Category: ย้อนเวลาหาความรู้
-
รู้หรือไม่ ในอดีต “มหาพีระมิดแห่งกิซ่า” ที่เรารู้จักกันเคยเป็นสีขาวเปล่งประกายมาก่อน
มหาพีระมิดแห่งกิซ่า (บางครั้งก็เรียกว่าพีระมิดคูฟู หรือพีระมิดคีออปส์) คือหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกซึ่งยังคงเต็มไปด้วยปริศนา ทั้งที่มีนักวิทยาศาสตร์มากมายที่พยายามไขปริศนาของมัน แต่ถึงแม้ว่าพีระมิดแห่งกิซ่าจะเป็นพีระมิดที่มหัศจรรย์เพียงไหน พีระมิดแห่งนี้ก็ใช่ว่าจะผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบันได้โดยที่ไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่น้อยคนนักจะทราบว่าพีระมิดแห่งกิซ่านั้น แท้จริงแล้วควรจะมีสีขาวเปล่งประกายมาก่อน แต่ที่พีระมิดแห่งกิซ่ามีสภาพแบบที่เราเห็นทุกวันนี้นั้น เกิดจากการที่อิฐบางส่วนของพีระมิดถูกรื้อออกไปในช่วงศตวรรษที่ 14 เพื่อนำไปใช้สร้างป้อมปราการใกล้ๆ เมืองไคโรนั่นเอง นี่เป็นบล็อกหินปูนจากเมืองทูรา หินปูนคุณภาพสูงที่ถูกใช้ปิดบังบล็อกหินปูนคุณภาพต่ำสีน้ำตาลเหลืองที่อยู่ด้านใต้อีกที ดังนั้นเมื่อที่บล็อกหินปูนเหล่านี้ถูกเอาออกไป พีระมิดจึงมีสภาพเป็นสีน้ำตาลเหลืองดูสกปรกแบบในปัจจุบัน เท่านั้นยังไม่พอเพราะการฝืนขนย้ายหินตรงส่วนฐานออกไป ยังทำให้หินชั้นนอกของพีระมิดค่อยๆ พังทรายลงมาจนเกิดเป็นเศษหินที่ฐานของพีระมิดอย่างที่เราอาจจะเห็นในภาพถ่ายบางใบไป เป็นไปได้ว่าเหตุผลที่ฟาโรห์คูฟูแห่งราชวงศ์ที่ 4 สั่งให้มีการทำพีระมิดให้เป็นสีขาวนั้น น่าจะมาจากความคิดที่ว่า สีขาวนั้นสะท้อนแสง ดังนั้นการทำพีระมิดให้เป็นสีขาวก็น่าจะทำให้มองเห็นได้จากระยะไกลนั่นเอง อันที่จริงแล้วราชวงศ์ที่ 4 เองก็ไม่ใช่ราชวงศ์แรกของอียิปต์ที่มีการทำพีระมิดแต่อย่างใด เพราะหากพูดถึงพีระมิดที่เก่าแก่ที่สุดจริงๆ แล้ว จะต้องเป็นพีระมิดโจเซอร์หรือพีระมิดแห่งซักการาซึ่งเป็นฝีมือของราชวงศ์ที่ 3 แห่งอียิปต์ต่างหาก อย่างไรก็ตามหากเทียบกันแล้วพีระมิดของราชวงศ์ที่ 3 (รวมไปถึงพีระมิดแห่งดาชูร์ด้วย) มักจะมีปัญหาเกิดกับการก่อสร้างจนทำให้การสร้างพีระมิดไม่เสร็จหรือออกมาไม่ดีอย่างที่ควรไป ด้วยเหตุนี้เอง ภาพลักษณ์ของพีระมิด “ที่แท้จริง” ในสายตาของหลายๆ คนจึงกลายเป็นพีระมิดที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงราชวงศ์ที่ 4 ไปต้นไปแทนนั่นเอง และถึงแม้ว่ามหาพีระมิดแห่งกิซ่า อาจจะไม่ได้ขาวสวยเหมือนกับแต่ก่อนแล้วก็ตาม…
-
รู้หรือไม่ ในสมัยก่อนเคยมีการปรับปรุง “คัมภีร์ไบเบิล” ไว้สำหรับใช้กับทาสโดยเฉพาะ
ในช่วงเวลาที่การใช้งานทาสยังเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายกันอยู่ ถ้าหากว่าทาสมีความรู้มากพอที่จะอ่านหนังสือได้ หนึ่งในหนังสือที่พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้อ่านได้ก็มักจะเป็นคัมภีร์ไบเบิลนั่นเอง เอาเข้าจริงๆ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ เพราะนอกจากการเผยแผ่ศาสนาจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีแล้ว ในคัมภีร์ไบเบิลบทของโยเซฟยังมีการสอนให้ทาสทำตัวให้สมเป็นทาสอีกด้วย เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย เพียงแต่ในคัมภีร์ไบเบิลที่เหล่าทาสได้อ่านนั้นอาจจะแตกต่างไปจากคัมภีร์ไบเบิลปกติอยู่บ้าง เพราะในคัมภีร์ไบเบิลของพวกเขา เรื่องราวส่วนมากในพันธสัญญาเดิมกลับหายไป แถมส่วนของพันธสัญญาใหม่เอง ก็มีอยู่ประมาณครึ่งเดียวของที่ควรเป็นอีกด้วย นี่เป็นคัมภีร์ไบเบิลฉบับที่เรียกกันว่า “ส่วนหนึ่งของไบเบิล สำหรับใช้งานกับทาสชาวนิโกรในหมู่เกาะอังกฤษ – อินเดียตะวันตก” ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนสั่งทำคัมภีร์ไบเบิลรูปแบบนี้เป็นคนแรก แต่เป็นไปได้ว่านี่จะเป็นคัมภีร์ไบเบิลที่ทำขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่เหล่าทาสจะได้รับแรงบันดาลใจในการต่อต้านเจ้านายขึ้นมาจากการอ่านหนังสือ ดังนั้นเรื่องราวของการปลดปล่อยอย่างการที่โมเสสนำชาวอิสราเอลไปสู่อิสรภาพ จึงถูกนำออกไปจากตัวพระคัมภีร์ เป็นไปได้ว่านี่อาจจะมาจากความคิดของผู้เผยแผ่ศาสนาในสมัยนั้น ที่ต้องการจะเผยแผ่ศาสนาแต่ก็กลัวว่าเรื่องราวในพระคัมภีร์จะทำให้ทาสเกิดลุกฮือขึ้นมาก็เป็นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะสอนแต่เรื่องที่ทำให้คนยอมรับความเป็นทาสก็เท่านั้น คัมภีร์ไบเบิลสำหรับทาสเหล่านี้ถูกพบหลักฐานการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1807 ราวๆ 3 ปี หลังจากการปฏิวัติเฮติ (ซึ่งเป็นการปฏิวัติเพียงครั้งเดียวที่ทาสสามารถเอาชนะเจ้านายชาวยุโรปได้) จบลง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนในช่วงนี้จะกลัวการปฏิวัติของทาสมากขึ้นไปอีก แต่ที่แปลกคือนอกจากเรื่องราวเกี่ยวกับทาสแล้ว คัมภีร์ไบเบิลสำหรับทาสยังมีการนำเอาเนื้อความเกี่ยวกับความเท่าเทียมและบทวิวรณ์ (Revelations) ซึ่งพูดถึงโลกใบใหม่กับการลงโทษคนเลวก็ยังถูกเอาออกไปด้วย นั่นทำให้คัมภีร์ไบเบิลสำหรับทาสนั้น แทบจะเป็นหนังสือที่ดูไร้ซึ่งความหวังโดยสิ้นเชิงเลยก็ว่าได้ ที่มา history
-
พบดาบโบราณอายุกว่า 3,000 ปี ที่เดนมาร์ก เก่าแก่ยิ่งกว่ายุคไวกิ้ง แต่ยังคมได้อย่างไม่น่าเชื่อ
หากพูดถึงการค้นพบอาวุธโบราณที่เดนมาร์ก เชื่อว่าคนส่วนมากก็จะนึกถึงอาวุธของชาวไวกิ้งขึ้นมาก่อนเป็นสิ่งแรก เพียงแต่การค้นพบในครั้งนี้มันต่างไปจากการค้นพบอื่นๆ พอสมควรเลยนี่สิ นั่นเพราะที่เกาะซีแลนด์ ทางตะวันออกของเดนมาร์ก นักโบราณคดีมือใหม่สองคนได้ทำการค้นพบดาบโบราณอายุกว่า 3,000 ปี ที่เก่าแก่ยิ่งกว่ายุคสมัยของชาวไวกิ้งเสียอีก นักโบราณคดีมือใหม่ทั้งสองคือ Ernst Christiansen และ Lis Therkelsen ผู้ใช้เครื่องตรวจจับโลหะในการตรวจสอบพื้นที่เมืองเล็กๆ ที่บนเกาะที่ชื่อ Svebølle ซึ่งที่ผ่านๆ มาก็เคยมีการค้นพบโบราณวัตถุอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสองติดต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ Vestsjælland ทันทีหลังจากที่มีการค้นพบ และจากการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาก็พบว่าดาบที่พบมีอายุเก่าแก่มากอย่างไม่น่าเชื่อเลย โดยนี่เป็นดาบซึ่งทำขึ้นมาจากสัมฤทธิ์ที่มีความยาว 82 เซนติเมตร และคาดว่าน่าจะเคยมีด้ามจับที่ทำจากหนังสัตว์มาก่อน ซึ่งแม้ว่าตัวหนังสัตว์จะถูกย่อยสลายไปตามกาลเวลาแล้ว แต่ตัวดาบที่พบกลับยังมีสภาพที่ดีมาก โดยอ้างอิงจากคำบอกเล่าของผู้เชี่ยวชาญ ดาบเล่มนี้น่าจะมาจากยุคสัมฤทธิ์ของชาวนอร์ดิกราว 1,100-900 ปีก่อนคริสตกาล แถมยังมีการเก็บรักษาที่ค่อนข้างดี จนตัวดาบยังค่อนข้างคมเลยทีเดียว นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมากๆ เลยก็ว่าได้ เพราะจริงอยู่ว่าที่พื้นที่บนเกาะนี้จะเคยมีการค้นพบวัตถุโบราณอยู่บ่อยๆ แต่ดาบที่สมบูรณ์ขนาดนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะพบได้ง่ายๆ เพราะในสมัยนั้นอาวุธที่ถูกใช้งานบ่อยๆ จะเป็นกระบองและขวานต่างหาก นั่นทำให้มีความเป็นไปได้ว่าดาบที่พบนี้จะไม่ได้ถูกใช้งานเป็นอาวุธ แต่เป็นสิ่งแสดงสถานะทางสังคมเสียมากกว่า เนื่องจากการใช้ดาบนั้นจำเป็นที่จะต้องมีการฝึกฝนที่มากว่าอาวุธชนิดอื่นๆ ในสมัยเดียวกันอยู่พอสมควรเลยนั่นเอง ที่มา ancient-origins, thevintagenews
-
ย้อนรอยการปะทุครั้งใหญ่ของภูเขาไฟกรากะตัว ประวัติศาสตร์ที่ทำให้ชาวโลกต้องหวาดผวา
ในช่วงเวลาที่มีข่าวภูเขาไฟระเบิด ทำให้เกิดคลื่นสึนามิที่ชายฝั่งอินโดนีเซียเช่นนี้ หลายๆ คนอาจจะได้ยินเชื่อเสียงของภูเขาไฟกรากะตัวกันมาบาง ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่าเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดในครั้งนี้ ไม่ใช่เหตุการณ์ภูเขาไฟรุนแรงที่สุดที่ประเทศอินโดนีเซียเจอหรอกนะ ภูเขาไฟกรากะตัวนั้น ตั้งอยู่ที่หมู่เกาะชื่อเดียวกันระหว่างเกาะชวากับเกาะสุมาตรา และเชื่อกันว่ามีอยู่บนโลกมาเป็นเวลายาวนานกว่าหนึ่งล้านปีแล้ว จากสภาพของตัวภูเขาไฟเอง นักธรณีหลายๆ คนก็เชื่อว่าในสมัยก่อนภูเขาไฟแห่งนี้น่าจะเคยมีการระเบิดมาหลายครั้งแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นการระเบิดที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้นั้น กับเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1680 เท่านั้น อย่างไรก็ตามเหตุการณ์การระเบิดครั้งที่สำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีมาของภูเขาไฟกรากะตัว เกิดขึ้นเมื่อราวๆ 200 ปีหลังจากนั้นต่างหาก เพราะหลังจากที่ภูเขาไฟดูเหมือนจะสงบมาตลอดนั่นเอง ในเดือนสิงหาคมปี 1883 ภูเขาไฟลูกนี้ก็ได้เกิดการปะทุอย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้ง จนทำให้พื้นที่รอบๆ ราว 70% ยุบตัวกลายเป็นแอ่งไปเลยทีเดียว จริงอยู่ที่ว่า ภูเขาไฟเริ่มมีอาการมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมแล้วแต่ในสมัยนั้นไม่มีใครคิดว่าการปะทุจะรุนแรงมากขนาดนี้ จึงทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมียอดผู้เสียชีวิตอย่างต่ำๆ ราว 36,400 คน สภาพพื้นที่รอบๆ ภูเขาไฟกรากะตัว ก่อนและหลังเหตุการณ์ภูเขาไฟปะทุในปี 1883 จากบันทึกในสมัยนั้น เสียงของการปะทุของภูเขาไฟสามารถได้ยินไกลถึง 4,830 กิโลเมตร (ได้ยินกันข้ามประเทศ) แถมเถ้าภูเขาไฟยังสูงขึ้นไปถึง 80 กิโลเมตร และแผ่กว้างกินพื้นที่กว่า 240 กิโลเมตร จนบดบังดวงอาทิตย์เสียจนมิด เท่านั้นยังไม่พอกำมะถันปริมาณมหาศาลที่ปะทุออกมายังตกค้างไปในบรรยากาศโลกจนทำให้โลกต้องพบกับฤดูหนาวจากภูเขาไฟ ที่ทำให้อุณหภูมิทั่วโลกลดลงไปยาวนานถึง 5 ปีเลยด้วย…
-
ย้อนรอย “เรือโอลิมปิก” เรือพี่น้องของไททานิค ที่สามารถหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมได้ทั้งชีวิต
เคยได้ยินเรื่องราวของเรือโอลิมปิกไหม? นี่เป็นเรือขนาดใหญ่ที่เป็นเรือพี่น้องของไททานิค แต่ถึงแม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงดังเท่าไททานิคก็ตาม อย่างน้อยๆ เรือโอลิมปิกก็ไม่ได้โชคร้ายชนภูเขาน้ำแข็ง อาร์เอ็มเอส โอลิมปิก เป็นหนึ่งในสามเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัทไวท์สตาร์ไลน์ (อีกสองลำคือไททานิค และบริแทนนิก) ถูกปล่อยสู่ทะเลครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 1910 และได้ชื่อว่าเป็นเรือขนาดใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น (ก่อนจะแพ้ให้ไททานิคในเวลาต่อมา) เรือโอลิมปิกมีความยาว 260 เมตร และความกว้าง 28 เมตร มันสามารถจุคนได้สูงสุดถึง 2,300 คน และเดินทางได้ไกลถึง 700-870 กิโลเมตรต่อวัน อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่น่าสนใจของเรือโอลิมปิกอยู่ที่ประวัติการเดินเรือมากกว่า นั่นเพราะหลังจากออกเดินเรือได้ไม่นาน ในวันที่ 20 กันยายน 1911 เรือโอลิมปิกก็ต้องพบกับเรื่องโชคร้ายทันทีเมื่อระหว่างการออกเดินทางจากเซาธ์แทมป์ตัน เรือโอลิมปิกก็เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับเรืออีกลำ สาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้น ถูกตัดสินว่าเกิดจากขนาดที่ใหญ่ของเรือโอลิมปิกทำให้กระแสน้ำดึงเอาเรืออีกลำเข้ามาใกล้โดยไม่รู้ตัว ทำให้สุดท้ายเรือทั้งสองจึงชนกันอย่างรุนแรงในที่สุด เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เรือโอลิมปิกมีรูขนาดใหญ่สองรู (ส่วนเรือที่ชนนั้นส่วนหัวเรือพังเละเทะไปเลย) จนต้องมีการส่งซ่อมเป็นเวลายาวนานหลายเดือนเลยทีเดียวนับว่าโชคดีมากที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ แม้การซ่อมแซมเรือจะดูเป็นเรื่องใหญ่ก็ตาม แต่ปัญหาจริงๆ ที่แฝงมากับของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอยู่ที่การทำให้คนส่วนใหญ่ในสมัยนั้นเชื่อกันว่าเรือขนาดใหญ่จะไม่มีวันจมต่างหาก และความเชื่อแบบนี้เองก็จะส่งผลร้ายกับเรือไททานิคต่อไป เรือโอลิมปิกกับเรือไททานิค ราวๆ 2…
-
“หนังสือรุ่นในตำนาน” ของมหาวิทยาลัย Texas Tech จัดทำขึ้นโดยนิตยสาร Playboy ?!
เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายๆ คนคงจะมี “หนังสือรุ่น” เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำสมัยเรียน แต่สำหรับหนังสือรุ่นของมหาวิทยาลัย Texas Tech ในสหรัฐอเมริกานั้นกลับต่างออกไป เมื่อมันมาในรูปแบบของธีม Playboy อย่างที่หลายๆ คนทราบกันดีอยู่แล้วว่า Playboy คือชื่อของนิตยสารผู้ชายชื่อดังที่มีมาอย่างยาวนาน และในปี 1961 พวกเขาก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการจัดทำหนังสือรุ่นให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ หนังสือรุ่นในแบบที่เราเห็นกันนี้ ถือว่าเป็นธรรมเนียมอันเก่าแก่ของมหาวิทยาลัยซึ่งจะถูกเรียกว่า La Ventana (เป็นภาษาสเปน แปลว่า หน้าต่าง) มันถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปี 1961 ก่อนจะสลายหายไปในปี 1981 ตลอดระยะเวลา 20 ปีนั้น หนังสือรุ่นของพวกเขาก็ถือว่ามีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครเอามากๆ ว่าแล้วเราก็ลองไปชมกันเลย โพสท่าอย่างนางแบบ แน่นอนว่าหนังสือรุ่นจะไม่มีภาพโป๊เปลือยมาให้เห็น แต่คือมีกลิ่นอายของนิตยสาร Playboy อยู่ . . มีการโพสท่าเซ็กซี่กันพอหอมปากหอมคอ . . . . . หน้าปกดูสดใส…
-
28 ภาพเรื่องราวของกำแพงเบอร์ลิน ตั้งแต่ตอนที่สร้างขึ้นเรื่อยไปจนวันที่ถูกทำลาย
ในช่วงสงครามเย็น มีคนมากมายที่พยายามจะแอบหนีออกจากเบอร์ลินตะวันออกของโซเวียตและปกครองระบบคอมมิวนิสต์ ไปยังเบอร์ลินตะวันตกที่ปกครองด้วยฝ่ายสัมพันธมิตร ดังนั้นทางเบอร์ลินตะวันออกจึงได้สร้าง “กำแพงเบอร์ลิน” เพื่อป้องกันการหนีที่เกิดขึ้น จากวันนั้นมาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่า 57 ปีแล้ว ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะภาพเพื่อนๆ ไปชม 28 ภาพของกำแพงเบอร์ลิน ตั้งแต่ในตอนที่สร้างขึ้นเรื่อยไปจนวันที่ถูกทำลายกัน เริ่มกันจากวันที่ 13 สิงหาคม 1961 วันแรกที่มีการกั้นชายแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันออกกับเบอร์ลินตะวันตก ภาพการวางกำแพงคอนกรีตชิ้นแรกๆ ในเดือนสิงหาคม 1961 มุมมองการก่อสร้างกำแพงจากมุมสูง เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1961 ทางผ่านส่วนใหญ่ระหว่างเมืองจะถูกปิด และที่สะพาน Bornholmer ก็มีการวางเหล็กป้องกันรถถังเอาไว้ หน่วยตระเวนชายแดนของเยอรมันตะวันออก ดูแลความปลอดภัยของกำแพงด้วยกล้องส่องทางไกล การทำลายสิ่งปลูกสร้างเพื่อสร้างกำแพงในเดือนตุลาคม 1961 เด็กสาวมองออกมาจากกำแพงของเขตตะวันออก ตุลาคม 1961 การโรยเศษแก้วบนกำแพง 4.5 เมตร หนึ่งในความพยายามหนีจากเบอร์ลินตะวันออกในวันที่ 16 ตุลาคม 1961 …
-
อีกด้านของโปรเจกต์ “MK-Ultra” เมื่อ CIA ทดลองการควบคุม “สุนัข” ด้วยการผ่าสมอง
เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเรื่องโปรเจกต์ “MK-Ultra” กันมาบ้าง นี่เป็นโปรเจกต์ของทาง CIA ที่ว่าด้วยการทดลองการควบคุมจิตใจด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยา LSD การช็อตไฟฟ้า หรือแม้แต่ยาเสพติด ว่าแต่รู้รึเปล่าว่าในการทดลองครั้งนี้ มนุษย์ไม่ใช่เหยื่อเพียงกลุ่มเดียวของโปรเจ็กต์ MK-Ultra หรอกนะ เพราะจากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยจากทาง CIA เมื่อช่วงก่อนนี้เองก็ได้มีการพูดถึงอีกด้านหนึ่งของโปรเจกต์นี้เอาไว้ด้วย ซึ่งนั่นก็คือการทดลองควบคุม “สุนัข” นั่นเอง โดยจากการรายงานของสื่อต่างประเทศดูเหมือนว่าในปี 1967 ทาง CIA จะประสบความสำเร็จในการ “สร้าง” สุนัขที่สามารถควบคุมผ่านเครื่องควบคุมทางไกลได้แล้ว อย่างน้อยๆ 6 ตัว ด้วยการ “กระตุ้น” กระแสไฟฟ้าบางส่วนในสมอง นี่หมายความว่าอย่างน้อยๆ พวกเขาจะต้องเคยผ่าตัดสมองของสุนัขทั้งหกตัว เพื่อใส่เครื่องมือกระตุ้นลงไปนั่นเอง ภาพโครงสร้างโดยคร่าวๆ ของเครื่อง “ควบคุม” สุนัข โดยในเอกสารของทาง CIA ความรุนแรงของกระแสไฟฟ้าที่จำเป็นนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะเฉพาะของสุนัขแต่ละตัว และเครื่องมือชิ้นนี้มีระยะทำการสูงสุดอยู่ที่ 90-180 เมตร นับว่าโชคดีมากที่สุนัขทั้งหกไม่เคยได้ออกปฏิบัติการในพื้นที่จริงเลยแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากปัญหามากมายที่ตามจากตัวโปรเจ็กต์เอง ภาพการทดลองให้สุนัขวิ่งในรูปแบบที่กำหนด กล่าวคือการจะทดลองประสิทธิภาพสูงสุดของสุนัขนั้นจำเป็นต้องให้พื้นที่ที่ค่อนข้างกว้าง ซึ่งทางทีมงานไม่สามารถหาได้ บวกกับแผลการผ่าตัดเองก็ทำให้สุนัขหลายๆ ตัวไม่สามารถปฏิบัติการได้ดีเท่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย…
-
พบคาถาอราเมอิกอายุ 2,800 ปี ที่ใช้จับ “ผู้กลืนกิน” ซึ่งทำให้เหยื่อเจ็บปวดจาก “ไฟ” ได้
ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งลึกลับ เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาแต่โบราณ ดังนั้นที่ผ่านๆ มา เราจึงมีการค้นพบโบราณวัตถุที่มีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมและความเชื่ออยู่บ่อยๆ และเมื่อล่าสุดนี้เองนักโบราณคดีก็ออกมาเปิดเผยการค้นพบที่น่าสนใจอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ พวกเขาได้พบกับ “คาถา” อายุร่วม 2,800 ปี ที่เขียนไว้ในภาษาอราเมอิก และบอกเล่าถึงสัตว์ร้ายที่มีความสามารถในการสร้างไฟได้ โดยเจ้าคาถาที่ว่านี้ ถูกเขียนเอาไว้บนแผ่นศิลาจากเมื่อช่วง 850-800 ปีก่อนคริสตกาล ที่มีการค้นพบครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2017 ภายในสิ่งปลูกสร้างขนาดเล็ก (ที่น่าจะเป็นวิหาร) ภายในแหล่งโบราณสถาน “Zincirli” ที่ประเทศตุรกี นี่เป็นคาถาที่ถูกเขียนไว้โดยชายผู้ฝึกฝนไสยเวทย์นาม “ราฮิม บุตรแห่งชาดาดาน” (Rahim son of Shadadan) และเกี่ยวข้องกับการจับสัตว์ร้ายที่ถูกเรียกว่า “ผู้กลืนกิน” (The Devourer) แหล่งภาพโบราณสถาน Zincirli แผ่นศิลาที่พบนั้นนับว่าเป็นหนึ่งในแผ่นศิลาภาษาอราเมอิกที่มีความเก่าแก่มากๆ แผ่นหนึ่งเลยก็ว่าได้ (ถึงจะไม่ได้เก่าแก่ที่สุดก็ตาม) แถมยังมีความสำคัญมากพอที่จะทำให้คนในสมัยนั้นเก็บมันเอาไว้เป็นเวลานานหลังจากที่มีการทำขึ้นอีกด้วย จากเนื้อความแล้ว ดูเหมือนว่าผู้กลืนกินที่ว่าจะมีความสามารถทำให้เหยื่อของมันเจ็บปวดจาก “ไฟ” ได้ และการที่จะรักษาเหยื่อให้หาย ก็จำเป็นต้องใช้เลือดของผู้กลืนกินในการรักษาเสียด้วย ดังนั้นคาถาชิ้นนี้จึงถูกคิดค้นขึ้นมานั่นเอง โดย Madadh Richey หนึ่งในผู้ทำการวิจัยศิลาแผ่นนี้บอกว่า…
-
นักวิจัยสร้างโมเดล 3 มิติของ “พูมาพันกู” ไขความเชื่อที่ว่า ที่นี่ถูกสร้างโดยมนุษย์ต่างดาว
เคยได้ยินเรื่องของ “พูมาพันกู” กันมาก่อนไหม นี่เป็นซากปรักหักพังของกำแพงขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ในวิหารโบราณติวานากูในประเทศโบลิเวีย และมีโครงสร้างที่แปลกประหลาดมากจนชาวอินคาสมัยก่อนไม่น่าจะสร้างได้ นั่นทำให้ที่ผ่านมามีคนหลายคนที่เชื่อกันว่าพูมาพันกูนั้นน่าจะถูกสร้างโดยบางสิ่งบางอย่างที่ “ไม่ใช่มนุษย์” จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เพราะล่าสุดนี้เอง ทีมนักวิจัยในมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียก็ได้ทำการสร้างวิหารติวานากูแบบจำลองขึ้นมาอีกครั้งด้วยเทคโนโลยีสามมิตินั่นเอง โดยโมเดลที่เห็นนี้เกิดขึ้นจากการศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของพูมาพันกูที่ถูกเก็บมาอย่างยาวนานของเหล่านักโบราณคดี ตั้งแต่ที่กำแพงดังกล่าวถูกค้นพบ และรวบรวมกันเป็นโมเดลสามมิติที่มีขนาด 4% ของสถานที่จริง แต่โมเดลที่ออกมานั้น ไม่ใช่ผลงานเพียงอย่างเดียวของนักวิจัยกลุ่มนี้ นั่นเพราะในระหว่างการสร้างโมเดลนี้ขึ้นมา พวกเขายังได้พบกับหลักฐานที่ว่าพูมาพันกูนั้น ไม่น่าจะสร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ต่างดาวอีกด้วย นั่นเพราะเดิมทีแล้ว ชิ้นส่วนของพูมาพันกูไม่ได้มีความใกล้เคียงกับโบราณสถานอื่นๆ เลยจนทำให้มีคนจำนวนมาก คิดว่าสิ่งที่พบนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ไป อย่างไรก็ตามในระหว่างการประกอบโมเดลจากข้อมูลที่มี ทีมวิจัยก็พบว่า โครงสร้างของตัววิหาร มีความใกล้เคียงกับโบราณสถานใกล้เคียงกันอีกสองแห่งมาก เพราะเดิมทีแล้วตัววิหารที่เห็นน่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างรูปร่างตัว T (แบบรูปข้างบน) มากกว่า ส่วนวัตถุรูปตัว H ที่พบเองจริงๆ แล้วก็เป็นประดูหรือหน้าต่างที่แกะขึ้นจากหินขนาดใหญ่ก้อนเดียวด้วย สภาพของพูมาพันกูในปัจจุบัน Alexei Vranich หนึ่งในทีมวิจัยเล่าว่า อุบัติเหตุหลายๆ อย่างตลอดช่วงหลายร้อยปีหลังจากที่มีการค้นพบ บวกกับการบูรณะที่ไม่ดีในปี 2006 ทำให้พูมาพันกูมีรูปร่างเปลี่ยนไปจากที่มันควรจะเป็นมาก ถึงขั้นที่ว่าตำแหน่งของหินที่เราเห็นในปัจจุบันนั้น ไม่มีชิ้นไหนเลยที่อยู่ในที่ที่มันควรเป็น…
-
ชมรูปถ่ายที่ “ฉลาดที่สุด” จากการรวมเหล่าอัจฉริยะ ในประชุมนานาชาติโซลเวย์ครั้งที่ 5
ในโลกใบนี้มีภาพที่น่าสนใจอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งบ่อยครั้งเป็นผลมาจากความบังเอิญที่อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ แต่ในบางครั้งภาพสุดมหัศจรรย์ก็อาจจะเกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ได้เหมือนกัน อย่างภาพที่เห็นนี้เอง หากมองเผินๆ ก็อาจจะสงสัยว่ามันน่าสนใจตรงไหน แต่หากสังเกตให้ดีๆ เพื่อนๆ จะรู้ว่านี่คือภาพที่ร่วมเอาเหล่านักวิทยาศาสตร์มือฉมังของโลกเอาไว้นั่นเอง โดยภาพที่รวมเอาคนที่ฉลาดสุดๆ มาไว้ด้วยกันภาพนี้ถูกถ่ายขึ้นเมื่อปี 1927 ภายในการประชุมนานาชาติโซลเวย์ครั้งที่ 5 ในประเทศเบลเยียม และทำให้การประชุมครั้งนั้นกลายเป็นตำนานไป ภาพการประชุมนานาชาติโซลเวย์ครั้งที่ 5 แบบไม่ผ่านการลงสี การประชุมครั้งนี้มีหัวข้อการพบปะพูดคุยอยู่ที่เรื่องของ “อิเล็กตรอนและโฟตอน” และมีนักวิทยาศาสตร์ที่เคยได้รับรางวัลโนเบล (ทั้งก่อนจัดงานและหลังจัดงาน) เข้าร่วมประชุมถึง 17 คน นำทีมโดย Niels Bohr และ Albert Einstein คนที่อยู่ในรูปนั้นประกอบด้วย (จากหลังไปหน้า จากซ้ายไปขวา) – Auguste Piccard ผู้ออกแบบยานสำรวจน้ำลึก และบิดาของ Jacques Piccard ผู้พัฒนาเทคโนโลยีเรือดำน้ำ – Emile Henriot ชายผู้แสดงให้โลกเห็นว่าโพแทสเซียมและรูโดเดียมเป็นสารกัมมันตรังสีตามธรรมชาติ – Paul Ehrenfest เพื่อนของ Einstein…
-
งานวิจัยใหม่พบ ชาวไวกิ้งนำแมวขึ้นเรือไปด้วยก็จริง แต่อาจจะไม่ได้รักแมวอย่างที่เราคิด
เชื่อว่าเพื่อนๆ บางคนอาจจะเคยได้ยินงานวิจัยบอกว่า ในอดีตชาวไวกิ้งมักนำแมวขึ้นเรือไปไหนมาไหนด้วย จนหลายๆ คนอาจจะคิดว่าไวกิ้งนั้นน่าจะรักแมวพอสมควรเลยทีเดียว ที่ไวกิ้งนำแมวขึ้นเรือไปด้วย ก็เพื่อให้แมวช่วยล่าหนูนั่นเอง แต่ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วไวกิ้งอาจจะไม่ได้รักแมวมากๆ อย่างที่พวกเราคิดก็เป็นได้ เพราะจากการค้นพบใหม่ล่าสุดของมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ดูเหมือนว่าในสมัยก่อน ชาวไวกิ้งจะเอาหนังของแมวมาทำเป็นเครื่องแต่งกายเสียอย่างนั้น นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นจากการที่นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ได้ทำการรวบรวมกระดูกของแมวจากในยุคไวกิ้ง ตามแหล่งโบราณคดีทั่วประเทศเดนมาร์ก เพื่องานวิจัยเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของแมวในอดีตเมื่อเทียบกับในปัจจุบัน นี่จึงนับว่าเป็นการค้นพบที่ถือว่าบังเอิญมากจริงๆ เพราะในระหว่างการตรวจสอบซากแมวที่ได้มานั้นเอง นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าแมวของชาวไวกิ้งในช่วงคริสต์ศักราชที่ 793–1066 นั้น มักจะมีร่องรอยการถูกตัดด้วยของมีคม หรือคอที่หัก นี่เป็นลักษณะของการสังหารที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์อย่างชัดเจน และจากร่องรอยอื่นๆ ที่พบ พวกเขาก็เชื่อว่านี่เป็นผลจากวิธีการฆ่าแมวที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการถลกหนังนั่นเอง น่าเสียดายที่ในงานวิจัยครั้งนี้ ไม่ได้มีการอธิบายรายละเอียดอื่นๆ เอาไว้ เนื่องจาก เดิมทีแล้ว การค้นพบนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายงานวิจัยของพวกเขา อย่างไรก็ตามในงานวิจัยนี้ก็มีเรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ เขียนเอาไว้เช่นกัน อย่างเรื่องที่ว่าเมื่อเทียบกับในสมัยก่อน แมวในปัจจุบันมีขนาดใหญ่มากขึ้นถึงราวๆ 16% โดยเฉลี่ยเลยทีเดียว นี่นับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลก เพราะตามปกติสัตว์ที่ถูกมนุษย์นำมาเลี้ยงในบ้านมักจะมีขนาดเล็กลงจากในอดีตมากกว่า (อย่างสุนัขเป็นต้น) กะโหลกของแมวในยุคไวกิ้ง (ขวาบน) กับแมวในปัจจุบัน (ขวาล่าง) เป็นไปได้ว่าเหตุผลของความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจจะมาจากอาหาร…
-
พบสิ่งปลูกสร้างคล้ายพีระมิดซ่อนอยู่ในอินโดนีเซีย เชื่ออาจมีอายุมากกว่า 9,000 ปี
แม้ว่าตามปกติหากพูดถึงพีระมิด คนส่วนใหญ่จะนึกถึงประเทศอียิปต์ขึ้นมาเป็นที่แรก แต่ในความเป็นจริงนั้นมีวัฒนธรรมอีกหลายแห่ง ที่มีสิ่งปลูกสร้างในรูปแบบพีระมิด ไม่ว่าจะเป็นชาวแอซเท็ก หรือแม้แต่ชาวจีนก็ตาม และล่าสุดนี้เองที่ประเทศอินโดนีเซียก็ได้มีการค้นพบสิ่งปลูกสร้างที่รูปร่างคล้ายกับพีระมิดเช่นกัน นี่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นวิหารโบราณขนาดใหญ่ ที่ถูกฝังเอาไว้ใต้ดินมาเป็นเวลายาวนานกว่า 1,000 ปี จนพื้นที่ดังกล่าวมีสภาพคล้ายภูเขาธรรมดาๆ ลูกหนึ่ง ที่ตั้งของวิหารดังกล่าวอยู่ที่ภูเขาปาดัง ในจังหวัดชวาตะวันตก และมีแหล่งโบราณคดีซึ่งถูกค้นพบไปในศตวรรษที่ 1 ทับอยู่ข้างบนอีกที บริเวณที่วิหารถูกฝัง (วงกลมสีแดง) และโบราณคดีที่อยู่ข้างบน (วงกลมสีเหลือง) การค้นพบที่เกิดขึ้นในวันที่ 12 ธันวาคม ด้วยเครื่องมือการสำรวจใต้ดินหลายหลายชนิด ตั้งแต่เรดาร์ใต้ดิน ระบบเอกซเรย์ เรื่อยไปจนการขุดค้นด้วยสว่านและด้วยมือ จนกระทั่งพบกับวิหารโบราณ จริงอยู่ว่าสิ่งก่อสร้างแห่งนี้จะมีรูปแบบคล้ายพีระมิดก็ตาม แต่มันก็แตกต่างจากพีระมิดของอียิปต์หรือมายา เพราะพีระมิดที่นี่มีการสร้างซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ตามยุคสมัย ทำให้อายุของแต่ละชั้นมีความเก่าแก่ที่แตกต่างกันออกไป ภาพอธิบายลักษณะชั้นของสิ่งก่อสร้าง โดยจากคำบอกเล่าของนักวิทยาศาสตร์ ชั้นนอกสุดของพีระมิดที่พบมีอายุอยู่ที่ราวๆ 3,000-3,500 ปี แต่ลึกลงไปราวๆ 3 เมตร วัสดุที่พบก็มีอายุเก่าแก่มากขึ้นเป็น 7,500-8,300 ปีเลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอเพราะเมื่อเจาะลงไปราวๆ 15 เมตรนักวิทยาศาสตร์ก็พบกับชั้นที่สามซึ่งมีอายุมากกว่า…
-
ย้อนรอย “คาร์ล แทนสเลอร์” นายแพทย์ผู้หลงรักคนไข้ จนอาศัยอยู่กับศพของเธอถึง 7 ปี
ว่ากันว่าความรักนั้นเกิดขึ้นได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นเรื่องยากที่คนเราจะทำให้ปล่อยให้ความรักนั้นจากไป ดังนั้นในบางครั้งคนเราจึงมักทำอะไรที่ดูประหลาดเพื่อความรัก ซึ่งบางครั้งมันก็ประหลาดเกินไป นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1931 เมื่อ “คาร์ล แทนสเลอร์” นายแพทย์ชาวเยอรมนี ผู้ทำงานเป็นนักรังสีวิทยาในรัฐฟลอริดา เกิดหลงรักคนไข้หญิงคนหนึ่งในโรงพยาบาลเข้า เธอคือหญิงสาวชาวคิวบา-อเมริกันวัย 22 ปีนามว่า “มาเรีย เอเลนา มิราโก เดอ โฮยอส” ผู้ซึ่งถูกส่งเข้ามายังโรงพยาบาลแห่งนี้จากอาการวัณโรคชนิดรุนแรง ทันทีที่ได้เห็นหญิงสาว คาร์ลก็ตกหลุมรักเธอทันที โดยบอกว่าเธอนั้นเป็นเหมือนหญิงสาวในฝันไม่มีผิด ทำให้เขาพยายามเป็นอย่างมากที่จะรักษาเธอ นอกจากนี้เขายังเคยส่งของขวัญให้เธออยู่หลายครั้ง และถึงกับบอกรักหญิงสาวมาแล้วด้วย โชคร้ายที่ในสมัยนั้นวัณโรคนับเป็นโรคที่รักษาได้ยากมาก ทำให้ในที่สุดเอเลนาก็เสียชีวิตไปหลังจากที่พวกเขาพบกันได้ไม่กี่เดือน พร้อมๆ กับความเศร้าเสียใจของคาร์ล แต่แทนที่นี่จะเป็นจุดจบของความรัก คาร์ลกลับไม่ยอมแพ้แต่โดยดี เพราะเขานั้นถึงกับซื้อสุสานอย่างดีให้กับเอเลนา (โดยได้รับคำอนุญาตจากพ่อแม่ของเธอแล้ว) และมาหาเธอแทบทุกคืนราวกับเธอยังมีชีวิตอยู่ แถมความรักในศพของคาร์ลก็ยังคงไม่มีวี่แววว่าจะลดลงเลยด้วย เพราะต่อให้วันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ไม่หยุดที่จะมาหาเธอ จนถึงขั้นที่ว่าในปี 1933 เขาถึงกับขโมยศพของเอเลนาไปไว้ที่บ้านเลยทีเดียว จริงอยู่ว่าเอเลนาจะเสียชีวิตมากกว่า 2 ปี แล้ว แต่ศพของเธอก็ได้รับการดูแลและซ่อมแซมเป็นอย่างดีโดยคาร์ล โดยมีการใช้ลวดและไม้แขวนประกอบกระดูก ใส่ตาปลอมให้ ไปจนถึงการเย็บศพ และฉาบปูนในบางแห่งเลย …
-
นักโบราณคดีเผย การขุดค้นสุสานขนาดใหญ่ ซึ่งถูกท่วมไปด้วย “ซุปมัมมี่” ในประเทศอียิปต์
เป็นเรื่องที่รู้กันว่าในช่วงปีที่ผ่านมา ประเทศอียิปต์ได้มีการค้นพบสุสานโบราณที่มีสภาพสมบูรณ์มากๆ อยู่หลายแห่ง จนทำให้หลายๆ คนติดภาพลักษณ์ว่าโบราณสถานที่ถูกพบในอียิปต์จะอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เสมอๆ ไป แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น เพราะล่าสุด เมื่อวันที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา นักโบราณคดีก็ได้ออกมาเปิดเผยข่าวการขุดค้นสุสานขนาดใหญ่ซึ่งถูกน้ำท่วมแห่งหนึ่งที่เหมืองหินใกล้ๆ แม่น้ำไนล์ ในประเทศอียิปต์ ที่จริงแล้วสุสานแห่งนี้ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี 2016 แต่การขุดค้นกลับเป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากตัวสุสานหลายส่วนได้ถูกน้ำขังมาเป็นเวลานาน และผสมกับซากศพข้างใน จนกลายเป็นสิ่งที่นักโบราณคดีเรียกกันเล่นๆ ว่า “ซุปมัมมี่” น้ำที่ขังอยู่นั้นขุ่นมากจนมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใต้เลย นักโบราณคดีจึงต้องให้เวลาในการสูบน้ำออกจนอยู่ในระดับที่พวกเขาจะเดินลุยเข้าไปได้ เพื่อที่จะสำรวจสุสานต่อไป จากการตรวจสอบอายุของสุสานแห่งนี้ นักโบราณคดีก็ได้ออกมาบอกว่านี่เป็นสุสานที่มีการใช้งานในช่วงราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์ หรือราวๆ 3,550 ปีก่อน ซึ่งมีความใกล้เคียงกับอายุของเหมืองหินใกล้ๆ โดยในสุสานมีแบ่งได้เป็นห้องใหญ่ๆ สองห้อง แต่ในปัจจุบันเหล่านักโบราณคดียังสามารถเข้าไปตรวจสอบห้องได้เพียงห้องเดียวเท่านั้น แต่เพียงแค่ห้องหนึ่งห้องที่สามารถเขาไปได้ นักโบราณคดีก็พบโลงศพหินกับโครงกระดูกรวมกว่า 50 ร่าง โดย 1 ใน 3 โครงกระดูกที่พบ เป็นของเด็กเล็ก และทารกแรกเกิด ส่วนสาเหตุที่สุสานแห่งนี้โดนน้ำท่วมนั้น มีความเป็นไปได้สูงที่ว่าจะเกิดจากความผิดพลาดในการปล้นสุสานของโจรในอดีต…
-
ย้อนรอยองค์กร “Kinderstransport” ที่ช่วยเหลือเด็กชาวยิวไว้ร่วม 10,000 คน
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 1938 ในวันนั้นที่เยอรมนีได้เกิดเหตุการณ์ “คริสทัลล์นัคท์” หรือ “คืนกระจกแตก” เป็นเหตุการณ์การสังหารหมู่ชาวยิวที่น่ากลัวที่สุดครั้งหนึ่งก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความไม่สบายใจให้กับชาวอังกฤษที่ได้ยินข่าวเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงได้มีการจัดตั้งองค์กรที่จะช่วยเหลือชาวยิวในเยอรมนี โปแลนด์ เชโกสโลวาเกีย และออสเตรียขึ้น แต่ด้วยความกลัวในการถูกคนต่างด้าวแย่งงานในสมัยนั้น องค์กรที่ว่านี้จึงได้รับอนุญาตให้ช่วยแต่เด็กที่อายุต่ำกว่า 17 ปีเท่านั้นไป โครงการที่เกิดขึ้นนี้ เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า “Kinderstransport” (ซึ่งแปลตรงๆ ว่าการขนส่งเด็ก) และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากคนในประเทศ จนทำให้มีคนเข้าร่วมองค์กรนี้เป็นจำนวนมาก โดยหนึ่งในนั้นคือ นิโคลัส วินสตันผู้ช่วยชีวิตเด็กชาวยิวกว่า 669 คน แน่นอนว่าการออกช่วยเหลือเด็กชาวยิวนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในเวลาที่นาซีเป็นใหญ่ เพราะพวกเขานั้นต้องมีปัญหากับทางนาซีอยู่บ่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ช่วยเด็กๆ ไปเกือบ 10,000 คนเลยทีเดียว เด็กๆ ในโปแลนด์ เดินทางมาถึง กรุงลอนดอน น่าเสียดายที่ด้วยกฎขององค์กร Kinderstransport จึงไม่อาจช่วยพ่อแม่ของเด็กเอาไว้ได้ ทำให้บ่อยครั้งพวกเขาก็ต้องทนดูเด็กๆ ถูกแยกทางออกจากพ่อแม่ ซึ่งหลายๆ คนก็ไม่ได้เจอพ่อแม่อีกเลย แต่ถึงแม้จะหนีจากเยอรมนีมาได้แล้วก็ตาม ชีวิตของเด็กๆ ชาวยิวก็ใช่ว่าจะสบาย เพราะพวกเขาจะต้องเข้ามาใช้ชีวิตในประเทศที่ไม่รู้จักโดยไม่มีพ่อแม่ และเด็กๆ หลายคนก็ยังไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ด้วย…
-
“The Oldest Gentleman” ชุดดำน้ำที่เก่าแก่ที่สุดจากศตวรรษที่ 18 ทำขึ้นจากหนังและไม้
หากใครยังไม่ได้ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Raahe Museum ในประเทศฟินแลนด์แล้วล่ะก็ ต้องบอกเลยว่าไอเทมเด็ดของที่นั่นก็คือเจ้า “The Old Gentleman” หรือชุดนักดำน้ำที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมายังไงล่ะ ชุดดำน้ำ หรือ ชุดประดาน้ำ ดังกล่าวถูกทำขึ้นราวๆ ศตวรรษที่ 18 ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็ได้รับชุดดำน้ำชิ้นนี้มาจากการบริจาคของกัปตัน Leufstadius ในช่วงปี 1860 ผู้ที่สร้างชุดนี้ขึ้นมานั้นนับได้ว่ามีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการดำน้ำที่ล้ำหน้ามากเมื่อเทียบกับยุคสมัย เจ้าชุด The Oldest Gentleman จึงกลายเป็นชุดเต็มตัวสำหรับสวมดำน้ำแทน Diving Bell อุปกรณ์ครอบดำน้ำแบบดั้งเดิม วิธีการสวมใส่ก็คือ ผู้สวมใส่จะแทรกตัวเข้าไปในชุดนี้ทางช่องด้านหน้า แล้วก็ทำการปิดช่องให้แน่นแล้วม้วนเก็บติดกับเข็มขัด ส่วนอากาศหายใจนั้นจะถูกส่งผ่านท่อไม้ที่เชื่อส่วนศีรษะเอาไว้ ส่วนอากาศที่หายใจออกมาแล้วจะถูกปล่อยทิ้งทางท่อเล็กๆ ด้านหลังของชุด ชุดนี้ทำให้ผู้ดำน้ำสามารถดำดิ่งลงไปในใต้น้ำเป็นระยะเวลาสั้นๆ และดำลงไปได้ไม่ลึกเท่าใดนัก เนื่องจากชุดไม่ได้กันน้ำอย่างสมบูรณ์และไม่สามารถทนต่อแรงดันสูงได้ ชุดนี้จึงมีประโยชน์มากสำหรับลูกเรือที่จะดำน้ำลงไปตรวจใต้ท้องเรือโดยที่ไม่ต้องเทียบท่าและพลิกลำเรือขึ้น วิเคราะห์จากลักษณะการสร้างและหลักฐานอื่นๆ เชื่อกันว่าชุด The Oldest Gentleman นี้มีต้นกำเนิดจากประเทศฟินแลนด์ แต่นี่ก็เป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้น . . . . . ที่มา: designyoutrust และ museum-of-artifacts
-
ชมการนำ “ภาพถ่าย” ไปใส่บนเสื้อผ้าของยุค 40 ชุดพิมพ์ลายยุคแรกๆ มันเป็นแบบไหนกันนะ
ในช่วงยุค 40 คนเราพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดของการถ่ายภาพให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำให้ในสมัยนั้นมีการพัฒนาเทคโนโลยีการถ่ายภาพไปในทิศทางแปลกๆ ออกมามากมาย และหนึ่งในเทคโนโลยีเหล่านั้น ก็คือการนำ “ภาพถ่าย” ไปใส่บนเสื้อผ้า ซึ่งทำได้โดยการใช้น้ำหมึกแบบพิเศษที่ทำให้ใยผ้าไวต่อแสง ก่อนจะยิงภาพที่ต้องการลงไป จนกลายเป็นผืนผ้าที่มีรูปถ่ายติดอยู่ สินค้าใหม่ที่ออกมาก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากสำหรับผู้คนในสมัยนั้น จนเกิดเป็นยุคที่ชุดพิมพ์ภาพบูมสุดๆ อย่างที่เห็นได้ข้างล่างนี้ เริ่มกันจากชุดที่มีหน้าตัวเองติดอยู่รอบๆ ผ้าคลุมไหล่รูปน้องหมาคู่ใจ เสื้อรูปกุหลาบก็แจ๋ว พิมพ์ไปบนโคมไฟเลยก็ได้ คิดถึงแฟนก็พิมพ์ภาพลงหมอนเสียเลย ดูให้ดีๆ ไม่ใช่เสาไฟจริงๆ นะเออ ลายสวยดีนะลูกพี่ เป็นลายกระเป๋าก็เก๋ ผ้าม่านที่บ้านก็ลายนี้เลยเหมือนกัน ดูลายภาพปูโต๊ะเสียก่อน เก้าอี้ของนายทาส ต้องมีลายประดับที่สมศักดิ์ศรีสิ ขั้นตอนการกำหนดตำแหน่งลายบนผ้าด้วยมือ การขนย้ายผ้าที่พิมพ์รูปเสร็จแล้ว การฉายแสงเพื่อให้ลายบนรูปติดไปบนเนื้อผ้า เครื่องจักรที่ใช้ในกลไกการผลิต และผ้าที่เพิ่งผ่านการพิมพ์รูปใหม่ๆ ที่มา vintag และ time
-
ย้อนรอย “อิเรสึมิ” รอยสักของญี่ปุ่น ที่มีประวัติยาวนานมากกว่าเพียงสัญลักษณ์ของแก๊งยากูซ่า
หากพูดถึงการสักทั้งตัวแบบญี่ปุ่นหรือ “อิเรสึมิ” เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะคิดถึงรอยสักของแก๊งยากูซ่าขึ้นมาเป็นอย่างแรก ว่าแต่ทราบกันไหมว่า ยังมีเรื่องราวอีกมากมายเกี่ยวกับ “อิเรซึมึ” ที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อน หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับการสักที่มีการค้นพบในญี่ปุ่นนั้น มีมาตั้งแต่เมื่อ 12,000 ปีก่อนเลยทีเดียว เพราะแม้แต่ซากศพของคนจากยุคหินเก่าของญี่ปุ่น (10,000 ปีก่อนคริสตกาล) เราก็พบร่องรอยของการทาตัวด้วยน้ำหมึก แถมหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับการสักของคนญี่ปุ่นเอง ก็มีบันทึกไว้โดยชาวจีนเมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาลเช่นกัน เท่านั้นยังไม่พอ เพราะดูเหมือนว่าในสมัยก่อน ชาวไอนูที่อาศัยอยู่ที่ฮอกไกโดก็เชื่อว่าการสักนั้นสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้เช่นกัน อย่างผู้หญิงเองก็มักจะสักที่ริมผีปาก ตามความเชื่อที่ว่าจะสามารถช่วยป้องกันอันตรายในยามราตรีได้ ลักษณะการสักของผู้หญิงชาวไอนู เรื่องเหล่านี้ทำให้การสักกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน แต่หากถามว่าทำไมในปัจจุบันอิเรสึมิจึงมักไปเกี่ยวข้องกับยากูซ่าได้ คำตอบนั้นก็จะอยู่ในยุคเมจิ (1868-1912) นั่นเอง จริงอยู่ว่าก่อนหน้านั้นไม่นาน ในช่วยุคเอโดะ (1600-1868) อิเรสึมิจะเป็นสัญลักษณ์ของงานศิลป์และความงามจนทำให้มีคนสักทั่วร่างกายเต็มไปหมด แต่พอจบช่วงนั้นยุคสมัยก็เปลี่ยนไปแบบหน้ามือหลังมือ เพราะในช่วงเปลี่ยนผ่านศตวรรษ รัฐบาลญี่ปุ่นอยากจะให้ประเทศมีความเป็นสากลมากขึ้น พวกเขาจึงได้ห้ามการสักในรูปแบบนี้ไป การเปลี่ยนกฎหมายในครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะแม้ว่าในสมัยก่อนประเทศญี่ปุ่นจะเคยมีการสักอาชญากรเพื่อชี้ตัวผู้เคยกระทำผิดก็ตาม แต่ในยุคเมจิ ใครก็ตามที่มีรอยสักจะถูกมองว่าเป็นอาชญากรทั้งสิ้น แต่แทนที่จะทำให้รอยสักลดลงเพียงอย่างเดียว ด้วยความที่คนญี่ปุ่นนับถือในวัฒนธรรมของตนเองมาก บวกกับยุคก่อนมีคนสักเยอะ ก็ทำให้มีคนจำนวนมากไม่พอใจกับกฎหมายนี้ เพราะตัวเองโดนหาว่าเป็นคนไม่ดีไปด้วย…
-
นักโบราณคดีพบมัมมี่ที่มีความสมบูรณ์จำนวนมาก ในสุสานสองแห่งของเมืองลักซอร์
ปีนี้นับว่าเป็นปีทองของการค้นพบที่อียิปต์จริงๆ เพราะในปีนี้ได้มีการค้นพบโบราณวัตถุ เป็นจำนวนมากตลอดช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา และเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เอง นักโบราณคดีก็ได้พบกับเรื่องราวที่น่าสนใจอีกครั้ง เมื่อมีการค้นพบมัมมี่ที่สมบูรณ์มากๆ หลายร่างในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ภายในสุสานบนพื้นที่ของเมืองลักซอร์ แหล่งโบราณสถานลักซอร์ เชื่อกันว่าในอดีตเคยมีสุสานขนาดใหญ่อยู่ มัมมี่ที่ถูกค้นพบนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่กลุ่มที่ขุดขึ้นมาจากสุสาน “TT33” ที่มีการขุดค้นกันมาอย่างยาวนานแล้ว และกลุ่มที่ขุดขึ้นมาจากสุสาน “TT28” ที่เพิ่งมีการขุดค้นได้ไม่นาน แน่นอนว่าการค้นพบมัมมี่จำนวนมากแบบนี้ ย่อมทำให้มีมัมมี่อยู่ด้วยกันหลากหลายรูปแบบ และมีระดับความสมบูรณ์ที่ต่างกันไป อย่างไรก็ตามมัมมี่ที่น่าสนใจที่ถูกพบใน สุสาน TT33 ได้แก่ มัมมี่ของหญิงสาวที่ชื่อว่า “Pouyou” ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในสมัยของราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์ (ราวๆ 1550-1295 ปีก่อนคริสตกาล) การเปิดโลงศพของ Pouyou เกิดขึ้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2018 มัมมี่หลายร่าง ที่คาดว่ามาจากครอบครัวขนาดใหญ่ครอบครัวเดียว ซึ่งถูกฝังอยู่นอกโลงศพหิน และอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับมัมมี่ของ Pouyou และมัมมี่ของบุคคลผู้ที่ไม่มีทั้งชื่อและที่มา แต่คาดว่ามาจากยุคสมัยของราชวงศ์ที่ 17 ของอียิปต์ (ราวๆ 1580-1550 ปีก่อนคริสตกาล) ในสมัยที่ชาวเอเชียตะวันตกเข้ามาครอบครองประเทศอียิปต์ มัมมี่ไร้นามจากสุสาน TT33…
-
นักภาษาศาสตร์ สร้างภาพยนตร์ภาษาบาบิโลนเรื่องแรกของโลก หวังคืนชีพภาษาที่ตายไปแล้ว
เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าในมนุษย์เรามีภาษาที่ตายไปแล้วอยู่หลายภาษา โดยหนึ่งในนั้นคือภาษาบาบิโลนโบราณ ที่ไม่มีใครใช้มาเป็นเวลาร่วม 2,000 ปี ว่าแต่จะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนพยายาม “คืนชีพ” ให้กับภาษาที่ตายไปแล้ว? เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้มีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์คนหนึ่ง ออกมาจัดโครงการที่จะคืนชีพภาษาพูดของบาบิโลนขึ้นมา โดยแนวคิดสุดแปลกแหวกแนวนี้ เริ่มต้นมาจากการที่ ดร.มาร์ติน วอชิงตัน และนักเรียนของเขาจำนวนหนึ่งได้เรียนรู้ภาษาบาบิโลนโบราณ และหลงใหลในเสน่ห์ของภาษาโบราณเหล่านั้น ดังนั้น พวกเขาจึงได้ตัดสินใจที่จะร่วมมือกันทำภาพยนตร์เรื่องแรกของโลก ที่มีการใช้ภาษาบาบิโลนขึ้น จากการรายงานของสื่อต่างประเทศ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะใช้นิทานพื้นบ้านที่ถูกบันทึกไว้ในแผ่นจารึกดินเหนียวเมื่อ 701 ปีก่อนคริสตกาลเป็นเนื้อเรื่องหลัก และมีชื่อว่า “The Poor Man of Nippur” (คนจนแห่งเมืองนิปปูร์) The Poor Man of Nippur สามารถรับชมได้จากช่อง Cambridge Archaeology หรือที่ข้างล่างนี้ โดยนี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนเลี้ยงแพะคนหนึ่ง ที่ล้างแค้นเจ้าเมืองที่ฆ่าแพะของเขาด้วยการทำลายเจ้าเมืองสามครั้ง แน่นอนว่าคำพูดของตัวละครทั้งหมดในเรื่อง จะถูกถ่ายทอดออกมาในภาษาบาบิโลนทั้งหมด โดยจะมีการให้คำบรรยายเป็นภาษาต่างๆ กว่า 17 ภาษาทั่วโลก (น่าเสียดายที่ยังไม่มีภาษาไทย) …
-
22 บุคคลในสมัยก่อนที่ไม่รู้ทำไม ถึงมีหน้าตาไปเหมือนเหล่าดาราคนดังในปัจจุบันได้ขนาดนี้
เคยมีคนกล่าวไว้ว่าบนโลกใบนี้จะมีคนที่หน้าตาเหมือนกับเราอยู่อย่างน้อย 2 คน ดังนั้นการที่คนดังจะมีคนที่หน้าตาเหมือนกันอยู่บ้างจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกเท่าไหร่ แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากคนที่หน้าเหมือนดาราเหล่านั้น กลับเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในอดีตแทนล่ะ เรื่องราวความเหมือนเหล่านั้น มันจะน่าสนใจมากขนาดไหนกัน เพราะในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 22 บุคคลในสมัยก่อนที่ไม่รู้ทำไมถึงมีหน้าตาไปเหมือนเหล่าดาราคนดังในปัจจุบันได้ขนาดนี้ เริ่มกันจาก Joseph Stalin ในวัยหนุ่มที่ไม่รู้ทำไม หน้าคล้ายกับ Zayn Malik ที่เป็นอดีตสมาชิกวง One Direction แบบสุดๆ นักแสดงหญิง Hedy Lamarr จากปี 1942 กับ Rose McGowan กลับชาติมาเกิดเรอะ ชายไร้นามจากสมัยก่อนกับดาราคอมเมดี้ Eddie Murphy Zubaida Tharwat ดาราชาวอียิปต์ที่เกิดในปี 1940 กับ Jennifer Lawrence ชายไม่ทราบนามกับ Matthew McConaughey น่าเสียดายหนวดไม่เหมือน Ilya Ilyich Mechnikov นักภูมิคุ้มกันศาสตร์ของรัสเซีย กับ Robin Williams…
-
เชื่อหรือไม่ “ทฤษฎีอะตอม” เคยมีการพูดถึงมาแล้วเมื่อ 2,600 ปีก่อน โดยนักปราชญ์ที่อินเดีย
เมื่อพูดถึงทฤษฎีอะตอมเชื่อว่าหลายๆ คนคงจะนึกถึงชื่อของจอห์น ดาลตันขึ้นมาเป็นชื่อแรก เพราะเขาคือนักเคมีและฟิสิกส์ผู้ที่มีชื่อเสียงจากการเป็นผู้ริเริ่มทฤษฎีอะตอมนั่นเอง ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในความเป็นจริงทฤษฎีอะตอมมีมานานกว่าที่เราคิดเยอะ เพราะในสมัยกรีกโบราณเอง “ดิมอคริตัส” (มีชีวิตอยู่เมื่อราว 460-370 ปีก่อนคริสตกาล) ก็เคยมีการพูดถึงทฤษฎีอะตอมมาแล้ว ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าดิมอคริตัสเองก็อาจจะไม่ใช่ชายคนแรกที่พูดถึงทฤษฎีอะตอม เพราะหากย้อนไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ก็มีความเป็นไปได้ที่ว่ามีชายคนหนึ่งเคยคิดทฤษฎีเกี่ยวกับอะตอมขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ชายคนนั้นคือนักปราชญ์ (และนักปรัชญา) ชาวอินเดียที่ถูกเรียกว่า “อจารยา คานาต” (Acharya Kanad ในภาษาอังกฤษ และ कणाद ในภาษาสันสกฤต) ไม่มีใครทราบว่าจริงๆ แล้ว คานาตมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาไหนกันแน่ แต่เชื่อกันว่าเขาเกิดเมื่อช่วง 200-600 ปีก่อนคริสตกาล (ซึ่งหมายความว่ามีความเป็นไปได้ว่าเขาจะเกิดหลังดิมอคริตัสเช่นกัน) และมีชื่อเดิมว่ากัสสปะ เขาเป็นคนที่สนใจในของสิ่งเล็กๆ มาก เลยเริ่มเก็บเมล็ดข้าวจากถนน จนกลายเป็นที่สนใจของคนที่ผ่านไปมามาก และเมื่อถูกถามว่าเขาเก็บเมล็ดข้าวที่ตกบนถนนไปทำไม เจ้าตัวก็บอกว่าเมล็ดข้าวนั้นแม้จะเล็กและดูไร้ค่า แต่ถ้านำมารวมกันก็จะกลายเป็นอาหารมื้อหนึ่งได้เลย การกระทำนี้เองที่ทำให้เขาได้รับชื่อ อจารยา คานาต (แปลว่า “อาจารย์ของสิ่งเล็กๆ”) ความชอบในสิ่งเล็กๆ ของคานาต ทำให้วันหนึ่งเขาแบ่งอาหารที่มีเป็นหน่วยที่เล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง…
-
พบสุสานอียิปต์อายุกว่า 4,400 ปี พร้อมช่องลับ 5 แห่งที่อาจนำไปสู่โลงศพของนักบวชชั้นสูง
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา ได้มีประกาศจากกระทรวงโบราณวัตถุของประเทศอียิปต์ เกี่ยวกับการค้นพบสุสานโบราณอายุร่วม 4,400 ปีที่นครโบราณซัคคาร่า ทางตอนเหนือของประเทศอียิปต์ โดยนี่เป็นสุสานสองชั้นที่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นให้แก่ “Wahtye” ชายผู้เป็น “ผู้ตรวจสอบของพระเจ้า” นักบวชระดับสูงที่มีชีวิตอยู่ในสมัยฟาโรห์เนเฟอร์อิร์คาเร แห่งราชวงศ์ที่ห้าของอียิปต์ (ครองราชย์ช่วง 2446–2438 ปีก่อนคริสตกาล) จากคำบอกเล่าของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโบราณวัตถุอียิปต์ สุสานโบราณที่พบนั้นมีสภาพที่สมบูรณ์มาก และเต็มไปด้วยประติมากรรมมากมายจากในสมัยก่อน สุสานโบราณแห่งนี้มีรูปปั้นเก่าแก่มากถึง 55 ชิ้นอยู่ภายใน โดยมีรูปปั้นอยู่ 31 ชิ้นอยู่ที่ชั้นล่างของสุสาน และอีก 24 ชิ้นอยู่ที่ชั้นบน ซึ่งทั้งหมดเป็นรูปปั้นของมนุษย์และเทพ ที่มีส่วนสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 1 เมตร นอกจากนี้ในสุสานยังมีตัวอักษรเฮียโรกลีฟิคที่กล่าวถึงมารดาและภรรยาของตัวนักบวชเองอีกด้วย โดยมารดาของ Wahtye นั้นชื่อ “Merit Meen” ซึ่งแปลว่า ผู้เป็นที่รักของเทพมิน เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ (และเรื่องเพศ) ของอียิปต์ อย่างไรก็ตามเรื่องที่น่าสนใจที่สุดของการค้นพบสุสานในครั้งนี้น่าจะเป็นการค้นพบช่องขนาดเล็กที่มีลักษณะคล้ายปล่องจำนวนห้าแห่งภายในสุสานมากกว่า เพราะจากคำบอกเล่าของนักโบราณคดีผู้ทำการขุดค้น หนึ่งในปล่องที่พบนี้ มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นทางลับที่นำไปสู่โลงศพที่เก็บร่างของ Wahtye และวัตถุโบราณอื่นๆ ต่อไปนั่นเอง …
-
เปิดตำนาน “โดโมวอย” ผีบ้านผีเรือนของชาวสลาฟ เจ้านายแห่งบ้านที่จะคอยดูแลคุณ
