Category: ย้อนเวลาหาความรู้

  • 20 ภาพ ห้องน้ำของทหารเยอรมันในสงครามโลก ที่ไม่ได้สะดวก สะอาด หรือเป็นส่วนตัวเลย

    20 ภาพ ห้องน้ำของทหารเยอรมันในสงครามโลก ที่ไม่ได้สะดวก สะอาด หรือเป็นส่วนตัวเลย

    ในช่วงที่ทางยุโรปกำลังตกอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชายหนุ่มจำนวนมากได้ออกจากพื้นที่ที่ตัวเองคุ้นเคยและเข้าสู่การรบอันแสนตึงเครียดของสงครามสนามเพลาะ ในที่แห่งนั้นพวกเขาต้องทิ้งหลายๆ สิ่งที่เคยได้รับไป ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ความสะดวกสบาย หรือความสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว ดังนั้นแม้ว่าจะฟังดูแปลกไปสักหน่อยแต่ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชมภาพอีกมุมหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งหลายๆ คนคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นกับ 20 ภาพการใช้งานห้องน้ำของทหารเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งไม่มีทั้งความสะดวกสบาย ความสะอาด หรือแม้กระทั่งความเป็นส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย (ไม่แนะนำให้ดูระหว่างทานข้าว) นี่คือ “ห้องน้ำสนามเพลาะ” ที่ใช้กันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง . โดยมากแล้วห้องน้ำสนามเพลาะ มักทำขึ้นโดยการขุดหลุมลึก 1-1.5 เมตร ก่อนจะทำส้วมครอบไว้ข้างบน . นั่นทำให้ห้องน้ำที่ออกมาถ้าโชคดีก็อาจจะมีกำแพงและหลังคา . แต่ถ้าโชคร้ายคุณก็อาจจะพบกับไม้พาดไว้บนหลุมเผยๆ . ห้องน้ำสนามเพลาะมักจะถูกใช้โดยคนทั้งกองทหาร และบ่อยครั้งก็มักจะถูกใช้งานโดยคนมากๆ ในเวลาเดียวกัน โดยในกองทหารแต่ละกองจะต้องมีคนคอยรักษาความสะอาดของห้องน้ำของคน . ซึ่งโดยมากแล้วจะเป็นตำแหน่งที่สำรองไว้ลงโทษทหารในสถานเบา . ในกรณีที่มีการย้ายที่ประจำการ กองทหารจะต้องทำการฝังกลบห้องน้ำสนามเพลาะ ก่อนที่จะไปขุดห้องน้ำใหม่ในที่ประจำการอีกแห่ง แน่นอนว่าห้องน้ำแบบนี้อาจจะดูสกปรกสำหรับคนในปัจจุบัน แต่ในสมัยที่คนรบกันในหลุม ห้องน้ำแบบนี้ถือว่ามีสุขอนามัยพอสมควรเลย เพราะในระหว่างที่รบกัน บ่อยครั้งเหล่าทหารจะต้องทำธุระในกระป๋องหรือถัง ก่อนที่จะโยนอุปกรณ์ทำธุระออกมาจากหลุมพร่องเลยทีเดียว ที่มา vintag

  • 8 คดีบุคคลผู้หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา แม้จนปัจจุบันก็ยังไม่อาจไขปริศนาให้กระจ่าง

    8 คดีบุคคลผู้หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา แม้จนปัจจุบันก็ยังไม่อาจไขปริศนาให้กระจ่าง

    บนโลกนี้มีอะไรประหลาดๆ ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะทางธรรมชาติหรือปริศนาที่เกิดกับมนุษย์ อย่างเช่นการหายสาบสูญไปของคนทั้งคน ที่ในปัจจุบันก็ไม่ทราบชะตากรรมที่แท้จริงของพวกเขา   1. Zebb Wayne Quinn เมื่อช่วงต้นของยุค 2000 Zebb Wayne Quinn วัย 18 ปี ขับรถไปห้างสรรพสินค้ากับเพื่อนของเขา แล้วจู่ๆ เพจเจอร์ของเขาก็มีสัญญาณเข้า เขาจึงขับรถออกไปเพื่อหาที่โทรศัพท์ รถของเขาถูกพบในอีก 2 สัปดาห์จากนั้น โดยข้าวของข้างในมีสิ่งของที่ไม่ใช่ของ Quinn ปะปนอยู่ด้วย รวมไปถึงลูกสุนัขพันธุ์ผสมลาบราดอร์สีดำวัย 3 เดือน 1 ตัว ลิปสติก 2 แท่ง และบนหน้าต่างหลังรถมีเครื่องหมายอัศเจรีย์ (เครื่องหมาย !) 2 ตัวถูกเขียนด้วยลิปสติก ส่วน Quinn นั้นหายสาบสูญไป แม้ว่าในปี 2017 เพื่อนของเขาจะถูกจับในข้อหาฆาตกรรม Quinn ในที่สุด แต่จนแล้วจนรอดทางตำรวจก็หาศพเขาไม่พบอยู่ดี   2. Brandon Swanson ในปี 2008  นักศึกษาวิทยาลัยวัย 19 ปี ชื่อ…

  • นักโบราณคดีพบเรือรูปร่างประหลาดที่อียิปต์ เชื่อเป็นลำเดียวกับที่ “เฮอรอโดทัส” เคยกล่าวถึง

    นักโบราณคดีพบเรือรูปร่างประหลาดที่อียิปต์ เชื่อเป็นลำเดียวกับที่ “เฮอรอโดทัส” เคยกล่าวถึง

    สำหรับนักโบราณคดีหลายๆ คน ประเทศอียิปต์นั้นก็เปรียบเสมือนกับแหล่งโบราณคดีแหล่งใหญ่ของโลก ซึ่งอาจจะมีการพบวัตถุโบราณชิ้นใหม่ๆ ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ แถมแหล่งโบราณคดีที่ว่านี้ยังไม่ได้มีอยู่แค่บนพื้นดินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพื้นที่อย่างแม่น้ำ และทะเลอีกด้วย และช่วงกลางเดือนมีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักโบราณคดีก็ได้ออกมาเปิดเผยการค้นพบครั้งใหม่อีกครั้ง โดยในคราวนี้พวกเขาได้มีโอกาสค้นพบเรือโบราณรูปร่างประหลาดซึ่งที่ผ่านๆ มาเคยมีการพูดถึงไว้ในบันทึกทางประวัติศาสตร์     การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นที่โบราณสถาน Thonis-Heracleion ท่าเรือโบราณใกล้ๆ เมืองอเล็กซานเดรีย ที่จมอยู่ใต้น้ำจากเหตุแผ่นดินไหวและภัยพิบัติทางธรรมชาติในอดีต อ้างอิงจากรายงานการค้นพบสภาพตัวเรือราวๆ 70% นั้นยังอยู่ในสภาพที่ดีมาก มีรูปร่างคล้ายพระจันทร์แบบเกือบเต็มดวงที่มีความยาวราวๆ 28 เมตร สร้างขึ้นโดยอาศัยการประกอบไม้เข้าด้วยกันผ่านระบบเดือย และเป็นหนึ่งในเรือค้าขายขนาดใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการพบมาในอียิปต์     Dr. Damian Robinson ผู้อำนวยการศูนย์โบราณคดีทางทะเลของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดซึ่งทำการตีพิมพ์การค้นพบในครั้งนี้บอกว่า ในอดีตเมื่อราวๆ 450 ปีก่อนคริสตกาล “เฮอรอโดทัส” นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก เคยมีการกล่าวถึงการต่อเรือประหลาดลำหนึ่ง ซึ่งมีโครงสร้างที่ต่างไปจากเรืออื่นในสมัยเดียวกันมาก แต่ผ่านๆ มา นักวิทยาศาสตร์กลับไม่เคยพบเรือที่เขากล่าวเอาไว้เลย จนนักโบราณคดีบางคนถึงกับคิดว่าชายคนนี้โกหก     อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบลักษณะของเรือลำที่พบกับการบรรยายเรือของเฮอรอโดทัส นักโบราณคดีก็พบว่าเรือทั้งสองลำนั้นมีลักษณะที่คล้ายกันในระดับที่ว่าตรงกันแบบคำต่อคำ ดังนั้นนักโบราณคดีจึงเชื่อว่าเรือลำที่พบนี้น่าจะเป็นเรือประหลาดที่เฮอรอโดทัสเคยกล่าวไว้     แน่นอนว่าการค้นพบเช่นนี้ นับว่ามีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มาก เพราะไม่เพียงแต่เรือลำนี้จะเป็นหลักฐานอย่างดีว่าเรือที่เฮอรอโดทัสพูดถึงนั้นมีอยู่จริงแล้ว…

  • ชม “เครื่องพิมพ์โน้ตคีตัน” เครื่องพิมพ์ดีดสุดแปลกของนักดนตรีแห่งศตวรรษที่ 20

    ชม “เครื่องพิมพ์โน้ตคีตัน” เครื่องพิมพ์ดีดสุดแปลกของนักดนตรีแห่งศตวรรษที่ 20

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่า “โน้ตดนตรี” เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเหล่านักดนตรีมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่อารยธรรมแรกๆ ของโลก ก่อนที่จะพัฒนามาอย่างปัจจุบัน ว่าแต่เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมว่าเจ้าโน้ตดนตรีซึ่งมีรูปร่างที่แปลกๆ แถมยังต้องพิมพ์ในระดับความสูงที่แตกต่างนี้ ในอดีตเขาพิมพ์มันลงไปบนกระดาษได้อย่างไรกัน     แน่นอนว่าในสมัยก่อนนั้นการเขียนตัวโน้ตลงในกระดาษมักจะต้องเขียนกันด้วยมือ อย่างไรก็ตามเมื่อโลกก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 การพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างเครื่องพิมพ์ดีดก็เริ่มที่จะแพร่หลายขึ้น และมีการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนในแทบทุกสายงานอาชีพ ในช่วงเวลาที่ Robert H. Keaton ได้ทำการคิดค้นเครื่องพิมพ์ดีดแบบใหม่ขึ้น เพื่อให้นักดนตรีสามารถเขียนโน้ตดนตรีลงบนกระดาษได้ง่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน     นี่คือเครื่องพิมพ์ดีดแบบพิเศษที่มีชื่อว่า “The Keaton Music Typewriter” หรือ “เครื่องพิมพ์โน้ตคีตัน” อุปกรณ์หน้าตาสุดแปลกที่มีการออกแบบมาเพื่อพิมพ์โน้ตดนตรีอย่างรวดเร็วและชัดเจน ซึ่งใช้งานกับครั้งแรกในปี 1936 เครื่องพิมพ์โน้ตคีตันในช่วงแรกๆ เป็นเครื่องพิมพ์ดีดที่มีสัญลักษณ์ต่างๆ เกี่ยวกับดนตรี 14 แบบ ก่อนที่จะมีการเพิ่มสัญลักษณ์ที่พิมพ์ได้เป็น 33 แบบ และพัฒนาระบบใหม่จนสมบูรณ์ในปี 1953   เครื่องพิมพ์โน้ตคีตันรุ่นแรกๆ   ในช่วงเวลานั้นเครื่องพิมพ์โน้ตคีตันถูกออกแบบมาเพื่อให้พิมพ์ตัวโน๊ตได้อย่างชัดเจนและแม่นยำที่สุดดังนั้นมันจึงถูกออกแบบมาให้เป็นรูปวงกลม ซึ่งต่างไปจากรูปร่างของเครื่องพิมพ์ดีดทั่วๆ ไปเป็นอย่างยิ่ง ในปี 1953 เครื่องพิมพ์โน้ตคีตันถูกวางขายในราคาราวๆ 255 เหรียญสหรัฐ (ราวๆ…

  • นักวิชาการเผย ผู้มีความบกพร่องทางกายสมัยก่อน อาจได้รับความเคารพและการดูแลดีกว่าที่เราคิด

    นักวิชาการเผย ผู้มีความบกพร่องทางกายสมัยก่อน อาจได้รับความเคารพและการดูแลดีกว่าที่เราคิด

    ตั้งแต่ในอดีตมาเมื่อพูดถึงการปฏิบัติต่อคนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย คนส่วนใหญ่ก็มักจะคิดว่าคนในสมัยก่อนน่าจะมีการปฏิบัติตัวกับคนเหล่านี้แบบไม่ดีเท่าไหร่ เพราะคนที่ร่างกายสมบูรณ์เมื่อหลายพันปีก่อนคงจะไม่มานั่งดูแลคนเป็นโรคที่ตัวเองยังไม่รู้จักอย่าง “ภาวะแคระ” หรือ “ปากแหว่งเพดานโหว่” หรอก   ชาวสปาตัน หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่าคนสมัยก่อนปฏิบัติตัวไม่ดีกับผู้มีความบกพร่องทางร่างกาย   แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เองในการประชุมเหล่านักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์ที่กรุงเบอร์ลิน เหล่าผู้เชี่ยวชาญก็ได้เผยแนวคิดใหม่เกี่ยวกับวิถีชีวิตคนที่มีความบกพร่องทางร่างกายในสมัยก่อนออกมา โดยทฤษฎีใหม่ของพวกเขาคือคนที่มีความบกพร่องทางร่างกายนั้น ในสมัยก่อนน่าจะได้รับการเคารพบูชาเป็นอย่างมาก หรืออย่างน้อยๆ ก็ได้ใช้ชีวิตโดยมีคนดูแลในระดับที่ดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป   อักษรอียิปต์โบราณพร้อมภาพของเจ้าหน้าที่ศาลผู้มีภาวะแคระ ซึ่งพบในสุสานฟาโรห์เดนแห่งราชวงศ์ที่ 1   แนวคิดนี้มาจากการที่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านๆ มานักโบราณคดีมักจะมีการขุดพบกระดูกของมนุษย์ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ในสถานที่สำคัญทางศาสนาอยู่เสมอ แถมยังมีร่องรอยการให้ชีวิตที่ดีไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ (หรือตอนเสียชีวิต) และไม่ได้ถูกขับไล่ออกจากเมืองอย่างที่เราเคยคิด อย่างมัมมี่ที่มีร่องรอยของโรคลูคีเมีย จากเปรูในช่วง 1,200 ปีก่อนคริสตกาลเอง ก็ถูกฝังเอาไว้อย่างเคารพ ทั้งๆ ที่จากการตรวจสอบกระดูกแล้ว ชายคนนี้น่าจะเดินตรงๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าตลอดเวลาที่เขาใช้ชีวิตคนในสังคมค่อยดูแลเขาเป็นอย่างดีเลย โดยหนึ่งในนักชีววิทยาโบราณ Anna Pieri ได้ออกมาบอกว่าเหล่าผู้มีความบกพร่องทางร่างกายนั้นไม่เพียงได้รับการดูแลอย่างดีเท่านั้น แต่ในหลายๆ ครั้งยังถูกเคารพบูชาด้วย โดยอ้างอิงจากการที่ผู้ปกครองในสมัยอียิปต์โบราณมักจะชอบรับคนที่มีภาวะแคระมาเป็นข้าราชบริพาร     และนอกจากภาวะแคระแล้ว ดูเหมือนว่าคนเป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่เองก็เป็นที่ยอมรับของคนในสมัยก่อนเช่นกัน เพราะนักพยาธิวิทยาโบราณ จากมหาวิทยาลัยแซแกดอย่างคุณ Erika Molnar เองก็ได้รายงานว่า โครงกระดูกของชายผู้เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่รุนแรงที่มีชีวิตในช่วง 900 ปีก่อนคริสตกาลที่ฮังการี…

  • ย้อนรอย “ปฏิบัติการกรีฟ” เมื่อทหารนาซีปลอมตัวไปสร้างความวุ่นวายให้ฝั่งพันธมิตร

    ย้อนรอย “ปฏิบัติการกรีฟ” เมื่อทหารนาซีปลอมตัวไปสร้างความวุ่นวายให้ฝั่งพันธมิตร

    ในช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1944 ในช่วงเวลาที่สงครามโลกครั้งที่สองใกล้จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมนี ออทโท สกอร์เซนี นายทหารยศโอแบร์สทุร์มบันน์ฟือแรร์ (เทียบได้เป็นพันโท) ของหน่วย SS ได้ถูกเรียกตัวโดย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เพื่อให้ไปทำภารกิจที่ “สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา”     ภารกิจที่ว่านี้มีชื่อว่า “ปฏิบัติการกรีฟ” (Operation Greif) ภารกิจแทรกซึมและปลอมตัวเป็นทหารอเมริกันของทางนาซี เพื่อสร้างความสับสนให้แก่ฝ่ายศัตรู และซื้อเวลาอันมีค่าให้กับเหล่าทหารในแนวหน้า โดยเหล่าทหารที่ถูกเรียกตัวไปปฏิบัติการในครั้งนี้จะเป็นคนที่มีความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว จงรักภักดี และมีฝีมือไว้ใจได้ โดยพวกเขาได้รับหน้าที่กระโดดร่มลงไปหลังแนวรบฝั่งสัมพันธมิตรทางตะวันตก ปลอมตัวเป็นทหารอเมริกัน และทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายในพื้นที่มากที่สุด เป้าหมายหลักของพวกเขาคือการทำลายเชื้อเพลิง สะพาน หรือคลังกระสุนปืน และทำการก่อกวนอื่นๆ อย่างให้คำสั่งปลอมและเปลี่ยนป้ายถนน เปลี่ยนป้ายระวังกับระเบิด ไปจนถึงการปิดถนนด้วยป้ายปลอม และตัดสายโทรศัพท์สื่อสาร   รถถังเยอรมันที่ปลอมเป็นรถถังอเมริกันในระหว่างปฏิบัติการ   แน่นอนว่าแผนการในครั้งนี้ต้องจบลงด้วยความล้มเหลว เพราะในบรรดาทหารที่รับมา 2,500 คนนั้น มีเพียงแต่ 400 คนเท่านั้นที่พูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันได้ชัดเจน แถมมีเพียง 10 คนเท่านั้นที่พูดได้ดีถึงในระดับที่ “ไม่มีวันถูกดูออกต่อให้อีกฝ่ายหูหนวก” เท่านั้นยังไม่พอพวกเขายังหาชุดและหมวกของทหารสหรัฐฯ ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมแทบจะไม่ได้ จนสุดท้ายทหารที่ถูกส่งไปก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน    …

  • ชม 18 ภาพยากของประเทศเบลเยียม ที่ถูกถ่ายไว้ด้วยเทคโนโลยี Dufaycolor เมื่อปี 1936

    ชม 18 ภาพยากของประเทศเบลเยียม ที่ถูกถ่ายไว้ด้วยเทคโนโลยี Dufaycolor เมื่อปี 1936

    ประเทศเบลเยียม เป็นหนึ่งในสมาชิกรุ่นก่อตั้งของสหภาพยุโรป มีชื่อเสียงเรื่องช็อกโกแลต และเบียร์ ถึงอย่างนั้นก็ตามประเทศแห่งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้มีความงดงามด้านอื่นเลย และวิวทิวทัศน์ของเมืองและการใช้ชีวิตของผู้คนในที่แห่งนี้เองก็เรียกได้ว่ามีเสน่ห์ไม่แพ้ใครเลยเช่นกัน ดังนั้นแล้วในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมภาพการใช้ชีวิตของคนที่นี่ในช่วงปี 1936 กัน แถมภาพในครั้งนี้ยังเป็นภาพหายากที่ถ่ายด้วยเทคโนโลยี “Dufaycolor” อันเป็นเทคนิคทำภาพสีที่ต่างไปจาก Autochrome และเลิกใช้ไปแล้วในช่วงปี 1950 อีกด้วย แต่ภาพที่ออกมาจะเป็นเช่นไรนั้น คงต้องให้เพื่อนๆ ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากภาพหาด ที่ Ostend . .   อันนี้หาดที่ Blankenberge บรรยากาศคนละแนวกับที่ Ostend เลย . .   งานแข่งม้าที่ Ostend . .   โรงแรม Littoral ใน Ostend   ท่าเรือใน Ostend ที่มีภาพเรือที่กำลังเดินทางเป็นฉากหลัง   Ostend Kursaal แห่งท่องเที่ยวมีชื่อของเบลเยียม   สวนนาฬิกาดอกไม้ใน Ostend   สภาพการณ์เดินเท้าบนถนนใน Ostend   จุดพักผ่อนต่างๆ บนชายหาดของเมือง…

  • ย้อนรอย “แม่มดแห่งราตรี” เหล่านักบินหญิงแห่งโซเวียต ฝันร้ายของนาซีในช่วงสงครามโลก

    ย้อนรอย “แม่มดแห่งราตรี” เหล่านักบินหญิงแห่งโซเวียต ฝันร้ายของนาซีในช่วงสงครามโลก

    เคยได้ยินเรื่องราวของเหล่า “แม่มดแห่งราตรี” ประจำสงครามโลกครั้งที่สองกันไหม นี่เป็นหนึ่งในฝันร้ายที่ทหารนาซีต้องพบในระหว่างการรบกับสหภาพโซเวียตเลยก็ว่าได้ แถมนี่ยังเป็นผลงานที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของเหล่านักรบแห่งกองทัพหญิงเสียด้วย     แม่มดแห่งราตรีเป็นฉายาของกองบินทิ้งระเบิดกลางคืนที่ 588 (588th Night Bomber Regiment) หน่วยทหารอากาศหญิงล้วนผู้มีผลงานทิ้งระเบิดสำเร็จเกือบ 30,000 ครั้ง และทิ้งระเบิดไปร่วมกว่า 23,000 ตัน ตลอดช่วงเวลาไม่ถึง 4 ปีในสงคราม เรื่องราวของหน่วยทิ้งระเบิดหญิงหน่วยนี้ เริ่มต้นขึ้นในตอนที่ โจเซฟ สตาลิน ประกาศตั้งกองบินหญิงล้วนจำนวนสามแห่งในปี 1941 และกลายเป็นประเทศแรกที่อนุญาตให้ผู้หญิงขึ้นบินในสงคราม แต่แม้จะมีกองบินหญิงหลายกองก็ตามกองบินที่ 588 กลับเป็นกองบินเดียวที่เป็นกองบินหญิงล้วนจริงๆ และนำทีมโดยนักบินหญิง Nadezhda Popova ผู้ผ่านภารกิจมาถึง 852 ครั้ง     พวกเธอนั้นได้ใช้เครื่องบิน Polikarpov Po-2 ซึ่งนับว่าตกยุคมากๆ ในสมัยนั้น โดยไม่มีทั้งเรดาร์ ปืนกล วิทยุสื่อสาร ระบบป้องกันอากาศหนาวเย็น หรือแม้กระทั่งร่มชูชีพ และต้องทำภารกิจโดยอาศัยเพียงเข็มทิศ ไม้บรรทัด ดินสอ นาฬิกา ไม้ฉาย และแผนที่เท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็ตามนักสู้เหล่านี้กลับสามารถทำภารกิจก่อกวนยามราตรีได้สำเร็จเรื่อยมา ทั้งๆ…

  • เปิดตำนาน “ต้นไม้ภูต” ความเชื่อเก่าแก่ของชาวไอร์แลนด์ ที่แม้แต่รัฐบาลยังต้องหลีกทางให้

    เปิดตำนาน “ต้นไม้ภูต” ความเชื่อเก่าแก่ของชาวไอร์แลนด์ ที่แม้แต่รัฐบาลยังต้องหลีกทางให้

    เคยได้ยินตำนาน “ต้นไม้ภูต” ของชาวไอร์แลนด์กันมาก่อนไหม? นี่เป็นต้นไม้ที่ปรากฏออกมาบ่อยๆ ในตำนาน เรื่องเล่า และนิทานของประเทศไอร์แลนด์ตั้งแต่ในอดีต และเป็นที่เชื่อถือของคนหลายๆ กลุ่มในประเทศว่าเป็นทางเชื่อมไปยังอีกโลกหนึ่ง     ต้นไม้ที่ถูกมองว่าเป็นต้นไม้นั้น โดยมากแล้วจะเป็นต้นฮอร์ธอร์นหรือไม่ก็ต้นแอชที่ขึ้นอยู่โดดๆ กลางที่โล่ง ไม่ว่าจะเป็นกลางทุ่งหรือริมถนน และในหลายๆ ครั้งก็จะมีหินอยู่ใกล้ๆ ลำต้นด้วย ชาวไอร์แลนด์เชื่อว่าที่ต้นไม้ภูตมีสภาพเช่นนี้เนื่องจากจริงๆ แล้วต้นไม้เหล่านี้ถูกภูตใช้งานเป็นประตูในการเดินทางไปมาระหว่างโลกมนุษย์กับโลกของภูต ดังนั้นมันจึงตั้งอยู่ในที่ที่มองเห็นได้ง่าย และได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี ด้วยหินซึ่งมีเวทมนตร์บรรจุไว้     ว่ากันว่าใครก็ตามที่ตัดหรือทำร้ายต้นไม้ภูตจะต้องพบกับโชคร้ายไปตลอดชีวิตจากความโกรธแค้นของเหล่าภูต แถมการกระทำที่เรียกว่าทำร้ายต้นไม้นี้ก็รวมไปถึงการเด็ดดอกไม้จากต้นเลยด้วย แม้ว่าโทษจะไม่แรงเท่าการตัดต้นไม้ตรงๆ ก็ตาม ด้วยเหตุนี้เองต้นไม้ที่งอกขึ้นมาแบบเดียวๆ จึงมักได้รับการดูแลเป็นอย่างดีโดยชาวไอร์แลนด์ โดยในบางเวลาพวกเขายังมักพันกิ่งก้านของต้นไม้ดังกล่าวด้วยผ้าสีตามความเชื่อที่ว่าจะนำมาซึ่งโชคดีอีกด้วย     ตำนานของต้นไม้ภูตนั้นอาจจะเป็นความเชื่อที่ดูเก่าก็จริงอยู่ แต่มันก็แตกต่างไปจากตำนานอื่นๆ ของชาวไอร์แลนด์ตรงที่ยังมีคนเชื่ออยู่เป็นจำนวนมากแม้ในปัจจุบัน อย่างสนามกอล์ฟ “Ormeau Golf Club” ในเมืองเบลฟาสต์เองก็มีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่งซึ่งผู้ดูแลไม่ยอมตัดแต่งกิ่งเลย (เพราะกลัวไปทำร้ายต้นไม้ภูต) แถมหากผู้เล่นเผลอตีลูกกอล์ฟไปโดนต้นไม้ พวกเขาก็จะได้รับทำแนะนำให้ขอโทษต้นไม้ต้นนี้ด้วย     ความเชื่อเรื่องต้นไม้ภูตนั้นฝังลึกถึงขั้นที่ว่าเมื่อปี ค.ศ. 1999 ทางรัฐบาลจำเป็นต้องเลื่อนการสร้างทางมอเตอร์เวย์จากการที่มีต้นไม้ภูตขวางทางอยู่ แถมสุดท้ายพวกเขาก็ต้องสร้างทางอ้อมต้นไม้ไปตามข้อเรียกร้องของคนในพื้นที่เลย     และแม้ว่าเราจะไม่สามารถบอกได้ว่าต้นไม้ภูตนั้นมีอยู่จริงๆ…

  • ย้อนรอยการค้าขายมัมมี่ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 เมื่อร่างคนตายถูกใช้งานต่างสินค้า

    ย้อนรอยการค้าขายมัมมี่ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 เมื่อร่างคนตายถูกใช้งานต่างสินค้า

    ในช่วงยุควิกตอเรีย การที่นโปเลียนบุกไปถึงอียิปต์ได้ทำให้ชาวยุโรปได้มีโอกาสพบกับวัฒนธรรมที่ยาวนานของอียิปต์ในระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นมัมมี่ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของประเทศนี้กลับมักจะไม่ได้รับความเคารพจากชาวยุโรปเท่าที่ควรเลย นั่นเป็นเหตุผลที่ในช่วงเวลานี้ เราจะสามารถเห็นมัมมี่ถูกนำไปขายข้างถนนราวกับเป็นของฝากอยู่เสมอ และส่งผลให้จำนวนมัมมี่ของอียิปต์ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดในช่วงศตวรรษที่ 18-19   การขายมัมมี่ข้างถนน 1865   เหตุผลที่ชาวยุโรปซื้อมัมมี่ไปนั้นมีอยู่หากหลายตั้งแต่การใช้ในงานปาร์ตี้สุดแปลกที่ชื่อ “Mummy Unwrapping Parties” หรืองานเลี้ยงแกะผ้าห่อมัมมี่ ซึ่งก็แน่นอนว่ามีการแกะผ้าห่อศพของมัมมี่โชว์สมชื่องาน นอกจากนี้ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันในยุโรปยังมีความเชื่อสุดแปลกเกิดขึ้น โดยคนในสมัยนั้นจะนำร่างของมัมมี่ที่ได้มาไปบดจนเป็นผง และใช้บริโภคเป็นยา แถมยังเป็นที่นิยมเอามากๆ จนมีการทำมัมมี่ปลอมที่ทำจากคนจนหรือคนไร้บ้านที่ตายบนถนน เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการเลย (ซึ่งคงไม่ต้องพูดขึ้นเรื่องสุขอนามัย)   ภาพวาดงานเลี้ยงแกะผ้าห่อมัมมี่   วิธีการทำมัมมี่ปลอมนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละที่แต่โดยมากแล้วจะทำโดยการเอาศพไปฝังในทรายหรือไม่ก็ยัดบิทูเมน (ยางมะตอย) ก่อนที่จะปล่อยตากแดดเอาไว้ ต่อมาเมื่อทางยุโรปเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม แทนที่จะเอาไปบดทาน มัมมี่ของอียิปต์ก็ถูกนำไปใช้งานอย่างอื่นแทน โดยในช่วงเวลานี้ ร่างของมัมมี่จะถูกบดส่งไปยังอังกฤษและเยอรมนีเพื่อให้เป็นปุ๋ย หรือไม่ก็ทำเป็นผงสีที่ชื่อ “น้ำตาลมัมมี่” แถมในอียิปต์เองก็มีข่าวลือว่ามัมมี่ถูกเผาเป็นเชื้อเพลิงหัวรถจักรด้วย     นับว่าโชคดีมากที่หลังจากนั้นไม่นานมัมมี่ก็เริ่มถูกเห็นค่าในฐานะของแสดงและสะสมจนมีนักสะสมจำนวนมากซื้อเก็บไว้ในราคาสูง จนการทำลายมัมมี่มีน้อยลงกว่าที่เคยเป็น อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าคนทุกคนจะสามารถซื้อมัมมี่ทั้งร่างได้ในยุคนี้ตลาดมืดจึงมักจะหั่นร่างของมัมมี่เพื่อแยกขายซึ่งก็นับว่าเป็นการทำลายวัตถุโบราณอยู่ดี และแม้ว่าในปัจจุบันมัมมี่จะได้รับการคุ้มครองที่ดีขึ้นมากก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าการหั่นมัมมี่ขายในตลาดมืดนั้นก็ยังคงมีให้เห็นอยู่เป็นช่วงๆ อยู่ดี   การแอบขนชิ้นส่วนมัมมี่ในปี 2019   ที่มา rarehistoricalphotos, atlasobscura และ allthatsinteresting

  • ผลพิสูจน์ DNA ชี้ ฆาตกรต่อเนื่อง “Jack the Ripper” แท้จริงแล้วเป็นช่างตัดผม

    ผลพิสูจน์ DNA ชี้ ฆาตกรต่อเนื่อง “Jack the Ripper” แท้จริงแล้วเป็นช่างตัดผม

    เชื่อว่าด้วยความโด่งดังในสื่อ ในปัจจุบันคงจะไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของฆาตกรรมต่อเนื่องนาม “Jack the Ripper” อีกต่อไปแล้ว เพราะผลงานการเชือดหญิงสาวในกรุงลอนดอน เมื่อช่วงปี 1888 ของเขานั้น เรียกได้ว่าเป็นคดีที่น่าหวาดผวาที่สุดคดีหนึ่งของอังกฤษมาเป็นเวลากว่าร้อยปีเลย แน่นอนว่าคดีลึกลับที่ไขไม่ออกเช่นนี้ย่อมกลายเป็นคดีที่มีคนออกมาตั้งทฤษฎีเพื่อทำการอธิบายมากมาย ทั้งในทางประวัติศาสตร์ และทฤษฎีสมคบคิด โดยที่ผ่านมาก็มีข้อสันนิษฐานที่น่าสนใจออกมามากมาย ทั้งที่บอกว่าคนร้ายเป็นศัลยแพทย์ คนขายเนื้อ หรือแม้กระทั่งผู้หญิงด้วยกันเอง     แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เองเหล่านักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Liverpool John Moore ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่าพวกเขานั้นอาจจะทราบตัวจริงของ Jack the Ripper แล้ว อ้างอิงจากผลตรวจผ้าคลุมเปื้อนเลือด หนึ่งในหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ผ้าเปื้อนเลือดชิ้นนี้นั้นถูกประมูลไว้โดยนักธุรกิจชื่อ Russell Edwards ในปี 2007 ก่อนที่เขาจะเก็บมันไว้ช่วงเวลาหนึ่งและติดต่อนักวิทยาศาสตร์ให้มาตรวจสอบผ้าชิ้นดังกล่าวในภายหลัง     โดยจากการตรวจสอบ DNA บนผ้าโดยละเอียดนักวิทยาศาสตร์ก็พบกับเรื่องที่น่าสนใจเข้า เพราะนอกจากผ้าผืนนี้จะมี DNA ของ Catherine Eddowes หนึ่งในเหยื่อของ Jack แล้ว มันยังมี DNA ของคนอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย คนอีกคนที่ว่านั้นคือ Aaron Kosminski ช่างตัดผมชาวโปแลนด์ที่ในเวลานั้นกำลังอายุได้ 23…

  • 25 ภาพสุดงามของจอร์เจียช่วงปี 1970-1980 ไปดูกันว่าวิถีชีวิตของคนที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง

    25 ภาพสุดงามของจอร์เจียช่วงปี 1970-1980 ไปดูกันว่าวิถีชีวิตของคนที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง

    จอร์เจียเป็นประเทศหนึ่งในสมาชิก UN ที่ตั้งอยู่ติดกับภูเขาคอเคซัส ในบริเวณจุดตัดระหว่างทวีปยุโรปและเอเชีย มีชื่อเสียงเรื่องวิวที่งดงาม สถาปัตยกรรมโบราณ และวัฒนธรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ แน่นอนว่าประเทศที่โดดเด่นในเรื่องความงามของทัศนียภาพเช่นนี้ย่อมจะต้องมีภาพถ่ายที่งดงามถูกถ่ายเก็บไว้โดยนักท่องเที่ยวที่หลากหลายอยู่แล้ว แต่ภาพที่ออกมานั้นโดยมากแล้วจะเป็นภาพของประเทศในศตวรรษที่ 21 เสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมภาพของประเทศจอร์เจียในช่วงเวลาที่เราอาจจะไม่คุ้นเคยกันบ้าง โดยนี่เป็นภาพวิถีชีวิตของคนที่จอร์เจียในช่วงปี 1970-1980 เป็นหลัก แต่จะเป็นเช่นไรบ้างนั้นเชิญเพื่อนๆ ไปชมกันเลยข้างล่างนี้   เริ่มกันจากถนน Batumi ในเมือง Adjara ค.ศ. 1975   ตลาดใน Batumi เมือง Adjara ค.ศ. 1975 .   ถนน Georgian Military Road (ชื่อเรียกถนนจากจอร์เจียไปรัสเซีย) 1975   สะพาน Metechi Brücke เมือง Tbilisi 1975   วิหาร Svetitskhoveli เมือง Mtskheta 1975   โบสถ์ Metekhi St. Virgin เมือง Tbilisi 1977 .   ถนนที่ใกล้ๆ เขตพรมแดนประเทศ…

  • ผู้โดยสารลืมกระเป๋าตัง แต่โชคดีที่ได้แท็กซี่ใจดีให้ยืมเงินไปซื้อข้าวให้ภรรยาที่กำลังท้อง

    ผู้โดยสารลืมกระเป๋าตัง แต่โชคดีที่ได้แท็กซี่ใจดีให้ยืมเงินไปซื้อข้าวให้ภรรยาที่กำลังท้อง

    เพื่อนๆ เคยต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ที่อยากได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างมาก แล้วบังเอิญมีคนแปลกหน้ามาช่วยเอาไว้พอดีหรือไม่? เหมือนกับหนุ่มคนที่เราจะนำมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันในวันนี้ เมื่อหนุ่มคนดังกล่าวเพิ่งนึกได้ว่าลืมกระเป๋าตัง ในขณะที่กำลังนั่งรถแท็กซี่เพื่อไปซื้อข้าวให้ภรรยา แต่โชคดีที่ได้แท็กซี่ใจดีให้เขายืมเงินใช้ก่อน     วันที่ 11 มีนาคม 2019 หนุ่มคนดังกล่าวได้โพสต์เรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศสิงคโปร์ลงในเฟซบุ๊ก โดยเขาเล่าว่าในวันดังกล่าวภรรยาท้องแก่ของเขานั้นรู้สึกอารมณ์เสียเป็นอย่างมากที่ข้าวเย็นที่เธอทานนั้นไม่อร่อย ด้วยความที่อยากจะเอาใจภรรยา ชายคนดังกล่าวจึงตัดสินใจที่จะออกไปซื้อข้าวเย็นอร่อยๆ มาให้ภรรยาเพื่อทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น เขารีบวิ่งออกจากบ้านไป เรียกแท็กซี่และบอกจุดที่ต้องการจะไปทันที แต่ทว่า ระหว่างที่กำลังนั่งแท็กซี่อยู่นั้น หนุ่มคนดังกล่าวก็นึกขึ้นมาได้ว่า เขาลืมกระเป๋าตังเอาไว้ที่บ้าน จึงไม่ทางเลือกที่จะสารภาพกับคนขับแท็กซี่ของเขาว่าเขาลืมนำกระเป๋าตังมา รวมถึงอยากจะขอยืมเงินเพื่อซื้อข้าวให้ภรรยา     ซึ่งในตอนแรกคนขับแท็กซี่ก็รู้สึกลังเลที่จะให้ผู้โดยสารยืม แต่เมื่อได้ฟังเรื่องของภรรยาของเขาก็ยอมให้ผู้โดยสารยืมเงินจำนวน 5 เหรียญสิงคโปร์ (120 บาท) แก่เขา ชายคนดังกล่าวทิ้งโทรศัพท์เอาไว้เพื่อเป็นหลักประกัน ก่อนรีบวิ่งลงไปซื้ออาหารให้ภรรยาและกลับมาขึ้นรถพร้อมกับให้คนขับแท็กซี่ขับไปส่งที่บ้านและนำเงินที่เขาติดค้างทั้งหมดมาจ่ายให้กับแท็กซี่ผู้ใจดี     “เขาสมควรที่จะได้รับคำชม สำหรับการบริการที่ยอดเยี่ยมและเข้าใจสถานการณ์ของผมเป็นอย่างดี” หนุ่มผู้ลืมกระเป๋าตังได้กล่าวในโพสต์ที่เขาแชร์ลงในเฟซบุ๊ก     ที่มา WorldofBuzz

  • งานวิจัยใหม่ชี้ มนุษย์เราอาจอาศัยอยู่ในทวีปออสเตรเลีย มาตั้งแต่เมื่อ 120,000 ปีก่อน

    งานวิจัยใหม่ชี้ มนุษย์เราอาจอาศัยอยู่ในทวีปออสเตรเลีย มาตั้งแต่เมื่อ 120,000 ปีก่อน

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีว่าทวีปออสเตรเลีย นั้นเป็นทวีปที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากๆ แห่งหนึ่งของโลก เพราะจากหลักฐานที่เราพบมาในอดีต มนุษย์เรานั้นเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มาตั้งแต่เมื่อ 65,000-70,000 ปีก่อน จนชาวอะบอริจินได้ชื่อว่าเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกไป     นี่อาจจะเป็นตัวเลขที่ดูมากแล้วสำหรับหลายๆ คนก็จริงอยู่ แต่เมื่อล่าสุดนี้เอง เหล่านักวิจัยจากหลากหลายแห่ง ก็ได้ออกมาเปิดเผยความเป็นไปได้ใหม่ที่ว่าการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในออสเตรเลีย จริงๆ แล้วอาจจะเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 120,000 ปีก่อนต่างหาก โดยนี่เป็นงานวิจัยที่อ้างอิงหลักฐานชิ้นใหม่ซึ่งถูกพบในทางใต้ของรัฐวิกทอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งประกอบไปด้วยหินที่โดนไฟเผาจนเป็นสีดำ และเปลือกหอยโบราณจำนวนหนึ่ง     จากคำบอกเล่าของนักวิทยาศาสตร์หินที่พวกเขาพบถูกเผาจนดำในลักษณะที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติหรือไฟฟ้า ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่หินเหล่านี้จะถูกเผาโดยน้ำมือของมนุษย์ ส่วนเปลือกหอยโบราณที่พวกเขาพบเองก็ล้วนแต่เป็นของหอยที่ทานได้ ซึ่งบ่งบอกถึงหลักฐานการใช้ชีวิตของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี เป็นไปได้ว่าหินที่พวกเขาพบจะเป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากการก่อไฟทำอาการและใช้ชีวิตของคนในสมัยก่อน แถมมันยังมีอายุเก่าแก่กว่าที่คาดไว้ถึง 55,000 ปี   ภาพหินซึ่งเป็นหลักฐานเก่าว่ามีมนุษย์อยู่ที่ออสเตรเลียตั้งแต่เมื่อ 65,000-70,000 ปีก่อน   อย่างไรก็ตามการทดลองในครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อกังขาเลย เพราะพวกเขานั้นไม่มีการพบวัตถุโบราณที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยมือมนุษย์ อย่างพวกเครื่องมือหรือภาชนะเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แถมจากการตรวจสอบ DNA ก่อนหน้าเอง ก็บอกว่าชาวอะบอริจินนั้นมีร่องรอยทางพันธุกรรมสามารถย้อนรอยกลับไปเพียง 75,000 ปีเท่านั้น แถมยังแยกออกมาจากชาวยูเรเชียอีกที ดังนั้นจึงไม่น่าจะอยู่ในพื้นที่นี้เมื่อ 120,000 ปีก่อนได้ (อ่านข่าวเก่าได้ที่ ข้อมูลทางพันธุกรรมชี้ อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือ “ชาวอะบอริจิน” ในออสเตรเลีย)…

  • ย้อนรอย “เหมืองคิมเบอร์ลีย์” เหมืองแรงงานมนุษย์แห่งแอฟริกาใต้ ที่ว่ากันว่าถูกสาปโดยคนตาย

    ย้อนรอย “เหมืองคิมเบอร์ลีย์” เหมืองแรงงานมนุษย์แห่งแอฟริกาใต้ ที่ว่ากันว่าถูกสาปโดยคนตาย

    เคยได้ยินเรื่องเหมืองคิมเบอร์ลีย์ (Kimberley Mine) กันมาก่อนไหม นี่เป็นเหมืองเพชรในแอฟริกาใต้ ที่มักถูกเชื่อกันว่าเป็นเหมืองเพชรที่ใหญ่ที่สุดซึ่งถูกขุดโดยแรงงานมนุษย์ (แม้ว่าจริงๆ แล้วเหมือง Jagersfontein จะใหญ่กว่าก็ตาม)     คิมเบอร์ลีย์เปิดตัวขึ้นในปี 1871 ภายใต้การทำงานของคนงานที่หมุนเวียนกันกว่า 50,000 ราย โดยมันมีความลึกถึง 1,097 เมตร และขุดเพชรขึ้นมาได้กว่า 3,000 กิโลกรัม พร้อมๆ กับดินอีกร่วม 22 ล้านตัน ด้วยความที่เป็นเหมืองแบบเปิด หากมองจากภายนอกเหมืองคิมเบอร์ลีย์จะมีสภาพคล้ายหลุม ดังนั้นมันจึงได้รับชื่อเล่นว่าหลุมใหญ่ (Big Hole) โดยเฉพาะในยามที่คนยังคิดว่าหลุมที่ว่านี้ลึกที่สุดในโลก แน่นอนว่า การขุดเหมืองด้วยมือในสภาพอากาศที่ร้อนจัด มีความสกปรกสูงแถมยังหาน้ำและอาหารได้ยาก มันก็ต้องมีคนไม่น้อยที่สละชีวิตไปเป็นธรรมดา และความตายที่เกิดขึ้นนี้เอง ก็ทำให้คนหลายๆ คนเชื่อว่าเหมืองแห่งนี้อาจจะมีคำสาปอยู่ก็ได้     อย่างไรก็ตามหากเรามองกันให้ดีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในเหมืองนี้ก็ล้วนแต่จะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของมนุษย์ล้วนๆ นั่นเพราะความตายของคนในเหมืองส่วนใหญ่จะเกิดจากการที่หินถล่ม โดนรถรางทับหรือไม่ก็ระเบิดที่เตรียมไว้เกิดระเบิดขึ้น ซึ่งล้วนแต่มีต้นเหตุมาจากการขาดประสบการณ์ หรือไม่ก็การเร่งงานที่มากจนเกินไปของผู้คุม     เรื่องเพียงเรื่องเดียวที่ดูเหมือนจะเป็นโชคร้ายจริงๆ ของเหมืองแห่งนี้ คือการที่มันต้องปิดตัวลงก่อนเวลาอันควรในปี 1914 จากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และหลังจากนั้นมามันก็ไม่เคยถูกเปิดเป็นเหมืองอีกเลย…

  • เปิดตำนาน “แจ๊คคาโลป” เรื่องราวของกระต่ายมีเขา ที่เหล่าผู้คนตามหากันในศตวรรษที่ 20

    เปิดตำนาน “แจ๊คคาโลป” เรื่องราวของกระต่ายมีเขา ที่เหล่าผู้คนตามหากันในศตวรรษที่ 20

    เคยได้ยินเรื่องเล่าของแจ๊คคาโลปกันมาก่อนไหม มันคือกระต่ายที่มีเขาเหมือนกวาง ที่ว่ากันว่าเป็นตำนานพื้นบ้านของทางทวีปอเมริกาเหนือ และกลายเป็นหนึ่งในสัตว์ที่เป็นที่ต้องการมาก จนมีคนออกมาตามหาเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาหนึ่ง     ชื่อของแจ๊คคาโลป (Jackalope) มาจากคำว่า “Jackrabbit” กับ “Antelope” ซึ่งก็แปลว่ากระต่ายกับแอนทิโลปสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายกวาง แบบตรงๆ เลย โดยเชื่อกันว่าชื่อนี้ถูกตั้งขึ้นตามลักษณะของแจ๊คคาโลปเอง น่าแปลกที่เรื่องราวของแจ๊คคาโลปสามารถย้อนรอยกลับไปได้ถึงเพียงแค่ช่วงปี 1930 เท่านั้นซึ่งถือว่าไม่เก่ามากเมื่อเทียบกับตำนานอื่นๆ โดยส่วนมากจะเชื่อกันว่ามันเป็นสัตว์ลูกผสมของกวางที่สูญพันธุ์ไปแล้วกับกระต่ายนักฆ่า ซึ่งเป็นตำนานอีกเรื่องในสมัยก่อน และคาดกันว่าอาศัยอยู่ทางตะวันตกของทวีปอเมริกาอีกที ชื่อเสียงของแจ๊คคาโลปนั้นโด่งดังมากในสมัยนั้น จนมีคนมากมายออกมาอ้างตัวว่าเคยพบมัน ทั้งเหล่าคนที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาเอง และคนที่อยู่ในทางยุโรป อย่างในเยอรมันก็มีคนออกมาอ้างว่าเจ้ากระต่ายตัวนี้ยังไม่ได้มีแค่เขากวาง แต่ยังมีเขี้ยวและปีก ส่วนทางสวีเดนก็บอกว่าสัตว์ตัวนี้มีครึ่งหลังเป็นไก่ป่า     ในบางตำนานของแจ๊คคาโลปนั้นมีการระบุไว้ว่าแจ๊คคาโลปนั้นสามารถเลียนเสียงมนุษย์ได้ แถมยังมีเรื่องเล่าบางที่ซึ่งบอกว่านมของมันมีผลเป็นยาปลุกอารมณ์ และเขาของมันก็ยังนำมาทำยาได้อีก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนในสมัยนั้นจะออกล่ากระต่ายตัวดังกล่าวกันเต็มไปหมด อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของแจ๊คคาโลปนั้น เป็นไปได้ว่าแท้จริงแล้วอาจจะเกิดขึ้นจากพี่น้อง Herrick ผู้ซึ่งอาศัยในรัฐไวโอมิงเท่านั้น และไม่ใช่ตำนานที่มีมาแต่โบราณอย่างที่หลายๆ คนเชื่อ เพราะอ้างอิงอ้างอิงจากบันทึกในสมัยก่อน พี่น้อง Herrick เป็นนักล่าที่เปิดร้านสตัฟฟ์สัตว์ และวันหนึ่งในช่วงปี 1930 พวกเขาก็นึกสนุกลองผสมชิ้นส่วนสัตว์หลายๆ ชนิดเข้าด้วยกัน โดยหนึ่งในนั้นคือกระต่ายกับเขากวาง และเกิดเป็นที่มาของตำนานแจ๊คคาโลปไป    …

  • ตอบคำถาม ทำไมสิ่งมีชีวิตยุคแคมเบรียนถึงมีรูปร่างประหลาดๆ มันเกี่ยวข้องกับการวิวัฒนาการ

    ตอบคำถาม ทำไมสิ่งมีชีวิตยุคแคมเบรียนถึงมีรูปร่างประหลาดๆ มันเกี่ยวข้องกับการวิวัฒนาการ

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าบนโลกของเรานั้นมีสัตว์บางชนิดที่รูปร่างหน้าตาประหลาดและน่ากลัวเอามากๆ และยิ่งเราลองย้อนไปในอดีตเท่าไหร่เราก็จะสามารถพบสิ่งมีชีวิตประหลาดๆ ได้มากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในช่วงยุคแคมเบรียน นั่นเพราะหากดูจากการค้นพบฟอสซิลสิ่งมีชีวิตในยุคนี้ เราจะเห็นได้ว่ายุคแคมเบรียนนั้นมีทั้งสัตว์อย่าง Hallucigenia ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เวลาเป็นปีในการหาว่าหัวของมันอยู่ที่ไหนกันแน่ หรือ Collinsium ciliosum ที่รูปร่างของมันราวกับหลุดออกมาจากหนังสยองขวัญเลยไม่มีผิด   Hallucigenia sparsa หนอนมีหนามที่รูปร่างราวกับเป็นเอเลี่ยน   และความที่สัตว์หน้าตาแปลกๆ มักจะมารวมกันอยู่ในยุคเดียวกันนี้เองก็สร้างคำถามให้กับเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดีว่า ทำไมกันสัตว์ในยุคแคมเบรียนจึงมักจะต้องมีรูปร่างแบบนี้ แน่นอนว่าเหตุผลหลักๆ ที่สัตว์บนโลกเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตัวเองไปนั้น แทบจะทั้งหมดมาจากการวิวัฒนาการและความพยายามในการเอาตัวรอด อย่าง Opabinia regalis สัตว์โบราณที่มีตาห้าดวง ก็วิวัฒนาการรูปร่างสุดประหลาดของมันออกมาเพื่อให้ขุดดินหาอาหารได้   Opabinia regalis   ดังนั้นการที่สัตว์แปลกๆ จะไปรวมกันอยู่ในยุคแคมเบรียนก็อาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายกว่าที่คิดก็เป็นได้ อ้างอิงจากคำบอกเล่าของคุณ Javier Ortega-Hernández นักบรรพชีวินวิทยาสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาชีววิทยาสิ่งมีชีวิตและวิวัฒนาการแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยุคแคมเบรียนนั้นนับเป็นยุคแห่งการวิวัฒนาการของสัตว์โบราณเลย นั่นเพราะราวๆ พันล้านปีก่อนยุคแคมเบรียนบนโลกใบนี้จะยังมีแค่สัตว์ตระกูลจุลินทรีย์ในน้ำเท่านั้น ก่อนที่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจะเริ่มเกิดขึ้นมาในช่วงต้นของยุคแคมเบรียน และหลังจากนั้นอีกราวๆ 541 ล้านปี สัตว์ในตระกูลหนอนก็มีการพัฒนากล้ามเนื้อขึ้น และเปลี่ยนแปลงระบบการใช้ชีวิตในยุคนั้นไป   Collinsium ciliosum   สัตว์เหล่านี้สามารถมุดลงไปได้พื้นทะเลได้แล้ว ซึ่งทำให้พวกมันมีทั้งสถานที่หาอาหารใหม่ๆ แถมยังใช้การซ่อนตัวจากผู้ล่า และซุ่มโจมตีเหยื่อได้ง่ายขึ้นในเวลาเดียวกัน และก็เป็นช่วงเวลานี้เองที่เราเรียกกันว่าช่วง Cambrian Explosion ซึ่งทิ้งร่องรอยฟอสซิลไว้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามการวิวัฒนาการในช่วงนี้มักจะออกมาในสภาพที่สุดโต่ง อย่างสัตว์ที่เป็นนักล่า…

  • ย้อนรอย Percy Fawcett ชายผู้หายตัวไป ระหว่างการตามหา “Z” นครทองคำแห่งป่าอเมซอน

    ย้อนรอย Percy Fawcett ชายผู้หายตัวไป ระหว่างการตามหา “Z” นครทองคำแห่งป่าอเมซอน

    เคยได้ยินเรื่องนครลับที่สาบสูญไปอย่าง “Z” (The Lost City of Z) กันไหม สำหรับหลายๆ คนแล้ว ชื่อนี้คงเป็นที่รู้จักกันในฐานะของภาพยนตร์เมื่อปี 2016 ว่าแต่เชื่อไหมว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ มีต้นแบบมาจากเหตุการณ์จริงในอดีต โดยนี่เป็นเรื่องราวของ Percy Harrison Fawcett นักสำรวจผู้กำเนิดในอังกฤษเมื่อปี 1867 และกลายเป็นหนึ่งในตำนานนักเดินป่าที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของประเทศ ที่เชื่อกันว่าเก่งมากจนมีชีวิตรอดในป่าเป็นเวลานานโดยใช้แค่เข็มทิศกับมีดพร้า แถมยังเป็นเพื่อนกับชนพื้นเมืองในป่าได้ ทั้งๆที่พวกเขาไม่เคยพบคนขาวมาก่อน   Percy Harrison Fawcett ในปี 1911   แน่นอนว่าด้วยอาชีพแล้ว Percy ย่อมเป็นคนที่รักในการสำรวจอย่างมาก โดยที่เขาจะชอบพื้นที่ในอเมริกาใต้เป็นพิเศษ เพราะเขาคิดว่าที่นั่นน่าจะมีอารยธรรมโบราณซ่อนอยู่เต็มไปหมด Percy กล่าวถึงนครลับที่สาบสูญไปซึ่งเขาเรียกว่า “Z” ครั้งแรกในปี 1912 ไม่นานหลังจากที่โลกมีการค้นพบเมืองอินคาอย่างมาชูปิกชู (ในปี 1911) โดยเขาอ้างว่านครลับ Z น่าจะถูกฝังอยู่ลึกเข้าไปในป่าแถบประเทศชิลี โดยที่มีถนนทำจากเงินและหลังคาที่ทำจากทอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 15-16 ชาวยุโรปก็มีความเชื่อในหมู่นักสำรวจว่า อาณาจักรทั้งหมดในป่าทวีปอเมริกาใต้นั้นล้วนแต่เป็นทองคำทั้งสิ้น     อย่างไรก็ตามในปี 1920 Percy ก็พบกับเอกสารจากนักเดินทางชาวโปรตุเกสในปี…

  • เปิดตำนานเกาะ “Hy-Brasil” สถานที่ในเรื่องเล่านักเดินเรือ ที่ว่ากันว่าซ่อนดินแดนมหัศจรรย์ไว้

    เปิดตำนานเกาะ “Hy-Brasil” สถานที่ในเรื่องเล่านักเดินเรือ ที่ว่ากันว่าซ่อนดินแดนมหัศจรรย์ไว้

    เมื่อพูดถึงเมืองในตำนานที่หายสาบสูญไปของโลก เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงจะนึกถึงมหานครอย่างแอตแลนติส ที่ถูกกล่าวถึงโดยปราชญ์ของชาวกรีกโบราณขึ้นมาเป็นอย่างแรกๆ ว่าเคยได้ยินเรื่องราวของเกาะที่ชื่อ “Hy-Brasil” กันมาก่อนไหม เพราะหากพูดถึงเกาะในตำนานที่มีชื่อเสียงแล้ว เกาะแห่งนี้เองก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจพอใช้ได้เลย     เกาะ Hy-Brasil หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “Brasil” นั้นเชื่อกันว่าตั้งอยู่ทางตะวันตกของไอร์แลนด์ และได้ชื่อมาจากสีย้อมสีแดงสด ที่ว่ากันว่าหาได้จากเกาะแห่งนี้ หรือไม่ก็คำว่า “Breas” ในภาษาไอริสที่แปลว่าโชคดี เกาะแห่งนี้ว่ากันว่าโผล่ออกมาในแผนที่ครั้งแรกในช่วงยุคกลาง (แถวๆ ปี 1325) และเป็นที่มาของตำนานนักเดินเรือที่มากมายหลายในยุคนั้น ซึ่งโดยมากแล้วเชื่อกันว่านี่เป็นเกาะของเหล่าผู้คนที่มีอารยธรรมนำสมัย และร่ำรวยสุดๆ     ตามปกติเกาะแห่งนี้จะถูกบดบังจากสายตามนุษย์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นจากการจมอยู่ใต้ทะเล หรือมีหมอกหนาปกคลุมอยู่ตลอดและจะแสดงตัวออกมา 7 ปีครั้งเท่านั้น แต่หากใครก็ตามสามารถขึ้นไปบนเกาะได้ พวกเขาก็จะกลับมาพร้อมกับความร่ำรวย หรือเรื่องเล่าของดินแดนมหัศจรรย์ ว่ากันว่าคนที่มีโอกาสเห็นเกาะที่ว่านี้บ่อยที่สุดจะเป็นนักเขียนชื่อ T. J. Westropp ผู้ซึ่งอ้างตัวว่าเห็นเกาะนี้มาแล้วถึงสามครั้ง แถมในครั้งที่สามในปี 1872 เขายังพาแม่และเพื่อนๆ อีกหลายคนไปพบเกาะแห่งนี้ด้วยกันอีกด้วย แม้ว่านี่จะเป็นเพียงเรื่องเล่าก็ตาม     แน่นอนว่าตั้งแต่ในอดีตมีคนจำนวนมากที่พยายามหาเกาะแห่งนี้ และแม้กระทั่งในปัจจุบันเองก็มีนักธรณีวิทยาและนักโบราณคดีหลายๆ คนอยู่ที่พยายามหาคำอธิบายว่าแท้จริงแล้วตัวตนจริงๆ ของเกาะนี้คืออะไรกันแน่ สถานที่ซึ่งน่าสนใจที่สุดที่อาจจะเคยเป็นที่ตั้งของ Hy-Brasil นั้น…

  • 21 ภาพทหารสหภาพแห่งสงครามกลางเมืองอเมริกา เหล่าผู้ที่สู้ปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ

    21 ภาพทหารสหภาพแห่งสงครามกลางเมืองอเมริกา เหล่าผู้ที่สู้ปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ

    สงครามกลางเมืองอเมริกา หรือ American Civil War เป็นสงครามสงครามกลางเมือง ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 1861-1865 ระหว่างฝ่ายสหภาพหรือฝ่ายเหนือ ซึ่งนำโดยอับราฮัม ลินคอล์น กับฝ่ายสมาพันธรัฐหรือฝ่ายใต้ ซึ่งนำโดยเจฟเฟอร์สัน เดวิส ภายใต้ความขัดแย้งเกี่ยวกับการใช้งานทาส สงครามในครั้งนั้นนับว่าเป็นสงครามครั้งสำคัญของสหรัฐอเมริกาเลยก็ไม่ผิดนัก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการเก็บภาพเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้เอาไว้เป็นจำนวนมาก และในวันนี้เองเราก็จะไปชมภาพที่ถูกถ่ายมาในช่วงสงครามครั้งนี้กัน โดยเน้นไปที่ภาพของตัวทหารแต่ละคนของฝ่ายสหภาพในช่วงนั้น ไม่ใช่ภาพของตัวสงครามเองอย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆ   เริ่มกันจากภาพของทหารฝั่งสหภาพสองคนที่ถือซิการ์ให้กันและกัน   เหล่าทหารไม่ปรากฏชื่อสามคน ที่ถ่ายรูปกับหมวกและปืนคู่ใจ   พลทหาร  Hiram J และ พลทหาร William H จากตระกูล Gripman สองพี่น้องที่เข้าร่วมสงครามกับฝั่งสหภาพ   สิบโท Alvin B. Williams กับปืนประจำตัวที่มีการติดดาบปลายปืนเอาไว้   สิบเอก Edwin Chamberlain กับการเล่นกีตาร์ในเครื่องแบบ   เหล่าทหารห้าคนของฝั่งสหภาพที่ถูกถ่ายไว้หน้าค่ายทหาร   John E. Cummins จากกองทหารราบโอไฮโอ 185 ถ่ายภาพคู่กับม้า   พลทหาร Albert H. Davis ในสภาพแบกอุปกรณ์ทหารครบชุด   พลทหาร David…

  • นักวิทย์วิเคราะห์กระดูกหมูใกล้ “สโตนเฮนจ์” อาจถูกใช้จัดงานฉลองใหญ่มาก่อน

    นักวิทย์วิเคราะห์กระดูกหมูใกล้ “สโตนเฮนจ์” อาจถูกใช้จัดงานฉลองใหญ่มาก่อน

    สโตนเฮนจ์เป็นหนึ่งในโบราณสถานหินขนาดยักษ์ ที่ได้ชื่อว่ามีชื่อเสียงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่บริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ และมีอายุอย่างต่ำถึง 4,000 ปี     ตั้งแต่ในอดีตมาเหล่านักโบราณคดีได้ทำการถกเถียงและตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับการใช้งานของโบราณสถานแห่งนี้กันมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมอะไรสักอย่าง จนกระทั่งเมื่อล่าสุดนี้เองทีมนักโบราณคดีก็ได้ทำการค้นพบกระดูกของหมูจำนวนราวๆ 131 ตัว ถูกฝังเอาไว้ในพื้นที่ใกล้เคียงกับสโตนเฮนจ์ และทำมาซึ่งทฤษฎีที่ว่าโบราณสถานแห่งนี้ในสมัยก่อนอาจจะเคยถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานฉลองขนาดใหญ่ก็ได้ นั่นเพราะจากการตรวจสอบกระดูกหมูที่พบ นักวิทยาศาสตร์ก็ทราบว่ากระดูกเหล่านี้ไม่เพียงแต่มาจากช่วง 2,800-2,400 ปีก่อนคริสตกาลเท่านั้น แต่พวกมันยังมีอาหารการกินที่ต่างกันมาก ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีที่แสดงให้เห็นว่าหมูเหล่านี้ถูกเคยถูกเลี้ยงในสถานที่ที่ต่างกัน และถูกพามารวมกันที่ใกล้ๆ สโตนเฮนจ์เพื่อใช้ในงานฉลอง     จากรายงานการทดลองในบรรดาหมูที่พบมีอย่างน้อยๆ 5 ตัวที่เดินทางมาจากสกอตแลนด์และอีกหลายๆ ส่วนก็น่าจะเดินทางมาจากเวลส์ อ้างอิงจากการพบ สตรอนเชียม-87 สารที่พบบ่อยๆ ในกระดูกสัตว์ที่มาจากพื้นที่เหล่านี้ นี่นับว่าเป็นการเดินทางที่ถือว่าค่อนข้างไกล และต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในสมัยก่อนเลย เพราะหมูนั้นไม่ใช่สัตว์ที่เหมาะสมกับการเดินไกลๆ ด้วยเท้าแบบในสมัยก่อน นั่นหมายความว่าไม่ว่างานฉลองที่จัดขึ้นที่สโตนเฮนจ์นั้น น่าจะต้องมีความสำคัญเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงสามารถทำให้คนยอมลำบากรวบรวมหมูมากขนาดนี้มาใช้     โดย Dr Richard Madgwick แห่งสำนักโบราณคดีและศาสนาจากมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ หนึ่งในทีมวิจัยเล่าว่าการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงระดับความซับซ้อนของสังคมในสมัยในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และหากการนำหมูเหล่านี้มาที่สโตนเฮนจ์จะมีเหตุผลเพื่อใช้ทำอาหารเลี้ยงแขกในงานจริงๆ งานฉลองที่เกิดขึ้นนั้น ก็อาจจะไม่ใช่แค่งานฉลองสำคัญเฉยๆ แต่อาจจะเป็นงานฉลองที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดครั้งหนึ่งของสมัยนั้นเลย   ที่มา allthatsinteresting, sciencemag และ iflscience

  • นักวิทย์พบ เซลล์แมมมอธ “คืนชีพ” ชั่วคราว และพยายามแบ่งตัว หลังฉีดเข้าไปในไข่ของหนู

    นักวิทย์พบ เซลล์แมมมอธ “คืนชีพ” ชั่วคราว และพยายามแบ่งตัว หลังฉีดเข้าไปในไข่ของหนู

    ย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 2011 ที่ไซบีเรีย นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการค้นพบมัมมี่ของช้างแมมมอธอายุกว่า 28,000 ปีตัวหนึ่ง ถูกฝังอยู่ในชั้นดินที่เป็นน้ำแข็งคงตัวหรือ “เพอร์มาฟรอส” และมีสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีการพบมา     แน่นอนว่าตั้งแต่วันนั้นมา เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้พยายามใช้ประโยชน์จากความสมบูรณ์ของมัมมี่ตัวนี้ในการทดลองต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงความพยายามในการคืนชีพแมมมอธด้วยการโคลนนิ่ง และแล้วหลังจากที่เวลาผ่านไปเกือบ 8 ปี ในที่สุดเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมารายงานความคืบหน้าของการทดลองที่พวกเขาทำจนได้ เพราะเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมารายงานการ “คืนชีพ” ของเซลล์แมมมอธ หลังจากที่มีการปลูกถ่ายลงไปในไข่ของหนู     นี่เป็นการทดลองที่จัดทำขึ้นโดยการนำนิวเคลียสที่มีความสมบูรณ์ค่อนข้างสูงของช้างแมมมอธสายพันธุ์ “Mammuthus primigenius” ไปปลูกถ่ายไว้ในไข่ของหนูทดลองเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเซลล์ดังกล่าว พวกเขาพบว่าการกระทำนี้จะทำให้โครโมโซมของช้างแมมมอธเกิดการปฏิกิริยาขึ้น และมีร่องรอยของการเริ่มต้นกระบวนการแบ่งตัวให้เห็น ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 28,000 ปี เซลล์ก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมาทำงานได้อีกครั้ง     น่าเสียดายกระบวนการแบ่งตัวของเซลล์ช้างแมมมอธในไข่หนูกลับหยุดการทำงานลงกลางคันก่อนที่จะมีการแบ่งตัวเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งเป็นไปได้ว่ามีสาเหตุมาจากความเสียหายของเซลล์ที่นำมาใช้ ทีมนักวิทยาศาสตร์บอกว่าผลการทดลองที่ออกมานั้นทำให้พวกเขามั่นใจว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันยังไม่มีความก้าวหน้ามากพอที่จะโคลนนิ่งช้างแมมมอธได้ (อย่างน้อยก็ด้วยเซลล์จากมัมมี่ที่พบ) เพราะแม้ว่าพวกเขาจะใช้เซลล์ที่มีสภาพดีที่สุดในการทดลอง แต่ผลที่ออกมาก็ยังคงจบลงด้วยความล้มเหลวอยู่ดี     ถึงอย่างนั้นก็ตามตัวการทดลองในครั้งนี้เองก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ เพราะ Rebekah Rogers ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านชีวสารสนเทศของมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา บอกว่าแค่การที่นักวิทยาศาสตร์สามารถฉีดเซลล์ของช้างแมมมอธลงไปในไข่ของหนูได้ก็เป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์อยู่แล้ว เพราะหากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้เป็นไปตามที่อ้างจริงๆ…

  • 20 ภาพหาดูยาก แลนด์มาร์กต่างๆ ที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกระหว่างที่ ‘กำลังก่อสร้าง’

    20 ภาพหาดูยาก แลนด์มาร์กต่างๆ ที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกระหว่างที่ ‘กำลังก่อสร้าง’

    บนโลกนี้มีสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์มากมายเกิดขึ้นมาตั้งแต่ในอดีตเช่น มหาพีระมิดแห่งกีซา, โคลอสเซียม หรือกำแพงเมืองจีน ซึ่งสถานที่เหล่านี้ก็ทำให้คนรุ่นหลังสงสัยว่าถูกก่อสร้างขึ้นมาได้อย่างไร เพราะมันช่างอลังการงานสร้างเหลือเกิน แต่หลังจากที่มนุษย์มีกล้องถ่ายภาพใช้งานกันอย่างแพร่หลายแล้ว ความสงสัยเหล่านั้นก็หมดไป เพราะสถานที่ชื่อดังหลายที่ ต่างก็ถูกเก็บภาพในระหว่างก่อสร้างเอาไว้เพื่อ ส่งต่อให้คนรุ่นหลังได้ดูชม ในวันนี้เราจะมานำเสนอรูปภาพ 20 สถานที่ ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ก่อนที่จะกลายมาเป็นสถานที่ขึ้นชื่อในทุกวันนี้ จะมีที่ไหนบ้างไปดูกัน!   1. สะพานโกลเดนเกต ณ เมืองซานฟราสซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา   2. หอไอเฟล ณ กรุงปารีส, ฝรั่งเศส   3. เทพีเสรีภาพ ณ มหานครนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา   4. อนุสาวรีย์อับราฮัม ลินคอล์น ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี, สหรัฐอเมริกา   5. เขื่อนฮูเวอร์ ตั้งอยู่บนแม่น้ำโคโลราโด ณ ชายแดนระหว่างรัฐเนวาดา และรัฐอริโซนา, สหรัฐอเมริกา   6. อุโมงค์ใต้ช่องแคบอังกฤษ…

  • “ซิเกอร์ ไอดอล” รูปสลักที่เก่าแก่ที่สุดในโลก กับการใช้งานยังเป็นที่พูดคุยแม้ในปัจจุบัน

    “ซิเกอร์ ไอดอล” รูปสลักที่เก่าแก่ที่สุดในโลก กับการใช้งานยังเป็นที่พูดคุยแม้ในปัจจุบัน

    “ซิเกอร์ ไอดอล” (Shigir Idol) นี่คือชื่อของรูปสลักไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งถูกพบเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1894 ที่รัสเซีย เชื่อกันว่ามันถูกสร้างขึ้นเมื่อราวๆ 11,600 ปีก่อน และทำขึ้นจากต้นไม้ที่มีอายุกว่า 159 ปี     ซิเกอร์ ไอดอลที่เราพบสูงราวๆ 2.8 เมตร แต่ว่ากันว่าเดิมทีแล้วอาจจะสูงกว่า 5.3 เมตรมาก่อนเลย ตั้งแต่ที่มีการพบซิเกอร์ ไอดอลเหล่านักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีต่างก็พยายาม หาวิธีใช้งานของเจ้ารูปสลักที่พบนี้ ตั้งแต่การใช้เป็นอุปกรณ์ในพิธีกรรมทางศาสนา เป็นตัวแทนของสิ่งชั่วร้ายอย่างปีศาจ และทฤษฎีอื่นๆ อีกมากมาย     แน่นอนว่าทฤษฎีที่ได้รับความนิยมที่สุดของซิเกอร์ ไอดอลนั้นย่อมไม่พ้นการใช้เป็นเสาโทเทม แต่อ้างอิงจากงานวิจัยใหม่ล่าสุด ดูเหมือนว่ารูปสลักนี้ไม่น่าจะมีการใช้งานแบบเสาโทเทมเท่าไหร่ นั่นเพราะส่วนปลายของมันไม่ได้มีร่องรอยว่าถูกฝังไว้ในดินเลย ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ซิเกอร์ ไอดอลน่าจะถูกพาดไว้กับต้นไม้หรือหิน โดยหันหน้าให้กับทะเลสาบมากกว่าที่จะฝังลงไปในดินโดยตรงอย่างที่เราคิด     นอกจากนี้ดูเหมือนว่าจะมีแนวคิดที่ว่าซิเกอร์ ไอดอลเคยถูกใช้เป็นแพในการข้ามทะเลสาบมาก่อนด้วย เนื่องจากตัวรูปสลักมีร่องรอยการอยู่ในน้ำมาเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตามนี่น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะรูปสลักเคยล้มลงจากที่พาดและจมอยู่ในน้ำอยู่ช่วงหนึ่งมากกว่า     ส่วนเรื่องซิเกอร์ ไอดอลอาจจะเป็นตัวแทนของปีศาจร้ายในสมัยก่อนนั้น Dr Mikhail Zhilin…

  • ย้อนรอย “Emanuela Orlandi” เด็กสาวที่หายตัวไปจากวาติกัน ปริศนาแห่งนครรัฐศักดิ์สิทธิ์

    ย้อนรอย “Emanuela Orlandi” เด็กสาวที่หายตัวไปจากวาติกัน ปริศนาแห่งนครรัฐศักดิ์สิทธิ์

    ในนครรัฐวาติกัน เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1983 ได้มีเหตุการณ์ลึกลับเกิดขึ้น หลังลูกสาวของข้าราชการในนครรัฐ เกิดหายตัวไปอย่างลึกลับ หลังจากที่มีการพบเห็นครั้งสุดท้ายที่กรุงโรม ชื่อของเธอคือ Emanuela Orlandi เด็กสาววัย 15 ปี ผู้ซึ่งหายตัวไปในระหว่างเดินทางกลับบ้านในนครรัฐวาติกัน หลังจากที่เธอไปเรียนดนตรีในพื้นที่ใกล้เคียง     นี่อาจจะดูเหมือนเป็นคดีคนหายที่เห็นกันได้บ่อยๆ ในโลก แต่การที่เด็กสาวหายตัวไปในวาติกัน ซึ่งมีพื้นที่ไม่ถึงหนึ่งตารางกิโลเมตร และมีประชาชนอยู่แค่พันกว่าคนก็ทำให้การหายไปของเด็กสาวคนนี้กลายเป็นเรื่องที่น่าพิศวงมากๆ นั่นเพราะไม่ว่าจะตามหากันขนาดไหน ก็ไม่มีใครพบตัวหรือศพของเด็กสาวที่หายไปเลย แถมคดีที่เกิดขึ้นเองก็ยังคงมีการสืบคดีกันมาจนถึงในปัจจุบันด้วย     ตั้งแต่ที่เรื่องราวของเด็กสาวเป็นที่รับรู้กันไปทั่วโลกก็มีทฤษฎีมากมายที่ออกมาอธิบายการหายตัวไปของเธอ ตั้งแต่เรื่องธรรมดาๆ อย่างเด็กสาวหนีไปเอง ไปจนถึงทฤษฎีประหลาดๆ อย่างเด็กสาวถูกลักพาตัวไปโดยมาเฟียที่เกี่ยวข้องกับพ่อของเธอ หรือโดนจับตัวไปโดยกลุ่มพวกใคร่เด็กภายในวาติกันเอง และเรื่องที่แปลกที่สุดของคดีนี้ ก็ได้เกิดขึ้นในปี 2018 ที่ผ่านมานี้เอง เมื่อมีคนส่งจดหมายปริศนาไปให้ที่บ้านของเด็กสาว โดยในจดหมายมีรูปของสุสานแห่งหนึ่งอยู่ พร้อมข้อความที่ว่า “มองไปที่ที่นางฟ้าชี้”     แน่นอนว่าข้อความในจดหมายนี้ทำให้สายสืบออกดำเนินการตามหาสุสานและรูปปั้นที่ถูกกล่าวถึงทันที ซึ่งเมื่อหาสุสานในภาพเจอทางตำรวจก็พบว่ารูปปั้นในที่แห่งนั้นถือแผ่นจารึกคำว่า “หลับอย่างสงบ” ในภาษาละติน และชี้ไปที่หลุมศพหลุมหนึ่ง แต่นอกจากทางตำรวจจะไม่พบศพที่น่าจะเป็นของ Emanuela Orlandi ในพื้นที่แล้ว พวกเขายังพบว่าหลุมศพที่นางฟ้าชี้ไปยังมีร่องรอยถูกเปิดมาก่อนแล้วอย่างน้อยๆ หนึ่งครั้งอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีใครบางคนที่พยายามจูงจมูกการสืบสวนอยู่อย่างเห็นได้ชัด…

  • นักโบราณคดีสกอตแลนด์ พบหลักฐานอารามเก่าแก่ ที่ถูกทำลายโดยไวกิ้งเมื่อพันกว่าปีก่อน

    นักโบราณคดีสกอตแลนด์ พบหลักฐานอารามเก่าแก่ ที่ถูกทำลายโดยไวกิ้งเมื่อพันกว่าปีก่อน

    ย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 7 องค์หญิง Aebbe แห่ง Coldingham ของประเทศสกอตแลนด์ ได้ทำการสร้างอารามแห่งหนึ่งขึ้นในทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ หลังจากที่เจ้าตัวเปลี่ยนศาสนามาเป็นศาสนาคริสต์   องค์หญิง Aebbe แห่ง Coldingham หนึ่งในบุคคลสำคัญของศาสนาคริสต์แห่งสกอตแลนด์   ตามปกติผลงานเช่นนี้น่าจะเป็นสิ่งที่หลงเหลือมาตามประวัติศาสตร์ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวโบราณ แต่แล้วอารามขององค์หญิง Aebbe กลับถูกทำลายไปในปี ค.ศ. 870 เสียก่อน จากการรุกรานของชาวไวกิ้ง สถานที่ตั้งจริงๆ ของอารามดังกล่าวค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลาหลังจากนั้น ทำให้เหล่านักโบราณคดีที่พยายามหาหลักฐานของโบราณสถานแห่งนี้ต้องพบกับความลำบากเป็นอย่างมาก แต่แล้วเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา กลุ่มนักโบราณคดีก็ได้พบกับข่าวดีจนได้ เมื่อในที่สุดพวกเขาก็พบร่องรอยอารามขององค์หญิง Aebbe เข้าจนได้ หลังจากที่ตามหากันมาอย่างยาวนาน     โดยนี่เป็นรอยรอยของ หนึ่งในโครงสร้างการป้องกันที่อยู่อาศัยโบราณซึ่งเรียกกันว่า “Vallum” หรือหลุมขุดที่จะอยู่หลังกำแพงเมืองอีกที แม้ว่าตามปกติ Vallum จะถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบป้องกันเมือง แต่ในกรณีของสถานที่แห่งนี้ ตัวหลุมมีขนาดค่อนข้างตื้น ดังนั้นเหล่านักโบราณคดีจึงเชื่อกันว่าหลุมเหล่านี้น่าจะใช้งานเป็นสัญลักษณ์เพื่อบอกว่าพื้นที่ต่อจากนี้ไป จะเป็นพื้นที่ (หมู่บ้าน) ศักดิ์สิทธิ์มากกว่า     นอกจากนี้ห่างออกไปจากตัวหลุมไม่ไกลนัก ทีมนักสำรวจยังมีการค้นพบโครงกระดูกของสัตว์อย่างวัว มา หมู แพะ แกะ ไก่บ้าน และกวางแดงอีกเป็นจำนวนมากด้วย ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าในอดีตที่แห่งนี้เคยมีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากมาก่อน แถมจากการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีโครงกระดูกเหล่านี้ยังมาจากช่วงปี…

  • พบสมอเรือเก่าแก่ ที่ประเทศอังกฤษ เป็นของเรือโบราณที่จมไปพร้อมทอง 45 ตัน

    พบสมอเรือเก่าแก่ ที่ประเทศอังกฤษ เป็นของเรือโบราณที่จมไปพร้อมทอง 45 ตัน

    เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ทะเลห่างออกไปจากชายฝั่งประเทศอังกฤษ ชาวประมงในพื้นที่ได้ทำการค้นพบสมอเรือชิ้นหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของเรือโบราณจากศตวรรษที่ 17     นี่อาจจะดูเป็นข่าวการค้นพบธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่จากการตรวจสอบที่มาของสมอที่พบแล้ว ทีมนักสำรวจก็พบว่ามันเป็นของเรือ “Merchant Royal” เรือสินค้าที่ขนทองคำหนักกว่า 45,000 กิโลกรัม และแท่งเงินแท้อีก 400 แท่งเอาไว้ เรือ Merchant Royal ถูกบันทึกไว้ว่าจมไปในปี 1641 เนื่องจากต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ไม่ดีในระหว่างที่เดินทางกลับอังกฤษจากประเทศเม็กซิโก และได้รับฉายาจากบรรดานักล่าสมบัติว่า “เอล โดราโด (นครทองคำ) แห่งท้องทะเล”     Mark Milburn นักล่าสมบัติซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งศูนย์โบราณคดีการเดินเรือคอร์นวอลล์ กล่าวว่ามูลค่าของสินค้าบนเรือ Merchant Royal นั้นอาจมีค่ามากถึง 41,000 ล้านบาท ดังนั้นการค้นพบสมอของเรือลำดังกล่าวจึงถือเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับนัดล่าสมบัติ เพราะข้อมูลที่พวกเขาได้จากการตรวจสอบสมอชิ้นนี้จะสามารถช่วยในการระบุตำแหน่งของขุมทรัพย์ที่หายไปได้นั่นเอง   สมอเรือที่พบถูกลากติดมากับแหของเรือหาปลาในพื้นที่   ปัญหาคือแม้ว่าจะมีการค้นพบตำแหน่งของเรือดังกล่าวแล้ว แต่พื้นที่ที่เรือจมกลับมีความลึกถึง 90 เมตร ซึ่งไม่ใช่ว่าใครก็สามารถดำลงไปได้…

  • นักโบราณคดีเผยไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ ตัวเท่าจิงโจ้แคระ หลังพบฟอสซิลในออสเตรเลีย

    นักโบราณคดีเผยไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ ตัวเท่าจิงโจ้แคระ หลังพบฟอสซิลในออสเตรเลีย

    เมื่อพูดถึงสัตว์อย่างไดโนเสาร์ เชื่อว่าภาพในหัวของหลายๆ คนก็คงจะเป็นสัตว์ที่มีขนาดตัวใหญ่โตน่าเกรงขาม อย่างไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ ขึ้นมาเป็นอย่างแรก แต่เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงทราบกันดีว่าไดโนเสาร์นั้นมีหลายขนาด และบนโลกนี้เองก็มีไดโนเสาร์ขนาดเล็กอยู่เช่นเดียวกัน และแล้วเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักโบราณคดีก็ได้รายงานการค้นพบไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่อีกครั้ง โดยในครั้งนี้เจ้าไดโนเสาร์ดังกล่าวมีขนาดตัวใกล้เคียงกับ จิงโจ้แคระ (Wallaby) เท่านั้น     โดยเจ้าไดโนเสาร์ขนาดเท่าเล็กเหล่านี้ ถูกพบในประเทศที่มีสัตว์ประจำชาติเป็นจิงโจ้อย่างออสเตรเลียแบบพอดิบพอดี ในระหว่างการขุดค้นหินอายุ 125 ล้านปีที่รัฐวิกตอเรีย และเป็นชิ้นส่วนขากรรไกรจำนวนห้าชิ้น พวกมันได้รับชื่อว่า “Galleonosaurus dorisae” และคาดว่าเป็นไดโนเสาร์เดินสองขาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ระหว่างออสเตรเลียกับแอนตาร์กติกา ในช่วงยุคครีเทเชียส     Matthew Herne แห่งมหาวิทยาลัยนิวอิงแลนด์ หนึ่งในผู้นำการจัดทำรายงานบอกว่า ไดโนเสาร์ที่พบนั้นเป็นไดโนเสาร์กินพืช ซึ่งอยู่ในตระกูลไดโนเสาร์ปากเป็ด หรือ “Ornithopods” และมีสุดเด่นอยู่ที่กำลังขากับความว่องไวในการวิ่ง     จากข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์พบ ไดโนเสาร์เหล่านี้น่าจะเป็นสายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับ ไดโนเสาร์ปากเป็ดที่พบในปาตาโกเนีย ภูมิภาคที่ตั้งอยู่ปลายใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศอาร์เจนตินาและชิลี เนื่องจากในสมัยก่อนพื้นที่เหล่านี้เคยอยู่ใกล้กันในฐานะผืนแผ่นดินกอนด์วานานั่นเอง     อันที่จริงแล้วฟอสซิลของ Galleonosaurus dorisae ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน…

  • ย้อนรอยเทพีคบเพลิง “Columbia Pictures” กับแรงบันดาลใจและนางแบบที่น้อยคนนักจะรู้จัก

    ย้อนรอยเทพีคบเพลิง “Columbia Pictures” กับแรงบันดาลใจและนางแบบที่น้อยคนนักจะรู้จัก

    รูปของหญิงสาวชุดขาวผู้ถือคบเพลิงหรือ “The Columbia Pictures Torch Lady” นั้น จะบอกว่าเป็นหนึ่งในโลโก้บริษัทภาพยนตร์ที่เรารู้จักกันดีที่สุดเลยก็คงไม่ผิดนัก เพราะนี่เป็นโลโก้ที่อยู่คู่กับวงการภาพยนตร์มาอย่างยาวนานกว่า 25 ปีเลยทีเดียว     ตั้งแต่ที่พี่น้องแจ็กและแฮร์รี คอห์น และโจ แบรนดต์ เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก CBC Film Sales Corporation มาเป็น Columbia Pictures พวกเขาก็มีการเปลี่ยนโลโก้ของบริษัทมาบ่อยครั้ง ตั้งแต่ทหารโรมันหญิงในปี 1924 ผู้หญิงห่มธงในปี 1928 และผู้หญิงสวมชุดสตอลา (เครื่องแต่งกายของหญิงโรมันโบราณ) ในช่วงเวลาหลังจากนั้น อย่างไรก็ตามภาพของหญิงสาวถือคบเพลิงที่เรารู้จักกันนั้น ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในปี 1992 โดยมีต้นแบบมาจาก “Lady Columbia” หญิงสาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโลกใบใหม่ และการไล่ตามอิสรภาพซึ่งมักพบอยู่บนโปสเตอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง     แต่ Michael Deas ผู้เป็นคนออกแบบโลโก้กลัวว่าการใช้ Lady Columbia เลยอาจจะทำให้ผลงานที่ออกมามีปัญหาด้านลิขสิทธิ์ได้ ดังนั้นแทนที่จะให้หญิงสาวที่ออกมาสวมธงชาติสหรัฐเหมือนในต้นฉบับพวกเขาจึงให้หญิงสาวสวมชุดขาวและมีผ้าคลุมไหล่ และมีโทนสีภาพเป็นขาวน้ำเงินส้มแทน ภาพชุดแรกๆ ของเทพีคบเพลิงคนนี้ถูกเก็บภาพไว้โดยตากล้องชื่อ Kathy Anderson และมีนางแบบที่ถูกทาบทามตัวมาแบบงงๆ ชื่อ Jenny Joseph…

  • พบ “LLSVP” ภูเขายักษ์สองลูกใต้โลก ที่กว้างเท่าทวีปและสูงกว่าเขาเอเวอร์เรส 100 เท่า

    พบ “LLSVP” ภูเขายักษ์สองลูกใต้โลก ที่กว้างเท่าทวีปและสูงกว่าเขาเอเวอร์เรส 100 เท่า

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันอยู่แล้วว่าโลกของเรานั้นประกอบไปด้วยชั้นโลกหลายชั้น และชั้นโลกเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่สำรวจได้ยากมาก แม้ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน นั่นทำให้ที่ผ่านๆ มาเราแทบจะบอกไม่ได้เลยว่าในพื้นที่ระหว่างชั้นโลกเรานั้นมีอะไรอยู่กันแน่ เว้นก็แต่เรื่องหนึ่ง คือที่ใต้โลกของเรานั้นมีภูเขาขนาดใหญ่เท่าทวีปซ่อนอยู่ถึงสองแห่งนั่นเอง     เจ้าภูเขาเหล่านี้เป็นกลุ่มหินร้อนที่ถูกเรียกกันว่า “Large Low Shear Velocity Province” หรือ “LLSVP” เนื่องจาก เวลาคลื่นแผ่นดินไหวเคลื่อนผ่านพื้นที่นี้ การสั่นสะเทือนจะเคลื่อนที่ช้าลงเป็นอย่างมาก LLSVP ส่วนที่หนึ่งนั้นตั้งอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนอีกส่วนหนึ่งนั้นตั้งอยู่ที่แอฟริกาและบางส่วนของมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งหากนำมาตั้งบนพื้นโลกมันจะสูงกว่าภูเขาเอเวอร์เรสถึง 100 เท่า ซึ่งมากพอที่จะทำให้สถานีอวกาศอย่าง ISS จำเป็นต้องบินอ้อมมันเลย     ภูเขาใต้ดินนี้ถูกพบครั้งแรกตั้งแต่ในช่วงปี 1970 ถึงอย่างนั้นในปัจจุบันเราก็ยังแทบไม่ทราบอะไรนอกจากการมีอยู่และขนาดที่ใหญ่โตของมันอยู่ดี และเนื่องจากการที่มันฝังอยู่ลึกมาก และมีขนาดใหญ่โตจนการสำรวจแทบจะเป็นไปไม่ได้ อ้างอิงจากแหล่งข้อสันนิษฐานของนักศึกษาปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เป็นไปได้ว่าเจ้า LLSVP จะเกิดจากสารความร้อนสูงที่ระเบิดออกมาจากแกนโลก และเย็นลงในชั้นเนื้อโลกจนมีสภาพแบบในปัจจุบัน ถึงอย่างนั้นก็ตามการกำเนิดของมันก็ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องมีการพิสูจน์กันต่อไปอยู่ดี     แต่แม้ว่าเรื่องราวของ LLSVP จะยังคงเป็นเรื่องที่ดูลึกลับสำหรับมนุษย์ มันก็ใช่ว่าเราจะไม่มีวิธีใช้ประโยชน์จากมันเลยเช่นกัน เพราะอ้างอิงจากวารสาร Nature รูปร่างของ LLSVP นั้นอาจสามารถนำมาอ้างอิงในการทำแผนที่หาเหมืองเพชรได้นั่นเอง   ที่มา eos, nature และ livescience

  • พบอาวุธโบราณของสุลต่านทิพัล ถูกเก็บไว้ในห้องใต้หลังคาที่อังกฤษ เชื่ออาจมีมูลค่าเป็นล้าน

    พบอาวุธโบราณของสุลต่านทิพัล ถูกเก็บไว้ในห้องใต้หลังคาที่อังกฤษ เชื่ออาจมีมูลค่าเป็นล้าน

    ย้อนกลับไปในปี 1799 ในช่วงปลายสงครามระหว่างบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษกับสุลต่านทิพัลแห่งอาณาจักรมัยซอร์ ในเวลานั้นทางสุลต่านเริ่มเสียเปรียบเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมีการใช้อาวุธสุดล้ำสมัยอย่างจรวดมิสโซเรียนก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วตัวของสุลต่านทิพัลเองแม้ว่าจะสู้อย่างสมศักดิ์ศรี แต่ก็ต้องเสียชีวิตไป โดยอาวุธคู่กายของเขาก็ถูกเก็บไว้โดยนายพลชาวอังกฤษชื่อ Thomas Hart ที่เป็นศัตรู และถูกหลงลืมไปในระหว่างการส่งมอบในตระกูลผ่านยุคสมัย     แต่แล้วหลังจากวันนั้น 220 ปี ในที่สุดอาวุธของสุลต่านทิพัลก็ถูกค้นพบอีกครั้ง ในสภาพถูกห่อเอาไว้ในหนังสือพิมพ์ และเก็บอย่างลวกๆ ในห้องใต้หลังคาของบ้านที่เบิร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ โดยหนึ่งในอาวุธที่พบนั้นเป็นปืนยาวแบบคาบศิลา (Flintlock Musket) ที่แม้ว่าจะถูกเก็บแบบไม่ได้มีการดูแลเป็นพิเศษ แต่มันกลับอยู่ในสภาพที่ดีกว่าที่คิด เพราะลวดลายที่อยู่บนปืน รวมทั้งตราประจำตัวสุลต่าน ยังคงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นร้อยๆ ปี     ร่องรอยความเสียหายทั้งหมดที่ปรากฏอยู่บนปืนนั้น ล้วนแต่เป็นบาดแผลดั้งเดิมของปืนซึ่งได้รับมาจากการออกศึกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวไม้ หรือไกปืน ก็ล้วนแต่ถูกทำลายไปด้วยกระสุนปืน ไม่ใช่การเสื่อมโทรมตามกาลเวลาแต่อย่างใด     แถมปืนกระบอกนี้ยังไม่ใช่ของมีค่าเพียงอย่างเดียวในบรรดาอาวุธที่มีการค้นพบด้วย เพราะในห้องเก็บของเดียวกัน ยังพบกับดาบที่มีการประดับไว้ด้วยลวดลายทองคำอีก 4 เล่ม และเครื่องประดับอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าตัวดาบจะไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีมากนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยคุณค่าสำหรับนักสะสม     ในปัจจุบันวัตถุโบราณเหล่านี้ได้ถูกนำออกประมูลภายใต้ความร่วมมือของบริษัทรับประมูลอาวุธและชุดเกราะ Antony Cribb…

  • เปิดภาพ 10 เมืองแสดงความแตกต่างระหว่างในอดีตกับปัจจุบัน เปลี่ยนไปได้ขนาดไหนกัน!!

