วยทำให้การเข้ายิมที่ผ่านมาไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน 11. อย่าคิดถึงจุดเริ่มต้น คุณอย่ากลัวที่จะเป็นแกะดำ เพราะทุกคนไม่ได้เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่สมบูรณ์แบบเสมอไป ผู้คนที่โรงยิมมักจะส่องกระจกอยู่เสมอ เพื่อตรวจสอบว่าพวกเขาออกกำลังกายได้ถูกต้องหรือไม่ มีจุดบกพร่องตรงไหน และมักจะเย้ยหยันคนที่มาใหม่ 10. ทำเหมือนว่ามันเป็นเกม การเข้ายิมจะไม่ล้มเหลวอีกต่อไปหากคุณทำเหมือนมันเป็นเกมๆ หนึ่ง เช่น ทำเครื่องหมายกากบาทสีแดงเวลาที่ไปออกกำลังกายลงบนปฏิทินอย่างต่อเนื่องทุกวันเท่าที่คุณจะสามารถทำได้ 9. ซื้อชุดออกกำลังกายสวยๆ นักวิจัยบางคนได้ออกมาอ้างว่า การสวมใส่ชุดออกกำลังกายสีแดง จะเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสให้เราประสบความสำเร็จได้ นี่เป็นเพียงสิ่งที่คุณต้องการเท่านั้น 8. พยายามหาโรงยิมที่ใกล้บ้านของคุณ วิธีนี้จะสามารถช่วยหลีกเลี่ยงการบ่ายเบี่ยงเวลาไปเข้ายิมได้ บางคนก็อ้างว่าเป็นเพราะสภาพอากาศเลยไม่สามารถไปได้ หรือบางคนก็อ้างว่าไม่มีรถบ้างล่ะ ถ้างั้นก็ไปวันพรุ่งนี้หรือวันมะรืนก็แล้วกัน 7. พยายามสร้างบรรยากาศ การฟังเพลงโปรดของคุณอาจส่งผลต่ออารมณ์ของคุณได้ แถมยังช่วยให้อารมณ์ดีอีกอีกด้วย ดังนั้น หากคุณมีอารมณ์ที่ดีมันก็จะช่วยส่งผลให้คุณประสบความสำเร็จได้ถึง 50% 6. สมัครสมาชิกเข้าฟิตเนตแบบ…
-
นักวิจัยค้นพบ “อัญมณีหายาก” เป็นเบาะแสว่าอาจจะมีมหาสมุทรที่ซ่อนลึกใต้ชั้นผิวโลกอยู่อีก!!
หลายๆ คนที่ชอบดูภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์อาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวของทฤษฎีที่ว่ามีทะเลอยู่ใต้พื้นโลกของเรา กันมาบ้างแน่ๆ และเมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการค้นพบ Ringwoodite แร่รัตนชาติชนิดหนึ่ง ที่อาจจะช่วยสนับสนุนทฤษฎีที่ว่านี้!! ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการค้นพบตัวอย่างแบบเต็มๆ ของเจ้าอัญมณีที่เป็นหนึ่งในรูปแบบของ Olivine แร่รัตนชาติสีเขียวมะกอก แต่การค้นพบก้อนเพชรสีน้ำตาลขนาด 3 มิลลิเมตรที่มีส่วนประกอบของ Ringwoodite ประมาณ 1.5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักและมีส่วนประกอบของน้ำอยู่ด้วย ก็สามารถช่วยสนับสนุนสมมติฐานเกี่ยวกับแหล่งน้ำอยู่ใต้ผิวโลกได้ ศาสตราจารย์ Graham Pearson ผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีจากมหาวิทยาลัย University of Alberta ผู้ค้นพบเพชรก้อนนี้ได้เผยแพร่ผลการศึกษาดังกล่าวใน Nature วารสารวิทยาศาสตร์ โดยพวกเขาคาดว่าแหล่งที่จะสามารถพบแร่นี้ได้จะต้องเป็นพื้นที่มีน้ำและอยู่ใต้ผิวโลก สมมติฐานดังกล่าวคาดว่าจะสามารถพบแร่ Ringwoodite ได้ในชั้น Transition Zone ที่อยู่ลึกประมาณ 410 ถึง 660 กิโลเมตรจากเปลือกโลก จากบทความของศาสตราจารย์ Pearson ที่ตีพิมพ์นั้นได้อธิบายว่ามีความเป็นไปได้ 2 อย่างที่ทำให้พบน้ำติดกับอัญมณีที่พบ โดยอย่างแรกก็คือความกดดันและปฏิกิริยาทางเคมีทำให้เกิดการสร้างน้ำขึ้นมา และสองในพื้นที่แห่งนั้นมีน้ำอยู่แล้ว และก้อนอัญมณีนี้ดูดน้ำเข้ามา “นี่เป็นอีกข้อเสนอหนึ่ง ringwoodite ที่เราค้นพบนั้นติดมากับก้อนเพชร และปริมาณน้ำที่อยู่ภายในนั้นเผยให้เห็นถึงสภาพโดยรอบของมัน” ศาสตราจารย์ Pearson เขียนไว้ในรายงานการวิจัยของเขา อย่างไรก็ตามข้อสันนิษฐานนี้ยังคงเป็นที่โต้แย้งของนักวิทยาศาสตร์ และบางคนที่ได้ออกมาโต้แย้ง พร้อมกับบอกว่าอันที่จริงแล้วไม่ได้มีมหาสมุทรอยู่ใต้พื้นโลกแต่อย่างใด ที่มา mymodernmet
-
9 เคล็ดลับอัพเกรดเสน่ห์ ให้คุณดูดีขึ้นในทันที ด้วยแนวทางจากวิทยาศาสตร์
สำหรับใครที่รู้สึกว่าตัวเองนั้นมักจะรับประทานแห้วอยู่บ่อยๆ จะไปจีบใครหรือแอบชอบใครก็ดูเหมือนจะเป็นอากาศธาตุอยู่ร่ำไป หรือไม่ค่อยจะเป็นที่สนใจของเพศตรงข้ามสักเท่าไหร่ล่ะก็ อย่าเพิ่งท้อใจไปเลยเพื่อนรัก!! วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ จากผู้เชี่ยวชาญที่จะทำให้คุณดูมีเสน่ห์เพิ่มมากขึ้นมาฝากกัน แถมยังเอาไปฝึกทำเพื่อบริหารเสน่ห์กันได้ง่ายๆ อีกด้วยนะเออ ไม่แน่… วันมาฆบูชาครั้งหน้าคุณอาจจะมีคู่ไปเวียนเทียนด้วยก็ได้นะ 1. ยิ้มให้บ่อยขึ้น จากงานวิจัยในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในปี 2014 เกี่ยวกับรอยยิ้มและความดึงดูดใจพบว่า ผู้ที่มีรอยยิ้มและดูสดใสร่าเริงนั้นจะมีแรงดึงดูดต่อเพศตรงข้ามมากกว่าคนที่เอาแต่ทำหน้าบึ้ง 2. ลองใส่เสื้อผ้าสีแดงดูสิ การศึกษาด้านจิตวิทยาที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการเมื่อปี 2010 เผยว่าผู้ที่สวมชุดสีแดงนั้นจะเป็นที่ดึงดูดใจของสาวๆ มากกว่าการสวมเสื้อผ้าสีอื่นๆ 3. สร้างเสียงหัวเราะให้คนอื่น ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Psychological Reports เผยว่าชายหนุ่มที่พูดคุยเรื่องตลกกับเพื่อนที่หน้าบาร์นั้นจะเป็นที่ดึงดูดของเหล่าสาวๆ ที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ และนอกจากนี้คุณยังมีโอกาสที่จะได้เบอร์ของเธอมากกว่าคนอื่นๆ ถึง 3 เท่าเลยทีเดียว!! แถมอารมณ์ขันยังทำให้คุณดูฉลาดขึ้นอีกด้วยนะ 4. อย่าลืมดูแลเรื่องกลิ่นกายด้วยล่ะ หลายๆ คนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่านอกจากกลิ่นปากจะไม่ใช่เรื่องตลกแล้ว กลิ่นของรักแร้เองก็เช่นกัน จากผลการวิจัยในปี 2009 เผยว่า นอกจากกลิ่นกายจะช่วยเพิ่มความมั่นใจแล้ว มันยังช่วยทำให้คุณเป็นที่น่าสนใจของเพศตรงข้ามอีกด้วย 5. หัดเป็นผู้ฟังที่ดีบ้าง อย่ามัวแต่โม้ งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Personality and Individual…
-
5 สัญญาณที่สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณกำลังป่วยเป็นโรค ‘กลัวการตกหลุมรัก’ เข้าให้แล้ว
เชื่อว่าไม่ว่าใครก็อยากจะมีความรักที่ดีทั้งนั้น ดังนั้นหลายๆ คนจึงได้ลองผิดลองถูกกันมาหลายครั้งเพื่อที่จะหาความรักที่เหมาะสมกับตัวเอง และก็มีหลายครั้งเช่นกันที่ต้องพบกับความผิดหวังจนกลายเป็นโรคความหวาดกลัวไปเลยก็มี ต่อมาความกลัวได้กลายมาเป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Philophobia หรือโรคกลัวการตกหลุมรัก โดยอาการของผู้ที่เป็นโรคนี้ก็คือ พวกเขากลัวที่จะมีความสัมพันธ์กับใครสักคนเพราะอาจจะกลัวความเสียใจที่จะตามมา ซึ่งนี่เองทำให้คนที่ป่วยเป็นโรคนี้ไม่กล้าที่จะเริ่มใหม่กับใคร ซึ่งคนที่เป็นโรคนี้ไม่ใช่จะเป็นกันง่ายๆ ซึ่งแน่นอนว่าการเกิดโรคต่างๆ จะต้องมีสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นและนี่คือ 5 สัญญาณหลักๆ ที่คนส่วนใหญ่มักจะเป็นก่อนป่วยเป็นโรคนี้ หากอยากรู้ว่าตัวเองเข้าข่ายที่จะเป็นโรคกลัวการตกหลุมรักหรือไม่ก็ลองมาเช็กกันดูเลย 1. ความเจ็บปวดในอดีตยังคงทำร้ายคุณ คุณยังคงไม่ลืมความปวดร้าวจากรักครั้งเก่าของคุณ บางทีคุณอาจจะรู้สึกเจ็บปวดมากจากประสบการณ์ที่ได้ผ่านมาจนยากที่จะลืม ซึ่งนั่นทำให้คุณได้สร้างอคติเกี่ยวกับความรักจากประสบการณ์ที่ผ่านจนไม่อยากจะเริ่มมีความสัมพันธ์กับใครอีกเลย 2. คุณไม่สามารถเชื่อใจใครได้อีก หากคุณเคยเชื่อคนๆ หนึ่งอย่างสนิทใจหรือว่าได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใครสักคน แล้วปรากฏว่าเขาทิ้งคุณไปหาคนใหม่ สิ่งที่เขาเหลือทิ้งไว้ให้คุณนั้นก็เหลือเพียงแต่ความเจ็บปวดและได้ก่อปมขึ้นในใจของคุณ จนคุณไม่สามารถที่จะเชื่อใครได้ง่ายๆ เพราะกลัวว่าจะโดนหักหลังอีกนั่นเอง 3. คุณกลัวว่าความรักจะเป็นอุปสรรคในด้านต่างๆ คุณกลัวที่จะตกหลุมรักเพราะทุกครั้งที่คุณมีความสัมพันธ์ คุณจะรู้สึกว่าคุณไม่สามารถพาตัวเองไปทำอะไรที่ตั้งใจอยากทำได้ ทั้งเรื่องการงานหรือการประสบความสำเร็จต่างๆ อีกทั้งคุณยังกลัวข้อจำกัดที่มาพร้อมกับความสัมพันธ์อย่างความอิสระในการใช้ชีวิต 4. คุณกลัวว่าความเป็นส่วนตัวของคุณจะหายไป คุณเคยมีความสัมพันธ์มาก่อน แต่ว่าก็ต้องจบความสัมพันธ์นั้นไปเพราะว่าคุณรู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะกับเรื่องพื้นที่ส่วนตัวที่คุณไม่ชอบแบ่งปันกับใครอย่างการใช้เตียงนอนร่วมกัน การใช้สิ่งของร่วมกัน นั่นจึงเป็นเหตุให้คุณไม่อยากที่จะเริ่มความสัมพันธ์ใหม่กับใครอีก 5. คุณชื่นชอบการมีเซ็กส์แต่ก็ไม่ต้องการสานต่อความสัมพันธ์ มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบในรสชาติของเซ็กส์และต้องการเพียงสิ่งนั้นเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่คนเป็นโรคนี้กลัวก็คือความสัมพันธ์ที่จะมาต่อจากนั้น เนื่องจากพวกเขาไม่อยากจะมีความรู้สึกลึกซึ้งกับใคร…
-
ไขปริศนา “เสียงปิ๊งป่อง” ที่เราได้ยินบนเครื่องบิน แท้จริงแล้วมันหมายถึงอะไรกันแน่!?
เชื่อว่าหลายคนที่โดยสารเครื่องบินบ่อยๆ น่าจะต้องเคยได้ยินเสียงปิงบนเครื่อง ซึ่งอาจจะมีความต่างกันเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงในลักษณะ ปิ๊งป่อง ดึ่งดึ๊ง ตึ๊งงงง หรือ วิ๊งงงง (ก็สุดแล้วแต่จะจินตนาการและประสาทหูเนอะ) เอาเป็นว่าเคยสงสัยกันไหมล่ะครับ ว่าเสียงเหล่านั้นแท้จริงมันเป็นสัญญาณของอะไรกันแน่ มันเป็นโค้ดลับอะไรระหว่างนักบินกับเหล่าแอร์โฮสเตส หรือมันเป็นสัญญาณเตือนอะไรหรือไม่ เราจะพาไปรู้จักเสียงนี้กันให้มากขึ้นครับ… สัญญาณมาตรฐาน เตือนการรัดเข็มขัด เครื่องบินแทบทุกลำนั้น จะใช้สัญญาณนี้เป็นสัญญาณเตือนในการให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดนิรภัย โดยเฉพาะตอนก่อนเครื่องบินขึ้น ก่อนเครื่องลง หรือระหว่างบินที่เผชิญกับสภาวะอากาศแปรปรวน สังเกตได้ว่าสัญญาณจะดังขึ้นพร้อมกับไฟแสดงสัญลักษณ์คาดเข็มขัดนิรภัย เป็นสิ่งที่เราพบเจอกันได้ในทุกเที่ยวบินพาณิชย์ทั่วไป แต่บางครั้งมีสัญญาณที่มีความหมายมากกว่านั้น บางครั้งสัญญาณนี้นอกจากจะใช้สื่อสารให้กับผู้โดยสารทราบว่า ตอนไหนควรนั่งคาดเข็มขัดอยู่กับที่ หรือตอนไหนสามารถลุกออกไปยืดเส้นยืดสาย และเข้าห้องน้ำได้ ข้อมูลจากแอร์โฮสเตสของ Qantas Airlines เปิดเผยว่าสัญญาณดังกล่าวบางครั้งจะถูกใช้สื่อสารระหว่างลูกเรือด้วยกัน เช่น ลูกเรือท้ายลำต้องการของมาเพิ่มเติมเพื่อเสิร์ฟผู้โดยสาร ก็จะมีสัญญาณแจ้งไปยังลูกเรือที่อยู่บริเวณส่วนหน้าเครื่องบิน เพื่อจะได้ไม่ต้องเดินวนไปวนมา เป็นสัญญาณสื่อสารระหว่างกัปตัน และเหล่าลูกเรือ… สำหรับ Qantas แล้ว บางครั้งกัปตันจะส่งสัญญาณเป็นเสียงปิงต่ำๆ 3 ครั้ง เพื่อบอกลูกเรือให้ทราบว่ากำลังจะเข้าสู่เขตภาวะอากาศแปรปรวน เครื่องบินอาจจะไม่อยู่นิ่ง เพื่อให้เหล่าลูกเรือได้จัดการเก็บของ หรือรถเข็นที่อาจจะมีปัญหาไหลไปมา เมื่อเครื่องบินเข้าสู่พื้นที่ดังกล่าว…
-
10 กาแฟสุดฮิตในร้าน Starbucks เรียงตามปริมาณคาเฟอีน เมนูไหนมีมากน้อยจะได้รู้กัน!!
ปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์กาแฟ Starbucks ที่ขยายสาขาไปมากกว่า 27,000 ร้านทั่วโลก ซึ่งไม่ว่าจะไปเที่ยวประเทศไหนเราก็จะพบร้านนี้อยู่ตามย่านใจกลางเมืองใหญ่อยู่เสมอ เครื่องดื่มฮิตของร้านนี้ก็แน่นอนว่าจะต้องเป็น “กาแฟ” แต่เนื่องจากมีกาแฟหลากหลายแบบ แต่ละแบบก็จะมีปริมาณคาเฟอีนที่แตกต่างกันออกไป คราวนี้เราจะพาไปดูข้อมูลการจัดอันดับเครื่องดื่มกาแฟยอดฮิตชนิดต่างๆ ของ Starbucks แล้วดูกันสิว่า กาแฟแบบใดจะมีปริมาณคาเฟอีนมากน้อยกว่ากัน… 10. Espresso ปริมาณคาเฟอีน 75 มิลลิกรัม เป็นความจริงที่ว่าเอสเพรสโซ่ 1 ช็อตจะมีปริมาณคาเฟอีนต่อกาแฟที่มากที่สุด เนื่องจากช็อตละ 45 มิลลิลิตร นั้นมีปริมาณคาเฟอีนสูงถึง 75 มิลลิกรัม แต่เมื่อเทียบกับเครื่องดื่มอื่นๆ ในลิสต์นี้ก็จะถือว่าน้อยที่สุดอยู่ดี 8 (ร่วม). Latte ปริมาณคาเฟอีน 150 มิลลิกรัม ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมลาเต้ ถึงมีปริมาณคาเฟอีนแบบคูณ 2 เพราะการผสมจะต้องใช้เอสเพรสโซ่ 2 ช็อต นมร้อน และฟองนมนั่นเอง 8 (ร่วม). Cappuccino ปริมาณคาเฟอีน 150 มิลลิกรัม คาปูชิโน่ไซส์แกรนเด้ ใช้เอสเพรสโซ่ 2 ช็อตเช่นเดียวกัน 7. Cafè…
-
รู้จักกับ Lyudmila Pavlichenko สไนเปอร์หญิงมือพระกาฬที่ยากจะหาใครเทียบ
เรื่องราวของ Lyudmila Pavlichenko พลแม่นปืนหญิงมือพระกาฬจากสหภาพโซเวียต ที่เป็นที่กล่าวขวัญของทหารฝ่าศัตรู และสังหารฝ่ายศัตรูไปมากกว่า 309 คนเลยทีเดียว!! ชื่อเต็มๆ ของเธอคือ Lyudmila Mykhailivna Pavlichenko เกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมปี 1916 ในเมือง Bila Tserkva ประเทศยูเครน ซึ่งในขณะนั้นยังรวมอยู่ในสหภาพโซเวียต เมื่ออายุ 14 ปี ครอบครัวของเธอได้ย้ายมาที่เมือง Kiev และที่นี่เธอได้เข้าร่วมกับกองทัพอาสาสมัครสมาคมเพื่อความร่วมมือกับกองทัพอากาศและกองทัพเรือ หรือ DOSAAF ระหว่างที่เข้าร่วมกับหน่วย DOSAAF ผลการเรียนในโรงเรียนของเธอนั้นค่อนข้างดี และเธอเองก็เป็นคนที่มีความสามารถอย่างมาก จนในที่สุดเธอก็ได้กลายเป็นนักแม่นปืน หลังจากที่สำเร็จการศึกษาปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์และกำลังเตรียมตัวศึกษาต่อปริญญาเอก ในปี 1937 เธอได้เข้าร่วมกับหน่วยอาสาสมัครกลุ่มแรก เพื่อเข้าต่อสู้ป้องกันการรุกรานจากทหารนาซีที่บุกเข้ามาในเมือง Odessa เมื่อปี 1941 ในตอนแรกหญิงสาวได้ขอสมัครไปในหน่วยพยาบาล แต่ทว่าด้วยเหรียญตราของพลแม่นปืนที่เธอมี ทำให้เธอถูกส่งตัวเข้าไปยังหน่วยพลแม่นปืน และกลายเป็นหนึ่งในนักแม่นปืนหญิง 2,000 นายของกองทัพโซเวียต สไนเปอร์สาววัย 25 ปีเข้าสู่สมรภูมิรบครั้งแรกในเดือนสิงหาคมปี 1941 ในเดือนแรกเธอได้รับการบันทึกว่าสามารถสังหารทหารฝ่ายศัตรูได้ถึง 100 คนพร้อมกับได้เลื่อนขั้นเป็นจ่าสิบเอก ต่อมาในช่วงกลางเดือนตุลาคม เธอถูกย้ายไปประจำการที่เมือง Sevastopol และสามารถสังหารฝ่าตรงข้ามได้อีก 36 คน ในเดือนพฤษภาคมปี…
-
งานวิจัยเผย ‘การอกหัก’ ส่งผลกระทบต่อหัวใจร้ายแรงราวเหมือบกับหัวใจวายเลยทีเดียว!!
ใครหลายคนคงอาจเคยเจอกับอาการอกหัก โดยมักเกิดจากการสูญเสียคนรักไปไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม มันเป็นความรู้สึกราวกับว่าหัวใจได้แตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีใครอยากเผชิญอย่างแน่นอน แต่รู้หรือไม่ว่า การอกหักนั้นนอกจากจะส่งผลต่อจิตใจแล้วยังส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายเหมือนกับการหัวใจวายเลยทีเดียว มีคนอย่างน้อย 3,000 คนในสหราชอาณาจักรที่ต้องเผชิญกับที่เรียกกันในชื่อทางการแพทย์ว่า “โรคหัวใจสลาย” ในทุกๆ ปี ซึ่งแพทย์เผยว่า ตัวเลขจริงๆ อาจจะมากกว่านี้อีกหลายเท่า ซึ่งโรคหัวใจสลายนี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นชั่วคราวของหัวใจที่มีภาวะความเครียด อย่างเช่น เกิดความผิดหวังอย่างรุนแรง สูญเสียคนรักอย่างกะทันหันหรือเรียกรวมๆ ได้จากอาการอกหัก ซึ่งอาการของโรคนี้ก็คือจะทำให้เจ็บแน่นหน้าอก หายใจเหนื่อยหอบ และหน้ามืด จนถึงปัจจุบันนี้ ทางการแพทย์ก็ยังสันนิษฐานได้เพียงว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นจะอยู่เพียงชั่วคราวและจะสามารถหายเป็นปกติได้ด้วยการใช้เวลาเยียวยา แต่ว่าได้มีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Aberdeen ได้ค้นพบว่าโรคหัวใจสลายหรืออาการอกหักนี้จะทำให้หัวใจเกิดอ่อนแอลงอย่างถาวรเช่นเดียวกับโรคหัวใจวาย จากการศึกษาค้นคว้าผู้ที่มีอาการอกหัก 37 คนโดยใช้เวลาเฉลี่ย 2 ปีในการติดตามคนเหล่านี้โดยมีการวัดผลจากผลตรวจอัลตร้าซาวด์ และผลจากการจากตรวจ MRI ในหัวใจของพวกเขา พบว่าหัวใจของพวกเขามีความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการถูกหักอกที่เกิดขึ้น โดยผู้ป่วยเหล่านี้หลายคนจะมีอาการเหนื่อยง่าย และไม่สามารถออกกำลังกาย แม้ว่าทางแพทย์จะบอกว่าพวกเขาจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้โดยธรรมชาติ นักวิจัยได้กล่าวไว้ว่าผู้ที่มีอาการป่วยแบบนี้ควรได้รับยาฟื้นฟูเช่นเดียวกับผู้ที่มีหัวใจเสียหายจากอาการหัวใจวายเลยทีเดียว พวกเขาได้นำเสนองานวิจัยชิ้นนี้เมื่อวันที่ 11-12 พฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมาที่สมาคมวิทยาศาสตร์หัวใจประเทศสหรัฐอเมริกาที่รัฐแคลิฟอร์เนีย โดย ดอกเตอร์ Dana Dawson ผู้นำการวิจัยได้กล่าวเอาไว้ว่า…
-
‘Ophiocordyceps’ เชื้อราปรสิต แทรกซึมยึดร่างกายของแมลง ปล่อยให้เหลือเพียงแต่สมอง
ในธรรมชาตินั้นมีพืชพรรณที่มหัศจรรย์อยู่มากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือเจ้า Ophiocordyceps sinensis พืชปรสิตที่อาศัยอยู่ในตัวสัตว์เล็กๆ อย่างเช่น มดและหนอน มันจะใช้ร่างของพวกสัตว์เหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยและเจริญเติบโตออกมาจากร่างกายของพวกมัน!! โดยสปอร์ของเจ้าพืชชนิดนี้จะเข้าไปในร่างกายของพวกมดและสัตว์ตัวเล็กๆ ทางระบบทางเดินอาหาร และจะอาศัยอยู่ในร่างกายของพวกสัตว์เหล่านั้น พวกมันจะเริ่มแทรกเข้าไปควบคุการเคลื่อนไหวของพวกสัตว์เหล่านี้ และจากนั้นพวกสัตว์ก็จะตายลงอย่างช้าๆ พร้อมกับมีลำต้นเล็กๆ ของเจ้าพืชชนิดนี้งอกออกมาจากส่วนหัว นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Penn State University ได้ทำการศึกษาพฤติกรรมอันน่าทึ่งของเจ้าพืชชนิดนี้ แล้วก็พบว่าหลังจากที่พวกมันเข้าไปในร่างกายของเหล่าสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยแล้ว พวกมันจะทำการควบคุมในส่วนของกล้ามเนื้อ และทำให้พฤติกรรมของพวกโฮสต์ที่มันอาศัยเปลี่ยนไป แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าพืชชนิดนี้ไม่ได้ทำการควบคุมในส่วนของสมองแต่อย่างใด ซึ่งส่วนนี้สร้างความสับสนให้กับนักวิทยาศาสตร์อย่างมาก ทีมวิจัยได้ทำการศึกษาพฤติกรรมดังกล่าวโดยการสร้างแบบจำลองสามมิติ เพื่อศึกษาการเคลื่อนไหวของเจ้าพืชชนิดนี้ในตัวของมด พวกเขาพบว่าเมื่อสปอร์ของพืชดังกล่าวเข้าไปในตัวมดแล้ว มันได้ทำการแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของมด และทำการควบคุมพฤติกรรมของพวกมัน “โดยทั่วไปแล้วพฤติกรรมของพวกสัตว์นั้นจะถูกควบคุมโดยสมอง ซึ่งจะทำการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังกล้ามเนื้อและควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย แต่จากการศึกษาเราพบว่าเจ้าพืชชนิดนี้ได้ทำการควบคุมส่วนของกล้ามเนื้อและไม่ได้ควบคุมที่สมองแต่อย่างใด” ดอกเตอร์ David Hughes นักวิจัยอาวุโสกล่าว นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้ตั้งสมมุติฐานไว้อีกว่าสาเหตุที่พืชดังกล่าวไม่ได้เข้าโจมตีในส่วนสมองของเหยื่อนั้นก็เพื่อที่ต้องการจะรักษาชีวิตของโฮสต์ไว้จนกระทั่งพวกมันสามารถเจริญเติบโตได้สำเร็จ ทางด้านคุณ Charissa de Bekker นักชีววิทยาผู้ที่ทำการศึกษาพฤติกรรมของเจ้าพืชชนิดนี้ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2014 ว่า “การควบคุมพฤติกรรมของพืชชนิดนี้เป็นสิ่งที่ค่อนข้างซับซ้อน มันเป็นพฤติกรรมที่น่าทึ่งมาก เราได้ทำการศึกษาสมองของมดสี่สายพันธุ์ จากการศึกษาพบว่ามีสารเคมีบางอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน ปรากฏอยู่ในเซลล์สมองของพวกมด ซึ่งสารเคมีดังกล่าวนั้นถูกผลิตมาจากพวกปรสิต” ถึงแม้ว่าตอนนี้ทางนักวิจัยจะยังไม่ทราบถึงข้อเท็จจริงอย่างแน่ชัดของปรากฏการณ์นี้ก็ตาม แต่ก็มีข่าวดีสำหรับพวกเรานั่นก็คือเจ้าพืชชนิดนี้ไม่สามารถเจริญเติบโตในมนุษย์ได้ แถมในประเทศจีนนั้นมันยังถูกนำไปใช้ทำยาที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคต่างๆ อีกด้วย…
-
นักวิทย์คอนเฟิร์ม การเลี้ยงลูกสุนัขช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคต่างๆ ของลูกท่านได้!?
หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่าเหล่าสัตว์เลี้ยงนั้นนอกจากจะเป็นเพื่อนที่แสนดีของพวกเราแล้ว บางครั้งพวกมันยังสามารถช่วยบำบัดโรค อย่างเช่นโรคซึมเศร้าได้อีกด้วย และเมื่อเร็วๆ นี้ผลการศึกษาที่ถูกนำเสนอที่สถาบันวิจัยโรคภูมิแพ้แห่งสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยว่าการเลี้ยงลูกสุนัขนั้นสามารถช่วยป้องกันอาการภูมิแพ้และโรคผิวหนังในเด็กได้ “ถึงแม้ว่าโรคผื่นแพ้จะเป็นอีกหนึ่งโรคที่พบได้มากในเด็ก แต่หลายๆ คนยังไม่ทราบโรคดังกล่าวนั้นสามารถพัฒนากลายเป็นโรคแพ้อาหาร โรคภูมิแพ้ และถึงขั้นเป็นโรคหอบหืดได้” ดอกเตอร์ Gagandeep Cheema ผู้เชี่ยวชาญทางด้านหอบหืด หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว การศึกษาก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่าเด็กที่เติบโตมาพร้อมกับเจ้าตูบนั้น มีความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้และโรคอ้วนต่ำกว่าเด็กทั่วๆ ไป เนื่องจากว่าพวกเขาจะได้รับแบคทีเรียชนิดดีจากการคลุกคลีกับพวกสุนัข นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอื่นๆ ที่ชี้ให้เห็นว่าสุนัขนั้นสามารถช่วยป้องกันพวกเด็กๆ จากโรคหวัดและอาการติดเชื้อในหูได้ และยังมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าสุนัขนั้นมีส่วนช่วยในพัฒนาการการมองเห็นของเด็กทารก ซึ่งช่วยให้พวกเขาแยกระหว่างใบหน้าของคนกับสัตว์ได้ จากการวิจัยของดอกเตอร์ Gagandeep Cheema ที่ทำการศึกษาในกลุ่มแม่และเด็กถึง 782 คนที่เลี้ยงสุนัขไว้ในบ้านอย่างน้อย 1 ตัวและอยู่กับพวกมันอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมงระหว่างที่พวกเธอตั้งครรภ์พบว่า เมื่ออายุ 2 ขวบเด็กที่เกิดมานั้นมีความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ลดลง แต่เมื่ออายุ 10 ขวบภูมิคุ้มกันเหล่านั้นกลับลดลง นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้ทำการศึกษาถึงผลกระทบของสุนัขกับโรคหอบหืดในเด็กอีก 180 คน ผลการศึกษาโดยการแบ่งเด็กออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะได้รับแบคทีเรียบนสุนัขที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ และกลุ่มที่สองจะได้รับแบคทีเรียบนสุนัขที่ไม่เก่ียวกับโรคภูมิแพ้ ผลปรากฏว่าเด็กกลุ่มแรกมีอาการแย่ลง ส่วนกลุ่มที่สองนั้นกลับมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ทางนักวิจัยยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัดของการป้องกันโรคภูมิแพ้ในเด็กจากแบคทีเรียที่มาจากสุนัข และตอนนี้พวกเขากำลังศึกษาถึงกลไกลในการป้องกันโรคดังกล่าวจากแบคทีเรียของสุนัขอยู่…
-
รู้หมือไร่?? อาการขี้หลงขี้ลืมนั้นเป็นผลดีต่อสมองและอาจทำให้คุณกลายเป็นอัจฉริยะก็เป็นได้
อาการขี้หลงขี้ลืมเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าคนๆ นั้นมีสมองที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่รู้หรือไม่ว่าอาการขี้ลืมจริงๆ แล้วมันเป็นสัญญาณของคนฉลาดต่างหาก งานวิจัยหนึ่งที่ได้ตีพิมพ์ในนิตยสาร Neuron บอกไว้ว่าคนที่มีสมองสุขภาพแข็งแรงบางครั้งก็มีการทำงานที่หนักหน่วงเกินไปจนกลายเป็นอาการหลงลืมชั่วขณะนั่นเอง ซึ่งงานวิจัยชิ้นนั้นเขียนโดย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโทรอนโต ประเทศแคนาดาโดยได้ทิ้งข้อสรุปไว้ว่า การลืมสิ่งต่างๆ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแต่ว่ามันเป็นการพักสมองหลังจากใช้งานมาอย่างหนักและมันก็กำลังเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่สมองของเราด้วย Paul Frankland และ Blake Richards ได้บอกเอาไว้ว่าหน่วยความจำจริงๆ แล้วนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือจดจำเฉพาะข้อมูลที่มีความสำคัญและอีกส่วนหนึ่งคือสร้างพื้นที่สำหรับพักผ่อนสมองซึ่งนั่นจึงทำให้เราหลงลืมรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันไป การศึกษาหนึ่งของ Frankland พบว่าเมื่อเซลล์สมองใหม่ถูกสร้างขึ้นในสมองส่วนฮิปโปแคมปัส ความทรงจำเก่าๆ จะถูกเขียนทับเหมือนกับข้อมูลในคอมพิวเตอร์เลยล่ะ “มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่สมองของเราจะลืมรายละเอียดสิ่งต่างๆ ที่ไม่สำคัญนักในชีวิตของเราและเพ่งเล็งไปในเรื่องที่สำคัญ เพราะจะทำให้เราสามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญนั้นได้ดีขึ้นและยังสร้างพื้นที่ว่างเพื่อรองรับสิ่งใหม่ๆ อีกด้วย” Richard กล่าว ประโยชน์อย่างหนึ่งของโรคขี้หลงขี้ลืมนี้ก็คือ เมื่อเราลืมรายละเอียดในกิจกรรมต่างๆ ที่ผ่านไปแล้ว แต่ว่ายังคงจำภาพรวมของกิจกรรมนั้นได้ มันจะทำให้เราพยายามนึกย้อนไปในอดีตและทำให้เราสามารถซึมซับบรรยากาศในวันนั้นและให้ความรู้สึกเหมือนกับวันนั้นพึ่งผ่านมาเพียงไม่นาน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไปสำหรับคนที่ลืมสิ่งสำคัญตลอดเวลา เพราะว่าการลืมสิ่งต่างๆ อาจทำให้เราเกิดความกังวลว่าเราลืมอะไรไปบ้างและนั่นอาจทำให้เราเริ่มจะเป็นโรคหวาดระแวง ซึ่งเป็นโรคประสาทชนิดหนึ่งได้ สำหรับวิธีการออกกำลังกายสมองก็มีวิธีการง่ายๆ โดยการพยายามทบทวนว่าวันนี้เราได้ทำอะไรไปบ้างแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้สมองของเรามีสุขภาพที่ดีแล้วล่ะ ที่มา: unilad
-
สาวๆ ญี่ปุ่นเผย 6 สิ่งที่เหล่าผู้ชายทำโดยไม่รู้ตัว แล้วจะทำให้พวกเขาดูเท่ขึ้นเป็นกอง!!
ผู้ชายส่วนมากในทุกประเทศทั่วโลกได้พยายามทำตัวเองให้ดูดี โดยพวกเขาอาจจะแต่งตัวที่บ่งบอกความเป็นตัวเองหรือว่าใช้สินค้าแบรนด์ดังต่างๆ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ดูเท่ๆ คูลๆ เรื่องราวมันเริ่มมาจากสาวญี่ปุ่นโพสต์เรื่องผู้ชายที่ดูมีเสน่ห์ โดยเพียงแค่ทำหน้าซีเรียสตอนพยายามซ่อมของให้กลับมาดีเหมือนเดิม ก็ทำให้เธอใจละลายได้แล้ว งานนี้ก็เลยมีเหล่าชาวเน็ตหญิงสาวญี่ปุ่นจำนวนหนึ่ง ได้ออกมาบอกถึงบุคลิก หรือการทำสิ่งต่างๆ ที่จะทำให้ผู้ชายดูเท่ขึ้นในสายตาของพวกเธอ โดยที่อาจจะไม่เสียเงินซักบาทเดียว ซึ่งจะมีสิ่งใดกันบ้างมาลองดูกันบ้างดีกว่า… 1. ซ่อมแซมสิ่งของต่างๆ มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบแอบมองผู้ชายระหว่างที่พวกเขาซ่อมแซมสิ่งของอะไรบางอย่าง อย่างการซ่อมบ้าน ซ่อมรถ ซึ่งพวกเธอบอกว่ามันช่างดูเซ็กซี่ขึ้นเป็นกองเลยทีเดียว 2. ตอนขับรถ เวลาผู้ชายขับรถนั้นทำให้สาวๆ หลายคนถึงกับตกหลุมรักมาแล้ว เพราะว่าระหว่างขับรถจะต้องมีสมาธิระมัดระวังรถคันอื่น และนั่นทำให้สายตาของพวกเขาจะดูจริงจังขึ้นมาและนั่นคือสิ่งที่ผู้หญิงหลายคนชอบที่จะจ้องมอง 3. เวลาหยิบของจากชั้นสูงๆ ด้วยตามธรรมชาติที่ผู้หญิงจะมีตัวที่เล็กกว่าผู้ชาย บางครั้งจึงต้องพึ่งพาให้คอยหยิบนู่นนั่นนี่บนชั้นสูงๆ ให้ซึ่งพวกเธอบอกว่าตอนที่ผู้ชายหยิบของสูงๆ แล้วส่งให้ด้วยรอยยิ้มเนี่ยแทบจะทำเอาละลายเลยทีเดียว 4. ตอนกำลังถอดแว่นตา มีสาวๆ บางคนที่ชื่นชอบผู้ชายใส่แว่น ยิ่งตอนที่ผู้ชายถอดแว่น หรือทำอะไรเกี่ยวกับแว่นตาอย่างเอาผ้ามาเช็ด พวกเธอนี่แทบจะปาหัวใจใส่เลยทีเดียว 5. ตอนยกอาหารมาให้ พวกเธอบอกว่าตอนผู้ชายยกอาหารจานใหญ่ๆ ออกมาวางให้กับทุกคนในโต๊ะมันช่างมีเสน่ห์และดูอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเลย 6. เล่นกับสัตว์ต่างๆ ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูแข็งแกร่งกว่าผู้หญิง ทำให้เวลาผู้ชายเล่นกับสัตว์ต่างๆ จะดูน่ารักขึ้นเป็นกองเพราะว่าพวกเขาได้แสดงความอ่อนโยนที่อยู่ข้างในออกมา ซึ่งอาจจะหาดูได้ยากสำหรับผู้หญิงและทำให้พวกเธอตกหลุมรักได้เลย …
-
นักจิตวิทยาเผยท่าทางต่างๆ บ่งบอกถึงความรู้สึกของเหล่าคู่รัก ตรงกันบ้างรึเปล่าเอ่ย!?
ว่ากันว่ากิริยาท่าทางต่างๆ สามารถบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของคนๆ นั้นได้ แต่รู้หรือไม่ว่าท่าทางที่แสดงต่อกันระหว่างคู่รักนั้นก็สามารถบ่งบอกความรัก ความห่วงใยที่ทั้งคู่มีต่อกันได้เหมือนกันนะ Dr. Lilian Glass นักจิตวิทยาได้ออกมาอธิบายถึงท่าทางต่างๆ ของคู่รักที่พวกเขาแสดงต่อกันว่ามีความหมายว่าอย่างไรและจะส่งผลอย่างไรต่อชีวิตคู่ มาลองเช็คกันดูดีกว่าว่าคู่รักของเรามีพฤติกรรมอย่างนี้กันบ้างหรือเปล่า… การจับมือกัน ถ้าร่างกายของทั้งคู่ได้หันหาเข้าหากันและจับมืออย่างในภาพ แสดงว่าทั้งคู่นั้นต้องการที่จะเข้าใกล้ชิดระหว่างกันและกัน และการจับมือยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งที่ทั้งคู่มีให้แก่กันอีกด้วย หากคุณเห็นคู่ไหนที่มีพฤติกรรมอย่างนี้มั่นใจได้เลยว่าคู่นั้นมีความผูกพันกันอย่างเหนียวแน่นเลยล่ะ เขาเป็นของฉันนะ การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำมือไปโอบเอวหรือโอบแขนอีกฝ่าย นั่นแสดงว่าอยากจะแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเหมือนกับต้องการจะบอกแก่คนอื่นว่า “เขาเป็นของฉันนะ” แต่เป็นการบอกผ่านทางภาษากายแทน ท่ายืนที่แสดงความดูแลกันและกัน หากร่างกายของฝ่ายหญิงหันไปหาคู่รักของเธอก็หมายความว่า เธอต้องการที่จะอยู่ใกล้ชิดกับเขาให้ได้มากที่สุด และการที่ฝ่ายชายนำมือไปกอดเอวของฝ่ายหญิงเอาไว้ นั่นก็แสดงถึงความอ่อนโยนที่เขามีให้แก่เธอและยังให้ความหมายอีกนัยหนึ่งว่าไม่อยากจะเคร่งครัดกับฝ่ายหญิงมากนัก เหมือนกับการวางมือไว้บนเอวอย่างหลวมๆ ซึ่งท่าทีที่แสดงออกมาแบบนี้ เป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจที่ทั้งคู่มีระหว่างกันและยังเป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ที่ดีอีกด้วย ท่าทางที่แสดงให้เห็นถึงเส้นใยความสัมพันธ์ที่แข็งแรง การยืนอย่างมั่นคงและกุมมือกันอย่างเหนียวแน่นนั้น เป็นการบอกว่าพวกเขาเคยชินที่ได้ผ่านอะไรมาด้วยกันและยังทำสิ่งต่างๆ ร่วมกันมาเป็นเวลานาน อีกทั้งท่ายืนของทั้งคู่ยังบอกถึงความรู้สึกสบายใจในความสัมพันธ์ที่ทั้งคู่มีต่อกันได้เป็นอย่างดีเลยแหละ ท่าแสดงความเป็นเจ้าของอีกท่าหนึ่ง เมื่อฝ่ายชายคล้องแขนฝ่ายหญิงมาแนบกาย นั่นคือเขาอยากที่จะบอกแก่ทั้งโลกว่าเขาเป็นเจ้าของฝ่ายหญิง แต่นี่เป็นท่าที่ผู้หญิงส่วนมากมักไม่ชอบ เพราะว่าพวกเธอจะรู้สึกอึดอัดและไม่สบายเนื้อสบายตัวและมันเหมือนการที่เธอถูกบังคับตลอดเวลานั่นเอง ความมีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ท่าการนั่งอีกแบบหนึ่งที่ผู้หญิงนั่งอยู่บนตักของผู้ชายนั้นมีความหมายว่า ผู้หญิงยินดีที่จะมอบชีวิตที่เหลืออยู่ให้ขึ้นอยู่กับผู้ชาย และทั้งคู่ยังมีความเชื่อใจอย่างหมดหัวใจเลยทีเดียว …
-
อธิบายหลักการ ‘กฎสามส่วน’ อย่างง่ายๆ แนวทางเบื้องต้นสู่การถ่ายภาพอันสมบูรณ์แบบ…
กว่าจะได้รูปถ่ายสวยๆ แต่ละรูป บางครั้งเราก็ต้องถ่ายเป็นสิบครั้งเพื่อให้ได้รูปดีๆ สักรูป โดยเฉพาะรูปอาหาร ที่กว่าจะได้กิน อาหารก็เย็นชืดหมดแล้ว ชีวิตช่างดูลำบ๊ากลำบากจริงๆ แต่ปัญหาการถ่ายรูปไม่สวย รูปดูจืดชืดจะหมดไปเมื่อเรามารู้จักกับ “กฏสามส่วน” เทคนิคการถ่ายรูปแบบง่ายๆ แค่ทำตามอย่างถูกวิธี เท่านี้ก็มีรูปสวยๆ ไปอวดเพื่อนๆ ได้แล้ว กฏสามส่วนคือการแบ่งองค์ประกอบของภาพที่เราจะถ่ายออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กัน และมีจุดตัด 4 จุดแบ่งออกเป็น 9 ช่องแบบนี้ เทคนิคกฏสามส่วนนี้ถูกคิดค้นโดยจิตรกรชาวอังกฤษที่ชื่อว่า Sir Joshua Reynolds ที่ได้กล่าวถึงความสมดุลของแสงและองค์ประกอบของรูปภาพและถูกพัฒนามาเป็นระบบกริด อย่างที่พวกเราคุ้นเคยกันอยู่ทุกวันนี้ วิธีการใช้ระบบกริดหรือกฏสามส่วนง่ายๆ เลย ก็แค่เปิดกล้องขึ้นมาแล้วตั้งค่าให้มีเส้นตารางแบบนี้ขึ้นมา (หลายๆ คนคงจะปิดไปตั้งแต่แรกๆ ซะแล้ว) จากนั้นก็โฟกัสไปที่วัตถุที่เราต้องการจะถ่าย โดยนำจุดตัดจุดใดจุดหนึ่งโฟกัสไปที่ตรงกลางวัตถุที่เราต้องการจะถ่าย . เมื่อเราเห็นว่าองค์ประกอบของภาพอยู่ในตำแหน่งที่สวยแล้วก็รัวชัตเตอร์ได้เลย . กฏสามส่วนในการถ่ายภาพแนวนอนและภาพธรรมชาติ เราไม่ควรที่จะยึดติดกับกฎสามส่วนมากจนเกินไป ไม่จำเป็นว่าต้องวางวัตถุให้ได้ตามแนวแบบเป๊ะๆ เลยก็ได้ เพียงแค่ใช้เป็นเฟรมในการถ่ายภาพเบาๆ แค่นี้ก็ได้รูปสวยๆ แล้ว . .…
-
รู้จักอาการปวดหัวทั้ง 4 รูปแบบ และเราจะบรรเทาอาการให้เหมาะสมได้อย่างไรบ้าง!?