เมื่อพูดถึงเรื่องของผีบ้านผีเรือน แต่ละประเทศในโลกก็อาจจะมีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ต่างๆ กันไป แต่หากลองไปถามชาวสลาฟที่อยู่ทางยุโรปแล้ว พวกเขาก็คงจะนึกถึง “โดโมวอย” ก่อนเป็นอย่างแรก โดโมวอย (Domovoi) เป็นคำซึ่งมีที่มาจากคำว่า “Dom” ที่แปลว่าบ้าน และสามารถแปลแบบตรงๆ ได้ว่า “เจ้านายแห่งบ้าน” เลยนั่นเอง โดยเจ้าโดโมวอย ตามความเชื่อของชาวสลาฟมักจะถูกมองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก รูปร่างคล้ายผู้ชาย หรือสัตว์ที่มีขนและหนวดยาวมีเทา ซึ่งสามารถแปลงกายเป็นบรรพบุรุษ เจ้าของบ้านจริงๆ หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงในบ้านได้ ว่ากันว่าโดโมวอยมักจะหลบจากสายตาของมนุษย์อยู่เสมอๆ และจะอาศัยอยู่ตามมุมมืดของบ้าน ทำให้คนมักจะมองไม่เห็นมัน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็สามารถรู้สึกถึงพวกเขาได้ด้วยสื่ออื่นๆ เช่นเสียงเดินหรือเสียงสัตว์เลี้ยงร้องตอนกลางคืนเป็นต้น หน้าที่ของโดโมวอยนั้นใกล้เคียงกับผีบ้านผีเรือนอื่นๆ ของโลกมาก กล่าวคือพวกมันจะคอยปกป้องบ้านให้กับคนที่ดูแลบ้านเป็นอย่างดี และจะโมโหหากบ้านสกปรกหรือเจ้าของบ้านไม่เคารพต่อโดโมวอย ว่ากันว่าบ้านที่ทำโดโมวอยโกรธจะต้องพบกับโชคร้าย ไม่ว่าจะเป็นการที่จู่ๆ ข้าวของก็ตกลงมาแตก ของสำคัญหายไปอย่างลึกลับ หรือแม้กระทั่งอุบัติเหตุภายในตัวบ้านเอง กลับกันหากโดโมวอยชอบใครในบ้าน บ้านหลังนั้นๆ ก็จะพบกับโชคดีเช่นกัน กฎการอยู่ร่วมกับโดโมวอยและทำให้พวกมันชอบนั้นมีอยู่หลายอย่าง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมด โดยคร่าวๆ แล้วเจ้าของบ้านควรรักษาความสะอาดในบ้าน ไม่ใช้คำพูดไม่สุภาพ ควรจะออกไปข้างนอกบ้าง โดยมีการกล่าวลาโดโมวอยให้เรียบร้อย และมีการเตรียมของเซ่นไหว้เป็นบางครั้ง และหากวันไหนคุณผู้ชายตื่นมาและพบว่าหนวดเคราถูกถัก ก็แสดงว่าคุณเป็นที่รักของโดโมวอยมากเลยนั่นเอง…
-
ย้อนรอยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 กษัตริย์นักรบแห่งอังกฤษ ผู้ที่ว่ากันว่าทำให้คนกลัวจนตายได้เลย
เคยได้ยินเรื่องของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษกันไหม? เขาคือกษัตริย์ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 13-14 และมีชื่อเสียงเรื่องการออกทัพต่อสู้กับชาวเวลส์และสก็อตในสมัยนั้น เอ็ดเวิร์ดที่ 1 เกิดในปี 1239 ที่เวสต์มินสเตอร์ และได้รับการตั้งชื่อตามนักบุญเอ็ดเวิร์ดธรรมสักขี ผู้ซึ่งเป็นที่เคารพของพระเจ้าเฮนรีที่ 3 บิดาของเขา ว่ากันว่าตั้งแต่ตอนเด็ก พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ก็มีชื่อเสียงในด้านความน่ากลัวแล้ว ด้วยความที่เขานั้นสูงถึง 188 เซนติเมตร มีท่าทางหยิ่งผยอง แลดูโหดร้าย และน่าหวาดกลัว จนถึงขั้นที่ว่ามีเรื่องเล่าว่าเขาเคยทำให้คนที่เห็นเขาตายเพราะความกลัวเลยทีเดียว ชื่อเสียงของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 นั้นมาคู่กับสงครามมาตั้งแต่ที่ยังเป็นเจ้าชาย เพราะเขาได้เข้าร่วมทั้งสงครามขุนนางในปี 1264 เรื่อยไปยันสงครามครูเสดครั้งที่ 9 ในปี 1268 เลยทีเดียว พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ฆ่าศัตรูที่พยายามลอบสังหารเขาในระหว่างสงครามครูเสด พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ได้ชื่อเป็นกษัตริย์ในปี 1272 หลังจากที่กษัตริย์เฮนรีที่ 3 เสียชีวิตในตอนที่ เอ็ดเวิร์ดที่ 1 กำลังออกทำสงครามครูเสดในตะวันออกกลางพอดี เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เขาต้องกลับมายังอังกฤษในปี 1274 แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตในสงครามของเขาจบลงแต่อย่างใด นั่นเพราะสิ่งแรกที่เขาทำหลังจากเป็นกษัตริย์อย่างเต็มตัว…
-
รู้หรือไม่ ในสมัยก่อนสหรัฐฯ เคยมีกฎหมายห้ามผู้หญิงใส่ชุดว่ายน้ำที่ไม่เหมาะสมด้วย
ในปัจจุบันความอิสระในการแต่งกายของสหรัฐอเมริกา อาจจะเป็นเรื่องที่เรานึกถึงเป็นสิ่งแรกๆ เมื่อพูดถึงประเทศนี้เลยก็เป็นได้ เพราะคนที่นั่นมีความอิสระในการเลือกเครื่องแต่งกายที่สูงมากๆ ที่หนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่าแม้แต่ที่สหรัฐอเมริกาเอง คนเราก็ไม่ได้มีอิสระในการเลือกเครื่องแต่งกายมาตั้งแต่ต้นหรอกนะ เพราะในสมัยก่อน สหรัฐอเมริกาเองก็เคยมองว่าการใส่ชุดว่ายน้ำวาบหวิวเป็นเรื่องที่ไม่ดีเหมือนกัน หญิงสาวที่ถูกจับเนื่องจากชุดว่ายน้ำสั้นเกินไป นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงต้นยุค 1900 ในยามที่การเผยผิวถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งในสังคม จนถึงขั้นที่ว่าชุดว่ายน้ำของผู้หญิงที่วางขายแทบจะมีแต่ชุดแบบคลุมทั้งตัวเลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอเพราะนอกจากสายตาจากสังคมแล้ว ในบางเมืองของสหรัฐฯ ก็ถึงกับออกกฎหมายห้ามใส่ชุดว่ายน้ำที่ไม่เหมาะสมเลยด้วย โดยในกฎหมายมีการระบุไว้ว่าชุดว่ายน้ำที่เหมาะสมจะต้องเป็น เสื้อวันพีซแขนยาวชิ้นเดียวและต้องมีถุงน่อง ชุดว่ายน้ำในสมัยนั้นก็จะเป็นอะไรประมาณนี้ โดยเมืองที่มีการใช้กฎหมายแบบนี้ก็อย่างเช่นที่ชิคาโก ในรัฐอิลลินอยส์ และแอตแลนติกซิตี ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ (โดยเฉพาะอันหลังมีกฎห้ามไม่ให้ผู้ชายเปลือยท่อนบนที่หาด) อย่างไรก็ตามชุดว่ายน้ำที่ได้รับความนิยมในประเทศ กลับเริ่มมีขนาดหดลงไปตามยุคตามสมัย จากที่เคยคลุมทั้งตัวก็เริ่มเปิดคอ เปิดแขน และส่วนขาเองก็สั้นลงเรื่อยๆ ตามกาลเวลา การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทำให้ในช่วงยุค 20-30 มีผู้หญิงจำนวนมากที่โดนจับบนหาดเนื่องจากใส่ชุดที่สั้นเกินไป (แม้ว่าเทียบกับปัจจุบันจะมิดชิดมากๆ ก็ตาม) เนื่องจากในกฎหมายนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเท่ากับแฟชั่นนั่นเอง การไปเที่ยวชายหาดในสมัยนั้นจึงคล้ายๆ กับการใส่กระโปรงสั้นไปโรงเรียนนิดหน่อย กล่าวคือหากสายตรวจไม่มาก็ดีไป แต่ถ้าวันไหนเจอสายตรวจเข้า พวกเขาก็จะเข้ามาวัดความยาวกันอย่างละเอียดเลย แถมการตรวจที่ว่านี้ยังเรียกได้ว่าเข้มสุดๆ เพราะแค่ชุดสั้นไปนิดเดียวก็จะโดนพาออกไปจากหาดและดำเนินคดีตามกฎหมายทันที ไม่ต้องพูดถึงชุดโชว์สะดือแบบสมัยนี้เลยด้วยซ้ำ นับว่าโชคดีมากที่กระแสอิสระในการเลือกเครื่องแต่งกายแพร่กระจายไปทั่วประเทศเสียก่อน…
-
21 ภาพการปล่อยผีของคนสมัยก่อน ในงานมาร์ดิกราส์แห่งนิวออร์ลีนส์เมื่อปี 1974-1982
เคยได้ยินเรื่องเทศกาลมาร์ดิกราส์กันไหม? นี่เป็นงานฉลองก่อนวันถือศีลอดของศาสนาคริสต์ มีลักษณะต่างๆ กันไปในแต่ละที่ (เช่นที่ซิดนีย์จะเน้นไปที่กลุ่มรักร่วมเพศ) อย่างไรก็ตามหากจะพูดถึงงานมาร์ดิกราส์ที่โด่งดังที่สุด เราก็คงต้องพูดถึงที่นิวออร์ลีนส์เป็นแห่งแรก เพราะสำหรับที่นี่แล้ว เทศกาลนี้เป็นเหมือนกับเทศกาลปล่อยผีเสียไม่มี ถึงขั้นที่ว่าคนจะแต่งตัวแปลกๆ ออกมาเต้นแร้งเต้นกาก็อย่าได้แปลกใจเลย แถมยังมีประวัติกันว่ายาวนานกว่าศตวรรษแล้วด้วย เริ่มสงสัยกันแล้วใช่ไหมล่ะว่างานนี้จะเละกันขนาดไหน ถ้าอยากรู้ก็ลองไปชม 21 ภาพงานมาร์ดิกราส์แห่งนิวออร์ลีนส์เมื่อปี 1974-1982 ต่อไปนี้ดูสิ วันงานมาร์ดิกราส์ มีชื่อเล่นกว่า “วันอังคารอ้วน” เนื่องจากเริ่มงานในวันอังคาร นี่เป็นวันที่คนจะออกมากินดื่มกันอย่างเต็มที่ และทำอะไรห่ามๆ ก่อนที่จะไปถือศีลอดในวันศุกร์ ดังนั้นในวันนี้จะมีคนมากมายออกมาเที่ยวเล่น โดยบางครั้งก็จะใส่หน้ากากเพื่อให้ปลดปล่อยได้เต็มที่ บางที่พวกเขาก็อาจจะแต่งตัวแปลกๆ หรือทำอะไรเพี้ยนๆ อย่างที่ปกติไม่ทำ เรียกได้ว่าคนเมาหลับข้างถนนคือเรื่องธรรมดาไปเลย นี่เป็นวันที่คนสามารถเข้าร่วมได้ทุกเพศทุกวัย แถมยังเปิดโอกาสให้คนผิวสีร่วมสนุกได้อย่างไม่แปลกแยก (ในสมัยที่ยังมีการแบ่งแยกสีผิวอยู่) ดูรอยสักนั่นเสียก่อน เรียกได้ว่าวันปลดปล่อยดีๆ นี่เอง วันนี้เราก็อาจจะเห็นคนหุ่นกลมๆ เยอะหน่อย หรือบางทีก็ทำอะไรเกินดีเกินงามไปบ้าง …
-
ย้อนรอย “กลอเรีย รามิเรซ” หญิงสาวผู้มีร่างกายเป็นพิษร้าย แห่งสหรัฐอเมริกา
เดิมทีแล้ว “กลอเรีย รามิเรซ” เป็นคุณแม่ลูกสองวัย 31 ปี ที่แม้ว่าจะโชคร้ายเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรที่น่าสนใจมากนัก แต่แล้วในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1994 เมื่อเธอถูกทางครอบครัวนำตัวส่งโรงพยาบาล เนื่องจากมีอาการอาเจียนอย่างรุนแรง เรื่องราวของเธอก็กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนไปอย่างไม่น่าเชื่อ ในวันนั้น หลังจากที่ไปถึงโรงพยาบาล รามิเรซก็ถูกนำตัวไปยังห้องฉุกเฉินทันทีเนื่องจากดันโลหิตของเธอต่ำมาก ทั้งๆ ที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ จนต้องมีการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามเรื่องที่ทำให้เธอมีชื่อเสียงขึ้นมาอยู่ที่ เมื่อพยาบาลทำการเจาะเลือดของเธอ จู่ๆ ก็มีกลิ่นแอมโมเนียโชยออกมาจากร่างของเธอ จนส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 6 คนมีอาการวิงเวียน คลื่นไส้ หรือแม้กระทั่งหมดสติ ในยามที่คอยดูแลเธอไป เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความงุนงงให้กับทีมแพทย์เป็นอย่างมาก จนถึงขั้นที่ว่าหลังจากที่รามิเรซเสียชีวิต พวกเขาก็ต้องพิสูจน์ศพกันโดยใส่ชุดป้องกันวัตถุมีพิษเลยทีเดียว กลอเรีย รามิเรซ ได้รับฉายาว่าเป็น “หญิงสาวผู้เป็นพิษ” จากทางหนังสือพิมพ์ที่มาทำข่าวหลังจากนั้น และแม้ว่าจะมีการตรวจสอบร่างของเธอหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครทราบอยู่ดีว่าอะไรกันที่ทำให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมีอาการป่วยได้ เรื่องเดียวที่พวกเขาทราบมาจากคำบอกเล่าของทางพยาบาล ผิวของเธอมีลักษณะเหมือนถูกฉาบด้วยน้ำมัน และในเลือดของเธอมีสารสีขาวปริศนาอยู่เท่านั้น นั่นทำให้ทางทีมสืบสวนของตำรวจ ลงความเห็นว่าอาการของหน้าที่โรงพยาบาลนั้น น่าจะมาจากอุปาทานหมู่ เพราะได้กลิ่นของเลือดเสียมากกว่า อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบร่างของเธอในช่วงหนึ่งเดือนหลังจากที่เธอเสียชีวิต…
-
นักวิทย์ไขปริศนา เหตุ “การกินคน” อายุ 8,000 ปีในโปแลนด์ อาจไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่คิด
ย้อนกลับไปเมื่อหลายทศวรรษก่อน ในช่วงยุค 1950 ได้มีการค้นพบเศษชิ้นส่วนกะโหลกของมนุษย์โบราณที่มีอายุราวๆ 8,000 ปีในโปแลนด์ นี่เป็นเศษชิ้นส่วนกะโหลกของมนุษย์ ที่ถูกพบพร้อมๆ กับเครื่องมือหินเหล็กไฟ ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ว่าเจ้าของกะโหลกจะเคยเป็นนักล่าสัตว์มาก่อน และใกล้ๆ กันนั้นเองยังมีโครงกระดูกของคนที่ถูกเผาจนตายอีกด้วย ร่องรอยที่พบบวกกับรอยแผลบนกะโหลกนี้เอง ทำให้ชายผู้เป็นเจ้าของกะโหลก ถูกเชื่อกันว่าถูกสังหารโดยคนในสมัยนั้น ก่อนที่จะนำร่างไปย่างไฟกินในเวลาต่อมา แต่เมื่อล่าสุดนี้เอง จากการตรวจสอบเศษชิ้นส่วนกะโหลกชิ้นนี้อีกครั้ง นักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบกับความจริงที่น่าสนใจเข้าจนได้ นั่นเพราะชายผู้เป็นเจ้าของชิ้นส่วนกะโหลกชิ้นนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้โดนกินแต่อย่างใด เพราะจากการตรวจสอบเศษชิ้นส่วนกะโหลกอีกครั้ง ดูเหมือนว่าบาดแผลบนกะโหลกที่ก่อนหน้านี้เคยถูกมองว่าเป็นสาเหตุการตายของมนุษย์โบราณคนนี้นั้น แท้จริงแล้วมีร่องรอยการฟื้นตัวอยู่ นั่นหมายความว่าแม้จะได้รับบาดแผลดังกล่าวมา ชายผู้เป็นเจ้าของชิ้นส่วนกะโหลกก็ยังไม่ได้เสียชีวิตแต่อย่างใด แถมยังมีความเป็นไปได้มากที่ว่า เขาจะมีชีวิตต่อไปอีกอย่างน้อยๆ หนึ่งสัปดาห์หลังจากได้บาดแผลมาเลยด้วย การค้นพบนี้ทำให้แนวคิดที่ว่าชายคนดังกล่าวถูกฆ่าเพื่อยังไฟกิน กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีหลักฐานไปโดยปริยาย และสาเหตุการตายของชายคนนี้เองก็กลายเป็นเรื่องที่ต้องมีการตรวจสอบกันอีกครั้งไป ถ้าอย่างนั้นแล้วรอยแผลไฟไหม้บนกระดูกนั้นมาจากไหนกัน? สำหรับเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์เองได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากการเผาศพในพิธีกรรมเสียมากกว่า เพราะในสมัยนั้นเคยมีการค้นพบร่องรอยของการทำพิธีกรรมในงานศพ ทั้งด้วยวิธีการฝังและวิธีการเผามาแล้วนั่นเอง อย่างไรก็ตามข้อสันนิษฐานในส่วนนี้ ยังไม่มีหลักฐานลองรับเท่าที่ควร เนื่องจากโครงกระดูกที่โดนเผานั้น แทบไม่สามารถเก็บหลักฐานทาง DNA ได้เลย จนทางนักวิทยาศาสตร์ไม่อาจฟันธงได้ด้วยซ้ำว่าชายคนนี้แท้จริงแล้วเสียชีวิตเพราะอะไร เรื่องเดียวที่เรารู้ คือเรื่องราวของชายคนนี้เมื่อ 8,000 ปีก่อน มันซับซ้อนกว่าที่เราคิดเอาไว้มากนั่นเอง ที่มา livescience
-
พบหินสลักรูปหัวงูสองก้อนจากยุคหิน เชื่อเคยถูกใช้ในพิธีกรรมเมื่อ 8,300 ปีก่อนคริสตกาล
เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าคนในสมัยก่อนนั้น มีชีวิตอยู่กับความเชื่อและพิธีกรรม ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะมีการค้นพบวัตถุโบราณที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเป็นจำนวนมากตามไปด้วย และเมื่อล่าสุดนี้เองที่ประเทศยูเครน ก็ได้มีการค้นพบวัตถุโบราณที่ใช้ในการทำพิธีอีกครั้งแล้ว โดยในครั้งนี้นักโบราณคดีได้พบกับหินถูกแกะสลักเป็นรูปคล้ายหัวของ “งู” จำนวนสองชิ้น ที่เชื่อกันว่าเคยถูกใช้ในพิธีกรรมเมื่อ 8,300 ปีก่อนคริสตกาลมาแล้วนั่นเอง นี่เป็นหินแกะสลักที่ถูกทำขึ้นอย่างหยาบๆ ตามเทคโนโลยีในยุคหิน ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในช่วงปี 2016 ที่แหล่งโบราณสถาน Kamyana Mohyla I ก่อนจะมีการนำไปตรวจสอบ และเปิดเผยออกมาในภายหลัง จากข้อมูลของการตรวจสอบทางคาร์บอน หินทั้งสองชิ้นนั้นแม้ว่าจะมาจากยุคสมัยหินเช่นเดียวกัน แต่ก็มีอายุที่ต่างกันค่อนข้างมาก โดยก้อนที่เก่าแก่กว่า มาจากช่วง 8,300-7,500 ปีก่อนคริสตกาล ในขณะที่ก้อนที่ใหม่กว่ามาจากช่วง 7,400 ปีก่อนคริสตกาลเท่านั้น หินรูปหัวของงู ก้อนที่เก่าแก่กว่า หินรูปหัวของงู ก้อนที่ใหม่กว่า จากการเปรียบเทียบแล้วก้อนที่เก่าแก่กว่ามีขนาดใหญ่และหนักกว่าอีกก้อน แต่ก็โชคร้ายที่มีร่องรอยความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างการขุดค้น ส่วนก้อนที่ใหม่กว่านั้นมีจุดเด่นที่มีผิวด้านหนึ่งแบน และมีส่วนที่คล้ายกับคอให้เห็นได้อย่างเด่นชัด ในปัจจุบันนักโบราณคดียังไม่ทราบว่าหินทั้งสองก้อนนี้เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมแบบไหน แต่นักโบราณคดีก็เชื่อว่าพิธีกรรมนี้น่าจะได้รับการสืบทอดมาเป็นเวลานานเลยทีเดียว นั่นเพราะในโบราณสถานที่อยู่ใกล้ๆ กันเอง นักโบราณคดีก็เคยมีการค้นพบรูปสลักที่คล้ายกับงูผสมปลามาแล้ว ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกใช้ในพิธีกรรมดังกล่าวในช่วงเวลาหลายปีหลังจากนั้น รูปสลักงูผสมปลาในโบราณสถานที่อยู่ใกล้ๆ และแม้ว่านักโบราณคดีจะยังไม่รู้ว่าชนเผ่าใดกันแน่ที่เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมเหล่านี้ขึ้นมาก็ตาม แต่พวกเขาก็น่าจะเป็นกลุ่มผู้อยู่อาศัยโบราณที่มีอารยธรรมเฉพาะตัวที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว …
-
พบซากจรวดโบราณนับพันลูกที่อินเดีย เชื่อเคยถูกใช้โดยสุลต่านในสงครามเมื่อศตวรรษที่ 18
เมื่อพูดถึงจรวดที่ถูกใช้เป็นอาวุธ เชื่อว่าภาพที่หลายๆ คนคงจะนึกถึงขีปนาวุธสุดทันสมัยก่อนเป็นสิ่งแรก ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่าการใช้อาวุธจำพวกจรวดนั้นมีมานานกว่าที่เราคิด เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีข่าวการค้นพบจรวดที่ยังไม่ระเบิดร่วม 1,000 ลูก ที่คาดว่าเคยมีการใช้งานมาก่อนในช่วงศตวรรษที่ 18 ที่รัฐกรณาฏกะ ทางตอนใต้ของประเทศอินเดียนั่นเอง นี่เป็นจรวดที่เชื่อกันว่าเป็นของสุลต่านทิพัล ผู้ปกครองของอาณาจักรมัยซอร์ ซึ่งมีผลงานเคยต่อสู้กับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษอยู่ช่วงหนึ่ง โดยจรวดที่พบนั้น เป็นจรวดปลอกเหล็กขนาด 30-35 เซนติเมตรที่ถูกบรรจุโพแทสเซียมไนเตรต ถ่าน และผงแมกนีเซียม เอาไว้เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “จรวดมิสโซเรียน” นั่นเอง จรวดมิสโซเรียนนั้น ถือว่าเป็นจรวดปลอกเหล็กรุ่นแรกของโลกที่สามารถนำไปใช้งานในทางทหารได้สำเร็จเลยก็ว่าได้ และแม้ว่ามันจะมีความแม่นยำค่อนข้างต่ำก็ตาม แต่นี่ก็นับว่าเป็นต้นแบบของจรวดที่จะถูกนำไปปรับปรุงต่อเป็นจรวดคองกรีฟในภายหลังโดยทางอังกฤษเช่นกัน จรวดมิสโซเรียนในสภาพสมบูรณ์ โดยนอกจากจรวดมิสโซเรียนร่วม 1,000 ลูกแล้ว นักโบราณคดียังค้นพบ เครื่องมืออื่นๆ ที่คาดว่าน่าจะเคยถูกใช้งานในการผลิต และประกอบจรวดมิสโซเรียนในอดีตอีกด้วย จริงอยู่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการค้นพบหลักฐานการมีอยู่ของจรวดมิสโซเรียน แต่ที่ผ่านๆ มาก็ประเทศอินเดียก็ไม่เคยค้นพบจรวดมิสโซเรียนพร้อมๆ กันเป็นจำนวนมากเท่าครั้งนี้มาก่อน นั่นทำให้พื้นที่ที่มีการค้นพบจรวดในครั้งนี้ ถูกสันนิษฐานว่าน่าจะเคยเป็นป้อมปราการ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตจรวดมิสโซเรียนแห่งหลักของสุลต่านทิพัลเลยนั่นเอง ส่วนตัวของสุลต่านทิพัลเอง แม้ว่าจะสู้รบกับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษอย่างสมศักดิ์ศรีอยู่ช่วงหนึ่งก็ตาม แต่สุดท้ายก็ต้องฝ่ายแพ้ และเสียชีวิตไประหว่างการออกศึกครั้งที่สี่ ทิ้งเอาไว้เพียงชื่อเสียง และอาวุธสุดล้ำสมัยที่เขาคิดขึ้นก็เท่านั้น …
-
15 ภาพถ่ายของ ‘สังคมก้มหน้า’ ที่เกิดขึ้นกับผู้คนในอดีต สมัยที่ “ยังไม่มีสมาร์ตโฟน”
สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เราสามารถหยิบขึ้นมาเล่นอินเทอร์เน็ตและโซเชียลเน็ตเวิร์กได้อย่างรวดเร็ว ได้ถูกสังคมวิจารณ์ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันน้อยลง หลายคนบอกว่าเพราะอุปกรณ์ไฮเทคเหล่านี้นี่แหละทำให้ผู้คนเอาแต่ “ก้มหน้าก้มตา” ไม่ยอมเงยขึ้นมาพูดคุยกัน หรือแม้แต่กระทั่งมองสภาพแวดล้อมรอบข้าง… แต่เราลองย้อนกลับไปชมภาพในอดีต สมัยที่ยังไม่มีสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ต กันบ้างดีกว่า ดูกันหน่อยซิว่าคนเราจะมีปฏิสัมพันธ์กัน แตกต่างจากปัจจุบันหรือเปล่า #1 #2 #3 #4 #5 #6 #7 #8 #9 #10 #11 #12 #13 #14 #15 เท่าที่เห็นจากภาพ ผู้คนในยุคสมัยก่อนส่วนมากก็ดูไม่ต่างจากสังคมก้มหน้าในปัจจุบัน เพียงแค่เปลี่ยนจากสมาร์ตโฟนเป็นหนังสือพิมพ์เท่านั้นเอง คนก็ไม่ยอมสละที่นั่งให้ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอกว่า เพราะตนกำลังมัวแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ บางคนก็เอาแต่อ่านหนังสือพิมพ์ที่ถืออยู่ในมือจนไม่ได้สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบข้าง แต่ถึงอย่างไร ภาพถ่ายทั้ง 15 ภาพนี้ก็ไม่สามารถตัดสินผู้คนในยุคนั้นได้ทั้งหมด เพราะสังคมของแต่ละยุคสมัยก็จะมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไปเนื่องจากหลายๆ…
-
รู้หรือไม่ “หลุมดำ” ไม่ได้เพียงแค่ดูดกลืนทุกสิ่งเท่านั้น แต่ยังเอามาใช้นำทางยานอวกาศได้ด้วย
เคยลองคิดกันดูไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากยานอวกาศที่เรานั่งหลงทางอยู่ในห้องอวกาศ ในเวลาแบบนั้นเราจะสามารถใช้อะไรมาช่วยในการนำทางกัน ในเมื่อ GPS ใช้ในอวกาศไม่ได้ แถมดาวเหนือเองก็บอกได้แค่ว่าคุณหันไปทางไหนอยู่เท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่เหล่านักวิทยาศาสตร์คิดถึงกันมาเป็นเวลานานเช่นกัน และสำหรับองค์การอวกาศยุโรป (ESA) แล้ว คำตอบของการนำทางในอวกาศก็อยู่ที่หลุมดำนั่นเอง โดยหลุมดำที่เหมาะสมกับการใช้นำทางที่ว่า คือหลุมดำที่สามารถปลดปล่อยพลังงานเป็นแสงสว่าง หรือที่เรียกว่า “เควซาร์” นั่นเอง เพราะเจ้าวัตถุกลางอวกาศชิ้นนี้นั้น สามารถส่องสว่างได้มากกว่าดาวฤกษ์ทั่วๆ ไป ถึง 1,000 เท่าเลยทีเดียว นั่นทำให้เควซาร์กลายเป็นเหมือนประภาคาร ที่นำทางให้กับยานอวกาศได้เป็นอย่างดี และการนำทางในรูปแบบนี้ ก็ถูกเรียกกันว่า “Delta-Differential One-Way Ranging” หรือ “Delta-DOR” นั่นเอง โดยในระบบ Delta-DOR สัญญาณของยานอวกาศจะถูกรับโดยสถานีบนโลก 2 แห่ง ก่อนที่จะนำไปคำนวณกับเควซาร์ เพื่อหาตำแหน่งที่ชัดเจน และแม่นยำของตัวยานต่อไป การทำงานแบบคราวๆ ของ Delta-DOR และเมื่อที่ได้ตำแหน่งที่ถูกต้องแน่นอนของยานอวกาศแล้ว ทีมนักวิทยาศาสตร์ก็จะทำการส่งข้อมูลกลับไปให้ตัวยาน เพื่อนำตัวยานกลับไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องต่อไปนั่นเอง ที่มา scitechdaily และ newscientist
-
8 อาหารของคนอียิปต์โบราณ ไปดูกันว่าในสมัยก่อน คนอียิปต์ทานอะไรกันในชีวิตประจำวัน
ดินแดนอียิปต์โบราณเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ เพราะไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้าง ประเพณีวัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิต ประเทศอียิปต์ก็เป็นอารยธรรมที่น่าค้นหาอยู่เสมอ ว่าแต่ในระหว่างที่เราค้นหาปริศนาใหญ่ๆ ในอียิปต์อย่างพีระมิดกัน เคยสงสัยในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างคนอียิปต์โบราณเขาทานอะไรกันในชีวิตประจำวันไหม? เพราะนี่คือสิ่งที่เราจะไปชมกันในวันนี้กับ 8 อาหาร ที่คนอียิปต์สมัยก่อนทานกันในชีวิตประจำวัน เริ่มกันจากขนมปัง หาข้อมูลเกี่ยวอาหารในสมัยอียิปต์โบราณ ขนมปังจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่คุณพบ มันเป็นอาหารที่ทานกันในแทบทุกพื้นที่ ไม่ว่าคุณจะเป็นประชาชนหรือฟาโรห์ก็ตามที เบียร์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดนี้ มีการดื่มกันอย่างแพร่หลายในอียิปต์โบราณ จนถึงขั้นที่ว่าเมื่อพูดถึงอาหารของอียิปต์ คนสมัยก่อนจะนึกถึงขนมปังกับเบียร์ขึ้นมาก่อนเลยทีเดียว เนื้อสัตว์ แน่นอนว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ชาวอียิปต์จะมีการล่าสัตว์เป็นอาชีพสำคัญอาชีพหนึ่ง แถมพวกเขายังทานสัตว์แปลกๆ อย่างฮิปโปหรือเนื้อทรายด้วย แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะพวกเขานับถือแมวเป็นพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่าเจ้าเหมียวจะถูกกินแต่อย่างไร เนื้อปลา แน่นอนว่าวิถีชีวิตริมแม่น้ำย่อมมาพร้อมกับการประมงเป็นธรรมดา และแม่น้ำไนลก็มีปลาอยู่เยอะซะด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าทุกคนจะจับปลาได้ฟรีๆ หรอกนะเพราะน่านน้ำส่วนใหญ่มักมีเจ้าของแล้วนั่นเอง ของหวาน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าของหวานเองก็เป็นหนึ่งในเมนูของคนอียิปต์เช่นกัน โดยของหวานเหล่านี้มักมาในรูปแบบ น้ำผึ้ง ลูกเกด หรือไม่ก็ผลไม้แห้งอื่นๆ แต่ใช่ว่าทุกคนจะทานของหวานได้หรอกนะ เพราะนี่นับเป็นสินค้าที่มีราคาอย่างหนึ่งเลยล่ะ เนยและชีส…
-
พบบอร์ดเกมโบราณอายุ 4,000 ปี ที่อาเซอร์ไบจาน เชื่อคนแร่ร่อนเคยใช้เล่นเพื่อฆ่าเวลา
ในปัจจุบันบอร์ดเกมเริ่มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีร้านบอร์ดเกมเปิดขึ้นมาใหม่กันเป็นจำนวนมาก ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าไม่ได้มีแต่คนปัจจุบันหรอกนะที่หลงใหลในบอร์ดเกม เพราะคนโบราณเองก็น่าจะชอบเล่นเกมแบบนี้กันพอสมควรเลย เพราะเมื่อล่าสุดนี้เองที่ ก็ได้มีการค้นพบร่องรอยของการเล่นหนึ่งในบอร์ดเกมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน และมีอายุเก่าแก่ถึงราวๆ 4,000 ปี โดยนี่เป็นร่องรอยของหลุมขนาดเล็ก ที่ถูกเจาะลงไปบนพื้นที่พักอาศัยที่ทำจากหิน และคาดกันว่าน่าจะเป็นเกม “58 Holes” (หรือ “Hounds and Jackals”) บอร์ดเกมที่ชื่อกันว่าถูกคิดค้นขึ้นในอียิปต์เมื่อ 2,200 ปีก่อนคริสตกาล แม้จะไม่มีหลักฐานวิธีการเล่นเกมนี้ถูกบันทึกไว้เป็นรายลักษณ์อักษรก็ตาม แต่นักโบราณคดีก็เชื่อกันว่า เกมนี้น่าจะมีการเล่นคล้ายๆ บันไดงูในปัจจุบันนั่นเอง รูปร่างโดยคร่าวๆ ของ “58 Holes” ดูเหมือนว่าเกมนี้จะถูกเล่นกันในช่วงที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนแร่รอน ซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับการทำปศุสัตว์เป็นหลัก และเป็นช่วงเดียวกับที่เกม 58 Holes แพร่หลายไปในตะวันออกกลางด้วย “นี่เป็นเกมที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาในทุกๆ ที่” วอลเตอร์ คริส นักวิจัยร่วมของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน ในนิวยอร์กกล่าว “จริงอยู่ว่าชิ้นที่เก่าแก่ที่สุดจะอยู่ที่อียิปต์ แต่มันก็มีอายุห่างจากชิ้นที่เพิ่งค้นพบไม่มาก นั่นหมายความว่าเกมนี้แพร่กระจายออกไปเร็วจริงๆ” สถานที่ที่มีการค้นพบบอร์ดเกมในครั้งนี้ การแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วของเกมที่พบนี้เป็นหลักฐานอย่างดีของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในสมัยก่อน และหากนึกถึงการใช้ชีวิตที่น่าจะมีเวลาว่างมากของคนในสมัยนั้นแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่บอร์ดเกมจะกลายเป็นอุปกรณ์ฆ่าเวลาที่ได้รับความนิยมไปนั่นเอง 58…
-
งานวิจัยใหม่ชี้ความเป็นไปได้ โครงกระดูก “Little Foot” อาจเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่
ย้อนกลับไปเมื่อยุค 1990 โลกของเราได้รู้จักกับ “Little Foot” โครงกระดูกมนุษย์โบราณที่ถูกตั้งชื่อตามลักษณะของเท้าที่มีขนาดเล็ก ในแอฟริกาใต้ และเชื่อกันว่าน่าจะเคยมีชีวิตอยู่เมื่อราวๆ 3.67 ล้านปีก่อน ในช่วงแรกๆ ที่มีการค้นพบ Little Foot ถูกจัดไว้ในกลุ่ม “ออสตราโลพิเธคัส เรมิดัส” สายพันธุ์ของมนุษย์ที่มีฟอสซิลเด่นๆ คือ “ป้าลูซี่” ที่เรารู้จักกันอยู่ อย่างไรก็ตามจากข้อมูลของงานวิจัยใหม่ล่าสุดนี้เอง เราก็ได้ทราบกันว่า แท้จริงแล้ว Little Foot อาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มมนุษย์ออสตราโลพิเธคัส เรมิดัส แต่เป็นมนุษย์โบราณสายพันธุ์ใหม่ที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็เป็นได้ เพราะ Little Foot ที่สูงเพียงแค่ 130 เซนติเมตรนั้น แม้ว่าจะมีขาที่ยาวกว่าแขนอันเป็นลักษณะสำคัญที่แยกมนุษย์ออกมาจากลิงก็ตาม แต่เธอกลับมีฟันที่ใหญ่ ใบหน้าที่แบน และช่องว่างระหว่างฟันที่กว้าง นี่เป็นลักษณะฟันของสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหารเพียงอย่างเดียว ซึ่งทำให้ Little Foot ไม่น่าจะเป็นมนุษย์สายพันธุ์เดียวกับ ป้าลูซี่ที่เริ่มมีการกินอาหารที่เป็นทั้งพืชและสัตว์แล้วนั่นเอง เท่านั้นยังไม่พอเพราะจากการวิเคราะห์กระดูกของนักวิทยาศาสตร์แล้ว Little Foot ยังมีความสามารถในการปีนต้นไม้ที่สูงกว่าคนในปัจจุบันมาก ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถถือของได้ดีเท่าคนในปัจจุบันก็ตาม โดย Ronald Clarke นักบรรพมานุษยวิทยาผู้มีส่วนร่วมในงานวิจัยครั้งนี้ ได้เสนอชื่อของเผ่าพันธุ์ใหม่ของ Little…
-
ย้อนรอย 17 มิถุนายน 1939 การประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชนด้วย “กิโยตีน” ครั้งสุดท้าย
เชื่อกันว่าหลายๆ คนคงจะรู้จักเครื่องประหารชีวิตที่ชื่อว่า “กิโยตีน” กันมาบ้าง เพราะนี่เป็นเครื่องประหารที่มีชื่อเสียงที่สุดชิ้นหนึ่งของศตวรรษที่ 18 เลยก็ว่าได้ ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่ากิโยตีนนั้น ถูกใช่เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน? จริงอยู่ว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองจะมีข่าวว่าทางนาซีเอากิโยตีนออกมาประหารคนที่ต่อต้านพวกตนอยู่เป็นพักๆ แต่หากจะพูดถึงการประหารชีวิตอย่างเป็นทางการครั้งสุดท้ายด้วยกิโยตีน เราก็คงต้องพูดถึงคดีของ Eugène Weidmann เท่านั้น โดย Eugène Weidmann เป็นนักลักพาตัว และฆาตกรต่อเนื่องชาวฝรั่งเศส ผู้ต้องหาของคดี สังหารผู้หญิง 2 คน และผู้ชายอีก 4 คนในกรุงปารีส เมื่อปี 1937 Eugène Weidmann ในตอนที่โดนจับ เขาถูกจับได้ในเวลาต่อมา ก่อนที่จะถูกตัดสินให้รับโทษประหารชีวิตในเช้าวันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน 1939 ด้วยกิโยตีน นี่นับว่าเป็นการประหารชีวิตต่อหน้าประชาชนที่ห่างหายไปนานสำหรับชาวฝรั่งเศส ทำให้มีคนมากมายที่ตัดสินใจ เข้ามาชมการประหารชีวิตในครั้งนี้ โดยหนึ่งในนั้นมี “คริสโตเฟอร์ ลี” นักแสดงระดับตำนานที่ในเวลานั้นอายุเพียง 17 ปีด้วย การเตรียมการกิโยตีนที่ใช้ (ซึ่งในภายหลังต้องมีการย้ายที่จัดการประหาร) อย่างไรก็ตามแทนที่การประหารชีวิตในครั้งนี้จะจบลงไปด้วยดี ประชาชนที่มุงดูอยู่กลับทำตัวไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง…
-
พบเครื่องประดับศีรษะเก่าแก่อายุกว่า 50,000 ปีในไซบีเรีย และทำมาจาก “งาช้างแมมมอส”
เป็นเรื่องที่รู้กันว่าคนสมัยก่อนอาจจะเอาพวกซากสัตว์ที่ล่าได้มาทำเป็นเสื้อผ้าหรืออาวุธอย่างที่เห็นกันในเกมหรือภาพยนตร์ ว่าแต่รู้หรือไม่ว่านอกจากเสื้อผ้าและอาวุธแล้ว คนสมัยก่อนยังเอากระดูกสัตว์ไปทำเป็นเครื่องประดับด้วย เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ที่ถ้ำเดนิโซวาน ในไซบีเรีย สถานที่ซึ่งมีการขุดพบหลักฐานการอาศัยอยู่ร่วมกันของมนุษย์โฮโมเซเปียน มนุษย์นีแอนเดอร์ทัล และมนุษย์เดนิโซวานในอดีต ได้มีการค้นพบวัตถุโบราณชิ้นใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง นี่เป็นวัตถุโบราณที่มีรูปร่างคล้ายรัดเกล้า หรือมงกุฎ ที่ทำขึ้นจากงาช้างแมมมอสที่ถูกเจาะปลายทั้งสองเพื่อรอยเชือก และมีอายุมากถึง 50,000 ปี นั่นทำให้รัดเกล้าชิ้นนี้ นับได้ว่าเป็นหนึ่งในเครื่องประดับศีรษะที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบมาในโลกเลยทีเดียว รัดเกล้าที่พบนี้ เชื่อกันว่าทำขึ้นมาโดยมนุษย์เดนิโซวาน ซึ่งเคยมีหลักฐานการทำเครื่องประดับอย่างกำไลข้อมือ หรืออุปกรณ์อย่างเข็มจากงาช้างมาแล้ว และเคยมีการใช้งานมาอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะผุพังไป และถูกนำมาทิ้งยังสถานที่ที่ค้นพบ เป็นไปได้ว่าเดิมทีแล้วรัดเกล้าชิ้นนี้จะเคยมีรูปร่างโค้งมากกว่านี้มาก่อน จากการทำให้โค้งงอด้วยฝีมือผู้สร้าง แต่ก็ยืดตรงขึ้นไปเอง หลังจากที่ถูกนำมาทิ้งไว้ตามกาลเวลา ในเบื้องต้นนักโบราณคดีเชื่อกันว่ารัดเกล้าชิ้นนี้ น่าจะออกแบบมาให้ผู้ชายใช้งาน เนื่องจากขนาดของวัตถุโบราณที่พบนั้นค่อนข้างใหญ่ จนการที่จะใส่มันให้พอดีนั้น จำเป็นจะต้องมีศีรษะที่ใหญ่ตามไปด้วย และแม้ว่ารูปร่างของมันจะคล้ายแผ่นป้องกันศีรษะก็ตาม แต่นักโบราณคดีก็คาดว่าวัตถุชิ้นนี้ ไม่น่าจะเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการต่อสู้เท่าไหร่ ในทางกลับกัน พวกเขาคิดว่านั้นอาจจะเป็นของที่สืบทอดกันในตระกูลของคนสมัยก่อน เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตนของบุคคลพิเศษในสมัยนั้น จริงอยู่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการขุดพบเครื่องประดับที่ทำจากกระดูกของสัตว์ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่มีการค้นพบเครื่องประดับศีรษะที่เก่าแก่ขนาดนี้ในโลก และเป็นตัวอย่างที่ดีของความสามารถในการประดิษฐ์ผลงานของคนสมัยก่อนเลยนั่นเอง ที่มา ancient-origins และ iflscience
-
ถ้วยไลเคอร์กุส โบราณวัตถุอายุ 1,600 ปี หลักฐานการใช้นาโนเทคโนโลยีของชาวโรมันโบราณ
ในปัจจุบันนาโนเทคโนโลยี ได้กลายเป็นหนึ่งส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของพวกเราไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะในทางการแพทย์ หรือตามผลิตภัณฑ์ที่วางขาย เราก็อาจจะเห็นการใช้งานนาโนเทคโนโลยีในนั้นได้ไม่ยากเลย ว่าแต่เพื่อนๆ ทราบรึเปล่าว่าการใช้นาโนเทคโนโลยี ไม่ได้เพิ่งมามีเอาเมื่อสิบกว่าปีก่อนหรอกนะ เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อราวๆ 1,600 ปีก่อน ชาวโรมันโบราณเองก็มีการใช้นาโนเทคโนโลยีกับเขาเหมือนกัน นี่คือถ้วยไลเคอร์กุส เครื่องประดับเก่าแก่ที่ถูกนำมาเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษเมื่อช่วงยุคปี 1950 และมีจุดเด่นไม่เพียงแค่ความงามเท่านั้น แต่หากส่องแสงจากด้านหลัง มันยังสามารถเรื่องแสงเป็นสีแดงได้อีกด้วย ความสามารถของมันนั้นทำให้นักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นถึงกับงงกันเป็นแถว เพราะไม่มีใครทราบได้เลยว่าอะไรกันที่ทำให้ ถ้วยไลเคอร์กุสเปลี่ยนสีได้ด้วยตัวเองแบบนี้ กว่าที่ปริศนาของถ้วยไลเคอร์กุสจะถูกไขให้กระจ่าง มันก็เป็นในปี 1990 เลยทีเดียว เมื่อนักวิทยาศาสตร์ในอังกฤษลองเอาชิ้นส่วนของถ้วยไปส่องกล้องจุลทรรศน์ดู และพบว่าสิ่งที่ทำให้ถ้วยเปลี่ยนสีได้นั่นไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็นนาโนเทคโนโลยีนั่นเอง กล่าวคือภายในถ้วยไปนี้นั้นมีการผสมทองคำ และเงินที่มีขนาดเล็กกว่า 50 นาโนเมตร ลงไปในเนื้อแก้วด้วยนั่นเอง ทำให้เมื่อมีแสงส่องผ่าน โมเลกุลของทองและเงินเกิดการสั่นจนทำให้แก้วเปลี่ยนสีไปอย่างที่เห็น จริงอยู่ว่าการกระทำของชาวโรมันโบราณนี้อาจจะสามารถมองได้ว่าเป็นการเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่นี่ก็นับเป็นความบังเอิญที่แม่นยำได้อย่างสุดๆ เพราะปริมาณของโมเลกุลทองและเงินที่ถูกใช้ไปนั้นออกมาพอดิบพอดีอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนมองว่าชาวโรมันน่าจะมีความรู้ในการควบคุมนาโนเทคโนโลยีในระดับหนึ่ง แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่รู้ตัวก็ตาม หากมีปริมาณโมเลกุลทองต่างกัน สีที่ออกมาก็จะต่างกันไปด้วย และแม้ว่าถ้วยไลเคอร์กุสจะเป็นเพียงของประดับก็ตาม แต่มันก็เป็นก้าวแรกๆ ของมนุษยชาติในการใช้งานนาโนเทคโนโลยีเช่นกัน ที่มา ancient-origins, smithsonianmag และ theguardian
-
“Speculum Alchemiae” ห้องปฏิบัติการเล่นแร่แปรธาตุใต้ดิน ที่ถูกพบเพราะน้ำท่วมกรุงปราก
ในปี 2002 กรุงปรากแห่งสาธารณรัฐเช็ก ได้พบกับเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ทำให้บ้านเรือนพังพินาศจนมีประชาชนกว่า 30,000 คนต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน แต่ก็ราวกับเป็นความโชคดีในโชคร้าย เพราะหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมจบลง ประเทศเช็กเกีย ก็ได้พบกับห้องปฏิบัติการใต้ดินจากศตวรรษที่ 16 ในอาคารหลังหนึ่งเข้าพอดี นี่เป็นห้องปฏิบัติการนี้เชื่อกันว่าเคยถูกใช้ในการเล่นแร่แปรธาตุในสมัยก่อน ซึ่งมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการแปรธาตุอยู่อย่างครบครัน พร้อมกับทางลับที่เชื่อมไปยังสถานที่สำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นปราสาท โรงทหาร หรือแม้กระทั่งศาลากลางจังหวัด แถมนับว่าเป็นความโชคดีมากที่กาลเวลาที่ผ่านไป บวกกับเหตุการณ์น้ำท่วม ไม่ได้ทำลายสถานที่แห่งนี้ไปมากเท่าที่คิด ทำให้เครื่องมือหลายๆ อย่างในที่แห่งนี้ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อย่างมีน่าเชื่อ สถานที่แห่งนี้เชื่อกันว่าน่าจะเคยมีการใช้งานในสมัยของจักรพรรดิโรมันรูดอล์ฟที่สอง (เมื่อช่วงปี 1552-1612) ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการสนับสนุนศิลปะและวิทยาศาสตร์ จนทำให้กรุงปรากกลายเป็นผู้นำทางศิลปะและวิทยาการของยุโรปไปช่วงหนึ่ง ภาพของจักรพรรดิโรมันรูดอล์ฟที่สอง นั่นทำให้เป็นไปได้ว่าห้องปฏิบัติการแห่งนี้ น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น เพราะแม้ในปัจจุบัน การเล่นแร่แปรธาตุจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์ก็ตาม แต่ในอดีตศาสตร์นี้ถูกจัดเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามการแร่แปรธาตุในสมัยนั้นก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่มีความอันตรายสูงอยู่ดี ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รูดอล์ฟที่สองจะจำเป็นต้องสร้างที่นี่ขึ้นมาอย่างลับๆ จนไม่มีใครหาพบเป็นเวลานานอย่างที่เห็น ในปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ได้รับการเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมศาสตร์การแปรธาตุในอดีตภายใต้ชื่อ “Speculum Alchemiae” (แปลตรงๆ ว่า “พิพิธภัณฑ์การแปรธาตุ” เลย) สืบไป…
-
เปิดตำนาน “Samodiva” ภูตสาวสุดสวยของชาวบัลแกเรีย ที่อันตรายกว่าที่เราคิด
หากพูดถึงเหล่าภูตในป่าแล้ว ภาพลักษณ์ในหัวของหลายๆ คนก็คงไม่พ้นคนตัวเล็กๆ (และมักจะเป็นผู้หญิง) ที่มีปีกบินได้ และค่อนข้างเป็นมิตร แต่ถ้าเป็นในเรื่องเล่าของชาวบัลแกเรียแล้ว ภูตที่ดูสวยหรือน่ารักเหล่านั้น อาจจะไม่ได้เป็นมิตรเสมอไปก็เป็นได้ นั่นเพราะพวกเขามีภูตที่เรียกว่า “Samodiva” ภูตผู้มีรูปร่างเป็นผู้หญิงรูปงาม ซึ่งแม้ว่าจะดูไร้พิษภัย แต่พวกเธอกลับอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ Samodiva เกิดขึ้นมาจากการร่วมคำสองคำ ได้แก่ “Samo” ที่แปลว่า “โดดเดี่ยว” หรือ “อยู่คนเดียว” กับ “Diva” ที่แปลได้ทั้ง “ป่า” และ “ภูต” และรวมกันเป็น “ภูตป่าผู้โดดเดี่ยว” ตามปกติพวกเธอจะอาศัยอยู่แบบหลีกเลี่ยงผู้คนสมชื่อ แต่ในบางครั้งพวกเธอก็จะใช้ความงามของตนล่อให้คนที่มาพบเห็นตกเป็นเหยื่อ ก่อนที่จะดูดพลังชีวิต ทำให้หลงป่า หรือกลั่นแกล้งต่อไป Samodiva มักถูกเล่าว่าเป็นหญิงที่รักในเสียงเพลง และมักจะล่อคนมาสังหารเพื่อขโมยบทเพลง หรือไม่ก็ภูตที่รักในการขี่สัตว์มากๆ และมัก “ลงโทษ” ใครก็ตามที่ฆ่าสัตว์ที่เธอขี่ด้วยเวทมนตร์จนทำให้พวกเขาเสียชีวิตอย่างทรมาน ในบางตำราถึงกับบอกว่าใครก็ตามที่มาเห็นพวกเธอเต้นรำจะต้องเต้นกับพวกเธอไปจนเหนื่อยตายเลยทีเดียว ที่มาของ Samodiva มีอยู่หลากหลาย บ้างก็ว่าพวกเธอเป็นลูกสาวของ Bendis เทพแห่งด้วยจันทร์และการล่าของเธรซ (คล้ายๆ อาร์ทิมิสของกรีก) ในขณะที่บางแหล่งข้อมูลก็บอกว่าพวกเธอเป็นลูกหลานของลาเมียแทน…
-
เปิดตำนานดาบ Ulfberht สุดยอดดาบของชาวไวกิ้ง ที่ผู้คนยังพยายามตีขึ้น แม้ในปัจจุบัน
เคยได้ยินเรื่องดาบ Ulfberht ของชาวไวกิ้งมาก่อนไหม? นี่เป็นดาบโบราณที่มีชื่อเสียงมากในช่วงปีค.ศ. 800-1000 และเคยมีการค้นพบมาแล้วราวๆ 170 เล่ม นี่เป็นดาบที่มีจุดเด่นที่น้ำหนักเบา ทนทานไม่หัก และลวดลายบนดาบที่ยากที่จะทำเลียนแบบ แม้กระทั่งในปัจจุบัน ดาบ Ulfberht นั้นเชื่อกันว่าทำจากเหล็กคาร์บอนสูงที่ชื่อว่า “Crucible Steel” ซึ่งเป็นไปได้ว่าทำขึ้นมาจากการผสมเหล็กกับคาร์บอน (หลายๆ ที่เชื่อว่ามาจากถ่าน) ในสัดส่วนจำเพาะที่มีเพียงช่างตีเหล็กของไวกิ้งเท่านั้นที่รู้ ที่น่าแปลกคือการจะทำเหล็กที่มีความบริสุทธิ์สูงแบบ Crucible Steel นั้น จำเป็นที่จะต้องใช้อุณหภูมิสูงมาก (สูงกว่า 1600 องศาเซลเซียส) ซึ่งด้วยเทคโนโลยีของชาวไวกิ้งในสมัยนั้นแล้ว ไม่น่าที่จะสร้างเหล็กแบบนี้ออกมาได้เลย เพราะในยุโรปเองกว่าที่เทคโนโลยีจะสูงพอที่จะทำเหล็กที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับ Crucible Steel มันก็ในช่วงยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วงศตวรรษที่ 19 เลยทีเดียว ผลที่ได้มาของการตีดาบในรูปแบบนี้ นำมาซึ่งดาบชั้นยอด ที่ทนทาน คมกริบ จนถึงขั้นที่ว่าแทงทะลุเกราะบางชนิดได้ และว่ากันว่าเป็นอาวุธที่อยู่เบื้องหลังความน่ากลัวของนักรบไวกิ้งไป ว่าง่ายๆ ว่าหากจะนับ Ulfberht ว่าเป็นดาบในตำนาน เหมือนดาบมารมุรามาสะ หรือเอกซ์แคลิเบอร์ ดาบ Ulfberht ของไวกิ้งก็คงจะเป็นตัวแทนของดาบที่ทำขึ้นจากวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ โดยไม่พึ่งพาเวทมนตร์ใดๆ นั่นเอง …
-
พบเชื้อกาฬโรคโบราณอายุกว่า 5,000 ปี ที่สวีเดน เชื่อทำคนยุคหินตายเป็นจำนวนมาก
เมื่อผู้ถึงสิ่งที่ต้องมีการเฝ้าระวังในการขุดค้นสิ่งของจากสมัยก่อน บางคนก็อาจจะนึกถึงเรื่องเกี่ยวกับโรคระบาดขึ้นมาเป็นอย่างแรกๆ เพราะใครจะไปรู้ว่าเชื้อโรคในสมัยก่อนจะส่งผลอย่างไรกับคนในปัจจุบันบ้าง แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากตัวเชื้อโรคเอง ดันกลายเป็นส่วนสำคัญของการค้นพบไปเสียนี่ เพราะล่าสุดนี้เองที่ประเทศสวีเดน ได้มีการค้นพบร่องรอยโรคระบาดเก่าแก่ ที่เชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในการค้นพบโรคระบาดที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการค้นพบมาของมนุษย์เลยนั่นเอง เจ้าโรคระบาดที่ว่านี้ถูกพบอยู่ในร่างของหญิงสาวอายุราวๆ 20 ปี ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อราวๆ 5,000 ปีก่อน พร้อมๆ กับชาวบ้านชุมชนเกษตรกรรมในชนบทอีกราวๆ 78 คน ในพื้นที่ Gökhem ทางตะวันตกของประเทศสวีเดน โดยนี่เป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นจากแบคทีเรียเยอซิเนีย เพสติส (Yersinia pestis) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบในสัตว์หลายชนิด และก่อให้เกิดกาฬโรค โรคติดต่อที่น่ากลัวที่สุดอันหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษย์ นั่นหมายความว่ากาฬโรคนั้นมีมาตั้งแต่ในสมัยยุคหินเลยนั่นเอง ซึ่งถือว่ามีมานานกว่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยคาดการณ์ไว้พอสมควรเลย (เดิมทีแล้วเราคิดว่ากาฬโรคมาจากยุคสัมฤทธิ์) แต่นี่ไม่ใช่ข้อมูลเพียงอย่างเดียวที่เราได้รับจากการค้นพบในครั้งนี้ เพราะจากคำบอกเหล่าของทีมนักโบราณคดี โรคที่พบนี้เกิดขึ้นมาก่อนการอพยพเข้ามาของชาวเอเชียในอดีตเสียอีก นั่นทำให้ความเป็นไปได้ที่ว่าชาวเอเชียในอดีตเป็นผู้นำกาฬโรคมาในยุโรป ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แถมในทางกลับกันนักวิทยาศาสตร์ยังบอกอีกว่าเป็นไปได้ที่กาฬโรคจะเกิดขึ้นมาในการตั้งถิ่นฐานของคนยุโรปเองเลย เพราะในสมัยนั้นชุมชนที่ตั้งขึ้นน่าจะมีความแออัดสูง บวกกับมีการเลี้ยงสัตว์หลายชนิดร่วมกันทำให้สุขอนามัย อยู่ในระดับที่ต่ำจนเกิดโรคระบาดได้ง่าย เท่านั้นยังไม่พอเพราะจากการลดลงอย่างเห็นได้ชัดของประชากรมนุษย์ในช่วงยุคหินเอง ก็แสดงให้เห็นว่าในอดีตเองก็คงจะมีการระบาดอย่างหนักของกาฬโรค ที่อาจจะมีความรุนแรง มากกว่าหรือเท่ากับแบล็กเดดในยุคกลางเลยก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามข้อมูลที่ว่ามานี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนการสันนิษฐานของนักโบราณคดี กับนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น และหากสามารถหาร่องรอยของโรคระบาดในกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานในยุโรปได้ มันจะเป็นหลักฐานอย่างดีที่จะมาสนับสนุนของทฤษฎีดังกล่าวต่อไป …
-
“เซซิเลีย เพย์น-กาปอชกิน” หญิงผู้พิสูจน์ส่วนประกอบดวงอาทิตย์ แต่กลับถูกโลกลืม
ถ้าจู่ๆ พูดชื่อ “เซซิเลีย เพย์น-กาปอชกิน” (Cecilia Payne-Gaposchkin) ขึ้นมาคงมีคนไม่น้อยเลยที่ทำหน้าสงสัยว่าเธอคนนี้เป็นใครกัน ทั้งๆ ที่เธอนั้นเป็นเจ้าของการค้นพบครั้งใหญ่สุดๆ ครั้งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ นั่นเพราะในปี 1925 เซซิเลียเป็นหญิงสาวคนแรกผู้เขียนวิทยานิพนธ์พิสูจน์ว่าดวงอาทิตย์นั้นมีส่วนประกอบหลักเป็นฮีเลียม และไฮโดรเจน ในขณะที่เธออยู่ได้เพียง 25 ปีเท่านั้น นี่นับเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากเลยก็ว่าได้ แต่เคยสงสัยกันไปว่าทำไม ชื่อของเซซิเลียกลับแทบไม่มีการพูดถึงเลย ทั้งๆ ที่มีผลงานยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เรื่องของเรื่องคือ เซซิเลียมีชีวิตอยู่ในสมัยที่สังคมมีความเหลื่อมล้ำทางเพศสูง ดังนั้นแม้ว่าเธอจะได้เป็นนักวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก็ตาม แต่งานวิทยานิพนธ์ของเธอก็ถูกตั้งคำถามอย่างหนักอยู่ดี เนื่องจากเขียนโดยผู้หญิง และปฏิเสธแนวคิดเดิมๆ แบบสุดโต่ง นั่นทำให้เพื่อนนักดาราศาสตร์ของเธอ “เฮนรี นอร์ริส รัสเซลล์” แนะนำไม่ให้เธอนำเสนอวิทยานิพนธ์ของตัวเองไป ซึ่งมันจะไม่มีปัญหาเลยถ้าเขาไม่นำมันวิทยานิพนธ์ที่ว่านั้นไปตีพิมพ์ในฐานะผลงานของตัวเองในเวลาต่อมา การกระทำของเฮนรีทำให้ เซซิเลียไม่ได้รับชื่อเสียงอย่างที่เธอสมควรจะได้รับ และกว่าที่นักดาราศาสตร์คนอื่นๆ จะรู้ความจริงที่ว่า เซซิเลียเป็นคนเขียนวิทยานิพนธ์ฉบับนั้น เฮนรีก็ได้ใช้ชีวิตกับชื่อเสียงที่เขาขโมยมาอยู่นานทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งเดียวที่เธอถูกแย่งผลงานไป การค้นพบปรากฏการณ์สตาร์คของเธอเองก็เคยถูกยับยั้งการตีพิมพ์ จนถูกนักวิทยาศาสตร์คนอื่นนำเสนอการค้นพบตัดหน้าไปก่อนเช่นกัน นับว่าโชคดีมากที่ชีวิตหลังจากนั้นของเซซิเลียไม่ได้เลวร้ายลงไปกว่านั้น เพราะหลังจากเรื่องร้ายๆ ในชีวิต ในที่สุดเธอก็ได้รับตำแหน่งนักดาราศาสตร์อย่างเป็นทางการไปในปี 1938 เท่านั้นยังไม่พอเพราะหลังจากนั้นมา เซซิเลียก็ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ…
-
“การทดลองโรเซนแฮน” เมื่อนักจิตวิทยาพบว่าการรักษาผู้ป่วยจิตเวชในสมัยก่อนเชื่อถือไม่ได้
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันดีว่าการรักษาผู้ป่วยจิตเวชในสมัยก่อน มันไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อจิตใจสักเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่เพียงแค่ผู้ป่วยมักจะถูกนำไปขังไว้เท่านั้น แต่การรักษาเองก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพแบบในปัจจุบันด้วย ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าจากการทดลองในปีช่วงปี 1969-1972 แล้ว คนที่ทำการรักษาผู้ป่วยจิตเวชในสมัยก่อนนั้น แยกผู้ป่วยกับคนปกติออกจากกันไม่ได้ด้วยซ้ำ นี่คือการทดลองที่ชื่อว่า “การทดลองโรเซนแฮน” จัดขึ้นโดยนักจิตวิทยา เดวิด โรเซนแฮนแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เพื่อไขปริศนาที่ว่าอะไรคือสิ่งที่บอกว่าเราเป็นคนปกติ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะไว้ใจได้แค่ไหนในการแยกผู้ป่วยทางจิตออกจากคนปกติ โดยนี่เป็นการทดลองที่จะให้คนธรรมดาแปดคน (รวมถึงตัวเขาเองด้วย) เอาไปแฝงตัวในโรงพยาบาลบ้า 12 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา โดยใช้ชื่อกับอาชีพที่เป็นของปลอม และอ้างว่าได้ยินเสียง “ว่างเปล่า” และ “กลวงโบ๋” ในหัวเป็นช่วงๆ นักจิตวิทยา เดวิด โรเซนแฮน เมื่อปี 1973 เดิมทีแล้วเหล่าอาสาสมัครไม่เชื่อว่า เหตุผลประหลาดๆ แบบนี้จะทำให้พวกเขาเข้าไปในโรงพยาบาลบ้าได้จริงๆ แต่ในความเป็นจริง เพียงแค่อ้างว่าได้ยินเสียงโดยไม่ต้องแสดงอาการอื่นๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้ ผู้อาสาสมัครทั้งแปดถูกรับเข้าไปในโรงพยาบาลแล้ว แถมเรื่องแบบนี้ยังเกิดขึ้นกับทุกๆ โรงพยาบาลที่มีการทดลองเลยด้วย นี่นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากเพราะนอกจากการโกหกเรื่องการได้ยินเสียงแล้ว พวกเขาไม่ได้โกหกคำถามการใช้ชีวิตอื่นๆ เลย แต่กลับโดนหาว่าเป็น “ผู้มีอาการทางจิตอย่างรุนแรง” เหมือนกันหมด เท่านั้นยังไม่พอเพราะไม่เพียงแต่ตลอดเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาลจะไม่มีใครรู้ความจริงว่าคนทั้งแปดไม่ได้มีอาการทางจิตจริงๆ แล้ว…
-
ชมโฆษณาของเล่นเด็กจากปี 1989 ยังจำกันได้ไหมว่าวัยเด็ก เราเคยอยากได้อะไรบ้าง
ของเล่น เป็นของที่คู่กับเด็กๆ (และผู้ใหญ่หลายๆ คน) มาตั้งแต่ในอดีตแล้ว เพียงแต่คนที่เกิดในต่างยุคสมัยก็อาจจะมีสิ่งที่อยากได้แตกต่างกันไปก็เท่านั้น ว่าแต่เพื่อนๆ ยังจำกันได้รึเปล่าว่าในสมัยเด็กตัวเองมีของเล่นแบบไหนที่เคยอยากได้เป็นพิเศษบ้าง เพราะในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม โฆษณาของเล่นเด็กจากปี 1989 กัน เชื่อเถอะว่าถ้าเป็นคนที่เกิดในยุค 80-90 จะต้องมีของที่เคยอยากได้กันสักชิ้นล่ะ นี่ไง เปิดมาก็เจอเกมบอย (รุ่นขาวดำ) กับ เครื่อง NES เลย ตุ๊กตาของสาวๆ ก็มีเพียบ เห็นบาร์บี้ตัวนั่นไหม? อันนี้สำหรับสายตุ๊กตุ่น ที่เด็ดๆ เลยก็ ทรานสฟอร์เมอร์ โรโบคอป โกสต์บัสเตอร์ สายรถแข่ง รถบังคับก็มา เสียดายไม่มีของทามิย่า วอล์กกี้ทอล์กกี้ก็มีนะ ไม่รู้ทำไมสมัยนั้นเด็กๆ ชอบวิทยุสื่อสารกันเหลือเกิน ใช่ๆ พวกหุ่นไดโนเสาร์ก็เหมือนกัน เมื่อก่อนร้องไห้อยากได้สุดๆ ส่วนเดียวนี้ก็มานั่งสงสัยตัวเองอยู่ว่าทำไมเมื่อก่อนอยากได้นักอยากได้หนา มุมเครื่องเกมนินเทนโด้แบบล้วนๆ เลยก็มา พวกรถรางๆ นี้ก็เต็มบ้านเลยเหมือนกัน ส่วนเครื่องเซก้าเจเนซิสแพงไป เลยโดนหลอกเอาเกมตลับมาให้เล่นแทน…
-
23 ภาพโลกอนาคตจากยุค 50-60 ไปดูกันว่าเมื่อก่อน คนเราจินตนาการโลกอนาคตไปแบบไหน
การจินตนาการถึงโลกอนาคตเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำกันในทุกยุคทุกสมัย บางครั้งความคิดนั้นก็อาจจะตรงอย่างไม่น่าเชื่อ หรือบางครั้งมันก็อาจจะผิดจากความจริงไปคนละโลก แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหนมุมมองของคนเราต่ออนาคตก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ดี และด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชมมุมมองต่อโลกในอนาคตของ Arthur Radebaugh จิตรกรประจำคอลัมน์ “Closer Than We Think” ในหนังสือพิมพ์เมื่อช่วงปี 1958-1962 กัน ไปกันดีกว่าว่าในสมัยนั้น คนเรามีมุมมองแบบไหนกับโลกอนาคตกันบ้าง เริ่มกันจากรถพลังงานแสงอาทิตย์ บ้านที่มีโดมแก้วป้องกันสภาพอากาศครอบอยู่ เห็นว่าจะทำให้บ้านอบอุ่นเสมอๆ แม้กลางพายุหิมะ การปลูกพืชขนาดใหญ่ นึกภาพป๊อปคอร์นที่จะออกมาสิ การใช้หุ่นยนต์ทำงานในคลังสินค้า อันนี้ ใกล้เคียงกับความจริงมากกว่าที่คิดนะ การเรียนผ่านหน้าจอและปุ่มกด อันนี้ทำได้แล้ว พาหนะเดินสี่ขา ตามที่เขียนไว้ในคำบรรยาย นี่จะเป็นพาหนะที่ใช้ในการพาคนออกจากเมืองในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน รถลอยได้ รถบินได้นี่ใครๆ ก็อยากให้มีจริงๆ แฮะ บุรุษไปรษณีย์สวมเจ็ทแพ็ค ระดับความ “รับน้า” อาจจะบวกขึ้นไปอีก ทางหลวงไปรัสเซีย มันก็จะเป็นทางเชื่อมจากรัฐอะแลสกา ไปยังรัสเซียโดยตรงสมชื่อ แบบว่าลอดใต้ทะเลไปเลย Space Mayflowers…
-
4 รูปแบบอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งแรกของโลก ความสูญเสียจากรถในสมัยก่อน มันเป็นเช่นไรกัน
อุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์บนท้องถนนนั้น แม้จะเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความสูญเสีย แต่ก็เป็นเรื่องที่เราพบเจอกันอยู่เป็นประจำ และอยู่คู่กับการใช้รถใช้ถนนมาอย่างยาวนาน ว่าแต่เคยสงสัยกันรึเปล่าว่าไอ้เจ้าอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์เนี่ยมันเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่กัน? อุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ไอน้ำครั้งแรก คงต้องอธิบายกันหน่อยว่าอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์นั้นมีแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท แต่หากจะพูดถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่เก่าแก่ที่สุดก็คงไม่พ้นคดีที่เกิดขึ้นในปี 1869 เพราะในปีนี้นักวิทยาศาสตร์ชาวไอร์แลนด์ Mary Ward ได้ตกจากรถพลังไอน้ำของเธอในระหว่างการทดลอง และถูกล้อรถทับจนถึงแก่ความตายไปนั่นเอง และนี่ก็ทำให้เธอเป็นมนุษย์คนแรกที่เสียชีวิตจากยานพาหนะระบบมอเตอร์ไป อุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันครั้งแรก นี่เป็นอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด ซึ่งเกิดขึ้นในรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1891โดยเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวิศวกรชื่อ James Lambert ขับรถไปสะดุดรากไม้จนเสียการควบคุมนั่นเอง รถของเขาพุ่งชนเข้ากับราวกั้นหลังจากนั้น แต่นับว่าเป็นโชคดีมากที่เขาไม่ได้ขับรถด้วยความเร็วสูง ทำให้เขาและเพื่อนที่นั่งไปอีกคนรอดจากอุบัติเหตุครั้งนี้มาได้โดยบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ที่ชนคนครั้งแรก นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปี 1896 กับหญิงสาวชื่อ Bridget Driscoll ที่ประเทศอังกฤษ โดยขณะที่เธอกับลูกสาว (และเพื่อนของลูกสาวอีกคน) กำลังข้ามถนนอยู่ รถยนต์ที่ขับมาด้วยความเร็วสูงสุด (ที่ราวๆ 6.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) โดนนาย Arthur Edsall พุ่งเข้าชนอย่างจังจนถึงแก่ความตาย นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายมากที่เด็กทั้งสองคนที่อยู่กับเธอไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงแต่อย่างใด อุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ที่ทำให้คนขับเสียชีวิตครั้งแรก ถ้าไม่นับ Mary Ward ที่ตกจากรถพลังไอน้ำ อุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ที่ทำให้คนขับเสียชีวิตครั้งแรก จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1898 เมื่อ Henry…
-
ย้อนรอย “พระเจ้าหลุยส์ที่ 17” ผู้มีคนแอบอ้างชื่อมากกว่า 100 คน และถูกนำหัวใจไปทำมัมมี่
เคยได้ยินเรื่องของพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 แห่งฝรั่งเศสไหม? ถ้าพูดมาแบบนี้หลายๆ คนอาจจะเกาหัวนึกไม่ออก เพราะเอาเข้าจริงๆ คนที่เป็นที่รู้จักกันมากๆ จากยุคนี้จะเป็นมารี อ็องตัวแน็ตผู้เป็นมารดาของเขาเสียมากกว่า จริงอยู่ว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 จะเป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้องของบัลลังก์ฝรั่งเศส ตั้งแต่ที่พี่ชายของเขาเสียชีวิต แต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 17 กลับไม่มีโอกาสที่จะได้นั่งบัลลังก์เลยในชีวิตของเขาเช่นกัน นั่นเพราะในตอนที่เขาอายุได้เพียง 8 ขวบครอบครัวของเขาก็ถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดีโดยการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี 1793 ที่ทั้งมารีและหลุยส์ที่ 16 ถูกประหารชีวิตกันไปในฐานะทรราชย์ และแน่นอนว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 เองก็ถูกจับตัวไป และไม่มีใครเห็นเขาอีกตั้งแต่วันนั้นมา อย่างไรก็ตามหลังจากวันนั้นหลายปี ก็มีคนจำนวนมากออกมาอ้างตัวว่าพวกเขานี่ละ คือพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 ที่หายตัวไป สร้างความสับสนให้แก่เจ้าหญิงมารี-เตแรซ ซึ่งเพิ่งจะถูกปล่อยตัวออกมาเป็นอย่างมาก ไม่แปลกที่ในเวลานั้นจะมีคนจำนวนมากที่อยากจะเป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 เพราะด้วยความที่หลุยส์ที่ 17 มีสายเลือดราชวงศ์โดยตรง จะทำให้ใครก็ตามที่ถูกเชื่อว่าเป็นหลุยส์ที่ 17 จริงๆ จะได้สิทธิ์ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อไปนั่นเอง แต่ในหมู่คนที่อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 นั้น แทบจะไม่มีใครรู้เลยว่าทางรัฐนั้น มีคนคนจำนวนหนึ่งที่ทราบว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 เป็นเช่นไรอยู่…
-
“โซกุชินบุตสึ” การบำเพ็ญเพียรสุดแปลกของญี่ปุ่น ที่พระจะ “ทำให้ตัวเองเป็นมัมมี่”
เชื่อว่าหากพูดถึง “มัมมี่” ไม่ว่าใครก็คงคิดถึงประเทศอียิปต์ขึ้นมาเป็นที่แรก แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าในประเทศอย่างญี่ปุ่นเอง ก็มีกลุ่มคนที่พยายามทำมัมมี่อยู่เช่นกัน แถมยังเป็นการ “ทำตัวเองเป็นมัมมี่” ด้วย นี่เป็นวิธีการที่เรียกกันว่า “โซกุชินบุตสึ” หนึ่งในการบำเพ็ญเพียรของนิกายชินงอน ซึ่งพบได้ตั้งแต่ในช่วงปี 1081 เรื่อยไปจนในปี 1903 และมีบันทึกไว้ว่ามีพระอย่างน้อยๆ 20 รูป ที่สามารถ “กลายเป็นมัมมี่” ได้สำเร็จ เชื่อกันว่าการบำเพ็ญเพียรในรูปแบบนี้จะทำให้ผู้กระทำสามารถ เข้าไปสู่สวรรค์ชั้นที่ 4 ( “ธูษิตา” หรือ “ดุสิต” ) ได้ และจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 1.6 ล้านปี ก่อนที่จะกลับมาช่วยเหลือมนุษย์บนโลกอีกครั้ง แต่การจะใช้ชีวิตบนนั้น นานเป็นล้านปีจำเป็นต้องมีร่างกายที่คงทน ดังนั้นผู้บำเพ็ญโซกุชินบุตสึจึงตั้งเป้าหมายในการบำเพ็ญตนอยู่ที่การทำให้ตัวเองเป็นมัมมี่นั่นเอง โซกุชินบุตสึจะเป็นการบำเพ็ญเพียรในหลายๆ รูปแบบ แต่มีจุดเด่นอยู่ที่การควบคุมอาหาร โดยในเบื้องต้นพระผู้บำเพ็ญตน จะหลีกเลี่ยงการทานอาหารทุกชนิดยกเว้นอาหารที่เรียกกันว่า “โมกุจิคิเกียว” นี่เป็นรูปแบบอาหารที่ประกอบตัวไปด้วยเปลือกไม้ รากไม้ ถั่ว เมล็ดพันธุ์พืช และในบางแหล่งข้อมูลก็บอกว่ามีก้อนหินรวมอยู่ด้วย เป็นไปได้ว่าลักษณะการทานอาหารแบบนี้ทำขึ้นเพื่อให้ร่างกายมีไขมันและกล้ามเนื้อน้อยที่สุด บวกกับกำจัดแบคทีเรียบางชนิด จนอัตราการเน่าเสียเกิดขึ้นช้า…
-
จดหมาย “ปฏิเสธพระเจ้า” ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ถูกประมูลไปในราคาเกือบ 3 ล้านเหรียญ
ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยไหนนักวิทยาศาสตร์กับศาสนาก็มักจะเป็นเรื่องที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันอยู่เสมอๆ และในอดีตเองก็มีอยู่บ่อยครั้งไม่น้อยที่นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง จะมีการออกมาปฏิเสธศาสนาอยู่เป็นพักๆ และในวันที่ 4 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมานี้เองเราก็ได้เห็นเรื่องราวเหล่านั้นอีกครั้ง เมื่อสถานประมูลคริสตี้แห่งนิวยอร์กได้นำจดหมายฉบับหนึ่งของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ออกมาเปิดประมูลต่อหน้าสาธารณชน นี่เป็นจดหมายความยาวหนึ่งหน้าครึ่งที่ถูกเขียนขึ้นในภาษาเยอรมันเมื่อปี 1954 และส่งไปให้นักปรัชญาชาวเยอรมันนาม Eric Gutkind เพื่อโต้แย้งเกี่ยวกับงานเขียนของเขา เนื้อความในจดหมายนี้โดยรวมแล้วเป็นการให้ความเห็นในเชิงปฏิเสธพระเจ้า คัมภีร์ไบเบิล และศาสนายิวโดยรวม ซึ่งนับว่าน่าสนใจมากเพราะเดิมทีแล้วไอน์สไตน์เองก็เป็นชาวยิวเช่นกัน โดยภายในจดหมายมีอยู่หลายส่วนที่มีการเลือกใช้คำที่ค่อนข้างรุนแรงเช่นการบอกว่าคัมภีร์ไบเบิลนั้นเป็นเพียง “หนังสือรวมตำนานดั้งเดิม” หรือการบอกว่าพระเจ้านั้นสำหรับเขาแล้ว “เป็นเพียงการแสดงออกและผลผลิตจากความอ่อนแอของมนุษย์เท่านั้น” นี่เป็นจดหมายที่แสดงให้เห็นถึงจุดยืนและมุมมองของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ต่อศาสนาคริสต์ได้เป็นอย่างดี และไม่แปลกเลยที่จะได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่งจากผู้เข้าร่วมงานประมูล นั่นทำให้ท้ายที่สุดแล้ว จดหมายฉบับนี้ก็ปิดประมูลไปด้วยราคาสูงถึง 2.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (เกือบๆ 100 ล้านบาท) ซึ่งนับว่าสูงกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ถึงหนึ่งเท่าตัว (เดิมทีแล้วคาดไว้ว่าจะปิดประมูลที่ 1-1.5 ล้านเหรียญ) อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่จดหมายฉบับแรกของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ที่เคยมีการนำมาประมูลขาย เพราะเมื่อไม่นานมานี้ก็มีการนำจดหมายที่ไอน์สไตน์เตือนน้องสาวให้ระวังถึงการต่อต้านชาวยิวออกมาเปิดประมูลกันมาแล้วเช่นกัน ที่มา bbc, theguardian
-
พบโครงกระดูกเก่าแก่อายุร่วม 500 ปีใส่รองเท้าบูทหนังสีดำยาวถึงเข่าที่อังกฤษ
เมื่อพูดถึงรองเท้าบูทหนังที่ยาวมาถึงเข่า เชื่อว่าภาพในหัวของหลายๆ คนก็คงจะนึกถึงนางแบบขาเรียวสวยสุดทันสมัยขึ้นมาเป็นอย่างแรก แต่ทราบกันหรือไม่ว่าจริงๆ แล้วรองเท้าแบบนี้อาจจะมีการใช้งานมานานกว่าที่เราคิดก็เป็นได้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้เอง ในระหว่างการก่อสร้างท่อน้ำทิ้งขนาดใหญ่ที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ นักโบราณคดีก็ได้พบกับโครงกระดูกแปลกๆ เข้าร่างหนึ่ง นี่เป็นโครงกระดูกของผู้ชายที่ถูกพบฝังอยู่ในโคลน และมีอายุราวๆ 500 ปี สวมรองเท้าบูทหนังที่ยาวมาถึงเข่าสีดำ ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องแต่งกายที่ค่อนข้างแปลกในสมัยนั้น นั่นเพราะรองเท้าที่เป็นที่นิยมในสมัยก่อนนั้น มักจะมีความยาวเพียงแค่ข้อเท้าเสียมากกว่า เพราะหากดูจากงานศิลป์ที่พบในสมัยแล้ว จะสังเกตได้ว่าแทบไม่มีใครในสมัยนั้นเลย ที่ใส่รองเท้าบูทแม้แต่แบบธรรมดาก็ตาม เท่านั้นยังไม่พอจากรายงานของ Mola Headland บริษัทที่รับหน้าที่ดูแลการก่อสร้างในครั้งนี้ ชายผู้นี้น่าจะมีชีวิตอยู่ในสมัยของราชวงศ์ทิวดอร์ซึ่งเครื่องหนังเป็นสิ่งที่หายากมาก ทำให้การค้นพบในครั้งนี้ยิ่งดูแปลกเข้าไปอีก เป็นไปได้ว่าชายคนนี้น่าจะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ และไม่มีใครพบศพมาจนถึงปัจจุบันมากกว่าที่จะเป็นการฝังศพทั่วๆ ไป เพราะเครื่องหนังในสมัยนั้นมีราคาสูงเกินกว่าที่จะฝังไปกับศพนั่นเอง ความแปลกของการแต่งกายบวกกับสถานที่พบศพที่ใกล้กับแม่น้ำนี้เอง ทำให้นักโบราณคดีตั้งข้อสันนิษฐานว่าชายคนดังกว่าน่าจะทำงานเป็นคนจับปลา หรือไม่ก็คนงานท่าเรือ และใช้รองเท้าบูทที่พบในการทำงานมากกว่าเพื่อแฟชั่น นอกจากนี้จากการศึกษาโครงกระดูกเบื้องต้นนักโบราณคดียังพบโรคทางข้อต่อกระดูก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของผู้ใช้แรงงานหลายแห่งบนกระดูกอีกด้วย ทำให้ข้อสันนิษฐานข้างต้นยิ่งมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก และหากข้อสันนิษฐานนี้ถูกต้องจริงๆ ก็หมายความว่ารองเท้าบูทหนังที่เป็นของใส่เพื่อแฟชันในปัจจุบัน อาจจะพัฒนามาจากรองเท้าใส่ลุยโคลนของสมัยก่อนก็เป็นได้นั่นเอง อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าทำไมชายคนนี้ถึงประสบอุบัติในที่แห่งนี้ ส่วนกระดูกและรองเท้าหนังที่พบเอง ก็ยังต้องมีการนำไปศึกษากันต่อไปเช่นกัน ที่มา livescience, allthatsinteresting
-
ทฤษฎีใหม่อ้าง มนุษย์สมัยโบราณผู้วาดภาพบนผนังถ้ำ อาจเคยตัดนิ้วตัวเองก็เป็นได้
ไม่แน่ใจว่าทำไม แต่คนที่เป็นศิลปินมักจะมีเรื่องเกี่ยวกับการทำร้ายตัวเองออกมาให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ อย่างวินเซนต์ แวนโก๊ะที่ตัดหูตัวเองเป็นต้น นั่นทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เมื่อนักโบราณคดีเห็นภาพฝ่ามือบนผนังถ้ำในสมัยก่อน แล้วจะมีความเห็นขึ้นมาว่าศิลปินในสมัยก่อนอาจจะตัดนิ้วตัวเองก็เป็นได้ แถมล่าสุดนี้เองความคิดนี้ก็มีทฤษฎีออกมาสนับสนุนแล้วด้วย นี่เป็นทฤษฎีที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการค้นพบภาพในผนังถ้ำจากในสมัยยุคหินเก่าตอนปลาย (Upper Paleolithic) ที่ยุโรป ซึ่งมีการวาดมือที่นิ้วหายไปบางส่วนอยู่หลายต่อหลายครั้ง ทั้งในประเทศสเปน และฝรั่งเศส จริงอยู่ว่าในสมัยก่อนภาพเหล่านี้จะถูกลงความเห็นว่าคนวาดน่าจะแค่งอนิ้วเพื่อเป็นตัวแทนของการนับเลขเท่านั้น แต่ในงานวิจัยใหม่ล่าสุดดูเหมือนว่าความเป็นไปได้ที่ศิลปินในสมัยก่อนจะตัดนิ้วตัวเองก็มีอยู่มากพอดูเช่นกัน โดยหากอ้างอิงจากข้อมูลในงานวิจัยแล้ว เหตุผลที่คนในสมัยก่อนตัดนิ้วตัวเองจะมาจากความเชื่อ เช่นการบูชาคนที่ตายไปแล้ว โดยอ้างอิงจากความเชื่อในแอฟริกาใต้ที่ชนพื้นเมืองจะตัดนิ้วตัวเองตามจำนวนลูกหลานที่ตายไป นอกจากนี้ในทางกลุ่มชนพื้นเมืองอะบอริจินในออสเตรเลียเองก็มีการตัดนิ้วก้อยบางส่วน เพื่อเป็นสัญลักษณ์บอกอาชีพของเด็กในอนาคต แถมในหลายๆ วัฒนธรรมเองก็มีหลักฐานการตัดนิ้วเพื่อลงโทษ หรือเป็นสัญลักษณ์การแต่งงานเช่นกัน จุดร่วมนี้เองที่ทำให้ทฤษฎีที่ว่าในสมัยก่อนนั้นน่าจะมี คนจำนวนไม่น้อยเลยที่มีนิ้วมือไม่ครบ และเป็นไปได้ว่าหนึ่งในคนเหล่านี้จะกลายมาเป็นผู้วาดภาพบนกำแพงในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนออกมาโต้แย้งเลยเช่นกัน เพราะในทางการใช้ชีวิตแล้ว การตัดนิ้วหลายๆ นิ้วเช่นที่เห็นในภาพมันไม่สมเหตุสมผล แถมในกรณีที่ชนเผ่ามีความเชื่อในการตัดนิ้ว นิ้วที่โดนตัดส่วนมากก็มักจะเป็นแค่นิ้วก้อยด้วย อย่างในภาพนี้ก็แสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนมากที่มีนิ้วมือครบ 5 นิ้ว นอกจากนี้ในถ้ำบางแห่งยังมีภาพของมือขนาดใกล้เคียงกันที่มีจำนวนนิ้วที่ต่างกัน ซึ่งเป็นร่องรอยที่ว่าจำนวนนิ้วเกิดจากการพับนิ้วของผู้เขียนมากกว่านิ้วจะด้วนไปเลยอีกด้วย ทำให้งานวิจัยชิ้นนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันต่อไป แต่แม้ว่านี่จะเป็นงานวิจัยที่ต้องมีการตามหาหลักฐานเพิ่มเติมกันอยู่ก็ตาม แต่แนวคิดที่ว่าคนเราตัดนิ้วตัวเองในสมัยก่อน ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ อยู่ดี ที่มา livescience, ancient-origins
-
ชายชาวอังกฤษ ซื้อที่วางแปรงสีฟันจากตลาดนัด พบเป็นวัตถุโบราณอายุร่วม 4,000 ปี
สำหรับหลายๆ คนแล้ว ตลาดนัดก็คงเปรียบเสมือนกองภูเขาสินค้าที่บางครั้งก็อาจจะมีขุมทรัพย์ดีๆ ฝังเอาไว้ และเราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าในนั้นจะมีอะไรรอให้เราไปค้นพบอยู่บ้าง คำพูดนี้น่าจะเป็นจริงพอสมควรเลยสำหรับชายชาวอังกฤษนาม คาร์ล มาร์ติน เพราะเขาคือชายผู้ที่ซื้อเครื่องปั้นดินเผาโบราณอายุร่วม 4,000 ปีมาในราคาเพียง 4 ปอนด์ (ราวๆ 160 บาท) เท่านั้น เอาเข้าจริงๆ มาร์ตินไม่ได้ซื้อเครื่องปั้นดินเผาโบราณชิ้นนี้มาเพราะรู้มูลค่าของมันแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงเพราะเขาสนใจลวดลายของมันในตอนที่เดินเล่นในตลาดเมื่อปี 2013 ต่างหาก นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ที่ผ่านๆ มา มาร์ตินจะใช้เครื่องปั้นดินเผาที่ซื้อมาในฐานะที่วางแปรงสีฟันและเพิ่งมารู้ตัวจริงของมันเอาตอนที่มีวัตถุโบราณรู้ร่างคล้ายที่วางแปรงสีฟันของเขาออกวางประมูลเท่านั้น แน่นอนว่าเมื่อเห็นดังนั้นมาร์ตินก็รีบนำที่วางแปรงสีฟันของเขาไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบทันที และแม้ว่าการใช้งานของเขาจะทำให้มันมีตำหนิอยู่บ้าง แต่นักโบราณคดีก็ยืนยันว่าสิ่งที่เขามีนั้นเป็นของที่มาจากในยุคราวๆ 1,900 ปีก่อนคริสตกาลจริงๆ โดยจากข้อมูลที่มาร์ตินทราบในภายหลัง ที่วางแปรงสีฟันของเขาแท้จริงแล้วจะเป็นเครื่องปั้นดินเผาโบราณจากเมืองฮารัปปา หนึ่งในศูนย์กลางของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ซึ่งเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว หลังจากที่มีการค้นพบตัวจริงของมัน มาร์ตินก็นำโบราณวัตถุชิ้นนี้ออกประมูลขายในเวลาต่อมา และเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เอง เครื่องปั้นดินเผาของมาร์ตินก็ถูกประมูลออกไปในราคาสูงถึง 80 ปอนด์ (ราวๆ 3,300 บาท) เกือบๆ 20 เท่าของราคาที่มาร์ตินซื้อมาเลยนั่นเอง ที่มา livescience, hansonsauctioneers
-
นักโบราณคดีพบ เอกสารโบราณที่บันทึก “คำสาบานนินจา” อายุกว่า 300 ปีเอาไว้ ที่ญี่ปุ่น
เชื่อว่าสำหรับหลายคนแล้ว หากพูดถึงเอกลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นขึ้นมา สิ่งแรกๆ ที่เขามาในหัวก็คงไม่พ้นนักรบในเงามืดอย่างนินจาเป็นแน่ เพราะนี่เป็นอาชีพในสมัยก่อนที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเท่มากๆ เลยนั่นเอง ว่าแต่ทราบหรือไม่ว่าการเป็นนินจานั้นนอกจากจะต้องผ่านการฝึกมาอย่างดีแล้วพวกเขายังอาจจะต้องมีพิธีการที่จะเรียกความเชื่อใจจากผู้เป็นนายมากกว่าที่เราคิดด้วย เพราะเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เองที่ประเทศญี่ปุ่นได้มีการค้นพบเอกสารโบราณ ที่เกี่ยวข้องกับตระกูล “คิซุ” ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลนินจาของหมู่บ้านอิงะ หนึ่งในสองหมู่บ้านนินจาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสมัยนั้น นี่เป็นเอกสาร “คำสาบาน” จำนวน 6 ชิ้น ที่มีการลงนามโดย “อิโนซุเกะ คิซุ” ผู้นำตระกูลคิซุคนสุดท้าย เมื่อราวๆ 300 ปีก่อน เนื้อความคร่าวๆ ในเอกสารจะเป็นการขอบคุณผู้ที่สอน “วิถีของนินจา” ก่อนจะสาบานว่าจะไม่ใช้วิชานินจาในการลักขโมย (นอกเสียจากว่าจะเป็นคำสั่งของเจ้านาย) และจะไม่แพร่งพรายวิชานินจาให้ใครรู้ แม้แต่คนสนิทและครอบครัว นอกจากนี้หากมีการค้นพบวิชาใหม่ๆ ที่ทางหมู่บ้านยังไม่รู้จัก อิโนซุเกะก็มีหน้าที่ที่จะนำวิชาดังกล่าวกลับมารายงานต่อหมู่บ้านอีกด้วย แม้ว่านี่อาจจะเป็นเอกสาร ที่มีความคล้ายคลึงกับสัญญารักษาความลับในปัจจุบันก็ตาม แต่สิ่งที่น่าสนใจของเอกสารชิ้นนี้อยู่ที่วิธีการลงโทษคนผิดในกรณีที่มีการผิดคำสาบานต่างหาก เพราะอิโนซุเกะได้ระบุในเอกสารสาบานไว้ว่าในกรณีที่มีการผิดคำสาบาน เขาจะขอให้เทพ “ลงทัณฑ์” ลูกหลานในตระกูลของเขาสืบไป เป็นไปได้ว่าเอกสารสัญญาฉบับนี้จะถูกส่งคืนมายังตระกูลของเขาหลังจากที่อิโนซุเกะเสียชีวิต ก่อนจะมีการนำไปเก็บรักษาไว้จนถูกพบอีกครั้งในปัจจุบัน จริงอยู่ว่านินจาจะเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในญี่ปุ่นเองก็ตาม แต่ประเพณีส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับนินจากลับไม่ค่อยจะมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรมากนัก นั่นทำให้การค้นพบในครั้งนี้นับเป็นการค้นพบที่มีค่ามากๆ ครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้ …
-
17 ภาพ “คู่รักเพศเดียวกัน” ในสมัยก่อน ถ่ายทอดความหอมหวานออกมาในสไตล์วินเทจ
หลายๆ คนอาจรู้กันอยู่แล้วว่า “ความรักระหว่างเพศเดียวกัน” นั้น สมัยก่อนยังถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้ถูกยอมรับอย่างกว้างขวางเมื่อเทียบกับปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ใช่ว่ามันจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย พิสูจน์ได้จากภาพถ่ายของคู่รักเหล่านี้ กับบรรยากาศสไตล์วินเทจที่สามารถถ่ายทอดความสุข ความน่ารัก และความโรแมนติกออกมาให้เราสัมผัสกัน อย่ารอช้า เราไปชมภาพเหล่านั้นพร้อมๆ กันเลยยย การแต่งงานของคู่รักที่เป็นเพศเดียวกัน รอยยิ้มแห่งความสุข ช่วงเวลาที่ได้ผ่อนคลายไปด้วยกัน . . ภาพขาวดำ ทำให้เราพอเดาได้ว่าภาพถ่ายเหล่านี้มีอายุมากขนาดไหน มีการแต่งตัวที่แทบจะเหมือนกันซะด้วย . ให้อารมณ์แบบภาพพรีเว็ดดิ้ง การแต่งงานที่คนหนึ่งเป็นเจ้าบ่าว อีกคนคือเจ้าสาว ช้อนคางขึ้นมา มองหน้ากันชัดๆ . มองผ่านๆ อาจดูไม่ออกเลยนะ ว่าเจ้าบ่าวเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เท่เลยภาพนี้ ชอบเวลาที่ได้เห็นรอยยิ้มของคนสองคน มันทำให้เราได้รู้ว่า พวกเขามีความสุขกันมากขนาดไหน . ที่มา: Ren Rants
-
นี่แหละวิธี ‘ลบเพื่อน’ ของผู้คนในสมัยที่ยังไม่มีเฟซบุ๊ก แทนการกดปุ่ม “Unfriend” ยังไงล่ะ…
ในยุคสมัยใหม่ หากเราเลิกคบกับใครไม่ว่าจะเพื่อนหรือแฟน เมื่อขาดเยื่อใยกันแล้วก็เพียงแค่กดปุ่ม “ลบเพื่อน” (Unfriend) ก็สามารถปิดกั้นการรับรู้เรื่องราวของกันและกันได้แล้ว แต่หากว่า เป็นยุคสมัยที่ยังไม่นิยมใช้อินเทอร์เน็ต และไม่มีเครือข่ายโซเชียลมีเดียอย่างปัจจุบัน คนเราจะ “ลบเพื่อน” ให้หายไปจากความทรงจำกันอย่างไรนะ…?? วันนี้เราลองชมวิธีการลบเพื่อนของผู้คนในอดีตกันดีกว่า ความทรงจำที่มาพร้อมกับภาพถ่ายเจอวิธีเหล่านี้เข้าไป รับรองหายเรียบ!! 1. ฉีกแบบนี้แหละได้ผลชะงัดนัก 2. แทบจะลืมไปเลยล่ะว่าคนที่หายเคยเป็นเพื่อนคนไหนของเรามาก่อน 3. โอ้โห ลบเพราะความเกลียดใช่ไหมเนี่ย เจาะซะพรุนขนาดนี้!? 4. ฉีกๆ ฉีกมันเข้าไป 5. แค่นี้ คนๆ นั้นก็นับว่าไม่มีความสำคัญกับเราอีกแล้ว 6. ขีดฆ่าซะน่ากลัวเชียว 7. ตัดออกตามเส้นขอบของใบหน้าซะด้วย ฝีมือร้ายกาจ 8. ตัดออกเป็นรูปวงรีสวยงามเชียว 9. ครอปออกแบบง่ายๆ 10. ขีดทำใบหน้าแบบนี้น่ากลัวแฮะ 11. ฉีกวนรอบขนาดนี้ยังจะเก็บไว้อีกเรอะ!? …
-
14 ภาพการพรางตัวของ “บังเกอร์” จากสวิตเซอร์แลนด์ ที่เนียนสุดๆ จนแทบดูไม่ออก
อะไรคือสิ่งที่จะทำให้ทหารมีชีวิตรอดในสงคราม? บางคนอาจจะบอกว่าอาวุธ บางคนอาจจะบอกว่าชุดเกราะ แต่ในหลายๆ ครั้ง “การพรางตัว” ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ทหารรอดชีวิตเช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ทหารมีชุดลายพราง และเป็นเหตุผลให้รถถังในสงครามบางครั้งก็ถูกหุ้มไว้ด้วยใบไม้ใบหญ้า ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าการพรางตัวของทหารนั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่สิ่งที่เคลื่อนไหวได้เท่านั้น เพราะสำหรับประเทศสวิตเซอร์แลนด์แล้วพวกเขาพรางตัว ให้แม้กระทั่งบังเกอร์ทหารเลยด้วย แถมพูดตรงๆ เลยว่าทำได้ดีแบบสุดๆ ไปเลยด้วย ไม่เชื่อก็ลองชมภาพการพรางตัวให้บังเกอร์ทหารของชาวสวิตเซอร์แลนด์ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองต่อไปนี้ดูสิ ดูเหมือนว่าบังเกอร์ส่วนใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์จะใช้วิธีปลอมตัวเป็นบ้านประชาชนธรรมดา อย่างอันนี้ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าหน้าต่างถูกวาดขึ้น อันนี้ถ้าดูเผินๆ ก็จะคิดว่าเป็นบ้านสวนเฉยๆ เช่นกัน หากมองจากที่ไกลๆ คงแยกไม่ออกเลยว่าเป็นบ้านคนหรือบังเกอร์ทหาร “บ้าน” เหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของแนวป้องกัน “Promenthouse Line” ของสวิตเซอร์แลนด์ และเพิ่งถูกรวบรวมมาในอัลบั้มที่ชื่อ “Fake Chalets” เมื่อปี 2015 ไอ้ที่เหมือนหน้าต่างอาจจะเป็นระบบระบายอากาศก็ได้ ทางเข้าจะถูกปิดด้วยกำแพงปลอมอีกที แถมบางทีบังเกอร์ยังไม่ได้ปลอมเป็นแค่บ้านคนเท่านั้น บางทีอาจจะเป็นเนินดิน หรือก้อนหินใหญ่ๆ เลยก็มี…
-
รู้หรือไม่ ในอดีตศาสตร์การทำนายนิสัยจากกะโหลกศีรษะ เคยจัดเป็น “วิทยาศาสตร์” มาก่อน
เมื่อพูดถึงการทำนายทายทัก คงไม่มีใครคิดว่ามันจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับความเป็นวิทยาศาสตร์ไปได้ แต่รู้กันหรือไม่ว่าในช่วงปี 1810-1840 มันเคยมีศาสตร์การทำนายแบบหนึ่ง ที่คนเราถือว่าเป็นแนวคิดทางวิทยาศาสตร์อยู่ด้วย ศาสตร์การทำนายที่ว่านี้คือ “Phrenology” หรือการทำนายนิสัยจากกะโหลกศีรษะนั่นเอง โดยในสมัยก่อนนี่เป็นศาสตร์ที่ “นักวิทยาศาสตร์” จะทำการศึกษา และวัดขนาดรูปร่างของกะโหลกศีรษะมนุษย์ เพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดทั้งบุคลิกภาพ นิสัย ระดับความฉลาด เรื่อยไปจนถึงโอกาสเป็นอาชญากรเลย ศาสตร์การทำนายนิสัยจากกะโหลกศีรษะเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปี 1796 โดยนายแพทย์ชาวเยอรมัน Franz Joseph Gall ผู้ซึ่งเชื่อว่าสมองของมนุษย์ในแต่ละส่วนเก็บเอาลักษณะที่แตกต่างกันของผู้คนเอาไว้ Franz Joseph Gall ผู้ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้ให้กำเนิดการทำนายนิสัยจากกะโหลกศีรษะ ดังนั้นหากส่วนใดส่วนหนึ่งมีขนาดที่เล็ก นิสัยด้านนั้นๆ ก็จะมีน้อยลงตามไปด้วย และสำหรับ Gall และ สิ่งที่จะชี้วัดรูปร่างของสมอง ก็คือกะโหลกของมนุษย์นั่นเอง นั่นทำให้ Gall วาดแผนภาพของการทำงานของสมองแต่ละส่วนขึ้น และก็เป็นแผนภาพนี้เองที่นักวิทยาศาสตร์การทำนายนิสัยจากกะโหลกศีรษะมักจะนำไปใช้อ้างอิงในการ “วิจัย” นิสัยคนของพวกเขา ว่ากันตามตรงในสมัยนั้นคนที่จะใช้ศาสตร์การทำนายนิสัยจากกะโหลกศีรษะ ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการศึกษามาอย่างดีเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่มีแผนภาพของ Gall ไม่ว่าใครก็สามารถทำนายนิสัยใจคอของคนอื่นได้ เท่านั้นยังไม่พอ ศาสตร์การทำนายนี้ยังสนับสนุนแนวคิดที่ว่า ผู้ชายมีสมองที่ดีกว่าผู้หญิง และคนขาวฉลาดกว่าคนดำอีกด้วย และด้วยความที่ศาสตร์นี้ถูกมองว่าเป็น…
-
ย้อนรอย “แฮร์รี่ ไอน์สไตน์” ชายผู้เสียชีวิตบนเวทีแสดง แต่กลับถูกมองว่าเล่นตลกอยู่เท่านั้น
เมื่อพูดถึง แฮร์รี่ ไอน์สไตน์ คนที่ไม่เคยรู้จักเขามาก่อนก็คงจะถามขึ้นมาว่าเขาเป็นอะไรกับนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะเจ้าของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษรึเปล่า ซึ่งจริงๆ แล้วเขาเป็นเพียงนักแสดงตลกเท่านั้น แฮร์รี่ ไอน์สไตน์ เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 1904 ก่อนที่จะเติบโตขึ้นมาทำงานข่าวในเมืองบอสตัน อย่างไรก็ตามงานข่าวดูเหมือนจะไม่ใช่เส้นทางของเขาเท่าไหร่ และกว่าที่แฮร์รี่จะมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมันก็ตอนที่เขาแสดงตลกในปี 1934 เขาจะเป็นที่รู้จักในฐานะดาวตลกที่มีสำเนียงกรีกแบบสุดๆ ซึ่งก็น่าแปลกมากเพราะหากดูตามสายเลือดแล้ว แฮร์รี่เป็นชาวยิว-อเมริกันต่างหาก แฮร์รี่ ไอน์สไตน์มีชื่อเสียงในฐานะตัวตลก ก่อนช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเล็กน้อย และใช้ชีวิตอย่างมีชื่อเสียงเรื่อยมาจนกระทั่งในปี 1958 พออ่านมาถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะเริ่มสงสัยว่า จริงอยู่ที่แฮร์รี่ ไอน์สไตน์มีชื่อเสียงในสหรัฐฯ แต่แค่เป็นดาราก็ไม่น่าจะทำให้เรื่องราวของเขากลายเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลกใช่ไหม? คงต้องบอกว่าสิ่งที่ทำให้แฮร์รี่โด่งดังขึ้นมันมาจากความตายของเขาต่างหาก เพราะในวันที่ 23 พฤศจิกายน 1958 ขณะที่เขากำลังเผาเพื่อนตลกทั้งสองคนอยู่บนเวที จู่ๆ เขาก็เกิดอาการหัวใจวาย และล้มลงไปกลางเวที ท่ามกลางเสียงหัวเราะและปรบมือของผู้ชม ที่ไม่รู้ว่าเขาต่อสู้กับโรคหัวใจมาเป็นเวลานานแล้ว และคิดว่าเขาเพียงแค่แสดงตลกอยู่เท่านั้น กว่าที่ผู้ชมจะรับรู้ถึงความจริงที่เกิดขึ้นก็ในตอนที่เพื่อนร่วมงานของเขาตะโกนเรียกหมอออกมานั่นเอง แฮร์รี่ ไอน์สไตน์ ไม่นานก่อนที่จะเสียชีวิต และแม้ว่าในหมู่ผู้ชมจะมีหมออยู่ถึงห้าคนซึ่งรีบวิ่งเข้ามาทำการรักษาแบบฉุกเฉินที่หลังเวทีทันที แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถช่วยชีวิตแฮร์รี่ไว้ได้อยู่ดี แฮร์รี่ ไอน์สไตน์ เสียชีวิตด้วยวัย 54…
-
พบแหวนโบราณที่สลักนามสกุลของ “ป็อนติอุส ปีลาตุส” ชายผู้สั่งประหารพระเยซูเอาไว้
ในช่วงปี 1968-1969 นักโบราณคดีในอดีตได้ค้นพบวัตถุโบราณจำนวนมากที่พระที่นั่งเฮอรอด (Herodium) พระราชวังที่สร้างขึ้นที่สร้างขึ้นให้แก่พระเจ้าเฮโรดมหาราชผู้มีชีวิตอยู่ในช่วง 74-4 ปีก่อนคริสตกาล โดยหนึ่งในวัตถุโบราณที่ถูกค้นพบในเวลานั้น คือแหวนทองแดงวงหนึ่ง ซึ่งในเวลานั้นดูจะไม่ได้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากนัก และถูกส่งไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์พร้อมๆ กับวัตถุโบราณอื่นๆ แต่เมื่อไม่นานมานี้เองด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกลของวงการนักโบราณคดี ก็ได้ทำให้เราทราบว่าแหวนที่ดูจะธรรมดาวงนี้ อาจไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เราคิดก็ได้ นั่นเพราะบนแหวนทองแดงวงนี้ มีการสลักคำว่า “แห่งปีลาตุส” เอาไว้นั่นเอง จริงอยู่ที่ว่า ปีลาตุส เป็นนามสกุลที่พบได้ไม่บ่อยอันหนึ่งในสมัยโรมันโบราณ แต่ถึงอย่างนั้นในบรรดาคนที่ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ก็คงจะเคยได้ยินนามสกุลนี้กันมาบ้าง เพราะว่า “ป็อนติอุส ปีลาตุส” คือชื่อของชายผู้สั่งประหารชีวิตพระเยซูด้วยการตรึงกางเขนนั่นเอง แต่นามสกุลที่อยู่บนแหวน ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเดียวที่นักโบราณคดีพบ เพราะจากการตรวจสอบประวัติการใช้งานของพระที่นั่งเฮอรอด นักโบราณคดีก็พบว่าที่แห่งนี้เคยมีการใช้งานในสมัยของป็อนติอุสเสียด้วย นั่นทำให้แหวนวงนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นของป็อนติอุสจริงๆ และเป็นไปได้ว่ามันจะเป็นแหวนที่ใช้ในการหยดเทียนปิดผนึกจดหมาย เพื่อสร้างตราประจำตระกูลของเขานั่นเอง เหรียญกษาปณ์ ที่มีตราของป็อนติอุสอยู่ อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดขัดแย้งเลย เพราะคนที่มีตำแหน่งค่อนข้างสูงอย่างป็อนติอุสไม่น่าจะใช้แหวนทองแดงที่ไม่สมกับสถานะของเขาเช่นนี้ แถมที่แหวนเองก็ยังมีรูปของ “Krater” แจกันขนาดยักษ์ที่มักโผล่มาในผลงานภาพของชาวยิว ซึ่งผิดกับเชื้อชาติของป็อนติอุสที่เป็นชาวโรมัน แต่ถึงแม้ว่าแหวนที่พบนี้อาจจะไม่ใช่ของตัวป็อนติอุส โดยตรงเลยก็ตาม แต่มันก็เป็นไปได้สูงว่าแหวนนี้จะเป็นของคนใกล้ตัวหรือใกล้ชิดกับป็อนติอุสมากพอที่จะใช้นามสกุลเดียวกันได้อยู่ดี อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน นักโบราณคดียังไม่ทิ้งความเป็นไปได้ที่ว่าแหวนวงนี้อาจจะเป็นของคนที่มีนามสกุลเดียวกันกับป็อนติอุสเฉยๆ…
-
ย้อนรอย “ปีศาจโดเวอร์” สัตว์ประหลาดปริศนาที่เป็นที่หวาดกลัวของวัยรุ่นเมื่อปี 1977
เคยได้ยินเรื่องของ “ปีศาจโดเวอร์” กันไหม? มันเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับหรือไม่ก็มนุษย์ต่างดาว ที่เชื่อกันว่าปรากฏตัวที่เมืองโดเวอร์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ในปี 1977 เรื่องราวของปีศาจตัวนี้ เริ่มต้นขึ้นในเดือนเมษายน เมื่อมีเด็กวัยรุ่นหลายคน พบกับเหตุการณ์คล้ายๆ กัน โดยพวกเขาบอกว่าเห็น “สิ่งมีชีวิตประหลาด” ที่มีดวงตาสะท้อนแสงขนาดใหญ่ หัวโต และฝ่ามือเรียวยาวคล้ายไม้เลื้อย ผู้เห็นเหตุการณ์คนแรกคือวิลเลียม บาร์ทเล็ทท์ วัย 17 ปี ในระหว่างที่เขากำลังขับรถกลับจากงานเลี้ยงกับเพื่อนอีกสองคน โดยเขาบอกว่าสิ่งที่เขาเห็นมันกำลังเดินไปตามกำแพงโดยใช้นิ้วมืออันยาวของมันไต่ตามก้อนหิน และมีลักษณะโดยรวมน่าเกลียดน่ากลัวมาก ส่วนเหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์แรกราวๆ 2 ชั่วโมง จอห์น แบกซ์เตอร์ อายุ 15 ปี ขณะกำลังเดินกลับมาจากบ้านแฟนสาว และอธิบายลักษณะของสิ่งที่เห็นไว้ใกล้เคียงกับวิลเลียมมากๆ ภาพที่ จอห์น แบกซ์เตอร์ใช้อธิบายสิ่งที่เขาเห็น ในตอนแรกคนส่วนใหญ่ชื่อว่าเด็กทั้งสองนั้นน่าจะตาฝาดไปเอง แต่ในคืนต่อมานั้นเอง แอ็บบี อับราฮัม อายุ 15 ปี และ วิลล์ เทนเตอร์ อายุ 18 ปีก็ออกมาบอกว่าพวกเขาก็พบกับ ปีศาจโดเวอร์ เช่นกัน เมื่อข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไป…
-
รู้หรือไม่ ในยุคที่สหรัฐฯ ห้ามขายสุรา เคยมีการใช้ “รองเท้ากีบวัว” เพื่อตบตาสายตรวจด้วย
ในช่วงปี 14 ปี ระหว่างปีคริสต์ศักราช 1919-1933 เป็นช่วงที่สหรัฐอเมริกาห้ามขายเครื่องดื่มมึนเมาในประเทศอย่างเด็ดขาด นั่นทำให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศกลายเป็นของผิดกฎหมาย ที่หากอยากจะดื่มจริงๆ ก็ต้องมีการซื้อขายกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ ราวกับยาเสพติด หน่วยดูแลและปราบปรามเครื่องดื่มมึนเมา กับการทำลายสุราที่ยึดมาได้ในสมัยนั้น ด้วยเหตุนี้เอง สุราในสมัยนั้นจึงถูกผลิตและแอบขายโดยแก๊งใต้ดินหรือกลุ่มมาเฟีย และทำกันในที่ลับตาอย่างในป่าในเขา จนรอยเท้ากลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือชิ้นสำคัญที่ทางตำรวจใช้ตามตัวของคนร้ายไป และเมื่อสมาชิกของแก๊งเริ่มถูกจับบ่อยเข้า ทางแก๊งใต้ดินและกลุ่มมาเฟียก็ได้เริ่มหาทางป้องกันการแกะรอยเท้าของทางตำรวจขึ้นมา โดยหนึ่งในวิธีการที่พวกเขาใช้ก็คือการใส่รองเท้ากีบวัวนั่นเอง นี่เป็นรองเท้าแบบพิเศษที่ได้รับการดัดแปลงส่วนพื้นรองเท้าใช้มีลักษณะเหมือนกีบของสัตว์ ด้วยการติดแผ่นไม้ ที่ตัดแต่งมาอย่างดีลงไป จริงอยู่ที่ว่ารองเท้าในรูปแบบนี้จะทำให้ผู้ใส่เดินยากขึ้นมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็ช่วยปลอมแปลงรอยเท้าของพวกเขาจนต่อให้ตำรวจที่ลาดตระเวนในป่ามาเห็นเข้าก็คิดเพียงแค่ว่าเป็นรอยเท้าของสัตว์เท่านั้น แผ่นไม้ที่ติดใต้รองเท้าจะเป็นตัวแทนของทั้งเท้าหน้าและเท้าหลังของวัวไปพร้อมๆ กัน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ารองเท้าแบบนี้จะไม่ใช่สิ่งที่ใช้งานได้เสมอไป เพราะในสมัยนั้นกรมตำรวจก็ได้มีการยึดรองเท้าในรูปแบบนี้เป็นหลักฐานไว้จำนวนหนึ่ง แถมในปี 1922 เองก็มีหนังสือที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับรองเท้าแบบนี้ออกมาเช่นกัน นั่นเป็นหลักฐานอย่างดีว่าแม้จะมีการใช้รองเท้าดังกล่าวตำรวจก็สามารถตามจับคนแอบขายสุราได้อยู่ดี ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่การใช้รองเท้าแบบนี้จะค่อยๆ ลดลงไปในช่วงปลายของยุคห้ามขายเครื่องดื่มมึนเมา แต่แม้ยุคสมัยของการห้ามขายเครื่องดื่มมึนเมาในสหรัฐอเมริกาจะจบลงไปแล้ว การใช้ปลอมแปลงรอยเท้าด้วยรองเท้าในรูปแบบนี้ก็ใช่ว่าจะหายไปเลยเสียทีเดียว เชื่อกันว่าแนวคิดของรองเท้าแบบนี้น่าจะได้มาจากนวนิยายเรื่องเชอร์ล็อก โฮล์มส์ ของโคนัน ดอยล์ เพราะในช่วงสงครามโลกเองเหล่าผู้แทรกซึมเข้าไปในเยอรมนีก็มีการใช้รองเท้าที่จะทำรอยเท้ากลับด้าน เพื่อหลอกทหารนาซีให้ตามรอยเท้าไปผิดทางอยู่เช่นกัน และไม่แน่เหมือนกันว่าแม้แต่ในปัจจุบัน การปลอมรอยเท้าแบบนี้ก็อาจจะยังมีการใช้งานกันอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของโลกด้วยก็เป็นได้ ที่มา rarehistoricalphotos
-
21 ภาพการอ่านหนังสือพิมพ์ในอดีต เพราะ “สังคมก้มหน้า” มีมาก่อนยุคสมาร์ทโฟนเยอะ
ตั้งแต่ที่มีการผลิตสมาร์ทโฟนออกมา เราก็มักจะได้ยินคนออกมาบอกว่าโทรศัพท์ทำให้สังคมของเรากลายเป็นสังคมก้มหน้า เพราะเดี๋ยวนี้มีแต่คนก้มหน้าเล่นมือถือเต็มไปหมด ว่าแต่ทราบกันหรือเปล่าว่าปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่าสังคมก้มหน้านั้น มันไม่ได้เพิ่งมาเกิดกันในสมัยนี้หรอก เพราะในอดีตเองก็มีคนมากมายที่เลือกจะก้มหน้าอยู่กับหนังสือพิมพ์มากกว่าที่จะพูดคุยกับผู้คนเช่นกัน ไม่เชื่อก็ลองดูภาพต่อไปนี้ดูสิ เริ่มกันจากเหล่าผู้คนที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์ข้างถนน หรือบนรถโดยสาร ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็มีคนรักความเป็นส่วนตัว และไม่ว่าจะในยุคไหนการคุยกับคนแปลกหน้าก็ยากกว่าการอยู่กับตัวเอง ยิ่งในยุคที่มีหูฟังคนก็ยิ่งมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น พวกเขาก็พกหนังสือพิมพ์ไปทุกที่ ไม่ว่าจะบนรถไฟ ไปเที่ยวเล่น เวลารอรถ ระหว่างการเดินทาง เวลาพักจากการทำงาน หรือแม้กระทั่งเวลาข้ามถนน เพราะนี่เป็นการรับข่าวสารในสมัยนั้น แถมยังเป็นการฆ่าเวลาที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะในเวลาที่เราต้องรออะไรนานๆ หรือเดินทางไปในที่ที่มีคนไม่รู้จักเป็นจำนวนมาก จริงอยู่ว่าการอ่านหนังสือพิมพ์ อาจจะดูดีกว่าการเล่นโทรศัพท์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป้าหมายของทั้งสองก็แทบจะไม่มีความแตกต่าง มันคือการหลีกหนีจากโลกที่วุ่นวาย ก้าวผ่านช่วงเวลาที่น่าเบื่อ และใช้ชีวิตอย่างเป็นส่วนตัว อย่างที่อยากทำนั่นเอง ที่มา vintag
-
ย้อนรอยเหตุการณ์หมอกพิษครั้งใหญ่แห่งกรุงลอนดอน ที่นำมาซึ่งความเสียหายที่รุนแรงที่สุด
เชื่อว่าเพื่อนๆ บางคนอาจจะเคยได้ยินฉายาของกรุงลอนดอนที่ว่า “เมืองแห่งหมอก” กันมาบ้าง ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าเจ้าหมอกแห่งกรุงลอนดอนที่ว่านี้ ในอดีตเคยทำให้คนตายเป็นจำนวนมากมาแล้ว เรื่องมันเกิดขึ้นในวันที่ 5 ธันวาคม 1952 โดยในปีนั้น อากาศในหน้าหนาวของอังกฤษหนาวมากอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นคนในสมัยก่อนจึงจุดเตาผิงอยู่ในบ้านกันทั่วเมือง โดยที่ไม่รู้เลยว่าการกระทำของพวกตนจะนำมาซึ่งเรื่องเลวร้ายแบบไหน เผอิญในช่วงนั้นมีปรากฏการณ์แอนไทไซโคลนเกิดขึ้นในกรุงลอนดอน ซึ่งคอยกักอากาศเย็นให้อยู่ที่ระดับพื้นไปพร้อมๆ กับควันที่ออกมาจากการเผาไหม้ของชาวเมืองเอง นั่นทำให้กรุงลอนดอนในเวลานั้นต้องถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มหมอกควันที่เกิดจากมลภาวะทางอากาศผสมกับควันไฟ หมอกควันในครั้งนี้มีความหนาแน่นสูงมาก จนทำให้ทัศนวิสัยไม่ดีจนเกิดอุบัติเหตุไปทั่วถนน และระบบขนส่งมวลชนแทบวิ่งไม่ได้ โดยมีเพียงรถรางเท่านั้นที่ยังทำงานได้ตามปกติ ในเวลานั้นว่ากันว่าในบางพื้นที่ผู้สัญจรไปมาถึงกับมองไม่เห็นเท้าตัวเองเลยด้วยซ้ำ แต่เท่านั้นยังไม่พอเพราะการที่หมอกควันเป็นหมอกมีพิษยังทำให้สุขภาพของประชาชนย่ำแย่ลงอีกด้วย เพราะหน้ากากกันควันในสมัยนั้นแทบไม่ได้ช่วยอะไรพวกเขาเลย และนับว่าเป็นโชคร้ายเข้าไปอีกเพราะในวันนั้นแทบจะไม่มีลมพัดเลย หมอกควันจึงปกคลุมเมืองอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน จนถึงขั้นที่ว่าหมอกควันบางส่วนทะลักเข้าไปในที่อยู่อาศัยเลยทีเดียว โชคดีที่ราวๆ ห้าวันหลังจากนั้นภาวะหมอกพิษนี้ก็ลดลงไปจนลอนดอนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ก็ต้องแลกมาต้องชีวิตของชาวเมืองที่ต้องเสียไปโดยอุบัติเหตุ ควันพิษ หรือแม้กระทั่งเหตุอาชญากรรมที่อาศัยหมอกหนาในช่วงนั้น ยังไม่รวมสุขภาพของประชาชนที่ถดถอยลงไปจากการสูดดมควันพิษเป็นเวลานานอีก เหตุการณ์ในครั้งนี้ถึงกับทำให้ทางอังกฤษต้องออกกฎหมายความสะอาดทางอากาศในปี 1956 เลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่เหตุการณ์หมอกควันในลอนดอนอยู่ดี ที่มา historydaily
-
5 อุบัติเหตุและเรื่องบังเอิญในอดีตที่นำมาซึ่งสิ่งดีๆ ที่เรารู้จักกันในปัจจุบันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อพูดถึงการเกิดอุบัติเหตุ หลายๆ คนอาจจะนึกถึงเรื่องเลวร้ายก่อนเป็นอย่างแรก แต่หากมองตามรูปศัพท์จริงๆ แล้วคำว่า “อุบัติเหตุ” นั้นไม่ได้มีความหมายในทางที่ไม่ดีเท่านั้น และเพียงแค่สื่อถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญก็เท่านั้น นั่นทำให้ในบางครั้งอุบัติเหตุก็อาจจะนำมาซึ่งเรื่องดีได้เช่นกัน เหมือนอย่างอุบัติเหตุในอดีตที่นำมาซึ่งสิ่งดีๆ ทั้ง 5 อย่างต่อไปนี้ เบียร์ แม้ว่าเราจะยังไม่มีหลักฐานแน่นอนว่าเบียร์เกิดขึ้นครั้งแรกที่ไหน แต่นักโบราณคดีส่วนใหญ่ก็เห็นพ้องกันว่าเบียร์นั้นน่าจะเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุหรือเรื่องบังเอิญแน่ๆ เป็นไปได้ว่าในสมัยก่อนเมล็ดข้าวที่มีการเก็บไว้ (น่าจะเพื่อทำขนมปัง) จะโดนน้ำจนเปียกและกลายเป็นอาหารให้กับยีสต์จนเกิดเป็นแอลกอฮอล์ไป และคงมีใครสักคนในยุคนั้นเอาไปชิมและติดใจจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทำเบียร์ไปนั่นเอง ปอมเปอี จริงอยู่ว่าการที่จู่ๆ ภูเขาไฟก็ปะทุจนเถ้าภูเขาไฟทำคนให้ทั้งเมืองตายอาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุที่ดีเท่าไหร่ แต่ในทางกลับกันก็เป็นเหตุการณ์ที่มีคุณค่าทั้งในทางโบราณคดีและการท่องเที่ยวมาก นั่นเพราะหลายร้อยหลายพันปีต่อมาหลังจากภูเขาไฟวิสุเวียสปะทุ ที่แห่งนี้ก็กลายเป็นแหล่งโบราณคดีชั้นยอด แถมยังดึงดูดนักท่องเทียวมายังอิตาลีถึงปีละกว่า 2.5 ล้านคนเลยทีเดียว ภาพเอกซเรย์ จริงอยู่ว่าเทคโนโลยีเอกซเรย์นั้นเป็นสิ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยความตั้งใจ แต่เชื่อหรือไม่ว่ามันถูกค้นพบด้วยความบังเอิญ เรื่องของเรื่องคือในปี 1895 ระหว่างที่นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน ศึกษารังสีแคโทดภายในหลอดสุญญากาศอยู่ เขาก็พบว่ามีรังสีที่มองไม่เห็นอันหนึ่งมีอำนาจทะลุทะลวงสูงจึงเรียกมันว่ารังสี X (เอกซเรย์) นั่นเอง และต้องบอกว่าโชคดีที่วิลเฮล์มมีอุปกรณ์ทดลองที่ค่อนข้างดี เขาจึงไม่ได้รับอันตรายจากเอกซเรย์ ไอศกรีมแท่ง หากดูจากความง่ายในการทำไอศกรีมแท่งแล้วหลายๆ คนคงไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่จะบอกว่า ไอศกรีมแท่งนั้นเกิดขึ้นจากความบังเอิญ ไอศกรีมแท่งนั้นเกิดขึ้นในหน้าหนาวของแคลิฟอร์เนียในปี 1905 โดยเด็กชาย 11…
-
ย้อนรอย “เฟเดริก ดักลาส” จากทาสสู่นักเขียน ผู้ช่วยให้เกิดการเลิกทาสแห่งสหรัฐอเมริกา
เคยได้ยินเรื่องของเฟเดริก ดักลาสกันไหม? เขาคือนักเขียนชาวแอฟริกัน-อเมริกันที่มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 และมีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องการเอาความจริงอันโหดร้ายของชีวิตทาสไปเปิดเผยต่อคนผิวขาวนั่นเอง เฟเดริก ดักลาสนั้นเดิมทีแล้วเกิดมาในฐานะทาสเมื่อปี 1818 ก่อนที่จะเริ่มเรียนการอ่านเขียนด้วยตัวเอง และหนีออกมาจากการเป็นทาสในหลังจากที่อ่านเขียนได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว เขาใช้ชีวิตในนิวยอร์กอยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งแต่งงานในปี 1838 และย้ายไปใช้ชีวิตในรัฐแมสซาชูเซต ซึ่งในเมืองนี้เองที่เขาได้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มต่อต้านการใช้ทาสแห่งสหรัฐอเมริกา และเขียนหนังสือที่จะทำให้เขาเป็นตำนาน งานเขียนหลายชิ้นของเขาอย่าง Narrative of the Life of Frederick Douglass, an American Slave นับว่ามีอิทธิพลในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่หนังสือเล่มนี้จะทำให้คนผิวขาวรู้ถึงความลำบากของทาสแล้ว มันยังเป็นผลงานที่ปฏิเสธแนวคิดที่ว่าคนผิวสีมีสติปัญญาต่ำกว่าคนขาว และว่ากันว่านี่เป็นผลงานที่ช่วยให้เกิดการเลิกทาสขึ้นในเวลาต่อมาเลยด้วย เฟเดริก ดักลาส ในช่วงปี 1848 แต่ผลงานของเฟเดริกนั้นไม่ได้มีเพียงเรื่องทาสเท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้สนับสนุน เรื่องความเท่าเทียมในรูปแบบอื่นๆ เช่นความเท่าเทียมทางเพศอีกด้วย นอกจากนี้เฟเดริกยังเป็นเจ้าของคำคมมากมายในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็น “ข้าพเจ้าจะเข้าร่วมกับใครก็ตามเพื่อทำสิ่งที่ถูก และไม่เข้าร่วมกับใครเพื่อทำสิ่งที่ผิด” หรือ “การมีทาสนั้นเป็นศัตรูของทั้งตัวทาสเองและเจ้าของทาส” แต่คำพูดที่ทรงพลังที่สุดของเขานั้นก็คงจะเป็นคำพูดที่ว่า “สำหรับทาสอเมริกันแล้ว วันที่ 4 กรกฎาคมเป็นวันอะไร” เพราะแม้ว่านี่จะเป็นวันประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา…
-
พบ “หน้ากากหินโบราณ” อายุราว 9,000 ปี ที่อิสราเอล เชื่อเคยถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มีอยู่บ่อยครั้งที่นักโบราณคดีจะค้นพบวัตถุโบราณแปลกๆ จากสมัยก่อน ที่แค่เห็นหน้าตาของมัน เราก็รู้สึกไปเองได้ว่าของเหล่านั้นมันจะต้องมีคำสาปอยู่แน่ๆ เลย เพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง นักโบราณคดีก็ได้มีการค้นพบหน้ากากหินหน้าตาชวนขนลุก ในภูมิภาค Pnei Hever ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเทือกเขาฮีบรอน ประเทศอิสราเอล โดยนี่เป็นหน้ากากหินที่มีอายุราวๆ 9,000 ปี ซึ่งมีรูปร่างคล้ายหน้ากากฮอกกี้ มีการเจาะรูสี่รูที่คาดว่าเพื่อใช้ในการร้อยเชือกเพื่อผูกติดกับใบหน้า และผิวหน้ากากที่เรียบเนียนอย่างไม่น่าเชื่อ มันถูกทำให้มีรูปร่างโค้งที่จมูกเพื่อให้เข้ากับใบหน้าผู้ใส่ แถมยังมีร่องรอยของการแกะสลักรูปฟันลงไปที่รอบๆ รูที่บริเวณปากอีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นงานฝีมือที่ประณีตมากเมื่อเทียบกับอายุของมัน จากคำบอกเล่าของทางนักโบราณคดี การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญของชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งคาดว่าไปพบกับหน้ากากนี้เข้าในระหว่างทำการเกษตร ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าในบริเวณใกล้เคียง อาจจะมีวัตถุโบราณอื่นๆ ฝังเอาไว้ด้วย จากการวิเคราะห์ในเบื้องต้น เป็นไปได้ว่าหน้ากากที่มีการค้นพบนี้ น่าจะมาจากยุคหินใหม่ หรือไม่ก็ยุคก่อนการใช้เครื่องปั้นดินเผา บี (Pre-Pottery Neolithic B) และเชื่อว่าน่าจะเป็นหน้ากากที่ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาของคนสมัยก่อน อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการค้นพบหน้ากากในรูปแบบนี้ เพราะในปี 1970 เองก็เคยมีการค้นพบหน้ากากที่มีลักษณะใกล้เคียงกันมาแล้วเช่นกัน ในเวลานี้หน้ากากที่พบได้ถูกส่งไปเก็บไว้กับหน่วยป้องกันการโจรกรรมโบราณวัตถุของ IAA (คือหน่วยอะไร) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และทางนักโบราณคดีก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาจจะมีการค้นพบวัตถุโบราณอื่นๆ จากพื้นที่ภูมิภาค Pnei Hever ในเร็วๆ นี้…
-
นักวิทย์บอก “มนุษย์นีแอนเดอธัล” อาจมีโทนเสียงสูง และไม่สามารถออกเสียงบางสระได้
ตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบันเรามีการผลการวิจัยมากมายเกี่ยวกับมนุษย์นีแอนเดอธัล ไม่ว่าจะเป็นความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ในสมัยก่อน อุปนิสัย หรือแม้กระทั่งหน้าตา ว่าแต่เคยสงสัยไหมว่ามนุษย์นีแอนเดอธัลนั้นจะมี “เสียง” แบบใดกันแน่ เป็นเรื่องที่ทราบกันดีตั้งแต่ในอดีตแล้วว่ามนุษย์นีแอนเดอธัลนั้นน่าจะมีความสามารถในการส่งเสียงได้คล้ายกับมนุษย์ในสมัยก่อน โดยการอ้างอิงจากการวิจัยโครงกระดูกของพวกเขาในปี 2013 นั่นเป็นเพราะมนุษย์นีแอนเดอธัล มีกระดูกไฮออยด์ที่ทำหน้าที่ค้ำจุนโคนลิ้นเช่นเดียวกับมนุษย์ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีที่จะล้มล้างทฤษฎีที่ว่ามนุษย์นั้นเพิ่งจะมามีความสามารถในการพูดเมื่อราวๆ 100,000 ปีก่อนเท่านั้น อย่างไรก็ตามอวัยวะการออกเสียงของมนุษย์นีแอนเดอธัลก็ใช่ว่าจะเหมือนของมนุษย์เสียทีเดียว ซึ่งนั่นทำให้โดยรวมแล้วนีแอนเดอธัลน่าจะมีโทนเสียงต่างไปจากมนุษย์ปัจจุบันพอสมควร โดยจากคำบอกเล่าของดร.โรเบิร์ต แม็กคาร์ธีแห่งมหาวิทยาลัยฟลอริดาแอตแลนติก ดูเหมือนว่ามนุษย์นีแอนเดอธัลจะไม่สามารถออกเสียงสระในบางรูปแบบได้ และอาจจะมีโทนเสียงที่สูงกว่ามนุษย์ทั่วไปในระดับหนึ่ง คลิปที่มีการอธิบายเสียงของมนุษย์นีแอนเดอธัลเอาไว้จากช่อง BBC Studios นั่นเป็นเพราะรูปร่างของกะโหลกที่ใหญ่บวกกับรูปร่างของหน้าอก และลำคอของนีแอนเดอธัลนั้น เหมาะแก่การออกเสียงที่ดัง และแหลมสูงนั่นเอง จริงอยู่ว่าเพียงแค่ลักษณะของลำคอเองอาจจะไม่สามารถนำมาฟันธงเสียงโดยรวมของมนุษย์นีแอนเดอธัลได้ แต่หากผลงานวิจัยนี้เป็นจริง เราก็อาจจะต้องเปลี่ยนภาพลักษณ์ของมนุษย์ในอดีตไปพอสมควรเลย เพราะโทนเสียงที่สูงของมนุษย์นีแอนเดอธัลนั้นทำให้พวกเขาไม่น่าจะสื่อสารกันด้วยเสียงต่ำๆ อยู่ในคออย่าที่เราคิด กลับกันชาวนีแอนเดอธัลน่าจะสื่อสารกันด้วยเสียงสูงคล้ายเสียงกรี๊ดเสียมากกว่านั่นเอง น่าเสียดายที่งานวิจัยนี้ไม่อาจจะไขข้อถกเถียงที่มีมาอย่างยาวนานที่ว่าชาวนีแอนเดอธัลมีการสื่อสารด้วยภาษาหรือไม่ แต่อย่างน้อยๆ เราก็ทราบว่าพวกเขาน่าจะมีอวัยวะที่เพียบพร้อมพอที่จะใช้ในการพูดคุยหากต้องการจริงๆ ที่มา thevintagenews
-
24 ภาพสุดงามจากเส้นทางรถไฟใต้ดินแห่งทาชเคนต์ ระบบขนส่งแห่งอุซเบกิสถาน
เคยได้ยินชื่อ “รถไฟใต้ดินทาชเคนต์” กันมาก่อนไหม? นี่เป็นระบบขนส่งในกรุงทาชเคนต์ เมืองหลวงของประเทศอุซเบกิสถานนั่นเอง แต่นี่ไม่ใช่เพียงแค่ระบบขนส่งธรรมดาๆ ที่เห็นได้ทั่วไปหรอกนะ เพราะรถไฟใต้ดินทาชเคนต์นั้นว่ากันว่าเป็นเส้นทางที่มีสถานีรถไฟฟ้าหรูหราที่สุดในโลกเลยทีเดียว แถมยังไม่ใช่สถานที่ที่หาชมภาพกันได้ง่ายๆ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่นี่เคยมีกฎห้ามถ่ายภาพ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชม 24 ภาพสุดงดงามจากเส้นทางรถไฟใต้ดินสุดหรูแห่ง “ทาชเคนต์” ไปดูกันดีกว่าว่าที่นี่หรูหราขนาดไหนกันถึงต้องห้ามถ่ายภาพมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เริ่มกันจากภาพทางเดินของสถานี Yunus Rajabiy งานศิลปะประดับกำแพงของสถานีทาชเคนต์ ทางเดินในสถานีทาชเคนต์ ดูงานแกะสลักที่กำแพงนั่นสิ แค่ลงบันไดเลื่อนมาก็ทึ่งแล้ว อันนี้งานศิลป์จากสถานี Buyuk Ipak Yuli ภาพของ Valentina Tereshkova หญิงสาวคนแรกที่ได้ขึ้นสู่อวกาศ ทางเดินในสถานี Gafur Qulom ทางเข้าสถานี Pakhtakor ในสถานีมีหลุมหลบภัยสำหรับหลบระเบิดด้วยนะ งานศิลป์ของทหารกองทัพแดงกับธงรูปค้อนเคียวที่ถูกลบออกไป ดูความงามนี่เสียก่อน เดินๆ ไปอาจจะมีแสบตากันบ้าง จะตกบันไดก็เพราะมัวดูความงามนี่ละ …
-
“สเตฟาน แมนเดล” ชายผู้ถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ถึง 14 ครั้ง ด้วยพลังของคณิตศาสตร์
สำหรับคนไทยหลายๆ คนแล้ว วันที่ 1 กับวันที่ 16 ของแต่ละเดือนก็คงจะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากๆ เลยก็ว่าได้ เพราะนี่เป็นเวลาที่เราจะได้ทราบกันว่าลอตเตอรี่ที่ซื้อมานั้นถูกหรือไม่นั่นเอง ว่าแต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้า #เหมียวศรัทธา บอกว่าในอดีตเคยมีคนคิดวิธีที่จะซื้อลอตเตอรี่ให้มันถูกแทบจะแน่นอน จนตัวเขาเองถูกรางวัลใหญ่ถึง 14 ครั้งทั่วโลกล่ะ? เพราะนี่เป็นเรื่องราวของ “สเตฟาน แมนเดล” นักเศรษฐศาสตร์ชาวโรมาเนีย ผู้โลดแล่นอยู่ในวงการลอตเตอรี่ในช่วงยุค 80-90 นั่นเอง เรื่องราวมันเกิดขึ้นจากการที่ประเทศโรมาเนียที่เขาอยู่นั้น ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ทำให้สเตฟานมีรายได้ที่ต่ำมากๆ ทั้งที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ เขาจึงหาทางรวยทางลัดด้วยการซื้อหวยแบบคนทั่วไป แต่สเตฟานนั้นต่างจากคนธรรมดาทั่วไป เพราะเขาจะซื้อหวยด้วยการคำนวณทางคณิตศาสตร์มาก่อนนั่นเอง นั่นเพราะด้วยระบบลอตเตอรี่ในสมัยนั้น มีความเป็นไปได้ที่เงินรางวัลจะมีมูลค่าโดยรวมมากกว่าโอกาสถูกลอตเตอรี่เสียอีก เช่นโอกาสถูกรางวัลหนึ่งในสามล้าน แต่เงินรางวัล 11 ล้านเหรียญเป็นต้น นั่นหมายความว่าต่อให้ซื้อลอตเตอรี่มันทุกตัวเลข (ซึ่งลอตเตอรี่ในสมัยนั้นมักราคาแค่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) สเตฟานก็จะได้กำไร 8 ล้านเหรียญอยู่ดี หลังหักลบภาษีแล้ว การซื้อลอตเตอรี่ในรูปแบบนี้ จะทำให้สเตฟานจะต้องเล็งซื้อลอตเตอรี่ที่มีรางวัลมากกว่าต้นทุน 3 เท่าขึ้นไปเพื่อที่จะให้ได้กำไรในระดับที่พอรับได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์คนนี้กลัวเลย เพราะระบบการออกลอตเตอรี่ในสมัยนั้นมันง่ายมาก เพราะไม่เพียงแต่จะซื้อลอตเตอรี่กี่ใบก็ได้ แต่ในหลายๆ ครั้งเขายังสามารถพิมพ์เบอร์ที่ต้องการลงไปยังลอตเตอรี่โดยตรงได้เลยด้วย นั่นทำให้การซื้อลอตเตอรี่ของสเตฟานกลายเป็นกิจการไป เขามีผู้ให้ความร่วมมือมากมาย…
-
นักโบราณคดีพบในถ้ำโบราณสองแห่งที่เมืองคุมราน เชื่ออาจมี “ม้วนหนังสือเดดซี” อยู่ภายใน
ม้วนหนังสือเดดซี (Dead Sea Scrolls) คือวัตถุโบราณที่ถูกพบเป็นจำนวนมากภายในถ้ำใกล้ๆ “ทะเลเดดซี” ทะเลสาบน้ำเค็มที่มีความเข้มข้นของเกลือสูงมากจนคนลอยตัวได้แบบไม่มีวันจม ที่ผ่านมาม้วนหนังสือเดดซีจะมีการค้นพบในถ้ำร่วม 12 แห่ง ในเขตของเมืองคุมรานประเทศอิสราเอล โดยถ้ำ 11 แห่งแรกถูกค้นพบในช่วงระหว่างปี 1947-1956 ส่วนถ้ำที่ 12 เพิ่งถูกพบไปในปี 2017 ม้วนหนังสือเดดซีที่เคยมีการค้นพบ ถ้ำที่ 12 นั้นแม้ว่าจะมีร่องรอยของวัตถุโบราณก็จริง แต่ม้วนหนังสือเดดซีที่พบที่นี่กลับเป็นแค่กระดาษเปล่า และเชื่อกันว่าตัวม้วนหนังสือจริงๆ อาจจะถูกขโมยไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่เมื่อล่าสุดนี้เอง นักโบราณคดีก็ได้ค้นพบถ้ำอีกสองแห่งที่อาจจะมีม้วนหนังสือเดดซีอยู่ภายในจนได้ โดยนี่เป็นถ้ำสองแห่งที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับถ้ำที่ 12 และมีร่องรอยของ ม้วนหนังสือเดดซี อยู่เช่นกัน ภาพของถ้ำที่ถูกค้นพบในครั้งนี้ ถ้ำที่พบนั้นในปัจจุบันถูกตั้งชื่อว่าถ้ำ “53b” และ “53c” โดยภายในตัวถ้ำ 53b นักโบราณคดีได้พบกับหม้อที่ทำจากทองแดง ขวด ถ้วย และชิ้นส่วนของสิ่งทอ น่าแปลกที่ในปัจจุบัน นักโบราณคดีกลับยังไม่มีการพบตัวม้วนหนังสือเดดซีในตัวถ้ำทั้งสองนี้ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าถ้ำที่พบนี้ น่าจะเคยถูกโจรเข้ามาขโมยม้วนหนังสือเช่นเดียวกับถ้ำก่อนหน้า ม้วนหนังสือเดดซีที่เคยมีการค้นพบ แต่แม้ว่าถ้ำ 53b อาจจะไม่มีม้วนหนังสือเดดซีอยู่แล้วก็ตาม ทางนักโบราณคดีก็ยังไม่หมดหวัง…
-
ย้อนรอยเรื่องราวของ “โรเบิร์ต วิลเลียมส์” ชายคนแรกของโลก ที่ถูกสังหารโดยหุ่นยนต์
เมื่อพูดถึงหุ่นยนต์หลายๆ คนก็คงจะนึกถึงเครื่องมือสุดสะดวกสบายที่จะมารับใช้มนุษย์ในอนาคต แต่ในขณะเดียวกันก็คงมีอีกหลายคนเช่นกันที่นึกถึงภัยร้ายที่มนุษย์อาจจะพบ หากจู่ๆ หุ่นยนต์ก่อกบฏขึ้นมาเช่นกัน ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าในประวัติศาสตร์เคยมีการบันทึกเหตุการณ์หุ่นยนต์ทำร้ายมนุษย์มาแล้วจริงๆ โดยเขาคนนั้นคือ “โรเบิร์ต วิลเลียมส์” ชายผู้ได้รับการบันทึกโดยกินเนสบุ๊กว่าเป็นชายคนแรกของโลก ที่ถูกสังหารโดยหุ่นยนต์ เรื่องราวมันเกิดขึ้นในวันที่ 25 มกราคม 1979 ในโรงงานของบริษัทฟอร์ดมอเตอร์ บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา โดยในวันนั้นจู่ๆ เครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ใช้ในสายการผลิตก็เกิดการส่งข้อมูลผิดพลาดขึ้น นั่นทำให้วิลเลียมส์ที่ในเวลานั้นอายุได้ 25 ปีได้รับคำสั่งให้เข้าไปตรวจสอบข้อมูลจริงๆ ที่ควรจะถูกส่งมา และในระหว่างที่กำลังทำงานนั้นเอง เขาก็ถูกแขนกลที่ทำงานอยู่ในเวลานั้นฟาดเข้าที่ศีรษะอย่างจังจนเสียชีวิต แม้ว่าความตายของวิลเลียมส์นั้นเป็นอุบัติเหตุอย่างแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นถึงระบบการทำงานที่ยังไม่รัดกุมของสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากตัวแขนกลเองจะไม่มีระบบป้องกันแล้ว ในที่ทำงานยังไม่มีระบบเตือนภัย หรือเทคโนโลยีที่จะทำให้หุ่นยนต์เปลี่ยนการทำงานในกรณีที่มีคนเข้ามาในพื้นที่เลย แน่นอนว่าทางวิศวกรส่วนใหญ่ในประเทศเองก็คิดแบบเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ครอบครัวของวิลเลียมส์จะสามารถชนะคดีกับบริษัทที่ผลิตแขนกลไป และได้ค่าทำขวัญถึง 10 ล้านเหรียญในสมัยนั้น นับตั้งแต่วันนั้นมาโลกเราก็ได้เห็นความตายที่เกิดขึ้นจากหุ่นยนต์อีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการที่มือกลผลักคนงานชาวญี่ปุ่นจนตกจากที่สูงโดยบังเอิญในปี 1981 หรืออุบัติเหตุกับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในทศวรรษต่อมา จริงอยู่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านั้นล้วนแต่เป็นอุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของหุ่นยนต์แต่อย่างใด แต่นี่ก็เป็นเครื่องย้ำเตือนอย่างดีว่าหากมนุษย์ไม่รอบคอบกับการใช้เครื่องมือ เราก็อาจจะต้องพบกับจุดจบที่ไม่ดีเท่าไร่ก็เป็นได้ ที่มา howstuffworks, wired
-
20 ภาพจากโปรเจกต์อพอลโลของนาซา ซึ่งออกมาต่อสู้กับทฤษฎีมนุษย์ไม่เคยไปดวงจันทร์
ตั้งแต่ที่ยานอพอลโล 11 ลงจอดบนดวงจันทร์ในปี 1969 เวลาก็ผ่านไปหลายทศวรรษแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนอยู่เป็นจำนวนมากที่ยังคงเชื่อว่ามนุษย์เราไม่เคยไปดวงจันทร์กันจริงๆ อยู่ดี เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นแม้จะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ก็เหมือนกับเป็นการปฏิเสธการทำงานอย่างยากลำบากของเหล่านักบินอยู่ดี ด้วยเหตุนี้เองทางนาซาจึงตัดสินใจปล่อยภาพที่มีการบันทึกไว้ในระหว่างการปฏิบัติการร่วม 10,000 ภาพของโปรเจกต์อพอลโล ออกมาเสียเลย เพื่อเป็นหลักฐานที่ใช้ต่อสู้กับเหล่าทฤษฎีสมคบคิดที่ออกมา และในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ก็ได้นำส่วนหนึ่งของภาพดังกล่าวมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันที่ข้างล่างนี้ เริ่มกันจากภาพเจ้าปัญหาของโปรเจกต์อพอลโล ภาพพื้นผิวของดวงจันทร์ บัซ อัลดรินทำความเคารพธงสหรัฐฯ บนดวงจันทร์ ภาพของโลกที่มองเห็นจากดวงจันทร์ ยานพาหนะที่นักบินใช้บนพื้นผิวดวงจันทร์ ธงชาติสหรัฐฯ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าบนดวงจันทร์ รูปภาพภาพแรกที่นีล อาร์มสตรองถ่ายบนดวงจันทร์ วิวของดวงจันทร์ที่ถูกเก็บภาพโดยนีล อาร์มสตรอง รอยเท้าของนีล อาร์มสตรอง ภาพในตำนานของโปรเจกต์อพอลโลแบบเต็มๆ ภาพ แสงที่น่าจะมาจากดวงอาทิตย์ หลุมตื้นๆ บนดวงจันทร์ ภาพของตัวยานที่ลงจอดบนดวงจันทร์ รอยเท้ามากมายที่เกิดขึ้นจากนักบินอวกาศ บรรยากาศความเงียบเหงาบนผิวดาว…
-
4 คำขอครั้งสุดท้ายก่อนตายของคนในอดีต ที่แปลกเอามากๆ จนคนที่ได้ยินต้องเกาหัว
คำขอสุดท้ายของคนตาย ไม่ว่าจะมาในรูปแบบพินัยกรรมหรือคำพูดปากเปล่าก็มักจะเป็นคำขอที่ถูกให้ความสำคัญเป็นอย่างมากเสมอ ดังนั้นจึงแทบไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คำขอสุดท้ายส่วนมากมักจะถูกทำให้เป็นจริงไม่ว่าจะยากเพียงไหน แต่ในบางครั้งคำขอของคนตายก็อาจจะกลายเป็นอะไรที่แปลกเอามากๆ ได้เช่นกัน จริงอยู่ว่าอาจจะไม่ถึงขั้นที่ทำตามไม่ได้ แต่ก็แปลกเสียจนคนที่ได้ยินต้องเกาหัวไปตามๆ กัน เหมือนอย่างคำขอครั้งสุดท้ายของคนทั้ง 4 คนต่อไปนี้ เริ่มกันจาก Leona Helmsley เธอคือนักธุรกิจหญิงผู้ทำให้หลานๆ ของตัวเองช็อกแบบสุดๆ เนื่องจากพินัยกรรมของเธอระบุไว้ว่าทรัพย์สินที่เธอมีร่วม 12 ล้านเหรียญสหรัฐจะถูกส่งให้สุนัขชื่อ “Trouble” โดยไม่เหลือให้หลานๆ แม้แต่เหรียญเดียว แน่นอนว่าหลานๆ ของเธอเข้าสู้คดีกับคำสั่งเสียนี้ แต่สุดท้ายก็แพ้คดีไป ส่วนเจ้าสุนัขเองก็ต้องมีการจ้างหน่วยรักษาความปลอดภัยเฝ้ากันตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อป้องกันการโดนลอบสังหารเลยทีเดียว James Kidd เขาเป็นชายผู้หายตัวไปในปี 1949 และถูกประกาศให้เป็นผู้เสียชีวิต 5 ปีหลังจากนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เขาโด่งดังไม่ได้อยู่ที่การหายตัวไป แต่เป็นพินัยกรรมของเขาต่างหาก เพราะ James Kidd ได้เขียนพินัยกรรมไว้ว่าจะมอบทรัพย์สินทั้งหมด ให้กับใครก็ตามที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการเรื่องวิญญาณออกจากร่างมนุษย์ได้ แน่นอนว่าการกระทำนี้ทำให้มีคนจำนวนมากออกมาอ้างตัวเพื่อรับเงินของเขา จนในที่สุดเมื่อปี 1971 ศาลจึงเอาเงินของเขาไปมอบให้สมาคมจิตวิทยากับมูลนิธิวิจัยจิตวิทยา ของสหรัฐอเมริกา เสียเลย Harry Houdini เขาคือจิตกรผู้เสียชีวิตในปี 1926 และมีชื่อเสียงจากการที่เขาสั่งภรรยาว่าต้องพยายามติดต่อเขาในโลกหลังความตายด้วยข้อความลับแบบพิเศษ…
-
20 ภาพของ “เกาะบาหลี” ช่วงต้นยุค 1950 ก่อนจะกลายเป็นแดนสวรรค์ของนักท่องเที่ยว
จังหวัดบาหลี หรือ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงด้านความงดงามทางธรรมชาติ ที่นักท่องเที่ยวหลายคนอยากไปสักครั้ง ว่าแต่เคยสงสัยไหมว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อเรื่องการรักษาวิถีชีวิตและความเชื่อในแบบดั่งเดิมแบบนี้นั้น ในอดีตจะมีความแตกต่างไปจากในปัจจุบันหรือไม่ ถ้าใช่ ก็ดีใจไว้ได้เลย เพราะในวันนี้เราจะไปชม 20 ภาพของจังหวัดบาหลีในช่วงต้นยุค 50 ไปดูกันดีกว่าว่าจังหวัดนี้ในสมัยก่อนนั้นมีสภาพเช่นไร เริ่มกันจากการเตรียมเครื่องสักการะในวันปีใหม่เมื่อปี 1952 งานปีใหม่ที่นี่จัดในวันที่ 7-8 มีนาคม ภาพความงามสไตล์ดั่งเดิมของชาวบาหลี ที่อยู่อาศัยและชีวิตประจำวันของคนในพื้นที่ เด็กๆ (ที่น่าจะเป็นพี่น้อง) หน้าที่อยู่อาศัย ชาวบาหลีที่หาดซานูร์ ดูกันแบบใกล้ๆ ถนนในพื้นที่หาดซานูร์ ระบำบารอง ศิลปะการแสดงท้องถิ่นของบาหลี นักดนตรีในงานระบำบารอง เรือพายที่ซานูร์ อีกมุมหนึ่งของเรือพายที่หาดซานูร์ การชนไก่ในพื้นที่ บรรยากาศวันปีใหม่ในวัด การประดับบ้านรับวันปีใหม่ของบาหลี ชาวบาหลีตกปลาที่หาดซานูร์ ดูกันแบบชัดๆ การตัดผมในเมืองเดนปาซาร์ …
-
“การทดลอง 21 กรัม” เมื่อนายแพทย์ในอดีต พยายามวัดน้ำหนัก “วิญญาณของมนุษย์”
วิญญาณมีอยู่จริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่ยังมีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน ทั้งในหมู่ผู้คน และแม้กระทั่งในหมู่นักวิทยาศาสตร์เอง อาจเพราะคนเราไม่สามารถมองเห็นวิญญาณได้ ทำให้ความเชื่อเรื่องนี้ถูกมองต่างออกไปในแต่ละคน และสำหรับนายแพทย์อย่าง Duncan MacDougall แล้ว วิญญาณของมนุษย์ อาจจะมีน้ำหนักอยู่ที่ 21 กรัมก็เป็นได้ ภาพของ Duncan MacDougall เมื่อปี 1911 นี่เป็นการทดลองภายใต้ชื่อ “การทดลอง 21 กรัม” ซึ่งเกิดขึ้นจากความเชื่อของ Duncan ที่ว่า วิญญาณน่าจะมีน้ำหนักทางกายภาพจริงๆ การทดลองที่ว่าเริ่มต้นขึ้นในปี 1901 กับอาสาสมัครจำนวน 6 รายที่ถูกเลือกมาจากบรรดาผู้ป่วยใกล้ตายในโรงพยาบาล โดยมีการดัดแปลงเตียงนอนของพวกเขาให้สามารถวัดน้ำหนักของผู้ป่วยได้อย่างละเอียด พวกเขาถูกขอร้องให้นอนให้นิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อนของน้ำหนัก และมีการคำนึงถึงการสูญเสียน้ำในร่างกายยามเสียชีวิตมาเป็นอย่างดี นี่เป็นการทดลองที่ใช้เวลานานมาก เพราะแม้ช่วงเวลาที่ Duncan ต้องการจะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากที่อาสาสมัครเสียชีวิต แต่เขาก็ไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าแต่ละคนจะเสียชีวิตไปตอนไหนกัน แน่นอนว่าผลการทดลองเป็นไปตามที่ Duncan คิด เพราะในผลการทดลองครั้งนี้ เจ้าตัวได้อ้างว่าร่างของผู้ตายนั้นสูญเสียน้ำหนักไปแทบจะในทันที 21 กรัม ซึ่งเป็นไปได้ว่ามาจากการที่วิญญาณออกจากร่างไป สุดผลงานของ Duncan ก็ได้ออกสู่สายตาประชาชนในปี 1907 และนอกจากจะได้รับการตีพิมพ์ในวรสารการแพทย์ของสหรัฐอเมริกาแล้ว ผลงานของเขายังถูกกล่าวถึงในหนังสือพิมพ์อีกด้วย แน่นอนว่าการทดลองของ Duncan จะถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือในสมัยนั้น…
-
เคมบริดจ์สร้าง “แผนที่ฆาตกรรม” ที่รวมเอาข้อมูลคดีในลอนดอนช่วงศตวรรษที่ 14 เอาไว้
เป็นเรื่องที่ทราบกันว่า การใช้ชีวิตในอดีตนั้นไม่ได้สบายอย่างที่เราคาดคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ชีวิตในช่วงศตวรรษที่ 14 ในยุโรป หรือที่รู้จักกันในฐานะ “ยุคมืด” แล้วด้วย นั่นเพราะในช่วง 40 ปีแรกของศตวรรษนี้มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งมากๆ จนถึงขั้นที่ว่ามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เอง สามารถรวมข้อมูลคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1300-1340 ที่ลอนดอนมาทำเป็น “แผนที่ฆาตกรรม” ได้เลย นี่เป็นแผนที่แบบออนไลน์ ที่นอกจากจะแสดงสถานที่ซึ่งเกิดเหตุฆาตกรรมในอดีตแล้ว มันยังแสดงข้อมูลของผู้ลงมือ อาวุธที่ใช้อีกด้วย หรือแม้กระทั่งเหตุจูงใจในการลงมือ (ในบางคดี) เลยด้วย โดยข้อมูลส่วนมากที่ปรากฏในแผนที่อันนี้จะมาจากบันทึกที่ชื่อ “Coroners’ Rolls” ซึ่งมีการบันทึกคดีฆาตกรรมในลอนดอนช่วงศตวรรษที่ 14-15 และถอดรหัสโดยศาสตราจารย์ Manuel Eisner แห่งศูนย์วิจัยความรุนแรงนั่นเอง จากคำบอกเล่าของศาสตราจารย์ Eisner คดีที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นมักจะเกิดขึ้นบนถนน และมีโอกาสเกิดมากขึ้นในวันหยุดไม่ต่างกับในปัจจุบันเลย จากข้อมูลในแผนที่ การฆาตกรรมในสมัยก่อนมักจะเกิดขึ้นจากเรื่องเกี่ยวกับศักดิ์ศรี ตัวอย่างเช่น ในสมัยนั้นชายชื่อ William เคยมีเรื่องชกต่อยจนบานปลายเป็นเหตุฆาตกรรม จากการที่เขาไปฉี่ใส่รองเท้าคนอื่นเป็นต้น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอื่นๆ น่าสนใจอีกหลายเรื่อง เช่นกว่า 68% ของอาวุธที่ใช้ในการฆาตกรรมมักจะเป็นมีด หรือการที่อัตราการเกิดคดีฆาตกรรมในสมัยนั้น สูงกว่าในปัจจุบันถึง 15-20%…
-
ชม 30 ภาพของอัฟกานิสถานในช่วงปี 60 มาดูกันว่าที่นี่เป็นเช่นไร ก่อนสมัยของตอลิบาน
ในปัจจุบันหากพูดถึงประเทศอัฟกานิสถาน เชื่อว่าภาพในหัวของหลายๆ คนก็คงจะเป็นประเทศอันตรายที่เปื้อนไปด้วยไฟแห่งสงครามและการก่อการร้าย ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าอัฟกานิสถานไม่ได้เป็นเช่นนั้นมาตลอดหรอกนะ เพราะในช่วงปี 60 ก่อนที่กลุ่มตอลิบาน จะเข้ามาปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ อัฟกานิสถานก็เคยเป็นเมืองที่งดงามน่าเที่ยวเมืองหนึ่งเลยเช่นเดียวกัน ไม่เชื่อก็ลองไปชมภาพของ Dr. Bill Podlich ศาสตราจารย์ผู้เดินทางไปยังอัฟกานิสถาน ทั้ง 30 ภาพต่อไปนี้ดูสิ ไม่แน่นะว่าความคิดของคุณเกี่ยวกับอัฟกานิสถานอาจจะเปลี่ยนไปพอสมควรเลยก็เป็นได้ เริ่มกันที่ภาพของ Dr. Bill Podlich (คนที่สองจากด้านซ้าย ที่ห้อยกล้อง) ที่ถ่ายรูปร่วมกับชาวอัฟกานิสถาน ภาพการปิกนิกของหนุ่มๆ อัฟกัน บรรยากาศภายในระบบขนส่งของประเทศ Dr. Bill Podlich บนเนินเขาในกรุงคาบูล พระพุทธรูปในหุบเขา Bamiyan Valley ต่อมาในปี 2001 กลุ่มตอลิบานได้เข้ามาทำลายพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดไปสองอัน เหล่าหนุ่มๆ นั่งมอง แหล่งเครื่องปั้นดินเผาเก่าแก่ของประเทศ เหล่าหนุ่มๆ และเด็กๆ เล่นน้ำในแม่น้ำคาบูล เด็กชายชาวอัฟกานิสถานกำลังแต่งเค้ก บรรยากาศการซื้อขายของในอิสตาลิฟ พ่อค้ากับสินค้ามากมายของเข้า บรรยากาศตลาดนัดที่เต็มไปด้วยผู้คน…
-
16 ภาพสี ของเหล่าผู้อพยพเข้านิวยอร์กในอดีต ความหลากหลายของเชื้อชาติที่จะทำให้คุณทึ่ง
เป็นเรื่องที่ทราบกันดีกว่า สหรัฐอเมริกานั้นเป็นประเทศที่ประกอบไปด้วยผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ ที่เข้ามายัง “โลกใบใหม่” แห่งนี้เพื่อลงหลักปักฐานในดินแดนที่แทบจะยังไม่มีใครรู้จักมาก่อน นั่นทำให้ที่ด้านตรวจคนเข้าเมืองของที่นิวยอร์ก ได้เห็นผู้คนจากหลายสถานที่ หลากวัฒนธรรมซึ่งแต่งกายมาในชุดประจำชาติของตัวเองอยู่เสมอๆ จนสามารถนำมารวมเป็นอัลบั้มดีๆ ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 1892-1954 จริงอยู่ว่าพวกเขาอาจจะไม่ใช่คนที่มีความสำคัญอะไร แต่ลำพังความหลากหลายของเชื้อชาติเองก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว ด้วยเหตุนี้เองช่างภาพมือสมัครเล่น Augustus Francis Sherman จึงได้ออกถ่ายภาพของพวกเขาเก็บเอาไว้ ก่อนที่ภาพเหล่านั้นจะถูกเก็บและแต่งเติมสีสันข้ามกาลเวลา จนในที่สุด ภาพเหล่านั้นก็ออกมาเป็นผลงานอันน่าดึงดูดใจ ที่เพื่อนๆ กำลังจะได้ชมกันข้างล่างนี้ เริ่มกันจากภาพของหญิงสาวชาวอิตาลี ในชุดพื้นเมืองประจำชาติ คนแอลจีเรียผู้สวมชุดที่เรียกกันว่า Kaftan กับผ้าโพกหัวที่เรียกว่า Kufiya เอาไว้ ชาวซามิ หรือ “แลปแลนเดอร์” ชนพื้นเมืองที่อยู่อาศัยในแถบอาร์กติกในชุดประจำชาติ หญิงชาวนอร์เวย์สวมชุดแบบดั้งเดิมที่มีหมวกคลุมผม เพื่อระบุสถานภาพการสมรส เป็นชาวโรมาเนีย ที่มาพร้อมกับเครื่องเป่าประจำตัว ชายชาวเดนมาร์ก ในชุดเสื้อขนสัตว์ที่มีกระดุมทำจากเงิน แสดงถึงสถานะที่ร่ำรวยได้เป็นอย่างดี ผู้หญิงชาวดัตช์ที่ สวมหมวกขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่มีชื่อเสียงของชุดประจำชาติเนเธอร์แลนด์ นักบวชออร์โธดอกซ์ชาวกรีก ในชุดคลุมยาวถึงข้อเท้า ทหารจากอัลบาเนีย (หรือแอลเบเนีย) ในชุดที่ออกแบบมาโดยคำนึกถึงลักษณะภูมิภาคของประเทศ…
-
25 ภาพเปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลงของเมืองที่มีชื่อเสียงในโลก ระหว่างอดีตและปัจจุบัน
ว่ากันว่าโลกของเรานั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ที่เล็กลงจนเอาใส่กระเป๋ากางเกงได้ หรือโทรทัศน์ที่แบนขึ้นทุกวัน นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เมืองต่างๆ ในโลกนั้นจะมีรูปร่างแตกต่างไปจากที่เคยเป็นในสมัยก่อน จนบางครั้งก็อาจจะทำให้เราสงสัยเลยว่ามันเคยเป็นเมืองเดียวกันจริงๆ เช่นนั้นหรือ และด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงได้ไปนำภาพเปรียบเทียบเมืองที่มีชื่อเสียงในโลก ระหว่างอดีตและปัจจุบันมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน ว่าแต่จะมีเมืองอะไรบ้างนั้น คงต้องไปชมกันที่ข้างล่างนี้เลย เริ่มกันจากภาพเปรียบเทียบเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อปี 2000 กับปัจจุบัน อีกมุมหนึ่งของดูไบ เมื่อปี 2005 เทียบกับกับปัจจุบัน กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 1900 กับปัจจุบัน กรุงวิลนีอุส ประเทศลิทัวเนีย (อยู่ใกล้ๆ โปแลนด์กับรัสเซีย) เมื่อปี 1900 กับปัจจุบัน กรุงอาบูดาบี จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เทียบระหว่างปี 1970 และตอนนี้ สาธารณรัฐสิงคโปร์ (ประเทศนี้เล็ก มีแค่รัฐเดียว) เมื่อปี 2000 และปัจจุบัน กรุงโตเกียว…
-
พบวัตถุโบราณร่วมพันชิ้นของชาวไวกิ้งที่เดนมาร์ก เผยอีกด้านของพวกเขาที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก
เมื่อพูดถึงชนเผ่าไวกิ้ง คนส่วนมากก็มักจะติดภาพลักษณ์ของชนเผ่านักรบที่ป่าเถื่อน เนื่องจากชื่อเสียงของชาวไวกิ้งนั้นมักจะเป็นเรื่องของการปล้นสะดมเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็เช่นเดียวกับชนชาติอื่นๆ ในโลก ใช่ว่าชาวไวกิ้งทุกคนจะเป็นคนป่าเถื่อนไปเสียหมด เพราะอย่างในการค้นพบใหม่ล่าสุดนี้เอง ก็เป็นการค้นพบเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาวไวกิ้งเสียด้วย โดยนี่เป็นการค้นพบวัตถุโบราณร่วม 1,000 ชิ้น ซึ่งคาดกันว่าเคยเป็นสินค้าที่ชาวไวกิ้งใช้ในการค้าขาย ที่ใต้ถนนในเมือง Ribe ประเทศเดนมาร์ก ภายใต้โครงการที่ชื่อ “Northern Emporium” ข้าวของที่มีการค้นพบในครั้งนี้เป็นหลักฐานอย่างดีว่า ไวกิ้งมีวัฒนธรรมการค้าที่เก่าแก่มากๆ เพราะจากการตรวจสอบหนึ่งในสิ่งของที่มีการค้นพบอย่าง “ม้าหิน” นั้นมีอายุอยู่ในช่วงปีคริสตศักราชที่ 720 เลยทีเดียว นั่นหมายความว่าม้าหินตัวนี้อาจจะมีความเก่าแก่กว่าการออกปล้นสะดมที่มีการบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นในช่วงศควรรษที่ 8 เสียอีก แถมนอกจากม้าหินแล้ว นักโบราณคดียังค้นพบ เครื่องเพชรพลอย เหรียญ และเครื่องดนตรีแบบสายในพื้นที่อีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ การค้นพบเหล่านี้ยังเป็นหลักฐานอย่างทีว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตลาดเร่ขายของที่ตั้งขึ้นแบบชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่เป็นที่หมู่บ้านหรือเมืองที่มีผู้คนลงหลักปักฐานอาศัยแบบถาวรเลย ซึ่งนั่นหมายความว่าในอดีต ชาวไวกิ้งมีหมู่บ้านหรือเมืองที่ทำการค้าขายเป็นหลักด้วยนั่นเอง แถมที่นี่ยังเป็นหมู่บ้านที่ไม่ได้มีเพียงพ่อค้าและนักรบ แต่ยังมีชาวนา ช่างฝีมือ คนเดินทะเล เจ้าของโรงแรม หรือแม้กระทั่งนักดนตรีเลยด้วย นั่นทำให้การค้นพบครั้งนี้น่าสนใจมาก เพราะนอกจากจะทำให้เราทราบถึงอีกด้านของชาวไวกิ้งที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแล้ว การพบหลักฐานนักเดินเรือ ยังทำให้เรารู้ว่าชาวไวกิ้งอาจจะมีการเดินเรือมานานกว่าที่เราคิดด้วยเช่นกัน ที่มา history, sciencenordic
-
นักวิทย์นาซาผวา พบ “แบคทีเรียชนิดใหม่” ในสถานีอวกาศ ที่อาจก่อให้เกิดโรคในหมู่นักบิน
มีคำพูดที่ว่าในอวกาศ ความผิดพลาดเพียงเล็กๆ น้อยก็สามารถทำลายชีวิตมนุษย์ได้ ดังนั้นสำหรับที่อย่างสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) สิ่งที่อันตรายต่อชีวิตนักบินอวกาศที่สุดอาจไม่ต้องเป็นอะไรน่ากลัวๆ อย่างเอเลียนเลยด้วยซ้ำ เพราะล่าสุดนี้เอง สิ่งที่กำลังสร้างความลำบากใจให้กับนักวิทยาศาสตร์ของนาซามากที่สุดคือ “แบคทีเรียอวกาศ” ตัวเล็กๆ บนยานเองต่างหาก เพราะจากการวิจัยล่าสุดของทาง NASA นี่เป็นแบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับแบคทีเรีย “เอนเทอโรแบคเตอร์” ที่พบได้บ่อยๆ ในโรงพยาบาลของโลก เดิมทีแล้วนี่เป็นหนึ่งในแบคทีเรีย 5 ชนิดที่เคยมีการค้นพบในห้องน้ำของสถานี ISS และมีการตรวจสอบกันมาตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคมปี 2015 อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้สิ่งที่ทำให้แบคทีเรียตัวนี้อันตรายกว่าตัวอื่นๆ อยู่ที่ความเป็นไปได้ถึง 79 เปอร์เซนต์ที่มันจะก่อให้เกิดโรคในหมู่นักบิน และอาจจะอันตรายยิ่งขึ้นไปอีกหากมันดื้อยาขึ้นมา จริงอยู่ว่าในปัจจุบันแบคทีเรียตัวนี้จะยังไม่แข็งแรงพอที่จะทำให้มนุษย์ป่วยได้จริงๆ ก็ตาม แต่หากไม่ระวังให้ดี แบคทีเรียตัวนี้ก็อาจจะกลายเป็นฝันร้ายของนักบินอวกาศผู้ใช้ชีวิตอยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาลสุดๆ เลยก็เป็นได้ นั่นทำให้ในเวลานี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ของ NASA ได้พยายามอย่างหนักในการตรวจสอบแบคทีเรียดังกล่าว และจะมีการสังเกตุการณ์และควบคุมความคืบหน้าของแบคทีเรียชนิดนี้อย่างใกล้ชิดกันต่อไป ที่มา mirror, unilad
-
20 ภาพการ “ถอนฟัน” จากศตวรรษที่ 19 ที่จะทำให้คุณรู้สึกโชคดีสุดๆ ที่เกิดในยุคนี้
เชื่อว่าคงมีหลายคนไม่น้อยเลยที่กลัวทันตแพทย์เอามากๆ ในวัยเด็ก (หรือบางทีก็ยังกลัวอยู่) เพราะทุกครั้งที่ไปหาทันตแพทย์ เรามักพบกับความเสียวปนเจ็บอยู่เสมอ ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าวงการทันตแพทย์ในปัจจุบันนั้นมันก้าวหน้าไปจากในสมัยก่อนแค่ไหน เพราะถ้าบอกว่าแพทย์ในปัจจุบันน่ากลัวแล้วล่ะก็ ลองไปดูภาพของการทำทันตกรรมจากเมื่อศตวรรษที่ 19 (และช่วงต้นศตวรรษที่ 20) ต่อไปนี้ดูเสียก่อนสิ เพราะในช่วงนั้น ทันตแพทย์มักจะใช้คีมขนาดใหญ่ในการถอนฟัน หรือบางครั้งก็อาจจะเป็นมีดช่วยในการถอนฟันด้วย และแน่นอนว่าในสมัยนั้นการถอนฟันแทบจะไม่มีการใช้ยาชา แต่จะใช้วิธีกดตัวคนที่มาถอนฟันไว้แทน ที่สำคัญคือการถอนฟันในหลายๆ ครั้งไม่ได้ทำในคลินิกหรือโรงพยาบาล แต่อาจจะเป็นในเต็นท์ภาคสนาม หรือในบ้านแทน เอาเข้าจริงๆ ในหลายๆ สถานการณ์ คนที่มาถอนฟันอาจจะไม่ใช่ทันตแพทย์โดยตรงด้วยซ้ำ พวกเขาอาจจะเป็นเพียงผู้มีความรู้ด้านทันตกรรมแต่ไม่มีใบอนุญาต หรือแค่คนรู้จักเลยด้วย แต่ถึงจะได้พบทันตแพทย์จริงๆ เครื่องมือในสมัยนั้นก็น่ากลัวกว่าในปัจจุบันมากอยู่ดี จนบางชิ้นเห็นแล้วสงสัยว่าใช้เกี่ยวกับการรักษาฟันจริงๆ เหรอเลยด้วยซ้ำ เด็กคนนี้ช่างแข้มแข็งจริงๆ แน่นอนว่าการถอนฟันในรูปแบบนี้ ย่อมทำให้เกิดความเจ็บปวดมากกว่าในปัจจุบัน แถมยังอาจมีปัญหาตามมาหากลงมือไม่ดี (รอยแดงๆ นั่นไม่ใช่เลือดนะ) จนบางทีคนไข้อาจจะสลบไปเลยก็มี…
-
พบมัมมี่ผู้หญิงที่อียิปต์ อายุเก่าแก่ถึง 3,000 ปี และยังไม่เคยมีการเปิดโลงมาก่อน
แม้ว่ามัมมี่จะเป็นหนึ่งในสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศอียิปต์ก็ตาม แต่ก็ใช่ว่านี่จะเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทุกวันในประเทศ ดังนั้นการค้นพบมัมมี่จึงมักจะเป็นเรื่องใหญ่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นพบมัมมี่ที่สมบูรณ์มากๆ แล้วด้วย เพราะล่าสุดนี้เองได้มีการค้นพบมัมมี่ร่างใหม่ล่าสุด ซึ่งยังอยู่ในโลงศพที่ไม่มีการเปิด และมีอายุเก่าแก่ถึง 3,000 ปีเลยทีเดียว โดยนี่เป็นหนึ่งในสองโลงศพที่ถูกพบโดยทีมนักโบราณคดีของฝรั่งเศสในระหว่างการเข้าสำรวจที่สุสานใหญ่ El-Asasef ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ในพื้นที่เมือง Luxor ดูเหมือนว่าหนึ่งในสองโลงศพจะเคยมีการเปิดมาก่อนแล้ว แต่อีกโลงหนึ่งในยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ทุกประการ และเพิ่งจะมีการเปิดออกมาอย่างเป็นทางการเมื่อเสาร์วันที่ 24 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมานี้เอง โดยภายในโลงศพที่เพิ่งจะมีการเปิดไปนี้มีร่างของหญิงสาว ผู้ซึ่งคาดว่าเป็นชนชั้นสูง หรือไม่ก็เจ้าหน้าที่ซึ่งมีความใกล้ชิดกับฟาโรห์ในช่วงราชวงศ์ที่ 17-18 ของอียิปต์ หรือช่วง 1580-1292 ปีก่อนคริสตกาลนั่นเอง และนอกจากโลงศพทั้งสองโลงนี้ ทางนักโบราณคดียังค้นพบหน้ากากที่มีการลงสีจำนวนห้าชิ้น กับหุ่น “Ushabti” ซึ่งเป็นงานฝีมือขนาดเล็กที่ใช้เป็นตัวแทนคนใช้ที่จะตามไปรับใช้ผู้เสียชีวิตในโลกหลังความตายอีกราวๆ 1,000 ตัว เท่านั้นยังไม่พอ ดูเหมือนว่ากำแพงของตัวสุสานเองก็จะมีร่องรอยของงานศิลปะบนผนังอยู่ด้วย ทำให้การค้นพบครั้งนี้ นับว่าเป็นการค้นพบครั้งใหญ่มากๆ ครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมของงานศิลปะบนผนังที่พบ และนักโบราณคดีก็ยังคงมีการขุดค้นสุสานดังกล่าวเพิ่มเติมกันอยู่ในปัจจุบัน ที่มา independent, mirror
-
26 ภาพเทรนด์ทรงผมสุดเท่จากช่วงยุค 80 เอกลักษณ์ที่บ่งบอกตัวตนของยุคสมัยได้อย่างดี
ในช่วงยุค 80 มีดาราภาพยนตร์หลายคนที่ไว้ผมทรงประหลาดๆ ทำให้ในช่วงทศวรรษนี้ผู้คนมักจะไว้ทรงผมแปลกๆ ตามดารากันไปเป็นแถว จริงอยู่ว่าในสมัยนั้นทรงผมเหล่านี้อาจจะเป็นอะไรที่ดูดีมาก แต่พอเวลาผ่านไปเมื่อเราย้อนกลับมาดูทรงผมเหล่านี้อีกครั้ง มันก็อาจจะรู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ ได้เหมือนกัน ไม่เชื่อก็ลองดูภาพทั้ง 26 ภาพต่อไปนี้สิ แล้วจะเข้าใจ อือหือ เปิดมาก็สิงโตเลย โดนไฟช็อตมารึเปล่าเนี่ย อันนี้ก็จะเหมือนรังนกนิดๆ ดูขนาดศีรษะเทียบกันดูสิ อันนี้มาเป็นครอบครัวเลย เหมือนจะเห็นแว๊บๆ ว่าทรงนี้ยังมีคนทำอยู่ในปี 2018 ฟูได้อีกนะเธอ อันนี้เขากันเป็นคู่ ถ้ามีผ้าคาดหัวด้วย ความเท่จะบวกขึ้นไปอีก ถ้ามีชุดหนังด้วยยิ่งดี หน้าคุณลูกได้ใจมาก อันนี้กระจายเลยหัวไหล่ไปอีก คู่นี้สมกันดีจริงๆ เห็นรอยแยกของผมนั่นไหม แหลมข้างฟูข้างก็เท่ไปอีกแบบ ผู้หญิงยุคนี้ออกแนวเท่ๆ ดีนะ ส่วนคนนี้จัดเต็มสุดๆ อ่ะ ลูกเหวอหมดแล้ว …
-
14 ภาพเด็กๆ ในช่วง “เบบี้บูม” ช่วงเวลาที่โลกมีอัตราการเกิดสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ
“เบบี้บูมเมอร์ส” เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่เกิดในช่วง “เบบี้บูม” ระยะเวลาราวๆ 20 ปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง (1945-1965) และเป็นชื่อเล่นที่มาจากอัตราการเกิดที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อในยุคนั้น เป็นไปได้ว่าที่เป็นเช่นนี้มาจากการที่คนเราพยายามผลิตประชากรขึ้นมาเพื่อทดแทนคนในช่วงสงครามก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานั้นที่สหรัฐฯ มีเด็กๆ เกิดขึ้นมาถึง 65 ล้านคนเลยทีเดียว นั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เราจะสามารถเห็นภาพที่มีเด็กอยู่เต็มไปหมด ได้เป็นจำนวนมากจากยุคนี้ เหมือนอย่างภาพทั้ง 14 ภาพต่อไปนี้ เริ่มกันที่พยาบาลกับการต้อนรับเด็กใหม่ในโรงพยาบาล Queen Charlotte เมื่อปี 1945 เด็กอ่อนและเด็กแรกเกิดในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 1948 นางพยาบาลดูแลเด็กๆ ในแผนกสูติกรรม ลอนดอน 1947 โรงอาหารที่แออัดในโรงเรียน Walsgrave Colliery ที่ประเทศอังกฤษเมื่อปี 1952 กลุ่มเด็กนักเรียนในสนามเด็กเล่นของโรงเรียน Walsgrave Colliery ประเทศอังกฤษเมื่อปี 1952 Briton Ivy Bourne คุณแม่ที่มีลูกถึง 22 คน ระหว่างอยู่กับแฝดสาม กับแฝดสองของเธอในปี 1953 แฝดสามตัวน้อยๆ…
-
12 ภาพแปลกสุดพิลึกจากในอดีต ที่อาจจะทำให้คุณขนลุกได้โดยไม่รู้ตัวเลย
โลกของเรานั้นไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็มีเรื่องแปลกๆ อยู่เสมอ บางครั้งเรื่องที่ว่าอาจจะแค่เห็นแล้วรู้สึก แปลกพิลึก แต่บางครั้งเรื่องประหลาดๆ เหล่านั้นก็อาจจะทำให้เราขนลุกเลยได้เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องน่าสนใจอยู่ดี ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆไปชม 12 ภาพแปลกสุดพิลึกจากในอดีต ที่อาจจะทำใหคุณขนลุกโดยไม่รู้ตัว เริ่มกันที่อะไรเบาๆ อย่างหมึกยักษ์พยายามดึงนักดำน้ำลงไปในแท็งก์ของมันที่รัฐโอเรกอน #tentacle #mindbreak ภาพผู้เข้าแข่งงานประกวด “Miss Lovely Eyes” (สาวตาสวย) ในฟลอริด้าเมื่อปี 1930 เข้าใจว่าใส่หน้ากากให้ตัดสินแค่ตา… แต่มันหลอนอ่ะ ป้ายขายสมองในเซนต์หลุยส์เมื่อปี 1978 แน่นอนว่าเป็นสมองวัว ซึ่งทานกันในบางประเทศ ทุ่งใยแมงมุมในออสเตรเลีย นี่เป็นเหตุการณ์ที่มักจะมากับปรากฏการณ์ “ฝนตกเป็นแมงมุม” อีกที โดยแมงมุมจะใช้ใยของตัวเองคล้ายร่มชูชีพในการลอยไปตามลม เพื่อเดินทางไกลๆ ทำให้บางครั้งก็เหมือนมันตกมาจากฟ้านั่นเอง ภาพการแสดงโอเปรา “A Masked Ball” ในปี 1999 ในประเทศออสเตรีย มอธเหยี่ยวหัวกะโหลก (Death’s head Hawkmoth) นี่เป็นมอธที่มีปีกกว้าง…
-
ย้อนรอย Sarah Rector เด็กหญิงแอฟริกัน-อเมริกันที่รวยจนรัฐบาลบอกว่าเธอเป็น “คนขาว”
ต้นศตวรรษที่ 20 เป็นยุคที่ชาวแอฟริกัน-อเมริกันได้รับการเลิกทาสแล้วก็จริง แต่ก็ยังคงถูกกดขี่จากสังคมคนขาวอยู่ดี ดังนั้นใครจะไปคิดเล่าว่าในช่วงเดียวกันนี้เอง จะมีเด็กสาวชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนหนึ่งสามารถขึ้นเป็นมหาเศรษฐีได้ ชื่อของเด็กหญิงคนนั้นคือ Sarah Rector เด็กผู้เกิดมาในพื้นที่ของอินเดียนแดง ในโอคลาโฮมา (ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่เป็นรัฐ) ในครอบครัวซึ่งมีคุณย่าเป็นอดีตทาส เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มสัญญา Muscogee หรือ “Creek Nation” กลุ่มที่เกิดจากการรวมตัวของ 5 ชนเผ่าพื้นเมืองในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ และได้รับสัญญาว่าจะได้รับการแบ่งที่ดินในตอนที่โอคลาโฮมาได้เป็นรัฐ 5 ชนเผ่าพื้นเมือง ในสนธิสัญญารัฐโอคลาโฮมา นั่นทำให้ตอนที่ Sarah อายุได้เพียง 4 ขวบเธอก็ได้รับที่ดินแห่งหนึ่งมาจากสนธิสัญญาที่ว่านี้ โดยมันเป็นที่ดินแห้งแล้งซึ่งไม่เหมาะแก่การทำการเกษตร นั่นทำให้ที่ดินแห่งนี้กลายเป็นที่ดินที่ทำประโยชน์ไม่ได้ และรังแต่จะทำให้ครอบครัว Rector ต้องเสียภาษีที่ดินไปเปล่าๆ เท่านั้น แถมจะขายที่ดินก็ขายไม่ได้เพราะกฎหมายของรัฐในตอนนั้นห้ามมีการขายที่ดินที่เป็นของผู้เยาว์ พอดีว่าในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ทางบริษัทน้ำมันออกขุดหาน้ำมันไปทั่วพอดี ดังนั้นในเมื่อขายที่ดินไม่ได้ ทางครอบครัวของ Rector จึงให้บริษัทขุดหานำมันเช่าที่ไปเสี่ยงดวงขุดหาน้ำมันเสียเลย และการตัดสินใจครั้งนั้นก็นับว่าเป็นโชคดีของพวกเขาเลยก็ว่าได้ เพราะในพื้นที่เปล่าๆ ที่พวกเขาได้มานั้น ดันมีบ่อน้ำมันขนาดใหญ่อยู่ข้างใต้พอดีเลย และการค้นพบครั้งนี้เองก็ทำให้ครอบครัวของเธอได้เงินไปเฉลี่ยถึงวันล่ะ 300 ดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินปัจจุบันได้ 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ…
-
10 ผลงานชิ้นสุดท้ายของศิลปินมีชื่อในอดีต ก่อนที่พวกเขาจะจากโลกใบนี้ไปตลอดกาล
คนเรานั้นไม่ว่าจะเป็นใครมีชื่อเสียงมาจากไหนสักวันก็ต้องตายจากโลกนี้ไป แต่ถึงแม้ร่างกายจะตายไปแล้ว แต่บ่อยครั้งผลงานและชื่อเสียงของพวกเขาก็จะถูกจดจำเอาไว้สืบไป แน่นอนว่าเหล่าศิลปินเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น และจริงอยู่ว่าผลงานที่ถูกจดจำของพวกเขาจะเป็นผลงานที่ดังที่สุดในชีวิต แต่ในเวลาเดียวกันผลงานชิ้นสุดท้ายของพวกเขาเองก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามได้เลย ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชม 10 ผลงานชิ้นสุดท้ายของศิลปินมีชื่อในอดีต ก่อนที่พวกเขาจะจากโลกใบนี้ไป ตลอดกาล เริ่มกันที่ โกลด มอแน ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์แห่งฝรั่งเศส ปีที่เสียชีวิต: 1926 ผลงานชิ้นสุดท้าย: ชุดภาพ “The Grandes Décorations” คีธ แฮริ่ง ศิลปิน “Subway Drawings” สัญชาติอเมริกัน ปีที่เสียชีวิต: 1990 ผลงานชิ้นสุดท้าย: ภาพที่ยังวาดไม่เสร็จ ปาโบล ปีกัสโซ จิตรกรเอกชาวสเปน ปีที่เสียชีวิต: 1972 ผลงานชิ้นสุดท้าย: ภาพวาดตัวเอง วินเซนต์ แวนโก๊ะ จิตรกรชาวดัชท์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ปีที่เสียชีวิต: 1890 ผลงานชิ้นสุดท้าย: “Tree Roots” ซัลบาโด ดาลี จิตรกรภาพวาดแนวเซอร์เรียลชาวสเปน ปีที่เสียชีวิต: 1983…
-
รู้หรือไม่ 300 ปีก่อนคริสตกาล มนุษย์เราเคยบูชาไก่งวงราวกับเป็นพระเจ้ามาก่อน
เคยทานไก่งวงกันไหม? สำหรับประเทศไทยแล้วไก่งวงอาจจะไม่ใช่อาหารที่เป็นที่นิยมมากนัก แต่สำหรับทางยุโรปแล้วไก่งวงนับเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับวันขอบคุณพระเจ้า แต่แม้ว่าไก่งวงจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครคิดหรอกว่าเจ้าไก่ที่มักถูกนำไปเป็นอาหารพวกนี้ จะเคยเป็นสัตว์ที่มนุษย์บูชาเสมือนพระเจ้ามาก่อน เพราะในช่วง 300 ปีก่อนคริสตกาล ไก่งวงเคยได้รับการบูชาจากเผ่ามายาในฐานะสัญลักษณ์ของพลังอำนาจและศักดิ์ศรีมาก่อน โดยจากคำบอกเล่าของผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์มายา คุณ Ana Luisa Izquierdo y de la Cueva ไก่งวงนั้นมีอยู่แทบทุกที่ในแหล่งโบราณคดีที่เกี่ยวกับเผ่ามายา พวกมันมักจะเป็นองค์ประกอบสำคัญของพิธีกรรมทางศาสนา แถมยังถูกยกย่องว่าได้รับพรแห่งพลังที่แข็งแกร่งพอจะทำลายมนุษย์ได้จากความฝันในยามราตรีได้เลย เอาเข้าจริงๆ ไก่งวงนั้นดูศักดิ์สิทธิ์มากขนาดว่าผู้ปกครองเผ่ามายาบางคนถึงกับเอาคำว่าไก่งวง (ในภาษาของชาวมายา) มาตั้งเป็นสมญานามของตัวเองเลยด้วย กล้องยาสูบของที่มีฉายาว่า “กรงเล็บไก่งวง” เท่านั้นยังไม่พอ จากหลักฐานของทางนักโบราณคดีที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติฟลอริดาแล้ว ยังมีความเป็นไปได้มากว่าเผ่ามายาจะเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่มีการเลี้ยงไก่งวงอีกด้วย ดูเหมือนว่าเดิมทีแล้วเผ่ามายาจะนำไก่งวงมาจากทางเม็กซิโกด้วยวิธีการอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะไก่งวงป่าที่มีสีสันหลากหลาย และนำมาเลี้ยงไว้เพื่อบูชา แต่ถึงแม้จะบอกว่าเผ่ามายาบูชาไก่งวงก็ตาม โดยมากแล้วชะตาของไก่งวงที่เผ่ามายาเลี้ยงไว้ก็มักจะจบลงในด้วยความตายอยู่ดี เพราะโดยมากแล้วเมื่อจบพิธีกรรมต่างๆ ไก่งวงจะถูกเชือดในฐานะเหยื่อบูชายัญ ก่อนจะนำไปทานเป็นอาหารกันต่อไปนั่นเอง นอกจากนี้จากการตรวจสอบ DNA ของนักวิทยาศาสตร์เราก็พบเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับไก่งวงอีกเล็กน้อย เพราะไก่งวงที่เลี้ยงไว้เป็นอาหารในปัจจุบันนั้นมีความคล้ายคลึงทาง DNA กับไก่งวงของชาวมายามากเลยทีเดียว กล่าวคือตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไก่งวงเหล่านี้ถูกมนุษย์ทานมาโดยตลอดเลยนั่นเอง …
-
ย้อนรอยโศกนาฏกรรมยาน Soyuz 11 กับนักบินอวกาศเพียงสามคนที่เสียชีวิตในอวกาศจริงๆ
ตั้งแต่มีการแข่งขันเทคโนโลยีทางอวกาศเกิดขึ้นในช่วงสงครามเย็น พวกเราก็เห็นข่าวนักบินอวกาศต้องสละชีวิตกันอยู่หลายครั้ง ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าในบรรดาอุบัติเหตุที่เคยมีมานั้น มีนักบินเพียงแค่สามคนเท่านั้นที่เสียชีวิตในอวกาศจริงๆ แถมนักบินทั้งสามคนนั้น ยังเป็นนักบินจากภารกิจเดียวกัน ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1971 อีกด้วย เรื่องราวมันเกิดขึ้นในวันที่ 30 มิถุนายนปีนั้น เมืองทางสหภาพโซเวียตกำลังรอคอยการกลับมาของยานอวกาศ Soyuz 11 ที่ขึ้นไปปฏิบัติการบนห้วงอวกาศมาเป็นเวลากว่า 23 วัน แต่แทนที่พวกเขาจะได้ต้อนรับนักบินกลับมาอย่างฮีโร่ สิ่งที่ทางโซเวียตได้กลับเป็นร่างไร้วิญญาณของ Georgi Dobrovolski, Vladislav Volkov และ Viktor Patsayev สามนักบินของยานอวกาศ Soyuz 11 แทน จากซ้ายไปขวา Dobrovolski, Volkov และ Patsayev เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความแปลกใจให้กับโลกมาก เพราะตลอด 23 วันที่ผ่านมา โครงการ Soyuz 11 ดำเนินการมาได้อย่างเรียบร้อยมาก จนทำให้เกิดการถกเถียงมากมายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าที่เป็นที่เป็นเช่นนี้นั้นเป็นเพราะว่าเหตุการณ์ของยานอวกาศ Soyuz 11 เกิดขึ้นในช่วงที่โซเวียตมาการควบคุมสื่อที่ค่อนข้างเข้มทำให้ทางต่างประเทศแทบไม่มีโอกาสรู้เลยว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้นักบินต้องเสียชีวิต ในเวลานั้นมีคนมากมายออกมาเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เช่นหัวหน้านักบินของ NASA ที่ออกมาบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากความเครียดของนักบินก็เป็นได้ หรือทางทีมแพทย์ที่เชื่อว่า ที่นักบินนั้นตายเพราะสารพิษบนยานรั่ว…
-
16 สิ่งประดิษฐ์สุดแปลกจากในสมัยก่อน ที่สุดโต่งเกินไปนิดจนสุดท้ายก็หายไป
ว่ากันว่ามนุษย์เราเป็นเจ้าแห่งความคิดสร้างสรรค์ นั้นทำให้เราประดิษฐ์สิ่งอำนวยความสะดวกมากมายออกมาตั้งแต่ในสมัยก่อน จนทำให้สังคมมนุษย์กลายเป็นสังคมแบบที่เราเห็นในปัจจุบันไป ในหลายๆ ครั้งสิ่งที่คนเราสร้างขึ้นมานั้นมักจะเป็นอะไรที่ทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่สิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นจะแปลกหรือว่าสุดโต่งเกินไปนิดจนสุดท้ายก็หายไปจากประวัติศาสตร์ ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนที่คิดของพวกนี้ขึ้นมานั้นมีความคิดสร้างสรรค์จริงๆ เหมือนกับสิ่งประดิษฐ์ทั้ง 16 อย่างต่อไปนี้ เริ่มกันจากการสาธิตวิธีใช้เจ็ทแพ็ค จากปี 1969 เครื่องทำกาแฟติดรถจากปี 1950 นอกจากกาแฟ แล้วยังอุ่นซุป ต้มน้ำร้อน และต้มไข่ได้ด้วยนะ ยางเรืองแสงได้จากเมื่อปี 1961 เอาจริงๆ ต้องบอกว่าส่องแสงได้ เพราะแสงนี้มาจากหลอดไฟที่อยู่ที่ล้อแม็กซ์ ไปป์สำหรับสูบสองคน มีชื่อว่า “Double Ender” เปิดตัวมาในปี 1949 เครื่องทำผิวแทน ระบบก็จะคล้ายๆ เครื่องพ่นสเปรย์ แต่เป็นการพ่นให้ผิวแทน เปิดตัวมาเมื่อปี 1949 เครื่องขัดหัวล้าน คิดขึ้นมาในปี 1950 และสามารถใช้เป็นที่นวดศีรษะได้ด้วย ที่หลบนิวเคลียร์ เมื่อปี 1958 ออกมาแบบมาให้บรรจุคนได้ 8 คน และป้องกันแรงระเบิดจากนิวเคลียร์ 20…
-
พบภาพวาดสีปูนเปียกของ “เลดาและหงส์” ในซากห้องนอนเก่าแก่ที่เมืองปอมเปอี
เนื่องจากปีนี้เป็นปีที่มีการเข้าไปสำรวจพื้นที่เมืองปอมเปอีครั้งใหญ่ของกลุ่มนักโบราณคดีหลากหลายกลุ่ม ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการค้นพบสิ่งใหม่ๆ ในเมืองแห่งนี้มากมายในช่วงปีที่ผ่านมา และล่าสุดนี้เองทีมนักโบราณคดีก็ได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจซึ่งถูกฝังอยู่ในเมืองแห่งนี้อีกครั้ง โดยนี่เป็นการค้นพบภาพวาดสีปูนเปียกจากสมัยโรมันโบราณ ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี ในห้องนอนของเมืองปอมเปอีนั่นเอง ภาพที่มีการค้นพบนั้นเป็นภาพของตำนานกรีกเรื่อง “เลดาและหงส์” ซึ่งเป็นหนึ่งในตำนานกรีกโบราณที่มักถูกจิตรกรรุ่นหลัง (อย่าง เลโอนาร์โด ดา วินชี) นำไปใช้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานอยู่บ่อยๆ โดยภาพที่พบเป็นภาพของหญิงสาวรูปงามชื่อเลดาซึ่งกำลังมีเพศสัมพันธ์กับหงส์ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเทพซูสที่ปลอมตัวมานั่นเอง การค้นพบในครั้งนี้นั้น เกิดขึ้นในระหว่างที่มีการสำรวจบูรณะพื้นที่ที่เรียกว่า Via del Vesuvius ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับถนนหลักของเมืองปอมเปอี ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยมีการค้นพบงานศิลปะโบราณมาหลายครั้งแล้ว ในเบื้องต้นเชื่อกันว่าภาพที่พบนี้เป็นเพียงภาพประดับอิโรติกที่วาดขึ้นเพื่อประดับห้องนอนของผู้ที่ค่อนข้างจะมีฐานะในเมือง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นพ่อค้าผู้ร่ำรวยซึ่งไต่เต้าขึ้นมาจากชนชั้นล่างในสมัยนั้น แต่ไม่ว่าจะมีที่มามาจากไหน นี่ก็เป็นหนึ่งในภาพที่นับว่ามีความสมบูรณ์สูงมากหากเทียบกับงานศิลปะโบราณที่เคยมีการค้นพบในบริเวณใกล้เคียง เพราะนอกจากภาพที่พบจะยังคงมีสีสันงดงามแล้ว นักโบราณคดียังเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถนำภาพออกจากหินอัคนี เพื่อนำภาพทั้งผืนออกมาให้โลกได้ชมกันอีกด้วย อย่างไรก็ตามในปัจจุบันทางนักโบราณคดียังคงมีการถกเถียงกันอยู่ว่าควรจะมีการเคลื่อนย้ายภาพดังกล่าวไปยังโบราณสถานแห่งอื่นเพื่อเปิดให้ประชาชนเขาชมหรือไม่นั่นเอง ที่มา allthatsinteresting, iflscience
-
18 ภาพถ่ายสถานที่ฆาตกรรมในอดีต ที่ถูกนำมาแต่งเติมสี คืนความสมจริงให้เหตุการณ์อีกครั้ง
ตั้งแต่ที่มีการคิดค้นกล้องถ่ายรูปมา รูปถ่ายก็กลายเป็นส่วนสำคัญในเก็บหลักฐานของทางตำรวจไป นั่นทำให้ตั้งแต่ในอดีตมีภาพสถานที่ฆาตกรรมมากมายที่ถูกเก็บไว้ผ่านยุคผ่านสมัยมา แต่ในภาพถ่ายเก่าๆ เหล่านั้น บางครั้งก็ดูจะขาดความสมจริงในด้านสีได้เหมือนกัน ดังนั้นคนเราจึงใช้วิธีการมากมายในการคืนโทนสีให้แก่ภาพขาวดำในสมัยก่อน จนเกิดเป็นภาพสีของสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม เหมือนดังภาพ 18 ภาพต่อไปนี้ เริ่มกันที่คดีฆาตกรรมมาเฟีย Joe Masseria ซึ่งมีเอกลักษณ์อยู่ที่การที่ศพถือไพ่เอซโพดำเอาไว้ ภาพจากปี 1931 ศพของโจรปล้นธนาคารสองรายที่โชคร้ายตกร่องลิฟต์ในปี 1915 การเปิดหนังสือพิมพ์ดูศพผู้ตายของเจ้าหน้าที่ในปี 1943 คดีสังหารอันธพาล “David the Beetle” ที่แมนฮัตตันเมื่อปี 1939 เจ้าหน้าที่ก้มลงมองร่างของเหยื่อที่โดนรถชน ใต้รถแท็กซี่ที่ขึ้นไปเกยบนถังขยะ สายสืบของตำรวจกำลังเก็บลายนิ้วมือของผู้ตาย บนดาดฟ้าอาคารที่นิวยอร์ก เมื่อปี 1941 ร่างของ Antonio Pemear ชายผู้ถูกสังหารบนเตียงที่บรูคลิน เมื่อปี 1915 สถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมและฆ่าตัวตายตามที่นิวยอร์กเซ็นทรัลปาร์ค 1952 ผู้ตายและตำรวจสองนายที่อพาร์ตเมนต์ในนิวยอร์ก เมื่อปี 1957 ภาพการสังหารหมู่ในวันวาเลนไทน์ ที่เมืองชิคาโกในปี…
-
ชมภาพ ‘การเปลี่ยนแปลง’ จากอดีตสู่ปัจจุบันของ “เจ้าตูบ” ทั้ง 10 สายพันธุ์เหล่านี้กัน!