    เปิดภาพ 10 เมืองแสดงความแตกต่างระหว่างในอดีตกับปัจจุบัน เปลี่ยนไปได้ขนาดไหนกัน!!

    เพราะด้วยความที่โลกของเราพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง สิ่งต่างๆ ก็ไม่อาจจะต้านทานไม่ให้เปลี่ยนตามได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี ความรู้ต่างๆ รวมถึงเรื่องของสภาพบ้านเมือง ซึ่งในวันนี้ #เหมียวจิวยี่ จะขอพาเพื่อนๆ ไปดูไปรู้ไปเห็นกันว่าเมื่อครั้งอดีตเมืองต่างๆ ภายในโลกของเรามีสภาพเป็นอย่างไร และในปัจจุบันมันได้เปลี่ยนไปถึงเพียงใด จะเหลือเค้าเดิมมากน้อยขนาดไหน ไปดูกันเลยดีกว่า…   1. ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในปี 1964   ปัจจุบัน   2. Avenida Nueve de Julio กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ในปี 1937   ปัจจุบัน   3. แม่น้ำมอสโก กรุงมอสโก ประเทศรัสเซียในช่วงศตวรรษที่ 19   ปัจจุบัน   4. เมืองไฮเดอราบาด รัฐเตลังคานาและรัฐอานธรประเทศ ประเทศอินเดียในช่วง 1980’s   ปัจจุบัน   5. ชิคาโก ประเทศสหรัฐฯ ในปี 1838   ในปัจจุบัน…

  • “ป็อนติอุส ปีลาตุส” กับข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ที่ว่า ทำไมเขาถึงสั่งประหารพระเยซู

    “ป็อนติอุส ปีลาตุส” กับข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ที่ว่า ทำไมเขาถึงสั่งประหารพระเยซู

    สำหรับคนที่ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์กันมาบ้างอาจจะเคยได้ยินชื่อของ “ป็อนติอุส ปีลาตุส” กันมาบ้าง เพราะนี่คือคนที่สั่งประหารชีวิตพระเยซูด้วยการตรึงกางเขนตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์นั่นเอง     เรื่องราวของชายคนนี้นั้นแม้ว่าจะดูไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่เขาคือหนึ่งในบุคคลจากในพระคัมภีร์ที่มีหลักฐานยืนยันว่ามีตัวตนอยู่จริงตามประวัติศาสตร์ แถมเมื่อไม่นานมานี้ นักโบราณคดียังมีการค้นพบแหวนที่อาจจะเป็นของเขามาแล้วด้วย (อ่านข่าวเก่าได้ที่ พบแหวนโบราณที่สลักนามสกุลของ “ป็อนติอุส ปีลาตุส” ชายผู้สั่งประหารพระเยซูเอาไว้) แต่การมีตัวต้นจริงๆ ของเขานี้เอง ก็ทำให้เราเห็นความแปลกของเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ขึ้นมาจุดหนึ่ง เพราะในพระคัมภีร์มีการระบุไว้ว่าปีลาตุสในตอนแรกไม่ได้จะประหารพระเยซูแต่ต้องทำเพราะประชาชนชาวยิวเรียกร้อง แต่ในประวัติศาสตร์กลับมีการระบุไว้ว่าชายคนนี้เป็นผู้โหดร้ายที่กล้าทำลายธรรมเนียมโบราณของชาวยิวเลย     ถ้าอย่างนั้นแท้จริงแล้วทำไมชายคนนี้จึงสังหารพระเยซูกัน และระหว่างในประวัติศาสตร์กับพระคัมภีร์ ข้อมูลไหนกันที่น่าจะเป็นของจริง หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของปีลาตุสมาจากนักปรัชญาชาวยิว ฟิโลแห่งอะเล็กซานเดรีย ผู้ซึ่งระบุถึงปีลาตุสไว้ในช่วงปี ค.ศ. 50 โดยระบุไว้ว่าปีลาตุสนั้นเป็นคนที่ปกครองด้วยการติดสินบน ดูหมิ่น ปล้น ข่มขืน ประหารชีวิตอย่างไร้เหตุผล และเป็นผู้โหดร้ายอย่างถึงที่สุด ลักษณะนิสัยของเขานี้เองทำให้ ปีลาตุส ทำผิดกฎที่ชาวยิวยึดถือหลายข้อ และทำไปสู่ความบาดหมางระหว่างผู้ปกครองและชาวยิวในเยรูซาเล็มไป     อย่างติตุส ฟลาวิอุส โยเซพุสนักประวัติศาสตร์ชาวโรมันเองก็เคยระบุไว้ว่าปีลาตุสทำการตั้งรูปปั้นจักรพรรดิในเมืองเยรูซาเล็มซึ่งมีกฎของชาวยิวระบุไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามติดตั้งรูปหรือวัตถุเสมือนคนจริงเด็ดขาด จนทำให้เกิดการประท้วงและจบลงด้วยเหตุนองเลือดด้วย น่าแปลกที่คนเช่นนี้จะสั่งประหารชีวิตพระเยซูตามความกดดันของชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาเองได้ออกตัวปกป้องพระเยซูก่อนหน้าที่จะสั่งประหารด้วย จากที่ระบุไว้ในพระวรสารนักบุญมัทธิวได้มีการระบุว่าปีลาตุสนั้นได้สังหารประเยซูโดยปัดความรับผิดชอบทั้งหมดให้แก่ชาวยิว เนื่องจากในวันนั้นมีชาวยิวจำนวนมากมาชุมนุมกันและอาจจะเกิดเหตุวุ่นวายได้ถ้าเขาไม่ทำตาม   ก่อนประหารพระเยซู ปีลาตุสได้ล้างมือและบอกว่าเลือดของพระเยซูไม่ได้เปื้อนอยู่บนมือของเขา   แน่นอนว่าเรื่องราวของพระวรสารนักบุญมัทธิวอาจจะไม่สามารถนับว่าเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้ แถมนักประวัติศาสตร์ในสมัยก่อนหลายคนก็ยังมักเขียนประวัติศาสตร์ตามความคิดและอารมณ์ของตัวเอง (อย่างฟิโลแห่งอะเล็กซานเดรียเองก็เป็นชาวยิวเลยเกลียดปีลาตุสเป็นพิเศษ) แต่ถึงอย่างนั้น แนวคิดที่ว่าปีลาตุสสังหารประเยซูเพื่อปัดความรับผิดชอบมันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เนื่องจากถ้านี่เป็นเรื่องจริง…

  • ย้อนรอย การหาลำดับดีเอ็นเอที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์เคยทำ ของฟอสซิลม้าอายุ 700,000 ปี

    ย้อนรอย การหาลำดับดีเอ็นเอที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์เคยทำ ของฟอสซิลม้าอายุ 700,000 ปี

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าตั้งแต่ที่มีการคิดค้นเทคโนโลยีการหาลำดับดีเอ็นเอขึ้นมา เหล่านักโบราณคดีก็สามารถทำงานในการค้นหาข้อมูลของมัมมี่และซากสัตว์ที่พบในอดีตได้ง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามการหาลำดับดีเอ็นเอก็ใช้ว่าจะเป็นคำตอบของการค้นหาทางโบราณคดีทั้งหมดในโลกอยู่ดี เพราะหากดีเอ็นเอที่นำมาตรวจสอบนั้นมีการเสื่อมสภาพและการปนเปื้อนการหาลำดับดีเอ็นเอก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย     ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าในบรรดาดีเอ็นเอที่คนเราเคยหาลำดับมานั้น ดีเอ็นเอที่เก่าแก่ที่สุดมันมีอายุมากขนาดไหนกัน สำหรับมนุษย์เรานั้น ดีเอ็นเอที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการหาลำดับได้สำเร็จจะมีอายุราวๆ 430,000 ปี โดยมาจากกระดูกที่พบในสเปน แต่หากจะให้พูดถึงดีเอ็นเอที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการหาลำดับมาจริงๆ ตำแหน่งนี้จะตกเป็นของดีเอ็นเอม้าโบราณที่ถูกพบในแคนาดาเมื่อปี 2003 ต่างหาก เพราะดีเอ็นเอของมันมีอายุมากถึง 700,000 ปีเลย   ชิ้นส่วนฟอสซิลที่ถูกนำมาหาลำดับดีเอ็นเอ   โดยการหาลำดับดีเอ็นเอที่ว่านี้เกิดขึ้นในปี 2013 และนับว่าเป็นความพยายามที่ทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก เพราะดีเอ็นเอที่นักโบราณคดีได้มานั้นไม่เพียงแต่เสื่อมสภาพไปมากแล้ว แต่ยังปนเปื้อนไปด้วยจุลินทรีย์อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก ดีเอ็นเอที่ว่านี้ปนเปื้อนมากจนนักวิทยาศาสตร์ออกมาบอกว่าทุกๆ 200 โมเลกุลของดีเอ็นเอที่พบ จะมีโมเลกุลเพียงแค่อันเดียวเท่านั้นที่เป็นของม้าจริงๆ เลย     ถึงอย่างนั้นก็ตามด้วยความพยายามและการพัฒนาขึ้นของเทคโนโลยี ในที่สุดเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็สามารถหาลำดับดีเอ็นเอของม้าที่พบได้สำเร็จจนได้ อ้างอิงจากข้อมูลที่ได้มาจากการหาลำดับดีเอ็นเอ เจ้าม้าที่พบนี้เป็นของม้าเพศผู้ของสายพันธุ์โบราณซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ยูคอนทางตะวันตกของประเทศแคนาดา และคาดกันว่ามีขนาดใกล้เคียงกับม้าของชาวอาหรับในปัจจุบัน   ดีเอ็นเอของม้าที่พบถูกนำไปเทียบกับม้าเปรวาสกี้ (Przewalski Horse) ผลการตรวจสอบทำให้เราพบว่าม้าเปรวาสกี้เป็นม้าป่าพันธุ์สุดท้ายของโลกเลย   ดีเอ็นเอของเจ้าม้าสายพันธุ์นี้ ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถบอกได้ว่าสัตว์ในสายพันธุ์ “Equus” (ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ม้าแต่ยังประกอบไปด้วยลาและม้าลาย) แม้จริงแล้วมีชีวิตมาตั้งแต่ 4-4.5 ล้านปีก่อน ซึ่งนับว่านานกว่าที่เราเคยคาดกันไว้ถึง 2 ล้านปีเลย…

  • พบวัตถุโบราณกว่า 150 ชิ้น ใต้แหล่งโบราณสถานมายา เชื่อไม่ถูกแตะต้องมากว่า 1,000 ปี

    พบวัตถุโบราณกว่า 150 ชิ้น ใต้แหล่งโบราณสถานมายา เชื่อไม่ถูกแตะต้องมากว่า 1,000 ปี

    เคยได้ยินชื่อแหล่งโบราณสถานของชาวมายาที่ชื่อ Chichén Itzá กันไหม นี่เป็นแหล่งโบราณสถานที่ถูกค้นพบในปี 1966 โดยนักโบราณคดีที่ชื่อ Víctor Segovia Pinto และมีลักษณะเด่นอยู่ที่พีระมิดขั้นบันไดตามแบบอารยธรรมมายาเก่าแก่     แต่แล้วเมื่อปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา เหล่านักโบราณคดีที่เข้าไปสำรวจโบราณสถานแห่งนี้ด้วยเทคโนโลยีรุ่นใหม่กลับพบว่า ที่ด้านใต้ของแหล่งโบราณสถานแห่งนี้แท้จริงแล้วยังมีถ้ำเก่าแก่ซ่อนอยู่ข้างใต้อีกแห่งหนึ่งด้วย ถ้ำที่ว่านี้ถูกเรียกกันว่า Balamku  หรือ “ถ้ำของเทพแห่งเสือจากัวร์” สถานที่ซึ่งเชื่อกันว่าเคยถูกใช้งานเป็นที่บูชาของเทพองค์สำคัญของชาวมายาในอดีต และไม่เคยมีใครเข้ามาเป็นเวลากว่า 1,000 ปีแล้ว     และแล้วหลังจากที่มีการสำรวจมาตั้งแต่ปลายปี 2018 ในที่สุดนักโบราณคดีก็พบว่า ภายในถ้าที่พวกเขาพบนั้นมีโบราณวัตถุเก็บเอาไว้กว่า 150 ชิ้นเลย อ้างอิงจากรายงานของสถาบันมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติแห่งเม็กซิโก ในบรรดาของที่พบนั้นก็มีทั้งเครื่องหอม แจกัน จานตกแต่ง ไปจนถึงเครื่องใช้ที่มีใบหน้าของเทพ และสัญลักษณ์ทางศาสนาอื่นๆ อีกจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าที่แห่งนี้แทบจะไม่มีคนเข้ามาย่างกรายเลยจริงๆ     Guillermo de Anda หนึ่งในทีมนักโบราณคดีบอกว่า วัตถุโบราณเหล่านี้อาจเป็นหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับวัฒนธรรม และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวมายาในสมัยก่อนเลยก็เป็นได้ แถมตัวถ้ำเองก็ยังสามารถทำการตรวจสอบทางธรณีวิทยาและจุลชีววิทยาเพื่อหาของเวลาที่โบราณสถาน Chichén Itzá เคยมีการใช้งานไปจนถึงโดนปล่อยทิ้งร้างต่อไปได้อีกด้วย…

  • 17 ภาพสีวินเทจสุดชิคของ ‘นครนิวยอร์ก’ ในช่วงยุค 80s แล้วคุณจะหลงรักอย่างไม่รู้ตัว!?

    17 ภาพสีวินเทจสุดชิคของ ‘นครนิวยอร์ก’ ในช่วงยุค 80s แล้วคุณจะหลงรักอย่างไม่รู้ตัว!?

    เชื่อเลยว่ามีหลายคนที่หลงรักกับความเป็นย้อนยุคของบ้านเมืองในสมัยก่อน ซึ่งในวันนี้ #เหมียวจิวยี่ ก็จะเอาใจเพื่อนๆ ที่มีความชื่นชอบในแนวๆ นี้ด้วยการพาย้อนเวลาไปชมภาพของนครนิวยอร์กกัน!! ภาพเหล่านี้เป็นภาพที่ถูกถ่ายขึ้นในสมัย 1980s หรือว่าประมาณ 30 กว่าปีก่อน ซึ่งในสมัยนั้นบ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านและพัฒนา โดยจะสังเกตได้ว่าสิ่งต่างๆ อย่างรถยนต์หรือการใช้ชีวิตเป็นอะไรที่ดูคลาสสิคเอามากๆ เอาเป็นว่าอย่ามัวพูดพร่ำทำเพลง เราไปตะลุยแดนนิวยอร์กในสมัยนั้นกันเลยดีกว่า…   สภาพบ้านเมืองในสมัยนั้น   ผู้คนที่เดินถนนกันอย่างขวักไขว่   มีรถม้าด้วยนะ   รถตำรวจเท่ๆ   ข้างของต่างๆ       รถขายไอศกรีม   กิจกรรมสุดฮิต   รถสีเหลืองเต็มไปหมด   รถดับเพลิง   สตรีทอาร์ตยังมีให้เห็น   แมวแห่งยุค 80’s   ทางเดินเท้า   อาหารการกิน .   ดนตรีเปิดหมวก   ลองดูการแต่งตัวของผู้คนในสมัยนั้น มันสุดชิคจริงๆ   ที่มา: designyoutrust, vintag.es

  • นักโบราณคดีพบ “หวีสัก” อายุ 2,700 ปี ถูกลืมไว้ในห้องเก็บของ และทำจากกระดูกมนุษย์

    นักโบราณคดีพบ “หวีสัก” อายุ 2,700 ปี ถูกลืมไว้ในห้องเก็บของ และทำจากกระดูกมนุษย์

    หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ไม่นาน เหล่านักโบราณคดีได้มีการค้นพบอุปกรณ์สักที่ทำจากหนามต้นกระบองเพชร อายุมากถึง 2,000 ปี ที่ทวีปอเมริกาเหนือ (อ่านข่าวเก่าได้ที่ นักโบราณคดีพบ อุปกรณ์สักที่ทำจากหนามต้นกระบองเพชร คาดเก่าแก่ที่สุดในอเมริกาเหนือ) แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เองที่ประเทศออสเตรเลีย ทีมนักโบราณคดีในมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียก็ได้ทำการค้นพบอุปกรณ์สักอายุร่วม 2,700 ปีของชาวตองงา (ประเทศในแถบพอลินีเชีย ที่มหาสมุทรแปซิฟิก) อยู่ภายในห้องเก็บของของมหาวิทยาลัยเสียอย่างนั้น     จากคำบอกเล่าของทีมนักโบราณคดี อุปกรณ์สักที่พวกเขาพบนั้นมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 ชิ้น ซึ่งเชื่อกันว่าถูกนำมาเก็บไว้ที่มหาวิทยาลัยเพื่อรอการตรวจสอบตั้งแต่เมื่อปี 1963 และเป็นหนึ่งในโบราณวัตถุที่ทางมหาวิทยาลัยมีกำหนดการที่จะตรวจสอบตั้งแต่ปี 2016 ที่ผ่านมา อุปกรณ์สักเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า “หวีสัก” (Tattoo combs) เนื่องจากส่วนปลายของอุปกรณ์จะมีตัวเข็มเป็นซี่ๆ คล้ายกับหวี ที่จะปักลงไปบนผิวหนังมนุษย์ และทำให้เกิดลวดลายของน้ำหมึก ซึ่งต่างจากเข็มสักอื่นๆ ในอดีต และใกล้เคียงกับเข็มสักบางรุ่นในปัจจุบันมากกว่า จากการตรวจสอบหวีสัก นักโบราณคดีก็พบว่าหวีสักมีความเก่าแก่กว่าที่พวกเขาเคยคาดไว้มาก แถมครึ่งหนึ่งของอุปกรณ์สักที่พวกเขาพบยังทำจากวัสดุที่ค่อนข้างแปลกอย่างกระดูกของมนุษย์อีก     เป็นไปได้ว่าที่เป็นเช่นนี้ จะเป็นเพราะในช่วงแรกๆ ที่ผู้คนไปอยู่ที่ตองงา สัตว์บกนอกจากมนุษย์จะมีอยู่น้อยมากหรือไม่มีเลย ดังนั้นชาวตองงาจึงมักขุดกระดูกของผู้ที่จากไปมาใช้งานอย่างที่เห็น สำหรับคนในเขตแปซิฟิกแล้วการสักนักว่าเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่สำคัญกับชีวิตมาก เพราะรากศัพท์ของคำว่า “Tattoos” ในภาษาอังกฤษเองก็มาจากภาษาพอลินีเชียที่ว่า “Tatau” เลย และสำหรับผู้ชายที่ตองงาเองคนที่ไม่มีรอยสักก็มักจะถูกเยาะเย้ยด้วย    …

  • พิพิธภัณฑ์พบ ชิ้นส่วน “เรือจำลอง” ของตุตันคาเมนในห้องเก็บของ หลังหายไปนานกว่า 90 ปี

    พิพิธภัณฑ์พบ ชิ้นส่วน “เรือจำลอง” ของตุตันคาเมนในห้องเก็บของ หลังหายไปนานกว่า 90 ปี

    ในปี ค.ศ. 1922 ในตอนที่ทีมนักโบราณคดีของอังกฤษได้เปิดสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมนเป็นครั้งแรก คุณ Howard Carter หนึ่งในเหล่านักโบราณคดี ก็ได้ทำการเก็บกู้วัตถุโบราณบางส่วนมาเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ลักซอร์ประเทศอียิปต์     จริงอยู่ว่าของที่ถูกนำไปเก็บไว้ในวันนั้นส่วนมากจะถูกนำออกมาแสดงให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ภายในห้องเก็บของของพิพิธภัณฑ์ลักซอร์ กลับยังมีวัตถุโบราณกล่องหนึ่งถูกลืมเอาไว้เป็นเวลายาวนานร่วม 97 ปี และแล้วเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ลักซอร์ ก็ได้ทำการค้นพบกล่องโบราณกล่องนี้อีกครั้ง โดยเจ้ากล่องโบราณชิ้นนี้ถูกค้นพบในระหว่างที่คุณ Mohamed Atwa ผู้เป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์และเจ้าหน้าที่เข้ารวบรวมวัตถุโบราณมาจัดเพื่อใช้ในการจัดแสดงในงานนิทรรศการที่มีกำหนดการอยู่ในปี 2020 และมีชิ้นส่วนของเรือจำลอง ซึ่งเชื่อกันว่าทำขึ้นเพื่อให้ฟาโรห์ตุตันคาเมนอยู่ภายใน     จากบันทึกของพิพิธภัณฑ์วัตถุโบราณที่พบนี้ถูกบันทึกว่าสูญหายไปเมื่อปี 1973 และจากวันที่บนหนังสือพิมพ์ที่ใช้ห่อกล่อง ทางพิพิธภัณฑ์ก็คาดว่าเวลาที่มีคนเห็นกล่องที่บรรจุชิ้นส่วนของเรือนี้ไว้เป็นครั้งสุดท้าย มันก็ในปี 1933 เลยทีเดียว การพบชิ้นส่วนเรือในครั้งนี้ทำให้เรือที่เคยถูกคิดว่าเสียหายกลับมามีสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง ซึ่งสำหรับคุณ Mohamed แล้ว เขาบอกว่า “นี่เป็นการค้นพบที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิตของผมเลย” การฝังเรือจำลองไปพร้อมกับผู้ตายในสมัยอียิปต์โบราณมักจะทำกับชนชั้นสูงเป็นหลัก เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นสามารถนำเรือไปใช้ในโลกหลังความตายได้ ไม่ว่าจะในการประมงหาปลา หรือในการเดินทางไปในที่ที่ต้องการ   หนึ่งในชิ้นส่วนเรือที่พบอยู่ในกล่อง คือส่วนเสาของเรือจำลองลำหน้าสุดในภาพ   และจริงอยู่ว่าแม้การค้นพบส่วนหนึ่งของเรือเองจะไม่ใช่เรื่องที่ดูยิ่งใหญ่มากนักสำหรับนักโบราณคดี แต่สำหรับทางพิพิธภัณฑ์แล้วการค้นพบในครั้งนี้ก็นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจมาก…

  • พิพิธภัณฑ์เผย “ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์” ตอนเพิ่งเกิดอาจตัวเท่าไก่งวง และมีขนเหมือนลูกเจี๊ยบ

    พิพิธภัณฑ์เผย “ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์” ตอนเพิ่งเกิดอาจตัวเท่าไก่งวง และมีขนเหมือนลูกเจี๊ยบ

    เมื่อพูดถึงไดโนเสาร์อย่าง “ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์” หรือ “ทีเร็กซ์” เชื่อว่าหลายๆ คนคงนึกภาพเจ้าไดโนเสาร์อันเป็นเอกลักษณ์จากในภาพยนตร์เรื่อง “จูราสสิค พาร์ค” หรือ “จูราสสิค เวิลด์” ขึ้นมาเป็นเรื่องแรกๆ นั่นเพราะขนาดตัวที่ใหญ่โตและน่าเกรงขามของเจ้าสัตว์ตัวนี้ คงทำให้มีคนหลงรักในความแข็งแกร่งของมันกันเป็นจำนวนมาก ว่าแต่เชื่อกันหรือไม่ว่าแม้แต่เจ้าไดโนเสาร์อย่างทีเร็กซ์เอง ก็มีช่วงเวลาที่ตัวไม่ได้ใหญ่โตกับเขาเช่นกัน เพราะจากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยมาจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน ดูเหมือนว่าทีเร็กซ์นั้นในตอนที่ฟักออกมาจากไข่ใหม่ๆ จะตัวเล็กมาก แถมยังมีขนเหมือนลูกเจี๊ยบด้วย     อ้างอิงจากข้อมูลที่ถูกเปิดเผยออกมาในตอนที่ทีเร็กซ์ฟักออกมาจากไข่ในช่วงวันแรกๆ มันจะมีขนาดใกล้เคียงกับไก่งวงเท่านั้น แต่อัตราการเติบโตที่รวดเร็วมากๆ ของมันก็จะทำให้เจ้าทีเร็กซ์จิ๋วเหล่านี้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึงวันละ 3 กิโลกรัมตลอดช่วง 13 ปีแรกของชีวิต นั่นทำให้ในตอนที่มันอายุได้ราวๆ 20 ปี ทีเร็กซ์ที่โตเต็มไวจะมีส่วนสูงถึง 3.6-4 เมตร และหนักระหว่าง 6-9 ตันเลยทีเดียว     หนึ่งในทีมนักบรรพชีวินวิทยา Mark Norell บอกว่านอกจากแนวคิดเรื่องทีเร็กซ์ตัวเล็กและมีขนในวัยเด็กแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์ยังพบอีกว่าแขนของทีเร็กซ์จริงๆ แล้วยังมีขนาดที่เล็กกว่าที่เราคาดไว้ในอดีตอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ไปเลยเช่นกัน นั่นเพราะจากรูปแบบกระดูกที่พบ นักบรรพชีวินวิทยาก็เชื่อกันว่ากล้ามเนื้อส่วนแขนของทีเร็กซ์นั้นแข็งแรงกว่าสภาพที่เราเห็นมากพอสมควร     ถึงอย่างนั้นก็ตามทีเร็กซ์คงจะไม่จำเป็นต้องใช้แขนของมันสักเท่าไหร่ เพราะเจ้าทีเร็กซ์นั้น มีแรงกัดถึง 34,500 นิวตันซึ่งมากกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในปัจจุบันเลย…

  • 18 ภาพ “การพักรบแห่งวันคริสต์มาส” วันมหัศจรรย์ที่ทหารหยุดยิงกันกลางสงครามโลก

    18 ภาพ “การพักรบแห่งวันคริสต์มาส” วันมหัศจรรย์ที่ทหารหยุดยิงกันกลางสงครามโลก

    ในคืนคริสต์มาสอีฟเมื่อปี ค.ศ. 1914 ในช่วงที่โลกตกอยู่ในเปลวเพลิงแห่งสงคราม เหล่าทหารที่เผชิญหน้ากันอยู่ที่แนวรบระหว่างอังกฤษกับเยอรมนีได้ยินเสียงใครบางคนเริ่มร้องเพลงคริสต์มาสขึ้น บทเพลงนั้นดังก้องและถูกร้องตามโดยเหล่าทหารที่สนามเพลาะทั้งสองฝั่ง ก่อนที่จะนำไปสู่การหยุดยิงอย่างไม่เป็นทางการของเหล่าทหาร  ที่รู้จักกันในชื่อ “การพักรบแห่งวันคริสต์มาส”     ในวันนั้นทหารทั้งสองฝั่งได้วางอาวุธลงและออกมา เลี้ยงฉลองวันคริสต์มาสไปด้วยกัน ทั้งสวมกอด แลกของขวัญ แบ่งปันบุหรี่ รวมทั้งร่วมกันฝังผู้ที่เสียชีวิตไป และเกิดขึ้นในมากมายหลายพื้นที่จนกลายเป็นเรื่องราวที่ถูกขนานนามต่อไปว่าเป็นความมหัศจรรย์แห่งวันคริสต์มาสเลย และในวันนี้เอง #เหมียวศรัทธา ก็ได้นำภาพบางส่วนที่มีการถ่ายเก็บไว้ของวันแห่งความมหัศจรรย์วันนั้น มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน แต่จะซึ้งกินใจขนาดไหนนั้นคงต้องให้เพื่อนๆ ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากนายทหารของอังกฤษและเยอรมันที่ออกมาพบกันในแผ่นดินที่เคยเป็นพื้นที่สังหาร .   เหล่าทหารที่ยืนคาบบุหรี่ถ่ายรูปร่วมกันอย่างสบายใจ .   ภาพบรรยากาศารถ่ายรูปหมู่ที่แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าถ่ายมาจากกลางสนามรบ .   เมื่อเทียบกับสนามเพลาะที่คับแคบแล้ว   แผ่นดินระหว่างแนวรบช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน   ในวันนั้นเหล่าทหารได้ออกมาสังสรรค์ร่วมกัน   ช่วยกันฝังศพทหารที่ตายไป .   แบ่งปันบุหรี่   ถอนขนไก่เตรียมงานฉลอง   พบปะพูดคุย   ดื่มเหล้าเฮฮา   แจกของขวัญด้วยรอยยิ้ม   หรือแม้กระทั่งเล่นฟุตบอลแข่งกัน…

  • ย้อนรอยคดีฆาตกรรม “ลอร์ดน้อยฟอนเติลรอย” คดีลึกลับของเด็กชายไม่ทราบชื่อแห่งสหรัฐฯ

    ย้อนรอยคดีฆาตกรรม “ลอร์ดน้อยฟอนเติลรอย” คดีลึกลับของเด็กชายไม่ทราบชื่อแห่งสหรัฐฯ

    เคยได้ยินเรื่องราวของลอร์ดน้อยฟอนเติลรอย (Little Lord Fauntleroy) กันมาก่อนไหม นี่คือนวนิยายเด็กของฟรานซิส ฮอดจ์สัน เบอร์เนทท์ และเป็นที่โด่งดังในสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมากหลังจากที่มีการตีพิมพ์ออกมาในปี 1881     แต่ชื่อของลอร์ดน้อยฟอนเติลรอยนั้นไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะหนังสือของเด็กเท่านั้น เพราะในช่วงปี 1921 ชื่อนี้ยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะชื่อคดีฆาตกรรมสุดลึกลับและมีชื่อเสียงแห่งสหรัฐอเมริกาด้วย เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นในเช้าวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1921 ที่รัฐวิสคอนซิน เมื่อคนงานของบริษัทเหมืองหิน O’Laughlin พบร่างของเด็กชายคนหนึ่งเสียชีวิตอยู่ภายในบึงใกล้ๆ เหมืองหินของบริษัทเข้า จากการที่เขามาตรวจสอบของตำรวจพวกเขาก็พบว่าเด็กชายคนนี้มีอายุอยู่ระหว่าง 5-7 ปี มีผมสีบลอนด์กับดวงตาสีน้ำตาล และเสียชีวิตในสภาพที่แต่งกายด้วยชุดราคาแพงคล้ายชนชั้นสูงจนทำให้สื่อตั้งชื่อชั่วคราวให้กับเขาตามนิทานเด็กว่า “ลอร์ดน้อยฟอนเติลรอย”     เรื่องราวของคดีนี้ทวีความน่าสนใจยิ่งขึ้นในตอนที่ตำรวจทราบว่าเด็กชายนั้นมีแผลถูกทำร้ายที่ศีรษะ และแทบไม่มีน้ำในปอดเลย ซึ่งบอกให้ทราบว่าเด็กคนนี้เสียชีวิตก่อนที่จะถูกนำมาทิ้งที่บึง ดังนั้นคดีที่เกิดขึ้นจึงมีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคดีฆาตกรรม ไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่หลายๆ คนคิดในตอนแรก ปัญหาคือตั้งแต่ที่มีการพบศพของเด็กคนนี้มากลับไม่มีใครเลยที่ออกมาแสดงตัวว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนี้ แถมแม้ว่าทางตำรวจจะมีพยานว่าเคยมีคู่รักชายหญิงมาตามหาเด็กใกล้ๆ บริษัทเหมือง แต่ต่อให้มีการออกตามหาคู่รักที่ว่านานหลายสัปดาห์ ทางตำรวจก็ไม่สามารถหาตัวพวกเขาพบ หรือระบุได้ว่าตกลงเด็กคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่อยู่ดี     ดังนั้นเรื่องราวของลอร์ดน้อยฟอนเติลรอยจึงกลายเป็นคดีที่ไขไม่ออกของสหรัฐฯ ในยุคนั้นไป ส่วนตัวเด็กเองก็ถูกฝังไปด้วยเงินเรี่ยไรจากชาวบ้าน และนำมาซึ่งข่าวลือมากมายเกี่ยวกับหญิงสาวปริศนาที่มาเยี่ยมหลุมศพในบางเวลา คดีของลอร์ดน้อยฟอนเติลรอยดูเหมือนจะเงียบไปหลงจากวันนั้น แต่หลังจากคดีเกิดขึ้นได้ราวๆ 28 ปี ในปี…

  • พบรูหนอน อายุกว่า 500 ล้านปีที่แคนาดา เชื่ออาจเปลี่ยนความคิดเรื่องระบบนิเวศในพื้นที่

    พบรูหนอน อายุกว่า 500 ล้านปีที่แคนาดา เชื่ออาจเปลี่ยนความคิดเรื่องระบบนิเวศในพื้นที่

    เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาแหล่งข่าวต่างประเทศได้มีการออกมารายงานข่าวการค้นพบรูหนอนโบราณอายุกว่า 500 ล้านปีในหินที่ประเทศแคนาดา ซึ่งคาดกันว่าเคยถูกหนอนในสมัยก่อนใช้งานคล้าย “ทางด่วน” ในปัจจุบัน     ทางด่วนหนอนที่ถูกพบในครั้งนี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และถูกพบเป็นครั้งแรกโดยบังเอิญในระหว่างการทดสอบหินก้อนเดียวกัน ในการทดลองอีกชิ้นหนึ่งเมื่อปี 2018 จากการวัดระยะอย่างละเอียดรูหนอนนี้มีความกว้างเพียง 0.5-15 มิลลิเมตร แต่กลับแข็งแรงพอที่จะไม่ผุพังจากน้ำทะเลได้ ซึ่งเป็นไปได้ว่าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการเดินทางอย่างรวดเร็วและซ่อนตัวจากนักล่า อ้างอิงจากการที่ส่วนหนึ่งของรูมีร่องรอยคล้ายการโดยขุดจากด้านบน     นอกจากนี้ในระหว่างการศึกษาของปี 2018 นักวิทยาศาสตร์ยังพบซากหนอนโบราณตัวหนึ่งอยู่ในรูหนอนแห่งนี้ด้วย แม้ว่าหนอนตัวนี้ไม่น่าจะใช่หนอนที่ขุดรูก็ตาม (เนื่องจากซากหนอนที่ขุดรูถูกพบอยู่ในอุจาระสัตว์ใกล้ๆ) นี่อาจจะเป็นการค้นพบที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดา เพราะที่ผ่านๆ มาเราก็ทราบกันอยู่แล้วว่าสิ่งมีชีวิตตระกูลหนอนและไส้เดือนนั้นมีอยู่บนโลกมาตั้งแต่หลายล้านปีก่อน แต่สิ่งที่ทำให้การค้นพบในครั้งนี้น่าสนใจอยู่ที่สถานที่ที่มีการค้นพบทางด่วนที่ว่านี้ต่างหาก     นั่นเพราะทางด่วนหนอนที่มีการค้นพบในครั้งนี้ ถูกพบอยู่ที่พื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศแคนาดา ซึ่งเมื่อช่วง 500 ปีก่อนนั้นเราเชื่อกันว่าปกคลุมไปด้วยทะเลโบราณ ที่ไม่น่าจะมีออกซิเจนมากพอที่จะรักษาสภาพของสิ่งมีชีวิตได้ จนบางครั้งก็ถูกเรียกว่าเขตไร้ชีวิตไป ดังนั้นการที่มีสิ่งมีชีวิตที่สามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้จึงนับว่าเป็นการค้นพบที่ส่งผลกระทบกับแนวคิดเรื่องพื้นที่โลกในสมัยก่อนเป็นอย่างมาก เพราะการมีตัวตนอยู่ของหนอนเหล่านี้มันเป็นหลักฐานอย่างดีเลยว่าทะเลในสมัยก่อนนั้น มีออกซิเจน และสิ่งมีชีวิตมากกว่าที่เราคิดก็เป็นได้   ที่มา livescience, sciencedaily และ infosurhoy

  • นักโบราณคดีพบงานศิลป์บนหินของโบราณ โดนขีดเขียนเล่นโดยนักล่าวาฬจากศตวรรษที่ 19

    นักโบราณคดีพบงานศิลป์บนหินของโบราณ โดนขีดเขียนเล่นโดยนักล่าวาฬจากศตวรรษที่ 19

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าในโลกใบนี้มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่ชอบมือบอนไปทำลายหลักฐานเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจ หรือเพียงแค่ความคึกคะนองชั่วขณะ จนทำให้ทั้งโบราณสถานและวัตถุโบราณล้ำค่าหลายๆ ชิ้นต้องถูกทำลายไปอย่างน่าเสียดาย แถมคนมือบอนเหล่านี้ ยังไม่ได้เพิ่งมามีเอาในยุคปัจจุบันด้วย     นั่นเพราะเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง นักโบราณคดีก็ได้ออกมารายงานร่องรอยการทำลายวัตถุโบราณอีกครั้งหนึ่ง เพียงแต่นี่ไม่ใช่ฝีมือของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน แต่เป็นนักล่าวาฬจากในช่วงศตวรรษที่ 19 ต่างหาก การค้นพบในครั้งนี้ เกิดขึ้นในระหว่างนักโบราณคดีทำการศึกษา งานศิลปะบนหินเของชนพื้นเมืองของออสเตรเลียหรือ “ชาวอะบอริจิน” ในพื้นที่เกาะ 42 แห่งในคาบสมุทรทางตอนเหนือของออสเตรเลีย ซึ่งอาจมีอายุเก่าแก่ได้ถึง 50,000 ปี     โดยร่องรอยที่พวกเขาพบนั้นเกิดจากการที่คนในสมัยศตวรรษที่ 19 ทำการสลักข้อความต่างๆ ทับลงไปคนตัวหิน ซึ่งมีทั้งชื่อคน ชื่อเรือ หรือแม้กระทั่งปีที่สลัก ด้วยความที่ว่าอักษรที่ใช้กันในศตวรรษที่ 19 กับปัจจุบันนั้นมีความเปลี่ยนแปลงไปน้อยมาก นักโบราณคดีจึงสามารถระบุได้ในทันทีที่เห็นว่า ผู้ลงมือน่าจะเป็นลูกเรือของเรือล่าวาฬสหรัฐฯ ที่ออกเดินทางผ่านพื้นที่แห่งนี้ในปี 1841 และลูกเรือของเรือชื่อ “Delta” ที่ผ่านหมู่เกาะเหล่านี้ในปี 1849   .   ในปัจจุบันนักโบราณคดียังไม่อาจฟันธงได้ว่าผู้ลงมือทำไปด้วยความไม่รู้ ความเกลียดชังชาวอะบอริจิน หรือเพียงแค่ความคึกคะนองเท่านั้น อย่างไรก็ตามเหล่านักโบราณคดีก็ตั้งข้อสังเกตว่าบนเกาะมีหินก้อนอื่นๆ…

  • ชมหลักฐาน “สลอธยักษ์” สูง 4 เมตรในอดีต และชีวิตความเป็นอยู่ของมันเมื่อ 27,000 ปีก่อน

    ชมหลักฐาน “สลอธยักษ์” สูง 4 เมตรในอดีต และชีวิตความเป็นอยู่ของมันเมื่อ 27,000 ปีก่อน

    เชื่อว่าด้วยอิทธิพลของสื่อหลายๆ อย่างคนไทยในปัจจุบันคงจะทราบเรื่องราวของสัตว์อย่างสลอธกันเป็นอย่างดี ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าเจ้าสัตว์ที่เราเห็นว่ามันช้าๆ เนิบๆ เหล่านี้ หากย้อนไปในอดีตแล้ว มันสูงราวๆ 4 เมตรเลย     โดยหลักฐานที่สำคัญที่สุดของสลอธยักษ์ในอดีตนั้นถูกพบในปี 2014 โดยเหล่านักโบราณคดีในระหว่างที่พวกเขาทำการสำรวจหลุมลึกที่ประเทศเบลิซ เพื่อตามหาโบราณวัตถุของเผ่ามายา แต่แทนที่จะได้วัตถุโบราณ พวกเขากลับพบกับฟันของสัตว์ที่มีความยาวถึง 10 เซนติเมตร และกระดูกอื่นๆ อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเมื่อนำไปตรวจสอบแล้วก็พบว่าเป็นของสลอธยักษ์ที่มีชีวิตอยู่บนโลกเมื่อราวๆ 27,000 ปีก่อน     อ้างอิงจากรายงานชิ้นใหม่ล่าสุดของการตรวจสอบสลอธยักษ์ที่ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 เมื่อเทียบขนาดกระดูกที่พบกับขนาดตัวของสัตว์แล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็คาดว่าสลอธที่เป็นเจ้าของฟันชิ้นนี้น่าจะมีขนาดความยาว 6 เมตร สูง 4 เมตร และหนักถึง 6.5 ตันเลย พวกเขายังบอกอีกว่า สลอธยักษ์เหล่านี้น่าจะเคยอาศัยในพื้นที่ที่มีอากาศแห้งอย่างระบบนิเวศแบบสะวันนา ซึ่งต่างไปจากความเชื่อก่อนหน้าที่บอกว่าสลอธยักษ์อาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นมาก   กระดูกต้นแขนของสลอธยักษ์ อีกหนึ่งในหลักฐานที่มีการพบในปี 2014   โดยสลอธยักษ์จะใช้วิธีการสลับอาหารของตัวมันตามสภาพอากาศที่มันพบ โดยอาศัยอาหารจากสิ่งที่มันสามารถหาได้งานในช่วงเวลานั้นๆ เป็นหลัก ซึ่งทำให้พวกมันสามารถเอาชีวิตรอดในสภาพอากาศที่เลวร้ายมาได้เป็นเวลานาน อย่างไรก็ตามสลอธยักษ์ กลับสูญพันธุ์ไปเมื่อราวๆ 14,000-10,000 ปีก่อนเสียอย่างนั้น ทำให้นักวิทยาศาสตร์ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร่ว่าสัตว์ที่มีการปรับตัวกับสภาพอากาศอย่างดีเหล่านี้ จะสูญพันธุ์ไปเพียงเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียว จริงอยู่ว่าในปัจจุบันเราจะยังไม่อาจทราบได้เลยว่าอะไรเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สลอธยักษ์สูญพันธุ์ไป…

  • ชม 21 ภาพการใช้ชีวิตกับคนตายของชนเผ่า Toraja ที่เก็บร่างของผู้เสียชีวิตเอาไว้ในบ้าน

    ชม 21 ภาพการใช้ชีวิตกับคนตายของชนเผ่า Toraja ที่เก็บร่างของผู้เสียชีวิตเอาไว้ในบ้าน

    มนุษย์เรานั้นหากอาศัยในพื้นที่ต่างกันก็มักจะมีพิธีกรรมและความเชื่อที่ต่างกันไปด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สิ่งที่คนกลุ่มหนึ่งมองว่าเป็นเรื่องปกติจะถูกมองว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนกลุ่มอื่น และสำหรับชนเผ่า Toraja แห่งประเทศอินโดนีเซียแล้ว ประเพณีเกี่ยวกับความตายของพวกเขานี่เอง ที่เป็นประเพณีหลักที่ทำให้ชนเผ่าของพวกเขานั้นโด่งดังไปกว่าเผ่าอื่น     นั่นเพราะสำหรับชนเผ่านี้แล้ว งานศพจะเป็นงานที่สำคัญและใช้เงินในการจัดที่สูงมาก ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะเก็บศพญาติๆ ที่เสียชีวิตไว้อย่างยาวนานเป็นเดือนๆ หรือบางครั้งก็หลายปี แถมยังมีประเพณีที่จะขุดศพที่ถูกฝังไว้มาล้างให้สะอาดทุกๆ 1-3 ปีอีก ทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในเผ่านี้เราจะเห็นคนใช้ชีวิตกับคนตายเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นในวันนี้เหมียวศรัทธาจึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของชาว Toraja ไปชมกันดีกว่าว่าการใช้ชีวิตกับคนตายของคนที่นี่ มันเป็นอย่างไรกันแน่   เริ่มกันจากภาพของ Clara ผู้กำลังกอดน้องสาวที่เสียไปตั้งแต่อายุได้แค่ 6 ขวบ   Songa (ขวา) ที่สูบบุหรี่อยู่กับหลานๆ   เอ้าจุดไฟ   Yuanita ที่ถ่ายเซลฟี่กับญาติของเธอที่เสียไปตอนอายุ 20 ปี   หลานๆ ที่ยืนดูปู่ย่านอนหลับ   เหล่าเด็กที่ได้พบพี่น้องอีกคนที่จากไปเมื่อ 10 ปีก่อน   Adaris เด็กหนุ่มผู้เสียชีวิตไปเมื่อ 70 ปีก่อน   เหล่าผู้เสียชีวิตกับที่ได้รับการตกแต่งศพด้วยฟันปลอม   Nene’ Tiku หลังจากที่ตายไปได้ 3…

  • โศกนาฏกรรมสถานี “Bethnal Green” เหตุคนตาย 173 คนใน 15 วินาที ที่ถูกรัฐบาลปิดข่าว

    โศกนาฏกรรมสถานี “Bethnal Green” เหตุคนตาย 173 คนใน 15 วินาที ที่ถูกรัฐบาลปิดข่าว

    ย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1943 กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษมักจะถูกโจมตีจากเครื่องบินทิ้งระเบิดของฝ่ายเยอรมนีอยู่บ่อยๆ ทำให้สถานีรถไฟใต้ดินหลายแห่งมักถูกใช้งานในฐานะหลุมหลบภัยจำเป็นไป     แน่นอนว่าในเวลาแบบนี้หากจะมีคนตายขึ้นมาบ้างก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร เพราะใช่ว่าทุกคนจะสามารถมีชีวิตรอดจากการทิ้งระเบิดได้นานพอที่จะไปถึงหลุมหลบภัย แต่ในบรรดาคนที่ต้องจากโลกนี้ไปนั้น ยังมีบางกลุ่มเหมือนกันที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของทางรัฐบาลเอง เรื่องมันเกิดขึ้นในวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1943 โดยในวันนั้นมีเสียงไซเรนแจ้งเตือนการทิ้งระเบิดดังขึ้น พร้อมๆ กับเสียงของจรวดต่อต้านอากาศยานที่ยิงออกมาจากฐานทัพทหาร     สถานการณ์นี้ทำให้ผู้คนในเมืองรีบร้อนหนีไปยังสถานีรถไฟใต้ดินกันอย่างแตกตื่น ถึงอย่างนั้นคนส่วนมากก็สามารถไปถึงที่หลบภัยได้อย่างปล่อยภัยกัน ยกเว้นเหล่าผู้คนที่มุ่งหน้าไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน “Bethnal Green” นั่นเพราะที่สถานีแห่งนี้มีทางเข้าที่มีขนาดเล็ก ทำให้คนที่มาหลบภัยไม่สามารถเข้าไปได้ในทันทีและต้องกรูกันอยู่ที่หน้าสถานที่เพื่อรอให้คนที่มาก่อนลงบันไดให้เสร็จ   ภาพทางเข้าของสถานี Bethnal Green   ในเวลานั้นเองมีคนคนหนึ่ง (สำนักข่าวต่างประเทศบอกว่าเป็นผู้หญิง) เกิดลื่นล้มลงบนบันไดและทำให้มีคนจำนวนมากล้มไปตามๆ กันราวโดมิโน และส่งผลให้คนด้านหลังที่กำลังแตกตื่นเหยียบคนที่กำลังล้มอยู่จนทำให้หลายๆ คนต้องเสียชีวิตไป ท้ายที่สุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปถึง 173 คน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้หญิง 84 คน และเด็กอีก 62 คน เสียชีวิตไปในเวลาไม่ถึง 15 วินาที     แถมราวกับจะตอกย้ำความเสียใจของคนในเหตุการณ์ในวันนั้นไม่มีการทิ้งระเบิดเกิดขึ้นจริงๆ และเสียงของจรวดต่อต้านอากาศยานก็มาจากการทดสอบอาวุธของภาครัฐเท่านั้น…

  • จดหมายโบราณอ้าง “ชาลส์ ดิกคินส์” เคยพยายามส่งภรรยาที่เป็นคนปกติไปเข้าโรงบาลบ้า

    จดหมายโบราณอ้าง “ชาลส์ ดิกคินส์” เคยพยายามส่งภรรยาที่เป็นคนปกติไปเข้าโรงบาลบ้า

    หากพูดชื่อของ “ชาลส์ ดิกคินส์” ขึ้นมา คงมีเพื่อนๆ หลายคนไม่น้อยที่เกาหัวสงสัยว่าเขาเป็นใคร แต่ถ้าบอกว่าเขาคือนักเขียนผู้อยู่เบื้องหลังผลงานเรื่อง “คริสต์มาส แครอล” (A Christmas Carol) เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะรู้จักผลงานของเขาเป็นอย่างดี   ชาลส์ ดิกคินส์   ชาลส์ ดิกคินส์นับว่าเป็นสุดยอดนักเขียนแห่งยุควิคตอเรียเลยก็ไม่ผิดนัก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คนแบบนี้น่าจะมีคนไม่น้อยที่อยากแต่งงานด้วย ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าชายคนนี้ อาจเคยวางแผนที่จะส่งภรรยาของตัวเองเข้าโรงพยาบาลบ้า ทั้งๆ ที่เธอเป็นคนธรรมดาที่ปกติทุกอย่างก็เป็นได้ เรื่องสุดฉาวของนักเขียนในอดีตนี้ถูกเปิดเผยออกมาในรูปแบบของจดหมายเก่าแก่จำนวน 98 ฉบับ ที่เขียนโดย “เอ็ดเวิร์ด ดัตตัน คุก” นักข่าวที่เป็นเพื่อนบ้านของ “แคทเธอรี ดิกคินส์” หญิงสาวผู้เป็นภรรยาของชาลส์   แคทเธอรี ดิกคินส์ ในสมัยที่ยังเยาว์วัย   เรื่องราวที่ถูกเขียนไว้ในจดหมายนั้นมาจากการพูดคุยปรับทุกข์และหว่างแคทเธอรี และเอ็ดเวิร์ด ราวๆ 20 ปีหลังจากที่เธอหย่ากับชาลส์เมื่อปี ค.ศ. 1858 โดยหญิงสาวได้เล่าให้นักข่าวฟังว่า หลังจากที่เธอแต่งงานกับชาลส์ได้ 22 ปี ชาลส์ก็เริ่มแอบมีความสัมพันธ์กับนักแสดงสาวคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะ “กำจัด” ภรรยาของตนซึ่งผ่านการคลอดลูกมาร่วม 10 คน…

  • นักโบราณคดีพบ ใต้คุกที่เกาะ “อัลคาทราซ” มีค่ายทหารเก่าแก่ จากศตวรรษที่ 19 ซ่อนอยู่

    นักโบราณคดีพบ ใต้คุกที่เกาะ “อัลคาทราซ” มีค่ายทหารเก่าแก่ จากศตวรรษที่ 19 ซ่อนอยู่

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยได้ยินเรื่องราวของเกาะ “อัลคาทราซ” กันมาบ้าง นี่คือเกาะเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในอ่าวซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มีชื่อเสียงเรื่องเป็นคุกทหารที่โหดร้ายที่สุดของอเมริกา (แม้จะเป็นชื่อเสียงที่เกินจริงไปบ้างก็ตาม) และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อในปัจจุบัน แต่เชื่อหรือไม่ว่าเจ้าเกาะอัลคาทราซแห่งนี้ยังมีความลับอีกอย่างหนึ่งที่เราไม่เคยทราบมาก่อนซ่อนอยู่ด้วย       นั่นเพราะเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ได้มีรายงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยบิงแฮมตันออกมาบอกว่า ที่ใต้คุกของเกาะอัลคาทราซนั้น แท้จริงแล้วยังมีค่ายทหารเก่าแก่ซ่อนอยู่อีกหนึ่งแห่ง โดยนี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นจากการสำรวจเกาะอัลคาทราซด้วยเทคโนโลยีเรดาร์และเลเซอร์ ที่เผยให้เห็นถึงร่องรอยของทางเดินคล้ายสนามเพลาะที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันระเบิด อุโมงค์อิฐโค้ง และพื้นที่ว่างที่คาดว่าเคยมีไว้วางปืนใหญ่ในช่วงปี 1860 เป็นไปได้ว่าเดิมทีแล้วพื้นที่เหล่านี้จะเคยถูกใช้ในการวางระบบป้องกันเกาะมาก่อน และถูกกลบลงไปใต้ดินตามกาลเวลาก่อนที่จะมีการสร้างคุกอัลคาทราซขึ้น   รูปภาพที่ระบบป้องกัน ที่คาดกันว่าน่าจะเป็นรูปแบบเดียวกับของที่อัลคาทราซ . .   คุณ Timothy de Smet หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า เขารู้สึกแปลกใจกับการค้นพบในครั้งนี้มาก เพราะเขาไม่คิดเลยว่าใต้คุกอัลคาทราซ จะมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ฝังเอาไว้อีกแห่งหนึ่งด้วย และแม้ว่าเราอาจจะไม่สามารถขุดค้นโบราณสถานที่พบขึ้นมาโดยที่ไม่สร้างความเสียหายให้แก่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศก็ตาม แต่อย่างน้อยๆ เราก็ได้ทราบกันแล้วว่า ใต้คุกมีชื่ออย่างเกาะอัลคาทราซนั้น ยังมีโบราณสถานที่เก็บเรื่องราวในอดีตเอาไว้อีกแห่งหนึ่งด้วย     ที่มา mirror, thesun และ sciencedaily

  • เชื่อหรือไม่ ในยุโรปสมัยก่อนมีการนำสัตว์ที่ทำผิดไปขึ้นศาล ด้วยกระบวนการเหมือนมนุษย์

    เชื่อหรือไม่ ในยุโรปสมัยก่อนมีการนำสัตว์ที่ทำผิดไปขึ้นศาล ด้วยกระบวนการเหมือนมนุษย์

    เป็นที่ทราบกันว่ามนุษย์เรานั้นมีการตัดสินความผิดภายในศาลกันมาอย่างยาวนานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบยุโรปที่มีระบบศาลอย่างซับซ้อนแล้วด้วย ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าที่ยุโรปนั้น ศาลไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่ตัดสินคดีความของมนุษย์เท่านั้น เพราะหากสัตว์อื่นๆ เอง หากมีการทำผิดแล้วก็ต้องมาตัดสินโทษที่ศาลเช่นกัน     นี่เป็นเรื่องราวสุดแปลกที่มีการบันทึกอยู่จริงๆ และมีการอ้างอิงถึงในหนังสือ “The Criminal Prosecution and Capital Punishment of Animals” ของ Edward Payson Evans ผู้เป็นนักวิชาการและนักภาษาศาสตร์มีชื่อของสหรัฐฯ มาแล้ว ในหนังสือของเขานั้นมีการบอกว่าในปี ค.ศ. 1266 เคยมีหมูถูกนำขึ้นพิจารณาคดีในศาล หลังจากที่มันถูกจับได้ว่ากินมนุษย์   Edward Payson Evans   การขึ้นศาลดังกล่าวนั้นมีกระบวนการคล้ายมนุษย์ทุกอย่าง โดยในศาลจะมีทั้งอัยการ ผู้พิพากษา พยาน และทนายของทั้งสองฝั่ง แถมยังมีการไต่ส่วนหาหลักฐานตามปกติ และมีการเปิดโอกาสให้สัตว์แก้ตัวด้วย (โดยทนายจะเป็นคนพูดแทน) แถมหนังสือของ Edward เองยังไม่ใช่หลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่บอกว่าการตัดสินโทษสัตว์ในศาลนั้นมีอยู่จริง เพราะในใบเสร็จรับเงินของเพชฌฆาตในฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 9 มกราคม 1386 เองก็มีการระบุไว้ว่าเขาได้รับเงินจากการแขวนคอหมู ที่กินเด็กอายุ 3 เดือนเช่นกัน    …

  • นักโบราณคดีจีนพบ “ยาอายุวัฒนะ” อายุกว่า 2,000 ปีในสุสานโบราณของราชวงศ์ฮั่น

    นักโบราณคดีจีนพบ “ยาอายุวัฒนะ” อายุกว่า 2,000 ปีในสุสานโบราณของราชวงศ์ฮั่น

    มนุษย์เรานั้นไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนก็หวาดกลัวความตายอยู่เสมอ ดังนั้นเหล่าผู้คนที่มีอำนาจในสมัยก่อน จึงมักทำทุกอย่างเพื่อออกตามหา “ยาอายุวัฒนะ” ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามี ดังนั้นจึงนับว่าเป็นน่าสนใจมาก ที่เมื่อเหล่านักโบราณคดีแห่งสถาบันวัฒนธรรมและโบราณคดีแห่งเมืองลั่วหยางได้เข้าไปสำรวจสุสานโบราณของราชวงศ์ฮั่น (ปกครองประเทศตั้งแต่ 202 ปีก่อนคริสตกาล ไปจนถึงคริสต์ศักราชที่ 8) พวกเขาก็พบกับยาอายุวัฒนะ ที่เหล่าฮ่องเต้ตามหากันมานานแสนนาน     โดยวัตถุที่พวกเขาพบนั้นเป็นของเหลวปริมาณราวๆ 3.5 ลิตรที่มีกลิ่นคล้ายสุรา และถูกใส่เอาไว้ในหม้อทองแดง ซึ่งถูกขนย้ายออกมาจากตัวสุสานเมื่อเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา ในตอนแรกนักโบราณคดียังไม่ทราบว่าสิ่งที่พวกเขาพบนั้นคืออะไรกันแน่ แต่จากการตรวจเพิ่มเติมพวกเขาก็พบว่าสิ่งที่พวกเขาพบนั้นทำจากโพแทสเซียมไนเตรต และอะลูไนต์     อ้างอิงจากวรรณกรรมลัทธิเต๋าโบราณ โพแทสเซียมไนเตรต และอะลูไนต์ เป็นส่วนผสมลับของนักเล่นแร่แปรธาตุแห่งลัทธิเต๋า ที่ใช้ในการทำยาอายุวัฒนะ ดังนั้นนักโบราณคดีจึงเชื่อว่า สิ่งที่พวกเขาพบนั้นน่าจะเป็นเป็นยาอายุวัฒนะของราชวงศ์ฮั่น แม้จะถูกเรียกว่ายาอายุวัฒนะ ยาที่พบนี้ก็ไม่ได้มีความสามารถในการยืดอายุให้มนุษย์ได้จริงแต่อย่างไร กลับกันโพแทสเซียมไนเตรต และอะลูไนต์ ยังมักนำไปใช้ทำปุ๋ย ดอกไม้ไฟ และดินปืน ซึ่งไม่เหมาะกับการบริโภคอย่างยิ่ง     ความเชื่อผิดๆ นี้เอง ที่ทำให้ฮ่องเต้หลายๆ คนซึ่งพยายามตามหาความเป็นอมตะ จนจ่ายเงินจำนวนมากไปเพื่อจ้างนักเล่นแร่แปรธาตุลัทธิเต๋ามาทำงานให้ กลับต้องเสียชีวิตไวกว่าที่ควรเป็น จากการที่ยาอายุวัฒนะที่กินไปเป็นพิษ จริงอยู่ว่าการค้นพบในครั้งนี้มีจุดเด่นอยู่ที่การค้นพบยาอายุวัฒนะ แต่นี่ก็ไม่ใช่โบราณวัตถุเพียงชิ้นเดียวที่นักโบราณคดีค้นพบ เพราะในสุสานแห่งเดียวกัน นักโบราณคดียังพบกับ หม้อดินเผาทาสี หยก โบราณวัตถุที่ทำจากสัมฤทธิ์ และโครงกระดูกที่คาดกันว่าเป็นของเจ้าของสุสานอีกด้วย  …

  • FBI ขอความช่วยเหลือจากทั่วโลก เพื่อตามหาที่มาวัตถุโบราณร่วมพันชิ้น ที่ยึดมาในปี 2014

    FBI ขอความช่วยเหลือจากทั่วโลก เพื่อตามหาที่มาวัตถุโบราณร่วมพันชิ้น ที่ยึดมาในปี 2014

    ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 เจ้าหน้าที่ FBI ของสหรัฐได้ทำการบุกเข้าไปในบ้านของนาย Don Miller อดีตวิศวกรทหาร นักเผยแผ่ศาสนา ผู้ซึ่งตลอดช่วง 70 ปีที่ผ่านมาได้ออกเดินทางและเก็บสะสมวัตถุโบราณผิดกฎหมายเอาไว้เป็นจำนวนมาก ในช่วงเวลานั้นทาง FBI ได้ทำการยึดวัตถุโบราณเอาไว้ร่วม 7,000 ชิ้น และมีการทำการตรวจสอบที่มาของสิ่งของเหล่านั้นเรื่อยมา เพื่อหาเจ้าของดั้งเดิมของวัตถุโบราณเหล่านี้     ทางเจ้าหน้าที่ FBI ออกมาเปิดเผยว่า คุณ Miller ที่อายุ 91 ปีในเวลานั้น ให้ความร่วมมือกับปฏิบัติการและการตามหาที่มาของวัตถุโบราณเป็นอย่างดี แต่ด้วยความที่เขามีวัตถุโบราณจากทั้งแถบอเมริกาเหนือและใต้ เขตทะเลแคริเบียน ภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ไปจนถึงเอเชีย การจะตามหาที่มาของวัตถุโบราณทั้งหมดจึงทำได้ยากมาก และก็นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่คุณ Miller นั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่ในปี 2015 แล้วดังนั้นการค้นหาที่มาของวัตถุโบราณที่เหลือจึงทำได้ยากมากขึ้นไปอีก     เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานี้เองทาง FBI จึงได้ทำการขอความช่วยเหลือจากชุมชนชาวอเมริกันพื้นเมือง และรัฐบาลทั่วโลก เพื่อช่วยตามหาที่มาของวัตถุโบราณที่ถูกสะสมอย่างผิดกฎหมายนี้ต่อไป การขอความช่วยเหลือจากทางชุมชนชาวอเมริกันพื้นเมืองในครั้งนี้ มีเหตุผลมาจากการที่บรรดาวัตถุโบราณที่ยึดมานั้น มีอยู่หลายชิ้นที่คาดว่าเป็นของชนพื้นเมืองอเมริกัน เช่นโครงกระดูกราวๆ 500 ร่างที่คาดกันว่าถูกขุดขึ้นมาจากสุสานของชนพื้นเมืองนั่นเอง     จนถึงในปัจจุบันมีวัตถุโบราณเพียงแค่…

  • ผล DNA เผย หญิงชาวพิตส์เบิร์กผู้ทิ้งครอบครัวไปในปี 1964 แท้จริงแล้วถูกฝังอยู่หลังบ้าน

    ผล DNA เผย หญิงชาวพิตส์เบิร์กผู้ทิ้งครอบครัวไปในปี 1964 แท้จริงแล้วถูกฝังอยู่หลังบ้าน

    ย้อนกลับไปเมื่อ 55 ปีก่อน ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1964 ได้มีเหตุการณ์หญิงสาววัย 36 ปีนามว่า Mary Arcuri ผู้อาศัยในเมืองพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ท่ามกลางความสับสนและงุนงงของคนในครอบครัว   Mary Arcuri   สามีของเธอ Albert Alcuri ได้บอกกับทางตำรวจในเวลานั้นว่า Mary น่าจะตัดสินใจทิ้งเขาและลูกๆ ไปด้วยสีหน้าที่ดูโศกเศร้าและเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อทางตำรวจพบว่าข่าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของ Mary เองก็หายไปเช่นกัน พวกเขาจึงเชื่อว่าหญิงสาวผู้นี้น่าจะหายตัวไปจากบ้านเองด้วยความสมัครใจ หลังจากวันนั้นราวๆ หนึ่งปี Albert ผู้เป็นสามีของ Mary ก็เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุ ดังนั้นครอบครัวที่เหลืออยู่จึงตัดสินใจย้ายออกจากบ้านที่มีความหลังอันเลวร้ายหลังนี้ไป     แต่แล้ว ในระหว่างที่คนงานก่อสร้างเข้ามาทำการปรับปรุงบ้านหลังนี้เมื่อช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา พวกเขากลับพบว่าที่หลังบ้านของครอบครัว Alcuri นั้นมีโครงกระดูกปริศนาถูกฝังเอาไว้อยู่ร่างหนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความสงสัยให้กับทางครอบครัวมากๆ ดังนั้นพวกลูกหลานในตระกูลจึงได้ขอให้มีการนำกระดูกดังกล่าวไปตรวจ DNA และเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 ที่ผ่านมานี้เองโลกก็ได้ทราบความจริงที่ว่า Mary Arcuri นั้นจริงๆ แล้วไม่ได้หายตัวไป แต่เสียชีวิตอยู่ที่หลังบ้านในปี 1964 ต่างหาก  …

  • ย้อนรอย “การสังหารหมู่แห่ง Liepaja” กับภาพสุดท้ายสุดหดหู่ของชาวยิวหญิงและเด็ก

    ย้อนรอย “การสังหารหมู่แห่ง Liepaja” กับภาพสุดท้ายสุดหดหู่ของชาวยิวหญิงและเด็ก

    ในยามที่โลกยังคงร้อนระอุด้วยไฟของสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เนินดินในทางตะวันตกของเมือง Liepaja ประเทศลัตเวีย ได้เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิวขึ้นโดยทหารนาซีที่เข้ามาปกครองประเทศ เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีชื่อว่า “การสังหารหมู่แห่ง Liepaja” เหตุการณ์ที่ชาวยิวกว่า 2,740 คน ซึ่งนับเป็นกว่าครึ่งของประชาชนชาวยิวในประเทศทั้งหมดถูกนำไปสังหารอย่างโหดร้ายในช่วงวันที่ 15-17 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1941     เอาเข้าจริงๆ การสังหารชาวยิวในประเทศลัตเวียนั้นเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ในช่วงเดือนกรกฎาคมแล้ว แต่ในเวลานั้นมีชาวยิวเสียชีวิตไปที่ราวๆ 200 คน และยังไม่ใช่การสังหารหมู่ที่มีการปฏิบัติการอย่างจริงจังขนาดนั้น แต่แล้วในคืนวันที่ 13 ธันวาคม ปี 1941 จู่ๆ ตำรวจของลัตเวียก็เริ่มออกจับชาวยิวที่ยังไม่ไปอยู่ในสลัม ให้ไปรวมตัวกันที่เรือนจำหญิง ก่อนที่จะถูกส่งไปสังหารที่เมือง Liepaja ต่อไป   .   นี่เป็นการสังหารหมู่ที่อาจจะฟังดูเป็นหนึ่งในเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก็จริงอยู่ แต่เมื่อภาพของการสังหารหมู่ในครั้งนี้ถูกเผยแพร่ออกมา เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็กลายเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นอีก นั่นเพราะในรูปภาพนั้น ชาวยิวที่ถูกสังหารมีเพียงแต่ผู้หญิงและเด็กๆ เท่านั้น   . . . .   รูปภาพเหล่านี้ถูกพบหลังจากที่การสังหารจบลงหลายเดือนโดย ชายชาวยิวชื่อ David Zivcon ผู้ซึ่งทำงานเป็นช่างไฟฟ้าในพื้นที่ ก่อนที่จะแอบเอาภาพไปคัดลอกโดยความช่วยเหลือของเพื่อที่รู้จัก และเอากลับบ้านไป…

  • ย้อนเวลาไปชมภาพวินเทจ ‘ยุคทอง’ ของการเดินทางด้วย ‘เครื่องบิน’ ช่วงปี 1950s-1960s

    ย้อนเวลาไปชมภาพวินเทจ ‘ยุคทอง’ ของการเดินทางด้วย ‘เครื่องบิน’ ช่วงปี 1950s-1960s

    ในยุคสมัยปัจจุบันการเดินทางด้วย ‘เครื่องบิน’ นั้น เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดเวลาที่ใช้เดินทางแล้ว ราคาโปรโมชั่นของสายการบินโลว์คอสก็ถูกแสนถูก บินไปไหนมาไหนก็สะดวกสบายกว่าแต่ก่อน     ช่วงปี 1950s-1960s เรียกได้ว่าเป็น ‘ยุคทอง’ ของการเดินทางด้วยเครื่องบิน โดยแต่ละสายการบินพากันยกระดับบริการบนเครื่อง ทั้งอาหารและที่นั่ง เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้โดยสาร การเดินทางโดยเครื่องบินจึงเริ่มเป็นเรื่องธรรมดาของคนยุคนั้น แม้ราคาตั๋วเครื่องบินจะสูงตามระยะทางก็ตาม ไปชมภาพวินเทจของการเดินทางด้วยเครื่องบินในสมัยนั้นพร้อมๆ กันเล๊ยย…   ภาพจากห้องควบคุมการบิน สนามบิน Greater Cincinnati Airport รัฐเคนทักกี สหรัฐอเมริกา   เก้าอี้โดยสารสายการบิน American Airlines   บรรยากาศบนเครื่องบินแบบ Boeing 707 และ 720   สนามบิน Columbia Metropolitan รัฐเซาท์แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา   ห้องรับรองพิเศษบนเครื่องบินแบบ Boeing 747 สายการบิน Continental Airlines   อาหารที่บริการบนเที่ยวบินของสายการบิน Continental Airlines…

  • ย้อนรอย “Scold’s Bridle” อุปกรณ์ลงโทษผู้หญิงปากไม่ดี แห่งศตวรรษที่ 16

    ย้อนรอย “Scold’s Bridle” อุปกรณ์ลงโทษผู้หญิงปากไม่ดี แห่งศตวรรษที่ 16

    ในช่วงยุคกลางของยุโรปคนเรามีความเชื่อว่าการที่จะทำให้คนผิดพ้นจากบาปที่ด้วยเองทำได้นั้น จะต้องมีการชดใช้ผ่านความทรมาน หรือความเจ็บปวดเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแลกที่ในสมัยนั้นคนเราจะมีเครื่องทรมานอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ในบางครั้งโทษที่คนเรากระทำก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่มากจนต้องลงโทษด้วยเครื่องทรมานใหญ่โตเช่นกัน เพราะการกระทำอย่างการนินทาว่าร้ายคนนิดๆ หน่อยๆ นั้นจะถูกลงโทษด้วยการนาบด้วยเหล็กร้อนมันก็อาจจะดูเกินไปหน่อย     นี่คือจุดที่อุปกรณ์ลงโทษอย่าง “Scold’s bridle” เข้ามามีบทบาทในสังคม เพราะนี่คืออุปกรณ์หน้ากากเหล็กที่ออกมาแบบให้ใช้งานกับผู้หญิง (โดยเฉพาะเหล่าภรรยา) ที่มีนิสัยขี้นินทา จู้จี้ ชอบหาเรื่องเพื่อนบ้าน หรือขี้โกหก โดยมีผู้ลงทัณฑ์เป็นสามีของเธอเอง (ตามภาษาสังคมสมัยก่อนที่ผู้ชายเป็นใหญ่)   .   อุปกรณ์ชิ้นนี้อาจจะมีรูปร่างแตกต่างกันไปอยู่บ้าง แต่มักมีจุดร่วมอยู่ที่ทำจากเหล็กมีหน้าตาแปลกประหลาด และมักมีส่วนปากเป็นหนามแหลมคม หรือเหล็กที่กดลงบนปากและลิ้น ซึ่งออกแบบมาไม่ให้ผู้ใช้สามารถขยับปากหรือพูดออกมาได้นั่นเอง หากจะว่ากันตามตรงแล้ว เครื่องมือชิ้นนี้เน้นไปที่การทำให้คนทำผิดอับอายมากกว่าที่จะทำให้ร่างกายบาดเจ็บ อ้างอิงจากรูปแบบอุปกรณ์และภาพการใช้งานในสมัยก่อนที่มักเป็นการใช้งานต่อหน้าสาธารณชน   .   ถึงอย่างนั้นก็ตามหากโทษของผู้ทำความผิดหนักมากๆ พวกเธอก็อาจจะโดนกล่าวหาว่าเป็นแม่มด และถูกทำร้ายร่างกายในระหว่างใส่อุปกรณ์ชิ้นนี้ด้วย หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของการใช้งาน Scold’s Bridle นั้น ถูกบันทึกไว้ในสกอตแลนด์เมื่อปี 1567 และแม้ว่าจะบอกว่าใช้กับผู้หญิงเป็นหลักก็ตาม แต่บางครั้งเครื่องมือชิ้นนี้ก็ถูกใช้กับผู้ชายเช่นกัน     นับว่าโชคดีมากที่ในตอนที่เหล่าผู้แสวงบุญเดินทางไปทวีปอเมริกาในศตวรรษที่ 17 พวกเข้าไม่ได้นำเอาเครื่องมืออย่าง Scold’s Bridle ไปด้วย และภายในยุโรปเองเครื่องมือเหล่านี้ก็ค่อยๆ เสื่อมความนิยมไปตามกาลเวลา ทิ้งไว้เพียงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้ชมกันก็เท่านั้น…

  • “The Weeping Frenchman” ภาพของชาวฝรั่งเศสในยามที่ประเทศพ่ายแพ้ให้กับเยอรมนี

    “The Weeping Frenchman” ภาพของชาวฝรั่งเศสในยามที่ประเทศพ่ายแพ้ให้กับเยอรมนี

    ในช่วงเดือนกันยายนปี ค.ศ. 1940 ธงของประเทศฝรั่งเศสถูกเชิญผ่านท้องถนนแห่งเมืองมาร์แซย์ เมืองทางตอนใต้ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศฝรั่งเศส ก่อนที่จะถูกนำขึ้นเรือเพื่อเดินทางไปยังแอฟริกา ท่ามกลางประชาชนที่มายืนดูทั้งน้ำตา นี่เป็นการกระทำที่กองทหารซึ่งเหลืออยู่เพียงน้อยนิดกระทำ เพื่อปกป้องธงของประเทศที่พวกเขาภูมิใจ ในช่วงเวลาที่ประเทศดำเนินมาถึงจุดที่ตกต่ำที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และต้องยอมแพ้ให้แก่ประเทศเยอรมนี หลังจากที่ต้องพบกับเทคนิคการรบแบบสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg) เป็นเวลา 6 สัปดาห์     การเสียน้ำตาของเหล่าผู้คนในวันนั้นถูกจับภาพ และถูกตีพิมพ์ในนิตยสาร Life ก่อนที่จะโด่งดังไปทั่วโลก จนเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “The weeping Frenchman” หรือ “เหล่าชาวฝรั่งเศสที่ร่ำไห้” อ้างอิงจากหนังสือ “Marseille sous l’occupation” หนังสือภาพเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง นักเขียนได้บอกไว้ว่า ภาพที่เห็นนี้เป็นของชายชื่อ Monsieur Jerôme Barzetti และเพื่อนๆ ซึ่งไม่เพียงแต่โผล่มาให้เห็นในหนังสือเท่านั้น แต่ยังถูกจับภาพไว้โดยกล้องวิดีโอในสมัยนั้นด้วย   ภาพวิดีโอที่ว่าจากช่อง All is History    อันนี้แถม เป็นเรื่องที่รู้กันว่าประเทศเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้นไม่พอใจประเทศฝรั่งเศสอยู่หลายอย่าง เพราะสนธิสัญญาจากประเทศฝรั่งเศส ที่ทางเยอรมนีถูกบังคับให้ยอมรับในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้นสร้างความยากลำบากให้แก่เศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของคนในประเทศมาก ดังนั้นในยามที่ประเทศเยอรมนีบุกยึดฝรั่งเศสได้สำเร็จในปี 1940 ฮิตเลอร์จึงขอให้การลงนามในสัญญายอมแพ้ของฝรั่งเศสจัดทำขึ้นที่สถานที่เดียวกับที่เยอรมนีเคยใช้ลงนามยอมแพ้ในปี 1918 (บนรถไฟขบวนเดียวกัน) เพื่อเอาคืนประเทศฝรั่งเศสเลยทีเดียว    …

  • งานวิจัยใหม่ตอบคำถาม ชาวปอมเปอีที่รอดชีวิตไปอยู่ที่ไหน หลังเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิด

    งานวิจัยใหม่ตอบคำถาม ชาวปอมเปอีที่รอดชีวิตไปอยู่ที่ไหน หลังเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิด

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าในปีคริสต์ศักราชที่ 79 ภูเขาไฟวิซุเวียส ได้เกิดระเบิดขึ้น และทำให้ผู้คนนับพันจากในเมืองปอมเปอี ต้องถูกฝังอยู่ใต้เถ้าภูเขาไฟ และทำให้เมืองปอมเปอีกลายเป็นเมืองร้างที่ไร้ซึ่งชีวิตไป แต่ก็เช่นเดียวกับภัยพิบัติอื่นๆ ของโลก แม้ว่าคนในปอมเปอีและเสียชีวิตไปมากแค่ไหน มันก็ย่อมต้องมีผู้รอดชีวิตอยู่บ้าง ถึงจะน้อยมากก็ตาม และเรื่องราวของคนเหล่านี้เองที่เหล่านักโบราณคดีสนใจ จนเกิดเป็นงานวิจัยชิ้นใหม่ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Analecta Romana     นี่เป็นงานวิจัยที่เกิดขึ้นจากคำถามที่ว่าเหล่าผู้รอดชีวิตจากปอมเปอีนั้นไปอยู่ที่ไหนต่อกันแน่ ซึ่งจัดทำขึ้นโดยคุณ Steven Tuck ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยไมอามี โดยอาศัยหลักฐานทางโบราณคดีทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร วัตถุโบราณ และบันทึกในสมัยนั้น แน่นอนว่าหากนึกถึงความสามารถในการเดินทางของคนในสมัยนั้น คนที่ไร้บ้านก็ไม่น่าจะเดินทางได้ไกลนัก คุณ Steven จึงตั้งข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่าชาวปอมเปอีน่าจะกระจายกันไปอยู่ที่เมืองรอบๆ โดยเฉพาะเมืองท่า อย่างเมือง Cumae, Naples, Ostia และ Puteoli หนึ่งในข้อมูลที่ Steven ใช้ในการระบุเมืองเหล่านี้ มาจากบันทึกการบูชาเทพ Vulcanus อันเป็นเทพแห่งไฟ (และภูเขาไฟ) หรือไม่ก็ Venus Pompeiana เทพประจำปอมเปอี ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในบรรดาเมืองที่คนจากปอมเปอีลี้ภัยไปอยู่     โดยในบรรดาเมืองที่กล่าวมาข้างบนนั้น เมืองที่น่าสนใจที่สุดที่มีหลักฐานว่าคนจากปอมเปอีลี้ภัยไฟคือเมือง Naples เนื่องจากในเมืองนี้มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรว่า มีชายชื่อว่า Cornelius Fuscus ลี้ภัยมาจากปอมเปอี และเข้ามาเป็นทหารอยู่ นอกจากนี้เองคำว่า “HAVE” …

  • นักโบราณคดีพบ สัญลักษณ์รูป “อวัยวะเพศชาย” ในเหมืองหินโบราณอายุกว่า 1,800 ปี

    นักโบราณคดีพบ สัญลักษณ์รูป “อวัยวะเพศชาย” ในเหมืองหินโบราณอายุกว่า 1,800 ปี

    ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปี 1980 ในบริเวณใกล้ๆ แหล่งโบราณคดี “กำแพงฮาดริอานุส” กำแพงโรมันโบราณในเขตเมือง Brampton ประเทศอังกฤษ เหล่านักโบราณคดีได้ทำการค้นพบ เหมืองหินโบราณที่เชื่อกันว่าเคยมีการขุดไปซ่อมกำแพง และมีการจารึกข้อความโบราณจำนวนมากเอาไว้ นี่คือแหล่งโบราณคดีที่มีชื่อว่า “Written Rock of Gelt” กลุ่มข้อความและสัญลักษณ์ราวๆ 9 แบบ ที่คาดกันว่าเขียนโดยผู้นำคนงานเหมืองหินในสมัยโรมันโบราณ ตั้งแต่เมื่อช่วงปี ค.ศ. 207 และที่ผ่านๆ มา เราแทบจะไม่สามารถบอกได้เลยว่าข้อความเล่านี้เขียนว่าอะไรหรือต้องการสื่ออะไรกันแน่     แต่แล้วเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เหล่านักโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล และหน่วยงานประวัติศาสตร์อังกฤษของรัฐบาล ก็ได้ร่วมกันตรวจสอบ ฟื้นฟู และถอดรหัสสัญลักษณ์ที่ Written Rock of Gelt อีกครั้ง และได้พบกับเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายเลย นั่นเพราะในบรรดาสัญลักษณ์ที่พวกเขาพบอยู่ที่กำแพงหินนี้จากการวิเคราะห์ภาพด้วยระบบสามมิตินั้น ยังมีสัญลักษณ์ที่คล้ายกับภาพอวัยวะเพศชายวาดเอาไว้ด้วย     นี่อาจจะดูเป็นเรื่องน่าแปลกก็จริงอยู่แต่จากคำบอกเหล่าของทีมนักโบราณคดี ดูเหมือนว่าสัญลักษณ์รูปอวัยวะเพศชายหรือ “The Phallus” นั้นในสมัยก่อนจะถูกใช้เป็นสัญลักษณ์นำโชคของชาวโรมัน ละเคยมีการพบมาแล้วในโบราณสถานโรมันอื่นๆ แต่แม้ว่า The Phallus จะเป็นสัญลักษณ์ที่ดูแปลกตาสำหรับคนในปัจจุบันก็ตามแต่มันก็ไม่ใช่สัญลักษณ์เพียงอย่างเดียวที่มีการพบในการศึกษาครั้งนี้…

  • นักโบราณคดีพบ โบราณวัตถุของเผ่ามายาร่วม 800 ชิ้น ใต้ทะเลสาบที่กัวเตมาลา

    นักโบราณคดีพบ โบราณวัตถุของเผ่ามายาร่วม 800 ชิ้น ใต้ทะเลสาบที่กัวเตมาลา

    เมื่อพูดถึงการค้นพบเกี่ยวกับเผ่ามายาแล้ว คนเราก็มักจะนึกถึงการค้นพบในวิหารลึกลับ หรือในก็การค้นพบในผืนป่ากว้างใหญ่เป็นหลัก ว่าแต่แต่ทราบกันหรือไม่ว่าบางครั้งการค้นพบเกี่ยวกับเผ่ามายา ก็เกิดขึ้นได้ในทะเลสาบเช่นกัน     นั่นเพราะชาวมายาในสมัยก่อน นับถือทะเลสาบบางแห่งให้เป็นทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ และมีการใช้งานในฐานะสถานที่ประกอบพิธีกรรมด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใต้ทะเลสาบในทางตอนเหนือของประเทศกัวเตมาลา อย่างทะเลสาบ Petén Itzá ที่ตั้งอยู่กลางเมืองโบราณ Nojpetén ทีมนักสำรวจจะสามารถค้นพบโบราณวัตถุ จมอยู่ร่วม 800 ชิ้น     โดยการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของทีมค้นหาวัตถุโบราณแห่งมหาวิทยาลัย Jagiellonian ของประเทศโปแลนด์ และคาดกันว่าวัตถุโบราณเหล่านี้อาจมาจากพิธีกรรมของชาวมายาจากหลายยุคหลายสมัยเลย จากการตรวจสอบในเบื้องต้น วัตถุโบราณที่พบนี้โดยมากจะมาจากช่วงปี ค.ศ. 1000-1697 แต่ก็มีบางชิ้นเหมือนกันที่เป็นเครื่องเซรามิกซึ่งมาจากช่วง 150 ปีก่อนคริสตกาลถึงปีคริสต์ศักราช 250 ในบรรดาของที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่มีการพบนั้น ประกอบไปด้วยชามเซรามิกสามชิ้น มีดที่ทำจากหินภูเขาไฟ (Obsidian) ซึ่งเป็นไปได้ว่าในสมัยก่อนใช้ในพิธีบูชายัญสัตว์เล็ก อ้างอิงจากกระดูกสัตว์ที่ถูกพบอยู่ในถ้วยใต้น้ำ (แม้ว่าจะเป็นไปได้ว่าเกิดจากการที่สัตว์มาตายทีหลังก็ได้)     Magdalena Krzemień หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า สำหรับชาวมายาสมัยก่อนแล้ว น้ำนับเป็นสัญลักษณ์ทางความเชื่อที่สำคัญอย่างหนึ่ง เพราะมันเป็นสื่อกลางที่ใช้เชื่อมโลกของคนเป็นเขากับโลกของคนตาย สถานที่ซึ่งเหล่าทวยเทพของเผ่ามายาอยู่ จริงอยู่ที่ว่าการค้นพบวัตถุโบราณพร้อมๆ กันกว่า 800 ชิ้น อาจจะดูเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่สำหรับนักโบราณคดีกลุ่มนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาคิดจะหยุดการสำรวจไว้เพียงเท่านี้เลย เพราะในปัจจุบันพวกเขาได้มีกำหนดการในการตรวจสอบทะเลสาบแห่งนี้เพิ่มเติมแล้ว ภายในเดือนสิงหาคมปีนี้   ที่มา livescience, medicaldaily

  • ย้อนรอย “เทพีเสรีภาพ” อนุสาวรีย์ของผู้แสวงหาอิสระ ที่อยู่คู่กับสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน

    ย้อนรอย “เทพีเสรีภาพ” อนุสาวรีย์ของผู้แสวงหาอิสระ ที่อยู่คู่กับสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน

    เชื่อว่าในปัจจุบันคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเทพีเสรีภาพของสหรัฐอเมริกาอีกแล้ว เพราะนอกจากนี่จะเป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจของเหล่าผู้แสวงหาเสรีภาพแล้ว เทพีเสรีภาพยังเป็นงานประติมากรรมที่มีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมปีละมากมายหลายล้านคนด้วย ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่า กว่าจะมาเป็นเทพีเสรีภาพสุดงดงามอย่างที่เราเห็นกันในทุกวันนี้ เมื่อราวๆ 130 ปีก่อน ในตอนที่กำลังสร้างขึ้นมา เทพีดังกล่าวมีสภาพอย่างไรกัน     เทพีเสรีภาพนั้น เป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสสร้างขึ้นให้แก่ชาวอเมริกันในปี 1876 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีการประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา โดยในเวลานั้น มีชื่อว่า “Liberty Enlightening the World” หรืออนุสาวรีย์เสรีภาพตรัสรู้โลก   . .   เทพีเสรีภาพนั้น ได้รับแนวคิดมาจาก Édouard René de Laboulaye ประธานสมาคมต่อต้านการค้าทาสของฝรั่งเศสในปี 1865 เพื่อเพื่อระลึกถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ และออกแบบโดยประติมากร Frédéric Auguste Bartholdi ผู้มีผลงานเด่นๆ อยู่ที่การออกแบบหอไอเฟล   . .   น่าเสียดายที่ในช่วงปี 1870 ฝรั่งเศสต้องเข้าร่วมสงครามพอดีทำให้เวลานั้นงบประมาณที่ใช้ในการสร้างอนุสาวรีย์ไม่พอ และ Bartholdi จำเป็นที่จะต้องใช้แผนอื่นในการหาเงินมาทำอนุสาวรีย์ เขาตัดสินใจสร้างเฉพาะส่วนมือที่ถือคบเพลิงตั้งไว้ในแมนฮัตตัน เพื่อเรี่ยไรเงินจากบริจาคจากทั่วโลก…

  • นักโบราณคดีพบ อุปกรณ์สักที่ทำจากหนามต้นกระบองเพชร คาดเก่าแก่ที่สุดในอเมริกาเหนือ

    นักโบราณคดีพบ อุปกรณ์สักที่ทำจากหนามต้นกระบองเพชร คาดเก่าแก่ที่สุดในอเมริกาเหนือ

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีว่าการสักนั้นเป็นวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน และเกิดขึ้นในแทบทุกที่บนโลกไม่ว่าจะเป็นทวีปยุโรป แอฟริกา เอเชีย หรืออเมริกา และเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 เหล่านักโบราณคดีก็ได้ออกมาทำการเปิดเผยถึงการค้นพบอุปกรณ์สักอันน่าทึ่ง โดยในครั้งนี้อุปกรณ์สักที่พบ นับว่าเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการพบมาในทางตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือเลยทีเดียว     นี่เป็นอุปกรณ์สักที่ทำจากหนามของต้นกระบองเพชรพันเข้ากับไม้ ความยาวราวๆ 10 เซนติเมตร ซึ่งถูกค้นพบอยู่ในโรงเก็บของของพิพิธภัณฑ์ในมหาวิทยาลัยรัฐวอชิงตัน และคาดกันว่ามีอายุมากถึง 2,000 ปี จากการตรวจสอบทางประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์แล้ว ทางผู้เกี่ยวข้องก็พบว่าเข็มดังกล่าวน่าจะเคยถูกใช้โดย กลุ่มบรรพบุรุษชนเผ่าพิวโบล ที่มีชีวิตอยู่ในช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาลไปจนถึงคริสต์ศักราชที่ 500 ในทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐยูทาห์ และมีการใช้งานในช่วงปี ค.ศ. 79-130     Andrew Gillreath-Brown นักศึกษาปริญญาเอกสาขามานุษยวิทยาที่มหาวิทยาลัยรัฐวอชิงตัน ผู้ค้นพบวัตถุโบราณชิ้นนี้กล่าวว่า การสักของคนในแถบอเมริกาเหนือในสมัยก่อนประวัติศาสตร์มักจะมีค่อยมีการพูดถึงเท่าไหร่ นั่นเพราะที่ผ่านๆ มาแทบจะไม่มีการค้นพบหลักฐานการสักแบบเป็นชิ้นเป็นอันเลย แถมหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่ของกรสักในอเมริกาเหนือที่ผ่านๆ มายังมาจากช่วง ค.ศ. 1100-1280 ซึ่งนับว่าไม่เก่าแก่เท่าไหร่นัก     ดังนั้นแม้ว่านี่จะเป็นอุปกรณ์สักที่พบจะไม่ใช่หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของการสักแต่อย่างไร (เพราะมัมมี่ของ “Ötzi” ที่ถูกพบในอิตาลีเองก็มีร่องรอยของการสักอยู่เหมือนกัน แถมมีอายุถึง 5,300…

  • พบรูปสลักสฟิงซ์หัวแกะ อายุกว่า 3,000 ปีที่อียิปต์ เชื่อสร้างในสมัยปู่ของฟาโรห์ตุตันคาเมน

    พบรูปสลักสฟิงซ์หัวแกะ อายุกว่า 3,000 ปีที่อียิปต์ เชื่อสร้างในสมัยปู่ของฟาโรห์ตุตันคาเมน

    เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในพื้นที่เหมืองหินเก่าแก่ Gebel el-Silsila ใกล้ๆ เมือง Aswan ประเทศอียิปต์ ทีมนักโบราณคดีของมหาวิทยาลัยลุนด์แห่งสวีเดนได้ค้นพบรูปสลักสฟิงซ์เก่าแก่ที่มีอายุถึง 3,000 ปี     นี่เป็นรูปสลักสฟิงซ์ที่เรียกกันว่า “Criosphinx” หรือสฟิงซ์ที่มีหัวเป็นแกะ ทำขึ้นจากหินทรายที่มีน้ำหนักร่วม 10 ตัน และมีส่วนสูงถึงราวๆ 3.5 เมตร โดยสฟิงซ์หัวแกะตัวนี้เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นในสมัยของฟาโรห์แอเมนโฮเทปที่ 3 ผู้มีศักดิ์เป็นปู่ของฟาโรห์ตุตันคาเมน และครองราชย์ในช่วง 1390-1350 ปีก่อนคริสตกาล     น่าเสียดายที่จากร่องรอยที่พบ ครึ่งบนของหัวสฟิงซ์ตัวนี้จะได้รับความเสียหายรุนแรง และผุพังเสียหายไปตามกาลเวลา (แต่ยังเหลือมากพอที่จะทราบว่าเป็นสฟิงซ์หัวแกะ) แถมตัวของสฟิงซ์เองก็ถูกทิ้งเอาไว้ในเหมืองหินแห่งนี้ก่อนที่จะเสร็จด้วย แม้ว่านักโบราณคดีจะไม่สามารถฟันธงได้ว่าทำไมสฟิงซ์ตัวนี้จึงถูกทิ้งไว้ก่อนที่จะแกะสลักเสร็จ แต่พวกเขาก็คาดว่าอาจจะเป็นเพราะตัวรูปสลักเสียหายในระหว่างการนำเดินงาน หรือไม่ก็ตัวฟาโรห์จากไปก่อนที่งานจะสำเร็จนั่นเอง     โดยนอกจากสฟิงซ์หัวแกะแล้ว เหล่านักโบราณคดียังพบกับโบราณวัตถุในพื้นที่ใกล้เคียงอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งป้ายอักษรเฮียโรกลิฟฟิค ชิ้นส่วนของรูปจานกลมแห่งดวงอาทิตย์ (Solar Disk) และรูปสลักสฟิงซ์ขนาดเล็กที่คาดกันว่าทำขึ้นโดยคนงานฝึกหัดในสมัยนั้น     นั่นทำให้ในปัจจุบันทีมนักสำรวจกำลังมุ่งเน้นความพยายามไปกับการถอดรหัสอักษรเฮียโรกลิฟฟิคที่พบเป็นหลัก…

  • 15 ภาพผู้คนของศตวรรษที่ 19 ที่ถูกนำมาตกแต่งสีจนกลับมามีชีวิต ด้วยฝีมือของชาวเน็ต