อาการปวดหัวคือสิ่งที่ทุกคนเคยเป็น แต่เราเคยสงสัยกันบ้างมั้ยว่าอาการที่เราเป็นอยู่นั้นเกิดจากสาเหตุใดและจะสามารถบรรเทาอาการเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง? วันนี้เรามีคำตอบให้กับเพื่อนๆ ทุกคนแล้ว นี่เป็นเกร็ดความรู้จากเพจเฟซบุ๊กที่ชื่อ Goodful โดยพวกเขาได้โพสต์คลิปวิดีโอเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2017 เพื่ออธิบายประเภทของอาการปวดหัว สาเหตุ และวิธีการบรรเทาอาการนั้นแบบง่ายๆ ที่สามารถทำเองได้ในทุกที่ทุกเวลา ว่าแล้วก็ไปดูกันเลยยย อาการปวดหัวประเภทที่ 1 : การปวดหัวที่เกิดจากความตึงเครียด สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดขึ้นคือความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ความหิว ความหดหู่ และความเครียด เรียกได้ว่าเป็นอาการปวดหัวขั้นพื้นฐานที่สามารถเป็นกันได้ค่อนข้างง่าย อาการปวดที่เกิดขึ้นจะอยู่ที่บริเวณหน้าผาก คอ และด้านหลังศีรษะ อาการปวดหัวประเภทที่ 2 : ปวดไมเกรน การปวดไมเกรนสามารถเกิดขึ้นได้จากอาหารและเครื่องดื่มบางชนิด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน มีอะไรไปกระตุ้นกับประสาทสัมผัส และการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม การปวดหัวประเภทนี้ในตอนแรกจะปวดแค่ข้างเดียวก่อน แต่หากปล่อยไว้ก็จะปวดบริเวณขมับ ดวงตา หรือบริเวณหลังหัวเพิ่มเติม อาการปวดหัวประเภทที่ 3 : ปวดไซนัส เกิดขึ้นได้เวลาที่มีน้ำมูกไหล หูอื้อ เป็นไข้ หรือเป็นตอนที่หน้าบวมขึ้น โดยจะปวดบริเวณกระดูกแก้ม…
-
หลักสูตรเกมและสื่ออินเทอร์แอคทีฟ ม.กรุงเทพ พร้อมปั้นคนพันธุ์เกมให้เก่งครบรอบด้าน!!
สนับสนุนบทความโดย: มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ใครที่เคยมองว่าเกมอิเล็กทรอนิกส์เป็นเรื่องไร้สาระ เห็นทีจะต้องปรับทัศนคติกันใหม่แล้ว เพราะปัจจุบันเกมไม่ได้มีไว้เล่นเพื่อความสนุกเพียงอย่างเดียว แต่ได้กลายเป็นธุรกิจที่มีส่วนแบ่งในตลาดเมืองไทยอย่างมหาศาล ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าตลาดที่สูงเกือบ 10,000 ล้านบาทและเติบโตอย่างต่อเนื่อง 15-20 เปอร์เซ็นต์ในแต่ละปีเป็นเครื่องการันตีได้อย่างดี คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เล็งเห็นตลาดที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ นี้ จึงเปิดหลักสูตรเกมและสื่ออินเทอร์แอคทีฟขึ้น เพื่อปั้นคนพันธุ์เกมป้อนตลาดที่ยังมีตำแหน่งงานให้ช็อปอย่างเหลือเฟือ โดยมุ่งเน้นการเรียนการสอนที่พร้อมปั้นคนพันธุ์เกมให้เก่งรอบด้านครบเครื่องในคนเดียว พูดได้เลยว่าเมื่อเรียนจบไปแล้วจะไปทำตำแหน่งอะไรก็ได้ในอุตสาหกรรมเกมและสื่ออินเทอร์แอคทีฟ โดยไม่จำเพาะเจาะจงแค่อาชีพใดอาชีพหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้แล้วองค์ประกอบสำคัญที่มาเสริมให้เด็กเก่งกาจ เห็นจะหนีไม่พ้นเครื่องไม้เครื่องมือสุดทันสมัย เช่น แล็บดิจิทัลมีเดียที่เยี่ยมยอดที่สุดในอาเซียน แล็บดังกล่าวมาพร้อมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ระดับเวิลด์คลาส สมรรถนะเร็ว แรง ไม่สะดุด และสร้างสรรค์ภาพได้ละเอียดสมจริงกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วๆ ไป อุปกรณ์เหล่านี้ประสานกับฝีไม้ลายมือในการสอนของคณาจารย์ผู้มีดีกรีดอกเตอร์สาขาโดยตรงหลายท่าน แถมยังมีพันธมิตรมาร่วมร่างหลักสูตรและเตรียมส่งวิทยากรผู้ทำงานในอุตสาหกรรมจริงมาช่วยฝึกฝีมือและแบ่งปันประสบการณ์ให้นักศึกษา อาทิ Full Sail University มหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกมและดีไซน์จากสหรัฐอเมริกา บริษัทการีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทเกมชั้นแนวหน้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่มีคอเกมคนไหนไม่รู้จัก ฯลฯ ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดนี้ทำให้หลักสูตรเกมและสื่ออินเทอร์แอคทีฟของคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เตรียมขึ้นแท่น “ตัวจริงนักปั้นคนพันธุ์เกม” ของเมืองไทย ดร.พัฒนพล…
-
งานวิจัยเผย ‘ลูกคนชายที่สอง’ มีแนวโน้มที่จะไปข้องเกี่ยวกับคดีอาชญากรรมมากกว่าคนแรก
นี่อาจจะเป็นข่าวดีสำหรับใครที่เป็นลูกคนโต เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเปิดเผยผลการศึกษาครั้งใหม่ที่เผยว่า ลูกชายคนที่สองนั้นมีแนวโน้มที่จะไปข้องเกี่ยวกับคดีอาชญากรรมมากกว่าคนแรก จากผลการศึกษาของ Joseph Doyle นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย MIT ที่ทำการศึกษาในคู่พี่น้องชาวเดนมาร์กและในรัฐฟลอริดากว่า 1,000 คู่ จากการสุ่มตัวอย่างของพี่น้องทั้งสองแห่งนั้น พบผลการศึกษาที่เหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นก็คือการเกิดก่อนและหลังนั้นมีผลต่อการยุ่งเกี่ยวกับอาชญากรรม ในผลการศึกษาได้เขียนเอาไว้ว่า ถึงแม้ทั้งสองพื้นที่จะมีความแตกต่างกันในด้านสภาพแวดล้อม แต่ทว่าพวกเขาพบสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมากนั่นก็คือในครอบครัวที่มีลูก 2 คนหรือมากกว่านั้น พบว่ามีลูกชายคนที่ มีการถูกลงโทษทางวินัยที่โรงเรียนมากกว่าลูกชายคนแรก 20 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ โดยการศึกษาก่อนหน้านี้ก็ได้เปิดเผยว่าลูกที่เกิดคนแรกนั้นมีโอกาสที่จะมีพัฒนาการทางด้าน IQ สูงกว่า และมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าด้วย “จากการสำรวจพบว่าการการสนับสนุนเงินในการเลี้ยงดูลูกของพ่อแม่ที่แตกต่างกัน เป็นปัญหาที่เราพบว่าทำให้เด็กที่เติบโตมานั้นมีความแตกต่างกัน ซึ่งข้อแตกต่างของการเลี้ยงดูนี้เราสามารถเห็นได้ในกลุ่มชนชั้นแรงงาน” Doyle ให้สัมภาษณ์ อย่างไรก็ตามนี่อาจจะเป็นเพียงผลจากการสำรวจ ที่จะช่วยอธิบายบางสิ่งบางอย่างที่เราเห็นเท่านั้น แต่การดำเนินชีวิต และการเลือกทางเดินของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่เรากำหนดได้เอง และไม่ว่าคุณจะเป็นลูกคนแรกหรือคนที่สองก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้ทั้งนั้น ที่มา ladbible
-
20 ภาพและเรื่องราวอันแสนอบอุ่นหัวใจของ ‘แม่’ ผู้เป็นมากกว่าคนให้กำเนิด
แม่คือผู้ให้กำเนิดและมอบความรักให้กับเราเป็นคนแรกของชีวิต สิ่งที่แม่ทุกคนต้องการคือรอยยิ้มแห่งความสุขของลูกๆ ที่เธอพร้อมจะเสียสละทำทุกวิถีทางให้ออกมาเป็นอย่างนั้น นั่นคือความรักอันแสนบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ความสุขของลูกที่ได้รับมากจากแม่ของเราเรียกว่าไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบได้เลย เพื่อไม่ให้เราลืมความรู้สึกนั้นไป #เหมียวตะปู จึงได้นำภาพและเรื่องราวอันแสนอบอุ่นหัวใจของคนเป็นแม่มาชวนให้ทุกคนย้อนกลับไปคิดถึงความรักของพวกเธอกัน แม่ที่ยอมเสียสละบางสิ่งในชีวิตเพื่อลูก เธอคนนี้ยอมลาออกจากงานที่กำลังก่อร่างสร้างตัวอยู่เพื่อมาดูแลลูกน้อยของตัวเอง จนกระทั่งเด็กโตขึ้นมาจนเริ่มดูแลตัวเองได้ อีกทั้งเธอยังได้รับแรงบันดาลใจจากลูกของตัวเองในการเป็นผู้ประกอบการและสอนเด็กๆ เกี่ยวกับการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แม้ลูกทั้งสามคนนี้จะเติบโตในประเทศอเมริกา แต่คุณแม่ก็พยายามปลูกฝังไม่ให้เด็กๆ ลืมบ้านเกิดของตัวเอง บ้านเกิดของครอบครัวนี้อยู่ในประเทศเอลซัลวาดอร์ แต่พวกเธอและลูกๆ ได้มาอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังส่งเด็กๆ ให้ได้ไปเรียนภาษาสเปน บางครั้งคุณยายของทั้ง 3 ก็จะทำอาหารพื้นเมืองจากที่ประเทศบ้านเกิดและพาทุกคนกลับไปเที่ยวในประเทศนั้นเสมอหากมีโอกาส คุณแม่ท่านนี้เป็นหนึ่งในสมาชิกของนิกายลูเทอแรน นิกายหนึ่งของศาสนาคริสต์ ความอบอุ่นของเธอคือการมอบความรักให้กับลูกๆ ของตัวเองอย่างเปี่ยมล้น แม้ว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่บุตรบุญธรรมก็ตาม โดยมีลูกสาวสองคนเป็นแอฟริกัน-อเมริกัน และลูกสาวอีกหนึ่งคนจากประเทศจีน นี่คือครอบครัวที่มีแม่สองคน กับลูกชายอีกสองคนที่พวกเขาได้มอบความรักให้กันและกันอยู่เสมอ ชีวิตของทั้ง 4 คนเต็มไปด้วยความสุขและความรักที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาแทนที่ได้เลย คุณแม่ผู้เลี้ยงดูและสั่งสอนเด็กๆ ของเธอด้วยความรัก การเลี้ยงลูกเป็นเรื่องที่ยากลำบากและต้องเจอกับความท้าทายหลายอย่าง แต่คุณแม่คนนี้ก็ยังคงดูแลและเลี้ยงดูพวกเขาให้โตขึ้นมาได้อย่างมีความสุขและเพลิดเพลินไปกับการได้ใช้เวลาร่วมกัน แม่ของเด็กจำนวนมาก เธอมีลูกคนแรกเมื่อ 16 ปีก่อน ไปๆ มาๆ เธอก็ได้กลายเป็นคุณแม่ของลูกๆ ถึง 8…
-
รู้จัก “หนอนตัวแบนนิวกินี” สายพันธุ์รุกราน มันคือตัวอะไรกันแน่? และเราจะรับมือได้อย่างไร!?
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหลายๆ คนอาจจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเจ้าหนอนตัวแบนนิวกินี สัตว์ต่างถิ่นที่ติดอันดับ 1 ใน 100 สายพันธุ์รุกรานที่อันตรายของโลกในบ้านเราตามสื่อต่างๆ เจ้าหนอนตัวแบนชนิดนี้ถือได้ว่ามีอันตรายต่อระบบนิเวศอย่างมาก เพราะอาหารหลักของพวกมันนั้นก็คือหอยทากและสัตว์หน้าดินต่างๆ อย่าง ไส้เดือน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพและความอุดมสมบูรณ์ของดินนั่นเอง และเพื่อเป็นการทำความรู้จักกับเจ้าหนอนชนิดนี้ให้มากขึ้น วันนี้เราก็มีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับเจ้าสตว์ต่างถิ่นชนิดนี้มาฝากกัน… หนอนตัวแบนนิวกินีคืออะไร?? เจ้าหนอนตัวแบนนิวกินีนี้จัดอยู่ในกลุ่มของพวกหนอนตัวแบน ที่มีขนาดความยาวประมาณ 4 ถึง 6 เซนติเมตร ลำตัวมีสีน้ำตาลเข้มมีลักษณะแบน ความหนาประมาณ 5 มิลลิเมตร ส่วนหัวและหางมีลักษณะเรียวแหลม และมีดวงตา 2 ข้างอยู่ที่บริเวณหัว เจ้าหนอนสายพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดมาจากหมู่เกาะนิวกินี ประเทศอินโดนีเซีย ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1962 โดยปรกติแล้วเจ้าหนอนชนิดนี้จะชอบอาศัยอยู่ในเขตร้อนและมีการแพร่ระบาดออกมาตามเกาะต่างๆ ของหมู่เกาะอินโด สิงคโปร์ และมาเลเซีย แล้วเจ้าหนอนพวกนี้อันตรายแค่ไหนกันนะ?? อย่างที่บอกไปแล้วว่าอาหารหลักของเจ้าหนอนพวกนี้ก็คือหอยทากและสัตว์หน้าดินอื่นๆ อย่างเช่นไส้เดือนนั่นเอง ซึ่งสัตว์เหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของดิน แต่นอกจากความอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว เจ้าหนอนพวกนี้ยังเป็นพาหะแพร่เชื้อพยาธิปอดหนู และพยาธิหอยโข่ง ซึ่งอาจจะติดต่อมายังมนุษย์ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าการติดพยาธิเหล่านี้ในมนุษย์นั้นพบได้น้อยมาก แต่เราสามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการล้างผักให้สะอาด และไม่รับประทานผักสดที่อาจจะมีไข่ของพยาธิติดอยู่ก็ได้ การแพร่ระบาด ตามการรายงานของ สํานักข่าวไทย TNAMCOT ได้เปิดเผยว่าขณะนี้เจ้าหนอนตัวแบนเหล่านี้ได้แพร่ระบาดอยู่ใน 11…
-
17 อุบัติเหตุสุดสยองที่เกิดขึ้นในสวนสนุกทั่วโลก และมันดูเหมือนไม่สนุกเลยซักนิด…
การไปเที่ยวสวนสนุกใครๆ ต่างก็แฮปปี้ดี๊ด๊ากันทั้งนั้นเพราะว่ามันเป็นสถานที่ที่ให้เราสามารถกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งทั้งการส่งเสียงกรี๊ดหรือว่าจะทำตัวหลุดๆ ก็ไม่มีใครว่า แต่รู้หรือไม่ว่าสถานที่แห่งความสุขแบบนี้อาจมีเรื่องราวลี้ลับซ่อนอยู่ก็เป็นได้ นี่คืออุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสวนสนุกทั่วโลกหากใครอยากที่จะไปเที่ยวสวนสนุกเหล่านี้สักครั้งก็ควรรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาเพราะมิฉะนั้นคุณอาจจะเป็นเหยื่อรายต่อไปก็ได้… 1. เหตุการณ์ไฟไหม้บ้านผีสิงในสวนสนุก Six Flags รัฐฟลอริด้าปี 1984 แต่ผู้เข้าชมทั้งหลายต่างนึกว่าไฟทั้งหลายนั้นเป็นการแสดง เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 8 คนโดยนักดับเพลิงได้บอกเอาไว้ว่า “ผมแยกไม่ออกจริงๆ ว่าอันไหนคืออุปกรณ์ประกอบฉากอันไหนคือคนจริงๆ “ 2. รถไฟหลุดออกจากรางท่ี Disneyland California เหตุการณ์รถไฟหลุดออกจากรางนี้เกิดขึ้นในปี 2003 ซึ่งนั่นทำให้ชายคนหนึ่งเสียชีวิตและมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 10 คน 3. สายเคเบิ้ลหลุดออกจากรางรถไฟเหาะตีลังกาและนั่นได้ตัดขาของเด็กชายคนหนึ่งจนแทบจะขาดครึ่ง Kyle Wheeler และพ่อของเขาได้เล่นเครื่องเล่นที่มีชื่อว่า Xcelerator แต่บังเอิญว่าตอนนั้นได้มีสายเคเบิ้ลหลุดออกมาฟันเข้าที่ขาของเขานั้นทำให้เข่าของเขานั้นใช้งานได้ไม่ดีเหมือนก่อน 4. ในปี 1991 มีคนถูกไฟดูดถึง 2 คนที่สวนสนุก King Island ในรัฐ Ohio และอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเสียชีวิตจากการเล่นเครื่องจำลองการบิน ถึงเหตุการณ์ทั้งสองนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกันแต่ว่าก็มีระยะเวลาเกิดที่ไล่เลี่ยกัน โดยเหตุการณ์แรกคือมีคน 2 คนได้ลงไปเล่นบ่อน้ำในสวนสนุกนี้และถูกไฟดูดจากอุปกรณ์ใช้ไฟฟ้าบางอย่าง ส่วนเหตุการณ์ที่สองคือ มีสาวคนหนึ่งได้เล่นเครื่องจำลองการบินแต่ปรากฏว่าเธอกลับหลุดออกจากที่นั่งของเธอจนตกลงมาเสียชีวิตในที่สุด …
-
9 วิธีดีๆ ในการควบคุมความโกรธ จากผู้เชี่ยวชาญ ที่คุณก็สามารถฝึกได้เองที่บ้าน
ความโกรธหรืออารมณ์ขี้หงุดหงิดนั้นถือเป็นหนึ่งในนิสัยที่ดูไม่ค่อยจะน่ารัก และมันก็มักจะเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คนไม่ว่าคุณจะเป็นคนหัวล้านหรือไม่ แต่แน่นอนว่าคงไม่มีใครที่อยากจะอยู่กับคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวตลอดเวลาหรอกใช่ไหม?? และสำหรับบางคนที่อาจจะรู้ตัวว่าเป็นคนที่ขี้โมโหล่ะก็ วันนี้เราก็มีเทคนิคการจัดการอารมณ์โกรธดีๆ จากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกัน… 1. อย่าทำลายข้าวของ บางครั้งการลงมือทำลายข้าวของเวลาที่คุณโกรธนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี และการกระทำดังกล่าวก็ไม่ได้ช่วยให้ความโมโหของคุณลดลงไปด้วย แถมยังอาจจะทำให้ความโกรธของคุณเพิ่มมากขึ้นด้วย 2. พยายามหายใจเข้าลึกๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณโกรธ อาจจะทำให้ร่างกายของคุณรู้สึกเครียดได้ ดอกเตอร์ Robert Nicholson ผู้ช่วยศาสตราจารย์ทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวจากมหาวิทยาลัย Saint Louis University ได้แนะนำว่าการหายใจลึกๆ นั้นช่วยคลายความเครียดได้ 3. หาสาเหตุความโกรธของคุณให้พบ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกโกรธ ลองทำใจสบายๆ และลองมองหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น และพยายามหลีกเลี่ยง แทนที่จะเอาแต่นั่งบ่นและรู้สึกรำคาญ แต่ถ้าหากทำไม่ได้ก็ให้คุณปล่อยวางและอย่าไปคาดหวังกับสิ่งๆ นั้นเลย 4. อย่าอารมณ์เสีย!! นักจิตวิทยาจาก Southern California ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับมือกับอาการหงุดหงิด โดยการลองนึกภาพของตัวเองเวลาที่คุณรู้สึกแบบนั้นและสิ่งที่คุณกำลังจะตอบสนองมันออกไป การฝึกบ่อยๆ จะสามารถช่วยให้คุณควบคุมอารมณ์โกรธได้ และรู้ว่าควรทำอย่างไรเมื่อโกรธ 5. ลองออกไปสูดอากาศด้านนอกดูสิ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกว่าอารมณ์โกรธกำลังจะปะทุขึ้นมาล่ะก็ ลองเดินออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกซัก 5 นาที หรือทำอะไรก็ได้ที่ช่วยให้คุณผ่อนคลาย 6.…
-
อย่างสวย!! ชุบชีวิตภาพช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อเฉลิมฉลองการยุติสงครามครบ 99 ปี
การประกาศยุติสงครามเหมือนจะเป็นเรื่องที่ชาติต่างๆ ในโลกต่างพากันยินดี เพราะว่าในยุคสงครามนั้นผู้ชายส่วนใหญ่จะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารสำหรับการสู้รบและนั่นทำให้พวกเขาต้องพลัดพรากจากครอบครัวของพวกเขาไป ด้วยโอกาสอันดีที่สงครามนี้ได้ยุติลงในวันที่ 11 พฤศจิกายนซึ่งในปีนี้ได้ครบรอบ 99 ปี Royston Leonard ชาวอังกฤษวัย 55 ปี จึงได้นำรูปถ่ายต่างๆ ที่เคยเป็นเป็นรูปขาวดำมาชุบชีวิตใหม่ให้เกิดเป็นภาพสีขึ้นเพื่อให้เห็นอิริยาบถต่างๆ ของเหล่าทหารได้ชัดเจนขึ้น โดยในสงครามโลกครั้งที่ 1 นี้มีทหารชาวอังกฤษเสียชีวิตลงถึง 700,000 นาย ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างทหารกว่า 6 ล้านนายในสนามรบซึ่งนับว่าเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของโลกตลอดกาลเลยทีเดียว เหล่าทหารโศกเศร้าที่เขาต้องเสียเพื่อนร่วมรบไป เราจะระลึกถึงพวกเขา: กษัตริย์จอร์จที่วางพวงมาลาบนโลงศพของทหารกล้าในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1920 ความรื่นเริงหลังจากประกาศยุติสงคราม ภาพนี้ถ่ายที่ฟิลาเดลเฟียวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 ภาพแม่ชีวางพวงมาลาบนหลุมศพของทหารกล้าที่เสียชีวิตลงไป กลุ่มทหารสก็อตแลนด์กำลังมีความสุขที่จะได้ขึ้นรถกลับบ้านกัน กลุ่มทหารโพสต์ท่าให้ถ่ายรูปขณะกำลังดีใจที่สงครามยุติสักที ร่องรอยการทำลาย: หลุมระเบิดในเมืองแห่งหนึ่งที่ทำลายอาคารหายไปเลย คู่รักสูงวัยทักทายกับกองทหารราบที่ 308 ทหารเยอรมันนั่งอยู่บนรถถังคันหนึ่ง กองกำลังสก็อตเดินขบวนไปพร้อมกับปืนไรเฟิลเดินผ่านกองหญ้าระหว่างรบคลองดูนอร์ด ปี 1918 …
-
นักวิทยาศาสตร์เผย หากเรา “นอนหลับมากเกินไป” จะเกิด 9 ผลเสียเหล่านี้ ต่อร่างกายของเรา…
ว่ากันว่ากันพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ ซึ่งก็อาจจะจริงตามนั้นเพราะว่าอวัยวะทุกส่วนในร่างกายจะทำงานน้อยลงอีกทั้งเป็นช่วงเวลาที่เรายังได้พักความคิดต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แต่รู้หรือไม่ว่าถึงการนอนหลับจะมีประโยชน์ขนาดไหนแต่ถ้านอนเยอะเกินไปก็มีผลเสียต่อร่างกายเช่นกันนะ ซึ่งปกติแล้วสำหรับวัยผู้ใหญ่ควรนอนวันละ 7-9 ชั่วโมงและถ้าหากนอนน้อยเกินไปก็อาจจะทำให้ร่างกายเกิดอ่อนเพลียได้ แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าการนอนเยอะเกินไปก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราได้เหมือนกันนะ ซึ่งผลเสียที่ว่านี้จะร้ายแรงขนาดไหนลองไปดูกันเลยดีกว่า 1. คุณมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจมากขึ้น การนอนหลับมากกว่าวันละ 9-10 ชั่วโมงนั้นสามารถทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดมากกว่าคนที่นอนปกติกว่า 38% เลยทีเดียว ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก นอกจากนี้การนอนเยอะอาจทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือดมากกว่าคนปกติมากถึง 2 เท่า 2. มักจะนอนหลับไม่สนิทนัก มีทฤษฎีหนึ่งได้บอกไว้ว่าเวลานอนของเราถูกขัดจังหวะ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะโรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ หรืออาจจะเป็นเพราะบรรยากาศในการนอนไม่เหมาะสมเช่นมีแสงสว่างเกินไป หรือว่ามีเสียงรบกวนซึ่งภาวะหลับไม่สนิทอย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาวเลยล่ะ 3. คุณจะอ้วนได้ง่ายขึ้น การใช้เวลามากกว่า 9-10 ชั่วโมงบนเตียงนอนทำให้ร่างกายของเราไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เลย นั่นจึงทำให้ร่างกายไม่เกิดการเผาผลาญแคลอรี่เหมือนกับตอนที่เราตื่น ซึ่งเราอาจจะออกไปทำกิจกรรมนู่นนี่ซึ่งก็เหมือนการออกกำลังกายไปในตัว จากการศึกษาพบว่าคนที่นอนเยอะกว่าปกติมีโอกาสที่จะเป็นโรคอ้วนมากกว่าคนปกติถึง 21% เลยทีเดียว 4. อาจเป็นเบาหวานได้เลยนะ การนอนหลับที่ยาวนานอาจส่งผลให้เรามีโอกาสที่จะเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า เพราะว่าระยะเวลาในการนอนนั้นส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดของแต่ละคนนั่นเอง 5. คุณมักจะปวดหัวบ่อยๆ…
-
10 วิธีการบำบัดสายตาให้ดียิ่งขึ้นที่ชาวออฟฟิศทุกคนควรรู้ เหนื่อยนัก พักบ้างก็ได้…
สำหรับหนุ่มสาวชาวออฟฟิศแบบเรา คงเข้าใจกันดีว่าการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นั้นมันล้าขนาดไหน ล้าทั้งใจ ล้าทั้งกาย และที่สำคัญดวงตาน้อยๆ ของเราก็ถูกใช้งานอย่างหนัก ดังนั้นหนุ่มสาวทุกคนควรจะหันมาใส่ใจสุขภาพของดวงตากันมากขึ้น ซึ่งหากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลสุขภาพตาอยู่ล่ะก็ เราก็มี “10 วิธีการบำบัดสายตา” ที่คนทำงานหนักอย่างเราๆ ต้องรู้มาฝากกันล่ะ… 1. หลีกเลี่ยการใช้งานสายตาหนักๆ ในระหว่างวันคุณควรพักสายตาซักนาที แค่นี้ก็พร้อมจะสู้งานต่ออีกแล้วล่ะ 2. ภาพด้านล่างคือเทคนิคการบริหารสายตา ลองกรอกตาตามสัญลักษณ์ลูกศรดูสิ 3. หากคุณต้องใส่แว่นตาในชีวิตประจำวันเสมอ ควรที่จะถอดออกบ่อยๆ เพื่อพักสายตาบ้างนะ 4. หากคุณรู้สึกเมื่อยล้าสายตา ก็สามารถลองนวดได้ตามจุดในภาพนี้เลย 5. เมื่อคุณมีโอกาสได้ออกไปเดินในที่โล่ง คุณควรที่จะมองในระยะไกลบ้างเพื่อเป็นการฝึกสายตา แทนที่จะก้มมองแต่เท้าของตัวเอง 6. น้ำแครอทช่วยบำรุงสายตาของคุณได้ดีจริงๆ นะ แต่เคล็ดลับที่ดีกว่าคือการหยดน้ำมันมะกอกลงไปซักหยด ก็จะช่วยให้คุณดูดซึมคุณประโยชน์ในน้ำแครอทได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า 7. หากคุณรู้สึกระคายเคืองตาคุณสามารถใช้น้ำว่านหางจระเข้แทนการใช้น้ำยาหยอดตาได้ แต่อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้วิธีการรักษาแบบธรรมชาตินี้ 8. เมื่อดวงตาของคุณรู้สึกเหนื่อยล้า ให้ล้างด้วยน้ำอุ่นดู ก็จะรู้สึกดีขึ้นมาทันที 9. พยายามอย่ามองหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน 10. การบริหารสายตาอีกอย่างจากอินเดียที่เรียกว่า Trataka Exercise ที่เป็นการกำหนดสายตาและจิตใจไปที่วัตถุหนึ่ง สามารถช่วยให้สายตาและใจจับจุดโฟกัสได้ดีขึ้น…
-
เพิ่มความเท่ด้วย 20 ทรงผมขัดใจแม่ที่โดดเด่นได้ทุกสถานการณ์ ไปไหนก็มีแต่คนมอง!!
นอกจากเสื้อผ้าที่ดูดีและหน้าตาอันไม่มีที่ติของเราแล้ว ก็เห็นจะมีทรงผมนี่แหละที่จะช่วยให้เรานั้นดูดีและมีสไตล์ ว่าแต่ทรงผมแบบไหนกันล่ะ ที่จะให้เรามีเอกลักษณ์และเป็นที่จดจำ ถ้าเพื่อนๆ ยังคิดกันไม่ออกเราขอแนะนำ “20 ทรงผมขัดใจแม่” ที่แม้จะไม่ถูกใจผู้หลักผู้ใหญ่ แต่แล้วไงล่ะ อยากเท่ก็ต้องกล้าหน่อย!! แม่ครับผมอยากเป็นเลโก้ ไม่แน่ว่าการตัดผมแบบนี้อาจจะฮิตในอนาคต นี่ไงเจอแล้ว!! ลูกวอลนัทที่ฉันตามหา จะพยายามมองว่ามันเป็นไอศครีมช็อกโกแลตนะ จะทำทรงนี้ต้องใช้เงินกี่บาทเนี้ย!!? เป็นการสร้างกรอบให้ใบหน้าที่เยี่ยมยอด จะเอาทรงนี้ต้องบอกช่างว่าอะไรอะ?? ลุงคนนี้ต้องได้แรงบันดาลใจมาจากตัวละครในเกมส์ยุค 90 แน่ๆ เป็นการตัดผมที่แหวกแนวจริงๆ หนุ่มคนนี้อาจจะได้แรงบันดาลใจจากเปียโนหรือม้าลายก็เป็นได้ เหมือนเขาแพะเหมือนกันแฮะ น่ารักจัง ทรงผมนี้อาจจะสร้างความงุนงงเล็กน้อยต่อผู้พบเห็น หนุ่มคนนี้อาจจะหิวข้าวจัด ช่างยังตัดให้ไม่เสร็จเลย!! ไม่แน่ว่าทรงต่อไปอาจเป็นทุเรียนก็ได้ เมื่อลูกชายมีคุณปู่เป็นไอดอลในเรื่องทรงผม ทรงเห็ดแบบนี้ก็ชิคดีไม่น้อย เป็นทรงผมที่มีมิติจริงๆ แถมยังมีสีสันเหมือนกาแฟใส่นมอีกด้วย ต้นไม้ด้านขวาดูจืดไปเลย เจ้าหัวลูกบาส ฉันจะชู๊ตแกเอง…
-
งานวิจัยเผย ช็อคโกแลตกับไวน์แดง สามารถช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าของคุณได้
เรื่องของความอ่อนเยาว์นั้น เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนา ดังนั้นเครื่องสำอางและครีมทาผิวให้ที่คืนความเด็กให้กับสาวๆ ได้นั้น จึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนใฝ่หา แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่านอกจากการดูแลจากภายนอกแล้ว สาวๆ ยังต้องดูแลผิวจากภายในด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวอย่างไวน์และช็อคโกแลตด้วย!? งงล่ะสิว่าสองสิ่งนี้มันดีกับผิวตรงไหน งั้นลองไปอ่านบทความนี้กันดูเลยจ้า ความลับของความอ่อนเยาว์ด้วยการดื่มไวน์และช็อคโกแลตนั้นมาจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์และมหาวิิทยาลัยไบรท์ตัน ที่ค้นพบว่าทั้งไวน์และช็อคโกแลตนั้นสามารถช่วยทำให้เซลล์ที่เก่าแล้วกลับทำงานได้เหมือนเซลล์ใหม่ เมื่อเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้นเส้นใยดีเอ็นเอในเซลล์นั้นจะค่อยๆ สูญเสียเทโลเมียร์ ทุกๆ ครั้งที่เซลล์มีการแบ่งตัว เทโลเมียร์จะสั้นลง ระบบการทำงานในร่างกายจะเสื่อมถอยลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ทีมวิจัยใช้สารประกอบจากสารเคมีที่พบตามธรรมชาติในไวน์แดง ช็อกโกแลต องุ่นแดง และบลูเบอร์รี่ ไปใช้กับเซลล์ในห้องปฏิบัติการ และพบว่าอาหารเหล่านี้อุดมไปด้วย Flavonoids ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ภายในไม่กี่ชั่วโมงของการทดลอง ก็เกิดสิ่งที่เรียกว่า Reversatrol Analogues เซลล์เก่าจะเริ่มแบ่งตัวอีกครั้งและตัวเทโลเมียร์ก็ยาวกว่าเดิม หัวหน้านักวิจัยอย่างศาสตราจารย์ Harries กล่าวว่านี่เป็นก้าวแรกของการพยายามที่จะทำให้ผู้คนมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพที่ดีตลอดชีวิต ดอกเตอร์ Eva Latorre นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ ผู้ดำเนินการทดลองรู้สึกประหลาดใจกับความรวดเร็วในการเปลี่ยนแปลงเซลล์ “ฉันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นเซลล์บางส่วนมันเกิดการเปลี่ยนแปลง เซลล์เก่าเหล่านี้ดูคล้ายเซลล์สร้างใหม่ มันเหมือนเวทมนตร์” แม้ว่าการดื่มไวน์ทุกวันช่วยปกป้องหัวใจของคุณ และลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและปัญหาอื่นๆ แต่มันก็เพิ่มความเสี่ยงที่จะคร่าชีวิตคุณได้เช่นกันการดื่มจนมึนเมา และยังมีหลักฐานบางอย่างที่บ่งชี้ว่าการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด ดังนั้นไม่ว่าการดิื่มไวน์และการทานช็อคโกแลตจะให้ข้อดีข้อเสียอย่างไร เราก็ควรที่จะทานมันในปริมาณที่พอดีนะจ๊ะ ที่มา dailymail
-
สักเป็นดวงดาวราศีบนใบหน้า เปิดมิติใหม่แห่งเทรนด์ความงาม โอ้วว้าวมันยอดมว๊ากกก
สาวๆ หลายคนคงเคยเจอกับแฟชั่นเก๋ๆ อย่างการวาดกระลงไปบนใบหน้ากันบ้างแล้ว ซึ่งในช่วงก่อนเป็นอะไรที่ฮิตเอามากๆ และในครั้งนี้ก็มีเทรนด์การแต่งหน้าแบบฝ้ากระมาอีกแล้ว ที่มันมีความพิเศษก็ตรงที่มันเป็นการวาดแบบโหราศาสตร์!? เอ๊ะ มันจะเป็นยังไงกันนะ? ศิลปินชาวมิชิแกน Jessica Knapik สาวผู้สร้างกระแส “Astro Frecks” ที่ไม่ได้แค่เป็นการเขียนด้วยดินสอ แต่เธอใช้วิธีสักลงไปที่ใบหน้าซะเลย แบบนี้สาวๆ คงสนุกกับการสักรอยกระลงไปบนใบหน้ากันเอายกใหญ่ เพราะรอยกระนั้นมันมีความหมายอยู่ในตัวน่ะสิ “ฉันจัดวางตำแหน่งของดวงดาวให้สอดคล้องกับความตั้งใจ ความรู้สึก เป้าหมายและความปรารถณาของคุณไว้ในรอยสักกระเหล่านี้” Knapik กล่าว การสร้างรอยกระลงไปบนใบหน้านั้น ในความจริงแล้วเราสามารถใช้เครื่องสำอางเขียนลงไปได้ แต่ลำบากเราต้องมาเขียนใหม่ทุกๆ เช้า สู้สักลงไปเลยจะดีกว่า อันนี้เป็นจักรราศีอะไรเอ่ย ใครจำได้บ้าง เฉยคือราศีกันย์จ้าาา ใครดูออกบ้างเอ่ย บางทีกระเหล่านี้ ก็เป็นการสร้างเอกลักษณ์บนใบหน้าได้เหมือนกันนะ ที่มา buzzfeed
-
8 สัญญาณที่บ่งบอกว่า ‘ความเครียด’ กำลังเล่นงานคุณเข้าให้แล้วมาลองชมวิธีการแก้กัน
คนเราตามธรรมชาติก็จะมีหลากหลายอารมณ์ทั้ง ดีใจ เศร้า ตื้นตันใจ แต่รู้ไหมว่ามีอยู่อารมณ์หนึ่งที่อาจทำร้ายสุขภาพของเราให้ล้มหมอนนอนเสื่อเอาได้ง่ายๆ อารมณ์นั้นก็คืออารมณ์เครียดนั่นเอง ความเครียดเกิดจากการที่เราคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานซึ่งความวิตกกังวลนี้อาจทำให้เกิดอาการต่างๆ ขึ้นตามร่างกายและพาไปสู่ความเจ็บป่วยในที่สุด มาลองดูกันดีกว่าว่าอาการจากความเครียดจะเป็นอย่างไรและมีทางแก้อย่างไรบ้าง เริ่มมีตุ่มต่างๆ หรือลมพิษขึ้นตามร่างกาย หากคุณพบตุ่มแดงๆ ขึ้นตามร่างกายนั่นหมายความว่าโรคเครียดกำลังจะเล่นงานคุณแล้วเพราะว่าโลกเครียดจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลงทำให้มีจุดแดงๆ ซึ่งหากปล่อยไว้จะทำให้เกิดลมพิษขึ้นอีกทั้งยังทำให้ผิวระคายเคืองต่อสิ่งที่ไม่เคยแพ้มาก่อนอย่าง สบู่ อากาศหนาว โลชั่น หรือผงซักฟอก วิธีการแก้: นำผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นหมาดๆ ประคบไว้ในที่ที่มีตุ่มขึ้น แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นควรกินยาแก้แพ้ น้ำหนักขึ้นๆ ลงๆ ความเครียดจะไปกระตุ้นการปลดปล่อยฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งฮอร์โมนที่ว่านี้จะไปบั่นทอนความสามารถของร่างกายในการลดระดับน้ำตาลในเลือดและเปลี่ยนแปลงวิธีการเผาผลาญไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตนั่นจึงให้น้ำหนักเกิดโยโย่นั่นเอง วิธีการแก้: พยายามกินถั่วให้มากขึ้นเพราะว่า โปรตีนจากถั่วสามารถช่วยได้หากคุณกินอาหารน้อยเกินไปและยังมีไฟเบอร์ที่สามารถช่วยได้หากคุณไม่มีเวลาว่างสำหรับกินอาหารมื้อใหญ่ คุณมักจะปวดหัวบ่อยๆ หากคุณไม่เคยทรมานจากการปวดหัวมาก่อน แต่อยู่ๆ คุณก็รู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิดนั่นหมายความว่าความเครียดกำลังจะเล่นงานคุณแล้ว โดยความเครียดจะไปปลดปล่อยสารเคมีบางอย่างในสมองซึ่งสารชนิดนั้นอาจทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของเส้นประสาทแหละเส้นเลือดในสมองจะในที่สุดอาจจะทำให้เกิดโรค “ไมเกรน” ได้ วิธีการแก้: หากไม่ต้องการกินยาแก้ปวดลองทาน้ำมันลาเวนเดอร์หรือน้ำมันเปปเปอร์มินต์บริเวณขมับเมื่อเริ่มปวดหัว คุณมักจะปวดท้องบ่อยๆ ความเครียดอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบทางเดินอาหารได้มากกว่าหนึ่งโรค โดยมันสามารถทำให้ร่างกายผลิตกรดย่อยอาหารมากขึ้นนำไปสู่อาการเสียดท้อง อีกทั้งความเครียดสามารถชะลอการย่อยอาหารที่กระเพาะอาหารซึ่งเป็นสาเหตุของก๊าซและท้องอืดและทำให้เกิดการเกร็งตัวที่ลำไส้ใหญ่ได่อีกด้วย วิธีการแก้: ใช้ยาแก้ท้องเฟ้อหรืออาจจะลองดื่มน้ำขิงก็สามารถช่วยได้ …
-
‘Terry Fox’ เด็กหนุ่มที่ออกวิ่งกว่า 5,000 กิโลเมตรด้วยขาข้างเดียว เพื่อขอระดมทุนให้ผู้ป่วยโรคมะเร็ง
“อย่ายอมแพ้ คุณทำได้” คำพูดสั้นๆ แต่เปี่ยมไปด้วยพลังนี้ นอกจากจะทำให้พวกเรามีกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆ แล้ว คำพูดเดียวกันนี้ยังเป็นแรงกระตุ้นให้เด็กหนุ่มวัย 19 ปีมีแรงในการออกวิ่งเพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งอีกด้วย Terry Fox เด็กหนุ่มเด็กหนุ่มที่ออกวิ่งด้วยขาซ้ายเพียงข้างเดียว เพื่อระดมทุนช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็งเป็นระยะเวลาติดต่อกันนานถึง 143 วันในระยะทางรวมกว่า 5,373 กิโลเมตร Terry Fox เด็กหนุ่มชาวแคนาดาที่ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมปี 1958 ในรัฐแมนิโทบา ประเทศแคนาดา เขาเหมือนเด็กทั่วๆ ไปที่ชอบเล่นกีฬาและมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นคุณครูพละ แต่ทว่าในช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 1976 ก็เริ่มมีสัญญาณอันตรายเกิดขึ้นกับเขา หลังจากที่เด็กหนุ่มได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และมีอาการเจ็บที่หัวเขาด้านขวา อาการเจ็บหัวเข่าด้านขวาเริ่มรุนแรงมากขึ้นจนกระทั่งในเดือนมีนาคมปี 1977 แพทย์ก็ได้วินิจฉัยว่าเขาป่วยเป็นโรคมะเร็งกระดูก และจำเป็นต้องตัดขาด้านขวาทิ้ง พร้อมกับเริ่มทำเคมีบำบัด ในอดีตอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งนั้นมีน้อยมาก และการทำเคมีบำบัดก็เป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับผู้ป่วย และหลังจากที่ Fox ต่อสู้กับโรคร้ายและกลับมาแข็งแรงได้อีกครั้งเขาจึงเห็นถึงความสำคัญของการรักษาและเข้าใจถึงความเจ็บปวดของผู้ป่วยดี เด็กหนุ่มตัดสินใจที่อุทิศตัวเพื่อวงการแแพทย์ เขาตั้งเป้าที่จะระดมทุนเพื่อช่วยเหลือและพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งจนเกิดเป็นการวิ่ง Marathon of Hope ขึ้นมาหลังจากที่เขาได้อ่านเรื่องราวของ Dick Traum ผู้พิการคนแรกที่เข้าแข่งขันในรายการนิวยอร์คมาราธอน ชายหนุ่มเริ่มต้นโครงการของเขาในวันที่ 12 เมษายนปี 1980 ณ เมืองเซนต์จอห์น…
-
จริงดิ!! รู้หรือไม่ว่าการฟังเพลงคริสต์มาสซ้ำๆ สามารถส่งผลเสียต่อจิตใจเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ในช่วงใกล้เข้าปีใหม่ก็จะมีเทศกาลที่น่าสนุกและตื่นตาตื่นใจอยู่เทศกาลหนึ่งนั่นก็คือ คริสต์มาส ซึ่งเมื่อใกล้ถึงเทศกาลนี้ ในทุกๆ ที่จะประดับตกแต่งไปด้วยกล่องของขวัญ รวมถึงต้นสนพร้อมไฟสีต่างๆ อีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยในเทศกาลนี้ก็คือเพลงคริสต์มาสที่จะมาคอยบรรเลงให้เรามีอารมณ์ร่วมกับบรรยากาศที่แท้จริง แต่รู้หรือไม่ว่าการฟังเพลงคริสต์มาสวนลูปไปเรื่อยๆ กลับสร้างผลเสียต่อจิตใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ นักจิตวิทยา Linda Blair ได้อธิบายว่าการฟังเพลงวันคริสต์มาสที่เราฟังๆ กันอยู่ทุกปี สามารถสร้างผลกระทบต่อสภาพจิตใจในขณะนั้นได้ โดยสำรวจจากพนักงานในร้านค้าต่างๆ ที่จำเป็นต้องฟังเพลงเหล่านี้ตลอด 2 เดือน “พนักงานที่ต้องทำงานอยู่ในร้านค้าที่เปิดเพลงคริสต์มาสตลอดทั้งช่วงเทศกาล ส่วนใหญ่จะไม่มีสมาธิในการทำงานเพราะว่าพวกเขาจะใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการหลบเลี่ยงสิ่งที่เปิดกรอกหูพวกเขาอยู่ในตอนนั้น” Linda กล่าว นอกจากนี้เธอยังบอกอีกว่า นอกจากเพลงในเทศกาลคริสต์มาสแล้ว เพลงเทศกาลอื่นๆ ที่เราเคยได้ยินทุกปีอย่างเทศกาลฮาโลวีนก็สามารถสร้างผลกระทบต่อจิตใจได้ในแบบเดียวกัน แต่ในทางกลับกันการเปิดเพลงในเทศกาลที่แสนมีความสุขนี้กลับทำให้นักชอปปิงที่เดินเลือกของอยู่นั้นมีอารมณ์ที่อยากจะซื้อของเพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ จากการศึกษาในอดีตของเธอบอกเอาไว้ว่า การเปิดเพลงเทศกาลคริสต์มาสในร้านซื้อของต่างๆ บวกกับการสร้างกลิ่นที่เข้ากับบรรยากาศจะทำให้ผู้ซื้อรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลและทำให้การซื้อนั้นเป็นไปอย่างง่ายดายยิ่งขึ้น สำหรับเทศกาล Christmas หรือ X’Mas จะตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ ดังนั้นในประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์จึงให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้เป็นอย่างมาก เอ้า ใกล้เข้ามาแล้วเตรียมซ้อมร้องเพลงกันได้เลยละกัน ที่มา: providr
-
หมดยุคความเชื่อ “เรียนอะไรก็ได้ ขอแค่เป็น ม.รัฐ” ติวเตอร์แนะ “เรียนที่ตรงใจ ไม่ยึดติดสถาบัน”
สนับสนุนบทความโดย มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ไม่นานมานี้ มหาวิทยาลัยกรุงเทพได้เปิดห้อง Diamond Hall เป็นเวลา 3 วันเต็มให้สถาบันกวดวิชา Tutor DD จัดโครงการ “จุดเปลี่ยนชีวิต อนาคตเรา อนาคตไทย 4.0” โดยครั้งนี้ได้พานักเรียนมัธยมปลายจากทั่วประเทศร่วม 2,000 คน มาติวเข้มวิชาต่างๆ กับติวเตอร์ชื่อดังมากมาย พร้อมกับฟังเสวนาจากผู้นำในตลาดงาน เช่น บริษัทจัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทอินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ ยังมีอาจารย์จากคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารกิจการ ม.กรุงเทพ ที่ตบเท้าขึ้นเวทีให้คำแนะนำแบบเจาะลึก เพื่อเตรียมความพร้อมน้องๆ ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยระบบใหม่ที่เรียกว่า TCAS ตลอดจนแนะแนวการศึกษาอันเป็นตัวสะท้อนให้เห็นงานในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นอาชีพพนักงานบริษัทหรือเจ้าของกิจการ จึงนับเป็นการฉายภาพให้น้องๆ เห็นตัวเองล่วงหน้าอย่างชัดเจนขึ้นว่า ควรเดินไปทางไหนดีที่จะตอบโจทย์ความ ต้องการที่แท้จริงของแต่ละคน และ TCAS คือบทสรุปของชีวิตอย่างที่เชื่อกันจริงหรือ!? อาจารย์ฮัษมาน ธนวรกันต์ หรือ…
-
เซ็ทภาพอธิบายความคิด สิ่งที่คุณเห็นเป็นอย่างแรก จะช่วยอธิบายสถานการณ์ของคุณได้
การทำแบบทดสอบเกี่ยวกับบุคลิกภาพของตัวเองเป็นสิ่งที่ใครหลายคนชื่นชอบ เพราะมันทำให้เราได้รู้จักตัวเองจากหลายมุมมองที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่ถึงจะทำไปมากหลายร้อยการทดสอบขนาดไหนก็ไม่สามารถอธิบายเราได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นมาลองทำอีกซักอันก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอกจริงมั้ย? นี่จึงเป็นการทดสอบง่ายๆ ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่ขอให้คุณได้ลองมองเข้าไปในภาพว่า “เห็นสิ่งใดเป็นอันดับแรก” ไปดูกันว่าเรานั้นแอบมีด้านอะไรซ่อนอยู่ ตอนนี้เราต้องเจอกับอะไร และมันตรงกับความเป็นเรามากแค่ไหนกัน รถยนต์ หากสิ่งแรกที่เห็นคือรถแสดงว่าคุณเป็นคนรักอิสระ สนุกไปกับหนทางและวิธีการของตัวเอง คุณมักจะตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งอย่างรวดเร็วเพื่อให้สิ่งๆ นั้นเป็นไปตามความต้องการของตัวเองที่ได้วาดฝันเอาไว้ ผู้ชายถือกล้องส่องทางไกล คุณมองชีวิตของตัวเองในวงกว้างและไม่รู้สึกกังวลกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเรื่องที่มีความเฉพาะเจาะจง คุณซึมซับเรื่องราวต่างๆ อย่างรวดเร็วและจะรู้สึกไม่ชอบใจเวลาที่ต้องกลั่นกรองเรื่องบางเรื่องในเชิงลึก หรือต้องอยู่กับมันซ้ำๆ ตัวอักษร A นี่เป็นสิ่งที่น้อยคนเห็นเป็นอย่างแรก นั่นหมายความว่าคุณเป็นคนที่มักมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็นหรือไม่เคยคาดคิดกันมาก่อน นั่นจึงช่วยทำให้คุณมีการหยั่งรู้เรื่องต่างๆ ได้ก่อน รวมถึงมีเหตุผลเชิงอนุมาน มีความเป็นตรรกศาสตร์ มีเหตุมีผล ผู้หญิง หากว่าเห็นผู้หญิงเป็นอันดับแรก นั่นหมายความว่าหลายๆ ประสบการณ์ของคุณอาจเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เพราะว่าการมองโลกในแง่บวกของคุณช่วยทำให้ตัวเองและคนรอบข้างมีความสุขอยู่เสมอ อีกทั้งยังมีความมั่นใจและความอิสระที่มากกว่าใครๆ ผู้ชาย ถ้าคุณเป็นผู้หญิงแล้วเห็นผู้ชายในรูปก่อนแสดงว่าคุณอาจอยากได้คนคู่ใจเป็นคนโรแมนติกหวานแหวว หรือถ้ามีแฟนอยู่แล้วคุณก็มีความสัมพันธ์กับเขาไปในทางที่ดีอยู่ และมันจะดีขึ้นในอนาคต แต่ถ้าคุณเป็นผู้ชาย นั่นอาจหมายความว่าคุณกำลังกังวลกับคนรอบข้างที่เป็นผู้ชายอยู่ ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นเกย์หรอกนะ แต่ก็ไปลองหาคำตอบดูว่าเรากังวลเรื่องใครอยู่ ไม่อย่างนั้นปัญหานี้อาจทำให้คุณก้าวเดินต่อไปไม่ได้เลย …
-
เผย 12 สถานที่น่าสนใจจากใต้ท้องทะเลทั่วทุกมุมโลก รอช้าอยู่ไยรีบไปชมกันเลย…
อย่างที่ทราบกันดีว่าโลกของเรานั้นประกอบด้วยน้ำมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมหาสมุทรหลายๆ แห่ง หรือใต้พื้นน้ำนั้นจึงเปรียบเสมือนสุสานขนาดใหญ่ ที่เก็บรวบรวมซากอารยธรรมและวัตถุโบราณต่างๆ ไว้อย่างมากมาย และวันนี้เราก็มีสิ่งที่น่าสนใจในใต้ท้องทะเล จากทั่วทุกมุมโลกมาให้ได้ชมกัน ซึ่งขอบอกไว้ก่อนเลยว่าแต่ละที่นั้นไม่ธรรมดาเลย ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นไปชมกันเลย… 1. พิพิธภัณฑ์ใต้น้ำ Cancún เมืองกังกุน ประเทศเม็กซิโก พิพิธภัณฑ์ใต้น้ำในประเทศเม็กซิโกนี้เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อปี 2010 ที่นี่เต็มไปด้วยรูปปั้นต่างๆ ที่จมอยู่ใต้น้ำมากกว่า 500 ชิ้นด้วยกัน โดยพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแนวปะการังเทียมเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลนั่นเอง 2. เศษซากของเรือ MS Zenobia และเหล่ารถบรรทุกที่จมน้ำบริเวณทะเลเมดิเตอร์ริเนียน นอกชายฝั่งของประเทศไซปรัส เรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ ที่จมลงสู่ก้นทะเลพร้อมกับสินค้าที่บรรทุกมาในช่วงปี 1980 ซึ่งสินค้าเหล่านั้นยังรวมไปถึงรถบรรทุกกว่า 104 คันที่จมลงไปพร้อมกับเรือด้วย ปัจจุบันที่แห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ดำน้ำยอดฮิตไปแล้ว 3. Cenote Angelita แม่น้ำที่อยู่ใต้น้ำ ในประเทศเม็กซิโก อันที่จริงแล้วสิ่งที่อยู่ภายใต้น้ำเหล่านี้ไม่ได้เป็นแม่น้ำเหมือนที่เราเห็นแต่อย่างใด แต่พื้นสีขาวที่มีลักษณะคล้ายกับแม่น้ำที่เราเห็นนั้นคือก๊าซก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ที่เกิดจากการทับถม ผุพังของเศษซากพืชซากสัตว์ และถูกแบคทีเรียย่อยสลายในสภาวะขาดออกซิเจนนั่นเอง 4. โบราณสถานใต้น้ำ Yonaguni หมู่เกาะริวกิว ประเทศญี่ปุ่น หินรูปร่างปริศนาที่มีอายุมากกว่า 500…
-
ความแตกต่างของภาพสแกนสมองของเด็กสองคน คนไหนถูกรักคนไหนถูกทำร้าย!?