ขณะที่มนุษย์เรามีวิวัฒนาการมานานแสนนาน เจ้าตูบ เองก็อยู่เป็นเพื่อนซี้กับมนุษย์มาหลายสหัสวรรษแล้วเช่นกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างหมากับคนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จากที่เคยถูกใช้งานเป็นสัตว์นักล่า ก็อาจกลายเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงามหรือเลี้ยงเพื่อแสดงบารมีเท่านั้น ฉะนั้น มันจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงสะสมผ่านระยะเวลาที่ยาวนาน และวันนี้เราก็จะมาดูกันว่า เจ้าตูบทั้ง 10 สายพันธุ์ นี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างระหว่างอดีตและปัจจุบัน ถ้าพร้อมแล้วไปชมกันเลย 1. Whippet (อดีต) (ปัจจุบัน) 2. Bull Terrier (อดีต) (ปัจจุบัน) 3. Skye Terrier (อดีต) (ปัจจุบัน) 4. Bulldog (อดีต) (ปัจจุบัน) 5. St. Bernard (อดีต) (ปัจจุบัน) 6. Pug (อดีต) (ปัจจุบัน) 7. Toy Poodle (อดีต) (ปัจจุบัน) 8. Dobermann…
-
20 ภาพชุดว่ายน้ำชาย “ลายขวาง” แฟชั่นสุดฮิตจากต้นศตวรรษที่ 20 ไม่ว่าไปที่ไหนก็เจอ!
ในยุคปัจจุบันชุดว่ายน้ำของเพศชายเองก็ได้รับการออกแบบรูปทรงรวมถึงลวดลายให้สวยงามและดูน่าใช้ตามความนิยมของยุคสมัย แต่หากย้อนกลับไปสักราวๆ 100 ปีหรือในช่วงศตวรรษที่ 20 ชุดว่ายน้ำของเพศชายนั้นก็จะมีลักษณะไม่ต่างจากเพศหญิงมากนัก แถมไม่ได้ดูโดดเด่นอะไรมากมาย #1 แต่ที่สะดุดตามากที่สุดก็คือ ในยุคสมัยนั้นไม่ว่าจะเป็นสถานที่เล่นน้ำแห่งหนใด เราก็จะเห็น ชุดว่ายน้ำชายลายขวาง เกลื่อนไปหมด เพราะยุคนั้นมันคือไอเทม “ยอดฮิต” สำหรับเพศชายอย่างมาก วันนี้เราจะพาไปส่อง 20 แฟชั่นชุดว่ายน้ำชายลายขวางจากสมัยต้นศตวรรษที่ 20 ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะว่าไอเทมชิ้นนี้มันฮิตไปทั่วทุกแห่งเลยจริงๆ #2 #3 #4 #5 #6 #7 #8 #9 #10 #11 #12 #13 #14 #15 #16 #17 …
-
5 เรื่องราวแปลกๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “เมืองปอมเปอี” ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
ในปีคริสต์ศักราชที่ 79 การปะทุของภูเขาไฟวิสุเวียได้กลบเมืองปอมเปอีในอิตาลีลงไปอยู่ใต้เถ้าถ่านเป็นเวลาเกือบๆ 1,500 ปี ก่อนที่จะมีการขุดค้นขึ้นมาในอีกครั้งในปี 1738 ตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้เวลาได้ผ่านไปเนิ่นนานเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นก็เชื่อเถอะว่ายังมีเรื่องราวของเมืองปอมเปอีอีกหลายอย่างที่เราอาจจะไม่เคยเห็น ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะไปชม 5 เรื่องราวแปลกๆ เกี่ยวกับเมืองปอมเปอี ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน โครงกระดูกที่เห็นจากปอมเปอี แท้จริงแล้วคือปูน ไม่ใช่กระดูกจริงๆ ข้อนี้ต้องอธิบายกันนิดหนึ่งว่า ร่างของคนตายในเมืองปอมเปอีที่เราเห็นกัน เกิดจากการที่นักโบราณคดีสมัยก่อนเทปูนปลาสเตอร์ลงไปในช่องว่างระหว่างเถ้าภูเขาไฟ (ที่ตอนนั้นกลบเมืองอยู่) นั่นทำให้ปูนเข้าไปแทนที่ช่องวางซึ่งเกิดจากที่เนื้อเยื่อของคนในอดีตย่อยสลายไปตามกาลเวลา และทำให้ปูนมีรูปร่างเหมือนคนที่เคยตายอยู่ใต้เถ้าภูเขาไฟไป จริงอยู่ว่าการทำแบบนี้ทำให้คนในสมัยนั้นสามารถขุดค้นเมืองได้โดยไม่ต้องกังวลว่าท่าทางของศพจะถูกทำลายไปเสียก่อน แต่การเทปูนลงไปในเถ้าภูเขาไฟเลยก็ทำให้โครงกระดูกของคนสมัยก่อนถูกฝังอยู่ใต้ปูนไปตลอดเช่นกัน นั่นหมายความว่าทุกครั้งที่เราดูร่างของชาวเมืองปอมเปอี เราก็กำลังมองโครงกระดูกของพวกเขาที่อยู่ในตัวปูนเองไปในเวลาเดียวกัน คนในปอมเปอีมีสุขภาพช่องปากที่ดีมาก นี่เป็นเรื่องที่เราทราบได้จากการทำซีทีสแกนร่างที่พบในเมืองเมื่อปี 2015 และเป็นเรื่องที่น่าแปลกพอสมควรเพราะในสมัยนั้นยังไม่น่าจะมีระบบทันตแพทย์ที่ทันสมัยพอจะรักษาฟันผุด้วยซ้ำ แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้ในสมัยนั้นจะยังไม่มีระบบทันตแพทย์ที่ดี แต่ในยุคที่ภูเขาไฟวิสุเวียก็ระเบิดคนในปอมเปอีก็ยังไม่รู้จักน้ำตาลเช่นกัน ว่าง่ายๆ ว่ายังไม่มีอาหารที่ทำร้ายฟันมากๆ นั่นเอง มีเด็กเป็นซิฟิลิสอยู่มาก ดูเหมือนว่าการจะรอดชีวิตไปจนอายุ 10 ขวบในสมัยก่อนจะเป็นเรื่องที่ยากกว่าที่คิดมาก เพราะจากการตรวจสอบร่างของเด็กที่พบในเมืองปอมเปอี นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ามีเด็กไม่น้อยเลยที่มีอาการของโรคซิฟิลิส ที่เป็นแบบนี้อาจจะเป็นเพราะในสมัยก่อนโรคซิฟิลิสยังไม่มีการรักษาที่ดีก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามในตอนที่มีการค้นพบความจริงในข้อนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถยืนยันได้อย่างแท้จริงว่าโรคซิฟิลิสไม่ได้เข้ามาในยุโรปเพราะการเดินทางของโคลัมบัสอย่างที่เคยมีการอ้างกันในสมัยก่อนแน่ ร่างที่พบจำนวนมาก ยังคงอยู่ในท่าทางเดียวกับตอนที่ตาย เนื่องจากความตายที่เกิดขึ้นจากภูเขาไฟนั้นรวดเร็วมาก บวกกับชาวเมืองไม่ได้มีการอพยพใดๆ ทำให้คนส่วนมากเสียชีวิตไปในระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน…
-
อังกฤษเปิดประมูล กระจกเก่าแก่อายุกว่า 110 ปี ที่ว่ากันว่ามีวิญญาณของกัปตันเรือไททานิก
ถ้าพูดถึงสิ่งของที่มีประวัติโดนผีสิง เชื่อว่าหลายคนคงไม่อยากเป็นเจ้าของสิ่งนั้นเป็นแน่ แต่ในขณะเดียวกันบนโลกใบนี้เองก็มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่อยากสะสมของหายาก แม้ว่าสิ่งนั้นจะมีประวัติอาถรรพ์มาจากไหนก็ตาม นั่นเป็นสาเหตุที่ได้มีการเปิดประมูลขายกระจกเก่าแก่อายุกว่า 110 ปี ด้วยราคาเริ่มต้นถึง 10,000 ปอนด์ (ราวๆ 420,000 บาท) เพราะนี่ไม่ใช่กระจกเก่าแก่ธรรมดาๆ แต่เป็นกระจกที่เชื่อกันว่ามีวิญญาณของ “เอ็ดเวิร์ด จอห์น สมิธ” กัปตันของเรือไททานิกที่จมลงไปเมื่อวันที่ 14 เมษายน 1912 สิงอยู่ ตำนานของกระจกบานนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันหนึ่งสาวใช้จากบ้านของเอ็ดเวิร์ดบอกกับคนรู้จักว่า เธอเห็นเอ็ดเวิร์ดที่ตายไปแล้วอยู่ในกระจกบานหนึ่งในบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันครบรอบการจมของเรือไททานิก ตั้งแต่วันนั้นมากระจกบานนี้ก็ถูกส่งต่อๆ กันไปในหมู่คนรู้จักของสาวใช้คนดังกล่าว และเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ จนมาถึงงานประมูลในที่สุด โดยนอกจากตัวกระจก ใครก็ตามที่ชนะการประมูลกระจกบานนี้จะได้รับจดหมายที่ตัวสาวใช้ของเอ็ดเวิร์ดเขียนอธิบายคุณสมบัติของกระจกให้แก่ญาติๆ เป็นของแถมไปด้วย การประมูลในครั้งนี้มีกำหนดการที่จะปิดประมูลกันในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งใครก็ตามที่ได้รับกระจกนี้ไป ก็จะมีเวลาอีกกว่า 4 เดือนในการรอชมวิญญาณของ “เอ็ดเวิร์ด จอห์น สมิธ” ที่ (เชื่อว่า) จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในวันที่ 14 เมษายน 2019 นั่นเอง ส่วนใครที่สนใจกระจกชิ้นนี้ก็สามารถไปติดตามการประมูลได้ที่เว็บไซต์ richardwinterton.co.uk นี้เลย…
-
5 บุคคลที่มีชื่อเสียงของโลกที่มีชีวิต ทันเหตุการณ์สำคัญๆ หลายอย่างมากกว่าที่เราคิด
เมื่อเราพูดถึงคนที่มีชื่อเสียงขึ้นมา ตามปรกติเราก็มักจะมีภาพลักษณ์ของยุคสมัยที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในหัวเสมอๆ อย่างถ้าพูดถึงเลโอนาร์โด ดา วินชี เราก็จะนึกถึงภาพยุคเรเนสซองส์ขึ้นมาก่อน แต่ชีวิตคนเรานั้นแท้จริงแล้วยืนยาวกว่าที่คุณคิด ดังนั้นคนคนหนึ่งก็อาจจะผ่านเรื่องราวสำคัญๆ มามากกว่าเพียงแค่ยุคสมัยเดียวก็เป็นได้ ดังนั้นในวันนี้เอง เราจะไปชม 5 บุคคลที่มีชื่อเสียงของโลกที่มีชีวิตอยู่นานจนทันเหตุการณ์สำคัญๆ หลายอย่างมากกว่าที่เราคิด เริ่มกันจาก ออร์วิลล์ ไรท์ยังมีชีวิตอยู่ในตอนที่สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ญี่ปุ่น จริงอยู่ว่าวิลเบอร์ ไรท์จะเสียชีวิตไปในปี 1912 แต่ออร์วิลล์นั้นมีชีวิตอยู่ถึงปี 1948 เลยทีเดียว ซึ่งทำให้เขามีชีวิตอยู่ทันเห็นการทิ้งระเบิดปรมาณูในปี 1945 นั่นเอง ปาโบล ปีกัสโซมีชีวิตอยู่นานพอที่จะเล่นเกม “Pong” เมื่อพูดถึงจิตรกรอย่างปีกัสโซหลายๆ คนก็มักจะเผลอเอาเอาไปรวมไว้ยุคเดียวกับจิตรกรเก่าๆ แต่จริงๆ แล้วกว่าที่ปีกัสโซจะเสียชีวิตก็ในปี 1973 เลยทีเดียว ส่วน Pong นั้นแม้จะเชื่อกันว่าเป็นเกมคอมพิวเตอร์ เกมแรกๆ ของโลกแต่ก็เพิ่งถูกคิดค้นในปี 1972 นี้เอง บัพฟาโล บิลล์ ยังมีชีวิตอยู่ในตอนที่เรือเหาะเยอรมันถล่มปารีส บัพฟาโล บิลล์ เป็นวีรบุรุษคาวบอยที่มีชื่อเสียง ดังนั้นใครจะไปคิดว่า “คาวบอย” จะมีชีวิตอยู่ไปจนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเลย แต่มันก็เป็นไปแล้วเพราะบิลล์นั้นจากโลกนี้ไปในปี 1917…
-
จดหมายของไอน์สไตน์ชี้ เขาเคยเตือนถึงการต่อต้านชาวยิว กว่า 10 ปีก่อนนาซีขึ้นครองอำนาจ
เวลาที่มีงานประมูลวัตถุโบราณ ในหลายๆ ครั้งเราก็จะได้เห็นสิ่งที่น่าสนใจที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีตัวตนอยู่ และในงานประมูลในเยรูซาเล็มเมื่อไม่นานมานี้เอง เราก็ได้พบกับอะไรที่น่าสนใจอีกแล้ว เพราะนี่คือจดหมายที่ถูกเขียนขึ้นโดยอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เมื่อปี 1922 ให้แก่น้องสาวของเขา มารีอา “มายา” ไอน์สไตน์ เพื่อบอกว่าตัวเขานั้นสบายดี และเตือนเธอให้ระวังตัวถึงการต่อต้านชาวยิวในเยอรมนี นี่อาจจะเป็นจดหมายที่ดูจะเป็นเรื่องธรรมดามาก ถ้าไม่ใช่เพราะมันเขียนขึ้นก่อนนาซีขึ้นมามีอำนาจในเยอรมนีกว่าสิบปี โดยจากคำบอกเล่าของตลาดประมูลในเยรูซาเล็ม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นหลังจากที่เพื่อนของเขาวาลเธอร์ รัทเธอเนา ชาวยิวผู้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศถูกลอบสังหาร จริงอยู่ว่าในจดหมายที่พบจะไม่มีที่อยู่ผู้ส่ง แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นเพราะในช่วงนั้นไอน์สไตน์กำลังซ่อนตัวอยู่ เนื่องจากเขาโดนตำรวจเตือนให้ระวังตัวว่าอาจถูกลอบสังหารเป็นคนต่อไป วาลเธอร์ รัทเธอเนา ผู้ถูกลอบสังหาร เป็นไปได้ว่าจดหมายนี้จะถูกเขียนขึ้นในเมืองคีล ประเทศเยอรมนี ก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปยังเอเชียในเวลาต่อมา แต่ถึงแม้ว่าจะส่งจดหมายเตือนน้องสาวไปก็ตาม สุดท้ายตัวอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เองก็กลับมาอยู่ที่เยอรมนีต่อจนกระทั่งนาซีขึ้นครองอำนาจในปี 1933 อยู่ดี ก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเรื่อยมา โดยสุดท้ายแล้วจดหมายฉบับนี้ถูกประมูลออกไปในราคา 39,360 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1,230,000 บาท ที่มา livescience
-
นักโบราณคดีบอก ปีคริสต์ศักราช 536 คือปีที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
หากพูดถึงปีที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ หลายๆ คนก็อาจจะมีความเห็นที่ต่างกันไป บางคนอาจจะเลือกปีไหนสักปีหนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในขณะที่บางคนอาจจะบอกว่าปี 2018 นี่ล่ะที่เป็นปีที่เลวร้ายที่สุด แต่สำหรับนักโบราณคดีที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอย่าง ไมเคิล แม็คคอมิค แล้ว ปีที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ คือปีคริสต์ศักราชที่ 536 ต่างหาก การที่ไมเคิลบอกว่าปี 536 เป็นปีที่เลวร้ายนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับหลายๆ คนเลยเป็นได้ เพราะปีนี้ไม่ได้มีเหตุการณ์ใหญ่ๆ อย่างสงครามโลกหรือการระบาดของโรคร้ายใดๆ แต่จากงานวิจัยของไมเคิลแล้ว เหตุผลที่ทำให้ปี 536 เป็นปีที่เลวร้ายนั้น เกิดจากตัวสภาพอากาศของโลกเองต่างหาก เพราะในปีนั้นได้เกิดหมอกควันในปริมาณมาก เหนือท้องฟ้าแทบทุกทวีปทั่วโลก ตั้งแต่ยุโรป ตะวันออกกลาง เรื่อยไปยันบางส่วนของเอเชีย ทำให้โลกต้องตกอยู่ในสภาพที่ไม่มีแสงอาทิตย์ส่องถึง นี่อาจจะฟังดูเหมือนพล็อตเรื่องของหนังแนวภูตผีปิศาจสักเรื่อง แต่ในความเป็นจริงแล้วการที่แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึงพื้นโลกก็ทำให้โลกมีปัญหามากกว่าที่คิด อย่างแรกคืออุณหภูมิของโลกจะลดลงอย่างรวดเร็ว ภัยแล้งจะมาเยือน แถมพืชที่ปลูกไว้ก็จะตายไปหมด ทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงขึ้น โดยจากการวิเคราะห์ของนักวิทย์ศาสตร์แล้ว อุณหภูมิในหน้าร้อนของโลกช่วงนั้นจะอยู่ที่เพียง 1.5-2.5 องศาเซลเซียสเท่านั้น แถมหมอกที่ว่านี้ยังปกคลุมโลกต่อเนื่องนานถึง 18 เดือนเลยด้วย ลองนึกภาพว่าโลกปลูกอะไรแทบไม่ขึ้นเลยต่อเนื่องกันปีกว่าๆ ดูสิ เชื่อว่าต้องมีมนุษย์ที่อดตายกันบ้างล่ะ ว่าแต่เจ้าหมอกพวกนี้มาจากไหนกัน? จากคำอธิบายของมหาวิทยาลัยเมนของสหรัฐฯ ดูเหมือนว่าในปีนั้นจะเกิดเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นที่ไหนสักแห่งในโลก และอาจจะไม่ใช่แค่ลูกเดียวด้วย …
-
พบกระดูกหญิงสาวพร้อมเด็กในท้องอายุ 3,700 ปีที่อียิปต์ เชื่ออาจตายในระหว่างทำคลอด
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา ทางสภาโบราณสถานแห่งอียิปต์ได้ออกมาประกาศการค้นพบครั้งใหม่ ที่เมืองคอมออมโบ เมืองที่ตั้งอยู่ในทางตอนใต้ของประเทศ โดยนี่เป็นการค้นพบโครงกระดูกหญิงสาวชาวอียิปต์โบราณที่เสียชีวิตไปพร้อมๆ กับเด็กในท้อง ที่สุสานเก่าแก่ที่เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นในช่วง 1750-1550 ปีก่อนคริสตกาล นั่นหมายความว่าโครงกระดูกที่พบนี้อาจจะมีอายุมากถึง 3,700 ปีเลยนั่นเอง จากการตรวจสอบในเบื้องต้น เชื่อว่าหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของโครงกระดูกร่างนี้ น่าจะเสียชีวิตไปในตอนที่อายุได้ 25 ปี และเป็นไปได้ว่าจะมาจากกลุ่มคนเร่ร่อนที่ย้ายถิ่นฐานมาจากภูมิภาคนูเบีย นอกจากนี้การที่ร่างของทารกในครรภ์อยู่ในสภาพกลับหัว ก็ทำให้มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าหญิงสาวคนนี้น่าจะเสียชีวิตในระหว่างการทำคลอด หรือไม่ก็ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ร่างของเธอและลูกถูกห่อไว้ด้วยผ้าห่อศพที่ทำจากหนังสัตว์ ก่อนที่จะฝังไว้กับเครื่องปั้นดินเผาอีกสองชิ้น และประคำที่ทำจากเปลือกของไข่นกกระจอกเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงฐานะของหญิงสาวที่พบได้เป็นอย่างดี เป็นไปได้ว่าสิ่งของเหล่านี้จะเป็นของที่ครอบครัวนำมาฝังไว้พร้อมๆ กับหญิงสาว เพื่อเป็นเกียรติแก่คนตาย ดังที่มีการทำกันในหลายๆ วัฒนธรรมของโลก โดยการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเยลแห่งสหรัฐอเมริกา และมหาวิทยาลัยโบโลญญาในอิตาลี และนักโบราณคดีเองก็เชื่อเป็นอย่างมากกว่าการค้นพบในครั้งนี้ จะสามารถนำไปสู่ความรู้เพิ่มเติมอื่นๆ เกี่ยวกับการทำคลอดของชาวอียิปต์โบราณต่อไป ที่มา livescience, allthatsinteresting
-
หนังสือจากปี 1931 ที่จะบอกคุณว่า คนเราสามารถถูก “ไฟช็อต” ได้ด้วยวิธีใดบ้าง!
หลังมนุษย์ค้นพบพลังงานไฟฟ้า ชีวิตของมนุษย์ก็ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นอย่างทวีคูณ แต่ขณะเดียวกันชีวิตก็มีความเสี่ยงมากขึ้นเช่นกันเพราะมีวิธีจบชีวิตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวิธีนั่นก็คือ การถูกไฟฟ้าช็อตตาย นั่นเอง ทั้งนี้ จึงมีคำแนะนำและคำตักเตือนถึงเรื่องการใช้กระแสไฟฟ้ามาตั้งแต่สมัยโบราณ และวันนี้เราก็จะพาเพื่อนๆ ไปชมหนังสือที่ชื่อว่า Elektroschutz in 132 Bildern จากปี 1931 หนังสือเล่มนี้ได้รวมเอา 132 วิธีที่สิ่งมีชีวิตสามารถถูกไฟฟ้าช็อต และเราก็ได้หยิบเอามา 20 ตัวอย่าง ไปดูกันเลยว่าเราจะสามารถถูกไฟช็อตได้ด้วยวิธีใดบ้าง 1. ฉี่รดสายไฟ 2. สายไฟฟ้าขาดตรงจุดที่สัมผัสกับโลหะ 3. ฉี่รดสายไฟอีกแล้ว 4. ขณะรีดนมวัวก็อาจถูกไฟฟ้าช็อตได้นะ 5. จะชงชาหรือทำอะไรก็มีโอกาสถูกช็อตได้ทั้งนั้น 6. โคมไฟตัวดี 7. ทางที่ดีอย่าสัมผัสสายไฟฟ้าแรงสูง 8. แม้จะรีดผ้าก็มีโอกาสเสี่ยง 9. เดินเท้าเปล่าบนพื้นดิน 10. หลายครั้งที่เห็นหนูถูกไฟช็อตตายก็อาจจะเป็นเพราะแบบนี้ 11. อย่าใช้โลหะแหย่ปลั๊กไฟด้วยมือเปล่า 12.…
-
ชม 26 ภาพสุดแนวจากสหรัฐอเมริกาในยุค 70 นี่ล่ะคือยุคเด็กแนวติดโรลเลอร์สเก็ตอย่างแท้จริง
สหรัฐอเมริกาในยุค 70 เป็นช่วงเวลาที่แปลก เพราะแม้ว่าจะอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวกับสงครามเวียดนามก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่วัฒนธรรมและแฟชั่นของสหรัฐฯ กลับเฟื่องฟูอย่างไม่น่าเชื่อ นี่เป็นช่วงที่เราจะเห็นคนแต่งตัวแปลกๆ เดินตามถนน เล่นสเกตบอร์ด หรือ โรลเลอร์สเกต เรียกได้ว่าเป็นยุคที่เต็มไปด้วยความแนวก็ไม่ผิดนัก และด้วยเหตุผลนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชมภาพบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ของยุคนี้กัน ไปดูกันดีกว่าว่าสหรัฐอเมริกาในยุค 70 มันจะแนวสุดๆ ฉุดไม่อยู่ขนาดไหน เริ่มกันที่ การเล่นสเกตบอร์ดในฮอลลีวูดเมื่อปี 1976 สาวในชุดสุดแนวที่ โอไฮโอ 1973 สองสาวในเบิร์กลีย์ แคลิฟอร์เนีย 1971 ทีวีจอยักษ์จากปี 1979 การขี่จักรยานอย่างมีสไตล์ ต้นนี้มันคุ้นๆ นะ แล้วดูพี่แกยิ้มสิ เป็นยุคที่หาสเกตบอร์ดได้ง่ายพอๆ กับจักรยาน หญิงสาวในสถานที่ที่เธอบอกว่าเป็น “ห้องครัว” 1975 กลุ่มเด็กๆ ในบรุกลิน บ้านเกิดกัปตันอเมริกา ชุดเที่ยวงานคานิวัลในดีทรอยต์ จะคุยโทรศัพท์กันทีก็ต้องต่อแถวรอ ถ้ารุ่นใหญ่หน่อยชุดก็จะออกมาผสมหลายยุคนิดๆ ภาพแนวๆ…
-
4 เรื่องราวลึกลับของโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ และก็ยังเป็นปริศนาจนถึงปัจจุบัน
โลกของเรานั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ มีเรื่องมากมายที่คนเรายังไม่รู้ หรือไม่อาจอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และนี่ก็คือเรื่องราวในครั้งนี้ เพราะ #เหมียวศรัทธา กำลังจะพาเพื่อนๆ ไปชม 4 ปริศนาโบราณของโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ และยังไขกันไม่ได้แม้ในปัจจุบัน “คัมภีร์ปีศาจ” นี่เป็นพระคัมภีร์ที่บันทึกเรื่องของปีศาจไว้สมชื่อ และมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “Codex Gigas” โดยเจ้าคัมภีร์ที่หนาสุดๆ เล่มนี้ เชื่อกันว่าถูกเขียนขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 13 โดยนักบวชที่ทำสัญญากับปีศาจคนหนึ่ง ว่ากันว่านักบวชคนนี้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าวในเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น โดยเป็นการเขียนขึ้นเพื่อแลกกับการละเว้นโทษประหารของตนเอง และแม้ว่าตำนานส่วนใหญ่เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้จะฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่อย่างน้อยๆ นักวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันได้ว่าหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นโดยคนเพียงคนเดียวในระยะเวลาสั้นๆ จริงๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของหนังสือเล่มนี้คือมีหน้ากระดาษที่หายไปราวๆ 20 หน้า ทำให้เนื้อหาทั้งหมดของมันกลายเป็นปริศนาไป เส้นนัซกา นี่เป็นลายเส้นลึกลับขนาดใหญ่ กินอาณาเขตพื้นที่กว่า 520 ตารางกิโลเมตร ในทะเลทรายนัซกา ประเทศเปรู ซึ่งว่ากันว่าเขียนขึ้นโดยชาวนัซกาโบราณ เมื่อระหว่างช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึง ค.ศ. 500 เส้นพวกนี้ถูกพบอยู่หลายอันและมีลักษณะที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่คน ลิง ปลา นก หรือเสือจากัวร์ แต่ถึงจะมีการค้นพบเส้นนัซกามามาก แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่ทราบอยู่ดีว่าคนสมัยก่อนเขียนเส้นพวกนี้มาเพื่ออะไร ซากโบราณสถานใต้น้ำที่ญี่ปุ่น นี่เป็นสิ่งก่อสร้างอายุราวๆ…
-
“คุณแม่ผู้อพยพ” ภาพที่สะท้อนความลำบากของผู้อพยพ ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ในปี 1936 โลกได้รู้จักกับภาพภาพหนึ่งที่มีชื่อเสียงขึ้นมาจนกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ มันเป็นภาพของแม่ลูกสามคน ซึ่งเป็นผู้อพยพเข้าประเทศสหรัฐฯ ที่อาศัยอยู่ในเต็นท์เก่าๆ และกำลังเจอมรสุมชีวิตจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของประเทศ สีหน้าท่าทางของเธอดูท้อแท้ ราวกับกำลังเครียดจากการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ จนไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าช่างภาพจะเก็บรูปของเธอไปเพื่ออะไร นี่เป็นภาพที่ถ่ายไว้เอาไว้โดยช่างภาพสารคดีชาวอเมริกันชื่อ Dorothea Lange ซึ่งในเวลานั้นกำลังทำงานให้ องค์กรบริหารจัดการความปลอดภัยในฟาร์มของรัฐบาลสหรัฐฯ ภาพนี้ (ภาพแรกสุด) ถูกเรียกกันในภายหลังว่า “Migrant Mother” หรือ “คุณแม่ผู้อพยพ” และกลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงสุดๆ ไปจากการที่มันสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการใช้ชีวิตของผู้อพยพในประเทศได้เป็นอย่างดี แต่ถึงแม้ว่าภาพดังกล่าวจะมีชื่อเสียงขนาดไหน กว่าที่ชื่อของหญิงสาวในภาพ จะกลายเป็นที่รู้จักของประชาชนก็เป็นเรื่องราวหลังจากนั้นราวๆ 40 ปี เลยทีเดียว ชื่อของเธอคือ Florence Owens Thompson และเธอบอกว่า เธอมีความเห็นที่ค่อนข้างผสมกันเกี่ยวกับรูปถ่ายใบนี้ จริงอยู่ว่าเธอดีใจที่ภาพของเธอมีส่วนช่วยให้คนเข้าใจถึงความลำบากของผู้อพยพ แต่ในขณะเดียวกันภาพถ่ายภาพนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเธอในตอนนั้นมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเลย ถึงอย่างนั้นภาพนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ต่อตัวเธอเลยเสียทีเดียว เพราะในปี 1983 ที่ Florence ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ทางครอบครัวของเธอก็ใช้ชื่อเสียงของเธอในภาพนี้ในการเรี่ยไรเงินค่ารักษาเพื่อมาช่วยเธอโดยเฉพาะ น่าเสียดายที่แม้จะได้รับการรักษาอย่างดีแต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถรักษาชีวิตเธอเอาไว้ได้ เพราะสุดท้าย Florence ก็เสียชีวิตไปจากโรคหัวใจและมะเร็งในปีเดียวกัน …
-
26 ภาพประเทศอียิปต์ในช่วงปี 1870 ไปดูกันว่าดินแดนที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์นี้ เมื่อก่อนเป็นเช่นไร
สำหรับคนหลายๆ คนแล้ว ประเทศอียิปต์คือสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์จากในอดีต ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีผู้คนมากมายที่อยากจะลองไปเหยียบประเทศนี้ให้ได้สักครั้ง แต่เชื่อหรือไม่ว่าเสน่ห์ของอียิปต์นั้นไม่ได้โด่งดังแค่ในปัจจุบัน เพราะในอดีตเองก็มีคนมากมายที่หลงรักในเสน่ห์ของดินแดนแห่งนี้ และแน่นอนว่าสองพี่น้อง Zangaki ช่างภาพชาวกรีกเองก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยพวกเขาได้เดินทางไปที่อียิปต์ในช่วงปี 1870-1890 และเก็บภาพของชาวอียิปต์ ในช่วงศตวรรษที่ 19 มาให้ชาวโลกได้ชมกัน และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของผลงานของพวกเขา เริ่มกันจากทหารของเผ่า Bicharin เผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนได้ของอียิปต์ สฟิงซ์ขนาดใหญ่ของกิซ่า สาวอาหรับสองคน นักท่องเที่ยวชาวยุโรปและไกด์ในท้องถิ่นปีนพีระมิดแห่งหนึ่งที่กิซ่า ภาพชายชาวนูเบีย ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยในพื้นที่ตามแม่น้ำไนล์ เด็กหนุ่มกับลาของเขา นักรบของเผ่า Bicharin บนหลังอูฐ ชายสามคนที่หน้าทางเข้ามหาพีระมิดแห่งกิซ่า มัมมี่ของฟาโรห์เซติที่ 1 (ซ้าย) และฟาโรห์แรเมซีสที่ 2 (ขวา) ผู้หญิงจากชนเผ่า Bicharin ศาสตราจารย์ชาวอาหรับในกรุงไคโร ผู้ชายจากชนเผ่า Bicharin สาวนักเต้นชาวตุรกีในอียิปต์ พ่อค้าในตลาด ช่างตัดผมในอียิปต์ เสาโอเบลิสก์แห่งเฮลิโอโปลิส…
-
ย้อนรอย “จอร์เจีย แทนน์” หญิงผู้ทำเงินนับล้านดอลลาร์ จากการพรากเด็กไปขาย
ในช่วงปี 1924-1950 ที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา ยังมีสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า นาม “Tennessee Children’s Home Society” คอยออกให้การช่วยเหลือเด็กๆ จากการที่ถูกพ่อแม่ละเลย นี่อาจจะฟังดูเป็นการกระทำของเหล่าผู้ที่มีจิตใจดีงามต้องการจะปกป้องเด็กๆ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ในบรรดาทีมงานของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ มีคนที่กำลังใช้ประโยชน์จากการช่วยเหลือเด็กเพื่อทำเงินให้กับตัวเองอยู่ หญิงสาวคนนั้นคือ จอร์เจีย แทนน์ หนึ่งใน “เบบี้ฟาร์มเมอร์” ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา โดยเธอนั้นได้รับฉายานี้มาจากการที่เธอมักจะไปพรากเด็กๆ มาจากพ่อแม่ และนำไปขายต่อนั่นเอง จอร์เจียมักลงมือโดยอ้างเหตุว่าพ่อแม่ของเด็กๆ ที่เป็นเป้าหมายของเธอนั้น “ละเลย” ที่จะดูแลลูกๆ ของตัวเอง (ส่วนมากจะเป็นครอบครัวที่ยากจน) ก่อนที่จอร์เจียจะคัดเอาเด็กที่มีเสน่ห์ เพื่อเอาไปขายให้ครอบครัวที่ร่ำรวยต่อไป จริงอยู่ว่าในหลายๆ ครั้งเด็กๆ ที่จอร์เจียพรากจากพ่อแม่จะเป็นเด็กที่ถูกละเลยจริงๆ แต่การดูแลเด็กๆ ที่ได้มาของจอร์เจียเองก็ใช่ว่าจะดีเท่าไหร่ เพราะหากเด็กที่ได้มาไม่สามารถขายได้ เธอก็แทบจะไม่สนใจเด็กพวกนั้นเลยเช่นกัน ว่ากันว่าตลอดชีวิตการทำงานของเธอ จอร์เจียทำรายได้เป็นล้านเหรียญจากการขายเด็กราว 5,000 คน แต่ในขณะเดียวกันก็มีเด็กๆ ที่ขายไม่ออกต้องตายไปจากการอดอาหารมากกว่าหนึ่งร้อยคนเช่นกัน เท่านั้นยังไม่พอ หญิงสาวคนนี้ยังมีเส้นสายกับนายกเทศมนตรีของเมืองอีกด้วย ทำให้บ่อยครั้งการแจ้งความจากทางพ่อแม่ของเด็กๆ ก็ถูกทางตำรวจเพิกเฉยไป แถมช่วงหลังๆ หญิงสาวถึงกับติดสินบนนางพยาบาลเพื่อแอบไปขโมยเด็กจากโรงพยาบาลเลยด้วย …
-
5 การทำนายเทคโนโลยีในสมัยก่อน ที่แม้จะเคยดูเพ้อฝัน แต่ก็กลายเป็นจริงแล้วในปัจจุบัน
คนเราไม่อาจจะรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นตั้งแต่อดีต คนเราจึงออกมาทำนายอนาคตไว้เต็มไปหมด ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง แล้วแต่กรณีไป บางอันก็ดูเพ้อฝันแบบสุดๆ แต่ทราบหรือไม่ การทำนายที่ดูจะเพ้อฝันเหล่านี้ บางอันก็เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะในวงการวิทยาศาสตร์ เริ่มกันที่รถไฟฟ้าจะเริ่มเป็นที่นิยม นี่เป็นเรื่องที่นักเขียนนิยายไซไฟ John Brunner เขียนเอาไว้ในปี 1969 โดยเป็นหนึ่งในการบรรยายสหรัฐอเมริกาในปี 2010 จริงอยู่ว่ารถไฟฟ้านั้นมีการคิดค้นมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น กว่าที่รถไฮบริดและรถไฟฟ้า จะเริ่มเป็นที่รู้จักกันจริงๆ มันก็ในปี 2010 ตามที่ John Brunner กล่าวไว้จริงๆ เอาจริงๆ เขาเขียนถึงการก่อการร้ายในสหรัฐฯ และการเข้ารับตำแหน่งของประธานธิบดี “โอโบมิ” (เกือบเป็นโอบามาแล้ว) เอาไว้ด้วยนะ ดวงจันทร์ของดาวอังคาร ดวงจันทร์ของดาวอังคารถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1877 โดย Asaph Hall อย่างไรก็ตามย้อนกลับไป 151 ปีก่อนหน้านั้น Jonathan Swift นักเขียนเจ้าของผลงานชื่อดังอย่าง “การเดินทางของกัลลิเวอร์” ได้เคยเขียนในหนังสือของเขาไว้แล้วว่า มีดาวเล็กๆ สองดวงหมุนอยู่รอบดาวอังคาร การทำนายที่ตรงอย่างไม่น่าเชื่อนี้เองทำให้ชื่อของ Swift ถูกนำไปตั้งเป็นชื่อหลุมอุกกาบาตบนดวงจันทร์ Deimos…
-
20 ภาพถ่าย “แนวอินดี้” จากปี 1978 ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ ‘อารมณ์ใคร่…สไตล์โลลิ’
ไม่ว่าปัจจุบันผู้คนจะให้ความหมายกับคำว่า ภาพถ่ายสไตล์อินดี้ ว่าอย่างไร ภาพถ่ายสไตล์นี้ก็มีมาตั้งแต่ปี 1978 แล้ว ย้อนกลับไปเมื่อ 40 ปีก่อน ภาพถ่ายอินดี้ที่กล่าวไป ปรากฏอยู่ในหนังสือภาพของ Marcia Resnick ที่รวมเอาผลงานของศิลปินและนักเขียนเอาไว้มากมาย อาทิเช่น Allen Ginsberg, Andy Warhol และ William S. Burroughs แต่ละภาพในหนังสือเล่มนี้จะถูกบรรยายเป็นข้อความสั้นๆ อยู่รอบภาพ โดยคอนเซ็ปต์ของแต่ละภาพก็คือ การแสดงอารมณ์ทางเพศที่เร้นลับของหญิงสาว โดยไร้ซึ่งภาพของการ “สอดใส่” หญิงในภาพถูกกำหนดให้เป็นตัวละครหลักของชิ้นงาน เธอเปรียบเสมือนเด็กสาวไร้เดียงสาที่เติบโตขึ้นบนทางที่ห้อมล้อมด้วยความดีและความชั่ว จนเธอต้องแสดงความสับสนในจิตใจออกมาว่า “เด็กดี” เป็นแบบไหนกันแน่ ผลงานทั้งเซ็ตนี้จึงถือเป็นภาพสะท้อนอารมณ์ใคร่ลึกๆ ในจิตใจของผู้สร้าง ผู้ที่มองมายังเด็กสาวด้วยสายตาโลมเล้า หรือจะเรียกอีกอย่างว่า “โลลิตาคอมเพล็กซ์ ” ก็คงจะไม่ผิด ลองไปชมผลงาน ภาพถ่ายสไตล์อินดี้ จากยุคสมัยปี 1978 ที่เหลือกันได้เลย ดูซิว่าจะอินดี้แบบที่คนสมัยนี้คิดหรือเปล่า… . . . . . . . . . . .…
-
5 การใช้ชีวิตประจำวันของเผ่ามายา ที่ไม่ใช่แค่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่ยังแปลกสุดๆ ไปเลย
เผ่ามายาเป็นเผ่าที่แพร่กระจายไปในพื้นที่แถบอเมริกากลาง ตั้งแต่ในช่วงปีคริสต์ศักราช 250-950 และกลายเป็นหนึ่งในชนพื้นเมืองเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก แต่แม้ว่าเผ่ามายาจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อเสียงมากก็ตาม แต่กลับมีคนไม่มากที่รู้ถึงการใช้ชีวิตประจำวันของคนเผ่านี้ ทั้งๆ ที่พวกเขามีวิถีชีวิตประหลาดๆ อยู่หลายอย่างเลยแท้ๆ ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะไปชม 5 การใช้ชีวิตประจำวันของเผ่ามายา ที่ไม่ใช่แค่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่ยังแปลกและน่าสนใจสุดๆ ไปเลย ชาวเผ่ามายาจะใช้ยาสวนทวารในการทำให้ตัวเองเมา ยาที่ว่านี้ มักจะมาจากเครื่องดื่มที่ชื่อว่า “Balché” ซึ่งทำขึ้นมาจากเปลือกไม้ของต้นไม้ชนิดหนึ่ง หรือไม่ก็ “Pulque” ซึ่งทำมาจากว่านหางจระเข้หมัก และจะมีการนำไปใช้งานในพิธีกรรมต่างๆ ด้วย เอาเข้าจริงๆ ชาวมายาก็ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันตามปรกตินั่นล่ะ แต่ในกรณีที่อยากเมาเร็วๆ พวกเขาก็มีหลักฐานว่าจะเทเครื่องดื่มมึนเมาเข้าไปทางทวารเพื่อเร่งผลของแอลกอฮอล์เลยเช่นกัน ชาวเผ่ามายาจะเจาะฟันแล้วฝังเครื่องประดับลงไป เผ่ามายานั้นนับว่ามีวิทยาการการทำฟันที่ก้าวไกลมากเมื่อเทียบกับยุคสมัย อย่างไรก็ตามใช่ว่าการทำฟันทุกอย่างของพวกเขาจะดีไป หมด เพราะหนึ่งในสิ่งที่ชาวมายามักจะทำกลับเป็นการเจาะรูที่ฟันเพื่อใส่เครื่องประดับ แถมดูเหมือนว่าการเจาะฟันจะได้รับความนิยมมากเลยด้วย เพราะกะโหลกของชนเผ่ามายาจำนวนมากที่เคยมีการค้นพบล้วนแต่มีการเจาะฟันใส่เครื่องประดับทั้งนั้นเลยด้วย ชาวเผ่ามายามีพิธีบูชาเทพ 165 องค์ การมีเทพถึง 165 องค์ อาจจะฟังดูเยอะ (หากไม่เทียบกับเทพของญี่ปุ่น) แต่เรื่องที่ทำให้ชาวมายาต่างไปจากที่อื่นคือ เทพของเผ่ามายานั้นมักจะต้องการการบูชายัญมนุษย์นี่สิ โดยเหยื่อบูชายัญส่วนมากของเผ่ามายา จะเป็นเด็กผู้หญิง ซึ่งน่าจะมาจากความเชื่อเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ และมีการเลือกเหยื่อบูชายัญไว้ก่อนพิธีหลายปีเลยด้วย อย่างไรก็ตามในบางครั้งเหยื่อบูชายัญของพวกเขาก็อาจจะมาจากศัตรู หรือทาสได้เช่นกัน…
-
ชม 5 แผนการในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่แม้จะไม่สำเร็จ แต่ก็น่าสนใจมากๆ อยู่ดี
การวางแผนนับว่าเป็นหัวใจหลักที่ทำให้ประเทศประเทศหนึ่งจะสามารถเอาชนะสงครามได้ แต่ก็ใช่ว่าแผนการมากมายที่ถูกคิดนั้นจะถูกนำไปใช้งานหรือสำเร็จมันทุกแผนการเช่นกัน โดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่สองแล้วด้วย แต่ถึงแผนการเหล่านั้นจะไม่สำเร็จ แต่มันก็ใช่ว่าจะไม่น่าสนใจเลย เพราะฉะนั้น ในวันนี้เราจะมาชม 5 แผนการในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่แม้จะไม่สำเร็จแต่ก็น่าสนใจมากๆ เช่นเดียวกัน เริ่มกันที่ Operation Bernhard นี่คือแผนการของนาซีที่จะทำลายเศรษฐกิจของทางอังกฤษ ด้วยการฉีดธนบัตรปลอมจำนวนมากเข้าไปในประเทศนั่นเอง โดยธนบัตรเหล่านี้นั้น จะถูกทำขึ้นโดยนักโทษในค่ายกักกัน โดยชาวยิวที่มีฝีมือในการพิมพ์ และแกะสลัก อย่างไรก็ตามแม้ว่าทางนาซีจะมีธนบัตรปลอมอยู่เป็นจำนวนมาก พวกเขาก็ไม่มีวิธีที่ดีพอที่จะเอาธนบัตรทั้งหมดเข้าไปในอังกฤษอยู่ดี ด้วยเหตุนี้เองธนบัตรส่วนมากจึงถูกนำไปใช้จ่ายให้กับสปายแทน และเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองจบลงธนบัตรปลอมเหล่านี้ก็ถูกนำไปทิ้งในทะเลต่อไป Operation Tannenbaum นี่เป็นแผนการที่เกิดขึ้นในช่วงต้นยุค 40 ซึ่งใกล้ๆ กับที่ฮิตเลอร์บอกกับมุสโสลีนีว่าเขาไม่ชอบประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนทำให้ทางทหารเตรียมบุกสวิตเซอร์แลนด์ทันที เอาเข้าจริงๆ แผนการนี้มีการเตรียมการเพียบพร้อมแทบทุกอย่างแล้วด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จเพราะฮิตเลอร์ที่เป็นคนบอกเองว่าไม่ชอบสวิตเซอร์แลนด์ กลับไม่ยอมอนุมัติแผนการเสียนี่ เป็นไปได้ว่าที่เป็นเคยนี้อาจจะเพราะฮิตเลอร์คิดว่าการบุกสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงที่ประเทศกำลังรับศึกสองด้านพร้อมกันมันไม่ใช่เรื่องที่ดีก็เป็นได้ Project Habakkuk นี่เป็นแผนการของอังกฤษที่จะสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินจากวัสดุที่ผลิตจากน้ำแข็งและขี้เลื่อย เนื่องจากหาง่ายกว่าเหล็ก (ในยามสงคราม) มาก อย่างไรก็ตามแผนการนี้ก็ไม่ได้มีการใช้งานขึ้นมาจริงๆ เนื่องจากที่วัสดุที่ใช้นั้นหนักมาก และการสร้างเรือแบบนี้มีค่าใช้จ่ายสูงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แผนการนี้ถูกยกเลิกไปในที่สุด The Bat Bomb นี่เป็นแผนการที่สหรัฐฯ คิดจะโจมตีญี่ปุ่นด้วยระเบิดที่บรรจุค้างคาวจำนวนมากเอาไว้ โดยตามในแผนการค้างคาวเหล่านี้จะสามารถกระจายไปได้ไกลถึง 20-40 ไมล์ (ราวๆ…
-
ย้อนรอยการค้นหาร่างของ “ราชวงศ์โรมานอฟ” กับปริศนาที่กินเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ
ในช่วงปี 1918 ราชวงศ์โรมานอฟ ที่ถูกจับโดย “บอลเชวิค” สมาชิกของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย ในระหว่างการปฏิวัติรัสเซีย ถูกเคลื่อนย้ายที่คุมขังไปมาอยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะถูกสังหารไป การสังหารคนในราชวงศ์โรมานอฟนั้นว่ากันว่ากินเวลาราวๆ 20 นาทีและโหดร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะมีร่องรอยว่าคนในราชวงศ์รวมทั้งเด็กๆ (และคนใช้บางส่วน) ถูกทำร้ายด้วยพานท้ายปืน ดาบปลายปืน มีด และอื่นๆ จนถึงแก่ความตาย ภาพถ่ายห้องที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ที่ราชวงศ์โรมานอฟถูกสังหาร เท่านั้นยังไม่พอในระหว่างการนำศพไปซ่อน ผู้ลงมือยังยึดเอาเครื่องประดับทั้งหมดบนตัวศพ ก่อนที่จะราดน้ำกรดลงไปบนศพของคนในราชวงศ์โรมานอฟก่อนที่จะนำไปฝังด้วย นั่นทำให้การหายตัวไปของคนในราชวงศ์โรมานอฟในสมัยนั้นกลายเป็นปริศนาที่ยากที่จะไขให้กระจ่างมาก เพราะนอกจากจะหาศพไม่เจอแล้ว สื่อในประเทศยังถูกควบคุมให้ออกข่าวประณามราชวงศ์โรมานอฟอยู่เรื่อยๆ ด้วย จริงอยู่ว่าในตอนนั้น บอลเชวิคจะยอมรับว่ามีการสังหารคนในราชวงศ์โรมานอฟจริงๆ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีการเปิดเผยวิธีการหรือสถานที่ที่ลงมือสังหารราชวงศ์โรมานอฟเลย ภาพการประชุมของบอลเชวิคในปี 1920 เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้กว่าที่จะมีการพบสถานที่ที่ราชวงศ์โรมานอฟถูกฝังอยู่จริงๆ มันก็เป็นในปี 1979 และด้วยแรงกดดันจากทางรัฐ กว่าที่จะมีการขุดร่างที่ถูกฝังไว้ขึ้นมาจริงๆ มันก็หลังจากที่โซเวียตล่มสลายไปในปี 1991 เลยทีเดียว โครงกระดูกที่มีการค้นพบ โดยสถานที่ที่มีการพบหลุมฝังศพของราชวงศ์โรมานอฟนั้นคือใกล้ๆ กับคฤหาสน์ในเยคาเตรินบุร์ก หนึ่งในที่ที่ราชวงศ์โรมานอฟเคยถูกนำมาขังไว้นั่นเอง กระดูกที่พบในวันนั้นถูกนำมาตรวจสอบ DNA ก่อนที่จะนำไปฝังไว้ที่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี 1998 และมีการประกาศให้คนในราชวงศ์โรมานอฟที่ตายให้เป็น…
-
ชมจิตวิทยาจากยุค 50 เกี่ยวกับ “วิธีถือบุหรี่เก้าแบบ” ที่บอกความเป็นตัวตนของคุณได้อย่างดี
ความสามารถในการคาดเดาว่าคนอื่นกำลังคิดอะไรโดยดูจากเพียงแค่การกระทำนั้นเป็นความสามารถที่ดูมีเสน่ห์สำหรับหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ท่านั่ง การทานอาหาร คนเรามักจะชื่นชอบเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาในการมองคนอยู่เสมอ แน่นอนว่าความชื่นชอบในจิตวิทยาเหล่านี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นในปัจจุบันเท่านั้นด้วย เพราะในอดีตเองก็มีจิตวิทยาเกี่ยวกับการสังเกตคนมากมายถูกเผยแพร่ออกมาเช่นกัน และสำหรับในยุค 50 เอง นิตยสาร Caper Magazine ก็ได้ผู้ถึงจิตวิทยาที่น่าสนใจมากๆ ไว้อันหนึ่งเช่นกัน โดยนี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสังเกตความคิดของผู้คน จากการจับบุหรี่ทั้งเก้าแบบนั่นเอง ซึ่งบทความจิตวิทยาในครั้งนี้เขียนขึ้น ด้วยความช่วยเหลือของ Dr. William Neutra และมีเนื้อหาคร่าวๆ ดังนี้ แบบที่ 1 Dr. William บอกว่าคนที่จับบุหรี่แบบนี้เป็นคนที่รู้สึกไม่มั่นคง ดูได้จากความกลัวที่จะเสียบุหรี่ไป และหากมีคนรักก็น่าจะเกาะติดเขาหรือเธอราวกับกาวเลย แบบที่ 2 Dr. William บอกว่านี่เป็นท่าทางของคนที่กำลังเบื่อคู่เดต และท่าทางจะกำลังกลั้นไม่ให้หาวอย่างเต็มที่ แบบที่ 3 Dr. William บอกว่าคนที่ถือบุหรี่แบบนี้มักจะเป็นคนมีความรู้ แบบที่ใช้สมองเป็นหลัก และมักมีลักษณะที่ช่างครุ่นคิด แบบที่ 4 Dr. William บอกว่านี่เป็นลักษณะการถือบุหรี่ของคนที่ไว้ใจไม่ได้ อ่อนแอ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยยาก และขี้โกหกเป็นอย่างมาก …
-
พบซากเรืออับปางที่เก่าแก่ที่สุด ในทะเลดำ เชื่อเป็นเรือค้าขายสินค้าของชาวกรีกโบราณ
เคยสงสัยไหมว่าซากเรืออับปางที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการค้นพบมามันเป็นอย่างไร เพราะเมื่อไม่นานมานี้เองได้มีการออกมาประกาศจากทางนักวิทยาศาสตร์แล้วว่า ซากเรืออับปางที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีการค้นพบนั้น อยู่ที่ทะเลดำนั่นเอง นี่เป็นซากเรือเก่าแก่ของชาวกรีกโบราณ ที่มีอายุกว่า 2,400 ปี ซึ่งถูกค้นพบโดยทีมนักสำรวจ แองโกล-บัลแกเรีย และได้รับการบันทึกว่าเป็นซากเรืออับปางที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังมีสภาพครบถ้วนของโลก เรือลำนี้มีความยาวราวๆ 23 เมตร ที่เชื่อกันว่าเป็นเรือค้าขายสินค้าในสมัยก่อน จากสิ่งของที่พบบนเรือ และจากบริเวณที่มีการค้นพบเรือซึ่งมีประวัติศาสตร์เป็นเส้นทางการค้าสายสำคัญระหว่างยุโรปกับเอเชียอีกด้วย การค้นพบในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการโบราณคดีทางทะเลของทะเลดำ” หรือ “MAP” ซึ่งเป็นปฏิบัติการค้นหาซากเรืออับปางในทะเลดำที่มีกำหนดการทำงานทั้งหมด 3 ปี โดยตลอดปฏิบัติการนี้ ทางโครงการได้ค้นพบซากเรืออับปางที่ทะเลดำมาแล้วกว่า 60 ลำ จากการใช้เทคโนโลยีโซนา บวกกับหุ่นยนต์สำรวจน้ำลึก เรือที่พบมีลักษณะคล้ายคลึงกับเรือที่ปรากฏบนแจกันไซเรนอายุ 2,500 ปี ที่เคยมีการค้นพบก่อนหน้านี้ เป็นไปได้ว่าเหตุผลที่เรือลำนี้ไม่ผุพังไปตามกาลเวลาเสียก่อนจะมาจากการที่สภาพของน้ำทะเลในบริเวณที่พบนั้นมีปริมาณออกซิเจนต่ำ จึงทำให้มีปริมาณแบคทีเรียและสัตว์น้ำที่เป็นอันตรายต่อซากเรืออยู่น้อยตามไปด้วย จริงอยู่ว่าทางทีมงานได้มีการนำชิ้นส่วนซากเรือที่พบขึ้นมาเพื่อทำการตรวจสอบอายุของเรือลำนี้ แต่ในปัจจุบันซากเรือที่พบก็ยังคงนอนอยู่ที่ก้นมหาสมุทรต่อไป เนื่องจากการจะเก็บกู้ซากเรือเก่าแก่แบบนี้ จำเป็นที่จะต้องให้ทุนทรัพย์ในปริมาณที่มากนั่นเอง ที่มา history, bbc
-
“ภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ” ภาพแปลกจากศตวรรษที่ 19 ที่ถ่ายคนตายเหมือนยังมีชีวิต
การเอาศพคนตายมาถ่ายรูปกับครอบครัว อาจจะเป็นเรื่องที่ฟังดูแปลกๆ ในปัจจุบัน แต่รู้หรือไม่ว่าในช่วงศตวรรษที่ 19 การถ่ายรูปในรูปแบบนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่การถ่ายภาพแบบนี้ยังเป็นที่นิยมกว่าที่คิดด้วย ที่เป็นเช่นนี้นั้นคาดว่าเป็นเพราะการถ่ายภาพในสมัยนั้นเป็นเรื่องที่ใช้เงินค่อนข้างสูง ในหลายๆ ครั้งคนจึงไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปเลยทั้งชีวิต ทำให้ครอบครัวมักจะถ่ายรูปให้แก่คนที่รักเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเป็นเครื่องจดจำของคนที่จากไป ภาพในรูปแบบนี้มักถูกเรียกกันว่า “Post-mortem Photography” หรือ “ภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ” และเชื่อกันว่าเกิดขึ้นครั้งแรกๆ ในปี 1839 โดยในช่วงแรกๆ การถ่ายภาพหลังจากชันสูตรศพ จะไม่มีการแต่งศพใดๆ เลยด้วย จริงอยู่ที่อาจจะมีการเปลี่ยนชุดอยู่บ้าง แต่จะไม่มีการแต่งหน้าศพแต่อย่างใด เป็นไปได้ว่าที่การถ่ายรูปแบบนี้กลายเป็นที่นิยมขึ้นมาได้ง่าย มาจากการที่คนในสมัยก่อนมักจะตายกันที่บ้านมากกว่าที่โรงพยาบาล ทำให้พวกเขาสามารถเรียกช่างภาพมาถ่ายภาพได้ง่าย แถมยังสามารถจัดฉากหลังให้สวยงามได้ด้วย อย่างไรก็ตามภาพถ่ายที่มีการแต่งหน้าและจัดท่าทางของศพนั้น เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อีกที โดยในช่วงนี้คนจะมีการจัดท่าทาง ตัดผม หรือแม้กระทั่งเปิดตาศพเพื่อให้เหมือนกับว่ายังมีชีวิตเลยทีเดียว และก็เป็นในช่วงนี้เองที่มีภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพปรากฏออกมาเป็นจำนวนมาก และท่าทางกับวิธีการจัดภาพของศพเองก็มีทั้งที่แปลกๆ และสร้างสรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน การถ่ายภาพในรูปแบบนี้ค่อยๆ ได้รับความนิยมลดลงเรื่อยๆ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20…
-
เปิดประวัติ Henry Gunther ทหารอเมริกาคนสุดท้าย ที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ในตอนที่สัญญาสงบศึกถูกลงนามในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คำสั่งหยุดยิงใช้เวลาราวๆ 6 ชั่วโมงที่จะไปถึงแนวรบทั่วทุกหนแห่ง ก่อนที่การฆ่าฟันจะจบลงจริงๆ และในช่วงเวลานี้สั้นๆ นี้เองก็ได้จบชีวิตทหารลงอีกราว 3,000 ราย Henry Gunther เองก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่เรื่องราวของเขาอาจจะพิเศษหน่อย เพราะเขานั้นคือทหารสหรัฐอเมริกาคนสุดท้าย ที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั่นเอง Henry Gunther ทหารสหรัฐฯ คนสุดท้าย ที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่จริงแล้วข่าวการลงนามในสัญญาสงบศึกเป็นเรื่องที่รู้กันในหมู่ทหารมานานพอสมควรแล้ว แต่ก็มีทหารบางส่วนที่ตัดสินใจจะรบไปจนหยดสุดท้าย และจะหยุดการต่อสู้ต่อเมื่อ คำสั่งหยุดยิงมาถึงจริงๆ เท่านั้น และแน่นอนว่าหนึ่งในกองทหารที่ว่าก็คือกองทหารราบ 313 ที่ Henry Gunther อยู่ ซึ่งไปรบในการต่อสู้ที่ Meuse Argonne ภาพการต่อสู้ที่ Meuse Argonne เรื่องราวหลังจากนี้ไปจะถูกเล่าแตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้วคือกองทหารราบ 313 ถูกลอบโจมตี และยิงกดดันจนไม่สามารถเคลื่อนพลได้ ก่อนที่ Henry Gunther ตัดสินใจวิ่งผ่าดงกระสุนเข้าไปยังกองทหารเยอรมัน เขาโดยยิงเข้าที่ศีรษะจนเสียชีวิต ในเวลา 10.59 นาฬิกา เพียงแค่หนึ่งนาทีก่อนที่จะมีคำสั่งหยุดยิงจะมาถึง ภาพค่ายกาชาดของสหรัฐฯ ในพื้นที่ต่อสู้ Meuse Argonne…