    15 ภาพผู้คนของศตวรรษที่ 19 ที่ถูกนำมาตกแต่งสีจนกลับมามีชีวิต ด้วยฝีมือของชาวเน็ต

    เป็นเรื่องที่เราทราบกับว่าก่อนหน้ายุค 1950-1960 ภาพถ่ายสีจะยังเป็นเรื่องที่หายากมาก ดังนั้นแม้แต่ภาพคนดังในสมัยก่อน เราก็มีโอกาสได้เห็นแต่ในสภาพรูปขาวดำเท่านั้น นับว่าโชคดีมากที่ในปัจจุบัน เรามีเทคโนโลยีและผู้คนมากมายที่จะพยายามที่จะชุบชีวิตภาพขาวดำเก่าๆ มาให้เราได้ชมกันอีกครั้ง และสำหรับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างคุณ seriykotik1970 แล้ว ผลงานของเขาก็เน้นไปที่เหล่าผู้คนของศตวรรษที่ 19 นั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม 15 ภาพเหล่าผู้คนของศตวรรษที่ 19 ที่ถูกนำมาตกแต่งสีจนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ว่าแต่ภาพจะสวยแค่ไหน หรือมีใครบ้าง คงต้องเชิญเพื่อนๆ ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้เอง   เริ่มกันจากรูปภาพ “สาวงาม” ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดที่ถ่ายโดยกล้องดาแกโรไทพ์ จากปี 1848   Lola Montez นักร้องชาวไอร์แลนด์ เมื่อปี 1851   อีกมุมหนึ่งของ Lola Montez แต่งสีแล้วเหมือนภาพวาดเลย   หนึ่งในโสเภณีชั้นสูงที่มีชื่อเสียงที่สุดของปารีส Cora Pearl จากปี 1854   หญิงสาวไม่ทราบนามจากสตูดิโอภาพของ “นาดาร์” ช่างภาพมีชื่อของฝรั่งเศส เมื่อปี 1861   นักแสดงหญิง  Ellen Terry ก่อนที่จะแต่งงานเล็กน้อย…

  • “หญ้าฝรั่น” เครื่องเทศที่แพงที่สุดในโลก ที่อาจหายไปจากอินเดียเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง

    “หญ้าฝรั่น” เครื่องเทศที่แพงที่สุดในโลก ที่อาจหายไปจากอินเดียเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง

    สำหรับคนในประเทศไทยที่นับว่ารักเครื่องเทศมากๆ ในระดับหนึ่ง เชื่อว่าคงมีหลายๆ คนที่รู้จักเครื่องเทศอย่างหญ้าฝรั่นกันเป็นอย่างดี เพราะไม่เพียงแต่มันจะใช้เป็นยาและอาหารได้เท่านั้น แต่ตั้งแต่ในอดีตหญ้าฝรั่นก็เคยมีการนำไปใช้เป็นทั้งน้ำย้อมและเครื่องย้อม จนทำให้มันกลายเป็นเครื่องเทศที่มีราคาเป็นอย่างมากไป     หญ้าฝรั่นเก็บได้จากดอกหญ้าฝรั่นสมชื่อ โดยจะเป็นการเก็บยอดเกสรเพศเมียสีแดงออกมาจากตัวดอกไม้ออกสีม่วง ซึ่งเชื่อกันว่าถูกใช้ในฐานะเครื่องเทศครั้งแรกๆ ใน อิหร่าน เมโสโปเตเมีย หรือไม่ก็กรีก ก่อนที่จะเผยแพร่ไปทั่วโลกในเวลาต่อมา หญ้าฝรั่นมีกลิ่นฉุนเฉพาะตัวและมีรสค่อนข้างขม มีสรรพคุณในการขับเหงื่อ บำบัดโรคต่างๆ ลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด บรรเทาอาการท้องอืด แถมยังช่วยทำให้เจริญอาหาร ดังนั้นมันจึงมักถูกนำไปทำอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และยุโรปมาอย่างยาวนาน     นอกจากนี้ในอินเดียสมัยโบราณหญ้าฝรั่นยังมักจะนำมาย้อมจีวรโดยเหล่าสงฆ์อีกด้วย ทำให้เรียกได้ว่าหญ้าฝรั่นนั้น เป็นเครื่องเทศที่ตลาดค้าขายต้องการอยู่เสมอๆ เลยก็ไม่ผิดนัก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในแคชเมียร์ประเทศอินเดีย หญ้าฝรั่นจะนับเป็นเครื่องเทศที่แพงที่สุด โดยมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ราวๆ กิโลกรัมล่ะ 106,000 บาท เนื่องจากกระบวนการเก็บที่ต้องทำด้วยมือ และเมื่อเก็บแล้วดอกไม้อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการขยายพันธุ์ด้วย     ที่สำคัญคือในช่วงหลายปีที่ผ่านมาปริมาณการผลิตหญ้าฝรั่นในแคชเมียร์ยังถือว่าลดลงอย่างน่าใจหายเลยด้วย เพราะจากที่ชาวไร่เคยเก็บหญ้าฝรั่นได้ถึงครั้งละ 400 กิโลกรัมในช่วงปี 2000 ในช่วงปี 2016-2018 ที่ผ่านมา พวกเขากลับสามารถเก็บหญ้าฝรั่นได้เพียง 15 กิโลกรัมเท่านั้น เป็นไปได้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจากการที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ที่อินเดียแทบไม่มีฝนตกเลยก็เป็นได้ และหากปล่อยไว้แบบนี้ หญ้าฝรั่นจากแคชเมียร์ซึ่งนับว่ามีคุณภาพดีที่สุดในโลกก็อาจจะหายไปเลยก็เป็นได้  …

  • ย้อนรอยหลักฐานการเลี้ยงสุนัขและจิ้งจอกเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ ในช่วงต้นยุคสัมฤทธิ์

    ย้อนรอยหลักฐานการเลี้ยงสุนัขและจิ้งจอกเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ ในช่วงต้นยุคสัมฤทธิ์

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันอยู่แล้วว่าสุนัขนั้น เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน เพราะตั้งแต่ในอดีตมา เราก็เคยมีหลักฐานที่ว่ามนุษย์และสุนัขมีวิธีชีวิตที่พึ่งพาอาศัยกันมาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของอารยธรรมแรกๆ ที่เรารู้จักเลย ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าสุนัขนั้น ได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์อย่างแพร่หลายเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่     ที่ผ่านๆ มาเรามีหลักฐานว่ามนุษย์อยู่กับสัตว์สายพันธุ์สุนัขมาตั้งแต่เมื่อราวๆ 36,000 ปีก่อน จากการตรวจสอบ DNA และหลักฐานทางโบราณคดีในถ้ำหลายแห่ง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าสุนัขนั้นน่าจะถูกเลี้ยงไว้เป็นเวลานานมากๆ แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นหากจะพูดถึงช่วงเวลาที่เราพบหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดแห่งหนึ่ง ที่บอกว่ามนุษย์ได้นำสุนัขมาเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างแพร่หลายแล้ว เราก็คงต้องพูดถึงหลักฐานที่พบในทางตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทรไอบีเรีย ที่มาจากต้นยุคสัมฤทธิ์เป็นหลัก     เพราะในที่พื้นที่แห่งนี้เองนักวิทยาศาสตร์ได้พบแหล่งโบราณคดีถึงสองแห่ง ที่มีโครงกระดูกของมนุษย์ ถูกฝังไว้กับสุนัข และสุนัขจิ้งจอกจำนวนมากนั่นเอง เรื่องชี้ชัดที่สุดว่าสุนัขเหล่านี้ถูกนำมาเลี้ยงในที่แห่งนี้ ไม่ใช่เพียงการสังหารสุนัขป่าและนำมาทิ้ง คือการที่พวกมันทานอาหารแบบเดียวกับมนุษย์ผู้เป็นเจ้านาย แถมยังเกิดขึ้นกับทั้งสุนัข และจิ้งจอก ซึ่งนับว่าค่อนข้างแปลกเพราะตามปกติแล้วสุนัขจิ้งจอกมักจะไม่ถูกมนุษย์นำมาเลี้ยง     นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าในมนุษย์นั้นมีการให้อาหารแบบพิเศษกับสุนัขบางส่วนอีกด้วย ซึ่งเป็นไปได้ว่าเกิดขึ้นจากการให้อาหารเป็นรางวัลหลังการใช้แรงงานพวกมัน การใช้แรงงานที่ว่านี้ได้รับการสันนิษฐานโดยนักวิทยาศาสตร์ว่ามีความเกี่ยวข้องกับงานบรรทุกสิ่งของ เนื่องจากขนาดของสุนัขที่การให้อาหารเป็นพิเศษจะตัวค่อนข้างใหญ่ แถมบางตัวยังมีปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังซึ่งมักเกิดขึ้นจากการบรรทุกน้ำหนักมากเกินไปไว้บนหลัง นอกจากนี้กระดูกของหนึ่งในสุนัขจิ้งจอกที่พบในยุคนี้เองก็มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะมันมีร่องรอยว่าเคยขาหัก และถูกด้ามขาให้โดยมนุษย์นั่นเอง ซึ่งการกระทำนี้เองก็เป็นหลักฐานอย่างดีว่าคนในสมัยนั้นน่าจะให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงของพวกเขาในระดับหนึ่ง     เป็นไปได้ว่าที่สุนัขได้รับการปฏิบัติที่ต่างไปจากสัตว์อื่นๆ ที่มนุษย์เลี้ยงนั้น น่าจะมาจากความสามารถในการปรับตัวเข้ากับมนุษย์ บวกกับความฉลาด และฝึกได้ง่ายของมัน ดังนั้น แม้ว่าสุนัขบางส่วนจะถูกนำไปใช้ทำงานแบกหามก็ตาม…

  • พบฟอสซิลหนูโบราณอายุกว่า 69 ล้านปี ที่เขตอาร์คติก บนเกาะที่มีกลางคืนยาวนาน 4 เดือน

    พบฟอสซิลหนูโบราณอายุกว่า 69 ล้านปี ที่เขตอาร์คติก บนเกาะที่มีกลางคืนยาวนาน 4 เดือน

    เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมค้นหาซากดึกดำบรรพ์ของมหาวิทยาลัยโคโลราโด ซึ่งออกเดินทางไปยังรัฐอะแลสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อทำการค้นหาซากดึกดำบรรพ์ ในเขตอาร์คติก ได้ทำการค้นพบฟอสซิลสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กสายพันธุ์ใหม่ ที่อาศัยอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับไดโนเสาร์     เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวที่ว่านี้ คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในตระกูลหนู ที่ได้รับการตั้งชื่อว่า “Unnuakomys Hutchisoni” จากการร่วมคำภาษาอินุอิท “Unnuak” ที่แปลว่ากลางคืน และคำภาษากรีก “Mys” ที่แปลว่าหนู จากการคาดการอายุเบื้องต้นเจ้าหนูที่พบนี้น่าจะมีชีวิตอยู่เมื่อราวๆ 69 ล้านปีก่อน ในพื้นที่ทางตอนเหนือของเกาะสวาลบาร์ด ที่ซึ่งในเวลานั้นจะมีกลางคืนยาวนานถึง 4 เดือน โดยชิ้นส่วนที่มีการค้นพบในครั้งนี้คือชิ้นส่วนขากรรไกรล่างที่มีความยาวเพียง 1.5 มิลลิเมตร และฟันขนาดเล็กอีกราวๆ 70 ชิ้น ดังนั้นจึงนำว่าเป็นโชคดีมากที่เหล่านักโบราณคดีสามารถเก็บกู้มันมาได้โดยที่ไม่สูญหายไปเสียก่อน     ขนาดของขากรรไกรที่พบทำให้นักโบราณคดีคาดว่าเจ้าหนูที่พบน่าจะมีขนาดใกล้เคียงกับหนูตัวเล็กในปัจจุบัน และจากรูปร่างของขากรรไกรเอง นักโบราณคดีก็เชื่อว่าเจ้าหนูตัวนี้นั้นน่าจะมีรูปร่างคล้ายตัวพอสซัมในปัจจุบัน จริงอยู่ว่าพื้นที่แถวๆ ขั้วโลกในอดีตจะมีอุณหภูมิที่สูงกว่าในปัจจุบัน แต่มันก็เป็นไปได้มากว่าเจ้า Unnuakomys Hutchisoni น่าจะต้องอาศัยในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยเพียง 6 องศาเซลเซียสอยู่ดี ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูงที่เจ้าสัตว์ตัวนี้จะมีการขุดหลุมไปอาศัยใต้ดินเพื่อหลบอากาศหนาว    …

  • พบ เผ่า Darkhad ชนเผ่าในมองโกเลีย ผู้รับหน้าที่ดูแลสุสานและวิญญาณของเจงกิสข่าน

    พบ เผ่า Darkhad ชนเผ่าในมองโกเลีย ผู้รับหน้าที่ดูแลสุสานและวิญญาณของเจงกิสข่าน

    เคยได้ยินเรื่องราวของชนเผ่า “Darkhad” กันมาก่อนไหม พวกเขาคือหนึ่งในชนเผ่าย่อยที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศมองโกเลีย เชื่อว่าตัวเองเป็นลูกหลานของ Bo’orchu และ Muqali ของแม่ทัพที่ได้รับหน้าที่อันทรงเกียรติอย่างการปกป้องสุสานของเจงกิสข่านตั้งแต่ในปี 1227     ผู้คนในเผ่านี้ในอดีตมักถูกพบปักหลักปกป้องพื้นที่หุบเขา Darkhad ในจังหวัด Khövsgöl ของมองโกเลียมา และเชื่อกันว่าพวกเขาอยู่ที่นั่นมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษ คำว่า Darkhad ในภาษามองโกเลียแปลว่า ผู้ที่ไม่สามารถจับต้องได้ และผู้ถูกปกป้อง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เผ่านี้จะดูปลีกตัวออกจากสังคม และนอกจากจะปกป้องพื้นที่ที่เป็นสุสานของเจงกิสข่านแล้ว คนเหล่านี้ยังรับหน้าที่ดูแลรักษาวัตถุโบราณที่สืบทอดกันมาแต่อดีตด้วย     หน้าที่เหล่านี้เองทำให้เผ่านี้ยังคงใช้ชีวิตหลักจารีตประเพณีดั้งเดิมอยู่ พวกเขาอาศัยใน “Gers” ที่อยู่อาศัยที่มีลักษณะคล้ายกระโจม และยังคงใช้ชีวิตด้วยการเลี้ยงปศุสัตว์ ในอดีตวัตถุโบราณของเจงกิสข่าน จะถูกเก็บไว้ในกระโจม 8 แห่งของชนเผ่า โดยหนึ่งในสิ่งของเหล่านี้คือ “Suledu” อาวุธรูปร่างคล้ายสามง่าม ที่ถูกเชื่อโดยคนในเผ่าว่าถูกประทานมาให้เจงกิสข่าน จากทวยเทพ โดยแลกกับการบูชายัญม้า 1,000 ตัว และ แกะอีก 10,000 ตัว     แน่นอนว่าชาว Darkhad นั้นเคารพวัตถุโบราณเหล่านี้มากกว่าเพียงสิ่งของธรรมดามา และพวกเขาเองก็เชื่อว่าในวัตถุโบราณเหล่านี้นั้น มีวิญญาณของเจงกิสข่านสิงอยู่ภายในด้วย จริงอยู่ว่าที่อยู่จริงๆ ของสุสานของเจงกิสข่านจะหายในไปประวัติศาสตร์แล้ว…

  • ไอร์แลนด์นำเกาะร้างที่มีโบราณสถานพร้อม “หินสาปแช่ง” ออกขาย ในราคาราว 44 ล้านบาท

    ไอร์แลนด์นำเกาะร้างที่มีโบราณสถานพร้อม “หินสาปแช่ง” ออกขาย ในราคาราว 44 ล้านบาท

    เพื่อนๆ เคยรู้สึกว่าอยากได้เกาะส่วนตัวไว้สักเกาะไหม? โดยเฉพาะถ้าบนเกาะมีโบราณสถานอยู่ด้วย เพราะเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ที่ประเทศไอร์แลนด์ ได้มีการนำเกาะร้างไร้ผู้คนเกาะหนึ่งในเขตเมืองกัลเวย์ ออกมาประกาศให้คนที่สนใจสามารถเข้าไปจับจองได้แล้ว ภายในราคาราวๆ 44,000,000 บาทเท่านั้น     ที่ผ่านๆ มาเกาะแห่งนี้ถูกครอบครองโดยนักกวีชื่อ Richard Murphy ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1927-2018 และถูกปล่อยขายหลังจากที่เขาเสียชีวิตไป จากข้อมูลของสื่อต่างประเทศ เกาะที่ถูกนำมาวางขายนี้ มีชื่อว่าเกาะ “Ardoileán” เกาะขนาด ราวๆ 320,000 ตารางเมตร ที่อยู่ห่างออกไปจากหาดเมืองกัลเวย์ 3 กิโลเมตร ซึ่งมีทะเลสาบขนาดเล็กสองแห่ง และสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่อีกสองแห่ง     อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจของเกาะนี้ไม่ได้อยู่ที่ทะเลสาบ หรือสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่ที่แถมมา แต่เป็นการที่บนเกาะมีโบราณสถานอยู่แห่งหนึ่งต่างหาก โดยนี่เป็นวิหารโบราณที่สร้างจากหิน ที่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 7 โดยนักบุญ Féchín of Fore เพื่อให้คนบนเกาะที่เป็นชาวเซลติกในเวลานั้นได้ใช้ในการทำพิธีกรรมทางศาสนา     วิหารนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ “หินสาปแช่ง” หินที่มีรูปร่างเกือบกลมขนาดใหญ่ ซึ่งใช้ในการสาปแช่งศัตรูสมชื่อ ซึ่งที่ผ่านๆ…

  • พบไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ ที่ทำให้เราทราบว่า “ไทแรนโนซอรัส” เดิมทีแล้วตัวเล็กกว่าที่เราคิด

    พบไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ ที่ทำให้เราทราบว่า “ไทแรนโนซอรัส” เดิมทีแล้วตัวเล็กกว่าที่เราคิด

    เมื่อพูดถึงไทแรนโนซอรัส เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงนึกถึงไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ที่กินเนื้อเป็นอาหาร และดุร้ายมากๆ ตามในภาพยนตร์กันเป็นส่วนใหญ่     แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากวิจัยใหม่ๆ เกี่ยวกับไดโนเสาร์ตัวนี้ กลับค่อยๆ ทำให้ภาพลักษณ์ของมันเปลี่ยนไปจากที่เราคิด ไม่ว่าจะการที่พวกมันกินกันเอง หรือการที่พวกมันอาจจะเคยกินศพเป็นหลักมาก่อน (ถึงข้อหลังจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือก็ตาม) และเมื่อล่าสุดนี้เอง เราก็มีการค้นพบใหม่ที่ออกมาบอกว่าไทแรนโนซอรัส ที่เราเห็นกันนั้นแท้จริงแล้วอาจจะไม่ได้ตัวใหญ่อย่างที่เราเห็นมาตั้งแต่ต้นก็เป็นได้     นั่นเพราะเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ในวารสาร Communications Biology ได้มีการออกมาตีพิมพ์การค้นพบโครงกระดูกไดโนเสาร์ “Moros intrepidus” ไดโนเสาร์ขนาดเล็กสมาชิกใหม่ของตระกูลไทแรนโนซอรัส ที่รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา และคาดกันว่ามีชีวิตอยู่มาก่อนไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ ที่เรารู้จักกันเสียอีก โดยเมื่อดูจากฟอสซิลที่พบแล้ว Moros intrepidus จะมีส่วนสูงเพียงแค่ 90-120 เซนติเมตรในขณะโตเต็มวัยเท่านั้น ซึ่งผิดกับไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ที่มีความสูงถึง 4 เมตร     ขนาดตัวของมันทำให้นักชีววิทยาเชื่อว่าไทแรนโนซอรัสในสมัยก่อนน่าจะมีน้ำหนักเบา และอาศัยความเร็วเป็นกุญแจหลัก ทั้งในการล่าเหยื่อ และหนีจากการถูกล่าเสียเอง แต่ถึงแม้จะมีขนาดเล็กก็ตาม ฟอสซิลของ Moros intrepidus…

  • 22 ภาพชีวิตของคนเวียดนามเหนือในช่วงปี 1960 อีกด้านของสงครามที่คุณอาจไม่เคยเห็น

    22 ภาพชีวิตของคนเวียดนามเหนือในช่วงปี 1960 อีกด้านของสงครามที่คุณอาจไม่เคยเห็น

    หลังจากที่การเลือกตั้งเพื่อรวมเวียดนามจบลงด้วยความผิดพลาด ประเทศนี้ก็เข้าสู่ภาวะสงครามเวียดนามต่อไปในช่วงปี 1955-1975 โดยเวียดนามเหนือได้รับการสนับสนุนโดยโซเวียตและจีน ส่วนเวียดนามใต้ ได้รับการสนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ ตามปกติแล้วภาพของเวียดนามที่เราเห็นในช่วงนี้จะมีแต่ภาพในส่วนของสงคราม และไม่ค่อยได้เห็นการใช้ชีวิตปกติของชาวเมืองเท่าไหร่ โดยเฉพาะในทางเหนือของเวียดนาม ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมภาพการใช้ชีวิตของคนเวียดนามเหนือในช่วงปี 1960 กัน ไปชมกันดีกว่าว่าคนเวียดนามเหนือในยามนั้น นอกจากสงครามแล้วมีชีวิตเช่นไรบ้าง   เริ่มกันจากเหล่าผู้คนที่เดินเล่น และนั่งพักอยู่ริมทะเลสาบ . .   เงาของคนที่เดินกลางทุ่งนาอันสงบสุข . .   การทำงานศิลปะรูปปั้นของวลาดีมีร์ เลนิน   เด็กๆ ในชุดที่ทำจากฟาง   เด็กสาวที่นั่งขายของเล่นทหาร   เหล่าชาวเมืองที่พักผ่อนอยู่ริมน้ำ โดยมีบรรยากาศทหารและสงครามอยู่เล็กน้อย   เหล่าประชาชนที่เดินขบวนกันโดยมีอุปกรณ์ทำการเกษตรในมือ   ทุ่งนาที่มีฐานยิงจรวดตั้งไว้   การฝึกทหารของเด็กผู้หญิง   บางครั้งการใช้ชีวิตประจำวันกับการรบก็ถูกกั้นไว้ด้วยกระดาษบางๆ แผ่นเดียว   เด็กชายที่กำลังเล่นกับปืนของเล่น ที่มีเหล่าทหารเป็นฉากหลัง   นักบินที่กำลังเล่าเรื่องในสงครามผ่านเครื่องบินของเล่น 2 ลำ…

  • เปิดตำนาน คาสโนว่า หนุ่มสุด “ป๊อป” ที่มีสาวนับร้อย คบซ้อนไหมก็ไม่รู้!!

    เปิดตำนาน คาสโนว่า หนุ่มสุด “ป๊อป” ที่มีสาวนับร้อย คบซ้อนไหมก็ไม่รู้!!

    เวลาผู้ถึงคนเจ้าชู้ในปัจจุบันแล้ว หนึ่งในคำที่เรามักจะให้เรียกเขากันมากที่สุดคำหนึ่งก็คงไม่พ้นคำว่า “คาสโนวา” อันเป็นคำนิยามของผู้ชายเจ้าชู้ เจ้าคารม และมักพบรักกับสาวๆ เป็นจำนวนมากๆ ในเวลาสั้นๆ ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าคำว่าคาสโนวานั้นเป็นคำไม่ใช่เพียงคำที่จู่ๆ ก็มีการตั้งขึ้น แต่เป็นชื่อของคนที่มีตัวตนอยู่จริงๆ ในช่วงศตวรรษที่ 17 ต่างหาก     ชื่อจริงๆ ของชายคนนี้คือ “จาโกโม จีโรลาโม กาซาโนวา” เขาเป็นนักเขียนและนักผจญภัย ชาวเวนิสที่มีชื่อเสียงจากหนังสืออัตชีวประวัติ 12 เล่มของเขา ซึ่งมีการบอกเล่าถึงธรรมเนียมและสังคมฝรั่งเศสเอาไว้เป็นอย่างดี จนกลายเป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งของนักโบราณคดีไป อย่างไรก็ตามในหนังสือเล่มเดียวกันนี้เอง ก็มีการระบุไว้ด้วยว่า กาซาโนวา (หรือคาสโนวา) ได้มีโอกาสได้หลับนอนกับสตรีมากว่า 112 คน และต่างไปจาก “ดอน ฆวน” ที่เป็นสัญลักษณ์ของชายเจ้าชู้อีกคนหนึ่ง เพราะเขาคนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าจากในอดีต กาซาโนวาเกิดเมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1725 ที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ในเมืองที่เต็มไปด้วยสถานรื่นเริง ก่อนที่จะถูกส่งไปเรียนและผ่านชีวิตที่ผกผันขึ้นลงตั้งแต่คนในราชวัง คนผีพนันที่หมดตัว นักเปียโน ไปจนถึงนักเดินทาง แต่ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงชีวิตไหน เจ้าตัวก็แทบไม่เคยขาดสตรีนอนเคียงข้างเลย     ชีวิตการคั่วผู้หญิงของกาซาโนวาถึงจุดสูงสุดในตอนที่เขาผิดหวังจาก “รักแท้”…

  • เปิดตำนานของ “ดอน ฆวน” สุดยอดเสือผู้หญิง ผู้โด่งดังมาตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 17

    เปิดตำนานของ “ดอน ฆวน” สุดยอดเสือผู้หญิง ผู้โด่งดังมาตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 17

    เชื่อว่าเพื่อนๆ คงจะเคยได้ยินคำว่า “นี่มันดอนฆวนชัดๆ” กันมาบ้าง มันเป็นคำที่มักถูกให้เรียกหนุ่มๆ ที่คารมดี มักไล่ตามผู้หญิง เจ้าชู้ จนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นอันตรายของผู้หญิง     โดยมากแล้ว “ดอน ฆวน” ที่ถูกใช้สื่อถึงในครั้งนี้ จะหมายถึงดอน ฆวนจากภาพยนตร์ในปี 1994 ที่ชื่อ “Don Juan DeMarco” หรือไม่ก็ภาพยนตร์เมื่อปี 1926 ที่ชื่อ “Don Juan” ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าเรื่องราวของตำนานชายที่ชื่อดอน ฆวนนั้นแท้จริงแล้วมีมานานกว่านั้นมาก เรื่องราวของดอน ฆวนนั้นเชื่อกันว่าเริ่มต้นขึ้นในฐานะตำนานพื้นบ้านของทางสเปน อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่ชื่อเสียงของตำนานเรื่องนี้เริ่มโด่งดังในยุโรป และมีการบันทึกไว้จริงๆ มันก็จะเป็นในช่วงศตวรรษที่ 17 ในช่วงเวลานี้ ตำนานของดอน ฆวนถูกนำไปทำทั้งละครเวทีอย่าง “The Stone Feast” ในปี 1665 โอเปราของโมซาร์ทอย่าง Don Giovanni ในปี 1787 และบทกลอนยาวอย่าง “Don Juan” ในช่วงปี 1819-1824   ภาพของดอน ฆวน ที่วาดขึ้นจากโอเปราของโมซาร์ท…

  • เอราทอสเทนีส ชายชาวกรีกผู้พิสูจน์ว่าโลกกลม เมื่อ 2,000 ปีก่อน โดยใช้เพียงไม้และสมอง

    เอราทอสเทนีส ชายชาวกรีกผู้พิสูจน์ว่าโลกกลม เมื่อ 2,000 ปีก่อน โดยใช้เพียงไม้และสมอง

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันดีว่าโลกใบนี้นั้นมีรูปร่างเป็นทรงกลม ไม่ว่าจะด้วยการพิสูจน์ของ โคลัมบัส กาลิเลโอ หรือแม้กระทั่งการปล่อยจรวดของทางนาซาในศตวรรษที่ 20     ว่าแต่เชื่อกันไหมละว่าแท้จริงแล้วมนุษย์เรามีการพิสูจน์ว่าโลกกลมมาอย่างยาวนานกว่าที่เราคิดมาก เพราะตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน ในสมัยก่อนคริสตกาล ชาวกรีกเองก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าโลกที่พวกเขาอยู่นั้นมีลักษณะที่กลมจริงๆ ชายที่พิสูจน์เรื่องนี้ มีนามว่า “เอราทอสเทนีส” ชายชาวกรีกผู้ที่ได้รับชื่อว่าบิดาแห่งภูมิศาสตร์ (เนื่องจากเป็นคนแรกที่เรียกตัวเองว่า “Geographer” หรือนักภูมิศาสตร์) เขาเป็นชายคนแรกที่คิดหาวิธีการกำหนดตำแหน่งของสถานที่อย่างแม่นยำ และมีผลงานเด่นๆ มากมายเกี่ยวกับภูมิศาสตร์โลก     เอราทอสเทนีส ใช่วิธีการหลายอย่างในการพิสูจน์เรื่องโลกกลม ไม่ว่าจะเป็นการสังเกตกลุ่มดาวบนฟ้า หรือการเกิดจันทรุปราคา อย่างไรก็ตามวิธีที่เขาใช้ในการพิสูจน์เรื่องโลกกลมที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด คงจะไม่พ้นเรื่องดวงอาทิตย์ที่อียิปต์ กล่าวคือเอราทอสเทนีส ได้ทราบข่าวมาว่าที่เมืองซะฮิอีนิ (Syene) ของประเทศอียิปต์ ดวงอาทิตย์จะตรงกับบนหัวของคนพอดีในเวลาเที่ยงทำให้คนแทบจะไม่มีเงา ดังนั้นเขาจึงเอาไม้ปักลงบนดินที่อเล็กซานเดรียเพื่อทดลองว่าในอเล็กซานเดรียนั้น ตอนเที่ยงพระอาทิตย์จะตรงกับบนหัวเช่นกันไหม     ผลที่ออกมาคือไม่ เพราะในเวลาเที่ยงเอราทอสเทนีสก็พบว่าเงาของไม้นั้นเอียงไปเป็นมุมราวๆ 7.2 องศา ซึ่งหากดูจากระยะห่างของเมืองซะฮิอีนิ และอเล็กซานเดรียแล้ว หากโลกแบนจริงๆ ตอนเที่ยงที่เมืองอเล็กซานเดรียพระอาทิตย์ก็น่าจะตรงกับหัวพอดีเช่นเดียวกับเมืองซะฮิอีนิ ด้วยเหตุนี้เอราทอสเทนีสจึงได้มั่นใจว่าจริงๆ แล้วโลกของเรามีผิวที่โค้งไม่ได้แบน ดังนั้นเมื่อเขาทราบว่าโลกโค้งเป็นมุม 7.2 องศาจากเมืองซะฮิอีนิ ไปเมืองอเล็กซานเดรีย และทั้งสองห่างกันราวๆ 800 กิโลเมตร เอราทอสเทนีสก็เริ่มทำการวัดขนาดเส้นรอบวงของโลกออกมาทันที  …

  • นักวิทย์ไขปริศนาฟอสซิล Stylophorans แท้จริงแล้วมันเป็นสัตว์ประเภทปลาดาว

    นักวิทย์ไขปริศนาฟอสซิล Stylophorans แท้จริงแล้วมันเป็นสัตว์ประเภทปลาดาว

    ย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1850 มนุษย์ได้พบกับ ฟอสซิลของสัตว์โบราณที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้เมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน และกลายเป็นที่ถกเถียงของนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีตลอดช่วงเวลา 150 ปีที่ผ่านมา     มันเป็นฟอสซิลที่ถูกเรียกว่า Stylophorans สิ่งมีชีวิตรูปร่างแบน ที่มีอวัยวะคล้ายมือยาวๆ ซึ่งมีการค้นพบในหลากหลายพื้นที่ทั่วทั้งโลก และที่ผ่านมาเราไม่สามารถทราบได้เลยว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้มันเป็นบรรพบุรุษของสัตว์ในตระกูลไหนกันแน่ แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้นักวิจัยของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติในฝรั่งเศส กลับพบว่าหนึ่งในฟอสซิลของ Stylophorans จำนวนมากที่โลกเคยพบนั้น ชิ้นที่มีการค้นพบในเขตทะเลทรายซาฮาร่าของโมร็อกโก มันยังมีเนื้อเยื่อบางส่วนติดอยู่ด้วย     โดยนี่เป็นหนึ่งในฟอสซิล Stylophorans จำนวน 450 ชิ้นที่มีการค้นพบในการขุดค้นในครั้งนั้น และมีอายุเก่าแก่ถึง 478 ล้านปีก่อน ซึ่งเมื่อนำไปตรวจสอบเนื้อเยื่อแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าเจ้าสิ่งที่เราสงสัยกันมานานนี้ แท้จริงแล้วเป็นสัตว์จำพวก เม่นทะเล ปลาดาว และปลิงทะเล     ตั้งแต่ในอดีตเราคาดกันว่า Stylophorans น่าจะมีรูปร่างแบ่งเป็นสองส่วนคือลำตัวและรยางค์ ถึงอย่างนั้นจากการที่เรามีหลักฐานเพียงแค่กระดูกของพวกมัน รูปร่างของเจ้าสัตว์ตัวนี้ จึงมีลักษณะโดยรวมที่ต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย แต่จากการที่ในปัจจุบันมีการพบเนื้อเยื่อของ Stylophorans แล้ว นักวิทยาศาสตร์จึงกล้าที่จะออกมาบอกว่า Stylophorans น่าจะมีรูปร่างแบนๆ แต่มีหาง และใช้ระยางในกวาดอาหารเข้ามากิน และเคลื่อนที่ในลักษณะคล้ายปลาดาว ซึ่งใกล้เคียงกับที่นักบรรพชีวินวิทยา Georges Ubaghs เคยกล่าวไว้ในปี 1960 นั่นเอง…

  • การสังหารหมู่ที่ป่ากาตึญ เหตุสังหารชาวโปแลนด์ที่โซเวียตโทษว่าเป็นความผิดของนาซี

    การสังหารหมู่ที่ป่ากาตึญ เหตุสังหารชาวโปแลนด์ที่โซเวียตโทษว่าเป็นความผิดของนาซี

    เคยได้ยินเรื่องการสังหารหมู่ที่ป่ากาตึญ (Katyn Massacre) กันไหม นี่เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวโปแลนด์ครั้งใหญ่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ผิดกับการสังหารหมู่อื่นๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน การสังหารหมู่ที่ป่ากาตึญนั้นเป็นฝีมือของกองทัพโซเวียตไม่ใช่นาซี     เรื่องราวมันเกิดขึ้นในปี 1940 หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองยังเริ่มต้นขึ้นได้ไม่นาน ในเวลานั้นโซเวียตกับนาซีได้ร่วมมือกันบุกโปแลนด์ และแบ่งกันปกครองโปแลนด์คนละส่วนภายใต้สัญญาที่ทำมาตั้งแต่ช่วงก่อนสงคราม โดยหลังจากที่การบุกยึดโปแลนด์สำเร็จลงได้ด้วยดี ทางโซเวียตก็เริ่มมีการขนประชาชนส่วนหนึ่งของโปแลนด์ไปยังแถบชนบทเพื่อนำไปใช้แรงงานต่อไป     อย่างไรก็ตามการสังหารหมู่ที่ป่ากาตึญนั้นเกิดขึ้นกันประชาชนอีกส่วนของโปแลนด์ต่างหาก โดยประชาชนส่วนนี้ คือเหล่าคนที่เป็นนายทหาร ตำรวจ เจ้าของที่ดิน เจ้าของโรงงาน ทนายความ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้และอาจเป็นอันตรายต่อไปในอนาคต การสังหารหมู่ในครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นจากคำสั่งที่มีการลงนามโดยโจเซฟ สตาลินเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 1940 และส่งผลให้ชาวโปแลนด์ราวๆ 21,850 คนต้องถูกสังหารด้วยการยิงเป้า โดยในบรรดาตัวเลขเหล่านี้ราวๆ 11,000 คน เป็นพลเรือนที่ไม่ใช่ทหาร     จากหลักฐานที่มีการบันทึกไว้ คนเหล่านี้จะถูกนำตัวไปยังสถานที่สามแห่งที่มีการเตรียมการไว้ในสภาพถูกมัดมือไขว้หลัง ก่อนที่จะถูกยิงเข้าที่หลังศีรษะ และถูกลากศพไปทิ้งต่อไป แทบไม่มีใครทราบว่าโซเวียตได้ทำอะไรกับชาวโปแลนด์ไปบ้าง จนกระทั่ง เมื่อทางนาซีพบว่ามีศพฝังอยู่ที่ป่ากาตึญถึง 22,000 ร่างในปี 1943 (และเป็นที่มาของชื่อการสังหารหมู่ที่ป่ากาตึญนั่นเอง)   การตรวจสอบป่ากาตึญในปี 1943   แน่นอนว่าเมื่อเรื่องนี้โด่งดังออกไป ทางรัฐบาลของโปแลนด์ก็รู้สึกไม่พอใจทางโซเวียตเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากในเวลานั้นทางโซเวียตกำลังเป็นกองกำลังสำคัญในการรบกับนาซีเยอรมัน ทางฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตัดสินใจ (ทำเป็น)…

  • ทฤษฎีใหม่อ้าง “จักรพรรดิเนโร” อาจไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอย่างที่เราคิด และแค่โดนใส่ร้าย

    ทฤษฎีใหม่อ้าง “จักรพรรดิเนโร” อาจไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอย่างที่เราคิด และแค่โดนใส่ร้าย

    เมื่อพูดถึง “จักรพรรดิเนโร” แห่งอาณาจักรโรมันโบราณ เชื่อกันว่าหลายๆ คนคงจะต้องเคยได้ยินวีรกรรมสุดโหดอย่างการเผากรุงโรมของเขากันมาบ้าง แถมว่ากันตรงๆ ชายคนนี้ยังมีบันทึกว่าฆ่าแม่ตัวเอง ฆ่าน้องชาย แถมยังโหดร้ายจนทหารต้องลุกฮือขึ้นต่อต้านอีก ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าเรื่องราวเลวร้ายของจักรพรรดิเนโรมันดูจะมีแต่ด้านแย่ๆ มากเกินไปนิดไหม ทำไมคนที่มีตำแหน่งสูงเป็นถึงจักรพรรดิกลับมีแต่เรื่องราวที่ไม่ดีบันทึกไว้เต็มไปหมดกัน     เพราะจากการลองมองต่างมุมและตรวจสอบเรื่องราวของจักรพรรดิคนนี้อีกครั้ง นักโบราณคดีก็พบกับความเป็นไปได้ที่ว่าจริงๆ แล้วจักรพรรดิเนโรอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิด และเพียงแค่โดนใส่ร้ายก็เท่านั้น จากข้อมูลที่สื่อต่างประเทศนำมาเปิดเผย จักรพรรดิเนโรนั้นขึ้นเป็นจักรพรรดิโรมันด้วยวัยเพียง 17 ปี แถมเจ้าตัวยังสนใจในศิลปะมากกว่าการปกครอง ทำให้แปลกมากที่เขาจะมีวีรกรรมที่ดูโหดร้ายบ้าอำนาจอย่างที่บันทึกไว้ทุกอย่าง (แม้ว่าเรื่องใช้เงินเป็นบ้าเป็นหลังน่าจะเป็นเรื่องจริง)     อย่างบันทึกที่มีการบอกว่าเนโรใช้ยาพิษที่ “ไร้สีไร้กลิ่น” ที่รุนแรงมากๆ กับน้องชายจนเขาตายไปในทันที” ก็เป็นเรื่องที่ฟังดูแปลกๆ เมื่อตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ เพราะยาพิษในสมัยนั้นมักจะทำจากพืช และไม่รุนแรงพอที่จะสังหารคนในทันทีได้ หากผสมกับน้ำในระดับที่ไร้สีไร้กลิ่น เท่านั้นยังไม่พอเพราะเรื่องการเผากรุงโรมของเนโรเองก็ไม่ได้มีหลักฐานว่าเขาเป็นคนทำจริงๆ แถมเดิมทีแล้วความคิดที่จะสร้างราชวังใหม่ของเนโร ก็ถูกชนชั้นสูงของโรมันมองว่าน่าอายและไร้สาระอยู่แล้วด้วย จึงเป็นไปได้ว่าการเผากรุงที่ว่านี้เป็นการใส่ร้ายล้วนๆ     ส่วนเรื่องที่เขาโหดร้ายจนทหารต้องลุกฮือขึ้นต่อต้านนั้นเป็นไปได้ว่าจริงๆ แล้วจะมาจากการที่ในสมัยของเนโร ตัวจักรพรรดิแทบจะไม่ทำสงครามกับใครเลย ทำให้อำนาจของทหารลดลงจากที่เคย และทำให้ทางทหารไม่พอใจกันนั่นเอง น่าเสียดายที่แนวคิดด้านต้นนั้นไม่มีหลักฐานที่มายืนยันเท่าที่ควร ดังนั้นเรื่องที่ว่าเนโรถูกใส่ร้ายจึงยังเป็นเพียงแค่ทฤษฎีเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเรากลับมีหลักฐานที่ว่าเนโรนั้นอาจจะเป็นที่รักของประชาชนกว่าที่เราคิดแทน นั่นเพราะที่เมืองปอมเปอีนักโบราณคดีได้มีการค้นพบจารึกที่วาดด้วยมือของคนในสมัยนั้นที่มีการสรรเสริญจักรพรรดิเนโรจำนวนหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นบอกว่า “ไชโยกับการตัดสินใจของจักรพรรดิและจักรพรรดินี เมื่อทั้งสองท่านปลอดภัย พวกเราจะมีสุขไปตลอดกาล”  …

  • ชมแบบร่างตารางธาตุของ Dmitri Mendeleev ที่เปลี่ยนวงการวิทยาศาสตร์ไปตลอดกาล

    ชมแบบร่างตารางธาตุของ Dmitri Mendeleev ที่เปลี่ยนวงการวิทยาศาสตร์ไปตลอดกาล

    เพื่อนๆ ยังจำตารางธาตุที่เราท่องจำกันในวัยเด็กได้ไหม สำหรับหลายๆ คนแล้วตารางธาตุอาจจะเป็นสิ่งที่ได้ใช้งานอยู่เสมอๆ ในขณะที่หลายๆ คนอาจจะหวังให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายในวัยเด็ก แต่ก็ไม่ว่าคุณจะเป็นคนประเภทไหน เราก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตารางธาตุเป็นสิ่งที่พัฒนาตามการเวลามาอย่างยาวนานจริงๆ นั่นเพราะหากเพื่อนๆ ลองมองย้อนกลับไปดูตารางธาตุเมื่อปี 1869 แล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะบอกเลยว่าดีแล้วที่ตารางธาตุเปลี่ยนมาเป็นแบบที่เราเห็นกันในปัจจุบัน     นี่คือกระดาษที่มีการบันทึกตารางธาตุ ซึ่งเขียนโดยศาสตราจารย์วิชาเคมีชาวเยอรมัน อย่าง Dmitri Mendeleev เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1869  ซึ่งแม้ว่าจะเป็นตัวหนังสือล้วนๆ และดูได้ค่อนข้างยาก แต่ก็มีเค้าโครงของตารางธาตุที่เรารู้จักปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน Dmitri เรียกเจ้าสิ่งที่เห็นว่า “Periodic System” และอธิบายว่านี่เป็นการจัดเรียงธาตุทั้งหมดที่มนุษย์รู้จักให้ออกมาในสภาพที่เข้าใจง่ายที่สุด     ระบบการจัดเรียงธาตุที่เห็นนี้ เกิดขึ้นจากการที่เขาเขียนคุณลักษณะต่างๆ ของธาตุ บนการ์ดแบบหนึ่งธาตุต่อหนึ่งใบ ก่อนที่จะพยายามเรียงการ์ดเหล่านั้นในรูปแบบที่เข้าท่าเข้าทางที่สุด คล้ายเกมเรียงไพ่อย่าง “Solitaire” ในที่สุดเขาก็พบว่าตารางของเขาจะเข้าท่าที่สุดหากเรียงจากบนลงล่างด้วยมวลของธาตุ และนำธาตุที่มี คุณลักษณะคล้ายกันเอาไว้ด้วยกันในแนวนอน จนกลายเป็นตารางธาตุอันแรกของโลกไป     แน่นอนว่าในเวลานั้นธาตุที่มนุษย์รู้จักยังมีเพียงแค่ 63 ธาตุเท่านั้น (จาก 118 ธาตุในปัจจุบัน) แต่ Dmitri ก็รู้สึกมั่นใจในการจัดเรียงธาตุของเขามาก จนเว้นช่องว่างให้ธาตุที่ยังไม่มีการค้นพบ และคาดเดาธาตุในอนาคตบางส่วนอย่าง แกลเลียม แคนแกน…

  • พบโครงกระดูกชาวยิวซึ่งถูกนาซีสังหารร่วม 1,000 ร่าง ในระหว่างการพัฒนาเมืองที่โปแลนด์

    พบโครงกระดูกชาวยิวซึ่งถูกนาซีสังหารร่วม 1,000 ร่าง ในระหว่างการพัฒนาเมืองที่โปแลนด์

    เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทางสำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานการค้นพบโครงกระดูกจำนวนมากถูกฝังเอาไว้ในเมืองเบรสต์ เมืองทางขอบชายแดนของประเทศโปแลนด์     โครงกระดูกเหล่านี้ถูกค้นพบในระหว่างการดำเนินงานแผนการพัฒนาเมืองของทางรัฐบาล และคาดว่าเป็นของชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งถูกสังหารโดยฝั่งนาซีในช่วงปี 1941-1942 ที่เยอรมนีปกครองโปแลนด์ จากคำบอกเล่าของทางเจ้าหน้าที่ พวกเขาพบสถานที่ซึ่งคาดว่าเป็นหลุมฝังศพในเมืองถึงสองแห่งในเวลาใกล้เคียงกัน โดยในปัจจุบันมีโครงกระดูกราวๆ 600 ร่างถูกขุดขึ้นมาจากหลุมฝังศพเพียงหลุมเดียว ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่ในพื้นที่แห่งนี้จะมีโครงกระดูกอยู่กว่า 1,000 ร่าง     ในบรรดากระดูกที่ถูกขุดขึ้นมาแล้วนั้น มีทั้งกระดูกของผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ซึ่งเสียชีวิตจากบาดแผลถูกยิง  แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของการสังหารหมู่ในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เมืองเบรสต์ในสมัยก่อนนั้นเคยเป็นพื้นที่สลัมของชาวยิว (Ghetto) และมีชาวยิวอาศัยอยู่รวมแล้วถึง 28,000 คนในช่วงปี 1941-1942 ก่อนที่ชาวยิวกว่า 17,000 คนจะถูกยิงทิ้งไปในเดือนตุลาคมปี 1942     บันทึกทางสถิติบอกว่ามีคนเพียง 19 คนจากทั้งหมด 28,000 คนเท่านั้นที่สามารถรอดชีวิตไปจากสลัมแห่งนี้ได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในเมืองแห่งนี้จะมีโครงกระดูกของชาวยิวอยู่ฝังเอาไว้เป็นจำนวนมากมายขนาดนี้ การค้นพบในครั้งนี้ทำให้มีประชาชนในเมืองจำนวนหนึ่ง (492 คนในวันที่ 21 กุมภาพันธ์)…

  • นักวิทย์ยืนยัน โครงกระดูกนักรบไวกิ้งที่สวีเดน เป็นผู้หญิงจริงๆ หลังตรวจ DNA อีกครั้ง

    นักวิทย์ยืนยัน โครงกระดูกนักรบไวกิ้งที่สวีเดน เป็นผู้หญิงจริงๆ หลังตรวจ DNA อีกครั้ง

    ในปี 1878 ทีมนักโบราณในสมัยก่อนได้ทำการค้นพบสุสานแห่งหนึ่งบนเกาะ Björkö ในประเทศสวีเดน ข้างในนั้นมีโครงกระดูกของนักรบไวกิ้งรายหนึ่งหลับใหลอยู่อย่างสงบพร้อมๆ กับกล่องอาวุธ เสื้อผ้าสุดหรู และม้าอีก 2 ตัว ในเวลานั้นคนส่วนใหญ่เชื่อว่าร่างของไวกิ้งที่พบน่าจะเป็นของบุรุษยอดนักรบตามลักษณะภาพลักษณ์ของสังคมสมัยก่อนที่บุรุษมักจะเป็นใหญ่ ดังนั้นเมื่อมีงานวิจัยที่บอกว่าโครงกระดูกที่พบนี้แท้จริงแล้วเป็นของผู้หญิงออกมาในปี 2017 เหล่านักวิจัยจึงถูกตั้งทำถามเป็นอย่างมากจากคนทั่วไป     อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ก็ได้มีงานวิจัยใหม่ที่ออกมายืนยันว่าโครงกระดูกร่างนี้เป็นของผู้หญิงจริงๆ ออกมาตีพิมพ์ในนิตยสาร Antiquity จนได้ โดยในงานวิจัยนี้หลักๆ แล้วเป็นการยืนยันผลการตรวจ DNA จากเมื่อปี 2017 และตอบคำถามส่วนใหญ่ที่มีการถามกันมาตั้งแต่ในตอนนั้น     แน่นอนว่าไม่ว่าจะมีการตรวจสอบ DNA อีกกี่ครั้งผลที่ออกมานั้นก็ออกมาว่าร่างของนักรบไวกิ้งร่างนี้มีโครโมโซม XX ซึ่งเป็นลักษณะของผู้หญิงจริงๆ และเป็นศพเพียงร่างเดียวที่มีการพบในสุสานแห่งนี้ด้วย ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีการตรวจสอบกระดูกผิดอย่างที่หลายๆ คนกังวล เธอนั้นมีอายุราวๆ 30-40 ปีในตอนที่เสียชีวิต และมีบันทึกไว้ว่าเก่งมากจนไม่เคยแพ้ใครเลยจนกระทั่งถึงตอนที่เสียชีวิต ซึ่งมีหลักฐานทางกายภาพอยู่ที่กระดูกของเธอไม่มีร่องรอยบาดแผลรุนแรงเลย แถมดาบที่ฝังไว้กับเธอก็มีร่องรอยการต่อสู้มามากมายด้วย     อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั่วๆ ไป เรื่องราวของโครงกระดูกร่างนี้บางส่วนก็ไม่สามารถอธิบายได้ อย่างเรื่องที่ว่าดาบที่ถูกฝังไว้กับเธอเป็นของเธอจริงๆ ไหม…

  • กะลาสีจากภาพการจูบในวันฉลองชัยชนะต่อญี่ปุ่น เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 95 ปี

    กะลาสีจากภาพการจูบในวันฉลองชัยชนะต่อญี่ปุ่น เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 95 ปี

    เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายๆ คนคงจะเคยเห็นภาพ การจูบในวันฉลองชัยชนะต่อญี่ปุ่นหรือ “V-J Day kiss” กันมาบ้าง เพราะนี่เป็นภาพที่โด่งดังและมีการพูดถึงเป็นอย่างมากภาพหนึ่งของช่วงสงครามโลกเลยก็ว่าได้ (สำหรับคนที่ยังไม่เคยเห็นภาพนี้ สามารถเข้าไปอ่านเรื่องราวของภาพดังกล่าวได้ที่นี่ ย้อนเบื้องหลังภาพ “การจูบ” ในวันฉลองชัยชนะต่อญี่ปุ่น อาจจะไม่โรแมนติกอย่างที่คิด… )     ตั้งแต่ที่ภาพนี้ถูกเผยแพร่ออกมาในสังคม ก็มีคนจำนวนมากที่ออกมาอ้างตัวเป็นคู่ชายหญิงในภาพ อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน พวกเราเชื่อกันว่าคนในภาพนั้นคือกะลาสี George Mendonsa และนางพยาบาล Greta Friedman   จริงอยู่ว่า Greta Friedman นั้นเสียชีวิตไปแล้ว ด้วยวัย 92 ปีตั้งแต่เมื่อปี 2016 แล้ว… แต่สำหรับ George Mendonsa เขานั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปีแถมยังแข็งแรงพอที่จะบอกเล่าเรื่องราวในอดีตให้โลกได้รับรู้ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ นั่นเพราะ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทางสำนักข่าวต่างประเทศ ได้มีการออกมารายงานข่าวว่านาย George Mendonsa ได้จากโลกใบนี้ไปแล้ว ด้วยวัย 95 ปี  …

  • ชม 21 ภาพสุดงามจาก สมุดร่างภาพที่นักบวชจากศตวรรษที่ 15 ใช้ฝึกฝนก่อนลงมือจริง

    ชม 21 ภาพสุดงามจาก สมุดร่างภาพที่นักบวชจากศตวรรษที่ 15 ใช้ฝึกฝนก่อนลงมือจริง

    สำหรับคนที่ได้มีโอกาสศึกษาหนังสือเก่าๆ ของต่างประเทศคงจะเคยเห็นกันมาบ้างว่าหนังสือในยุคกลางนั้นบ่อยครั้งจะไม่ได้มีอยู่เพียงตัวหนังสือ แต่มักจะมีภาพสีที่งดงามถูกวาดเอาไว้ด้วย แน่นอนว่าภาพเหล่านี้นั้นในอดีตต้องมีการวาดลงไปในหนังสือทีละภาพทีละภาพ กว่าที่จะสำเร็จออกมาเป็นหนังสือแต่ละเล่ม ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ก่อนจะมีการวาดภาพเหล่านั้นลงบนหนังสือจริงๆ ผู้วาดก็ต้องมีการฝึกฝนวาดภาพมาก่อนมากมายหลายครั้งในสมุดร่างมาก่อน     แน่นอนว่าสมุดภาพเหล่านั้นก็ย่อมต้องมีบางส่วนที่ถูกส่งต่อมาจนถึงปัจจุบัน และหนึ่งในนั้นเองก็คือสมุดภาพจากยุคกลางที่ทางนิตยสารออนไลน์ The Public Domain Review ได้นำมาเผยแพร่ให้ประชาชนได้เข้าไปชมกัน โดยนี่เป็นสมุดร่างรูปภาพที่ถูกวาดเอาไว้ในปี 1494 โดย Stephan Schriber นักบวชจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเยอรมนี เพื่อเก็บรวบรวมผลงานการวาดของเขาเอาไว้ ว่าแต่ภาพเหล่านั้นจะงดงามแค่ไหนกันนั้น คงต้องให้เพื่อนๆ ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันจากภาพนกหลากหลายรูปแบบ   ภาพนกที่บางส่วนก็ไม่ถูกลงสี   เหล่านกที่งดงามกับสัตว์ประหลาดที่น่าเกรงขาม .   การออกแบบตัวหนังสือที่มักใช้ขึ้นต้นตำนาน   การออกแบบตัวอักษรแรกของบทความในอีกรูปแบบ .   อักษรศิลป์แบบต่างๆ   ภาพประกอบที่เพิ่งเริ่มลงสีได้ไม่นาน   ภาพที่ยังไม่ได้ลงสีจุดสำคัญ .   กรอบรูปที่ลงสีไปเพียงสีทองเท่านั้น   คำขึ้นต้นที่เห็นกันบ่อยๆ ในหน้าขั้นบทหนังสือ   ภาพดอกไม้และดาวหกแฉก   พรรณไม้ในลักษณะต่างๆ  …

  • การศึกษาใหม่อ้าง “พระเจ้าเฮนรีที่ 6” เรียกมหาดเล็กมาสอนการมีเซ็กซ์กับราชินีถึงในห้องนอน

    การศึกษาใหม่อ้าง “พระเจ้าเฮนรีที่ 6” เรียกมหาดเล็กมาสอนการมีเซ็กซ์กับราชินีถึงในห้องนอน

    ตามปกติแล้วเวลาที่เราเล่นกีฬาอะไรไม่เก่ง เราก็มักจะหาครูฝึกมาช่วยสอนให้เราเล่นกีฬาเหล่านั้นได้ดีขึ้น แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากมีผลการศึกษาใหม่ล่าสุดออกมาบอกว่าในสมัยก่อน พระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่งอังกฤษ เคยมีการเรียกครูฝึก มาช่วยให้ตัวเองเล่นกีฬาในร่มก้มแล้วแทงได้ดีขึ้นด้วย ต้นตอของการหาครูฝึกสุดแปลกในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่ พระเจ้าเฮนรีที่ 6 และราชินีมาร์กาเรตแห่งอ็องฌู มีปัญหาเกี่ยวกับการผลิตทายาทมาเป็นเวลายาวนานกว่า 8 ปี   พระเจ้าเฮนรีที่ 6 และราชินีมาร์กาเรตแห่งอ็องฌู   ไม่แน่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะทำให้พระเจ้าเฮนรีที่ 6 ซึ่งเป็นหนุ่มพรหมจรรย์มาจนอายุ 23 ไม่สบายใจว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่าก็เป็นได้ ดังนั้นเขาและราชินีมาร์กาเรตจึงได้ตัดสินใจที่จะเรียกคนสนิทเข้าไปช่วยฝึกสอนการผลิตลูกแบบถึงลูกถึงคนในระหว่างปฏิบัติภารกิจเลย อ้างอิงจากในหนังสือ “The Ryalle Boke” (แปลตรงๆ ว่าหนังสือหลวง) ที่มีการบันทึกพิธีการในราชวังเอาไว้ มีการระบุไว้ว่าเมื่อกษัตริย์ขึ้นเตียงมหาดเล็กและตุลาการ ควรจะติดตามไปด้วย และเมื่อราชินีจะขึ้นเตียง สุภาพสตรีสองนางและคนเฝ้าประตูก็ควรจะตามมาเช่นกัน   ภาพของพระเจ้าเฮนรีที่ 6   ในหนังสือมีการอ้างถึงพยานในเหตุการณ์ที่บอกว่า ในระหว่างที่กษัตริย์และราชินีอยู่บนเตียงด้วยกัน มหาดเล็กทั้งสองก็จะคอยอยู่ในห้องนั้นด้วย และไม่ได้มีการระบุได้ว่าทั้งสองจะออกจากห้องไปเมื่อไหร่ Lauren Johnson หนึ่งในทีมนักโบราณคดีที่ร่วมการวิจัยในครั้งนี้บอกว่า เอาเข้าจริงๆ ในอดีตประเทศแถบยุโรปจะมีประเพณีที่ให้แขกพาตัวคู่เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่เพิ่งแต่งงานเข้าไปส่งถึงเตียง แต่ส่วนมากแล้วพวกเขาจะไม่ได้อยู่เฝ้าในระหว่างปฏิบัติภารกิจสักเท่าไหร่ และการแอบดูห้องนอนของเหล่าราชวงศ์โดยไม่ได้รับอนุญาตก็มักจะมีโทษด้วย     ถึงอย่างนั้นการที่มีคนเข้าไปส่งกษัตริย์และราชินีหลังจากแต่งงานแล้วหลายปีก็เป็นเรื่องค่อนข้างแปลกมาก ดังนั้นนักโบราณคดีจึงคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่คนเหล่านี้จะเข้าไปในห้องนอนเพื่อเป็นครูฝึกการมีเพศสัมพันธ์ให้พระเจ้าเฮนรีที่ 6 นั่นเอง การขาดความสามารถในการมีบุตรนั้นนับเป็นเรื่องที่สร้างปัญหาเป็นอย่างมากในราชวงศ์ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน…

  • ย้อนรอย “บาบา ยากา” หญิงชราขี่ครกบิน ที่เป็นฝันร้ายของเด็กๆ ของชาวสลาวิก

    ย้อนรอย “บาบา ยากา” หญิงชราขี่ครกบิน ที่เป็นฝันร้ายของเด็กๆ ของชาวสลาวิก

    เมื่อพูดถึงเรื่องราวของ “บาบา ยากา” เชื่อว่าเพื่อนๆ ที่เป็นคอหนังโรงคงจะนึกถึงฉายาของ “จอห์น วิค” ที่มีการพูดถึงโดยตัวร้ายในหนังภาคแรกขึ้นมาก่อนเป็นอย่างแรกๆ ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่า เรื่องราวของบาบา ยากานั้นแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร บาบา ยากา เป็นเรื่องเล่าของแม่มดในกลุ่มประเทศแถบสลาวิก อย่างรัสเซีย หรือบัลแกเรีย มีลักษณะเด่นที่รู้จักกันในฐานะหญิงชรารูปร่างผอม มีฟันเหล็ก จมูกยาวมาก และเดินทางด้วยการขี่ครกบินได้     เชื่อกันว่าชื่อของบาบา ยากานั้นมาจากคำว่า “บาบา” ที่แปลว่าหญิงชรา หรือคุณย่าคุณยาย ผสมกับคำว่า “ยากา” ที่แปลได้ทั้งชั่วร้าย และงู ดังนั้นหากจะแปลตรงๆ บาบา ยากาก็จะหมายถึงคุณยายงู หรือคุณยายผู้ชั่วร้ายนั่นเอง โดยมากแล้วเรื่องเล่าของบาบา ยากาจะบอกว่า เธอคือหญิงชราที่ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหรือกระท่อมกลางป่ากับพี่น้อง 2-3 คน (ทุกคนคือบาบา ยากา) บ้างก็ว่าเพื่อปกป้องน้ำพุแห่งชีวิต บ้างก็ว่าเพื่อหลีกเลี่ยงผู้คน     พวกเธอมีทั้งมีเรื่องเล่าที่บอกว่าพวกเธอเป็นคนดี และเรื่องเล่าที่บอกว่าเธอเป็นตัวละครที่ชั่วร้าย แต่ถึงอย่างนั้นก็พวกเธอไม่ค่อยทำร้ายใครก่อนโดยที่ไม่มีเหตุผล เว้นก็เพียงแต่คนที่เป็นเหยื่อของเธอก็เท่านั้น ในเรื่องราวที่เธอเป็นคนดีบาบา ยากามักรับหน้าที่เป็นตัวละครที่มอบภารกิจให้ตัวเอกทำอะไรบางอย่าง และจะให้รางวัลพวกเขาหากภารกิจเหล่านั้นจบลงด้วยดี (ในนิทานบางเรื่องบอกว่าถ้าทำพลาดจะถูกจับกิน)  …

  • ย้อนรอยวัฒนธรรมการทำลายสิ่งของก่อนฝัง เพื่อให้ของสิ่งนั้น “ตายไป” กับผู้เป็นเจ้าของ

    ย้อนรอยวัฒนธรรมการทำลายสิ่งของก่อนฝัง เพื่อให้ของสิ่งนั้น “ตายไป” กับผู้เป็นเจ้าของ

    ตั้งแต่ในอดีตมาเมื่อมีการจัดงานศพขึ้น คนเราก็มักจะใส่สิ่งของที่อยากให้คนที่เรารักนำไปใช้ในโลกหลังความตายไปด้วย และในบางวัฒนธรรมเองของเหล่านั้นก็มักจะถูกทำให้อยู่ในสภาพที่ “ตาย” คล้ายกับเจ้าของด้วย เรื่องราวแบบนี้โดยมากแล้วจะออกมาให้เห็นบ่อยๆ ในรูปแบบของแจกันหรือไหที่ถูกทุบทำลาย แต่ในบางครั้งเราก็อาจจะได้เห็นของอย่างดาบของนักรบถูกทำลายเพื่อนำไปฝังกับเจ้าของด้วยเช่นกัน     ว่ากันว่าการทำลายสิ่งของก่อนทำไปฝังน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ในสมัยยุคสัมฤทธิ์ แต่หากจะพูดถึงวัฒนธรรมที่ทำลายดาบทิ้งก่อนนำไปฝังที่มีหลักฐานการค้นพบมากที่สุด เราก็คงต้องพูดถึงวัฒนธรรมแถบทะเลอีเจียนและเซลติกยุโรปเสียเป็นส่วนใหญ่ นั่นเพราะในพื้นที่แถบนี้มักจะมีการศพหลุมศพเก่าแก่จากยุคเหล็กเมื่อ 1100-700 ปีก่อนคริสตกาล ที่มีดาบซึ่งถูกทำให้หักเป็นสองท่อน หรือบิดงอจนโค้งเป็นขด (แล้วแต่คุณภาพดาบ) ฝังเอาไว้พร้อมๆ กับมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของอยู่บ่อยๆ     เอาเข้าจริงๆ ไม่มีการบันทึกเอาไว้สักเท่าไหร่ว่าทำไมอาวุธหรือสิ่งของเหล่านี้จึงถูกทำลายก่อนที่จะนำไปฝัง ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เลยที่ของเหล่านี้จะถูกทำลายเพียงเพื่อป้องกันคนมาขุดของในสุสานออกไปใช้ หรือไม่ก็ทำไปเพียงเพื่อให้สิ่งเหล่านี้ยัดลงหลุมศพได้ง่ายขึ้น แนวคิดที่ว่าสิ่งเหล่านี้ถูกทำลายเพื่อป้องกันการขโมยสุสานนับว่าเป็นทฤษฎีที่มีเหตุมีผลค่อนข้างมาก เพราะดาบในสมัยก่อนนับว่าเป็นของที่มีค่ามาก ซึ่งมักถูกใช้งานโดยผู้มีฐานะเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนจะลงทุนขุดมันขึ้นมาจากหลุมศพเพื่อนำไปขายต่อไป แถมหากมองย้อนไปในช่วงปลายยุคสัมฤทธิ์ แถวๆ ประเทศไอร์แลนด์เองก็มักจะมีการทำลายเครื่องประดับจนคุณค่าของมันลดลงก่อนที่จะนำไปฝังเช่นกัน     ถึงอย่างนั้นก็ตามจากการที่คนสมัยก่อนมักจะมองว่าสิ่งของมีจิตวิญญาณ แถมยังตั้งชื่อให้ในบางครั้งก็ทำให้ทฤษฎีที่ว่าของเหล่านี้ถูก “ฆ่า” ตามเจ้าของไปได้รับความเชื่อถือมากกว่าทฤษฎีอื่นค่อนข้างมาก และน่าจะเป็นเหตุผลหลักๆ ที่คนเราจะทำลายของก่อนนำไปฝังกับผู้เสียชีวิต แต่ไม่ว่าแท้จริงแล้วคนสมัยก่อนจะมีเหตุผลอย่างไรในการทำลายข้าวของก่อนฝัง ประเพณีเหล่านี้ก็ช่วยแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมและความเชื่อของผู้คนในอดีตได้เป็นอย่างดี     ที่มา ancient-origins และ balkancelts

  • นักโบราณคดีพบโครงกระดูกที่ถูกแทงหลัง และฝังคว่ำหน้าในซิซิลี เชื่อเป็นของอาชญากร

    นักโบราณคดีพบโครงกระดูกที่ถูกแทงหลัง และฝังคว่ำหน้าในซิซิลี เชื่อเป็นของอาชญากร

    ย้อนกลับไปในช่วงยุคกลางของซิซิลี แคว้นปกครองตนเองแคว้นหนึ่งของอิตาลีในปัจจุบัน มีชายคนหนึ่งถูกสังหารด้วยการแทงเข้าที่ข้างหลังหลายครั้ง และฝังเอาไว้แบบคว่ำหน้าก่อนที่จะถูกลืมไปจากประวัติศาสตร์ แต่แล้วหลายร้อยปีต่อมาหลังจากวันนั้น เหล่านักโบราณคดีก็ได้ขุดค้นโครงกระดูกของชายคนนี้กลับขึ้นมาให้โลกได้เห็นกันอีกครั้ง และมีการตีพิมพ์ลงในนิตยสาร International Journal of Osteoarchaeology เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา     จากหลักฐานที่มีการค้นพบนักโบราณคดีก็คาดว่าชายคนนี้น่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 11 และเสียชีวิตไปในขณะที่อายุได้ 30-40 ปี จากบาดแผลถูกแทงอย่างต่ำ 6 ครั้งที่ด้านขวาของกระดูกสันอกด้วยมีดสั้น และไม่มีบาดแผลอื่นๆ นอกจากนี้ Roberto Miccichè หนึ่งในทีมนักโบราณคดีบอกว่า หลักฐานเหล่านี้ทำให้พวกเขาเชื่อว่าชายคนดังกล่าวน่าจะถูกสังหารโดยไม่อาจตอบโต้ และผู้ลงมือเองก็ลงมืออย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ   แคว้นปกครองตนเองซิซิลี สถานที่ที่มีการพบโครงกระดูกในครั้งนี้   เมื่อเหล่านักโบราณคดีได้ทำการจำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยระบบสามมิติ พวกเขาก็พบว่าผู้ตายน่าจะถูกสังหารในระหว่างถูกจับมัด และกำลังคุกเข่าอยู่ ทำให้การถูกสังหารของเขาน่าจะอยู่ในลักษณะการสำเร็จโทษ ส่วนท่าทางการฝังแบบคว่ำหน้าลงนั้น นักโบราณคดีให้ความเป็นไปได้ใหญ่ๆ อยู่สองแบบ คือนี่อาจจะเป็นการฝังศพตามความเชื่อเพื่อป้องกันไม่ให้ศพลุกกลับขึ้นมามีชีวิต อย่างที่เห็นกันบ่อยๆ ในทางโรมันโบราณ หรือไม่ก็เป็นการฝังศพเพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ถูกฝังเป็นอาชญากร และหากมองว่าชายคนดังกล่าวถูกสังหารด้วยการประหารชีวิตแล้ว เหล่านักโบราณคดีก็ให้น้ำหนักไปทางที่ว่าชายคนนี้น่าจะเป็นอาชญากรมาก่อน มากกว่าที่จะเป็นการฝังเพื่อป้องกันศพลุกกลับขึ้นมา   หากเป็นการฝังเพื่อป้องกันไม่ให้ศพลุกกลับขึ้นมามีชีวิต บางครั้งศพจะถูกตัดขาทิ้งไปด้วย อย่างในภาพเป็นโครงกระดูกที่ถูกฝังไว้ที่นอร์แทมป์ตันเชอร์ ประเทศอังกฤษ   ในปัจจุบัน Miccichè และทีมงานได้กำลังทำการสืบค้นบันทึกโบราณเพื่อที่จะตามหาอาวุธที่น่าจะถูกใช้ในการสำเร็จโทษเจ้าของโครงกระดูกที่พบอยู่ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาวุธที่ใช้ในการสังหารจะเป็นกุญแจไปสู่การไขปริศนาความตายอายุเกือบพันปีในครั้งนี้ต่อไป…

  • 20 รูปขำๆ แบบน่ารักๆ จากโปสต์การ์ดที่ระลึกในระหว่างไปเที่ยว ในช่วงศตวรรษที่ 20

    20 รูปขำๆ แบบน่ารักๆ จากโปสต์การ์ดที่ระลึกในระหว่างไปเที่ยว ในช่วงศตวรรษที่ 20

    เป็นเรื่องที่รู้กันว่าชีวิตคนเรานั้นไม่ควรขาดเสียงหัวเราะ ดังนั้นตั้งแต่ในอดีตมา หากมนุษย์เราได้มีโอกาสไปเที่ยว พวกเรามักจะเก็บภาพขำๆ เอาไว้มากมาย จนเผลอๆ มีเยอะกว่าภาพสำคัญทางประวัติศาสตร์เสียอีก ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงได้นำรูปขำๆ แบบน่ารักๆ ที่คนสมัยก่อนถ่าย ไม่ว่าจะเป็น โปสต์การ์ดที่ระลึกในระหว่างไปเที่ยวเล่น หรือถ่ายเอาฮาในโอกาสพิเศษ มาให้เพื่อนๆ ได้ดูกัน แต่จะน่าสนใจแค่ไหนนั้นคงต้องให้เพื่อนๆ ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันจากภาพ “บนเรือบิน Noll” ภาพถ่ายโปสต์การ์ดที่ระลึกของครอบครัว ที่ออกแนวการ์ตูนนิดๆ   “เรือกู้ชีพของแอตแลนติกซิตี” แน่นอนว่าเป็นภาพที่ระลึกจากการไปเยือนแอตแลนติกซิตี   ภาพครอบครัวที่ติดอยู่ในกระแสน้ำที่น้ำตกไนแองการา แน่นอนว่าเป็นการจัดฉาก   คุณพ่อบนเลือดำน้ำ F-6   พ่อหนุ่มที่พาสาวๆ ไปนั่งรถเล่น   คู่รักบนเครื่องบินเหนือแม่น้ำ นี่มันตัดต่อชัดๆ   บ้านนี้มีจระเข้เป็นสัตว์เลี้ยง   ครอบครัวบินได้ คนยุคนี้เข้าชอบถ่ายภาพหน้าตายกันเหรอ   สามหนุ่มผู้บินไปเหนือโคโลราโด   คล้ายๆ อันบนแต่เป็นที่พิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย   มาเป็นชาวดัตช์บนทางเดินริมทะเลที่แอตแลนติกซิตี้กันเถอะ   กินเหล้ากินเบียร์ขับเรือ ผิดกฎหมาย!!  …

  • ย้อนรอยบันทึกของ “ธีโอดอร์ รูสเวลต์” ในวันที่เขาต้องเสียภรรยาและมารดาไปพร้อมๆ กัน

    ย้อนรอยบันทึกของ “ธีโอดอร์ รูสเวลต์” ในวันที่เขาต้องเสียภรรยาและมารดาไปพร้อมๆ กัน

    สำหรับคนบางคนแล้วความรักมันก็เหมือนกับดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่ง มันช่างอบอุ่น สว่างสดใส และนำทางให้ชีวิตของคนที่เคยหลงทางอยู่ในเงามืด แต่ก็เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ที่ต้องลับขอบฟ้าไปในยามเย็น ความรักของคนเรานั้นมันไม่ได้มั่นคงอยู่ได้เสมอไป และเราก็ไม่อาจจะรู้เลยว่าวันที่ต้องลาจากกันนั้น จะมาถึงเมื่อไหร่กันแน่ แต่สำหรับอดีตประธานาธิบดีสหรัฐของอเมริกาอย่าง “ธีโอดอร์ รูสเวลต์” แล้ว วันที่แสงสว่างในชีวิตของเขาหายไปนั้น คงจะไม่ใช่วันอื่นนอกจากวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1884 เพราะในวันนั้น คนที่เขารักที่สุดในชีวิตสองคนอย่าง ภรรยาและมารดาของเขา กลับต้องมาเสียชีวิตไปในเวลาที่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งวัน     เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นสะเทือนใจรูสเวลต์มากจนแม้แต่ในบันทึกประจำวันที่เขาเขียนทุกวัน ในวันนั้นกลับไม่มีสิ่งใดเขียนเอาไว้เลย นอกจากกากบาทและถ้อยคำสั้นๆ ว่า “แสงสว่างได้หายไปจากชีวิตผมแล้ว” ในวันนั้นรูสเวลต์ที่ยังคงเป็นเพียงสมาชิกสภาล่างของแมนฮัตตัน ได้รีบกลับมายังเมืองนิวยอร์ก หลังจากที่เขาได้รับโทรเลขเกี่ยวกับสุขภาพของมารดา แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านเขากลับต้องพบว่าไม่เพียงแค่มารดาของเขาเท่านั้นที่กำลังสุขภาพย่ำแย่จากไข้ไทฟอยด์ แต่ภรรยาของเขาเองก็กำลังป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับไต (ที่ในสมัยนั้นไม่สามารถวินิจฉัยได้)   อลิซ ลี รูสเวลต์ (ซ้าย) ภรรยาของธีโอดอร์ รูสเวลต์ และ มาทาร์ บัลลอค รูสเวลต์ (ขวา) ผู้เป็นมารดา   ในท้ายที่สุด มารดาของรูสเวลต์ก็เสียชีวิตไปในเวลา 03.00 นาฬิกา ของวันนั้น ด้วยอายุไม่ทันจะ 50 ปี ส่วนภรรยาผู้ซึ่งเพิ่งจะให้กำเนิดลูกสาวเมื่อสองวันก่อนเอง…

  • 13 งานชิ้นแรกสุดแปลก ที่เหล่าผู้นำสหรัฐฯ เคยทำ ก่อนที่จะได้เป็นประธานาธิบดี

    13 งานชิ้นแรกสุดแปลก ที่เหล่าผู้นำสหรัฐฯ เคยทำ ก่อนที่จะได้เป็นประธานาธิบดี

    ว่ากันว่าคนเรานั้นจะจดจำงานที่ทำเป็นชิ้นแรกได้อย่างแม่นยำเสมอ แม้ว่าจะเป็นงานที่ชอบหรือไม่ก็ตาม และในหลายๆ ครั้งงานที่ทำเป็นครั้งแรกก็มักจะไม่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำอยู่ในปัจจุบันเลย จริงอยู่ว่าเรื่องข้างต้นนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงสำหรับคนหลายคนกว่าที่เราคิด เพราะแม้แต่เหล่าประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เอง ก็ใช้ว่าจะเกิดมาเป็นประธานาธิบดีเลยเช่นกัน และสำหรับหลายๆ คนแล้ว เชื่อว่าตอนทำงานชิ้นแรก ก็คงไม่คิดหรอกว่าตัวเองจะได้กลายเป็นผู้นำประเทศ ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงได้นำเอาข้อมูลงานของเหล่าผู้นำทั้ง 13 คน ที่เคยมีงานสุดแปลกก่อนที่จะมาเป็นประธานาธิบดีมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน ว่าแต่จะมีใครบาง และพวกเขาเคยทำมาก่อนนั้น คงต้องให้ไปติดตามกันได้เลยข้างล่างนี้   เริ่มกันจาก George Washington ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ ในตอนที่อายุ 16 ปี เขาเคยเป็นผู้สำรวจรังวัดที่หุบเขาเชเนินโดอามาก่อน และทำงานเก็บเงินจนได้เป็นเจ้าของที่ดินในอีก 5 ปีต่อมา   John Adams ประธานาธิบดีคนที่ 2 ของสหรัฐฯ ในอดีตเขาเคยเป็นครูมาก่อน แต่ก็ไม่ชอบอาชีพนี้มากๆ จนมักให้เด็กเก่งๆ ในห้องสอนแทนตัวเองอยู่เสมอ   John F. Kennedy ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐฯ เคยทำงานเป็นผู้ช่วยในฟาร์มปศุสัตว์ ในรัฐแอริโซนาเมื่อตอนที่เขาอายุได้ 19 ปี   Abraham Lincoln ประธานาธิบดีคนที่ 16…

  • ย้อนรอย Anatoly Moskvin ชายผู้แอบขุดศพเด็ก 29 คนมาทำเป็นตุ๊กตาเก็บไว้ในบ้าน

    ย้อนรอย Anatoly Moskvin ชายผู้แอบขุดศพเด็ก 29 คนมาทำเป็นตุ๊กตาเก็บไว้ในบ้าน

    เคยได้ยินเรื่องราวของ Anatoly Moskvin กันมาก่อนไหม เขาคือนักข่าว นักโบราณคดี และนักภาษาศาสตร์ชาวรัสเซีย เจ้าของความสามารถในการพูดภาษาต่างประเทศได้มากมายถึง 13 ภาษา     แต่แม้ว่าจะมีดีกรีความสามารถมากมายเพียงไหน สิ่งที่ทำให้ Anatoly Moskvin โด่งดังขึ้นมากลับไม่ใช่ความสามารถของเขา แต่เป็นเหตุการณ์ที่เขาโดนจับในปี 2011 จากการที่เขานำร่างของหญิงสาว 29 คนมาทำเป็นมัมมี่เก็บไว้ในอะพาร์ตเมนต์ของตัวเองต่างหาก โดยจากการรายงานของตำรวจมัมมี่ของเด็กผู้หญิงที่พบในบ้านของ Moskvin นั้นมีอายุตั้งแต่ 3-25 ปี และอยู่ในสภาพที่ถูกตกแต่งดูแลอย่างดี จนแม้กระทั่งครอบครัวและคนใกล้ชิดของเขาหลายๆ คน คิดว่ามัมมี่เหล่านั้นเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาเลยด้วยซ้ำ     จากคำบอกเล่าของ Moskvin เอง งานอดิเรกสุดแปลกของเขามีจุดเริ่มต้นขึ้นจากเหตุการณ์ในปี 1979 ซึ่งเขากำลังอายุได้เพียง 13 ปี โดยในเวลานั้นเขาได้ไปพบกับกลุ่มคนที่กำลังจัดพิธีศพของเด็กหญิงวัย 11 ปี และก็เป็นในตอนนั้นเองเขาก็ถูกบังคับให้จูบกับร่างไร้วิญญาณของเด็กในพิธี แต่แทนที่เหตุการณ์ในวันนั้นจะทำให้เขาหวาดกลัวศพ มันกลับทำให้ Moskvin หลงรักในร่างไร้วิญญาณของเด็กสาวแทน เขามักจะเดินทางไปเที่ยวเล่นตามสุสานตั้งแต่วันนั้นมา และเมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อยเขาก็เริ่มให้ประโยชน์จากการเป็นนักโบราณคดีในการแอบขุดศพมาเก็บไว้     ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา Moskvin ก็เริ่มสะสมศพจนเป็นคอลเลคชั่น จนทำให้คนในเมืองเริ่มสงสัยกันว่าศพที่ฝังไว้หายไปไหนในปี…

  • พบบันทึกโบราณระบุเรื่องแม่ชีที่แกล้งตาย เพื่อหนีไปไล่ตาม “ตัณหาทางกามารมณ์”

    พบบันทึกโบราณระบุเรื่องแม่ชีที่แกล้งตาย เพื่อหนีไปไล่ตาม “ตัณหาทางกามารมณ์”

    ในขณะที่เหล่านักโบราณคดีของมหาวิทยาลัยยอร์ก กำลังทำการตรวจสอบ และแปลภาษาเอกสารโบราณที่เก็บเอาไว้ในมหาวิทยาลัย พวกเขาก็พบกับบันทึกของหัวหน้าบาทหลวงแห่งยอร์กจำนวน 16 เล่ม ที่มีการบันทึกเรื่องราวภายในศาสนจักรตั้งแต่ช่วงปี 1304-1405 เอาไว้     แน่นอนว่าบันทึกเหล่านี้นับเป็นหลักฐานที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในทางประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เหล่านักโบราณคดีให้ความสนใจที่สุดในบันทึกที่พบนั้นกลับเป็นเรื่องราวของแม่ชีชื่อว่า Joan of Leeds นั่นแม่ชี Joan of Leeds ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 14 คนนี้ เคยลงทุนแกล้งทำเป็นว่าตัวเองตาย เพื่อที่จะหนีออกจากศาสนจักร เพื่อไปไล่ตาม “ตัณหาทางกามารมณ์” ของเธอเอง     อ้างอิงจากที่ระบุไว้ในบันทึก แม่ชีคนนี้ได้นำ “ตัวแทน” ที่มีรูปร่างคล้ายกับตัวเธอเอง ไปทิ้งไว้ใน “พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์” ท่ามกลางศพจริงๆ ของคนในคณะนักบวช ก่อนที่จะแอบหนีออกไปจากที่พักโดยมีคนจำนวนหนึ่งค่อยให้ความช่วยเหลือ เพื่อแสวงหาความสุขทางเพศ ทีมนักโบราณคดีอธิบายว่า จากลักษณะการเลือกใช้คำในบันทึก ดูเหมือนว่าหัวหน้าบาทหลวงจะไม่พอใจในการกระทำของเธอและผองเพื่อนเป็นอย่างมาก โดยมีการบอกว่าตัวแม่ชีนั้นถูกล่อลวงโดย ความคิดที่เปี่ยมไปด้วยความอนาจาร และเพื่อนๆ ของเธอนั้นเป็นผู้ชั่วช้าที่กระทำการด้วยความมุ่งร้าย     พวกเขายังบอกอีกว่าในช่วงศตวรรษที่ 14 เด็กผู้หญิงบางส่วนมักจะถูกคาดหวังให้ไปเป็นแม่ชีในตอนที่อายุได้ราวๆ 14 ปี ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้มีการบังคับอย่างเป็นทางการ แต่ในหลายๆ ครั้งหากผู้ปกครองเป็นคนเคร่งศาสนา เด็กๆ…

  • นาซาเผย การติดต่อครั้งสุดท้ายกับยาน “Opportunity” ที่กินใจจนโด่งดังไปทั่วโลก

    นาซาเผย การติดต่อครั้งสุดท้ายกับยาน “Opportunity” ที่กินใจจนโด่งดังไปทั่วโลก

    เคยได้ยินเรื่องราวของยาน Opportunity กันไหม? นี่คือยานสำรวจดาวอังคารของนาซาที่เริ่มปฏิบัติการเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2003 และมีกำหนดการทำงานอยู่ที่ราวๆ 90 วัน อย่างไรก็ตามตั้งแต่ส่งขึ้นไปบนดาวอังคาร ยานสำรวจลำนี้กลับสามารถทำงานอย่างต่อเนื่องได้ยาวนานถึง 15 ปีตั้งแต่ที่ร่อนลงบนดาวอังคาร และเพิ่งจะหยุดทำงานลงไปในวันที่ 10 มิถุนายน ปี 2018 เท่านั้น     การทำงานที่ยาวนานของมันนี่เอง ทำให้ยาน Opportunity กลายเป็นเสมือนยานสำรวจลูกรักลำหนึ่งของเจ้าหน้าที่ของนาซาไป ดังนั้นในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องออกมาปลดประจำการยานลำนี้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ทางนาซาจึงนำข้อความชุดสุดท้ายที่พวกเขาติดต่อกับยาน Opportunity ออกมาเปิดเผยให้โลกได้เห็น และสร้างความสะเทือนใจให้กลับชาวอินเตอร์เน็ตเป็นอย่างมาก จุดเริ่มต้นของการลาจากนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ได้เกิดเหตุการณ์พายุดาวอังคารขึ้นในพื้นที่ปฏิบัติการของยาน Opportunity ซึ่งส่งผลโดยตรงกับระบบพลังงานแสงอาทิตย์ของตัวยานมาก     ในวันนั้นยาน Opportunity ได้ส่งข้อความทางเทคนิคที่ว่า การสร้างพลังงานของยานลดลงถึง 97% หลังจากที่เกิดพายุขึ้น และไม่เพียงพอต่อการทำงานของระบบ จริงอยู่ว่าข้อความเหล่านี้จะดูเป็นทางการมาก แต่สำหรับทีมงานของนาซาที่อยู่กับยานลำนี้มานาน พวกเขารู้สึกว่าข้อความของยาน Opportunity นั้นไม่ต่างกับการบอกว่า “แบตเตอรี่ของผมใกล้จะหมด ทุกอย่างมันเริ่มมืดไปหมดแล้ว”     เมื่อได้รับข้อความที่น่าใจหายนี้มา ทีมงานนาซาก็รีบส่งข้อความตอบกลับยานลูกรักของตัวเองทันที โดยในตอนแรกๆ…

  • งานวิจัยเผย โบราณสถานแบบ “สโตนเฮนจ์” อาจมีที่มาจากฝรั่งเศส และสร้างโดยนักเดินเรือ

    งานวิจัยเผย โบราณสถานแบบ “สโตนเฮนจ์” อาจมีที่มาจากฝรั่งเศส และสร้างโดยนักเดินเรือ

    สโตนเฮนจ์ คือโบราณสถานที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 2,400-2,200 ปีก่อนคริสตกาล และเป็นสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยปริศนามากมายไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนในการสร้างขึ้นมา หรือใครกันที่เป็นผู้สร้างโบราณสถานแห่งนี้ขึ้น     แน่นอนว่าที่ผ่านๆ มาย่อมมีทฤษฎีมากมายที่พยายามออกมาอธิบายตัวตนของผู้ที่สร้างโบราณสถานแห่งนี้ขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทฤษฎีไหนเลยที่มีความน่าจะเป็นมากพอที่จะทำให้นักโบราณคดีจำนวนมากปักใจเชื่อ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในนิตยสาร “Proceedings of the National Academy of Sciences” ก็ได้มีการออกมานำเสนอทฤษฎีใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังสโตนเฮนจ์อีกครั้ง และได้รับความเชื่อถือจากนักโบราณคดีเป็นจำนวนมาก     นั่นเพราะจากการตรวจสอบแห่งโบราณสถานที่เป็นหินขนาดใหญ่หรือ “Megalith” กว่า 2,400 แห่งทั่วยุโรปของทีมนักโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัย Gothenburg ในสวีเดน พวกเขาก็พบว่าโบราณสถานในรูปแบบนี้นั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในฝรั่งเศส ตั้งแต่เมื่อ 7,000 ปีก่อนเลยทีเดียว โดยในระหว่างการตรวจสอบคาร์บอนกัมมันตรังสีในโบราณสถานทั่วยุโรป เหล่านักโบราณคดีก็พบว่าหลังจากโบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุดในฝรั่งเศสถูกสร้างราวๆ 400 ปี จู่ๆ โบราณสถานในรูปแบบนี้ก็เริ่มปรากฏขึ้นมาตามแทบชายฝั่งตะวันตกของฝรั่งเศส ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คาบสมุทรไอบีเรีย และสถานที่อื่นๆ ในยุโรป     เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว Bettina Schulz Paulsson หนึ่งในทีมนักโบราณคดีเจ้าของทฤษฎี…

  • พิพิธภัณฑ์ลอนดอน เตรียมจัดแสดงส้วมไม้จากศตวรรษที่ 12 ที่ใช้ทำธุระได้พร้อมกันสามคน

    พิพิธภัณฑ์ลอนดอน เตรียมจัดแสดงส้วมไม้จากศตวรรษที่ 12 ที่ใช้ทำธุระได้พร้อมกันสามคน

    เชื่อว่าในยุคที่ความสะอาดและความเป็นส่วนตัวนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากแบบทุกวันนี้ เพื่อนๆ หลายคนคงมีความรู้สึกที่ไม่มีเท่าไหร่กับห้องน้ำสาธารณะ จนถึงขั้นที่ว่าหากเลี่ยงได้ก็คงจะอยากเลี่ยง ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าห้องน้ำที่เราใช้กันในปัจจุบัน ต่อให้เป็นห้องน้ำสาธารณะก็ตาม นับว่าเป็นห้องนี้ที่สะอาดและเป็นส่วนตัวมากๆ แล้ว หากเทียบกับห้องน้ำจากเมื่อศตวรรษที่ 12 ต่อไปนี้     เพราะนี่คือหน้าตาของแผ่นรองนั่งเพื่อทำธุระส่วนตัวที่ทำจากไม้อายุ 900 ปี ซึ่งถูกนำออกมาเปิดเผยให้โลกเห็น เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา โดยพิพิธภัณฑ์ท่าเรือเก่า ลอนดอน ดอคแลนด์ และกำลังจะถูกนำไปออกแสดงในฐานะส่วนหนึ่งของวัตถุโบราณในงานนิทรรศการ “Secret Rivers” ภายในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ จริงอยู่ว่าหลายๆ คนอาจจะทราบกันอยู่แล้วว่าห้องน้ำในสมัยก่อนนั้นมีสุขอนามัยที่ค่อนข้างต่ำมากเมื่อเทียบกับในปัจจุบัน และแน่นอนว่าแผ่นไม้ที่เห็นนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเดียวที่ทำให้ที่นั่งทำธุระชิ้นนี้ดูไม่น่าใช้ในปัจจุบัน     นั่นเพราะอย่างที่เพื่อนๆ เห็นกันว่าแผ่นไม้อันนี้มีรูอยู่สามรู (รูสุดท้ายเสียหายไปตามกาลเวลา) มันออกแบบมาให้คนในสมัยนั้นเข้ามาปลดทุกข์อย่างการถ่ายหนักได้พร้อมๆ กันสามคนเลยนั่นเอง จากคำบอกเล่าของนักโบราณคดีเจ้าแผ่นไม้อันนี้ ถูกค้นพบในระหว่างการขุดค้นทางโบราณคดีใกล้ๆ แม่น้ำ Fleet ในลอนดอน และคาดกันว่าสิ่งปฏิกูลจากเหล่าผู้ใช้งานแผ่นไม้นี้ จะถูกทิ้งลงในแม่น้ำไปเลย     และนอกจากตัวแผ่นไม้ที่พบแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์ยังได้จัด แผ่นไม้รองนั่งแบบจำลอง ซึ่งทำมาเพื่อให้คนที่สนใจได้ถ่ายเซลฟี่กับส้วมได้ตามที่ต้องการเลยนั่นเอง     ที่มา foxnews และ livescience

  • พบภาพวาดฝาผนังของ “นาร์ซิสซัส” ชายหนุ่มผู้หลงรักตัวเอง ในบ้านโบราณที่เมืองปอมเปอี

    พบภาพวาดฝาผนังของ “นาร์ซิสซัส” ชายหนุ่มผู้หลงรักตัวเอง ในบ้านโบราณที่เมืองปอมเปอี

    เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในขณะที่คล้ายๆ คนกำลังฉลองวันวาเลนไทน์กันอยู่ ไกลออกไปในเมืองปอมเปอี ทีมนักโบราณคดีก็ได้ทำการค้นพบโบราณวัตถุชิ้นใหม่จากที่ถูกฝังไว้ใต้เถ้าภูเขาไฟแห่งนี้อีกครั้ง นั่นเพราะภายในบ้านที่เคยมีการค้นพบไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2018 นักโบราณคดีก็ได้มีการค้นพบภาพฝาผนังของ “นาร์ซิสซัส” ชายหนุ่มรูปงามผู้หลงรักตัวเองจากเทพปกรณัมกรีก วาดเอาไว้บนกำแพงส่วนหนึ่งของบ้านที่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีการเข้าขุดค้นโดยนักโบราณคดี     ภาพที่พบนี้นับว่าเป็นรูปภาพฝาผนังรูปที่สองแล้วที่มีการพบในบ้านหลังนี้ เพราะก่อนหน้านี้เองในบ้านหลังนี้ก็เคยมีการค้นพบภาพ “เลดากับหงส์” มาก่อน (อ่านข่าวเก่าของบ้านหลังนี้ได้ที่ พบภาพวาดสีปูนเปียกของ “เลดาและหงส์” ในซากห้องนอนเก่าแก่ที่เมืองปอมเปอี)     อ้างอิงจากรายงานของนักโบราณคดี คนที่ยืนอยู่ข้างหลังของ “นาร์ซิสซัส” นั้น น่าจะเป็น “พริอาพัส” ที่เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และมักปรากฏออกมาในศิลปะที่อิโรติกหน่อยๆ อย่างไรก็ตามนักโบราณคดีไม่ได้มั่นใจในจุดนี้มากนัก ภาพฝาผนังของนาร์ซิสซัสที่พบในครั้งนี้ เป็นภาพวาดสีปูนเปียกเช่นเดียวกับภาพอื่นๆ ที่เคยมีการพบมา และอยู่ในสภาพค่อนข้างดีไม่มีหินอัคนีเกาะ จริงอยู่ว่าภาพที่พบจะไม่ได้สีสดใสเท่าภาพของเลดา แถมยังมีรอยแตก และส่วนใบหน้าที่ไม่ชัดเจน แต่ภาพที่พบนั้นก็ยังคงอยู่ในสภาพที่นับว่าค่อนข้างสมบูรณ์มากเมื่อเทียบกับความจริงที่ว่าเมืองปอมเปอีนั้นเคยถูกฝังอยู่ใต้เถ้าถ่านมาก่อน     การค้นพบในครั้งนี้ทำให้นักโบราณคดีค่อนข้างมั่นใจขึ้นมากว่า เจ้าของบ้านหลังนี้น่าจะเป็นคนมีฐานะและรักในงานศิลปะมาก เพราะนอกที่พบทั้งสองภาพแล้ว นักโบราณคดียังพบว่าภายในบ้านยังมีร่องรอยของบันไดที่นำไปสู่ห้องเก็บวัตถุโบราณที่ทำจากแก้ว แจกันประดับ และวัตถุโบราณอื่นๆ อีกมากมายเลย นั่นทำให้นักโบราณคดีเชื่อการขุดค้นบ้านหลังนี้น่าจะยังคงไม่จบลงเพียงเท่านี้ และเป็นไปได้ว่าในอนาคต เราจะยังสามารถได้เห็นข่าวการค้นพบงานศิลปะอีกเป็นจำนวนมากเลย…