การเลี้ยงดูเด็กเป็นเรื่องสำคัญเพราะมันคือการวางรากฐานให้พวกเขาสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราสามารถพิสูจน์ความแตกต่างของเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูที่ดีกับเด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทารุณหรือปล่อยปละละเลยได้ ผ่านภาพสแกนสมองนี้ ภาพด้านล่างคือการเปรียบเทียบสมองของเด็กวัย 3 ขวบสองคน ที่มีความแตกต่างกันในเรื่องของการเลี้ยงดู ด้านซ้ายคือสมองของเด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมและได้รับการดูแลเอาใจใส่ ด้านขวาเป็นสมองของเด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างทารุณ ปล่อยปละละเลย และถูกกีดกันการรับรู้ต่างๆ สมองด้านซ้ายจากเด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี สมองด้านขวาของเด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างทารุณ ภาพนี้ถูกแชร์โดยศาสตราจารย์ Bruce Perry หัวหน้าฝ่ายจิตเวชของโรงพยาบาลเด็กในรัฐเท็กซัส โดยเขาต้องการให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหาการทารุณกรรมเด็กว่ามันส่งผลร้ายแรงมากขนาดไหน เห็นได้ชัดว่าสมองทางด้านขวามีขนาดเล็กกว่ามาก และมีลักษณะที่แตกต่างจากสมองของเด็กอีกคนอย่างชัดเจน เพราะการขยายตัวของโพรงในสมองและเยื่อหุ้มสมองเสื่อมที่สามารถสังเกตเห็นได้ ปัญหาที่ตามมาจากลักษณะของสมองที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในแบบนั้นก็คือ การเจริญเติบโตของเด็กจะช้ากว่าปกติและมีปัญหาในเรื่องของความจำจากการที่เยื่อหุ้มสมองเสื่อม ซึ่งอาการดังกล่าวพบได้ในคนแก่ผู้ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ภาพในลักษณะเดียวกันจากการศึกษาของมหาวิทยาลัย Oxford ในปี 2010 ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ต่างกับภาพที่เราได้เห็นในปัจจุบัน ผลกระทบทางกายภาพไม่ได้เกิดขึ้นกับสมองของเด็กเพียงอย่างเดียว งานวิจัยอื่นๆ ได้บอกว่าเด็กที่ถูกทารุณมีความเชื่อมโยงที่อาจทำให้พวกเขาป่วยเป็นโรคหัวใจหรือโรคอ้วนได้ในอนาคต นี่จึงเป็นปัญหาระยะยาวที่ส่งผลเสียอย่างมาก ไม่ใช่เพียงแต่ด้านร่างกายแต่รวมถึงด้านจิตใจการเข้าสังคมของเด็กอีกด้วย ด็อกเตอร์ Perry บอกว่าหากเด็กถูกกีดกันจากโลกภายนอก ไม่ได้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก พอพวกเขาโตขึ้นอาจกลายเป็นคนที่พึ่งพาคนอื่นอยู่เสมอ หรือไม่งั้นก็อาจเข้ากับคนอื่นได้ยาก นอกจากนั้นยังได้มีการพูดถึงความสำคัญของการเลี้ยงดูจากคนเป็นแม่ โดยงานวิจัยก่อนหน้านี้ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน นักวิจัย Joan Luby ได้ทำการวิเคราะห์เด็กจำนวน 127 คนตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มเข้าโรงเรียน ไปจนถึงตอนเป็นวัยรุ่น เพื่อหาความแตกต่างระหว่างการเลี้ยงดูจากแม่ที่เอาใจใส่…
-
ตำนานของ ‘ไลก้า’ จากหมาข้างถนนในรัสเซีย บินสู่ห้วงอวกาศและไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกเลย…
ชีวิตของหมาข้างถนนจริงๆ นั้นน่าสงสารจับใจเพราะนอกจากจะไม่เป็นที่ต้องการของใครแล้วชีวิตความเป็นอยู่ของมันยังอยู่บนโลกใบนี้อย่างอเนจอนาถต้องอดมื้อกินมื้อ แต่มีหมาข้างถนนตัวหนึ่งที่ได้รับโอกาสที่อาจจะเป็นความฝันของคนหลายคนนั่นก็คือการได้ออกไปนอกโลกนั่นเอง เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนปี 1957 เจ้าหมาเพศเมียตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Laika ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับโลกของเราเพราะมันคือสิ่งมีชีวิตแรกที่ออกไปโคจรรอบโลก แม้ว่าก่อนหน้านี้สหภาพโซเวียตจะเคยปล่อยหมาจำนวนมากขึ้นสู่อวกาศนอกโลกแต่ที่เจ้าหมาตัวนี้ได้รับการจดจำมากกว่าตัวอื่นนั่นเพราะว่ามันเป็นหมาตัวแรกที่สามารถขึ้นไปสู่วงโคจรต่ำของโลกได้ นักวิทยาศาสตร์ของสหภาพโซเวียตในขณะนั้นเลือกเจ้า Laika เพราะว่ามันมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นหมาอวกาศตามที่นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งเอาไว้ โดยเฉพาะมันมีความเป็นนักสู้มากพอที่จะเอาชีวิตรอดในท้องถนนของกรุงมอสโกในขณะนั้น อีกทั้งความน่ารักของมันอีกด้วย โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งกฎไว้ว่าต้องเลือกหมาที่เป็นตัวเมียเท่านั้นเพราะว่ามันมีอารมณ์ที่หลากหลายมากกว่าหมาตัวผู้ รวมทั้งการออกแบบชุดสำหรับหมาตัวเมียจะง่ายกว่าหมาตัวผู้เพราะว่าหมาตัวผู้นั้นมีองคชาตินั่นเอง ในวันที่ออกเดินทางเจ้าหมา Laika ได้สวมชุดนักบินอวกาศเต็มยศและได้ออกเดินทางโดยยานอวกาศ Sputnik 2 ซึ่งนั่นได้สร้างความวิตกกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมที่รอเจ้าหมาตัวนี้อยู่ให้กับคนรักสัตว์ชาวอเมริกันจำนวนมาก Dwight D. Eisenhower ประธานาธิบดีคนที่ 34 ของอเมริกาได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้เลยทีเดียว “เป็นเรื่องที่แปลกและน่าสงสารเจ้าหมาน้อยตัวนั้นจริงๆ ความคิดของคนส่วนใหญ่ไม่พอใจที่ส่งเจ้าหมาตัวนี้ขึ้นไปบนอวกาศเพราะนั่นเหมือนส่งมันไปตายเลย อีกทั้งยังไม่ชอบที่โซเวียตได้สร้างโฆษณาชวนเชื่อว่าเจ้าหมาตัวนี้ตายอย่างสบาย ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่อย่างนั้น” ดูเหมือนว่าในวาระสุดท้ายของเจ้า Laika จะไม่ได้ตายอย่างสงบจริงๆ เหมือนกับที่รัฐบาลโซเวียตประกาศไว้ เพราะว่าในปี 2002 หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับยาน Sputnik 2 ได้ออกมาเปิดเผยว่าเจ้า Laika ตายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ปล่อยยานขึ้นสู่อวกาศ โดยสาเหตุที่มันตายคือมันได้รับความร้อนสูงเกินไป สำหรับยานอวกาศ Sputnik 2 ที่เจ้า…
-
6 สุดยอดวิธีแก้ปัญหา Jet Lag คำแนะนำจากคนทำงานบนเครื่องบิน ใช้ได้ผลจริงๆ
เจ็ทแล็ก (Jet Lag) เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ที่เดินทางโดยเครื่องบินเท่านั้น และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ซึ่งอาการนี้จะเป็นเฉพาะเวลาที่ต้องเดินทางข้าม Time Zone ที่ต่างกัน เช่น การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปอเมริกา ซึ่งเวลาที่นั่นจะช้ากว่าเรา 12 ชั่วโมง ดังนั้นร่างกายจึงปรับเวลาไม่ทันเพราะไม่ได้ง่ายเหมือนเราหมุนเข็มนาฬิกาข้างฝา Nadia Clinton ผู้จัดการสายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ประจำสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ อาชีพของเธอผูกพันกับการบินตลอดเวลา ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเธอที่จะทำอย่างไรให้มีสุขภาพที่ดีและรู้สึกสดใสเมื่อเครื่องบินแลนดิ้งสู่พื้นดิน มาดู 6 สุดยอดวิธีจัดการปัญหา Jet Lag จากปากของ Clinton และพนักงานคนอื่นๆ บนเครื่องบิน ที่พวกเธอได้รวบรวมมาเป็นเคล็ดลับง่ายๆ ดังนี้ 1. ตั้งเวลาให้ตรงกับจุดหมายปลายทางข้างหน้าก่อนการขึ้นเครื่อง Clinton กล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่ฉันจะต้องทำก่อนขึ้นเครื่องบิน ซึ่งเทคนิคทางจิตวิทยานี้จะช่วยให้จิตใจปรับสภาพถึงเมืองที่เรากำลังจะไป คิดถึงสิ่งที่ควรจะทำเมื่อเครื่องลงจอดมากกว่าสิ่งที่ทำในโซนเวลาปัจจุบัน” 2. ควรตื่นตลอดเวลาในช่วงกลางวัน แล้วค่อยหลับในตอนกลางคืน Clinton กล่าวว่า “มันก็ฟังดูเข้าใจง่ายอยู่นะ ในการพยายามตื่นตัวในช่วงเวลากลางวันและหลับในตอนกลางคืน ซึ่งการที่เรายึดแสงในตอนกลางวันเป็นหลักจะช่วยให้รู้สึกสดชื่นเมื่อเครื่องลงจอด” 3.…
-
12 แนวคิดการเลี้ยงลูกจาก “ราชวงศ์อังกฤษ” ที่พ่อแม่ทุกคน สามารถเรียนรู้มาเป็นแบบอย่าง…
คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจเคยศึกษาวิธีการดูแลลูกกันมาแล้ว แต่ที่เรานำมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้กันครั้งนี้คือ วิธีการเลี้ยงลูกของคนในราชวงศ์อังกฤษ ทั้งหมดนี้คือแนวคิดของดยุคและดัชเชสแห่งแคมบริดจ์ ที่ทรงใช้ในการเลี้ยงดูพระโอรส George และพระธิดา Charlotte ซึ่งบอกได้เลยว่าวิธีต่างๆ พวกเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เองจริงๆ มีอะไรบ้างลงไปดูกันได้เลย ไม่ว่าจะอยู่ในระดับหรือชนชั้นใด ก็ไม่ควรมีชีวิตที่สุขสบายมากเกินไป ในครอบครัวนี้มีพี่เลี้ยงเด็กเพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น เพราะเชื่อว่าหน้าที่การเลี้ยงดู อาบน้ำลูกน้อย หรือพาเด็กไปเดินเล่น ควรเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ซึ่งนั่นทำให้ทั้งครอบครัวสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น เคารพหน้าที่การงานของคนอื่นๆ เด็กๆ ควรได้รับการเรียนรู้ว่างานทุกงานมีคุณค่าเสมอ แม้จะเป็นงานเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตก็ตามอย่างเช่น คุณแม่ทำกับข้าวให้ทาน หรือแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดห้อง แนวคิดนี้จึงทำให้พระโอรสและพระธิดากินอาหารครบทุกมื้อและเก็บห้องของตัวเองอยู่เสมอ เพราะเห็นว่าทุกงานมีคุณค่าที่ควรทำ ครอบครัวต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวถือเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นการดูแลกันหรือมีเวลาให้คือสิ่งที่ดีอย่างมาก จากความคิดนี้ทำให้พระโอรสและพระธิดามักใช้เวลาอยู่กับสิ่งต่างๆ ร่วมกับครอบครัวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยทั่วไปหรือการกินอาหาร ทุกคนมีสิทธิ์แสดงออกทางความคิดและความรู้สึกของตัวเอง แม้คนในราชวงศ์ส่วนใหญ่อาจต้องอยู่ภายใต้การถูกยับยั้งในหลายเรื่อง แต่การปล่อยให้เด็กแสดงอารมณ์และความคิดของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ จะช่วยพัฒนาการอยู่ร่วมกับคนในสังคมของตัวเด็กเองได้ การศึกษาคือสิ่งสำคัญ อันดับหนึ่ง การเรียนรู้อย่างเช่นการอ่านหนังสือ คือสิ่งสำคัญที่ควรให้เด็กได้ลงมือทำกันบ่อยๆ รวมถึงการพาไปพิพิธภัณฑ์หรือแหล่งการเรียนรู้ในที่ต่างๆ ก็ถือว่าเป็นวิธีการที่ดี…
-
10 ผลกระทบของ “กัญชา” ที่ส่งผลต่อร่างกายของเรา ในแบบที่พวกคุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
“กัญชา” พืชสมุนทรไพรที่อาจจะเป็นสิ่งต้องห้ามในหลายๆ ประเทศ แต่ในบางประเทศนั้นการใช้กัญชาในทางการแพทย์และการใช้เพื่อความเพลิดเพลินโดยอยู่ภายใต้กฎหมายกำหนดนั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ และแน่นอนว่าเหรียญย่อมมีาสองด้านฉันใด เจ้าพืชสมุนไพรชนิดนี้ก็ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียฉันนั้น ซึ่งวันนี้เราก็ได้รวบรวม 10 ผลกระทบจากกัญชาที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเรามาฝากกัน ซึ่งแต่ละข้อจะมีอะไรบ้างนั้นไปชมกันเลย… 1. กัญชานั้นทำให้คุณมีความสุข อย่างที่เรารู้ๆ กันดีอยู่แล้วว่ากัญชานั้นมีฤธิ์ต่อระบบประสาท โดยสารสำคัญที่ทำให้เรารู้สึกดีนั่นก็คือ THC หรือ Tetrahydrocannabinol นั่นเอง 2. การสูบกัญชาในระยะสั้นนั้นยังช่วยทำให้หัวใจเต้นเร็วได้อีกด้วย การสูบกัญชานั้นจะช่วยทำให้อัตราการเต้นของหัวใจคุณเพิ่มขึ้นประมาณ 20 ถึง 50 ครั้งต่อนาทีเลยทีเดียว ซึ่งอาการดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่ 20 นาทีถึง 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว 3. นอกจากนี้กัญชายังสามารถช่วยรักษาอาการเจ็บปวดได้ด้วยเช่นกัน สาร Cannabidiol หรือ CBD ที่อยู่ในกัญชานั้นมีผลในการใช้เป็นยารักษาโรคซึ่งรวมถึงอาการเจ็บปวดต่างๆ รวมไปถึงโรคลมชักอีกด้วย โดยสารเคมีดังกล่าวนั้นจะไม่ออกฤทธิ์ทำให้คุณเมาแต่อย่างใด และนอกจากนี้ปริมาณของ THC และ CBD ที่แตกต่างกันนั้นยังมีผลในการรักษาโรคที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย 4. และที่สำคัญกัญชายังมีส่วนช่วยในการักษาโรคลำไส้อักเสบอีกด้วย จากผลการศึกษาพบว่ากัญชานั้นมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีปัญหาลำไส้อักเสบ โดยจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2014 ได้เผยว่าผู้ป่วยที่ใช้สาร CBD ในปริมาณน้อยนั้นไม่พบอาการอักเสบของลำไส้ แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป …
-
วัยรุ่นที่เคยผ่าน “ค่ายดัดนิสัยติดอินเตอร์เน็ต” เผยภายในนั้น คือการทรมานขั้นรุนแรง!!
การเสพย์ติดโลกอินเตอร์เน็ตนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นปัญหาที่มากขึ้นเรื่อยๆ ในหลายๆ พื้นที่รวมถึงประเทศจีนด้วยเช่นเดียวกัน และหนึ่งในมาตรการที่พวกเขาใช้แก้ปัญหาที่ว่านี้ก็คือการอบรมพิเศษสำหรับเด็กที่ติดอินเตอร์เน็ต แต่ดูเหมือนว่าผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ หลังจากที่มีการเผยแพร่ภาพการฝึกในค่ายดังกล่าวออกมา นักเรียนผู้หนึ่งที่เคยผ่านค่ายบำบัดอาการติดอินเตอร์เน็ตของสถาบัน Yuzhang Shuyuan เล่าว่าในสถาบันดังกล่าวนั้นคุณครูจะควบคุมพวกเขาอย่างเข้มงวด และเฆี่ยนพวกเขาด้วยแส้มากกว่า 30 ครั้ง พร้อมกับขังให้อยู่ในห้องเล็กๆ เป็นเวลานานกว่า 1 สัปดาห์ ค่ายอบรมดังกล่าวตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ในเมืองหนานชาง มลซลเจียงซี ซึ่งผู้ปกครองที่มีความต้องการอยากจะนำลูกๆ มาบำบัดอาการติดอินเตอร์เน็ตนั้นจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงินกว่า 150,000 บาทสำหรับการเข้าค่ายนานกว่า 6 เดือน ในประเทศจีน อาการติดอินเตอร์เน็ตนั้นถือเป็นความผิดปรกติของร่างกาย และกำลังเพิ่มมากขึ้นในหมู่วัยรุ่น โดยเด็กๆ ที่มีอาการดังกล่าวจะละเลยการเข้าสังคม ไม่ใส่ใจคนรอบข้างและสนใจแต่โลกออนไลน์ ในการโฆษณาของสถาบันดังกล่าวได้อ้างว่าพวกเขาสามารถช่วยให้เด็กๆ หลุดพ้นจากการเสพติดอินเตอร์เน็ตได้ด้วยหลักปรัชญาจีนโบราณของขงจื๊อ และมันจะช่วยทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น ภาพโปรโมทของสถาบันดังกล่าวได้เผยให้เห็นนักเรียนของที่นี่ในชุดประจำชาติของจีน ที่กำลังอ่านวรรณกรรมคลาสสิคและกำลังฝึกการเขียนตัวอักษร แต่ในความเป็นจริงแล้วจากคำบอกเล่าของเด็กนักเรียนที่ใช้ชื่อว่า Shan Ni Ma Da Wang สถาบันแห่งนี้มีโหดร้ายกว่าที่เห็นในภาพมาก Shan Ni Ma Da Wang อดีตนักเรียนที่ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องประสบการณ์อันโหดร้ายในสถาบันแห่งนี้ ในโพสต์บนโลกออนไลน์ของหญิงสาวคนดังกล่าวเผยว่า เธอถูกแม่ของตัวเองหลอกให้เข้ามารับการรักษาที่สถาบันแห่งนี้ในปี 2014…
-
11 เมืองปลอดภัยที่สุดในโลก อาชญากรรมต่ำ สถานพยาบาลดี และคุณภาพชีวิตเจ๋ง!!
แหล่งข่าวอย่าง The Economist ได้เผยผลดัชนีเมืองที่ปลอดภัยของในปี 2017 ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดย NEC ซึ่งทำการจัดอันดับเมือง 60 แห่งที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ทั้งด้านความปลอดภัยส่วนบุคคล การรักษาความปลอดภัยของระบบดิจิทัล ความปลอดภัยด้านสุขภาพและความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐาน การประเมินจะพิจารณาจากเกณฑ์ดังนี้ -การรักษาความปลอดภัยส่วนบุคคล : ต้องคำนึงถึงอาชญากรรมในเมือง การก่อการร้ายและความรุนแรงอื่นๆ -ภัยคุกคามด้านความปลอดภัยระบบดิจิทัลที่เป็นการโจมตีแบบไซเบอร์ -การรักษาความปลอดภัยด้านสุขภาพ : ต้องดูในเรื่องการเข้าถึงโรงพยาบาลและบริการฉุกเฉินได้ทั่วถึง -ความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐาน : ต้องดูลักษณะสิ่งปลูกสร้าง ถนน และสะพานที่มีความแข็งแรงปลอดภัย ซึ่ง The Economist ได้วิเคราะห์ตัวบ่งชี้ 49 จุดในแต่ละแง่มุมของการรักษาความปลอดภัยเพื่อให้ได้ 100 คะแนนมาประเมินเมืองที่ปลอดภัย และนี่คือ 11 เมืองที่ได้รับการโหวตว่าปลอดภัยที่สุดในโลก พร้อมผลคะแนนในแง่มุมต่างๆ 11. เมืองแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี คะแนนรวม: 84.86 อันดับความปลอดภัยส่วนบุคคล: 11 อันดับความปลอดภัยด้านดิจิทัล: 16 อันดับความมั่นคงด้านสุขภาพ: 3 อันดับความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐาน:…
-
แล้วตามหลักวิทยาศาสตร์ นี่คือ 7 สิ่งที่ “ความรัก” ทำต่อร่างกายของคุณ
อย่างที่เรารู้ๆ กัน ความรักนั้นมักจะมอบความสุขให้กับเรา ไม่ว่าเราจะเป็นคนที่ถูกรักหรือเป็นฝ่ายมอบความรักเองก็ตาม แต่นอกจากความสุขแล้วยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลักวิทยาศาสตร์ซ่อนอยู่ในความรักอีกด้วยเช่นกัน และวันนี้เราก็มีความลับและเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจของเราเนื่องจากความรัก ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นไปชมกันได้เลย… 1. ความรักช่วยคลายความเจ็บปวดได้!! อย่างที่เราทราบกันดีแล้วว่าการกอดกันนั้นนอกจากจะทำให้อบอุ่นแล้วยังทำให้เรารู้สึกดีอีกด้วย แต่เมื่อไม่นานมานี้ผลการศึกษาจาก Mount Sinai School of Medicine จากสหรัฐอเมริกาได้เผยว่าการกอดนั้นยังมีผลต่อสารเคมีในสมองอีกด้วย และการกอดกันประมาณ 10-20 วินาทีจะมีทำให้ความเจ็บปวดของร่างกายลดลง โดยเฉพาะอาการปวดหัว และนอกจากนี้ผลการศึกษาจากภาควิชาจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย Rutgers University ยังได้เผยอีกว่าการถึงจุดสุดยอดหรือการได้รับการกระตุ้นทางเพศนั้นมีผลในการช่วยหยุดยั้งความเจ็บปวดของร่างกายอย่างเช่นอาการปวดเรื้อรังและข้ออักเสบ 2. ความรักช่วยดูแลหัวใจคุณ จากผลการศึกษาของคณะแพทย์ศาสตร์จากมหาวิทยาลัย University of North Carolina-Chapel Hill ได้ชี้ให้เห็นว่าการแสดงออกทางความรักนั้นจะทำให้หัวใจของเราเต้นช้าลง ซึ่งมีผลในการช่วยลดความเครียดและความเสี่ยงของโรคหัวใจในระยะยาว 3. ความรักก็ช่วยให้คุณต่อสู้กับเจ็บป่วยได้เช่นกัน การแสดงออกทางความรักตั้งแต่การจับมือไปจนถึงกิจกรรมเข้าจังหวะนั้นจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอ็นโดรฟินออกมา และช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของเรา และนอกจากนี้มันยังช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อการรักษาและต่อสู้กับความเจ็บป่วยต่างๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย 4. ความรักช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับได้ ฮอร์โมนของความรักอย่างออกซิโตซินและเอ็นโดรฟินนั้น จะช่วยยับยั้งฮอร์โมนที่มีผลต่อความเครียด มันจะช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น และจากผลการศึกษาของภาควิชากายวิภาคศาสตร์และชีววิทยาจากมหาวิทยาลัย Morehouse ได้ยืนยันว่าความรักนั้นช่วยให้เรานอนหลับสบายขึ้น 5. นอกจากนี้ความรักยังช่วยให้คุณเลิกยาเสพย์ติดและรับมือกับการถอนยาได้อีกเช่นกัน ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและออกซิโตซินนั้นจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถต่อสู้กับอาการเสพย์ติดสารเสพย์ติดต่างๆ ได้ และการมีความรักนั้นก็เป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มความสุขให้กับชีวิตคุณ…
-
ก็เพื่อนแท้นี่นา! งานวิจัยเผยมนุษย์น่ะ ‘รักหมา’ มากกว่ารักมนุษย์ด้วยกันซะอีก!!
จากการศึกษาวิจัยของศาสตราจารย์ Jack Levin และศาสตราจารย์ Arnold Arluke แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์นแห่งเมืองบอสตันที่ได้ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับความรู้สึกของมนุษย์ที่แตกต่างกัน เมื่อเห็นคนถูกทำร้ายและสุนัขถูกทำร้าย การวิจัยนี้ได้สอบถามความรู้สึกของคนจำนวน 240 คน โดยการสร้างเหตุการณ์สมมติขึ้นมาว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับรายงานว่ามีเหยื่อถูกทำร้าย โดยที่เหยื่อถูกทุบตีจนขาหักและหมดสติ ไม่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้” โดยแต่ละบทความก็จะเปลี่ยนเหยื่อที่ถูกทำร้ายคือ เด็กอายุ 1 ขวบ ผู้ใหญ่อายุ 30 ปี ลูกสุนัข และสุนัขอายุ 6 ปี โดยผลวิจัยได้เผยว่าผู้ที่ตอบแบบสอบถามรู้สึกไม่พึงพอใจมากหากเหยื่อที่โดนทำร้ายเป็นลูกสุนัข สุนัขแก่ รองลงมาเป็นเด็ก และอันดับสุดท้ายคือผู้ใหญ่ ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากความรู้สึกสงสารที่สัตว์เหล่านี้มันไม่มีทางต่อสู้เหมือนกับมนุษย์ และสุนัขเป็นเพื่อนรักที่แสนดีกับมนุษย์ ศาสตราจารย์ Levin ได้กล่าวว่า “เหยื่ออาชญากรรมที่เป็นผู้ใหญ่จะได้รับความสนใจน้อยกว่าเหยื่อที่เป็นเด็กและสุนัข เนื่องจากว่าเด็กและสุนัขไม่สามารถช่วยเหลือป้องกันตัวเองจากภัยอันตรายได้ และรวมไปถึงสัตว์เลี้ยงอื่นๆ อีกด้วย” งานวิจัยนี้ยังได้ศึกษาจากแคมเปญการกุศลที่จัดขึ้นเมื่อปี 2015 ที่เขียนบรรยายว่า “คุณจะให้เงินจำนวน 5 ปอนด์ เพื่อช่วยเหลือแฮริสันจากความตายอันแสนทรมานหรือไม่” โดยที่ทีมงานได้ปริ้นป้ายแคมเปญออกมาสองแบบ คือแฮริสันที่เป็นเด็กกับแฮริสันที่เป็นสุนัข ผลปรากฎว่าป้ายแคมเปญที่เป็นสุนัขได้รับความสนใจกว่าแบบที่เป็นมนุษย์อย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งงานวิจัยนี้อาจจะเป็นเรื่องจริง…
-
พาชม 15 ภาพชีวิตของผู้คน ที่อาศัยอยู่ใน “ห้องรูหนู” ของเมืองใหญ่ต่างๆ รอบโลก!!
เมื่อผู้คนต่างหลั่งไหลเข้าไปยังเมืองใหญ่ๆ แต่เราไม่สามารถเพิ่มขนาดพื้นที่ของโลกใบนี้ได้ นั่นหมายความว่า ที่พักอาศัยในเมืองย่านเศรษฐกิจจึงต้องมีขนาดเล็กลงและแพงขึ้น เพื่อตอบรับความหนาแน่นของประชากรที่มากขึ้นทุกวัน บางคนต้องยอมมีเพื่อนร่วมห้องมาเพิ่ม ทั้งที่ต้องอยู่ในที่แคบๆ ที่อยู่คนเดียวก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว เพราะปัญหาทาการเงิน หรือภาระอื่นๆ ที่ทำให้ไม่มีทางเลือกมากนัก และนี่คือตัวอย่างของวิถีชีวิตของผู้คนในห้องแคบๆ ของเมืองใหญ่ ผ่าน Dharavi ย่านใจกลางเมืองมุมไบ ประเทศอินเดียเป็นหนึ่งในชุมชนแออัดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยมีผู้คนอาศัยอยู่ที่นั่นมากกว่าหนึ่งล้านคน ค่าเช่าสำหรับบ้านขนาด 9 ตารางเมตร มีตั้งแต่ราคา 1.33 – 1.99 บาทต่อตารางเมตร หรือห้องพวกนี้จะมีราคาค่าเช่าเฉลี่ยเพียงแค่ 132-200 บาท ส่วนในอพาร์ตเมนต์ที่มีขนาด 6 ตารางเมตร แม่ลูกคู่นี้ต้องจ่ายเงินถึง 16,000 บาทต่อเดือน เพื่อเป็นค่าที่พักในฮ่องกง ในขณะเดียวกัน Jon-Christian Stubblefield อาศัยอยู่ในสตูดิโอขนาด 18 ตารางเมตรที่กว้างขวางในซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ห่างออกไปเพียงไม่กี่กิโลเมตร Seungchul ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เห็นด้วยว่าห้องขนาด 18 ตารางเมตรเป็นห้องที่เหมาะกับเขา ชายคนนี้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า…
-
ผู้เชี่ยวชาญเผย ‘กลิ่น’ ของจิ๊มิ๊เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะมันช่วยบ่งบอกปัญหาสุขภาพ
สาวๆ ทั้งหลายรู้ไหมว่าอวัยวะส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งของร่างกายที่เรานั้นต้องดูแลเป็นพิเศษ นั่นก็คือ จิ๊มิ๊ ของเรานั่นเอง และ #เหมียวบู้บี้ เชื่อว่าหลายๆ คนก็ยังมีวิธีการดูแลที่ผิดๆ อยู่ จิ๊มิ๊ เป็นอวัยวะที่มีความบอบบางๆ มาก จึงต้องได้รับการเทคแคร์อย่างดีจากเจ้าของ ซึ่งถ้าเกิดว่าเราดูแลน้องจิมมี่ของเราไม่ดีล่ะก็ ปัญหาสุขภาพต่างๆ ก็จะตามมาเป็นขบวนเลยล่ะ Dr. Jen Gunter สูตินรีแพทย์ชาวแคนาดา ได้ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลน้องจิมมี่ที่สาวๆ ควรรู้ไว้ หลังจากที่มีข่าวลือผิดๆ ที่ออกมาแพร่ในช่วงหนึ่ง ที่แนะนำให้สาวๆ ใช้แตงกวาและยาหม่องในการล้างช่องคลอดเพื่อดับกลิ่น ซึ่ง Dr.Jen ก็ได้ออกมาบอกว่าสาวๆ จะทำอย่างนั้นไม่ด๊ายยยย เพราะว่าช่องคลอดของเรานั้นมีความบอบบาง การนำสิ่งแปลกปลอมต่างๆ มาใช้ในส่วนนั้นอาจจะทำให้เกิดอาการติดเชื้อได้ ตามธรรมชาติร่างกายจะที่สร้างแบคทีเรียที่ชื่อว่า แลคโตบาซิลัส ในช่องคลอดมาไว้เพื่อความสมดุล โดยปกติช่องคลอดจะมีค่า pH เป็นกรดอ่อนๆ ควบคุมไม่ให้เชื้อรา ยีสต์ และแบคทีเรียที่อันตรายตัวอื่นเจริญเติบโตได้ และก็เป็นเรื่องธรรมดาที่สาวๆ จะมีกลิ่นจิ๋ม อันเนื่องมาจากภาวะต่างๆ ของร่างกาย เช่นระหว่างการมีประจำเดือน หลังมีเพศสัมพันธ์ หรือในระหว่างที่กินยาปฏิชีวนะ อีกหนึ่งความเชื่อผิดๆ ที่สาวๆ…
-
รู้จักแม่น้ำตามธรรมชาติที่ร้อนจนเดือดปุดๆ จากตำนานเล่าขานในวัยเด็กสู่การค้นพบที่มีอยู่จริง!!