-
พบซากเมืองกรีกโบราณเก่าแก่ ที่ชาวเมืองอ้างตัวว่าเป็น “นักโทษ” จากสงครามกรุงทรอย
สงครามกรุงทรอย หรือ “สงครามโทรจัน” เป็นตำนานจากสมัยก่อน ที่มีชาวกรีกโบราณจำนวนมากเชื่อมั่นว่าเคยมีการเกิดขึ้นมาจริงๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีชาวกรีกโบราณที่อ้างตัวว่ามีความเกี่ยวข้องกับสงครามในครั้งนี้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้เอง นักโบราณคดีได้ออกมาประกาศการค้นพบซากเมืองที่ชื่อ Tenea ซึ่งเป็นที่อยู่ของชาวกรีกโบราณซึ่งอ้างตัวว่าเคยเป็นนักโทษของสงครามโทรจันมาก่อนนั่นเอง เมืองที่พบนี้เชื่อว่าน่าจะเคยถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยมาก่อนในช่วง 300 ปีก่อนคริสตกาล ไปจนถึงคริสต์ศักราชที่ 400 ในบรรดาสิ่งก่อสร้างที่พบยังมีสุสานโบราณซึ่งเก็บกระดูกของชายสองคน หญิงสาวห้าคน และเด็กอีกสองคน โดยพวกเขาถูกฝังไว้พร้อมๆ กับเครื่องประดับมีค่าอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในเครื่องประดับที่พบ ยังมีแหวนที่สลักรูปเทพเซราพิส ซึ่งมีบทบาททั้งในความเชื่อของกรีกและอียิปต์อีกด้วย โครงกระดูกและเครื่องประดับที่มีการขุดพบ ส่วนข้อมูลที่ว่าคนในเมือง Tenea อ้างตัวว่าเคยเป็นนักโทษของสงครามโทรจันมาก่อนนั้น มาจากบันทึกของพอซาเนียสนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกโบราณ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศักราชที่ 143-176 นั่นเอง แต่แม้ว่าเมือง Tenea จะเป็นเมืองที่น่าสนใจมาก แต่เมืองแห่งนี้ก็ไม่ได้อยู่ยงต่อไปอย่างยาวนานสักเท่าไหร่ เพราะในช่วงศตวรรษที่ 4 พื้นที่ที่เมืองนี้ตั้งอยู่ก็ถูกโจมตีโดยชาวกอท ก่อนที่ชาวเมืองจะอพยพออกไปในเวลาต่อมา อันที่จริงตำแหน่งคร่าวๆ ของเมือง Tenea นั้นถูกค้นพบครั้งแรกมาตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 19 แล้ว อย่างไรก็ตามนักโบราณคดีไม่ได้มีตำแหน่งที่แน่นอนของเมืองแต่อย่างใด ทำให้การค้นพบเมืองในครั้งนี้ จัดว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมาก เพราะหลังจากที่มีการขุดค้นอย่างจริงจังกันมาตั้งแต่ปี 2016 ในที่สุดนักโบราณคดีก็สามารถค้นหาเมืองจนพบจนได้ และนักโบราณคดีก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการค้นพบนี้นั้นจะนำมาซึ่งข้อมูลเพิ่มเติมของผู้ที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนต่อไป…
-
“การสังหารหมู่หน้าโรงรถที่เคานัส” เหตุการณ์คนในชาติฆ่ากันเองที่ถูกลืม แห่งประเทศลิทัวเนีย
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พรรคนาซีเป็นต้นเหตุใช้ชาวยิวจำนวนมากต้องเสียชีวิตไปในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งแล้วครั้งเล่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวที่เป็นที่รู้จักกันนั้นโดยมากแล้วจะเกิดขึ้นที่เยอรมนีเอง หรือไม่ก็ในประเทศโปแลนด์ จากชื่อเสียงของค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวนั้นยังเกิดขึ้นที่อื่นอีกหลายที่ และหนึ่งในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวที่มักจะถูกลืมก็เกิดขึ้นที่ประเทศลิทัวเนีย โดยนี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 1941 หลังจากที่เยอรมนีบุกมาถึงประเทศลิทัวเนียนั่นเอง นี่เป็นเหตุการณ์ที่ถูกเรียกด้วยชื่อที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ลิทัวเนีย” “การสังหารหมู่หน้าโรงรถที่เคานัส” หรือ “Kaunas pogrom” นี่เป็นการสังหารหมู่ที่ค่อนข้างแปลก เพราะเอาเข้าจริงๆ คนที่ลงมือสังหารชาวยิวนั้นแทบจะไม่ใช่ทหารนาซี แต่เป็นคนในประเทศด้วยกันเองต่างหาก เรื่องของเรื่องคือในลิทัวเนียเองมีประชาชนอยู่ส่วนหนึ่งที่ไม่พอใจการปกครองของทางโซเวียต ดังนั้นพวกเขาจึงอ้าแขนรับการมาของกองทัพนาซีอย่างเต็มที่ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหากเข้าร่วมกับนาซี ประเทศของพวกเขาจะได้ปกครองตนเองเสียที แน่นอนว่าการเข้าร่วมกับนาซีนั้น มาพร้อมกับวัฒนธรรมการเหยียดชาวยิว นั่นทำให้ในช่วงเวลานั้นชาวยิวในลิทัวเนียจำนวนมากต้องถูกสังหารไป และเหตุการณ์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 25–29 มิถุนายน 1941 เพียงหนึ่งวันหลังจากที่นาซีเข้าปกครองลิทัวเนียนั่นเอง โดยในช่วงนั้น ชาวยิวจะถูกเรียกมารวมตัวกันที่หน้าโรงรถในตอนบ่าย ก่อนที่บางส่วนจะถูกทุบตีจนตายด้วยพลั่ว แท่งเหล็ก หรือวิธีการโหดร้ายอื่นๆ โดยมีผู้ลงมือที่เป็นคนชาติเดียวกัน ท่ามกลางประชาชนที่มุงดูอยู่รอบๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีทั้งการบันทึกภาพและขั้นตอนแทบทั้งหมดไว้อย่างชัดเจน และกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ดำมืดที่สุดอันหนึ่งของประเทศไปเลย แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่การเปิดม่านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศเท่านั้น…
-
นักโบราณคดีเผย พบกองทัพทหารดินเผาคล้ายของของจิ๋นซี ที่ประเทศจีน อายุเก่าแก่ 2,100 ปี
เมื่อพูดถึงกองทัพทหารดินเผาที่มีชื่อเสียงโด่งดังของโลก ไม่ว่าใครก็คงคิดถึงกองทัพทหารดินเผาที่พบในสุสานจิ๋นซี ฮ่องเต้ก่อนเป็นอย่างแรก แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อล่าสุดนี้ นักโบราณคดีกลับพบกับกองทัพทหารดินเผาคล้ายของจิ๋นซี ฮ่องเต้อีกครั้งในหลุมเก่าแก่อายุ 2,100 ปีที่ประเทศจีน โดยกองทัพทหารดินเผาที่พบในครั้งนี้นั้น มีขนาดที่เล็กกว่าของจิ๋นซี ฮ่องเต้ค่อนข้างมาก และมีทั้งทหารราบ ทหารม้า ข้าราชการ เรื่อยไปจนถึงตัวตลก และสิ่งก่อสร้างเลยด้วย ในบรรดาสิ่งที่พบ ของที่สูงที่สุดคือหอสังเกตการณ์ดินเผา ซึ่งมีความสูงอยู่ที่ประมาณ 140 เซนติเมตรเท่านั้น ส่วนรูปปั้นดินเผาที่พบมากที่สุดได้แก่ทหารราบที่มีมากถึงราวๆ 300 คน จากลักษณะงานฝีมือที่พบ ในเบื้องต้นนักโบราณคดีเชื่อว่ากองทัพทหารดินเผาจิ๋วเหล่านี้น่าจะถูกทำขึ้นราวๆ 100 ปีหลังจากกองทัพทหารดินเผาของจิ๋นซี ฮ่องเต้ โดยกองทัพทหารดินเผาที่พบน่าจะทำขึ้นให้แก่เจ้าชาย Liu Hong ผู้เป็นลูกชายของจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (141-87 ปีก่อนคริสตกาล) อีกที นั่นหลายความว่าหากกองทัพทหารดินเผาเหล่านี้ทำขึ้นเพื่อปกป้องเจ้าชาย Liu Hong ตัวสุสานเองก็น่าจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงแน่ๆ อย่างไรก็ตามจากคำบอกเล่าของนักโบราณคดี แม้สถานที่ที่พบทหารดินเผาจะมีทางเชื่อมไปยังตัวสุสาน แต่ทางที่ว่ากลับไม่สามารถใช้งานได้ และมีความเป็นไปได้สูงที่สุสานจะถูกทำลายไปแล้ว นั่นเพราะในช่วงปี 1960-1970 เคยมีการปรับที่ดินในบริเวณดังกล่าวไป เพื่อทำรางรถไฟนั่นเอง แต่แม้จะมีความเป็นไปได้สูงว่าสุสานจะถูกทำลายไปแล้ว ลำพังการค้นพบทหารดินเผาจิ๋วเองก็นับเป็นการค้นพบที่มีค่ามากอยู่ดี…
-
ย้อนรอย “เกมเศรษฐี” กับเรื่องแปลกๆ ที่ยอดขายเกมจะเพิ่มขึ้น ยามเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
เมื่อมีคนพูดถึงเกมที่ชื่อ “Monopoly” ชื่อว่าคงมีคนบางส่วนที่ยังงงๆ ว่าหมายถึงเกมอะไร แต่หากพูดถึง “เกมเศรษฐี” แล้วละก็ ชื่อว่าทุกๆ คนคงจะร้องอ๋อเลยทีเดียว เกมเศรษฐี เป็นเกมกระดานที่เชื่อกันว่าเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1904 โดยความคิดของ Elizabeth J. Magie หญิงสาวชาวสหรัฐอเมริกา โดยเดิมทีแล้วมีชื่อว่า “Landlord’s Game” และกลายเป็นเกมที่มีคนรู้จักกันไปทั่วโลกในเวลาต่อมา ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วเกมเศรษฐี ไม่ได้โด่งดังเลยในตอนที่มันถูกคิดค้นขึ้นมา ช่วงเวลาที่ทำให้เกมเศรษฐีกลายเป็นเกมกระดานชื่อดังที่ใครๆ ก็รู้จักนั้น มาจากเหตุการณ์ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ “Great Depression” ในช่วงยุค 1930 และก็ในช่วงนั้นเองที่บริษัท Parker Brothers ได้เข้าซื้อลิขสิทธิ์ของ Landlord’s Game และวางจำหน่ายในฐานะเกม Monopoly นั่นเอง คงต้องบอกว่าความสำเร็จของเกมเศรษฐีในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่มีปัจจัยอยู่หลายข้อ แต่หนึ่งในนั้นคือการที่เกมเศรษฐีมีราคาที่พอจับต้องได้ในยามที่ประชาชนไม่มีเงินซื้อของฟุ่มเฟือยมากนัก และนอกจากจะราคาถูกแล้วเกมเศรษฐียังย้อนกลับมาเล่นได้เรื่อยๆ แถมยังเล่นได้ทุกเพศทุกวัย นำไปสู่ความโด่งดังในยุคที่ประชาชนมีเงินน้อยและความเครียดสูง จนไม่ค่อยอยากออกจากบ้านไป อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เกมนี้โด่งดังค้างฟ้า น่าจะมาจาก…
-
ภาพหายาก “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์กอดเด็กหญิงชาวยิว” ถูกประมูลไปในราคากว่า 380,000 บาท
เป็นเรื่องที่เราทราบกันดีว่านาซีนั้นเกลียดชังชาวยิวขนาดไหน แต่ถึงแม้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จะรังเกียจชาวยิวเพียงใด ชายคนนี้ก็ใช่ว่าจะเกลียดชาวยิวมาตั้งแต่แรก เพราะเมื่อไม่นานมานี้เองได้มีภาพสุดหายากของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่กำลังกอดเด็กสาวความยิวคนหนึ่ง ออกประมูลขายที่รัฐแมริแลนด์ ของสหรัฐอเมริกาด้วย นี่เป็นภาพที่มีการถ่ายเก็บเอาไว้ในปี 1933 ซึ่งเป็นช่วงที่นาซียังไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในเยอรมนี และเป็นภาพของเด็กผมสีบลอนด์ ที่มีชื่อว่า Rosa Bernile Nienau ซึ่งในเวลานั้นอายุได้ราวๆ หกขวบ โดยบนภาพนั้นมีการเขียนตัวอักษรด้วยหมึกสีน้ำเงินโดยฮิตเลอร์ว่า “Rosa Bernile Nienau อันเป็นที่รัก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ มิวนิค 16 มิถุนายน 1933” Rosa ที่เห็นในภาพนั้น เกิดในวันเดียวกับฮิตเลอร์ และมักถูกเรียกกันว่า “The Führer’s child” (เด็กของท่านผู้นำ) ในภายหลัง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของภาพนี้อยู่ที่ประวัติของ Rosa เองต่างหาก เพราะแม้ว่าเธอจะมีผมสีบลอนด์ที่คล้ายกับชาวอารยันตามแนวคิดของนาซี (ผมสีทองตาสีฟ้า) แต่เด็กสาวคนนี้จริงๆ แล้วเป็นชาวยิวต่างหาก Rosa นับเป็นลูกเสี้ยวยิวก็จริง แต่หากมองตามกฎหมายของนาซีในสมัยนั้นแล้ว เธอจะถือว่าเป็นชาวยิวเต็มตัวอยู่ดี…
-
สองอดีตผู้นำเขมรแดง ถูกตัดสินโทษจากคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แล้ว หลังเวลาผ่านมาเกือบ 40 ปี
ตั้งแต่วันที่เขมรแดงได้กระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวจามและชาวเวียดนามกว่า 1.7 ล้านคน ในกัมพูชา เมื่อช่วงปีคริสต์ศักราช 1975-1979 เวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยมาได้เกือบๆ 40 ปีแล้ว แต่เมื่อล่าสุดนี้เองศาลพิเศษของสหประชาชาติ ได้เสร็จสิ้นกระบวนการยุติธรรม และได้มีคำตัดสินออกมาว่า 2 อดีตผู้นำเขมรแดง มีความผิดในกรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อดีตผู้นำเขมรแดงทั้งสองคนนี้ได้แก่นาย นวน เจีย วัย 92 ปี ผู้ซึ่งมีอำนาจเป็นรองเพียงแค่ “พล พต” ผู้นำสูงสุดในสมัยนั้น และนาย เขียว สัมพัน วัย 87 ปี ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐนั่นเอง นายเขียว สัมพัน (ซ้าย) และนายนวน เจีย (ขวา) โดยนี่นับเป็นการตัดสินโทษที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากนานาชาติเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และทำให้เหตุการณ์ในครั้งนั้นถูกนับเป็นการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” อย่างเป็นทางการในที่สุด ทั้งนี้โทษที่ทั้งสองคนจะได้รับคือการจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งเดิมทีแล้วทั้งคู่เคยถูกตัดสินโทษในลักษณะเดียวกันจากความผิดในข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เมื่อปี 2014 มาแล้ว ทำให้นี่เป็นการโดนลงโทษจำคุกตลอดชีวิตของทั้งคู่ …
-
ย้อนรอย “อิวาน ชิโดเรนโก้” จากเด็กผู้เติบโตมากับศิลปะ สู่สไนเปอร์ที่เก่งที่สุดของโซเวียต
สงครามโลกครั้งที่สองเป็นเหตุการณ์ความหายนะครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลก แต่ในขณะเดียวกันสงครามครั้งนี้ก็สร้างชื่อเสียงให้กับทหารหลายคนเช่นเดียวกัน จริงอยู่ว่าในสงครามโลกครั้งที่สองมีสไนเปอร์ที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคน แต่สำหรับทางโซเวียตแล้ว ที่สุดของมือสไนเปอร์ก็คงจะไม่พ้นอิวาน ชิโดเรนโก้นี่ล่ะ อิวาน มิคาลโลวิช ชิโดเรนโก้ (Ivan Mikhaylovich Sidorenko) เกิดเมื่อวันที่ 12 กันยายน 1919 ในรัสเซีย และเติบโตมากับศิลปะแทบทั้งชีวิต เขาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยศิลปะเปนซา อิวานศึกษาด้านการวาดภาพอยู่ในมหาวิทยาลัยเรื่อยมา จนกระทั่งสงครามโลกเริ่มขึ้นในปี 1939 อิวานเข้าร่วมกองทัพและได้เข้าประจำการในหน่อยปืนครกในปี 1941 อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่ผลงานที่ทำให้เขาเป็นตำนานเลย ชื่อเสียงของเขามาจากการที่เขาแบกปืนโมซิน-นากองท์ไปไล่ยิงทหารนาซี “ในเวลาว่าง” ต่างหาก โดยเขาจะสังหารศัตรูจากระยะไกล และเรียนรู้ที่จะฆ่าคนโดยไม่ให้มีใครเห็น ผลงานในเวลาว่างของเขาโดนใจผู้บังคับบัญชามากจนเขาถูกย้ายจากหน่วยปืนครกไปเป็นครูฝึกสอนพลซุ่มยิงแทน และด้วยการฝึกสอน “ในสนามรบจริง” ของเขา จำนวนทหารนาซีที่เขาสังหารไปก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อิวานมีคติในการเป็นสไนเปอร์ว่า “หนึ่งนัดหนึ่งชีวิต” ซึ่งต่างจาก ลุดส์มิลา ปาฟลิเชนโก ยอดสไนเปอร์หญิงแห่งรัสเซียที่จะยิงทหารให้บาดเจ็บก่อนหนึ่งนายเพื่อล่อทหารคนอื่นๆ มา คำสอนของอิวานนั้นดีมากจนแม้แต่นักเรียนของเขาเองก็กลายเป็นนักล่าที่ทางนาซีหวาดกลัวไปเลย เพราะแม้ว่านาซีจะส่งสไนเปอร์จำนวนมากมาเพื่อต่อกรกับโซเวียต พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะนักเรียนของอิวานได้เลย ในสงครามอิวานฝึกสไนเปอร์สุดโหดออกมากว่า 250 คน และภายในเวลาสามปีเขาก็สังหารทหารนาซีไปกว่า 500…
-
งานวิจัยใหม่ชี้ “มนุษย์นีเอนเดอร์ธัล” ไม่ได้มีความโหดร้ายกว่ามนุษย์ทั่วไป อย่างที่เราเคยเชื่อ
มนุษย์สายพันธ์ุนีเอนเดอร์ธัล เป็นมนุษย์ต่างสายพันธ์ุกับมนุษย์ในปัจจุบัน และเชื่อกันว่าสูญพันธุ์ไปเมื่อราวๆ 30,000 ปีก่อน เดิมทีแล้วนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์นีเอนเดอร์ธัลน่าจะมีความดุร้ายกว่าบรรพบุรุษมนุษย์มาก เนื่องจากกระดูก (โดยเฉพาะกะโหลก) ของนีเอนเดอร์ธัลที่มีการค้นพบมักจะมาพร้อมๆ กับการร่องรอยการบาดเจ็บอยู่เสมอ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ที่นักวิทยาศาสตร์ออกมาประกาศว่าแท้จริงแล้วมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลไม่ได้ดุร้ายไปกว่าบรรพบุรุษของมนุษย์เลย เพราะจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Tübingen ในเยอรมนี ตลอดช่วงปลายยุคหินเก่า (80,000 – 20,000 ปีก่อน) กะโหลกของบรรพบุรุษของมนุษย์นั้นก็มีร่องรอยการถูกทำร้ายพอๆ กับมนุษย์นีเอนเดอร์ธัล นี่เป็นการทดลองโดยเปรียบเทียบฟอสซิลที่มีการค้นพบในช่วงปลายยุคหินเก่ากว่า 800 ชุด และอาศัยการเปรียบเทียบข้อมูลในหลายๆ ด้าน ทั้งรูปแบบการบาดเจ็บ เพศ อายุเมื่อตอนเสียชีวิต แต่ไม่ว่าจะด้านไหน อัตราการบาดเจ็บของทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย เหตุผลที่เมื่อก่อนเรามองว่ามนุษย์นีเอนเดอร์ธัลมีความดุร้ายสูงนั้น น่าจะเป็นเพราะเราเอาข้อมูลของพวกเขาไปเปรียบเทียบกับมนุษย์ในปัจจุบัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะสันนิษฐานว่ามนุษย์นีเอนเดอร์ธัลมีความดุร้ายสูงกว่าคนปัจจุบันมาก ทั้งที่หากลองเปรียบเทียบมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลกับบรรพบุรุษมนุษย์ในช่วงเวลาเดียวกันแล้ว จะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนเลยว่า บรรพบุรุษมนุษย์ในช่วงนั้นเองก็มีความดุร้ายไม่ต่างจากมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลเลย นั่นทำให้มีความเป็นไปได้ว่าลักษณะการใช้ชีวิตของนีเอนเดอร์ธัลจะมาจากสภาพแวดล้อมในสมัยนั้น ซึ่งยากแก่การเอาตัวรอดมากกว่าที่จะมาจากอุปนิสัยจริงๆ นี่อาจจะเป็นงานวิจัยที่ทำให้เราเข้าใจมนุษย์สายพันธุ์นีเอนเดอร์ธัลมากขึ้นก็เป็นได้ และอาจทำให้เราต้องตรวจสอบแนวคิดเกี่ยวกับวิถีชีวิตของมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลในสมัยก่อนอีกครั้ง และข้ออ้างที่ว่าความโหดร้ายของมนุษย์ในปัจจุบันบางส่วนมาจากการที่มีเชื้อสายของชาวนีเอนเดอร์ธัลนั้น อาจจะไม่ใช่ข้ออ้างที่ฟังขึ้นอีกต่อไปแล้ว ที่มา history, nature, nature
-
พบภาพพระเยซูคริสต์โบราณอายุราว 1,500 ปี และมีรูปลักษณ์ต่างไปจากที่รู้จักกันในปัจจุบัน
ชายหนุ่มผมยาว ไว้หนวดเครา สีหน้าอ่อนโยน นี่คือภาพลักษณ์ของพระเยซูคริสต์ที่เราเห็นกันบ่อยๆ ตามสื่อต่างๆ และกลายเป็นลักษณะของพระองค์ที่คนปัจจุบันคุ้นเคยกันมากที่สุดไป ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าในสมัยก่อน ภาพลักษณ์ของพระเยซูที่ถูกบันทึกไว้ ไม่ได้เหมือนกับที่เราคุ้นเคยกันเลยสักนิด เพราะเมื่อไม่นานมานี้เองกลุ่มนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยไฮฟาในอิสราเอล ได้มีการค้นพบภาพวาดของพระเยซูที่มีอายุเก่าแก่ถึง 1,500 ปี ในซากสิ่งก่อสร้างจากสมัยไบเซนไทน์ ที่ทะเลทรายเนเกฟซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ตัวภาพถูกพบบริเวณลูกศร แม้ว่าภาพที่พวกเขาพบจะเลือนรางไปมาก จนแทบจะเหลือเพียงลายเส้นสีแดงอ่อนๆ แต่ก็ยังมีรายละเอียดมากพอที่จะดูออกว่าเป็นรูปอะไรได้หากเพ่งมองให้ดีๆ โดยจากทำบอกเล่าของ Emma Maayan-Fanar หนึ่งในทีมนักโบราณคดีที่ไปพบรูป บวกกับภาพจำลองที่ถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลที่มี ดูเหมือนว่าภาพนี้จะเป็นภาพของพระเยซูในระหว่างพิธีศีลจุ่มนั่นเอง ภาพจำลองที่ถูกสร้างขึ้นจากร่องรอยที่พบ และเรื่องที่น่าสนใจคือภาพของพระเยซูที่พวกเขาพบนั้นมีลักษณะเป็นชายผมสั้น ตาโต จมูกยาว แถมยังมีใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา ซึ่งต่างไปจากภาพลักษณ์ของพระเยซูในปัจจุบันมาก โดย Emma ได้อธิบายภาพที่พบไว้ว่าในสมัยก่อนรูปร่างของพระเยซูนั้นมีการอธิบายไว้หลายรูปแบบตามงานศิลปะต่างๆ ก่อนที่จะเริ่มเปลี่ยนมาเป็นแบบที่เราคุ้นเคยกันในช่วงศตวรรษที่ 6 อีกที ภาพเปรียบเทียบร่องรอยที่พบกับภาพจำลองที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ที่เป็นเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะในพระคัมภีร์เองไม่ได้มีการอธิบายลักษณ์ของพระเยซูเอาไว้ก็เป็นได้ แต่แม้จะไม่ได้มีการอธิบายรูปลักษณ์ไว้ จากพระคัมภีร์บท 1 โครินธ์ 11:4 ก็ได้มีการบอกไว้ว่าถ้าผู้ชายไว้ผมยาวจะถือเป็นเรื่องน่าอาย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าพระเยซูจริงๆ แล้วจะมีผมสั้นตามภาพที่มีการค้นพบ อย่างไรก็ตามหากพระองค์ปฏิบัติตามกฎหมายยิวแล้ว จะมีความเป็นไปได้สูงที่พระองค์จะไว้หนวดผิดกับภาพที่พบเช่นกัน สถานที่ที่มีการค้นพบภาพดังกล่าว…
-
เผยข้อมูลการค้นพบ “เรือขนทาส” จากศตวรรษที่ 18 พร้อมเรื่องโหดร้ายของการค้ามนุษย์
ด้วยความพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบันการค้นพบสิ่งที่ไม่เคยมีการพบมาก่อนก็เริ่มเกิดขึ้นบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน และสำหรับเมื่อไม่นานมานี้เองก็ได้มีการค้นพบซากเรือขนทาสที่จมอยู่ใต้น้ำเป็นครั้งแรกด้วย เป็นเรื่องที่เราทราบกันดีว่าในสมัยก่อนการใช้แรงงานทาสเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยู่บ่อยๆ ในแทบทุกสังคมของโลก และในยุโรปเองก็มีการใช้งานทาสกันเยอะมากจนต้องนำเข้าทาสจากแอฟริกาเลยทีเดียว โดยเรือที่ถูกพบในครั้งนี้มีชื่อว่า “São José-Paquete de Africa” มันเป็นเรือขนส่งขนาดเล็ก ซึ่งหนักราวๆ 340 ตันที่ออกเดินทางจากประเทศโมซัมบิกที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา ในเดือนธันวาคม 1794 São José บรรทุกทาสมาเป็นจำนวน 543 คนบนเรือที่มีความยาวสูงสุดเพียง 40 เมตร โดยจะมีการล่ามโซ่เอาไว้เพื่อป้องกันการถูกขโมยเรือ และมีกำหนดการที่จะขายทาสทั้งหมดที่บราซิลต่อไป แต่แทนที่จะได้ไปขายทาสที่บราซิล ในวันที่ 27 ของเดือนธันวาคม 1794 นั้นเอง เรือลำนี้ก็จมลงที่เคปทาวน์ของประเทศแอฟริกาใต้เสียก่อน จากการที่ตัวเรือแตกออกเป็นชิ้นๆ และสังหารทาสบนเรือไปกว่า 212 คน เชื่อกันว่าทาส 331 รายที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์น่าจะถูกขายให้กับแอฟริกาใต้ที่ตอนนั้นอยู่ใต้การปกครองของเนเธอร์แลนด์ ส่วนตัวเรือก็ถูกปล่อยไว้อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้มีการเก็บกู้ขึ้นมาแต่อย่างใด Jaco Boshoff นักโบราณคดีทางทะเลในพิพิธภัณฑ์ไอซิโกของเคปทาวน์เล่าว่า การขนส่งทาสนั้นจะทำโดยที่คำนวณไว้แล้วว่าจะมีคนตายในระหว่างการเดินทาง ดังนั้นพวกเขาจึงบรรทุกทาสให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นทำให้ในเรือน่าจะมีสภาพแออัดมากๆ และนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ทาสเกือบครึ่งต้องเสียชีวิตด้วยก็เป็นได้ การค้นพบเรือ São José นั้นนับว่าเป็นการค้นพบที่มีคุณค่ามากเลยทีเดียว เพราะนอกจากข้อมูลการค้าขายทาสของตัวเรือเองแล้ว บนเรือ São…
-
ย้อนรอยแฟชั่นแปลกแห่งยุค 40 ที่ทำให้สาวๆ ตกแต่งทาสีขาตัวเอง ให้เหมือนใส่ถุงน่องอยู่
ตั้งแต่ในอดีต คนเราพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองตามแฟชั่นได้ทันยุคทันสมัย นั่นทำให้ในหลายๆ ครั้งในประวัติศาสตร์ คนเราก็จะทำอะไรที่มันดูแปลกเหลือเกิน อย่างในสหรัฐอเมริกาช่วงยุค 1940 สาวๆ ก็มักจะทำตามแฟชั่น ด้วยการตกแต่งทาสีขาตัวเอง ให้เหมือนกับว่าใส่ถุงน่องอยู่นั่นเอง เรื่องราวมันเกิดขึ้นในช่วงปี 1939 บริษัท DuPont ได้ทดลองทำการผลิตและวางจำหน่ายถุงน่องรุ่นใหม่ ที่ทำจากไนลอนในสหรัฐอเมริกา การวางจำหน่ายในครั้งนี้แม้ว่าจะมีปริมาณไม่มาก แต่มันเป็นการพัฒนาแฟชั่นในประเทศไปอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว เพราะในอดีตถุงน่องที่ทุกๆ คนรู้จักจะทำมาจากผ้าไหมเท่านั้น นั่นทำให้ในปี 1940 ความต้องการของถุงน่องไนลอนพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงขนาดที่ว่าแม้บริษัท DuPont จะเร่งการผลิตแบบสุดๆ พวกเขาก็ไม่อาจจะผลิตถุงน่องได้ทันตามความต้องการอยู่ดี หนึ่งในเหตุผลที่ถุงน่องขาดตลาดในสมัยนั้น ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่ไนลอนถูกนำไปใช้ทำร่มชูชีพในสงครามก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร การที่ถุงน่องขาดตลาดก็ทำให้สาวๆ ต้องหาอะไรมาทดแทน สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุการนี้ คือสิ่งที่ถูกเรียกกันว่า “ถุงน่องน้ำ” โดยที่สาวๆ จะแต่งขาของตัวเองให้เหมือนกับเป็นถุงน่องมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยเครื่องสำอาง หรือสีที่ตัวเองมี ไม่น่าเชื่อว่าแฟชั่นนี้จะกลายเป็นที่โด่งดังมากในเวลานั้น ถึงขั้นที่ว่ามีร้านที่รับวาดถุงน่องน้ำโผล่ขึ้นมาเป็นดอกเห็ด และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีถุงน่องใหม่ๆ ออกขาย ร้านเหล่านี้ก็จะสรรหาวิธีวาดขาของสาวๆ ให้เหมือนกับถุงน่องลายนั้น แฟชั่นอันนี้โด่งดังเรื่อยมาจนกระทั่งหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองจบลงในปี 1945 และไนลอนเริ่มกลับมาวางขายในตลาดอีกครั้ง…
-
18 ภาพเด็กส่งจดหมายจากปี 1908-1917 ภาพสะท้อนการใช้แรงงานเด็กในต้นศควรรษที่ 20
สำหรับคนที่ดูภาพยนตร์ต่างประเทศอยู่บ่อยๆ อาจจะเคยสังเกตว่าในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เด็กๆ มักจะไปทำงานเป็นคนส่งจดหมายกัน นี่อาจจะเป็นเพราะในบรรดางานที่เด็กๆ ถูกส่งไปทำในสมัยนั้น (เช่นฟาร์ม เหมือง หรือโรงงาน) การส่งคนส่งจดหมายอาจจะเป็นงานที่ดูทารุนน้อยที่สุดก็เป็นได้ ดังนั้นในช่วงปี 1908-1917 ที่สหรัฐฯ จึงมีเด็กแบบนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ถึงขั้นที่ว่า Lewis Hine นักสังคมวิทยาและช่างภาพ ได้ไปรวบรวมภาพของพวกเขามา เพื่อใช้อ้างอิงคุณภาพชีวิตของเด็กๆ เลยทีเดียว และนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานของเขา เริ่มกันที่ George Christopher จากรัฐเทนเนสซี ผู้ทำงานเฉพาะกะกลางวันในปี 1910 Raymond Bykes เด็กชายวัย 14 ที่ทำงานถึงตี 1 ทุกวัน เมื่อปี 1911 Curtin Hines วัย 14 ปีที่มีโอกาสไปเรียน ทำงานตั้งแต่ 4 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม เมื่อปี 1913 Percy Neville อายุ 14 ปี ทำงานให้บริษัทหลายแห่ง…
-
ย้อนรอยโครงการอวกาศสหรัฐฯ กว่าจะไปถึงดวงจันทร์พวกเขาต้องเสียอะไรไปบ้าง
การที่โครงการอะพอลโลสามารถส่งมนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้นั้น นับว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ ว่าแต่รู้หรือไม่ว่ากว่าที่ อะพอลโล 11 จะเกิดขึ้นได้นั้น โลกต้องเสียอะไรไปบ้าง เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าในช่วงสงครามเย็นสหรัฐฯ กับโซเวียตแข่งขันกันในการเดินทางสู่อวกาศ แต่ทราบกันไหมว่าอีกหนึ่งในเหตุผลที่นาซาพยายามอย่างมากในการไปดวงจันทร์นั้น มาจากการที่พวกเขาอยากทำให้คำพูดของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดีก่อนโดนลอบสังหารที่ว่าจะปล่อยจรวดให้ได้ก่อนหมดยุค 60 เป็นจริงนั่นเอง จอห์น เอฟ. เคนเนดี เคยให้สัญญาไว้ในปี 1961 ว่าจะนำยานอวกาศที่ที่ดวงจันทร์ก่อนจบทศวรรษ นั่นทำให้นาซาในเวลานั้นทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้โครงการอะพอลโลใกล้เคียงความจริงขึ้นมาอีกขั้น และนำไปสู่ความตายของนักบินอวกาศ และคนงานภาคพื้นดินเป็นจำนวนมาก โดยหากพูดถึงนักบินคนแรกที่ต้องสละชีวิตในสายงานนี้จะเป็น Howard C. Lilly ชายคนที่สี่ของโลกที่เคยบินด้วยความเร็วทะลุกำแพงเสียง โดยเขาเสียชีวิตจากการบินทดสอบเครื่อง D-558-1 ในปี 1948 และราวๆ หนึ่งเดือนต่อมาเอง การทดลองสร้าง “Flying Wing” ในปี 1952 เองก็จบลงด้วยความตายของนักบิน 5 คนเช่นกัน จริงอยู่ว่านั่นเป็นเรื่องก่อนที่จะมีการก่อตั้งนาซาขึ้นมาเสียอีก แต่ทีมงานหลายคนที่อยู่ในโครงการเหล่านี้ก็ถูกย้ายมาประจำการกับนาซาต่อไป Glen W. Edwards (คนกลาง) หนึ่งในห้านักบินที่เสียชีวิตของ…
-
6 การรักษาผิดๆ ในวงการแพทย์สมัยก่อน ที่ไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น แถมจะทำให้มันแย่ลงด้วย
ในสมัยที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวไกล คนเรามีแนวคิดความเชื่อแบบผิดๆ อยู่มากมาย ทั้งในการทำงาน ทานอาหาร ประเพณี และแน่นอนว่าการแพทย์ก็ด้วย จริงอยู่ว่าบ่อยครั้งแนวคิดและความเชื่อที่ผิดๆ อาจจะไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนมากนัก แน่หากความเชื่อที่ว่าอยู่ในวงการแพทย์แล้ว เราคงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแนวคิดความเชื่อแบบผิดๆ อาจจะทำให้คนคนหนึ่งเสียชีวิตได้เลย ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะมาชม 6 การรักษาผิดๆ ในวงการแพทย์สมัยก่อน ที่ไม่ใช่แค่ไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น แต่จะทำให้มันแย่ลงด้วย เริ่มกันจาก การรีดเลือด ในสมัยก่อนมีความเชื่อว่าอาการป่วยของมนุษย์เกิดจากของเหลวในร่างกายเป็นพิษ การรีดเลือดออกจากร่างกายช่วยรักษาโรคจึงกลายเป็นที่แพร่หลายในช่วงนั้นไป โดยการรีดเลือดในสมัยนั้นอาจทำได้หลายวิธี ตั้งแต่ในปลิงดูด เรื่อยไปยันการเอามีดกรีดคนไข้กันตรงๆ เลย และในช่วงหนึ่งยังได้รับความนิยมสุดๆ จนต่างตัดผมมีบริการรีดเลือดเลยด้วย การใช้มูลสัตว์ นี่เป็นการรักษาที่แพร่หลายในหลายๆ วัฒนธรรมทั่วโลก โดยพวกเขาเชื่อว่าจากเอามูลสัตว์มาชโลมแผลจะช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น ซึ่งก็ถือว่าแปลกเหมือนกันเพราะในอีกหลายๆ วัฒนธรรม มูลสัตว์นั่นถูกนำมาใช้เป็นอาวุธสงครามเลยแท้ๆ โดยวัฒนธรรมที่ขึ้นชื่อเรื่องการใช้มูลสัตว์รักษาที่สุดแห่งหนึ่งก็คือประเทศอียิปต์นั่นเอง เพราะไม่เพียงแต่ใช้มูลสัตว์รักษาแผล แต่พวกเขาถึงกับใช้มูลจระเข้ในการคุมกำเนิดเลยด้วย ซึ่งก็แน่นอนว่ามันไม่ได้มีผลอย่างที่คิด ทั้งในด้านการคุมกำเนิด และการรักษาแผล แถมเผลอๆ เชื้อโรคในมูลสัตว์ยังจะทำให้แผลเน่าง่ายขึ้นเลยด้วย การเจาะกะโหลก นี่เป็นอีกหนึ่งในการรักษาที่มีมาหลายยุคหลายสมัย และยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าเพราะอะไรคนโบราณถึงได้เชื่อกันสุดๆ ว่ามันช่วยรักษาโรคหรืออาการทางจิตได้ มีกะโหลกคนสมัยก่อนมากมายที่ถูกค้นพบว่ามีรูที่เกิดจากการเจาะกระดูก และในบรรดากะโหลกเหล่านั้น ก็มีอยู่หลายอันเลยที่มีร่องรอยว่าการเจาะกะโหลกนั่นล่ะที่ทำให้พวกเขาตาย การใช้สารหนู ด้วยความที่สารหนูเป็นสารพิษที่ไม่ได้ออกฤทธิ์ให้เห็นทันทีที่ใช้…
-
ย้อนรอย “บอบบี ฟิชเชอร์” ยอดนักแข่งหมากรุกอัจฉริยะ เจ้าของตำนาน “เกมแห่งศตวรรษ”
เคยได้ยินชื่อของโรเบิร์ต เจมส์ ฟิชเชอร์ หรือ “บอบบี ฟิชเชอร์” กันไหม? เชื่อว่าบางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อนี้มาจากภาพยนตร์เรื่อง “เดิมพันชาติ รุกฆาตโลก” (Pawn Sacrifice) ที่ฉายในปี 2015 กันมาบ้าง เขาคือนักแข่งหมากรุกระดับแกรนด์มาสเตอร์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ และว่ากันว่าเป็นหนึ่งในนักเล่นหมากรุกที่เก่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลก เจ้าของรางวัลชนะเลิศการแข่งหมากรุกระดับโลกในปี 1972 บอบบี ฟิชเชอร์เกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 1943 ในสหรัฐฯ และเริ่มเล่นหมากรุกตั้งแต่อายุเพียง 6 ขวบ และเอาชนะ Donald Byrne หนึ่งในนักแข่งหมากรุกที่มีชื่อเสียงในปี 1956 เขาเอาชนะ Byrne ด้วยการสละควีนของตัวเอง จนทำให้เกมในวันนั้นกลายเป็น “เกมแห่งศตวรรษ” ที่นักเล่นหมากรุกระดับสูงทุกคนรู้จักไป บอบบี ฟิชเชอร์ (ฝั่งดำ) สละควีนของเขา บอบบีลาออกจากโรงเรียนในตอนที่อายุได้ 16 ปี และทุ่มเทชีวิตให้กับหมากรุก และกลายเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวในสมัยนั้นที่สามารถชนะการแข่งราวเดียว 11 เกมในการแข่งขันเมื่อปี 1964 เขาเก่งขนาดที่ว่าสามารถแข่งกับคู่แข่งพร้อมๆ กัน 50 คนได้…
-
“เอดูอาร์ท ไอน์สไตน์” ลูกชายผู้ถูกลืมของไอน์สไตน์ ผู้ใช้ชีวิตกว่าครึ่งในโรงพยาบาลจิตเวช
ว่ากันว่ายิ่งผู้เป็นพ่อทำตำนานไว้ยิ่งใหญ่เพียงไหน การที่ลูกจะสานต่อตำนานมันก็จะยิ่งยากขึ้นไปตามนั้น นั่นทำให้ลูกหลานของคนที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่มักจะถูกโลกใบนี้ลืมไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ “เอดูอาร์ท ไอน์สไตน์” เพราะในขณะที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กลายเป็นบุคคลที่แทบจะไม่มีใครในโลกที่ไม่รู้จัก เอดูอาร์ท ไอน์สไตน์ ลูกชายของเขากลับมักถูกลืมว่ามีตัวตนอยู่เสมอไป เอดูอาร์ท เกิดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 1910 โดยเป็นลูกชายคนสุดท้อง ในบรรดาลูกๆ ทั้งสามคนของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กับ มิเลวา มาริค ภรรยาคนแรกของเขา เอดูอาร์ท กับพี่ชายของเขาฮันส์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ตั้งแต่ยังเด็ก เอดูอาร์ท เป็นคนที่ขี้โรคมาก จนแม้แต่ตอนที่อัลเบิร์ตหย่ากับมาริคไปแล้ว อัลเบิร์ตยังเคยเขียนจดหมายว่าเขาเป็นห่วงพัฒนาการของเอดูอาร์ทมากๆ ให้กับเพื่อนร่วมงานเลยทีเดียว น่าเศร้าที่ความกลัวของอัลเบิร์ตกลายเป็นจริงขึ้นมา เพราะแม้ว่าเอดูอาร์ทจะเติบโตขึ้นมาได้ก็ตาม แต่เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับโรคจิตเภทสคิซโซฟรีเนีย (Schizophrenia) ซึ่งเป็นโรคผิดปกติทางสมองเรื้อรังและร้ายแรง มิเลวา มาริค และอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เอดูอาร์ทต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวชอยู่เรื่อยๆ แต่ด้วยวิธีการรักษาที่ค่อนข้างโหดร้ายกับผู้มีปัญหาทางจิตในสมัยนั้นก็ทำให้อาการของเขามีแต่จะเลวร้ายลง อัลเบิร์ตคาดว่าอาการของเอดูอาร์ทนั้นน่าจะมาจากพันธุกรรม และเขาก็รู้สึกโศกเศร้ากับอาการที่เอดูอาร์ทเป็นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เอดูอาร์ทพยายามฆ่าตัวตายในปี 1930 แต่แล้วเรื่องราวก็ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีกเมื่อในปี 1933 การมาของพรรคนาซีในเยอรมนีก็ทำให้ชาวยิวในยุโรปจำนวนมากเลือกที่จะหนีไปยังสหรัฐอเมริกา …
-
ฟังบันทึกเสียงในวันที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจบลง เมื่อเสียงปืนใหญ่ หยุดลงในเวลาไม่ถึงนาที
ว่ากันว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่แนวรบใกล้ๆ แม่น้ำโมแซลล์ ซึ่งไหลผ่านทั้งประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี เอกสารที่แจ้งว่าสงครามได้จบลงแล้วนั้นถูกส่งมาถึงในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 ในเวลา 11 นาฬิกา ตามปกติแล้วเมื่อคำสั่งหยุดยิงมาถึง ในสงครามย่อมต้องมีการเหลื่อมล้ำทางเวลา แต่เชื่อหรือไม่ว่าในแนวรบแห่งนี้ เสียงปืนทั้งหมด หยุดลงในไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำ อย่างที่เราทราบกันดีว่า 11 พฤศจิกายน 2018 เป็นปีที่มีการฉลองครบรอบ 100 ปีการปิดฉากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และได้มีการจัดพิธีรำลึกขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ขึ้นในหลายๆ ประเทศ โดยหนึ่งในสิ่งที่นำมาจัดแสดงในวันนี้เองก็เป็นบันทึกเสียงในตอนที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจบลง จากพิพิธภัณฑ์สงคราม Imperial War Museum ที่ลอนดอนนั่นเอง นี่เป็นบันทึกเสียงความยาวราวๆ 1 นาทีที่บันทึกเสียงปืนใหญ่ของทหารสหรัฐอเมริกาเอาไว้ ในช่วงเวลาที่เอกสารแจ้งการจบลงของสงครามมาถึงแนวรบพอดี โดยเป็นการบันทึกเสียงด้วยเทคนิค “Coda to Coda” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนเสียงให้กลายเป็นคลื่นการสั่นสะเทือนของอากาศนั่นเอง บันทึกเสียงในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ว่าจากเว็บไซต์ Metro ไม่น่าเชื่อเลยว่าแทบจะทันทีที่สงครามจบลงเสียงของปืนใหญ่ในบริเวณก็หายไปในทันที เหลือเอาไว้เพียงแค่เสียงนกร้องเบาๆ ในฉากหลังเท่านั้น บันทึกเสียงนี้สร้างความตื้นตันใจให้คนที่มีโอกาสได้ฟังมาก ถึงขนาดที่ว่ามีหลายคนที่ฟังบันทึกเสียงนี้ซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลานานเลยทีเดียว ไม่แน่ว่านี้อาจจะเป็นเสียงที่สะท้อนมาจากจิตใจของผู้ที่เข้าร่วมสงครามในสมัยนั้น ที่อยากจะให้การต่อสู้ที่นำมาเพียงแต่ความสูญเสียนี้ จบลงเร็วขึ้นแม้เพียงวินาทีเดียวก็เป็นได้ …
-
30 ภาพสาวงามในช่วงปี 1930-1950 มาดูกันว่าในอดีต มีสาวแบบไหนถูกเก็บภาพไว้บ้าง
ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน ความงามก็เป็นสิ่งที่ผู้คนสนใจอยากชื่นชม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ตลอดชีวิตการทำงานของ Murray Korman ช่างภาพในนิวยอร์กจะเก็บภาพของสาวงามไว้กว่า 450,000 ภาพ ตลอดช่วงปี 1930-1950 เขาได้สะสมผลงานภาพของสาวงาม จนกลายเป็นแหล่งรวมภาพสาวงามในอดีตที่ใหญ่ที่สุดแหล่งหนึ่งไป ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะมาดูภาพความงามของสาวๆ ในผลงานของ Murray Korman มาดูกันดีกว่าว่าในช่วงปี 1930-1950 มีสาวงามแบบไหน ถูกเก็บภาพไว้ให้โลกจดจำบ้าง เริ่มกันที่ภาพของ Beverly Younger จากช่วงปี 1945 Gregg Sherwood จากเมื่อปี 1978 Kay Dolan จากปี 1939 Irmgard จากปี 1953 Nona Montez จากปี 1939 Heloise Martin เมื่อปี 1936 Valentine Arnaut จากปี 1935 Mary Mile…
-
รวม 9 ตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียงจากช่วง “ยุคทองของอนิเมชั่น” เมื่อปี 1920-1960
ช่วงปี 20-60 นับว่าเป็นช่วงยุคทองของอนิเมชั่นเลยก็ว่าได้ เพราะนี่เป็นช่วงที่มีตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียงเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นผลงานของวอลต์ดิสนีย์ หรือ MGM เชื่อว่าแต่ละคนน่าจะมีตัวละครโปรดในยุคนี้สักตัวสองตัวแน่ๆ ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงได้รวบรวมตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียงจากในช่วงยุคนี้มาให้เพื่อนๆ ได้ดูกัน แต่จะมีตัวอะไรบ้าง หรือมีตัวที่เพื่อนๆ ไม่รู้จักรึเปล่าก็คงต้องให้ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้ อนึ่ง: ตัวละครที่นำมาจะเป็นตัวละครออริจินอล ดังนั้นจะไม่รวมตัวละครที่มีที่มาจากในนิทานอย่าง พินอคคิโอหรือสโนว์ไวท์ เริ่มกันจาก มิกกี้ เมาส์ เราคงจะพูดถึงยุคทองของอนิเมชั่นไม่ได้หากไม่พูดถึง “มิกกี้ เมาส์” เพราะนี่เป็นการ์ตูนที่ครองใจเด็กๆ ทั่วโลกเลยก็ว่าได้ โดยตัวเอกของเรื่องก็มีชื่อว่า มิกกี้ เมาส์ เลยนั่นล่ะ มันมีลักษณะเป็นหนูสีดำ สวมกางเกงสีแดง ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในปี 1928 และกลายเป็นหนึ่งในตำนานของวอลต์ดิสนีย์ไป บักส์ บันนี เจ้ากระต่ายสีเทาตัวนี้เป็นหนึ่งในตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในลูนีย์ทูนส์ และปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในปี 1940 และโผล่ออกมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แม้ในปัจจุบัน ส่วนค่ายที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เจ้ากระต่ายตัวนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น ก็คือวอร์เนอร์บราเธอส์ บริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของเรานั่นเอง ทวิตตี้ อีกหนึ่งในตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียงของลูนีย์ทูนส์ ที่ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในปี 1942 โดยมันเป็นนก (ถึงจะดูเหมือนเป็ดก็เถอะ) สีเหลือง (ที่ตอนแรกๆ…
-
ย้อนรอย โครงกระดูกจูบกัน อายุ 2,800 ปี ความรักเหนือความตาย ที่มีเรื่องราวมากกว่าที่คุณคิด
เคยได้ยินเรื่องราวของ “Hasanlu Lovers” กันมาก่อนไหม? มันเป็นชื่อของโครงกระดูกสองร่างที่ถูกพบในปี 1972 ที่แหล่งโบราณคดี Teppe Hasanlu ในประเทศอิหร่าน และมีลักษณะพิเศษอยู่ที่ทั้งคู่นั้นตายไปโดยที่กำลังกอดจูบกัน Hasanlu Lovers ถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย โดยคาดกันว่ามีอายุถึง 2,800 ปี และถูกมองมาเป็นตัวอย่างที่ดีของ “ความรักเหนือความตาย” เลยทีเดียว ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าเรื่องราวของ Hasanlu Lovers นั้นมีอะไรมากกว่านั้น เพราะจากหลักฐานทางโบราณคดีดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเป็นจะเป็นชาวเมือง Teppe Hasanlu ที่เสียชีวิตในช่วงที่เมืองกำลังจะล่มสลาย เป็นไปได้ว่าผู้ที่ทำลายเมืองดังกล่าวจะเป็นกองทัพของอาณาจักร Urartu (ชาวอาร์มีเนียในปัจจุบัน) และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 800 ปีก่อนคริสตกาล โดยนอกจากร่างของ Hasanlu Lovers แล้ว ในพื้นที่เมืองแห่งนี้ยังมีการค้นพบโครงกระดูกของชาวเมืองที่ถูกสังหารอีกเป็นจำนวนมากอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ เรื่องที่ว่าทั้งคู่เป็นคนรักกันจริงๆ หรือไม่ก็ยังเป็นเรื่องที่มีการตั้งข้อสงสัยอยู่เช่นกัน เพราะจากการตรวจสอบของนักวิทยาศาสตร์ แม้ว่าโครงกระดูกร่างหนึ่งของ Hasanlu Lovers นั้นจะเป็นของผู้ชายอายุราวๆ 18-22 ปี แต่อีกร่างหนึ่งกลับไม่สามารถระบุเพศได้ และมีอายุอยู่ในช่วง 30-35…
-
พบมัมมี่แมวจำนวนมากในสุสานที่กรุงไคโร เชื่ออาจมีอายุได้ถึง 6,000 ปี
เรื่องที่ว่าคนอียิปต์ในสมัยก่อนรักแมวมากขนาดไหนนั้น เป็นสิ่งที่หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้าง เพราะฮอรอโดทัส บิดาแห่งประวัติศาสตร์ยังเคยบอกเลยว่า หากไฟไหม้บ้านที่อียิปต์ สิ่งแรกที่คนจะทำคือวิ่งเข้าไปช่วยแมวออกมา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เมื่อวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา กระทรวงโบราณวัตถุของอียิปต์ออกมาบอกว่านักโบราณคดีของพวกเขาได้ค้นพบสุสานแมวขนาดใหญ่เข้า โดยมีการค้นพบมัมมี่แมวจำนวนมาก พร้อมๆ รูปปั้นแมว ด้วงโบราณ และรูปปั้นเทพบาเตส (ซึ่งก็มีศีรษะเป็นแมว) ในสุสานโบราณที่เพิ่งมีการค้นพบในกรุงไคโร จากข้อมูลของสื่อต่างประเทศ มัมมี่เหล่านี้อาจมีอายุเก่าแก่ได้ถึง 6,000 ปี และน่าจะเป็นแมวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองเมมฟิส อดีตเมืองหลวงในสมัยอียิปต์โบราณ ด้วงโบราณที่มีการค้นพบพร้อมๆ กับมัมมี่แมว การที่มีแมวถูกฝังเป็นมัมมี่มากมายขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าจะมาจากความเชื่อของคนอียิปต์โบราณ ที่ว่าแมวนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเทพบาสเต็ท เทพีแห่งความสง่างาม สงบนิ่ง และความสมดุลนั่นเอง ว่ากันตามตรงพวกเขานับถือแมวกันสุดๆ จนมีกฎหมายว่าใครทำแมวตายจะต้องโดนประหารเลยด้วยซ้ำ และนี่ก็เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้กษัตริย์แคมไบสิสที่ 2 แห่งเปอร์เซียสามารถเอาชนะอียิปต์ ด้วยการเอาแมวมาผูกกับโล่ จนทหารอียิปต์ไม่กล้าต่อสู้ นั่นทำให้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็ได้มีการขุดพบโบราณวัตถุ หรือแม้กระทั่งมัมมี่ของแมวอยู่หลายครั้ง และแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่การค้นพบมัมมี่แมวโบราณพร้อมกันเป็นจำนวนมากขนาดนี้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่ดี ที่มา washingtonpost, theguardian และ skynews
-
รู้จัก “เครื่องวัดความสวย” สิ่งประดิษฐ์จากปี 1930 ที่ใช้วัดว่าใบหน้าใคร ‘งดงาม’ ตามพิมพ์นิยม