  • พบ “สัญลักษณ์ของแม่มด” ในถ้ำโบราณจากยุคน้ำแข็ง เชื่อสลักเอาไว้ “ขับไล่สิ่งชั่วร้าย”

    พบ “สัญลักษณ์ของแม่มด” ในถ้ำโบราณจากยุคน้ำแข็ง เชื่อสลักเอาไว้ “ขับไล่สิ่งชั่วร้าย”

    ความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับการถือเคล็ดถือลาง สำหรับหลายๆ คนอาจจะเป็นเรื่องที่ดูแล้วงมงาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เรื่องราวเกี่ยวกับไสยศาสตร์เหล่านี้เป็นเรื่องที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เมื่อทีมนักโบราณคดีพบกับเครื่องหมายประหลาดภายในถ้ำที่ Creswell Crags ในมณฑล Nottinghamshire ประเทศอังกฤษ เครื่องหมายดังกล่าวจะถูกมองว่าเป็น “สัญลักษณ์ของแม่มด” ที่เอาไว้ “ขับไล่สิ่งชั่วร้าย”     เอาเข้าจริงๆ ที่ Creswell Crags นั้นเป็นถ้ำที่มีประวัติการค้นพบภาพเขียนโบราณตั้งแต่สมัยยุคน้ำแข็งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ตลอด 17 ปีตั้งแต่ที่มีการค้นพบถ้ำ กลับไม่เคยมีใครสังเกตเลยว่าที่อักขระที่สลักไว้หน้าถ้ำนั้นไม่ได้มาจากยุคน้ำแข็ง แต่เป็นร่องรอยจากอีกยุคสมัยหนึ่งต่างหาก จากคำบอกเล่าของทีมนักโบราณคดี สัญลักษณ์ของแม่มดที่พบนี้ เป็นเครื่องหมายที่รวมกันเป็นคำว่า “กลับไป” ในภาษาโรมันโบราณ ซึ่งมักถูกพบตามโบสถ์หรือบ้านตั้งแต่ช่วงยุคกลางไปจนถึงศตวรรษที่ 19 และนับว่าค่อนข้างแปลกมากที่มีการมาพบในถ้ำจากยุคน้ำแข็งเช่นนี้     โดยในบรรดาสัญลักษณ์มากมายที่พบ “VV” จะเป็นสัญลักษณ์ที่เห็นได้บ่อยที่สุด และเชื่อกันว่าน่าจะสื่อถึงพระแม่มารี ผู้ที่ได้ชื่อว่าหญิงพรหมจรรย์ในหมู่หญิงพรหมจรรย์ (Virgin of Virgins) เป็นไปได้ว่าใครก็ตามที่เขียนสัญลักษณ์นี้ขึ้นมา น่าจะต้องการป้องกันไม่ให้สิ่งชั่วร้ายออกมาจากถ้ำ ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่เพราะตามความเชื่อในสมัยก่อนแล้ว ถ้ำหลายๆ ที่มักจะถูกมองว่าเป็นทางไปสู่นรก     แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามในปัจจุบันนักโบราณคดีก็ยังไม่ได้มีการฟันธงอยู่ดีว่าสัญลักษณ์ที่พบนั้นสร้างขึ้นโดยใครจากยุคไหน และแน่นอนว่าสัญลักษณ์ที่มีการค้นพบในครั้งนี้ก็ยังคงต้องมีการตรวจสอบกันต่อไปเช่นกัน   ที่มา livescience, mirror และ bbc

  • ชม 16 ภาพการทำงานของอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 20 จากภาพโฆษณาภาพตัดขวางในอดีต

    ชม 16 ภาพการทำงานของอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 20 จากภาพโฆษณาภาพตัดขวางในอดีต

    ตลอดช่วงปี 1930-1960 ศิลปินนักวาดภาพประกอบเชิงพาณิชย์อย่าง Frank Soltesz ได้คลุกคลีอยู่กับวงการโฆษณาของอุตสาหกรรมในสมัยนั้นมามากมายหลายแบบ และแน่นอนว่าในเวลาเดียวกันเขาก็ได้สร้างผลงานโฆษณาที่เป็นที่จดจำขึ้นมาเป็นจำนวนมาก โดยหนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงของเขา คือผลงานที่จัดทำให้กับบริษัท Armstrong Cork ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาพของอุตสาหกรรมต่างๆ ในสมัยนั้น ที่ถูกนำมาตัดกำแพงบางส่วนออกเพื่อแสดงให้เห็นการทำงานภายใน และผลงานชุดนี้นี่เองที่จะเป็นผลงานที่เราจะมาชมกันในวันนี้กับ 16 ภาพตัดขวางของอุตสาหกรรมในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 แต่จะน่าสนใจขนาดไหนนั้น คงต้องให้เพื่อนๆ ไปตัดสินกันเองที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากการทำงานของอุตสาหกรรมห้างสรรพสินค้า   การทำงานของร้านอาหารแช่แข็ง (ส่วนมากจะเป็นเนื้อ) อย่าง Locker Plant   การทำงานของสะพานเทียบเรือหาปลา   เบื้องหลังของฟู้ดมาร์เก็ต   ภายในของเรือพลังไอน้ำ   การทำงานของออฟฟิศขนาดใหญ่ที่มีชั้นใต้ดิน   การทำงานของโรงละครขนาดใหญ่ ซึ่งรวมทั้งระบบแอร์ด้วย   การทำงานของโรงผลิตยางด้วยอุณหภูมิต่ำ (เรียกกันว่า Cold rubber หรือ Cold polymerized rubber)   การทำงานของโรงผลิตเบียร์รุ่นใหม่ในสมัยนั้น   การทำงานของโรงผลิตน้ำส้มเข้มข้นแบบแช่แข็ง (Frozen concentrated orange juice)…

  • ย้อนรอย “Blackface” การแต่งหน้าเป็นคนดำ สัญลักษณ์เหยียดผิวรุนแรง ที่กิดขึ้นมาในอดีต

    ย้อนรอย “Blackface” การแต่งหน้าเป็นคนดำ สัญลักษณ์เหยียดผิวรุนแรง ที่กิดขึ้นมาในอดีต

    หากยังจำกันได้ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา #เหมียวตะปู ได้นำเสนอข่าว แบรนด์แฟชั่นจากประเทศอิตาลีอย่าง Gucci ได้ออกมาขอโทษเรื่องที่เสื้อกันหนาวมีลักษณะเหมือนกับ “Blackface” ซึ่งถือเป็นการเหยียดผิวอย่างมาในสมัยก่อน (อ่านข่าวเก่าได้ที่นี่ Gucci ออกมาขอโทษ เหตุ “เสื้อกันหนาว” มีลักษณะเหมือนเป็นการ “เหยียดผิว”)     ในเวลานั้นหลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าเจ้า Blackface ที่ว่านั้นมันคืออะไรเกิดขึ้นมาจากไหน และเหยียดผิวอย่างไร กันบ้างเป็นแน่ ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมเรื่องราวประวัติของ Blackface กัน เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะทราบกันว่า Blackface นั้น เป็นการแต่งหน้าหรือใส่หน้ากากสีดำและทาปากให้ดูใหญ่ของนักแสดงผิวขาวในสมัยก่อน เพื่อแสดงเป็นคนผิวสี การแต่งหน้าในรูปแบบนี้แม้ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นครั้งแรกที่ไหน แต่ก็กลายเป็นที่นิยมมากไม่นานหลังจากช่วงสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกา  ทำให้คาดกันว่านี่เป็นการกระทำซึ่งเกิดจากความรู้สึกเป็นปรปักษ์กับการที่ต้องปลดปล่อยคนดำที่เป็นทาส จนบานปลายไปเป็นการเหยียดผิว     David Leonard ศาสตราจารย์ด้านชาติพันธุ์ศึกษา และประวัติศาสตร์อเมริกันแห่งมหาวิทยาลัย Washington State กล่าวว่า Blackface นับเป็นการยืนยันถึงพลังและความสามารถในการควบคุมของคนขาว ที่ทำให้สังคมสามารถมองคนแอฟริกัน-อเมริกันว่าไม่ใช่คนได้ง่ายขึ้น แนวคิดเหล่านี้แสดงออกมากับบทบาทในของตัวละคร ที่มักเป็นการเหมารวมด้านแย่ๆ ตามความเชื่อของคนยุโรปต่อชาวแอฟริกัน-อเมริกันในสมัยนั้นเอาไว้ เช่นความขี้เกียจ โง่เขลา งมงาย หื่นกระหาย ขี้ขลาด และชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด…

  • ซากเรือ USS Hornet ถูกค้นพบแล้ว โดยทีมค้นหาของผู้ร่วมสร้างบริษัทไมโครซอฟต์

    ซากเรือ USS Hornet ถูกค้นพบแล้ว โดยทีมค้นหาของผู้ร่วมสร้างบริษัทไมโครซอฟต์

    26 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1942 ระหว่างการรบที่เกาะซานตาครูซ เรือบรรทุกเครื่องบินสัญชาติสหรัฐฯ อย่าง USS Hornet ได้ถูกรุมโจมตีจากเครื่องบินทิ้งระเบิด เครื่องบินทิ้งตอร์ปิโด และเรือพิฆาต ของประเทศญี่ปุ่น จนสุดท้ายก็ต้องจมลงไปนอนอยู่ที่ได้ท้องทะเล     แต่แล้วหลังจากเวลาผ่านไปมากว่า 70 ปี ที่มีการตามหาสถานที่ที่ USS Hornet จม ในที่สุดเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เรือสำรวจทางทะเลของ Paul Allen ผู้ร่วมสร้างบริษัทไมโครซอฟต์กับ Bill Gates ก็ได้ค้นพบซากเรือลำนี้เข้าจนได้ พวกเขาตามหาเรือ USS Hornet จากรายงานของเรืออื่นๆ ที่เข้าร่วมรบในสงครามเดียวกันจำนวน 9 ลำ และหลังจากกำหนดขอบเขตการค้นหาเสร็จทางทีมค้นหาก็ได้ใช้ทีมค้นหาร่วม 10 คน สำรวจพื้นที่ไปพร้อมๆ กับโดรนโซนาร์ต่อไป     จากรายงานของทีมค้นหา เรือ USS Hornet จมอยู่ใกล้ๆ กับหมู่เกาะโซโลมอน ห่างออกไปจากเกาะซานตาครูซเล็กน้อย และอยู่ลึกลงไปใต้น้ำถึงราวๆ 5,330 เมตร ซึ่งสามารถยืนยันได้อย่างง่ายดายจากสัญลักษณ์ CV-8 ที่ตัวเรือ จากคำบอกเราของลูกเรือที่มีชีวิตรอดมาจากสงคราม ในตอนที่เรือลำนี้จมลงไป ลูกเรือราวๆ…

  • ปริศนาความตายของตุตันคาเมน เรื่องลึกลับที่ยังไขไม่ได้ แม้ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน

    ปริศนาความตายของตุตันคาเมน เรื่องลึกลับที่ยังไขไม่ได้ แม้ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าฟาโรห์ตุตันคาเมน (หรือ ตุตันคามุน) เป็นฟาโรห์ที่โด่งดังเรื่องตำนานของคำสาปร้ายของตัวสุสาน ที่จะทำให้ใครก็ตามที่ย่างกรายเข้าไปรบกวนการหลับใหลของท่านจะต้องพบกับความตายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง (อ่านข่าวเก่าได้ที่ ตุตันคาเมน ฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณ ผู้เปิดตำนาน “คําสาปร้ายแห่งฟาโรห์”)     อย่างไรก็ตามคำสาปแห่งฟาโรห์นั้นไม่ใช่ความลึกลับเพียงเรื่องเดียวของฟาโรห์ผู้เสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อ 3,000 กว่าปีก่อนองค์นี้ เพราะรู้หรือไม่ว่าจนถึงปัจจุบัน เราก็ยังไม่อาจทราบได้เลยว่าอะไรกันที่ทำให้ฟาโรห์ตุตันคาเมน เสียชีวิตตั้งแต่อายุเพียง 18-19 ปี ตั้งแต่ที่มีการค้นพบในปี 1923 นักวิทยาศาสตร์ก็ตั้งสมมติฐานมากมายเพื่อออกมาบรรยายความตายของฟาโรห์ตุตันคาเมน ตั้งแต่อุบัติเหตุ การเป็นโรคร้าย หรือแม้แต่การถูกลอบสังหาร และเมื่อเวลาผ่านไปเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นสมมติฐานเหล่านั้นก็ถูกบีบให้แคบลงเรื่อยๆ ในปัจจุบันหลักฐานที่เราได้รับจากการตรวจสอบมัมมี่ของฟาโรห์องค์นี้ ฟาโรห์ตุตันคาเมนนั้นในอดีตเคยเป็นโรคมาลาเรีย มีแผลขนาดใหญ่ที่ขา และพิการแต่กำเนิด จากการที่สายเลือดชิด ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ ในราชวงศ์ซึ่งมีการแต่งงานในหมู่พี่น้องอย่างของอียิปต์     นั่นทำให้ความตายของฟาโรห์ตุตันคาเมนมักถูกเชื่อกันว่า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร แต่น่าจะเกี่ยวข้องกับโรคร้าย หรืออุบัติเหตุมากกว่า ในปี 2014 ทางสำนักข่าวต่างประเทศ ก็ได้นำเสนอทฤษฎีที่น่าสนใจเกี่ยวกับความตายของฟาโรห์ขึ้นมาอีกหนึ่งแบบ พวกเขาบอกว่าฟาโรห์ตุตันคาเมนอาจจะเสียชีวิตจากการอุบัติเหตุกับรถม้าก็เป็นได้ โดยจากอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ ขาและกระดูกเชิงกรานของฟาโรห์หัก และทำไปสู่อาการติดเชื้ออื่นๆ (รวมทั้งมาลาเรีย) ในภายหลัง     ดูเหมือนว่าทฤษฎีนี้จะได้แรงบันดาลใจมาจากภาพวาดของฟาโรห์ตุตันคาเมน ซึ่งมักเป็นภาพการออกรบบนรถม้า และความจริงที่ว่าตัวฟาโรห์มีขาที่ผิดปกติ (จากสายเลือดชิด) ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ว่าฟาโรห์ตุตันคาเมนจะเคยตกจากรถม้านั่นเอง น่าเสียดายที่เราไม่สามารถฟันธงได้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกระดูกของฟาโรห์นั้น…

  • อียิปต์เผย พบกระดูกเด็กสาวอายุราว 13 ปีในสุสานลึกลับ ข้างพีระมิดเก่าแก่ อายุกว่า 4,600 ปี

    อียิปต์เผย พบกระดูกเด็กสาวอายุราว 13 ปีในสุสานลึกลับ ข้างพีระมิดเก่าแก่ อายุกว่า 4,600 ปี

    เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลของประเทศอียิปต์ได้มีรายงานการค้นพบกระดูกของเด็กสาวอายุราวๆ 13 ปี ภายในสุสานลึกลับซึ่งมีการค้นพบข้างพีระมิดไมดุม พีระมิดเก่าแก่อายุมากกว่า 4,600 ปี ร่างของเธอถูกพบในสภาพนั่งยองอยู่ในสุสานขนาดเล็กลึกลงไปในดิน ซึ่งแม้ว่าจะเรียกว่าสุสานก็ตาม แต่กลับมีร่างของเด็กสาวอยู่เพียงร่างเดียวเท่านั้น รวมถึงในสุสานเองก็ไม่ได้มีโบราณวัตถุอื่นๆ ที่มักจะมีการฝังไปกับผู้ตายตามความเชื่อของชาวอียิปต์เลย     ดูเหมือนว่าอายุของและเพศของกระดูกที่พบจะได้มาจากตรวจสอบของทีมนักวิทยาศาสตร์ในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่สุสานที่พบไม่มีวัตถุโบราณที่อยู่ ก็ทำให้ในปัจจุบันเรายังไม่มีข้อมูลว่ากระดูกที่พบนั้นแท้จริงแล้วถูกนำมาฝังเมื่อไหร่กันแน่ อย่างไรก็ตามห่างออกมาจากสถานที่ที่เด็กสาวถูกฝังอยู่เล็กน้อย นักโบราณคดีก็พบกับกะโหลกของสัตว์ที่คาดว่าเป็นกระทิงสองชิ้น และเศษเครื่องปั้นดินเผาอีกสามอันถูกฝังเอาไว้ด้วย แม้ว่าจะไม่ทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกับตัวเด็กสาวหรือไม่ก็ตาม     อนึ่งพีระมิดไมดุมซึ่งอยู่ใกล้ๆ พื้นที่ที่มีการค้นพบร่างเด็กสาวเองก็เป็นพีระมิดที่น่าสนใจพอสมควรเลย เพราะนอกจากนี่จะเป็นพีระมิดที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับที่สองของประเทศอียิปต์แล้ว พีระมิดไมดุมยังมีฟาโรห์ที่เป็นผู้สร้างถึงสององค์ โดยเริ่มจากสมัยของฟาโรห์ฮูนิ (ครองราชย์ 2575-2551 ปีก่อนคริสตกาล) และมีการสร้างต่อในสมัยของฟาโรห์สนอฟรู (2599-2575 ปีก่อนคริสตกาล) โดยในสมัยของฟาโรห์ฮูนิพีระมิดนี้เป็นแบบขั้นบันได ก่อนที่จะกลายเป็นพีระมิดแบบในปัจจุบันในสมัยของฟาโรห์สนอฟรูต่อไป     ที่มา  livescience และ foxnews

  • “เอล ลีกอยเด” จากห้างสรรพสินค้าหรู สู่คุกขนาดใหญ่สุดเลวร้ายแห่งเวเนซุเอลา

    “เอล ลีกอยเด” จากห้างสรรพสินค้าหรู สู่คุกขนาดใหญ่สุดเลวร้ายแห่งเวเนซุเอลา

    ในช่วงยุค 1950 เวเนซุเอลาเคยเป็นประเทศที่ร่ำรวยเป็นอย่างมากจากการค้าน้ำมัน ดังนั้นผู้นำของประเทศในเวลานั้นอย่าง Marcos Perez Jimenez จึงอยากจะสร้างอะไรบางอย่างเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า เวเนซุเอลาเป็นประเทศที่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ เขาได้ประกาศสร้างห้างสรรพสินค้าแบบขับรถผ่าน ที่มีร้านค้าถึง 300 ร้าน และมีขนาดใหญ่โตจนสามารถเห็นได้ชัดจากทุกพื้นที่ในกรุงการากัส แต่ตั้งชื่อให้มันว่า “เอล ลีกอยเด”     ตัวอาคารของเอล ลีกอยเดกินพื้นที่กว่า 60,000 ตารางเมตร ใช้เงินในการสร้างถึง 2,800 ล้านบาท (เมื่อเทียบเป็นเงินในปัจจุบัน) และคาดกันว่าจะได้เป็นสรรพสินค้าแบบขับรถผ่านแห่งแรกที่มีการสร้างขึ้นมาบนโลก ปัญหาคือแทนที่สถานที่แห่งนี้จะได้เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ในปี 1958 ตัว Marcos กลับถูกโค่นอำนาจไปก่อน ทำให้ที่แห่งนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างไปเป็นเวลานาน และในเวลานั้นหลายๆ คนก็มองว่าเงินที่ลงทุนไปได้กลายเป็นสิ่งที่สูญเปล่าไปเสียแล้ว     แต่แล้วในยุค 1980 รัฐบาลใหม่ของประเทศเวเนซุเอลา ก็ตัดสินใจย้ายหน่วยงานจำนวนมาก ซึ่งรวมทั้งหน่วยข่าวกรองอย่าง SEBIN มาอยู่ที่เอล ลีกอยเด และทำให้ภาพลักษณ์ของสถานที่แห่งนี้ เปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นอีกครั้ง ภายใต้บ้านเมืองที่ล้มเหลวลงทุกวัน เอล ลีกอยเดได้กลายเป็นคุกขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางกรุงการากัส และกักขังนักโทษผู้ต่อต้านรัฐบาลเอาไว้แบบนับไม่ถ้วน พื้นที่ที่ถูกจัดไว้สำหรับเป็นร้านค้าถูกเปลี่ยนเป็นห้องขัง และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเรือนจำที่เลวร้ายที่สุดของประเทศ     ประชาชนไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง…

  • สื่อนอกบอกวันสิ้นโลกใกล้เข้ามาแล้ว หลังสหรัฐฯ และรัสเซียถอนสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์

    สื่อนอกบอกวันสิ้นโลกใกล้เข้ามาแล้ว หลังสหรัฐฯ และรัสเซียถอนสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์

    ในวันที่ 24 มกราคมปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สมาชิกคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และความมั่นคงของ จดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ (Bulletin of the Atomic Scientists) หรือ BAS ได้ทำการปรับ “Doomsday Clock” นาฬิกาวันสิ้นโลกเชิงสัญลักษณ์ ที่เปรียบกับการนับถอยหลังมหันตภัยทั่วโลกเข้าสู่ภาวะ “ใกล้เที่ยงคืน” นี่นับเป็นการปรับนาฬิกาที่สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงขั้นสูงสุดตั้งแต่ที่เคยมีมาในช่วงสงครามเย็น และเตือนให้โลกเห็นว่าเราเข้าใกล้เข้าสู่การล่มสลายจากนิวเคลียร์มากถึงเพียงใด ดังนั้นหลายๆ คนคงจะคิดกันว่าในเวลานี้ผู้คน (โดยเฉพาะเหล่าผู้นำประเทศ) น่าจะเข้าใจถึงอันตรายของสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันกันเป็นอย่างดีแล้ว     แต่แล้วในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทั่วโลกก็ต้องรู้สึกกังวลอย่างหนักอีกครั้งเมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศฉีกสัญญาข้อตกลงนิวเคลียร์กับรัสเซีย ทั้งที่มีการออกมาปรับนาฬิกาวันสิ้นโลกได้เพียงไม่นาน สัญญาข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ถูกประกาศว่าจะฉีกในครั้งนี้ เดิมทีแล้วเกิดขึ้นจากความพยายามในการยุติความกดดันเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ในสมัยสงครามเย็นของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนของสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีมีฮาอิล เซียร์เกเยวิช กอร์บาชอฟของรัสเซีย (ที่ในเวลานั้นยังเป็นโซเวียต)     โดยนี่เป็นสัญญาที่ระบุไว้ว่าทั้งสหรัฐฯ และโซเวียตจะต้องมีการหยุดผลิตหรือใช้งานอาวุธนิวเคลียร์ และขีปนาวุธที่มีระยะตั้งแต่ 500-5,500 กิโลเมตรทั้งหมด ซึ่งมีการลงนามกันมาตั้งแต่ วันที่ 8 ธันวาคม 1987 แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นได้รับการตอบรับโดยการฉีกสัญญากลับจากฝั่งรัสเซีย และกลายเป็นเหตุการณ์ที่สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักออกมาบอกว่าเป็นภัยต่อความปลอดภัยของโลก (โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรป)…

  • พบวัตถุโบราณจำนวนมากจากสงครามพิวนิก เชื่อชาวคาร์เธจรบกับชาวโรมันด้วยเรือโรมันเอง

    พบวัตถุโบราณจำนวนมากจากสงครามพิวนิก เชื่อชาวคาร์เธจรบกับชาวโรมันด้วยเรือโรมันเอง

    อ้างอิงจากบันทึกทางประวัติศาสตร์โบราณเมื่อวันที่ 10 มีนาคม เมื่อ 241 ปีก่อนคริสตกาล ในพื้นที่ใกล้ๆ กับเกาะ Aegates ในพื้นที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กองทัพโรมันโบราณได้บุกเข้าโจมตีเรือเสบียงของชาวคาร์เธจ เมืองโบราณที่ทำสงครามกับกรีกและโรมันอยู่บ่อยครั้ง ในเวลานั้นกองทัพโรมันได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่มาก จนทำให้ชาวคาร์เธจต้องยอมรับข้อตกลงสงบศึกที่เสียเปรียบแบบสุดๆ เพื่อให้ประชาชนของตัวเองอยู่รอดต่อไป   สงครามในครั้งนี้เรียกกันว่าสงครามพิวนิก   หลังจากวันนั้นมานานกว่า 2,200 ปี นักโบราณคดีก็ได้เข้ามาสำรวจสนามรบแห่งนี้อยู่เป็นพักๆ โดยในแต่ละครั้ง พวกเขาก็ได้พบวัตถุโบราณที่น่าสนใจเป็นจำนวนมาก โดยในการสำรวจครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2018 นักโบราณคดีก็ได้พบกับ อาวุธส่วนหน้าของเรือ (เรียกกันว่า “Ram” หรือ “Naval ram”) ซึ่งใช้ในการพุ่งชนเรือศัตรูจำนวน 6 ชิ้น หมวกเกราะ และภาชนะดินเผาอีกเป็นจำนวนมาก   หนึ่งในหมวกเกราะที่มีการค้นพบ   ที่น่าสนใจคือในการค้นพบที่ผ่านๆ มา อาวุธส่วนหน้าของเรือที่มีการค้นพบ กว่าครึ่งมีรูปแบบของฝั่งโรมัน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะตามปกติแล้วโบราณวัตถุที่พบในสงครามโดยมากจะเป็นของฝั่งที่แพ้ ไม่ใช่ฝั่งที่ชนะเช่นนี้ สิ่งที่พบนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์คิดว่าเรือที่ฝั่งคาร์เธจใช้รบในสมัยก่อน จำนวนหนึ่งน่าจะเป็นเป็นเรือที่ยึดมาจากฝั่งโรมันเอง ดังนั้นโบราณวัตถุที่พบจึงเป็นของทางโรมันมากกว่าคาร์เธจ ซึ่งมีความน่าจะเป็นสูงเพราะในประวัติศาสตร์เองก็เคยมีการบันทึกไว้ว่าก่อนสงครามครั้งนี้ฝั่งคาร์เธจเคยยึดเรือโรมันได้ถึง 93 ลำ    …

  • นักวิทย์ใช้เทคโนโลยี “ปืนเอกซเรย์” ไขปริศนาที่มาของเครื่องปั้นดินเผาอายุ 800 ปี

    นักวิทย์ใช้เทคโนโลยี “ปืนเอกซเรย์” ไขปริศนาที่มาของเครื่องปั้นดินเผาอายุ 800 ปี

    ในช่วงยุค 1990 ในพื้นที่ทะเลชวา ห่างออกไปจากเกาะสุมาตราในอินโดนีเซีย นักโบราณคดีได้ทำการเก็บกู้ซากเรือสินค้าโบราณอายุ 800 ปี ของชาวจีน พร้อมวัตถุโบราณมากกว่า 7,500 ชิ้น และนำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในชิคาโก     ในเวลานั้นทุกคนสงสัยในที่มาของวัตถุโบราณที่พบบนเรือเป็นอย่างมาก เพราะแม้ว่าของเหล่านี้จะมีลักษณะที่บ่งบอกว่ามาจากทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีนก็ตาม แต่เราไม่อาจทราบได้เลยว่าของเหล่านี้มาจากส่วนไหนของทางตะวันออกเฉียงใต้ที่กว้างใหญ่กันแน่ แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปได้เกือบ 30 ปีในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็สามารถหาวิธีมาตามรอยวัตถุโบราณเหล่านี้ได้สำเร็จ ด้วยการอาศัยเทคโนโลยี “ปืนเอกซเรย์” ในการเก็บข้อมูลจากเครื่องปั้นดินเผา 60 ชิ้นจากในบรรดาวัตถุโบราณที่พบ     โดยปืนเอกซเรย์ที่มีการนำมาใช้จะสามารถช่วยบอกได้ว่าเครื่องปั้นดินเผาเหล่านี้มีส่วนประกอบมาจากอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นดินเหนียวที่ใช้ หรือสสารที่มีการผสมลงไปในระหว่างการผลิต Wenpeng Xu หัวหน้าทีมวิจัยบอกว่าส่วนประกอบของเครื่องปั้นดินเผามันก็เหมือนกับลายนิ้วมือของมนุษย์ เพราะเครื่องปั้นดินเผาแต่ละชิ้นจะมีลักษณะดินเหนียวที่ไม่ซ้ำกัน     และหากนำข้อมูลที่ได้ไปเทียบกับข้อมูลวัตถุดิบในแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผามีชื่อทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เราก็จะบอกได้ว่าเครื่องปั้นดินเผาที่พบมาจากที่ไหนกันแน่นั่นเอง จากผลการวิเคราะห์นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าเครื่องปั้นดินเผาเหล่านี้มาจากสถานที่ที่หลากหลายมาก ซึ่งประกอบไปด้วยเมืองจิ่งเต๋อเจิ้น เต๋อหัว ฉีมูหลิง หัวเจียชาน และหมินฉิงเมืองที่อยู่ใกล้ๆ กับท่าเรือฝูโจว     และจากการที่เครื่องปั้นดินเผาส่วนมากมาจากเมืองหมินฉิงนักโบราณคดีก็คาดกันว่าเรือลำนี้น่าจะออกเดินทางมาจากท่าเรือฝูโจว และไปรับสินค้าอื่นๆ เพิ่มจากที่เมืองเฉวียนโจวอีกที การค้นพบในครั้งนี้ทำให้นักโบราณคดีทราบว่าพ่อค้าในสมัยก่อนมักจะมีการรับสินค้าจากโรงผลิตหลายที่เพื่อที่จะให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของตลาดค้าขายในสมัยก่อนได้เป็นอย่างดีนั่นเอง   ที่มา livescience, sciencedaily, dailymail

  • เมื่อมีงานวิจัยบอกว่า “การสังหารหมู่ชนพื้นเมืองอเมริกัน” ในศตวรรษที่ 16 ทำให้โลกเย็นลง

    เมื่อมีงานวิจัยบอกว่า “การสังหารหมู่ชนพื้นเมืองอเมริกัน” ในศตวรรษที่ 16 ทำให้โลกเย็นลง

    แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ก็ตาม แต่เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในระหว่างการล่าอาณานิคมช่วงศตวรรษที่ 16 ชาวยุโรปได้สังหารชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาไปเป็นจำนวนมาก และกลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่สำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษย์     แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงกับสภาวะของโลกในสมัยนั้น ทั้งในการปกครองพื้นที่ สังคม วัฒนธรรม แถมจากงานวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ดูเหมือนว่าชาวยุโรปจะสังหารชนพื้นเมืองอเมริกันไปเยอะมาก จนอุณหภูมิของโลกเย็นลงเลย อ้างอิงจาก Alexander Koch ผู้นำการวิจัยในครั้งนี้ การสังหารหมู่ชนพื้นเมืองนั้นรุนแรงมากพอที่จะทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศลดลงเป็นอย่างมาก จนส่งผลให้อุณหภูมิของโลกโดยรวมตกลง จากการคาดการ การสังหารหมู่ในครั้งนั้นได้ทำให้ชาวพื้นเมืองอเมริกันเหลือเพียง 5-6 ล้านคนจากตอนแรกมีถึง 60 ล้านคน ภายในเวลา 100 ปี     ดังนั้นหากคำนวนตามพื้นที่ที่มนุษย์ใช้อาศัย พื้นที่ที่เคยมีคนอยู่ราวๆ 560,000 ตารางกิโลเมตรจะถูกทิ้งร้างจนกลับไปเป็นผืนป่าอีกครั้ง และต้นไม้ในป่าเหล่านี้เองที่ดูดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากอากาศจนทำให้บริมาณคาร์บอนไดออกไซด์บนโลกลดลงไปราวๆ 7-10 ppm เลย (เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ในปัจจุบันถ่านหินที่เราเผาเพื่อเป็นพลังงานจากทั่วโลกจะทำให้คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นราวๆ ปีล่ะ 3 ppm)     นั่นหมายความว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นทำให้โลกที่ในช่วงศตวรรษที่ 15-18 ค่อนข้างเย็นอยู่แล้ว (จากภาวะยุคน้ำแข็งน้อย) มีสภาพที่เย็นมากยิ่งขึ้นไปอีก แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่มนุษย์สามารถทำกับโลกได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามงานวิจัยที่ออกมานี้ยังคงถูกมองจากนักวิทยาศาสตร์หลายๆ ฝ่าย ว่ามีการกล่าวอ้างที่เกินจริงอยู่บ้าง และยังคงต้องมีการหาหลักฐานมายืนยันทฤษฎีเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวิจัยดังกล่าว  …

  • ชม “เดอรินกูยู” นครเก่าแก่ใต้ดินแห่งประเทศตุรกี ที่ไม่น่าเชื่อว่าสร้างขึ้นในสมัยโบราณ

    ชม “เดอรินกูยู” นครเก่าแก่ใต้ดินแห่งประเทศตุรกี ที่ไม่น่าเชื่อว่าสร้างขึ้นในสมัยโบราณ

    ย้อนกลับไปในปี ค.ศ 1963 ในเมือง Nevşehir ประเทศตุรกี หลังจากที่ชายคนหนึ่งพังกำแพงบ้านของตัวเองปรับปรุงบ้านใหม่ เขาก็พบกับห้องประหลาดอยู่ที่หลังกำแพงนั้น เมื่อเขาลองตรวจสอบห้องดังกล่าวดู ชายคนนั้นก็พบว่า บ้านของเขาเชื่อมกับทางลับใต้ดินขนาดใหญ่ ของเมืองใต้ดินที่ซ่อนในภูมิภาคแคปพาโดเชีย และรู้จักกันในภายหลังว่า “เดอรินกูยู” (Derinkuyu)   .   นครโบราณเดอรินกูยู เป็นอุโมงค์ใต้ดินที่มีความลึกประมาณ 60 เมตร ที่มีช่องสำหรับถ่ายเทอากาศกว่า 15,000 ช่อง และมีห้องต่างๆ กระจายอยู่ตามชั้นที่อยู่อาศัย 11 ชั้น ซึ่งสามารถรองรับผู้คนได้ถึง 20,000 ชีวิต   .   ไม่มีใครทราบว่าใครกันแน่ที่เป็นคนสร้างที่แห่งนี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่ตลอดช่วงเวลาหลายร้อยปีที่มันถูกสร้างขึ้น นักโบราณคดีก็ชื่อว่าที่แห่งนี้น่าจะเคยมีการใช้งานจากคนหลายกลุ่ม และได้รับการขยายพื้นที่ในสมัยจักรวรรดิไบแซนไทน์ (ช่วงปี ค.ศ. 330-1461)   .   เป็นไปได้ว่าในช่วงเวลานั้นชาวคริสเตียนยุคแรกๆ อาจจะใช้ที่แห่งนี้เป็นดั่งหลุมหลบภัยจากชาวมุสลิม อ้างอิงจากการที่ในอุโมงค์มีทางเชื่อมไปยังเมืองใต้ดินอีกแห่งในบริเวณใกล้เคียง   .   นครโบราณเดอรินกูยูเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่สร้างขึ้นโดยคำนึงถึงความปลอดภัยมากเนื่องจากทางลงแต่ละชั้นจะมีประตูหินขนาดใหญ่ที่ปิดได้ด้วยคนคนเดียวขว้างอยู่ แถมบนประตูยังมีรูที่ทำหน้าที่คล้ายตาแมว เพื่อให้สามารถมองเห็นได้ว่ามีอะไรอยู่ที่อีกฝั่งของประตูด้วย   .…

  • ชม 23 ภาพของทหารชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน แห่งกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

    ชม 23 ภาพของทหารชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน แห่งกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะทราบกันดีว่าตั้งแต่การโจมตีที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ ประเทศญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกาก็กลายเป็นศัตรูคู่แค้นกันไปตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และทำให้ประชาชนชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่โดนส่งไปเข้าค่ายกักกันบนเกาะฮาวาย     ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่าสมัยนั้น ยังมีกองทหารอยู่กลุ่มหนึ่งที่เป็นชาวญี่ปุ่นแทบจะล้วนๆ แต่กลับรบให้กับสหรัฐฯ ภายใต้ชื่อกองกำลัง 442nd Regimental Combat Team และ 100th Infantry Battalion อยู่ด้วย (อ่านเรื่องราวของพวกเขาได้ที่ กองกำลังที่ถูกลืม หน่วยรบสำคัญผู้เป็นเบื้องหลังกองทัพสหรัฐฯ ที่เป็นชาวเอเชียอเมริกัน…) ดังนั้นในคราวนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม 23 ภาพของทหารชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน ที่มาช่วยสหรัฐฯ รบในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ไปดูกันดีกว่าว่าทหารเหล่านั้นมีชีวิตอย่างไรบ้างในช่วงเวลาที่อยู่ในกองทัพ   เริ่มกันจากเหล่าทหารหน่วย 442 เคารพธงในรัฐมิสซิสซิปปี มิ.ย. 1943 .   เหล่าทหารที่กำลังแจกจ่ายลูกอมและบุหรี่ที่บริจาคโดยบริษัทสัปปะรดของฮาวายในปี 1943   การฝึกสอนการใช้งานปืนใหญ่ ในปี 1943   หน่วย 442 ในระหว่างการฝึกซ้อมเดินทัพผ่านสะพานทหาร   เหล่าทหารที่กำลังเล่นอูคูเลเล่ระหว่างรอคำสั่ง ในปี 1943   นายทหาร…

  • บริษัทประมูลเยอรมัน จัดประมูลภาพวาดของฮิตเลอร์ มีดาวเด่นเป็นภาพเปลือยหลานฮิตเลอร์

    บริษัทประมูลเยอรมัน จัดประมูลภาพวาดของฮิตเลอร์ มีดาวเด่นเป็นภาพเปลือยหลานฮิตเลอร์

    เมื่อช่วงวันที่ 9-10 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาบริษัทประมูล Weidler ได้มีการนำภาพวาดที่มีลายเซ็นของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ออกเปิดประมูลที่เมืองนูเร็มเบิร์ก รัฐไบเอิร์น ประเทศเยอรมนี     ภาพเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นภาพสีน้ำที่มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 4,700 บาทไปจนถึง 1,600,000 บาท แล้วแต่ขนาดและความหายากของภาพ โดยในบรรดาภาพที่ถูกนำออกมาประมูลนั้น มีผลงานที่ค่อนข้างน่าสะดุดตาเป็นภาพ “Nackte Frau” (แปลว่าหญิงเปลือย) ภาพวาดเปลือยของผู้หญิงที่คาดกันว่าคือ เกลี เราบัล หลานสาวของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์     ภาพที่ออกมานี้ดึงดูดความสนใจของคนที่เขามาเห็นมาก เพราะฮิตเลอร์ นั้นเคยออกมาประกาศว่าเกลี เราบัลเป็นรักแรกของเขาและอยู่ด้วยกันมาในระยะเวลาหนึ่ง (ก่อนที่เธอจะฆ่าตัวตายในปี 1931) ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในช่วงที่การประมูลถูกประกาศออกมา จะถูกวิพากษ์วิจาณ์จากหลายฝ่าย เพราะภาพที่วาดโดยผู้นำนาซีที่มีการนำมาประมูลนั้น ถูกมองว่าอาจไปปลุกกระแสกลุ่มคนรักนาซีก็เป็นได้     ถึงอย่างนั้นก็ตามทางบริษัทประมูลก็ออกมาปฏิเสธว่า ภาพเหล่านี้เพียงถูกนำออกมาประมูล ในฐานะผลงานที่แสดงให้เห็นถึงอีกด้านของผู้นำเผด็จการและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ก็เท่านั้น ไม่ได้เป็นการปลุกกระแสแต่อย่างใด น่าเสียดายที่การประมูลในครั้งนี้ไม่ได้จบลงด้วยผลที่น่าพอใจอย่างที่คิด เพราะมีภาพหลายภาพที่ไม่มีผู้สนใจประมูล แม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยว่ามีเหตุผลมาจากการที่ภาพถูกราคาตั้งต้นสูงเกินไป การประมูลมีความน่าเชื่อถือต่ำ หรือชื่อเสียงที่ไม่ดีของคนวาดกันแน่     อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทประมูลได้ออกมายืนยันว่าภาพ Nackte Frau ยังคงเป็นดาวเด่นของงานที่มีนักสะสมแย่งกันเสนอราคาถึง…

  • 25 ภาพสุดงดงามของ “ประเทศไอร์แลนด์” ในยุคอดีต จากโปสต์การ์ดสีเมื่อปี 1890

    25 ภาพสุดงดงามของ “ประเทศไอร์แลนด์” ในยุคอดีต จากโปสต์การ์ดสีเมื่อปี 1890

    เคยได้ยินเรื่องประเทศไอร์แลนด์กันมาก่อนไหม (อย่าสับสนกับไอซ์แลนด์นะ) ที่นี่นับว่าเป็นหนึ่งในสหภาพยุโรป มีประชากรอยู่ราวๆ 4 ล้านกว่าคน มีชื่อเสียงว่ามีเมืองที่สงบและสวยมากๆ แถมยังดูแสงเหนือได้อีกด้วย แถมเจ้าความงดงามของประเทศไอร์แลนด์ที่ว่านี้ ยังถือว่ามีมาเป็นเวลานานกว่าที่เราคิดมากอีกด้วย   เริ่มกันจาก Royal Avenue ในเขต Antrim   ถึงขั้นที่ว่าในช่วงปี 1890 ทางไอร์แลนด์ถึงกับออกโปสต์การ์ดภาพของเมืองแบบมีสีเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อไว้ในครอบครองด้วยกระบวนการลงสีภาพที่ชื่อ “Photochrom” เลย ซึ่งทำให้ภาพขาวดำนั้นดูมีสีเสมือนจริงขึ้นมา เริ่มสนใจแล้วใช่ไหมล่ะว่าภาพที่ออกมาจะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าใช่ก็ขอเชิญเพื่อนๆ ไปชมภาพสุดงดงามของประเทศไอร์แลนด์ช่วงปี 1890 กันได้เลยที่ข้างล่างนี้   หมู่บ้าน Glenoe ในเขต Antrim   หน้าผาที่ Moher ในเขต Claire   เมือง Lisdoonvarna ในเขต Claire   ปราสาท Blackrock ในเขต Cork   โรงแรม Eccles ในเขต Cork   ท่าเรือ Glengarriff ในเขต Cork   Newcastle ในเขต Down   ทางเดินริมทะเลในเมือง Warrenpoint เขต Down…

  • ย้อนรอยอารยธรรมซิคละดีส เจ้าของรูปสลักไร้หน้าสุดแปลก ที่มีเสน่ห์ร่วมสมัยแม้ในปัจจุบัน

    ย้อนรอยอารยธรรมซิคละดีส เจ้าของรูปสลักไร้หน้าสุดแปลก ที่มีเสน่ห์ร่วมสมัยแม้ในปัจจุบัน

    เคยได้ยินเรื่องอารยธรรมซิคละดีสกันไหม ที่คืออารยธรรมในช่วงต้นยุคสำริดที่เกิดขึ้นในหมู่เกาะซิคละดีสในทะเลอีเจียน (อยู่ระหว่างประเทศกรีซกับตุรกี) ในช่วง 3200-1100 ปีก่อนคริสตกาล เรื่องเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอารยธรรมนี้ ว่ากันตามตรงแล้วไม่ค่อยจะมีการบันทึกเอาไว้มากนัก แถมส่วนมากยังหายไปกับกาลเวลาอีก ถึงอย่างนั้นก็ตามอารยธรรมซิคละดีสก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องที่น่าสนใจเลย     นั่นเพราะอารยธรรมนี้มีการแกะสลักหินอ่อนที่งดงามและล้ำสมัยมาก แถมยังทำมาก่อนอารยธรรมที่ขึ้นชื่อเรื่องงานศิลป์อย่างอารยธรรมไมนอสที่ได้ชื่อว่าเป็น “สิ่งแรกที่เชื่อมวัฒนธรรมยุโรป” มานานกว่า 1,000 ปีเลย รูปแกะสลักหินอ่อนของอารยธรรมซิคละดีสโดยมากแล้วจะออกมาในรูปแบบศิลปะนามธรรม และมักจะออกมาในรูปแบบของมนุษย์ที่มีรูปทรงประหลาด ไร้ซึ่งใบหน้าและดูลึกลับราวกับงานศิลปะสมัยใหม่ ซึ่งนับว่าน่าสนใจมากสำหรับวัฒนธรรมที่มีอายุถึง 5,000 กว่าปี     ที่สำคัญคือรูปแกะสลักที่ออกมาส่วนใหญ่นั้นมักจะเป็นรูปสลักของผู้หญิงทำให้มีนักโบราณคดีหลายคนที่คาดการว่าอารยธรรมนี้ในสมัยก่อนอาจจะมีผู้หญิงเป็นผู้มีอำนาจก็เป็นได้ (ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการคาดเดาก็ตาม) จากหลักฐานที่มีการพบในอดีต ผู้คนในอารยธรรมซิคละดีสน่าจะครอบครองเกาะแถวๆ ทะเลอีเจียนมาตั้งแต่ช่วงยุคหินใหม่ โดยมีอาหารหลักเป็นข้าวสาลีและปลา อย่างไรก็ตามด้วยความที่พวกเขาอาศัยอยู่บนเกาะเล็กๆ ก็ทำให้ประชาชนในแต่ล่ะเกาะไม่ได้เอยะมากนัก ดังนั้นเมื่อราวๆ 2,000-1,500 ปีก่อนคริสตกาล ที่อยู่อาศัยของพวกเขาจึงถูกชาวไมนอสเข้าครอบครอง ก่อนที่อารยธรรมไมนอสที่มีอิทธิพลในพื้นที่ จะถูกรวมเข้ากับอารยธรรมไมซีนีในเวลาต่อมา     การส่งผ่านอารยธรรมอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้เรื่องราวส่วนใหญ่ของอารยธรรมซิคละดีสเลือนรางและติดตามได้ยากมากจากในปัจจุบัน แถมในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 วัตถุโบราณส่วนใหญ่ของอารยธรรมนี้ ยังถูกนำไปขายในตลาดมืด จนมีโบราณวัตถุเพียงราวๆ 40% ของที่พบในปัจจุบันเท่านั้น ที่สามารถยืนยันได้ว่ามาจากอารยธรรมนี้จริงๆ ไป แต่ถึงแม้ว่าข้อมูลของวัฒนธรรมนี้จะเลือนรางแค่ในก็ตาม เราก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเหล่ารูปแกะสลักที่เหลือมาจนถึงปัจจุบันนั้น มีเสน่ห์น่าหลงใหลที่ร่วมสมัยอย่างไม่น่าเชื่อเลยอยู่ดี     ที่มา ancient-origins, ancientpages

  • พบโลงศพสมัยโรมันสองชิ้นที่มีตกแต่งแบบเซลติก ในมณฑลเซอร์รีย์ ประเทศอังกฤษ

    พบโลงศพสมัยโรมันสองชิ้นที่มีตกแต่งแบบเซลติก ในมณฑลเซอร์รีย์ ประเทศอังกฤษ

    เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาวารสารออนไลน์ “Current Archaeology” ฉบับที่ 348 ได้มีการตีพิมพ์ข่าวการค้นพบโลงศพตะกั่วจากสมัยโรมันโบราณจำนวนสองชิ้น ที่มณฑลเซอร์รีย์ ทางตอนใต้ของสหราชอาณาจักร     นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นโดยนักโบราณคดีจากบริษัท Wessex Archeology หลังจากที่ได้รับการติดต่อจากบริษัทจัดหาวัตถุดิบในพื้นที่ ให้มาตรวจสอบเหมืองหินที่พวกเขาพบก่อนที่จะมีการขุดหินไปใช้ จากที่ระบุไว้ในวารสาร หลังจากที่เข้าไปในพื้นที่ นักโบราณคดีก็พบสถานที่ที่มีสภาพคล้ายกับหลุมฝังศพ 7 แห่ง อย่างไรก็ตามในบรรดาหลุมฝังศพเหล่านั้น มีโลงศพตะกั่วเพียงแค่สองโลงที่เหลือรอดมา     โลงศพทั้งสองทำจากแผ่นตะกั่วหลายแผ่นพับเข้าหากันและเชื่อม และแม้ว่าหลุมศพจะมีการประดับไปด้วยลายนูนรูปเปลือกหอยสแกลลอป ซึ่งเป็นที่นิยมมากๆ ในหลุมฝังศพแบบโรมัน แต่ลวดลายอื่นๆ บนโลงศพกลับออกมาในรูปแบบเซลติกทั้งสิ้น การที่โลงศพเป็นเช่นนี้ ถูกคาดเดาโดยทีมนักโบราณคดีว่า น่าจะมาจากการที่คนในพื้นที่ได้รับอิทธิพลจากทางเซลติกในช่วงเวลาที่หลุมศพนี้ถูกฝังพอดี ดังนั้นตัวโลงศพที่ออกมาจึงอยู่ในรูปแบบที่ผสมผสานกันของวัฒนธรรมที่แตกต่าง น่าเสียดายที่ตัวโลงศพนั้นผุพังไปตามกาลเวลาจนมีสภาพเล็กกว่าที่น่าจะเป็น และมีทรายทะลักเข้าไปในโลงศพเป็นจำนวนมาก ดังนั้นโครงกระดูกภายในจึงไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เท่ากันที่หวัง   แผนที่อิทธิพลของโรมันในอังกฤษ อ้างอิงจากการค้นพบทางโบราณคดี   ถึงอย่างนั้นก็ตาม นักโบราณคดีก็สามารถวินิจฉัยได้ว่าโครงกระดูกในโลงศพที่พบ โลงหนึ่งน่าจะเป็นโครงกระดูกของผู้ใหญ่หนึ่งคน และเด็กอายุไม่เกินหกเดือนอีกหนึ่งคน ในขณะที่อีกหนึ่งโลงเป็นโครงกระดูกของผู้ใหญ่ธรรมดา และถึงแม้ความไม่สมบูรณ์ของโลงศพที่พบจะเป็นปัญหาต่อการวิเคราะห์ข้อมูลอยู่บ้าง นักโบราณคดีก็ชื่อว่าหากมีการตรวจสอบอย่างจริงจัง เราก็อาจจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจเกี่ยวกับคนในสมัยนั้นไม่มากก็น้อยในอนาคต   ที่มา ancient-origins, archaeology

  • พบโรคมะเร็งกระดูกในฟอสซิลเต่าที่ไร้เปลือกอายุ 240 ล้านปี ซึ่งคล้ายกับในมนุษย์ปัจจุบันมาก

    พบโรคมะเร็งกระดูกในฟอสซิลเต่าที่ไร้เปลือกอายุ 240 ล้านปี ซึ่งคล้ายกับในมนุษย์ปัจจุบันมาก

    เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในนิตยาสารออนไลน์ JAMA Oncology นักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาเปิดเผยผลการค้นพบชิ้นใหม่ที่เกิดขึ้นกับ ฟอสซิลของสัตว์เมื่อ 240 ล้านปีก่อน และเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นจากการศึกษาฟอสซิลของเต่าที่ไร้เปลือก สายพันธุ์ Pappochelys rosinae จากยุคไทรแอสซิก ด้วยระบบกล้องจุลทรรศน์ และเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ภายใต้ความร่วมมือของผู้เชี่ยวชาญจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติของรัฐเพนซิลเวเนีย และสถาบันการวิจัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการและความหลากหลายทางชีวภาพในกรุงเบอร์ลิน   Pappochelys rosinae เป็นบรรพบุรุษของเต่าที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน   โดยจากการตรวจสอบ พวกเขาพบว่าในเยื่อหุ้มกระดูกของเต่าที่พบนั้นมีร่องรอยที่บ่งบอกถึงการลุกลามของเนื้องอกมะเร็งในระบบกระดูก (Osteosarcoma) ซึ่งถือว่ามีความร้ายแรงมาก แฝงเอาไว้อยู่ Dr. Bruce Rothschild หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า การค้นพบมะเร็งในฟอสซิลโบราณนั้นนับว่าเป็น เรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะตามปกติสภาพของฟอสซิลมักจะทำให้นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถแยกได้ว่าความเสียหายบนกระดูกนั้นมาจากกาลเวลาหรือว่าโรคภัยกันแน่     นั่นทำให้การค้นพบในครั้งนี้อาจกลายเป็นการค้นพบโรคมะเร็งที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในบรรดาสัตว์เลื้อยคลาน นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะที่ผ่านๆ มามะเร็งในลักษณะนี้เคยมีการค้นพบในหมู่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเท่านั้น นอกจากนี้ ตัวมะเร็งที่มีการค้นพบในฟอสซิลยังมีความน่าสนใจมากๆ อีกด้วย เพราะทั้งลักษณะโดยรวม และอาการที่ของมันแทบจะไม่มีความแตกต่างจากมะเร็งที่พบในมนุษย์ปัจจุบันเลย     นั่นหมายความว่าโรคมะเร็งบางชนิดที่มนุษย์เป็นกันในปัจจุบันนั้น อาจจะเป็นของที่อยู่คู่กับสิ่งมีชีวิตมาตั้งแต่ 240 ล้านปีก่อนแล้วนั่นเอง…

  • ย้อนรอย คดีการเสียชีวิตปริศนาที่เขาดยัตลอฟ เรื่องลึกลับของโลกที่ยังไขไม่ได้แม้ในปัจจุบัน

    ย้อนรอย คดีการเสียชีวิตปริศนาที่เขาดยัตลอฟ เรื่องลึกลับของโลกที่ยังไขไม่ได้แม้ในปัจจุบัน

    เคยได้ยินเรื่องคดีการตายปริศนาที่เขาดยัตลอฟกันไหม? นี่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการเสียชีวิตสุดแปลกของนักสกีมีฝีมือ 9 คนของรัสเซีย ในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม ไปจนถึง วันที่ 2 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 1959     ไม่มีใครรู้ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นเขาดยัตลอฟบ้างในตอนที่กลุ่มนักเดินทางหายไป แต่หลังจากที่เหล่านักสกีทางไม่กลับมาในเวลาที่ควร ทีมค้นหาก็ตัดสินใจขึ้นไปบนเขาเพื่อตามหากลุ่มนักเดินทางกลุ่มนั้น     เมื่อเขาพบกับบริเวณที่ตั้งแคมป์ของเหล่านักสกีทีมค้นหาก็พบว่าตัวเต็นท์อยู่ในสภาพที่ถูกกรีดเปิดจากภายในแต่กลับไม่มีของหายไป ห่างออกไปในป่า จากแคมป์ราวๆ 2 กิโลเมตรพวกเขาก็พบกับร่างของนักสกีห้าคน เสียชีวิตอยู่ในสภาพใส่แต่ชุดบางๆ ทั้งที่อุณหภูมิแถวๆ นั้นต่ำสุดได้ถึง -30 องศาเซลเซียส ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเรื่องแปลกแต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเกิดจากการรีบหนีออกมาจากเต็นท์     อย่างไรก็ตามปริศนาของคดีนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีการพบศพที่เหลืออยู่อีกสี่ศพต่างหาก เพราะร่างของสามในสี่ของนักสกีที่พบฝังไว้ใต้หิมะ แถมยังเละเทะมากแตกต่างไปจากห้าคนแรกที่เสียชีวิตเพราะหนาวตาย คนหนึ่งได้รับอาการบาดเจ็บที่กะโหลกศรีษะและอวัยวะภายในรุนแรงทั้งๆ ที่ไม่มีบาดแผลภายนอก หนึ่งคนมีแผลขนาดใหญ่ที่หน้าอกที่มีความรุนแรงเทียบได้กับการเผชิญเหตุการณ์อย่างอุบัติทางรถยนต์เลย และอีกหนึ่งคนส่วนหนึ่งของปาก ลิ้น ดวงตา และส่วนหนึ่งของสมองหายไป     สภาพการเสียชีวิตของพวกเขาเชื่อกันว่าเกิดขึ้นในเวลาที่ห่างกันพอสมควร เนื่องจากมีร่องรอยว่าพวกเขาเอาเสื้อผ้าของผู้ตายมาใส่เพื่อป้องกันความหนาวเย็นในระหว่างที่เกิดเหตุด้วย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มีคนมากมายออกมาสันนิษฐานถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่เหล่านักสกีหายไป ทั้งแนวคิดที่ว่าพวกเขาถูกโจมตีโดยชนเผ่าในพื้นที่ ถูกสัตว์ป่าโจมตี โดยหิมะถล่มใส่ หรือแม้กระทั่งทฤษฎีที่ว่าพวกเขาโดนโจมตีด้วยอาวุธกัมมันตรังสี (เนื่องจากบนร่างกายของพวกเขามีสารกัมมันตรังสีตกค้างอยู่)     ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีไหนก็ไม่มีใครอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบอยู่ดี แถมเรื่องราวยังซับซ้อนขึ้นไปอีกเมื่อจู่ๆ…

  • ลายพราง “Dazzle” ลายพรางเรือสุดแปลกที่ไม่ได้ใช้พรางตัว แต่ทำให้เรือศัตรูสับสน

    ลายพราง “Dazzle” ลายพรางเรือสุดแปลกที่ไม่ได้ใช้พรางตัว แต่ทำให้เรือศัตรูสับสน

    สำหรับคนที่ติดตามเรื่องราวของวงการทหารกันมาคงจะทราบกันดีว่าการพรางตัวสำคัญต่อสงครามขนาดไหน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลายพรางจะถูกใช้งานกับทั้งทหารราบและยานพาหนะมากมายตลอดช่วงสงครามที่ผ่านมา ว่าแต่เคยเห็นลายพราง “Dazzle” ที่ใช้กันบ่อยๆ ในกับเรือรบอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกันไหม เพราะหากดูเผินๆ แล้วเจ้าลายพรางอันนี้ ไม่ว่าดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีประโยชน์ในการพรางตัวเลย     ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมลายพรางที่ไม่มีประโยชน์ในการพรางตัวเช่นนี้จึงเป็นที่นิยมขึ้นมากัน? คำตอบคือเพราะลายพรางอันนี้ช่วยทำให้เรือดำน้ำของฝั่งเยอรมนีสับสนได้นั่นเอง นั่นเพราะเมื่อมองเรือที่มีลายพรางแบบ Dazzle ผ่านกล้องของเรือดำน้ำ ลวดลายของเรือจะช่วยทำให้การคาดการขนาด ความเร็ว ระยะห่าง และทิศทางที่เรือจะแล่นผ่านเป็นไปได้ยากขึ้น เนื่องจากคนที่มองกล้องอยู่อาจสับสนว่าลายของเรือเป็นมุมของเรือจริงๆ     ลายพรางแบบ Dazzle ถูกคิดค้นใช้งานเป็นครั้งแรกโดยนายร้อยชื่อ Norman Wilkinson ผู้เคยเป็นศิลปินมาก่อน หลังจากที่เขาไปตกปลาในวันหยุดฤดูใบไม้ผลิเมื่อปี 1917 และหลังจากที่ใช้งานไปได้ไม่ถึงปีลายพรางของ Norman ก็ทำผลงานมากพอที่จะให้เรือของอังกฤษกว่า 2,300 ลำ ใช้ลายพรางนี้ในช่วงจบสงครามเลย แม้ว่าจะไม่มีรายงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงานของลายพรางต่อเรือดำน้ำถูกบันทึกไว้เป็นสถิติก็ตาม   Norman Wilkinson เจ้าของผลงานลายพรางแบบ Dazzle   จากคำบอกเล่าของ Roy R. Behrens ศาสตราจารย์ด้านศิลปะและนักวิชาการดีเด่นแห่งมหาวิทยาลัย Northern Iowa ลายพรางแบบ Dazzle มีการใช้งานแม้แต่ในบรรดาสัตว์ป่าตามธรรมชาติ เพราะสัตว์อย่างม้าลายเองก็ใช้งานสีขาวสลับดำของตัวเองเพื่อหลอกสัตว์นักล่า (และแมลง) ให้สับสน มาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะบอกว่าลายพรางแบบนี้น่าจะใช้งานได้จริงกับเรือดำน้ำในสมัยก่อน…

  • ตำรวจอินเดียจับกุมวัยรุ่น 4 คน หลังทำลายโบราณสถานมรดกโลก และถ่ายคลิปลงโซเชียล

    ตำรวจอินเดียจับกุมวัยรุ่น 4 คน หลังทำลายโบราณสถานมรดกโลก และถ่ายคลิปลงโซเชียล

    เมื่อราวๆ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ที่ประเทศอินเดียได้มีคลิปวิดีโอเหตุการณ์การทำลายโบราณสถานคลิปหนึ่ง เผยแพร่ออกมาในโลกโซเชียลและกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกอินเตอร์เน็ต     โดยในวิดีโอที่เผยแพร่ออกมา เป็นภาพของกลุ่มคน 4 คน กำลังทำลายเสาโบราณภายในวิหารของพระวิษณุ หนึ่งในโบราณสถานจากศตวรรษที่ 14 ที่ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์กร UNESCO ของรัฐกรณาฏกะ ประเทศอินเดีย คลิปที่ว่านี้สร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่และเหล่าผู้คนบนโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่พวกเขาทราบว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อปี 2018 แล้ว แต่กลับแทบไม่มีความคืบหน้าใดๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย   คลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจาก The Times of India    ดังนั้นประชาชนของอินเดียจึงได้รวมตัวกันยื่นคำร้องต่อกรมการสำรวจทางโบราณคดีของอินเดีย เพื่อเรียกร้องให้ ทางตำรวจการออกติดตามจับคนร้ายมาลงโทษให้ได้โดยเร็วที่สุด และแล้วเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ราวๆ หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่เกิดเหตุนั่นเองในที่สุดคดีในครั้งนี้ก็มีความคืบหน้าจนได้ เมื่อทางตำรวจของอินเดีย ได้ทำการเข้าควบคุมตัวกลุ่มนักท่องเที่ยว 4 คนในฐานะผู้ต้องสงสัย     จากการเปิดเผยของทางตำรวจรัฐกรณาฏกะ นักท่องเที่ยวกลุ่มที่ว่านี้เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่มาเที่ยวด้วยกันทั้งหมดห้าคน อย่างไรก็ตามหนึ่งในห้าคนมีหลักฐานว่าแยกไปเดินเรื่อยเปื่อยในวิหารเพียงลำพัง โดยที่ไม่ทราบว่าเพื่อนๆ ทำอะไรลงไปจึงไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปด้วย ส่วนนักท่องเที่ยว 4 คนที่เหลือได้ให้เหตุผลในการก่อเหตุว่ามาจากความคึกคะนอง และไม่ทราบถึงความสำคัญของโบราณสถานที่ตัวเองทำลายลงไป ดังนั้นพวกเขาสามคนจึงขึ้นไปผลักเสาโบราณให้ล้มลงมาในขณะที่อีกหนึ่งคนถ่ายคลิปเก็บเอาไว้…

  • วิศวกรพบดาบโบราณจากยุคกลางโดยบังเอิญ ในระหว่างขุดลอกท่อน้ำทิ้งที่ประเทศเดนมาร์ก

    วิศวกรพบดาบโบราณจากยุคกลางโดยบังเอิญ ในระหว่างขุดลอกท่อน้ำทิ้งที่ประเทศเดนมาร์ก

    ตามปกติเมื่อพูดถึงสถานที่ที่มีการค้นพบอาวุธโบราณ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะนึกถึงปราสาทหรือไม่ก็ฝังอยู่ในแผ่นดินเก่าแก่ก่อนเป็นอย่างแรกๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ววัตถุโบราณนั้นอาจจะถูกค้นพบที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น เพราะเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ทีมวิศวกรแห่งประเทศเดนมาร์ก ก็บังเอิญค้นพบดาบโบราณเก่าแก่ในสถานที่แปลกๆ อย่างท่อน้ำทิ้งเสียอย่างนั้น     โดยนี่เป็นดาบสองคมที่มีความยาว 112 เซนติเมตร หนักราวๆ 1 กิโลกรัม ซึ่งมีการค้นพบในระหว่างการขุดลอกท่อน้ำทิ้งของเมืองออลบอร์ และคาดว่าน่าจะเคยเป็นของนักรบผู้ดีจากช่วงปี 1330 จากคำบอกเล่าของนักโบราณคดีจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งนอร์ทเทิร์นจุ๊ตแลนด์ “ในช่วงยุคกลางการครอบครองดาบดีๆ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ทุนทรัพย์ค่อนข้างมาก ดังนั้นคนที่จะสามารถซื้อดาบเล่มนี้ได้จึงน่าจะเป็นนักรบมีฝีมือที่ถูกจัดเป็นผู้ดีเท่านั้น” แม้ว่านักโบราณคดีจะไม่พบหลักฐานว่าทำไมดาบเล่มนี้จึงไปอยู่ในท่อน้ำทิ้งของเมืองออลบอร์ได้ แต่นักโบราณคดีก็คาดว่าจริงๆ แล้วดาบเล่มนี้อาจจะถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 1,100 หรือราวๆ 200 ปีก่อนที่มันจะมาอยู่ในสถานที่ที่มีการค้นพบ     เท่านั้นยังไม่พอ เพราะจากร่องรอยการต่อสู้ที่นักโบราณคดีพบ พวกเขายังบอกอีกว่าเคยถูกใช้ในการต่อสู้มาอย่างต่ำๆ 4 ครั้ง ทำให้ดาบเล่มนี้ถือว่าเป็นดาบที่มีเรื่องราวน่าสนใจมากๆ เล่มหนึ่งเลยก็ว่าได้ เป็นไปได้ว่าเจ้าของดาบเล่มนี้น่าจะทำดาบหายในระหว่างสงครามหรือการเดินทาง เนื่องจากตามปกติดาบของนักรบมักจะถูกพบฝังไปกับตัวเจ้าของไม่ใช่โดดเดี่ยวอยู่ในท่อน้ำทิ้งเช่นนี้ อย่างไรก็ตามการค้นพบในครั้งนี้ก็ทำให้ทีมนักโบราณคดีวางแผนที่จะเข้าร่วมการขุดลอกท่อน้ำทิ้งของเมืองออลบอร์ โดยตั้งความหวังไว้ว่าในอนาคตพวกเขาอาจจะพบกับวัตถุโบราณอื่นๆ จากการปฏิบัติการครั้งนี้ต่อไป   ที่มา livescience, thelocal และ foxnews

  • รัฐบาลตุรกีพบคัมภีร์ไบเบิลเก่าแก่ อายุร่วม 1,200 ปี หลังบุกจับผู้ลักลอบซื้อขายวัตถุโบราณ

    รัฐบาลตุรกีพบคัมภีร์ไบเบิลเก่าแก่ อายุร่วม 1,200 ปี หลังบุกจับผู้ลักลอบซื้อขายวัตถุโบราณ

    เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมต่อต้านการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายของประเทศตุรกี ได้เข้าทำการจับกุมกลุ่มผู้ลักลอบซื้อขายวัตถุโบราณใน Diyarbakir เมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ในปฏิบัติการครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้สามารถจับกุมกลุ่มผู้ลักลอบซื้อขายวัตถุโบราณได้ทั้งหมด 6 ราย และได้ทำการยึดคัมภีร์ไบเบิลเก่าแก่อายุเล่มหนึ่งเอาไว้เป็นของกลาง     ในเบื้องต้นทางรัฐบาลตุรกีได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า คัมภีร์ไบเบิลที่ถูกยึดไว้เป็นคัมภีร์หนัง ที่มีลวดลายทางศาสนาทั้งบนปกและภายในที่ทำจากทอง ซึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่ดีเท่าไหร่ มีความหนา 34 หน้า และคาดว่ามีอายุตั้งแต่ 1,100-1,200 ปี เป็นไปได้ว่าวัตถุโบราณชิ้นนี้จะจะถูกลักลอบนำเข้ามาจากประเทศซีเรียที่กำลังอยู่ในระหว่างสงครามกลางเมือง เนื่องจากกลุ่มรัฐอิสลามอย่าง ISIS มีชื่อเสียงเรื่องการลักลอบจำหน่ายวัตถุโบราณเพื่อหาทุนมาเป็นเวลานานแล้ว     น่าเสียดายที่ทางรัฐบาลตุรกีไม่มีข้อมูลว่าใครเจ้าของจริงๆ ของวัตถุโบราณชิ้นนี้ อย่างไรก็ตามพวกเขาให้ความเป็นไปได้ว่าคัมภีร์ไบเบิลที่พบน่าจะเคยถูกเก็บไว้ในโบสถ์มาก่อน เนื่องจากโบสถ์ในซีเรียมักจะมีความเก่าแก่มากๆ โดยเฉพาะในเมือง Antioch และ Damascus สื่อต่างประเทศรายงานว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลตุรกีกังวลเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายวัตถุโบราณเป็นอย่างมาก ทำให้ในทุกๆ ปีมีปฏิบัติการต่อต้านการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายเกิดขึ้นในประเทศมากกว่า 1,000 ครั้ง ถึงอย่างนั้นก็ตามดูเหมือนว่าการลักลอบซื้อขายวัตถุโบราณก็ยังคงไม่หมดไปจากประเทศอยู่ดี     ในปัจจุบันคัมภีร์ไบเบิลที่ถูกพบคาดกันว่าจะถูกนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนที่จะมีการนำไปเข้ากระบวนการทางกฎหมายต่อไป   ที่มา ancient-origins, hurriyetdailynews และ euronews

  • ย้อนรอย หอส่งสัญญาณโทรศัพท์แห่งสตอกโฮล์ม ที่รวมสายโทรศัพท์ไว้กว่า 5,000 เส้น

    ย้อนรอย หอส่งสัญญาณโทรศัพท์แห่งสตอกโฮล์ม ที่รวมสายโทรศัพท์ไว้กว่า 5,000 เส้น

    ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มนุษย์เราได้คิดค้นเทคโนโลยีโทรศัพท์ขึ้นมาเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตามโทรศัพท์ในสมัยนั้นยังคงต้องมีสาย และต้องมีการต่อสายโดยตรงด้วยมือโดยพนักงานที่เป็นมนุษย์ เท่านั้นยังไม่พอเพราะในช่วงแรกๆ ที่มีการคิดค้นโทรศัพท์ขึ้นมา โทรศัพท์แต่ละเครื่องต้องมีสายแยกเป็นของตนเองไม่สามารถใช้สายร่วมกันกับเครื่องอื่นๆ ได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่บ้านเมืองในสมัยนั้นจะเต็มไปด้วยสายโทรศัพท์ระโยงระยาง     และแน่นอนว่าหากพูดถึงเมืองที่มีหอรับสายโทรศัพท์ที่มีชื่อเสียงที่สุด เราก็คงจะต้องพูดถึงหอโทรศัพท์ที่สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เป็นที่แรก เพราะที่แห่งนี้เป็นหอส่งสัญญาณโทรศัพท์ที่ใหญ่โตสุดๆ ไปเลย หอส่งสัญญาณนี้มีชื่อว่า Telefontorne สัญญาณโทรศัพท์ที่ถูกส่งขึ้นในช่วงปี 1890 และมีหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางที่จะรับมือกับสายโทรศัพท์จากทั่วทั้งเมือง     หอส่งสัญญาณแห่งนี้เป็นสิ่งปลูกสร้างรูปสี่เหลี่ยมที่สร้างขึ้นจากโลหะสูง 80 เมตร และแบกรับสายโทรศัพท์เอาไว้มากกว่า 5,500 สาย อย่างไรก็ตามด้วยโครงสร้างที่ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยสักเท่าไหร่ในสมัยนั้นก็ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่ยากต่อการทำงานมาก คนงานของหอส่งสัญญาณโทรศัพท์แห่งนี้จะต้องปีนขึ้นไปทำงานในที่สูงโดยที่ไม่มีราวกั้น และด้วยความที่หอส่งสัญญาณไม่มีผนัง ในฤดูหนาวหรือช่วงที่ฝนตกหอส่งสัญญาณแห่งนี้ก็จะได้รับผลกระทบโดยตรงและรุนแรงอยู่เสมอๆ     นับว่าโชคดีมากที่หลังจากการสร้างหอส่งสัญญาณ Telefontorne ขึ้นระบบโทรศัพท์ก็พัฒนาขึ้นไปอย่างรวดเร็ว หอส่งสัญญาณนี้จึงไม่จำเป็นจะต้องมีการใช้งานมากมายเหมือนกับในอดีต นั่นทำให้ตลอดช่วงเวลา 40 ปีหลังจากปี 1913 หอส่งสัญญาณ Telefontorne ก็รับหน้าที่เป็นแลนด์มาร์ค และสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองสตอกโฮล์มต่อไป     จนกระทั่งในปี 1953 ได้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในสตอกโฮล์ม และลามไปติดหอส่งสัญญาณแห่งนี้เข้าพอดีทำให้สุดท้ายหอส่งสัญญาณ Telefontorne ก็ต้องถูกรื้อถอนออกไปในปีเดียวกัน สิ่งที่หอส่งสัญญาณแห่งนี้ทิ้งไว้ สุดท้ายแล้วก็มีเพียงรูปภาพแห่งความทรงจำที่ว่าครั้งหนึ่งเมืองสตอกโฮล์ม เคยมีหอส่งสัญญาณขนาดใหญ่ที่แบกรับสายโทรศัพท์จำนวนมากเอาไว้ก็เท่านั้น    …

  • 31 ภาพประเทศกรีซในศตวรรษที่ 19 ชมความงดงามในช่วงเวลาที่หลายคนอาจไม่เคยเห็น

    31 ภาพประเทศกรีซในศตวรรษที่ 19 ชมความงดงามในช่วงเวลาที่หลายคนอาจไม่เคยเห็น

    เมื่อพูดถึงประเทศกรีซ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็คงจะนึกถึงนครท่องเที่ยวที่มีโบราณสถานเก่าแก่งดงามมากมาย และมีจุดเด่นอยู่ที่เรื่องเกี่ยวกับกรีกโบราณเป็นหลัก ภาพที่เราจดจำจากประเทศกรีซส่วนใหญ่จึงจะเป็นภาพสมัยใหม่ หรือไม่ก็ภาพลักษณ์เก่าแก่ 2,000 กว่าปีก่อนไปเลย ถึงอย่างนั้นประเทศกรีซก็ไม่ใช่ว่าจะเพิ่งมามีเสน่ห์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในปัจจุบันหรอกนะ เพราะคนในสมัยก่อนเองก็นิยมที่จะไปเที่ยวชมและถ่ายรูปประเทศอันน่าหลงใหลนี้เช่นกัน ดังนั้น ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปพบกับประเทศกรีซในช่วงที่หลายๆ คนคงจะไม่เคยเห็นกัน กับ 31 ภาพสุดงดงามของประเทศกรีซในช่วงศตวรรษที่ 19 แต่จะน่าสนใจขนาดไหน คงต้องไปชมกันเลยที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากเหล่านักท่องเที่ยวที่วิหารพาร์เธนอน กรุงเอเธนส์ เมื่อราวๆ ปี 1860   กรุงเอเธนส์มองจากอะโครโพลิส เมื่อราวๆ ปี 1860 สามมุมจากช่างภาพสามคน . .   วิหารเฮฟีสเทียน ในอะโครโพลิส ราวๆ ปี 1860   วิหารจูปิเตอร์ เอเธนส์ ประมาณปี 1860   ไพรีอัสท่าเรือสำคัญของประเทศกรีซ 1860   อนุสาวรีย์ผู้นําการร้องประสานเสียงสมัยโบราณของกรีก (The Choragic Monument of Lysicrates) 1860   เมืองเทสซาโลนิกิ 1860…

  • นักวิทย์พบเตียงเก่าแก่ที่อยู่ในโรงแรมมากว่า 15 ปี จริงๆ แล้วอาจเป็นของกษัตริย์เฮนรี่ที่เจ็ด

    นักวิทย์พบเตียงเก่าแก่ที่อยู่ในโรงแรมมากว่า 15 ปี จริงๆ แล้วอาจเป็นของกษัตริย์เฮนรี่ที่เจ็ด

    ในปี 2010 โรงแรม Redland ในนครเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ได้ทำการเลหลังขายเตียงเก่าแก่ที่ถูกตั้งไว้ในห้องฮันนีมูนสวีทของโรงแรมมาเป็นเวลายาวนานกว่า 15 ปี     ด้วยความที่ว่าเตียงตัวนั้นเป็นเตียงเก่าแก่ที่มีลักษณะเป็นงานฝีมือของช่างไม้ในอดีต ทำให้คนขายของโบราณอย่าง Ian Coulson สนใจในเตียงตัวนี้ และตัดสินใจซื้อมันมาเก็บไว้ในราคาราวๆ 90,000 บาท ในเวลานั้น Ian คิดว่าเตียงตัวนี้เป็นเตียงจากสมัยวิกตอเรีย (ช่วงปี ค.ศ. 1837-1901) เท่านั้น แต่หลังจากที่ได้เตียงดังกล่าวมาจริงๆ เขาก็เริ่มสงสัยว่าเตียงที่ตนซื้อมา แท้จริงแล้วอาจจะเป็นของกษัตริย์เฮนรี่ที่เจ็ดในช่วงศตวรรษที่ 15 ต่างหาก   เตียงที่พบนี้อาจจะเป็นเตียงแต่งงานของกษัตริย์เฮนรี่ที่เจ็ดในช่วงที่แต่งงานกับเอลิซาเบธแห่งยอร์กใหม่ๆ ก็เป็นได้   นั่นเพราะในตอนที่ตรวจสอบเตียงที่ได้มา Ian ก็พบว่าไม้โอ๊คแข็งที่ใช้ทำเตียงมีร่องรอยความเสียหายมากเกินกว่าที่ควรจะเป็นในกรณีที่มาจากยุควิกตอเรีย แถมที่เสาเตียงยังมีร่องรอยของปฏิกิริยาออกซิเดชันในปริมาณที่ต้องใช้เวลาหลายศตวรรษในการสะสม เท่านั้นยังไม่พอ การประดับตกแต่งอื่นๆ ของเตียงอย่างโล่ที่ติดอยู่ด้านบนหรือใบหน้าของอาดัมและเอวาที่มีการแกะสลักไว้ก็ล้วนแต่เป็นศิลปะในรูปแบบของช่วงศตวรรษที่ 15 ทั้งนั้น     ดังนั้นเมื่อลองเทียบข้อมูลที่มีกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ Ian และเหล่านักโบราณคดีที่เขารู้จักจึงเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าเตียงที่พบนี้อาจจะเป็นเตียงของกษัตริย์เฮนรี่ที่เจ็ดก็เป็นได้ แน่นอนว่าตัวตนของเตียงที่พบนี้ย่อมกลายเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่วันที่มีการค้นพบ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เองเตียงที่ Ian ซื้อมาก็ถูกส่งเข้าตรวจสอบอย่างจริงจังโดยนักวิทยาศาสตร์     และผลการตรวจสอบในตอนนั้นก็ออกมาว่าเตียงที่พบนี้มีการใช้ไม้โอ๊ค “Haplotype-7” ที่พบในประเทศฝรั่งเศสไปจนถึงเบลารุสซึ่งเป็นไม้ที่ใช้งานกันหมู่ชนชั้นสูงของช่วงศตวรรษที่ 15 นอกจากนี้บนตัวเตียงเองยังมีร่องรอยของภาพวาดที่มีการผสมสีฟ้าจาก “ลาพิส ลาซูลี่”…

  • พบโบราณสถานอายุนับ 1,000 ปี กว่าร้อยแห่งทางตะวันตกของทะเลทรายซาฮาร่า

    พบโบราณสถานอายุนับ 1,000 ปี กว่าร้อยแห่งทางตะวันตกของทะเลทรายซาฮาร่า

    ในช่วงปี ค.ศ. 2002-2009 นักโบราณคดีได้ทำการสำรวจ พื้นที่ทางตะวันตกของทะเลทรายซาฮาร่า ซึ่งถูกปกครองโดยสาธารณรัฐประชาธิปไตยอาหรับซาห์ราวี และประเทศโมร็อกโก ที่นั่นพวกเขาพบกับโบราณสถานที่ทำจากหินจำนวนร่วมร้อยแห่ง ที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปี แถมยังมีความหลากหลายทั้งในด้านขนาด รูปร่าง และการใช้งานที่น่าจะเป็นในอดีต     โบราณสถานที่พบมีทั้งแบบที่สร้างเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว วงกลม เส้นตรง สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ดูเหมือนเวที หรือแม้กระทั่งโบราณสถานที่มีการรวมรูปทรงทั้งหมดเข้าด้วยกันจนมีความยาวถึง 630 เมตร สาเหตุที่สถานที่แห่งนี้มีโบราณสถานที่ไม่เคยมีการค้นพบมาก่อน ดูเหมือนว่าจะเกิดจากการที่ทะเลทรายซาฮาร่าทางตะวันตกแทบจะไม่เคยมีนักโบราณคดีเข้าไปสำรวจ เนื่องจากในสมัยก่อนสองประเทศที่เป็นเจ้าของพื้นที่กำลังอยู่ในภาวะสงครามต่อกันและกัน     Joanne Clarke อาจารย์อาวุโสที่มหาวิทยาลัย East Anglia บอกว่า “เนื่องจากความขัดแย้ง การวิจัยทางโบราณคดีและสภาพแวดล้อมในทางตะวันตกของทะเลทรายซาฮาร่าจึงมีอยู่อย่างจำกัด” อย่างไรก็ตามหลังจากที่สงครามจบลงในปี 1991 ในที่สุดพื้นที่แห่งนี้ก็ได้รับการเข้าสำรวจอย่างจริงจัง และนำมาซึ่งการค้นพบมากมายดั่งที่รายงานไว้ข้างต้น     จริงอยู่ว่านักโบราณคดีจะยังไม่ได้ทำการขุดค้นโบราณสถานหลายๆ แห่ง จนไม่อาจฟันธงได้แน่ชัดว่าโบราณสถานที่พบใช้งานอย่างไร แต่พวกเขาก็สันนิษฐานว่าโบราณสถานหลายแห่งน่าจะทำหน้าที่เป็นสุสาน จากการที่โบราณสถานสองแห่งที่ถูกขุด มีโครงกระดูกของมนุษย์บรรจุอยู่ภายใน โดยเมื่ออ้างอิงจากการตรวจสอบหาอายุด้วยคาร์บอนแล้ว นักโบราณคดีก็พบว่ากระดูกของมนุษย์เหล่านี้ มีอายุอยู่ที่ราว 1,500 ปี     การที่ทะเลทรายมีจำนวนโบราณสถานมากมายแบบนี้ทำให้นักโบราณคดีตั้งทฤษฎีที่ว่าทะเลทรายซาฮาร่าทางตะวันตกน่าจะเคยเป็นพื้นที่ที่มีแห่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์มาก่อน และแหล่งน้ำเหล่านั้นน่าจะเพิ่งจะแห้งไปในช่วงพันปีก่อนเท่านั้น…

  • นักศึกษาแพทย์พบฟอสซิลแอมโมไนต์อายุกว่า 185 ล้านปี ใน “กระสุนปืนใหญ่ทองคำ”

    นักศึกษาแพทย์พบฟอสซิลแอมโมไนต์อายุกว่า 185 ล้านปี ใน “กระสุนปืนใหญ่ทองคำ”

    เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศได้มีการรายงานข่าวฟอสซิลโบราณอายุกว่า 185 ล้านปี ถูกค้นพบอยู่ภายในหินทรงกลมคล้ายลูกปืนใหญ่ ที่ริมชายหาดในยอร์กเชอร์ ประเทศอังกฤษ     การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างที่คุณ Aaron Smith นักศึกษาแพทย์วัย 22 ปีกำลังเดินสำรวจชายหาด เพื่อตามหาฟอสซิลแอมโมไนต์ บรรพบุรุษของสัตว์น้ำตะกูลหอย เพื่อมาเก็บไว้ในคอลเลกชันซึ่งเป็นงานอดิเรกของเขาอีกที ในระหว่างที่สำรวจพื้นที่อยู่นั้น ชายหนุ่มได้บังเอิญพบกับหินปูนทรงกลมลูกหนึ่งซึ่งถูกเคลือบไว้ด้วยแร่ไพไรต์ โลหะที่หากมีการขัดจะมีสีคล้ายทองคำ (เป็นที่มาของชื่อเล่น “ทองคำของคนโง่”) และตั้งชื่อให้มันว่า “กระสุนปืนใหญ่ทองคำ”     จริงอยู่ว่าหินในรูปแบบนี้อาจจะดูแปลกตาอยู่บ้าง แต่จากคำบอกเล่าของ Aaron แล้ว หินรูปแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่หาพบได้ยากบนแถบหาดในยอร์กเชอร์เลย สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ ของกระสุนปืนใหญ่ทองคำลูกนี้เป็นสิ่งที่อยู่ภายในต่างหาก เพราะหลังจากที่ Aaron ลองแยกหินที่พบออกเป็นสองส่วนเขาก็สังเกตเห็นว่าภายในของหินก้อนนี้มีฟอสซิลแอมโมไนต์ขนาดค่อนข้างใหญ่ซ่อนอยู่   Aaron Smith ผู้ค้นพบฟอสซิลในครั้งนี้   Aaron บอกว่าฟอสซิลที่พบ น่าจะมาจากแอมโมไนต์สายพันธุ์ Hildoceritidae ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่ในช่วงยุคจูราสสิกและสูญพันธุ์ไปเมื่อราวๆ 185 ล้านปีก่อน จริงอยู่ว่านี่จะไม่ใช่การค้นพบครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่ในทางวิทยาศาสตร์ แต่สำหรับนักสะสมแบบ Aaron การค้นในครั้งนี้ถือว่ามีคุณค่าทางจิตใจเป็นอย่างมาก  …

  • ย้อนรอยภาพหายากของ “เฮนรี ฟอร์ด” ที่กำลังรับเหรียญเกียรติยศจากนาซีในปี 1938

    ย้อนรอยภาพหายากของ “เฮนรี ฟอร์ด” ที่กำลังรับเหรียญเกียรติยศจากนาซีในปี 1938

    เมื่อพูดถึงนักธุรกิจของฝั่งสหรัฐอเมริกา ตามภาพลักษณ์แล้วคงจะไม่มีใครคิดว่าจะไปมีอะไรเกี่ยวข้องกับฝั่งนาซีเยอรมันได้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่สองจะเริ่มขึ้นเล็กน้อย ในปี 1938 เฮนรี ฟอร์ดผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์มีชื่อจะเคยได้รับเหรียญแกรนด์ ครอสแห่งอินทรีเยอรมัน (Grand Cross of the German Eagle) จากทางนาซีด้วย     ภาพที่เห็นนี้ถูกถ่ายเอาไว้ที่ในงานวันเกิดครบรอบ 75 ปีของเฮนรี ฟอร์ดในรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ในขณะที่เขาได้รับเหรียญจาก Karl Kapp และ Fritz Heller สองกงสุลชาวเยอรมันในสหรัฐฯ เหรียญที่ถูกมอบในที่นี้ เป็นเหรียญเกียรติยศสูงสุด ที่ฮิตเลอร์ตั้งขึ้นในปี 1937 เพื่อมอบให้ชาวต่างชาติโดยเฉพาะ และถูกบรรยายไว้ว่ามอบให้กับเฮนรี ฟอร์ด เพราะฮิตเลอร์รู้สึกชื่นชมและเป็นหนี้ต่อตัวฟอร์ดมาก     ความรู้สึกเป็นหนี้ในที่นี้เป็นไปได้ว่าจะมาจากการที่บริษัทฟอร์ดเคยมีข่าวลือว่าช่วยเหลือเยอรมนี และพรรคนาซีเกี่ยวกับเรื่องอุตสาหกรรมมาก่อนในอดีต ส่วนความนับถือนั้นคาดว่าจะมาจากการที่เฮนรี ฟอร์ดในสมัยนั้นเป็นคนที่ต่อต้านชาวยิวเป็นอย่างมาก จนถึงขั้นที่หนังสือ “ชาวยิวต่างชาติซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่สุดของโลก” (The International Jew, the World’s Foremost Problem) เคยนำบทความของฟอร์ดมาใช้เลย     อย่างไรก็ตามนักประวัติศาสตร์บางส่วนได้ออกมาบอกว่าแม้เฮนรี ฟอร์ดจะเกลียดชาวยิวมากก็ตาม…

  • ชม 20 ภาพการใช้ชีวิตในสงครามอย่างไม่ละทิ้งความหวัง ของคนอังกฤษในช่วงปี 1940

    ชม 20 ภาพการใช้ชีวิตในสงครามอย่างไม่ละทิ้งความหวัง ของคนอังกฤษในช่วงปี 1940

    หลังจากที่ประกาศสงครามกับเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศอังกฤษก็ต้องพบกับสงครามในแบบที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการที่ประเทศพันธมิตรอย่างฝรั่งเศสพ่ายแพ้ให้แก่นาซีเยอรมัน หรือการโดนทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องในปี 1940 ในช่วงเวลานั้นคนในประเทศต้องทนใช้ชีวิตอยู่กับไฟสงครามที่มาเยือนถึงหน้าประตูบ้าน การทำลายล้าง และความสูญเสีย ที่เห็นแล้วแปลกใจจริงๆ ว่าทำไมพวกเขาจึงสามารถผ่านมันมาได้โดยจิตใจไม่พังไปเสียก่อน ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมภาพการใช้ชีวิตในสงครามของคนอังกฤษในช่วงปี 1940 กัน ไปดูกันว่าคนสมัยนั้นต้องพบกับอะไรบ้างกว่าที่ฝั่งสัมพันธมิตรจะชนะสงครามได้   เริ่มกันจากภาพโคเวนทรีที่พังเสียหายจากการทิ้งระเบิด   ผู้คนที่ตื่นเช้าไปทำงานทั้งๆ ที่เมืองถูกโจมตี ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ร้านซักผ้าเคลื่อนที่ในเมืองพอร์ทสมัธ เมืองที่บ้านเรือนพังเสียหายกว่า 90%   เด็กๆ สองคนที่มารับชาจาก YMCA องค์กรเอกชน ของชาวคริสเตียนที่ทำหน้าที่บริการสังคม   ชายสองคนยืนมองท้องฟ้า   เหล่าคนที่เข้ามาอาศัยสถานีรถไฟเป็นที่พัก   การดับเพลิงในเมืองหลังจากถูกโจมตีโดยเครื่องบินทิ้งระเบิดร่วม 300 ลำ   ประชาชนที่มามุงดูบ้านที่พังจากการถูกโจมตี   โรงพยาบาล St. Thomas ที่พังเสียหาย   ถนน High Street ในเชฟฟิลด์หลังจากที่โดนทิ้งระเบิดตลอดคืน   สภาพถนนในลอนดอนหลังถูกโจมตี   การทิ้งระเบิดกลางเมืองแมนเชสเตอร์   ป้ายลดราคาสินค้าฤดูหนาว…

  • เปิดตำนาน “กะโหลกคริสตัลแห่งมายา” วัตถุโบราณลึกลับหรือแค่ของปลอมจากยุควิกตอเรีย