เคยคิดไหมว่าในโลกนี้นอกจากบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติแล้วจะมีแม่น้ำที่ร้อนเดือดราวกับลาวาอยู่? ร้อนขนาดที่ถ้าตกลงไปเท่ากับตายอย่างเดียว…คุณคงคิดภาพมันไม่ออกใช่ไหมล่ะ แต่แบบนั้นมันมีอยู่จริงๆ นะเออ Shanay-timpishka คือชื่อของแม่น้ำที่ว่านี้ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของป่าอเมซอนในประเทศเปรู ซึ่งเป็นแม่น้ำตามธรรมชาติที่ร้อนตลอดเวลา ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตไหนก็ตามที่เหยียบย่ำลงไปมีอันจบชีวิตทันที สำหรับใครที่คิดว่าในน้ำมีสารเคมีหรือมีสีแปลกๆ หรือเปล่านั้น คำตอบคือไม่มีเลย เพราะน้ำในแม่น้ำดังกล่าวนั้นมีสีสันที่เหมือนแม่น้ำปกติ สามารถนำมาใช้ทำอาหาร ทำยาและดื่มได้ปกติ จะต่างก็แค่มีไอน้ำลอยออกมาตลอดเวลาเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าที่นี่มันร้อน อย่าเข้ามาใกล้นะ Andrés Ruzo นักธรณีวิทยาที่เล่าว่าตอนเด็กเคยได้ยินเรื่องเล่าในตำนานของเปรูหลายๆ อย่างจากปู่ของเขา ทั้งเรื่องเมืองที่ทำจากทองคำ ตำนานความโหดเหี้ยมของป่าอเมซอนหรือแม้แต่แม่น้ำที่เดือดตลอดเวลาแห่งนี้ด้วย เขาคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่าไม่มีอยู่จริง จนกระทั่งโตขึ้นเขาเริ่มศึกษาและจบปริญญาเอกสาขาธรณีวิทยา ซึ่งในตอนนั้นเขาก็ได้กลับมาฉุกคิดเรื่องเล่าของปู่อีกครั้ง เรื่องเล่าเกี่ยวกับแม่น้ำที่เดือดตลอดเวลาว่ามันมีจริงๆ เหรอ? เขาถามทั้งเพื่อน เจ้าหน้าที่รัฐ หรือบริษัทใหญ่ๆ ทุกคนก็ล้วนบอกว่า มันไม่มีอยู่จริง… ซึ่งตัว Andrés ก็คิดเช่นเดียวกันว่า ถ้ามันจะมีแม่น้ำที่เดือดตลอด หรือมีน้ำพุร้อนมันก็จะต้องมีเรื่องของภูเขาไฟมาเกี่ยวข้อง แต่เขาพบว่าป่าอเมซอนในประเทศเปรู มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับภูเขาไฟเลย แล้วแบบนี้แม่น้ำที่เดือดตลอดจะมีจริงได้ยังไง? ทว่าสุดท้ายเรื่องราวนี้ก็ถูกยืนยันโดยตัวป้าและลุงของเขาเอง ซึ่งนั่นทำให้ป้าของเขากลายเป็นไกด์และนำพาตัวเขาไปยังแม่น้ำที่เดือดตลอดเวลาในอเมซอน ที่นั่นเขาก็ได้พิสูจน์ด้วยตาแล้วว่ามันมีจริงๆ แม่น้ำที่เดือดตามธรรมชาติไม่ใช่แค่ตำนาน แถมยังมีชาวบ้านอาศัยอยู่ใกล้ๆ ทำหน้าที่เป็นเหมือนหมอผีอีกด้วย นับตั้งแต่การค้นพบในปี 2011 ของเขา เขาได้เดินทางไปยังที่แห่งนี้ทุกปีเพื่อศึกษาว่าทำไมแม่น้ำแห่งนี้จะมีความร้อนมากกว่าปกติ…
-
ชวนฟังเพลงที่นักประสาทวิทยาคอนเฟิร์ม ช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวลได้มากถึง 65% โค๊ววว!!
อาการวิตกกังวลเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน สาเหตุอาจเกิดจากความหวาดกลัว ระแวง หรือกังวลถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งหากคุณมีอาการดังกล่าวบ่อยครั้งหรือกังวลอย่างหนัก ก็อาจทำให้คุณป่วยเป็นโรควิตกกังวลได้เลย โรคดังกล่าวนอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องต่างๆ แล้ว มันยังส่งผลต่อไปถึงร่างกายของเราได้อีกด้วย เช่น เจ็บหน้าอก ชาตามร่างกาย เวียนหัว หรือท้องไส้ปั่นป่วน หลายคนที่เป็นอาจเลือกรักษาด้วยการกินยา ซึ่งแน่นอนว่าการรับสารเคมีเข้าไปในร่างกายต้องได้รับผลกระทบบางอย่างอยู่ แต่ตอนนี้ผลการวิจัยล่าสุดออกมาแล้วว่ามีอยู่เพลงหนึ่งที่สามารถช่วยลดความกังวลได้มากถึง 65 เปอร์เซ็นต์!! นักประสาทวิทยาจาก Mindlab International ในสหราชอาณาจักร ได้ร่วมกันวิจัยเพื่อหาคำตอบว่าเพลงแนวไหนที่สามารถลดความวิตกกังวลได้มากที่สุด จากการสังเกตเรื่องการทำงานของสมอง อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด และอัตราการหายใจของผู้เข้าทดสอบที่ฟังเพลงหลายๆ แนว ทางทีมวิจัยก็ได้นำผลลัพธ์ส่งต่อให้นักดนตรีและนักบำบัดด้วยเสียง ให้พวกเขาช่วยกันแต่งเพลงขึ้นมา ทำให้ออกมาเป็นเพลงที่ชื่อว่า Weightless ของ Marconi Union โดยจากการทดสอบเพลงนี้สามารถลดความวิตกกังวลได้มากถึง 65 เปอร์เซ็นต์ และช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายมีอัตราการพักผ่อนเพิ่มขึ้น 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของเราจริงๆ เพื่อนๆ ลองไปฟังกันดูเลยยย บทเพลงแห่งความผ่อนคลาย ช่วยลดความวิตกกังวลได้เป็นอย่างดี นอกจากการฟังเพลงนี้แล้ว เพื่อนๆ ก็อย่าลืมหากิจกรรมอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อผ่อนคลายตัวเองจะได้ไม่เครียด …
-
การทดลองเอาคำด่าในเน็ตมาด่ากันต่อหน้าจริงๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสังคมออนไลน์น่ากลัวเพียงใด
เราอาจเคยเจอกับความคิดเห็นในโลกออนไลน์ที่พูดถึงคนอื่นๆ ในทางที่ไม่ดี ต่อว่าในสิ่งที่เขาหรือเธอแชร์ลงไป ซึ่งเราเคยคิดกันบ้างมั้ยว่าหากเราต้องเป็นคนถูกด่าแบบนั้นบ้างมันจะเป็นอย่างไร ความรุนแรงทางคำพูดจากความคิดเห็นเหล่านั้นเป็นสิ่งที่หลายคนอาจไม่เคยฉุกคิดมาก่อน แต่ตอนนี้ได้มีการทดลองหนึ่งชื่อว่า Offline Experiment ที่จะทำให้คุณเห็นภาพและเข้าใจกับผลกระทบของคำพูดแย่ๆ โลกออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้น การทดลองนำคำด่าในเน็ตมาด่าในชีวิตจริง การทดลองนี้กำหนดให้มีนักแสดงอยู่สองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งรับบทเป็นคนด่า อีกฝ่ายหนึ่งรับบทเป็นคนถูกด่า โดยคำด่าที่ใช้นั้นถูกนำมาจากคอมเม้นต์รุนแรงในโลกโซเชียล อย่างเช่น “ฉันว่าพวกเกย์มันบ้าชัดๆ พวกแกสมควรตายๆ ไปซะ” “แกมันโง่ แกมันคือตัวประหลาดที่สุดในโรงเรียน” “ยัยอ้วน!! หัดออกกำลังกายซะบ้างนะ ฉันละเกลียดคนอ้วนมากๆ เลย” ทั้งหมดที่ทำไปนั้นเพื่อต้องการสังเกตปฏิกิริยาของผู้คนรอบๆ ว่าพวกเขาแสดงออกกับการที่ต้องมาเห็นคนถูกด่าด้วยคำเหล่านั้นอย่างไร สังเกตจากพฤติกรรมของคนรอบข้างว่าพวกเขาจะแสดงออกมาอย่างไรกับเหตุการณ์แบบนี้ คลิปการทดลองทางสังคมเมื่อนำคำด่าในเน็ต มาด่ากันในชีวิตจริง การทดลองทางสังคมในครั้งนี้เกิดจากไอเดียของ Monica Lewinsky หญิงสาวผู้เคยมีความสัมพันธ์อื้อฉาวกับอดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ Bill Clinton จากเรื่องนั้นจึงทำให้เธอเจอกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากคนในสังคม และการกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ (หรือเรียกว่า Cyber Bully) ที่เข้ามาโจมตีเธออย่างหนัก เมื่อเธอสามารถก้าวผ่านความเจ็บปวดนั้นมาได้ ต่อมาเธอก็ได้กลายเป็นแกนนำหลักในการรณรงค์เรื่องของการกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ จึงทำให้เกิดไอเดียดังกล่าวที่ร่วมมือกันสร้างขึ้นมากับบริษัทโฆษณา BBDO New York Monica…
-
ถ้าคุณพูด 5 ประโยคแบบนี้บ่อยๆ คุณอาจจะมีความเป็นคนโรคจิตอยู่ในตัวก็เป็นไปได้
Psychopath หรือที่เราเข้าใจกันง่ายๆ ด้วยคำว่าโรคจิตหรือคนบ้า หมายถึงคนที่ขาดความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น ไม่มีความสำนึกผิด และเห็นแก่ตัว และที่สำคัญ ประมาณ 1% ของประชากรบนโลก ป่วยด้วยโรคทางจิตเหล่านี้อยู่ ซึ่งไม่แน่ว่าพวกเราเองก็อาจเป็นหนึ่งในนั้นโดยที่ไม่รู้ตัวมาก่อน Jackson MacKenzie ผู้เขียนหนังสือวิธีการรับมือกับอาการดังกล่าว ได้ออกมาแชร์ข้อสังเกตง่ายๆ ในการสำรวจตัวเอง โดยดูจากคำพูดของเรา ถ้าหากเราพูดประโยคเหล่านี้บ่อยๆ นั่นอาจหมายความว่าคุณกำลังเข้าข่ายเป็นโรคจิตแล้วก็ได้นะ มีประโยคอะไรบ้างไปดูกันเลย “เธอคอยจับผิดทุกเรื่องอยู่เรื่อยเลย” หากคุณพูดแบบนี้อาจหมายความว่าคุณกำลังโดนจับผิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่ แต่หากคิดให้มากกว่านั้นคุณอาจกำลังทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดและไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป วิธีการดังกล่าวเหมือนกับคนโรคจิตที่ชอบสร้างจุดกระตุ้นเล็กๆ ให้คนอื่นสังเกตเห็น และหากมีคนพูดถึงจุดนั้นขึ้นมา คนคนนั้นก็จะถูกต่อว่ากลับไปจนต้องรู้สึกผิด “ฉันเกลียดการดราม่า” คุณอาจถูกคนที่มีอิทธิพลมากกว่าทำเรื่องไม่ดีให้ชีวิตตกต่ำหรือแย่ลง แต่สุดท้ายคุณเลือกที่จะไม่ยกความจริงขึ้นมาพูดถึงเพราะไม่อยากให้มันกลายเป็นการดราม่า แต่ในความเป็นจริงคุณอาจกำลังสร้างเรื่องดราม่ามากกว่าคนอื่นอยู่ก็ได้ “เธอเข้าใจฉันผิดไป” สมมุติว่าเจ้านายของคุณมาพูดอย่างนี้และคุณทำงานออกมาผิดจริง นั่นอาจไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นโรคจิตก็ได้ แต่สำหรับคนที่มีอาการนั้นจริงๆ พวกเขาจะทำหรือพูดบางอย่างให้คุณได้เห็นหรือรับรู้ ก่อนที่จะต่อว่าคุณกลับมาว่าคุณตีความสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อผิดไป หรืออาจบอกว่าสิ่งที่คุณพูดมามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “เธอเป็นคนอ่อนไหวมากจริงๆ” ผู้มีอาการ Psychopath จะทำให้คุณต้องเจอกับจุดที่อารมณ์ของคุณอ่อนไหวมากที่สุดและเขาก็จะตอกย้ำให้คุณต้องรู้สึกอย่างนั้น เหมือนกับว่าพวกเขาสามารถควบคุมความรู้สึกของคนอื่นได้ “เธอ บ้าหรือเปล่า / เป็นไบโพลาร์หรือไง…
-
มาดู 23 เหตุผลที่ว่า ถ้าคุณได้ไปอยู่ที่นิวซีแลนด์ ชีวิตของคุณจะรู้สึกดีมากจนเกินไป!!
นิวซีแลนด์ไม่ดีเลยยยยยยยย!? เอาล่ะ ใจเย็นๆ นะเจ้าพวกมนุษย์ทั้งหลาย ทำไมการไปอยู่ที่นิวซีแลนด์ถึงไม่ดีล่ะ!? อยากจะบอกเหลือเกินว่าถ้าหากไปแล้วกลับมาเมื่อไร จะต้องทุกข์ทรมานเพราะความคิดถึงภาพเหล่านี้ที่นิวซีแลนด์ทุกวันยังไงล่ะ เอ๊ะ!! แล้วมันเป็นยังไงล่ะ 1. เพราะว่าตื่นมาก็ต้องเจอภาพแบบนี้ทุกๆ เช้า . . 2. ซึ่งประเทศนี้ก็เป็นเหมือนดั่งภาพวาดที่มีชีวิตชีวา 3. ถ้าวันไหนเกิดเครียดขึ้นมาก็ออกไปชิวที่บ่อน้ำพุร้อนได้ . 4. หรือไม่ก็ชมความงามในเมืองออกแลนด์ไปพลางๆ 5. แวะไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ที่อยู่รอบเมืองก็ได้นะ . 6. แต่ถ้ามันไม่ค่อยเร้าใจก็ลองไปเล่นที่บ้านผีสิง Fear Factory ดูซิ!! . 7. คุณจะสามารถเห็นความแตกต่างของสถานที่เดียวกันได้ถึง 3 เวอร์ชั่นภายในวันเดียว . . 8. แถมยังมีถ้ำที่มีหนอนเรืองแสงได้ด้วยนะเออ . 9. คุณจะเริ่มติดใจการเดินมากขึ้น 10. หรือไม่ก็อยากจะนั่งรถไฟแบบชิวๆ . …
-
ชีวิตของ Jeff Bezos เศรษฐี 2.7 ล้านล้านบาท เจ้าของ Amazon ยังคงตื่นแต่เช้า-ล้างจานด้วยตัวเอง
สำหรับใครที่ชื่นชอบการซื้อของออนไลน์กันอยู่บ่อยๆ คงจะคุ้นชื่อเว็บไซต์ Amazon กันเป็นอย่างดี และคนที่อยู่เบื้องหลังของความสำเร็จนั้นก็คือ Jeff Bezos มหาเศรษฐีวัย 53 ปีผู้นี้นี่เอง ถึงแม้ว่าจะมีทรัพย์สินมากมายมาหาศาลและเป็นเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น The Washington Post หรือบริษัทด้านอวกาศอย่าง Blue Origin และมีทรัพย์สินมากถึง 900,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ Jeff Bezos นั้นยังคงใช้ชีวิตของเขาเหมือนกับคนธรรมดาและยังคงตื่นนอนในตอนเช้า พร้อมกับทำงานบ้านด้วยตัวเองอีกด้วย และวันนี้เราจะขอพาทุกคนไปรู้จักชีวิตอีกมุมหนึ่งของมหาเศรษฐีระดับโลกผู้นี้กัน… ในทุกๆ วันเขายังคงตื่นนอนในตอนเช้าและเริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารเช้าที่มีประโยชน์ พร้อมกับ MacKenzie Bezos ภรรยาแสนสวยของเขา เขาจะแบ่งเวลาในตอนเช้าให้กับภรรยาและลูกๆ อีก 4 คน และ Jeff Bezos ไม่เคยมีประชุมในตอนเช้าเลย Jeff Bezos นั้นไม่ค่อยชอบที่จะประชุม โดยรายงานของเว็บไซต์ Recode ระบุว่าเขาประชุมกับผู้ถือหุ้นของ Amazon เพียงแค่ 6 ชั่วโมงต่อปีเท่านั้น!! และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการจัดประชุม จะต้องมีผู้เข้าร่วมการประชุมมากพอที่จะแบ่งพิซซ่า 2 ถาดได้ ซึ่งพนักงานของเขาเรียกกฎนี้ว่า “two-pizza…
-
20 ความรู้สึกที่คน “จัดฟัน” ต้องเคยเจอ กว่าจะได้ฟันสวยแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ!!
การจัดฟันนั้นนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาสุขภาพช่องปากสำหรับบางคนแล้ว หลายๆ คนที่อยากจะมีฟันที่เรียงตัวสวยและรอยยิ้มที่กระชากใจก็มักจะเลือกใช้วิธีนี้เพื่อเสริมบุคลิกเช่นกัน แต่สำหรับใครที่เคยดัดฟันมาแล้วคงจะทราบกันเป็นอย่างดีว่า กว่าที่จะได้ฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเหมือนกับเม็ดข้าวโพดเจียไต๋นั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย และคุณเองก็อาจจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ดังต่อไปนี้… 1. เริ่มจากขั้นตอนแรก คุณจะต้องเจอเจ้าแม่พิมพ์ฟัน กับรสชาติและกลิ่นที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี 2. ตอนที่เริ่มพิมพ์ฟันล่ะก็ อือหือนี่มันคือ 45 วินาทีที่สุดแสนจะทรมานชัดๆ 3. และปัญหาต่อมาของคุณก็คือการเลือกสีของที่ดึงฟันนี่แหละ อืม… กว่าจะหาสีที่มันเข้ากับเราไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหมล่ะ 4. ส่วนขั้นตอนในการเริ่มดัดครั้งแรกนั้นก็ช่างยาวนานซะเหลือเกิ๊น!! ไหนจะเอ็กซ์เรย์ฟันเอย ขูดหินปูนเอย และหนักสุดก็คงจะเป็นการถอนฟันกรามนี่แหละ!! 5. ตอนอยู่ในช่วงใส่เหล็กดัดฟัน การจะกัดอะไรให้ขาดในครั้งเดียวนั้นช่างเป็นเรื่องยากซะจริงจริ๊ง 6. คุณจะเข้าใจความเจ็บปวดที่แท้จริงก็ตอนใส่ที่ดึงฟันนี่แหละ 7. หลังจากที่จัดฟันเสร็จใหม่ๆ รอยยิ้มของคุณก็อาจจะมีลักษณะแบบนี้ 8. และนี่คือสิ่งที่คุณเห็นกับความรู้สึกจริงๆ ของคุณ!! 9. แต่ตอนที่ได้ตกแต่งเหล็กดัดฟันของคุณ มันช่างเป็นอะไรที่สนุกจริงๆ เลยว่าไหม?? 10. พนันได้เลยว่าในหนึ่งวันคุณจะต้องถูกเหล็กดัดฟันเกี่ยวอย่างน้อย 2 ครั้งแน่ๆ …
-
เปิดตำนานดาบต้องสาป “มุรามาสะ” ดาบแห่งความบ้าคลั่งและเรื่องราวความเป็นมาของมัน
สำหรับใครที่เป็นคอเกม หรือว่าชอบศึกษาประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นคงจะรู้จักกับดาบซามูไรเป็นอย่างดี และหนึ่งในชื่อดาบที่พวกเราคุ้นหูมากที่สุดนั่นก็คือดาบมุรามาสะนั่นเอง!! มุรามาสะ เซ็นโง ช่างตีดาบในสมัยมุโระมะชิ (ช่วงศตวรรษที่ 14-16 ) ตามตำนานเล่าว่าช่างตีดาบผู้นี้เป็นหนึ่งในลูกศิษของสำนักตีดาบมาซามุเนะ ก่อนที่จะแยกตัวออกมา ในตัวของมุรามาสะเองนั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความบ้าคลั่ง และเขาเองก็ได้ถ่ายทอดความเป็นตัวตนของเขาเองลงไปในดาบที่สร้างขึ้น นั่นจึงทำให้ผู้ที่ครอบครองดาบของมุรามาสะนั้นกลายเป็นนักรบที่บ้าคลั่งและโหดร้าย เหมือนกับตัวของมุรามาสะเอง แต่ดาบของมุรามาสะนั้นแตกต่างจากดาบของอาจารย์เขาโดยสิ้นเชิง ครั้งหนึ่งมุรามาสะได้ท้าประลองดาบที่เขาสร้างกับดาบของสำนักมาซามุเนะ เพื่อหาสุดยอดดาบที่ดีที่สุดในสมัยนั้น โดยในการทดสอบครั้งนี้ทั้งสองสำนักได้นำดาบที่พวกเขาสร้างขึ้นไปปักไว้ในลำธาร และหันคมดาบขึ้นต้านกระแสน้ำ ผลจากการแข่งขันพบว่าดาบของสำนักมุรามาสะนั้นสามารถตัดได้ทุกอย่างที่ไหลผ่านคมมีดของมัน ไม่ว่าจะเป็นปลา ใบไม้ หรือแม่กระทั่งอากาศเองก็ตาม แต่ดาบจากสำนักมาซามุเนะนั้นตรงกันข้าม แต่อย่างไรก็ตามกลับเป็นดาบจากสำนักมาซามุเนะที่ชนะการประลองครั้งนั้นไป เพราะเนื่องจากคมดาบของมุรามาสะนั้นมีความกระหายเลือดและสามารถทำลายได้ทุกอย่าง แต่ดาบของมาซามุเนะนั้นกลับเป็นดาบแห่งความเมตตาและไม่ทำลายล้างโดยไม่จำเป็น มีดสั้นจากศตวรรษที่ 14 ที่สลักชื่อของมุรามาสะไว้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับตำนานอาถรรพ์ของดาบจากช่างตีดาบผู้นี้อีกว่า มีการใช้ดาบของมุรามาสะในการฆ่าสมาชิกของตระกูลโทคุงาวะ หนึ่งในตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในญี่ปุ่นสมัยนั้น และหลังจากนั้นการครอบครองดาบของมุรามาสะนั้นจึงถือเป็นเรื่องที่ผิดและถ้าหากใครที่ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างหนัก และหนึ่งในการลงโทษผู้ครอบครองดาบของมุรามาสะที่โด่งดังมากที่สุดในปี 1634 นั่นก็คือกรณีของ Takanak Ume ผู้พิพากษาจากเมืองนะงะซะกิที่ครอบครองดายของมุรามาสะมากถึง 24 เล่ม เขาถูกสั่งให้ทำการ “เซ็ปปุกุ” หรือฆ่าตัวตายโดยคว้านท้อง (หรือจะเรียกอีกอย่างว่า “ฮาราคีรี” ก็ได้) เนื่องจากมีการกวาดล้างดาบของมุรามาสะอย่างหนัก หลายๆ คนที่ครอบครองดาบอยู่จึงได้พยามที่จะซ่อนดาบไว้และมีการลบสัญลักษณ์ชื่อของมุรามาสะที่อยู่บนดาบเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมของเจ้าหน้าที่ ในปัจจุบันนั้นการจะหาดาบของมุรามาสะแบบแท้ๆ…
-
คุณแม่ยอมเสี่ยงทำผิดกฎหมาย ใช้ ‘น้ำมันกัญชา’ เพื่อรักษาลูกที่ป่วยเป็นโรคลมชัก
“ฉันเลือกที่จะยอมทำผิดกฎหมายดีกว่าที่จะต้องฝังศพลูกสาวของฉัน” Katrina Spraggon คุณแม่ใจเด็ดที่ยอมสกัดน้ำมันจากกัญชาด้วยตัวเองเพื่อนำไปใช้รักษาอาการป่วยเรื่อรังของลูกสาวเธอ หลังจากที่ยาแผนปัจจุบันนั้นใช้ไม่ได้ผล Katrina บอกว่าอาการป่วยเรื้อรังของ Kaitlyn ลูกสาวเธออย่างเช่นอาการลมชัก อัมพาตสมอง และโรคกระดูกพรุนอย่างรุนแรงนั้นค่อนข้างดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ได้ใช้สารสกัดจากกัญชา “ครั้งแรกที่ฉันเริ่มใช้น้ำมันสกัดจากกัญชา อาการของลูกสาวฉันก็เริ่มดีขึ้นหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน” Katrina กล่าว แต่ถึงแม้ว่าการใช้สารสกัดจากกัญชานั้นอาจจะทำให้เธอถูกจับในฐานทำผิดกฎหมายได้ แต่ทว่าเพื่อแลกกับอาการที่ดีขึ้นของลูกสาวเธอ คุณแม่ท่านนี้กลับยอมกล้าที่จะเสี่ยง สาวน้อย Kaitlyn ในขณะที่เข้ารับการรักษาโรคลมชักและกระดูกพรุนอย่างรุนแรง “ตอนนี้ลูกสาวของฉันยังคงอยู่ดี เธอเริ่มตอบสนองได้ดีขึ้นและอาการลมชักของเธอก็ลดลง เธอเริ่มพูดคุยกับฉันได้มาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และการได้เห็นรอยยิ้มของลูกสาวฉันอีกครั้งก็เป็นอะไรที่พิเศษสุดๆ ” คุณ Katrina กล่าว นอกจากนี้คุณแม่ยังได้กล่าวอีกว่าการใช้น้ำมันสกัดจากกัญชานั้นแทบไม่มีผลข้างเคียงใดๆ กับลูกสาวของเธอเลย สาวน้อยแค่มีอาการหิวนิดหน่อย รู้สึกกระหายน้ำ และหัวเราะบ้างเล็กน้อย Katrina นั้นเคยทำงานด้านการดูแลเด็กที่เมือง Ningi ประเทศออสเตรเลียมาก่อน เธอได้ใช้กัญชาถึง 3 สายพันธ์ในการทำสารสกัดเพื่อรักษาอาการป่วยของลูกสาวเธอ โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนของเธอที่อยู่ในรัฐที่กัญชาถูกกฎหมาย และการลักลอบซื้อจากตลาดมืด โดยในการทำสารสกัดแต่ละครั้งเธอจะต้องใช้เงินประมาณ 7,500 บาท ซึ่งสามารถผลิตสารสกัดที่ใช้ได้นานประมาณ 2 ถึง 3 เดือน Katrina เล่าว่าเธอจะหยดน้ำมันสกัดจากกัญชาลงที่เหงือกของลูกสาวเธอเพียงแค่หนึ่งหยด เวลาที่สาวน้อยมีอาการลมชักกำเริบ ซึ่งมันก็สามารถช่วยให้อาการของ Kaitlyn…
-
นี่คือ 19 สัญญาณตามหลักวิทย์ ที่บอกได้ว่า คุณกำลัง “เสพติดคู่รัก” ของคุณซะแล้ว
“ตอนที่คุณตกหลุมรักในช่วงแรก สมองคุณจะมีความรู้สึกเหมือนกับการดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้ยาเสพติดเลยทีเดียว…” ด็อคเตอร์ Femke Buisman-Pijlman แห่งมหาวิทยาลัยแอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย กล่าวถึงพฤติกรรมของมนุษย์เราทุกคนต้องเคยมีช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่เราหลงรัก ติดแฟน ติดผัว ติดเมียแบบหัวปักหัวปำจนไม่ได้เป็นอันทำอะไร และนี่ก็คือสัญญาณที่จะบอกคุณได้ว่า ตอนนี้คุณกำลังเสพติดคู่รักของคุณมากกกกกกก มากซะจนคุณอาจจะไม่รู้ตัวเลยล่ะ 1. คุณตัวติดกันตลอดเวลา และตอนที่ไม่ได้อยู่ด้วย มันทำให้คุณรู้สึกเหมือนโลกมันช่างอ้างว้างมากๆ คุณอยากจะหิ้วแฟนไปไหนมาไหนด้วย แม้กระทั่งปาร์ตี้ที่มีแต่เพื่อนคุณทั้งหมด 2. มีเซ็กส์กันในช่วงเวลาที่แปลกๆ ในสถานที่แปลกๆ และยังทำบ่อยๆ ซะด้วย ทุกคนต้องเคยมีเซ็กกันในที่แปลกๆ แต่บางครั้งก็บ่อยเหลือเกิน เช่น มีเซ็กส์ตอนพักกลางวันจนไปเข้างานช้า และทำให้บอสหัวเสียได้ง่ายๆ 3. แม้ว่าคุณจะพยายามลดความเสพติดลง ด้วยการตั้งกฎขึ้นมากับแฟน เช่น อาจจะไม่จำเป็นต้องเจอกันทุกวัน หรือเลิกมีเซ็กส์ในที่แปลกๆ บ้าง แต่คุณก็เผลอละเมิดกฎตลอด 4. แม้ว่าคุณจะไม่มีเงินเหลือมาก แต่คุณก็ยังพอเจียดเงินเพื่อเลี้ยงข้าวแฟน หรือกระทั่งยอมขอผ่อนผันกับทางหอพักไม่จ่ายค่าห้อง เพื่อซื้อของขวัญวันเกิดให้แฟนคุณ 5. และคุณก็จะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะมีความสุขอย่างเต็มที่หากไม่มีเค้าอยู่ด้วย ซึ่งนั่นมันก็อาจจะไม่ค่อยดีเท่าไรนะ…
-
NASA เผย 10 ต้นไม้ที่ควรปลูกไว้ในห้องนอน เพื่อช่วยให้สุขภาพชีวิตของคุณดีขึ้น
หลายคนอาจมีความเชื่อว่าการปลูกต้นไม้ไว้ในบ้านเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม แต่นั่นก็ไม่ใช่สำหรับทุกสายพันธุ์เพราะพืชบางขนิดหากปลูกเอาไว้ในห้องนอนก็จะสามารถช่วยให้สุขภาพชีวิตของเราดีขึ้นได้ เมื่อนักวิจัย Elle Decor และกลุ่ม The Joy of Plants จาก องค์กรนาซ่า และสถาบันต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพืชและได้ออกมาบอกว่า มีต้นไม้อยู่ 10 สายพันธุ์ที่หากปลูกเอาไว้ในห้องนอนแล้วพวกมันจะช่วยให้สุขภาพของคุณดีขึ้น มีต้นอะไรกันบ้างเราไปดูกันเลย หมากเหลือง (Areca Palm) เป็นหนึ่งในตระกูลปาล์มที่มีต้นกำเนิดมาจากมาดากัสการ์ ช่วยลดมลพิษภายในห้องนอนของเราได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมันยังปล่อยความชื้นไปในอากาศทำให้สามารถหายใจได้ง่ายยิ่งขึ้น เหมาะกับคนที่ป่วยเป็นไข้หวัดหรือไซนัสอย่างมาก ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) องค์กรนาซ่าได้จัดให้ว่านหางจระเข้เป็นหนึ่งในต้นไม้ที่ช่วยฟอกอากาศได้ดีที่สุด ปล่อยออกซิเจนออกมาอยู่ตลอดแม้ในตอนกลางคืน ช่วยกำจัดสารเบนซีนและฟอร์มาลดีไฮด์ที่เป็นพิษต่อร่างกาย อากาศที่เราได้รับจึงมีความบริสุทธิ์มากอย่างแน่นอน อีกทั้งมันยังดูแลเก็บรักษาง่ายและมีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์อีกด้วย ตีนตุ๊กแกฝรั่ง (English Ivy) ต้นไม้ชนิดนี้สามารถพบเห็นได้ง่ายในช่วงวันคริสต์มาส ผู้วิจัยจากสถาบันโรคภูมิแพ้ หอบหืด และภูมิคุ้มกันในอเมริกาบอกว่ามันสามารถช่วยกำจัดฝุ่นราที่ลอยอยู่ในอากาศได้มากถึง 78 เปอร์เซนต์ในระยะเวลาเพียง 12 ชั่วโมง ปาล์มสิบสองปันนา (Dwarf Date…
-
เป็นเรื่องจริงแล้วจ้า… งานวิจัยเผย เมื่อคนเราเมาแล้วจะพูดภาษาที่ 2 ได้ไหลลื่นขึ้น
ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการสังสรรค์ เชื่อแน่ว่าคุณเองจะต้องมีเพื่อนอย่างน้อยหนึ่งคนที่ชอบพูดภาษาที่สองตอนที่เมาได้ที่แล้ว บางคนอาจจะแค่พูดคุยทักทาย แต่เพื่อนของคุณบางคนอาจหนักถึงขั้นสั่งก๋วยเตี๋ยวเป็นเมนูภาษาอังกฤษเลยก็ได้!! ซึ่งอันที่จริงแล้วเมื่อไม่นานมานี้ได้มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Psychopharmacology ได้เปิดเผยว่า การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยนั้นจะช่วยให้พูดภาษาที่ 2 ได้คล่องยิ่งขึ้น ในการศึกษาครั้งนี้ได้เลือกนักศึกษาที่ใช้ภาษาเยอรมันในการสื่อสารเป็นหลักจำนวน 50 คนจากมหาวิทยาลัย Maastricht University ในประเทศเนเธอแลนด์ที่อยู่ใกล้กับชายแดนเยอรมัน ในการทดสอบทีมวิจัยได้แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็นสองกกลุ่ม โดยกลุ่มแรกให้ทำการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนที่จะเริ่มการให้สัมภาษณ์กับผู้ใช้ภาษาดัตช์ในการสื่อสาร ส่วนกลุ่มที่สองนั้นให้ดื่มน้ำเปล่าก่อนเริ่มการให้สัมภาษณ์ โดยปริมาณของแอลกอฮอล์ที่ให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบดื่มนั้นจะแตกต่างกันตามน้ำหนักตัว ซึ่งผู้ชายที่มีน้ำหนักตัว 68 กิโลกรัมจะได้ดื่มเบียร์ประมาณ 450 มิลลิลิตร แต่อย่างไรก็ตามผู้ใช้ภาษาดัตช์ที่เข้าร่วมการสัมภาษณ์ครั้งนี้จะไม่ทราบมาก่อนว่ากลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มนั้นได้ดื่มอะไรเข้าไปก่อนการสัมภาษณ์ ผู้ทำการสัมภาษณ์ทั้งสองคนจะเป็นคนให้คะแนนความสามารถในการใช้ภาษาของผู้เข้าร่วมการทดสอบทั้ง 50 คน การให้คะแนนในการทดสอบนั้นจะแบ่งออกเป็นหลายหมวดหมู่ทั้งความคล่องแคล่วในการสื่อสาร ความถูกต้อง และการออกเสียง ผลจากการศึกษาพบว่าผู้สัมภาษณ์ชาวดัตช์ให้คะแนนความคล่องแคล่วในการพูดของผู้ทดสอบที่ดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่ดื่มน้ำก่อนการทดสอบกลับได้คะแนนในการออกเสียง การเรียงประโยค และคำศัพท์ที่ดีกว่า การทดลองก่อนหน้านี้ที่ช่วยสนับสนุนว่าการทดลองดังกล่าวไม่ได้มีผลเพียงแค่การสื่อสารภาษาดัตช์เท่านั้น แต่ผลการศึกษาในปี 1972 ก็ได้แสดงให้เห็นว่าการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณน้อยนั้นช่วยให้ชาวอเมริกันออกเสียงภาษาไทยได้ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการงานวิจัยที่ตีพิมพ์นั้นได้กล่าวเอาไว้ว่าการดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปนั้นอาจจะมีผลในทางตรงกันข้าม นอกจากนี้ทางนักวิจัยก็ได้กล่าวว่าการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณปานกลางอาจจะช่วยลดความวิตกกังวลในการสื่อสารและทำให้กล้าพูดมากขึ้น ที่มา time, nextshark
-
ชมภาพ “เปลือย” สุดชิค แทนที่นางแบบจะโป๊ แต่ตากล้องกลับโป๊แทน!!
โลกเรานี้มีงานภาพถ่ายอยู่หลากหลายชนิด แต่เหมียวคิดว่าภาพที่มันดึงดูดที่สุด โดยเฉพาะผู้ชายก็คงจะเป็นภาพแนว Nude หรือ เปลือย (แบบเป็นศิลปะ) นั้นเอง เหมียวก็ยอมรับว่าตัวเองเป็นหนึ่งในนั้นด้วยเหมือนกัน อิอิ แต่จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคนที่เปลือยกลับไม่ใช่นางแบบหรือนายแบบ แต่กลับเป็นตากล้องเองที่ต้องโป๊ แล้วไปถ่ายรูปคนอื่น ช่างภาพคนนี้มีชื่อว่า Trevor Christensen ได้ทำโปรเจ็คNude Portraits นี้ขึ้นมา โดยให้คนอื่นใส่ชุดธรรมดานี่แหละ แต่เป็นตัวเขาเองที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอะไรเลย ส่วนตัวชอบปฏิกิริยาของแต่ละคนจริงๆ ไปดูกันเลยดีกว่าว่าจะเป็นยังไง (จากในภาพก็จะมีคนที่เป็นเพื่อน พ่อ แฟน(รูปแรก) รวมถึงผู้กำกับและโปรดิวเซอร์อีกด้วย) คนนี้เป็นแฟนนะ (ท่าทางจะชินแล้ว) คุณพ่อที่ดูเขินๆ ลองดูปฏิกิริยาของคนอื่นๆ สิ . . . . . . . ที่มา aplus
-
18 คดีฆาตกรรมอันแสนน่ากลัวในอดีต ที่คุณอาจไม่คิดว่า มนุษย์จะโหดร้ายได้เพียงนี้!?
การฆ่าคนมีให้เห็นอยู่ในทุกยุคทุกสมัย ซึ่งบางทีอาจจะมาจากความเกลียดชังหรืออาจจะมาจากความผิดปกติทางจิตใจก็ตามแต่ และนี่คือ 18 คดีฆาตกรรมในอดีตที่เกิดขึ้นมาบนโลกของเรา ลองไปดูกันดีกว่าว่าจะมีความโหดร้ายอย่างไร Amelia Dyer ฆาตกรที่ชอบฆ่าเด็ก Dyer ฆาตกรผู้ที่ชอบฆ่าเด็กเป็นชีวิตจิตใจโดยเธอจะใช้เงินจ่ายให้กับสถานสงเคราะห์ต่างๆ ที่มีเด็กกำพร้า เพื่อนำเด็กเหล่านั้นมาฆ่าและไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเธอฆ่าเด็กไปทั้งหมดกี่คน แต่ประมาณการณ์กันว่าน่าจะมีถึง 400 ชีวิตเลยทีเดียว โดยเธอถูกประหารชีวิตในปี 1896 คดีระเบิดโรงเรียนในปี 1927 Andrew Kehoe ชายชาวมิชิแกนได้ทำเรื่องสะเทือนขวัญขึ้นกับโรงเรียนแห่งหนึ่ง เมื่อเขาได้วางระเบิดที่เหลือจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่โรงเรียน หลังจากนั้นเขาก็ได้ใช้ปืนไรเฟิลระดมยิงต่ออีกชุดหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นคดีระเบิดโรงเรียนแห่งแรกในประเทศอเมริกา คดีฆาตกรรม William Desmond Taylor Taylor ผู้มีอาชีพเป็นผู้กำกับหนังถูกพบเป็นศพจากกการโดนยิง ซึ่งคดีนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าใครเป็นผู้ลงมือแต่ หลักฐานทั้งหมดได้ชี้ไปยัง Mary Miles Minter อดีตนักแสดงและคนรักเก่าของเขา Dr. Oliver Haugh ผู้ฆ่าครอบครัวด้วยการเผาบ้าน Oliver ฆ่าพ่อแม่พี่น้องของเขาทั้งหมดด้วยการขังทั้งหมดไว้ในบ้านและจุดไฟเผา อีกทั้งเขายังเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าผู้หญิงมาแล้วหลายศพ รัฐโอไฮโอจึงตัดสินเขาด้วยการการประหารชีวิตด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าในปี 1905 ศพ 12 ศพที่ Cleveland…
-
เจ๋งไหม ถามใจเธอดู…นิเทศฯ ม.กรุงเทพ ขนคนดังมาสอนเพียบ!! โปรดิวเซอร์ The Mask Singer ก็มา!!
ท่ามกลางมหาวิทยาลัยทั้งรัฐและเอกชนจำนวนมากที่เปิดสอนคณะนิเทศศาสตร์ จะมีสักกี่แห่งที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น “ตัวจริง” ที่ผลิตบุคลากรป้อนวงการบันเทิงได้อย่างเป๊ะปัง ไม่น่าสงสัยถ้านิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ จะติดอยู่ในลิสต์ เพราะที่นี่ไม่เพียงแค่มีอุปกรณ์การเรียนการสอนระดับเวิลด์คลาส แต่ยังมีหลักสูตรที่ตอบรับเทรนด์โลกมาโดยตลอด ที่สำคัญคือมักมีโครงการเจ๋งๆ คูลๆ มาให้นักศึกษาได้เข้าร่วม อย่างเช่นโครงการ “The Cutting Edge BUCA ตอน ยอดมนุษย์สุดทีน” ที่พานักศึกษาของคณะและนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากหลายสถาบัน มาฟังตัวจริงของวงการบันเทิงซึ่งยกขบวนมาแชร์ประสบการณ์และให้ความรู้กันเพียบ!! ทั้งพี่โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล ผู้กำกับหนังพันล้านแห่งค่ายจีทีเอช, พี่ปิ๊ปโป้ เปรมวิชช์ สีห์ชาติวงษ์ ผู้ก่อตั้ง “Storylog” พื้นที่แบ่งปันเรื่องราวบนโลกออนไลน์, พี่แอน ทองประสม นางเอกเบอร์ 1 ของวงการ และอีกคนที่เรียกเสียงฮือฮาได้มากก็คือ พี่ดาว-ดาราราย ศรีจิตรแจ่ม โปรดิวเซอร์รายการ The Mask Singer รายการที่ดังที่สุดในพ.ศ.นี้ พี่ดาว สาวมาดเท่ เจ้าของตำแหน่ง Head Group ของบริษัทเวิร์คพอยท์…
-
เปิดตำนาน ‘Ching Shih’ จากโสเภณีสู่กัปตันโจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์…!!