ในยุคที่การคิดค้นเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ กำลังเบ่งบาน คงไม่ต้องแปลกใจหากจะพบว่ามีอุปกรณ์ประหลาดต่างๆ ให้ได้เห็นกันเป็นประจำ อย่างเช่น เครื่องวัดความสวย (Beauty Calibrator) ที่ถูกสร้างขึ้นในเวลาใดเวลาหนึ่งช่วงปี 1930 โดยผู้เชี่ยวชาญด้านความงามอย่าง Max Factor, Sr. และวันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปชมและรู้จักกับเจ้าเครื่องนี้กัน เครื่องวัดความงาม จะเป็นอุปกรณ์สวมศีรษะประกอบด้วยโลหะหลายเส้น ซึ่งเมื่อนำมาครอบที่ศีรษะแล้ว เครื่องดังกล่าวสามารถบ่งบอกได้ว่าจุดไหนบนใบหน้าที่ควรลด ตัด หรือแต่ง บนเครื่องวัดความงามนี้จะมีปุ่มปรับถึง 325 จุดที่มีไว้สำหรับการกำหนดจุดในการแก้ไขใบหน้า โดยผู้ประดิษฐ์กล่าวเอาไว้ว่าปัจจัยกำหนดความงามที่สำคัญมีอยู่ 2 ประการด้วยกัน ประการแรก ความสูงของจมูกและหน้าผากควรอยู่ในระดับที่เท่ากัน และประการที่สองก็คือ ระยะห่างของดวงตาทั้งสองข้างต้องมีความกว้างเท่ากับดวงตาหนึ่งด้วยพอดี เมื่อทำการวัดและวิเคราะห์ใบหน้าเรียบร้อยแล้ว จะทำให้เห็นได้ว่าใบหน้าของบุคคลนั้นๆ มีจุดใดที่ควรได้รับการปรับบ้าง หลังจากนั้นก็จะเป็นการตัดสินใจของผู้เข้ารับการวัดว่าจะยอมรับการแก้ไขใบหน้าหรือไม่ บริษัท Max Factor กล่าวว่าเครื่องวัดความสวยนี้นอกจากจะใช้วัดความงามตามพิมพ์นิยมของผู้คนได้แล้ว ยังช่วยให้ Max Factor, Sr. นั้นเข้าใจโครงสร้างใบหน้าผู้หญิงมากขึ้นอีกด้วย เครื่อง Beauty Calibrator สร้างขึ้นสำเร็จในปี 1932 โดยครั้งแรกทำขึ้นด้วยความตั้งใจจะใช้ในวงการภาพยนตร์ เพื่อปรับแต่งใบหน้าของนักแสดงนั่นเอง ภายหลังถูกใช้ในวงการความงาม และสูญเสียความนิยมไปในที่สุด สุดท้ายมันถูกเก็บเอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ฮอลลีวูดและถูกนำมาประมูลขายในปี…
-
24 ภาพสุนัขในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ดูแล้วจะเชื่อว่านี่คือเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์จริงๆ
ว่ากันว่าสุนัขเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับมนุษย์มาเสมอตั้งแต่ในอดีต พวกมันร่วมทุกข์รวมสุขกับเรา และพร้อมที่จะตามเจ้าของไปในทุกที่ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะลำบากหรืออันตรายเพียงใด และแน่นอนว่าแม้แต่ในสงครามเองก็ไม่เว้น ไม่เชื่อก็ลองดูภาพสุนัขในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทั้ง 24 ภาพต่อไปนี้ดูสิ แล้วจะเชื่อว่า สุนัขนั้นเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์จริงๆ เริ่มกันจากสุนัขที่มีชื่อเสียงที่สุดในสงครามอย่างสิบเอก Stubby สุนัขที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง “สุนัขสงคราม” เป็นคำที่มักใช้เรียกสุนัขเหล่านี้ สิบเอก Jiggs สุนัขบูลล์ด็อกของทหารสหรัฐฯ ทหารเบลเยียมเอาหมวกของทหารเยอรมันใส่ให้สุนัขในปี 1914 หลังจากที่มันถูกใช้ในการขนกระสุนปืนใหญ่ ภาพของทหารกับสุนัขสายพันธุ์เทอร์เรีย หนึ่งในสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในการนำไปฝึกสุนัขสงคราม สุนัขสงครามของเยอรมัน ถ่ายรูปพร้อมหมวก แว่น และกล้องส่องทางไกล ในสงครามโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ได้ชื่อว่าเป็นสุนัขที่เหมาะกับเป็นสุนัขส่งสารมากที่สุดเลยก็ว่าได้ บ่อยครั้งที่สุนัขพวกนี้จะได้รับปลอกคอแบบพิเศษ สำหรับใส่ข้อความที่จะส่งข้ามสนามรบ ในบางเวลาสุนัขก็ต้องข้ามเครื่องกีดขวางในสนามรบ อย่างรั้วหนามเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ โดยมากแล้วสุนัขสงครามจะถูกใช้ในการขนส่งเป็นหลัก ไม่ว่าจะจดหมาย หรือแม้แต่กระสุนปืน พวกมันถูกฝึกมาไม่ให้ตื่นกลัว แม้พบกับเสียงปืน เชื่อกันว่าหลายๆ ชัยชนะในสงครามนั้น เกิดจากการส่งข้อความของสุนัข แถมในตอนที่ไม่ได้ทำภารกิจ พวกมันยังทำหน้าที่จับหนูให้ทหารอีกด้วย…
-
พบภาพวาดสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุด เป็นภาพ “วัวสีแดง” อายุราวๆ 40,000 ปี อยู่ที่เกาะบอร์เนียว
ภาพวาดสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดนั้น เดิมทีแล้วเชื่อกันว่าเป็นภาพที่มีการค้นพบที่ถ้ำในฝรั่งเศส และสเปน จนกระทั่งมีการค้นพบภาพวาดที่เกาะบอร์เนียว ซึ่งเชื่อกันว่ามีอายุราวๆ 40,000 ปีเลยทีเดียว เกาะบอร์เนียวนั้นอยู่ในการปกครองของประเทศที่ต่างกันถึงสามประเทศได้แก่ประเทศบรูไน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย อย่างไรก็ตามการค้นพบในครั้งนี้นั้นเป็นของนักโบราณคดีของมหาวิทยาลัย Griffith จากออสเตรเลียต่างหาก โดยนี่เป็นภาพของสิ่งมีชีวิตปริศนา ที่มีรูปร่างคล้ายกับวัวที่มีสีแดง ทำให้นอกจากนี่จะเป็นภาพสัตว์ที่เก่าแก่ของมนุษย์แล้ว ภาพที่พบนี้ยังเป็นภาพสัตว์จากจินตนาการภาพแรกๆ ของมนุษย์อีกด้วย ทางเข้าถ้ำที่มีการค้นพบรูปนี้ อันที่จริงแล้วภาพที่ว่านี้ถูกพบกันมาตั้งแต่เมื่อปี 1994 แล้ว อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะสามารถไขปริศนาอายุของภาพวาดที่พบได้เมื่อไม่นานมานี้เอง โดยวิธีการวัดอายุที่นักวิทยาศาสตร์ให้ในการหาอายุของภาพนี้นั้น เกี่ยวข้องกับการหาการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีอีกที โดยอาศัยน้ำฝนที่เจือปนธาตุยูเรเนียมเล็กน้อยเป็นตัวชี้วัด เป็นไปได้ว่าใครก็ตามที่เป็นผู้วาดภาพบนผนังนี้ขึ้นน่าจะเข้ามาอาศัยอยู่ที่ถ้ำนี้ในช่วงยุคน้ำแข็ง และวาดภาพวัวสีแดงตัวนี้ขึ้นมาเพื่อเป้าหมายอะไรสักอย่าง อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่อาจทราบได้ว่าภาพดังกล่าวถูกวาดขึ้นมาเพื่ออะไรกันแน่ การค้นพบในครั้งนี้ทำให้ตำแหน่งหนุ่มกลุ่มแรกที่รู้จักการวาดภาพสัตว์กลับมาเป็นของฝั่งเอเชียอีกครั้ง หลังจากตกไปอยู่ที่บรรพบุรุษของชาวยุโรปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนตำแหน่งของภาพวาดแอบสแตรคท์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกในปัจจุบันเป็นของภาพเครื่องหมายแฮชแท็กอายุ 73,000 ปีของแอฟริกานั่นเอง ภาพเครื่องหมายแฮชแท็กอายุ 73,000 ปี ที่ถูกพบในแอฟริกา โดยในปัจจุบันทีมนักโบราณคดีได้วางแผนที่จะขุดค้นถ้ำที่มีการค้นพบภาพสัตว์ดังกล่าวอีกครั้ง โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีการค้นพบภาพโบราณเพิ่มเติม หรือไม่ก็หลักฐานใดๆ ที่ให้ข้อมูลของผู้ที่วาดภาพนี้ต่อไป ที่มา cbsnews, livescience, theguardian
-
ย้อนรอย “Joachim Ronneberg” กับวีรกรรมขัดขวางการทำระเบิดปรมาณูของนาซี
เคยได้ยินเรื่องราวของ Joachim Holmboe Ronneberg กันไหม? เขาคือหนึ่งในกลุ่มต่อต้าน 8 คนของกองทัพนอร์เวย์ที่บุกเข้าไปขัดขวางแผนการทำระเบิดปรมาณูของกองทัพนาซีในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ฟังดูเหมือนพล็อตหนังแอ็คชั่นมันส์ๆ สักเรื่องหนึ่งไม่มีผิด แต่เชื่อไหมว่าเขาคนนี้มีตัวตนอยู่จริง และการขัดขวางแผนการทำระเบิดปรมาณูที่ว่าก็เกิดขึ้นจริงๆ ด้วย เรื่องของเรื่องคือในช่วงปี 1943 ทางนาซีได้เข้าใกล้ความสำเร็จในการทำอาวุธปรมาณูมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และการทดลองที่ว่านั่นก็จำเป็นที่จะต้องใช้น้ำมวลหนักเป็นส่วนประกอบสำคัญเสียด้วย นั่นทำให้โรงงานที่สามารถผลิตน้ำมวลหนักอย่างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Vemork ในนอร์เวย์ กลายเป็นโรงงานสำคัญในการผลิตระเบิดปรมาณูของนาซีไป และกลายเป็นเป้าหมายโจมตีของฝั่งสัมพันธมิตรมาเป็นเวลานาน ปัญหาคือเจ้าโรงไฟฟ้าพลังน้ำนี้มีการป้องกันที่ดีมากจนการโจมตีทางอากาศแทบไม่มีผล แถมทหารที่อังกฤษส่งมาเพื่อทำลายที่นี่โดยเฉพาะก็ดันทำงานพลาดอีก แต่แล้วในตอนนั้นเอง Joachim Ronneberg ที่ในเวลานั้นอายุได้เพียง 23 ปีก็ได้รับการอนุญาตจาก Winston Churchill ให้นำทหาร 8 คน เข้าทำการจู่โจมโรงไฟฟ้าดังกล่าว นี่คือ “ปฏิบัติการกันเนอร์ไซด์” ปฏิบัติการที่ทำให้ Ronneberg กลายเป็นตำนานของประเทศนอร์เวย์ไป จริงอยู่ที่ว่าปฏิบัติการนี้ดูยังไงก็เป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ แต่ Ronneberg และผองเพื่อนก็ตัดสินใจที่จะทำมันอยู่ดี พวกเขากระโดดร่มเข้าไปในพื้นที่ ใช้สกีเดินทางข้ามพื้นที่อันหนาวจัด จนในที่สุดก็มาถึงโรงไฟฟ้าจนได้ พวกเขารีบวางระเบิดที่โรงไฟฟ้าทันทีหลังจากนั้น และด้วยความเร็วของพวกเขานั้น กว่าที่ทหารนาซีในพื้นที่จะรู้ตัว ทุกอย่างมันก็สายไปเสียแล้ว โรงงานที่สามารถผลิตน้ำมวลหนัก Vemork ในปัจจุบันได้ถูกทำเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว…
-
งานวิจัย DNA พบ ชาวเปรูโบราณวิวัฒนาการหัวใจ เพื่อใช้ชีวิตบนเทือกเขาแอนดีส
เป็นเรื่องที่เราทราบกันดีว่าการอาศัยอยู่บนภูเขาสูงที่มีอากาศเบาบางนั้นเป็นเรื่องที่ลำบากสำหรับมนุษย์ขนาดไหน แต่สำหรับชาวเปรูโบราณแล้ว การอาศัยอยู่บนเทือกเขาแอนดีสมันก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดาๆ อย่างหนึ่งของชีวิตเท่านั้น แม้ไม่อาจแน่ใจได้ว่าชาวเปรูขึ้นไปอาศัยอยู่บนเทือกเขาแอนดีสเพราะอะไร แต่นักโบราณคดีก็พบหลักฐานที่ว่าพวกเขาเข้ามาอาศัยอยู่ในบริเวณเทือกเขาแอนดีสครั้งแรกเมื่อราวๆ 12,000 ปีก่อนเลยทีเดียว และแน่นอนว่าเมื่อขึ้นไปอยู่ข้างบนนานขนาดนั้น ร่างกายของมนุษย์ก็ย่อมเริ่มที่จะมีการปรับตัวเป็นธรรมดา ซึ่งสำหรับชาวเปรูแล้ว การปรับตัวของพวกเขาเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 7,000 ปีที่แล้ว โดยจากการตรวจสอบ DNA ของคนในพื้นที่ และนำไปเปรียบเทียบกับ DNA ของคนเปรูในสมัยก่อนที่เคยมีการค้นพบก่อนหน้า ดูเหมือนว่าชาวเปรูในสมัยก่อนจะพัฒนาหัวใจให้ใหญ่กว่าคนทั่วๆ ไปขึ้นมา นั่นทำให้ความดันโลหิตของพวกเขาค่อนข้างสูง จนง่ายต่อการอาศัยอยู่บนพื้นที่สูงๆ ที่มีออกซิเจนน้อยกว่าปกติไป นอกจากนี้ DNA ของชาวเปรูที่อาศัยในพื้นที่สูงๆ ของเทือกเขาแอนดีสเอง ยังมีความแตกต่างจากคนที่อาศัยในพื้นที่ต่ำกว่าในหลายๆ แห่งเลยด้วย เป็นไปได้ว่าความเปลี่ยนแปลงของ DNA เหล่านี้จะมาจากการที่ชาวเปรูบนเขา เปลี่ยนวิถีชีวิตจากการล่าสัตว์และเก็บของป่าเป็นการเพาะปลูกเพื่อเลี้ยงชีพก็เป็นได้ นั่นเพราะกลุ่มคนที่อาศัยในพื้นที่ต่ำกว่านั้น ยังคงรักษาวิถีชีวิตของการล่าสัตว์และเก็บของป่าไปอีกค่อนข้างนานเลย ข้อมูลเหล่านี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ว่าชาวเปรูในสมัยก่อนน่าจะแยกตัวออกเป็นกลุ่มที่อาศัยในพื้นที่สูงกับกลุ่มที่อาศัยในพื้นที่ต่ำกว่าอย่างสมบูรณ์เมื่อราวๆ 8,750 ปีก่อน และอาศัยอยู่บนเทือกเขาแอนดีสตั้งแต่ตอนนั้นมา ตัวเลขที่ออกมานี้แสดงให้เห็นว่าชาวเปรูน่าจะมีการแยกตัวเร็วกว่าที่เราเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้พอสมควรเลยด้วย แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการค้นพบว่ามนุษย์มีการปรับแต่ง DNA เพื่อให้เข้ากับลักษณะพื้นที่ที่อยู่อาศัยก็ตาม แต่การค้นพบนี้ก็ช่วยให้เราเข้าใจถึงการปรับตัวของมนุษย์ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน ที่มา livescience, newsbeezer
-
5 การฆ่าตัวตายที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ อะไรกันที่ทำให้คนเลือกจบชีวิตของตัวเอง
ในเวลาที่ชีวิตขมขื่นจนถึงขีดสุด คนหลายคนก็มักเลือกจะจะจบชีวิตของตัวเองไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น จริงอยู่ว่าการฆ่าตัวตายนั้นอาจจะถูกมองว่าเป็นทางออกที่ไม่ดีเท่าไหร่ในสังคม และเป็นบาปมหันต์ในบางศาสนา แต่ในบางครั้งการฆ่าตัวตายก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะไปตัดสินก็เป็นได้ บางครั้งเหตุผลที่คนคนหนึ่งจะฆ่าตัวตายนั้นอาจจะซับซ้อนกว่าที่เราคิด ดังนั้นในวันนี้เราจะลองไปชม 5 การฆ่าตัวตายที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ ไปดูกันว่าการฆ่าตัวตายที่คนรู้จักกันในอดีตนั้นมีที่เบื้องหลังแบบไหนกัน เริ่มกันที่การฆ่าตัวตายของ Robin Williams Robin Williams เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน เจ้าของรางวัลออสการ์ และมีชื่อเสียงเรื่องความเป็นดาราตลกเจ้าอารมณ์ขัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ได้อารมณ์ดีอยู่เสมออย่างที่คิด เพราะ Williams นั้นทั้งติดเหล้าและมีอาการซึมเศร้ารุนแรง แถมก่อนที่เขาจะตายไม่นานชายหนุ่มยังได้รับผลตรวจจากโรงพยาบาลว่าเขานั้นเป็นโรคพาร์กินสันอีกด้วย ในท้ายที่สุด Williams ก็เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2014 โดยมีสาเหตุการเสียชีวิตคล้ายกับขาดอากาศหายใจ และถูกลงความเห็นว่าเป็นการฆ่าตัวตายโดยทางตำรวจในภายหลัง Robert Budd Dwyer Budd Dwyer เป็น วุฒิสมาชิกพรรค Republican ผู้มีชื่อเสียงจากการฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตาผู้สื่อข่าว และถูกถ่ายไว้อย่างชัดเจนโดยสถานีโทรทัศน์ ในวันที่ 22 มกราคม 1987 ดูเหมือนว่าสาเหตุการฆ่าตัวตายของเขาจะมาจากความเครียดจากการโดนกล่าวหาว่ารับสินบน ซึ่งแม้เจ้าตัวจะให้การปฏิเสธมาตลอดแต่สุดท้ายก็ถูกตัดสินให้จำคุก 55 ปี และปรับเงินอีกกว่า 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ เขารับไม่ได้กับคำตัดสินในครั้งนั้นจนตัดสินใจอ่านจดหมายลาตายออกสื่อและยิงตัวตายไปในที่สุด และกว่าที่จะมีการพยายามพิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์มันก็ปาเข้าไปในปี 2010 เลยทีเดียว…
-
พบโบราณสถานสำหรับประกอบพิธีกรรม 2 แห่ง ในทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดในโลก
ทะเลทรายอาตากามาเป็นทะเลทรายที่กินพื้นที่ตั้งแต่ทางตอนใต้ของประเทศเปรูไปถึงตอนเหนือของประเทศชิลี ซึ่งแม้ว่าจะเต็มไปด้วยแร่ธาตุ แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดในโลกเลยเช่นกัน แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าในพื้นที่สุดแห้งแล้งจนไม่น่าจะมีใครอาศัยอยู่ได้ นักโบราณคดีกลับค้นพบโบราณสถานสำหรับประกอบพิธีกรรมโบราณเข้าได้ โดยนี้เป็นผลงานการค้นพบของกลุ่มนักโบราณคดีร่วม จากมหาวิทยาลัย Paris Nanterre ในฝรั่งเศส และมหาวิทยาลัย Católica del Norte ในเปรูนั่นเอง โดยนี่เป็นการค้นพบแหล่งโบราณคดีสองแห่ง ที่อยู่ห่างกันไม่ถึง 1 กิโลเมตร โดยแห่งหนึ่งมีอายุ 3,200 ปี และอีกหนึ่งแหล่งมีอายุถึง 5,000 ปีเลยทีเดียว การค้นพบนี้นำมาซึ่งแนวคิดที่ว่าบางส่วนของทะเลทรายอาตากามานั้น อาจจะเคยเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์มาก่อนก็เป็นได้ เพราะการที่คนจะอาศัยในที่แห่งนี้ได้ แถมยังมีชีวิตที่สุขสบายพอที่จะสร้างสถานที่ประกอบพิธีกรรม เป็นหลักฐานอย่างดีว่าอย่างน้อยๆ ในพื้นที่บริเวณนี้น่าจะเคยมีแหล่งน้ำมาก่อน โดยในแหล่งโบราณคดีแห่งแรก (อายุ 3,200 ปี) มีการค้นพบอนุสาวรีย์หินขนาดใหญ่ และเครื่องประดับที่ทำจากทองคำจำนวนมาก ซึ่งเป็นไปได้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่คนในสมัยก่อนนำมาเป็นเครื่องบูชาต่อพระเจ้า นอกจากนี้ในแหล่งโบราณคดีดังกล่าว ยังมีการขุดพบโครงกระดูกทารก 28 ร่างที่ถูกฝังไว้พร้อมเครื่องประดับอีกด้วย จุดที่มีการค้นพบทารก (ลูกศรสีดำ) และจุดที่มีการค้นพบเครื่องทอง (ลูกศรสีขาว) ส่วนในแหล่งโบราณคดีอีกแห่ง (อายุ 5,000 ปี) ในตอนแรกถูกคิดว่าเป็นที่อยู่อาศัยของคนในสมัยนั้น แต่กลับไม่มีการพบบ้านอยู่เลย…
-
22 ภาพการฉลองจบสงครามโลกครั้งที่สอง ไปดูกันว่าหลังสงครามมีภาพดีๆ แบบไหนบ้าง
ในเวลาที่คนเราทำอะไรใหญ่ๆ สำเร็จ บ่อยครั้งสิ่งที่ตามมาก็มักจะเป็นงานฉลองที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลง โลกจะได้พบกับงานฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลก และคราวนี้เราก็จะได้มีโอกาสไปชม 22 ภาพการเฉลิมฉลองการจบสงครามโลกครั้งที่สอง ไปดูกันดีกว่าว่าในวันนั้นมีภาพดีๆ แบบไหนออกมาให้โลกเห็นกันบ้าง เริ่มกันที่รอยยิ้มของทหารที่แม้จะได้รับบาดเจ็บในสงครามแต่ก็สามารถกลับมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย การฉลอง “V-E Day” วันที่ฝั่งสัมพันธมิตร ได้รับชัยชนะในสงครามที่ฝั่งยุโรป ประชาชนที่ออกมาเฉลิมฉลองเต็มถนน หลังจากการยอมแพ้ของเยอรมนีในวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 นักบวชในฝรั่งเศสโชว์หนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวการยอมแพ้ของเยอรมนีในการเฉลิมฉลอง พ่อค้ารายหนึ่งแต่งกายล้อเลียนฮิตเลอร์ในวัน V-E Day การต่อตัวบนรถเพื่อเฉลิมฉลองของชาวอังกฤษในกรุงลอนดอน การฉลองชัยชนะของทหารที่กำลังเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ภาพถ่ายในวันแห่งชัยชนะของเหล่าทหารที่กำลังขึ้นเรือกลับประเทศ วอลสตรีทที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ออกมาฉลองชัยชนะ ทหารผ่านศึกที่ได้รับบาดเจ็บในสงครามเดินผ่านกระดาษที่โปรยลงมาจากตึกเพื่อฉลองชัยชนะของประเทศ การลงนามยอมแพ้ระหว่างญี่ปุ่นกับฝ่ายสัมพันธมิตร 2 สิงหาคม 1945 เหล่าสาวๆ โบกมือให้กับทหารที่กลับมาจากสงคราม หลายคนในภาพเป็นภรรยาของใครสักคนบนเรือลำนั้น ทหารผ่านศึกโชว์สัญลักษณ์แห่งชัยชนะ แม้ตัวเองจะบาดเจ็บก็ตาม ทหารอังกฤษที่ได้กลับมาพบกับครอบครัวอีกครั้งหลังจากสงครามจบลงในที่สุด ทหารและประชาชนในวอชิงตัน ดี.ซี.…
-
“The Robbers Cave Experiment” การทดลองจิตวิทยาที่ทำให้เด็กเกลียดคนที่ไม่ใช่พรรคพวก
เคยได้ยินการทดลองที่ชื่อ “The Robbers Cave Experiment” กันมาบ้างไหม? นี่คือการทดลองที่จัดทำขึ้นเพื่อหาว่า การจะทำให้คนสองกลุ่มเกลียดกันนั้นจำเป็นจะต้องทำอะไรบ้างนั่นเอง นี่เป็นการทดลองที่จัดขึ้นโดย Muzafer Sherif นักจิตวิทยาชาวตุรกี-อเมริกัน ที่มีการจัดทำขึ้นในปี 1954 และเป็นการทดลองกับเด็กๆ 22 คน โดยในการทดลองดังกล่าว Sherif ได้แบ่งเด็กเป็นสองกลุ่มเท่าๆ กัน โดยเรียกว่าทีม “Eagles” (อินทรีย์) และทีม “Rattlers” (งู) ก่อนที่จะพาเด็กๆ ไปเข้าค่ายที่ภูเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐโอคลาโฮมา ในช่วงแรกของการทดลอง Sherif ได้ให้เด็กๆ ในแต่ละกลุ่มแยกกันอยู่คนละที่โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งเข้าค่ายอยู่นอกจากกลุ่มของตัวเองด้วย และเมื่อเด็กๆ ในกลุ่มเริ่มรักกันดีแล้ว Sherif ก็เริ่มแผนการขั้นต่อไป ด้วยการแนะนำเด็กๆ ทั้งสองกลุ่มให้รู้จักกันในฐานะทีมคู่แข่งก่อน และในการแข่งขันต่อจากนี้ไป ทีมที่ชนะเท่านั้นที่จะได้รับรางวัล น่าแปลกที่แม้จะไม่ต้องยุอะไรมากปัญหาก็เกิดขึ้นในทันทีเมื่อทีม Rattlers เข้ายึดสนามเบสบอลในพื้นที่เพื่อใช้ฝึก ก่อนจะมีการปักธงไว้และบอกฝั่ง Eagles ว่าห้ามมายุ่ง เท่านั้นยังไม่พอเพราะหลังจากทีมงานแกล้งให้ทีมหนึ่งมาทานอาหารช้าอีกทีมก็ทานอาหารที่มีทั้งหมดไปแล้วด้วย และนั่นก็ทำให้ความขัดแย้งในหมู่เด็กๆ รุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่แค่เถียงกันปากต่อปาก เด็กๆ ก็เริ่มลงไม้ลงมือกันจริงๆ…
-
“คริสทัลล์นัคท์” เหตุการณ์ที่ปลุกปั่นความเกลียดชังชาวยิว ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
เชื่อว่าหากพูดถึงเหตุการณ์สังหารชาวยิวไม่ว่าใครก็คงนึกถึงการสังหารหมู่ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก่อนเป็นอย่างแรก ว่าแต่ทราบหรือไม่ว่าความเกลียดชังชาวยิวนั้น มันมีมาก่อนที่สงครามจะเกิดเสียอีก โดยหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในช่วงนั้น ก็คือ “คริสทัลล์นัคท์” (Kristallnacht) หรือคืนกระจกแตก (The Night of Broken Glass) นั่นเอง คริสทัลล์นัคท์เป็นเหตุการณ์การสังหารหมู่ชาวยิวในวันที่ 9-10 พฤศจิกายน 1938 เกือบๆ หนึ่งปีก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะเริ่มต้นขึ้น และส่งผลให้มีชาวยิวเสียชีวิตกว่า 91 ราย จริงอยู่ว่าตัวเลขนี้อาจจะดูน้อยเมื่อเทียบกับความยิวที่เสียชีวิตในสงครามโลก แต่นี่ก็นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจุดหนึ่งของเยอรมนีเลยก็ว่าได้ เรื่องราวมันเกิดขึ้นเมื่อมีชาวยิวชื่อเฮอร์เชล กรินสปัน เขาลอบสังหารเจ้าหน้าที่การทูตของนาซี ในสถานทูตเยอรมันที่ประเทศฝรั่งเศส แม้ไม่อาจฟันธงได้ว่าการกระทำของเขานั้นมาจากความโกรธแค้นที่นาซีปฏิบัติต่อชาวยิว หรือว่านี่เป็นเพียงแผนการของนโยบายทางเชื้อชาติของนาซีกันแน่ แต่การกระทำของเขาก็ทำให้มีคนเยอรมันจำนวนมากลุกขึ้นต่อต้านชาวยิว ในวันนั้นมีการจลาจลที่เกิดขึ้นจากความเกลียดชังขึ้นทั่วท้องถนนของเยอรมนี มีคนจำนวนมากเข้าไปทำลาย บ้าน ร้านค้า และโบสถ์ของชาวยิว ที่เหตุการณ์เลวร้ายถึงขั้นนี้นั้นเชื่อกันว่ามาจากการปลุกปั่นของทางพรรคนาซี เพราะมีการบันทึกไว้ว่า ไฮน์ริช มูลเลอร์หน่วยตำรวจลับของฮิตเลอร์ได้ทำการส่งโทรเลขไปห้ามตำรวจไม่ให้เข้าไปยุ่งกับการจลาจลของชาวเยอรมนี นั่นทำให้ในเวลาเพียง 2 วัน 2 คืนเท่านั้นในเยอรมนีก็มีโบสถ์ของชาวยิวถูกเผาไปกว่า 1,000 แห่ง ร้านค้าชาวยิวถูกทำลายไปร่วม…
-
ย้อนรอย “มัมมี่ถ้ำวิญญาณ” ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก กับการแย่งชิงความเป็นเจ้าของมาอย่างยาวนาน
ย้อนกลับไปในช่วงปี 1940 ในระหว่างที่โลกยังตกอยู่ท่ามกลางสงคราม นักโบราณคดีได้ขุดพบมัมมี่โครงกระดูกเก่าแก่ร่างหนึ่งที่ถ้ำหินในทะเลทรายทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐเนวาดา ในเวลานั้นมัมมี่โครงกระดูกที่พบถูกตั้งชื่อว่า “มัมมี่แห่งถ้ำวิญญาณ” (Spirit Cave Mummy) และดูจะไม่มีความสำคัญอะไร แต่ใครจะเชื่อเล่าว่าราว 50 ปีต่อมา พวกเราก็ได้ทราบว่าสิ่งที่พบนั้น มันไม่ใช่แค่โครงกระดูกธรรมดาๆ เพราะจากการตรวจสอบหาอายุทางคาร์บอนกัมมันตรังสีแล้วกระดูกที่พบนั้นมีอายุถึงราวๆ 10,600 ปี (บางแหล่งก็บอกว่า 9,400 ปี) เลยทีเดียว ซึ่งนั่นหมายความว่านี่คือมัมมี่ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกนั่นเอง เพราะแม้ว่ามัมมี่ที่พบจะมีลักษณะแทบจะเป็นโครงกระดูกอยู่แล้ว แต่ก็มีร่องรอยที่ชัดเจนมากว่ามีการถูกเก็บรักษาไว้โดยอาศัยความร้อนและแห้งในถ้ำ แต่การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้เองก็นำมาซึ่งความขัดแย้งเช่นกัน เนื่องจากชนเผ่า Fallon Paiute-Shoshone ซึ่งเป็นพื้นเมืองอเมริกันในพื้นที่ ได้ออกมาอ้างตัวว่าถ้ำที่มีการชนพบมัมมี่นี้ เป็นที่อยู่ของบรรพบุรุษของพวกเขานั่นเอง แน่นอนว่าในอดีตรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาจะไม่เชื่อในคำกล่าวอ้างนี้ จนทำให้เกิดการแย่งชิงความเป็นเจ้าของมัมมี่ที่พบมาอย่างยาวนานเกือบ 2 ทศวรรษ การต่อสู้นี้ดำเนินมาอย่างเงียบๆ จนกระทั่งในปี 2015 ทางชนเผ่าก็ยอมให้มีการตรวจสอบ DNA ของมัมมี่ที่พบ และนำมาซึ่งความจริงในเวลาต่อมา ภาพใบหน้าของมัมมี่เก่าแก่ในสมัยที่ยังมีชีวิต ถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เพราะจากการวิเคราะห์ DNA ของโครงกระดูกที่พบ เราก็ได้ทราบว่ามัมมี่นี้มีความเกี่ยวข้องกับชนเผ่า…
-
อังกฤษพบ “ระเบิดบิน” ของนาซีช่วงสงครามโลก เชื่อถูกยิงตกระหว่างบินไปลอนดอน
เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมีอยู่หลายๆ ครั้งที่เยอรมนีพยายามทำการโจมตีกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ว่าแต่ทราบหรือไม่ว่าหนึ่งในอาวุธที่พวกเขาใช้นั้นมี “ระเบิดบินได้” อยู่ด้วย เพราะเมื่อไม่นานมานี้เอง นักประวัติศาสตร์ ได้มีการขุดพบระเบิดบินไร้คนขับ “เยอรมัน V1” หรือที่รู้จักกันในชื่อเล่น “Doodlebug” ที่ป่าในมณฑลเคนต์ ประเทศอังกฤษ นี่เป็นระเบิดที่เป็น “บรรพบุรุษ” ของจรวดขีปนาวุธนำวิถีในปัจจุบัน และเป็นหนึ่งในอาวุธนับพันที่ถูกใช้ตอบโต้การโจมตีของสัมพันธมิตร ซึ่งเชื่อกันว่าถูกใช้งานในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองก่อนที่เยอรมนีจะแพ้สงครามไป ดูเหมือนว่าจรวดดังกล่าวนี้จะถูกยิงออกมาจากฐานยิงในประเทศเนเธอร์แลนด์ซึ่งในเวลานั้นถูกปกครองโดยเยอรมนี และถูกยิงสกัดจนมาตกที่ป่าแห่งนี้ก่อนที่จะมีโอกาสได้บินไปถึงกรุงลอนดอน แต่แม้ว่าระเบิด V1 จำนวนมากจะถูกยิงตกก่อนได้ทำความเสียหายก็ตาม การโจมตีในครั้งนั้นก็ทำให้มีคนอังกฤษเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากอยู่ดี นอกจากนี้หลังจากการโดนโจมตีด้วยระเบิด V1 ทางอังกฤษก็ต้องรับมือกับจรวด V2 ซึ่งได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจาก V1 อีกทีในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ระเบิดรุ่นที่พบนั้นได้ถูกให้ข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์สงครามในกรุงลอนดอนว่า มีปีกกว้างกว่า 5 เมตร และบรรทุกหัวรบที่มีน้ำหนักร่วม 850 กิโลกรัมเอาไว้ โดยนี่เป็นการอ้างอิงจากข้อมูลของระเบิด V1 ที่ทางพิพิธภัณฑ์มี อย่างไรก็ตามการขุดพบระเบิด V1 ในครั้งนี้ไม่ใช่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวของนักประวัติศาสตร์ด้านสงครามโลกครั้งที่สองในอังกฤษ เพราะเมื่อกลางปีนี้ทางประเทศอังกฤษยังสามารถปิดโปรเจกต์การขุดค้นจุดตกของจรวด V2 ที่มีการดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 3 ปีอีกด้วย…
-
ทำความรู้จักกับ “หน้าอู๊ววว” ท่าโพสต์ใบหน้าในตำนานที่เหล่านางแบบฮิตกันในช่วงปี 1950
ปัจจุบันการโพสต์ท่าของเหล่า นางแบบ เพื่อการโฆษณาก็จะมีการโพสต์ท่าที่แตกต่างกันออกไป เพราะเหล่านางแบบก็จะต้องทำท่าทางและแสดงสีหน้าในการนำเสนอสินค้านั้นๆ ให้ถึงอารมณ์ที่สุด ทว่าในยุคหนึ่งราว 60 กว่าปีที่แล้ว ช่วงปี 1950 การถ่ายแบบเพื่อการโฆษณานั้นกลับมี “ท่ายอดฮิต” ท่าหนึ่งที่ใช้กันทั่วบ้านทั่วเมืองแทบทุกโฆษณา และเชื่อเลยว่าท่านผู้ชมเห็นแล้วจะต้องคุ้นตากันบ้างแน่ๆ ท่าดังกล่าวขออนุญาตเรียกว่า หน้าอู๊ววว (Oooo Face) ก็แล้วกัน เพราะการจะมีภาพแบบนี้ได้ นางแบบนายแบบจะต้องพูดคำว่า “อู๊ว” แล้วลากเสียงให้ยาวๆ เพื่อแสดงให้เห็นสีหน้าที่น่าตื่นเต้นประหลาดใจนั่นเอง แล้วมันเป็นท่ายอดฮิตขนาดไหนน่ะหรือ? วันนี้เราจะพาทุกท่านไปชมตัวอย่างภาพถ่ายที่มาพร้อมนางแบบ “หน้าอู๊ววว” จากสมัย 60 กว่าปีที่แล้ว แล้วจะรู้ว่ามันเป็นท่ายอดฮิตในตำนานเลยจริงๆ #1 อู้วห์ #2 อุ๊ววว #3 อุ้วว #4 อุ๊ว #5 อุ๊วววว #6 อู้วว #7 อุ้ว #8 อู้ววววววว…
-
20 ภาพสุดท้ายที่มีการค้นพบ ของเหล่าคนมีชื่อเสียงของโลก ก่อนที่พวกเขาจะจากโลกนี้ไป
หากจะพูดถึงสิ่งที่เก็บความทรงจำเอาไว้มากที่สุด “รูปถ่าย” ก็คงจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่ผู้คนนึกถึงกัน เพราะนี่คือสิ่งที่เก็บรักษาความทรงจำเอาไว้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า หรือแม้กระทั่ง “ชีวิต” ของคนที่ตายไปแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่ภาพสุดท้ายก่อนตายของผู้คนมักจะเป็นภาพที่ทรงพลังที่สุดในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 20 ภาพสุดท้ายที่มีการค้นพบ ของเหล่าคนมีชื่อเสียงของโลก ไปดูกันดีกว่าว่าก่อนที่พวกเขาจะจากโลกนี้ไปตลอดกาล พวกเขาถ่ายภาพแบบไหนเอาไว้กัน เริ่มกันจากภาพสุดท้ายที่มีการค้นพบของนักประดิษฐ์อัจฉริยะ “นิโคลา เทสลา” ภาพนี้ถ่ายในปี 1943 ปีเดียวกับที่เขาเสียชีวิต ภาพสุดท้ายของ “แอนน์ แฟรงก์” เด็กชาวยิวที่มีชื่อเสียงที่สุด ในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์ ภาพนี้ถ่ายในปี 1943 เป็นเวลา 2 ปีก่อนที่เธอจะเสียชีวิต ภาพสุดท้ายของนักฟิสิกส์อัจฉริยะ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” ภาพนี้ถ่ายในปี 1955 ปีเดียวกับที่เขาเสียชีวิต ภาพสุดท้ายของนักเขียนที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกัน “มาร์ค ทเวน” ภาพนี้ถ่ายในปี 1910 ปีเดียวกับที่เขาเสียชีวิต …
-
5 การดัดแปลงร่างกายของผู้หญิงจากทั่วโลก ที่อาจเป็นต้นตำหรับของการศัลยกรรมความงาม
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการศัลยกรรมเพื่อความงามนั้น เริ่มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนหลายๆ คนอาจจะมองว่าความงามที่แท้จริงเริ่มหายากขึ้นทุกวันแล้ว ว่าแต่ทราบกันไหมว่าจริงๆ แล้วมนุษย์เรานั้นดัดแปลงร่างกายกันมานานกว่าที่คิดเยอะ และทำกันในหลายๆ วัฒนธรรมของโลกเลยด้วย ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาทำในยุคการศัลยกรรมพลาสติก ไม่เชื่อก็ลองไปดูการดัดแปลงร่างกายจากในอดีตทั้ง 5 อย่างต่อไปนี้ดูสิ แล้วจะรู้ว่าการดัดแปลงร่างกายนั้นมันกลายเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมได้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่ความสวย เริ่มกันที่การเจาะปากใส่จานของเผ่า Surma และ Mursi เราอาจจะเคยเห็นการเจาะปากแบบนี้ในภาพยนตร์อย่าง Black Panther กันมาบ้าง แต่รู้หรือไม่ว่าเจาะปากใส่จานแบบนี้มีประวัติมาตั้งแต่เมื่อ 8,700 ปีก่อนคริสตกาลเลย โดยนี่เป็นพิธีกรรมที่ทำขึ้นในการเตรียมเพื่อการแต่งงานของผู้หญิง โดยจะมีการพาผู้หญิงที่อาจจะอายุต่ำสุดได้ถึง 13 ปี ไป “ยืดปาก” ด้วยวิธีต่างๆ และใส่จานที่จะขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง การยืดคอของชาวกะยัน นี่เป็นชนเผ่าที่อาศัยในประเทศพม่า (และที่แม่ฮ่องสอน) โดยคนไทยรู้จักกันในชื่อกะเหรี่ยงคอยาว ซึ่งมีการดัดแปลงร่างกายของตัวเองด้วยการยืดคอสมชื่อ โดยพวกเขาจะใส่ห่วงที่คอตั้งแต่ยังเด็กและค่อยๆ ใส่เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ จนมีลักษณะคอยาว อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าคอของพวกเขาจะไม่ได้ยาวขึ้นจริงๆ แต่กระดูกไหปลาร้าถูกน้ำหนักห่วงกดลงไปเรื่อยๆ ต่างหาก เป็นไปได้ว่าเบื้องหลังการดัดแปลงร่างกายเช่นนี้จะมาจากการป้องกันเผ่าอื่นมาจับผู้หญิงไป ด้วยการทำให้พวกเธอแลดูไม่น่าดึงดูดนั่นเอง การทำเท้าดอกบัวของจีน นี่เป็นแฟชั่นสุดฮิตในยุคสมัยจีนโบราณ ที่บางครั้งก็ถูกเรียกว่าการรัดเท้า ว่ากันว่ามีต้นกำเนิดมาจากชนชั้นสูงที่เป็นนางระบำ ในช่วงศตวรรษที่ 10…
-
“การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดา” เหตุการณ์ประชาชนเข่นฆ่ากันเองสุดโหด ที่โลกหลงลืม
เคยได้ยินเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดากับรึเปล่า นี่เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กินเวลาราวๆ 100 วันในช่วงปี 1994 และน่าแปลกที่แทบไม่มีใครเข้าไปหยุดยั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย ทั้งที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในยุคสมัยใหม่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดา เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศรวันดา ซึ่งในสมัยก่อนเคยถูกปกครองโดยเบลเยียม และเป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองสองชนเผ่าใหญ่ๆ ได้แก่เผ่าทุตซี และเผ่าฮูตู โดยจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งในประเทศเกิดจากการที่ในสมัยที่ประเทศรวันดายังคงเป็นเมืองขึ้นอยู่ เผ่าทุตซีที่มีจำนวนน้อยกว่าเผ่าอื่นๆ กลับเป็นชนชั้นปกครองของประเทศ และได้รับอภิสิทธิ์เหนือชนเผ่าอื่นๆ (เช่นเผ่าฮูตูที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศ) แต่เรื่องราวกันก็เลวร้ายขึ้นไปอีกเมื่อเบลเยียม สั่งให้ชนพื้นเมืองในพื้นที่ลงทะเบียนว่าตนเองเป็นคนจากเผ่าไหนกันแน่ระหว่าง เผ่าฮูตูและเผ่าทุตซี แน่นอนว่าการกระทำเหล่านี้บ่มเพาะความไม่พอใจแก่เผ่าฮูตูเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อประเทศรวันดาได้รับอิสรภาพจากเบลเยียม รัฐบาลชาวทุตซีก็ต้องเจอกับการปฏิวัติของชาวฮูตูแทบจะในทันที การปฏิวัติในครั้งนี้ ทำให้ชาวทุตซีจำนวนมากต้องออกจากประเทศไป หรือไม่ก็กลายเป็นกลุ่มต่อต้าน และแน่นอนว่าชาวฮูตูก็กดขี่ชาวทุตซีคืนเช่นกัน จนทำให้รวันดาตกอยู่ในภาวะความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าเป็นเวลานาน ความขัดแย้งในประเทศดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งประธานาธิบดี จูเวนาล ฮับยาริมานา ของฮูตูพยายามเจรจาสันติภาพกับชาวทุตซี แต่กลับถูกมิซไซล์ยิงถล่มเครื่องบินจนเสียชีวิตไปเสียก่อน ที่มาของมิซไซล์นั้นเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ค่อนข้างมาก เพราะมีแนวคิดที่ว่าจริงๆ แล้วมิซไซล์เหล่านี้ถูกยิงมาจากทหารฮูตูหัวรุนแรง ที่ไม่พอใจในการเจรจาสันติภาพเสียเอง แต่แม้ว่าจะยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนสังหารประธานาธิบดี ประชาชนจำนวนมากก็มองว่านี่เป็นความผิดของชาวทุตซี และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวรวันดาด้วยมือชาวรวันดาไป การฆ่าล้างสังหารในครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากทั้งสองฝ่ายร่วมแล้วกว่า 800,000 ราย และกลายเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของมนุษยชาติไป โดยที่แทบจะไม่มีใครเลยที่กล้าพอจะยื่นมือมาหยุดยั้ง สุดท้ายแล้วการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้ก็จบลงด้วยการเข้ายึดอำนาจจากกองกำลังของชาวทุตซีที่นำโดยนายพอล คากาเม ก่อนที่เจ้าตัวจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปในเวลาต่อมา …
-
ย้อนภาพ “เยอรมนี” ในช่วงสถานการณ์เงินเฟ้อครั้งใหญ่ ที่ธนบัตรมีค่าไม่ต่างจากเศษขยะ
หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้ไม่นาน จักรวรรดิเยอรมันก็ล่มสลายลงและถูกแทนที่ด้วย “ไรช์เยอรมัน” หรือที่รู้จักกันในชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “สาธารณรัฐไวมาร์” ในเวลานั้นสาธารณรัฐไวมาร์ต้องพบกับสถานการณ์เงินเฟ้อครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ จากที่ต้องใช้เงินราวๆ 4.2 มาร์คแลกเงินหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็น 4,200,000,000,000 มาร์คต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐไป ภาวะเงินเฟ้อในเวลานั้นรุนแรงมากจนเด็กๆ เอาธนบัตรไปเล่นเป็นของเล่นได้โดยที่ไม่มีใครว่าเลยทีเดียว บางคนก็นำธนบัตรไปเผาทำความอบอุ่น เนื่องจากฟืนมีมูลค่ามากกว่าธนบัตรเหล่านั้นเสียอีก ธนบัตรที่โดนนำไปใช้เป็นฟืน ค่าเงินถูกจนเด็กๆ เอาธนบัตรไปต่อเป็นว่าวเลย ในช่วงปี 1923 คนงานได้รับเงินค่าแรงถึงวันล่ะ 3 ครั้ง แถมยังเป็นจำนวนเยอะมากขนาดที่ต้องเอารถเข็นมาเข็น ถึงอย่างนั้นเงินดังกล่าวกับแทบเอาไปทำอะไรไม่ได้ เพราะบ่อยครั้งร้านค้าก็ไม่ยอมวางขายสินค้า นั่นเป็นเพราะชาวไร่ชาวนาตัดสินใจว่าการเก็บสินค้าของตนไว้น่าจะมีค่ามากกว่าเอาไปแลกกองกระดาษ (ธนบัตร) ที่เอามาก็ไม่ได้ใช้ ทำให้ชนชั้นกลางที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยค่าแรงในประเทศแทบจะอดตายกัน วอลล์เปเปอร์ติดผนังที่ทำจากธนบัตร 1 มาร์ค รวมๆ แล้วราคาถูกกว่าวอลล์เปเปอร์ที่ถูกที่สุดในท้องตลาดอีก การเก็บธนบัตรในธนาคาร เงินในสมัยนั้นไร้ค่ามากจนเกิดเรื่องเล่าว่ามีคนเผลอทิ้งรถเข็นที่ใส่เงินไว้เต็มรถเอาไว้กลางทาง แต่พอเจ้าของกลับมาเขาก็พบว่ามีคนขโมยรถเข็นของเขาไปโดยทิ้งกองธนบัตรเอาไว้เลยทีเดียว กองธนบัตรของสาธารณรัฐไวมาร์ ทั้งหมดในภาพมีมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ อัตราเงินเฟ้อแบบสุดๆ ของประเทศดำเนินมาจนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 1923 ที่ทางรัฐบาลได้มีการออกธนบัตรเรนเทนมาร์กที่ตัดเลข…
-
14 ภาพโมเมนต์ดีๆ กับคนในครอบครัว ของเหล่าคนที่โลกมองว่าเป็นวายร้ายสุดโฉด
ในโลกในนี้มีคนหลายคนที่ถูกโลกมองว่าเป็นคนเลวร้าย ไม่ว่าจะเป็นผู้นำเผด็จการอย่างฮิตเลอร์ หรือหัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายอย่างบินลาดิน แต่แม้ว่าจะเป็นสุดโฉดมาจากไหน คนเหล่านี้ก็ยังมีโมเมนต์ดีๆ กับคนในครอบครัวให้เห็นกันอยู่ แถมส่วนมากในภาพเหล่านี้พวกเขาก็มักจะดูอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อเลยด้วย ทำให้ภาพเหล่านี้กลายเป็นภาพที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะมาชม 14 ภาพเหล่าคนที่โลกมองว่าเป็นวายร้ายสุดโฉดกับครอบครัวของเขากัน ไปดูกันดีกว่าว่าคนเหล่านี้ เขาทำตัวแบบไหนกันเวลาอยู่กับคนในครอบครัว เริ่มกันที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์กับเอฟา เบราน์ และสุนัขสองตัวที่เธอเลี้ยง อุซามะห์ บิน ลาดินกับหนึ่งในลูกชายของเขา อารี บิน ลาดิน เบนิโต มุสโสลินีให้ลูกชาย โรมาโน มุสโสลินีขี่คอในวัยเด็ก โจเซฟ สตาลินอุ้มลูกสาวของเขาสเวตลานา อัลลีลูเยวาในสมัยที่เธอยังไม่แปรพักตร์ ซัดดัม ฮุสเซ็นกับ รานา ฮุสเซ็น ลูกสาวของเขา โชคไม่ดีที่เจ้าตัวไม่ถูกโรคกับลูกชายเท่าไหร่ อีดี อามิน กำลังอุ้ม มวันกา อามิน ผู้เป็นลูกชาย ฟรันซิสโก ฟรังโก กับคาร์เมนซิตาผู้เป็นลูกสาว และสุนัขที่เลี้ยงไว้ พล พตกับหลานๆ ของเขา ส่วนตัวพล…
-
21 ภาพแปลกๆ ของการแพทย์จากช่วงปี 1900-1940 ไปดูกันว่าสมัยนั้นการรักษาเป็นอย่างไร
การแพทย์เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มานานแสนนาน แต่ถึงอย่างนั้นคนธรรมดาก็มักจะไม่เข้าใจการแพทย์ทั้งหมดอยู่ดี นั่นทำให้บางครั้งเราก็มองการแพทย์บางอย่างว่าช่างแปลกจริงๆ แต่ความคิดแบบนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนในปัจจุบันเท่านั้นหรอก เพราะในอดีตเองก็มีการรักษามากมายที่ถูกมองว่าแปลกเช่นกัน ดูอย่างภาพ 21 อันต่อไปนี้สิ เพราะนี่คือภาพแปลกๆ ของการแพทย์จากในช่วงปี 1900-1940 ยังไงล่ะ เริ่มจากการเอกซเรย์ทรวงอกของโรงพยาบาลที่ปารีส ในปี 1914 รถ (ม้า) พยาบาล ที่ใช้กันในอาสาสมัครในเวียนนา ประเทศออสเตรีย รถม้าพยาบาลอีกรูปแบบหนึ่ง คราวนี้เป็นของสหรัฐอเมริกาในปี 1911 ต่อกันด้วยหน่วยโรงพยาบาลรถไฟที่ใช้งานในช่วงยุค 1900 ความพยายามในการทำการคลอดลูกแบบไม่เจ็บปวดในปี 1939 ด้วยการให้แม่ดมยาระงับปวด การให้ออกซิเจนเด็กเกิดใหม่ในกรุงเบอร์ลินช่วงปี 1939 ปอดเหล็กที่ใช้ในการยืดชีวิตผู้ป่วย โปลิโอในช่วงปี 1938 การฝึกใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ของพยาบาลในปี 1938 ดูเหมือนว่าเจ้าเครื่องนี้จะมีระบบการทำงานคล้ายปอดเหล็กด้านบน คนไข้ตัวน้อยในเต็นท์ออกซิเจนที่โรงพยาบาล Princess Beatrice เมื่อราวๆ ปี 1937 อุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษาหวัดและไข้หวัดใหญ่ในปี 1929 …
-
พบมุกตลกอายุราว 2,000 ปี ใน “ห้องน้ำ” โรมันโบราณ บอกเล่าอารมณ์ขันยุคเก่าได้อย่างดี
เวลาที่เรานั่งในห้องน้ำ บางครั้งเราก็อาจจะพบกับข้อความเขียนเล่นแบบ “แน่จริงอย่าเบ่ง” กันมาบ้าง จริงอยู่ว่านี่จะเป็นการขีดเขียนที่ทำให้ห้องน้ำสกปรก แต่ก็เป็นมุกตลกๆ ที่เรียกรอยยิ้มได้เป็นอย่างดี ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทยเท่านั้น เพราะแม้แต่ในโรมันเมื่อ 2,000 ปีก่อน (บางแหล่งก็บอกว่าแค่ 1,800 ปี) เองก็มีการเล่นมุกในห้องน้ำกับเขาเหมือนกัน มุกในห้องน้ำของชาวโรมันที่กล่าวมานี้ ถูกค้นพบในรูปแบบของกระเบื้องเคลือบสลับสี ที่ใช้เป็นพื้นของห้องน้ำเก่าแก่ ที่มีการค้นพบในซากเมือง Antiochia ad Cragum ในประเทศตุรกี โดยบนกระเบื้องที่พบนั้น มีภาพของตัวละครจากตำนานกรีกและโรมันในรูปแบบที่แตกต่างไปจากปกติมาก อย่างเช่นภาพของตำนานแกนีมีดที่ถูกลักพาตัวไปโดยซูสที่แปลงร่างเป็นนกอินทรี ซึ่งตามปกติแกนีมีดต้องถือไม้เท้า และห่วง ก็ถูกแก้เป็นถือไม้ติดฟองน้ำสำหรับทำความสะอาดแทน แถมซูสยังแปลงร่างเป็นนกกระสาอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ดูเหมือนว่าซูสที่กำลังแปลงร่างเป็นนกกระสานั้นยังกำลัง “ทึ้ง” อวัยวะเพศของแกนีมีดอยู่ด้วย ซึ่งอาจเป็นการเปรียบถึงการ “ทำความสะอาด” อวัยวะเพศด้วยปาก ก่อนหรือหลังการมีเซ็กส์นั่นเอง ส่วนภาพอีกด้านหนึ่งของกระเบื้องนั้นแม้จะเลือนไปบ้าง แต่ก็น่าจะเป็นภาพของนาร์ซิสซัส ชายหนุ่มผู้หลงรักเงาตัวเองตามตำนานกรีก แต่แทนที่นาร์ซิสซัสจะเป็นชายรูปงาม นาร์ซิสซัสในกระเบื้องกลับมีจมูกยาวซึ่งถูกมองว่าอัปลักษณ์โดยคนโรมันแทน แถมแทนที่จะชื่นชอบเงาตัวเอง นาร์ซิสซัสบนกระเบื้องก็กำลังชื่นชมอวัยวะเพศของตัวเองอยู่ด้วย จริงอยู่ว่ามุกตลกในห้องน้ำที่พบนั้นจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังให้ข้อมูลมากพอที่จะทำให้เข้าใจได้ว่าภาพที่เห็นนั้นต้องการจะสื่ออะไร…
-
นักวิทยาศาสตร์พบ ไดโนเสาร์ “พาราซอโรโลฟัส” อาจเป่าเขาตัวเอง เหมือนเป็นทรัมเป็ต
ด้วยความที่ฟอสซิลไดโนเสาร์ส่วนมากที่มีการค้นพบบนโลกมักจะมีสภาพเป็นโครงกระดูก ดังนั้นคำถามที่ว่าเสียงร้องของไดโนเสาร์จริงๆ แล้วควรจะเป็นอย่างไรจึงเป็นคำถามที่ตอบได้ค่อนข้างยาก แม้แต่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์เอง แต่เมื่อไม่นานมานี้เองก็มีการค้นพบที่อาจจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์บอกได้ว่าเสียงร้องของไดโนเสาร์นั้นน่าจะเป็นอย่างไรจนได้ ถึงจะเป็นเพียงในหมู่ไดโนเสาร์จำพวก “พาราซอโรโลฟัส” ก็ตาม โดยมีการค้นพบว่าไดโนเสาร์พาราซอโรโลฟัสนั้น จะเป่าเขาของตัวเองคล้ายทรัมเป็ต เพื่อสร้างเสียงร้องเรียกพวกนั่นเอง ไดโนเสาร์พาราซอโรโลฟัสเป็นไดโนเสาร์กินพืชที่มีชีวิตอยู่ในยุคครีเตเชียสตอนปลาย และมักพบได้ในทวีปอเมริกาเหนือ มีลักษณะเด่นอยู่ที่เขาซึ่งมีรูปร่างคล้ายหงอนที่ลู่ไปด้านหลัง ซึ่งตัวอย่างเขาของพาราซอโรโลฟัสที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ก็เป็นของสายพันธุ์ที่ยังไม่มีการตั้งชื่อ ที่มีลักษณะเด่นอยู่ที่ส่วนศีรษะที่คล้ายคลึงกับเป็ดนั่นเอง เขาของพาราซอโรโลฟัสสายพันธุ์ไร้นามที่ใช้ในการศึกษา โดยจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ ดูเหมือนเจ้าเขาที่คล้ายหงอนของพาราซอโรโลฟัสจะมีลักษณะกลวง และเชื่อมไปยังหลอดลมของไดโนเสาร์ ทำให้พาราซอโรโลฟัสสามารถ “เป่าลม” ผ่านเขาได้นั่นเอง จริงอยู่ว่าแนวคิดที่ว่าไดโนเสาร์พาราซอโรโลฟัสใช้เขาในการส่งเสียงนั้นมีมาก่อนหน้านี้ค่อนข้างนานแล้ว อย่างไรก็ตามการศึกษาในครั้งนี้ก็ทำให้เราทราบได้ว่าแม้ในหมู่ไดโนเสาร์จำพวกพาราซอโรโลฟัสเอง หากมาจากคนละสายพันธุ์ก็จะมีรูปแบบของเสียงที่แตกต่างกันไปด้วย เขาของพาราซอโรโลฟัสสายพันธุ์ไร้นามที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เป็นไปได้ว่านี่จะเป็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นเพื่อใช้จำแนกพวกพ้องโดยเฉพาะ ซึ่งตัวไดโนเสาร์สายพันธุ์ที่ยังไม่มีการตั้งชื่อนี้เองก็มีระดับค่าความถี่ของเสียงอยู่ที่ระหว่าง 48-75 เฮิรตซ์นั่นเอง นี่นับเป็นการค้นพบที่น่าสนใจอันหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะในบรรดาฟอสซิลไดโนเสาร์ที่ไม่มีเส้นเสียงเหลืออยู่นั้น พาราซอโรโลฟัสเป็นไดโนเสาร์เพียงไม่กี่ประเภทที่เราสามารถเรียนรู้เสียงร้องของมันได้ จากโครงกระดูกที่พบ พาราซอโรโลฟัสมีทั้งสายพันธุ์ที่เดิน 4 ขา และ 2 ขา และหากเป็นไปได้ด้วยดี การศึกษาครั้งนี้ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการไขปริศนาเสียงของไดโนเสาร์ตัวอื่นๆ ต่อไปก็เป็นได้ ที่มา history, livescience