    เปิดตำนาน “กะโหลกคริสตัลแห่งมายา” วัตถุโบราณลึกลับหรือแค่ของปลอมจากยุควิกตอเรีย

    เคยได้ยินเรื่องตำนานกะโหลกคริสตัลของเผ่ามายากันไหม มันเป็นวัตถุโบราณรูปร่างเหมือนกะโหลกใสที่ลือกันว่าถูกพบโดยพ่อลูกบุญธรรม Anna และ Frederick Mitchell-Hedges ในพีระมิดมายาที่ป่าในประเทศเบลีซ     ตั้งแต่ที่ถูกพบมากะโหลกคริสตัลของตระกูล Mitchell-Hedges ก็กลายเป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงมาก เพราะไม่เพียงแต่ความใสและน่าพิศวงราวกับไม่ได้สร้างขึ้นโดยมนุษย์ของมันเท่านั้น แต่กะโหลกคริสตัลชิ้นนี้ยังเต็มไปด้วยตำนานเรื่องเล่า ทั้งที่เกี่ยวกับคำสาป และพลังเหนือธรรมชาติอีกด้วย Frederick บอกว่ากะโหลกที่เขาและลูกสาวพบนั้นมีพลังประหลาด ใครก็ตามที่หัวเราะเยาะมันจะต้องพบกับโชคร้ายแสนสาหัส ไม่ว่าจะเป็นจากความตาย หรืออาการป่วยที่ไม่สามารถรักษาได้ เท่านั้นยังไม่พอเพราะกะโหลกคริสตัลชิ้นนี้ยังถูกอ้างว่าเป็นหนึ่งในกะโหลก 13 ชิ้นที่หากนำมารวมกันจะมอบความรู้ที่เป็นกุญแจสู่ “ความอยู่รอดของมนุษย์” หรือไม่ก็ “การล่มสลายของมนุษยชาติ” ตามคำทำนายของชนพื้นเมืองอเมริกาเลยด้วย   Anna Mitchell-Hedges เคยเดินทางไปในหลายๆ ประเทศ เพื่อเผยแพร่เรื่องกะโหลกคริสตัลที่พบ   ในปัจจุบันมีกะโหลกคริสตัล 2 ชิ้นที่อ้างตัวว่าเป็นของจริง ซึ่งชิ้นหนึ่งถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษที่ลอนดอน และอีกชิ้นหนึ่งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Musee du Quai Branly ในปารีส โดยทั้งสองแห่งถกเถียงกันเรื่อยมาว่าชิ้นไหนกันแน่ที่เป็นของจริง แน่นอนว่าสิ่งลี้ลับย่อมมาคู่กับความพยายามในการพิสูจน์ความจริง ทำให้ตลอดช่วงเวลาที่กะโหลกคริสตัลถูกนำแสดง ก็มีคนมากมายพยายามตรวจสอบที่มาของกะโหลกคริสตัลในพิพิธภัณฑ์ทั้งสองอยู่เสมอๆ   กะโหลกคริสตัลของอังกฤษ (ซ้าย) และกะโหลกคริสตัลของฝรั่งเศส (ขวา)   โดยหนึ่งในบรรดาการตรวจสอบกะโหลกคริสตัล การตรวจสอบที่น่าสนใจที่สุดจะเป็นของสถาบันสมิธโซเนียนแห่งสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2008…

  • โหลดฟรี!! Hamonshū 3 ตำราการออกแบบภาพวาด ‘เกลียวคลื่น’ สไตล์ญี่ปุ่นโบราณ

    โหลดฟรี!! Hamonshū 3 ตำราการออกแบบภาพวาด ‘เกลียวคลื่น’ สไตล์ญี่ปุ่นโบราณ

    ประเทศญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่มีศิลปะเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง โดยเฉพาะศิลปะโด่งดังอย่างลายเส้นในการวาดภาพ ‘เกลียวคลื่น’ ที่เห็นได้ชัด และเมื่อย้อนกลับไปศิลปะแบบนี้มีความเป็นมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่การใช้เส้นเชือกทำเป็นลายพิมพ์ลงบนดินเหนียวที่สื่อถึงลายเกลียวคลื่นตั้งสมัย ยุคโจมง จนถึงทุกวันนี้   ภาพวาด ‘เกลียวคลื่น’   ในปี 1903 ศิลปินชาวญี่ปุ่น Mori Yuzan ได้วาดภาพลงหนังสือที่ชื่อว่า ‘Hamonshū‘ เป็นหนังสือที่วาดภาพรูปแบบของคลื่นในลายเส้นหลายแบบ สำหรับการทำงานศิลปะอย่างการตีลายเส้นดาบ งานทางศาสนา และเซรามิก ต่อมาในปี 1917 หลัง Yuzan ได้เสียชีวิตลง งานของเขาได้กลายเป็นที่รู้จักสำหรับหนังสือแนวทางในการ ออกแบบและวาด ‘เกลียวคลื่น’ ให้กับศิลปินท่านอื่นๆ ได้ศึกษาและในปัจจุบันทาง Internet Archive ได้เผยแพร่ออนไลน์ทั้ง three-volume series ฟรีอีกด้วย…   ตัวอย่างหนังสือ ‘Hamonshū’ ที่ได้รับการเผยแพร่ออนไลน์     หนังสือของ Mori Yuzan มักจะกล่าวถึง แผ่นดิน, แม่น้ำ, ภูเขา และท้องฟ้า เป็นหนึ่งในหลักงานศิลปะของญี่ปุ่นที่สามารถเห็นได้ทั่วไปตั้งแต่ศิลปะนิกายเซน ไปจนถึงงานวาด งานปั้น และงานถักทอเสื้อผ้า    …

  • ชมภาพ ‘ผู้หญิงผมยาว’ จากยุควิคตอเรีย งดงามและ หลอนในเวลาเดียวกัน…

    ชมภาพ ‘ผู้หญิงผมยาว’ จากยุควิคตอเรีย งดงามและ หลอนในเวลาเดียวกัน…

    เรื่องของการนิยาม ‘ความงาม’ ของผู้หญิง ในแต่ละยุคแต่ละสมัยก็จะมีความแตกต่างกันออกไป เช่น บางยุคจะมองว่าผู้หญิงที่แข็งแกร่งประดุจนักรบ คือผู้หญิงที่สวยงาม, บางยุคก็จะมองว่าผู้หญิงอวบอ้วนคือผู้หญิงสวยงาม, บางยุคก็มองว่าผู้หญิงผมสั้นคือผู้หญิงสวยงาม เป็นต้น แต่หากย้อนกลับไปในยุค ‘วิคตอเรีย’ ผู้หญิงงามนั้นจะต้องเป็นผู้หญิงที่ ‘ผมยาว’ ยิ่งยาวก็ยิ่งงดงาม ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับยุควิคตอเรียกันสักหน่อยก็แล้วกันครับ ‘ยุควิคตอเรีย’ เป็นยุคที่เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1837 จนถึงวันที่ 22 มกราคม ปี 1901 ซึ่งเป็นช่วงที่สมเด็จพระราชินีวิคตอเรียขึ้นครองราชย์นั่นเอง   พระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย   ในยุคนั้นเป็นยุคที่เรียกได้ว่าประเทศอังกฤษมีความสงบสุขมากที่สุดเลยก็ว่าได้ มีการพัฒนาการทางด้านศิลปะและวัฒนธรรม ทั้งสถาปัตยกรรมต่างๆ งานศิลป์ และความงามของหญิงสาว บรรดาผู้หญิงในยุคนั้นจะไว้ผมยาวจนลากติดไปกับพื้นกันเลยทีเดียว ประจวบเหมาะกับเทคโนโลยีการถ่ายภาพที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จึงทำให้มีภาพสวยๆ งามๆ ของบรรดาผู้หญิงจากยุคนั้นมาให้เราได้ชมกันครับ จะเป็นอย่างไรลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า…   . . . . . . . . . .…

  • 14 สุดยอดภาพหายากของ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ในระหว่างฝึกกล่าวสุนทรพจน์เมื่อปี 1925

    14 สุดยอดภาพหายากของ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ในระหว่างฝึกกล่าวสุนทรพจน์เมื่อปี 1925

    ว่ากันว่ากว่าที่ผู้คนจะพบกับความสำเร็จ พวกเขาจะต้องฝึกซ้อมอย่างหนัก พบกับความผิดพลาด และกล้ำกลืนความอับอายกันมาก่อน คำคำนี้ใช้ได้กับทุกๆ คนแม้แต่กับผู้นำเผด็จการอย่าง “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ก็ตาม เพราะแม้ว่าเขาจะดูเหมือนคนที่เคยชินกับการพูดหน้าประชาชนเท่าไหร่ก็ตาม ชายคนนี้ก็มีช่วงเวลาที่ต้องฝึกซ้อมหน้ากระจกเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองต้องพูดเช่นกัน ไม่เชื่อก็ลองไปดูภาพการฝึกซ้อมพูดหน้ากระจกของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในปี 1925 ทั้ง 14 รูปต่อไปนี้ดูสิ   ภาพเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ว่าถูกถ่ายไว้ไม่นานหลังจากฮิตเลอร์ถูกปล่อยตัวจากคุก   โดยเป็นภาพที่ถ่ายไว้โดย Heinrich Hoffmann   เดิมทีแล้วฮิตเลอร์ขอให้ถ่ายภาพเหล่านี้ไว้เพื่อดูท่าทางเวลาพูดของตัวเอง   และหลังจากที่เห็นภาพของตัวเองฮิตเลอร์ ก็ขอให้ช่างภาพเอาภาพไปทำลายทิ้ง (น่าจะเพราะความอับอาย)   แต่แทนที่จะเอาภาพไปทำลาย Hoffmann กลับเอาภาพไปตีพิมพ์ในปี 1955   โดยเขาตั้งชื่ออัลบั้มภาพนี้ว่า “Hitler was my friend” หรือ “ฮิตเลอร์เคยเป็นเพื่อนของผม”   และแม้ว่าภาพเหล่านี้จะดูน่าตลก การฝึกซ้อมก็ทำให้ฮิตเลอร์กลายเป็นคนที่มีความสามารถในการโน้มน้าวผู้คนสูง   ถึงขนาดที่ลูกชายของ Hoffmann บอกว่าฮิตเลอร์มีความสามารถทำให้คนหยุดคิด และเชื่อฟังเข้าตามอารมณ์ชั่ววูบได้เลย   ดังนั้นแม้ว่าเจ้าตัวจะอับอายกับภาพเหล่านี้ก็ตาม   แต่นี่ก็เป็นบันทึกชิ้นสำคัญของประวัติศาสตร์   และเป็นเครื่องเตือนใจที่บอกเราว่าไม่มีใครหรอกที่เก่งมาแต่กำเนิด…

  • ชมภาพเทศกาลเต๊ด งานขึ้นปีใหม่ของเวียดนามในช่วงยุค 1920 ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

    ชมภาพเทศกาลเต๊ด งานขึ้นปีใหม่ของเวียดนามในช่วงยุค 1920 ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

    เทศกาลเต๊ด มีอีกชื่อว่า “เต๊ด เหวียน ด๊าน” หรือ “ตรุษญวน” เป็นเทศกาลขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติของชาวเวียดนาม ที่มีความสำคัญคล้ายๆ กับตรุษจีนของประเทศจีน (จัดขึ้นวันเดียวกันด้วย) อย่างไรก็ตามต่างจากตรุษจีนตรงที่ เต๊ด เหวียน ด๊าน (แปลว่าเทศกาลต้อนรับแสงรุ่งอรุณของปีใหม่) มักจะเริ่มฉลองกัน 7 วันก่อนวันขึ้นปีใหม่จริงๆ และมีประเพณีประจำแต่ละวันที่สืบทอดกันมาแต่ในอดีต ดังนั้นแทนที่จะไปชมเทศกาลเต๊ดที่หาชมได้ทั่วไปในปัจจุบัน ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชมบรรยากาศเทศกาลเต๊ดที่เก่าแก่หน่อย อย่างภาพของ เทศกาลเต๊ดในช่วงยุค 1920 แทน ว่าแต่เทศกาลนี้ในอดีตจะเป็นแบบไหน เหมือนกับในปัจจุบันหรือไม่นั้น เรามารับชมพร้อมๆ กันเลยดีกว่า   การเตรียมการเทศกาลเต๊ดมักจะเริ่มก่อนงาน 1 วัน โดยประชาชนจะออกมาเดินซื้อของกันตามตลาด ในภาพคือตลาด Dong Xuan ที่กรุงฮานอย   ภาพร้านขายภาพวาดที่มีประชาชนมาเลือกซื้อของเพื่อนำไปประดับบ้านในเทศกาลเต๊ดเมื่อปี 1929   ครอบครัวในกรุงฮานอยที่ถ่ายรูปหมู่กันในระหว่างเทศกาล   เหล่าเด็กๆ ที่กำลังดูนักเขียนพู่กันสร้างสรรค์ผลงานสำหรับประดับบ้านในวันเทศกาล   หญิงสาวที่กำลังขายใบตองสาด (หรือสาดแหลง) ที่มักนำไปใช้ห่อขนมแบ๊งห์จึง (ข้าวต้มมัดเวียดนาม)   ชายชราที่กำลังเลือกดอกไม้ไปประดับเทศกาล…

  • อียิปต์พบ มัมมี่ร่วม 50 ร่าง ในสุสานอายุ 2,300 ปี คาดมาจากครอบครัวคนที่มีตำแหน่ง

    อียิปต์พบ มัมมี่ร่วม 50 ร่าง ในสุสานอายุ 2,300 ปี คาดมาจากครอบครัวคนที่มีตำแหน่ง

    เมื่อช่วงเย็นวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาสำนักข่าวต่างประเทศได้มีรายงานการค้นพบมัมมี่จำนวนร่วม 50 ร่าง ที่แหล่งโบราณคดี Tuna El-Gebel ในเมืองมินยา เมืองทางตอนใต้ของกรุงไคโร ประเทศอียิปต์     จากการรายงานของสื่อต่างประเทศ มัมมี่เหล่านี้ถูกพบฝังลึกลงไปใต้ดินราวๆ 10 เมตรในสุสานอายุ 2,300 ปี และคาดว่าเป็นประชาชนที่เคยมีชีวิตอยู่ในสมัยของราชวงศ์ทอเลมี (305-30 ปีก่อนคริสตกาล)     มัมมี่ที่พบมีอยู่ 12 ร่างที่เป็นของเด็ก และมีการฝังที่แตกต่างกันออกไปมาก ตั้งแต่แบบที่ถูกฝังในโลงศพหิน โลงศพไม้ ไปจนถึงแบบที่มีเพียงผ้าลินินพันเอาไว้เท่านั้น     ทางกระทรวงโบราณวัตถุของอียิปต์เปิดเผยว่าเป็นไปได้มากที่คนเหล่านี้จะเคยเป็นคนที่มีตำแหน่งสำคัญมาก่อนในราชวงศ์ทอเลมี โดยดูจากการทำศพที่มีความพิถีพิถันสูง ทำให้มีเป็นไปได้ว่าสุสานแห่งนี้จะเป็นสุสานของตระกูลขนาดใหญ่     อย่างไรก็ตามการที่พวกเขาไม่พบชื่อของมัมมี่ที่เขียนไว้ในสุสานเลยก็ทำให้การยืนยันตัวตนของคนเหล่านี้เป็นไปได้อย่างยากลำบาก จากการบอกเล่าของทางประเทศอียิปต์ การค้นพบในครั้งนี้ถูกเข้าชมโดยทูตจากหลากหลายประเทศ และนับว่าเป็นการค้นพบหลังใหญ่ๆ ครั้งแรกของประเทศตั้งแต่เริ่มต้นปี 2019 มาเลย     ในปัจจุบันนักโบราณคดีได้ทำการส่งชิ้นส่วนเครื่องปั้นดินเผา และกระดาษปาปิรุสที่พบในสุสานไปยังกระทรวงโบราณวัตถุของอียิปต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหากนักวิทยาศาสตร์โชคดี พวกเขาก็อาจจะพบข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆ จากการวิเคราะห์โบราณวัตถุเหล่านี้ก็เป็นได้   ที่มา dailymail, bbc และ mirror

  • ย้อนรอย ภาพการพบปะของนายพลสหรัฐฯ กับจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ที่เคยโจษจันในญี่ปุ่นมาแล้ว

    ย้อนรอย ภาพการพบปะของนายพลสหรัฐฯ กับจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ที่เคยโจษจันในญี่ปุ่นมาแล้ว

    ถูกทิ้งระเบิดปรมาณูไป 2 ลูก ในที่สุดจักรพรรดิฮิโรฮิโตะแห่งประเทศญี่ปุ่นก็ต้องยอมรับความฝ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองเป็นทางการจนได้     อย่างไรก็ตามแตกต่างจากฝ่ายนาซีที่ผู้นำอย่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ฆ่าตัวตายไป จักรพรรดิฮิโรฮิโตะผู้ซึ่งเป็นเหมือนสมมุติเทพของชาวญี่ปุ่นในสมัยนั้นไม่เพียงแต่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เขายังได้รับอนุญาตให้ดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศต่อด้วย นั่นทำให้มีหลายๆ ครั้งที่ทางสหรัฐฯ พยายามหาวิธีมาล้มล้างความเชื่อเรื่องสมมุติเทพของชาวญี่ปุ่น และแม้ว่าหลายๆ ครั้งจะจบลงด้วยความล้มเหลว แต่ในที่สุดเมื่อวันที่ 27 กันยายน 1945 รูปภาพรูปหนึ่งก็กลายเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในการล้มล้างความเชื่อที่สหรัฐฯ พยายามมาตลอดจนได้     นี่เป็นภาพของพลเอกดักลาส แมกอาเธอร์ ผู้มีชื่อเสียงในการบัญชาการรบภาคพื้นแปซิฟิกผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นชาวอเมริกันที่มีผลงานมากที่สุดในสงครามโลก ซึ่งกำลังถ่ายภาพคู่กับจักรพรรดิฮิโรฮิโตะในสภาพที่ไม่ได้เคารพอะไรอีกฝ่ายมากนัก ภาพที่เห็นนี้ถูกถ่ายไว้ที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาในญี่ปุ่น และถูกมองจากทางญี่ปุ่นว่าเป็นการไม่เคารพต่อสมมุติเทพของพวกเขาเป็นอย่างมาก แถมที่ผ่านๆ มาทางญี่ปุ่นจะพยายามใช้มุมกล้องทำให้จักรพรรดิดูตัวสูงน่าเกรงขามมาตลอด และไม่เคยมีใครเลยที่ทำกล้าทำตัวเท่าเทียมกันเช่นนี้ จนภาพที่ออกมาต้องถูกแบนไป   ภาพของจักรพรรดิฮิโรฮิโตะที่ในช่วงก่อนหน้า   ในความเป็นจริงแล้วขั้นการต้อนรับจักรพรรดิของฝั่งสหรัฐฯ เป็นไปแบบสุภาพและให้เกียรติเป็นอย่างมากตลอดจนมาถึงขั้นตอนนี้ เพราะแม้แต่นายพลหลายๆ คนก็รายงานว่าแม้แต่นายพลแมกอาเธอร์ เองยังเรียกจักรพรรดิฮิโรฮิโตะว่าท่าน (Sir) ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อนเลยด้วย อย่างไรก็ตามแมกอาเธอร์เห็นความไม่พอใจจากฝั่งญี่ปุ่นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าจักรพรรดิฮิโรฮิโตะนั้นจริงๆ แล้วก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่เตี้ยกว่าเขาก็เท่านั้น   นายพลแมกอาเธอร์สูงราวๆ 183 เซนติเมตร ส่วนจักรพรรดิฮิโรฮิโตะสูงราวๆ 165 เซนติเมตร   ดังนั้นนายพลแมกอาเธอร์จึงตัดสินใจยกเลิกการแบนภาพนี้พร้อมกับบังคับให้หนังสือพิมพ์ทั้งหมดลงภาพดังกล่าว เพื่อแสดงอำนาจอย่างชัดเจนว่าเขา (และสหรัฐฯ)…

  • “USS William D. Porter” เรือสุดซวยแห่งสงครามโลก ที่เกือบทำประธานาธิบดีเสียชีวิตมาแล้ว

    “USS William D. Porter” เรือสุดซวยแห่งสงครามโลก ที่เกือบทำประธานาธิบดีเสียชีวิตมาแล้ว

    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โลกของเรามีเรืออยู่หลายลำที่มีเรื่องราวที่น่าเศร้าและเรียกได้ว่าโชคร้ายมากๆ แต่หากจะพูดถึงเรือที่อาจจะโชคร้ายที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว เราคงจะต้องพูดถึงเรือ “USS William D. Porter” เป็นลำแรกๆ เพราะนอกจากเรือลำนี้จะมีโอกาสได้โลดแล่นบนทะเลเพียงแค่ไม่ถึง 2 ปีแล้ว มันยังเคยเกือบทำประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเสียชีวิตมาแล้ว   เรือ USS William D. Porter   USS William D. Porter (DD-579) เป็นเรือพิฆาตที่ออกปฏิบัติการในวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1943 อย่างไรก็ตามความซวยจริงๆ ของเรือลำนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1943 เมื่อพวกเขาได้รับภารกิจคุ้มกันเรือ USS Iowa ที่กำลังพาประธานาธิบดี Franklin Delano Roosevelt ไปยังกรุงไคโรต่างหาก   ประธานาธิบดี Franklin Delano Roosevelt   เพราะแค่ตั้งแต่ภารกิจยังไม่เริ่ม เรือ William ก็เผลอเอาสมอเรือไปขูดกับดาดฟ้าเรือพิฆาตรุ่นพี่น้องจนเสียหายหนักมาแล้ว แถมหลังจากเดินทางไปได้ไม่ถึง 2 วันเรือ William ยังเผลอทำระเบิดน้ำลึกตกน้ำโดยไม่ได้ตั้งระบบเซฟตี้จนเกิดเหตุระเบิดขึ้นมาอีก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ภารกิจอารักขาประธานาธิบดีที่ควรจะเป็นภารกิจลับตกอยู่ใต้ความสับสนแตกตื่นอย่างหนัก และกลายเป็นภารกิจที่ไม่เป็นความลับเท่าไหร่ไป เท่านั้นยังไม่พอในภารกิจเดียวกันนี้เอง ในตอนที่ประธานาธิบดี Franklin…

  • ย้อนรอย “สวนสัตว์มนุษย์” สถานที่จัดแสดงเหล่าชนพื้นเมืองของชาวยุโรปในศตวรรษที่ 19-20

    ย้อนรอย “สวนสัตว์มนุษย์” สถานที่จัดแสดงเหล่าชนพื้นเมืองของชาวยุโรปในศตวรรษที่ 19-20

    ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ประเทศในแถบหลายประเทศ ได้มีการสร้าง “สวนสัตว์มนุษย์” ขึ้นมาเพื่อจัดแสดงเหล่าชนพื้นเมืองต่างชาติที่ถูกมองว่า “แปลกประหลาด” และเปิดให้คนภายนอกเข้ามาดูราวกับเพื่อนมนุษย์เป็นเพียงแค่สิ่งบันเทิงอย่างหนึ่งเท่านั้น     สวนสัตว์ในรูปแบบนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกๆ ในฐานะงานแสดงของแปลกที่มักจะถูกจัดขึ้นหลังจากที่ชาวยุโรปไปออกสำรวจโลก และพาคน สัตว์ หรือสิ่งของกลับมาเพื่อเป็นหลักฐานการเดินทาง โดยงานแสดงของแปลกที่มีชื่อเสียงในช่วงเวลานี้ก็ได้แก่การจัดแสดงผู้หญิงพื้นเมืองแอฟริกาใต้ที่ชื่อว่า Saartjie Baartman ในช่วงปี 1810-1815 เป็นต้น   ภาพการ์ตูนล้อเลียนของ Saartjie Baartman ในตอนที่เธอถูกจัดแสดงในลอนดอน เมื่อต้นศตวรรษที่ 19   อย่างไรก็ตามแรงบันดาลใจของการเปิดสวนสัตว์มนุษย์ส่วนมาก เชื่อกันว่ามาจากชายชาวเยอรมันที่ชื่อ Carl Hagenbeck ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 มากกว่า นั่นเพราะในช่วงนั้น การเลี้ยงดูสัตว์ในสวนสัตว์มักจะมีค่าใช้จ่ายที่สูง Carl ที่ทำงานเกี่ยวกับสัตว์หายาก จึงหาสิ่งดึงดูดความสนใจอื่นๆ เพื่อเพิ่มเงินให้กับธุรกิจของเขา   โปสเตอร์โฆษณางานแสดงของชาวเซมีของ Carl Hagenbeck ในปี 1893   เขาตัดสินใจที่จะนำชนพื้นเมืองเข้ามา “ช่วย” จัดแสดงสัตว์ที่พบในท้องถิ่นของพวกเขา คล้ายๆ คณะละครสัตว์ และได้รับความนิยมมาก จนทำให้ชาวยุโรปหลายๆ คนสนใจในความสามารถในการทำเงินของชาวพื้นเมือง…

  • เศษหนังสือโบราณที่ระบุเรื่อง “เมอร์ลิน” จากตำนานกษัตริย์อาเธอร์ ถูกพบในห้องสมุดอังกฤษ

    เศษหนังสือโบราณที่ระบุเรื่อง “เมอร์ลิน” จากตำนานกษัตริย์อาเธอร์ ถูกพบในห้องสมุดอังกฤษ

    เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ระหว่างที่ Michael Richardson บรรณารักษ์ของห้องสมุดแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอลกำลังตรวจสอบหนังสือโบราณจำนวนหนึ่งจากศตวรรษที่ 16 อยู่ เขาก็บังเอิญพบกับเศษหน้าหนังสือจำนวน 7 แผ่นที่ระบุชื่อของตัวละครจากตำนานกษัตริย์อาเธอร์เอาไว้ในภาษาฝรั่งเศสโบราณ   หนึ่งในเศษหน้าหนังสือที่พบ   Michael รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เขาพบมาก เพราะหนังสือที่เขาพบเศษหน้าหนังสือนั้นไม่ได้มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องอะไรกับตำนานกษัตริย์อาเธอร์เลย ดังนั้นเขาจึงติดต่อ Dr. Leah Tether แห่งสมาคมตำนานกษัตริย์อาเธอร์ให้มาช่วยแปลภาษาหนังสือที่พบทันที โดยหลังจากที่ทีมงานแปลเอกสารไปได้ส่วนหนึ่ง พวกเขาก็พบว่าเศษหน้าหนังสือที่พบระบุเรื่องราวของ “เมอร์ลิน” พ่อมดที่มีชื่อเสียงจากตำนานกษัตริย์อาเธอร์ในตอนที่เขาวางแผนรบกับกษัตริย์คลอดัสที่เป็นศัตรูในประเทศฝรั่งเศสเอาไว้   ภาพของเมอร์ลินจากหนังสือตำนานกษัตริย์อาเธอร์ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1903   แต่เรื่องที่ทำให้พวกเขาแปลกใจกับไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เพราะจากคำบอกเล่าของ Dr. Leah เรื่องราวในเศษหน้าหนังสือที่พวกเขาพบ ยังมีความแตกต่างจากเรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์ที่เรารู้จักในระดับที่ “ไม่มากแต่ก็สำคัญ” หนึ่งในความแตกต่างที่พวกเขาพบคือในตำนานที่เรารู้จักกษัตริย์คลอดัสจะต้องได้รับบาดเจ็บที่ต้นขา แต่ในเศษหน้าหนังสือกลับไม่ได้มีการระบุเอาไว้ว่ากษัตริย์คลอดัสบาดเจ็บที่ไหน ซึ่งสามารถทำให้ภาพลักษณ์ของตัวละครและการรบเปลี่ยนไปมาก น่าเสียดายที่เศษหน้าหนังสือที่พวกเขาพบค่อนข้างที่จะเสียหายมาก ดังนั้นทางทีมงานของ Dr. Leah จึงบอกว่าพวกเขาน่าจะต้องใช้เวลาในการถอดรหัสค่อนข้างนาน และอาจต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอื่นๆ อย่างอินฟราเรดเลยด้วย   Dr. Leah Tether (ซ้าย) กับ Michael Richardson (คนที่สองจากทางขวา) และทีมงานของมหาวิทยาลัยบริสตอล  …

  • นักโบราณคดีพบ เมืองโบราณที่หายไปกว่า 200 ปี ในแอฟริกาใต้ ด้วยเทคโนโลยี LiDAR

    นักโบราณคดีพบ เมืองโบราณที่หายไปกว่า 200 ปี ในแอฟริกาใต้ ด้วยเทคโนโลยี LiDAR

    ตั้งแต่ที่มีการคิดค้นเทคโนโลยี LiDAR (Light Imaging, Detection And Ranging) เทคโนโลยีที่ใช้ในการค้นหาด้วยแสงเลเซอร์และโดรน นักโบราณคดีก็ค้นพบโบราณสถานที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเมืองของเผ่ามายาที่หายไป หรือเมืองโบราณ “มเหนทรบรรพต” ในกัมพูชา และแล้วเมื่อล่าสุดนี้เองเทคโนโลยี LiDAR ก็ได้สร้างผลงานอีกครั้งเมื่อนักโบราณคดีที่แอฟริกา ได้ค้นพบเมืองโบราณเก่าแก่ ที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนตั้งแต่เมื่อ ศตวรรษที่ 15 เรื่อยมาจนถึงเมื่อราวๆ 200 ปีก่อน   ภาพของเมืองโบราณที่ถูกจำลองขึ้นมาใหม่โดยอ้างอิงข้อมูลที่ได้มาจาก LiDAR   นี่เป็นหนึ่งในเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าผู้ใช้ภาษา Tswana ในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ Suikerbosrand ของเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ โดยเมืองที่มีการค้นพบในครั้งนี้มีชื่อว่า “Kweneng” เมืองที่กินพื้นที่กว่า 20 ตารางกิโลเมตร ซึ่งประกอบไปด้วยบ้านเรือนราวๆ 750-850 หลัง และเชื่อกันว่าเคยมีคนอยู่ไม่ต่ำกว่า 10,000 คน   ภาพของภูมิประเทศของพื้นที่ที่จำลองขึ้นโดยอาศัย LiDAR   ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าทำไมเมืองที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่เช่นนี้จึงถูกทิ้งร้างไปเมื่อราวๆ 200 ปีก่อน แต่จากข้อสันนิษฐานของนักโบราณคดี เป็นไปได้ว่าเมืองแห่งนี้จะถูกทำลายไปจากเหตุการณ์ความไม่สงบเช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ของชาว Tswana   อีกมุมหนึ่งของเมืองโบราณที่ถูกจำลองขึ้น   Fern Imbali Sixwanha หนึ่งในนักโบราณคดีของการวิจัยครั้งนี้บอกว่า การค้นพบในครั้งนี้จะช่วยให้เราเข้าใจวิถีชีวิตของชาวแอฟริกาใต้ในสมัยก่อนมากยิ่งขึ้น และอาจจะช่วยเติมเต็มประวัติศาสตร์ที่หายไปของชาว Tswana ได้เป็นอย่างดี  …

  • นักวิทย์ตรวจสอบ มัมมี่ในแจกันแห่งเอกวาดอร์ เชื่อไขปริศนาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

    นักวิทย์ตรวจสอบ มัมมี่ในแจกันแห่งเอกวาดอร์ เชื่อไขปริศนาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

    ในวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 1949 ที่เมือง Guano เมืองเล็กๆ ในประเทศเอกวาดอร์ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้นจนกำแพงที่โบสถ์เก่าแก่ในพื้นที่ถล่มลงมา และเผยให้เห็นแจกันขนาดใหญ่ที่ใส่มัมมี่จากศตวรรษที่ 16 เอาไว้     ร่างของมัมมี่ที่พบเชื่อกันว่าเป็นของชายที่ชื่อว่า Fray Lázaro de Santofimia ชายชาวสเปนที่เดินทางมาดูแลโบสถ์ในปี 1565-1572 และยังไม่มีใครฟันธงได้ว่าทำไมศพของเขาถูกนำไปเก็บไว้ในแจกันได้แม้ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามเมื่อล่าสุดนี้เอง นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Philippe Charlier ได้เข้ามาตรวจสอบมัมมี่สุดแปลกร่างนี้อีกครั้ง และแม้ว่าเขาเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมศพของ Fray จึงไปอยู่ในแจกันได้ แต่ Charlier ก็ได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ เกี่ยวกับมัมมี่ที่พบแทน     นั่นเพราะภายในกระดูกของมัมมี่แห่งเอกวาดอร์ที่พบนั้นมีร่องรอยของอาการ “Rheumatoid Arthritis” หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อยู่ด้วย นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะแม้ว่าเราจะมีหลักฐานที่ว่าโรคข้ออักเสบมีอยู่ในทวีปอเมริกาตั้งแต่ก่อนโคลัมบัสไปสำรวจ แต่เราไม่มีหลักฐานใดๆ เลยที่บอกว่าโรคโรคข้ออักเสบกระจายไปในยุโรป และลามไปทั่วโลกได้อย่างไร     ดังนั้น Dr. Charlier บอกว่ามัมมี่ของ Fray อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยเติมเต็มช่องว่างในประวัติศาสตร์ที่หายไปของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เลยก็เป็นได้ เพราะการพบว่ามัมมี่ชาวสเปนมีโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อยู่ก็ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้ทฤษฎีที่ว่าโรคดังกล่าวเข้ามาในยุโรปเป็นครั้งแรกจากชาวสเปนที่ไปล่าอาณานิคมในอเมริกาได้เป็นอย่างดี     อย่างไรก็ตามการวิจัยและตรวจสอบบมัมมี่แห่งเอกวาดอร์ที่เก็ดขึ้นนั้นยังไม่ได้เสร็จสิ้นลงโดยสมบูรณ์แต่อย่างใด ทำให้ในปัจจุบันเรายังมีโอกาสที่จะพบข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์…

  • อียิปต์เผยการค้นพบ โรงผลิตไวน์อายุ 2,000 ปี ที่ปากแม่น้ำไนล์ พร้อมวัตถุโบราณจำนวนหนึ่ง

    อียิปต์เผยการค้นพบ โรงผลิตไวน์อายุ 2,000 ปี ที่ปากแม่น้ำไนล์ พร้อมวัตถุโบราณจำนวนหนึ่ง

    เมื่อวันที่ 28 มกราคมปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทางกระทรวงโบราณวัตถุของประเทศอียิปต์ได้ออกมาประกาศผ่านทางเฟซบุ๊กถึงการค้นพบโรงผลิตไวน์อายุกว่า 2,000 ปี ที่แหล่งโบราณคดีใกล้ๆ กับสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ ทางตอนเหนือของกรุงไคโร     จากข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมา สิ่งปลูกสร้างที่ถูกพบในครั้งนี้เชื่อกันว่าถูกใช้งานในช่วงยุคกรีก-โรมันของอียิปต์ ซึ่งกินเวลาตั้งแต่ช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาลไปจนถึงศตวรรษที่ 7 และเป็นหนึ่งในสถานที่ผลิตไวน์ที่มีคุณภาพดีที่สุดของอียิปต์ในสมัยนั้น     อันที่จริงแล้วพื้นที่บางส่วนของโรงผลิตไวน์แห่งนี้เคยมีการค้นพบมาก่อนแล้วในการขุดค้นเมื่อหลายปีก่อน อย่างไรก็ตามในเวลานั้นนักโบราณคดียังไม่ทราบว่าในบริเวณใกล้ๆ กันจะมีอาคารโบราณอยู่อีกหนึ่งแห่ง เป็นไปได้ว่าอาคารที่พบนี้จะเป็นสถานที่สำหรับเก็บไวน์ที่ผลิตขึ้นอีกทีหนึ่ง โดยอ้างอิงจากโบราณวัตถุสิ่งที่พบ บวกกับการที่ผนังทำจากอิฐโคลนและหินปูนซึ่งจะช่วยให้อุณหภูมิภายในอาคารเย็นและเหมาะสมกับการเก็บไวน์     โดยโบราณวัตถุที่พบนั้น ประกอบไปด้วย เตาเผากับเครื่องดินเผาซึ่งคาดว่าใช้งานเป็นภานะใส่ไวน์ในสมัยนั้น และเหรียญทองอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นเหรียญที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ช่วงราชวงศ์ปโตเลมี (ราวๆ 323 ปีก่อนคริสตกาล) ไปจนถึงตอนที่อียิปต์พ่ายแพ้แก่ชาวอิสลาม (ปีค.ศ. 639-646)     นอกจากนี้บนตัวผนังเองนักโบราณคดียังพบกับร่องรอยของกระเบื้อง และเศษสีที่เคยประดับกำแพงอีกเล็กน้อยซึ่งเป็นหลักฐานที่ดีว่าที่แห่งนี้เคยมีการตกแต่งอย่างดีมาก่อน และจากร่องรอยสิ่งประดับตกแต่งที่พบเองนักโบราณคดีก็คาดว่าในบริเวณแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ยังน่าจะมีอาคารเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่อาศัยของคนงานโรงผลิตไวน์ฝังเอาไว้อยู่ด้วยก็เป็นได้ ทำให้การขุดค้นสถานที่แห่งนี้ ยังต้องมีการดำเนินงานกันต่อไปในอนาคต     ที่มา livescience และ เฟซบุ๊กกระทรวงโบราณวัตถุแห่งประเทศอียิปต์

  • พบเชื้อราชนิดใหม่ที่วิหารในโปรตุเกส ไชเส้นใยลงหินแถมยังเป็นกรด ทำลายโบราณสถาน

    พบเชื้อราชนิดใหม่ที่วิหารในโปรตุเกส ไชเส้นใยลงหินแถมยังเป็นกรด ทำลายโบราณสถาน

    โบราณสถานที่สำคัญๆ ของโลกนั้นมีศัตรูอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวที่เขามาในพื้นที่ นั่นเพราะสิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่จะทำให้โบราณสถานเสื่อมสภาพรวดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น และสำหรับวิหารเก่าแก่อายุกว่า 800 ปีอย่างวิหาร Sé Velha de Coimbra ที่โปรตุเกสแล้วศัตรูที่น่ากลัวที่สุดตั้งแต่ที่มีการก่อสร้างวิหารมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 ก็ไม่ใช่ ภัยธรรมชาติหรือมนุษย์แต่เป็นเชื้อราตัวเล็กๆ ต่างหาก     นั่นเพราะเมื่อวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่เข้าสำรวจวิหารอันเป็นหนึ่งในมรดกโลกขององค์กรยูเนสโกแห่งนี้ ก็ได้พบว่าวิหาร Sé Velha de Coimbra กำลังถูกกัดกินโดยเชื้อราที่มนุษย์ไม่รู้จักมาก่อนอยู่ นี่เป็นเชื้อราสีดำที่มีความสามารถในการกระจายเส้นใยลงไปในเนื้อหิน ซึ่งหากปล่อยไว้นานเกินไปและไชลึกลงไปในตัวโบราณสถาน และนำมาซึ่งรอยแตกร้าวบนผนังของวิหารอันทรงคุณค่าได้     เมื่อราชนิดนี้งอกขึ้นมาที่ไหนแล้ว มันจะกำจัดได้ยากมากๆ เพราะพวกมันมีความทนทานต่อสภาพอากาศ อยู่ได้นานแม้จะมีภัยแล้ง ทนกับรังสีอัลตราไวโอเลต หรือแม้กระทั่งอุณหภูมิที่สูงมากๆ เท่านั้นยังไม่พอเพราะเชื้อราที่พบนี้ยังสามารถสร้าง “พอลิแซ็กคาไรด์” ที่มีฤทธิ์กัดกร่อนซึ่งจะทำลายพื้นที่ที่มีราชนิดนี้ขึ้นอย่างรวดเร็วเข้าไปอีก     ความสามารถอันน่ากลัวของเชื้อรานี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์มองพวกมันว่าเป็นภัยต่อวิหาร Sé Velha de Coimbra เป็นอย่างยิ่ง และหลังจากที่ทำการตรวจสอบเชื้อราที่พบอย่างละเอียด พวกเขาก็ได้ตั้งชื่อให้เชื้อราชนิดนี้ว่า “Aeminium ludgeri” เป็นไปได้ว่าราชนิดนี้จะติดมากับวิหารแห่งนี้ตั้งแต่ตอนที่มีการก่อสร้างเลย…

  • นิทรรศการในสหรัฐฯ จัดแสดงแผนที่โบราณที่มีภาพของ Mansa Musa ชายที่รวยที่สุดในโลก

    นิทรรศการในสหรัฐฯ จัดแสดงแผนที่โบราณที่มีภาพของ Mansa Musa ชายที่รวยที่สุดในโลก

    ตั้งแต่ช่วงวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมาเรื่อยไปจนถึงวันที่ 26 กรกฎาคมปี ค.ศ. 2019 ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะในสหรัฐอเมริกาได้มีการจัดแสดงนิทรรศการ “Caravans of Gold” ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ประวัติศาสตร์ทางศิลปะ วัฒนธรรม และการค้าของยุคกลางของแอฟริกาแถบทะเลทรายซาฮารา     โดยในงานนิทรรศการครั้งนี้มีจุดประสงค์ในการจัดขึ้น เพื่อล้มล้างแนวคิดแบบเหมารวมที่ว่าความแอฟริกาในอดีตมักจะยากจน และไม่สำคัญต่อประวัติศาสตร์ และมีไฮไลท์อยู่ที่แผนที่โบราณที่ออกจำหน่ายในช่วงปี 1975 นี่เป็นแผนที่ที่แม้จะมีรายละเอียดพื้นที่ที่ไม่มากนัก แต่ก็มีจุดเด่นอยู่ที่การระบุเส้นทางการค้าในสมัยนั้น และมีภาพของ “Mansa Musa” จักรพรรดิคนที่ 14 แห่งจักรวรรดิมาลีวาดเอาไว้     โดย Mansa Musa นั้น เป็นชายผู้ซึ่งได้ชื่อว่าร่ำรวยมีทรัพย์สินอยู่มากมายจนใช้ยังไงก็ไม่หมด จากการที่เขาครอบครองเมืองในแถบแอฟริกากว่า 22 เมือง แถมแต่ละเมืองยังมีเหมืองทองขนาดใหญ่อีกด้วย การที่มีเหมืองทองมากมายขนาดนี้นี่เอง ทำให้ไม่แปลกใจเลยที่จะบอกว่าเผลอๆ Mansa Musa อาจจะเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์เลย เขานั้นร่ำรวยถึงขั้นที่ว่าในตอนที่เขาออกเดินทางไปยังเมืองมักกะฮ์ มีบันทึกในหลายๆ ประเทศที่เขาเดินทางผ่านบันทึกถึงความร่ำรวยของเขาเอาไว้ จากการที่เจ้าตัวเอาอูฐ 80 ตัวซึ่งแต่ละตัวขนทองหนัก 23-136 กิโลกรัมเดินทางไปด้วย แถมยังแจกเงินให้คนจนอีก…

  • ชมแผนผัง ‘วิวัฒนาการตัวอักษรภาษาอังกฤษ’ ตั้งแต่ยุคกำเนิด 1750 ปีก่อนสามัญศักราช

    ชมแผนผัง ‘วิวัฒนาการตัวอักษรภาษาอังกฤษ’ ตั้งแต่ยุคกำเนิด 1750 ปีก่อนสามัญศักราช

    มีใครรู้บ้างว่าตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เราเห็นทุกวันนี้มีวิวัฒนาการมาอย่างไร ตั้งแต่ยุคแองโกล-แซกซัน ที่เขียนตัวอักษรในรูปของอักษรรูนโบราณ ไปจนยุคกรีก ละติน พัฒนามาจนเป็นตัวอักษร A B C ในปัจจุบัน วันนี้ #เหมียวฝึกหัดหมายเลข24 จะพาย้อนรอยวิวัฒนาการของตัวอักษรภาษาอังกฤษ และเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพลองดูภาพชาร์ตด้านล่างได้เลยค่ะ   วิวัฒนาการของตัวอักษร   ภาพชาร์ตนี้ได้ทำขึ้นโดยเว็บไซต์ UsefulCharts ซึ่งผู้คิดค้นเว็บไซต์นี้คือ Matt Baker ชาวอังกฤษ โดยเว็บไซต์นี้จะเน้นการนำเอาข้อมูลประวัติศาสตร์จาก 1,000 กว่าปี ให้กลายมาเป็นภาพชาร์ตภาพเดียว วิวัฒนาการตัวอักษรภาษาอังกฤษในชาร์ตนี้แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการเกือบ 3,800 ปี ตั้งแต่ยุคอักษรไฮเออโรกลีฟอียิปต์ (1,750 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ยุคฟินิเซียน ไปจนถึงช่วงแรกของยุคกรีก และละตินจนถึงยุคปัจจุบัน   รูปแบบตัวอักษรไฮเออโรกลีฟ   จากชาร์ตเราจะสังเกตได้ว่าในหลายๆ ยุคตัวอักษรจะมีความใกล้เคียงเรื่อยๆ กับตัวอักษรอังกฤษในยุคปัจจุบัน แต่ตัวอักษร U,V และ W เพิ่งมีการพัฒนาห่างจากยุคปัจจุบันไม่นานเท่าไรนัก หากใครสนใจชาร์ตประวัติศาสตร์ตั้งแต่ตัวอักษรไปจนถึงประวัติศาสตร์ของโลก ทาง usefulcharts ได้รวบไว้ให้ในภาพเดียวแล้ว และสามารถสั่งซื้อทางออนไลน์ได้ที่ usefulcharts รวมถึงทางเว็บไซต์ etsy   ปิดท้ายกันด้วยคลิปวิดีโอความเปลี่ยนของตัวอักษร ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล    ที่มา: kottke, thisiscolossal, worldatlas

  • “Wait for me, Daddy” ภาพสุดสะเทือนใจเด็กที่ต้องแยกจากพ่อ ผู้ไปรับใช้ชาติเมื่อปี 1940

    “Wait for me, Daddy” ภาพสุดสะเทือนใจเด็กที่ต้องแยกจากพ่อ ผู้ไปรับใช้ชาติเมื่อปี 1940

    ในวันที่ 1 มกราคมปี ค.ศ. 1940 ในระหว่างที่กองทหารบริติชโคลัมเบีย กำลังเดินทางผ่านถนนสายที่ 8 ของสี่แยกโคลัมเบีย ในนิวเวสต์มินสเตอร์ ประเทศแคนาดา ก็มีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นพ่อซึ่งกำลังจะเดินอยู่ในขบวนทหารเหล่านั้น     เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ถูกจับภาพไว้อย่างรวดเร็วโดยนักข่าวหนังสือพิมพ์ที่ชื่อว่า Claude P. Dettloff และได้ชื่อว่า “Wait for me, Daddy” ภาพสุดสะเทือนใจของครอบครัวที่ต้องแยกจากกันเพื่อให้ผู้เป็นพ่อได้เข้าร่วมสงครามรับใช้ชาติ ภาพของ Claude ได้รับผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากจากผู้ที่พบเห็น จนถูกนำไปติดในแทบทุกๆ โรงเรียนในรัฐบริติชโคลัมเบีย และทางรัฐบาลนำมาใช้เป็นโฆษณาเชิญชวนคนมาซื้อธนบัตรสงคราม สร้างเงินทุนจากให้ทางกองทัพ   ภาพ Wait for me, Daddy ที่ได้รับการลงสีในภายหลัง   จากข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ เด็กชายที่อยู่ในภาพมีชื่อว่า Warren “Whitey” Bernard โดยในเวลานั้นเขาอายุได้เพียง 5 ขวบและกำลังศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ 1 เด็กหนุ่มตัดสินใจปล่อยมือจาก Bernice Bernard ผู้เป็นมารดา และวิ่งเข้าไปหาบิดาที่มีชื่อว่า Jack Bernard ในขณะที่ผู้เป็นพ่อทำได้เพียงยิ้มรับและยื่นมือไปหาก็เท่านั้น ในเวลานั้น…

  • เปิดตำนานของ “เจงล็อต” เครื่องรางไสยศาสตร์แห่งอินโดนีเซีย ที่มีรูปร่างน่ากลัวราวสัตว์ร้าย

    เปิดตำนานของ “เจงล็อต” เครื่องรางไสยศาสตร์แห่งอินโดนีเซีย ที่มีรูปร่างน่ากลัวราวสัตว์ร้าย

    เคยได้ยินตำนานเจงล็อต (Jenglot) ของประเทศอินโดนีเซียมาก่อนไหม? มันคือตุ๊กตาที่รูปร่างคล้ายคนตัวผอมแห้งขนาดเล็ก แต่กลับมีเล็บและเขี้ยวยาวราวกับสัตว์ป่า และเชื่อกันว่ามีฤทธิ์สามารถทำให้ผู้ครอบครองโชคดีหากดูแลอย่างถูกต้อง เรื่องราวของเจงล็อต ถูกบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1997 และเป็นความเชื่อที่ค่อนข้างใหม่มาก อย่างไรก็ตามชาวอินโดนีเซียจำนวนหนึ่งก็เชื่อว่าจริงๆ แล้วเจงล็อต เกิดขึ้นในปี 1972 หรือไม่ก็ก่อนหน้านั้นเป็นร้อยๆ ปีมากกว่า     จุดกำเนิดของเจงล็อตตามตำนานมีอยู่ราวๆ 3 แบบคือ 1. มันเคยเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งเรียนรู้วิชาเวทมนตร์ดำ เพื่อที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตเป็นอมตะ ดังนั้นเมื่อพวกเขาตายร่างกายจึงถูกผืนดินปฏิเสธ จนไม่เน่าสลายและขนาดตัวหดลงจนเหลือเท่าที่เห็น 2. มันเป็นเครื่องรางที่ชาแมนพบหลังจากพิธีกรรม โดยที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามาจากไหน 3. มันเป็นสัตว์ร้ายในโลกที่พิสูจน์ไม่ได้โดยทางวิทยาศาสตร์และถูกจับมาเลี้ยงโดยผู้มีวิชาในอดีต     ไม่ว่าจะเป็นทางไหนเจงล็อตก็ถูกเชื่อว่าจะนำโชคมาให้แก่คนที่ดูแลมันอย่างถูกต้อง แต่ถ้าหากดูแลพวกมันไม่ดี เจ้าของเจงล็อตก็อาจจะต้องประสบกับเรื่องน่ากลัวจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ หนึ่งในวิธีเลี้ยงเจงล็อตที่ถูกเล่าสืบต่อกันมาคือให้หยดเลือดใส่ปากของมันและเก็บเอาไว้ในกล่องหรือหีบ โดยที่ห้ามแอบดูจนกว่าเจงล็อตจะกินเลือดจนหมด และหากอยากจะทำให้มันสิ้นฤทธิ์ก็ให้ขังมันเอาไว้จนกว่ามันจะแห้งไป     เจงล็อตมักจะมีการจัดแสดงในแถบอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ในฐานะสิ่งลึกลับจากในสมัยโบราณอยู่บ่อยๆ ถึงอย่างนั้นก็ตามคนส่วนมากก็มักจะมองว่าเจงล็อตที่ถูกนำมาโชว์นั้นเป็นของปลอมหรือไม่ก็ “ตายไปแล้ว” อยู่เสมอๆ แถมเมื่อมีการตรวจสอบเจงล็อตในปี 2009 นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าเส้นพบที่เห็นบนเจงล็อตที่ตั้งโชว์ในอินโดนีเซียนั้น จริงๆ แล้วมาจากการนำผมมนุษย์มาติดบนตุ๊กตาเฉยๆ อีกด้วย ทำให้ความน่าเชื่อถือของเจงล็อต (อย่างน้อยก็อันที่ถูกโชว์ที่อินโดนีเซีย)…

  • อังกฤษพบร่าง “นักเดินทางคนแรก” ที่ล่องเรือรอบออสเตรเลียแล้ว หลังค้นหามากว่า 200 ปี

    อังกฤษพบร่าง “นักเดินทางคนแรก” ที่ล่องเรือรอบออสเตรเลียแล้ว หลังค้นหามากว่า 200 ปี

    หากพูดถึงชื่อของ “Matthew Flinders” (1774-1814) คงเป็นชื่อที่คนไทยไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ แต่สำหรับชาวออสเตรเลียและชาวอังกฤษแล้ว ชายคนนี้นับว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งเลย เพราะเขาเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ล่องเรือรอบทวีปออสเตรเลียและระบุว่าที่แห่งนี้จริงๆ แล้วเป็นทวีป     ตลอดเวลา 200 ปีที่ผ่านมาไม่มีใครทราบว่าร่างของ Matthew ถูกฝังเอาไว้ที่ไหน จนกระทั่งเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา นักโบราณคดีก็ขุดพบร่างของนักเดินทางชื่อดังคนนี้เข้าจนได้ อ้างอิงจากการรายงานของสื่อต่างประเทศ โลงศพของ Matthew ถูกพบที่บริเวณด้านหลังของสถานีรถไฟยูสตัน ในประเทศอังกฤษ ซึ่งในอดีตเคยใช้เป็นสุสานขนาดใหญ่มาก่อน อย่างไรก็ตาม จากการที่ทางรัฐบาลวางแผนที่จะดัดแปลงสถานีรถไฟยูสตันเป็นสถานีรถไฟความเร็วสูงภายใต้โปรเจกต์ชื่อ HS2 ทางสถานีจึงได้มีการขุดย้ายศพในสุสานออกไปไว้ยังสถานที่อื่นแทน     และในบรรดาหลุมศพกว่า 45,000 หลุมที่ต้องมีการเคลื่อนย้ายออกไป ทีมงานก็พบกับโลงศพที่มีแผ่นตะกั่วระบุชื่อ “Capt. Matthew” ฝังเอาไว้อยู่ใต้ดิน และเมื่อนำโลงศพที่พบไปตรวจสอบ พวกเขาก็พบว่าร่างที่อยู่ข้างในนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็น Matthew Flinders ผู้ซึ่งเสียชีวิตในปี 1814 จริงๆ     นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่มีความสำคัญในหลายๆ ด้านสำหรับประเทศอังกฤษเลย เพราะไม่เพียงแต่โลงศพที่พบจะมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาก แต่การค้นพบนี้ยังช่วยลบตำนานเมืองเก่าๆ ที่อ้างว่าสถานีรถไฟยูสตันสร้างทับร่างของ Matthew ไปในอดีตอีกด้วย และร่างของ Matthew ที่มาจากศตวรรษที่ 19 เองก็ยังสามารถนำไปตรวจสอบว่าชีวิตกลางทะเลในสมัยก่อนจะส่งผลอย่างไรกับสุขภาพของชาวเรือได้อีกด้วย  …

  • นักวิทย์เตรียมสำรวจเรือของ Ernest Shackleton หลังจมอยู่ที่ทะเลเวดเดลล์มากกว่า 100 ปี

    นักวิทย์เตรียมสำรวจเรือของ Ernest Shackleton หลังจมอยู่ที่ทะเลเวดเดลล์มากกว่า 100 ปี

    ย้อนกลับไปในปี 1915 เรือสำรวจ The Endurance ของนักเดินเรือชื่อดัง Ernest Shackleton ผู้มีชื่อเสียงจากการออกสำรวจทวีปแอนตาร์กติกา ได้ชนเข้ากับก้อนน้ำแข็งจนทำให้ Ernest และลูกเรือจำเป็นต้องสละเรือไป   ภาพของเรือ The Endurance ซึ่งติดในน้ำแข็งเมื่อปี 1915 แบบผ่านการลงสี   จริงอยู่ว่าการสละเรือในครั้งนั้นทำให้ตัว Ernest สามารถรอดจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้ แต่เรือ The Endurance กลับต้องจมลงไปในน้ำที่เย็นยะเยือกของทะเลเวดเดลล์ และไม่มีใครพบเห็นมันอีกเลยตลอดเวลากว่า 100 ปีที่ผ่านมา แต่แล้วเมื่อปี 2017 ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ขั้วโลกก็เกิดการแยกตัวออกจากกัน และไหลเข้าไปสู่ทะเลเวดเดลล์ ดังนั้นทีมนักวิทยาศาสตร์จึงได้โอกาสเดินทางมายังทะเลแห่งนี้ด้วยเรือ Agulhas II เพื่อการตรวจสอบน้ำแข็งก้อนดังกล่าว     และเมื่อล่าสุดนี้เอง หลังจากการตรวจสอบน้ำแข็งที่เป็นหน้าที่หลักจบลง ทีมนักวิทยาศาสตร์บนเรือ Agulhas II ก็ได้เดินทางไปยังจุดที่มีการรายงานว่าเรือของ Ernest จมเพื่อดำเนินการสำรวจเรือที่หายไป ซึ่งเป็นโปรเจกต์รองของพวกเขา โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่าตำแหน่งของเรือโบราณที่พวกเขาตามหาน่าจะเปลี่ยนไปจากในอดีตเล็กน้อยจากกระแสน้ำ และอาจจะยังสภาพค่อนข้างสมบูรณ์แม้เวลาผ่านมานาน อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่แน่ใจว่าเรือที่อยู่ใต้น้ำนั้นจะถูกน้ำแข็งปกคลุมไปแล้วหรือไม่     หากโชคดี นักวิทยาศาสตร์หวังว่าพวกเขาจะสามารถใช้บันทึกของ Ernest และยานพาหนะใต้น้ำแบบไร้คนขับ (AUV) ในการตามหาเรือลำดังกล่าวได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการสำรวจอื่นๆ เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำนั้นไม่เหมาะสมสำหรับการให้มนุษย์ดำลงไปสำรวจด้วยตัวเอง ในปัจจุบันทีมนักวิทยาศาสตร์ยังไม่อาจฟันธงได้ว่าการค้นหาในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่พวกเขาก็บอกว่าอย่างน้อยๆ ภารกิจหลักของพวกเขาก็สำเร็จลงไปด้วยดี โดยที่ไม่ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่เลวร้ายจนต้องยกเลิกโปรเจกต์เหมือนกับในปี…

  • เผยหนังสือของฮิตเลอร์ ที่อาจถูกใช้วางแผนสังหารชาวยิวในอเมริกา หากนาซีชนะสงคราม

    เผยหนังสือของฮิตเลอร์ ที่อาจถูกใช้วางแผนสังหารชาวยิวในอเมริกา หากนาซีชนะสงคราม

    เมื่อวันเสาร์ที่ 26 มกราคมปี ค.ศ. 2019 ห้องสมุดและจดหมายเหตุของแคนาดาได้ออกมาเปิดเผยการมีอยู่ของ หนังสือจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเล่มหนึ่ง ซึ่งเคยถูกครอบครองโดย Adolf Hitler และมันอาจเคยถูกใช้งานในการวางแผนสังหารชาวยิวในอเมริกาเหนือ     นี่เป็นหนังสือรายงานขนาด 137 หน้า ชื่อ “Statistics, Media and Organizations of Jewry in the United States and Canada” เขียนโดยนักภาษาศาสตร์และนักวิจัยชื่อ Heinz Kloss และมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการสร้างสำมะโนประชากรอย่างเป็นระบบของชาวยิวในอเมริกาเหนือ ดูเหมือนว่าหนังสือเล่มนี้จะใช้ข้อมูลที่อ้างอิงมาจากการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาของผู้เขียนในปี 1936-1937 และมีข้อมูลสำคัญๆ ของชาวยิว อย่างอุปกรณ์และวิธีการที่ชาวยิวมักใช้ติดต่อกัน ระบบองค์กร ไปจนถึงจำนวนของชาวยิวที่เคยมีการสำรวจในสหรัฐฯ และแคนาดา Michael Kent ผู้ดูแลเอกสารฉบับนี้ระบุว่า หนังสือที่พบอาจจะกลายเป็นเครื่องมือชื้นสำคัญที่ Hitler จะใช้ในการ “จัดการ” ชาวยิวในอเมริกาเหนือหากเขาชนะสงครามหรือบุกไปถึงสหรัฐฯ ได้สำเร็จ     นั่นเพราะแม้หนังสือที่พบจะดูคล้ายกับหนังสือสถิติธรรมดาก็ตาม แต่มันมีวิธีการเขียนที่เอื้อต่อการใช้งานในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวเป็นอย่างมาก แถมยังมีการให้ข้อมูลชาวยิวในเขตต่างๆ อย่างละเอียด ไม่ใช่เพียงข้อมูลโดยรวมอย่างหนังสือสถิติทั่วไป จากหลักฐานที่มาของหนังสือ เป็นไปได้ว่าหนังสือเล่มนี้ถูกค้นพบในบ้านของ Hitler…

  • สุดงดงาม!! ศิลปินหนุ่ม โชว์สกิล วาดโลโก้แบรนด์ดังออกมาเป็นแบบ 3 มิติด้วยมือเพียวๆ

    สุดงดงาม!! ศิลปินหนุ่ม โชว์สกิล วาดโลโก้แบรนด์ดังออกมาเป็นแบบ 3 มิติด้วยมือเพียวๆ

    ปัจจุบันเรียกได้ว่าเทคโนโลยีของมนุษย์นั้นมีการพัฒนาขึ้นอย่างมากมาย เมื่อเทียบกับในอดีต ณ ตอนนี้การทำอะไรหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไร ต่างก็ถูกสร้างสรรค์ขึ้นบนคอมพิวเตอร์ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่โลโก้แบรนด์ดัง แต่วันนี้เอง James Lewis ศิลปินวัย 22 ปีที่เราจะนำมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน เขากลับเลือกที่จะรักษาความคลาสสิคของการออกแบบโลโก้ต่อไป James เลยโชว์การใช้มือวาดโลโก้แบรนด์ดังต่างๆ ออกมาในรูปแบบ 3 มิติให้เราได้รับชมกันครับ ผลงานของเขาจะเป็นอย่างไร เราต้องไปดูกันเล้ย   Marvel   NASA   Lego   Coca-Cola   WILD   Toy Story   IKEA   OBEY   Star Wars   USA   Supreme   Instagram   Byron   Cardiff   Nike   Levi…

  • 17 ภาพสุดสะเทือนใจ ของนักโทษอะบอริจิน ที่ถูกล่ามโซ่บังคับทำงานในช่วงปี 1890-1930

    17 ภาพสุดสะเทือนใจ ของนักโทษอะบอริจิน ที่ถูกล่ามโซ่บังคับทำงานในช่วงปี 1890-1930

    หลังจากที่ชาวยุโรปเข้ามาตั้งถิ่นฐานในออสเตรเลียเมื่อช่วงปลายศตวรรษที่ 18 พวกเขาก็ได้พบกับคนในท้องถิ่นอย่างชาวอะบอริจินซึ่งมีชีวิตอยู่ที่นั่นมาอย่างยาวนาน และแน่นอนว่าเหมือนกับพื้นที่อื่นๆ ที่ชาวยุโรปเดินทางไป พวกเขามองว่าชาวอะบอริจินในพื้นที่นั้นมีวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากตัวเอง โบราณ และด้อยกว่าชาวยุโรปในหลายๆ ด้าน ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มที่จะ “คาดหวัง” และ “สั่งสอน” ให้ชาวอะบอริจินใช้ชีวิตเหมือนคนตะวันตก ในขณะที่ผู้ต่อต้านหรือทำความผิด ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน ก็จะถูกล่ามโซ่ส่งไปใช้แรงงาน นั่นทำให้ในช่วงปี 1890-1930 ภาพของนักโทษชาวอะบอริจินจึงได้กลายเป็นภาพที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในออสเตรเลีย และหลงหรือมาจนถึงปัจจุบันเป็นจำนวนมากดังเช่นที่จะเห็นได้ข้างล่างนี้   ภาพของชาวอะบอริจิน ที่ยืนเรียงหน้ากระดานโดยมีโซ่ล่ามที่คอ และมีผู้คุมที่ถือปืนยาวเฝ้า   ภาพชาวอะบอริจินทั้งชายและหญิงที่ถูก “จับกุม” ในช่วงปลายยุค 1890   เหล่าผู้คุมพร้อมปืนยาวถ่ายภาพคู่กับ “นักโทษอะบอริจิน” ที่จับมาได้   นักโทษอะบอริจินคู่หนึ่งขณะทำงานเกี่ยวกับรางรถไฟในปี 1897   ดูเหมือนว่างานเกี่ยวกับรางรถไฟจะเป็นงานที่ชาวอะบอริจินจะโดนจับไปทำมากที่สุด   นักโทษอะบอริจินบางส่วนที่โดนจับไปทำงานบนเรือ .   จากรายงานของสื่อต่างประเทศ ตำรวจจะได้รับเงินต่อนักโทษอะบอริจินที่จับได้เป็นรายหัว ส่วนนักโทษจะถูกจับไปทำงานต่อไป   ชาวอะบอริจินที่ยืนพิงต้นไม้ขณะโดนล่ามโซ่และมีเศษชุดมากมายกองอยู่ที่พื้น   โซ่ของนักโทษอะบอริจินบางครั้งก็ถูกล่ามไว้กับผู้คุมเพื่อไม่ให้พวกเขาหนีได้   กลุ่มชาวอะบอริจินที่เดินแถวตามรถรางเพื่อรอการใช้แรงงาน   ชาวยุโรปสองรายที่กำลังจูงชาวอะบอริจินคนหนึ่งอยู่…

  • 4 สิ่งประดิษฐ์สุดเจ๋งจากในอดีต ที่ล้ำสมัยจากช่วงเวลาที่สร้างมาก จนสงสัยว่าคิดกันมาได้ยังไง

    4 สิ่งประดิษฐ์สุดเจ๋งจากในอดีต ที่ล้ำสมัยจากช่วงเวลาที่สร้างมาก จนสงสัยว่าคิดกันมาได้ยังไง

    เทคโนโลยีตามปกติแล้วจะเป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ตามยุคตามสมัย ดังนั้นเรื่องที่ว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันย่อมมีความสามารถมากกว่าในสมัยก่อนจึงกลายเป็นเหมือนสามัญสำนึกที่ไม่ว่าใครๆ ก็ทราบกันดี แต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของโลกใบนี้ก็มีอยู่เหมือนกันที่เทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์จากในอดีตจะมีความล้ำสมัยผิดกับช่วงเวลาที่สร้างขึ้นมาเช่นกัน จนบางครั้งคนในปัจจุบันก็ถึงกับต้องงงเลยว่าคนในสมัยก่อนคิดของแบบนี้ออกมาได้อย่างไร เหมือนกันสิ่งประดิษฐ์สุดล้ำจากในอดีต 4 ชิ้นต่อไปนี้   1. เครื่องจักรไอน้ำ Aeolipile นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดขึ้นจากฝีมือของ Heron Alexandrinus (เรียกได้อีกแบบว่า Hero of Alexandria) นักคณิตศาสตร์และวิศวกรแห่งกรีกในช่วงศตวรรษที่ 1 โดยมันเป็นเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนด้วยไอน้ำ และถูกตั้งชื่อตามเทพแห่งสายลม “Aiolos” แถมเมื่อนักวิทยาศาสตร์ลองสร้างแบบจำลองของเครื่องมือชิ้นนี้ขึ้นมา พวกเขาก็พบว่ามันสามารถหมุนได้เร็วสุดๆ ถึง 1,500 รอยตัววินาทีเลยทีเดียว เรียกได้ว่าสามารถนำไปประยุกต์ต่อยอดเป็นอะไรได้หลายอย่างเลยนั่นเอง   2. เลนส์ Nimrud นี่คือคริสตัลใสอายุราวๆ 3,000 ปี ของชาวแอสซีเรีย อาณาจักรในสมัยเมโสโปเตเมีย ที่ถูกค้นพบในปี 1850 ที่อิรัก และมีความสามารถในการใช้เป็นแว่นขยายขนาด x3 ได้ ตั้งแต่ที่มีการค้นพบเจ้าเลนส์ชิ้นนี้มา เหล่านักโบราณคดีจำนวนมากก็ถกเถียงกันมาโดยตลอดว่าจริงๆ แล้วเจ้าเลนส์ที่เห็นนี้จริงๆ แล้วมีการใช้งานอย่างไรกันแน่ ตั้งแต่ใช้เป็นแว่นขยายแบบตรงๆ ตัว ใช้รวมแสงเพื่อจุดไฟ ไปจนถึงใช้เป็นกล้องดูดาว แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหนการที่เลนส์แหวนขยายถูกสร้างขึ้นมาในสมัยที่เก่าแก่ขนาดนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ เลยอยู่ดี  …

  • นักวิทย์บอก “การชนครั้งใหญ่” ในอดีต อาจช่วยให้โลกมีสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่แค่ทำให้เกิดดวงจันทร์

    นักวิทย์บอก “การชนครั้งใหญ่” ในอดีต อาจช่วยให้โลกมีสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่แค่ทำให้เกิดดวงจันทร์

    เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเรื่อง “ทฤษฎีการชนครั้งใหญ่” กันมาบ้าง โดยนี่เป็นทฤษฎีที่ว่าในอดีตเมื่อหลายพันล้านปีก่อน โลกของเราเคยชนกับดาวอีกดวงที่มีขนาดใกล้เคียงกับดาวอังคารและทำให้เกิดดวงจันทร์ขึ้น (บางคนก็เรียกดาวนี้ว่า “Theia” )     แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าเมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่ทฤษฎีการชนครั้งใหญ่จะไม่ได้ให้กำเนิดเพียงดวงจันทร์เท่านั้น แต่ยังเป็นที่มาของสิ่งมีชีวิตบนโลกด้วย คงต้องบอกไว้ก่อนว่าสิ่งมีชีวิตแทบทุกชนิดบนโลกนั้นมีส่วนประกอบสำคัญคือ คาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ออกซิเจน ฟอสฟอรัส และกำมะถัน ซึ่งหากขนาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป การที่สิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้นได้อย่างปัจจุบันก็จะเป็นเรื่องที่เป็นไปแทบจะไม่ได้เลย ปัญหาคือจากงานวิจัยของทางมหาวิทยาลัยไรซ์ ในรัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา พวกเขากลับพบว่ามีความเป็นไปได้ ที่โลกในสมัยก่อนจะมีคาร์บอน กำมะถัน และไนโตรเจนในปริมาณที่ต่ำมาก จนถึงไม่มีเลย โดยอ้างอิงจากการที่สารดังกล่าวไม่มีอยู่ในแกนโลก     ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าในระหว่างที่การเวลาผ่านไปโลกจะต้องได้รับคาร์บอน กำมะถัน และไนโตรเจนมาจากที่ไหนสักแห่งหนึ่ง อย่างอุกกาบาตจากนอกโลก หรือไม่ก็ชนครั้งใหญ่ในกรณีที่ในอดีตมันเคยเกิดขึ้นจริงๆ โดยในงานวิจัยของพวกเขาทีมวิจัยได้อ้างถึงความเป็นไปได้ที่ว่าดาวเคราะห์ที่มาชนกับโลกนั้นน่าจะมีองค์ประกอบหลักของแกนดาวเป็นโลหะที่มีกำมะถันในปริมาณที่สูง ดังนั้นในตอนที่มันชนกับโลกและสร้างดวงจันทร์มันจึงทิ้งสารประกอบสำคัญสำหรับสิ่งมีชีวิต เอาไว้บนโลกไปด้วยนั่นเอง       อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับทฤษฎีการชนครั้งใหญ่ที่ถูกอ้างถึงในการทดลอง ทฤษฎีชิ้นนี้เองก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีการพิสูจน์และหาหลักฐานกันในหมู่นักดาราศาสตร์ต่อไป   ที่มา foxnews, sciencedaily และ zmescience

  • ชมภาพ ชุดชั้นในสตรีจากศตวรรษที่ 15 ที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมาในโลก

    ชมภาพ ชุดชั้นในสตรีจากศตวรรษที่ 15 ที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมาในโลก

    ในอดีตเราเคยเชื่อกันว่า ชุดชั้นในสตรีแบบในปัจจุบันนั้น เพิ่งจะมีการคิดค้นขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 20 เท่านั้น เนื่องจาก Mary Phelps Jacob ชาวนิวยอร์กได้มีการคิดค้นยกทรงขึ้นมาในปี 1914 อย่างไรก็ตามความคิดในลักษณะนี้ก็ต้องถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงในปี 2012 เมื่อนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยอินส์บรุคในออสเตรียชื่อ Beatrix Nutz ได้ทำการค้นพบชุดชั้นในสตรีเก่าแก่ ที่มีหน้าตาคล้ายกับในปัจจุบันมากในปราสาทเลมแบร์ก ที่เยอรมนี     ปราสาทเลมแบร์กถูกสร้างขึ้นในปี 1190 และมีการต่อเติมเพิ่มในปี 1480 และ 1507 ตามลำดับ ดังนั้นจากจุดที่มีการพบชุดชั้นในแล้ว นักโบราณคดีจึงคิดว่าชุดที่พบน่าจะเคยถูกใช้งานในช่วงศตวรรษที่ 15 มาก่อน     สภาพของชุดชั้นในที่ Beatrix พบอยู่ในสภาพที่เสียหายจนไม่น่าจะใช้งานได้ตามปกติอีกต่อไปแล้ว ถึงอย่างนั้นด้วยความที่ถูกเก็บมาในที่แห้งโดยตลอดชุดชั้นในชุดนี้จึงยังอยู่มีสภาพเป็นรูปเป็นร่างได้ แม้ผ่านเวลามาหลายร้อยปี     นี่นับเป็นการค้นพบที่น่าสนมากชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะมันอาจจะกลายเป็นหลักฐานอย่างดีว่าชุดชั้นในที่เราใช้กันในปัจจุบัน จริงๆ แล้วอาจจะมีการใช้งานมานานกว่าที่เราคิดก็เป็นได้ ซึ่งหากจะว่ากันตามตรงแล้ว เรื่องแบบนี้ก็ใช้ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เลย เพราะในอดีตเองผู้หญิงโรมันโบราณก็มีการใช้ผ้ามาพันหน้าอกราวสปอร์ตบราในการแข่งขันกีฬา มาตั้งแต่เมื่อศตวรรษที่ 4 แล้วเช่นกัน     ที่มา thevintagenews, vintag และ smithsonianmag

  • ชมภาพจากโปรเจกต์ “The Grand Tour” ที่นำภาพในช่วงปี 1870-1930 กลับมาบูรณะซ่อมแซม

    ชมภาพจากโปรเจกต์ “The Grand Tour” ที่นำภาพในช่วงปี 1870-1930 กลับมาบูรณะซ่อมแซม

    บนโลกของเรานั้นมีภาพถ่ายเก่าๆ แต่น่าสนใจจำนวนมากที่ไม่มีโอกาสได้ออกสู่สายตาของชาวโลก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ว่ารูปเหล่านั้นไม่ได้มีการสแกนลงสู่อินเทอร์เน็ต หรือตัวภาพเองไม่ได้อยู่ในสภาพดีพอที่จะพิมพ์ออกมาเป็นภาพได้ ด้วยเหตุนี้เอง Diana Metzinger หญิงสาวผู้หลงใหลในภาพวินเทจจึงได้ตัดสินใจที่จะนำภาพสุดงดงามที่คนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้เห็นกลับมาซ่อมแซมและบูรณะ โดยที่เธอนั้นได้มีการเปิดการระดมทุนใน Kickstarter ซึ่งกำลังจะปิดตัวลงในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้     นี่เป็นโปรเจกต์ที่มีชื่อว่า “The Grand Tour” ซึ่งมีเป้าหมายในการนำภาพการท่องเที่ยวในช่วง ค.ศ. 1870-1930 จำนวน 200 ภาพ กลับมาเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังได้ชมกันอีกครั้ง และในวันนี้เอง #เหมียวศรัทธา ก็ได้นำส่วนหนึ่งของผลงานสุดงดงามที่ได้ผ่านการบูรณะมาแล้วมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันแล้ว ที่นี่   เริ่มกันจากบทเรียนการเต้นรำ “The Mazurka” ที่ประเทศโปแลนด์ในช่วงปลายยุค 1800   กลุ่มคนที่กำลังข้ามภูเขา Rainier ในวอชิงตันในช่วงปี 1911-1920   วิหารแห่ง El-Kurneh ในธีบส์ ประเทศอียิปต์ 1857   เมือง Helsinki จากฟินแลนด์ ในช่วงยุค 1900   วิวงามๆ ของนิวซีแลนด์ในช่วงปี 1890-1910   ภาพวิวของเมืองท่า San Remo ในอิตาลีจากเมื่อปี…

  • นักวิทย์โต้ความเชื่อ “รูด็อล์ฟ เฮ็ส” ถูกสลับตัวจากคุกโดยไม่ได้รับโทษ ด้วยการตรวจ DNA

    นักวิทย์โต้ความเชื่อ “รูด็อล์ฟ เฮ็ส” ถูกสลับตัวจากคุกโดยไม่ได้รับโทษ ด้วยการตรวจ DNA

    จากวันที่ “รูด็อล์ฟ เฮ็ส” คณะรัฐมนตรีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์และผู้ทรงอำนาจสูงสุดอันดับสามของนาซีเยอรมันโดนจับเข้าคุกตลอดชีวิตในปี 1947 ตลอดเวลากว่า 70 ปีที่ผ่านมาโลกของเราก็มีกลุ่มคนมากมายที่เชื่อว่าชายคนนี้ถูกสลับตัวออกไปจากในคุก และรูด็อล์ฟนั้นจริงๆ แล้วไม่ได้รับโทษแต่อย่างใด     เรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นทฤษฎีสมคบคิดที่มีคนเห็นด้วยเป็นจำนวนมาก จนในที่สุดนักวิทยาศาสตร์จึงได้ตัดสินใจที่จะแก้ไขแนวคิดเหล่านี้ ด้วยการพิสูจน์ DNA เสียเลย คงต้องบอกว่าเป็นความโชคดีของทีมแพทย์ของโปรเจกต์นี้เลยก็ว่าได้ที่ในปี 1982 นายแพทย์นาม Rick Wahl ได้เก็บตัวอย่างโลหิตของ “Spandau 7” (ซึ่งเป็นหมายเลขของรูด็อล์ฟ เฮ็ส) เอาไว้ ที่ศูนย์การแพทย์ Walter Reed เพื่อเป็นเครื่องมือในการสอนนักเรียน     จริงอยู่ว่าในมือของศูนย์การแพทย์ Walter Reed แผ่นตัวอย่างโลหิตนี้จะไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก แต่เมื่อแพทย์ทหาร Sherman McCall ได้แผ่นตัวอย่างนี้ไปเขาก็ได้ติดต่อไปยังญาติๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ของรูด็อล์ฟ เฮ็ส และเตรียมการเปรียบเทียบ DNA ที่พบทันที แน่นอนว่าผลที่ออกมานั้นคือโลหิตของ Spandau 7 และญาติๆ ของรูด็อล์ฟ เฮ็สมีความใกล้เคียงทางชีวะภาพสูงมากๆ จนเป็นหลักฐานอย่างดีว่า Spandau 7 น่าจะเป็นตัวรูด็อล์ฟ เฮ็สเองจริงๆ หรืออย่างน้อยๆ…

  • ย้อนร้อยภาพดัง ทหารเยอรมันถูกบังคับให้ชมภาพจากค่ายกักกัน เมื่อปี 1945

    ย้อนร้อยภาพดัง ทหารเยอรมันถูกบังคับให้ชมภาพจากค่ายกักกัน เมื่อปี 1945

    ในช่วงเวลาที่สงครามโลกครั้งที่สองจบลงใหม่ๆ ฝั่งสัมพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐอเมริกา จำเป็นที่จะต้องหาวิธีขุดรากถอนโคนแนวคิดของพรรคนาซีที่ฝั่งลึกอยู่ในเยอรมนีออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต ด้วยเหตุนี้เองทางสหรัฐฯ จึงได้พาเหล่านักโทษสงครามชาวเยอรมันที่พวกเขาจับได้ มาชมภาพความโหดร้ายของค่ายกักกันนาซี และเกิดเป็นภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงที่สุดภาพหนึ่งของประวัติศาสตร์ไป     ภาพถ่ายที่เห็นนี้มีคำบรรยายต้นฉบับว่า “นักโทษสงครามชาวเยอรมัน ถูกกักตัวในค่ายอเมริกัน และดูภาพยนตร์เกี่ยวกับค่ายกักกันเยอรมันเอง” โดยนี่เป็นภาพของเหล่านักโทษสงครามเยอรมันจำนวนมาก ที่ส่วนมากเป็นทหารกำลังทำสีหน้าที่หลากหลายแต่ไร้ซึ่งรอยยิ้ม ในระหว่างที่กำลังชมภาพยนตร์สารคดีของค่ายกักกันนาซีที่ทางสหรัฐฯ รวบรวมมาจากสื่อต่างๆ ทั่วโลก ไม่มีใครสามารถฟันธงได้ว่าทหารที่ดูกำลังดูภาพยนตร์เหล่านี้มีแนวคิดอย่างไรต่อค่ายกักกัน แต่จากการวิจัยของนักประวัติศาสตร์ พวกเขาก็พบว่าชาวเยอรมันในสมัยนั้นส่วนมากแม้ว่าจะรู้ว่ามีการสังหารชาวยิวในประเทศจริงๆ แต่กลับมักจะไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นมากนัก   เหล่าผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกันในปี 1945   จริงอยู่ที่ว่ามีชาวเยอรมันส่วนหนึ่งที่ไม่พอใจในการกระทำของรัฐบาลและกลายเป็นกลุ่มต่อต้าน (อย่างกลุ่ม “Weiße Rose” ที่ประกอบด้วยนักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัย) แต่ประชาชนส่วนมากของเยอรมนีมักที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากกว่า ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าความพยายามรากถอนโคนแนวคิดของพรรคนาซีที่สหรัฐฯ ทำอยู่นี้ได้ผลจริงมากน้อยเพียงใด แต่หลายๆ ฝ่ายก็เชื่อมั่นมากว่าการที่นักโทษได้เห็นความโหดร้ายของค่ายกักกันด้วยตาตัวเองน่าจะทำให้พวกเขาเปลี่ยนความคิดได้ไม่มากก็น้อย และหากเราสังเกตสีหน้าของเหล่านักโทษดีๆ แล้ว ไม่แน่เหมือนกันว่าการฉายภาพยนตร์สารคดีในครั้งนี้ อาจจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีเลยก็เป็นได้     ที่มา rarehistoricalphotos และ theguardian

  • เกาะนีเฮา “เกาะต้องห้ามแห่งฮาวาย” ที่ยังวัฒนธรรมโบราณไว้ แม้ผ่านกาลเวลากว่า 150 ปี

    เกาะนีเฮา “เกาะต้องห้ามแห่งฮาวาย” ที่ยังวัฒนธรรมโบราณไว้ แม้ผ่านกาลเวลากว่า 150 ปี

    ในหมู่เกาะฮาวาย ห่างออกไปจากเกาะคาไวราวๆ 27-28 กิโลเมตร ยังมีเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง ที่กลายเป็นเขตหวงห้ามมาอย่างยาวนานกว่า 150 ปี จนได้รับชื่อว่า “เกาะต้องห้ามแห่งฮาวาย” เกาะปิดซึ่งน้อยคนนักจะรู้จัก ที่เก็บเอาวัฒนธรรมโบราณของฮาวายเอาไว้อย่างยาวนาน     นี่คือเกาะที่มีชื่อว่า “นีเฮา” สถานที่ซึ่ง เอลิซาเบท ซินแคลร์ แม่ม่ายชาวสกอตแลนด์ทำสัญญาซื้อขายมาจากพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 (สัญญานี้ถูกลงนามอย่างเป็นทางการโดยพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 5 ในปี 1864) โดยให้เหตุผลว่าจะใช้งานเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ เดิมทีแล้วพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 ได้คิดจะมอบดินแดนที่ดีกว่านี้อย่างโฮโนลูลูและไวกิกิแก่ซินแคลร์อย่างไรก็ตามหญิงสาวได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้ไปเพราะเห็นว่าเกาะนีเฮาน่าจะเหมาะสมกับครอบครัวของเธอมากกว่า   พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 (ครองราชย์ 1855-1863)   ดังนั้นพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 จึงมอบเกาะแห่งนี้ให้กับซินแคลร์ภายใต้คำสัญญาที่ว่า หากวันหนึ่งฮาวายไม่ได้แข็งแกร่งอย่างในเวลานั้น เขาอยากจะให้ซินแคลร์ค่อยช่วยเหลือคนบนเกาะด้วย แน่นอนว่าซินแคลร์และตระกูลของเธอจดจำคำขอร้องของพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 เอาไว้เป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเธอจึงปฏิเสธที่จะมอบเกาะนี้ให้ชาวตะวันตกอย่างเด็ดขาดในช่วงเวลาที่หมู่เกาะฮาวายโดนล่าอาณานิคม และก็เป็นในช่วงเวลานี้เองที่ซินแคลร์ตัดสินใจปิดเกาะตัดขาดจากโลกนอกอย่างจริงจัง และไม่ให้ใครเลยเข้าไปยังเกาะ แม้กระทั่งชาวเกาะคาไวที่อยู่ใกล้ๆ ก็ตาม   ภาพคนบนเกาะที่ถ่ายเก็บไว้โดยฟรานซิส ซินแคล บุตรชายของเอลิซาเบท ซินแคลร์   จากคำบอกเล่าของตระกูลโรบินสันที่เป็นลูกหลานของซินแคลร์ ดูเหมือนว่าเหตุผลที่พวกเขาปิดเกาะจะมาจากความพยายามป้องกันโรคภัยจากโลกภายนอกอย่างหัดหรือโปลิโอ…

  • อิสราเอลพบ หัวม้าดินเหนียวสองชิ้น อายุกว่า 2,000 ปีโดยบังเอิญ หลังฝนตกหนักในประเทศ

    อิสราเอลพบ หัวม้าดินเหนียวสองชิ้น อายุกว่า 2,000 ปีโดยบังเอิญ หลังฝนตกหนักในประเทศ

    เมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศ ได้ประกาศการค้นพบส่วนหัวของตุ๊กตาม้าโบราณที่ทำจากดินเหนียวสองชิ้นในประเทศอิสราเอล หลังเกิดเหตุการณ์ฝนตกหนักในประเทศ     นี่เป็นส่วนหัวของตุ๊กตาที่คาดกันว่ามาจากยุคที่ต่างกันสองชิ้น ซึ่งถูกค้นพบในเวลาใกล้เคียงกันเนื่องจากน้ำฝนชะหน้าดินออกไป หลังจากที่ประเทศอิสราเอลต้องประสบภัยแล้งมาเกือบๆ หนึ่งปี โดยหัวม้าชิ้นแรกถูกค้นพบที่แหล่งโบราณคดี Kfar Ruppin ในหุบเขา Beit Shean มีอายุอยู่ที่ราวๆ 2,800 ปี และเชื่อกันว่าถูกทำขึ้นในอาณาจักรอิสราเอลในช่วงยุคเหล็ก     ส่วนหัวม้าชิ้นที่สองถูกค้นพบในพื้นที่แหล่งโบราณคดี Tel Akko ใกล้ๆ กับเมือง Acre เชื่อกันว่าถูกทำขึ้นในสมัยเฮลเลนิสต์ เมื่อราวๆ 2,200 ปีก่อน โดยในช่วงเวลานี้อิสราเอลกำลังเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรที่อเล็กซานเดอร์มหาราชปกครอง     จริงอยู่ว่าหัวม้าทั้งสองจะไม่มีส่วนลำตัวอยู่แล้ว แต่นักโบราณคดีก็เชื่อว่าตัวม้าทั้งสองน่าจะเป็นตุ๊กตาที่มีคนขี่อยู่อีกที โดยอ้างอิงจากร่องรอยบังเหียนบนหัวม้าจากสมัยเฮลเลนิสต์ และร่องรอยที่คาดกับมือบนหัวม้าจากช่วงยุคเหล็ก หากดูจากยุคสมัยที่มีการค้นพบแล้ว นักโบราณคดีก็ค่อนข้างมั่นใจว่าคนที่ขี่ม้าทั้งสองอยู่จะเป็นผู้ชาย ซึ่งกำลังออกล่าสัตว์หรือไม่ก็ทำสงคราม และน่าจะตุ๊กตาที่จำลองมาจากชนชั้นสูงหรือคนที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น     ในปัจจุบันโบราณวัตถุทั้งสองได้ถูกส่งไปยังมหาวิทยาลัยไฮฟา เพื่อตรวจสอบหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่พบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามจากสภาพของโบราณวัตถุที่ค่อนข้างเสียหาย นักโบราณคดีก็คาดว่าการหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตุ๊กตาที่พบ อาจจะเป็นไปได้อย่างยากลำบากเป็นแน่   ที่มา ancient-origins

  • งานวิจัยพบ “มนุษย์นีเอนเดอร์ธัล” อาจขว้างหอกได้มีประสิทธิภาพกว่าที่เราคิด

    งานวิจัยพบ “มนุษย์นีเอนเดอร์ธัล” อาจขว้างหอกได้มีประสิทธิภาพกว่าที่เราคิด

    ในอดีตมนุษย์สายพันธุ์ “นีเอนเดอร์ธัล” เคยถูกมองว่ามีระดับภูมิปัญญาที่ต่ำกว่าบรรพบุรุษมนุษย์ในสมัยเดียวกัน แถมยังมีความก้าวร้าวสูงอย่างไม่น่าเชื่อ     แต่ในช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากก็ได้ออกมาเผยแพร่งานวิจัยที่ว่า มนุษย์นีเอนเดอร์ธัลนั้นจริงๆ แล้วมีความสามารถมากกว่าที่เราคิดไว้มาก (แถมคนในปัจจุบันยังมี DNA ของมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลด้วย) ทำให้ช่วงปีที่ผ่านมามุมมองต่อมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากที่เราเคยเชื่อกันมาก่อนอย่างช่วยไม่ได้ แถมเมื่อล่าสุดนี้เองทางสถาบันโบราณคดีของมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอนก็ได้ออกมาเปิดเผยงานวิจัยใหม่ที่จะทำให้ความสามารถของมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลน่าทึ่งมากยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีก นั่นเพราะพวกเขานั้นสามารถทำหอกที่มีประสิทธิภาพอย่างไม่น่าเชื่อเลย     นี่เป็นผลการวิจัยที่ได้มาจากการตรวจสอบหอก “Schöningen” อาวุธเก่าแก่อายุ 300,000 ปีของมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลที่เคยมีการค้นพบที่เยอรมนีเมื่อช่วงปี 1994-1999 อีกครั้ง หอก Schöningen เดิมทีแล้วถูกเชื่อกันว่าใช้ในการแทงในระยะใกล้เป็นหลักในสมัยก่อน เนื่องจากมีน้ำหนักค่อนข้างสูง ทำให้ไม่เหมาะสมกับการนำไปขว้างมากนัก     อย่างไรก็ตามจากการวิจัยล่าสุด เมื่อทางนักวิทยาศาสตร์ของนำรูปร่างของหอก Schöningen ไปผลิตหอกจำลองจำนวน 6 อัน พวกเขาก็พบว่ารูปทรงของหอก Schöningen เหมาะสมกับการใช้ขว้างกว่าที่คิด เมื่อลองให้นักกีฬาขว้างหอกเหล่านี้ดู นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าหอกเหล่านี้สามารถพุ่งได้ไกลถึง 20 เมตร โดยที่ยังคงมีแรงทะลวงมากพอที่จะแทงทะลุหนังสัตว์และสังหารพวกมันได้ง่ายๆ เลย     จริงอยู่ว่าเราไม่สามารถบอกได้ว่ามนุษย์นีเอนเดอร์ธัลจะมีความสามารถในการขว้างเหมือนกับนักกีฬาที่พวกเขาใช้ในการทดลองหรือไม่ แต่อย่างน้อยๆ ชาวนีเอนเดอร์ธัลก็สามารถทำหอกที่มีประสิทธิภาพขนาดนี้ได้จริงๆ และหากมองในแง่ที่ว่าชาวนีเอนเดอร์ธัลใช้ชีวิตและเติบโตขึ้นมาอยู่กับการล่าสัตว์เป็นหลักแล้ว ไม่แน่เหมือนกันว่าชาวนีเอนเดอร์ธัลจะสามารถใช้หอกเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ามนุษย์ทั่วไปในยุคเดียวกัน (และในปัจจุบัน) เสียอีกก็เป็นได้  …

  • “จุมพิตแห่งชีวิต” ภาพที่บอกเล่าการช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน จนได้รางวัลยอดเยี่ยมในปี 1967

    “จุมพิตแห่งชีวิต” ภาพที่บอกเล่าการช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน จนได้รางวัลยอดเยี่ยมในปี 1967

    เมื่อเดือนกรกฎาคมปี ค.ศ. 1967 ช่างภาพชื่อ Rocco Morabito ได้ขับรถผ่าน ช่างซ่อมเสาไฟฟ้าสองคน ในระหว่างไปทำงาน และได้ถ่ายภาพที่ในเวลาต่อมาจะกลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดในปีนั้นไป     นี่ไม่ใช่ภาพของคู่รักร่วมเพศที่กำลังจูบกันอยู่บนเสาไฟฟ้าอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ แต่เป็นความพยายามในการช่วยชีวิตเพื่อนร่วมงานของช่างไฟฟ้าชื่อ J.D. Thompson (คนทางขวา) หลังจากที่นาย Randall G. Champion (คนทางซ้าย) เกิดอุบัติเหตุถูกกระแสไฟฟ้าช็อกจนหมดสติ Rocco ผู้เป็นช่างภาพบอกว่าในตอนแรกเขาก็ไม่ได้สนใจช่างไฟทั้งสอง แต่หลังจากทำงานเสร็จเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง และเห็นนาย Randall ห้อยลงมาในสภาพหมดสติดังนั้นเขาจึงได้ทำการเรียกรถพยาบาลและวิ่งไปยังที่เกิดเหตุ   Rocco Morabito กับภาพที่ทำให้เขามีชื่อเสียง   แต่ก่อนที่จะไปถึงตัวช่างไฟ เพื่อนร่วมงานของเขาก็ขึ้นไปผายปอด Randall เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นในขณะที่เขาไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อไป Rocco จึงถ่ายภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที แถมยังออกมาเป็นจังหวะที่ดีมากๆ ด้วย นับว่าโชคดีมาก Thompson ได้สติขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นาน และสามารถมีชีวิตต่อไปอีกหลายสิบปี (Thompson เสียชีวิตไปในปี 2002 ด้วยวัย 64 ปี)   Rocco Morabito และ J.D. Thompson ในตอนที่ไปเยี่ยม Randall G.…

  • นักวิทย์พบ กลุ่มคนยุคหินใหม่สุดแปลก จับปลาทานเป็นหลักไม่เลิก แม้รู้จักการเลี้ยงสัตว์แล้ว

    นักวิทย์พบ กลุ่มคนยุคหินใหม่สุดแปลก จับปลาทานเป็นหลักไม่เลิก แม้รู้จักการเลี้ยงสัตว์แล้ว