หากพูดถึงตำแหน่งเจ้าราชาเจ้าสลัดแล้วละก็…บางคนอาจจะยกมอบตำแหน่งนี้ให้แจ็ค สแปร์โร่ว์ หรือไม่ก็พ่อหนุ่มโจรสลัดหมวกฟางลูฟี่ บอกเลยว่าทุกคนที่กล่าวมานั้นนับว่ายังอ่อนด๋อยนัก หากมาเทียบกับโจรสลัดหญิงชาวจีนผู้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์โลก ‘Ching Shih’ หญิงสาวผู้ไต่เต้าจากโสเภณีสู่การเป็นเจ้าแห่งท้องทะเล Ching Shih หญิงสาวผู้เป็นเจ้าแห่งโจรสลัดตั้งแต่วัย 22 ปี!! ย้อนกลับไปเมื่อปี 1785 ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในเขตมณฑลกวางตุ้ง เธอเติบโตมาในครอบครัวยากจน และต้องดิ้นรนต่อสู้ปากกัดตีนถีบเพื่อเอาชนะความแร้งแค้น ครั้นเมื่อเธอเริ่มโตเป็นสาวเป็นแซ่ ด้วยระดับการศึกษาที่ไม่ได้มากมายอะไร ทำให้เธอต้องหันไปประกอบอาชีพเป็นโสเภณีเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว… แต่ใครเล่าจะรู้ว่านี่คือจุดกำเนิดของโจรสลัดหญิงผู้ยิ่งใหญ่ มาดาม Ching Shih ที่ปรากฎในเรื่อง Pirates of the Caribbean จากการประกอบอาชีพเป็นโสเภณี ทำให้เธอได้แต่งงานกับ Zheng Yi ชายผู้เป็นกัปตันเรือของกองโจรสลัดธงแดง ทว่าต่อมาในปี 1807 ได้เกิดภัยพิบัติสึนามิครั้งใหญ่ขึ้น จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้สามีผู้เป็นกัปตันโจรสลัดของเธอเสียชีวิตลง หลังจากนั้น Ching Shih ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้ากองโจรสลัดแทนสามีของเธอที่เสียชีวิตไป แม้เธอจะเป็นสตรีเพศในยุคที่ประเทศจีนยังไม่เปิดกว้างเรื่องความเสมอภาคทางเพศ แต่ด้วยความเด็ดขาดก็ทำให้ลูกเรือไม่มีใครกล้าขัดขืนคำสั่งเธอ อีกทั้งยังมีการออกคำสั่งด้วยว่าจะไม่มีหญิงสาวคนใดถูกกระทำอย่างเลวร้ายจากลูกเรือของเธอ เธอสั่งให้มีการปล่อยตัวนักโทษหญิงจำนวนมากโดยไม่มีการลงโทษ และหากลูกเรือชายคนใดต้องการจะแต่งงานกับผู้หญิง…
-
นี่คือภาพของการทำงานภายใน ‘กระบอกเก็บเสียงปืน’ รู้ซักทีว่าเสียงหายไปได้ยังไง
ทุกคนรู้ว่าปืนเป็นอาวุธที่มีเสียงดังมากๆ ทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่ากระบอกเก็บเสียงขึ้น เพื่อช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว แต่เราเคยรู้มั้ยว่าการทำงานภายในกระบอกเล็กๆ นั้นมันเป็นอย่างไร ด้วยความสงสัยดังกล่าวทำให้ชายที่ชื่อว่า Destin Sandlin จากแชนแนลยูทูบ Smarter Every Day ทำการทดลองใช้กล้องสโลโมชั่นเก็บภาพการทำงานภายในของกระบอกเก็บเสียงดู เขาได้รับความร่วมมือจาก Steve ช่างฝีมือที่ทำงานอยู่ในบริษัท Soteria ผู้ผลิตอุปกรณ์และอาวุธปืนรายใหญ่ของรัฐอลาบาม่า นำอุปกรณ์มาให้ใช้ในการทดลอง ในการทดลองพวกเขาได้ใช้กระบอกเก็บเสียง 5 แบบ เราลองไปดูกันดีกว่าว่าการทำงานของมันเป็นอย่างไรกันบ้าง ด้วยวัสดุที่ทำขึ้นมาเพื่อให้สามารถมองเห็นข้างในได้ แต่มันกลับไม่สามารถทนแรงดันที่เกิดจากกระสุนได้ทำให้ปลอกหลุดออกไปหลังจากการยิง อันที่สองเราเริ่มได้เห็นการทำงานที่ชัดเจนขึ้น สังเกตได้ว่าแรงดันที่เกิดขึ้นจากการยิงจะไม่พุ่งออกไปจากปลายกระบอกเลย แบบที่สามถึงแม้ว่าจะมีลวดลายภายในต่างกัน แต่ก็ใช้หลักการเดียวกันกับแบบที่สอง กระบอกที่ 4 เองก็เช่นกัน มันจะเก็บไฟเอาไว้ไม่ให้หลุดลอดออกไปข้างนอกได้ สุดท้ายคือกระบอกที่ Destin ชื่นชอบมากที่สุดเพราะมันมีความใสเห็นข้างในได้ชัดเจน แต่เนื่องจากว่ามันทำมาจากอะคริลิค ทำให้ไม่สามารถทนรับแรงดันของกระสุนได้และแตกกระจายออกมาในที่สุด จากการทดลองทั้งหมดเขาก็ได้อธิบายหลักการการทำงานของกระบอกเก็บเสียงเอาไว้ว่า ภายในจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งมีไว้เพื่อไม่ให้แรงดันกระจายออกไปในอากาศ และส่วนที่สองมีไว้ปิดกั้นให้แรงดันดังกล่าวยังคงอยู่ภายในกระบอกจนกว่าจะหายไปเอง เสียงปืนที่ดังออกมาเกิดขึ้นจากแรงดันของกระสุนที่ออกมาด้วยความแรง เพราะฉะนั้นการที่เก็บแรงดันไว้ในกระบอกได้ก็จะช่วยให้ไม่เกิดเสียงนั่นเอง ส่วนแรกตรงโคนจะช่วยให้แรงดันที่เกิดขึ้นไม่กระจายตัวออกไปในอากาศ ส่วนที่สองจะช่วยปิดกั้นให้มันอยู่ข้างในและสลายหายไปเอง คลิปการทดลองที่ทำให้เห็นว่าภายในกระบอกเก็บเสียงเป็นอย่างไร …
-
7 เหตุผลหลักที่บอกว่าเหตุใด ‘ความรักระยะไกล’ ถึงไม่ประสบผลสำเร็จเท่าไหร่นัก
“ระยะทางพิสูจน์รักแท้” เป็นนิยามของใครหลายคนเวลาที่ต้องอยู่ไกลจากคนรักของเรา แต่ในความเป็นจริงการรักษาความรักของทั้งสองเอาไว้ให้อยู่ต่อไปได้เป็นเรื่องที่ยากมาก ไม่ใช่เรื่องแปลกเวลาที่เราเห็นคู่รักต้องแยกทางกันเพราะมีระยะทางเป็นอุปสรรค แต่เราเคยสงสัยมั้ยว่าทำไมมันถึงต้องเป็นอย่างนั้น วันนี้เราจึงมาพูดถึง 7 เหตุผลสำคัญที่ทำให้การคบกันทางไกลไม่ประสบความสำเร็จ ไปดูกันได้เลยยย ขาดความเชื่อใจซึ่งกันและกัน สิ่งสำคัญของชีวิตคู่คือการเชื่อใจและไว้ใจกันของทั้งสองฝ่าย แต่เมื่อต้องอยู่ไกลกันทำให้ไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน ความรู้สึกไม่เชื่อใจอีกฝ่ายก็จะเกิดขึ้นและกลายเป็นว่าเราคอยเช็คเรื่องของแฟนอยู่ตลอดเวลา จนอาจเป็นสาเหตุทำให้รู้สึกไม่สบายใจและเลิกรากันไป การนอกใจ ในช่วงเวลาที่เรารู้สึกอ่อนแอหรือเจอกับปัญหาจนรู้สึกต้องการใครซักคนมาอยู่ข้างๆ สิ่งนั้นอาจทำให้เกิดการนอกใจขึ้นมาได้เพราะแฟนของเราอยู่ในที่ที่ไกลออกไป นอกเสียจากว่าคุณจะเป็นคนที่แข็งแกร่งแน่วแน่อย่างมากเท่านั้น ถึงจะอดทนไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมา ระยะทางสร้างความวิตกกังวล หงุดหงิด จนอาจเป็นสาเหตุให้ทะเลาะกัน แม้ว่าความห่างไกลจะทำให้คุณหงุดหงิด ถึงอย่างไรคุณต้องควบคุมสิ่งนั้นเอาไว้ให้ได้อย่าปล่อยให้อารมณ์พาไป ไม่อย่างนั้นคุณกับแฟนอาจต้องทะเลาะกันโดยไร้ความหมายและไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับชีวิตคู่เลย ไม่ยอมปรับความเข้าใจกัน ระยะทางไม่ใช่ปัญหาในทุกครั้งที่ทะเลาะกัน เพราะฉะนั้นการพูดคุยปรับความเข้าใจกันภายหลังจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่อย่างนั้นการเลิกราก็อาจตามมาได้ในไม่ช้า การมองไม่เห็นถึงอนาคตที่จะได้อยู่ด้วยกัน ความคิดที่ว่า “อีกไม่นานเราก็จะได้กลับไปอยู่กับคนรักแล้ว” เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยรักษาความรักระยะไกลของเราเอาไว้ได้ เพราะถ้าเราไม่คิดอย่างนั้นก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวังในความรักได้ ไม่มีอะไรจะพูดกันอีก ลองคิดดูว่าเมื่อเราได้แต่โทรหาอยู่ทุกคืน เวลาผ่านไปนานๆ สุดท้ายไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันอีก และตอนนั้นคุณก็จะได้เจอกับชีวิตคู่ที่แสนทรหดและยากจะผ่านไปได้ โซนเวลาที่ต่างกันในแต่ละประเทศ เมื่อแฟนต้องไปเรียนต่อหรือไปอยู่เมืองนอก แน่นอนว่าพวกคุณจะต้องเจอกับปัญหาเวลาไม่ตรงกัน…
-
7 เรื่องราวที่เหล่า “สาวๆ ไบเซ็กส์ชวล” อยากบอก และจะทำให้คุณเข้าใจพวกเธอมากขึ้น
ในปัจจุบันนั้นมีการเปิดกว้างทางเพศมากขึ้น และทุกวันนี้ เรามีคำที่ใช้เรียกกลุ่มผู้คนที่มีรสนิยมทางเพศที่แตกต่างกันออกไปตามรสนิยมของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเกย์ ทอม หรือหญิง-ชายข้ามเพศ และหนึ่งรสนิยมทางเพศที่เรามักจะคุ้นหูและได้ยินกันอยู่บ่อยๆ นั่นก็คือ ไบเซ็กส์ชวลนั่นเอง ซึ่งอย่างที่เข้าใจกันดีว่าไบเซ็กส์ชวลนั้นคือการหลงใหลผู้คนมากกว่า 1 เพศ แต่ผู้คนส่วนมากยังมีความเข้าใจผิดกับพวกเขาอยู่ ซึ่งวันนี้เราก็มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ 7 เรื่องราวของเหล่าสาวๆ ไบเซ็กส์ชวล ที่จะทำให้คุณเข้าใจพวกเธอมากขึ้น จะมีอะไรบ้าง ไปชมกันเลย… 1. พวกเธอไม่เคยต้องการกิจกรรมบนเตียงแบบเรา 3 คน ถึงแม้ว่าพวกเธอจะมีความสนใจในทั้งสองเพศ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะชื่นชอบกิจกรรมบนเตียงแบบ 3 คนหรอกนะ และสาวๆ ไบเซ็กส์ชวลก็มักจะชอบความสัมพันธ์แบบจริงจังมากกว่า 2. ไบเซ็กส์ชวลนั้นไม่ได้เป็นๆ หายๆ หรอกนะ!! สาวๆ ที่เป็นไบเซ็กส์ชวลนั้นจะรู้สึกหัวเสียอย่างมากที่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนบอกพวกเธอว่ารสนิยมทางเพศของพวกเธอนั้นเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งอันที่จริงแล้วความชอบทั้งสองเพศของพวกเธอนั้นเป็นเรื่องที่จริงจังและมันจะอยู่กับเธอตลอดไป ถึงแม้ว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม 3. สาวๆ ไบเซ็กส์ชวลไม่ใช่พวกชอบนอกใจนะ!! ถึงแม้ว่าจะมีความเชื่อว่าสาวๆ ไบเซ็กส์ชวลนั้นอาจจะมีแนวโน้มที่จะนอกใจสูงเนื่องจากรสนิยมทางเพศของพวกเธอ แต่อันที่จริงแล้วเรื่องดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริงเลย 4. พวกเธอมักจะเปิดเผยตัวตนกับคนที่รู้ใจ เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเธอเจอคนที่รู้ใจ เธอจะยอมบอกพวกเขาเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของตัวเอง ซึ่งอันที่จริงนั้นสาวๆ ไบเซ็กส์ชวลไม่ได้มีเจตนาที่จะปกปิดตัวตนของพวกเธอหรอก แต่เธอแค่อยากที่จะบอกมันกับคนที่ยอมรับพวกเธอได้ก็เท่านั้นเอง 5. เธอไม่ได้คบใครเพียงแค่หวังเรื่องอย่างว่าเท่านั้นนะ…
-
10 ภาพปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์ ที่สวยงามซะจนนึกว่ามีใครมาวาดไว้
ธรรมชาติเป็นสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเราไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ ท้องฟ้า ทะเล หรืออะไรอย่างอื่นอีกมากมาย แต่ธรรมชาติก็มักจะสร้างสิ่งที่เราไม่คาดคิดอยู่เสมอจนกลายมาเป็นภาพความสวยงามที่คุณจะได้รับชมด้านล่างนี้ และนี่คือ 10 ภาพที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ออกมาเป็นความสวยงามที่หาชมได้ยาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นครั้งเดียวและไม่เกิดขึ้นอีกเลยก็เป็นได้ สายรุ้งที่เกิดจากพระจันทร์ สายรุ้งนี้เกิดขึ้นใกล้ๆ กับน้ำตกแห่งหนึ่งในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ชาวอินเดียวเชื่อว่าหากใครที่ได้เห็นปรากฏการณ์นี้จะสามารถเข้าใจภาษาของเหล่าวิญญาณได้และยังทำให้โชคดีอีกด้วย หลุมที่เหมือนกับกำลังดูดคนลงไปสู่นรก หลุมที่เกิดจากลาวาที่เย็นตัวลงแล้ว หรือว่ามันอาจเป็นช่องทางไปสู่นรกก็ได้ โอปอที่มีเหมือนรวมเอาจักรวาลย่อมๆ มาไว้ข้างใน โอปอเม็ดนี้มีราคา 60,000 ดอลล่าสหรัฐ(ประมาณ 2 ล้านบาท) ถึงจะไม่ใช่โอปอที่แพงที่สุดในโลกแต่มันน่าจะเป็นโอปอที่สวยที่สุด รู้หรือไม่ว่าครั้งหนึ่งโอปอเคยมีราคาเทียบเท่ากับเพชร แต่ว่านักเขียนในศตวรรษที่ 19 หลายๆ คนมักเขียนถึงโอปอว่า เป็นเครื่องหมายของความล้มเหลวจึงทำให้มันด้อยค่าลง ปรากฏการณ์ Volcanic Lightning โดยปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่าง การเกิดภูเขาไฟระเบิดจะเกิดพายุสายฟ้าขึ้นในเถ้าภูเขาไฟที่กำลังพวยพุ่งขึ้นเหนือภูเขาไฟ โดยนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถค้นพบสาเหตุนี้ได้ นี่มันคือเห็ดหรือไข่เอเลี่ยนกันเนี่ย เห็ดนี้มีชื่อว่า Clathrus archeri หรือเรียกกันง่ายๆ ว่านิ้วมือปิศาจ เป็นเห็ดที่เกิดขึ้นจากมอสและไลเคน ต้นไม้ปิศาจที่เหมือนกับไฟลุกจากข้างใน ต้นไม้ต้นนี้ดูเหมือนมีเลือดไหลออกมา แต่จริงๆ แล้วมันโดนฟ้าผ่าและค่อยๆ ไหม้โดยใช้เวลาหลายวันทำให้มันระเบิดออกมาจากข้างใน แสงจากสวรรค์…
-
10 เรื่องแปลกที่ทำกันจนเป็นปกติในอดีต แต่หารู้ไม่ว่าบางอย่างอันตรายถึงชีวิตเลยนะ!!
ถ้าหากว่าคุณกำลังคิดว่าบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นรอบๆ ตัวคุณนั้นมันช่างดูแปลกตา และบางครั้งคุณอาจจะตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็นนั้นก็ได้ว่า “นี่มันบ้าไปกันใหญ่แล้วกระมัง??” แต่เชื่อแน่ๆ ว่าสิ่งแปลกๆ ที่คุณพบเห็นอยู่นั้นคงไม่เท่ากับ 10 อันดับของสิ่งที่ทำกันจนเป็นปกติในอดีต จากเว็บ brightside ที่เรานำมาฝากกันวันนี้แน่ๆ 1. การรักษาด้วยโคเคน เมื่อประมาณ 100 ปีก่อน นั้นคุณสามารถหาซื้อเจ้ายาเสพย์ติดชนิดนี้ได้ตามร้านขายยาทั่วไป และนอกจากนี้บนฉลากข้างขวดนั้นยังเขียนอธบายไว้ว่า โคเคนนั้นช่วยแก้อาการไปและปวดฟัน นอกจากนี้ยังมีการใช้โคเคนเป็นยากล่อมประสาทสำหรับเด็กอีกด้วย และมีการโฆษณาถึงสรรพคุณกันอย่างมากมายในสมัยนั้น 2. ส่งเด็กน้อยผ่านทางบริการส่งจดหมาย นี่อาจจะฟังดูเหมือนเรื่องตลก แต่มันเกิดขึ้นจริงในศตวรรษที่ 20 ในสมัยนั้นบริการส่งเด็กผ่านทางบุรุษไปรษณีนั้นเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย และมีค่าบริการที่แสนถูก โดยเริ่มต้นเพียงแค่ 4 บาทเท่านั้นเอง!! 3. กรงเลี้ยงเด็กแบบนอกบ้าน ในช่วงปี 1930 กรงเลี้ยงเด็กแบบนอกบ้านนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในครอบครัวของชาวอังกฤษ ถึงแม้ว่ามันจะดูอันตรายไม่น้อย แต่ว่ามันก็ช่วยให้เจ้าตัวน้อยได้สูดอากาศบริสุทธิ์ในระหว่างที่แม่ของพวกเขากำลังยุ่งกับการเตรียมอาหารเย็นอยู่ 4. สวนของฤๅษี สวนของฤๅษีนั้นเป็นหนึ่งในรสนิยมของเศรษฐีในช่วงศตวรรษที่ 18 การมีฤาษีส่วนตัวไว้ที่บ้านเพื่อดูเล่นนั้นเป็นเหมือนความภาคภูมิใจของเศรษฐียุคนั้น และนอกจากนี้พวกฤาษีที่อาศัยอยู่ในสวนแห่งนี้จะไม่ได้รับอนุญาติให้ตัดผมและเล็บ และนอกจากนี้ยังต้องอาศัยอยู่ในถ้ำที่ทางเจ้าของบ้านสร้างไว้ให้อีกด้วย 5. การรักษาโรคแบบแปลกๆ ในสมัยก่อนนั้นเราสามารถพบเห็นการรักษาโรคแบบแปลกๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการกรีดเลือดเพื่อเอาเชื้อโรคออก…
-
นักชีววิทยาเผย พืชสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวมันเอง แต่ไม่อาจรู้สึกเจ็บปวดได้
เมื่อเร็วๆ นี้ทางศาสตราจารย์ Daniel Chamovitz นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัย Tel Aviv University ประเทศอิสราเอลผู้แต่งหนังสือ What a Plant Knows ได้ออกมาเปิดเผยว่าอันที่จริงแล้วพวกต้นไม้ใบหญ้าเองนั้นก็มีความรู้สึกเหมือนกันนะเออ!! โดยศาสตราจารย์ Chamovitz ได้เปิดเผยว่า จริงๆ แล้วพืชนั้นมีความรู้สึก แต่อย่างไรก็ตามความรู้สึกของพวกมันนั้นเป็นเพียงแค่การรับรู้และไม่มีอะไรที่ซับซ้อนเหมือนกับมนุษย์ “พวกไมยราบและว่านกราบหอยแครงนั้น มีอวัยวะพิเศษที่เรียกว่า pulvinus ที่จะทำหน้าที่ตอบสนองต่อการสัมผัส ซึ่งพืชชนิดอื่นๆ นั้นจะไม่มีอวัยวะที่ว่านี้” นักชีววิทยากล่าว แต่นอกจากพืชทั้งสองชนิดแล้ว ศาสตรจารย์ Chamovitz ยังได้กล่าวว่าพืชชนิดอื่นๆ ก็มีการรับรู้ได้ด้วยเช่นกัน โดยเขาได้อธิบายว่า เมื่อมีแมลงหรือศัตรูพืชที่พยายามจะกัดกินใบของพืชนั้น พวกมันจะรับรู้ได้ว่ากำลังมีบางอย่างที่ทำร้ายมันอยู่และจะส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและเริ่มสร้างกลไกลขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามพืชนั้นไม่ได้มีระบบประสาทเหมือนกับมนุษย์ และพวกมันก็ไม่มีโนซิเซ็ปเตอร์ หรือเซลล์ประสาทรับความรู้สึกที่จะตอบสนองต่อความเสียหายและแสดงความรู้สึกเจ็บปวดออกมาเหมือนกับมนุษย์ นั่นหมายความว่าเวลาที่เราตัดกิ่งต้นไม้พวกมันจะไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่พวกมันสามารถรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่!! ถึงแม้ว่าจะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด แต่อย่างไรก็ตามพวกมันยังคงมีวิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอด ซึ่งเป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั่วๆ ไป “สิ่งมีชีวิตทุกชนิดพยายามที่จะดำรงเผาพันธุ์ให้อยู่รอดให้ได้ ไม่ว่าพวกมันจะรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่ก็ตาม เหมือนกับต้นไม้ที่อยู่บนยอดเขาก็จะมีกิ่งก้านและใบที่น้อยกว่าต้นไม้ต้นอื่นๆ เพื่อลดแรงต้านของลงนั่นเอง” ศาสตราจารย์ Chamovitz กล่าว ที่มา vice
-
เปิดตำนาน 7 เมืองที่หายสาบสูญไปของโลก อารยธรรมที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองมาก่อน
โลกของเรามีอยู่มาอย่างยาวนานและเกิดการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการที่ไม่รู้จบ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าสิ่งที่เราเห็นและรับรู้ได้ในปัจจุบันยังคงไม่ใช่ทุกสิ่งที่โลกเรามีหรือเคยมี วันนี้ #เหมียวตะปู จึงชวนให้เพื่อนๆ มารู้จักกับ 7 ตำนานเมืองที่สาบสูญไปของโลก ที่ความเป็นจริงแล้วในสมัยก่อนเราอาจเคยมีอารยธรรมที่รุ่งเรืองมากกว่าตอนนี้ก็เป็นได้ เราไปดูกันเลย Lemuria จากการสันนิษฐานของนักวิชาการชาวอังกฤษเชื่อว่าดินแดนแห่งนี้เชื่อมระหว่างศรีลังกา ออสเตรเลีย และเกาะมาดากัสการ์รวมกันเป็นแผ่นดินใหญ่ก่อนที่จะจมหายไปใต้ก้นมหาสมุทร และชื่อ Lemuria ถูกตั้งมาจากชื่อของตัว ลีเมอร์ (Lemur) ซึ่งเป็นสัตว์ที่สามารถพบเห็นได้จากทั้งสามแห่ง นอกจากนั้นก็มีความเชื่อว่าดินแดนแห่งนี้เป็นต้นกำเนิดของชาวทมิฬ กลุ่มประชากรที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย โดยตามภาษาทมิฬแล้วที่แห่งนี้จะมีชื่อว่า Kumari Kandam Mu เป็นดินแดนที่เชื่อว่าเคยอยู่ระหว่างทวีปอเมริกาและเอเชีย คาดว่าเป็นที่อยู่อาศัยของประชากร Naacals ต้นกำเนิดของมนุษย์ที่ย้อนกลับไปเมื่อ 50,000 ปีที่แล้ว ผู้สร้างพีระมิดในอียิปต์หรือชาวมายันก็ถูกสันนิษฐานว่าจะอพยพออกมาจากดินแดนแห่งนี้ในตอนที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จนทำให้สถานที่นี้จมลงไปใต้มหาสมุทร เคยมีทฤษฎีที่บอกเอาไว้ด้วยว่าโขดหินใต้น้ำโยนากุนิ ในประเทศญี่ปุ่น เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงถึงการมีอยู่ของ Mu Beringia ดินแดนที่เปรียบได้กับสะพานขั้นกลางระหว่างทวีปเอเชียและอเมริกาเหนือ ก่อนที่จะจมหายพร้อมกับการสิ้นสุดยุคน้ำแข็งเมื่อ 12,000 ปีก่อน มีทฤษฎีที่เชื่อว่า 25,000 ปีก่อนมีผู้คนย้ายถิ่นฐานมาจากไซบีเรีย ผ่านไป 10,000 ปีพวกเขาได้อพยพไปอเมริกาเหนือและค่อยกระจายลงไปอเมริกาใต้ จึงเชื่อว่าพวกเขาอาจเป็นบรรพบุรุษของชาว…
-
สื่อนอกเผย 15 อันดับ “คนรุ่นใหม่” ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก เอางี้จริงๆ นะ!!
หลังจากที่ Sebastian Kurz ได้ชนะการเลือกตั้งและกำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของประเทศออสเตรียในเร็วๆ นี้ เขาเปรียบเหมือนหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของโลก แต่นอกจากว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของออสเตรียแล้ว ในโลกเรานั้นยังมีคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่ทรงอิทธิพลในโลกอีกจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว และวันนี้เราก็ได้นำ 15 อันดับคนรุ่นใหม่ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกจากเว็บไซต์ Business Insider มาฝากกัน แต่ละคนจะเป็นใครบ้างนั้นไปชมกันเลย.. 15. Enrico Carattoni หนุ่มวัย 32 ปี หนึ่งในผู้นำสูงสุดจากประเทศซานมารีโน 14. Oyo Nyimba Kabamba Iguru Rukidi IV กษัตริย์วัย 25 ปีของอณาจักร Toro หนึ่งในราชอาณาจักในประเทศยูกันดา พระองค์ขึ้นครองราชครั้งแรกตั้งตอนอายุ 3 ขวบหลังจากที่พระบิดาสวรรคตในปี 1995 13. Malala Yousafzai หญิงสาววัย 20 ปี เจ้าของรางวัลโนเบลทางด้านสิทธิสตรีที่อายุน้อยที่สุด เธอทำงานอย่างหนักเพื่อต่อสู้เรียกร้องสิทธิในด้านการศึกษาของสตรีในปากีสถานภายใต้การปกครองของกลุ่มตาลีบัน 12. Beyoncé Knowles-Carter นักร้องสาวชื่อดังวัย 36 ปี ผู้เป็นเจ้าของเพลงฮิตมากมาย 11. LeBron James นักบาสเก็ตบอลวัย 32 ปี หนึ่งในดาวดังจากวงการ…
-
9 เรื่องที่ทำให้วันเปิด Disney Land ในปี 1955 กลายเป็น “ฝันร้าย” สำหรับหลายคนที่ไปเที่ยว!?
Disney Land หนึ่งในสวนสนุกที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่นี่มีการเปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อ วันที่ 17 กรกฎาคม ปี 1955 และแน่นอนว่าในการเปิดตัวครั้งแรกนั้นก็ย่อมมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และวันนี้เราก็ได้รวบรวม 9 เหตุการณ์ที่ทำให้สวนสนุกแห่งนี้กลายเป็นฝันร้ายสำหรับใครหลายๆ คนในวันเปิดตัว Disney Land แห่งแรกจาก BuzzFeed มาฝากกัน ซึ่งแต่ละเหตุการณ์จะมีอะไรบ้างนั้นไปชมกันเลย… 1. การก่อสร้างบางส่วนของสวนสนุกแห่งนี้ยังไม่เสร็จเรียบร้อย ในวันเปิดทำการวันแรกนั้น การก่อสร้างต่างๆ ภายในสวนสนุกแห่งแรกของ Disney นี้แล้วเสร็จไปเพียงแค่ 3 ใน 4 เท่านั้น และแน่นอนว่าในพื้นที่ส่วนที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จนั้นก็เต็มไปด้วยกองวัสดุและถูกห้ามไม่ให้เข้าชมอีกด้วย 2. และแน่นอนว่า เครื่องเล่นบางอย่างเองก็ยังไม่เปิดให้บริการเช่นกัน เจ้าหนู Jonathan Carr หนูน้อยวัย 9 ขวบหนึ่งในคนที่ได้เข้าร่วมในงานวันเปิดตัวของ Disney Land ในวันนั้นได้เล่าว่า มีเครื่องเล่นหลายเครื่องที่ยังไม่เปิดให้เล่น และใช้เวลาอีกกว่า 1 เดือนหลังจากนั้นถึงจะพร้อมให้บริการ “คุณไม่สามารถทำอะไรได้เลย ไม่มีแม้แต่ที่ให้คุณนั่ง และร้านค้าก็เต็มไปด้วยผู้คน” Jonathan กล่าว…
-
10 อันดับอาชีพที่รายได้ดีสุดๆ ในสหรัฐอเมริกา โดยไม่จำเป็นต้องจบปริญญาตรี…
คำนิยามที่ว่าไม่ต้องเรียนจบจนมีใบปริญญาก็ทำงานหรือรวยได้นั้น ดูจะเป็นคำโฆษณาที่ปลุกใจคนได้ดีเสียเหลือเกิน ทว่าในความเป็นจริงมันกลับหาอาชีพที่จะทำแบบนั้นจริงๆ โดยขาดประสบการณ์ยากซะเหลือเกิน แต่ถ้าใครยังคงปักใจว่า ตัวเองทำได้แม้จะไม่มีใบปริญญาก็ตาม ขาดแค่อาชีพที่จะทำ งั้นราลองมาดูอาชีพจากเมืองอเมริกาที่ไม่ต้องการใบปริญญาหรืออาจจะต้องการแค่จบ ปวส. หรือประกาศนียบัตรความเชี่ยวชาญสาขานั้นๆ ก็พอแล้วมาให้ดูกัน ซึ่งข้อมูลทั้งหมดพวกเขาอ้างอิงจากหน่วยงานด้านสถิติของสหรัฐอเมริกา US Bureau of Labor Statistics โดยระบุว่าทุกอาชีพนั้นมีรายรับต่อปีที่สูงถึง 2,500,000 เลยทีเดียว นักบินสายการพาณิชย์ รายรับต่อปีอยู่ที่ราวๆ 2,500,000 บาท การจะมาทำอาชีพนักบินนี้ได้ก่อนอื่นคุณจะต้องมีวุฒิการศึกษาระดับม6. หรือเทียบเท่าเสียก่อน จากนั้นจะต้องได้รับการฝึกบินในระดับหนึ่งเสียก่อน แต่ที่สำคัญที่สุดคือคุณจะต้องมีใบอนุญาตขับเครื่องบินพาณิชย์ ไม่งั้นคุณจะไม่สามารถทำงานในอาชีพนี้ได้ แค่อาชีพเดียวก็ดูน่าสนใจแล้ว งั้นเราลองมาดูอาชีพอื่นๆ กันเลย… นักสืบ รายรับต่อปีอยู่ที่ราวๆ 2,600,000 บาท จะเป็นอาชีพนี้ได้นั้นคุณจำเป็นจะต้องจบการศึกษาระดับม.6 และฝึกอบรบจนชำนาญ พร้อมกับต้องมีประสบการณ์ทำงานมามากกว่า 5 ปี ซึ่งหน้าที่ในการทำงานก็จะเป็นการสืบสวนคดีต่างๆ รวมถึงจัดการปัญหาความวุ่นวายต่างๆ ช่างซ่อมติดตั้งและซ่อมลิฟท์ รายรับต่อปีอยู่ที่ราวๆ 2,600,000 บาท การจะทำอาชีพนี้นั้น คุณไม่ต้องมีวุฒิที่สูงมาก เพียงแค่วุฒิป6. ก็เพียงพอแล้ว ทว่าคุณจะต้องมีความรู้เรื่องเครื่องกลและช่างพอสมควร เพื่อใช้ในการติดตั้งและซ่อมแซมลิฟ์ นอกจากนั้นต้องได้รับการฝึกงานมาก่อนจึงจะสามารถทำได้ ช่างเทคนิคเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ รายรับต่อปีอยู่ที่ราวๆ…
-
20 แผนภาพของโลก แสดงสิ่งต่างๆ ที่เปิดหูเปิดตา ให้เรากระจ่างแจ้งถึงอะไรที่ไม่เคยรู้มาก่อน!!
โลกใบนี้มีเรื่องราวมากมายให้ค้นหา บางเรื่องเป็นเรื่องใกล้ตัว บางเรื่องเป็นเรื่องไกลตัวที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อน แต่วันนี้มีหนังสือที่รวบรวมความจริงบนโลกนี้มาให้เราดูแล้ว หนังสือนี้มีชื่อว่า New Views: The World Mapped Like Never Before ที่เขียนโดย Alastair Bonnett ศาสตราจารย์ด้านสังคมและภูมิศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ได้ใช้ข้อมูลต่างๆ จากดาวเทียมที่แสดงให้เห็นถึงเรื่องที่โลกกำลังเป็นไปในปัจจุบันอย่างแม่นยำ อาทิ ระดับน้ำทะเล อัตราการบริโภคน้ำตาล หรือกระทั่งการจัดระดับความสุข และนี่คือข้อมูลบางส่วนจากหนังสือเล่มนี้ เส้นทางการเดินเรือต่างๆ ในมหาสมุทร เส้นสีฟ้าที่ปรากฎในแผนภาพ แสดงให้เห็นถึงเส้นทางการเดินเรือต่างๆในมหาสมุทร ผ่านมหาสมุทรแปซิฟิคเหนือ มหาสมุทรแอนแลนติกเหนือ รวมทั้งมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมีเรือจำนวนมากที่ใช้ข้อมูลนี้ในการเดินเรือ จุดที่ดาวเคราะห์ขนาดเล็กตกสู่โลก แผนภาพนี้ถูกเผยแพร่ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 จากองค์การนาซ่า เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงจุดที่ดาวเคราะห์ขนาดเล็กที่มีขนาดตั้งแต่ 1 เมตรไปจนถึง 20 เมตร ที่ตกลงมาบนโลกระหว่างปี 1994-2013 โดยจุดสีส้มคือดาวเคราะห์ที่ตกลงมาในเวลากลางวัน สีน้ำเงินคือ ดาวเคราะห์ที่ตกลงมาในเวลากลางคืน และขนาดที่แตกต่างกันคือผลกระทบจากการตกของดาวเคราะห์ ในภาพแสดงให้เห็นว่ามันกระจายไปทั่วโลก ซึ่งไม่มีที่ไหนที่สามารถจะหลบได้บนโลกใบนี้ ทะเลที่โลกยังไม่รู้จัก นักวิทยาศาสตร์กว่า 2,700 คนและนักสำรวจทะเลกว่า 540 คน…
-
แพทย์ต่างประเทศบอก การใส่ “รองเท้าแตะหูคีบ” บ่อยๆ เป็นอันตรายต่อเท้าของคุณ
เชื่อว่าในวันสบายๆ หลายๆ คนเลือกที่จะใส่รองเท้าแตะที่ทั้งสวมง่ายถอดง่าย ใส่ไปเดินที่ไหนก็สะดวก ไม่ว่าจะขึ้นรถลงเรือ แต่จะมีซักกี่คนที่จะรู้ว่าเจ้ารองเท้าแตะนั้นก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพเท้าได้เหมือนกัน มันจะส่งผลเสียขนาดไหนเราไปชมคำเตือนจากคุณหมอ Zachary Vaupel กันเลยดีกว่า ในช่วงหน้าร้องที่ผ่านมาทั้งหนุ่มๆ และสาวๆ ต้องไปค้นชั้นรองเท้าเพื่อเพื่อไอเทมสุดจ๊าบ อย่างรองเท้าแตะหูคีบที่สามารถใส่ได้สบายๆ ระบายอากาศได้ดีเยี่ยม จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่มันจะเป็นรองเท้ายอดฮิตที่ผู้คนใส่ไปทะเลกัน เพราะมันสะดวกเหลือเกินเวลาเจอทรายร่วนๆ แถมยังมีสีสันสดใสแมทช์กับชุดว่ายน้ำได้เป็นอย่างดี แต่คุณรู้หรือไม่ว่ามีแพทย์ชาวมิชิแกนรายหนึ่ง ได้จัดเกรดของรองเท้าแตะหูคีบให้อยู่ในเกรด F ซึ่งบางทีคุณต้องเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับรองเท้าแตะซะใหม่แล้วล่ะ Dr. Zachary Vaupel ศัลยแพทย์ที่เท้าและข้อเท้ากล่าวว่า รองแตะเหล่านั้นอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพเท้าและข้อเท้าของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นการนำไปสู่โรคเอ็นข้อเท้าอักเสบ โรคกระดูก และอาการเจ็บหน้าแข้ง และรองเท้าแตะอาจนำไปสู่อาการเคล็ดขัดยอกเมื่อคุณใส่เดินทางไปที่ต่างๆ . เมื่อลองถามเด็กๆ ดูว่า เธอเคยใส่รองเท้าแตะวิ่งเล่นในช่วงฤดูร้อนหรือไม่ เธอก็ตอบได้อย่างฉะฉานว่า “ไม่หรอก เพราะมันอาจจะทำให้คุณหกล้ม” เห็นไหมล่ะ ว่าขนาดเด็กยังรู้เลย Dr. Vaupel ได้เตือนๆ ทุกๆ คนว่า การใส่รองเท้าแตะอาจทำให้ลื่นล้มได้ง่าย และมันไม่ใช่รองเท้าที่ดีที่สุดสำหรับเท้าของเรา ทางที่ดีรองเท้าหุ้มส้นก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่านะ …
-
ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า ‘การนอนหลับ’ ให้ครบ 8 ชั่วโมงไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอไป
การนอนหลับให้ครบ 8 ชั่วโมงก่อนตื่นมาพบเช้าวันใหม่เป็นเรื่องที่เราทุกคนเข้าใจกันมาตั้งแต่เด็กว่าจะทำให้ร่างกายของเราสดชื่น และถือว่าเป็นการพักผ่อนที่เพียงพอ แต่ความเป็นจริงมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป เมื่อ Nick Littlehales ที่ปรึกษาเรื่องการนอนหลับของนักฟุตบอลชื่อก้องโลกอย่าง Christiano Ronaldo ได้ออกมาบอกว่าแท้จริงแล้วการนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาแนะนำ วิธีที่เขาบอกว่าดีที่สุดก็คือการแบ่งเวลานอนเป็น 5 ครั้ง ครั้งละ 90 นาที จะทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แน่นอนว่าการจะแบ่งเวลานอนเป็นช่วงๆ คือสิ่งที่เราไม่เคยชินกับมันมาก่อน แต่สิ่งนี้เขาก็ยืนยันว่าจะทำให้การตื่นนอนของเราเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ถ้าหากบางคนไม่อยากไปรับการปรึกษาเพื่อบริหารเวลานอนให้ลงตัว เขาก็ได้แนะนำวิธีการแบ่งเวลานอนง่ายๆ ผ่านเว็บไซต์ที่ชื่อว่า web-blinds เพียงแค่ใส่เวลาที่คุณต้องตื่นมันก็จะคำนวนเวลาการการหลับ การตื่นนอนที่เหมาะสมให้ทันที แต่นอกเหนือจากเรื่องของเวลาก็ยังมีอีกหลายปัจจัยที่จะทำให้เราหลับสบายมากยิ่งขึ้น อย่างแรกคือเรื่องของเตียงนอนที่เราใช้ ไม่จำเป็นต้องมีความหรูหราหรือฟูกหนาๆ แต่อย่างใด เพราะเขาบอกว่าการนอนให้สบายขอแค่ฟูกที่ด้านในเป็นแผ่นโฟมหนา 10 เซนติเมตรก็พอและถ้าผ้าปู ปลอกหมอนหรือผ้าห่มเพิ่งซักมาใหม่ๆ ก็จะยิ่งดีกับเรามากขึ้นอีก โดยผลลัพธ์นี้เขาได้มาจากการทำงานอยู่ในกลุ่ม Team Sky ที่ตามเก็บข้อมูลจากนักกีฬาในการแข่งขันปั่นจักรยานชื่อดังหลายแห่งเช่น Tour de France ที่จัดในฝรั่งเศส เขาบอกว่า “ลองคิดถึงฟูกเล็กๆ ที่เราใช้เวลาไปนอนเต้นท์หรือตั้งแคมป์ดูสิ ความหนาเพียง 10 เซนติเมตรก็สามารถทำให้เราตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นแล้วจริงมั้ย?” …
-
ทัศนคติความงามของสาว 4 ประเทศ ไทย-จีน-เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น สรุปสั้นๆ ได้ในประโยคเดียว
เมื่อมีการโพสต์ลงบนเว็บเว่ยโบ๋ โซเชียลมีเดียชื่อดังของจีน เพื่อสรุปความงามของสาวๆ เอเชีย 4 ประเทศออกมาในประโยคเดียว ประเทศเหล่านั้นได้แก่ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และไทยของเราด้วย ซึ่งผู้โพสต์ก็ได้รับความนิยมอย่างสูง จนมีคนติดตามนับล้าน กระทั่งเจ้าตัวก็บอกเองว่า “นี่คือความเห็นส่วนตัว และสามารถโต้แย้งได้ถ้าใครเห็นไม่ตรงกัน” เราลองมาดูดีกว่าว่าจะจริงแค่ไหน ประเทศจีน – สวยเซลฟี่ ผู้เขียนให้ความเห็นว่าสาวจีนนั้นขึ้นชื่อว่าสวยเซลฟี่ เพราะพวกเธอมีความสามารถที่จะใช้ทั้งกล้องโปรและกล้องมือถือ หามุมเซลฟี่ที่สวยที่สุดของตัวเองได้เก่งกว่าชาติอื่น แถมยังใช้แอพแต่งภาพได้โปรมากๆ ประเทศญี่ปุ่น – สวยเครื่องสำอาง เราต่างรู้ดีว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นขึ้นชื่อเรื่องเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ซึ่งดูเหมือนว่าในตลาดเครื่องสำอางญี่ปุ่นจะมีผลิตภัณฑ์แต่งเสริมเติมแต่งเฉพาะจุด ตั้งแต่หางคิวไปจนกระทั่งติ่งหู นั่นจึงไม่แปลกที่สาวๆ ญี่ปุ่นจะเก่งเรื่องใช้เครื่องสำอางเป็นพิเศษ ประเทศเกาหลีใต้ – สวยศัลยกรรม ข้อนี้คงตรงกับความคิดของใครหลายๆ คน และประเทศเกาหลีใต้ก็ขึ้นชื่อเรื่องศัลยกรรมเป็นอย่างมาก ถึงขั้นมีชาวเอเชียหลายๆ ชาติยอมลงทุนบินไปเกาหลีใต้เพื่อทำศัลยกรรมโดยเฉพาะ และค่านิยมการศัลยกรรมเพื่อความงาม ก็เป็นเรื่องปกติที่ยอมรับได้ในสังคมเกาหลีเช่นกัน ประเทศไทย – สวยข้ามเพศ นอกจากอาหารอร่อยและชายหาดสวยงามแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต่างชาติพูดถึงประเทศเรา(ในทางที่ดี) ก็คือเหล่าสาวๆ ข้ามเพศของประเทศเรานั้นสวยไม่แพ้ชาติอื่นบนโลก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงสวยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมาก่อนอย่างที่ผู้ชายต่างชาติหลายคนเข้าใจหรอกนะ เพราะสาวแท้ๆ…
-
“ก็เลี้ยงมันมาเหมือนลูก…” เหตุผลน่ารักๆ กับเรื่องที่ว่า ‘ในหลวง ร.9’ ไม่โปรดเสวยปลานิล
เรื่องสั้นเกี่ยวกับ ‘เหตุใดในหลวงจึงไม่โปรดการเสวยปลานิล?’ ทั้งๆ ที่เราก็รู้กันว่าพระองค์ทรงพระราชทานให้กับกรมประมงเพื่อให้แจกจ่ายให้ประชาชนไปขยายพันธุ์กัน… พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่โปรดเสวยปลานิล ปลานิล ก่อนอื่นเลยเรามาดูที่มาที่ไปของเรื่องนี้กัน หลายๆ คนอาจจะคุ้นเคยว่าปลานิลนั้นเป็นปลาดั้งเดิมของไทย แต่ที่จริงแล้วแรกเริ่มเดิมทีนั้น ปลานิลมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่แถบแอฟริกาซึ่งสามารถพบได้ตามแหล่งน้ำทั่วๆ ไป เข้าสู่ประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี 2508 สาเหตุที่เขาสู่ประเทศไทยได้นั้นก็เพราะว่าสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ (เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมารแห่งประเทศญี่ปุ่น) ทรงเลือกสรรลูกพันธุ์ปลานิลแท้ 50 ตัว เข้ามาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ระหว่างการขนส่งโดยเครื่องบินนั้น ปลานิลมีชีวิตรอดมาเพียง 10 ตัวเท่านั้น… จากนั้นท่านจึงทรงรับสั่งให้ทดลองเลี้ยงปลานิลที่เหลือไว้ที่บ่อภายในสวนจิตรลดาอย่างดีที่สุดเพื่อให้รอดชีวิต ผลปรากฎว่าปลานิลสามารถเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้เป็นอย่างดี แถมยังเลี้ยงง่ายกินอะไรก็ได้ที่ว่ายไปเจอ ต่อมาจึงได้พระราชทานชื่อปลาชนิดนี้ว่า ‘ปลานิล’ จากชื่อแม่น่ำไนล์ (Nile) ที่เป็นแหล่งอาศัยดั้งเดิมของปลาชนิดนี้ หลังจากนั้นได้พระราชทานปลานิลให้กรมประมงใน เพื่อไปเพาะพันธุ์และแจกจ่ายให้กับพสกนิกรชาวไทยต่อไป จนกลายมาเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ปลาที่เลี้ยงปากท้องและสร้างอาชีพให้ชาวไทยทั้งประเทศเรื่อยมา วกกลับมาเข้าเรื่อง หลายๆ คงก็คงจะพอทราบกันว่า ในหลวงนั้นไม่โปรดเสวยปลานิล ทุกๆ ครั้งที่มีผู้นำปลานิลไปตั้งเป็นเคื่องเสวย ก็จะทรงโบกประหัตถ์ให้ย้ายไปไว้ที่อื่นทุกๆ ครั้งไป โดยไม่ได้รับสั่งอะไรเพิ่มเติมแต่อย่างใด… จนวันหนึ่งมีผู้สงสัย ใช้ความกล้าไปกราบบังคมทูลเพื่อถามว่า ‘เหตุใดพระองค์จึงไม่โปรดเสวยปลานิล?’ ซึ่งพระองค์ก็ได้มีกระแสรับสั่งตอบกลับมาว่า ‘ก็เลี้ยงมันมาเหมือนลูก…
-
งานวิจัยเผย แนวโน้มของผู้ชายนั้นชอบความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันมากกว่า!!