    เดิมทีแล้วเมื่อนึกถึงอาหารของมนุษย์สมัยก่อน คนเราก็คงจะนึกถึงเนื้อสัตว์บกเป็นอย่างแรกๆ ตามภาพที่สื่อต่างๆ มักจะแสดงออกมาให้เราเห็น แต่แล้วเมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยบริสตอล ในประเทศอังกฤษ ได้ออกมารายงานผลการวิจัยชิ้นใหม่ ที่มีการอธิบายการทานอาหารที่ผิดยุคผิดสมัยของ บรรพบุรุษมนุษย์กลุ่มหนึ่งเอาไว้     นั่นเพราะ จากผลการวิจัยสารตกค้างในเครื่องปั้นดินเผาร่วม 200 ชิ้น ที่มีการพบใกล้ๆ แม่น้ำ Danube ในยุโรปแล้ว ดูเหมือนว่าในช่วงยุคหินใหม่ (ช่วงเวลาประมาณ 10,200-2,000 ปีก่อนคริสตกาล) บรรพบุรุษของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ที่นี่กลับทานปลากันเป็นหลัก ไม่ใช่เนื้อสัตว์บกอย่างที่เราเคยเข้าใจ เพราะจากการตรวจสอบเครื่องปั้นดินเผาด้วยเทคนิคโครมาโทกราฟี-แมสส์สเปกโทรเมตรี (Chromatography-mass spectrometry) ซึ่งจะสามารถบอกได้ว่ากรดไขมันในวัตถุโบราณมีที่มาจากสัตว์ชนิดไหน นักวิจัยก็พบว่าเกือบทั้งหมดของเครื่องปั้นดินเผาที่พวกเขาตรวจสอบล้วนแต่มีไว้ใส่สัตว์น้ำจำพวกปลาทั้งนั้น     นี่นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะตามปกติแล้วยุคหินใหม่จะเป็นช่วงเวลาที่มีการพบร่องรอยการทำการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ของมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงเริ่มที่จะเปลี่ยนอาหารการกินเป็นพืช เนื้อ หรือผลผลิตจากสัตว์บกที่มีการเลี้ยงไว้ (และหาได้ง่ายกว่า) แทนที่จะเป็นล่าสัตว์หรือจับปลาอย่างในสมัยยุคหินกลาง แถมเมื่อเทียบกับหมู่บ้านอื่นๆ ร่วม 1,000 แห่งที่ปรากฏขึ้นในยุคเดียวกันแล้ว คนที่อื่นก็มักจะเปลี่ยนประเภทอาหารการกินไปหมดแล้ว ทั้งที่ในบรรดาหมู่บ้านเหล่านั้นก็มีหลายแห่งเลยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีแม่น้ำสายใหญ่ ทะเล หรือแหล่งจับปลาชั้นดีอื่นๆ     การค้นพบในครั้งนี้ทำให้พวกเราทราบว่าคนโบราณที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ ทานปลาเป็นหลักหลังจากที่เรียนรู้วิธีทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ซึ่งมีผลผลิตที่แน่นอนมากกว่าการจับปลาในแม่น้ำ ไปเป็นเวลานานมาก แม้นักโบราณคดีจะยังไม่มั่นใจว่าทำไมคนในพื้นที่นี้จึงได้ทานปลาเป็นหลักไม่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ แต่พวกเขาก็คาดเดาว่านี้อาจจะเป็น วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณของคนท้องถิ่นก็เป็นได้…

  • งานวิจัยใหม่บอก ตลอดช่วงเวลา 1 ล้านปีที่ผ่านมา มนุษย์มีการวิวัฒนาการช้ากว่าลิงเสียอีก

    งานวิจัยใหม่บอก ตลอดช่วงเวลา 1 ล้านปีที่ผ่านมา มนุษย์มีการวิวัฒนาการช้ากว่าลิงเสียอีก

    ในปัจจุบันมนุษย์อยู่ในจุดที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกสายพันธุ์หนึ่งเลยก็ว่าได้  พวกเราสามารถสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แถมยังแพร่พันธุ์ไปแทบจะทั่วโลกอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกัน ความประสบความสำเร็จของมนุษย์เองก็ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเริ่มตั้งข้อสงสัยว่ามนุษย์อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาจจะไม่มีวิวัฒนาการอีกต่อไปแล้วในเร็วๆ นี้     แต่เรื่องที่น่าสนใจคือ เมื่อล่าสุดนี้เองในงานวิจัยร่วมของมหาวิทยาลัยอาร์ฮุส และสวนสัตว์โคเปนเฮเกนพวกเขากลับพบว่า มนุษย์นั้นเรามีอัตราการวิวัฒนาการที่ช้ามาตั้งแต่ในสมัยก่อนแล้ว นั่นเพราะหากนำจีโนมของมนุษย์ในสกุล Homo ตลอดช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมา ไปเทียบกับสัตว์ที่มีรูปร่างใกล้เคียงอย่าง ลิงชิมแปนซี กอริลลา และลิงอุรังอุตังแล้ว เราจะพบว่ามนุษย์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงทางจีโนมที่น้อยมากๆ เลย   Carl หนึ่งในลิงที่ถูกใช้ในงานวิจัยครั้งนี้   การวิจัยในครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การหาจีโนมชนิดใหม่ของในกลุ่มครอบครัว ซึ่งสังเกตได้จากการเปรียบเทียบจีโนมของพ่อแม่กับลูกๆ โดยหากลูกๆ มีจีโนมที่ไม่ปรากฏในรุ่นก่อนๆ มันก็จะหมายความว่ารุ่นลูกมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นนั่นเอง โดยเมื่อดูจากผลการทดลองแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ามนุษย์นั้นมีอัตราการกลายพันธุ์น้อยกว่าลิงถึงราวๆ 33% แถมยังมีวี่แววที่จะลดลงไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่อาจฟันธงได้แน่ชัดว่าเพราะอะไรก็ตาม     อย่างไรก็ตามการที่เราพบว่ามนุษย์มีการวิวัฒนาการที่ช้าลงตั้งแต่ช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมานั้นก็นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมากๆ เพราะนอกจากงานวิจัยนี้จะบอกว่ามนุษย์เราแทบจะไม่มีการวิวัฒนาการเลยแล้ว มันยังสามารถหมายความว่าช่วงเวลาที่มนุษย์สายพันธุ์นีเอนเดอร์ธัลแยกออกไปจากสายพันธุ์มนุษย์นั้นจริงๆ แล้วอาจเกิดขึ้นช้ากว่าที่เราคิดก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามข้อสังเกตที่ว่านี้ยังคงต้องมีการพิสูจน์กันต่อไปในอนาคต   โครงกระดูกของมนุษย์สายพันธุ์นีเอนเดอร์ธัล     ที่มา scitech, newsweek และ sciencedaily

  • รูปสลักอายุ 1,300 ปี ที่ถูกขโมยไปในปี 2004 ถูกพบใช้ “ประดับสวน” โดยชาวอังกฤษ

    รูปสลักอายุ 1,300 ปี ที่ถูกขโมยไปในปี 2004 ถูกพบใช้ “ประดับสวน” โดยชาวอังกฤษ

    ย้อนกลับไปในช่วงปี 2004 รูปสลักหินปูนของนักบุญคาทอลิกที่มีถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 สองชิ้น ได้ถูกขโมยออกไปจากโบสถ์ยุคกลางในเมืองบูร์โกส ประเทศสเปน มันเป็นประติมากรรมนูนต่ำที่มีน้ำหนักราวๆ 50 กิโลกรัม และอาจจะมีมูลค่าได้สูงถึงหลายสิบล้านบาท อย่างไรก็ตามการที่รูปสลักเหล่านี้นับเป็นหนึ่งในมรดกที่เก่าแก่ของโลกก็ทำให้พวกมันแอบขายได้ยากขึ้นตามไปด้วย     ด้วยเหตุนี้เองเหล่าโจรจึงได้ตัดสินใจขายรูปสลักทั้งสองในฐานะของ “อุปกรณ์ประดับสวน” ก่อนที่จะถูกซื้อขายต่อไปเป็นทอดๆ จนถึงมือชาวอังกฤษคนหนึ่ง ที่ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองซื้อของโจรอยู่ และนำสลักทั้งสองไปใช้งานในฐานะของประดับสวนจริงๆ กว่าที่ Arthur Brand นักสืบสวนและติดตามผลงานศิลปะมืออาชีพจะสืบหาผลงานทั้งสองไปจนเจอตัวชาวอังกฤษคนดังกล่าวที่ลอนดอน เวลาก็ผ่านไปนานหลายปีเลยทีเดียว (Arthur บอกว่าเขาใช้เวลา 8 ปีในการตามหาผลงาน 2 ชิ้นนี้)   Arthur Brand ได้ฉายาว่า “อินเดียนา โจนส์แห่งโลกศิลปะ” จากผลงานการค้นหาผลงานศิลปะที่ถูกขโมยไปจำนวนมากในอดีต   ดูเหมือนว่าชาวอังกฤษคนนี้จะซื้อรูปสลักมาในราคาราวๆ 2 ล้านบาท ก่อนที่จะปล่อยให้ผลงานอายุ 1,300 ปีทั้งสอง ตากแดดตากฝนโดยที่ไม่ได้ทราบเลยว่ามูลค่าจริงๆ ของมันนั้นมากมายเพียงใด นับว่าโชคดีมากที่ชายอังกฤษคนดังกล่าวยอมที่จะคืน ของประดับสวนของเขาให้แก่สถานทูตสเปนในลอนดอนเมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา และแน่นอนว่ารูปสลักทั้งสองรูปนี้ จะถูกส่งกลับไปยังโบสถ์ Santa Maria…

  • ผลซีทีสแกนพบ มัมมี่ชาวเอสกิโม มีภาวะหลอดเลือดแข็งทั้งที่ทานอาหารดีต่อสุขภาพ

    ผลซีทีสแกนพบ มัมมี่ชาวเอสกิโม มีภาวะหลอดเลือดแข็งทั้งที่ทานอาหารดีต่อสุขภาพ

    ในช่วงปลายปี 2018 ที่ผ่านมา ทีมแพทย์จากบริคแฮม รัฐแมสซาชูเซต สหรัฐอเมริกา ได้ให้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในการตรวจสอบมัมมี่จำนวนห้าร่างจากกรีนแลนด์ในศตวรรษที่ 16 และพบมัมมี่บางส่วนที่มีร่องรอยการเป็นโรคทางหัวใจและหลอดเลือดในตอนที่ยังมีชีวิต     นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นหลังจากทีมแพทย์ที่นำทีมโดย Dr. Ron Blankstein ได้ทำซีทีสแกนมัมมี่ชาวอินูอิต หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ “ชาวเอสกิโม” ที่มีอายุร่วม 500 ปี และประกอบไปด้วยผู้ใหญ่ 4 คน และเด็กอีก 1 คน พวกเขาพบว่าพบว่า 3 ใน 5 ของมัมมี่ทั้งหมด มีไขมันจับที่ผนังของหลอดเลือด หรือที่เรียกกันว่า “พลาค” (Plaque) ทั้งในเส้นเลือดใหญ่ และหลอดเลือดแดงบริเวณคอ ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีของภาวะหลอดเลือดแข็ง     จริงอยู่ว่าที่อาจจะไม่ใช่การทำซีทีสแกนหรือการค้นพบภาวะหลอดเลือดแข็งในมัมมี่ครั้งแรกของโลกก็ตามที แต่นี่ก็ถือว่าเป็นการค้นพบภาวะหลอดเลือดแข็งเป็นครั้งแรก และครั้งสำคัญในมัมมี่ของกรีนแลนด์เลย นั่นเพราะตามปกติแล้วภาวะหลอดเลือดแข็งมักจะมีความเกี่ยวข้องกับการทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง อย่างเนื้อวัว เนื้อหมู หรือของมัน ดังนั้นการที่ชาวเอสกิโมซึ่งมีอาหารหลักเป็นปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องดีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด มีอาการภาวะหลอดเลือดแข็งเสียเองจึงนับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากสำหรับทีมนักวิทยาศาสตร์เลย     เท่านั้นยังไม่พอเพราะมัมมี่ของชาวเอสกิโมที่นำมาตรวจสอบยังมีอายุที่ค่อนข้างต่ำอีกด้วย ทำให้การค้นพบภาวะหลอดเลือดแข็งในมัมมี่เหล่านี้จึงยิ่งกลายเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ…

  • 20 ภาพฮ่องกงเมื่อช่วงยุค 1970 ย้อนดูวิธีชีวิตในสมัยที่ยังถูกปกครองโดยอังกฤษ

    20 ภาพฮ่องกงเมื่อช่วงยุค 1970 ย้อนดูวิธีชีวิตในสมัยที่ยังถูกปกครองโดยอังกฤษ

    ในปี 1898 หลังจากที่จบสงครามฝิ่นครั้งที่สอง ฮ่องกงก็ถูกส่งให้ไปอยู่ในความครอบครองของอังกฤษตามสัญญาเช่าเป็นเวลา 99 ปี (หลังจากที่ปกครองตามสนธิสัญญานานกิง มาตั้งแต่ปี 1842) ในช่วงเวลานี้เอง ฮ่องกงก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากเมืองการเกษตรและการประมงไปเป็นหนึ่งในพื้นที่การค้าที่พลุกพล่านไปด้วยและกลายเป็นหนึ่งในเมืองเศรษฐกิจสำคัญของอังกฤษไป ดังนั้นเมื่อช่วงยุค 70 ในช่วงเวลาที่เช่าใกล้ถึงวันหมดอายุขึ้นทุกที ช่างภาพชื่อ Keith Macgregor จึงได้ตัดสินใจที่จะเป็นทางไปยังสถานที่แห่งนี้ เพื่อเก็บรูปภาพการให้ชีวิตของคนในสมัยนั้นเอาให้คนรุ่นหลังได้รับชม และในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ก็ได้นำผลงานส่วนหนึ่งของช่างภาพดังกล่าวมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน ไปดูกันดีกว่าว่าฮ่องกงในสมัยที่ยังถูกปกครองโดยอังกฤษนั้น มีสภาพเป็นแบบไหนกัน   เริ่มกันจากท่าเรือ Aberdeen ในปี 1971   การเก็บสาหร่ายที่ Tai Po Kau ในปี 1971   ถนน Jordan พร้อมป้ายการทูตปิงปอง ที่จัดขึ้นในช่วงยุค 70   ตู้จดหมายใน Lau Fau Shan เมื่อปี 1972   คุณยายกับหลานใน Tai Po 1972   หอนาฬิกา Tsim Sha Tsui  กับสถานีรถไฟ Kowloon…

  • ทีมนักเก็บกู้สมบัติ พบหน้ากากอินคาโบราณ อ้างอาจนำไปสู่ขุมทรัพย์กว่า 126 ล้านบาท

    ทีมนักเก็บกู้สมบัติ พบหน้ากากอินคาโบราณ อ้างอาจนำไปสู่ขุมทรัพย์กว่า 126 ล้านบาท

    เมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศได้นำเสนอการค้นพบ วัตถุโบราณรูปร่างคล้ายหน้ากากจากยุคพรี-โคลัมเบียน ที่หาดเมลเบิร์นในรัฐฟลอริดา ซึ่งอาจนำทางไปสู่ขุมทรัพย์มูลค่ากว่า 126 ล้านบาท     โดยนี่เป็นหน้ากากที่ถูกอ้างโดยทีมนักเก็บกู้สมบัติที่ค้นพบว่าใช้ในพิธีศพของชาวอินคาในอดีต และมีความเป็นไปได้สูงที่จะมาจากเรือของชาวสเปนที่จมอยู่ใต้ทะเลตั้งแต่ปี 1715 โดยจากคำบอกเล่าของ ดร. ไมค์ ทอร์เรส ผู้ช่วยศาสตราจารย์ของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) หนึ่งในนักเก็บกู้สมบัติ ดูเหมือนว่าเรือสเปนที่พวกเขากำลังหาอยู่น่าจะขโมยหน้ากากชิ้นนี้มาอีกทีหนึ่ง และอาจจะเก็บสมบัติอื่นๆ ไว้อีกเป็นจำนวนมาก   ตัวอย่างหน้ากากพิธีศพของชาวอินคาที่เคยมีการค้นพบมาก่อนในอดีต   เขายังอ้างอีกว่าหน้ากากที่พบนี้มีส่วนผสมของ ทองแดง เงิน ทองคำ และอาจจะมีแร่อย่างอิริเดียม ผสมอยู่เล็กน้อย (เจ้าตัวอ้างว่ามาจากดาวตกอีกที) ทำให้นี่นับว่าเป็นงานโลหะชิ้นแรกๆ ที่เคยมีการค้นพบในอเมริกาใต้เลย อย่างไรก็ตามคำบอกเล่าของ ดร. ไมค์ และกลุ่มนักเก็บกู้สมบัติ กลับถูกโดยนักโบราณคดีหลายฝั่งออกมาโต้แย้ง เพราะแม้ว่าการพบหน้ากากอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ ก็ตามแต่ข้อมูลที่ดร. ไมค์ให้มานั้นมีอยู่หลายส่วนที่ถูกเสริมแต่งให้ดูเกินจริง   ดร. ไมค์ ทอร์เรส   เช่นงานโลหะชิ้นแรกที่เคยมีการค้นพบในอเมริกาใต้นั้นมีมาตั้งแต่เมื่อ 900-700 ปีก่อนคริสตกาล แล้วซึ่งนับว่าเก่าแก่กว่าอารยธรรมจักรวรรดิอินคาซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1418…

  • อียิปต์ประกาศ การบูรณะสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมนเสร็จสิ้นแล้ว หลังดำเนินการมาร่วม 10 ปี

    อียิปต์ประกาศ การบูรณะสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมนเสร็จสิ้นแล้ว หลังดำเนินการมาร่วม 10 ปี

    ตั้งแต่ที่มีการค้นพบ “KV62” สุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน (หรือ ตุตันคามุน) ในปี 1922 สถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของอียิปต์ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากในแต่ละปี ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะในขณะที่สุสานอื่นๆ ที่เคยมีการพบมามักจะอยู่ในสภาพที่เสียหายอย่างหนัก สุสาน KV62 กลับอยู่ในสภาพที่ดีมากจนถึงขนาดที่ว่าภาพฝาผนังภายในยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แม้ผ่านกาลเวลามากว่า 3,000 ปี     แต่แม้ว่าสุสาน KV62 จะมีสภาพดีแค่ไหนก็ตาม การที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้ามาในที่แห่งนี้อยู่เสมอก็ทำให้สุสาน KV62 เริ่มที่จะเกิดความเสียหายอยู่ดี ดังนั้นในช่วงปี 2008 สุสานแห่งนี้ก็ต้องเข้าสู่การบูรณะครั้งใหญ่จนได้ โปรเจกต์ที่ว่านี้จัดทำขึ้นโดยความร่วมมือของกระทรวงโบราณวัตถุอียิปต์ และสถาบันอนุรักษ์เก็ตตี้ (GCI) แห่งลอสแองเจลิส พวกเขามีเป้าหมายหลักอยู่ที่การซ่อมแซมภาพฝาผนัง การติดตั้งระบบระบายอากาศใหม่ และการหาต้นต่อของรอยจุดสีน้ำตาลที่อยู่บนภาพ ซึ่งเคยถูกเชื่อกันว่าอาจจะเป็นเชื้อราจากในอดีต     หลังจากที่การบูรณะดำเนินการไปได้นานกว่า 10 ปี ในที่สุดเมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา ทางกระทรวงโบราณวัตถุอียิปต์ก็ได้ออกมาประกาศว่าการบูรณะสุสาน KV62 ได้เสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยทาง GCI ได้ออกมาเปิดเผยว่าจุดสีน้ำตาลที่อยู่บนภาพของฟาโรห์ตุตันคาเมนนั้นได้ เป็นจุลินทรีย์จากสมัยก่อนจริงๆ แต่ก็ตายไปเป็นเวลานานมากแล้ว โดยจะสังเกตได้จากการที่มันไม่ได้เติบโตขึ้นเลยตั้งแต่เมื่อปี 1922 ที่มีการค้นพบ     อย่างไรก็ตามก่อนที่จะตายไปจุลินทรีย์เหล่านี้ก็ได้กระจายลงไปยังตัวภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ทีมบูรณะสุสานไม่สามารถกำจัดจุลินทรีย์เหล่านี้ได้โดยไม่ทำลายตัวภาพ โปรเจกต์บูรณะสุสานในครั้งนี้นับว่าเป็นโปรเจกต์ที่ค่อนข้างแปลกมากเลยก็ว่าได้ เพราะตลอดช่วงเวลาที่มีการบูรณะตัวสุสานเองก็ไม่ได้มีการปิดรับนักท่องเที่ยวแต่อย่างใด แถมหากนักท่องเที่ยวสนใจในการทำงานของทีมงานพวกเขายังได้รับอนุญาตให้ตอบคำถามของนักท่องเที่ยวอย่างอิสระด้วย     และแน่นอนว่าเมื่อการบูรณะสุสานจบลงไปได้ด้วยดีเช่นนี้…

  • พบโครงกระดูกเด็ก 269 คน และลามะ 466 ตัว ถูกบูชายัญในเปรูเมื่อ 500 ปีก่อน และยังไม่ทราบว่าเพราะอะไร

    พบโครงกระดูกเด็ก 269 คน และลามะ 466 ตัว ถูกบูชายัญในเปรูเมื่อ 500 ปีก่อน และยังไม่ทราบว่าเพราะอะไร

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าการบูชายัญเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมโบราณหลากหลายแห่งในโลกไม่ว่าจะเป็นเผ่ามายา แอซเท็ก หรือแม้กระทั่งชาวอียิปต์โบราณ จนทำให้การค้นพบร่องรอยเหยื่อบูชายัญในอดีตอาจจะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรในสายตาของหลายๆ คน แต่เมื่อล่าสุดนี้เอง ทางนิตยสาร National Geographic ก็ได้ออกมาเปิดเผยการค้นพบที่น่าสนใจเกี่ยวกับการบูชายัญในอดีตอีกครั้ง     นั่นเพราะทีมนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติตรูฮีโยได้ค้นพบโครงกระดูกของเด็ก 269 คน ผู้ใหญ่ 3 คน และลามะอีก 466 ตัวซึ่งถูกสังหารในพิธีบูชายัญ ถูกฝังไว้ใต้หาดทรายทางตอนเหนือของประเทศเปรู โครงกระดูกเหล่านี้ถูกพบเป็นครั้งแรกในปี 2011 โดยเด็กๆ ที่เข้ามาเล่นทรายในพื้นที่โดยบังเอิญ และคาดกันว่ามีอายุอยู่ที่ราวๆ 550 ปี ก่อนที่ทีมนักโบราณคดีจะถูกเชิญเข้ามาสำรวจในปี 2016     นี่นับว่าเป็นการบูชายัญเด็กที่ใหญ่ที่สุดของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะที่ผ่านๆ มาหลักฐานการบูชายัญเด็กที่ใหญ่ที่สุดของโลกนั้นอยู่ที่เมืองโบราณของแอซเท็กและมีเหยื่ออยู่แค่ 42 รายเท่านั้น โครงกระดูกส่วนใหญ่ที่ถูกฝังที่นี่จะมีร่องรอยการถูกของมีคมตัดผ่านกระดูกสันอกและซี่โครงซึ่งพบได้ในพิธีการบูชายัญ แถมร่างของเด็กๆ ยังมักถูกฝังด้วยท่าทางแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝังคว่ำหน้าหรือนอนขดตะแคงข้าง     ที่ผ่านๆ มาการบูชายัญครั้งใหญ่ในอดีตมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างฝนตกหนักจนน้ำท่วม อย่างไรก็ตามในพื้นที่การทำพิธีในครั้งนี้กลับไม่มีร่องรอยว่าเคยถูกน้ำท่วมหรือฝนตกอย่างต่อเนื่องในอดีตปรากฏให้เห็นเลย นั่นทำให้ในปัจจุบันทีมนักโบราณคดีจึงไม่อาจบอกได้ว่าการบูชายัญเด็กและตัวลามะจำนวนมากมายขนาดนี้เกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ว่าคนกลุ่มไหนกันที่บูชายัญเด็กมากขนาดนี้ ศาสตราจารย์มานุษยวิทยา John Verano ผู้เป็นหนึ่งในทีมงานสำรวจบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการวิจัยครั้งนี้นั้นอยู่ที่เวลา เพราะพวกเขาจะต้องรีบบันทึกข้อมูลที่พบทั้งหมดอย่างละเอียด ก่อนที่ความเจริญของเมืองจะมาทำลายแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ในอนาคต     ที่มา nola, nationalgeographic…

  • ทฤษฎีใหม่บอก “อเล็กซานเดอร์มหาราช” อาจเสียชีวิตเพราะ “กลุ่มอาการกูเลนแบร์”

    ทฤษฎีใหม่บอก “อเล็กซานเดอร์มหาราช” อาจเสียชีวิตเพราะ “กลุ่มอาการกูเลนแบร์”

    จากบันทึกในอดีต ตอนที่อเล็กซานเดอร์มหาราชเสียชีวิตไปในช่วง 323 ปีก่อนคริสตกาล ร่างของเขาไม่มีการเน่าเสียเลยเป็นเวลายาวนานถึง 6 วันเต็ม เรื่องราวนี้สำหรับชาวกรีกโบราณแล้วเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ เพราะนั้นทำให้อเล็กซานเดอร์ถูกมองว่าไม่ใช่เพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาๆ แต่เป็นหนึ่งในหมู่เทพที่ลงมาจุติในร่างของมนุษย์     แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีแล้ว ความตายของอเล็กซานเดอร์กลับเป็นปริศนาที่ไขไม่ออกกันมาอย่างยาวนาน ในตอนที่อายุได้ 32 ปี อเล็กซานเดอร์ถูกบันทึกไว้ว่าป่วยอย่างหนักเป็นเวลา 12 วันก่อนที่จะเสียชีวิต แต่กลับไม่มีการระบุอย่างชัดเจนว่าอาการป่วยของเขามีสาเหตุมาจากอะไร นั่นทำให้นักโบราณคดีและทีมแพทย์พยายามหาเหตุผลมาอธิบายความตายของชายผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็น มาลาเรีย ไทฟอยด์ แอลกอฮอล์เป็นพิษ หรือแม้กระทั่ง การลอบสังหารโดยยาพิษ     อย่างไรก็ตามเมื่อล่าสุดนี้ทางนิตยสารออนไลน์ “The Ancient History Bulletin” ก็ได้มีการเผยแพร่บทความที่มีการพูดถึงทฤษฎีที่น่าสนใจเกี่ยวกับความตายของอเล็กซานเดอร์ ภายใต้ความร่วมมือของ ดร. แคทเธอรีน ฮอลล์ อาจารย์อาวุโส แห่งมหาวิทยาลัยโอทาโกที่นิวซีแลนด์ โดยในบทความที่ออกมานั้น ดร. แคทเธอรีน ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าอเล็กซานเดอร์น่าจะมีอาการของ “กลุ่มอาการกูเลนแบร์” (Guillain-Barré syndrome) หรือ “GBS” อ้างอิงจากอาการที่เขาแสดงออกมาในช่วง 12 วันที่ป่วยหนัก     กลุ่มอาการกูเลนแบร์ เป็นการเจ็บป่วยที่ก่อให้เกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในร่างกาย ซึ่งเกิดได้จากแบคทีเรีย “Campylobacter pylori” ที่พบได้ทั่วไป แต่ก็นับว่าเป็นโรคที่พบได้น้อยมาก กลุ่มอาการกูเลนแบร์จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์ที่ดีในระบบประสาท ทำให้บ่อยครั้งคนไข้จะมีอาการงุนงง ชา…

  • ชม 20 ภาพเทคโนโลยีสุดเจ๋งของเหล่าสายลับจากสมัยสงครามเย็น ที่ไม่ได้มีดีแค่โชว์เท่ๆ

    ชม 20 ภาพเทคโนโลยีสุดเจ๋งของเหล่าสายลับจากสมัยสงครามเย็น ที่ไม่ได้มีดีแค่โชว์เท่ๆ

    ในช่วงสงครามเย็นที่ทางสหรัฐฯ กับโซเวียตไม่ได้เปิดฉากยิงกันอย่างเปิดเผยนั้น การสืบหาข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดของสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ทั้งทาง CIA และ KGB จะแข่งกันพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ใหม่ๆ ให้แก่สปายของตัวเองอยู่เสมอๆ จนทำให้ในช่วงเวลานี้มีอุปกรณ์ของสปายที่น่าสนใจเกิดขึ้นเต็มไปหมด และด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม 20 ภาพอุปกรณ์ของสปายสุดเจ๋งจากสมัยสงครามเย็น ว่าแต่จะน่าสนใจขนาดไหนนั้น คงต้องให้เพื่อนๆ ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันจากปืนติดถุงมือ OSS .38 ออกแบบมาให้ใช้เวลาแกล้งยกมือยอมแพ้ ในกรณีที่โดยจับตัว   ที่ดึงจดหมายจากซอง ออกแบบมาให้สามารถม้วนเอาจดหมายออกจากซองได้โดยไม่ทำให้ซองเสียหาย .   กล้องติดกล่องไม้ขีด ตามปกติจะมียี่ห้อและรายละเอียดอื่นๆ เขียนไว้ที่กล่องด้วยเพื่อให้ดูเหมือนว่าเป็นกล่องไม้ขีดจริงๆ มากที่สุด   “CIA Semi-Submersible” มันเป็นเรือกึ่งเรือดำน้ำ ที่ออกแบบมาให้นั่งได้ 2 คน มักใช้ในการช่วยสปายออกจากฐานของศัตรู   สว่านมือ “Belly Buster” เอาไว้เจาะรูในห้องเพื่อแอบมอง หรือติดตั้งเครื่องมืออื่นๆ   ยานไร้คนขับรูปแมลงปอ ผลิตโดย CIA ในช่วงปี 1970…

  • ย้อนรอย “สวัสติกะ” สัญลักษณ์เก่าแก่อายุกว่า 12,000 ปี ที่อยู่คู่มนุษย์มาอย่างยาวนาน

    ย้อนรอย “สวัสติกะ” สัญลักษณ์เก่าแก่อายุกว่า 12,000 ปี ที่อยู่คู่มนุษย์มาอย่างยาวนาน

    หากพูดถึงเครื่องหมาย “สวัสติกะ” เชื่อกันว่าคงมีหลายคนที่นึกภาพสัญลักษณ์ของพรรคนาซีขึ้นมาเป็นอย่างแรก แต่ในความเป็นจริงแล้วสัญลักษณ์นี้มีมานานกว่าพรรคนาซีเยอะ แถมไม่ได้ภาพลักษณ์ที่เลวร้ายเหมือนในปัจจุบันอีกด้วย     โดยเครื่องหมายสวัสติกะที่เก่าแก่ที่สุดที่เราเคยมีการค้นพบมานั้น คาดกันว่ามาจากปลายยุคหินเพลิโอะลีธอิค (ราวๆ 12,000 ปีก่อน) เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่เรามั่นใจว่ามีการใช้เครื่องหมายสวัสติกะอย่างแน่นอนจะเป็นเมื่อราวๆ 4,000 ปีก่อน และมีหลักฐานการใช้งานจากทั้งกรีก โรมัน ดรูอิด เคลต์ และแน่นอนว่าในศาสนาต่างๆ อย่างฮินดู หรือพุทธศาสนา     สวัสติกะมาจากภาษาสันสกฤต ซึ่งมีความหมายตั้งแต่ “สิ่งที่ดี” “ความเป็นอยู่ที่ดี” และ “โชคดี” ก่อนที่จะได้รับความหมายอื่นๆอย่าง “ชัยชนะ” จากการตีความเพิ่มเติมของคนรุ่นหลัง ในปี 1979 นักวิชาการภาษาสันสกฤต Prabhat Ranjan Sarkar บอกว่าตราสวัสติกะจะสามารถวาดได้ทั้งแบบ 卍 และ 卐 แต่ทั้งสองแบบจะมีความหมายตรงข้ามกัน และหากอยากให้ความหมายออกมาในด้านดี ตราก็ควรจะถูกเขียนแบบ “卐”     สำหรับชาวพุทธแล้วตราสวัสติกะนับว่าเป็นสัญลักษณ์ของ โชคดี ความเจริญรุ่งเรือง ความอุดมสมบูรณ์ และความเป็นนิรันดร์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สัญลักษณ์เหล่านี้จะไปปรากฏบนพระพุทธรูป (โดยเฉพาะในต่างประเทศ)     น่าเสียดายที่หลังจากที่นาซีมีการใช้เครื่องหมายคล้ายตราสวัสติกะเป็นสัญลักษณ์ของตนเองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง…

  • สองบริษัทในบราซิล ออกแบบโฆษณาสำหรับโซเชียลมีเดียชื่อดัง ในรูปแบบย้อนยุคปี 50

    สองบริษัทในบราซิล ออกแบบโฆษณาสำหรับโซเชียลมีเดียชื่อดัง ในรูปแบบย้อนยุคปี 50

    เคยคิดกันเล่นๆ ไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าโซเชียลมีเดียหลายเจ้าเกิดขึ้นมาในปี 1950 มันจะมีการโปรโมตแบบไหน บริษัทออกแบบโฆษณา “Moma” ในบราซิล และสตูดิโอภาพวาดอย่าง “6B Studios” จึงได้ร่วมเมื่อกันออกแบบโฆษณาสำหรับโซเชียลมีเดียเจ้าต่างๆ หากพวกเขาเปิดทำการในปี 1950 ออกมาให้เราได้ชมกัน จะมีโซเชียลมีเดียเจ้าไหนบ้างนั้น เชิญเพื่อนๆ ไปชมกันได้ที่ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันจาก Facebook ที่มาพร้อมกับสโลแกนว่า  “การพบปะทางสังคมที่โดนใจและน่าอัศจรรย์” แชร์รูปภาพประสบการณ์สุดงดงามของคุณแก่เพื่อนและครอบครัว จะเรื่องงานหรือเวลาว่าง Facebook ก็จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ใหม่ๆ ของการพบปะทางสังคม และเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการปรับตัวให้เข้ากับการสื่อสารในยุคของเรา   ภาพยนตร์ของคุณจะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์บน YouTube ส่งและชมวิดีโอตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นกีฬา ข่าว การค้า หรืออื่นๆ อีกมากมาย กับหนทางที่น่าหลงใหลที่สุดในการสร้างความสุขให้กับครอบครัว   Twitter สังคมเข้มแข็งสุดประเสริฐสร้างได้ ด้วยตัวหนังสือ 140 ตัว     และ Skype ระบบเสียงสุดแจ๋วที่สามารถพาครอบครัวของคุณมาอยู่ด้วยกัน Skype จะเป็นตัวกลางระหว่างคุณและคนสนิทในการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต หนทางที่ดีที่สุดที่ครอบครัวจะได้พูดคุยกันเมื่ออยู่ห่างไกล มันดีเยี่ยมกว่าโทรศัพท์ และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่จะนำคุณไปสู่โลกใบใหม่ได้ไม่ยากเลย  …

  • นักวิทย์พบฟอสซิลแฮกฟิชอายุกว่า 100 ล้านปี เผยปลาตัวนี้แทบไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย

    นักวิทย์พบฟอสซิลแฮกฟิชอายุกว่า 100 ล้านปี เผยปลาตัวนี้แทบไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย

    เมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ได้มีรายงานการค้นพบฟอสซิลเก่าแก่ที่เลบานอน ซึ่งเก็บร่องรอยของ “แฮกฟิช” จากยุคครีเทเชียสเอาไว้มานานกว่า 100 ล้านปี     แฮกฟิชเป็นปลาทะเลที่มีรูปร่างคล้ายกับปลาไหลที่มีชีวิตอยู่ด้วยการกินปลาตายหรือใกล้ตาย และมีจุดเด่นอยู่ที่เมือกของมันซึ่งเคยมีงานวิจัยว่าอาจจะนำมาทำเสื้อผ้าในอนาคตได้เลย เชื่อกันว่าแฮกฟิชนั้นอยู่มาบนโลกในนี้ตั้งแต่เมื่อ 500 ล้านปีก่อนแล้ว อย่างไรก็ตามจากการที่แฮกฟิชไม่มีกระดูกสันหลัง ก็ทำให้หลักฐานการมีอยู่ของมันจึงแทบจะไม่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันเลย ดังนั้นการค้นพบในครั้งนี้จึงนับว่าเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ     แฮกฟิชที่พบในครั้งนี้มีความยาวอยู่ที่ 12 นิ้ว หรือราวๆ 30 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าสั้นกว่าความยาวโดยเฉลี่ยของแฮกฟิชในปัจจุบันอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตามลักษณะโดยรวมของปลาสายพันธุ์นี้กลับแทบจะไม่มีการเปลี่ยนไปเลย จากการวิเคราะห์ร่องรอยฟอสซิลของนักวิทยาศาสตร์ ดูเหมือนว่าความสามารถในการสร้างเมือกของแฮกฟิชเอง ก็จะไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งจะวิวัฒนาการขึ้นมาในภายหลังเช่นกัน เพราะในฟอสซิลชิ้นนี้เอง นักวิทยาศาสตร์ก็พบร่องรอยของสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของเมือกที่แฮกฟิชใช้ แถมยังมีร่องรอยของต่อมผลิตเมือกให้เห็นทั่วตัวของมันอีกด้วย     อาจจะกล่าวได้ว่าเมือกของแฮกฟิชมีประสิทธิภาพมากพอที่จะทำให้ปลาสายพันธุ์นี้ไม่จำเป็นต้องวิวัฒนาการระบบป้องกันตัวอื่นๆ เพิ่มเติมตลอดช่วงเวลา 100 ล้านปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ สำหรับแฮกฟิชในปัจจุบัน มันสามารถปล่อยเมือกออกไปได้ไกลกว่าขนาดตัวจริงๆ ของมันถึง 10,000 เท่า แถมเมือกเหล่านี้ยังลื่นมากแม้บนบก จนเคยมีข่าวรถจักรยานยนต์เสียหลักล้มเพราะเมือกของมันมาแล้ว     การที่แฮกฟิชแทบไม่เปลี่ยนไปเลยจากเมื่อ 100 ล้านปีก่อน ทำให้วิทยาศาสตร์ตั้งข้อสันนิษฐานว่าปลาสายพันธุ์นี้น่าจะมีความเก่าแก่กว่าสัตว์น้ำจำพวกปลาประเภทอื่นๆ…

  • นักโบราณคดีพบ บังเกอร์ทหารของโซเวียตในโปแลนด์ อาจสร้างขึ้นมาเพื่อเก็บอาวุธนิวเคลียร์

    นักโบราณคดีพบ บังเกอร์ทหารของโซเวียตในโปแลนด์ อาจสร้างขึ้นมาเพื่อเก็บอาวุธนิวเคลียร์

    ในช่วงยุค 1960 หลังจากที่สงครามเย็นดำเนินไปได้พักหนึ่ง ทางสหภาพโซเวียตได้ทำการสร้างบังเกอร์ทางการทหารขนาดใหญ่หลายแห่งในประเทศโปแลนด์ โดยมีการลบออกไปจากแผนที่ และซ่อนเอาไว้อย่างดีจากการสำรวจทางอากาศ     ในอดีต สถานที่เหล่านี้เคยถูกเชื่อกันว่าเป็นเพียงบังเกอร์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อซ่อนทหาร และยุทโธปกรณ์ที่จะมีการเรียกใช้ในกรณีที่เกิดการประทะกันอย่างเป็นทางการกับทางฝั่งตะวันตกก็เท่านั้น แต่แล้วเมื่อวันที่ 21 มกราคมปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เองในที่สุด ทีมนักโบราณดคีจากสถาบันประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในโปแลนด์ก็ได้ค้นพบความจริงที่ยิ่งใหญ่อีกข้อของบังเกอร์ในประเทศเข้าจนได้ นั่นเพราะจากข้อมูลลับที่ได้รับการเปิดเผยออกมาของสหภาพโซเวียต ภาพถ่ายดาวเทียม และการตรวจสอบโครงสร้างภายในของบังเกอร์ทหารแล้ว พวกเขาก็พบว่าบังเกอร์เหล่านี้นั้นในอดีตน่าจะเป็นสถานที่เก็บอาวุธนิวเคลียร์มาก่อนนั่นเอง   เส้นทางที่เคยมีการใช้งาน กับสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายสนามฟุตบอล ซึ่งถูกค้นพบอยู่ใกล้ๆ บังเกอร์ในปี 1984   นั่นเพราะเมื่อเปรียบเทียบโครงสร้างของบังเกอร์เหล่านีเข้ากับโรงเก็บอาวุธนิวเคลียร์ในเชโกสโลวาเกีย ฮังการี และบัลแกเรีย นักโบราณคดีก็พบว่าสถานที่เหล่านี้มีโครงสร้างที่คล้ายกันเป็นอย่างมาก Grzegorz Kiarszys หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า พลังของหัวรบนิวเคลียร์เหล่านี้ อาจจะมีหลังทำลายได้ตั้งแต่ 0.5-500 กิโลตัน และเป็นไปได้ว่าถูกเตรียมการไว้ใช้ในการรบที่เยอรมนี และเดนมาร์ก น่าแปลกที่เมื่อทีมวิจัยทำการตรวจสอบบังเกอร์เหล่านี้เพื่อหาร่องรอยของสารกัมมันตภาพรังสี พวกเขากลับพบว่าในบังเกอร์นั้น ไม่มีร่องรอยใดๆ ของสารกัมมันตภาพรังสีอยู่เลยแม้แต่น้อย     การค้นพบนี้ทำให้ Kiarszys ตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมาสองข้อ ได้แก่โรงเก็บในที่แห่งนี้อาจจะมีระบบการป้องกันสารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลที่ดีมากๆ หรือไม่ก็หัวรบนิวเคลียร์ไม่เคยมีการส่งมาถึงที่แห่งนี้ เนื่องจากเหตุการณ์สงครามไม่ได้เลวร้ายจนต้องมีการใช้งานหัวรบจริงๆ Kiarszys ยังบอกอีกด้วยว่าในอดีตพื้นที่รอบๆ บังเกอร์เองก็อาจจะเคยเป็นค่ายทหารมาก่อน เนื่องจากมีร่องรอยสิ่งปลูกสร้างที่ถูกทำลายไป…

  • ชม 20 ภาพความงามจากประเทศคิวบาในช่วงปี 1976 ที่จะทำให้คุณอยากไปเที่ยวดูสักครั้ง

    ชม 20 ภาพความงามจากประเทศคิวบาในช่วงปี 1976 ที่จะทำให้คุณอยากไปเที่ยวดูสักครั้ง

    หลังจากที่มีการประกาศอิสรภาพจากสหรัฐอเมริกาในปี 1902 และผ่านการปฏิวัติในช่วงปี 1953-1959 ในที่สุดเมื่อเข้าสู่ยุค 70 เหตุการณ์บ้านเมืองของคิวบาก็ดูจะกลับสู่ภาวะปกติเสียที ด้วยเหตุนี้เองเมื่อคิวบาประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี 1976 ช่างภาพอย่าง Manel Armengol จึงได้ตัดสินใจที่จะเดินทางไปเก็บภาพของประเทศคิวบาในสมัยนั้นกลับมาให้โลกได้ชม     และแม้ว่าผลงานของเขาอาจจะไม่ได้ดูทรงพลังเท่าภาพถ่ายคิวบาในยามสงครามของช่างภาพคนอื่นๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ภาพของเขานั้นมีเสน่ห์ในอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้น ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงได้นำผลงานส่วนหนึ่งของช่างภาพคนนี้มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน ไปดูกันดีกว่าว่าคิวบาในเวลานั้น จะสงบสุข สวยงามน่าไปเที่ยวขนาดไหนกัน   เริ่มกันจากป้ายประกาศงานรื่นเริงที่จัตุรัสใน Matanzas   สระว่ายน้ำและสวนของรีสอร์ทนานาชาติ   รถประจำทางที่สวนกันบนถนนกลางเมือง   อาคารที่มีป้าย Nueva Trova แนวเพลงของคิวบาที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติ   อาคารที่เรียงกันเป็นแถบและเหล่าหนุ่มๆ ที่กำลังพูดคุยกับเพื่อนข้างบ้าน   ถนน Maceo ในเมือง Santa Clara   คนงานกำลังขนกระสอบแป้ง   โรงแรม Santa Clara Libre ในเมือง Santa Clara   ตึก Coppelia building (ซ้าย) หนึ่งในร้านไอศกรีมที่ใหญ่ที่สุดในโลก…

  • ย้อนรอยชุด “ตอกา” เครื่องแต่งกายของชาวโรมันโบราณ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เอกลักษณ์

    ย้อนรอยชุด “ตอกา” เครื่องแต่งกายของชาวโรมันโบราณ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เอกลักษณ์

    หากพูดถึงการแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวโรมันโบราณ เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะนึกถึงเครื่องแบบ ทหารหรือไม่ก็ชุดผ้าหลวมๆ ที่เห็นกันบ่อยๆ ในหนังขึ้นมาเป็นอย่างแรก     ชุดผ้าเหล่านั้นมีชื่อเรียกว่า “ตอกา” หรือ “โทกา” (Toga) ผืนผ้าที่มีความยาวราว 6 เมตร ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในการใช้พันรอบตัวแทนเสื้อผ้า และการพันทับชุดทูนิคอีกทีหนึ่ง เดิมทีแล้วตอกาสามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย อย่างไรก็ตามหลังจากช่วง 200-100 ปีก่อนคริสตกาล ผู้หญิงโรมันก็รับวัฒนธรรมชุด “สตอลา” มาใช้ ทำให้ตอกากลายเป็นชุดที่ถูกใช้งานโดยผู้ชายเท่านั้นไป   รูปปั้นของ Livia Drusilla จักรพรรดินีของโรมันในชุดสตอลา   ไม่มีใครทราบว่าตอกานั้นเกิดขึ้นครั้งแรกที่ไหน แต่ตอกาที่ใช้งานกันในโรมันเป็นของที่ได้รับอิทธิพลโดยตรงมาจากทางอารยธรรมอีทรัสคัน และมักทำจากขนสัตว์ ส่วนชุดทูนิคข้างใต้จะทำจากผ้าลินิน     แม้ว่ารูปร่างและลักษณ์ที่ชัดเจนของตอกาจะยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักโบราณคดีอยู่ แต่จากที่มีบันทึกไว้ ตอกาแบ่งออกได้ราวๆ 6 แบบหลักๆ ตามสถานะทางสังคมของผู้ใช้ได้แก่ 1. “Toga Pura” ที่ทำจากขนสัตว์สีขาว สำหรับประชาชนชายทั่วไป 2. “Toga Praetexta” ตอกาที่มีขอบสีม่วงสำหรับนักบวช เด็กหนุ่มที่ไม่ได้เป็นทาส หรือผู้พิพากษา 3. “Toga Pulla”…

  • งานวิจัยใหม่ชี้ ชาวไวกิ้งอาจไม่มองเทพเจ้านอร์สเป็น “เทพผู้ยิ่งใหญ่” เหมือนศาสนาอื่นๆ

    งานวิจัยใหม่ชี้ ชาวไวกิ้งอาจไม่มองเทพเจ้านอร์สเป็น “เทพผู้ยิ่งใหญ่” เหมือนศาสนาอื่นๆ

    เมื่อกล่าวถึงความเชื่อของชาวไวกิ้ง เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงเทพเจ้าของชาวนอร์ส (โดยเฉพาะธอร์ และโลกิ) ขึ้นมาเป็นอย่างแรก ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าสำหรับเหล่านักโบราณคดีแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อของชาวไวกิ้งนั้น เป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่าที่เราคิดมาก นั่นเพราะแม้ว่าชื่อของเทพเจ้าแห่งแอสการ์ดจะเป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน แต่ในอดีตเรากลับมีหลักฐานน้อยมากที่ระบุอย่างชัดเจนว่าชาวไวกิ้งนับถือเทพเหล่านี้จริงๆ เนื่องจากกว่าที่ชาวสแกนดิเนเวียจะเริ่มมีการเขียนบันทึกอย่างแพร่หลาย มันก็ในศตวรรษที่ 12 แล้ว (ชาวไวกิ้งมีมาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 6)     อย่างไรก็ตามในกลอนที่มีการค้นพบของชาวไวกิ้งเองก็แสดงให้เราเห็นถึงมุมมองที่น่าสนใจที่พวกเขามีต่อเทพของพวกเขาเองได้เป็นอย่างดี นั่นเพราะจากงานวิจัยเกี่ยวกับเทพของชาวนอร์สชิ้นล่าสุดที่มีการเผยแพร่ออกมาในนิตยสาร “Religion, Brain & Behavior” ดูเหมือนว่าชาวไวกิ้งจะไม่ได้มองเทพของตัวเองเป็น “ผู้ยิ่งใหญ่” เหมือนกับศาสนาอื่นๆ นัก เทพของชาวนอร์สไม่ได้ไม่มีวันตายเหมือนในความเชื่ออื่นๆ แถมยังมีโชคชะตาที่จะต้องตายไปในเหตุการณ์แร็กนาร็อก ทำให้พวกเขาไม่ได้มีอำนาจทุกอย่าง และว่ากันตามตรงว่าไม่ใช่ผู้ที่สร้างโลกด้วยซ้ำ     นั่นทำให้ระบบความเชื่อของชาวไวกิ้งมีความแตกต่างจากวัฒนธรรมอื่นๆ ค่อนข้างมาก เพราะต่อให้พวกเขามีการสาบานต่อเทพ แต่พวกเขาก็เข้าใจว่าเทพไม่ได้มองพวกเขาอยู่เสมอ แถมเทพเหล่านั้นอาจจะไม่ได้รับฟังคำสาบานเหล่านั้นจริงๆ และบ่อยครั้งพวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าความสำเร็จในชีวิตมาจากความช่วยเหลือของเทพด้วย     อย่างไรก็ตามใช่ว่าชาวไวกิ้งจะไม่ได้มีการนำระบบความเชื่อมาใช้ในการสร้างกฏระเบียบในสังคมเลย เพราะพวกเขาเองก็ดูเหมือนว่าจะมีแนวคิดที่ว่าพวกมนุษย์ถูกเฝ้ามองโดยสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งจะคอยลงโทษพวกเขาหากทำตัว “ไม่ดี” เช่นกัน เพียงแต่ชาวไวกิ้งเชื่อในสิ่งเหล่านั้นมากน้อยเพียงใด ยังคงเป็นเรื่องที่นักโบราณคดีต้องถกเถียงกันต่อไปก็เท่านั้น   ที่มา livescience

  • 11 วิธีการสุดแปลก ที่คนสมัยก่อนใช้ในการซ่อนสุรา ในยุคที่การดื่มสุราเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

    11 วิธีการสุดแปลก ที่คนสมัยก่อนใช้ในการซ่อนสุรา ในยุคที่การดื่มสุราเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันว่าตลอดช่วงเวลา 13 ปี ตั้งแต่ปี 1920-1933 สหรัฐอเมริกาได้ตกอยู่ในช่วงเวลาที่รัฐบาลห้ามการจำหน่ายสุราทุกชนิด แถมการครอบครองสุรายังเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอีก     แต่ถึงจะมีการห้ามมากแค่ไหนอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ไม่ได้หายไปจากในประเทศอยู่ดี เพียงแค่หนีลงไปอยู่ใต้ดินก็เท่านั้น และแน่นอนว่าผู้คนเองก็ไม่ได้เลิกดื่มสุรา และเพียงแค่แอบดื่มในที่ที่ไม่มีใครรู้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในสมัยนั้นคนเราจะคิดค้นการแอบซ่อนสุราที่น่าสนใจขึ้นมาเต็มไปหมด ซึ่งแม้ว่าการซ่อนหลายๆ แบบจะถูกจับได้ในที่สุดก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความพยายามเพื่อสุราของพวกเขามันสุดยอดจริงๆ ไม่เชื่อก็ลองไปดูการซ่อนสุราสุดแปลกและแอบสร้างสรรค์ทั้ง 11 แบบต่อไปนี้ดูสิ   เริ่มกันจากร้าน “Speakeasies” ร้านเหล้าหรือคลับ ที่ต้องมีการบอกรหัสก่อนเข้า แถมบางทียังมีการทำประตูแบบพิเศษอย่างที่เห็นเพื่อไม่ให้เผลอรับสายตรวจเข้าร้าน เรียกได้ว่าทำกันราวกับเป็นฐานทัพลับของทหารเลยก็ไม่ผิด   หนังสือปลอมที่ออกแบบมาเป็นที่ซ่อนสุราโดยเฉพาะ หากดึงขอบปกด้านล่างออกจะพบว่าภายในหนังสือนั้นจริงๆ แล้วมีขวดใส่สุราซ่อนอยู่   อุปกรณ์ของใช้ในบ้านอย่างโคมไฟ ถูกดัดแปลงเป็นที่ซ่อนสุรา ภาพนี้มาจากปี 1932   ภาพนี้มาจากปี 1928 โดยเป็นภาพของหญิงสาวในชุดโค้ทยาว หากถอดออกจะเห็นว่าเธอนั้นผูกสุราซ่อนไว้ที่ขาของตัวเอง เป็นไปได้ว่าชุดแบบนี้จะเคยถูกใช้ในการแอบขนส่งสุรา   อันนี้ระบบทำงานคล้ายๆ ข้างบน แต่ขนได้มากกว่า   อันนี้ภาพของหญิงสาวที่โดนจับในปี 1924 ถูกเรียกกันเล่นๆ ว่า “เสื้อชูชีพเหล้าเถื่อน”   ภาพที่ดูเผินๆ…

  • มหาวิทยาลัยในสกอตแลนด์พบตารางธาตุเก่าแก่ในห้องเก็บของ เชื่ออาจเก่าแก่ที่สุดในโลก

    มหาวิทยาลัยในสกอตแลนด์พบตารางธาตุเก่าแก่ในห้องเก็บของ เชื่ออาจเก่าแก่ที่สุดในโลก

    เมื่อพูดถึงตารางธาตุ #เหมียวศรัทธา อาจจะต้องขอโทษหลายๆ คนไว้ก่อนเลยที่จู่ๆ ก็ไปปลุกฝันร้ายในวัยเรียนขึ้นมา ถึงอย่างนั้นก็ตามการค้นพบในครั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเมื่อไม่นานมานี้ มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ในประเทศสกอตแลนด์ได้ออกมาประกาศการค้นพบตารางธาตุเก่าแก่ ถูกเก็บเอาไว้ในห้องเก็บของเสียอย่างนั้น     นี่คือตารางธาตุภาษาเยอรมัน ที่ถูกซื้อมาโดยศาสตราจารย์วิชาเคมีของมหาวิทยาลัยในปี 1888 อย่างไรก็ตามจากการที่บนตารางธาตุยังไม่มีธาตุเจอร์เมเนียมซึ่งถูกพบในปี 1886 ทีมนักวิจัยก็คาดว่าตารางธาตุที่น่าจะถูกสร้างขึ้นจริงๆ ในปี 1885 ต่างหาก เอาเข้าจริงๆ ตารางธาตุอันนี้เคยมีการค้นพบกันมาตั้งแต่เมื่อปี 2014 แล้ว โดยพนักงานทำความสะอาดของสำนักวิชาเคมี อย่างไรก็ตามในเวลานั้น ไม่มีใครคิดเลยว่าตารางธาตุที่พบจะมีอายุมากถึงเกือบๆ 150 ปี ทำให้กว่าที่จะมีการตรวจสอบจริงๆ เวลาก็ผ่านไปนานพอสมควรเลย จริงอยู่ที่ว่าตารางธาตุนั้นถูกคิดค้นกันมาตั้งแต่ในปี 1869 แล้ว แต่จากคำบอกเล่าของทางมหาวิทยาลัย ตารางธาตุในสมัยก่อนนั้นแทบจะไม่มีหลักฐานเหลือแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตารางที่ยังมีสภาพสมบูรณ์เช่นนี้แล้วด้วย   Dmitri Mendeleev ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นตารางธาตุ   นั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ตารางธาตุที่พวกเขาพบจะเป็นตารางธาตุที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ในยุโรป หรือไม่ก็ในโลกใบนี้เลยทีเดียว การค้นพบในครั้งนี้นับเป็นความภูมิใจของมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูวส์เป็นอย่างมาก ทำให้ในปัจจุบันพวกเขาได้เปิดในทีมนักวิจัยที่สนใจเข้าศึกษาตารางธาตุที่พบได้ และมีการวางแผนจะนำตารางธาตุอันนี้ออกแสดงแก่สายตาประชาชนต่อไปภายในปี 2019 นี้   มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์แห่งประเทศสกอตแลนด์   ที่มา livescience

  • ย้อนรอยภาพดัง “คนส่งนมแห่งลอนดอน” ที่ให้กำลังใจผู้คนในยามที่กรุงลอนดอนถูกโจมตี

    ย้อนรอยภาพดัง “คนส่งนมแห่งลอนดอน” ที่ให้กำลังใจผู้คนในยามที่กรุงลอนดอนถูกโจมตี

    เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1940 ในขณะที่กรุงลอนดอนถูกทิ้งระเบิดโจมตีอย่างหนัก ช่างภาพชื่อ Fred Morley ก็ได้ถ่ายภาพภาพหนึ่ง ซึ่งจะกลายเป็นภาพที่สร้างกำลังใจเป็นอย่างมากให้แก่ชาวอังกฤษ ที่กำลังเสียขวัญจากสงครามได้อย่างดี     มันเป็นภาพของคนส่งนมคนหนึ่งที่เดินอยู่บนซากเมืองที่พังเสียหายอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ราวกับว่าสงครามนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเขาเลย แม้ว่าจะมีทหาร และนักดับเพลิงวิ่งไปวิ่งมาในพื้นที่ก็ตาม ภาพที่เห็นนี้นับเป็นหนึ่งในภาพที่โด่งดังที่สุดจากฝั่งอังกฤษเลยก็ว่าได้ และมักถูกนำออกแสดงคู่กับภาพอาสนวิหารนักบุญเปาโล (ซึ่งถูกทิ้งระเบิดแต่ระเบิดด้าน) อยู่เสมอๆ แต่ต่างไปจากภาพของอาสนวิหารนักบุญเปาโลที่บางครั้งก็ถูกฝั่งเยอรมันนำไปทำโฆษณาชวนเชื่อ ภาพของ “คนส่งนมแห่งลอนดอน” ภาพนี้เป็นภาพที่อธิบายลักษณะของอังกฤษที่อดทนต่อการโจมตีของเยอรมันไว้ได้อย่างดีเยี่ยม   ภาพที่มองได้ทั้งในแง่ที่ว่าวิหารไม่โดนระเบิดเลย และเมืองที่ตกอยู่ในเปลวเพลิงโดยมีวิหารเป็นฉากหลัง   อย่างไรก็ตามภาพที่เห็นนี้ ในภายหลังกลับถูกเปิดเผยจากช่างภาพเองว่ามาจากการจัดฉากล้วนๆ เนื่องจากในยามนั้นเขาถูกห้ามไม่ให้ถ่ายภาพ “ความจริงของสงคราม” ที่อาจส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อขวัญกำลังใจของประชาชน ดังนั้นเขาจึงขอยืมเสื้อและลังนมจากคนส่งนมในพื้นที่ ก่อนจะใช้ผู้ช่วยของเขาสวมและถ่ายภาพที่เกี่ยวกับสงครามและทางหนังสือพิมพ์ยอมให้เขาลงภาพได้ในที่สุด   ภาพของประชาชนที่เดินไปทำงานหลังการทิ้งระเบิดจบลง   และแม้ว่าภาพที่เห็นนี้จะเป็นการจัดฉากก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นภาพที่ช่วยชาวอังกฤษจากความสิ้นหวังของสงครามเอาไว้มากมายหลายคนเลยจริงๆ   ที่มา vintag

  • เรือดำน้ำเยอรมันจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีกครั้ง หลังจมไปกว่า 100 ปี

    เรือดำน้ำเยอรมันจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีกครั้ง หลังจมไปกว่า 100 ปี

    ย้อนกลับไปราวๆ 100 ปีก่อน เรือดำน้ำเยอรมันลำหนึ่งเกยตื้นในทางตอนเหนือของฝรั่งเศสด้วยความผิดพลาด ดังนั้นลูกเรือจึงจำเป็นต้องสละเรือและยอมแพ้ต่อฝรั่งเศส ก่อนที่จะปล่อยเรือดำน้ำให้จมลงไปในโคลนทรายไปในเวลาต่อมา แต่แล้วตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา ทรายที่บดบังเรือลำนี้อยู่ก็ค่อยๆ ถูกพัดออกไป เผยเรือดำน้ำ UC-61 ให้โลกใบนี้ได้เห็นกันอีกครั้ง     จากคำบอกเล่าของ Bernard Bracq นายกเทศมนตรีของ Wissant ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เรือลำนี้ปรากฏตัวกลับมาให้คนได้เห็น เพราะตั้งแต่ในอดีต หากกระแสน้ำเป็นใจ ทุกๆ 2-3 ปี เรือลำนี้ก็จะโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นช่วงๆ ก่อนจะหายกลับไปในทรายอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม Vincent Schmitt ไกด์นำเที่ยวท้องถิ่นกลับมองว่าการปรากฏตัวของเรือดำน้ำในครั้งนี้ต่างจากปกติมาก เพราะกระแสน้ำในครั้งนี้ค่อนข้างแรงทำให้ชิ้นส่วนของเรือ UC-61 ปรากฏออกมาให้เห็นชัดเจนกว่าที่เคยเป็น     ดูเหมือนว่าเรือลำนี้จะมีผลงานเคยจมเรือของศัตรูมาแล้วถึง 11 ลำก่อนที่มันจะได้รับหน้าที่เดินทางไปวางทุ่นระเบิดที่หาดเมือง Boulogne-sur-Mer และ Le Havre แต่ก็ต้องมาเกยตื้นเสียก่อนในปี 1917 อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น   ลักษณะของเรือดำน้ำรุ่น UC II ของเยอรมนี ซึ่ง UC-61 ก็เป็นหนึ่งในนั้น   นับว่าเป็นเรื่องที่โชคดีของฝั่งฝรั่งเศสมาก เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะรอดพ้นจากการถูกลอบวางทุ่นระเบิดเท่านั้น แต่การที่มีเรือโบราณปรากฏขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ ก็ยังทำให้หาดแห่งนี้กลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศสไปด้วย…

  • ย้อนรอยเรื่องราวของ “ซุเคะบัน” นักเลงหญิงแห่งญี่ปุ่น ที่แพร่หลายโด่งดังในช่วงยุค 70

    ย้อนรอยเรื่องราวของ “ซุเคะบัน” นักเลงหญิงแห่งญี่ปุ่น ที่แพร่หลายโด่งดังในช่วงยุค 70

    สำหรับคนที่อ่านการ์ตูนญี่ปุ่น อาจจะเคยเห็นภาพของสาวกระโปรงยาวหัวหน้ากลุ่มนักเลงหญิงกันมาบ้าง คนในลักษณะนี้มีชื่อเรียกกันว่า “ซุเคะบัน” (スケバン) ซึ่งแปลตรงๆ ว่า “หัวหน้าหญิง” ตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับ “บันโจ” ของฝั่งผู้ชาย     แม้จะไม่มีการบันทึกที่แน่ชัดว่าเรื่องราวของซุเคะบันเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่เชื่อกันว่าซุเคะบันเริ่มมีบทบาทค่อนข้างชัดเจนในช่วงปลายยุค 60 จนถึงช่วงยุค 70 ของประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าจริงๆ แล้ว ซุเคะบันจะหมายถึงคนคนเดียว แต่เมื่อกาลเวลาผ่าน ลักษณะของซุเคะบันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย ทำให้บ่อยครั้งซุเคะบันจะถูกเหมารวมว่าใช้กับผู้หญิงที่เป็น “แยงกี้” (ราวๆ ว่านักเลงของญี่ปุ่น)     อย่างที่กล่าวไว้ด้านบนว่าผู้หญิงที่เป็นแยงกี้หรือซุเคะบันมักจะมีการแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ พวกเธอมักจะใส่กระโปรงยาว พับแขนเสื้อ หรือบางทีก็ใส่เสื้อคลุมยาว และผ้าคาดศีรษะเอาไว้ด้วย มีแนวคิดที่หลากหลายที่อธิบายการแต่งตัวของพวกเธอ ตั้งแต่เป็นการประท้วงที่นักเรียนต้องใส่ชุดนักเรียนปกกะลาสี เป็นการแสดงออกถึงความตั้งใจที่จะแหกกฎ เรื่อยไปจนการใส่กระโปรงยาวช่วยให้พวกเธอซ่อนอาวุธได้ง่ายขึ้น     แน่นอนว่าต่อมาวัฒนธรรมย่อยอย่างซุเคะบันก็ค่อยๆ หายไปจากสังคมของโรงเรียนของญี่ปุ่นทีละน้อย (อาจจะเพราะเป็นการต่อต้านที่โจ่งแจ้งเกินไป) จนกระทั่งปลายยุค 80 เราก็แทบไม่เห็นซุเคะบันในโรงเรียนญี่ปุ่นอีกต่อไป นี่ไม่ได้หมายความว่าวัฒนธรรมต่อต้านกฎเกณฑ์ในโรงเรียนหมดไปแล้วแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะวัฒนธรรมซุเคะบันและแยงกี้ ถูกทดแทนด้วยวัฒนธรรม “สาวแกล” (ギャル) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแต่งหน้าจัด ทำผิวแทน และใส่กระโปรงสั้น  …

  • พบรูปสลักอียิปต์โบราณ ที่ถูกลบใบหน้าทิ้งไปในอดีต คาดเกี่ยวข้องกับความเชื่อหลังความตาย

    พบรูปสลักอียิปต์โบราณ ที่ถูกลบใบหน้าทิ้งไปในอดีต คาดเกี่ยวข้องกับความเชื่อหลังความตาย

    สำหรับชาวอียิปต์โบราณแล้ว การถูกจดจำหลังจากที่ตายไปนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ดังนั้นการที่นักโบราณคดีพบว่าใบหน้าของรูปสลักโบราณในอดีต ที่เคยถูกลบทิ้งไปในสมัยก่อน จึงทำให้การค้นพบที่ดูจะธรรมดาๆ ในครั้งนี้กลายเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาไป     นี่เป็นรูปสลักหินปูนของคู่สามีภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งมีการค้นพบในวิหารโบราณที่ Tell Edfu เมืองโบราณทางตอนใต้ของประเทศอียิปต์ และมีจุดเด่นที่ใบหน้ากับตัวอักษรที่สลักไว้แสดงชื่อและอาชีพถูกลบออกไป เหลือเอาไว้เพียงรูปสลักที่ดูไม่ออกว่าจริงๆ แล้วเป็นของใคร ร่องรอยการลบใบหน้าที่พบนั้นมีความเก่าแก่มากเกินกว่าที่จะเป็นฝีมือของคนในปัจจุบัน ดังนั้นนักโบราณคดีจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่ารูปปั้นทั้งสองรูปนี้ น่าจะถูกลบใบหน้าไป หลังจากที่บุคคลที่เป็นต้นแบบของมันเสียชีวิตไปได้ไม่นานเท่านั้น Nadine Moeller ผู้ดูแลโปรเจกต์การขุดค้นที่ Tell Edfu เล่าว่า  มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ซึ่งลบใบหน้าออกจากรูปปั้นจะอยากลบบุคคลที่เป็นต้นแบบของลูกปั้นออกไปจากความทรงจำของผู้คนด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง   วิหารในเมือง Tell Edfu สถานที่ที่มีการค้นพบรูปสลัก   อย่างไรก็ตามจากการที่คนอียิปต์เชื่อว่าการสลักใบหน้าและชื่อของตัวเองจะช่วยให้เทพสามารถติดตามกรรมในด้านดีของพวกเขาได้ในโลกหลังความตาย ก็ทำให้มีความเป็นไปได้มากที่ใครก็ตามที่ลงมือลบชื่อและใบหน้าของคู่สามีภรรยาคู่นี้ จะทำไปด้วยความประสงค์ร้าย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดการกระทำของคนคนนั้นก็ทำให้การถอดรหัสอักษรที่เคยมีอยู่บนรูปปั้นเป็นไปได้อย่างยากลำบากมาก โดยจนถึงปัจจุบันนักโบราณคดียังคงบอกได้เพียงว่าทั้งสองมีคำนำหน้าที่ใช้กับชนชั้นสูงก็เท่านั้น แต่แม้ว่าการค้นพบรูปสลักในครั้งนี้จะดูน่าสนใจมากๆ ก็ตาม รูปสลักที่พบก็ไม่ใช่โบราณวัตถุเพียงชิ้นเดียวที่มีการขุดพบในวิหารแห่งนี้เสียทีเดียว เพราะนักโบราณคดียังมีการค้นพบรูปปั้นแกะสลักด้วยหินสีดำของชายที่ชื่อว่า “Juf” ที่กำลังถือกระดาษปาปิรุส และมีความสมบูรณ์ไม่ได้ถูกทำลายอีกด้วย     ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันนักโบราณคดีจะยังไม่อาจฟันธงได้ว่า โบราณวัตถุทั้งสองจะเป็นของชายคนเดียวกันหรือไม่ แต่นักโบราณคดีก็ยังไม่ละทิ้งความเป็นไปได้ที่ว่ารูปปั้นรูปนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับรูปสลักไร้หน้าแต่อย่างใด และในช่วงเวลาที่การขุดค้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์เช่นนี้ เหล่านักโบราณคดีก็หวังกันเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะสามารถหาข้อมูลเพิ่มเต็มเกี่ยวกับคู่สามีภรรยาที่ถูกลบหน้า จากการตรวจสอบวิหารเพิ่มเติมในอนาคต   ที่มา livescience, archaeology

  • ย้อนรอย “Plague Doctor” หมออีกาดำที่มีภาพลักษณ์อยู่กับความตาย มากกว่าการช่วยชีวิต

    ย้อนรอย “Plague Doctor” หมออีกาดำที่มีภาพลักษณ์อยู่กับความตาย มากกว่าการช่วยชีวิต

    ชุดคลุมหนัง หมวกทรงสูง ถือไม้เท้า และหน้ากากคล้ายอีกา สิ่งเหล่านี้คือภาพอันเป็นเอกลักษณ์ ของกลุ่มคนที่รู้จักกันในนาม “หมออีกาดำ” หรือ “หมอกาฬโรค” (Plague Doctor) เหล่าหมอจำเป็นแห่งศตวรรษที่ 17-19 ในช่วงเวลานั้นประชากรยุโรปลดลงไปเป็นอย่างมากจากโรคร้าย ดังนั้นเมื่อไม่มีทางเลือกเมืองหลายๆ แห่งจริงจำเป็นต้องจ้างหมอสายพันธุ์ใหม่มาเพื่อดูแลเมือง และในช่วงเวลานี้เองที่เรื่องราวของหมออีกาดำโด่งดังขึ้น     หมออีกาดำหากจะว่ากันตรงๆ แล้วก็คือกลุ่มหมอที่ประกอบไปด้วยแพทย์ระดับล่าง หมอที่ยังไร้ประสบการณ์ หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่ได้เรียนการแพทย์มาก่อนเลยด้วยซ้ำ แน่นอนว่าการที่สมาชิกเป็นแบบนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่การรักษาของหมออีกาดำส่วนใหญ่แล้วจะไม่ได้ผลจริงๆ พวกเขามักรักษาคนไข้ด้วยการรีดเลือด ใช้สารปรอท และความเชื่อผิดๆ อื่นๆ ในสมัยนั้น จนทำให้บ่อยครั้ง คนไข้ก็ยิ่งตายเร็วขึ้นกว่าที่ควรเป็นอีก เท่านั้นยังไม่พอเพราะด้วยความที่มาจากกลุ่มคนที่มีฐานะหลากหลาย บ่อยครั้งหมออีกาดำยังมักขโมยของจากศพที่ตายในระหว่างการรักษา หรือแอบขายยาในราคาเกินจริงให้กับคนมีฐานะ     ชื่อเสียงเหล่านี้ทำให้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่หมออีกาดำจะถูกจดจำในรูปแบบที่ไม่ดีเท่าไหร่ อีกทั้งยังมีภาพลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับโรคร้ายและความตายจนกลายเป็นที่หวาดกลัวในภายหลัง เดิมทีแล้วหมออีกาดำเป็นงานถูกออกแบบมาให้ทำงานในพื้นที่ที่มีตัวเลขของผู้ติดเชื้อสูง และมีงานหลักในการดูแลผู้ป่วยเป็นโรคติดต่อ ดังนั้นหมออีกาดำจึงมักจะทำงานใน “เครื่องแบบ” อยู่เสมอๆ โดยเจ้าเครื่องแบบที่เป็นที่รู้จักของหมออีกาดำถูกคิดค้นขึ้นมาครั้งแรกในปี 1619 โดย Charles de l’Orme หัวหน้าหน่วยแพทย์ของกษัตริย์แห่งฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับการรักษาที่ไม่ได้ผลจริงๆ ชุดกันเชื้อโรคที่หมออีกาดำใส่ก็ใช่ว่าจะป้องกันโรคได้จริงๆ เช่นกัน     นั่นเพราะคนสมัยก่อนเชื่อกันว่าโรคภัยไข้เจ็บเดินทางผ่านกลิ่นเหม็น…

  • เปิดตำนาน “จอห์นสันผู้กินตับ” ชายผู้ออกล้างแค้นให้ภรรยา ด้วยการฆ่าและกินศัตรูคู่แค้น

    เปิดตำนาน “จอห์นสันผู้กินตับ” ชายผู้ออกล้างแค้นให้ภรรยา ด้วยการฆ่าและกินศัตรูคู่แค้น

    เคยได้ยินตำนานของ “จอห์นสันผู้กินตับ” แห่งรัฐไวโอมิง สหรัฐอเมริกากันไหม? มันเป็นเรื่องของชายคนหนึ่งที่ต้องเสียภรรยาไปในการโจมตีของอินเดียนแดง ดังนั้นเขาจึงออกล้างแค้น ด้วยการสังหารและกินตับศัตรูของเขาเสีย     จอห์นสันผู้กินตับ มีชื่อจริงๆ ว่า “John Jeremiah Garrison Johnston” เชื่อกันว่าเกิดเมื่อปี 1824 ที่รัฐนิวเจอร์ซี และเข้าเป็นทหารเรือในสงครามเม็กซิกันอเมริกัน ก่อนที่จะหนีทัพในเวลาต่อมาหลังจากที่เขาไปสังหารนายทหารระดับสูงเข้า (ไม่แน่ใจว่าเพราะอุบัติเหตุ หรือจงใจกันแน่) เขาหนีมาอยู่ที่รัฐมอนแทนา ได้พบรักกับภรรยาที่เป็นสาวอินเดียนแดงเผ่าหัวแบน (Flathead) และอยู่ด้วยกันเรื่อยมาจนเธอตั้งครรภ์ จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 1847 ภรรยาของเขาก็ถูกฆ่าโดยอินเดียนแดงเผ่าอีกา     เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้จอห์นสันโกรธแค้นมากดังนั้นเขาจึงออกไล่ล่าอินเดียนแดงเผ่าอีกาด้วยอาวุธจากสมัยที่เขาเป็นทหาร อย่างไรก็ตามการสังหารศัตรูเป็นจำนวนมากนั้นไม่ใช่เรื่องเดียวที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวในตัวเขา แต่เป็นเพราะตัวจอห์นสันจะกินตับศัตรูทุกคนที่เขาสังหารด้วย ดูเหมือนว่าที่เขาทำแบบนั้นเป็นเพราะอินเดียนแดงเผ่าอีกาเชื่อว่าคนตายจะได้ไปโลกหน้าได้ต่อเมื่อมีตับอยู่เท่านั้น ดังนั้นเพื่อไม่ให้ศัตรูของเขาได้ตายอย่างสงบจอห์นสันจึงควักเอาใบผ่านทางสู่โลกหน้าของเผ่าอีกามากินเสีย และแน่นอนว่ากลายเป็นที่มาของสมญานาม “ผู้กินตับ” ของเขาไป     ว่ากันว่าจอห์นสันผู้กินตับสังหารเผ่าอีกาไปมากกว่า 300 คน แถมขนาดโดนจับปลดอาวุธส่งให้เผ่าอีกาเขาก็ยังหนีออกมาได้ โดยตัดขายามมากินเป็นของแถมด้วย จนทำให้ชื่อของเขากลายเป็นที่หวาดกลัวของชาวอินเดียนแดงไปได้ไม่ยากเลย ไม่มีบันทึกไว้แน่ชัดว่าการล้างแค้นของจอห์นสันจบลงจริงๆ เมื่อไหร่ แต่นักโบราณคดีหลายๆ รายก็เชื่อว่าเผ่าอีกาน่าจะขอสงบศึกกับเขาในตอนที่ชาวอินเดียนแดงต้องรวมกองกำลังหลายๆ ชนเผ่าไปรบกับสหรัฐอเมริกา ดังนั้นจอห์นสันจึงได้กลับไปอยู่อย่างสงบสุขอีกครั้ง   ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง Jeremiah…

  • พบชิ้นส่วนอาวุธหินอายุมากกว่า 25,000 ปี ฝังในซี่โครงแมมมอธ เชื่อมาจากการล่าในสมัยก่อน

    พบชิ้นส่วนอาวุธหินอายุมากกว่า 25,000 ปี ฝังในซี่โครงแมมมอธ เชื่อมาจากการล่าในสมัยก่อน

    เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาสื่อต่างประเทศได้รายงานการค้นพบ ชิ้นส่วนอาวุธหินโบราณ อายุมากกว่า 25,000 ปีฝังอยู่ในซี่โครงของช้างแมมมอธ ที่ทางตอนใต้ของประเทศโปแลนด์     การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่นักวิทยาศาสตร์ได้เข้าตรวจสอบซากช้างแมมมอธ 110 ตัว ภายในแหล่งโบราณสถานที่มีการค้นพบกันมาตั้งแต่เมื่อปี 1967 และเชื่อกันว่าเคยเป็นพื้นที่ล่าช้างแมมมอธแห่งสำคัญในช่วงยุคหินเพลิโอะลีธอิค เดิมทีแล้วนักโบราณคดีเชื่อว่าคนสมัยก่อนจะใช้วิธีต้อนแมมมอธให้ตกหน้าผาในการล่าสัตว์ แต่จากหลักฐานล่าสุดนี้ก็ทำให้พวกเขาทราบว่าคนในสมัยนั้น จริงๆ แล้วใช้วิธีการล่าที่เถรตรงกว่านั้นมาก พวกเขาจะขว้างหรือยิงอาวุธหินใส่ตัวแมมมอธจากระยะไกล และอาศัยแรงที่ได้มาในการส่งอาวุธแทงทะลุร่างผิวหนังของแมมมอธ ซึ่งในกรณีนี้ตัวอาวุธได้รับแรงมากพอที่จะฝังลงไปในตัวแมมมอธถึง 8 เซนติเมตร และฝากร่องรอยไว้กับกระดูก     Piotr Wojtal จากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งโปแลนด์บอกว่าการค้นพบในครั้งนี้นับว่าเป็นการค้นพบหลักฐานการล่าช้างแมมมอธอย่างเป็นชิ้นเป็นอันครั้งแรกของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากชิ้นส่วนอาวุธหินที่พบแล้วพวกเขายังพบกับร่องรอยของเครื่องมือหินที่คาดว่าใช้ในการแล่เนื้อและถลกหนังในพื้นที่แห่งนี้อีกด้วย แต่ถึงแม้ว่าคุณ Wojtal จะบอกว่านี่เป็นการค้นพบหลักฐานอย่างเป็นชิ้นเป็นอันครั้งแรกของโลกก็ตาม แต่จากการรายงานของสื่อต่างประเทศ ในปี 2012 เราก็เคยมีการค้นพบหลักฐานการล่าช้างแมมมอธในรูปแบบนี้มาแล้วที่อ่าว Yenisei ทางตอนใต้ของขั้วโลกเหนือ     แต่แม้ว่านี่อาจจะไม่ใช่การค้นพบหลักฐานโดยตรงที่ว่ามนุษย์มีการล่าช้างแมมมอธก็ตาม แต่การค้นพบในครั้งนี้ก็ยังคงเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมากๆ ครั้งหนึ่งอยู่ดี เพราะการที่มีหลักฐานคนโบราณล่าแมมมอธอย่างแพร่หลายเช่นนี้ อาจจะเป็นการช่วยส่งเสริมทฤษฎีที่ว่าช้างแมมมอธนั้นสูญพันธุ์จากการล่าของมนุษย์ก็เป็นได้   ที่มา allthatsinteresting

  • พบสุสาน 2 แห่งในโอเอซิสที่อียิปต์ เชื่อมาจากยุคโรมันโบราณ และมีภาพการทำมัมมี่วาดไว้

    พบสุสาน 2 แห่งในโอเอซิสที่อียิปต์ เชื่อมาจากยุคโรมันโบราณ และมีภาพการทำมัมมี่วาดไว้

    เมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมากระทรวงโบราณวัตถุของประเทศอียิปต์ได้ประกาศการค้นพบสุสานจากสมัยโรมันโบราณ 2 แห่งภายในแห่งโบราณคดี Ber El-Shaghala ภายในโอเอซิส Dakhla ที่ทะเลทรายทางตะวันตกของประเทศ     สุสานโบราณทั้งสองถูกสร้างขึ้นจากอิฐโคลนเหมือนกัน แต่กลับมีความแตกต่างทางรูปแบบสถาปัตยกรรมค่อนข้างมาก โดยในสุสานแห่งแรกจะประกอบไปด้วยรูปภาพสีสดใสในรูปแบบงานศิลป์ที่นิยมกันในสมัยโรมัน ซึ่งวาดขึ้นเพื่อบรรยายขั้นตอนการทำมัมมี่ ศาลเจ้า และแท่นบูชาที่ทำจากหินทราย     ส่วนสุสานอีกแห่ง กระทรวงโบราณวัตถุได้อธิบายไว้ว่ามีบันไดทราย 20 ขั้นเชื่อมจากทางเข้าสุสานไปจนถึงห้องโถ่งกลาง และห้องฝังศพ แถมยังมีการค้นพบโครงกระดูก โคมไฟดินเผา และเครื่องปั้นดินเผาอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง สภาพของสุสานทั้งสองนั้นได้รับความเสียหายค่อนข้างมากตามกาลเวลา จนถึงขั้นที่ว่าเพดานและกำแพงครึ่งบนพังไปหมด ทำให้รายละเอียดของภาพที่พบไม่สมบูรณ์เท่าที่นักโบราณคดีหวังไว้ และข้อมูลการค้นพบหลายๆ ส่วนก็ยังคงอยู่ในขั้นตอนการวิเคราะห์ของนักโบราณคดีเท่านั้น   น่าเสียดายที่ทางกระทรวงโบราณวัตถุของอียิปต์ ไม่ได้มีการเปิดเผยภาพของสุสานแห่งที่สองออกมาแต่อย่างใด   อย่างไรก็ตามการค้นพบในครั้งนี้ก็ไม่ใช่การค้นพบที่เหล่านักโบราณคดีจะสามารถมองข้ามไปได้เลย เพราะสถาปัตยกรรมในช่วงยุคโรมันที่อาณาจักรตอนบน (Upper Egypt) นั้นมีอยู่อย่างจำกัดมาก ทำให้ที่แห่งนี้กุมความลับของชาวอียิปต์ในช่วงยุคโรมันเอาไว้มากมายเหลือเกิน   ที่มา dailymail, foxnews และ livescience

  • “ความตายของทหารอิรัก” ภาพความโหดร้ายของสงคราม จากทางหลวงมรณะเมื่อปี 1991

    “ความตายของทหารอิรัก” ภาพความโหดร้ายของสงคราม จากทางหลวงมรณะเมื่อปี 1991

    ในช่วงเวลาที่โลกห่างจากสงครามใหญ่ๆ มาหลายปี สงครามกลายเป็นเครื่องมือที่วงการบันเทิงนำมาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย จนทำให้คนหลายๆ คนในเวลานั้นเริ่มที่จะลืมความโหดร้ายของสงครามไป แต่นั่นเป็นสิ่งที่ช่างภาพข่าวอย่าง Ken Jarecke จะไม่ยอมใช้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเดินทางไปยังอิรักในปี 1991 และถ่ายภาพที่โลกใบนี้จะต้องจดจำกลับมา     นี่เป็นภาพของชายที่ร่างถูกเผาอย่างน่าสยดสยองที่ถูกมองผ่านกระจกหน้ารถบรรทุกโดยมีแสงอาทิตย์เป็นฉากหลัง ซึ่งน่าหดหู่มากจนเกือบจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภาพขาวดำทั้งๆ ที่เป็นภาพสี ศพที่เห็นนี้เป็นหนึ่งในเหยื่อจำนวนมากของเหตุการณ์ “Highway of Death” (ทางหลวงมรณะ) เหตุการณ์ที่กองทัพสหรัฐฯ ได้โจมตีใส่ทหารอิรักนับพันที่กำลังล่าถอยบนทางหลวงหมายเลข 80 ทั้งๆ ที่มีการทำข้อตกลงหยุดยิง     การปฏิบัติการในครั้งนั้น ทำให้ทางหลวงธรรมดาๆ แห่งหนึ่งกลายเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยซากศพ และสะท้อนความโหดร้ายของสงครามได้อย่างโหดร้ายและเจ็บปวด แน่นอนว่าภาพของ Ken Jarecke ต้องทำให้ทางกองทัพสหรัฐฯ ไม่พอใจอย่างแน่นอน แต่ชายหนุ่มก็มีเหตุผลในการถ่ายภาพของเขาที่ว่า “หากผมไม่ถ่ายภาพนี้ ประชาชนแบบแม่ของผม จะคิดว่าสงครามมันเป็นเหมือนในทีวี”  จริงอยู่ว่าภาพของ Ken Jarecke จะถูกปฏิเสธการเผยแพร่จากสื่อในสหรัฐอเมริกาเอง แต่ในประเทศอื่นๆ ภาพของเขากลับถูกหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับนำไปลง จนกลายเป็นภาพสุดโด่งดังไป     และในช่วงเวลาที่ภาพของเขาโด่งดังไปทั่วอินเตอร์เน็ตและสื่ออื่นๆ เช่นนี้เอง Ken Jarecke ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนเราก็คงจะพร้อมแล้วที่จะตัดสินความโหดร้ายของสงครามตามที่สงครามเป็นจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่เห็นในทีวี  …

  • เรื่องราวเบื้องหลังภาพ Keith Sapsford เด็กตกจากเครื่องบินในปี 1970 เพราะซ่อนตัวในช่องเก็บล้อ

    เรื่องราวเบื้องหลังภาพ Keith Sapsford เด็กตกจากเครื่องบินในปี 1970 เพราะซ่อนตัวในช่องเก็บล้อ

    ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1970 ในขณะที่ช่างภาพชาวออสเตรเลียชื่อ John Gilpin กำลังถ่ายภาพเครื่องบินในสนามบินที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เขาก็บังเอิญไปเห็นเด็กคนหนึ่งตกลงมาจากเครื่องบิน และได้ถ่ายภาพที่จะกลายเป็นที่จดจำไปอีกนานเอาไว้     เด็กคนที่เห็นในภาพนี้มีคือ Keith Sapsford เด็กชายชาวออสเตรเลีย ผู้ซึ่งตัดสินใจแอบซ่อนในที่เก็บล้อของเครื่องบิน DC-8 จากสายการบิน Japan Airlines ที่มีกำหนดการมุ่งสู่ประเทศญี่ปุ่น แต่แทนที่แผนการนี้จะทำให้เด็กชายได้ขึ้นเครื่องบินฟรี เขากลับพลัดตกลงมาจากความสูง 60 เมตรในขณะที่เครื่องบินพับเก็บล้อ และตกลงมากระแทกพื้นเสียชีวิต   ภาพตัวอย่างเครื่อง DC-8 จากปี 1978   จากคำบอกเล่าของผู้เป็นบิดา ดูเหมือนว่า Keith จะเป็นเด็กที่รักในการผจญภัยและหนีออกจากบ้านอยู่ไปเที่ยวหลายครั้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ทางบ้านเองก็ไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มจะถึงขั้นแอบเกาะล้อเครื่องบินเช่นนี้ เป็นไปได้ว่าหลังจากที่หนีออกมาจากบ้านในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ Keith จะเข้ามาแอบอยู่ในสนามบิน ก่อนจะหาโอกาสปีนล้อเครื่องบินเข้าไปซ่อนอยู่ที่ช่องเก็บล้อของเครื่อง   ลักษณะช่องเก็บล้อของเครื่อง Boeing 747   โดยจากคำให้การของช่างเทคนิค Keith จะจะซ่อนตัวอยู่ที่ช่องว่างดังกล่าวเป็นเวลานานก่อนที่เครื่องบินจะขึ้นบิน เพราะในช่วงที่พวกเขานำผู้โดยสารขึ้นเครื่องไม่มีใครสังเกตเห็นเด็กหนุ่มเลย จริงอยู่ว่าการกระทำของ Keith  อาจจะเป็นเรื่องที่ดูเป็นการตัดสินใจที่แปลก แต่เด็กหนุ่มคนนี้เองก็ไม่ใช่คนๆ แรกที่แอบขึ้นเครื่องบินในลักษณะนี้และพลาดจนเสียชีวิต และแน่นอนว่าไม่ใช่คนสุดท้ายด้วย     อย่างไรก็ตามทางทีมแพทย์ไม่แนะนำให้ใครก็ตามทำตามกลุ่มคนเหล่านี้อย่างเด็ดขาด เพราะไม่เพียงแต่จะผิดกฎหมายเท่านั้น…

  • “การประหารด้วยปืนใหญ่” วิธีการสุดโหดที่เอานักโทษไปมัดกับปืนใหญ่ และเป่าร่างเป็นชิ้นๆ

    “การประหารด้วยปืนใหญ่” วิธีการสุดโหดที่เอานักโทษไปมัดกับปืนใหญ่ และเป่าร่างเป็นชิ้นๆ

    ตั้งแต่ในอดีต การประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชนมักจะมีเหตุผลเพื่อข่มขวัญประชาชนหรือศัตรู ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วิธีประหารชีวิตหลายๆ อย่างในประวัติศาสตร์จึงออกมาดูโหดร้ายทารุณ และหนึ่งในบรรดาการประหารสุดโหดเหล่านั้น ก็ยังมีการประหารที่ฟังดูออกจะเวอร์เกินจริง อย่างการนำร่างของเหยื่อไปผูกติดกับปืนใหญ่ก่อนจะจุดชนวนเป่าร่างของพวกเขาเป็นชิ้นๆ อยู่ด้วย     การประหารในรูปแบบนี้เรียกกันว่า “การประหารด้วยปืนใหญ่” หรือ “ระเบิดด้วยปืน” มันเป็นการประหารที่เชื่อกันว่าใช้งานมาตั้งแต่ในศตวรรษที่ 16 โดยจักรวรรดิโมกุล และถูกใช้งานมาจนถึงช่วงศตวรรษที่ 20 โดยทหารจากหลากหลายประเทศ George Carter Stent (1833-1884) ทหารผ่านศึกผู้ผันตัวเป็นนักเขียนในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ได้ทำการอธิบายการประหารในรูปแบบนี้ไว้ว่า “เมื่อปืนใหญ่ยิงออกไป ศีรษะของนักโทษจะโดนแรงระเบิดปลิวขึ้นไปบนฟ้า แขนปลิวไปทางซ้ายขวา ขาตกลงไปใต้ปากกระบอกปืน ส่วนตัวของนักโทษกระจายไปไม่เหลือชิ้นดี”     ดูเหมือนว่าการประหารแบบนี้จะเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในช่วงการปฏิวัติของอินเดียในปี 1857 การทำแบบนี้จะทำให้ร่างของนักโทษไม่สามารถนำไปทำพิธีทางศาสนาของชาวมุสลิมและชาวฮินดูได้ ดังนั้นการถูกประหารเช่นนี้จึงถูกมองว่าโหดร้ายยิ่งกว่าความตาย อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับการประหารชีวิตอื่นๆ การประหารด้วยปืนใหญ่เริ่มสูญเสียความนิยมไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา ทำให้การประหารเช่นนี้ถูกจัดขึ้นครั้งสุดท้ายก็ที่อัฟกานิสถานเมื่อปี 1930 เลยทีเดียว (บางแหล่งข้อมูลบอกว่าแม้แต่ในปี 2012 เกาหลีเหนือก็เคยมีการประหารในลักษณะนี้เช่นกัน แต่ในเวลานั้นนักโทษถูกบังคับให้ไปยืนที่จุดตกของปืนครก ดังนั้นจึงไม่อาจนับได้ว่าเหมือนกันเท่าไหร่)     ที่มา vintag, strangehistory

  • La Catedral คุกสุดหรูของ “ปาโบล เอสโคบาร์” ที่ดูยังไงก็เหมือนโรงแรมมากกว่าเรือนจำ

    La Catedral คุกสุดหรูของ “ปาโบล เอสโคบาร์” ที่ดูยังไงก็เหมือนโรงแรมมากกว่าเรือนจำ

    หลังจากที่ความพยายามในการตามล่าราชาโคเคน “ปาโบล เอสโคบาร์” ของประเทศโคลอมเบียจบลงด้วยความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดเมื่อปี 1991 ปาโบลก็ยอมตกลงรับโทษจำคุกจากทางรัฐบาลโคลอมเบียจนได้ อย่างไรก็ตามการมอบตัวในครั้งนั้นมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือเขาต้องการที่จะถูกขังในคุกที่เขาสร้างขึ้นมาเอง     คุกแห่งที่ว่านี้มีชื่อว่า La Catedral (แปลตรงๆ ว่า “มหาวิหาร”) มันเป็นคุกขนาดใหญ่ที่ถูกตั้งอยู่บนภูเขาใกล้ๆ เมืองเมเดยิน และออกแบบมาให้มีความหรูหราเป็นอย่างยิ่ง ในตัว “คุก” มีทั้งห้องครัว ห้องเล่นบิลเลียด ดิสโก้ บาร์หลายแห่ง ทีวีจอยักษ์ อ่างจากุซซี่ สนามฟุตบอล หรือแม้กระทั่งน้ำตก ว่ากันตามตรง La Catedral นั้นเหมือนกับเป็นปราสาทสำหรับราชายาเสพติดมากกว่าคุกเสียอีก     แต่ความหรูหรานั้นไม่ใช่เพียงจุดเด่นจุดเดียวของ La Catedral เพราะสถานที่แห่งนี้ถูกเลือกมาโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของปาโบลเป็นปัจจัยหลักเช่นกัน นั่นเพราะภูมิประเทศที่เป็นเขาสูงบวกกับอยู่ในพื้นที่ที่ปาโบลมีอิทธิพลช่วยป้องกันการโจมตีจากศัตรูคู่แข่ง แถมลักษณะอากาศซึ่งมักจะมีหมอกก็ทำให้การแอบสอดแนม และการจู่โจมทางอากาศเกิดขึ้นได้ยากอีก     แน่นอนว่าชีวิตของปาโบลในคุกแห่งนี้เป็นไปอย่างสุขสบาย เขาทานอาหารสุดหรูอย่างแซลมอนสดๆ หรือคาเวียร์ ในอ้อมกอดของสาวงาม แถมยังเคยชวนทีมฟุตบอลของโคลอมเบียมาแข่งขันในสนามฟุตบอลส่วนตัวของเขาอีก แต่ถึงแม้ว่าจะใช้ชีวิตสบายสุดๆ เช่นนี้ก็ตาม ในปี 1992 ปาโบลกลับสั่งสังหารหัวหน้าแก๊งค้ายารายอื่นๆ พร้อมกับครอบครัวจากในคุก และทำให้ทางรัฐบาลมองว่าเป็นการกระทำที่ข้ามเส้นจนเกินไป     แต่กว่าที่ทหารจะไปถึง La Catedral ปาโบลก็หายตัวไปเรียบร้อยแล้ว…

  • นักโบราณคดีพบโรงอาบน้ำมายาอายุ 2,500 ปีที่กัวเตมาลา หลังจากคิดว่าเป็นสุสานมาโดยตลอด

    นักโบราณคดีพบโรงอาบน้ำมายาอายุ 2,500 ปีที่กัวเตมาลา หลังจากคิดว่าเป็นสุสานมาโดยตลอด

    ในช่วงปี ค.ศ. 2014 ทีมนักโบราณคดีที่นำโดยคุณ Jarosław Źrałka ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาโบราณคดีที่มหาวิทยาลัย Jagiellonian ของโปแลนด์ ได้ทำการค้นพบโบราณสถานอายุกว่า 2,500 ปี ที่นคร Nakum เมืองมายาโบราณ ในกัวเตมาลา     ในเวลานั้นพวกเขาคิดว่าโบราณสถานที่พวกเขาพบเป็นหนึ่งในสุสานของเผ่ามายา และเริ่มทำการขุดค้นอย่างช้าๆ แต่ประณีตตลอดช่วงเวลาเกือบๆ 5 ปีหลังจากนั้น และเมื่อเวลาผ่านไปสักพักทีมนักโบราณคดีก็ได้พบกับความจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับโบราณสถานแห่งนี้เข้าจนได้ เพราะที่แห่งนี้ไม่ใช่สุสานอย่างที่พวกเขาเข้าใจ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นโรงอาบน้ำของเผ่ามายาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่โลกเคยพบมาเลยด้วย จากคำบอกเล่าของ Źrałka ที่แห่งนี้เป็นโรงอาบน้ำแบบที่มีระบบอบไอน้ำด้วย สร้างขึ้นด้วยการแกะสลักเข้าไปในชั้นหินปูน และน่าจะถูกใช้งานในสมัยก่อน ทั้งในฐานะสถานที่ประกอบพิธีกรรม และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ   ภาพสามมิติของโรงอาบน้ำที่ถูกสร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากโบราณสถานที่พบ   ดูเหมือนว่าในความเชื่อของเผ่ามายา ถ้ำกับโรงอาบน้ำจะเป็นสิ่งที่คล้ายกันมาก เพราะมันเป็นที่ที่ทั้งพระเจ้าและมนุษย์กำเนิดขึ้น นอกจากนี้มันยังเป็นประตูสู่โลกหลังความตาย และเป็นจุดเริ่มต้นของสายน้ำแห่งชีวิต จากร่องรอยที่พบแล้ว นักโบราณคดีก็เชื่อว่าโรงอาบน้ำนี้น่าจะถูกใช้งานในช่วง 700-300 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนที่จะมีการปิดทางเข้าด้วยเศษหิน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นสืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองเผ่า และแม้ว่าโรงอาบน้ำนี้จะผ่านกาลเวลามากว่า 2,500 ปีแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ (เมื่อเทียบกับโบราณสถานมายาอื่นๆ) ดังนั้นทีมนักโบราณคดีจึงเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าสถานที่แห่งนี้ จะนำมาซึ่งความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับเผ่ามายาต่อไปในอนาคต     ที่มา livescience

  • ชม 14 ภาพโปสเตอร์จากช่วงศตวรรษที่ 20 ที่กำลังจะถูกขายในราคาร่วม 3 ล้านบาท

    ชม 14 ภาพโปสเตอร์จากช่วงศตวรรษที่ 20 ที่กำลังจะถูกขายในราคาร่วม 3 ล้านบาท

    เพื่อนๆ เป็นคนชอบสะสมของเก่ากันไหม เป็นคนชอบสกีกันรึเปล่า หากคำตอบคือใช่ทั้งสองข้อ ในเวลานี้ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา “Swann Galleries” ห้องแสดงภาพและโรงประมูล มีชื่อ กำลังทำการประกาศขายโปสเตอร์วินเทจสุดงดงามอยู่ นี่เป็นโปสเตอร์จากช่วงศตวรรษที่ 20 ที่รวมเอาภาพโปรโมทกีฬาบนหิมะ จากช่วงปี 1908 เรื่อยไปยันช่วงเปลี่ยนผ่านศตวรรษเอาไว้ โดยมีราคาตั้งแต่ 94,000 บาท, 140,000 บาท, 200,000 บาท ไปจนถึง 2.8 ล้านบาท สำหรับคนที่ต้องการเหมาภาพทั้งหมดเลย แต่สำหรับคนที่ไม่มีเงินก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ได้นำภาพบางส่วนมาให้เพื่อนๆ ชมกันแล้วที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากภาพโปรโมทการแข่งสกีนานาชาติจากปี 1908   โปสเตอร์โฆษณารีสอร์ทหรูหราในสวิตเซอร์แลนด์   โปสเตอร์ที่มีภาพประกอบละเอียดและซับซ้อนเพื่อโฆษณาสกีรีสอร์ท “Font Romeu” ในเทือกเขาพิเรนีส   โปสเตอร์สาวถือสกีที่มีกวางอยู่ด้านหลัง ใช้โฆษณาสกีรีสอร์ทเช่นกัน   โปสเตอร์ที่มีเทือกเขา Niederhorn เป็นฉากหลัง   โปสเตอร์โปรโมทกิจกรรมและการแข่งขันที่เกิดขึ้นในรีสอร์ท Engelberg   โปสเตอร์เนินขาวสูงชันเป็นจุดขาย   โปสเตอร์โปรโมทการแข่งสกีในปี 1939  …

  • ย้อนรอย “สถานบริการ” แห่งเมืองปอมเปอี อีกด้านหนึ่งของเมืองโบราณที่ไม่ค่อยมีการพูดถึง

    ย้อนรอย “สถานบริการ” แห่งเมืองปอมเปอี อีกด้านหนึ่งของเมืองโบราณที่ไม่ค่อยมีการพูดถึง

    ตั้งแต่ที่มีการถูกค้นพบในช่วงศตวรรษที่ 18 เมืองปอมเปอีก็มอบวัตถุโบราณและความรู้ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของชาวโรมันในอดีตให้กับโลกเป็นจำนวนมาก ถึงอย่างนั้นเรื่องบางเรื่องเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้กลับไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันเท่าไหร่ นั่นเพราะในบรรดาสิ่งที่ถูกค้นพบในเมืองปอมเปอีนั้น ยังมีอาคารโบราณแห่งหนึ่งที่ถูกใช้งานเป็นสถานบริการและประดับประดาไปด้วยภาพฝาผนังสุดงดงามอยู่ด้วย     ภาพฝาผนังเหล่านี้โดยมากแล้วจะเป็นภาพของหญิงสาวผิวขาว ไว้ทรงผมเข้ากับยุคสมัย และกำลังร่วมเพศกับผู้ชายที่มีทั้งเด็ก คนผิวสี หรือแม้กระทั่งนักกีฬา ในท่าทางการร่วมรักที่หลากหลาย แน่นอนว่าจุดประสงค์ของภาพเหล่านี้คือการปลุกอารมณ์แขกที่เข้ามาให้งาน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ถูกใช้ในการสอนเด็กๆ ที่ยังไร้ประสบการณ์ และแนะนำท่าทางการร่วมเพศใหม่ๆ แก่แขกที่ยังไม่ช่ำชอง     แต่แม้ว่าในภาพส่วนมากเราจะสามารถเห็นผู้คนร่วมเพศกันบนเตียงในห้องอย่างหรูก็ตาม แต่จากหลักฐานที่พบในตัวสถานบริการนักโบราณคดีก็พบว่าความเป็นอยู่จริงๆ ของหญิงสาวที่นี่นั้นไม่ได้เป็นเหมือนในภาพเลย พวกเธอต้องทำงาน (และอาจจะอาศัย) อยู่ในห้องแคบๆ ที่มีเพียงเตียงขนาดหินเล็ก แถมบางห้องยังไม่มีแม้แต่หน้าต่าง ซึ่งหากจะว่ากันตรงๆ แล้วมีสภาพเหมือนคุกมากกว่าสถานบริการอีก     ร่องรอยจากการสำรวจยังบอกอีกว่าห้องที่เห็นเหล่านี้ถูกออกแบบมาไม่ให้มีประตู และเป็นไปได้ว่าจะมีเพียงผ้าม่านเท่านั้นที่กันห้องเหล่านี้ออกจากโลกภายนอก จริงอยู่ว่ามีความเป็นไปได้ที่ว่าในสถานบริการจริงๆ แล้วจะมีเตียงไม้และของประดับอยู่จริงๆ เพียงแค่โดนภูเขาไฟทำลายไป แต่ของเหล่านั้นก็น่าจะถูกเก็บไว้ให้ลูกค้าระดับสูงเท่านั้น     การดูแลพนักงานเช่นนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ เพราะเป็นไปได้ว่าผู้หญิงที่ทำงานในสถานบริการแห่งนี้จะเป็นเพียงทาสที่ถูกจับจากเมืองที่กลายเป็นอิตาลีในปัจจุบันเท่านั้น ทำให้ชาวโรมันไม่ได้ให้ความสนใจพวกเธอเท่าที่ควร และหากจะว่ากันตามตรงในสมัยนั้นการตามหาคู่ร่วมหลับนอนแลกกับเงินนั้นไม่จำเป็นต้องมาถึงสถานบริการด้วยซ้ำ เพราะตามสถานที่อย่างสุสานหรือโรงอาบน้ำเอง คนสมัยก่อนก็สามารถพบกับเหล่าหญิงชายที่ยากจน มาเสนอขายตัวได้     แต่ถึงแม้ว่าประวัติของสถานที่แห่งนี้จะดูมืดหม่นไปบ้าง แต่นี้ก็นับเป็นหนึ่งในการค้นพบที่สำคัญมากๆ แห่งหนึ่งของเมืองปอมเปอีอยู่ดี เพราะมันทำให้เราทราบว่าแม้ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน สังคมก็ยังไม่อาจตัดขาดจากการค้าบริการทางเพศ…

  • รู้จักกับ “Dr. Young’s Ideal Rectal Dilators” อุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับขยายทวารเมื่อร้อยปีก่อน

    รู้จักกับ “Dr. Young’s Ideal Rectal Dilators” อุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับขยายทวารเมื่อร้อยปีก่อน

    ปลายศตวรรษที่ 19 เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่วงการแพทย์ของทางตะวันตกพัฒนาความเข้าใจผิดๆ ของตัวเองไปจนถึงขีดสุดก็คงไม่ผิดนัก เพราะแม้ว่านี่จะเป็นช่วงเวลาที่เทคโนโลยีหลายๆ อย่างพัฒนาขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีการแพทย์แปลกๆ อยู่มากมายเต็มไปหมดในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ป้องกันการช่วยตัวเองหลายๆ ชนิด หรืออย่างในกรณีที่เราจะไปชมกันในวันนี้อย่าง “อุปกรณ์ขยายทวาร”     นี่เป็น “อุปกรณ์ทางการแพทย์” ที่ถูกเรียกกันว่า “Dr. Young’s Ideal Rectal Dilators” อุปกรณ์สุดแปลกที่มีขายและใช้งานจริงในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วง ปลายศตวรรษที่ 19 ไปจนถึงปี 1940 โดยนี่เป็นอุปกรณ์รูปร่างคล้ายตอร์ปิโดที่ทำจากพลาสติกหรือยาง ซึ่งมีขนาดความกว้างแค่ครึ่งนิ้วไปจนถึง 4 นิ้ว และใช้งานโดยการยัดเขาไปในทวารหนักคล้ายอุปกรณ์ขยายช่องคลอด (Vaginal Dilator)     ดูเหมือนว่าในสมัยนั้น “การขยายทวาร” เชื่อกันว่าจะสามารถรักษาอาการวิกลจริตได้ ทำให้หลับสบาย แก้ปากเหม็น ผิวซีด ลดผิวเสี้ยน รักษาโรคโลหิตจาง ริดสีดวงทวาร ลดความอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดหัว ท้องร่วง และโรคอื่นๆ อีกมากมาย เท่านั้นยังไม่พอเพราะในคำแนะนำการใช้งานยังมีการระบุไว้อีกว่า “คุณควรใช้งานอุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นประจำ และไม่ต้องกังวลว่าจะใช้งานมันมากเกินไป” แถมยังใช้งานได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายอีกด้วย     นับว่าโชคดีมากที่ในปี 1938 ทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ได้เข้ามาตรวจสอบอุปกรณ์ดังกล่าวและพบว่าไม่เพียงแต่ Dr.…

  • นักวิทย์พบ “ลาพิส ลาซูลี่” บนคราบหินปูนบนฟันหญิงสาวโบราณ เชื่อเธออาจเป็นศิลปิน

    นักวิทย์พบ “ลาพิส ลาซูลี่” บนคราบหินปูนบนฟันหญิงสาวโบราณ เชื่อเธออาจเป็นศิลปิน

    เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาสื่อต่างประเทศได้ออกมารายงานการค้นพบครั้งใหม่เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของจิตรกรเพศหญิงในช่วงกลาง โดยอ้างอิงจากคราบหินปูนบนฟันที่มีการค้นพบในประเทศเยอรมนี     เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าผลงานทางศิลปะ และการบันทึกเอกสารสำคัญจากยุคกลางที่โลกเคยมีการพบมานั้น ส่วนใหญ่จะถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของศิลปินที่เป็นผู้ชาย ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีนักโบราณคดีหลายคนที่ติดภาพลักษณ์ว่าด้วยความไม่เท่าเทียมทางสังคมในสมัยก่อนทำให้งานเกี่ยวกับศิลปะและการคัดลอกเอกสารสำคัญ กลายบทบาทหน้าที่ของผู้ชายโดยเฉพาะไป   ตัวอย่างผลงานศิลปะจากประเทศเยอรมนีในช่วงยุคกลาง   “ลองนึกภาพคนในสมัยก่อน กำลังคัดลอกหนังสือโบราณดูสิ” Alison Beach นักประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตตอธิบาย “คนส่วนใหญ่จะนึกภาพคนที่กำลังคัดลอกออกมาเป็น บาทหลวงมากกว่าแม่ชีใช่ไหมล่ะ” แต่แล้วเมื่อตอนที่นักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบคราบหินปูนบนฟันของโครงกระดูกหญิงสาววัยกลางคนร่างหนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตไปในช่วงปี ค.ศ. 1100 ที่เมือง Dalheim ประเทศเยอรมนี พวกเขากลับพบว่าในหินปูนของเธอนั้นมีร่องรอยของหินลาพิส ลาซูลี่อยู่ การค้นพบในครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงเวลาที่หญิงสาวคนดังกล่าวมีชีวิตอยู่ลาพิส ลาซูลี่จะเป็นของที่มีราคาแพงมาก (บางบันทึกบอกว่าแพงยิ่งกว่าทองอีก)   ลาพิส ลาซูลี่   ด้วยความแพงนี้เองทำให้ลาพิส ลาซูลี่มักจะถูกใช้ไปในการตกแต่งหนังสือ (โดยเฉพาะหนังสือทางศาสนา) หรือไม่ก็ถูกนำไปบดใช้เป็นสีในการวาดภาพด้วยโดยศิลปินที่มีฐานะ แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหน นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วๆ ไปจะสามารถนำมาใช้งานได้ง่ายๆ เลย การค้นพบในครั้งนี้ทำให้นักโบราณคดีตั้งข้อสันนิษฐานว่า โครงกระดูกที่พวกเขาทำการตรวจสอบนั้น น่าจะเป็นของหญิงสาวผู้เป็นแม่ชี และมีลาพิส ลาซูลี่ติดอยู่ในคราบหินปูนจากการที่เธอเลียพู่กัน (เพื่อจัดแนวขนพู่กัน) ในระหว่างทำงาน  …

  • ย้อนรอย “Sturmabteilung” กองกำลังพายุ ผู้คอยสนับสนุนฮิตเลอร์ ก่อนที่เขาจะเรืองอำนาจ

    ย้อนรอย “Sturmabteilung” กองกำลังพายุ ผู้คอยสนับสนุนฮิตเลอร์ ก่อนที่เขาจะเรืองอำนาจ

    ในช่วงที่นาซีปกครองประเทศเยอรมนี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์มีกองกำลังพิเศษมากมายหลากหลาย ตั้งแต่ Schutzstaffel ที่มีชื่อเสีย(ง) หรือ Hitlerjugend ซึ่งเป็นกองกำลังเด็กแห่งนาซีเยอรมัน แต่ทราบกันหรือไม่ว่าตั้งแต่ก่อนที่ฮิตเลอร์จะมีอำนาจในประเทศ ในช่วงปี 1920-1934 เขาก็ยังมีกองกำลังอีกกองหนึ่งที่เคยหนุนหลังอยู่ด้วย     ชื่อของกองกำลังนี้คือ “Sturmabteilung” (อ่านว่า “ชตวร์มอัพไทลุง” แปลตรงๆ ว่า “กองกำลังพายุ”) หรือ SA หน่อยกองกำลัง “กึ่งทหาร” ที่ประกอบขึ้นจากคนว่างงานและทหารผ่านศึก มีหน้าที่หลักๆ ในการปกป้องพรรคนาซี และข่มขวัญพรรคคู่แข่ง ด้วยความที่ว่าประเทศเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้สภาพภายในประเทศในเวลานั้นไม่มั่นคงอย่างมาก จนมีกองกำลังสองฝั่งที่สนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์และลัทธิฟาสซิสต์สู่รบกันบนท้องถนนอยู่เป็นเวลานาน   ทหาร SA จับฝ่ายคอมมิวนิสต์ในเบอร์ลิน   ด้วยเหตุนี้เองในปี 1921 ฮิตเลอร์จึงรวมเอาเหล่าคนที่กำลังต่อสู้เพื่อลัทธิฟาสซิสต์มารวมกันเป็น Sturmabteilung ซึ่งในเวลานั้นถูกเรียกกันว่า “พวกชุดน้ำตาล” หรือ “พวกชุดกากี” จากสีของยูนิฟอร์มของพวกเขา จริงอยู่ว่าการปฏิวัติครั้งแรกของกลุ่มนาซีและ Sturmabteilung เมื่อปี 1923 จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ แต่หลังจากวันนั้นไม่นาน ฮิตเลอร์ก็หลับมาอีกครั้งพร้อมกองกำลัง Sturmabteilung  ที่มีผู้สนับสนุนมากขึ้นและใหญ่ขึ้น   อดอล์ฟ ฮิตเลอร์กับเหล่าผู้นำกบฏโรงเบียร์   ว่ากันตามตรง Sturmabteilung ในเวลานั้นมีกองกำลังมากกว่าทหารจริงๆ ในประเทศ ที่ถูกสนธิสัญญาผูกมัดจนมีจำนวนอยู่แค่ 100,000…

  • ย้อนรอย “หนังสือหนังมนุษย์” การทำหนังสือสุดโหดที่ไม่ได้มีอยู่บนโลกเพียงแค่เล่มเดียว

    ย้อนรอย “หนังสือหนังมนุษย์” การทำหนังสือสุดโหดที่ไม่ได้มีอยู่บนโลกเพียงแค่เล่มเดียว

    เมื่อพูดถึงหนังสือที่ทำจากหนังมนุษย์ เชื่อว่าแค่นึกภาพตามก็ทำให้หลายๆ คนขนลุกกันไปตามๆ กันแล้ว ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าเจ้าหนังสือที่ทำจากหนังมนุษย์ที่กล่าวมานี้ มันกลับปรากฏขึ้นมาในประวัติศาสตร์มากมายเต็มไปหมดเลยนี่สิ     เป็นเรื่องที่ทราบกันว่ามนุษย์เรารู้จักการถลกหนังมนุษย์ด้วยกันเองมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิอัสซีเรียแล้ว และมีความเป็นไปได้สูงว่าในสมัยก่อนน่าจะมีคนไม่น้อยเลยที่คิดจะเอาหนังมนุษย์ไปทำสิ่งของ แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม หนังสือที่มีหลักฐานว่าทำจากหนังมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดกลับเพิ่งจะปรากฏมาในประวัติศาสตร์เมื่อช่วงศตวรรษที่ 16-17 เท่านั้น แถมยังมาพร้อมๆ กับหนังสือปลอมเป็นจำนวนมาก ว่ากันตรงๆ แม้แต่หนังสือเล่มแรกๆ ที่อ้างว่าทำจากหนังมนุษย์และยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันนั้นก็ยังเป็นหนังสือที่ไม่มีหนังมนุษย์อยู่จริงๆ เลย หนังสือเล่มที่ว่าคือ หนังสือกฎหมายของสเปนที่ชื่อ “Practicarum quaestionum circa leges regias” ซึ่งมีการบอกชื่อของเจ้าของหนังมนุษย์ไว้ในหนังสือด้วย   Practicarum quaestionum circa leges regias จากช่วงปี 1605-1606   น่าแปลกที่จากการตรวจสอบในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่าตัวหนังสือที่ถูกอ้างว่าเป็นหนังมนุษย์ กลับมีสภาพเป็นเพียงหนังแกะเท่านั้น เป็นไปได้ว่านี่อาจจะเกิดจากการที่มีการสับเปลี่ยนตัวปกหนังสือตามกาลเวลา หรือไม่ก็ข้อความในหนังสือเป็นการโกหก     แต่แม้ว่าหนังสือกฎหมายเล่มดังกล่าวจะไม่ได้มีหนังมนุษย์อยู่จริงมันก็ไม่ได้หมายความว่า หนังสือหนังมนุษย์จะเป็นของปลอมไปเสียหมด เพราะหนังสืออย่าง “De humani corporis fabrica” ที่ออกตีพิมพ์ในปี 1568 นั้นได้รับการตรวจสอบและยืนยันเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า มีส่วนประกอบของหนังมนุษย์จริงๆ…

  • ย้อนรอยเรื่องหวยๆ จากสลากแบ่งดินแดน สู่ความหวังของผู้คน ที่เกิดขึ้น 2 ครั้งต่อเดือน

    ย้อนรอยเรื่องหวยๆ จากสลากแบ่งดินแดน สู่ความหวังของผู้คน ที่เกิดขึ้น 2 ครั้งต่อเดือน

    สำหรับคนไทยหลายๆ คนแล้ว เชื่อว่าวันที่ 1 กับวันที่ 16 ของเดือนคงจะเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของเดือนเลยก็ว่าได้ เพราะนี่คือวันที่เราจะได้ทราบว่า เจ้าชุดเลข 6 ตัวบนสลากที่เราซื้อมาจะให้ลาภแก่เราหรือไม่     ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าไอ้เจ้าสลากกินแบ่งหรือที่เรียกแบบบ้านๆ ว่า “หวย” ที่เราเล่นกัน มันมีที่มาจากไหนกันแน่ เพราะในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาทุกคนไปย้อนรอยเรื่องของหวยกัน น่าเสียดายที่เราไม่อาจจะฟันธงได้ว่าหวยที่เก่าแก่ที่สุดมาจากไหน อย่างไรก็ตามการกระทำที่คล้ายกับการสุ่มสลาก มีการพูดถึงมาตั้งแต่ในคัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาเดิมว่าด้วยการแบ่งดินแดนคานาอันด้วยสลาก และในสมัยกรีกโบราณเองก็มีการจับสลากเพื่อหาข้าราชการในบางนครรัฐเช่นกัน     เท่านั้นยังไม่พอเพราะหลังจากสมัยนั้นเล็กน้อย ในช่วงที่ชาวโรมันเรืองอำนาจแทนที่พวกเขาจะลงโทษทหารทั้งหมู่เวลามีความผิด (โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทษถึงชีวิต) พวกเขาก็ใช้การสุ่มสลากนี่ล่ะ ในการหาไก่มาเชือดให้ลิงดู อย่างไรก็ตามการสุ่มสลากแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันที่เก่าแก่ที่สุดนั้น เชื่อกันอยู่ในประเทศจีนต่างหาก โดยนี่เป็นสลากที่เรียกกันว่า “白鸽票” (พินอิน “Bái gē piào” อ่านว่า “ไป๋เกอเพียว”) ซึ่งแปลตรงๆ ว่า “ตั๋วนกพิราบขาว”     สลากในรูปแบบนี้จัดทำขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีจุดประสงค์หลักในการหาเงินมาส่งเสริมกองทัพ และการก่อสร้างของประเทศ ในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น แถมยังมีเรื่องเล่าที่ว่าเงินจากสลากนี้เอง ยังถูกใช้ไปกับการสร้างกำแพงเมืองจีนเลยด้วย ส่วนเรื่องราวของการเล่นสุ่มสลากในประเทศไทยนั้น เชื่อกันว่าเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3…

  • ชมแบบสอบถาม UFO จากช่วงยุค 50-60 สมัยที่การรายงานจานบิน ง่ายดายแค่กรอกข้อมูล

    ชมแบบสอบถาม UFO จากช่วงยุค 50-60 สมัยที่การรายงานจานบิน ง่ายดายแค่กรอกข้อมูล

    ในช่วงปี 1952-1969 ทางสหรัฐอเมริกาได้ก่อตั้ง “Project Blue Book” โครงการพิเศษของกองทัพอากาศขึ้นเพื่อตรวจสอบวัตถุปริศนาลอยฟ้าหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ UFO การที่จะตามหาสิ่งที่ไม่อาจทราบได้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ทำให้ทีมนักสำรวจของโครงการจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดที่พวกเขาจะทำได้     ด้วยเหตุนี้เองหากคุณเห็น UFO ในยุค 50-60 ที่สหรัฐอเมริกา ทางรัฐบาลก็จะเตรียมเอกสารให้คุณสามารถกรอกข้อมูลสิ่งที่พบได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่ทำตามขั้นตอนที่ระบุไว้เช่น วาดภาพวัตถุที่คุณเห็น แล้วระบุรายละเอียดเป็นต้น ความพยายามของภาครัฐในรูปแบบนี้ทำให้ในช่วงนั้นมีประชาชนเข้าไปรายงานการค้นพบ UFO เป็นจำนวนมาก อย่างรายงานการพบเห็น UFO ที่มีชื่อเสียงในรัฐนิวเม็กซิโกเมื่อปี 1964   ชิ้นส่วนที่ทัพอากาศอ้างว่าเก็บมาจาก UFO ที่รัฐนิวเม็กซิโก   โดยรวมๆ แล้วในช่วงปี 1947-1969 สหรัฐอเมริกามีการเข้าตรวจสอบ UFO ไปมากถึง 12,000 คดี (และพบว่ารายงานจำนวนมากเป็นรายงานที่ไม่มีมูล) แต่ก็ยังมีรายงานอีกกว่า 701 ชิ้นเลยทีเดียวที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ น่าเสียดายที่ Project Blue Book ปิดตัวไปในปี 1969 ทำให้ในปัจจุบันไม่มีองค์กรใดๆ ที่รับเรื่อง การพบเห็น UFO ไว้อย่างเป็นทางการ และแน่นอนว่าแบบสอบถามชิ้นนี้เองก็ถูกเลิกใช้งานไปในช่วงเวลาเดียวกัน   .…

  • ย้อนรอย “Ku Klux Kiddies” เมื่อ “KKK” เริ่มปลูกฝังการเหยียดผิวให้กับเด็กๆ ในประเทศ

    ย้อนรอย “Ku Klux Kiddies” เมื่อ “KKK” เริ่มปลูกฝังการเหยียดผิวให้กับเด็กๆ ในประเทศ

    ชุดคลุมสีขาว หมวกทรงแหลมปกปิดหน้าตา และงานเผาไม้กางเขน นี่คือลักษณะอันน่าหวาดกลัวของ “Ku Klux Klan” หรือ “KKK” กลุ่มเหยียดสีผิวสุดโหดที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเกลียดชังของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 19 ความเกลียดชังเหล่านี้พุ่งขึ้นถึงขีดสุดในช่วงยุค 1920 จนถึงขนาดที่ว่าแทนที่จะเก็บเอาความรู้สึกด้านลบไว้กับตัวเองเพียงคนเดียว สมาชิก KKK ก็เริ่มปลูกฝังการเหยียดสีผิวให้กับครอบครัวของตน และในช่วงเวลานี้เองที่กิจกรรมของ “Ku Klux Kiddies” หรือเด็กๆ แห่ง KKK เกิดขึ้น     พ่อแม่ที่เป็นสมาชิกของ KKK จะพาลูกๆ ไปรับศีลจุ่มแบบพิเศษ ที่มาพร้อมกับการสาบานตนว่าจะทำตาม “หลักการและอุดมคติของชาวอเมริกัน” นี่อาจจะเป็นหลักการที่ฟังดูดี แต่เอาเข้าจริงๆ หลักการและอุดมคติของชาวอเมริกัน สำหรับ KKK แล้วคือการต่อต้านคนทุกคนที่ไม่ใช่คนขาวชาวโปรเตสแตนต์ด้วยความรุนแรงต่างหาก     พวกเขาจะสอนให้เด็กๆ ภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนขาว รังเกียจคนผิวสี และเติบโตขึ้นเป็นสมาชิก “ที่ดี” ของกลุ่มสืบไป จริงอยู่ที่ไม่มีใครรู้ตัวเลขที่แท้จริงของเด็กๆ ใน Ku Klux Kiddies แต่อย่างน้อย เด็กเหล่านี้ก็มีมากพอที่จะทำให้ KKK สร้างกลุ่มย่อยที่ชื่อว่า “The Junior Ku Klux…

  • จดหมายของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ที่ส่งก่อนสงครามไม่กี่วัน ถูกประมูลในราคา 468,000 บาท

    จดหมายของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ที่ส่งก่อนสงครามไม่กี่วัน ถูกประมูลในราคา 468,000 บาท

    ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1803 หลังจากอังกฤษกับฝรั่งเศสเซ็นสัญญาสงบศึกกันได้ไม่ถึง 1 ปี พระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร ก็ส่งจดหมายฉบับหนึ่งออกไป และในไม่กี่วันต่อมาอังกฤษกับฝรั่งเศสก็เปิดศึกต่อสู้กันอีกครั้ง     จดหมายในวันนั้นถูกเก็บเอาไว้ข้ามการเวลามาอย่างยาวนาน จนกระทั่งถูกประมูลออกไปเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ภายใต้ความสนใจเป็นอย่างมากในหมู่นักสะสมที่เข้าร่วมงานประมูลในครั้งนั้น นั่นเพราะ จดหมายของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ถูกประมูลออกไปในราคาถึงราวๆ 468,000 บาท ซึ่งนับว่ามากกว่าราคาที่มีการคาดการณ์ไว้ถึง 11 เท่าเลยทีเดียว   ในจดหมายมีการลงชื่อของพระเจ้าจอร์จที่ 3 อย่างชัดเจน   เอาเข้าจริงๆ นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่แปลกเท่าไหร่ เพราะหากดูจากช่วงเวลาที่มีการส่งจดหมายแล้ว มันก็มีความเป็นไปได้ว่าที่อังกฤษกับฝรั่งเศสกลับมารบกันอีกครั้ง อาจจะมาจากจดหมายฉบับนี้เลยก็ได้ ทำให้จดหมายนี้อาจจะดูมีค่ามากกว่าเพียงวัตถุโบราณสำหรับหลายๆ คนไป โดยเจ้าจดหมายอายุ 216 ปีฉบับนี้จ่าหน้าถึงรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ลงนามของพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร และว่าด้วยเรื่องที่ว่ากษัตริย์แห่งอังกฤษไม่สบายใจในการกระทำของ “นโปเลียน โบนาปาร์ต” ซึ่งในเวลานั้นออกยึดพื้นที่ในยุโรปและข่มขู่ทางสหราชอาณาจักรเอาไว้   ส่วนหนึ่งของจดหมายมีการระบุว่าฝรั่งเศสนั้น “ไม่ยุติธรรมไปจนถึงที่สุด”   Charles Ashton ผู้อำนวยการโรงประมูลเล่าว่า “จดหมายฉบับนี้แสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์…

  • ชมการบ้านของเด็กอียิปต์โบราณ อายุร่วม 1,800 ปี ที่แฝงข้อคิดดีๆ ซึ่งใช้ได้แม้ในปัจจุบัน

    ชมการบ้านของเด็กอียิปต์โบราณ อายุร่วม 1,800 ปี ที่แฝงข้อคิดดีๆ ซึ่งใช้ได้แม้ในปัจจุบัน

    สำหรับนักเรียนนักศึกษาแล้ว การบ้านคงจะเป็นอะไรที่สร้างความทรงจำที่ไม่ค่อยจะดีมาอย่างยาวนานเลยก็ว่าได้ และแม้ว่าเราจะไม่อาจรู้ได้ว่าการบ้านมีมานานเท่าไหร่แล้ว แต่อย่างน้อยๆ เราก็รู้ว่าการบ้านนั้นมีมาตั้งแต่อารยธรรมแรกๆ ของมนุษย์เลย และกระดานขี้ผึ้งที่เรากำลังจะไปชมนี้เองก็เป็นหนึ่งในการบ้านเก่าแก่ที่สุดชิ้นหนึ่งที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันดังที่กล่าวไปนั่นเอง     นี่เป็นกระดานชนวนที่มีอายุมากกว่า 1,800 ปี ซึ่งมีอักษรภาษากรีก ที่ถูกเขียนโดยเด็กชาวอียิปต์โบราณในช่วงศตวรรษที่สองความว่า “เจ้าจงเชื่อคำแนะนำจากผู้รู้เท่านั้น” และ “จงอย่าเชื่อเพื่อนตัวเองไปเสียทุกคน” จากลักษณะคำที่อยู่บนกระดาน เป็นไปได้ว่านี่จะเป็นการบ้านการคัดลายมือ ที่ครูในสมัยก่อนจะเขียนข้อความมาให้ด้านบน และให้นักเรียนเขียนตามในด้านล่าง และนักเรียนคนดังกล่าวอาจจะต้องเอากระดานไปอ่านออกเสียงอีกที   ร่องรอยการค้นพบโรงเรียนโบราณอายุราวๆ 1,700 ปีในประเทศอียิปต์   กระดานชนวนชิ้นนี้ถูกห้องสมุดอังกฤษนำไปเก็บรักษาไว้ครั้งแรกในปี 1892 และถูกนำมาจัดแสดงต่อหน้าสาธารณะชนในช่วงปี 1970 ในส่วนหนึ่งของนิทรรศการ “Writing: Making Your Mark” ที่เกี่ยวข้องกับการย้อยรอยประวัติศาสตร์การเขียนของมนุษย์ แม้ว่าบนกระดานจะไม่ได้มีการระบุชื่อหรือเพศเอาไว้แต่นักโบราณคดีก็เชื่อว่าเจ้าของกระดานแผ่นนี้ น่าจะเป็นลูกของบ้านที่มีฐานะพอสมควร และมีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้ชายตามลักษณะสังคมในสมัยนั้น     จริงอยู่ที่กระดานแผ่นนี้จะไม่ใช่การบ้านที่เก่าแก่ที่สุดที่โลกเคยพบมา แต่อย่างนี่ก็เป็นการบ้านที่ไม่ได้มีดีที่การคัดลายมือเท่านั้น เพราะข้อความที่ถูกเขียนไว้บนกระดานก็ให้ข้อคิดที่ดีมากๆ ไว้เช่นกัน เพราะนี่เป็นคำสอนที่ยังคงใช้การได้จริง แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 1,800 ปีแล้วก็ตาม   ที่มา livescience

  • นักโบราณคดีพบ โครงกระดูกถูกฝังโดนตัดศีรษะไปวางไว้ที่หว่างขา ที่สุสานโรมันในอังกฤษ

    นักโบราณคดีพบ โครงกระดูกถูกฝังโดนตัดศีรษะไปวางไว้ที่หว่างขา ที่สุสานโรมันในอังกฤษ

    การค้นพบทางโบราณคดี บ่อยครั้งก็มักจะนำมาซึ่งความรู้แปลกๆ เกี่ยวข้องกับการให้ชีวิตในสมัยก่อนอยู่เสมอ และเมื่อล่าสุดนี้เอง นักโบราณคดีก็ได้พบกับการค้นพบที่ชวนให้เกาหัวอีกครั้ง เมื่อที่ประเทศอังกฤษ มีการค้นพบร่างของมนุษย์โบราณจำนวนหนึ่งที่ถูกฝังโดยตัดหัว แล้วเอาศีรษะไปวางไว้ที่หว่างขา     โดยนี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นในแหล่งโบราณคดี ที่หมู่บ้าน Great Whelnetham ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของชาวโรมันที่มาตั้งถิ่นฐานในอังกฤษเมื่อราวๆ 1,600 ปีก่อน และถูกขุดพบโดยนักโบราณคดีครั้งแรกตั้งแต่ในปี 1964 ที่ผ่านมา ในพื้นที่สุสานของแหล่งโบราณคดีดังกล่าว นักโบราณคดีได้มีการค้นพบโครงกระดูกโบราณจากช่วงศตวรรษที่ 4 จำนวน 52 ร่าง และในบรรดาโครงกระดูกเหล่านั้นมีอยู่ 17 ร่างที่ถูกฝังด้วยวิธีดังที่กล่าวไว้ข้างต้น     ในปัจจุบันนักโบราณคดียังไม่สามารถฟันธงได้ว่าเพราะเหตุใด โครงกระดูกที่พบจึงมีสภาพอย่างที่เห็น แต่ทีมนักโบราณคดีก็ตั้งแนวคิดว่าการกระทำนี้ น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในพื้นที่ นั่นเป็นเพราะว่าจากการวิเคราะห์ศีรษะของโครงกระดูก พวกเขาไม่ได้เสียชีวิตจากการถูกตัดคอ แต่คอของพวกเขาถูกตัดออกไปจากร่างหลังจากที่เสียชีวิตต่างหาก เอาเข้าจริงๆ ชาวโรมันโบราณก็มีการฝังศพแบบแปลกอยู่หลายแบบ (อย่างการฝังเพื่อป้องกันศพลุกกลับขึ้นมาเป็นซอมบี้ด้วยการเอาหินทับ) และว่ากันตามตรง 60% ของศพที่พบในสุสานแห่งนี้เองก็มีการฝังแบบคว่ำหน้า     ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าการฝังแบบนี้เองก็อาจจะมาจากการป้องกันคนตายลุกกลับขึ้นมาในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งอาจจะได้รับอิธิพลมาจากการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามนอกจากตัวศพ 17 ร่างนี้แล้ว ตัวสุสานเองก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกไปจากปกติเลย และนอกจากตัวศพแล้ว ในสุสานนี่ก็ยังมีการค้นพบวัตถุโบราณของวัฒนธรรมโบราณอีกเป็นจำนวนมากเลย     ที่มา livescience

  • 5 อาหารที่คนสหรัฐฯ เคยทานกันจริงๆ ในช่วงศตวรรษที่ 18 แต่ในปัจจุบันดูยังไงก็แปลก

    5 อาหารที่คนสหรัฐฯ เคยทานกันจริงๆ ในช่วงศตวรรษที่ 18 แต่ในปัจจุบันดูยังไงก็แปลก

    เป็นเรื่องที่รู้กับว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนไป ความนิยมของผู้คนก็จะเป็นไปด้วย เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่กับแฟชั่นและวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังล่วงเลยไปยันอาหารการกินด้วย นั่นทำให้อาหารที่คนทานกันเป็นธรรมดาในสมัยก่อน เมื่อเวลาผ่านไปอาจจะกลายเป็นของที่ดูน่าแปลกจนสงสัยว่าคนสมัยก่อนกินกันเข้าไปได้อย่างไร ดังนั้นในวันนี้เอง #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 5 อาหารที่คนสหรัฐอเมริกาเคยทานกันในช่วงศตวรรษที่ 18 ที่ในปัจจุบันดูยังไงก็แปลกชัดๆ   เริ่มกันจากหางของบีเวอร์ เอาเข้าจริงๆ หางของบีเวอร์ถูกทานกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ที่อังกฤษแล้ว เนื่องจากทางโบสถ์ในสมัยนั้นอ้างว่าบีเวอร์เป็น “ปลา” เพราะมันว่ายน้ำได้เร็วมาก (ไม่รู้เกี่ยวกันตรงไหน) เลยทานได้ในวันถือศีลอดเนื้อของคริสต์ (ที่ไม่ห้ามทานปลา)   อ้วกปลาวาฬ มันคือ “Ambergris” หรือ “อำพันทะเล” ผลผลิตจากวาฬสเปิร์ม ซึ่งแม้ว่าจะบอกว่าเป็นอ้วกก็ตาม แต่กลับมีกลิ่นหอมอย่างไม่น่าเชื่อ จึงมักถูกนำมาผสมอาหารหลายๆ ชนิดในสมัยก่อน และเป็นที่นิยมมากราคาสูงแบบสุดๆ เลยด้วย ในปัจจุบันไม่รู้ว่ายังมีคนทานอยู่ไหม แต่ได้ยินว่าถูกใช้ในการทำน้ำหอมบางชนิด   เยลลี่กีบลูกวัว หลายๆ คนอาจจะรู้ว่าเจลาตินทำมาจากกระดูกสัตว์ และในสหรัฐอเมริกาช่วงศตวรรษที่ 18 พวกเขาก็มักจะเอากีบของลูกวัวนี่ล่ะ ไปทำเยลลี่ แถมยังมีความเชื่อว่าดีต่อคนป่วยด้วยนะ   ไอศกรีมหอยนางรม เอาเข้าจริงนี่เป็นเมนูที่ฟังดูแปลกแม้แต่ในสมัยก่อนเอง แต่ด้วยความที่ว่า Dolley Madison…

  • นักวิทยาศาสตร์พบ มนุษย์โบราณ “Little Foot” เดินเหมือนลิงชิมแปนซีมากกว่ามนุษย์

    นักวิทยาศาสตร์พบ มนุษย์โบราณ “Little Foot” เดินเหมือนลิงชิมแปนซีมากกว่ามนุษย์

    หากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้ได้มีข่าว งานวิจัยที่ชี้ความเป็นไปได้ว่าโครงกระดูกของ “Little Foot” ที่เรารู้จักกันนั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นมนุษย์คนละสายพันธุ์กับป้าลูซี่อย่างที่เราเคยเชื่อก็เป็นได้ (อ่านข่าวเก่าได้ ที่นี่) จริงอยู่ว่างานวิจัยในครั้งนั้นจะยังคงต้องมีการตรวจสอบยืนยันกันในปัจจุบัน แต่เมื่อล่าสุดนี้เองเราก็ได้ค้นพบสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับโครงกระดูกสุดแปลกร่างนี้อีกครั้ง     นั่นเพราะจากการวิเคราะห์โครงกระดูกของ Little Foot ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดแล้ว ทางนักวิทยาศาสตร์ก็พบว่า มนุษย์โบราณคนนี้ ในสมัยก่อนอาจจะเดินไม่เหมือนกับเราก็เป็นได้ Little Foot เคยถูกเชื่อว่าเป็นหนึ่งในสองมนุษย์โบราณเพศหญิงสายพันธุ์ “Australopithecus” ที่มีความสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีการพบมา (อีกหนึ่งร่างคือป้าลูซี่) อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบกะโหลกศีรษะของเธอเพื่อจำลองสภาพอวัยวะภายในนักวิทยาศาสตร์ก็พบสามารถทำ หูชั้นในของ Little Foot ออกมาในรูปแบบ 3 มิติจนได้     นี่อาจจะเป็นการค้นพบที่ดูจะมีสำคัญอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้วหูชั้นในของสิ่งมีชีวิตจะส่งผลโดยตรงกับการทรงตัวและเคลื่อนไหวของสัตว์ชนิดต่างๆ ดังนั้นอวัยวะส่วนเล็กๆ นี้จึงเรียกได้ว่ามีความสำคัญในทางวิทยาศาสตร์มาก โดยในการทดลอง นักวิทยาศาสตร์ได้นำรูปร่าง 3 มิติของหูชั้นในที่ได้จาก Little Foot ไปเปรียบเทียบกับมนุษย์สกุลโฮโมโบราณ 17 สายพันธุ์ มนุษย์ปัจจุบัน 10 คน และลิงชิมแปนซี 10 ตัว พวกเขาพบว่า Little Foot มีลักษณะหูชั้นในไม่เหมือนกับมนุษย์ทั้งในปัจจุบัน…

  • การตรวจ DNA พบ งาช้างที่ถูกลักลอบขายในปี 2015 แท้จริงแล้วเป็นของ “ช้างแมมมอธ”

    การตรวจ DNA พบ งาช้างที่ถูกลักลอบขายในปี 2015 แท้จริงแล้วเป็นของ “ช้างแมมมอธ”

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าการค้นพบที่ทางโบราณคดีหลายๆ ครั้งก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากมือของเหล่านักโบราณคดีเอง แต่คงจะไม่มีใครคิดหรอกว่า การลักลอบค้างาช้างอย่างผิดกฎหมาย มันจะนำไปสู่การค้นพบทางโบราณคดีได้เช่นกัน เพราะในขณะที่ทีมนักวิทยาศาสตร์ของกลุ่มนักอนุรักษ์ในสกอตแลนด์และกัมพูชาได้ร่วมกันทำการตรวจสอบ DNA เพื่อหาที่มาของงาช้างผิดกฎหมายซึ่งถูกยึดมาในปี 2015 พวกเขาก็พบว่างาช้างที่พบนั้นไม่ได้มาจากช้างธรรมดาๆ แต่มาจากแมมมอธต่างหาก     ข่าวการค้นพบสุดประหลาดนี้ถูกเปิดเผยออกมาแก่สำนักข่าวต่างประเทศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา เป็นไปได้ว่าที่งาช้างแมมมอธถูกนำเข้าประเทศมาแทนงาช้างธรรมดา น่าจะเกิดขึ้นจากความพยายามใช้ช่องโหว่ของกฎหมายของเหล่าพ่อค้างาช้าง ด้วยการนำเข้างาของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และไม่น่าจะมีกฎหมายรองรับ     โดยงาช้างแมมมอธที่พบเชื่อกันว่ามาจาก “เพอร์มาฟรอสท์” ดินเยือกแข็งคงในพื้นที่ Yakutia ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของไซบีเรียอีกทีหนึ่ง การค้นพบในครั้งนี้แม้จะดูเป็นข่าวร้ายของวงการโบราณคดีอยู่บ้าง แต่หากมองจากฝั่งกลุ่มนักอนุรักษ์แล้ว การค้นพบในครั้งนี้ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นข่าวร้ายที่ไม่ได้มีข้อดีเลย เพราะแม้ว่านี่จะเป็นการลักลอบขนส่งวัตถุโบราณก็ตาม แต่อย่างน้อยๆ มันก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเหล่าพ่อค้างาช้างนั้นหวาดกลัวกฎหมายจริงๆ จนต้องหาสินค้าอื่นๆ มาขายแทนงาช้างตามปกติ     และแม้ว่างาช้างแมมมอธจะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อยู่ก็ตาม แต่งาช้างแมมมอธสายพันธุ์ที่พบนั้น คาดกันว่ายังมีอยู่ใต้น้ำแข็งที่ไซบีเรียอีกกว่า 500,0000 ตันเลยทีเดียว การค้นพบในครั้งนี้ทำให้ Prokopy Nogovitsyn นักสะสมงาช้างมีชื่อออกมาให้ความเห็นเลยว่า หากพ่อค้างาช้างเปลี่ยนไปขุดเพอร์มาฟรอสท์กันหมด ไม่แน่ว่าเราอาจจะสามารถช่วยชีวิตช้างแอฟริกาจากการถูกล่าไปอีกหลายรุ่นเลย     อย่างไรก็ตามเรื่องที่ว่าการขุดเอาวัตถุโบราณมาขายเป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่นั้น ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องมีการพูดคุยถกเถียงกันต่อไปในปัจจุบัน  …

  • 22 ภาพหาดูยาก เหตุการณ์จู่โจม Pearl Harbor จุดเปลี่ยนสำคัญ สงครามโลกครั้งที่ 2

    22 ภาพหาดูยาก เหตุการณ์จู่โจม Pearl Harbor จุดเปลี่ยนสำคัญ สงครามโลกครั้งที่ 2

    จากเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941 ที่กองทัพญี่ปุ่นเข้าจู่โจมเพิร์ลฮาร์เบอร์อย่างฉับพลัน จนทำให้สหรัฐอเมริกา เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองอย่างเป็นทางการเวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยมา 77 ปีแล้ว ดังนั้นช่วงเวลาแบบนี้จึงเป็นเวลาที่ดีที่เราจะย้อนไปชมภาพความหลังในวันนั้นกันอีกครั้ง เพื่อรำลึกถึงหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในช่วงสงครามโลกที่ทำให้โลกของเรากลายเป็นโลกที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน   เริ่มกันจากภาพเพิร์ลฮาร์เบอร์ 1 ปีก่อนการจู่โจมของญี่ปุ่น   เครื่องบินทิ้งระเบิดของญี่ปุ่นระหว่างเตรียมการบุก โดยมีเรือบรรทุกเครื่องบินโซริวอยู่ในฉากหลัง   นายทหารญี่ปุ่นบนเรือบรรทุกเครื่องบินโชคาคุ ในวันที่ 7 ธันวาคม   เครื่องบิน Type 97 ของญี่ปุ่นออกบิน   เพิร์ลฮาร์เบอร์ 1 นาทีก่อนการโจมตี   เครื่องบินญี่ปุ่นใระหว่างการปฏิบัติการ   สมาชิกลูกเรือชาวญี่ปุ่นตะโกน “บันไซ” ก่อนเครื่องบินญี่ปุ่นออก   ภาพเครื่องบิน Type 99 ที่ถูกถ่ายไว้โดยทางสหรัฐฯ   เรือ USS Arizona ลุกเป็นไฟ   เครื่องบิน Type 00 (ซีโร่) ทิ้งควันเป็นทางยาวหลังถูกยิงเข้าโดยปืนต่อต้านอากาศยาน   USS Shaw ระเบิด   กองกำลังทหารในหลุมปืนกล หลังจากการโจมตีจบลง  …

  • ย้อนรอย “Rafael Caro Quintero” พ่อค้ายาเสพติด หนึ่งในบุคคลที่สหรัฐฯ ต้องการตัวที่สุด

    ย้อนรอย “Rafael Caro Quintero” พ่อค้ายาเสพติด หนึ่งในบุคคลที่สหรัฐฯ ต้องการตัวที่สุด

    ในเดือนเมษายนปี ค.ศ. 2018 เจ้าหน้าที่ FBI ของสหรัฐอเมริกาได้นำชื่อของ “Rafael Caro Quintero” พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ขึ้นบนบัญชี 10 บุคคลที่สหรัฐฯ ต้องการตัวมากที่สุด พวกเขาพร้อมมอบเงินรางวัลนำจับถึง 640 ล้านบาทให้แก่ใครก็ตามที่สามารถให้ข้อมูลนำจับชายผู้นี้ได้ และทำให้ชายคนนี้กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีค่าหัวมากที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐฯ ไป ว่าแต่ชายคนนี้จริงๆ แล้วเป็นใครกัน?   Rafael Caro Quintero เมื่อปี 1985   Rafael Caro Quintero เชื่อกันว่าเกิดในเดือนมีนาคม ตุลาคม หรือไม่ก็พฤศจิกายนปี ค.ศ. 1952 ที่รัฐซีนาโลอา ประเทศเม็กซิโก โดยเป็นลูกชายคนโตจากบรรดาพี่น้อง 12 คน เขาสูญเสียผู้เป็นพ่อไปในตอนที่อายุได้เพียง 14 ปี และต้องช่วยเลี้ยงดูที่บ้านด้วยการทำงานในไร่ถั่ว แต่แทนที่จะทำงานในไร่อย่างสุจริต Rafael กลับเลือกจะจะปลูกกัญชาขายให้กับ Pedro Avilés Pérez พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ของเม็กซิโกแทน   Pedro Avilés Pérez พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ของเม็กซิโก…

  • ทราบหรือไม่ ในศตวรรษที่ 18 “คัมภีร์อัลกุรอาน” เคยขายดีในหมู่ชาวคริสต์โปรเตสแตนต์

    ทราบหรือไม่ ในศตวรรษที่ 18 “คัมภีร์อัลกุรอาน” เคยขายดีในหมู่ชาวคริสต์โปรเตสแตนต์

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าประชากรของสหรัฐฯ ส่วนมากนั้นจะนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ และในสมัยก่อนศาสนาคริสต์ ก็ไม่ค่อยจะถูกกับศาสนาอิสลามสักเท่าไหร่ ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าในช่วงศตวรรษที่ 18 “คัมภีร์อัลกุรอาน” ของศาสนาอิสลาม กลับเคยเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุด ในหมู่ชาวคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ที่สหรัฐอเมริกาเสียอย่างนั้น     การที่คัมภีร์ของศาสนาหนึ่งกลายเป็น ที่นิยมของอีกศาสนาอาจจะฟังดูเป็นเรื่องแปลกอยู่บ้าง แต่จากคำบอกเล่าของ Denise A. Spellberg ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส การที่ คัมภีร์อัลกุรอานโด่งดังในสหรัฐอเมริกาที่เข้าใจได้อยู่ ดูเหมือนว่าเหตุผลที่ทำให้คัมภีร์อัลกุรอานโด่งดังขึ้นในสหรัฐฯ แรกเริ่มเดิมทีจะมาจากการที่คนในสมัยนั้นมองว่าคัมภีร์นี้เป็นเหมือนหนังสือกฎหมายของชาวมุสลิม และพยายามใช้มันเรียนรู้เกี่ยวกับจักรวรรดิออตโตมันอย่างในกรณีของ Thomas Jefferson ประธานาธิบดีคนที่ 3 ของอเมริกา     คัมภีร์อัลกุรอานที่โด่งดังในช่วงนั้น จะเป็นฉบับที่แปลโดยนักกฎหมายชาวอังกฤษชื่อ George Sale ซึ่งเป็นคัมภีร์อัลกุรอานฉบับเดียวที่มีการแปลจากภาษาอาหรับโดยตรง ผิดจากฉบับอื่นๆ ที่แปลมาจากภาษาฝรั่งเศส จากที่ George เขียนไว้ในหน้าแนะนำตัวผู้แปล เหตุผลที่เขาแปลคัมภีร์อัลกุรอานโดยตรงก็เพื่อให้ ข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้อ่านจะได้นำความรู้ไปโต้แย้งความน่าเชื่อถือของศาสนาอิสลามได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง     อย่างไรก็ตามการแปลคัมภีร์เหล่านี้กลับไม่ได้ถูกใช้ไปอย่างที่เขาคิดเท่าไหร่ เพราะหากดูจากยอดขายหนังสือของเขาแล้ว คงมีชาวคริสต์ไม่น้อยเลยที่สนใจศาสนาอิสลามขึ้นมา จากหนังสือที่เขาแปล และต่อมาคัมภีร์ที่เขาแปลก็จะกลายเป็น คัมภีร์ที่สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ สองคน (ซึ่งเป็นชาวมุสลิม) เลือกใช้ ในพิธีสาบานตน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าศาสนาอิสลามก็เป็นหนึ่งในศาสนาที่ได้รับการยอมรับของสหรัฐอเมริกา     ที่มา history

  • เปิดตำนาน “การฝังม้าแบบไวกิ้ง” เมื่อตัวผู้ถูกฝังพร้อมคนตาย ตัวเมียกลับถูกทำอาหาร!?

    เปิดตำนาน “การฝังม้าแบบไวกิ้ง” เมื่อตัวผู้ถูกฝังพร้อมคนตาย ตัวเมียกลับถูกทำอาหาร!?

    ตลอดสิบปีที่ผ่านมา มีนักโบราณคดีหลากหลายชนชาติได้ทำการศึกษาสุสานของชาวไวกิ้งกว่า 335 แห่งในประเทศไอซ์แลนด์ จนทำให้มีการค้นพบความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับชาวไวกิ้งเป็นจำนวนมาก     พวกเขาพบว่าในบรรดาสุสานเหล่านี้ เกือบๆ ครึ่งหนึ่งจะมีการฝังกระดูกม้าที่มีอายุกว่า 1,000 ปีเอาไว้ด้วย และแม้ว่ากระดูกบางส่วนจะเก่าแก่เกินกว่าที่จะสามารถทำการตรวจสอบได้ แต่จากการตรวจสอบกระดูกม้า 19 ตัว พวกเขาก็พบว่าม้าที่พบนั้นมีถึง 18 ตัวที่เป็นตัวผู้ เท่านั้นยังไม่พอเพราะจากการตรวจสอบ DNA ของกระดูกท้าที่เคยมีการค้นพบมา นักวิทยาศาสตร์ก็ยังพบอีกว่าม้าที่ถูกฝังไว้ในสุสาน ทั้งหมดล้วนแต่เสียชีวิตในขณะที่มีสุขภาพดี การค้นพบในครั้งนี้เป็นที่สนใจของเหล่านักโบราณคดีมาก เพราะการที่ม้าถูกนำไปฝังทั้งๆ ที่สุขภาพดี เป็นหลักฐานอย่างดีว่าสาเหตุการเสียชีวิตของม้าเหล่านี้ ล้วนเกิดจากการถูกฆ่าโดยชาวไวกิ้งเอง   ม้าของไอซ์แลนด์ในปัจจุบัน เชื่อกันว่าเป็นลูกหลานของม้าไวกิ้ง   นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ว่าเมื่อชาวไวกิ้ง (ที่มีฐานะสูง) เสียชีวิต ญาติๆ จะทำการฝังม้าตัวโปรดของพวกเขาไปพร้อมๆ กัน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง การที่ปริมาณม้าตัวผู้ที่ถูกฝังมีมากกว่าม้าตัวเมียอย่างเห็นได้ชัดก็ช่วยบ่งบอกค่านิยมของคนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี เป็นไปได้ว่าที่ม้าตัวผู้เป็นที่นิยมกว่าม้าตัวเมีย (ในการนำไปฝัง) จะมาจากแนวคิดที่ว่าม้าตัวผู้เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรง กล้าหาญ เหมาะสมกับการใช้บรรยายผู้ซึ่งถูกฝังในสุสาน (ที่มักจะเป็นผู้ชาย) กลับกันกระดูกของมาที่เป็นเพศเมีย มักจะมีการถูกค้นพบในสถานที่อื่นๆ นอกจากตัวสุสานเอง และมีสภาพถูกสังหารด้วยการทุบที่หัวหรือตัดคอ ซึ่งแตกต่างจากม้าในสุสานที่ถูกสังหารในรูปแบบที่เห็นกันบ่อยๆ ใน “พิธีกรรม”…

  • ชม 18 ภาพโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลในสมัยที่ยังคงมีการก่อสร้าง ในช่วงปี 1979-1980

    ชม 18 ภาพโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลในสมัยที่ยังคงมีการก่อสร้าง ในช่วงปี 1979-1980

    โรงไฟฟ้าพลังงานที่นิวเคลียร์เชอร์โนบิล นับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเป็นอย่างมาก เพราะที่แห่งนี้เป็นต้นเหตุของภัยพิบัติเกี่ยวกับกัมมันตรังสีที่ร้ายแรงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ ว่าแต่เคยสังเกตหรือไม่ว่าภาพที่เราเห็นกันบ่อยๆ ของสถานที่แห่งนี้ กลับเป็นภาพตอนที่เหตุภัยพิบัติเกิดขึ้นแล้วทั้งนั้น และไม่ค่อยมีภาพในยุคสมัยที่โรงไฟฟ้าเพิ่งจะสร้างเสร็จเสียเท่าไหร่เลย ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม 18 ภาพโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลในสมัยที่กำลังก่อสร้าง ไปดูกันว่าในสมัยนั้นโรงงานไฟฟ้านี้มีสภาพประมาณไหนกัน   นี่เป็นภาพที่ถูกถ่ายเก็บไว้โดยทีมงานก่อสร้างในช่วงปี 1979-1980   อย่างไรก็ตามแผ่นพิมพ์ที่มีภาพถ่ายอยู่กลับถูกทิ้งไว้เป็นเวลานาน   และกว่าที่จะมีการเอามาเผยแพร่จริงๆ ก็ในปี 2017   ขนาดของท่อระบายอากาศเทียบกับคน   ชายสองคนบนทางเดินเหนือโรงไฟฟ้า   จะสังเกตได้ว่าพวกเขาแทบไม่มีเครื่องป้องกันเลย   การเชื่อมเหล็กในระหว่างการสร้าง   คนงานที่เกาะเสาสูบบุหรี่โดยที่ไม่มีระบบความปลอดภัยใดๆ เลย   ภาพโดยรวมของส่วนผลิตไฟฟ้าที่ 3   การประกอบชิ้นส่วนโรงไฟฟ้าที่ละส่วน   อุปกรณ์แบบแขวนที่ใช้ในการทำงานในบางพื้นที่   การทำงานเชื่อมบนเสาสูง   การทำงานเชื่อมบนที่สูงแบบใกล้ๆ   การไต่บันไดขึ้นไปทำงานในที่สูง   รูปถ่ายหมู่ที่มีส่วนหนึ่งของโรงไฟฟ้าเป็นฉากหลัง   เหล่าคนงานในระหว่างการทานอาหาร   อาหารของพวกเขามักจะประกอบตัวเป็นเบเกอรี่ ซุป และนม…

  • ย้อนรอย “Joe Metheny” ฆาตกรต่อเนื่องสุดสยอง ผู้เอาเนื้อมนุษย์มาทำอาหารให้ลูกค้ากิน

    ย้อนรอย “Joe Metheny” ฆาตกรต่อเนื่องสุดสยอง ผู้เอาเนื้อมนุษย์มาทำอาหารให้ลูกค้ากิน

    “คุณรู้รึเปล่าว่าเนื้อมนุษย์มีรสชาติคล้ายๆ กับเนื้อหมู ถ้าคุณผสมมันเข้าด้วยกันจะไม่มีใครรู้ถึงความแตกต่างเลย” นี่เป็นคำพูดของ Joe Metheny ฆาตกรต่อเนื่องร่างอ้วน ในตอนที่เขาสารภาพความผิดกับตำรวจ     เรื่องราวของ Joe Metheny ถูกเปิดเผยกับโลกครั้งแรกในธันวาคมปี ค.ศ. 1996 เมื่อหญิงสาวชื่อ Rita Kemper เข้าแจ้งความกับตำรวจว่าเธอถูกชายร่างท้วมคนหนึ่งจับไปยังในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา สภาพของเธอในตอนนั้นดูบอบช้ำเป็นอย่างมาก ดังนั้นทางตำรวจจึงตัดสินใจส่งกองกำลังเข้าจับกุมชายคนดังกล่าว โดยเตรียมใจไว้เป็นอย่างดีว่าผู้ต้องหาจะต้องขัดขืนเป็นอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ทางตำรวจไม่เคยคิดเอาไว้เลย คือ Joe Metheny นั้นกลับไม่ใช่เพียงโจรลักพาตัวธรรมดาๆ     เพราะหลังจากที่การจับกุมตัวของ Joe Metheny แล้ว ทางตำรวจก็ได้ทราบจากการสอบปากคำและคำสารภาพของชายร่างท้วมว่า Rita Kemper นั้นไม่ใช่เหยื่อคนแรกของเขา และจริงๆ แล้วเขาเคยฆ่าคนมาแล้วไม่น้อยกว่า 8 ราย จากคำให้การของ Joe ในปี 1994 ภรรยาที่ติดยาของเขาพาลูกชายเพียงคนเดียวหนีจากเขาไป ซึ่งทำให้เขาในเวลานั้นโมโหมาก และออกตามหาภรรยากับลูกชาย โดยฆ่าหญิงขายบริการ คนไร้บ้าน และนักตกปลาที่เขาพบระหว่างทางไปด้วย ผลของการกระทำให้ครั้งนี้ทำให้เขาถูกจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง แต่สุดท้ายก็รอดจากการรับโทษเต็มๆ มาได้ เพราะตำรวจหาศพไม่พบ (เนื่องจากเขาเอาศพโยนทิ้งลงน้ำไป)  …

  • ย้อนรอย “ออดี ลีออน เมอร์ฟี” จากฮีโร่แห่งกองทัพสหรัฐฯ สู่นักแสดงมีชื่อแห่งฮอลลีวูด

    ย้อนรอย “ออดี ลีออน เมอร์ฟี” จากฮีโร่แห่งกองทัพสหรัฐฯ สู่นักแสดงมีชื่อแห่งฮอลลีวูด

    เคยได้ยินชื่อของ ออดี ลีออน เมอร์ฟี (Audie Leon Murphy) กันมาก่อนไหม? เขาคือฮีโร่แห่งกองทัพสหรัฐฯ เจ้าของเหรียญเกียรติยศมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง และเขาก็เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงของฮอลลีวูดอีกด้วย     ออดี ลีออน เมอร์ฟี เกิดในครอบครัวชาวไร่ที่เท็กซัสเมื่อปีค.ศ. 1924 และต้องทำงานช่วยเหลือครอบครัวมาตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้นเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมอร์ฟีจึงสมัครเป็นทหารเพื่อหาเงิน ด้วยความที่ตัวเล็ก ทำให้เขาไม่ได้รับการยอมรับจากกองทัพเท่าไหร่ แต่ด้วยผลงานในกองทัพที่ดีมาก ทำให้เมอร์ฟีได้รับการเลื่อนยศอย่างรวดเร็ว เขาได้ไปรบที่แอฟริกาเหนือในปี 1943 และมีโอกาสเข้าร่วมการต่อสู้มากมายในอิตาลี และฝรั่งเศส     อย่างไรก็ตามผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมอร์ฟีมาจากการรบที่ Colmar Pocket ในฝรั่งเศส เมื่อช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 1945 มากกว่า นั่นเพราะในเวลานั้นเมอร์ฟีที่อายุได้เพียง 19 ปี ได้บุกยิงถล่มกองทัพเยอรมันที่มีจำนวนมากกว่ามาก ด้วยปืนกลเพียงลำพังในขณะที่เพื่อนๆ ทหารถอยทัพเพื่อไปตั้งหลัก     ว่ากันว่าในเหตุการณ์ครั้งนั้น เมอร์ฟีสังหารทหารนาซีไปถึง 40 นาย และแม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บที่ขา เขาก็ไม่ยอมถอยจนในที่สุดทหารที่เหลือก็ได้โอกาสโจมตีโต้กลับจนทำให้สหรัฐฯ สามารถเขายึดพื้นที่ได้สำเร็จในที่สุด หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 เมอร์ฟี ออกจากกองทัพไป…

  • ชม 22 รูปภาพการฮันนีมูนในช่วงปี 1900-1980 การฮันนีมูนแต่ละยุคมันต่างกันขนาดไหนนะ

    ชม 22 รูปภาพการฮันนีมูนในช่วงปี 1900-1980 การฮันนีมูนแต่ละยุคมันต่างกันขนาดไหนนะ

    หลังจากที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวแต่งงานกันเรียบร้อยแล้ว โดยมากพวกเขาก็จะเดินทางไปฮันนีมูนกันต่อในสถานที่ที่พวกเขาคิดว่าเหมาะสมและโรแมนติก เพียงแต่ในแต่ละยุคสมัยความนิยมของผู้คนก็จะต่างกันตามไปด้วย ดังนั้นการฮันนีมูนในสมัยก่อนจึงอาจจะแตกต่างไปจากในสมัยนี้มากก็เป็นได้ และแน่นอนว่าอารมณ์ของภาพที่ถูกถ่ายเก็บไว้ ก็อาจจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะไม่ชม 22 รูปภาพการฮันนีมูนตั้งแต่ในช่วงปี 1900-1980 ไปดูกันดีกว่าว่าการฮันนีมูนในแต่ละยุค มันโรแมนติกต่างกันมากน้อยเพียงไหน   เริ่มกันจากการฮันนีมูนของคู่รัก Hughes ระหว่างอยู่บนเรือไปเกาะคานารี เมื่อปี 1904    George Joseph Clautice กับ Janet Wellmore ในระหว่างการฮันนีมูนที่แอตแลนติกซิตี เมื่อปี 1909   คู่รักข้าวใหม่ปลามันกับการฮันนีมูนที่เวนิส เมื่อปี 1911   คู่รักรุ่นคลาสสิคกับการฮันนีมูนที่หาดในบอร์นมัธ เมื่อปี 1920   คู่รักอีกคู่กับการฮันนีมูนที่อ่าวเม็กซิโกเมื่อราวๆ ยุค 1920   อันนี้การฮันนีมูนที่โอเชียนซิตี้เมื่อในยุค 1920 เช่นกัน   คู่สามีภรรยา McCormick ที่ยอดเขาไพค์ส ในโคโลรา 1922   Gregory และ Edie ในการฮันนีมูนที่นีซ เมื่อปี 1932   การฮันนีมูนของคู่รัก…

  • ชมทุ่งจอมปลวกแห่งบราซิล อายุร่วม 4,000 ปี และมองเห็นได้จากดาวเทียม

    ชมทุ่งจอมปลวกแห่งบราซิล อายุร่วม 4,000 ปี และมองเห็นได้จากดาวเทียม

    ในช่วงเวลาเดียวกับที่ชาวอียิปต์สร้างพีระมิด นางพญาปลวกกลุ่มหนึ่งก็ขุดลงไปในดินและสร้างอาณาจักรขนาดใหญ่ ในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล และยังคงอยู่แม้ในปัจจุบัน     นี่เป็นทุ่งจอมปลวก ที่มีจอมปลวกอยู่กว่า 200 ล้านกอง ซึ่งรวมปริมาณทรายได้ถึง 10,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากกว่ามหาพีระมิดแห่งกีซาถึง 4,000 เท่า และมีขนาดใหญ่พอที่จะสามารถมองเห็นได้จากดาวเทียมได้เลย ภายในจอมปลวกเหล่านี้มีทางเดินที่นับไม่ถ้วนของปลวกสายพันธุ์เดียวกัน ที่ทำขึ้นมาเพื่อเดินทางไปกินซากไม้ที่อยู่ในป่าคาทิงกา โดยที่ไม่จำเป็นต้องพบกับอันตรายใกล้เคียงกับตัวตุ่น และมีลักษณะเส้นทางที่ซับซ้อนมาก     นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ปลวกเหล่านี้น่าจะอาศัยฟีโรโมนในการใช้เส้นทางใต้ดินที่พบ ทำให้พวกมันสามารถเดินทางไปยังสถานที่ที่มันต้องการได้อย่างเม่นยำแม้ว่าทางจะซับซ้อนเท่าไหร่ก็ตาม เท่านั้นยังไม่พอเพราะจากการตรวจสอบจอมปลวกจำนวน 11 แห่งในพื้นที่ นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าจอมปลวกเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นด้วยดินที่มีอายุตั้งแต่ 690 ปีเรื่อยไปยันดินที่เก่าแก่ถึง 3,820 ปีซึ่งใกล้เคียงกับจอมปลวกที่เก่าแก่ที่สุดในโลกของแอฟริกา นั่นหมายความว่าอาณาจักรของปลวกที่เห็นนี้จะต้องมีอายุมาตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาล และอาจจะมีอายุใกล้เคียงหรือมากกว่าสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอารยะธรรมที่เก่าแก่ของมนุษย์อย่างพีระมิดเลยก็ว่าได้อีก     ความใหญ่โตนี้เองทำให้ผู้เชี่ยวชาญทางระบบนิเวศถึงกับยกย่องว่า ทุ่งจอมปลวกเหล่านี้ เป็นตัวอย่างระบบระบบนิเวศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นจากแมลงสปีชีส์เดียว และเป็นความงดงามมหัศจรรย์ทางชีววิทยาที่เก่าแก่มากๆ และยังคงถูกใช้อาศัยอยู่ชิ้นหนึ่งของโลกใบนี้เลยทีเดียว   ที่มา livescience, foxnews, sciencedaily

  • ย้อนรอย “ภัยพิบัติแห่งเมืองอะเบอร์ฟาน” ที่ทำให้ราชินีเอลิซาเบธเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้

    ย้อนรอย “ภัยพิบัติแห่งเมืองอะเบอร์ฟาน” ที่ทำให้ราชินีเอลิซาเบธเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้

    ในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1966 ที่เมืองอะเบอร์ฟาน ประเทศเวลส์ 1 ใน 4 ประเทศองค์ประกอบของสหราชอาณาจักร ได้เกิดเหตุภัยพิบัติ สารละลายของเสียจากการขุดถ่านหิน ไหลลงมาจากภูเขาจนทำให้มีเด็กๆ ร่วม 116 รายต้องเสียชีวิต     ภัยพิบัติในครั้งนี้รู้ไปถึงหูของราชินีเอลิซาเบธที่ 2 แต่น่าแปลกที่ในช่วงเวลาแรกๆ ท่านกลับปฏิเสธที่จะไปเยี่ยมประชาชนผู้ประสบภัยในพื้นที่จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอยู่ช่วงหนึ่ง กว่าที่ราชินีเอลิซาเบธที่ 2 จะไปเยี่ยมผู้ประสบภัยมันก็หลังจากเรื่องราวจบลงจริงๆ ถึง 8 วัน และแม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแล้วก็ตามแต่ราชินีเอลิซาเบธที่ 2 เองก็ยังคงบอกว่าท่านเสียใจมากที่ท่านปฏิเสธที่จะมาเยี่ยมผู้ประสบภัยตั้งแต่วันแรกที่รู้ข่าว (อ้างอิงจากที่ท่านกล่าวไว้ในปี 2002) นั่นเพราะไม่เพียงแต่ภัยพิบัติในครั้งนี้ จะเป็นเหตุการณ์สุดสลดที่มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก (เด็ก 116 รายกับผู้ใหญ่ 28 ราย) แต่มันยังเป็นเหตุการณ์ที่จริงๆ แล้วสามารถหลีกเลี่ยงได้อีกด้วย     เรื่องราวมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อเหมืองถ่านหิน “Merthyr Vale Colliery” มาเปิดที่เมืองนี้ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อปี 1920 และด้วยระบบกำจัดของเสียซึ่งเกิดจากการขุดเหมืองที่ไม่ดีในสมัยนั้น คนงานของเหมืองถ่านหินจึงเอาของเสียไปทิ้งไว้ที่บนเขาสูงชันข้างหมู่บ้าน แน่นอนว่าของเสียจากเหมืองเริ่มทับถมกันหลังจากนั้น จนประชากรในหมู่บ้านเริ่มที่จะไม่สบายใจ เนื่องจากพื้นที่ที่มีการทิ้งของเสีย อยู่ใกล้ๆ กับโรงเรียนที่มีเด็กๆ…

  • ชม 4 การค้นหาและตรวจสอบในวงการโบราณคดี ที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2019

    ชม 4 การค้นหาและตรวจสอบในวงการโบราณคดี ที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2019

    การค้นหาและตรวจสอบในทางโบราณคดี ในหลายๆ ครั้งมักกินเวลาแรมปี และไม่รู้ว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่ ถึงอย่างนั้นก็ตามหากการค้นหาเหล่านี้สำเร็จลุล่วง เราก็อาจจะได้ความรู้ใหม่ๆ ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเลยก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้เองในช่วงเวลาต้นปี 2019 เช่นนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม 4 เรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการค้นหาและตรวจสอบในวงการโบราณคดี ที่น่าจับตามองที่สุดในปีนี้กัน   เริ่มกันที่ช่องว่างปริศนาในมหาพีระมิด เมื่อเดือนธันวาคมปี 2017 ที่ผ่านมา นักโบราณคดีได้ ตรวจสอบมหาพีระมิดแห่งกีซาด้วยเทคโนโลยีรังสีมิวออน และได้ค้นพบช่องว่างที่ถูกปิดตายในโครงสร้างของตัวพีระมิดที่มีความกว้างมากกว่า 30 เมตร ในเวลานี้ยังไม่มีใครทราบว่าช่องว่างที่ว่านี้ถูกสร้าง หรือว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ในปี 2018 นักโบราณคดีก็ได้ดำเนินการตรวจสอบมหาพีระมิดแห่งกีซาด้วยมิวออน และหุ่นสำรวจขนาดเล็กอีกครั้งแล้ว และพวกเขาก็คาดว่าจะได้รับผลผลสำรวจที่น่าสนใจภายในปี 2019 นี้เอง   ถ้ำโบราณสองแห่งที่เมืองคุมราน ที่อาจมีม้วนหนังสือเดดซีอยู่ภายใน ตั้งแต่ปี 1947-2017 ม้วนหนังสือเดดซีจะมีการค้นพบในถ้ำร่วม 12 แห่ง ในประเทศอิสราเอล แต่เมื่อปี 2018 นี้เองนักโบราณคดีก็ได้ค้นพบถ้ำเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง จริงอยู่ว่าหนึ่งในสองถ้ำที่พบจะมีร่องรอยการถูกโจรเข้ามาขโมยในสมัยก่อน แต่ในอีกถ้ำหนึ่งนักโบราณคดีก็พบกับร่องรอยของอุปกรณ์ซึ่งคาดว่าใช้ใส่ม้วนหนังสือเดดซีในอดีตอยู่ ดังนั้นภายในปีนี้ เราอาจจะได้เห็นม้วนหนังสือเดดซีชิ้นใหม่ปรากฏขึ้นมาก็เป็นได้   ศิลาจารึกจากเมืองโบราณไอริซากริกถูกยึดได้ที่สหรัฐอเมริกา ในช่วงปี 2017…

  • “มาร์เซล มาร์โซ” ยอดนักแสดง “ละครใบ้” ชาวฝรั่งเศส ผู้ช่วยชีวิตเด็กชาวยิวกว่า 70 ชีวิต

    “มาร์เซล มาร์โซ” ยอดนักแสดง “ละครใบ้” ชาวฝรั่งเศส ผู้ช่วยชีวิตเด็กชาวยิวกว่า 70 ชีวิต

    เมื่อพูดถึง “มาร์เซล มาร์โซ” เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะนึกถึงผลงานในด้านการแสดงละครใบ้เป็นสิ่งแรก เพราะเขาคือ นักแสดงชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านนี้มากที่สุดคนหนึ่งของโลกเลย     ว่าแต่รู้กันหรือไม่ว่านักแสดงมากฝีมือคนนี้ ยังเคยมีผลงานช่วยเหลือเด็กๆ ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองด้วย ในสมัยที่ฝรั่งเศสถูกปกครองโดยนาซีเยอรมัน มาร์เซล มาร์โซ ได้เข้าร่วมกลุ่มต่อต้านภายใต้คำชวนของ จอร์จ ลอริงเกอร์ (Georges Loinger) ทหารชาวฝรั่งเศสผู้เป็นญาติกับเขา (และมีผลงานช่วยเหลือชาวยิวราวๆ 350 คน)     หน้าที่ของพวกเขาคือการพาเด็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไปส่งที่ชายแดนสวิตเซอร์แลนด์ แต่การเดินทางกับเด็กๆ จำนวนมากมันกลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเหล่าทหารกลุ่มต่อต้าน ดังนั้นจึงนับว่าเป็นโชคดีมากๆ ที่กลุ่มต่อต้านพาตัวมาร์เซลมาด้วย นั่นเพราะแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้เหมือนคนอื่นๆ แถมยังไม่ได้มีผลงานช่วยเหลือชาวยิวเป็นจำนวนมากๆ เหมือนญาติของเขา แต่มาร์เซลเองก็มีสิ่งที่กลุ่มต่อต้านคนอื่นๆ ไม่มีอย่าง “ละครใบ้”     จากคำบอกเล่าของจอร์จผู้เป็นญาติ มาร์เซลแสดงละครใบ้ให้เด็กๆ ดูเพื่อปลอบขวัญให้กำลังใจตั้งแต่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เรื่อยไปจนถึงชายแดนสวิตเซอร์แลนด์ เขาทำให้แทนที่เด็กๆ จะรู้สึกว่ากำลังหนี พวกเขากลับรู้สึกเหมือนกำลังไปเที่ยวเล่นแทน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เด็กๆ จะรักมาร์เซลมากๆ และรู้สึกปลอดภัยเวลาที่อยู่กับเขา ละครใบ้ของมาร์เซลไม่เพียงแต่ทำให้เด็กๆ สบายใจในการเดินทางเท่านั้น แต่มาร์เซลยังถูกประยุกต์ใช้มันในการทำให้เด็กๆ เงียบในเวลาที่เขาต้องการ และใช้หลอกทหารฝั่งศัตรูด้วยการปลอมตัวเป็นหัวหน้าหมู่ลูกเสือที่กำลังออกแคมป์ได้อีกด้วย…

  • ชมภาพอุปกรณ์ตรวจจับเสียงในอดีต เครื่องมือเก่าแก่ที่เราเคยใช้ก่อนเรดาร์จะเป็นที่นิยม

    ชมภาพอุปกรณ์ตรวจจับเสียงในอดีต เครื่องมือเก่าแก่ที่เราเคยใช้ก่อนเรดาร์จะเป็นที่นิยม

    เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าเรดาร์เป็นเทคโนโลยีตรวจจับที่สำคัญต่อโลกขนาดไหน แต่รู้หรือไม่ว่ากว่าที่มนุษย์เราจะเริ่มมีการใช้เรดาร์ในทางทหารในปี 1941 คนเราเคยใช้เครื่องมือแบบไหนในการตรวจจับของแบบเครื่องบิน คำตอบของคำถามนี้คือ “Acoustic location” หรือเครื่องตรวจตำแหน่งเสียง เครื่องมือที่อาศัยเครื่องของเครื่องยนต์จากเครื่องบินในการบอกตำแหน่งของยานบินในบริเวณ แต่ส่วนมากแล้วเครื่องมือเหล่านี้ มักจะเป็นเพียงเครื่องเสริมความสามารถในการได้ยินของมนุษย์เท่านั้น จำเป็นที่จะต้องมีมนุษย์คอยเป็นผู้ฟังเสียงอีกทีหนึ่ง แถมมักจะมีรูปร่างที่แปลกมากเลยด้วย ไม่เชื่อก็ลองไปชมภาพของเครื่องตรวจตำแหน่งเสียงในอดีตทั้ง 14 เครื่องต่อไปนี้ดูสิ   เริ่มกันจากเครื่องจับเสียงรูปร่างแตรคู่ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1921 (บางแหล่งข้อมูลก็บอกว่าปี 1925)   เครื่องจับเสียงของเยอรมนีในปี 1917 ที่ใส่แล้วจะคล้ายๆ มิกกี้เม้าส์หน่อยๆ   “Personal Parabola” อุปกรณ์ตรวจจับเสียงของชาวฮอลันดาในช่วงยุค 1930 มีรูปร่างคล้ายจานผ่าครึ่ง   อุปกรณ์ตรวจจับเสียงของชาวฮอลันดาในยุค 1930 อีกชิ้นหนึ่ง มีประสิทธิภาพมากกว่าชิ้นด้านบน แต่ในขณะเดียวกันขนาดและน้ำหนักก็มากตามๆ กันไปด้วย   อุปกรณ์ตรวจจับเสียงของสาธารณรัฐเช็กในยุค 1920 มีจุดเด่น ที่ท่อยาวไปสู่จาน   การทดสอบเครื่อง “Perrin acoustic locator” ของฝรั่งเศสในยุค 1930 เครื่องนี้มีจุดเด่นที่แผง 4 แผงที่เห็น…

  • ชมเครื่องประดับของ “มารี อ็องตัวแน็ต” ที่ถูกนำออกแสดงเป็นครั้งแรกในรอบ 200 ปี

    ชมเครื่องประดับของ “มารี อ็องตัวแน็ต” ที่ถูกนำออกแสดงเป็นครั้งแรกในรอบ 200 ปี

    ในช่วงที่การปฏิวัติฝรั่งเศสเกิดขึ้น (แถวๆ ปี 1789) ในคืนก่อนที่ “มารี อ็องตัวแน็ต” จะถูกจับ เธอได้เอาเครื่องประดับจำนวนหนึ่งของตัวเองห่อเก็บเอาไว้ในกล่องไม้ และส่งไปยังเวียนนา ประเทศออสเตรีย ด้วยความพยายามนี่เองทำให้เครื่องเพชรแสนรักของเธอส่วนหนึ่งสามารถรอดพ้นเงื้อมมือของฝั่งปฏิวัติ และกลับไปสู่มือของลูกหลานยาวนานกว่า 200 ปี แม้ว่าตัวเธอจะเสียชีวิตไปแล้ว     และเมื่อช่วงปลายปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมานี้เอง ในที่สุดเครื่องเพชรของมารี อ็องตัวแน็ตในวันนั้นก็ได้รับอนุญาตให้นำออกสู่สายตาประชาชนจนได้ ภายในงานแสดงเครื่องประดับแห่งราชวงศ์บูร์บง-ปาร์มาในโรงประมูล “Sotheby” ในสหรัฐฯ นั่นหมายความว่าหากคุณมีเงินมากพอ เครื่องประดับเหล่านี้ก็ได้รับอนุญาตให้ออกประมูลอย่างเป็นทางการเลยนั่นเอง ว่าแต่เครื่องประดับที่ว่ามันจะงดงามขนาดไหนนั้น วันนี้ #เหมียวศรัทธา จะนำเพื่อนๆ ไปชมกันที่ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันจากสร้อยคอเพชร พร้อมเพชรอีกห้าเม็ดของมารี อ็องตัวแน็ต   ตุ้มหู (หรือไม่ก็ส่วนหนึ่งของสร้อยคอ) ที่ทำจากไข่มุกธรรมชาติ และเพชร   แหวนประดับผม 2 วงที่ทำจากเพชรในสไตล์ศตวรรษที่ 18 กับเครื่องประดับผมอีกชิ้นหนึ่ง   สร้อยคอที่ทำจากไข่มุก 331 เม็ด และประดับไว้ด้วยเครื่องประดับเพชรอีกที   ตุ้มหูไข่มุกแท้ประดับเพชร   ริบบิ้นเพชรที่มีมูลค่าราวๆ 1.6-2.5…

  • ชม 23 ภาพสุดแปลกของแฟชั่นหนุ่มๆ ยุค 70 ที่ในสมัยก่อนอาจจะถูกมองว่าเท่มากๆ ก็ได้

    ชม 23 ภาพสุดแปลกของแฟชั่นหนุ่มๆ ยุค 70 ที่ในสมัยก่อนอาจจะถูกมองว่าเท่มากๆ ก็ได้

    ยุค 70 นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างแปลกสำหรับวงการแฟชั่นเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ หากไปเดินบนถนนในช่วงปีนี้ก็คงจะได้เห็นคนแต่งตัวแบบแปลกๆ กันไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะสำหรับเหล่าหนุ่มๆ แล้วด้วย อาจจะเพราะได้รับอิทธิพลมาจากเอลวิสก็เป็นได้ ในสมัยนั้นหลายๆ คนจึงชอบแต่งตัวให้เด่นที่สุดเท่าที่ตัวเองจะเป็นได้ ว่าแต่มันจะเป็นแบบไหนอย่างนั้นเหรอ? ก็ประมาณภาพทั้ง 23 ภาพต่อไปนี้ไง   เริ่มกันจากใส่เสื้อยาวๆ (และไม่ใส่กางเกง) แบบนี้   กางเกงก็จะขาบานๆ นิดนึง   บางทีก็จะมีโชว์อก   ถ้ามีขนหน้าอกด้วยจะยิ่งเท่….?   บางคนก็ใส่กางเกงสูงๆ   แต่ต้องเอาชายเสื้อใส่ในกางเกงนะ   เสื้ออย่างหรูกางเกงลายโต๊เต๊   รู้สึกอยากพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับซิป…   แบบผสมผสานกับแฟชั่นโบราณ (ความแปลก +10)   ด้านซ้ายสีหนึ่ง ด้านขวาอีกสีหนึ่ง   ดูเผินๆ นึกว่าใส่กางเกงกลับข้าง   ขาบานๆ ไม่พอต้องมีจีบด้วย   ใส่ขาสั้นแล้วจะรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง   อือหือ ตาแทบระเบิด   กางเกงจำเป็นต้องเว้าข้างด้วยเหรอ  …

  • เปิดเรื่องราวของถ้ำ “Davelis” ถ้ำลึกลับแห่งกรีก ที่รวบรวมเรื่องประหลาดเอาไว้กว่า 1,000 ปี

    เปิดเรื่องราวของถ้ำ “Davelis” ถ้ำลึกลับแห่งกรีก ที่รวบรวมเรื่องประหลาดเอาไว้กว่า 1,000 ปี

    เคยได้ยินเรื่องราวของถ้ำ Davelis (บางทีก็เรียกว่าถ้ำ Penteli) กันมาก่อนไหม? นี่เป็นถ้ำที่อยู่บนภูเขา Penteli ใกล้ๆ เมืองเอเธนส์ ประเทศกรีซ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน     หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อภูเขานี้ในฐานะทางผ่านการวิ่งมาราธอน หรือไม่ก็สถานที่ที่มีเหมืองเก่าแก่ซึ่งใช้ขุดหินอ่อนที่นำมาทำวิหารพาร์เธนอน แต่นอกจากเรื่องเหล่านั้นแล้ว ที่แห่งนี้ ยังมีเรื่องราวแปลกๆ ซ่อนอยู่อีกมากเลย นั่นเพราะถ้ำ Davelis ในอดีตเคยเป็นสถานที่ที่เชื่อกันว่าเป็นที่อยู่อาศัยของเทพแพน ผู้เป็นเจ้าแห่งป่าเขา กับเหล่านางไม้ จากหลักฐานโบราณวัตถุของชาวกรีกโบราณที่พบในถ้ำ และต่อมาก็ยังกลายเป็นสถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับวิญญาณและความเชื่อเรื่อยมาอีกด้วย   ที่ปากถ้ำ Davelis มีโบสถ์เก่าแก่รูปร่างประหลาดอยู่ ซึ่งเชื่อกันว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในศตวรรษที่ 11   ว่ากันว่าใครคนที่เข้าไปในถ้ำนี้จะได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากส่วนลึกของถ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเสียงคน หรือแม้กระทั่งเสียงเครื่องดนตรีที่ไม่สามารถหาที่ไปที่มาได้ แถมตั้งแต่ที่มีการค้นพบในต้นศตวรรษที่ 19 ทางรัฐก็ได้รับการรายงานว่ามีผู้พบเห็นสิ่งแปลกๆ ทั้ง เงาประหลาด ยูเอฟโอ หรือแม้กระทั่งวิญญาณคนตาย     ชื่อเสียงของถ้ำนี้โด่งดังมากในปี 1977 เมื่อกลุ่มคนจำนวนมากที่อ้างตัวว่ามาจาก “องค์กรลับ” เข้ามายึดที่แห่งนี้พร้อมๆ กับล้อมลวดหนาม แถมยังมีการ “ดำเนินงาน” กับตัวถ้ำด้วยการใช้งานเครื่องมืออย่างระเบิด และรถตักดิน การกระทำเหล่านี้ทำให้เกิดข่าวลือว่าหน่วยงานอย่าง NATO หรือรัฐบาลสหรัฐฯ…