ผู้ชายแทบทุกคนจะต้องมีเพื่อนเพศเดียวกันที่สนิทกันมากจนเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่เรียกว่า โบรแมนซ์ (Bromance) ซึ่งหมายความว่าพวกคุณรักกันมากจนเหมือนกับเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันเลยทีเดียว จนกระทั่งในปัจจุบันได้มีการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Winchester และ Bedfordshire ที่ออกมาบอกว่าวัยรุ่นชายจะรู้สึกพึงพอใจกับความสัมพันธ์แบบนั้นมากกว่าความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับเพศตรงข้ามซะอีก สนิทกันชนิดที่ว่าตัดกันยังไงก็ไม่ขาด ผลลัพธ์นี้เกิดจากการเก็บข้อมูลของนักเรียนชายในสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาจำนวน 30 คนที่ต้องมีความสัมพันธ์แบบโบรแมนซ์และมีแฟนสาวอยู่แล้วหรือเคยมีมาก่อน ผลที่ได้คือ 28 คนจากทั้งหมดรู้สึกสบายใจกับการพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนสนิทเพศเดียวกันมากกว่าเรื่องของแฟนสาว เพื่อนกับแฟนมันแทนกันไม่ได้จริงๆ จากการตีพิมพ์ใน Men and Masculinities ได้บอกเอาไว้อีกว่า “ความสัมพันธ์แบบโบรแมนซ์ช่วยเพิ่มความมั่นคงในอารมณ์ เพิ่มความพึงพอใจในสังคม ช่วยให้พวกเขาเปิดเผยอารมณ์มากกว่าเดิม และทำให้พวกเขาแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ดีกว่าความสัมพันธ์แบบคู่รักกับแฟนสาว” นอกจากนั้นเวลาที่ใช้ร่วมกับเพื่อนสนิทเพศเดียวกันจะช่วยให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ลดความตึงเครียดปลดปล่อยความเจ็บปวด และมีความใจกว้างมากกว่าเดิม เราก็เหมือนกับพี่น้องที่โตมาด้วยกัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องของความรักที่ต้องมีเรื่องเพศสัมพันธ์อะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์แบบนี้ก็อาจส่งผลกระทบกับผู้หญิงทั้งหลายได้ ลองคิดดูว่าถ้าหนุ่มๆ รู้สึกพึงพอใจกับความสัมพันธ์กับเพื่อนสนิทมากพออยู่แล้ว สิ่งที่พวกเขาจะต้องการจากกผู้หญิงก็เหลือแค่เรื่องเพศเพียงอย่างเดียว นั่นหมายความว่าพวกเขาอาจไม่ใส่ใจกับพฤติกรรมอื่นที่ทำกับพวกเธอแล้วก็ได้ แค่มองตาก็รู้ใจเพราะมีอะไรก็พูดคุยกันอยู่ตลอด แต่ว่าการศึกษานี้ก็ยังเจาะจงไปที่กลุ่มวัยรุ่นเพียงอย่างเดียว นั่นหมายความว่าคนที่อยู่ในช่วงวัยผู้ใหญ่อาจไม่ได้เป็นอย่างที่อธิบายมาก็ได้ ถึงอย่างนั้นก็ทำให้เราเข้าใจเลยว่าเพื่อนแท้นั้นมีความสำคัญกับเรามากขนาดไหน เพื่อนแท้คือคนที่จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ ที่มา: unilad
-
สาวแลกความบริสุทธิ์กับ iPhone 8 แต่โดนวางแผนเซ็กส์หมู่ เตือนใจให้สังคมฉุกคิด!!
ท่ามกลางกระแสโลกทุนนิยม การแข่งขัน ความอยากได้อยากมี บ่อยครั้งที่เราจะได้เห็นข่าวอย่าง การขายของสำคัญ ขโมยของมาขาย หรือกระทั่งขายอวัยวะบางชิ้นของร่างกาย เพื่อแลกกับของตามสมัยนิยม ล่าสุดคลิปหญิงสาวยอมขายความบริสุทธิ์ของตัวเอง เพื่อแลกกับโทรศัพท์ iPhone 8 กำลังถูกพูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์จีนและต่างประเทศ แม้จะมีข้อถกเถียงว่าอาจจะเป็นการจัดฉากก็ตาม… Xiao Chen อายุ 17 ปี โพสต์ข้อเสนอมอบ “ความบริสุทธิ์” ของเธอเองให้กับชายคนใดก็ตาม เพื่อแลกกับเงิน 20,000 หยวน (ประมาณ 100,000 บาท) หลังจากนั้นเธอก็นัดพบกับลูกค้าของเธอในร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง โดยทางฝ่ายสาวมีการพูดว่าเพื่อนของเธอเสนอขายบริการให้คนรวย จนได้เงิน 20,000 หยวนมาอย่างง่ายดาย เธอก็เลยทำบ้าง “สิ่งที่ฉันต้องทำก็แค่นอน(ให้คุณมีอะไรด้วย) ใช่ไหม.. จากนั้นเราต่างก็ได้สิ่งที่เราต้องการ ฉันคิดเรื่องนี้มาอย่างดีแล้ว” จากนั้นเธอและเขาจึงพากันไปที่โรงแรม… แท้จริงแล้วเธอไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่แรกแล้วโพสต์ของเธอถูกพบโดย Nana บล็อกเกอร์คนดังของจีน ซึ่งได้จัดฉากเหตุการณ์ทั้งหมด รวมถึงเป็นผู้ให้ชายหนุ่มคนดังกล่าวมาล่อซื้อเธอด้วย เมื่อไปถึงโรงแรม เรื่องราวก็ดำเนินการไปเหมือนกับการค้าบริการ โดยฝ่ายชายได้มอบ iPhone ให้กับหญิงสาวเพื่อเป็นการทำให้เธอเชื่อใจ.. แต่แล้วก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์ …
-
เผยทฤษฎีการตายของผีน้อย Casper ก่อนจะมาเป็นผีเขาต้องเจอกับเหตุการณ์อะไรมาบ้าง?
ถ้าหากพูดถึงหนึ่งในการ์ตูนสุดคลาสสิคอันเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ หลายๆ คนในช่วงยุค 90’s คงจะต้องมีชื่อของเจ้าผีน้อยแคสเปอร์ แน่ๆ และในช่วงใกล้วันฮาโลวีนแบบนี้เราก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเจ้าผีน้อยน่ารักตัวนี้มาฝากกัน ซึ่งหลายๆ คนอาจจะเคยสงสัยกันว่า จริงๆ แล้วเจ้าผีน้อยแคสเปอร์กลายเป็นผีได้อย่างไร? และเค้าเองจะเคยเป็นเด็กบ้างรึเปล่านะ หรือว่าจริงๆ แล้วเขาเกิดมาก็เป็นผีเลย ซึ่งวันนี้เราก็มีทฤษฎีที่จะทำให้คุณคลายความสงสัยนี้มาฝากกัน เริ่มกันที่ทฤษฎีแรกจากหนังของผีน้อยแคสเปอร์ ในปี 1995 กันก่อนเลย ซึ่งในหนังนั้นนางเอกของเรื่องได้พาเจ้าผีน้อยมารำลึกความหลังในห้องนอนในวัยเด็กของเขา และแคสเปอร์ก็เริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเอง ว่าเขานั้นป่วยด้วยอาการปอดบวมจนเสียชีวิต เจ้าผีน้อยบอกว่า “ตอนนั้นทั้งดึก มืด และหนาวและผมก็ป่วยด้วย ผมจำได้ว่าผมไปที่ไหนไม่ได้ และผมอยู่ที่นี่กับพ่อของผม” แต่นอกจากการตายด้วยโรคปอดบวม ของเจ้าผีน้อยในภาพยนตร์ที่ทำให้หลายๆ คนน้ำตาร่วงแล้ว ในเรื่องราวของแคสเปอร์ฉบับหนังสือการ์ตูนช่วงยุค 70’s นั้นได้เล่าว่า เจ้าผีน้อยเองเป็นผีมาตั้งแต่แรกแล้ว เนื่องจากพ่อกับแม่ของเขาเป็นผีและเมื่อแต่งงานกันลูกที่เกิดมานั้นก็ต้องเป็นผีด้วย และในฉบับหนังสือการ์ตูนนั้นยังได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของเจ้าผีน้อยในโรงเรียน รวมถึงการใช้ชีวิตแบบเด็กๆ ของเจ้าผีน้อย ซึ่งเหมือนกับว่านี่เป็นโลกของผีและทุกคนก็เป็นผีมาตั้งแต่เกิดเลย แต่ก็ยังมีอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับแคสเปอร์ เพราะในตอนหนึ่งของฉบับแอนิเมชั่นจาก Paramount Picture ในปี 1948 ได้เผยให้เห็นภาพของเจ้าผีน้อยที่กำลังนั่งอยู่บนป้ายหลุมศพของเขา ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ว่าจริงๆ แล้วเขาอาจจะเคยเป็นมนุษย์มาก่อน และนอกจากนี้ในตอนเดียวกันของการ์ตูนเรื่องนี้ แคสเปอร์เองยังเป็นเพื่อนกับเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งที่ถูกฆ่าตาย ซึ่งเรื่องราวในการ์ตูนนั้น…
-
จุดเริ่มต้นและที่มาของคำว่า ‘Bikini’ ชุดว่ายน้ำที่ทั้งสาวๆ และหนุ่มๆ ชื่นชอบ
เวลาที่เราไปเที่ยวทะเลเดินเล่นตามชายหาดหรือไปสระว่ายน้ำก็คงไม่แปลกที่เราจะได้เห็นสาวๆ ใส่ชุดว่ายน้ำที่เราเรียกกันว่า บิกินี่ (Bikini) เพื่อโชว์สรีระเรือนร่างที่ทำให้หนุ่มๆ รู้สึกเพลิดเพลินสบายตา แต่เราเคยรู้มาก่อนมั้ยว่าเสื้อผ้าประเภทนี้เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วทำไมถึงต้องเรียกว่าบิกินี่ด้วย #เหมียวตะปู จะมาเล่าถึงที่มาของมันให้เพื่อนๆ ทุกคนได้ทราบกัน ภาพอันเก่าแก่ชื่อ Roman Villa Romana del Casale ที่ถูกพบในซิซิลี นักโบราณคดีได้ค้นพบภาพวาดอันเก่าแก่ของโรมันที่มีมาตั้งแต่ในช่วงปีค.ศ. 286 – 305 ที่เผยให้เห็นหญิงสาวสวมชุดที่คล้ายคลึงกับบิกินี่ในปัจจุบัน แต่หากพูดถึงจุดเริ่มต้นของการคิดค้นจนกลายมาเป็นที่นิยมจนถึงตอนนี้ มันได้เริ่มต้นขึ้นในปี 1946 โดยนักออกแบบที่ชื่อว่า Louis Reard เขาได้ตั้งชื่อเครื่องแต่งกายนี้ว่าบิกินี่ตามชื่อของสถานที่ที่ใช้ในการทดสอบระเบิดปรมาณูที่ชื่อว่า Bikini Atoll เพราะเขาเชื่อว่าชุดว่ายน้ำรูปแบบใหม่นี้จะทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกับครั้งแรกที่ได้เห็นความรุนแรงของระเบิดปรมาณู อารมณ์แบบช็อคจนต้องอุทานออกมาว่า “ว๊าววว!!” ในขณะนั้นก็มีชายอีกคนหนึ่งที่ชื่อ Jacques Heim ที่ออกแบบชุดว่ายน้ำในลักษณะเดียวกันออกมาและตั้งชื่อว่า Atome จากคำว่า Atom หรือระเบิดปรมาณูที่มีการคิดค้นในช่วงนั้นพร้อมกับประกาศอีกว่าชุดว่ายน้ำของตนมีขนาดเล็กมากที่สุดในโลก แต่ในความเป็นจริงชุดที่ออกแบบโดย Louis มีขนาดเล็กกว่ามาก ใช้เนื้อผ้าความยาวแค่ 76 เซนติเมตรเท่านั้น แต่ด้วยขนาดที่เล็กนิดเดียวจึงติดปัญหาในเรื่องของการหานางแบบที่กล้าพอจะมาใส่ชุดแบบนี้ได้ จนกระทั่งเขาได้พบกับ…
-
เรื่องราวของ ‘หลวงแจ่ม’ สุนัขที่ชอบแอบเข้าในเขตพระราชวัง จนกลายมาเป็นสุนัขทรงเลี้ยง
ปวงชนชาวไทยทั้งหลายจะรู้กันดีว่า “รัชกาลที่ 9” ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณสูงส่ง และไม่ใช่กับเหล่าประชาชนชาวไทยเพียงอย่างเดียว กับเหล่าสัตว์ทั้งหลายเองก็เช่นกัน โดยเฉพาะสุนัข พระองค์ทรงรักสุนัขมาก ดังเราจะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงมีสุนัขทรงเลี้ยงอยู่มากมาย และในวันนี้เอง #เหมียวหง่าว ก็อยากจะขอพาเพื่อนๆ ไปชมเรื่องราวของเจ้าเจมส์ ที่ชอบแอบเข้าไปวิ่งเล่นในวังจนกลายมาเป็นหนึ่งในสุนัขทรงเลี้ยงของพระองค์ เรื่องราวของเจ้าเจมส์ หมาพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ดที่ คุณฉันทนา ศรีสวัสดิ์ ได้นำมาเลี้ยงไว้ในช่วงปี พ.ศ. 2541 ซึ่งบ้านของเธอนั้นอยู่ไม่ห่างจากพระราชวังไกลกังวลซักเท่าไหร่ เจ้าเจมส์เป็นหมาที่เรียบร้อย ไม่ค่อยซุกซนเหมือนกับหมาตัวอื่นๆ ทั่วไปซักเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้ก็ทำให้คุณฉันทนาเป็นห่วงว่ามันจะไม่มีความสุข อย่างที่กล้าวไว้ในข้างต้นว่าบ้านของคุณฉันทนานั้นอยู่ใกล้กับพระราชวังไกลกังวล และรั้วที่อยู่ใกล้กับบ้านของเธอนั้นก็เป็นเพียงลวดหนามผุๆ เท่านั้น แถมยังพอมีช่องให้สุนัขลอดไปได้อยู่ 1 รู คุณฉันทนาเล่าว่าเจ้าเจมส์นั้นชอบแอบลอดรั้วเข้าไปเล่นซนในพระราชวังไกลกังวลอยู่บ่อยๆ มีอยู่วันหนึ่งมันหายจากบ้านไปนานถึง 3 วัน ด้วยความเป็นห่วงคุณฉันทนาก็ได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่เพื่อไปตามมันกลับมา และก็ไปพบเจ้าเจมส์ที่ห้องครัวอาหารต่างประเทศ (แหม สมกับเป็นหมาต่างประเทศเลยนะ) กำลังนอนหลับตากแอร์อย่างเป็นสุข จะพากลับก็ดูเหมือนว่าไม่อยากกลับ และอยู่มาวันหนึ่งพระองค์ก็ได้เสด็จมาประทับที่พระราชวังไกลกังวล ทำให้คุณฉันทนาต้องควบคุมเจ้าเจมส์อย่างเข้มงวดยิ่งกว่าเดิมเพราะหากมันแอบเข้าไปในวังอีกก็เกรงว่าจะเป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท แต่ด้วยความที่คุณฉันทนาเป็นคนที่รักสุนัขมาก ทำให้เธอไม่อยากจะล่ามมัน และในที่สุดเจ้าเจมส์ก็แอบหนีเข้าไปเล่นในวังอยู่ดี และทุกๆ วันเจ้าหน้าที่ก็จะจูงเจ้าเจมส์มาส่งที่หน้าบ้าน จนมาวันหนึ่งเจ้าหน้าที่ได้จูงเจ้าเจมส์มาส่งตามเดิมแต่ครั้งนี้ดูท่าจะเป็นเรื่องใหญ่เพราะว่าเจ้าเจมส์นั้นล่วงเข้าไปถึงยังเขตพระราชฐานชั้นใน เจ้าหน้าที่ก็เลยกำชับไว้ว่าอย่าปล่อยให้มันหลุดเข้าไปในวังอีกเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้คุณฉันทนาก็เลยจำเป็นที่จะต้องล่ามเจ้าเจมส์เอาไว้ แต่เวลาผ่านไปในช่วงสายวันหนึ่งก็มีเจ้าหน้าที่มาหาที่บ้าน…
-
ว่าไงนะ… งานวิจัยเผย ‘เห็ดขี้ควาย’ ช่วยรีเซ็ทสมอง และบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าได้!?
งานนี้สายเมาแบบ Trippy คงต้องมีเฮกันบ้าง หลังมีงานวิจัยจากสถาบัน Imperial College London ที่ค้นพบว่า… เห็ดขี้ควาย (Magic Mushroom) ช่วยรีเซ็ทสมอง และบรรเทาอาการโรคซึมเศร้าได้จริง!? ถ้าจะให้อธิบายคุณสมบัติแบบหยาบๆ ก็คือ เจ้า Psilocybe Cubensis (เห็ดขี้ควาย) เป็นเห็ดที่มีพิษส่งผลต่อระบบประสาท โดยส่วนใหญ่ผู้ที่รับประทานเข้าไปจะมีอาการ.. เห็นภาพ แสง สี ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านความคิด และอารมณ์คล้ายคลึงกับ LSD ซึ่งเราจะเรียกสสารในหมวดที่สร้างภาพหลอน และมีการเปลี่ยนแปลงเชิงจิตใต้สำนึกนี้ว่า ‘Psychedelic Drugs’ ตัวเห็ดมักขึ้นอยู่ตามกองมูลแห้งของควาย สามารถพบได้ในหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก และในแต่ละพื้นที่ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยทางสายพันธุ์ที่ต่างกันออกไป (รวมถึงอาการที่ได้รับด้วย) มาเข้าเรื่องของเรากันต่อ… โดย Dr. Robin Carhart-Harris หัวหน้าทีมวิจัยสาร Psychedelic ประจำสถาบัน Imperial College London ได้ให้สัมภาษณ์ถึงผลลัพธ์จากงานวิจัยว่า “เราได้ค้นพบครั้งแรกว่า อาการที่เกิดขึ้นจากการรับประทาน ‘เห็ดขี้ควาย’ ช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมสมองของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือคนที่มีปัญหากับอาการเครียดได้..” …
-
ภาพการ์ตูนสะท้อนสังคม “ความเจ็บปวดของเหล่าเด็กๆ” ที่ต้องเจอกับปัญหาพ่อแม่หย่าร้าง…
หลายคนมักจะอ่านการ์ตูนที่ทำให้เรารู้สึกดีแต่ในความเป็นจริงเราต้องอย่าลืมที่จะสนใจการ์ตูนที่ให้ความรู้สึกตรงกันข้ามออกมาด้วย เหมือนกับการ์ตูนสั้น 7 ช่องเรื่องนี้ การ์ตูนโดยศิลปินที่ใช้ชื่อว่า Mark เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสังคมและปัญหาพ่อแม่หย่าร้างที่เกิดขึ้นกับเด็ก ซึ่งสุดท้ายต้องถูกทิ้งเอาไว้อย่างไร้ความหวัง ในขณะนี้มันได้กลายเป็นกระแสในโลกโซเชียลที่ทำให้หลายคนได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นกัน ว่าแล้วเพื่อนๆ ก็ลองไปดูกันเลย . . . . . . แม้ในส่วนของการ์ตูนจะมีความเรียบง่ายแต่ก็สะท้อนปัญหาในเรื่องนี้ออกมาได้อย่างชัดเจน จนทำให้หลายคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ไปแล้ว ในตอนที่พ่อแม่เลิกกันไม่มีใครอยากได้ฉันไปอยู่ด้วยเลยทำให้ฉันรู้สึกอินกับการ์ตูนเรื่องนี้มาก แม้ตอนนี้ฉันจะดีขึ้นแล้วแต่มันก็ยังเศร้าอยู่ดี สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครอบครัวฉันหย่าร้างกันเมื่อสองปีก่อนตอนที่ฉันอายุได้ 16 ปี และสิ่งนั้นเกือบทำให้ฉันคิดฆ่าตัวตาย เรื่องนี้กระแทกใจฉันเข้าอย่างจัง พ่อทิ้งฉันไปตั้งแต่ยังแบเบาะ ส่วนแม่ก็ไม่สนใจฉันเลยในตอนวัยเด็กเพราะมัวแต่ไปปาร์ตี้กับผู้ชายคนอื่นๆ แต่บางคนก็ได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากการ์ตูนเรื่องนี้ เด็กที่ต้องเจอกับปัญหาหย่าร้างไม่ได้ต้องแย่ขนาดนั้นเสมอไป แม้พ่อจะทิ้งฉันไปหาครอบครัวใหม่ แต่ตอนนี้พ่อเลี้ยงก็ดูแลฉันดีมาโดยตลอด เรื่องของฉันต่างออกไป เพราะตอนนั้นฉันพยายามกอดและปลอบโยนแม่จนสามารถทำให้เราอยู่ด้วยกันได้มาจนถึงตอนนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ในวันเกิดของฉันครอบครัวใหม่ของทั้งแม่และพ่อต่างมาร่วมเล่นเกมและมีความสุขไปด้วยกัน แล้วเพื่อนๆ ละคิดยังไงกับการ์ตูนเรื่องนี้บ้างมาคอมเม้นท์บอกไว้ด้านล่างหน่อยนะ ที่มา: Demilked
-
สาวญี่ปุ่นร่วมโหวต 7 อันดับการ ‘ถูกบอกเลิก’ ที่ทำร้ายหัวใจพวกเธอมากที่สุด!!
ชีวิตคู่ของหลายคนบางครั้งเมื่อมาถึงจุดจุดหนึ่งการเลิกรากันไปอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่เราต้องเลือกวิธีการบอกเลิกให้ดีเพราะเราอาจทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากกับการถูกเลิกก็ได้ ในประเทศญี่ปุ่น จึงได้มีการใช้แบบสอบถามของ DoCoMo ที่รวบรวมประสบการณ์การถูกบอกเลิกอันแสนเจ็บปวดมาให้หญิงสาวชาวญี่ปุ่นวัยราวๆ 30 ในเมืองโตเกียว ได้เข้ามาตอบว่าสถานการณ์แบบไหนที่ทำให้พวกเธอรู้สึกเจ็บมากที่สุด ผลโหวตทั้งหมดได้ออกมาเป็น 7 การบอกเลิกที่เลวร้ายมากที่สุดสำหรับพวกเธอ 7. ถูกบอกเลิกหลังจากที่ความลับโดนเปิดเผยและอีกฝ่ายรับไม่ได้ (โหวต 141 คน/ 1 เปอร์เซ็นต์) หลายคนมองว่าสถานการณ์นั้นสมควรแล้วที่จะถูกบอกเลิก แต่ก็ยังมีบางส่วนที่คิดว่าเรื่องของตัวเองควรได้รับการให้อภัยไม่น่าถึงขนาดต้องเลิกคบกัน 6. ถูกบอกเลิกในที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำของทั้งสองคน (โหวต 245 คน/ 3 เปอร์เซ็นต์) เป็นตรรกะของบางคนที่คิดว่าการทำลายความทรงจำที่ดีที่มีให้กันไปซะจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่บางครั้งมันกลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกทรมานมากที่สุดก็ได้ 5. ถูกบอกเลิกหลังจากที่ทะเลาะกันอย่างหนัก (โหวต 245 คน/ 3 เปอร์เซ็นต์) จากคู่รักที่สนิทกันมากๆ บอกไว้ว่าการทะเลาะกันจะช่วยแยกแยะอารมณ์และปัญหาออกมาเพื่อแก้ไขมันให้ดีขึ้นได้ แต่บางครั้งการโต้เถียงบางเรื่องก็ไม่สามารถเรียกความรู้สึกเดิมกลับมาได้แม้อีกฝ่ายจะพยายามมากขนาดไหนก็ตาม 4. ถูกบอกเลิกในตอนที่ไปเจอกับพ่อแม่หรือคนในครอบครัว (โหวต 658 คน/ 8 เปอร์เซ็นต์) สถานการณ์นี้ไม่ได้มีการบอกว่าไปเจอพ่อแม่ของตัวเองหรือของอีกฝ่าย เลิกกันตอนไปเจอหรือหลังจากนั้น…
-
รู้จักกับ ‘บุราคุมิน’ กลุ่มคนชนชั้นล่างของสังคมญี่ปุ่น ที่ไม่อาจจับต้องและมองเห็นได้
บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับความสามัคคีของประเทศญี่ปุ่นผ่านทางสื่อต่างๆ แต่อันที่จริงแล้วอีกมุมหนึ่งของพื้นที่ห่างไกลในประเทศนี้กลับพบว่ามีการแบ่งชนชั้นกันอยู่ โต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยกองจดหมายด่าทอและดูถูกเหยียดหยาม จากมุมหนึ่งในห้องทำงานเก่าๆ ของตลาดเนื้อ Shibaura คงจะเป็นสิ่งที่อธิบายถึงความแบ่งแยกที่มีมาแต่ยุคกลางของประเทศญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี และผู้เป็นเจ้าของกองจดหมายเหล่านั้นก็คือ “บุราคุมิน” กลุ่มคนชนชั้นล่างอันเป็นที่รังเกียจของสังคมญี่ปุ่นนั่นเอง บุราคุมินนั้นมีอาชีพในการแล่เนื้อสัตว์ ฟอกหนัง หรือจัดการกับซากสัตว์ต่างๆ ในตลาดขายเนื้อแห่งนี้ ซึ่งทักษะดังกล่าวต้องใช้เวลาในการฝึกฝนกันนานนับ 10 ปี แต่อาชีพของพวกเขากลับเป็นไม่ถูกพูดถึงอย่างน่ายกย่อง “เมื่อมีผู้คนพูดถึงงานที่เราทำ พวกเรามักลังเลที่จะตอบพวกเขาไปตรงๆ ” คุณ Yuki Miyazaki หนึ่งในคนชำแหละเนื้อกล่าว “นั่นเป็นเพราะว่าเราไม่อยากให้ครอบครัวของเราได้รับการกระทำที่ไม่ดี พวกเราสามารถทนต่อการกระทำแบบเลือกปฏิบัติได้ แต่ลูกๆ ของเรานั้นอาจจะไม่เหมือนกัน และเราต้องปกป้องพวกเขา” ชายหนุ่มเสริม คำว่า “บุราคุมิน” ในภาษาญี่ปุ่นนั้นหมายถึงคนในหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปในสมัยศักดินาของประเทศญี่ปุ่นนั้น คนในหมู่บ้านเหล่านี้จะมีอาชีพใช้แรงงานที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งสกปรกหรือความตาย อย่างเช่นเพชฌฆาต คนขายเนื้อ และสัปเหร่อ และในชนชั้นต่ำสุดของกลุ่มคนเหล่านี้เรียกว่า “เอตะ” ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นชนชั้นที่ต่ำสุดของญี่ปุ่น เมื่อไหร่ก็ตามที่เอตะกระทำความผิด ซามูไรสามารถฆ่าพวกเขาได้ทันทีโดยที่ไม่มีความผิด และในศตวรรษที่ 19 พวกเขาถือว่าเอตะนั้นมีค่าเพียงแค่ 1 ใน 7 ของคนธรรมดาเท่านั้น ถึงแม้ว่าระบบศักดินาของญี่ปุ่นจะถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปี 1871 แล้ว แต่การกีดกันทางสังคมและความรังเกียจบุราคุมินนั้นยังคงมีอยู่ในสังคมญี่ปุ่น จากการรายงานของ BBC…
-
14 เทคนิคการเอาตัวรอดและ ‘ป้องกันตัว’ ที่อาจช่วยให้คุณรอดชีวิตได้ในยามคับขัน!!
อันตรายสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อโดยที่เราไม่สามารถรู้ตัวได้ว่าจะถูกคนอื่นเข้ามาจู่โจมเมื่อไหร่ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีความเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย เพราะฉะนั้นที่สำคัญก็คือการป้องกันตัวเองจากอันตรายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อให้เราสามารถยื้อชีวิตและทรัพย์สินเอาไว้ให้อยู่กับเราไปนานๆ และนี่ก็คือ 14 เทคนิคที่ทำได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงเพื่อช่วยให้ป้องกันตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม กำหมัดให้ถูกวิธี อย่าปล่อยให้นิ้วโป้งโผล่ออกมาด้านข้างและอย่าไปซ่อนมันเอาไว้ข้างในเพราะมันอาจทำให้กระดูกหัวแม่มือแตกได้ ดังนั้นให้กดมันลงไประหว่างนิ้วอื่นตามในภาพ ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและดีกว่าการตบหลายเท่าตัวเลย วิธีการแก้ปัญหาเวลาถูกมัดด้วยเชือก สิ่งสำคัญคือต้องพยายามสร้างช่องว่างระหว่างร่างกายกับเชือก ถ้าถูกมัดข้อมือเอาไว้ก็จงกำหมัดให้แน่นหรือถ้าถูกมัดร่างกายเอาไว้ก็พยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้กะบังลมขยายตัว เพราะมันจะยิ่งทำให้เชือกมีการคลายตัวออกมากขึ้นจนเพิ่มโอกาสหนีของคุณได้ วิธีการแก้ปัญหาเวลาถูกมัดด้วยเทปกาว ให้ยกมือขึ้นไว้เหนือศีรษะก่อนที่จะกระชากลงมาแรงๆ เพียงเท่านั้นก็จะสามารถหลุดออกมาได้และยังสามารถใช้วิธีการเดียวกันเวลาที่ถูกมัดจากด้านหลังได้อีกด้วย จดจำจุดตายเอาไว้ ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาโจมตีมักจะมีพละกำลังมากกว่าเราดังนั้นให้จดจำจุดสำคัญเอาไว้จากนั้นโจมตีเข้าไปแรงๆ และแม่นยำในครั้งเดียว แต่ต้องต่อยเข้าไปอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ศัตรูรู้ตัวและป้องกันได้ ใช้แอพช่วยเรื่องความปลอดภัย ปัจจุบันเชื่อว่าทุกคนต้องมีสมาร์ทโฟนฉะนั้นการโหลดแอพเช่น Family Locator หรือ bSafe ก็สามารถช่วยเราได้เพื่อให้คนรอบข้างรู้ว่าเราอยู่ที่ไหนรวมถึงสามารถส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปให้พวกเขาได้ คิดโค้ดลับขึ้นมา แน่นอนว่าเรื่องเล็กๆ แบบนี้สามารถช่วยคุณได้เยอะมากอย่างเวลาที่คนร้ายบังคับให้คุณบอกว่าไม่เป็นอะไร คุณก็อาจจะมีโค้ดลับบางอย่างเช่น “ฉันไม่เป็นอะไร” แปลว่า “ฉันกำลังตกอยู่ในอันตราย” เท่านี้คนใกล้ตัวก็จะสามารถเข้ามาช่วยได้ทัน หรืออยากให้เหนือกว่านั้นก็อาจมีโค้ดลับที่บอกสถานที่ที่คุณอยู่ก็ได้ ใช้สิ่งที่มีติดตัวให้เป็นประโยชน์ อย่างกระเป๋าหรือกระเป๋าเงินที่ใช้แทนโล่ได้แต่ต้องอย่าเอามาบังใกล้ตัวเดี๋ยวมีดแทงทะลุ หรือของอื่นๆ…
-
อุโมงค์ระบายน้ำยักษ์ในโตเกียว 70,000 ล้าน ก่อสร้าง 17 ปี เพื่อแก้น้ำท่วมอย่างยั่งยืน!!
สำหรับใครที่ชื่นชอบความอลังการในหนังฟอร์มยักษ์ อย่าง Lord of the Rings รวมถึง The Hobbit แล้วล่ะก็ อาจจะเคยเห็นความอลังการของเมืองคนแคระกันมาบ้าง ด้วยขนาดเสาที่ใหญ่โต สูงชะลูด เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ แต่วันนี้จะพาไปดูของจริงกัน!!! และนี่ก็คืออุโมงค์ยักษ์ ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้มหานครโตเกียว ซึ่งก็เหมือนอีกหลายๆ เมืองที่ตั้งขึ้นบริเวณแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน และติดกับทะเลเพื่อความสะดวกในการค้า แต่หลังจากปี 1950 ความเจริญของชุมชนเมืองก็เข้ามา ทำให้พื้นที่อุ้มน้ำมากขึ้น และแน่นอนเกิดน้ำท่วมแทบทุกปีเหมือนกับหลายๆ เมืองทั่วโลกประสบ ในปี 1990 รัฐบาลญี่ปุ่นจึงมีแผนแก้ไขระบบการระบายน้ำ และปิ๊งไอเดียอุโมงค์ขนาดยักษ์แห่งนี้ การก่อสร้างกินเวลาไปทั้งหมด 17 ปีเต็ม และใช้งบประมาณไปกว่า 7 หมื่นล้านบาท แต่แน่นอนว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะว่าการระบายน้ำของอุโมงค์ยักษ์แห่งนี้นั้นรวดเร็วสุดๆ ท่อทั้งหมดจะมีความยาวกว่า 6.3 กิโลเมตรด้วยกัน เป็นท่อค่อยๆ ส่งไปยังบ่อพักน้ำแต่ละแห่ง ก่อนที่จะระบายสู่แม่น้ำเอโดะที่ปลายเส้นทาง อุโมงค์แห่งนี้ระบุว่า สามารถระบายน้ำจำนวนมหาศาลสู่แม่น้ำเอโดะได้ในทันที ราวๆ วินาทีละ 200 ตันเลยทีเดียว!!!…
-
รู้จักกับ ‘Bullroarer’ เครื่องดนตรีจากโลกโบราณเมื่อ 1,700 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
ดนตรีอาจจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้โลกของมีสีสันมากขึ้น มนุษย์เรานั้นเองก็รู้จักกับการสร้างเสียงเพลงจากสิ่งของต่างๆ มาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว และวันนี้เราก็จะพาทุกคนไปรู้จักกับเครื่องดนตรีโบราณที่ชื่อว่า Bullroarer เครื่องดนตรีโบราณจากเมื่อ 1,700 ปีก่อนคริสต์ศักราช!! Bullroarer หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Rhombus หรือ Turndun นอกจากมันจะเป็นเครื่องดนตรีแล้ว ในสมัยโบราณผู้คนยังใช้เจ้าสิ่งนี้ในการติดต่อสื่อสารกันจากระยะไกลอีกด้วย และนี่คือเจ้า Bullroarer จากสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย แอฟริกา เอเชีย อเมริกา และออสเตรเลีย Bullroarer เป็นแผ่นไม้ที่มีลักษณะคล้ายกับปีกเครื่องบิน และเจาะรูร้อยเชือกไว้ โดยขอบด้านของแผ่นไม้ดังกล่าวจะมีสลักเป็นรูปฟันปลา หรือรูปทรงต่างๆ ตามเอกลักษณ์ของพื้นที่นั้นๆ โดยขั้นตอนการใช้งานของเครื่องดนตรีโบราณนี้จะต้องทำการหมุนเชือกด้านบนก่อน 2 รอบ และจากนั้นจึงจับปลายของเชือกอีกด้านหนึ่งแล้วหมุมตามแนวนอนหรือแนวดิ่งเพื่อทำให้เกิดเสียง ถ้าหากนึกภาพไม่ออกล่ะก็ ลองไปชมคลิปวิดีโอด้านล่างนี้เลย… โดยเสียงที่ได้จากเจ้าเครื่องดนตรีนี้จะได้เสียงแบบ Vibrato ที่มีลักษณะเฉพาะ และนอกจากนี้ลักษณะของเสียงดังกล่าวยังเป็นคลื่นความถี่ต่ำ ซึ่งสามารถทำให้มันเดินทางได้ไกลมากอีกด้วย นอกจากจะใช้เป็นเครื่องดนตรี อุปกรณ์ในการประกอบพิธีกรรม และเครื่องมือสื่อสารระยะไกลเมื่อกว่า 19,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว มันยังถูกพบในวัฒนธรรมโบราณทั้งทางซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้อีกด้วย แต่โดยส่วนมากแล้วผู้คนจะรู้จักมันจากชนเผ่า Aborigines ของออสเตรเลียนั่นเอง โดยชนเผา Aborigines นั้นใช้มันสำหรับทำพิธีให้กับเด็กแรกเกิดและฝังศพของคนตาย โดยเชื่อกันว่า Bullroarer นั้นจะช่วยปัดเป่าวิญญาณชั่วร้ายออกไป นอกจากนี้เจ้าอุปกรณ์ดังกล่าวยังถือว่าเป็นของหวงห้ามสำหรับชายชาว Aborigines บางคน และห้ามมิให้เด็ก…
-
แพทย์เผย การป้อน “แตงกวา” ให้น้องสาวของคุณ มีความเสี่ยงถึงขั้นหนองใน-เอดส์
นี่อาจจะเป็นข่าวร้ายสำหรับคุณผู้หญิงที่ชื่นชอบการหาความสนุกกับเหล่าพืชผักและผลไม้ เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ทางคุณหมอได้ออกมาเผยว่า การป้อนแตงกว่าให้น้องสาวของคุณนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกสุขสักษณะ และอาจจะทำให้คุณติดเชื้อได้!! จากที่ก่อนหน้านี้มีข่าวเกี่ยวกับการทำความสะอาดน้องสาวของคุณด้วยแตงกว่าปอกเปลือกนั้นจะช่วย รักษาความสะอาดจุดซ่อนเร้นของคุณและทำให้มันกลับมาหอมสดชื่นอีกครั้ง แต่อันที่จริงแล้วแพทย์ได้ออกมาเตือนว่า วิธีการดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและอาจเพิ่มความเสียงทำให้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างหนองในหรือเอดส์ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม การทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นของคุณโดยการหาอะไรแหย่เข้าไปนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะว่านอกจากช่องคลอดของคุณจะสามารถทำความสะอาดตัวเองได้แล้ว การสอดใส่สิ่งต่างๆ เข้าไปในนั้นอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรค เนื่องจากจะทำให้เสียสมดุลของค่า pH ในช่องคลอดนั่นเอง ดอกเตอร์ Jen Gunter แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากแคนาดาเตือนว่า “การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ไม่ว่าจะเป็นการใช้แตงกวาปอกเปลือก หรือยาทำความสะอาดช่องคลอด เป็นเพียงแค่ความเชื่อผิดๆ และเราไม่แนะนำให้ทำแบบนั้น” “จากผลการศึกษาพบว่าการสวนล้างช่องคลอดด้วยน้ำเปล่า น้ำสมสายชู น้ำยาล้างช่องคลอด ผลิตภัณฑ์ควบคุมค่า pH ต่างๆ หรือการสอดใส่สิ่งใดๆ ลงไปในช่องคลอดก็ตาม จะเป็นการทำลายแบคทีเรียในนั้นและทำลายผิวเยื่อเมือกในช่องคลอดได้ และนอกจากจะไม่ได้ทำให้สะอาดขึ้นแล้ว ตรงกันข้ามมันอาจจะทำให้มีกลิ่นเหม็นอีกด้วย” คุณหมอกล่าวเสริม และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งคำแนะนำดีๆ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และสำหรับสาวๆ คนไหนที่รู้ตัวว่ากำลังทำแบบนี้อยู่ละก็ รีบหยุดจะดีกว่านะ เดี๋ยวน้องสาวไม่สบายขึ้นมาจะยุ่งเอา!! ที่มา mirror
-
รู้จักปาร์ตี้ Bops ของเด็กมหาลัย “Oxford-Cambridge” ที่มีทั้งเซ็กส์ และยาเสพติดมาเอี่ยว!?
เชื่อว่าเพื่อนหลายคนต้องเคยผ่านการปาร์ตี้ในมหาวิทยาลัยกันมาแล้ว ที่ในตอนนั้นเรายังเป็นเด็กปี 1 ใสๆ เห็นรุ่นพี่ดื่มกันหนักๆ ก็รู้สึกทึ่งสุดไปแล้ว แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่าที่มหาลัยดังของอังกฤษเขาก็มีปาร์ตี้เหมือนกัน และดูเหมือนว่าจะเป็นงานที่ดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ซะด้วย วันนี้เราจึงจะไปตามดูปาร์ตี้ของเด็กมหาลัย Oxford และ Cambridge ที่ดูแล้วแทบไม่อยากจะเชื่อว่ามีแบบนี้ด้วยเหรอ??!!! ศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัย Cambridge อย่าง Elizabeth Day จะมาเปิดเผยประสบการณ์ของเธอในเรื่องปาร์ตี้ที่น่าอับอาย ที่มีชื่อเรียกว่า “Bops” Bops คือชื่อของปาร์ตี้สำหรับเหล่านักศึกษา “Oxbridge” (ชื่อเรียกของสองสถาบันดังที่มารวมเป็นชื่อเดียวกันเพื่อความกระชับ) ซึ่งจะจัดไม่ไกลจากหอพักของนักศึกษาในระยะที่เดินไปถึง แต่ใครจะคิดว่าปาร์ตี้สุดเหวี่ยงที่จัดไม่ไกลมหาวิทยาลัยนี้ ก็จะมีความสุดเหวี่ยงขนาดเต็มไปด้วยของมึนเมา และยังไม่พอ มีทั้งเรื่องของยาเสพติดชนิดรุนแรงกว่า รวมถึงเรื่องเซ็กส์มาเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ เธอเล่าถึงปาร์ตี้ที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นในสมัยเธอเป็นนักศึกษา เป็นงานปาร์ตี้ที่มีการใช้โคเคนอย่างเปิดเผย และมีการแต่งตัวอนาจารทั้งชายและหญิง อีกทั้งนักศึกษาบางคนก็มึนเมาทำพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่างๆ เช่นการพ่นไฟสเปรย์ หรือการมีเซ็กส์กันอย่างจะแจ้ง ในแต่ละปีที่เหล่าเด็กใหม่ Oxford และ Cambridge ดื่มด่ำกับงานรื่นเริงของ “Bops” การดื่มเหล้าและความวุ่นวายจลาจล เรียกได้ว่าเป็นสัปดาห์แห่งความมึนเมาและละลานตาไปด้วยสิ่งที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน Elizabeth ได้เข้าไปศึกษาที่มหาวิทยาลัย Cambridge ในปี 1998 โดยในตอนนั้นเธอคิดว่า Bops ดูเป็นงานปาร์ตี้ที่ไม่มีเรื่องอันตรายใดๆ เช่นการปิกนิค…
-
งานวิจัยเผยกว่า 80% ของโรคจิตเภท ไม่ได้มาจากสิ่งแวดล้อม แต่ “พันธุกรรม” เป็นสาเหตุหลัก!?
โรคจิตเภท เป็นอาการทางจิตอย่างหนึ่งที่ผู้ป่วยจะเกิดความผิดเพี้ยนในเรื่องของความคิด ไม่สามารถรับรู้ความเป็นจริงได้อย่างถูกต้องจนเกิดผลเสียกับการใช้ชีวิต การวินิจฉัยโรคนี้เป็นไปได้ค่อนข้างยากเพราะจะมีอาการแสดงออกมาในช่วงอายุที่ไม่แน่นอน แต่โดยเฉลี่ยแล้วอาการจะแสดงออกชัดเจนตอนที่ช่วงอายุประมาณ 28.9 ปีและยังสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุจึงทำให้สังเกตได้ยาก แต่ในปัจจุบันได้มีงานวิจัยออกมาระบุแล้วว่าแม้เราจะเข้าใจว่าสิ่งแวดล้อมคือสิ่งสำคัญ แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้เป็นโรคดังกล่าวจริงๆ แล้วก็ก็คือ “พันธุกรรม” ที่เราได้รับมาจากพ่อแม่และมีติดตัวมาแต่กำเนิด งานวิจัยดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในวารสาร Biological Psychiatry โดยแรกเริ่มเดิมที มีการวิจัยขึ้นเพื่อสังเกตว่าระหว่างสิ่งแวดล้อมกับพันธุกรรม สิ่งไหนจะมีอิทธิพลต่อความเสี่ยงของการเกิดโรคจิตเภทมากกว่ากัน จากการศึกษากับฝาแฝดในเดนมาร์กที่เกิดตั้งแต่ปี 1870 จำนวนกว่า 30,000 คู่ในข้อมูลทะเบียนประชากรฝาแฝดควบคู่กับข้อมูลด้านจิตเวชศาสตร์ พบว่ากว่า 79 เปอร์เซนต์ของกลุ่มตัวอย่างนั้น พันธุกรรม ที่เด็กได้รับมาจากพ่อแม่เป็นสาเหตุที่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคจิตเภทมากกว่า นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาเพิ่มเติม นำข้อมูลดังกล่าวไปศึกษาให้กว้างขึ้น จนได้ตัวเลขประมาณที่ 73 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพันธุกรรม ที่เป็นสาเหตุหลักมากกว่าหลายๆ สิ่ง ดอกเตอร์ John Krystal บรรณาธิการของหนังสือที่ตีพิมพ์งานวิจัยดังกล่าวบอกว่า “ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า พันธุกรรมเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักในการทำให้เกิดโรคจิตเภท” อย่างไรก็ตามโรคดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เพราะแม้ว่าพ่อแม่จะป่วยเป็นโรคจิตเภท แต่ก็ไม่ได้แปลว่าลูกทุกคนจำเป็นที่จะต้องป่วยเป็นโรคนี้เสมอไปเช่นกัน นอกจากนั้น เรื่องความแตกต่างของประชากรในแต่ละประเทศ ก็อาจมีส่วนทำให้ผลการวิจัยไม่สามารถอธิบายคนทั้งโลกได้ว่าจะเป็นเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้ได้มีงานวิจัยในลักษณะนี้จากหลายประเทศที่มีผลลัพธ์ออกมาต่างกันไป นอกจากจะรู้สาเหตุแล้วสิ่งที่เราคาดหวังคือ อยากให้มีการรักษาหรือป้องกันไม่ให้เกิดโรคจิตเภทมากกว่า…
-
ชมภาพหาดูยากของ New York เมื่อครั้งเป็นสังคมเกษตรกรรม จนเปลี่ยนไปเป็นสังคมอุตสาหกรรม
ประเทศสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่งในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีพื้นที่ที่กว้างขวางเป็นอันดับ 4 ของโลก ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ถึง 50 รัฐแต่ใครจะไปคิดล่ะว่า หนึ่งในเมืองที่เจริญรุุ่งเรืองที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง New York City ครั้งหนึ่งจะเคยเป็นเมืองเกษตรกรรมมาก่อน ..?? Museum of city of New York หรือพิพิธภัณฑ์แห่งเมืองนิวยอร์ค ได้เปิดชุดภาพที่ใช้ชื่อว่า “The Greatest Grid” ที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในช่วงศตวรรษที่ 17 ตั้งแต่สมัยยังเป็นยุคเกษตรกรรมมาจนถึงยุคอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นอย่างไรตามไปดูกันได้เลย เมืองทางผ่าน Bowery เป็นเมืองทางผ่านที่เก่าแก่ที่สุดใน Manhattan แต่เมื่อชาวฮอลแลนด์ได้มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Bouwerij ซึ่งเป็นภาษาฮอลแลนด์ที่แปลว่า ฟาร์ม เพราะว่าที่นี่อยู่ติดกับฟาร์มปศุสัตว์และทางออกไปนอกเมืองซึ่งปัจจุบันก็คือ Wall Street นั่นเอง ภาพของ New York City ในตอนนั้นรู้จักกันในชื่อ New Amsterdam ที่มีเพียงภูเขา ป่า ก้อนหิน และบ้านอีกไม่กี่หลัง ซึ่งในปัจจุบันคือ ย่าน Bronx ตั้งอยู่ตอนเหนือของ New York City ระหว่างปี…
-
ตึก São Vito ที่อยู่อาศัยในบราซิล ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “สลัมลอยฟ้า” ที่สูงที่สุดในโลก
ถ้าหากพูดถึงประเทศบราซิล สิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนอาจจะรู้จักก็คงจะเป็นกีฬาฟุตบอลหรือการเต้นแซมบ้าแน่นอน แต่นอกจากเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ที่นี่เองก็ไม่ต่างจากเมืองหลวงทั่วๆ ไป ที่ยังคงมีชุมชนแออัดหรือสลัมให้ได้เห็นกันตามสถานที่ต่างๆ และวันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ São Vito สลัมลอยฟ้า ที่ได้ชื่อว่าเป็นสลัมที่สูงที่สุดในโลก จากเมืองเซาเปาโลประเทศบราซิล… เซาเปาโลนั้นได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่ง ที่นี่มีผู้คนอาศัยอยู่มากกว่า 20 ล้านคน และแน่นอนว่าเมื่อมีการขยายตัวของเมือง ความเจริญจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ดึงดูให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในเมืองนี้ ทุกวันนี้ในเซาเปลาโลเต็มไปด้วยร้านอาหารสุดหรู โรงภาพยนตร์ และร้านค้าอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ที่นี่ยังเต็มไปด้วยอาคารเก่าหลายๆ แห่ง และหนึ่งในนั้นก็คืออาคาร São Vito ตึกที่มีชื่อเสียงมากที่สุด มันถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1959 จุดประสงค์ของอาคารหลังนี้สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่พักอาศัยของผู้คน และตลอดระยะที่ 20 ปีที่เปิดใช้งานอาคาร 27 ชั้นแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่มากถึง 3,000 คน ถึงแม้ว่าในสมัยก่อนอาคารหลังนี้ จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาคารที่มีชื่อเสียง และเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายไม่ว่าจะเป็นห้องประชุมสุดหรูชั้นบน หรือร้านค้าในชั้นล่าง แต่สถาปนิกหลายๆ คนต่างลงความเห็นว่า São Vito นั้นคือความผิดพลาดของการออกแบบ เพราะมันซ่อมบำรุงได้ยากนั่นเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยจำนวนของผู้พักอาศัยที่มากขึ้นทำให้มีความกังวลเกี่ยวกับการอพยพเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ และความปลอดภัยของพวกเขา จนกระทั่งเมื่อปี 2004…
-
ลืม iPhone X ไปซะ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ 7 เหตุผลที่คุณควรหันไปซื้อ iPhone 7 จะดีกว่า!!
โทรศัพท์ได้กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่หลายๆ คนจะขาดเสียมิได้เลยในปัจจุบัน และหนึ่งในโทรศัพท์รุ่นยอดนิยมที่เป็นที่พูดถึงกันอย่างมากก็คงจะหนีไม่พ้น iPhone อย่างแน่นอน และเมื่อเร็วๆ นี้ทางแอปเปิลเองก็เพิ่งเปิดตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง iPhone 8 และ iPhone X ซึ่งทำเอาเงินในกระเป๋าหลายคนนั้นสั่นไปตามๆ กัน แต่สำหรับคนที่เบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างเรา และอยากจะได้โทรศัพที่มีสเปคใกล้เคียงกัน วันนี้เราก็มีข้อเปรียบเทียบดีๆ จากเว็บไซต์ Business Insider ที่อาจจะทำให้คุณประหยัดเงินในกระเป๋าได้… 1. อย่างแรกเลยก็คือ iPhone 7 Plus นั้นราคาถูกกว่า iPhone 8 Plus และ iPhone X. นี่อาจจะเป็นเหตุผลข้อสำคัญที่ทำให้คุณต้องหันมาสนใจ iPhone 7 Plus แทนที่จะไปซื้อ iPhone 8 Plus หรือ iPhone X นั่นก็คือเรื่องราคานั่นเอง และบางครั้งถ้าซื้อผ่านโปรของค่ายโทรศัพท์อาจจะถูกว่ากันมากกว่าครึ่งหนึ่งเลยนะ!! 2. iPhone 7 และ 7 Plus นั้นมีสีให้เลือกมากกว่า…
-
ทำไมการได้ยินคำว่า ‘ใจเย็น’ ยิ่งทำให้คุณรู้สึกโมโหมากขึ้น ในระหว่างการพูดคุยโต้เถียงกัน
เวลาที่เราโต้เถียงหรือพูดคุยด้วยอารมณ์ที่โกรธอยู่หลายคนต้องเคยได้ยินคำว่า “ใจเย็นๆ ก่อน” อย่างแน่นอน แต่ทำไมคำพูดที่เหมือนจะทำให้เราดีขึ้นมันถึงกลับทำให้รู้สึกแย่ยิ่งกว่าเก่าละ? นักจิตวิทยาคลินิกที่ชื่อ Amanda Tadrous ได้ทำการอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุและแนวทางแก้ไขของเรื่องนี้เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอได้อธิบายว่าสาเหตุที่ทำให้คำว่า “ใจเย็น” ทำให้เรามีความรู้สึกในด้านลบมากกว่าเดิมก็เพราะว่า การที่มีคนมาพูดอย่างนั้นมันเหมือนกับว่าเขาคนนั้นไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องที่เราเป็นอยู่หรือเล่าให้ฟัง การที่คนฟังเมินเฉยต่อเรื่องที่เรากำลังพูดหรือเล่าให้ฟังหลายคนจะต้องเจอกับสถานการณ์เหล่านี้มาก่อนตั้งแต่เด็ก เช่น เรานำเรื่องไม่สบายใจในตอนนั้นไปเล่าให้ผู้ปกครองฟัง แต่พวกเขากลับมองว่ามันเป็นเรื่องเด็กๆ และมีท่าทีไม่สนใจกับเรื่องของเราซะอย่างนั้น ดังนั้นคำว่า “ใจเย็นก่อน” ก็จะเหมือนกับปล่อยเรื่องของเราไปโดยที่ไม่ได้สนใจ ปฏิเสธที่จะรับฟังและทำให้เรามีความรู้สึกเหมือนกับที่เคยเป็นในครั้งอดีตจนทำให้ยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม โดยเฉพาะหากใครที่มีประสบการณ์แย่ๆ ต่อการถูกมองข้ามแบบหนักหน่วงด้วยแล้วจะยิ่งทำให้สิ่งนั้นย้อนกลับมาและเราก็จะมีอารมณ์ฉุนเฉียวมากยิ่งขึ้น การแก้ไขคือหากได้ยินคำๆ นี้เมื่อไหร่เราก็ควรพูดกับคนที่เราคุยด้วยอยู่ตรงๆ ว่า “การได้ยินคำนี้มันยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่มากกว่าเดิม” เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและหาวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ แน่นอนว่าแต่ละคนย่อมมีวิธีการปรับและวิธีที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแตกต่างกัน เช่น เลิกคุยแล้วรอให้อารมณ์สงบก่อน ในตอนที่ถอยออกมาเราก็สามารถมองหาสิ่งอื่นรอบตัวที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นก่อนที่กลับไปพูดคุยกันใหม่อีกครั้ง แต่หากว่าผู้ฟังหรือคู่กรณีของเรายังไม่สนใจกับสิ่งที่เราพูด และตอบมาแต่คำว่า “ใจเย็นๆ ก่อนนะ” หรือ “สงบสติอารมณ์ก่อน” บางทีการหันไปพูดคุยกับคนอื่นแทนก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะพูดแบบนั้น ก็เปลี่ยนมาเป็นการใส่ใจรับฟังและโต้ตอบดีกว่า เพราะคงไม่มีใครชอบเวลาต้องถูกเมินเฉยในเรื่องที่เราต้องการพูดด้วยหรอก ที่มา: metro
-
8 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ ในมุมมองที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนเลย…
น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกับ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” เพราะนอกจากหนวดอันจุ๋มจิ๋มของเขาแล้ว ความโหดร้ายที่เขาได้ทำไว้นั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้คนจดจำเขาได้ แต่นอกเหนือจากเรื่องราวการแบ่งแยกเชื้อชาติ และการกระทำอันโหดร้ายของเขาแล้ว ยังมีบางอย่างที่เกี่ยวกับตัวเขาอีกที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่ทราบ และวันนี้เราก็มีข้อมูลเกี่ยวกับ 8 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ จากเว็บ Brightside ที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยมาฝากกัน 8. อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เคยตกหลุมรักหญิงสาวชาวยิว นี่อาจจะฟังดูเป็นเรื่องแปลก แต่เขาตกหลุมรักสาวชาวยิวผู้นี้ระหว่างที่เรียนอยู่ในโรงเรียน โดยเธอผู้นั้นก็คือ Stephanie Isak ในตอนนั้นเขาอายมากที่จะบอกความรู้สึกกับเธอและเธอเองก็ไม่เคยรู้เลยว่าเขารักเธอ การผิดหวังในความรักครั้งนี้อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาเกลียดชาวยิวก็ได้ 7. เขามีปัญหาด้านระบบการย่อยอาหาร ฮิตเลอร์ประสบปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารอย่างรุนแรงในช่วงชีวิตของเขา เขามักจะปวดท้องและมีกรดในกระเพาะอาหารเกินอยู่เสมอ เขาพยายามใช้ยามากกว่า 29 ชนิด แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้เขาหายจากอาการเจ็บปวดนั้นได้ 6. อดอล์ฟ ฮิตเลอร์มีอัณฑะแค่ลูกเดียว!! หลายๆ คนอาจจะไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่หลังจากที่ได้รับบาทเจ็บระหว่างออกรบในสมรภูมิ Somme ตอนปี 1916 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และทำให้แพทย์ต้องตัดลูกอัณฑะเขาออก 1 ข้างเพื่อช่วยชีวิตเขาเอาไว้ 5. เขาเคยมีความฝันอยากเป็นนักบวช เมื่อตอนอายุ 4 ขวบเขาถูกบาทหลวงช่วยชีวิตไว้หลังจากจมลงไปในบ่อน้ำ เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากเป็นนักบวช…
-
ภาพมลพิษในอเมริกาครั้งอดีต อุตสากรรมที่กัดกินสิ่งแวดล้อม ราวกับโลกยุคล่มสลาย!!
การพัฒนาทางอุตสาหกรรมเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งสิ่งที่ทำให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่างๆ และสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศนั้นๆ แต่ทว่าหนึ่งผลพลอยได้ที่ตามมาจากการพัฒนาอุสาหกรรมนั่นก็คือปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมนั่นเอง!! สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐหรือ EPA หนึ่งในองค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้ตั้งแต่ปี 1970 แต่หลังจากที่ Scott Pruitt หนึ่งในทีมงานของทรัมป์ได้เข้ารับตำแหน่งประธาน เขาก็ได้ยกเลิกข้อห้ามการใช้ยาฆ่าแมลง (pesticide) ยาอันตรายที่อาจส่งผลต่อสมองเด็ก รวมทั้งยกเลิกข้อกำหนดการบำบัดน้ำของโรงงานอุสาหกรรม จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว ภาพถ่ายชุด Documerica หนึ่งในโปรเจกของ EPA ที่ถ่ายในช่วงปี 1971 ถึง 1977 โดยมีการบันทึกไว้ด้วยกันทั้งหมด 81,000 ภาพ และถูกเก็บบันทึกไว้ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติกว่า 15,000 ภาพ ได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของการละเลยปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในช่วงนั้น ชุดภาพชุดดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่าจะเป็นอย่างไรถ้าหากพวกเราไม่ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม กลุ่มหมอกควันหรือ Smog ที่ปกคลุมสะพาน George Washington ในนครนิวยอร์ก ถือเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ในยุคนั้น ควันจากโรงงานผลิตแบตเตอร์รี่รถยนต์ที่ถูกปล่อยออกมาในช่วงปี 1970 และในปัจจุบันถึงแม้จะมีกฎหมายควบคุมการปล่อยมลพิษจากการผลิตแบตเตอร์รี่รถยนต์ แต่ก็ยังคงมีการละเมิดกฎดังกล่าวอยู่ ภาพของคนงานในเมือง Steubenville รัฐโอไฮโอ ถือขวดโหลที่บรรจุน้ำดื่มที่ปนเปื้อนซึ่งเป็นผลกระทบมาจากเหมืองถ่านหิน เธอยื่นฟ้องโรงงานดังกล่าวข้อหาปล่อยมลพิษลงสู่แหล่งน้ำ รถยนต์ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ในอ่าว Jamaica เมืองนิวยอร์กซิตี้เมื่อปี 1973 แสดงให้เห็นถึงมาตรการจัดการขยะที่ไม่ถูกต้อง โรงงานของบริษัท Atlas Chemical ที่ปล่อยควันออกมาท่ามกลางทุ่งหญ้าในเมือง Marshall รัฐเท็กซัส ผู้คนในท้องถิ่นบอกกับช่างภาพว่าสารเคมีและเขม่าควันทำให้วัวของพวกเขาตาย…
-
ผู้เชี่ยวชาญเตือน “ดูหนังโป๊” ผ่านสมาร์ทโฟน อันตรายต่อมือถือพวกนายนะ!!
การดูหนังโป๊ อาจจะเป็นหนึ่งในกิจกรรมยามว่างสำหรับท่านชายหลายๆ คน หรือบางครั้งอาจรวมถึงคุณผู้หญิงด้วย และแน่นอนว่า หนึ่งในอุปกรณ์ที่เรานิยมใช้ในการดูหนังผู้ใหญ่นั้นก็คือโทรศัพท์มือถือนั่นเอง แต่!!… คุณรู้หรือไม่ว่าการกระทำดังกล่าวนั้นกำลังเป็นอันตราย และอาจทำข้อมูลในโทรศัพท์ของคุณนั้นไม่ปลอดภัย และเสี่ยงต่อการถูกแฮกได้ ผู้เชี่ยวชาญของบริษัท Wandera บริษัทด้านความปลอดภัยของโทรศัพท์มือถือ ได้ตรวจสอบเว็บไซต์สื่อลามกจำนวนมาก และพวกเขาพบสิ่งที่น่าตกใจนั่นก็คือ ประมาณ 1 ใน 4 ของมัลแวร์ที่พบในโทรศัพท์มือถือนั้น มาจากเว็บไซต์เหล่านี้ ซึ่งสาเหตุดังกล่าวนั้นมาจากระบบรักษาความปลอดภัยบนโทรศัพท์ โดยเฉพาะระบบแอนดรอยด์นั้นไม่มีความปลอดภัยเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งแฮกเกอร์เองสามารถอาศัยช่องโหว่นี้ในการขโมยข้อมูลของคุณได้ นอกจากนี้พวกเขายังพบเว็บไซต์มากกว่า 40 เว็บไซต์จากการตรวจสอบทั้งหมด 50 เว็บไซต์ยอดนิยม ว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้ข้อมูลของคุณรั่วไหลได้ อย่างเช่นเว็บ Brazzers, Ashley Madison และ AdultFriendFinder การดูเว็บโป๊บนโทรศัพท์มือถืออาจจะสะดวกและพกเข้าห้องน้ำได้ง่าย แต่คุณอาจจะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงในการถูกขโมยข้อมูลจากแฮกเกอร์ได้ ดังนั้นหันมาดูแผ่นจริง เอ๊ย!! ลองเปลี่ยนไปดูบนคอมพิวเตอร์ดูจะดีกว่านะ ที่มา menshealth
-
ศิลปินสาววาดการ์ตูน บอกเล่าช่วงเวลาที่อยู่กับแฟนหนุ่ม + เจ้าหมา เปี่ยมสุขและน่ารักที่สุด!!
การมีชีวิตคู่หลายคนอาจคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ได้สวยงามไปซะทีเดียวเพราะต้องเจอกับเรื่องให้ทุกข์ใจต่างๆ มากมาย แต่ไม่ใช่สำหรับเธอคนนี้เมื่อการ์ตูนที่เธอวาดเกี่ยวกับชีวิตคู่ของเธอมันช่างสวยงามเสียเหลือเกิน ศิลปินสาวในนครนิวยอร์ก ที่ใช้ชื่อว่า Pat หรือ Patabot ได้สร้างผลงานที่บอกเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตร่วมกับแฟนหนุ่มของเธอ Ray ซึ่งเต็มไปด้วยความน่ารักชวนให้ทุกคนต้องอมยิ้มกัน พ่อบอกให้ไปปลุกแม่ไง ไม่ใช่ให้ไปนอนด้วย.. นอกจากนั้นยังมีน้องหมาสุดน่ารักของพวกเธอ เจ้า Fifi ที่เข้ามาเติมเต็มให้ทุกอย่างดูสดใสมากยิ่งขึ้นไปอีก เปรียบได้กับเป็นลูกรักของครอบครัวเลย เราไปดูส่วนหนึ่งของการ์ตูน “ฆ่าคนโสด” นี้ดีกว่าว่าชีวิตของทั้งสามนั้นมันน่ารักมากขนาดไหน… เป็นนิทานของเจ้าชายสุดหล่อที่ตกอยู่ในมนต์สะกดของความง่วง จนกระทั่งทำเอาอัศวินแสนสวยและน้องมังกรขนปุยโดนมนต์สะกดนั้นเข้าไปด้วยเลย ฝันดีนะทุกคน “ทำอย่างไรดีพลังจะหมดแล้วนะ” หมับเข้าให้! เติมพลังกันหน่อยนะ มองตาเป็นประกายขนาดนี้แล้วใครละจะอดใจไหว รู้มั้ยว่าขนมคบเคี้ยวมันไม่ดีต่อสุขภาพ.. ของน้องหมาเท่านั้นนะ แต่เรากินได้ หุหุหุ “น่ารักจริงๆ เลยนะเจ้าขนปุยตัวเล็ก” “อย่าเอาแต่ชมเจ้า Fifi อย่างเดียวสิ อิจฉานะ!!” ต้องเข้าใจผู้หญิงผมยาวก็งี้แหละเนาะ ปากบอกว่าไม่แต่ก็กินไปเต็มคำเลยน้าาา ถ้าหากฉันแก่ไปจนหนังเหี่ยวเหมือนตอนหลังอาบน้้ำ เธอจะรักฉันอยู่มั้ย? นาฬิกาปลุกเรือนนี้มันจะช่วยให้เราได้ตื่นมาอย่างสดชื่นด้วยแสงอันเจิดจ้า แต่ฉันว่ามันคงจะใช้ไม่ได้กับเธอ…
-
คลิปสอนเรื่อง ‘จิมิ๊ส์’ เปรียบเปรยเป็นน้องเหมียว เพื่อเรียนรู้ว่าเราควรดูแลน้องสาวกันยังไง…
เรื่องเพศศึกษาเป็นเรื่องที่แทบทุกคนจะต้องเคยเจอสมัยตอนเรียนหนังสืออยู่แน่นอน แต่ถ้าหากว่าเราอยากศึกษาเรื่องราวเหล่านั้นให้ลึกลงไปผ่านทางคลิปวิดีโอเราจะทำอย่างไรให้มันออกมาดูน่ารักกันนะ แต่สำหรับตอนนี้มีคำตอบให้คุณแล้ว เมื่อทางองค์กร Planned Parenthood ร่วมกับองค์กรด้านสุขภาพสตรี ทำการปล่อยคลิปวิดีโอที่จะทำให้เราสามารถเข้าใจและเรียนรู้เกี่ยวกับอวัยวะเพศของสาวๆ ได้มากยิ่งขึ้น ซีรีย์การนำเสนอที่ชื่อว่า How To Take Care Of Your Pussy ได้ใช้วิธีการสอนและอธิบายควบคู่ไปกับเจ้าเหมียวทั้งหลายที่จะมาช่วยทำให้ทุกอย่างดูซอฟท์ลง มีความน่าเรียนรู้และทำให้ไม่รู้สึกถึงความทะลึ่งลามกอะไร อีกทั้งเป็นการเล่นคำของคำว่า Pussy ที่แปลได้ทั้งอวัยวะเพศหญิงและแมวเหมียว เราไปดูกันดีกว่าว่าวิดีโอ 3 ตอนนี้ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรเพิ่มมากขึ้นอีกบ้าง… ตอนที่ 1 มาทำความรู้จักน้องจิมิ๊ส์กันเถอะ ตอนแรกจะเป็นการพูดถึงความแตกต่างระหว่าง ส่วนแคม (Vulva) กับ ส่วนช่องคลอด (Vaginal) ที่หลายคนอาจเข้าใจผิดกันไปบ้าง โดยส่วนแคมนั้นจะหมายถึงพื้นที่โดยรอบของอวัยวะเพศที่อยู่ภายนอก อย่างเช่น ปุ่มกระสัน แคมใน แคมนอก เป็นต้น แต่ส่วนของช่องคลอดจะเป็นเพียงท่อผิวหนังที่อยู่ภายในคั่นกลางระหว่างส่วนแคมกับปากมดลูก แมวมีสีหรือลักษณะที่แตกต่างกัน น้องจิมมี่เองก็ด้วย นอกจากนั้นยังพูดถึงความแตกต่างของจิมิ๊ส์ ซึ่งสามารถมีความแตกต่างกันได้หมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปร่าง สีสัน หรือขนที่อาจมียาวบ้างสั้นบ้างเป็นเรื่องปกติ ตอนที่ 2…
-
12 ภาพการ์ตูนอธิบายถึงปัญหาเรื่อง “ผม” ที่สาวๆ เท่านั้นจะสามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดี
คำกล่าวที่ว่า “เกิดเป็นผู้หญิง แท้จริงแสนลำบาก” ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องจริงซะเหลือเกิน เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูลำบากไปซะหมด เช่น แต่งหน้าแต่งตัวต้องสวยเป๊ะตลอด พอประจำเดือนมาทีไรก็เล่นปวดท้องหนักจนใช้ชีวิตลำบากไปอีก หรือแม้กระทั่งเส้นผมที่อยู่บนหัวก็ยังสร้างปัญหาให้กับพวกเธอได้เลย และนี่คือ ภาพวาดการ์ตูนที่จะมาอธิบายถึงปัญหาเรื่องเส้นผม ที่สาวๆ เท่านั้นจะสามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดี แม้มันจะดูเล็กน้อยแต่บอกเลยว่ามันเป็นอะไรที่จุกจิก และกวนใจซะเหลือเกิน รู้สึกดีใจขั้นสุดเพราะได้ตัดผมสั้นสักทีหลังไว้ยาวมานาน แต่พอเจอคนผมยาวเท่านั้นแหละ โอ้ยย…ไม่น่าตัดเลยตรู เมื่อเพื่อนมาบ่นเรื่องปัญหาผมเสียให้ฟัง แต่ดูชั้นซะก่อนหนักกว่าแกอีกกกกก เส้นผมติดต่อระบายน้ำ ปัญหากวนใจที่หลายคนต้องได้พบเจอแน่นอน อยากดูเป็นสาวมั่น สวย มีเสน่ห์ ต้องทรง Sleek Pony Tail แต่สิ่งที่คิดกับความเป็นจริงมันช่างต่างกันเหลือเกิน เมื่อเห็นคนอื่นทำทรงผมดังโงะทำไมมันดูสวยสง่าน่ามอง แต่พอย้อนมองตัวเองมันกลับเหมือนมีหัวหอมตั้งอยู่บนหัวซะงั้น เมื่ออยากทำทรงผมสไตล์ Wet hair ที่ดูเหมือนผมเปียกฉ่ำน้ำตลอดเวลา แต่ความเป็นจริงมันกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่คิดมากกกก T^T เสียใจฝุดๆ นี่คือสิ่งที่สาวๆ คาดหวังเมื่ออยากไว้ผมยาวและผมสั้น แต่ในชีวิตจริงมันกลับตรงกันข้ามซะเหลือเกิน เมื่อคุณไปตัดผมทรงใหม่มาแบบสวยๆ แต่เพื่อนกลับบอกว่าชอบทรงเก่ามากกว่า เอิ่ม!! และมันก็จะเริ่มเป็นปัญหากวนใจของหนุ่มๆ แล้วล่ะ …
-
7 เคล็ดลับความสวยความงาม ที่จะเปลี่ยนให้คุณกลายเป็นดาวแห่งฮอลลีวู้ดได้แบบง่ายๆ!!
หากคุณถูกชวนให้ไปงานปาร์ตี้ หรืองานสำคัญๆ ต่างๆ ในเวลาที่เร่งรีบ โอกาสที่จะทำให้คุณปฏิเสธอาจจะค่อนข้างสูง เพราะคุณคงไม่มีเวลาที่จะลุกขึ้นมาแต่งสวยแต่งหน้าสวยๆ ในเวลาที่จำกัดหรอกใช่ไหมละ แต่ในความจริงแล้วการเนรมิตตัวเองให้เปลี่ยนมาอยู่ในลุคสวยๆ นั้น อาจไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานเสมอไป เพราะบางทีมันอาจจะมีเคล็ดลับแบบง่ายๆ ที่ช่วยทำให้คุณสวยได้ทันตาเห็น และในครั้งนี้เราจะมาบอกต่อ 7 เคล็ดลับความงามที่จะเปลี่ยนให้สาวๆ ดูสวยเด้งราวกับเป็นดาวแห่งฮอลลีวู้ด มาดูกันเลยว่าจะมีอะไรบ้าง 1. ผิวอกนุ่มชุ่มชื่นได้ด้วยวาสลีน หากสาวๆ ต้องการรักษาหน้าอกของคุณให้สวยเต่งตึง วาสลีนช่วยได้นะจ๊ะ เพียงแต่นำมาลูบเบาๆ บริเวณหน้าอกก่อนเข้านอนเป็นประจำทุกคืน และหลังจาก 2 สัปดาห์ผ่านไปคุณจะสังเกตเห็นว่าผิวหนังบริเวณอกจะดูเต่งตึงมีความชุ่มชื่น และกระชับมากขึ้น 2. เคล็ดลับง่ายๆ ที่ทำให้ริมฝีปากสวยและอวบอิ่ม อยากมีริมฝีปากที่ดูสวยและอวบอิ่มบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงเตรียมน้ำตาลจากนั้นนำแปรงสีฟันมาแปรงเบาๆ บนริมฝีปาก เสร็จแล้วก็ใช้อบเชย หรือน้ำมันมะกอกทาลงไป เท่านี้ก็ช่วยให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มและสุขภาพดีแล้ว 3. เปลี่ยนเล็บธรรมดาๆ ให้กลายเป็นเล็บกระจกโครเมี่ยมเงาวับระยิบระยับได้ภายใน 10 นาที การทำเล็บกระจกที่สร้างความแวววาวให้กับเล็บ สาวๆ อาจไม่จำเป็นต้องไปทำที่ร้านอีกต่อไป เพราะคุณเองก็สามารถทำด้วยตัวเองได้แบบง่ายๆ โดยการทาสีเล็บตามปกติ จากนั้นก็เคลือบเจลให้เรียบร้อย แล้วใช้ผงกระจกโครเมี่ยมมาขัดๆ ถูๆ บนเล็บของคุณจนกว่าจะขึ้นเงา เท่านี้เราก็จะได้เล็บมือสุดแวววาวแล้วจ้า…
-
22 ภาพเรื่องราวต่างๆ ที่ถูกถ่ายเป็นครั้งแรกของโลก หน้าตาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ!?
ย้อนกลับไปยังยุคอดีตกาลนั้น มนุษย์ใช้การบันทึกข้อมูลและเรียนรู้ผ่านแผ่นศิลา จากนั้นก็ตามมาด้วยแผ่นหนังสัตว์ จนกระทั่งเป็นกระดาษ แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ยังคงเป็นแค่ภาพวาดหรือไม่ก็ตัวหนังสือเท่านั้น… จนกระทั่งมีการคิดค้นนวัตกรรม ‘กล้อง’ ที่มาเปลี่ยนโลกของเราให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ใครจะคิดว่าจากตอนนั้นจนถึงกระทั่งปัจจุบัน การถ่ายรูปก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนเราไปแล้ว และแน่นอนว่าเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมา ก็จะต้องเกิดอะไรที่เป็นครั้งแรกชัวร์ๆ อย่างภาพคนครั้งแรก เซลฟี่ครั้งแรกอะไรทำนองนี้… ภาพถ่ายรูปแรกของโลกที่ถ่ายในปี 1826 โดย Joseph Nicéphore Niépce ซึ่งภาพดังกล่าวมีชื่อว่า View From the Window at Le Gras และภาพนี้ก็มาจากบริเวณนอกหน้าต่างของเขานั่นเอง ภาพถ่ายคนภาพแรกของโลกที่ถ่ายในปี 1838 โดย Louis Daguerre ซึ่งมองผ่านๆ เราอาจจะคิดว่ามันเป็นภาพวิวเฉยๆ แต่จริงๆ แล้วมันคือภาพแรกที่มีคนเข้ามาเป็นส่วนประกอบตรงมุมซ้ายล่าง เซลฟี่ภาพแรกของโลก ถ่ายในปี 1839 โดย Robert Cornelius ซึ่งถ่ายหน้าร้านค้าครอบครัวของเขา ภาพถ่ายลวงโลกภาพแรกของโลก ถ่ายในปี 1840 ภาพดังกล่าวนี้เป็นจากเหตุการณ์ที่ Hippolyte Bayard เคลมว่าเขาเป็นผู้คิดค้นการถ่ายรูปเป็นคนแรกของโลก จนกระทั่ง Louis Daguerre…
-
13 เรื่องน่ารู้ของ “ยาสีฟัน” กับประโยชน์สุดมหัศจรรย์ที่คุณคาดไม่ถึง แค่หลอดเดียวก็เอาอยู่!!
“ยาสีฟัน” เป็นสิ่งที่เราทุกคนใช้อยู่เป็นประจำในชีวิตประจำวัน เพราะสามารถมันช่วยขจัดแบคทีเรียในช่องปากทำให้ฟันของเราสะอาดสดชื่น ซึ่งนอกจากการทำความสะอาดฟันแล้ว ยาสีฟันยังเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นยอดที่สามารถทำมาใช้ในการขจัดคราบข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้านได้อีกด้วย แม้ว่ามันอาจจะฟังดูค่อนข้างแปลกไปสักหน่อย แต่ถ้าหากคุณได้ลองนำเอาไปใช้บอกเลยว่ามันได้ผลเกินคาด แล้วจะรู้ว่ายาสีฟันมีประโยชน์มากกว่าที่คิด!! 1. หากใช้ยาสีฟันมาขัดเครื่องเงินเก่าๆ มันก็จะกลับมาเงางับเหมือนใหม่อีกครั้ง 2. ความช่วยเหลือของยาสีฟันจะช่วยทำให้ไฟหน้ารถสะอาดขึ้น 3. คีย์เปียโนอาจเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกมากมายจากการสัมผัสกับนิ้วมือของมนุษย์ ดังนั้น คุณสามารถทำความสะอาดได้อย่างง่ายๆ โดยบีบยาสีฟันในปริมาณเล็กน้อยลงบนผ้าเปียก แล้วค่อยๆ ขัดคีย์เปียโนอย่างระมัดระวัง เท่านี้มันก็จะกลับมาสะอาดดังเดิม 4. อยากให้รองเท้าคู่โปรดกลับมาขาวเหมือนใหม่เหรอ? คุณสามารถทำความสะอาดได้อย่างง่ายๆ โดยใช้ยาสีฟัน 5. ถ้าลองถูยาสีฟันไว้บางๆ ข้างในแว่นตาว่ายน้ำแล้วล้างออก ฝ้าจะไม่ขึ้นเวลาที่เราว่ายน้ำ 6. พื้นไม้ก็สะอาดได้ด้วยยาสีฟัน 7. ช่วยขจัดคราบต่างๆ เสื้อผ้าได้สะอาดหมดจด ไม่ว่าจะเป็นคราบรอยลิปสติก ไปจนถึงซอสสปาเก็ตตี้ เพียงแค่ใช้ยาสีฟันในปริมาณน้อยแล้วนำไปถูบริเวณรอย จากนั้นก็ล้างออกแค่นี้เสื้อก็กลับมาสะอาดแล้ว ***ถ้าหากเป็นผ้าสี ขอแนะนำว่าไม่ควรใช้ยาสีฟันแบบไวท์เทนนิ่งน้า*** 8. เพียงบีบยาสีฟันในปริมาณเล็กน้อยลงในผ้า แล้วนำไปถูสิ่งของที่เคลือบด้วยโครเมียม สิ่งที่ได้คือควาเงางามที่เหมือนใหม่ 9.…
-
ผลงานเมคอัพ Body Of Souls สะท้อนอาการ “ไบโพลาร์” ในจิตใจที่กำลังกัดกินมนุษย์
อาการทางจิตที่มีชื่อเรียกว่า ไบโพลาร์ หรืออีกชื่อคือ โรคอารมณ์สองขั้ว เป็นโรคที่หลายคนรู้จักกันว่ามันจะทำให้ผู้ป่วยต้องจมอยู่กับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาอยู่ตลอดเวลา จากร่าเริงอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นเศร้าและกลับมาร่าเริงอีกครั้ง สิ่งนั้นจึงได้กลายเป็นไอเดียให้กับศิลปินสาวชาวอังกฤษ Kelly Odell ผู้สร้างผลงานการถ่ายภาพที่สื่อให้เห็นว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าวหรืออาการทางจิตอื่นๆ เช่น โรคซึมเศร้ากับสมาธิสั้น พวกเขาเหล่านั้นจะต้องรู้สึกอย่างไรกันบ้าง เธอจึงใช้ยางทำหน้ากากและชิ้นส่วนต่างๆ นานถึง 9 วันให้ออกมาเป็นใบหน้าและมือของปีศาจที่ซ่อนอยู่ภายใน คอยฉุดจิตใจของเราลงไปให้ต่ำลง ชิ้นส่วนต่างๆ ที่เกิดจากฝีมือและระยะเวลา แปะติดกับทุกส่วนของร่างกายนางแบบ จากนั้นทั้งหมดก็จะได้ไปตกแต่งอยู่บนร่างของนางแบบที่ชื่อว่า Suzi Cumming นอกจากนั้นเธอคนนี้ยังมีส่วนร่วมในการออกแนวคิดต่างๆ ให้กับผลงานชิ้นนี้อีกด้วย นอกจากนั้นพวกเธอยังได้ร่วมมือกับ Rick Jones ช่างภาพมืออาชีพของสตูดิโอชื่อ Horrify Me ที่ทำให้การนำเสนอเพิ่มความหลอนมากขึ้นไปอีกจากเทคนิคเพิ่มเติมต่างๆ เช่น การใช้เลือดปลอมแต่งเติมเข้าไป หน้ากากที่สมจริงสมจัง เป็นผลงานที่เกิดจากความพยายามของทุกคน ในระหว่างนั้นทุกคนจะช่วยกันออกความคิดเพื่อเพิ่มให้งานมีความหมายมากยิ่งขึ้น อย่างการใส่หน้ากากเพื่อสื่อถึงการที่เราทุกคนซ่อนความรู้สึกภายในเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ สุดท้ายจากความช่วยเหลือของ Claire Jones ผู้ร่วมงานอีกคนหนึ่งก็ทำให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นลงได้ในเวลาเพียงแค่ 6 ชั่วโมง ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบและน่าดึงดูด ชวนให้ทุกคนค้นหาความหมายจากสิ่งต่างๆ ที่พวกเธอสื่อออกมา…
-
กลุ่มนักวิทย์ฯ เริ่มต้นไขความลับ เพื่อให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับทวีปที่ 8 Zealandia กันมากขึ้น
อย่างที่พวกเราเคยเรียนกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่า โลกของเรานั้นแบ่งออกเป็นทั้งหมด 7 ทวีปด้วยกัน ซึ่งประกอบไปด้วย ทวีปเอเชีย ทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปแอนตาร์กติกา ทวีปออสเตรเลีย และทวีปยุโรป แต่รู้กันหรือเปล่าว่าจริงๆ แล้วแผ่นเปลือกโลกที่แยกออกเป็นทวีปต่างๆ นั้นไม่ได้มีเพียงแค่นี้นะเออ… แต่ยังมีอีกหนึ่งทวีปที่เพิ่งถูกคนพบซึ่งนั่นก็คือทวีปที่ 8 หรือ Zealandia นั่นเอง ทวีป Zealandia ในอดีตนั้นเป็นส่วนหนึ่งของทวีปออสเตรเลียและเกิดการแยกตัวของเปลือกโลกเมื่อประมาณ 60 ถึง 80 ล้านปีก่อน พื้นที่ประมาณ 93 เปอร์เซ็นต์ของทวีปนี้จมอยู่ภายใต้มหาสมุทร และพื้นที่ส่วนที่เหลือเป็นพื้นที่ที่เชื่อมกันของเกาะ New Zealand และหมู่เกาะ New Caledonia และเมื่อไม่นานมานี้กลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ 32 คนจาก 12 ประเทศทั่วโลกได้ออกมาเปิดเผยความลับของทวีปที่ 8 นี้ Jamie Allan ผู้อำนวยการโครงการนี้กล่าวว่า “การศึกษาครั้งนี้จะนำเสนอเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของโลก เกี่ยวกับการสร้างตัวของแนวเขาในประเทศ New Zealand และการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกที่มีผลต่อกระแสน้ำและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ” ทีมสำรวจได้ใช้เวลาในการลงพื้นที่เป็นเวลานานถึง 9 สัปดาห์…
-
เจาะตำนานหลายเวอร์ชั่นเก่าๆ ของ ‘หนูน้อยหมวกแดง’ ที่ตอนจบอาจหดหู่กว่าที่ได้ยินมา
ปกติแล้วถ้าพูดถึงนิทานเรื่อง ‘หนูน้อยหมวกแดง’ เราคงคุ้นเคยแต่กับเวอร์ชั่นที่มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับวัยเด็กมากยิ่งขึ้น แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าอันที่จริงแล้ว… เรื่องราวของเด็กสาวกับหมาป่า ถูกนำไปดัดแปลงไว้มากมาย และคราวนี้เราจะพาไปรู้จักกับเวอร์ชั่นที่มีความโหดร้ายที่มากกว่า ย้อนกลับไปช่วงศตวรรษที่ 10 ในประเทศฝรั่งเศส ได้มีการนำนิทานเรื่องนี้มาเล่าก่อนแล้ว โดยใช้ชื่อว่า ‘The Story of Grandmother’ ตามแบบฉบับดั้งเดิมเล่าว่า… ‘กาลครั้งหนึ่งมีเด็กสาวถูกไหว้วานจากคุณแม่ให้เอาขนมปังไปให้คุณยาย เมื่อเด็กสาวเดินทางมาถึงสี่แยกแห่งหนึ่ง เธอก็ได้พบกับ bzou หมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ เธอถูกหลอกถามว่าจะนำของไปให้คุณยาย ณ ที่แห่งใด.. เมื่อเจ้า bzou รู้ที่หมายแล้ว มันจึงรีบไปดักหน้าและฆ่าคุณยายทิ้งและรอการมาถึงของเด็กสาว เมื่อเด็กสาวมาถึง เธอกลับไม่รู้เลยว่าคุณยายของเธอถูก bzou ฆาตกรรมและปลอมตัวเป็นคุณยายซะเอง bzou โน้มน้าวให้เด็กสาวทานอาหารและดื่มไวน์ ที่ทำมาจากเนื้อหนังและเลือดของคุณยายเธอเอง จากนั้นเด็กสาวก็ถูกคุณยายตัวปลอมหว่านล้อมให้ทำตามคำสั่ง ทั้งถอดเสื้อและให้ไปหลับนอนด้วย ทว่าเด็กสาวจับผิดสังเกตได้ว่าคุณยายของเธอมีลักษณะที่แตกต่างจากเดิม เมื่อรู้อย่างนั้นแล้วเด็กสาวก็เรียกร้องที่จะออกไปข้างนอกให้ได้ bzou จึงผูกเชือกไว้กับเท้าของเด็กสาว และปล่อยให้เธอออกไปวิ่งเล่นข้างนอกอยู่ครู่หนึ่งเด็กสาวดูมีท่าทางพิรุธเหมือนกำลังจะผูกเชือกไว้กับอะไรบางอย่าง หมาป่าชักไม่แน่ใจจึงออกไปดูก่อนจะพบว่า.. เด็กสาวได้หนีกลับบ้านไปแล้ว’ Dr. Jamie Tehrani นักมานุษยวิทยา ได้ค้นพบตำนาน ‘หนูน้อยหมวกแดง’ ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นจากยุคกรีกเมื่อศตวรรษที่…
-
หนักอก!! 22 ปัญหาโลกแตกของ “สาวนมโต” ใครมีหน้าอกไซส์บิ๊กเบิ้ม จะเข้าใจได้อย่างดี
ว่ากันว่า “หน้าอกใหญ่” คือลาภอันประเสริฐสำหรับสาวๆ ที่หลายคนอิจฉาอยากจะมี หรือกระทั่งหนุ่มๆ ทั้งหลายก็ใฝ่ฝัน แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วมันมีปัญหาหนักอกหนักใจซะจนหลายๆ คนคิดไม่ถึงเลย…. มาดูว่าจริงไหม?? 1. คุณจะมีปัญหากับการเลือกซื้อเสื้อผ้าเป็นอย่างมาก ใหญ่ไปก็ทำให้ตัวเองดูอ้วน แต่เล็กไปหน่อยก็กลายเป็นดูโป๊ไปซะอย่างนั้น 2. เช่นเดียวกับการติดกระดุม ติดมันทุกเม็ดก็ดูเฉิ่มๆ เชยๆ แต่ขอปลดแค่เม็ดเดียว ดันกลายเป็นดาวยั่ว ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ 3. สรุปง่ายๆ ว่า การที่คุณจะติดกระดุมทุกเม็ดแบบไม่อึดอัด มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย 4. คุณจะดูอ้วนขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ถึงแม้คุณเองจะรู้ตัวว่าผอมและมีเอวอยู่ก็ตาม 5. ไม่ว่าจะแต่งตัวแบบไหน เซ็กซี่หรือไม่ โป๊หรือไม่ก็ตาม… คุณจะถูกมองว่าแรดโดยทันที 6. การหาบราให้ขนาดพอดีกับหน้าอกของคุณเป็นเรื่องยาก เพราะส่วนใหญ่ก็ทำมาแต่เฉพาะสำหรับสาวไซส์เล็กเท่านั้น 7. บางทีได้บราน่ารักๆ แต่พอใส่จริงแล้วมันทะลักออกมาทั้งหมด… จนคุณต้องหนีไปใส่บราคุณยายจะง่ายกว่า 8. ถ้าได้บราขนาดพอดีกับหน้าอกคุณ ซัพพอร์ทดี คุณภาพใช้ได้ รับประกันได้เลยว่า “มันไม่สวย!!” 9.…
-
18 ภาพแสดง “กล้ามเนื้อ” ในร่างกายเมื่อคุณยืดเส้นยืดสาย มีส่วนไหนได้ยืดบ้างมาดูกัน..!?