  • รูปสลักอายุ 1,700 ปี ถูกค้นพบโดยบังเอิญ โดยหญิงสาวที่เดินผ่านสุสานในวันที่ฝนตก

    รูปสลักอายุ 1,700 ปี ถูกค้นพบโดยบังเอิญ โดยหญิงสาวที่เดินผ่านสุสานในวันที่ฝนตก

    เป็นเรื่องที่รู้กันว่าบางครั้งการค้นพบที่สำคัญๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นโดยมือของนักโบราณคดีเสมอไป เพราะในบางครั้งคนธรรมดาๆ ก็ค้นพบสิ่งที่ไม่น่าเชื่อจากความบังเอิญล้วนๆ ได้เช่นกัน เรื่องในคราวนี้เกิดขึ้นเมื่อหญิงสาวผู้ไม่ประสงค์ออกนามคนหนึ่งเดินผ่านสุสานใกล้ๆ เมืองโบราณชื่อ Beit She’an ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิสราเอล ในวันที่ฝนตก     ในตอนนั้นเองเธอก็บังเอิญเหลือบไปเห็นส่วนบนของก้อนหินประหลาด ที่มีรูปร่างคล้ายศีรษะมนุษย์ โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินที่ถูกน้ำฝนชะ จึงได้ตัดสินใจแจ้งการค้นพบให้กับเจ้าหน้าที่กระทรวงโบราณวัตถุของอิสราเอล พวกเขาส่งทีมเข้าขุดค้นพื้นที่สุสานที่ Beit She’an หลังจากนั้น และพบว่าก้อนหินที่หญิงสาวผู้ไม่ประสงค์พบนั้น แท้จริงแล้วมีอยู่ถึงสองอัน แถมยังเป็นรูปสลักโบราณที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1,700 ปีอีกด้วย     นี่เป็นรูปสลักที่แกะขึ้นจากหินปูน ที่มีน้ำหนักมากถึงชิ้นละ 30 กิโลกรัมจากสมัยโรมันโบราณ โดยเป็นรูปของชายหญิงคู่หนึ่ง และคาดกันว่าเป็นรูปสลักที่ทำให้ผู้ที่เสียชีวิตตามประเพณีของเมืองโรมันโบราณบางแห่ง รูปสลักในรูปแบบนี้ มักจะถูกเรียกกันว่า “Protomae” ซึ่งตามปกติแล้วที่รูปสลักจะมีชื่อของผู้ตายสลักเอาไว้ด้วย แต่น่าแปลกที่รูปสลักที่มีการค้นพบในครั้งนี้ไม่ได้มีการสลักชื่อไว้แต่อย่างใด     การค้นพบเหล่านี้ทำให้นักโบราณคดีตั้งข้อสันนิษฐานว่าชาวเมือง Beit She’an ในสมัยก่อนอาจจะไม่ได้มีเชื่อสายมาจากชาวยิวหรือสุเมเรียนเหมือนกับคนในพื้นที่ใกล้เคียงก็เป็นได้ เพราะการตกแต่งภาพของคนตายไว้ที่หลุมศพเป็นหนึ่งในข้อห้ามของฮีบรูไบเบิล อย่างไรก็ตามรูปสลักที่มีการค้นพบในครั้งนี้นั้น ไม่ใช่รูปสลักแบบ Protomae ชิ้นแรกที่มีการค้นพบในประเทศ เพราะตั้งแต่ในศตวรรษที่ 19 มาที่อิสราเอลก็มีการค้นพบรูปสลัก Protomae มากมายหลายแบบจากผู้สร้างที่ต่างกันมาแล้ว    …

  • ย้อนรอย “มาร์กาเร็ต โฮว์ โลแว็ตต์” เรื่องราวสุดแปลก ของหญิงสาวผู้เคยมีเซ็กส์กับโลมา

    ย้อนรอย “มาร์กาเร็ต โฮว์ โลแว็ตต์” เรื่องราวสุดแปลก ของหญิงสาวผู้เคยมีเซ็กส์กับโลมา

    ในช่วงยุคปี 60 นักประสาทวิทยาจอห์น ลิลลี่ และนักดาราศาสตร์แฟรงก์ เดรกได้ร่วมมือกันขอทุนทำการวิจัยเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างคนและปลาโลมา พวกเขาได้รับทุนจากนาซา สร้างห้องปฏิบัติการในการทดลอง และว่าจ้าง “มาร์กาเร็ต โฮว์ โลแว็ตต์” หญิงสาววัย 23 ปีมาเป็นคนฝึกสอนโลมา     มาร์กาเร็ตได้รับมอบหมายให้ฝึกฝนโลมาตัวผู้ชื่อ “ปีเตอร์” ในการทำเสียงเลียนแบบมนุษย์ ซึ่งแม้ว่าจะดูเป็นเรื่องธรรมดาๆ ในการทำงานวิจัย แต่ในเวลานั้นคงไม่มีใครทราบหรอกว่าหลังจากนี้ความสัมพันธ์และระหว่างปีเตอร์และมาร์กาเร็ตจะเปลี่ยนไปเช่นไร ด้วยความที่โลมาเป็นสัตว์ที่มีความต้องการทางเพศค่อนข้างมากอยู่แล้วทำให้บ่อยครั้ง ปีเตอร์ก็พยายามที่จะลูบตัวของมันกับมาร์กาเร็ตอยู่บ่อยๆ จนมาร์กาเร็ตต้องส่งมันกลับไปหาโลมาตัวเมียหลายครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้การฝึกออกมาไม่ดีเท่าที่ควร     จนกระทั่งในที่สุดมาร์กาเร็ตก็เริ่มเบื่อที่จะส่งโลมาไปมา ดังนั้นเธอจึงเริ่มเติมเต็มความต้องการให้กับปีเตอร์ด้วยตัวของเธอเอง ระดับความสัมพันธ์ทางเพศของทั้งสองถูกรายงานแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามอ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ของตัวมาร์กาเร็ต อย่างน้อยๆ เธอก็มีการ “ช่วยเหลือ” ปีเตอร์ในการสำเร็จความใคร่ในช่วงเวลานี้     น่าเสียดายที่การวิจัยในครั้งนี้ต้องปิดตัวลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากผู้สนับสนุนหลายรายถอนทุนออกไปด้วยเหตุผลทางภาพลักษณ์ (เป็นไปได้ว่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าในการวิจัยมีการใช้ยา LSD ที่มีฤทธิ์หลอนประสาทกับสัตว์) การปิดตัวลงนี้ทำให้ปีเตอร์ต้องแยกจากมาร์กาเร็ตและย้ายไปอยู่ที่ห้องทดลองในไมอามี่ ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้เกี่ยวข้องในการวิจัย ปีเตอร์มีอาการโศกเศร้ามากจนถึงขนาดที่มันฆ่าตัวตายเลย นั่นเพราะปลาโลมาไม่ได้มีระบบการหายใจแบบอัตโนมัติเช่นคน ดังนั้นหากมันไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป สิ่งที่พวกมันต้องทำก็เพียงแค่จมลงสู่ท้องทะเลเท่านั้น     มาร์กาเร็ตเก็บเรื่องราวของเธอและปีเตอร์ไว้กับเจ้าตัวเองเรื่อยมาเกือบ 50 ปี (ถึงแม้ว่าจะมีข่าวเกี่ยวกับเธอออกมาเป็นช่วงๆ ก็ตาม) และแม้ว่าอาจจะฟังดูเหมือนเรื่องราวความรักที่เจ็บปวดอยู่บ้าง…

  • พบวิหารเทพ “ซิเป ตอเท็ค” เทพผู้ถูกถลกหนังในเม็กซิโก เชื่อเคยใช้งานเมื่อราวๆ พันปีก่อน

    พบวิหารเทพ “ซิเป ตอเท็ค” เทพผู้ถูกถลกหนังในเม็กซิโก เชื่อเคยใช้งานเมื่อราวๆ พันปีก่อน

    เมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานักโบราณคดีของประเทศเม็กซิโกได้ออกมาประกาศการค้นพบวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อถวายให้แก่เทพ “ซิเป ตอเท็ค” (Xipe Totec) หนึ่งในเทพที่สำคัญที่สุดของอารยธรรมโบราณก่อนสมัยแอซเท็ก การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นที่แหล่งโบราณคดี Ndachjian-Tehuacán ในรัฐปวยบลา รัฐทางทิศใต้ตอนกลางของประเทศเม็กซิโก     โดยโบราณสถานที่พบนั้นเป็นส่วนซากของสิ่งก่อสร้างที่คาดว่าเคยมีรูปร่างคล้ายพีระมิด และเชื่อกันว่าถูกใช้งานในช่วง ค.ศ. 1000-1260 โดยชาวพื้นเมืองเผ่า Popoloca ซึ่งในเวลาต่อมาได้ถูกปราบไปโดยเผ่าแอซเท็กอีกที ตัววิหารที่พบมีขนาด 12 x 3.5 เมตร มีหินรูปหน้าคนขนาดใหญ่สองก้อนอยู่ภายใน พร้อมๆ กับมือสามข้าง และรูปสลักร่างมนุษย์อีกหนึ่งชิ้น     นักโบราณคดีเชื่อว่าโบราณวัตถุเหล่านี้น่าจะถูกใช้เป็นตัวแทนของเทพซิเป ตอเท็คในอดีต และที่รูปปั้นแลดูน่ากลัวอย่างน่าประหลาดเองก็อาจจะมาจากความพยายามในการสร้างเทพให้ออกมาน่าเกรงขามของช่างฝีมือในสมัยก่อน นั่นเพราะเทพซิเป ตอเท็คนั้นแม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งเกษตรกรรมและพืชผลก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเทพแห่งโรคภัย ที่ได้ชื่อว่า “เทพผู้ถูกถลกหนัง” (จากการที่ถลกหนังตัวเองเพื่อให้มนุษย์กิน) และมักจะถูกบรรยายออกมาว่าสวมหนังมนุษย์แทนเสื้อเช่นกัน     ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เทพองค์นี้จะได้รับการบูชายัญโดยคนสมัยก่อน และมือ 3 ข้างที่พบ ก็น่าเป็นตัวแทนของหนังมนุษย์ที่ซิเป ตอเท็คสวม และแม้ว่าเผ่า Popoloca จะถูกปราบไปแล้วก็ตาม แต่ความเชื่อของพวกเขากลับถูกส่งต่อไปยังเผ่าแอซเท็กจนทำให้ ซิเป ตอเท็คกลายเป็นเทพองค์สำคัญของแอซเท็กต่อไปในช่วงศตวรรษที่ 15…

  • นักโบราณคดีหัวใส ใช้ภาพจากอดีตดาวเทียมสปาย ตามหาโบราณสถานที่หายไป

    นักโบราณคดีหัวใส ใช้ภาพจากอดีตดาวเทียมสปาย ตามหาโบราณสถานที่หายไป

    จากเอกสารที่ได้รับการนำมาเปิดเผยของทาง CIA ดูเหมือนว่าในช่วงปี 1959-1972 สหรัฐอเมริกาจะมีการใช้ดาวเทียมที่มีโค้ดเนมว่า “Corona” ในการแอบสอดส่องความเคลื่อนไหวของประเทศต่างๆ ในโลกด้วย โดยดาวเทียมนี้จะทำการแอบถ่ายภาพสถานที่ต่างๆ ในโลกคล้ายๆ Google Map และตลอดเวลาการทำงานของมันก็มีรูปสถานที่ต่างๆ ของโลกถูกถ่ายเก็บไว้เป็นจำนวนมาก   ตัวอย่างภาพที่ดาวเทียม Corona ถ่ายเอาไว้   จริงอยู่ว่าในสมัยก่อนรูปเหล่านั้นอาจถูกใช้ไปในการสืบความลับของประเทศต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป นักโบราณคดีก็ได้นำภาพเหล่านี้กลับมาใช้งานอีกครั้งในด้านที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือแทนที่จะให้ภาพในการสืบความลับ นักโบราณคดีกลับนำภาพเหล่านี้มาเพื่อตามหาโบราณสถานที่อาจถูกทำลาย หรือหายไปในช่วงยุคการพัฒนาประเทศแทน นั่นเพราะเดิมทีแล้วการตามหาโบราณสถานสามารถทำได้ด้วยการเปรียบเทียบภาพของพื้นที่ในปัจจุบันเข้ากับภาพในสมัยก่อน ดังนั้นคลังภาพถ่ายโบราณของดาวเทียม Corona จึงกลายเป็นข้อมูลชิ้นสำคัญที่เก็บภาพพื้นที่ในสมัยก่อนเอาไว้ได้เป็นอย่างดี   เลนส์จากกล้องของดาวเทียม Corona   นี่เป็นโปรเจกต์ที่มีการนำเสนอไปเมื่อเดือนธันวาคมปีค.ศ. 2018 ที่งานสหภาพธรณีฟิสิกส์อเมริกัน (AGU) และเริ่มมีการทดลองใช้งานกับพื้นที่ตะวันออกกลางเป็นที่แรก โดยนักโบราณคดีได้ทำการออกแบบโปรแกรมพิเศษชื่อ “Sunspot” ที่จะสามารถใช้เปลี่ยนข้อมูลภาพของดาวเทียม Corona ให้เข้าถึงได้ง่ายในทางดิจิตอล และสามารถใช้กับโปรแกรมสร้างแผนที่ทั่วไปได้ง่ายขึ้น Jackson Cothren ศาสตราจารย์กับภาควิชาธรณีศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยอาร์คันซอ บอกกับสื่อต่างประเทศ โปรแกรมนี้ทำให้ภาพจากดาวเทียม Corona สามารถเข้าชมแบบออนไลน์ได้ฟรี และทำให้การเทียบรูปภาพทำได้ง่ายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน     และแน่นอนว่าหลังจากที่มีโปรแกรมนี้ออกมานักโบราณคดีก็สามารถระบุตำแหน่งของแหล่งโบราณที่หายไปได้มากขึ้นเกือบๆ 100 เท่า ทั้งที่เป็นโบราณสถานจากยุคโรมัน หรือกระทั่งยุคสำริด จริงอยู่ที่ว่าโบราณสถานบางส่วนจะไม่สามารถเข้าไปสำรวจได้แล้ว แต่อย่างน้อยๆ นักโบราณคดีก็สามารถทราบได้ว่าสถานที่ใดบ้างที่เคยมีแหล่งโบราณคดีตั้งอยู่  …

  • ชมป้อมปราการเก่าแก่อายุ 2,300 ปี ที่ประเทศอียิปต์ กับหน้าที่ปกป้องเมืองท่าแห่งทะเลแดง

    ชมป้อมปราการเก่าแก่อายุ 2,300 ปี ที่ประเทศอียิปต์ กับหน้าที่ปกป้องเมืองท่าแห่งทะเลแดง

    ในพื้นที่ฝั่งทะเลแดง ทางตะวันออกของประเทศอียิปต์ ทีมนักโบราณคดีร่วมระหว่างโปแลนด์และสหรัฐอเมริกา ได้ทำการค้นพบป้อมปราการเก่าแก่ที่มีอายุร่วม 2,300 ปี     นี่เป็นป้อมปราการ ที่สร้างขึ้นในสมัยของราชวงศ์ทอเลมี ราชวงศ์ซึ่งเป็นลูกหลานของหนึ่งในเจ็ดนายพลของอเล็กซานเดอร์มหาราช และคาดกันว่าในอดีตถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องเมืองท่า “Berenike” ป้อมปราการที่พบนี้มีขนาด 160 x 80 เมตรสร้างขึ้นจากหิน มีกำแพงสองชั้นหันไปทางตะวันตก และกำแพงหนึ่งชั้นหันไปทางทิศตะวันออก และทิศเหนือ     ลักษณะของกำแพงที่หันเขาไปในทางแผ่นดินนี้ทำให้นักโบราณคดีคาดว่าป้อมปราการนี้น่าจะมีหน้าที่ป้องกันข้าศึกไม่ให้เข้ามายังเมืองท่า มากกว่าป้องกันข้าศึกที่อาจจะเข้ามาในเมืองท่าทางทะเล นอกจากนี้ในป้อมเองยังประกอบไปด้วยลักษณะสิ่งก่อสร้างที่ซับซ้อน โดยมีทั้งร้านค้าและโรงงานอยู่ในตัว แถมยังมีบ่อน้ำและสระน้ำอีกหลายแห่งซึ่งออกแบบมาให้เก็บน้ำจากน้ำใต้ดินและน้ำฝนในเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่าพร้อมในการรับมือกับศึกยืดเยื้อเป็นอย่างดี     Marek Woźniak หนึ่งในทีมนักโบราณคดีบอกว่าสระน้ำสองแห่งในป้อมนี้สามารถจุน้ำได้รวมๆ ถึง 17,000 ลิตร ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าในอดีตพื้นที่ในเขตนี้น่าจะมีความชื้นมากกว่าในปัจจุบัน นอกจากนี้ในตัวป้อมปราการ นักโบราณคดียังพบกับชิ้นส่วนกะโหลกของลูกช้าง เหรียญทอง และเครื่องดินเผาเทอราคอตตาด้วย ซึ่งนับว่าน่าสนใจมากเพราะสิ่งเหล่านี้บอกให้เราทราบว่าป้อมปราการนี้อาจมีชีวิตที่สงบสุขกว่าที่เราคิด     เพราะนอกจากเมือง Berenike จะไม่มีประวัติถูกโจมตีแล้ว สิ่งที่พบยังบอกให้เราทราบว่าตัวเมืองนี้ น่าจะมีหน้าที่สนับสนุนสงครามอย่างการส่งช้างไปให้กองทัพ มากกว่าที่จะเป็นสถานที่รบเสียเอง ทำให้เมืองนี้สามารถค้าขายได้อย่างเต็มที่ จริงอยู่ว่าป้อมปราการนี้จะมีการค้นพบมาตั้งแต่ในปี 2013 แล้ว แต่การขุดค้นสถานที่แห่งนี้ก็ยังคงนำมาซึ่งการค้นพบใหม่ๆ เรื่อยมา…

  • พบโครงกระดูกอายุ 5,900 ปี เก่าแก่ที่สุดในอเมริกากลาง เป็นของหญิงสาวผู้มีแขนใหญ่

    พบโครงกระดูกอายุ 5,900 ปี เก่าแก่ที่สุดในอเมริกากลาง เป็นของหญิงสาวผู้มีแขนใหญ่

    ข่าวการค้นพบมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็มักจะเป็นข่าวที่น่าสนใจอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบในยุโรป เอเชีย หรือแอฟริกา และเมื่อล่าสุดนี้เอง ก็เป็นคราวของอเมริกากลางที่จะเป็นผู้ค้นพบมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดของตัวเองบ้างแล้ว เมื่อไม่นานมานี้เอง นักโบราณคดีก็ได้มีการค้นพบโครงกระดูกของหญิงสาวผู้ซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่เมื่อ 5,900 ปีก่อน ที่ประเทศนิการากัว ทางตอนใต้ของอเมริกากลาง     จากการตรวจสอบของนักวิทยาศาสตร์ โครงกระดูกที่พบเป็นของหญิงสาวผู้มีอายุอยู่ในช่วง 25-40 ปีในตอนที่เสียชีวิต สูงราวๆ 150 เซนติเมตร และมีแขนที่ค่อนข้างใหญ่ทั้งๆ ที่ตัวเล็กและรูปร่างบอบบาง Mirjana Roksandic ศาสตราจารย์วิชามานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยวินนิเพกในแคนาดาอธิบายว่า ที่แขนของเธอมีลักษณะเช่นนี้น่าจะมาจากการใช้แรงแขนอย่างหนักในตอนที่มีชีวิต เช่นการพายเรือหรือแบกของเป็นประจำ นอกจากนี้ฟันของหญิงสาวเองยังมีร่องรอยการสึกหรออย่างมาก ซึ่งเป็นลักษณ์ของคนโบราณที่ทานสัตว์น้ำจำพวกมีเปลือกเป็นจำนวนมากอีกด้วย     Roksandic ยังบอกอีกว่าการค้นพบกระดูกของเธอเองก็นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกเลยทีเดียว เนื่องจากตามปกติสภาพภูมิประเทศเขตร้อนนั้นมักจะไม่เหมาะกับการเก็บรักษาโครงกระดูกมนุษย์เป็นเวลานานๆ เป็นไปได้ว่าที่โครงกระดูกมนุษย์ของเธอยังคงมีสภาพดีอย่างที่เห็นนั้น น่าจะมาจากสถานที่ และวิธีการฝัง โดยในกรณีนี้ ร่างของหญิงสาวถูกฝังในกองเปลือกหอย ซึ่งช่วยลดความเป็นกรดของดินได้     จริงอยู่ที่ว่ากระดูกที่พบนั้นเป็นโครงกระดูกที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกากลางก็ตาม แต่ก็น่าเสียดายที่โครงกระดูกมนุษย์โบราณของแถบนี้นั้นไม่ค่อยจะหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันมากนัก ทำให้บอกได้ยากว่าคนในแถบนี้นั้นในสมัยก่อนมีการใช้ชีวิตและประเพณีอย่างไร สิ่งที่เราพอจะบอกได้จากสิ่งที่พบนั้นก็มีเพียงพวกเขาน่าจะเป็นนักตกปลา เก็บของป่า และชำนาญในการทำสวนก็เท่านั้น     ในปัจจุบันโครงกระดูกของหญิงสาวค้นนี้ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมประวัติศาสตร์ CIDCA แห่งชายฝั่งทะเลแคริบเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะมีการศึกษาโครงกระดูกที่พบนี้ต่อไป  …

  • นักวิทยาศาสตร์ชี้ ที่ชั้นหินของโลกหายไปช่วงหนึ่ง อาจจะเกิดขึ้นเพราะธารน้ำแข็งก็เป็นได้

    นักวิทยาศาสตร์ชี้ ที่ชั้นหินของโลกหายไปช่วงหนึ่ง อาจจะเกิดขึ้นเพราะธารน้ำแข็งก็เป็นได้

    เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าชั้นหินแต่ละชั้นของเปลือกโลกนั้น จะสามารถให้บอกช่วงเวลาที่ต่างกันไปของโลกได้ แต่ถึงอย่างนั้นโลกใบนี้กลับมีชั้นหินชั้นหนึ่งที่หายไป นี่เป็นชั้นหินที่เรียกกันว่า “Great Unconformity” หรือ “รอยชั้นไม่ต่อเนื่องขนาดใหญ่” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเปลือกโลกที่จริงๆ แล้วควรจะถูกนำมาใช้ศึกษาเรื่องราวระหว่างยุคพรีแคมเบรียน กับยุคแคมเบรียน (250-1,200 ล้านปีก่อน) แต่กลับหายไปอย่างน่าประหลาด     การขาดช่วงการบันทึกของชั้นหินที่ว่านี้ถูกสันนิษฐานกันว่าเกิดจากเหตุผลหลายๆ อย่าง ทั้งการยกตัวของแผ่นดิน หรือไม่ก็การขึ้นลงของระดับน้ำทะเล อย่างไรก็ตามจากงานวิจัยชิ้นใหม่ของเหล่านักวิทยาศาสตร์ ดูเหมือนว่าที่ชั้นหินที่หายไปนี้จะเกิดจากการไหลลงทะเลของธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ต่างหาก นี่เป็นงานวิจัยที่อ้างอิงทฤษฎีโลกก้อนหิมะ (Snowball earth) ทฤษฎีที่ว่าโลกเคยตกอยู่ในยุคที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งมาก่อน     จริงอยู่ที่ว่าแนวคิดนี้อาจจะดูเวอร์เกินจริงไปบ้าง เนื่องจากการที่ชั้นหินจะหายไปแทบทั่วโลกขนาดนั้นจำเป็นต้องใช้ธารน้ำแข็งขนาดมหึมาจริงๆ แต่หากโลกเคยปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งมาก่อนทฤษฎีนี้ ก็จะมีโอกาสเป็นจริงตามไปด้วยเช่นกัน โดยเนื้อหาของงานวิจัยชิ้นใหม่นี้สรุปได้ว่าว่า ในสมัยที่โลกเริ่มละลายจากน้ำแข็ง ตัวน้ำแข็งที่เคยคลุมโลกอยู่ จะหนักมากจนเมื่อเริ่มละลายมันจะลากเอาหน้าดินหลายส่วนไปพร้อมๆ กัน ก่อนที่จะไหลลงมหาสมุทรและจมไปเป็นตะกอน ซึ่งตะกอนเหล่านี้เองจะรวมเข้ากับชั้นดินใต้ทะเลลึกอีกทีทำให้ชั้นดินส่วนหนึ่งของโลกดูเหมือนว่าหายไปนั่นเอง     หากงานวิจัยนี้เป็นจริง มันก็จะสามารถนำมาให้อธิบายสาเหตุที่ชั้นหินช่วง 600-700 ล้านปีก่อนหายไปได้เป็นอย่างดี แถมยังสามารถนำไปสู่คำอธิบายของการที่ช่วงยุคแคมเบรียนมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมากอีกด้วย แน่นอนว่างานวิจัยที่อ้างอิงทฤษฎีที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์เช่นนี้ย่อมเป็นงานวิจัยที่ต้องมีข้อถกเถียงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตามในปัจจุบันทฤษฎีโลกก้อนหิมะ ก็เริ่มเป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์หลายๆ รายแล้ว     ดังนั้นไม่แน่ว่างานวิจัยชิ้นนี้ อาจจะกลายเป็นงานวิจัยชิ้นสำคัญที่ใช้อธิบายการหายไปของ 1 ในชั้นประวัติศาสตร์ธรณีวิทยาโลกเลยก็เป็นได้…

  • ย้อนรอยภาพดัง สายตาของ “โยเซ็ฟ เกิบเบิลส์” หลังจากที่ทราบว่าตากล้องเป็นชาวยิว

    ย้อนรอยภาพดัง สายตาของ “โยเซ็ฟ เกิบเบิลส์” หลังจากที่ทราบว่าตากล้องเป็นชาวยิว

    ความรังเกียจชาวยิวของพรรคนาซี เป็นเรื่องที่โด่งดังมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และนำมาซึ่งเหตุการณ์ที่ไม่ว่าใครก็รู้จักในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่หากจะให้พูดถึงภาพที่แสดงให้เห็นความเกลียดชังชาวยิวที่ชัดเจนที่สุด เราก็คงจะนึกถึงภาพไหนไปไม่ได้นอกจากภาพของโยเซ็ฟ เกิบเบิลส์ แกนนำคนสำคัญของพรรคนาซีที่ถูกถ่ายไว้ในปี 1933 นั่นเอง     นี่เป็นภาพของสายตาแห่งความเกลียดชัง ที่เกิบเบิลส์มองมายังตากล้อง หลังจากที่เขาทราบว่าคนที่กำลังถ่ายภาพเขาอยู่นั้น จริงๆ แล้วเป็นชาวยิวที่เขาเกลียดนักเกลียดหนานั่นเอง ภาพถ่ายชิ้นนี้ถูกถ่ายไว้โดย “อัลเฟรด ไอเซนสเตด” ช่างภาพวารสาร LIFE ชาวเยอรมัน ผู้ที่มีโอกาสได้เข้าพบกับโยเซ็ฟ เกิบเบิลส์อย่างใกล้ชิดในระหว่างการประชุมสันนิบาตชาติ   อัลเฟรด ไอเซนสเตด ช่างภาพวารสาร LIFE ชาวเยอรมัน   ในตอนแรกที่พบกันเกิบเบิลส์มีท่าทางที่เป็นกันเองมาก เรียกได้ว่าเขายิ้มให้กลับกล้องเลยด้วยซ้ำ แต่ใครจะไปเชื่อว่าไม่กี่นาทีหลังจากนั้น สีหน้าของเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเกิบเบิลส์ถึงทราบได้ว่าจริงๆ แล้วอัลเฟรดเป็นชาวยิว เป็นไปได้ว่าเขาจะสืบข้อมูลเกี่ยวกับอัลเฟรด หรือไม่ก็เพราะนามสกุลไอเซนสเตดเป็นนามสกุลที่ชาวยิวมักจะใช้กัน     ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรแต่สายตาที่ส่งมาให้อัลเฟรดนั้นก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แต่แทนที่จะหวาดกลัวต่อสายตานั้นอัลเฟรดกลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับเกิบเบิลส์ตรงๆ และถ่ายภาพที่จะกลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดภาพหนึ่งของเขามาแทน และแม้ว่าจะถูกมองด้วยสายตาราวกับจะฆ่าทิ้งเสียให้ได้ก็ตาม แต่อัลเฟรดก็ไม่ได้ถูกจับไปทำเรื่องร้ายๆ อย่างที่หลายๆ คนกังวลแต่อย่างใด กลับกันอัลเฟรดยังสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายๆ จนกระทั่งเสียชีวิตลงเมื่อปี 1995 ด้วยวัย 96 ปีเลยทีเดียว   ที่มา rarehistoricalphotos

  • พบซาก “เรือโจรสลัด” อายุกว่า 300 ปี พร้อมระเบิดมือจากยุคทองของโจรสลัด

    พบซาก “เรือโจรสลัด” อายุกว่า 300 ปี พร้อมระเบิดมือจากยุคทองของโจรสลัด

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยได้ยินมาบ้างว่าท้องทะเลในช่วงศตวรรษที่ 17-18 นั้น เป็นยุคทองของโจรสลัด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ที่จะบอกว่าซากเรือที่มีการค้นพบที่มณฑลคอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษ เมื่อไม่นานมานี้จะเป็นของอดีตเรือโจรสลัดที่เคยโลดแล่นเมื่อราวๆ 330 ปีก่อน     นี่เป็นซากอับปางของเรือชื่อ “Schiedam” อดีตเรือของพ่อค้าชาวดัตช์ที่ถูกปล้นและเปลี่ยนเป็นเรือโจรสลัดในปี 1683 ก่อนที่จะถูกทหารอังกฤษเข้ายึดในเวลาต่อมา และจมลงในเดือนเมษายน ค.ศ. 1684 นอกจากตัวเรือแล้ว ทีมนักสำรวจเองยังได้พบกับ “ระเบิดมือ” จากศตวรรษที่ 17 จำนวนสองลูกอีกด้วย โดยนี่เป็นระเบิดที่มีเปลือกหุ้มทำจากเหล็ก และใส่ดินปืนไว้ภายใน ซึ่งจะมีการจุดระเบิดด้วยสายชนวนอีกที     จากบันทึกการใช้งานของเรือที่พบ นักโบราณคดีก็เชื่อว่าระเบิดมือนั้นน่าจะเป็นของกองทหารอังกฤษมากกว่าที่จะเป็น อาวุธที่โจรสลัดในสมัยก่อนใช้ ดูเหมือนว่าในตอนที่พบระเบิดครั้งแรก ระเบิดทั้งสองจะมีสภาพคล้ายก้อนหินธรรมดาจนทีมสำรวจแยกแทบไม่ออก และมารู้ว่าสิ่งที่พบเป็นระเบิดจริงๆ เอาตอนที่ทีมนักโบราณคดีทำหินตกพื้นจนแตกออกเท่านั้น     นับว่าโชคดีมากที่ด้วยความเก่าแก่ของระเบิด ทำให้หน่วยกู้ระเบิดก็ลงความเห็นว่าระเบิดมือที่พบนั้นไม่มีความอันตรายอีกต่อไปแล้ว และทีมนักโบราณคดีก็สามารถเอาระเบิดไปตรวจสอบต่อได้ในทันที จากการเปิดเผยของ Mark Milburn หนึ่งในทีมสำรวจใต้น้ำ จนถึงปัจจุบันพวกเขาพบกับปืนใหญ่ 11 กระบอก ล้อรถปืนใหญ่ 1 อัน กระสุนปืนมัสเก็ต ระเบิดสองลูก และ วัตถุที่ทำจากเหล็กอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก…

  • ย้อนรอยการรบที่ Karansebes เมื่อกองทัพออสเตรีย เข่นฆ่ากันเองเพราะความเข้าใจผิด

    ย้อนรอยการรบที่ Karansebes เมื่อกองทัพออสเตรีย เข่นฆ่ากันเองเพราะความเข้าใจผิด

    ในเดือนกันยายนปี ค.ศ. 1788 กองทัพออตโตมันเดินทางมาถึงเมือง Karansebes และพบว่ากองทัพฮาพส์บวร์ค (ออสเตรีย) ที่เป็นศัตรูนั้น อยู่ในสภาพย่อยยับทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ทางออตโตมันสามารถยึดเมือง Karansebes ไว้ได้โดยที่แทบไม่ต้องเสียทหารแม้แต่นายเดียว แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นก็นำมาซึ่งคำถามที่ว่าตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับกองทัพของศัตรูกันแน่     เรื่องของเรื่องคือทหารฝั่งฮาพส์บวร์คนั้นประกอบไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติ (ออสเตรีย เช็ก เยอรมัน ฝรั่งเศส โครเอเชีย เซอร์เบีย และโปแลนด์ในปัจจุบัน) ทำให้แม้ว่าพวกเขาจะมีกองกำลังอยู่มาก แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการสื่อสารที่มักจะมีการเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ และเรื่องราวมันก็เกิดขึ้นในคืนวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1788 ระหว่างที่กองทัพฮาพส์บวร์คกำลังประจำการในเมือง Karansebes อยู่นั่นเอง     ในวันนั้น หน่วยลาดตระเวนของกองทัพฮาพส์บวร์คหน่วยหนึ่งได้พบกับ กลุ่มนักเดินทางที่มาตั้งแคมป์อยู่ใกล้ๆ แม่น้ำ และถูกนักเดินทางเชิญชวนให้ดื่มเหล้าด้วยกัน เพื่อเป็นการผ่อนคลายจากการทำงานหนักมาทั้งวัน แต่ในระหว่างที่พวกเขาเมาแบบสุดๆ นั่นเอง พวกเขากลับมีเรื่องทะเลาะวิวาทขึ้น จนท้ายที่สุดก็นำไปสู่เหตุ “ปืนลั่น” เสียงของปืนนั้นดังข้ามแม่น้ำไปถึงทหารที่ประจำการอยู่ในตัวเมืองจนทำให้ทหารจำนวนหนึ่งแตกตื่น เข้าใจว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมาจากกองทัพฝั่งศัตรู และตะโกนออกมาว่า “เติร์ก เติร์ก!!”     เสียงของพวกเขาดังข้ามแม่น้ำกลับไปยังทหารที่กำลังสังสรรค์และเมาได้ที่ ทำให้พวกเขารีบกลับไปที่ค่ายเพื่อช่วยเพื่อนๆ ที่ (พวกเขาคิดว่า) กำลังตกอยู่ในอันตราย ปัญหาคือทันทีที่เห็นทหารจำนวนหนึ่งเคลื่อนพลเข้ามาใกล้ในเงามืด…

  • ย้อนชม 5 การค้นพบทางโบราณคดีที่น่าสนใจที่สุด ในรอบปี 2018 ที่ผ่านมา

    ย้อนชม 5 การค้นพบทางโบราณคดีที่น่าสนใจที่สุด ในรอบปี 2018 ที่ผ่านมา

    ในเวลาที่หนึ่งปีกำลังจะผ่านพ้นไปเช่นนี้ นับว่าเป็นเวลาดีที่เราจะมองย้อนไปในสิ่งที่มนุษย์ค้นพบในรอบปี เพราะปี 2018 นั้นนับว่าเป็นปีทองของการค้นพบปีหนึ่งเลยก็ว่าได้ ในรอบปีที่ผ่านมา เราได้มีการค้นพบที่น่าสนใจจากหลากหลายประเทศทั่วโลก แถมทางนักโบราณคดีเองก็ได้มีโอกาสใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการค้นหาโบราณวัตถุได้เป็นอย่างดีเลยอีกต่างหาก ดังนั้น ในยามใกล้สิ้นปีแบบนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 5 การค้นพบทางโบราณคดีที่น่าสนใจที่สุด ที่มีการลงข่าวใน Catdumb เมื่อรอบปี 2018 ที่ผ่านมานั่นเอง   เริ่มกันที่ การค้นพบดาบโบราณอายุกว่า 3,000 ปี ที่เดนมาร์ก นี่เป็นการค้นพบดาบสัมฤทธิ์ที่มีความยาว 82 เซนติเมตร ที่แม้ว่าจะเก่าแก่กว่าสมัยไวกิ้งเสียอีก แต่กลับยังคมได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยผู้ที่พบคือนักโบราณคดีมือใหม่สองคน Ernst Christiansen และ Lis Therkelsen ผู้ใช้เครื่องตรวจจับโลหะในการตรวจสอบพื้นที่เมืองเล็กๆ บนเกาะ Svebølle  นั่นเอง (อ่านข่าวเต็มๆ ได้ที่นี่)   การค้นพบ มัมมี่ผู้หญิงที่อียิปต์ อายุเก่าแก่ถึง 3,000 ปี และยังไม่เคยมีการเปิดโลงมาก่อน นี่เป็นการค้นพบของนักโบราณคดีชาว ฝรั่งเศสในระหว่างการเข้าสำรวจที่สุสานใหญ่ El-Asasef และพบกับโลงศพ ที่ยังคงมีความสมบูรณ์ทุกประการ ของหญิงสาวชนชั้นสูง ที่มีชีวิตในช่วงราชวงศ์ที่ 17-18 ของอียิปต์ นอกจากนี้ในสุสานเองยังมีการค้นพบหน้ากาก…

  • พบรูปสลักหินนักบุญหลายรูป ที่ด้านข้างของหลุมศพของบิชอป ถูกซ่อนมานานถึง 600 ปี

    พบรูปสลักหินนักบุญหลายรูป ที่ด้านข้างของหลุมศพของบิชอป ถูกซ่อนมานานถึง 600 ปี

    ใช่ว่าการค้นพบทุกอย่างจะเกิดขึ้นจากความตั้งใจ เพราะหลายๆ ครั้งการค้นพบที่มีชื่อเสียงของโลกก็เกิดขึ้นจากความบังเอิญได้เช่นกัน เพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง ระหว่างที่นักอนุรักษ์จากองค์กรสภาพแวดล้อมทางประวัติศาสตร์แห่งสกอตแลนด์ หรือ HES เข้าสำรวจสุสานในวิหาร Dunkeld ที่ Perthshire พวกเขาก็ได้พบกับรูปสลักหินที่ไม่เคยมีการพบมาก่อนเข้าโดยบังเอิญ     นี่เป็นหนึ่งในรูปสลักหินนักบุญในอดีตหลายรูป ที่ถูกสลักไว้ด้านข้างของหลุมศพของ บิชอป Cardeny แห่งดันเคลด์ หลุมศพที่มีลักษณะเด่นอยู่ที่รูปปั้นบิชอปที่นอนหันหน้าเข้าหากำแพงนั่นเอง จริงอยู่ว่ารูปปั้นของบิชอปเองจะถูกค้นพบมาเป็นเวลานานแล้ว แต่น่าแปลกที่รูปสลักด้านข้าง กลับถูกซ่อนจากสายตาของผู้คนมาเป็นเวลานานถึง 600 ปี   ด้านหน้าของหลุมศพมีรูปปั้นของบิชอป ส่วนรูปสลักที่พบอยู่ที่ด้านข้างของหลุมศพอีกที   การค้นพบในครั้งนี้ ทำให้นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าหลุมศพนี้น่าจะเคยมีการถูกเคลื่อนย้ายมาก่อนในอดีต เนื่องจากรูปสลักด้านข้างแทบจะมองไม่เห็นเลยหากมองจากหลุมศพตรงๆ เป็นไปได้ว่านี่จะเป็นการย้ายจากหลุมศพแบบปกติ (ที่สามารถเดินชมรอบๆ ได้ 360 องศา) มาไว้ยังหลุมศพแบบฝังเข้าไปในผนังอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน     น่าเสียดายที่เนื่องจากไม่ได้รับการบำรุงรักษาเท่าที่ควร รูปสลักหินที่พบจึงมีร่องรอยความเสียหายอยู่ค่อนข้างมากจนไม่อาจจะชี้ชัดได้ว่าในอดีตที่แห่งนี้เคยมีสภาพเช่นไรได้ ดังนั้นหลังจากที่มีการค้นพบเกิดขึ้น ทางทีมนักโบราณคดีจึงได้เข้าไปทำการสแกนรูปสลักที่พบด้วยเทคโนโลยีสามมิติอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อเก็บข้อมูลในการสร้างหลุมศพที่สมบูรณ์เหมือนกับในอดีต   รูปร่างของรูปสลักที่ถูกสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีสามมิติ   จริงอยู่ว่าการค้นพบในครั้งนี้จะเป็นการค้นพบที่ค่อนข้างใหม่และยังมีข้อมูลอยู่ไม่มาก แต่นักโบราณคดีก็เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการตรวจสอบรูปสลักที่พบนั้น อาจจะนำไปสู่เหตุผลที่มีการเคลื่อนย้ายหลุมศพนั้นนี้ในอดีตก็เป็นได้   ที่มา dailyrecord, newsandstar

  • พบดาบโบราณอายุ 700 ปี ที่มีความสมบูรณ์มากๆ ในสเปน เชื่อมาจาก “สงครามสองปีเตอร์”

    พบดาบโบราณอายุ 700 ปี ที่มีความสมบูรณ์มากๆ ในสเปน เชื่อมาจาก “สงครามสองปีเตอร์”

    ว่ากันว่าดาบที่ดีจะสามารถเก็บรักษาไว้ได้อย่างยาวนานเป็นร้อยๆ ปี และบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าของให้แก่คนรุ่นหลังผ่านร่องรอยบนตัวดาบสืบไป เชื่อว่าสำหรับนักโบราณคดีที่สเปน คำกล่าวที่ว่านี้ คงจะมีน้ำหนักมากอย่างไม่น่าเชื่อเลย เพราะเมื่อไม่นานมานี้เองในระหว่างการเข้าขุดค้นปราสาท “Benalí” ในเมือง Aín เมืองทางตะวันออกของจังหวัด Castellón ประเทศสเปน ทีมนักโบราณคดีได้ค้นพบดาบเก่าแก่ที่มีอายุราวๆ 700 ปีเข้า     มันเป็นดาบที่มีความยาว 93 เซนติเมตร กว้าง 13 เซนติเมตร มีปลายด้ามจับเป็นทรงกลม และสภาพที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับอายุของมัน จนถึงขั้นที่ทีมนักโบราณคดียังแปลกใจ ความสมบูรณ์และสวยงามของดาบที่พบทำให้ชาวบ้านในพื้นที่เรียกดาบเล่มนี้ด้วยชื่อเล่นที่ว่า “Espadana” ที่แปลว่า ดาบผู้สูงศักดิ์     จากการตรวจสอบรูปร่างและอายุของดาบทำให้เหล่านักโบราณคดีเชื่อว่า ดาบ Espadana เล่มนี้น่าจะมาจากช่วงศตวรรษที่ 14 และจากสถานที่ที่มีการค้นพบดาบซึ่งเป็นปราสาท พวกเขาก็คาดการว่าดาบเล่มนี้น่าจะเป็นหนึ่งในอาวุธที่เคยถูกใช้งานใน “สงครามสองปีเตอร์” (War of the Two Peters) ซึ่งกินเวลาระหว่างปี 1356-1367     นี่เป็นสงครามระหว่างกษัตริย์คริสเตียน ปีเตอร์ แห่งคาสทีล และกษัตริย์ปีเตอร์ที่ 4 แห่งแคว้นอารากอน ทั้งสองต่อสู้กันได้สูสีมากจนไม่อาจบอกได้ว่าใครเป็นผู้ชนะ นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่มีค่ามากๆ ครั้งหนึ่งของทางสเปนเลยก็ว่าได้ เพราะแม้ว่าดาบเล่มนี้จะไม่ได้มีความสมบูรณ์ขนาดที่ยังคงมีความคมก็ตาม…

  • เปิดตำนานดาบ “เคเพช” ดาบโบราณรูปร่างคล้ายเคียว ที่มีประวัติยาวนานกว่า 4,000 ปี

    เปิดตำนานดาบ “เคเพช” ดาบโบราณรูปร่างคล้ายเคียว ที่มีประวัติยาวนานกว่า 4,000 ปี

    สำหรับคนที่หลงใหลในอาวุธประเภทดาบแล้ว “เคเพช” (Khepesh) หรือ “โคเพช” (Khopesh) คงจะเป็นดาบที่น่าสนใจมากๆ เล่มหนึ่งเลยก็เป็นได้ เพราะนอกจากรูปร่างจะแปลกแล้ว นี่ยังเป็นดาบจากวัฒนธรรมเก่าแก่ของโลกอีกด้วย     เคเพช เป็นดาบโค้งที่มีรูปร่างคล้ายดาบผสมขวานหรือเคียว ซึ่งถูกใช้งานในประเทศอียิปต์ช่วงยุคสัมฤทธิ์ และว่ากันว่าได้ต้นแบบมาจากชาวแอฟริกาเหนือ หรือไม่ก็ชาวตะวันออกใกล้ (แถวๆ ตุรกี ซีเรีย และจอร์เจีย) ด้วยรูปร่างของเคเพช ทำให้หลายๆ ครั้งดาบประเภทนี้ก็ถูกเรียกกันว่า “ดาบเคียว” และมีความใกล้เคียงกับเครื่องมือการเกษตร แต่ถึงอย่างนั้นเคเพชก็ออกแบบมาเพื่อสงครามโดยเฉพาะ ผิดกับรูปร่างของมัน     เนื่องจากได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอียิปต์ ทำให้หลายๆ คนมักจะคิดว่าเคเพชนั้นมีที่มามาจากอียิปต์เลย แต่ดูเหมือนว่าดาบในรูปแบบของเคเพชรุ่นแรกๆ นั้นจะมาจากทางเมโสโปเตเมียต่างหาก เคเพชเชื่อกันว่าถูกคิดค้นขึ้นราวๆ 2,000-3,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีหนึ่งในหลักฐานเก่าแก่อยู่ที่ศิลาจารึก “Stele of the Vultures” ซึ่งมีการสลักภาพกษัตริย์สุเมเรียน Eanatum of Lagash ถือดาบที่คล้ายเคียวอยู่นั่นเอง     อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่ทำให้เคเพชมีชื่อเสียงขึ้นมา จะอยู่ที่อียิปต์หลังจากช่วง 1,550 ปีก่อนคริสตกาลมากกว่า เนื่องจากฟาโรห์ในสมัยนั้น แทบจะพกเคเพชไปออกรบกันแทบทุกองค์ และด้วยประสิทธิภาพของอาวุธที่ใช้ได้ทั้งการฟัน…

  • ปริศนาโถโบราณที่ “มีรูรอบๆ” เชื่ออาจอายุถึง 5,000 ปี แต่ไม่อาจฟันธงได้ว่าเอาไว้ทำอะไร

    ปริศนาโถโบราณที่ “มีรูรอบๆ” เชื่ออาจอายุถึง 5,000 ปี แต่ไม่อาจฟันธงได้ว่าเอาไว้ทำอะไร

    ตามปกติหากเราพบโถ ไหหรือแจกันจากสมัยก่อน เราก็มักจะรับรู้ได้ด้วยสามัญสำนึกว่าสิ่งที่พบนั้นทำขึ้นมาเพื่อใส่อะไรบางอย่าง (โดยเฉพาะน้ำ) แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากโถที่พบมันกลับเป็นโถที่เต็มไปด้วยรูล่ะ     ปริศนาของโถที่ว่านี้เกิดขึ้นเมื่อพิพิธภัณฑ์ออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา ได้ประกอบเศษชิ้นส่วนโถโบราณ 180 ชิ้นที่มีการค้นพบในอดีตเข้าด้วยกัน และพบว่าผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นเป็นโถที่มีรูปจำนวนมากอยู่รอบๆ อย่างน่าประหลาด นี่เป็นโถที่เชื่อกันว่าค้นพบโดยนักโบราณคดีของประเทศเวลส์ (1 ใน 4 ประเทศองค์ประกอบของสหราชอาณาจักร) ในช่วงยุค 1950 ใกล้ๆ กับวิหาร Mithraeum ในลอนดอน ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพมิททราส พระเจ้าแห่งดวงตะวันที่คนโรมันตะวันออกนับถือ   วิหาร Mithraeum สถานที่ซึ่งเชื่อกันว่ามีการพบโถ   อย่างไรก็ตาม ที่มาจริงๆ ของโถที่ยังมีข้อกังขากันอยู่ เนื่องจากในสถานที่เก็บเศษโถเองยังมีโบราณวัตถุจากเมือง “Ur” ของเมโสโปเตเมียอยู่ด้วย ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าจริงๆ แล้วโถนี้เป็นของทางเมโสโปเตเมียแทน แถมในกรณีที่มันมาจากเมโสโปเตเมีย โถที่พบจะมีอายุได้มากที่สุดถึง 5,000 ปีเลยทีเดียว   โบราณสถานของเมือง Ur อีกสถานที่ที่เชื่อกันว่ามีการพบโถ   อย่างไรก็ตามคำถามของคนที่พบเห็นโถอันนี้หลายๆ คนจะอยู่ที่ว่าทำไมคนในสมัยก่อนถึงเจาะรูจำนวนมากบนโถมากกว่า เพราะรูเหล่านี้จะทำให้โถไม่เหมาะสมกับการเก็บน้ำ ซึ่งเป็นหน้าที่หลักๆ ของมันในสมัยก่อนไป โดยสำหรับเรื่องนี้ นักโบราณคดีในตั้งข้อสันนิษฐานว่าโถที่พบน่าจะเป็นวัตถุที่เรียกว่า “Glirarium” ซึ่งเป็นกรงขังแบบพิเศษที่ใช้ขังสัตว์ฟันแทะที่ในสมัยก่อนใช้เป็นอาหาร หรือไม่ก็เป็นโถสำหรับใส่งูของคนสมัยเมโสโปเตเมีย…

  • พบซากม้าพร้อมบังเหียนและอานในสภาพพร้อมพาคนหนี ที่นอกกำแพงเมืองปอมเปอี

    พบซากม้าพร้อมบังเหียนและอานในสภาพพร้อมพาคนหนี ที่นอกกำแพงเมืองปอมเปอี

    เมืองปอมเปอีเป็นสถานที่ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นแหล่งโบราณคดีที่มีความสำคัญสุดๆ ของเหล่านักโบราณคดีเลยก็ไม่ผิดนัก เพราะตั้งแต่ที่ภูเขาไฟวิสุเวียสปะทุในปีคริสต์ศักราชที่ 79 สถานที่แห่งนี้ก็มีการค้นพบที่น่าสนใจมากมายหลายชิ้นเรื่อยมา และเมื่อล่าสุดนี้เองทางนักโบราณคดีก็ได้พบกับซากม้าในสมัยก่อน ที่ตายไปในสภาพที่ยังใส่บังเหียนและอานพร้อมออกเดินเลย     นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากนอกกำแพงเมืองปอมเปอีมากนัก และเชื่อกันว่าน่าจะเป็นม้าที่ผู้คนคิดจะใช้หนีตายจากภูเขาไฟ (แม้ว่าจะไม่ทันก็ตาม) นั่นเอง ตั้งแต่ในอดีตหมู่บ้านที่มีการค้นพบม้าตัวนี้ถูกเชื่อกันว่าน่าจะเป็นหมู่บ้านของชาวโรมันที่มั่งคั่ง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ที่ม้าที่ถูกค้นพบในครั้งนี้จะมีร่องรอยของการถูกดูแลเป็นอย่างดี ถึงขั้นที่ว่าอานของมันถูกประดับไว้ด้วยทองแดงเลย   บังเหียนประดับทองแดงที่พบ   นอกจากนี้เมื่อนักโบราณคดีลองนำข้อมูลของม้าที่พบไปเทียบกับซากม้าตัวอื่นๆ ที่พบในหมู่บ้านแห่งนี้ พวกเขายังพบอีกว่า ม้าแทบจะทั้งหมดในพื้นที่ ล้วนแต่เป็นม้าสายพันธุ์ดี ที่น่าจะมีราคาสูงมากในสมัยก่อน นั่นทำให้นักโบราณคดีบอกว่า ในสมัยก่อนม้าเหล่านี้อาจจะเคยถูกใช้ในฐานะสิ่งแสดงพลังอำนาจอย่างหนึ่งเลยนั่นเอง     น่าเศร้าที่ดูเหมือนว่าม้าเหล่านี้จะต้องพบกับจุดจบที่ไม่ดีสักเท่าไหร่ เพราะเช่นเดียวกับคนในเมืองปอมเปอีเอง พวกมันน่าจะเสียชีวิตจากความร้อนสูงของเถ้าภูเขาไฟ หรือไม่ก็โดนเถ้าถ่านทับจนขาดอากาศหายใจไป โชคร้ายที่ในหมู่บ้านที่พบนั้นมีร่องรอยของการเคยถูกโจรเข้ามาปล้นอยู่หลายครั้ง ไม่เช่นนั้นนักโบราณคดีอาจจะมีการค้นพบสำคัญๆ มากกว่านี้อีกหลายอย่างเลยก็เป็นได้     อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนักโบราณคดีได้กลับมาดำเนินขุดค้นเมืองปอมเปอีอย่างเป็นทางการด้วยทุนรวมกว่า 73.5 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งนับเป็นการป้องกันการลักลอบปล้นโบราณสถานไปอีกทาง และพวกเขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะขุดพบโบราณวัตถุอีกเป็นจำนวนมาก ภายในปี 2019 ที่กำลังจะมาถึงต่อไป   ที่มา nytimes, bbc และ smithsonianmag

  • ขุดพบ “ซากม้าติดบังเหียน” ในเมือง “ปอมเปอี” นักสำรวจยกย่องว่าคือ.. การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่!!

    ขุดพบ “ซากม้าติดบังเหียน” ในเมือง “ปอมเปอี” นักสำรวจยกย่องว่าคือ.. การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่!!

    ในปี ค.ศ.79 เหตุภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิด ทำลายล้างเมืองปอมเปอีให้หายไปจากประวัติศาสตร์ในเวลาเพียงคืนเดียว แม้จะผ่านมาเกือบ 2,000 ปี แต่เหตุการณ์นี้ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่นักโบราณคดีให้ความสนใจ และทำการสำรวจเพิ่มเติมมาโดยตลอด สำหรับใครที่อยากอ่านเรื่องการระเบิด เข้าไปได้ที่: ย้อนกลับไปดู หนึ่งในเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดสุดสะเทือนใจ ‘ปอมเปอี’ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?     เนื่องจากเหตุการณ์เกิดในช่วงกลางคืน ที่ทุกคนกำลังนอนหลับพักผ่อน เรามักจะได้เห็นข่าวของการค้นพบซากของคนนอนเสียชีวิต บ้างนอนกอดกัน บ้างก็พยายามตะเกียกตะกายหนีความร้อน แต่การค้นพบ “ซากโครงกระดูกม้า” ในครั้งนี้ ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่อีกด้วย     สภาพศพโดยทั่วไปจากการขุดค้นครั้งก่อนหน้า   จุดที่พบซากม้า อยู่บริเวณ Villa of Mysteries ซึ่งเป็นชื่อสถานที่เรียกย่านที่อยู่อาศัยของนายทหารชาวโรมันผู้มั่งคั่ง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดที่เห็นวิวทะเล มีการพบทั้งไวน์ รวมถึงภาพวาดจิตรกรรม ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งของบ่งบอกฐานะของผู้คนในยุคนั้น ในขณะที่บังเหียนของม้าเอง ก็มีการตกแต่งด้วยไม้และทองแดง บ่งบอกว่าม้าได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีมาโดยตลอด     การค้นพบครั้งนี้สำคัญอย่างไร!? นอกจากจะเป็นการยืนยันสถานะของพื้นที่แห่งนี้ในอดีต ว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นย่านที่อยู่อาศัยของนายทหารชั้นสูง และกลุ่มคนมีฐานะดีในอดีตได้จริงๆ การค้นพบม้าที่เตรียมใช้หนีจากภูเขาไฟระเบิด แสดงให้เห็นว่ามีประชากรบางส่วนรับรู้เหตุการณ์ และเตรียมตัวหนีออกจากพื้นที่เกิดเหตุ แต่ไม่สามารถหนีได้ทัน เป็นไปได้ว่า อาจจะมีบางกลุ่มที่หนีภูเขาไฟระเบิดได้ทัน และได้ทิ้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องไว้ในบริเวณใกล้เคียงอีกหรือไม่??  …

  • ย้อนรอย “เมเนส” ฟาโรห์องค์แรกของอียิปต์ ซึ่งยังคงเป็นที่ถกเถียงว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่

    ย้อนรอย “เมเนส” ฟาโรห์องค์แรกของอียิปต์ ซึ่งยังคงเป็นที่ถกเถียงว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่

    เคยได้ยินเรื่องราวของฟาโรห์เมเนสไหม? เขาคือชายผู้ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้รวมอียิปต์เป็นประเทศ และเป็นฟาโรห์องค์แรกผู้ปกครองอียิปต์ในช่วง 3,000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ถึงอย่างนั้นฟาโรห์คนนี้กลับถูกมองว่าไม่มีตัวตนอยู่จริงโดยผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คน   งานแกะสลักที่เชื่อกันว่าเป็นของฟาโรห์เมเนส   นั่นเป็นเพราะเรื่องราวการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของฟาโรห์เมเนสมักจะไม่ได้มีการบันทึกไว้ (และเรื่องที่ถูกบันทึกไว้ก็จะดูเป็นตำนานเรื่องเล่ามากกว่าบันทึก) ว่ากันตามตรงแม้แต่ชื่อของตัวฟาโรห์เอง ยังมีทั้ง มินาออส เมนาส นาเมอร์ และอื่นๆ อีกมากมายเลย นอกจากนี้ในปัจจุบันเรายังไม่มีหลักฐาน (นอกจากบันทึก) ที่ว่าเมเนสได้ขึ้นเป็นฟาโรห์อีกด้วย อาจจะเป็นไปได้ว่าเพราะในราชวงศ์แรกๆ ฟาโรห์มักจะใช้ “พระนามแห่งฮอรัส” (อารมณ์คล้ายๆ รูปที่เป็นตัวแทนของชื่อ) ไม่ใช่ชื่อของพวกเขาจริงๆ ก็เป็นได้   คาร์ทูชของฟาโรห์เมเนส   เป็นไปได้ว่าฟาโรห์เมเนสนั้นเป็นเพียง “ตัวตนสมมุติ” ของผู้ปกครองหลายๆ คน (อย่างนาร์เมอร์ผู้รวมอียิปต์บนกับอียิปต์ล่าง) ที่ถูกนำมารวมกันเพื่อเพิ่มความยิ่งใหญ่ หรือไม่ก็เป็นเพียงแค่ ยศ นามแฝง หรือตำแหน่งก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามหากฟาโรห์เมเนสมีตัวตนอยู่จริง เขาจะครองราชย์อยู่ในช่วง 3,000-3,100 ปีก่อนคริสตกาล และเป็นฟาโรห์อยู่อย่างต่ำๆ 60 ปี   ตราของเมเนส (และนาร์เมอร์) ที่ถูกทำขึ้นโดยอ้างอิงจากเมืองโบราณ Abydos   โดยนอกจากผลงานการร่วมประเทศแล้ว ว่ากันว่าฟาโรห์เมเนสยังเป็นผู้นำความเชื่อเรื่องเทพมาสู่อียิปต์ ผู้ออกกฎหมายเป็นคนแรกของประเทศ สร้างเมืองโคดิโลโปลิส…

  • เด็กป. 5 พบ “ซากกองเรือผี” ที่ใต้พื้นน้ำสหรัฐฯ กำลังเคลื่อนที่ เชื่ออาจส่งผลต่อระบบนิเวศ

    เด็กป. 5 พบ “ซากกองเรือผี” ที่ใต้พื้นน้ำสหรัฐฯ กำลังเคลื่อนที่ เชื่ออาจส่งผลต่อระบบนิเวศ

    ที่ใต้พื้นน้ำของแมลโลว์เบย์ ที่รัฐแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกายังมีเรือรบร่วม 200 ลำหลับใหลอยู่ที่ก้นท้องทะเล ตั้งแต่ช่วงสงครามกลางเมือง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เรื่อยไปจนสงครามโลกครั้งที่สอง พวกมันถูกเรียกกันด้วยชื่อเล่นว่า “กองเรือผี” และจากการสำรวจล่าสุดมานี้ ในบรรดาเรือผีเหล่านี้ก็มีหลายลำเลยที่เคลื่อนที่ไปจากสถานที่จมราวๆ 32 กิโลเมตร แถมยังสามารถเห็นได้แม้แต่จาก Google Earth เลยด้วย     นี่เป็นการสำรวจที่เกิดขึ้นโดยฝีมือของเหล่าเด็กๆ ประถมห้าของโรงเรียนประถม J.C. Parks ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเรื่องแปลก แต่ก็ได้รับการนำเสนอในงาน American Geophysical Union หรือ AGU มาแล้ว แน่นอนว่าเหตุผลที่ซากเรือเหล่านี้เคลื่อนที่นั้นไม่ได้มาจากสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่เป็นพายุ กระแสน้ำ เหตุการณ์น้ำท่วม และการกัดเซาะซากเรือตามกาลเวลาต่างหาก     จริงอยู่ที่ว่าการเคลื่อนที่ที่เกิดขึ้นจะเป็นการเคลื่อนที่ไปตามกระแสน้ำที่ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แต่เด็กๆ ก็รายงานไว้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ อาจส่งผลโดยตรงกับระบบนิเวศในบริเวณนั้นเลยก็เป็นได้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ซากเรือเหล่านี้ได้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำไปแล้ว ดังนั้นการที่เรือผุพังหรือเคลื่อนที่ก็อาจจะทำให้ที่อยู่ของพวกมันถูกทำลายไปด้วยนั่นเอง     ที่มา iflscience, livescience

  • พบสาเหตุที่ “อาณาจักรอัคคาเดียน” ล่มสลายในหินย้อย เชื่อเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ

    พบสาเหตุที่ “อาณาจักรอัคคาเดียน” ล่มสลายในหินย้อย เชื่อเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ

    เมื่อราวๆ 4,200 ปีก่อน “อาณาจักรอัคคาเดียน” อาณาจักรแห่งแรกๆ ของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ได้ล่มสลายไป พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอารยธรรมอียิปต์ และลุ่มแม่น้ำสินธุ     เรื่องที่เกิดขึ้นน้ำทำให้นักโบราณคดีเชื่อกันว่าเหตุการณ์ทั้งสามอาจจะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกันก็เป็นได้ และออกตามหาหลักฐาน เกี่ยวกับความเชื่อมโยงนี้มาอย่างยาวนาน และเมื่อไม่นานนี้เองจากการสำรวจหินงอกหินย้อยที่เกิดขึ้นในช่วง 5,200-3,700 ปีก่อนในถ้ำ Gol-e-Zard ที่อิหร่าน นักโบราณคดีก็ค้นพบความเป็นไปได้บางอย่างที่น่าสนใจ     นั่นเพราะดูเหมือนว่าเหตุผลหลักๆ ที่อาณาจักรอัคคาเดียนล่มสลายไปนั้น จะมาจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศนั่นเอง จากข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ หินงอกหินย้อยที่เกิดขึ้นในช่วง 4,510-4,260 ปีก่อน จะมีปริมาณแมกนีเซียมต่อแคลเซียมที่สูงมาก แถมยังมีอัตราการโตที่ช้า ซึ่งแตกต่างไปจากหินที่เกิดในช่วงก่อนหรือหลังจากนี้มาก นี่เป็นความเปลี่ยนแปลงที่มักจะเกิดขึ้นในกรณีที่ฝุ่นในอากาศเพิ่มมากขึ้น อย่างกรณีที่มีการขุดเหมืองเป็นต้น     แต่หากมองข้อมูลที่ได้มาประกอบกับเรื่องที่ว่าในยุคเมโสโปเตเมียยังไม่น่าจะมีการทำเหมืองเกิดขึ้นแล้ว นักโบราณคดีคาดว่าความเปลี่ยนแปลงของหินย้อยนี้ น่าจะมาจากการที่อากาศแห้งขึ้นเป็นอย่างมากนั่นเอง แม้ว่าข้อมูลจากหินย้อยอาจจะมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง แต่ข้อมูลที่ออกมาก็ชี้ให้เห็นว่าในอดีต พื้นที่เอเชียตะวันตก ที่อาณาจักรอัคคาเดียนตั้งอยู่น่าจะเคยพบกับภัยแล้งต่อเนื่องเป็นเวลานานมาก่อนนั่นเอง   พื้นที่ของอาณาจักรอัคคาเดียนในสมัยก่อน   โดยเจ้าภัยแล้งที่ว่ากินอาจกินเวลาได้นานเป็นร้อยปี ซึ่งมากเพียงพอที่จะทำให้อาณาจักรแห่งหนึ่งล่มสลายไปได้อย่างไม่ยากเลย แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าปัจจัยที่ทำให้อาณาจักรแห่งหนึ่งล่มสลายไปนั้นอาจจะมีอยู่หลายสาเหตุ ทางนักโบราณคดีจึงยังต้องมีการพูดคุยถกเถียงกันต่อไปว่าภัยแล้งที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลต่อการล่มสลายของอาณาจักรมากน้อยเพียงใดต่อไป   ที่มา iflscience

  • ชม 18 ภาพชุดแอร์โฮสเตสสุดเซ็กซี่ จากสองสายการบินแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงยุค 60-70

    ชม 18 ภาพชุดแอร์โฮสเตสสุดเซ็กซี่ จากสองสายการบินแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงยุค 60-70

    ในช่วงยุค 60-70 การแข่งขันเกี่ยวกับงานในด้านสายการบินในสหรัฐอเมริกาก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งระหว่างสายการบินด้วยกันเองที่พยายามเป็นอย่างมากในการแย่งลูกค้า และในบรรดาผู้คนที่อยากเป็นแอร์โฮสเตส     ดังนั้นเพื่อที่จะให้ประโยชน์จากความต้องการในการเป็นแอร์โฮสเตสที่สูงในการดึงดูดลูกค้า สายการบินบางแห่ง จึงได้คัดเพียงแต่สาวงามการศึกษาดี ต้องยังเป็นโสด แล้วก็ห้ามท้องอย่างเด็ดขาด แต่เท่านั้นยังไม่พอเพราะสำหรับสายการบินอย่าง Pacific Southwest Airline และ Southwest Airlines แล้ว นอกจากคนจะสวยแล้ว ชุดของพวกเธอเองก็ต้องดึงดูดด้วย ว่าแต่ผลงานที่ออกมาจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องให้ไปชมกันเอง ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันจากภาพหมู่ของ Southwest Airlines   และต่อกันด้วยภาพหมู่ของ Pacific Southwest Airline   ดูระดับความพอใจของคุณผู้ชายเสียก่อน   กางเกงสั้นได้อีก   อันนี้ก็ดูดีไปอีกแบบ (เท่าที่หาข้อมูลมาอันนี้ของ Southwest Airlines ช่วงต้นยุค 70)   อันนี้เห็นว่าเป็นของ Southwest Airlines เมื่อยุค 60   ชุดอีกแบบของ Southwest Airlines (มีหลายแบบดีนะสายการบินนี้)   อันนี้ของทาง Pacific Southwest Airline…

  • นักวิทย์ตรวจสอบประตูที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ ล้างข่าวลือที่ว่าเคยถูกนำ “หนังมนุษย์” มาติด

    นักวิทย์ตรวจสอบประตูที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ ล้างข่าวลือที่ว่าเคยถูกนำ “หนังมนุษย์” มาติด

    ประตูเป็นสิ่งอยู่คู่กับสิ่งก่อสร้างของมนุษย์มาอย่างยาวนาน มันมักจะทำด้วยไม้ ซึ่งมีโอกาสที่จะถูกย่อยสลายไปตามกาลเวลาสูง แต่ประตูไม้บางที่ก็ยังสามารถคงอยู่มาได้อย่างยาวนาน เหมือนอย่างประตูที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์     นี่คือประตูที่มีชื่อเล่นว่า “ประตูที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษ” ที่คาดกันว่าถูกสร้างขึ้นพร้อมๆ กับการบูรณะตัววิหารโดยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดธรรมสักขีในศตวรรษที่ 11 จริงอยู่ที่ว่าประตูบานนี้จะดูเหมือนประตูไม้ธรรมดาๆ ทั่วไป แต่ในอดีตมันกลับเคยมีข่าวลือว่ามีหนังมนุษย์ติดอยู่บนบานประตูมาก่อน!     ดูเหมือนว่าข่าวลือเกี่ยวกับประตูหนังมนุษย์นี้จะเกิดขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 19 และมีเนื้อความว่าในอดีตมีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง “ล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์” ในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ดังนั้นเขาจึงถูกถลกหนัง และเอาหนังที่ได้ไปตอกติดประตูเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู นั่นทำให้ทางองค์การอนุรักษ์แห่งอังกฤษสนใจในประตูแห่งนี้มาก พวกเขาจึงได้ออกทุนเป็นเงิน 157,000 บาท เพื่อให้ทีมนักวิทยาศาสตร์เข้ามาตรวจสอบประตูบานนี้ดู   มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ที่ประตูบานดังกล่าวตั้งอยู่   และผลการวิเคราะห์ของนักวิทยาศาสตร์ก็ออกมาว่า ประตูบานนี้มีหนังของสิ่งมีชีวิตติดอยู่ก็จริง แต่มันก็เป็นเพียงแค่หนังวัวเท่านั้น ไม่ใช่หนังมนุษย์อย่างที่คนสมัยก่อนเข้าใจ เป็นไปได้ว่าคนในศตวรรษที่ 19 อาจจะพบเศษหนังที่ติดอยู่กับประตู (ที่มีบรรยากาศค่อนข้างน่ากลัว) ก็เลยเกิดอุปาทานหมู่กันไปเอง ว่าหนังที่เห็นนั้นเป็นหนังของมนุษย์ จนเรื่องเล่าในข่าวลือก็ถูกแต่งขึ้นมาทีหลังอีกที     นอกจากนี้ การกาลานุกรมต้นไม้ของทีมนักวิทยาศาสตร์ทำให้พวกเขาพบอีกว่าประตูบานนี้ทำจากไม้ที่เติบโตขึ้นในช่วงปี 924-1030 ทำให้หากนับกันจริงๆ ไม้ที่นำมาทำประตูแห่งนี้ มีอายุมากกว่าตัววิหารที่สร้างขึ้นในปี 960 เสียอีก การตรวจสอบในครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันเป็นอย่างดีกว่าประตูบานนี้เป็นประตูที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษจริงๆ (แม้ว่าจะไม่ได้เป็นประตูที่เก่าแก่ที่สุดในโลกก็ตาม)…

  • ย้อนรอย “บทเพลงวันคริสต์มาส” ตั้งแต่บทเพลงในวันเหมายัน สู่เพลงดังแห่งยุควิกตอเรีย

    ย้อนรอย “บทเพลงวันคริสต์มาส” ตั้งแต่บทเพลงในวันเหมายัน สู่เพลงดังแห่งยุควิกตอเรีย

    บทเพลงที่ใกล้เคียงกับเพลงคริสต์มาสที่สุด เชื่อกันว่าถูกร้องในยุโรปมาตั้งแต่สองพันกว่าปีก่อน แต่นี่ไม่ใช่เพลง “คริสต์มาส แครอล” อย่างที่เรารู้จัก มันเป็นเพียงเพลงที่เหล่าคนนอกศาสนาร้องกันในวันเหมายัน วันที่กลางคืนยาวนานที่สุดก็เท่านั้น     อย่างไรก็ตามเรื่องราวหลายๆ อย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อศาสนาคริสต์เข้ามาในยุโรป เนื่องจากศาสนาคริสต์พยายามจะรวมเอาคนนอกศาสนาในพื้นที่อย่างสันติ ดังนั้นพิธีกรรมในอดีตหลายๆ อย่างจึงถูกผนวกเข้ากับคริสต์ศาสนาไป ในช่วงนี้เองที่ วันคริสต์มาส ได้กำเนิดขึ้น โดยในเวลานั้นเพลงที่มักจะถูกร้องในวันคริสต์มาส จะเป็นเพลง “Angel’s Hymn” เพลงที่บิชอปแห่งโรมบอกให้คริสตชนร้องในช่วงปี ค.ศ. 129 อย่างไรก็ตามเนื้อร้องของเพลงนี้ในสมัยก่อนยังเป็นภาษาลาติน และแทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน   เทเลสฟอรุสบิชอปแห่งโรม   ลักษณะของเพลงวันคริสต์มาสเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 1223 เมื่อเซนต์ฟรังซิสแห่งอัสซีซี เริ่มให้ชาวบ้านร้องเพลงวันคริสต์มาสในภาษาที่พวกเขาเข้าใจ การกระทำของเขาเปิดโอกาสให้ชาวบ้านเข้าถึงความสนุกของเพลงมากขึ้น และเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ๆ ก็โผล่มาในประเทศแถบยุโรปมากมายตลอดช่วงศตวรรษที่ 14-15   หนึ่งในภาพการใช้ชีวิตของเซนต์ฟรังซิสแห่งอัสซีซี   น่าเสียดายที่หลังจากช่วงนี้ไม่นานกลุ่มพิวริตัน (กลุ่มคริสต์ศาสนิกชนที่มีความเคร่งครัดกว่าคริสต์ศาสนิกชนทั่วไป) ได้เขามาปกครองประเทศอังกฤษ ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าว งานวันคริสต์มาสและการร้องเพลงคริสต์มาสจึงถูกห้ามไป (เพราะถูกมองว่าไม่จำเป็น) แต่แม้จะถูกห้าม เพลงคริสต์มาสก็ไม่ได้หายไปเลย เพราะยังมีคนบางกลุ่มที่แอบแต่งแอบร้องเพลงคริสต์มาสเรื่อยมาอย่างลับๆ และบทเพลงคริสต์มาสอย่าง Joy to the World (1719)…

  • ภาพในตำนาน “การแลบลิ้นของไอน์สไตน์” ที่จริงแล้วเกิดขึ้นเพราะรำคาญนักข่าว

    ภาพในตำนาน “การแลบลิ้นของไอน์สไตน์” ที่จริงแล้วเกิดขึ้นเพราะรำคาญนักข่าว

    เชื่อกันว่าเมื่อพูดถึงภาพที่มีชื่อเสียงของสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หลายๆ คนก็น่าจะนึกถึงภาพของเขาในตอนที่แลบลิ้นให้กับกล้องขึ้นมา ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าภาพที่ดูขี้เล่นสุดๆ ภาพนี้ มันที่ไปที่มาแบบไหนกันแน่     แน่นอนว่าภาพที่เห็นนี้ไม่ใช่ภาพที่มีการตัดต่อขึ้นมาในภายหลังแต่อย่างใด แต่นี่เป็นภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์จริงๆ ที่ถูกถ่ายเอาไว้ในงานครบรอบวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 72 ปีของเขา เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 1951ต่างหาก นี่เป็นภาพที่ถูกถ่ายขึ้นหลังจากที่งานเลี้ยงฉลอง วันเกิดของไอน์สไตน์จบลง และเขากำลังจะเดินทางกลับจากเมืองพรินซ์ตัน พร้อมๆ กับคู่สามีภรรยา Aydelotte ที่เป็นเพื่อน     โดยในเวลานั้นช่างภาพของสำนักข่าวหลายแห่งก็ได้กรูกันเข้าไปขอให้ไอน์สไตน์ยิ้มให้กลับกล้องในวันเกิด ดังนั้นไม่รู้จะด้วยความรำคาญหรือความขี้เล่นไอน์สไตน์จึงได้แลบลิ้นใส่นักข่าว ก่อนที่จะหันหน้าหนีไป ปัญหาคือหนึ่งในบรรดานักข่าวเหล่านั้น Arthur Sasse ที่เป็นนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ UPI ก็ดันถ่ายภาพของไอน์สไตน์ในจังหวะนั้นไว้ได้แบบพอดิบพอดีนี่สิ จริงอยู่ว่าภาพที่ได้มานั้นกลายเป็นที่ถกเถียงกันว่าควรจะนำมาใช้หรือไม่ในสำนักข่าวอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจนำภาพถ่ายที่ได้ออกไปตีพิมพ์ และแน่นอนว่านั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกสุดๆ เลยด้วย   รูปถ่ายเต็มๆ ก่อนที่จะมีการตัดเหลือเพียงหน้าของไอน์สไตน์   นั่นเพราะ ภาพถ่ายที่ออกมาก็กลายเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง (อาจจะเพราะไอน์สไตน์ถูกมองว่าเป็นคนแปลกๆ อยู่แล้วด้วย ) จนภาพถ่ายภาพนี้ถูกใช้อย่างต่อเนื่องในสถานการณ์ที่หลากหลายมาจนถึงในปัจจุบัน ส่วนตัวภาพถ่ายต้นฉบับซึ่งมีการถ่ายติดคู่สามีภรรยา Aydelotte เอาไว้ด้วยนั้นก็ถูกประมูลออกไปในวันที่ 19…

  • ย้อนรอยเรื่องราวสุดสลดของ “อนาลิส มิเชล” หญิงสาวผู้เสียชีวิตหลังถูกทำพิธีไล่ผี 67 ครั้ง

    ย้อนรอยเรื่องราวสุดสลดของ “อนาลิส มิเชล” หญิงสาวผู้เสียชีวิตหลังถูกทำพิธีไล่ผี 67 ครั้ง

    เคยได้ยินเรื่องราวของ “อนาลิส มิเชล” กันมาก่อนไหม เธอเป็นหญิงสาวผู้ที่ทำให้เกิดการถกเถียงกันในระหว่างวงการความเชื่อกับวงการจิตแพทย์มาอย่างยาวนาน นั่นเพราะเด็กสาวคนนี้คือผู้ถูกทำพิธีไล่ผีถึง 67 ครั้ง จนในที่สุดก็เสียชีวิตไปนั่นเอง     อนาลิส มิเชล (Anneliese Michel) เกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน ปี 1952 ทางตะวันตกของประเทศเยอรมนี และเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ค่อนข้างเคร่งในศาสนามาก ถึงอย่างนั้นเด็กสาวก็มีชีวิตอย่างปกติเรื่อยมา แต่แล้วในปี 1968 ในช่วงเวลาที่เธออายุได้ 16 ปี เรื่องราวแปลกๆ ก็ได้เกิดขึ้นกับเด็กสาวคนนี้จนได้ โดยเธอนั้นเริ่มมีอาการหมดสติที่โรงเรียน และบ่อยครั้งก็มักจะเดินไปเดินมาราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว   อนาลิส มิเชล ในวัยเด็ก   อาการของเธอนั้นทำให้ทางครอบครัวส่งเธอไปยังโรงพยาบาลหลังจากนั้น และผลการตรวจสอบของทางทีมแพทย์เองก็บอกว่าเธอนั้นมีอาการโรคลมชักกลีบขมับ ซึ่งอาจนำไปสู่อาการประสาทหลอน หรือแม้กระทั่ง การเสียความทรงจำได้เลย แน่นอนว่ามิเชล เข้ารับการรักษาด้วยยาหลายชนิดตั้งแต่วันนั้น แต่สุดท้ายอาการของเธอก็ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นเลย ดังนั้นในปี 1973 เมื่อเธอเริ่มประสาทหลอนคุยกับ “ปีศาจ” ทางบ้านของเธอก็เริ่มเชื่อว่าจริงๆ แล้วเด็กสาวน่าจะถูกสิงมากกว่า   มิเชลและครอบครัว   พ่อแม่ของมิเชลรีบออกตามหาบาทหลวงมาช่วยลูกสาวทันทีหลังจากนั้น และแม้ว่าจะมีบาทหลวงหลายคนปฏิเสธว่ามิเชลไม่ได้โดนผีสิง…

  • ผู้เชี่ยวชาญไขปริศนา “กลองโฟล์คตอน” อายุ 4,000 ปี แท้จริงแล้วมันเป็นเครื่องวัด

    ผู้เชี่ยวชาญไขปริศนา “กลองโฟล์คตอน” อายุ 4,000 ปี แท้จริงแล้วมันเป็นเครื่องวัด

    เคยได้ยินเรื่องกลองโบราณแห่งเมืองโฟล์คตอนไหม นี่เป็นหินขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายกลอง ที่มีการอายุมากกว่า 4,000 ปี ซึ่งในอดีตมีคนมากมายที่สงสัยกันว่าเจ้า “กลอง” โบราณอันนี้ จริงๆ แล้วมันมีการใช้งานอย่างไรกันแน่     แต่เมื่อไม่นานมานี้เอง ในวารสารประวัติศาสตร์ของอังกฤษ ศาสตราจารย์ Mike Parker Pearson แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน และศาสตราจารย์ Andrew Chamberlain จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ก็ได้ออกมาไขปริศนาการใช้งานของกลองโฟล์คตอน อ้างอิงจากข้อมูลในวารสารกลองหินโฟล์คตอนที่ถูกพบในปี 1889 ชิ้นนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่ทั้งกลองหรือเครื่องดนตรีในสมัยก่อน แต่เป็น”เครื่องมือการวัด” ที่คนสมัยก่อนใช้ในการสร้างโบราณสถาน โดยเฉพาะโบราณสถานมีชื่ออย่างสโตนเฮนจ์     โดยการพันเชือกกับหินก้อนที่เล็กที่สุดหนึ่งรอบ จะทำให้เราได้เชือกที่ยาว 0.322 เมตร (หรือมากกว่า 1 ฟุตนิดๆ ) ซึ่งทางศาสตราจารย์ทั้งสองเรียกความยาวนี้ด้วยชื่อเล่นว่า “ฟุตยาว” (Long Foot) และหากเราลองนำเชือกมาพันรอบหินทั้งสามตามจำนวนที่กำหนด (ก้อนเล็ก 10 รอบ ก้อนกลาง 8 รอบ และก้อนใหญ่ 7 รอบ) เราจะได้เชือกที่มีความยาวในหน่วย 10 ฟุตยาวเท่ากัน และเจ้าความยาว…

  • 24 ภาพถ่ายจากศตวรรษที่ 20 ที่ ใบหน้าของคนในภาพ “ถูกตัดออก” ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง

    24 ภาพถ่ายจากศตวรรษที่ 20 ที่ ใบหน้าของคนในภาพ “ถูกตัดออก” ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง

    ตามในภาพยนตร์หรือการ์ตูน เราอาจจะเคยเห็นรูปภาพของคนที่ถูกตัดเอาไปหน้าออกไปอยู่บ้าง ซึ่งบ่อยครั้งการกระทำเหล่านี้ก็มักจะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเพื่อซ่อนตัวละครที่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องที่อาจจะมีการเปิดเผยต่อไปในภายหลัง แต่ถ้าการตัดรูปภาพเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงขึ้นมาละ เพื่อนๆ จะคิดว่าคนที่ตัดภาพนั้นทำไปเพื่ออะไรกัน? มันอาจจะเป็นความพยายามในการลบคนคนหนึ่งออกไปจากความทรงจำอย่างนั้นเหรอ หรือว่าเป็นเพียงการตัดภาพเพื่อนำไปใส่ในจี้ห้อยคอกัน ไม่ว่าจะเป็นทางไหน สิ่งที่หลงเหลือจากการตัดก็มักจะเป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกแปลกๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ โดยเฉพาะกับภาพเก่าๆ แล้วด้วย ไม่เชื่อก็ลองไปชมภาพที่มีร่องรอยถูกตัดทั้ง 24 ภาพจากช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ต่อไปนี้ดูสิ   เริ่มกันจากใบหน้าของรูปถ่ายครอบครัวรูปหนึ่งที่ใบหน้าของผู้เป็นภรรยาถูกตัดออกไป   เจ้าของบ้านมาดผู้ดีที่ส่วนศีรษะหายไป ดูจากรอยตัดอันนี้น่าจะเอาไปทำเป็นจี้ห้อยคอ   ภาพของหญิงสาว ที่มองไม่เห็นทั้งมือเท้า และใบหน้า   ภาพถ่ายงานแต่งงานที่หน้าของเจ้าบ่าวโดนฉีกออกไปจากรูป   ภาพถ่ายคู่รักที่หน้าของฝ่ายหญิงหายไปราวกับโดนเซนเซอร์   ภาพของชายหนุ่มจากยุค 30 ที่ใบหน้าถูกแทนที่ด้วยรูปของหญิงสาวอีกคน   ภาพถ่ายคู่รักอีกภาพ ที่ใบหน้าของฝ่ายชาย ถูกตัดออกไปด้วยของมีคม   ภาพถ่ายคู่สามีภรรยา ที่หน้าของภรรยาถูกตัดออกไปเป็นวงกว้าง คาดว่าอันนี้ก็ตัดไปทำจี้ห้อยคอ   ภาพถ่ายครอบครัวที่ใบหน้าของสามีหายไป ดูจากรอยตัดอันนี้ไม่น่าจะเอาไปทำจี้นะ   ภาพถ่ายพ่อลูก (หรือไม่ก็พี่น้อง) ที่ในเวลานี้เหลือคนที่ยังดูออกแค่คนเดียว   อีกหนึ่งภาพถ่ายครอบครัวที่โดนตัดไปแบบไม่น่าจะกลายเป็นจี้   ไม่ว่าคนที่อยู่ตรงนั้นจะเป็นใคร คาดว่าพวกเขาคงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว…

  • นักวิทย์ไขปริศนาความตายที่ “ประตูสู่นรก” เมืองเฮียราโปลิส แท้จริงแล้วเกิดจากก๊าซคาร์บอน

    นักวิทย์ไขปริศนาความตายที่ “ประตูสู่นรก” เมืองเฮียราโปลิส แท้จริงแล้วเกิดจากก๊าซคาร์บอน

    ในอดีต ทางตอนใต้ของประเทศตุรกี มีวิหารที่ถูกเรียกโดยชาวกรีกและโรมันโบราณว่า “ประตูสู่นรก” นั่นเพราะตลอดหลายปีหลังจากที่มีการสร้างวิหารดังกล่าวขึ้น ก็มีคนจำนวนมากเสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ในตอนที่เขาไปในวิหารแห่งนี้ ราวกับว่าถูกอะไรบางอย่างลากไปสู่ความตายไม่มีผิด     นี่เป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นในเมืองเฮียราโปลิสในยุคสมัยของกรีก-โรมันเมื่อราวๆ 2,000 ปีก่อน และกลายเป็นเรื่องเล่าชวนขนหัวลุกที่ทำให้คนโบราณหวาดกลัวที่แห่งนี้จนแทบจะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็สามารถไขปริศนาความตายของคนในพื้นที่วิหารแห่งนี้ได้สำเร็จ และแน่นอนว่าความตายของคนในสมัยก่อนนั้น ไม่ได้มาจากลมหายใจของเจ้าแห่งนรกแต่อย่างไร     สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความตายของคนในสมัยก่อนมันอยู่ที่ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ทางเข้าของวิหารเองต่างหาก เพราะจากการตรวจสอบของทีมนักวิทยาศาสตร์ ในพื้นที่ใต้วิหารแห่งนี้มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หนาแน่นถึง 91% ซึ่งมากพอที่จะทำให้มนุษย์เห็นภาพหลอน หรือเสียชีวิตได้อย่างไม่ยาก โดยในเบื้องต้นนักวิทยาศาสตร์คาดว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหล่านี้น่าจะมาจากแนวรอยเลื่อน Badadag ในชั้นเปลือกโลก ซึ่งบังเอิญพาดผ่านพื้นที่วิหารนี้พอดี     ระดับความหนาแน่นของก๊าซที่พบทำให้ จึงไม่แปลกเลยที่ชาวกรีก-โรมันจะบันทึกเกี่ยวกับโบราณสถานแห่งนี้ไว้ว่า “สัตว์ใดๆ ก็ตามที่ผ่านประตูเข้าไปจะต้องพบกับความตายในทันที เมื่อข้าปานกกระจอกเข้าไป มันก็หายใจเฮือกสุดท้ายและสิ้นลม” เพราะแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบริเวณก็ไม่ได้มีวี่แววว่าจะลดลงไปเลย ว่ากันตามตรงในตอนที่มีการค้นพบวิหารในปี 2013 นักโบราณคดียังสังเกตเห็นว่าที่รอบๆ ปากทางเข้าวิหาร มีนกจำนวนมากตายอยู่ใกล้ๆ     จริงอยู่ว่านี่อาจจะเป็นโชคร้ายของเหล่าสัตว์อยู่บ้าง แต่อย่างน้อยๆ ความตายของพวกมันก็ทำให้นักโบราณคดีรับรูปถึงอันตรายของที่แห่งนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป และแม้ว่าที่แห่งนี้จะไม่ได้มีพลังของเทพแห่งความตายอยู่จริงๆ ก็ตาม แต่จากความอันตรายของมันก็ทำให้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย ที่คนในสมัยก่อนจะยกย่องให้ที่แห่งนี้เป็นวิหารของเฮดีสไป…

  • Airai Bai ห้องประชุมสำหรับผู้ชาย ในสาธารณรัฐปาเลา เมื่อสมัยที่ปกครองโดยผู้หญิง

    Airai Bai ห้องประชุมสำหรับผู้ชาย ในสาธารณรัฐปาเลา เมื่อสมัยที่ปกครองโดยผู้หญิง

    สาธารณรัฐปาเลา เป็นประเทศหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ มีชื่อเสียงเรื่องความงามของท้องทะเลที่ราวกับเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำ อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจเพียงเรื่องเดียวของประเทศแห่งนี้     นั่นเพราะในอดีตชาวออสโตรนีเซียนที่อาศัยอยู่ที่นี่ (ซึ่งคาดว่าย้ายถิ่นฐานมาจากอินโดนีเซียอีกที) ได้พัฒนาระบบการปกครองอันเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมา และทำให้ในประเทศแห่งนี้กลายเป็นสังคมที่มีผู้หญิงเป็นใหญ่ไป การสลับบทบาททางเพศของที่แห่งนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่พบได้ค่อนข้างยากในสมัยก่อน เพราะนอกจากชุมชนจะถูกนำด้วย “ราชินี” แล้ว แม้แต่ระบบพิธีกรรมทางศาสนาเองก็มีการปรับแต่งให้ผู้หญิงเป็นผู้ดำเนินการได้สะดวกอีกด้วย แต่หากจะพูดถึงสถานที่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมในสาธารณรัฐปาเลาแล้ว เราคงจะมองข้ามบ้านที่มีชื่อว่า Airai Bai ไปไม่ได้เลย เพราะที่แห่งนี้ก็คือที่ประชุมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสถานที่พบปะของผู้ชาย ในผืนดินที่ผู้หญิงเป็นใหญ่นั่นเอง     Airai Bai เป็นสิ่งก่อสร้างขนาด 22 x 6 เมตร สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แทนบ้านหลังเก่าที่ทำหน้าที่คล้ายกัน โดยเป็นการสร้างที่อาศัยการเชื่อมไม้เข้าด้วยกัน โดยไม่ใช่ตะปูแม้แต่ตัวเดียว สถานที่แห่งนี้มักจะถูกใช้เป็นที่ประชุมของ “ผู้นำเผ่า” จำนวน 10 คน ซึ่งจะเป็นผู้ชายที่ถูกเลือกโดยราชินี หรือเหล่าผู้อาวุโสที่เป็นผู้หญิงอีกที และหากผู้หญิงคนใดต้องการจะเข้ามาในที่แห่งนี้ พวกเธอก็จะต้องได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษก่อน     สำหรับนักโบราณคดีแล้ว Airai Bai นับว่าเป็นสถานที่ที่สำคัญมากในการศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศปาเลาโบราณเลยก็ว่าได้ เพราะภายในบ้านพักแห่งนี้ยังเป็นศูนย์รวมของตำนานและเรื่องเล่าท้องถิ่นอีกเป็นจำนวนมาก อ้างอิงจากรูปภาพฝาผนัง ที่บอกเล่าถึงความเป็นมา และตำนานต่างๆ ของคนในพื้นเอาไว้เป็นอย่างดี…

  • ชม “โนริมิซุ โอดาชิ” ดาบขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น ที่เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นมาให้ “ยักษ์” ใช้

    ชม “โนริมิซุ โอดาชิ” ดาบขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น ที่เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นมาให้ “ยักษ์” ใช้

    เมื่อพูดถึงดาบที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น คนส่วนมากก็มักจะนึกถึงดาบคาตานะของมุรามาสะขึ้นมาเป็นอย่างแรกๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วประเทศแห่งนักรบประเทศนี้นั้นยังมีดาบที่มีชื่อเสียงอยู่อีกหลายเล่มเลย และในวันนี้เราจะไปชม “โนริมิซุ โอดาชิ” ดาบมีชื่อเสียงที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อราวศตวรรษที่ 15 ของประเทศญี่ปุ่นกัน     โนริมิซุ โอดาชิ เป็นดาบที่มีจุดเด่นอยู่ที่ความยาวที่วัดได้ถึง 3.77 เมตร และหนักถึง 14.5 กิโลกรัม เรียกได้ว่าทั้งยาวและหนักจนเกินกว่าที่คนธรรมดาจะใช้ได้เลย ดังนั้นที่ผ่านๆ มา ดาบเล่มนี้จึงถูกมองว่าทำขึ้นมาเพื่อให้ยักษ์ใช้ นี่เป็นดาบที่อยู่ในตระกูลโอดาชิ (大太刀) ดาบญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่แม้จะมีรูปร่างคล้ายกับคาตานะ แต่ก็มีความโค้งและสัดส่วนด้ามจับที่ยาวกว่ามาก ซึ่งเชื่อกันว่ามีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายพอสมควร ในช่วงยุคราชสำนักเหนือ-ใต้ (1336-1392)   ขนาดโดยทั่วไปของโอดาชิ   ตามปกติดาบประเภทนี้จะมีความยาวราวๆ 90-100 เซนติเมตร (แต่บางครั้งก็ยาวถึง 2 เมตรได้เลย) ดังนั้น โอดาชิจึงมักถูกพกพาไปในสถานที่รบโดยไม่ใส่ปลอกหรือด้วยการสะพายไว้บนหลัง อย่างไรก็ตามการทำแบบนี้มักจะทำให้การชักโอดาชิออกมาใช้นั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะแม้ว่าเราอาจจะติดภาพลักษณ์การชักดาบจากหลังก็ตาม แต่ในความเป็นจริงมันทำได้ยากมากๆ จนถึงขั้นทำไม่ได้เลย     ดังนั้นนักโบราณคดีหลายๆ คนจึงเชื่อว่าในยุคหลังๆ โอดาชิน่าจะถูกใช้ในฐานะอาวุธที่แสดงแสนยานุภาพของกองทัพเฉยๆ มากกว่าที่จะเป็นอาวุธหลักในสงคราม หากคิดแบบนั้นแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ดาบแบบโนริมิซุ โอดาชิ จะมีรูปร่างอย่างที่เห็น เพราะหากดาบเล่มนี้ถูกใช้ในการแสดงแสนยานุภาพ หรือในพิธีการเฉยๆ แล้วล่ะก็…