การยืดเส้นยืดสายก่อนออกกำลังเป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากมันจะช่วยลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหลังเล่นกีฬาแล้ว มันยังเป็นการทำให้ร่างกายเราได้วอร์มอัพขึ้นมาซักนิดก่อนทำกิจกรรมหนักๆ ด้วยเช่นกัน ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในสุขภาพ วันนี้เราจะพาไปชมภาพสาธิตแสดงการยืดกล้ามเนื้อ เราลองมาดูกันว่าเวลาที่เราวอร์มอัพก่อนเล่นกีฬา… แต่ละท่าที่เราทำระหว่างกายบริการมีกล้ามเนื้อส่วนไหนถูกยืดบ้าง 1. ยืดกล้ามเนื้อคอ ให้เอามือเท้าสะเอวไว้ ยืนหลังตรง จากนั้นก็ค่อยๆ เอนหัวไปด้านหลังช้าๆ หรือจะใช้มือช่วยกดบริเวณท้ายทอยก็ช่วยได้นะ 2. ยืดกล้ามเนื้อคอด้านข้าง ในท่านั่ง… ให้นั่งหลังตรง จากนั้นใช้มือฝั่งซ้ายเอนหัวไปฝั่งเดียวกันเพื่อช่วยยืดกล้ามเนื้อคอบริเวณด้านข้าง 3. ท่า Child’s pose ให้อยู่ในท่านั่งพับเพียบ จากนั้นค่อยๆ ใช้เอวดันตัวเองไปด้านหน้าและพยายามใช้หน้าผากแตะพื้นไว้ 4. ท่ายืดกล้ามเนื้อท้อง นั่งชันเข่าจากนั้นเอนตัวไปด้านหลังใช้มือจับกับส้นเท้าของตัวเองไว้ แต่ต้องระวังไม่เอนหลังให้มากจนเกินไป 5. ท่ายืดกล้ามเนื้ออก ยืนตรงหันหน้าเข้ากำแพง จากนั้นใช้มือข้างหนึ่งยันที่ผนังไว้และบิดตัวมาทางทิศตรงข้ามเพื่อเป็นการยืดกล้ามเนื้อส่วนอก 6. ท่ายืดกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน นั่งลงกับพื้นยืดขาทั้งสองข้างออกเป็นแนวเฉียง พยายามห้ามงอเข่า จากนั้นให้ใช้มือที่ค้ำไว้ด้านหลังพยายามดันกล้ามเนื้อส่วนนั้นขยับมาข้างหน้า 7. ท่ายืดกล้ามเนื้อไหล่ ยืดแขนให้ตรงไปยังทิศทางตรงข้าม จากนั้นใช้แขนอีกข้างกดทับไว้เพื่อให้กล้ามเนื้อได้เกิดการยืดหยุ่น 8. กล้ามเนื้อคอด้านหลัง ก่อนอื่นให้ยืนตัวตรงจากนั้นให้ดันเอวไปด้านหลังเล็กน้อย…
-
เรื่องราวของ ‘Sarah Rector’ เด็กสาวผิวสีวัย 12 ขวบ ที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา..!!
หากพูดถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์ของชาวแอฟริกัน-อเมริกันในอดีต เราอาจจะนึกถึงภาพของการตกเป็นทาสจากการล่าอาณานิคมในแบบที่เคยเรียนหรือเห็นผ่านสื่อกันมา แต่คราวนี้เราจะพาไปรู้จักกับเรื่องราวของ Sarah Rector เด็กสาวผิวสีวัย 12 ขวบ ที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในทวีปอเมริกา ณ ขณะนั้น ถึงขนาดที่ว่ามีนักธุรกิจจากเยอรมนี 4 คนแย่งกันขอเธอแต่งงาน เพียงเพราะต้องการส่วนแบ่งของเธอก็มีมาแล้ว..!! Sarah Rector ย้อนกลับไปในวันที่ 5 มกราคม ปี 1914 สำนักพิมพ์ท้องถิ่นได้มีการเผยแพร่รายรับของ Sarah Rector ที่มากถึงเดือนละ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จนนำมาซึ่งความวุ่นวายอื่นๆ ที่ตามมา เดิมที Sarah Rector เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ปี 1902 ซึ่งพ่อแม่ของเธอก็ได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มสัญญา Muscogee (หรือที่รู้จักกันในนาม Creek Nation) โดยเป็นกลุ่มที่เกิดจากการรวมตัวของ 5 ชนเผ่าพื้นเมืองในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ 5 ชนเผ่าพื้นเมืองที่มีการทำสนธิสัญญาร่วมกันในบนพื้นที่ของรัฐโอคลาโฮม่า หนึ่งในข้อตกลงของสนธิสัญญานั้นมีอยู่ว่า.. เมื่อโอคลาโฮม่าได้ประกาศตนเป็นรัฐแล้ว สมาชิกจะได้รับการแบ่งสันปันส่วนที่ดินทำกิน…
-
18 เรื่องราวน่ารู้ที่ไม่มีสอนในห้องเรียน ช่วยเปิดหูเปิดตา ให้เรารู้จักโลกใบนี้มากขึ้น!!
ต้องขอบอกเลยว่าตอนที่เราเป็นนักเรียนนั้น ได้ความรู้มากมายมาจากห้องเรียน แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้อีกมากมายนัก และนี่ก็คือเรื่องราวน่ารู้ใกล้ตัว ที่ไม่สามารถหาได้จากในห้องเรียน แน่นอนว่ามันจะทำให้เพื่อนๆ รู้จักกับโลกนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก จะมีอะไรบ้างนั้นก็ไปตามไปชมกันแบบเต็มๆ ที่ข้างล่างนี้ได้เลยจ้า… 1. และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราไขกุญแจ 2. และนี่คือภาพก่อนหลังการล้างมือเมื่อมองผ่านแสง UV 3. เมื่อเราทาครีมกันแดด และมองผ่านกล้อง UV Camera 4. วิธีที่เจ้าหมากินน้ำแบบสโลวโมชั่น 5. และนี่คือขนาดของโลก เมื่อเทียบกับดวงดาว Canis Major หนึ่งในดวงดาวขนาดใหญ่ที่สุดในจักรวาล 6. ความเปลี่ยนแปลงของฟัน เมื่อใส่เหล็กดัดฟัน 7. การสร้างจอคอมแบบที่เราสามารถเห็นได้คนเดียว… มีใครจะเอาไปลองทำไหมนี่!? 8. และนี่คือรูปร่างของไข่เมื่อตอกตอนอยู่ใต้น้ำ 9. การทดลองหักเหแสงด้วยน้ำ 10. กระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อเรากลืนอะไรลงคอ 11. เส้นทางของไฟลท์บินจากทั่วโลก ตลอด 24 ชั่วโมง 12. กว่าจะมาเป็นหน้าตาของทารกเมื่ออยู่ในครรภ์ …
-
สงครามเปลี่ยนคน.. ภาพก่อน-หลังศัลยกรรมใบหน้า ของเหล่าทหารกล้าที่บาดเจ็บใน WW1
ขึ้นชื่อว่าสงคราม เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะล้วนแล้วแต่มีความหวาดกลัว ความสูญเสียต่อทั้งสองฝ่ายซึ่งหากนับความเสียหายแล้วน่าจะเป็นความเสียหายต่อด้าน ทรัพย์สิน สมบัติ และสิ่งที่มีค่าที่สุดนั่นคือ ชีวิตของผู้คนในระหว่างสงครามและหลังจากสงครามนั่นเอง ภาพทั้งหมดถ่ายในปี 1918-1919 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 การเยียวยาช่วยเหลือทหารหลังจากผ่านศึกดูจะเป็นสิ่งที่ Anna Coleman Ladd ประติมากรชาวอเมริกันสามารถช่วยเหลือได้ โดยเธอช่วยทหารที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้า โดยการสร้างหน้ากากจากทองแดงเจือจาง ให้คล้ายคลึงกับหน้าเดิมของผู้บาดเจ็บให้ได้มากที่สุด โดยเธอได้ร่วมกับ Harold Gillies ศัลยแพทย์หนุ่ม ในการนำหน้ากากที่ได้จากการปั้นของเธอไปซ่อมแซมส่วนที่ขาดหายไประหว่างสงครามของทหารผ่านศึกทั้งหลายก่อนที่จะส่งกลับไปที่ภูมิลำเนาของทหารคนนั้นๆ ซึ่งผลงานของเธอก็ช่วยทหารหลายๆคนให้มีความสุขมากกว่าเดิมได้ดังต่อไปนี้ ทหารนายหนึ่งที่สูญเสียดวงตาข้างขวาและใบหน้าที่ผิดรูปไป Harold Page พลทหารนายหนึ่งที่สูญเสียดวงตา แต่หน้ากากเปลี่ยนให้ดูเหมือนยังมีดวงตาอยู่ Soldier F เป็นผู้ป่วยที่รูปลักษณ์เสียโฉมที่สุดของผู้ป่วยทั้งหมดของ Ladd ทหารนายหนึ่งที่สูญเสียจมูกทั้งหมดไปก่อนที่จะได้รับการศัลยกรรมโดยหน้ากาก ทหารสวมชุดเครื่องแบบเกียรติยศที่สูญเสียทั้งจมูกและปากไปและได้รับการศัลยกรรมตกแต่ง พลทหาร B โพสท่าให้เห็นถึงความสูญเสียที่แสนจะน่ากลัวของเขา พลทหาร William Thomas สูญเสียใบหน้าส่วนกลางไป ต้องใช้เวลากว่า 6 ปีและ ผ่าตัดกว่า 19 ครั้งเพื่อให้ได้…
-
ตามหลักวิทยาศาสตร์ แบ่งคู่รักออกเป็น 4 ประเภทเท่านั้น เช็คกันสิว่าคุณน่ะรักกันแบบไหน!?
เคยคิดกันไหมว่าจากคู่รักนับล้านๆ คู่ที่มีอยู่ทั่วโลกนั้น คู่ของเราจะเหมือนหรือแตกต่างกับคู่ของชาวบ้านยังไงนะ!? นักวิทยาศาสตร์ University of Illinois ต้องการไขปริศนาเรื่องความรู้สึกของคู่รักที่มีต่อกัน พวกเขาทำการทดลองจากคนรักกัน 376 คู่ เพื่อศึกษาอารมณ์ที่เปลี่ยนไปในระยะเวลาเกือบหนึ่งปี หลังจากเสร็จสิ้นการทดลอง พวกเขาสรุปว่าบนโลกของเรานี้ มีประเภทคนรักที่สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทเท่านั้น มาดูค่ะว่าคู่ของคุณเป็นแบบไหน 1. มีความสนใจไม่เหมือนกัน แต่เต็มไปด้วยความชอบในตัวอีกฝ่าย คุณเป็นคนรักประเภท – พวกคุณชอบใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอด – เวลาที่คุณได้เจอกันนั้นมันช่างสดใส และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังดึงดูดเข้าหากัน – ความสัมพันธ์ของพวกคุณนั้นพัฒนาได้ด้วยการทะเลาะโต้เถียง และสุดท้ายก็ประนีประนอมกันได้ – ความรู้สึกของพวกคุณนั้น เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนจนสังเกตได้ – บางครั้งบางทีพวกคุณก็หายเงียบไปจากกัน และก็จะมาคิดถึงอีกฝ่ายหนึ่งอยู่เสมอ จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องกลับมาสู่อ้อมกอดของกันและกันอยู่ดี นักวิทยาศาสตร์บอกว่าคนรักกลุ่มนี้มีความ “ซับซ้อน” มากที่สุด แต่ก็เป็นแนวคู่รักที่มีโอกาสเลิกกันได้น้อยที่สุด เมื่อเทียบกับประเภทอื่นๆ ด้วย 2. คู่รักจอมดราม่า คุณเป็นคนรักประเภท – ความรักของคุณนั้นขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกับพวกคุณ – คุณชอบตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ จากประสบการณ์แย่ๆ ในอดีตที่ได้พบเจอ หรือเอาเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับคู่รักมาตัดสินใจว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร – เวลาส่วนใหญ่ที่คุณอยู่ด้วยกัน ก็จะชอบพูดถึงเรื่องราวความรักและชีวิตคู่ของตัวเอง –…
-
ทำความรู้จัก “หมอย” ให้มากขึ้น ทำไมต้องเรียกหมอย? โกนได้ไหม? และทำไมต้องมีหมอย?
ประเด็นเรื่อง ‘หมอยๆ’ นี่นับว่าเป็นปัญหายิ่งกว่าประเด็นอภิปรัชญาเลยก็ว่าได้… ซึ่งเอาจริงๆ เราก็แทบจะไม่รู้จักประโยชน์ของมันเลยแม้แต่น้อย นอกเสียจากรู้แค่ว่ามันร่วงได้และตอนสางเล่นก็เพลินมือดีแค่นั้นจริงๆ แล้วตกลง ‘หมอย’ คืออะไรกันแน่นะ? นอกจากเรื่องขนบนหัวแล้ว ฝั่งขนบนโหนกนักวิทยาศาสตร์ก็ได้เข้ามาศึกษาค้นคว้าไว้เช่นกัน แม้จะไม่มีหลักฐานบ่งชี้ชัดในประเทศไทยถึงที่มาของคำว่า ‘หมอย’ แต่นักสังคมวิทยาส่วนหนึ่งชี้ว่า ‘หมอย’ คือคำที่ใช้อธิบายถึงสิ่งที่มีลักษณะเป็นเส้นเป็นฝอย เช่น บริเวณขนที่ปลายข้าวโพดก็จะถูกเรียกว่า.. หมอยข้าวโพด หรือแม้แต่ในภาษาท้องถิ่นทางภาคเหนือ (ล้านนา) ก็มีการใช้คำว่า ‘หมอย’ เรียกสิ่งที่เป็นขนหนวดขึ้นตามร่างกาย เช่นเคราก็จะเรียกว่า หมอยคาง ขนรักแร้ก็เรียกว่า หมอยแร้ เป็นต้น มาพูดถึงคุณงามความดีของ ‘หมอย’ กันบ้าง… แม้บางครั้งเราจะเอามือสางแล้วพบว่ามันหลุดลอยจนฟุ้งเต็มห้องไปหมด เราก็อย่าเพิ่งหงุดหงิดใจจนถึงกับเอามีดโกนมาไถมันให้เกลี้ยงเลย เพราะสิ่งใดที่ธรรมชาติได้สร้างมาและติดมากับการวิวัฒนาการของเรา เชื่อเถอะว่ามันย่อมดีเสมอ เหตุผลใหญ่ๆ เกี่ยวกับประโยชน์ของหมอยก็คือ มันสามารถช่วยลดการเสียดสีขณะมีเพศสัมพันธ์ ป้องกันสิ่งแปลกปลอมเช่นเชื้อแบคทีเรีย และอีกทั้งยังช่วยกั้นกลิ่นอับเหม็นของน้องชายได้ด้วย (ไม่เคยพิสูจน์แฮะข้อนี้..) แฟชั่นกับเรื่องหมอยๆ… แต่ด้วยความที่มันดูเหมือนป่าหญ้าคารกรุงรัง เราก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเทรนด์แฟชั่นโลกทุกวันนี้ได้พัฒนาไปจนถึงขั้นที่มีการตัดแต่งย้อมสีขนหรือจัดรูปทรงกันเป็นเรื่องเป็นราว จริงอยู่ที่การตัดแต่งรูปทรงของมันจะช่วยทำให้สาวๆ รู้สึกมั่นใจเวลาใส่ชุดบิกินี่มากขึ้น หรือหนุ่มๆ ก็อาจจะให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง…
-
11 ภาพรางวัล Pulitzer Prize รวมเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ทำให้คนทั้งโลกสะพรึง!!
“ภาพถ่าย” ถือเป็นหนังฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากๆ เป็นเหมือนกระจกสะท้อนของแต่ละยุคว่าเกิดอะไรขึ้น และถูกส่งต่อมายังรุ่นสู่รุ่น เพื่อเป็นบทเรียนให้กับคนรุ่นหลัง แต่เป็นสิ่งคอยย้ำเตือน ให้ประวัติศาสตร์เหล่านี้ไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยอีกครั้ง ตั้งแต่ปี 1942 Pulitzer Prize ก็ได้มอบรางวัลให้กับภาพต่างๆที่ถ่ายได้ยอดเยี่ยมในแต่ละปี ซึ่งแต่ละภาพให้ความรู้สึกหดหู่ไม่ใช่น้อยเลย เรามาดูกันเลยดีกว่าว่ามีภาพไหนบ้าง กองศพของทหารญี่ปุ่นในเกาะ Tarawa แถบแปซิฟิกใต้ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 1943 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ถ่ายโดย Frank Filan ชนะเลิศ Pulitzer Prize ในปี 1944 ภาพนี้ทำให้ Joe Rosenthal ได้รับรางวัลไปในปี 1945 ถ่ายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นภาพที่ทหารอเมริกัน นำธงไปปักที่ภูเขา Suribachi ในประเทศญี่ปุ่น ภาพนี้ถ่ายโดย Horst Faas ได้รับรางวัลในปี 1965 เป็นภาพที่คุณพ่ออุ้มศพของลูกขณะที่ทหารของเวียดนามมองลงมาจากรถหุ้มเกราะ เกิดขึ้นที่ชายแดนเขมรในวันที่ 19 มีนาคม 1964…
-
3 สุดยอดแนวคิดจาก Jack Ma ใช้ชีวิตง่ายๆ “และถ้าอยากมีความสุข อย่าคิดเป็นผู้นำ”
เมื่อเราพูดถึง Jack Ma ยอด CEO จากจีนเราก็คงจะนึกถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของบริษัท Alibaba พร้อมกับแนวคิดมากมายที่หลายคนคงจะเคยอ่านกันมาบ้างแล้ว เพราะเขามักจะถูกเชิญไปพูดตามงานอยู่บ่อยๆ แต่ล่าสุดนั้นเขาได้บอกถึงแนวคิดการใช้ชีวิตของเขาในฐานะ CEO ให้ได้อ่านกัน ซึ่งเป็นแนวคิดการใช้ชีวิตง่ายๆ และทำยังไงให้มีความสุขในการทำงานเมื่อเป็นระดับหัวหน้า โดยแบ่งออกเป็นข้อใหญ่ๆ 3 ข้อด้วยกัน และมันก็น่าสนใจมากๆ เลยล่ะ ข้อที่ 1 คุณจะต้องเรียนรู้ที่จะรัก… Jack Ma ได้พูดว่าการจะเป็นผู้นำที่ดีว่า ถ้าคุณจะอยู่ในตำแหน่งนี้จะต้องมี IQ EQ และ LQ ซึ่งสองอย่างแรกหลายคนก็คงรู้อยู่แล้ว แต่ LQ นั้นก็คือความรักนั่นเอง เขายังบอกอีกว่าเมื่อใครก็ตามได้อยู่ในระดับหัวหน้าหรีือระดับเดียวกับเขา จะต้องหัดเรียนรู้ในการมอบความรักให้กับลูกน้องของตัวเอง เพราะเมื่อการไปอยู่ในระดับนั้นแล้วไม่เข้าใจลูกน้องที่อยู่ใต้คำสั่งของตน หรือไม่ได้รับความเข้าใจซึ่งกันและกันมันก็จะส่งผลให้งานเป็นไปได้อย่างยากลำบากหรืออาจจะไม่ประสบความสำเร็จเลย ข้อที่ 2 การเป็นเจ้าของบริษัทนั้น มันไม่สนุกเลย อย่างที่เรารู้กันดีว่า Jack Ma เป็นเจ้าของบริษัทที่มีพนักงานเป็นหมื่นๆ คน ฉะนั้นการทำงานของเขาย่อมเป็นไปได้อย่างยากลำบากอยู่แล้ว ซึ่งในสายตาเขาก็คงมองว่ามันเป็นอะไรที่สบายๆ อยู่ตำแหน่งสูงๆ ไม่ต้องทำอะไร แต่เขากลับบอกว่า “การเป็นหัวหน้ามันยากและลำบาก ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่มีความสุขและเรียบง่าย จงอย่าเป็นผู้นำ”…
-
17 ภาพการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ผู้ป่วย ‘โรคกลัวอ้วน’ ที่พอมีเนื้อมีนวลแล้วดีกว่าเยอะ
ผู้หญิงส่วนใหญ่อยากผอมกันเป็นเรื่องปกติเพราะค่านิยมปัจจุบันมองว่าผู้หญิงผอมย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แต่หากว่าได้ลองมาเห็นคนเหล่านี้ไม่แน่ว่าอาจจะเปลี่ยนใจกันก็ได้ ผู้ป่วย โรคกลัวอ้วน หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ Anorexia เป็นความผิดปกติทางจิตใจที่ทำให้พวกเขาเชื่อว่าตัวเองอ้วนเกินไปอยู่เสมอและพยายามลดน้ำหนักของตัวเองลงอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ห่วงว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพตนเอง แน่นอนว่าเมื่ออาการทางจิตมันจึงยากที่จะรักษา แต่ถึงจะยากก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เพราะ 17 คนที่เรานำมาให้ทุกคนได้เห็นพวกเขาสามารถก้าวผ่านปัญหานั้นมาได้แล้ว นี่คือเหล่าคนที่พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ‘หุ่นผอม’ ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป หุ่นใหม่ไฉไลกว่าเดิม ไม่มีใครต้องการให้ตัวเองดูแย่หรอก พวกเธอเพียงแค่ผิดพลาดในการรับรู้ สาว Kaitlyn Davidson คนนี้เคยหนักเพียง 37 กิโลกรัมมาก่อน Linn Strömberg เธอคนนี้เองก็เคยกินอาหารเพียงแค่ 400 แคลอรี่ต่อวัน เปลี่ยนไปเป็นคนละคน!! เพื่อนสมัยมัธยมก็คงจะจำกันไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีกว่า หนังหุ้มกระดูกกลายเป็นหนังหุ้มกล้ามแทน สงสัยเธอจะฟิตหุ่นแข่งกับคนด้านบนแน่เลย Elle Lietzow สาวสวยผู้เคยป่วยหนักจนถึงขั้นภาวะขาดน้ำ หนุ่มนักกล้าม Danny Walsh เปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยเวลาเพียง 4 เดือน หมอเคยบอก…
-
การเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา… 17 ภาพอดีต-ปัจจุบัน ของสมรภูมิรบในสงครามโลกครั้งที่ 2
ถ้าหากจะพูดถึงสงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว อีกหนึ่งในการรบที่หลายๆ คนนึกถึงคงหนีไม่พ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างแน่นอน และระหว่างการทำสงครามของฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ ที่กินเวลายาวนานกว่า 6 ปี (ปี 1939-1945) มีหลายๆ พื้นที่ที่ถูกใช้ในการทำยุธการศึกต่างๆ ซึ่งวันนี้เองเราก็ได้รวมภาพการเปลี่ยนแปลงของสนามรบเหล่านั้นมาฝากกัน และแต่ละที่จะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนไปชมกันเลย… 1. สนามรบในยุทธการที่นครสตาลินกราด, 23 สิงหาคม 1942 ถึง 2 กุมภาพันธ์ 1943 ปัจจุบันคือเมืองวอลโกกราด เมืองอุตสาหกรรมสำคัญและเมืองหลวงของมณฑลวอลโกกราด ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศรัสเซีย 2. The Ardennes สนามรบในยุทธกาลตอกลิ่ม, 16 ธันวาคมปี 1944 ถึง 25 มกราคมปี 1945 ปัจจุบันที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอนุสรณ์ของสงคราม 3. ท่าเรือเพิร์ล หรือ เพิร์ลฮาร์เบอร์ ในฮาวาย, 7 ธันวาคมปี 1941 และนี่คือโฉมหน้าของ เพิร์ลฮาร์เบอร์…
-
เห้ยยยจริงดิ!! 17 เรื่องจริงเกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
มนุษย์ถือเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา โดยประกอบไปด้วยอวัยวะมากมายและซับซ้อน ซึ่งสิ่งเหล่านั้นถือว่าเป็นความน่าอัศจรรย์อย่างที่เราคาดไม่ถึงเลยล่ะ หลายๆ คนอาจจะเคยทราบกันดีว่าร่างกายของเรานั้นมีความลับหลายๆ อย่างซ่อนอยู่ และบางครั้งก็มีเรื่องบางเรื่องที่เราอาจจะไม่เคยรู้เกี่ยวกับร่างกายเรามาก่อน อย่างเช่นฟันของมนุษย์นั้นมีความแข็งแรงเหมือนฟันของฉลาม หรืออวัยวะบางอย่างของร่างกายเรานั้นสามารถฟื้นตัวเองได้!! อ่า…และวันนี้เราก็ได้รวบรวมเอาความลับของร่างกายจากเว็บไซต์ Brightside มาฝากกัน จะมีอะไรที่น่าทึ่งบ้างนั้นไปชมกันเลย… 1. สมองของคุณสามารถสร้างพลังงานได้เพียงพอที่จะทำให้หลอดไฟดวงเล็กๆ สว่างได้เชียวนะ 2. ฟันของมนุษย์นั้นมีพื้นผิวที่ขรุขระและแข็งแรงเหมือนฟันของฉลาม 3. รู้หรือไม่ กรดในกระเพาะอาหารสามารถกัดกร่อนผิวหนังได้นะเออ!! 4. นอกจากการเผาแล้ว เส้นผมของคุณค่อนข้างที่จะทนทานต่อการทำลายนะ 5. รู้หรือไม่!! มนุษย์สามารถแสดงออกทางสีหน้าได้แตกต่างกันมากถึง 7,000 รูปแบบ 6. เด็กทารกมีกระดูกมากกว่าผู้ใหญ่ถึง 60 ท่อนเลยนะเออ!! 7. ความละเอียดของภาพที่เรามองเห็นนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 500 เมกะพิกเซลเลยทีเดียว 8. ผิวหนังทั่วร่างกายของเรานั้นจะมีน้ำหนักประมาณ 8 กิโลกรัม หรือเฉลี่ยประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวทั้งหมดนั่นเอง 9. กระดูกของมนุษย์จะมีการซ่อมแซมตัวเองทุกๆ 10 ปี…
-
ชมแผนที่โลกแสดงความนิยมระหว่าง “หน้าอก” กับ “ก้น” ชอบอะไรมากกว่ากันนะ?
สาวๆ ทุกคนไม่ว่าใครต่างก็อยากจะมีหุ่นสวยๆ ผอมเพรียว สัดส่วนเชฟบ๊ะกันทุกคน และวิธีที่จะทำให้หุ่นสวยนั้นก็สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร หรือการศัลยกรรม เชื่อว่าสิ่งที่สาวๆ พยายามที่จะทำให้ตัวเองดูดีขึ้น อาจมีสาเหตุหลายๆ อย่างทั้งอยากมีสุขภาพที่ดีหรือเป็นที่น่าดึงดูดสำหรับเพศตรงข้าม เว็บไซต์ Reddit ได้จัดการสำรวจออนไลน์ในหัวข้อที่ว่าระหว่างหน้าอกกับก้น หนุ่มๆ แต่ละประเทศชอบส่วนไหนในเรือนร่างของผู้หญิงมากกว่ากัน โดยอ้างอิงมาจากข้อมูลการค้นหาสื่อสำหรับผู้ใหญ่ทั้ง Pornhub และ YouPorn ซึ่งผลสรุปก็ออกมาดังนี้ สีน้ำเงินแสดงถึงความนิมยมหน้าอก ส่วนสีแดงแสดงถึงความนิยมก้น… ประเทศที่ชอบหน้าอกของสาวๆ ได้แก่ อังกฤษ รัสเซีย จีน ออสเตรเลีย อินเดีย สเปน ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี รวมถึงประเทศไทยด้วย ส่วนประเทศที่นิยมก้นมากกว่าได้แก่ แคนาดา บราซิล แอฟฟริกาใต้ สหรัฐอเมริกา คาซัคสถาน แอลจีเรีย ลิเบีย เกาหลีเหนือ ไอซ์แลนด์ แต่นี่ก็เป็นค่านิยมส่วนหนึ่งที่อ้างอิงมาจากการค้นหาสื่อสำหรับผู้ใหญ่ในเว็บไซต์สองเว็บเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าหนุ่มๆ แต่ละประเทศนั้นจะชอบเพียงเฉพาะหน้าอกหรือก้นเท่านั้นนะ …
-
รวมท่าออกกำลังกายเทพๆ ที่ทำให้คุณเบิร์นไขมันจนมอดไหม้ภายในเวลา 15 นาที
ทุกวันนี้คนทั่วโลกกำลังประสบกับปัญหาสุขภาพ อาจเพราะวิถีชีวิตอันเร่งรีบทำให้หลายๆ คนลืมดูแลตัวเอง แม้จะมีชั่ววูบความคิดโผล่ขึ้นมาบ้างว่าตัวเองควรออกกำลังกาย แต่พอคิดถึงเวลาว่างที่มีหลายคนก็ได้แต่พับโครงการและนอนตีพุงต่อไป แต่วันนี้ #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปพบกับท่านออกกำลังกายเทพๆ ที่จะทำให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง เบิร์นไขมันจนมอดไหม้ภายในเวลาเพียง 15 นาทีต่อวัน แบบนี้ใครจะมาอ้างว่าไม่มีเวลาไม่ได้แล้วนะ การเตรียมตัว 1.ก่อนเริ่มออกกำลังกาย ให้ทุกท่านวอร์มร่างกายซัก 5 นาทีด้วยการทำสควอตสองสามครั้ง หมุนข้อต่อที่แขนและขาไปมา โยกตัวไปซ้ายทีขวาที ทำต่อเนื่องหน่อยนะ ไม่งั้นกล้ามเนื้ออาจเกิดอาการบาดเจ็บได้ 2.ตั้งเวลาเอาไว้ 15 นาที ออกกำลังกายตามท่าด้านล่างวนไปเรื่อยๆ พอครบ 15 นาทีก็หยุด พยายามทำให้ได้มากที่สุดล่ะ 3.ทำทุกวันหรือทุกสองวัน และพยายามเพิ่มจำนวนครั้งให้มากขึ้น 4.พอครบ 3 สัปดาห์ ให้เพิ่มเวลาเป็น 20 นาที ท่าที่หนึ่ง ซูโม่จั้มสควอต กางขาโดยหันเข่าไปทางด้านข้างแยกออกเล็กน้อย จากนั้นก็ย่อลงด้วยท่าสควอต พยายาททำให้หลังตรงและอย่าให้หัวเข่างอเลยปลายเท้า เมื่อย่อแล้วก็ดีดตัวเองขึ้นให้เหมือนกระโดด แล้วย่อกลับมาท่าเดิม พยายามทำให้ได้ 12 ครั้งต่อหนึ่งเซต ท่าที่สอง วิดพื้นแขนตะไหล่ ทำท่าเหมือนวิดพื้นทั่วไป จังหวะที่ลำตัวยกขึ้นสูงสุดให้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแตะหัวไหล่อีกข้าง…
-
ชาวต่างชาติเขียน 20 สิ่งที่ชวนแปลกใจที่คุณสามารถพบเห็นได้เมื่อไปเยือน “ญี่ปุ่น”
ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านต่างๆ มากที่สุดในทวีปเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเทคโนโลยี หรือด้านเศรษฐกิจเองก็ตาม นอกจากความทันสมัยแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หลายๆ คนอยากที่ไปสัมผัสความสวยงามของประเทศนี้ก็คือวัฒนธรรมและความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ นั่นเอง แต่ก่อนที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นกันวันนี้เราก็มีเรื่องแปลกๆ ของชาวญี่ปุ่นจากมุมมองของชาวต่างชาติมาฝากกัน ซึ่งแต่ละอย่างนั้นอาจจะทำให้คุณถึงกับอึ้งเลยทีเดียว ส่วนจะมีอะรบ้างนั้นไปชมกันเลย… 1. ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีที่ไฮเทคมากแค่ไหน แต่การใช้แฟกซ์เพื่อส่งเอกสารก็ยังถือเป็นเรื่องปกติของที่นี่ 2. แทนที่ผู้บริหารจะเซ็นเอกสารแบบชาวตะวันตก พวกเขายังคงยึดหลักตราประทับ และใช้กันอย่างแพร่หลาย 3. นอกจากนี้การที่คุณจะได้เจอพิซซ่าหน้าแปลกๆ อย่างข้าวโพด มายองเนส หรือโมจิ นั้นถือเป็นเรื่องปรกติ 4. และอีกหนึ่งเมนูยอดนิยมของที่นี่ก็คือ “mayo-corn” หรือข้าวโพดผสม มายองเนสนั่นเอง 5. การพบเห็นหนุ่มนักธุรกิจนอนเมาแอ๋ ตามสถานีรถไฟในตอนกลางคืนนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา 6. เมื่อคุณซื้อคุกกี้มาซักถุงหนึ่ง คุณอาจจะเจอห่อขนมซ้อนห่อขนม!! 7. การหาถุงพลาสติกที่นี่ไม่ใช่เรื่องยาก ทุกๆ สิ่งที่คุณซื้อในร้านสะดวกซื้อจะถูกใส่มาในถุงพลสาติก นอกจากนี้ตามอาคารต่างๆ ก็ยังมีถุงพาสติกเอาไว้ในคุณสำหรับใส่ร่มอีกด้วย 8. ถึงแม้จะไม่มีถังขยะสาธาระณะ แต่คุณก็แทบจะมองไม่เห็นขยะแม้แต่ชิ้นเดียวบนถนนเลย 9. ตู้…
-
15 ภาพประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แม้จะเอาไปจีบสาวไม่ได้ แต่อ่านเป็นความรู้ก็ดีนะ
เรื่องราวในอดีตประวัติศาสตร์ที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อนมากมายบนโลกนี้ แม้ว่ามันจะดูเหมือนไม่มีความหมายอะไรกับชีวิตเราในปัจจุบัน แต่สิ่งที่ได้เห็นบางครั้งมันอาจสร้างอะไรบางอย่างให้กับเราก็ได้ ดังนั้นถ้าเราจะมารู้ให้มันมากขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนี่จริงมั้ย? วันนี้ #เหมียวตะปู เลยนำภาพสุดหาดูได้ยากของประวัติศาสตร์ที่จะทำให้ทุกคนได้เห็นภาพในสมัยก่อนเพิ่มมากขึ้น ว่าโลกของเรามีอะไรเกิดขึ้นไปบ้างแล้ว ไปดูกันเลยว่าจะมีภาพอะไรกันบ้างและบางภาพมันดูน่าเหลือเชื่อขนาดไหน ตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย ในช่วง 1920s ในตอนต้นของช่วง 1920s บริเวณนั้นเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีความรกร้างมากที่สุด เหยื่อจากน้ำกรด Somayeh Mehri และลูกสาวของเธอ Rana คือผู้รอดชีวิตจากการโดนน้ำกรดสาดด้วยฝีมือของสามีที่รับไม่ได้กับการที่เธอต้องการจะหย่า เขาจึงนำน้ำกรดมาเทใส่พวกเธอขณะนอนหลับ การเปลี่ยนแปลง ช่างภาพจาก National Geographic ได้ไปเก็บภาพของสาวสวยผู้มีดวงตาอันสดใสเอาไว้ในค่ายอพยพชาวอัฟกานิสถานและปากีสถานตอนปี 1984 เวลาผ่านไปเขาก็ตัดสินใจกลับไปที่เดิมเพื่อตามถ่ายภาพเธออีกครั้ง ฮิตเลอร์ในปารีส ในปี 1941 ภายหลังการบุกโจมตีกรุงปารีสเพียงไม่นานเขาก็ได้เดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้นและพูดว่า “นี่เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม” Audrey Hepburn นางแบบสาว ดารา และผู้ที่เป็นสัญลักษณ์ในเรื่องเพศตั้งแต่ช่วง 1950s ถึง 60s เธอคนนี้ถูกเก็บภาพไว้ได้ตอนที่ซื้อของอยู่ในร้านค้ากับกวางที่เธอเลี้ยงชื่อว่า Ip ในเมืองเบเวอร์ลีฮิลส์…
-
คุณหมออเมริกัน เผย 4 เคล็ดลับ สุดยอดวิธีป้องกันอาการ “เมาค้าง” ที่ได้ผลที่สุด!!
เหล่านักดื่มทั้งหลายคงต้องเคยเจอกับอาการเมาค้างในวันต่อมาที่ทำให้คุณรู้สึกปวดหัวจนไม่อยากทำอะไรเลยทั้งวัน ชนิดที่ว่าถึงแม้ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาจะสนุกแค่ไหน แต่คุณก็รู้สึกไม่คุ้มค่ากับอาการดังกล่าวนี้เลย แต่ไม่ต้องกังวลกันอีกต่อไปเพราะนายแพทย์ Ralph Holsworth ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์และการวิจัยแห่งบริษัทน้ำดื่ม Essentia ได้มีวิธีการป้องกันที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้คุณต้องตื่นมาด้วยอาการเหล่านั้นอีกแล้ว เราไปดูกันเลยว่ามีอะไรกันบ้าง ดื่มน้ำให้เพียงพอก่อนเริ่มปาร์ตี้ ประชากรกว่า 70 เปอร์เซนต์จะมีปัญหาการดื่มน้ำไม่เพียงพอและการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้อยู่ในภาวะขาดน้ำมากยิ่งขึ้น ทำให้ร่างกายที่ของคุณจะขาดน้ำไปตั้งแต่แรกจนสุดคืน พอตื่นเช้ามาก็ต้องเจอกับอาการแฮงค์ที่หนักหน่วง วิธีป้องกันก็ไม่ยากแค่ดื่มน้ำเข้าไปให้เพียงพอก่อนที่จะเริ่มปาร์ตี้ของคุณ เพียงพอหรือไม่นั้นสังเกตได้จากสีของปัสสาวะ เพราะยิ่งใสมันก็ยิ่งดี ดื่มน้ำระหว่างการดื่มแอลกอฮอล์ด้วย เพื่อรักษาไม่ให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำเวลาที่คุณดื่มเบียร์หรือไวน์เข้าไปก็ต้องดื่มน้ำเปล่าตามเข้าไปในปริมาณที่เท่ากันด้วย แต่ถ้าหากเป็นเหล้าก็จะยากกว่าหน่อยเพราะเมื่อกินเหล้าหนึ่งช็อตคุณจะต้องดื่มน้ำตามเข้าไปหนึ่งแก้ว วิธีนี้นอกจากจะช่วยไม่ให้มีอาการเมาค้างแล้วยังช่วยให้คุณดื่มเหล้าน้อยลงแต่อยู่ได้ทั้งคืนอีกด้วยนะ รับประทานไขมันดีก่อนดื่ม การกินไขมันดีจำพวกถั่ว แซลมอน หรือปลาทะเลต่างๆ ไขมันจะไปเกาะอยู่บริเวณลำไส้ทำให้การดูดซับแอลกอฮอล์ลดลง แต่เราไม่แนะนำให้คุณกินเป็นกับแกล้ม เพราะว่าหากคุณกินอาหารมากเกินไปจะทำให้การดูดซับดียิ่งขึ้นและหนีไม่พ้นเมาค้างอีกอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นการกินอาหารจำพวกแป้งก็ไม่ควร เพราะแอลกอฮอล์สมีคาร์โบไฮเดรตอยู่แล้ว มันจะยิ่งไปทับถมกันเข้าไปใหญ่ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีรสเค็ม บอกลาเหล้าป็อกทาเกลือตรงปากแก้วไปได้เลย เพราะโซเดียมจะทำให้มีการดูดซับแอลกอฮอล์มากขึ้นด้วยการเปิดช่องทางลำไส้เล็กส่วนต้น ทำให้ยิ่งกินเข้าไปมากเท่าไหร่ตื่นเช้ามาก็ยิ่งปวดหัวมากเท่านั้น และทั้งหมดก็คือวิธีป้องกันที่จะทำให้คุณสามารถสนุกสุดเหวี่ยงไปกับปาร์ตี้ได้ทั้งคืน โดยไม่ต้องกังวลอีกแล้วว่าจะตื่นมาโดยไม่สดชื่น คืนนี้ก็ลุยยย!! ชนนน เอ๊า หมดแก้ววว!! ที่มา: thisisinsider