-
เปิดเรื่องราว “เหมืองเพชรเมียร์นี” เพชรขนาดใหญ่ที่ทำให้โซเวียตยิ่งใหญ่ในสงครามเย็น
เคยได้ยินเรื่องของเหมืองเมียร์นี (บางที่ก็เรียกเหมืองเมียร์) กันไหม นี่เป็น “อดีต” เหมืองเพชรที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งตั้งอยู่ในไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่โซเวียตยิ่งใหญ่ในช่วงสงครามเย็นเลย เหมืองเมียร์นีเป็นเหมืองเพชรแบบเปิด มีการขุดค้นตั้งแต่ในช่วงปี 1955 และเปิดทำการจริงๆ โดยคำสั่งของโจเซฟ สตาลินในปี 1957 เนื่องจากเหมืองเมียร์นีมีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศเย็นจัด การสร้างเหมืองในยุคแรกๆ เป็นไปได้อย่างยากลำบากมาก เพราะพื้นที่ที่มีการพบเหมืองนั้นส่วนใหญ่จะถูกปกคลุมไปด้วยเพอร์มาฟรอส และที่มักจะละลายเป็นโคลนในหน้าร้อน นอกจากนี้อากาศที่นี่ยังหนาวมากจนน้ำมันแข็งเป็นน้ำแข็งเลยด้วย แต่ด้วยความพยายามของโซเวียตในสมัยนั้น สุดท้ายเหมืองแห่งนี้ก็เปิดทำการได้สำเร็จจนได้ และคงต้องบอกว่าความพยายามของโซเวียตได้รับผลตอบเช่นอย่างใหญ่หลวงเลยก็ไม่ผิดนักเพราะเหมืองเมียร์นีสามารถผลิตเพชรได้มากถึงปีล่ะ 10 ล้านกะรัตเลยทีเดียว ช่วยเหลือเศรษฐกิจของโซเวียตในสงครามเย็นได้อย่างดี หลุมของเหมืองเพชรแห่งนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 1.2 กิโลเมตร และลึก 525 เมตร เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในโลกจนกระทั่งมีการขุดเมืองที่บิงแฮมแคนยอนในสหรัฐอเมริกา ที่แห่งนี้ลึกมากจนทำให้ที่บริเวณหลุมมีการไหลเวียนทางอากาศที่จะดูดสิ่งที่อยู่บนฟ้าลงมา และในอดีตเองก็เคยมีเฮลิคอปเตอร์ถูกดูดลงไปจริงๆ มาแล้ว ทำให้ที่แห่งนี้ต้องออกกฎห้ามอากาศยานบินผ่านกันเลยทีเดียว นอกจากนี้บุคคลภายนอกหรือนักท่องเที่ยวจะต้องได้รับอนุญาตก่อนจากเจ้าหน้าที่ก่อนถึงจะเขาไปเยี่ยมชมได้ เหมืองเมียร์นีผลิตเพชรให้กับมนุษย์เรื่อยมาแม้โซเวียตจะล่มสลายไป แต่แล้วจู่ๆ ในปี 2004 เหมืองที่ว่าก็ถูกปิดตัวลงไปอย่างกะทันหัน ด้วยเหตุผลที่ว่ามีน้ำท่วมและพวกเขาเริ่มขุดเหมืองลึกจนเกินไปแล้ว อย่างไรก็ตามเหตุผลเหล่านี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นความจริงหรือไม่ เพราะต่อมาในปี…
-
แม่ลูกตกบันไดหนีไฟ ภาพยอดเยี่ยมจากอดีต กับเรื่องราวน่าเศร้าที่ถูกเล่าอย่างตรงไปตรงมา
มีอยู่บ่อยครั้งที่ภาพซึ่งกลายเป็นตำนานพูดถึงกันของโลก มักจะเป็นภาพที่มีเหตุการณ์เบื้องหน้าเบื้องหลังที่น่าสนใจ แต่ในบางครั้งภาพที่กลายเป็นตำนาน ก็อาจจะเป็นภาพที่บอกเล่าเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมาได้เช่นกัน นี่คือ “Fire Escape Collapse” ภาพของคุณแม่คนหนึ่งและลูกสาวของเธอ ที่ตกลงมาจากบันไดหนีไฟในเหตุการณ์ไฟไหม้ และถูกถ่ายไว้อย่างพอดิบพอดีโดยช่างภาพนาม Stanley Forman นี่เป็นภาพที่ได้รับรางวัลสองชิ้นได้แก่รางวัล Pulitzer Prize และ World Press Photo of the Year ในปี 1976 และเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 1975 เรื่องราวของภาพนี้ก็ง่ายๆ ตรงๆ Diana Bryant คุณแม่วัย 19 ปีกับลูกสาววัย 2 ขวบของเธอหนีออกมาจากอาคารที่ไฟไหม้ในเมืองบอสตัน และกำลังยืนรอความช่วยเหลือจากนักดับเพลิงอยู่บนบันไดหนีไฟ แต่ในระหว่างที่นักดับเพลิงกำลังจะยื่นบันไดรถดับเพลิงเข้าไปช่วยเหลือพวกเธอ บันไดหนีไฟก็หักลงมาเสียก่อน โดยจากการรายงานของนักดับเพลิงหญิงสาวผู้เป็นแม่เสียชีวิต ส่วนตัวเด็กนั้นรอดมาได้เพราะได้ร่างของแม่เป็นเบาะพอดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นภาพที่มักจะถูกนำไปเตือนสติการความปลอดภัยของอาคารในเวลาต่อมา ทำให้ที่บอสตันต้องมีการแก้ไขกฎหมายควบคุมคุณภาพของบันไดหนีไฟกับใหม่ เพื่อป้องกันไม่ใช่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาอีก ส่วนนักดับเพลิงที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์บ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่คนส่วนมากก็เข้าใจกันดีว่าพวกเขาทำงานกันอย่างเต็มที่แล้ว และไม่ได้มีการกล่าวโทษทีมดับเพลิงแต่อย่างใด…
-
“ฟริทซ์ ฮาเบอร์” นักเคมีที่น้อยคนนักจะรู้จัก ผู้มีผลงานทั้งช่วยคน และฆ่าคนในเวลาเดียวกัน
หากจู่ๆ พูดชื่อ “ฟริทซ์ ฮาเบอร์” ขึ้นมา เชื่อว่าคงมีคนไม่มากที่ร้องอ๋อขึ้นมาในทันที แต่รู้หรือไม่ว่าเขาคนนี้เป็นถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลัง การผลิตอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของประชากรโลก และแก๊สสังหารฆ่าคนในเวลาเดียวกัน ฟริทซ์ ฮาเบอร์ เป็นนักเคมีชาวเยอรมนี เกิดเมื่อปี 1868 ได้เข้าทำงานเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยคาลส์รูเออเมื่อปี 1894 และมีผลงานสำคัญคือการคิดค้นกระบวนการฮาเบอร์-บ็อช นี่เป็นปฏิกิริยาการตรึงไนโตรเจนของแก๊สไนโตรเจนและแก๊สไฮโดรเจน เพื่อใช้ผลิตแอมโมเนีย โดย แอมโมเนียเหล่านี้ ก็มักถูกนำใช้ไปในการทำปุ๋ยนั่นเอง ซึ่งจากข้อมูลทางสถิติปุ๋ยที่ผลิตจากแอมโมเนียเหล่านี้ ผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลกกว่าหนึ่งในสามของประชากรทั้งหมดเลยทีเดียว ซึ่งนั่นทำให้ผลงานของฟริทซ์นับว่าเป็นอะไรที่สำคัญกับโลกใบนี้มากๆ อย่างไรก็ตามการคิดค้นกระบวนการฮาเบอร์-บ็อชไม่ใช่ผลงานเพียงอย่างเดียวของฟริทซ์ เพราะเขายังเป็นหนึ่งในผู้พัฒนา แก๊สคลอรีน และแก๊สพิษอื่นๆ ซึ่งมีการใช้งานในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอีกด้วย ผลงานของฟริทซ์ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้เขาได้รับฉายาว่า “บิดาแห่งสงครามเคมี” หลังจากนั้น แต่แม้ว่าเขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากในการพัฒนาอาวุธเคมีให้เยอรมนีต่อหลังจากที่สงครามจบ ผลงานที่เขาสร้างให้กับโลกก็ทรงคุณค่ามากพอที่จะทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี 1918 อยู่ดี ฟริทซ์ ฮาเบอร์เสียชีวิตในปี 1934 ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวในตอนที่เขาอายุได้ 65 ปี ทิ้งเอาไว้ซึ่งผลงานที่ทั้งช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสังหารผู้คนมากมายเอาไว้ อย่างไรก็ตามการกระทำของเขาอาจจะอธิบายได้ง่ายๆ เหมือนกับที่ฟริทซ์เคยกล่าวว่า “ในยามสงบนักวิทยาศาสตร์จะเป็นของโลก แต่ในยามสงครามนักวิทยาศาสตร์จะเป็นของประเทศของเขา”…
-
ชาวอังกฤษประมูล ตำราเวทมนตร์โบราณที่ทำให้ “ผู้หญิงแก้ผ้าเต้นรำ” ในราคากว่า 9 แสนบาท
สำหรับเหล่าคนที่สนใจในสิ่งลึกลับแล้ว ในหลายๆ ครั้ง หนังสือตำราเวทมนตร์โบราณก็เป็นสิ่งที่พวกเขาอยากได้มาครอบครองกันเหลือเกิน แม้ว่าจะไม่รู้ด้วยซ้ำมาตำราเหล่านั้นใช้งานได้จริงหรือไม่ นั่นเป็นเหตุผลให้เมื่อล่าสุดนี้เองตำราเวทมนตร์จากศตวรรษที่ 17 ที่เขียนโดยหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม “Cunning Men of Essex” กลุ่มซึ่งมีเชื่อเสียงในฐานะของกลุ่มผู้ใช้เวทมนตร์ในอดีต ได้ถูกประมูลไปในราคาถึงราวๆ 9400,000 บาทเลยทีเดียว โดยนี่เป็นตำราเวทมนตร์ที่เชื่อกันว่ามีอายุราว 350 ปีและหนา 476 หน้า และเขียนขึ้นโดยอ้างอิงความเชื่อเรื่องเวทมนตร์ของผู้คนในพื้นที่มณฑลเอสเซ็กซ์ของอังกฤษเป็นหลัก ข้างในหนังสือเล่มนี้ บรรจุเวทมนตร์ไว้หลากหลายชนิดตั้งแต่ เวทที่ทำให้คนมาหลงรัก เวทลดน้ำหนัก เรื่อยไปยันเวทที่บอกว่าคนป่วยจะตายไหม แต่เวทมนตร์ที่ดูเหมือนจะเป็นจุดสนใจที่สุดในงานประมูลก็คงจะเป็น เวทที่ทำให้ผู้หญิงแก้ผ้าเต้นรำนั่นเอง เพราะตามที่ในหนังสือเล่มนี้บอก หากพูดว่า “Ala Aymala” หรือสลักคำนี้ไว้บนไขเทียน ผู้หญิงจะแก้ผ้าเต้นรำทันที โดยจากที่บันทึกไว้ในตำรา ดูเหมือนว่าเวทมนตร์บทนี้จะใช้ได้แค่ในวันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น แน่นอนว่าความเป็นไปได้ที่เวทมนตร์ที่เขียนไว้ในตำรานี้จะใช้ได้จริงนั้นมีอยู่ต่ำมากๆ อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นสินค้าประมูลที่น่าสนใจมากๆ ชิ้นหนึ่งสำหรับนักสะสมอยู่ดี ส่วนเรื่องราวของกลุ่ม “Cunning Men of Essex” ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นกลุ่มคนที่เชี่ยวชาญด้านการใช้เวทมนตร์ในช่วงยุคกลาง และมีการสืบทอดเรื่อยมาจนถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเชื่อกันว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ใช้เวทมนตร์ต่อสู้กับศาสตร์ของแม่มด…
-
ชม 15 ภาพปอดเหล็กในอดีต ไปดูกันว่าโรคโปลิโอที่ยังไม่มีวัคซีน มันอันตรายขนาดไหน
ในช่วงศตวรรษที่ 20 โรคโปลิโอได้กลายเป็นหนึ่งในโลกที่กลายเป็นที่น่าหวาดกลัวที่สุดของคนทั้งโลกไป มันทำให้เด็กเป็นแสนๆ คนไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติ และเมื่อติดเชื้อไปแล้วไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถรักษาได้เลย ในเวลานั้นทางเดียวที่จะช่วยเหลือคนที่เป็นโรคโปลิโอที่แพทย์มี ก็มีแค่ Iron lungs หรือ “ปอดเหล็ก” เท่านั้น โดยนี้เป็นเครื่องหายใจชนิดหนึ่ง และมีชื่อเสียงเรื่องขนาดที่ใหญ่โตอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยเหตุนี้เราจะไปชม 15 ภาพปอดเหล็กในอดีต ไปดูกันดีกว่าว่าโรคโปลิโอในสมัยที่ยังไม่มีวัคซีนนั้น มันอันตรายขนาดไหนกัน นี่คือ Iron lungs หรือ Drinker Respirator เครื่องมือยืดชีวิตคนเป็นโรคโปลิโอในสมัยก่อน มันจะช่วยให้คนไข้สามารถหายใจได้ ด้วยการใช้แรงขับดันลม อย่างไรก็ตามนอกจากหายใจแล้ว คนไข้ก็แทบจะทำอย่างอื่นไม่ได้เลย พวกเขาหันหัวได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และแทบไม่มีทางมองด้านหลังได้เลย นั่นทำให้ปอดเหล็กในบางครั้งก็มีการติดกระจกไว้ให้ และมาในหลากหลายขนาด เพื่อใช้กับคนที่มีขนาดตัวต่างๆ กันไป ปอดเหล็กมีทั้งขนาดเล็กสำหรับเด็กแรกเกิด และบางครั้งก็มีรูปร่างแตกต่างไปตามรุ่นและสถานที่ที่ใช้งาน ถึงอย่างนั้นปอดเหล็กก็มันจะมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะใช้งานอย่างสะดวกอยู่ดี แถมในหลายๆ ครั้งคนเป็นโปลิโอขั้นร้ายแรงยังจำเป็นต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิตอีก นั่นทำให้ในบางครั้งจึงต้องมีการใช้ปอดเหล็กสำหรับคนไข้หลายๆ คนพร้อมกัน ไม่เช่นนั้นโรงพยาบาลจะเต็มไปด้วยไปด้วยปอดเหล็กอย่างที่เห็น…
-
ชมเรื่องราวของ “แอนน์ ฮอดเจส” หญิงคนเดียวในโลก ที่นอนอยู่เฉยๆ ก็ถูกอุกกาบาตตกใส่
ว่ากันว่าทั้งชีวิตคนคนหนึ่งจะมีโอกาสโดยฟ้าผ่าเพียงแค่ 1 ใน 3,000 เท่านั้น ทั้งที่เราก็เห็นฟ้าผ่ากันอยู่บ่อยๆ ดังนั้นลองคิดดูสิว่าในชีวิตคนหนึ่งคนจะมีโอกาสโดนอุกกาบาตตกใส่สักเท่าไหร่กัน เพราะนี่คือเรื่องราวของ แอนน์ ฮอดเจส มนุษย์เพียงคนเดียวของโลกที่มีการรายงานว่าถูกอุกกาบาตตกใส่!! เรื่องมันเกิดขึ้นในเมืองซิลาคอกา รัฐแอละแบมา สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1954 โดยในระหว่างที่เธอกำลังงีบอยู่ ก็มีอุกกาบาตหนัก 3.9 กิโลกรัมตกลงมากระแทกที่เหนือต้นขาของเธอเล็กน้อย ดูเหมือนว่าอุกกาบาตลูกดังกล่าวจะตกทะลุหลังคาลงมาด้วยความเร็วสูงจนทะลุหลังคาเป็นรู และกระแทกเขากับวิทยุและเด้งมากระแทกกับแอนน์อีกที หลังคาและวิทยุจึงได้ช่วยลดแรงกระแทกของอุกกาบาตลงไปมาก แต่ถึงแม้แรงกระแทกจะลดไปมากก็ตาม อุกกาบาตลูกดังกล่าวก็ทิ้งรอยแผลขนาดใหญ่ไว้ให้เธออยู่ดี ในตอนแรกครอบครัวของแอนน์คิดว่าหินที่พบมาจากการแกล้งกันของเด็กๆ หรือไม่ก็ของที่หล่นมาจากเครื่องบินเท่านั้น แต่หลังจากมีการตรวจสอบหินที่พบ นักธรณีวิทยาก็บอกว่าหินที่ตกใส่แอนน์ มันมาจากนอกโลกต่างหาก มีคนมากมายที่พยายามจะซื้ออุกกาบาตที่พบในช่วงแรกๆ ที่มีการประกาศข่าวของแอนน์ออกไปให้คนในประเทศรู้ ถึงขั้นที่ว่ามีคนยืนข้อเสนอให้เป็นเงินสูงถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเยอะมากในสมัยนั้นเลยด้วย อย่างไรก็ตามเนื่องจากอุกกาบาตที่พบจำเป็นต้องถูกทัพอากาศตรวจสอบอย่างละเอียดก่อน ดังนั้นตอนที่ครอบครัวของแอนน์ได้หินคืนมาหลังจากนั้นเกือบๆ ปี ก็ไม่มีใครสนใจที่จะซื้อหินก้อนดังกล่าวจากเธออีกแล้ว นั่นทำให้แอนน์ตัดสินใจบริจาคหินอุกกาบาตลูกนั้นให้กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในแอละแบมาไป โดยที่ไม่ได้เงินใดๆ จากอุบัติเหตุในครั้งนี้เลย เธอใช้ชีวิตจนถึงปี 1972 แล้วจึงเสียชีวิตไปในวัย 52 ปีนั่นเอง ที่มา rarehistoricalphotos และ allthatsinteresting
-
22 ภาพร้านเหล้าเมื่อ 100 ปีก่อน ไปดูกันว่าต้นศตวรรษที่ 20 ร้านเหล้ามันมีหน้าตาแบบไหน
เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “ร้านเหล้า” เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาเป็นเวลาเนิ่นนานหลายยุคสมัย และแม้ว่าบางครั้งจะถูกเรียกด้วยชื่ออื่นๆ อยู่บ้าง แต่โดยรวมๆ แล้วมันก็เป็นสถานที่ที่คนมาดื่มของมึนเมาอยู่ดี จริงอยู่ที่ในปัจจุบันร้านเหล้าอาจจะเต็มไปด้วยแสงสี และบทเพลง ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าหากย้อนเวลาไปสักร้อยปี ร้านเหล้าที่เราเห็นจะต่างไปจากที่เราคุ้นเคยกันหรือไม่ เพราะในวันนี้เราจะไปชม 22 ภาพร้านเหล้าในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กัน ไปดูกันดีกว่าว่าเมื่อ 100 ปีก่อน ร้านเหล้ามันมีหน้าตาแบบไหนกัน เริ่มกันที่ร้านเหล้า Old Absinthe ในนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1903 ซาลูนที่เท็กซัส สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1910 บาร์ใน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ 1893 บาร์ของ J.W. Swart ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา 1885 ซาลูน Yellow Aster ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 1900 ซาลูนและโรงแรม Table Bluff ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 1889 บาร์ไม่ทราบชื่อในวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา 1907 …
-
ชม “Artist’s Shit” ผลงานศิลปะสุดแหวกจากปี 1961 ที่ทำให้อุจจาระราคาแพงกว่าทอง
ในอดีตมีคนเคยบอกว่าแทบทุกสิ่งเป็นงานศิลปะได้ขอเพียงมีจินตนาการ เชื่อว่าคำพูดคำนี้คงเป็นคำที่ใช้บรรยายผลงานของ Piero Manzoni ศิลปินชาวอิตาลีได้เป็นอย่างดีเลย เพราะในปี 1961 นายคนนี้ได้ออกผลงานศิลปะสุดแปลกที่ไม่เหมือนใครออกมาให้โลกเห็น ด้วยการทำ “อุจจาระอัดกระป๋อง” ออกมาในชาวโลกได้ชื่นชมเสียเลย งานศิลปะชิ้นนี้มีชื่อว่า “Merda d’artista” ในภาษาอิตาลีหรือ “Artist’s Shit” ในภาษาอังกฤษ ซึ่งหากจะแปลแบบตรงๆ ก็คงจะเป็น “ขี้ศิลปิน” เลยนั่นเอง ผลงานชิ้นนี้ถูกทำออกมาในรูปแบบของกระป๋องเหล็ก 90 กระป๋องที่มีตัวเลขกำกับ และมีตัวหนังสือเขียนเอาไว้ในภาษาอังกฤษ อิตาลี และเยอรมันว่า “Artist’s Shit บรรจุสิ่งหมักหมม 30 กรัม ผลิตและบรรจุภัณฑ์ ในเดือนพฤษภาคม 1961” โดยผลงานชิ้นนี้เป็นการรวมแนวคิดที่หลากหลาย โดยหนึ่งในนั้นเป็นการแสดงเป็น “เอกลักษณ์” เฉพาะตัวของศิลปินเอาไว้ในผลงาน และหากมองกันแค่จุดนี้ “Artist’s Shit” ก็เป็นผลงานที่แสดงตัวตนของ Manzoni ไว้อย่างชัดเจนจริงๆ ว่ากันว่าในสมัยก่อนพ่อของ Manzoni ซึ่งทำโรงงานอาหารกระป๋องเคยด่าเขาที่เลือกจะเป็นศิลปินว่า “งานของแกมันขี้ชัดๆ” เขาเลยได้ความคิดในการทำผลงานนี้ขึ้นมา แต่แทนที่ผลงานของเขาจะได้รับการตอบรับด้วยความรังเกียจ กลับมีคนจำนวนมากที่ชื่นชอบผลงานของ Manzoni โดยผลงานของเขามีราคาเฉลี่ยถึงกระป๋องล่ะ 37…
-
นักโบราณคดีพบ “ระบบทางลาด” อายุ 4,500 ปีที่อียิปต์ เชื่อช่วยไขปริศนาการสร้างพีระมิดได้
ความลับที่อยู่เบื้องหลังการสร้างพีระมิดแห่งอียิปต์นั้น แม้จะมีทฤษฎีมากมายถูกคิดค้นออกมาโดยนักวิทยาศาสตร์ แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันอย่างไม่จบไม่สิ้นอยู่ดี อย่างไรก็ตามเมื่อล่าสุดนี้เอง ทางนักโบราณคดีของอียิปต์ก็ได้พบเข้ากับหลักฐานชิ้นใหม่ล่าสุด ที่อาจจะมาช่วยไขความลับเบื้องหลังการขนอิฐขนาดใหญ่ขึ้นไปบนพีระมิดแล้วก็เป็นได้ เพราะเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เอง ได้มีการค้นพบร่องรอยของ “ระบบทางลาด” เก่าแก่ที่มีอายุกว่า 4,500 ปีใกล้ๆ กับเหมืองหินโบราณดี Hatnub ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของทะเลทรายในอียิปต์เข้าแล้ว นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสถาบันโบราณคดีแห่งประเทศฝรั่งเศสในกรุงไคโร และมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลในอังกฤษ โดยการค้นพบในครั้งนี้ ทำให้เราเห็นถึงความเป็นไปได้ว่าที่ว่าหินที่ใช้สร้างมหาพีระมิดแห่งกีซานั้น น่าจะถูกขนย้ายด้วยระบบเส้นทาง ที่มีทางลาดอยู่กลางบันไดคล้ายทางขึ้นลงบันไดสำหรับคนพิการในปัจจุบัน Yannis Gourdon ผู้อำนวยการของภารกิจร่วมในครั้งนี้ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าระบบเส้นทางในลักษณะนี้จะทำให้มนุษย์สามารถขนย้ายหินขนาดใหญ่ผ่านทางลาดชันได้มากกว่าปกติ เป็นไปได้ว่าคนในสมัยก่อนจะวางหินบนเลื่อนที่ทำจากไม้ และใช้เชือกผูกเลื่อนไว้กับเสาไม้อีกที ซึ่งการทำแบบนี้ จะช่วยเพิ่มแรงในการดึงขึ้น ส่งผลให้การเคลื่อนย้ายหินเป็นไปได้โดยง่ายนั่นเอง นี่เป็นระบบที่ไม่เคยมีการค้นพบมาก่อน อย่างไรก็ตามเครื่องมือที่จำเป็นในการทำงานระบบดังกว่ามีการบันทึกไว้ในสมัยของฟาโรห์คูฟู ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าการใช้งานทางลาดจะมีที่มามาจากในยุคสมัยดังกล่าวหรือก่อนหน้า จริงอยู่ว่านักวิทยาศาสตร์หลายๆ กลุ่มจะลงความเห็นกันว่าพีระมิดนั้นสร้างด้วยระบบทางลาดมานานแล้ว แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เรามีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า “ประเภทของทางลาด” ที่เคยมีการใช้ในสมัยก่อนนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ หนึ่งในแนวคิดการใช้ทางลาดเพื่อสร้างพีระมิด แต่ถึงแม้การค้นพบนี้จะไขปริศนาเรื่องวิธีใช้ทางลาดได้ แต่ปริศนาการสร้างพีระมิดแห่งอียิปต์นั้น ก็ยังคงมีบางส่วนที่ยังไม่ได้รับการไขให้กระจ่างอยู่ดี ที่มา livescience, realmofhistory
-
เปิดประวัติมัมมี่ “ญวนนิตา” เด็กหญิงแห่งน้ำแข็ง อีกหนึ่งเหยื่อบูชายัญของเผ่าอินคา
หากพูดถึงมัมมี่ที่สมบูรณ์และมีคือเสียงที่สุดของเผ่าอินคา หลายๆ คนก็อาจจะคิดถึงเหยื่อบูชายัญเด็กทั้งสามคนแห่งภูเขาไฟ Llullaillaco ขึ้นมาก่อน (อ่านเรื่องราวของพวกเขาได้ที่นี่ ชม 3 มัมมี่เด็กอายุกว่า 500 ปี เผยรายละเอียดพิธีบูชายัญของ “เผ่าอินคา” ในอดีต) แต่เชื่อหรือไม่ว่าเด็กสามคนนี้ ไม่ใช่มัมมี่เพียงกลุ่มเดียวที่มีการพบจากการบูชายัญของเผ่าอินคาหรอก เพราะก่อนหน้านั้นที่จะมีการพบเด็กแห่งภูเขาไฟ Llullaillaco นักโบราณคดีก็เคยค้นพบมัมมี่เด็กอินคาร่างหนึ่งมาก่อนหน้านั้นแล้ว นี่คือมัมมี่ของเด็กหญิงอายุราวๆ 12-15 ปีที่ได้รับการตั้งชื่อว่า “ญวนนิตา” (Juanita) ซึ่งถูกค้นพบในปี 1995 ที่ภูเขาอัมปาโต (Ampato) และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในมัมมี่ที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก เธอยังมีเส้นผมกับผิวหนังที่สมบูรณ์แทบไม่มีการเสื่อมสลายจากการที่ถูกเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิต่ำบนภูเขา และอาจจะไม่มีการค้นพบเลยก็ได้ หากน้ำแข็งบนภูเขาไม่ละลายจากการปะทุของภูเขาไฟใกล้ๆ ด้วยสภาพสถานที่ที่เธอถูกค้นพบ ญวนนิตาในบางครั้งจึงถูกเรียกว่า “เด็กหญิงแห่งน้ำแข็ง” ญวนนิตาเป็นเด็กหญิงที่มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 15 และเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในเหยื่อของพิธี “Capacocha” ซึ่งเป็นความเชื่อในการบูชายัญของเผ่าอินคา พิธี Capacocha โดยรวมแล้วจะเป็นการส่งเหยื่อบูชายัญไปให้แก่พระเจ้าตามความเชื่อของชาวอินคา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ และทำให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ ภาพด้านซ้ายเป็นภาพสถานที่ที่มีการพบร่างของญวนนิตา ซึ่งถูกสร้างขึ้นใหม่โดยอ้างอิงจากหลักฐานที่พบ ดูเหมือนว่าเหยื่อบูชายัญจะมีการกำหนดไว้หลายปีก่อนที่จะมีการทำพิธีจริงๆ และเด็กที่ถูกเลือกก็มักจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เธอจะได้ทานทั้งผักและเนื้อสัตว์ แถมยังได้รับอนุญาตให้ดื่มสุราและใช้สารเสพติดจากต้นโคคา ดูเหมือนว่าการกระทำเหล่านี้จะทำลงไปเพื่อให้เหยื่อบูชายัญไม่ขัดขืนในระหว่างทำพิธี และก็ดูเหมือนว่าจะได้ผลมากด้วย…
-
5 การค้นพบทางประวัติศาสตร์สุดแปลก ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญระหว่าง “การก่อสร้าง”
ในขณะที่บนโลกใบนี้มีคนจำนวนมากพยายามตามหาของอย่างวัตถุโบราณด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมี คนบางคนก็มักจะเจออะไรแปลกๆ โดยไม่ตั้งใจอยู่เสมอๆ และก็ไม่รู้ทำไมว่าคนเหล่านั้นก็มักจะเป็นช่างก่อสร้างเสียด้วย อาจจะเป็นเพราะงานประเทศนี้จะต้องมีการขุดทำลายสิ่งก่อสร้างอยู่บ่อยๆ ก็เป็นได้ ผลงานการค้นพบของพวกเขาจึงมากมายจริงๆ เหมือนกับ 5 การค้นพบทางประวัติศาสตร์สุดแปลก ที่เกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้างเหล่านี้ มัมมี่เด็กทารก ในอพาร์ตเมนต์ที่ปารีส ในปี 1850 มีคู่รักในปารีสคู่หนึ่งต้องการทำการปรับปรุงอพาร์ตเมนต์ที่พวกเขาอยู่เล็กน้อยก็เลยมีการจ้างช่างก่อสร้างมาทำงาน แต่กลายเป็นว่าระหว่างทำงานกับกำแพงอยู่นั่นเองก็มีร่างของมัมมี่เด็กตกออกมาเสียอย่างนั้น ในช่วงแรกๆ ผู้คนสงสัยกันว่าเด็กที่พบน่าจะเป็นของคู่รักเจ้าของห้อง แต่จากการตรวจสอบของแพทย์แล้ว เชื่อกันว่าเด็กที่พบน่าจะเป็นมัมมี่อยู่ที่นั่นเป็นเวลานานกว่านั้นมากและไม่น่าใช่เด็กของคู่รักเจ้าของห้อง อย่างไรก็ตามไม่มีใครทราบเลยว่าเด็กคนดังกล่าวไปอยู่ในห้องได้อย่างไร จดหมายถึงซานตาคลอส ในปล่องไฟ นี่เป็นจดหมายที่มีการพบในระหว่างการทุบทำลายบ้านหลังเก่าในอังกฤษ โดยเป็นของเด็กชายที่ชื่อดาวิด ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และมีข้อความที่ว่า “ถึงซานตาคลอส กรุณาส่ง Rupert annual (หนังสือการ์ตูน) ชอล์คหนึ่งกล่อง ของเล่นทหารกับอินเดียนแดง รองเท้าแตะ และของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณพอจะมอบให้ได้มาให้ผมหน่อย ด้วยรัก ดาวิด” โดยหลังจากพบจดหมายนี้ ที่อังกฤษก็มีการตามหาตัวเด็กชายคนนี้กันในโซเชียล จนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็พบกับดาวิดที่แม้จะแก่มากแล้วแต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ และจดหมายฉบับนี้ก็ได้กลับไปหาเจ้าของในที่สุด มัมมี่เด็กอายุกว่า 700 ปี ถูกฝังไว้ใต้ถนน นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นในระหว่างการซ่อมถนนในประเทศจีนในปี 2011 ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของเด็กสาวที่มาจากราชวงศ์หมิง และมีความสมบูรณ์มากอย่างไม่น่าเชื่อ เธอถูกฝังไว้พร้อมๆ กับโลงศพขนาดใหญ่…
-
“รูบี บริดเจส” เด็กหญิงผิวสีคนแรกที่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนคนขาว และเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ
ในสมัยที่สังคมสหรัฐฯ ยังเต็มไปด้วยการเหยียดผิว มีกฎที่รู้กันเองในสังคมถูกกำหนดขึ้นเพื่อไม่ให้คนผิวดำได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการห้ามใช้รถไฟบางสาย การห้ามใช้ม้านั่ง หรือกระทั่งการเปิดโรงเรียนเฉพาะคนขาว แต่ในบรรดาคนดำที่ในตอนนั้นยังจำใจก้มหน้ายอมรับความไม่เท่าเทียมอยู่ยังมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมเหล่านั้น เพราะนี่คือเรื่องราวของรูบี บริดเจส เด็กหญิงผิวสีคนแรกที่ได้สิทธิ์เข้าโรงเรียนประถมของคนผิวขาวเมื่อปี 1960 นั่นเอง เดิมทีแล้วรูบี บริดเจสเป็นหนึ่งในเด็กแอฟริกันอเมริกันหลายคนที่เข้ารับการทดสอบความเหมาะสมว่าเธอจะสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนคนขาวได้หรือไม่ โดยนี่เป็นการสอบข้อเขียนที่ขึ้นชื่อว่ายากมากๆ ซึ่งออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กผิวสีสอบผ่านโดยเฉพาะ เพื่อเป็นข้ออ้างให้โรงเรียนในนิวออร์ลีนส์สามารถแบ่งแยกสีผิวได้นานขึ้นอีกสักนิด อย่างไรก็ตามในบรรดาคนที่สอบตกนั้นยังมีเด็กผิวสีถึงหกคนที่สามารถผ่านบททดสอบเหล่านี้ได้ด้วยดี และแน่นอนว่ารูบีก็เป็นหนึ่งในเด็กเหล่านั้น โดยเธอได้รับสิทธิ์เข้าเรียนที่โรงเรียนประถม William Frantz ที่อยู่ใกล้ๆ บ้านนั่นเอง ภาพการเดินทางไปเข้าเรียนของรูบีในวันที่ 14 พฤศจิกายน 1960 นั่นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในภาพที่เปลี่ยนแปลงสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้ เพราะรัฐนิวออร์ลีนส์นั้นมีชื่อเสียงเรื่องรังเกียจคนดำสุดๆ มาก่อนด้วย แน่นอนว่าการมาของรูบีไม่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ปกครองอื่นๆ เท่าไหร่ เพราะมีผู้ปกครองจำนวนมากที่พาเด็กๆ กลับบ้านทันทีหลังจากที่เห็นเธอ แถมทั้งโรงเรียนยังแทบไม่มีอาจารย์คนไหนยอมสอนเธอเลยด้วย คนคนเดียวที่สอนเธอไปตามปกติคือ Barbara Henry ที่มาจากเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซต และตัดสินใจสอนเธอต่อไป แม้ทั้งห้องจะมีเธอคนเดียวก็ตาม จริงอยู่ว่าหลายวันหลังจากนั้นผู้ปกครองอื่นๆ ก็เริ่มพาเด็กกลับมาเรียนแต่ก็เป็นการมาพร้อมการประท้วงครั้งใหญ่ โดยทุกๆ ครั้งที่เด็กหญิงมาเรียนจะต้องมีคนมาชูป้ายต่อต้านเป็นจำนวนมาก เด็กหญิงถูกห้ามทานอาหารของโรงเรียน แถมการต่อต้านยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ…
-
5 สิ่งประดิษฐ์ในประวัติศาสตร์ ที่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์
เมื่อพูดถึงสิ่งที่อธิบายไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ บ่อยครั้งคนเราก็มักจะนึกถึงสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างเอเลี่ยน วิญญาณ หรือไม่ก็องค์กรลับขึ้นมาก่อน แต่ในความจริงแล้วบนโลกของเรามีเรื่องที่ยังอธิบายไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์มากกว่านั้น เรื่องเหล่านี้บางครั้งก็จะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มาจากในอดีต ซึ่งมักเกิดจากการบันทึกที่ไม่ดี หรือเนื้อหาไม่สมบูรณ์ ทำให้มีสิ่งประดิษฐ์ในอดีตมากมายที่ไม่ว่านักวิทยาศาสตร์จะพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจอธิบายได้เลยว่ามันทำงานอย่างไร เหมือนกับสิ่งประดิษฐ์ทั้ง 5 อย่างต่อไปนี้ เพลิงแห่งกรีก นี่เป็นสิ่งที่ถูกบันทึกไว้จากช่วงศตวรรษที่ 7 โดยเป็นปืนไฟที่ยิงออกมาจากเรือเพื่อเผาเรือลำอื่นๆ โดยมันจะ “เกาะติดผิว” และ “ไม่สามารถดับได้ด้วยน้ำ” แม้นี่จะเป็นสิ่งที่ฟังดูเหมือนนาปาล์มไม่มีผิด แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังสงสัยกันอยู่ว่าในศตวรรษที่ 7 จะมีคนทำนาปาล์มได้จริงๆ เหรอ และถึงแม้ว่าสูตรของเพลิงแห่งกรีกจะมีการบันทึกไว้ก็ตาม แต่ทางตระกูลที่เป็นเจ้าของก็ไม่เคยยอมเปิดเผยสูตรที่ว่าออกมาเลย เหล็กดามัสกัส นี่คือเหล็กในตำนานของยุโรปสมัยก่อน ที่มีชื่อเสียงเรื่องลวดลายพิเศษ และเป็นความฝันของช่างตีเหล็กหลายๆ คน เพราะไม่มีใครเลยที่มีสูตรการสร้างเหล็กที่ว่านี้และได้รับการยอมรับว่าเป็นของจริง จริงอยู่ที่ว่าในปัจจุบันเราสามารถทำเหล็กที่มีลักษณะ “คล้ายๆ กัน” หรืออาจจะ “ดีกว่า” ออกมาได้แล้ว แต่เหล็กในตำนานที่เรียกว่าดามัสกัสก็ยังคงเป็นปริศนาของโลกใบนี้อยู่ดี ตำราแห่งวอยนิช นี่เป็นตำราที่ถูกค้นพบในปี 1912 และเขียนด้วยรหัสลับที่ไม่มีใครอ่านออก กับภาพประหลาดจำนวนมาก อย่างไรก็ตามมันกลับดูมีแบบแผนเกินกว่าจะเป็นการเขียนมั่วๆ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันมีคนมากมายพยายามที่จะไขปริศนาหนังสือเล่มนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครไขมันได้แบบจริงๆ อยู่ดี โดยความหวังล่าสุดในการไขตำราแห่งวอยนิชนั้น อยู่ที่ผลงานวิจัยของนักวิจัยชาวแคนาดา ที่จะออกมาในเดือนตุลาคม…
-
“เฮราคลิออน” เมืองโบราณใต้นำแห่งอียิปต์ ตำนานจากอดีตที่กลายเป็นความจริง
เมื่อพูดถึงเมืองที่จมอยู่ใต้น้ำหลายๆ คนก็อาจจะนึกถึงสถานที่ที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่อย่าง “แอตแลนติส” ขึ้นมาเป็นแห่งแรก ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วแอตแลนติสไม่ใช่เมืองใต้น้ำเพียงเมืองเดียวบนโลกใบนี้ เพราะที่อียิปต์เองก็มีเมืองใต้น้ำคล้ายๆ แอตแลนติสอยู่กับเขาเหมือนกัน มันคือเมืองเฮราคลิออน (Heracleion) สถานที่ซึ่งจมลงใต้มหาสมุทรเมื่อราวๆ 1,200 ปีก่อน ที่ถูกค้นพบเมื่อปี 2001 โดยทีมนักสำรวจที่มาที่นี่เพื่อตามหาเรือรบฝรั่งเศสที่เชื่อกันว่าจมอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ แต่แทนที่จะเจอเรือรบอย่างที่คิดทีมนักสำรวจกลับได้พบกับ เมืองใต้นำที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีโดยธรรมชาติ และห่างไกลจากโจรผู้ฉวยโอกาส ทำให้ในเมืองนั้นยังคงเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้าง และสมบัติ โดยการค้นพบที่น่าสนใจนั้นประกอบด้วย วิหารโบราณ รูปปั้นฟาโรห์ขนาดใหญ่ และรูปปั้นเทพต่างๆ ซึ่งมีขนาดเล็กลงมา สฟิงซ์ แผ่นจารึกในภาษากรีกกับอียิปต์ และโลงศพอีกเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอในเมืองแห่งนี้ยังมีซากเรืออยู่ถึง 64 ลำ และสมอเรืออีกกว่า 700 ชิ้น ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าเมืองแห่งนี้นั้น มีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่มาก่อน ส่วนรูปปั้นที่มีการพบในเมืองนี้นั้น เชื่อว่าเป็นของฟาโรห์เนคทาเนโบที่หนึ่งซึ่งครองราชย์ในช่วง 378-362 ปีก่อนคริสตกาลนั่นเอง ที่จริงเมืองเฮราคลิออนนั้นเคยมีการพูดถึงมาก่อนแล้วโดยนักประวัติศาสตร์ในสมัยกรีกโบราณนามว่า เฮอรอโดทัส (Herodotus) โดยอ้างว่าเฮราคลิออนเป็นเมืองที่เฮราคลีส (ก็เฮอร์คิวลีสนั่นล่ะ) เหยียบเป็นที่แรกในอียิปต์ …
-
“นาซิโน แอฟแฟร์” เหตุการณ์สุดโหดจากคำสั่งของสตาลิน ที่ทำให้คนฆ่าและกินกันเองบนเกาะร้าง
การต่อสู้กันของคนกลุ่มหนึ่งบนพื้นที่ปิดแบบในเรื่องฮังเกอร์เกมส์ หรือแบทเทิลรอยัลนั้น เป็นเรื่องที่อาจจะฟังดูน่าสนุก แต่นั่นก็เป็นเพราะเราทราบกันดีว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงแค่เรื่องแต่งขึ้นเท่านั้น แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมนุษย์โดนจับไปขังรวมกันในเกาะร้าง ก่อนจะปล่อยให้ฆ่ากันเองเพื่อความอยู่รอดบนโลกจริงๆ เพราะนี่ชื่อสิ่งที่โจเซฟ สตาลินเคยทำกับนักโทษของเขานั่นเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เรียกกันว่า “นาซิโน แอฟแฟร์” (Nazino Affair) เกิดขึ้นในช่วงปี 1933 ที่สตาลิน และพรรคพวก ออกคำสั่งให้จับใครก็ตามที่ “ทำความผิด” และส่งไปค่ายใช้แรงงานในไซบีเรีย อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น เพราะค่ายใช้แรงงานที่ว่าส่วนหนึ่งไม่มีเครื่องมือทำงานอยู่เลยด้วยซ้ำ และเอาเข้าจริงๆ ที่เหล่านั้นส่วนมากก็เป็นเพียงสถานที่ที่สตาลินเอา “ผู้ที่ไม่เหมาะสมกับสหภาพโซเวียต” มาขังไว้เฉยๆ เท่านั้น โดยหนึ่งในค่ายใช้แรงงานที่ว่าก็คือเกาะนาซิโน ซึ่งมีคนถูกส่งมาถึง 5,000-6,000 ราย แถมในจำนวนนั่น ยังมีนักโทษถึง 27 รายที่ตายไปเพราะความอดอยากก่อนจะมาถึงเกาะนี้อีกด้วย เกาะนาซิโน บางครั้งก็ถูกเรียกว่า “เกาะกินคน” แต่คนที่ตายไปก่อนนั้นอาจจะถือว่าโชคดีแล้วก็ได้ เพราะในเวลาต่อมาคนที่อยู่บนเกาะกเริ่มรับรู้ถึงความโหดร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ นั่นเพราะที่เกาะนี้มีอาหารไม่เพียงพอต่อคนทั้งหมด เพาะปลูกยาก จะต่อแพหนีส่วนมากแพก็จมไประหว่างทางก่อน แถมต่อให้ล่องแพออกไปได้จริงทางโซเวียตก็เตรียมทหารเฝ้าน่านน้ำไว้แล้วอีกด้วย นั่นทำให้เกิดการแย่งชิงเสบียงที่เหลืออยู่น้อยนิดกันในหมู่คนบนเกาะ จนนักโทษบางคนต้องกินแป้งละลายน้ำ และเริ่มลุกลามไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่คนบนเกาะเริ่มฆ่ากันเองเพื่อกินเนื้อมนุษย์เลย ความโกลาหลในครั้งนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องไปเป็นเดือนๆ จนในที่สุดเมื่อเดือนมิถุนายนปีนั้นนักโทษทั้งหมดบนเกาะ…
-
ย้อนเบื้องหลังภาพ “การจูบ” ในวันฉลองชัยชนะต่อญี่ปุ่น อาจจะไม่โรแมนติกอย่างที่คิด…
14-15 สิงหาคม 1945 นับเป็นวันที่สำคัญมากๆ วันหนึ่งของทางสหรัฐอเมริกาเลยก็ไม่ผิดนัก เพราะนี่เป็นวันที่สหรัฐฯ ประกาศชัยชนะต่อกองทัพญี่ปุ่น และนำไปสู่การจบสงครามโลกครั้งที่สองลงอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา วันที่ว่านี้ถูกเรียกว่า “Victory over Japan Day” หรือ “V-J Day” และกลายเป็นวันที่ผู้คนออกมาฉลองกันเต็มท้องถนนไปหมด และในเวลานี้เองที่ช่างภาพจากนิตยสาร Time สามารถจับภาพกะลาสีเรือสหรัฐฯ จูบฉลองกับหญิงสาวบนถนนไทม์สแควในนครนิวยอร์ก จนกลายเป็นภาพอันเป็นสัญลักษณ์ของวันแห่งชัยชนะไป ว่าแต่รู้หรือไม่ว่า เบื้องหลังภาพที่เห็นนี้ มีเรื่องราวมากกว่าแค่จูบฉลองชัยชนะ เพราะภาพนี้ถูกถ่ายออกมาโดยช่างภาพที่ต่างกันสองคน จนกลายเป็นภาพที่มีการถกเถียงกันเรื่องการลอกงานไป แต่การถกเถียงดังกล่าวกลับกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย เพราะทหารที่เห็นในภาพนั้น ไม่ได้รู้จักกับผู้หญิงที่เขาจูบมาก่อนเลย!! แถมจากคำบอกเล่าของฝ่ายหญิง เธอนั้นถูกฝ่ายชายใช้กำลังกึ่งๆ บังคับให้จูบอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอก่อนที่ฉากถ่ายรูปที่เห็นจะเกิดขึ้น George Mendonsa ชายที่เห็นในภาพยังเดินทางมาที่ไทม์สแควเพื่อดูหนังกับผู้หญิงที่จะกลายเป็นภรรยาของเขาในเวลาต่อมาอีกด้วย โดยภรรยาของเขาให้ความเห็นกลับเรื่องนี้ในภายหลังว่า สามีของเธอไม่เคยจูบเธอแบบนี้เลยด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะเอาเรื่องชายหนุ่มอีกต่อไป ดูเหมือนว่าเหตุผลที่เขาทำเช่นนั้นจะมาจากการที่เขาดื่มสุรามา และมองว่าหญิงสาวผู้ซึ่งเป็นพยาบาลมาจากกองทัพเหมือนกัน เขาจึงกล้าที่จะจูบเธอ ไม่แปลกเลยที่การกระทำของเขาถูกมองว่าไม่เหมาะสมอย่างมาก โดยเฉพาะกับคนรุ่นหลัง อย่างไรก็ตามคนในสมัยก่อนเลือกที่จะยกโทษให้กับเขาด้วยเหตุผลที่ว่าสถานการณ์พาไปนั่นเอง George Mendonsa ในวัยชรา …
-
“เอริค ฮาร์ทมานน์” ตำนานปีศาจสีดำแห่งเยอรมนี ผู้ยิงเครื่องบินฝ่ายพันธมิตรตกร่วม 353 ลำ
ในปี 1918 มันเฟรท ฟ็อน ริชท์โฮเฟิน หรือ “เรดบารอน” ได้ทำสถิติยิงเครื่องบินรบฝ่ายตรงข้ามตกกว่า 80 ลำไว้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (อ่านเรื่องราวของเขาได้ที่ เปิดตำนาน “เรดบารอน” ปีศาจแห่งทัพอากาศเยอรมัน) ในเวลานั้นคงไม่มีใครคิดว่าจะมีคนที่ทำลายสถิติของเขาได้อีกแล้ว จนกระทั่งเวลาผ่านไปกว่าสองทศวรรษ ในที่สุดก็มีนักบินที่มีฝีมือมากพอที่จะทำลายสถิติของเรดบารอนปรากฏตัวขึ้นในเยอรมนีจนได้ นี่คือเรื่องราวของ เอริค ฮาร์ทมานน์ (Erich Hartmann) ตำนาน “ปีศาจสีดำ” ผู้ยิงเครื่องบินของฝ่ายพันธมิตร ตกไปทั้งหมดถึง 353 ลำเลยทีเดียว เอริค ฮาร์ทมานน์ เกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน 1922 และเดินทางไปมาระหว่างจีนกับเยอรมนีในช่วงต้นๆ ของชีวิต ก่อนที่จะได้รับใบอนุญาตขับเครื่องบินในตอนที่อายุได้เพียง 15 ปีเท่านั้น เขาเข้าร่วมกองทัพเมื่อปี 1939 ในตอนที่อายุได้ 18 ปี และเริ่มต่อสู้บนน่านฟ้าเมื่อปี 1942 และในช่วงปลายปีนั้นเองเขาก็ยิงเครื่องบินโซเวียตตกไปแล้วสองลำ ก่อนที่จะเริ่มตำนานของตัวเองขึ้น ในเดือนเมษายน 1943 เอริคยิงเครื่องบินฝ่ายพันธมิตรตกไป 11 ลำ จนได้กลายเป็นเอซไพล็อตของกองบิน และในอีกสี่เดือนต่อมา เขาก็ยิงเครื่องบินฝ่ายพันธมิตรตกไปอีกถึง 40 ลำเลยทีเดียว…
-
เรื่องราวของ เรือดำน้ำนาซี “U-1206” ที่ต้องจมไปตลอดกาลเพียงเพราะ “ห้องน้ำพัง”
การใช้ชีวิตในเรือดำน้ำช่วงสงครามโลกนั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยง เพราะลูกเรือไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าเรือที่ตัวเองอยู่ จะถูกโจมตีเมื่อไหร่ จริงอยู่ว่าการที่เรือดำน้ำจะถูกทำลายอาจจะมีเหตุผลหลากหลาย แต่คงไม่มีใครคิดหรอกว่า “ห้องน้ำ” จะกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เรือจมได้ ว่าแต่เชื่อไหมล่ะว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มันมีเรือดำน้ำที่จมเพราะห้องน้ำจริงๆ เดิมทีแล้วการปล่อยสิ่งปฏิกูลลงสู่ท้องทะเลในเรือดำน้ำของเยอรมนีจะทำได้เพียงในน้ำตื้นเท่านั้น ปัญหาคือเมื่อสงครามดำเนินไปนานเข้า การที่เรือดำน้ำลอยลำอยู่เหนือน้ำก็เป็นเรื่องที่อันตรายมากขึ้นไปด้วย นั่นทำให้ในปี 1945 เยอรมนีได้ คิดค้นระบบห้องน้ำแรงดันสูงขึ้น เพื่อให้เรือดำน้ำสามารถทิ้งสิ่งปฏิกูลได้ แม้ไม่มีการลอยลำขึ้นมาเหนือน้ำก็ตาม ระบบที่ว่านี้ทำงานโดยใช้ระบบแรงดัน และแอร์ล็อกในการปล่อยของเสียออกไปจากเรือดำน้ำ ทำให้มีการใช้งานค่อนข้างซับซ้อนจนต้องมีการฝึกลูกเรื่อเพื่อให้ใช้งานระบบที่ว่าอย่างถูกต้อง โดยเรือ U-1206 ที่ถูกส่งไปปฏิบัติการในทะเลเหนือเมื่อเดือนเมษายนปี 1945 ก็เป็นหนึ่งในเรือดำน้ำรุ่นใหม่ซึ่งใช้ระบบปล่อยสิ่งปฏิกูลที่ว่านั่นเอง ปัญหาคือหลังจากที่ออกเรือไปได้ไม่นาน กัปตันของเรือนาย Karl-Adolf Schlitt ก็ได้ตัดสินใจที่จะใช้ห้องน้ำของเรือดูสักครั้ง แต่เขานั้นเขาไม่ได้เรียนวิธีใช้ห้องน้ำความดันสูงนี้มาก่อนเลย นั่นทำให้เขาไม่สามารถใช้ห้องน้ำได้อย่างที่ควรจะเป็น และสุดท้ายก็จำเป็นต้องเรียกวิศวกรมาช่วยในที่สุด แต่แทนที่เรื่องราวจะจบลงตรงนั้น พวกเขากลับสื่อสารกันไม่ดีจนวิศวกรเปิดวาล์วผิด ทำให้มีน้ำทะเลและสิ่งสกปรกทะลักเข้ามาในห้องน้ำ ก่อนที่จะน้ำเหล่านั้นจะเริ่มไหลเข้าไปในตัวเรือ เนื่องจากในเรือดำน้ำมีสารเคมีมากมายที่จะกลายเป็นก๊าซคลอรีนเมื่อโดนน้ำ Schlitt จึงจำเป็นต้องสั่งให้เรือลอยลำเป็นการด่วนเพื่อกำจัดก๊าซคลอรีนที่เป็นพิษออกไป และก็เป็นโชคร้ายของพวกเขาที่การลอยลำในครั้งนี้ทำให้เครื่องบินของอังกฤษเห็นเข้าพอดี เรือดำน้ำ U-1206 จึงถูกโจมตีทางอากาศอย่างหนัก จนสุดท้าย Schlitt และลูกเรือที่เหลือจึงต้องสละเรืออย่างช่วยไม่ได้ไป Schlitt และลูกเรือจำนวนหนึ่งก็สามารถรอดชีวิตไปจนจบสงคราม เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อไป ส่วนเรือดำน้ำ U-1206 นั้นก็ยังคงจมอยู่ที่ไหนสักแห่งในทะเลเหนือ…
-
พบทางลับใต้ดินในพีระมิดที่เทโอทิวาคาน เชื่อเป็น “ทางไปสู่ปรโลก” ตามแนวคิดชาวแอซเท็ก
เทโอทิวาคาน เป็นเมืองโบราณในประเทศเม็กซิโก ที่มีชื่อเสียงว่าเป็น “เมืองแห่งพีระมิด” และเป็นเมืองลึกลับที่มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานว่าตกลงใครกันแน่ที่เป็นคนสร้างขึ้น และเมื่อไม่นานนี้ ความลึกลับของเมืองเทโอทิวาคานก็เพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่งแล้ว เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมายืนยันการค้นพบทางเดินลับใต้พีระมิดในเมืองแห่งนี้ด้วย นี่เป็นทางเดินที่ถูกสร้างไว้ใต้ “พีระมิดแห่งพระจันทร์” หนึ่งในสองพีระมิดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเทโอทิวาคาน และนำไปสู่ห้องลับซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ดินอีกที จากข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมาห้องดังกล่าวอยู่ลึกลงไปใต้ดินราวๆ 8 เมตร และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ราวๆ 15 เมตรเลยทีเดียว นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีความต้านทานไฟฟ้าในการสำรวจพีระมิด โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเสี่ยงกับการขุดทำลายพื้นของพีระมิดเอง โดยการสำรวจเมืองเทโอทิวาคานในครั้งนี้ อยู่ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสถาบันมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติ กับสถาบันธรณีฟิสิกส์ในมหาวิทยาลัยแห่งชาติของเม็กซิโก ในเบื้องต้นนักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าห้องใต้ดินที่พบน่าจะถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการทำพิธีเกี่ยวกับความตายของชาวแอซเท็ก หรือใครก็ตามที่เคยอยู่ในเมืองนี้มาก่อน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงการที่ห้องนี้ถูกฝังไว้ใต้ดินอาจจะมาจากแนวคิดเรื่องปรโลกก็เป็นได้ โดยห้องทำพิธีจะเป็นตัวแทนของโลกหลังความตาย ส่วนบันไดจะเป็นตัวแทนของทางสู่ปรโลก เดิมทีแล้วความเป็นไปได้ที่ว่าพีระมิดแห่งนี้จะมีทางลับอยู่เป็นเรื่องที่มีการกล่าวถึงตั้งแต่ที่มีการค้นพบเทโอทิวาคานในยุคแรกๆ แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์สามารถยืนยันการมีอยู่ของห้องลับได้จริงๆ และแม้ว่าในขณะนี้จะยังไม่มีรายงานที่ว่าจะมีการขุดค้นพีระมิดแห่งพระจันทร์เพื่อสำรวจห้องลับใต้ดินที่พบหรือไม่ แต่จากวัตถุโบราณหลายๆ ชิ้นในพีระมิดนี้ นักโบราณคดี ก็เชื่อว่าห้องที่อยู่ในห้องลับใต้ดินนั้น น่าจะเป็นกระดูกของเหยื่อบูชายัญ เครื่องประดับโบราณ และเพชรพลอยเช่นเดียวกับที่ผ่านๆ มานั่นเอง ส่วนเรื่องที่ว่าใน “พีระมิดแห่งพระอาทิตย์” จะมีห้องลับแบบนี้เช่นกันหรือไม่นั้น ยังคงเป็นเรื่องที่จะต้องมีการตรวจสอบกันต่อไป ที่มา history, iflscience
-
เปิดประวัติ “บ้านผีสิง” เครื่องเล่นยอดฮิตในสวนสนุก ที่เกิดขึ้นมาเพราะ “ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ”
สำหรับคนที่ชื่นชอบในการท้าทายกลับความกลัวแล้ว บ้านผีสิงคงเป็นหนึ่งในเครื่องเล่นที่น่าสนใจที่สุดในสวนสนุกเลยก็เป็นได้ ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าไอ้เจ้าบ้านผีสิงพวกนี้มันดังขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่มีใครทราบว่าตำนานบ้านผีสิงของจริงนั้น เริ่มต้นขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่ในทางกลับกัน บ้านผีสิงแบบหลอกๆ ที่เราเห็นจัดกันในงานวัด งานโรงเรียน หรือสวนสนุกนั้นกลับเพิ่งโด่งดังขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้เอง ต้องบอกว่าเดิมทีแล้วในวันฮาโลวีนที่ต่างประเทศนั้น จะคล้ายกับวันปล่อยผีที่จะให้เด็กๆ แกล้งคนอื่นได้ตามใจ ถึงขั้นที่ว่าในปี 1879 เด็กในรัฐเคนตักกี้ของสหรัฐฯ ถึงกับเอาศพคนไปวางไว้ที่รางรถไฟเพื่อให้คนกลัวเลย การแกล้งแรงๆ แบบนี้แม้จะมีคนไม่เห็นด้วยอยู่บ้างแต่ก็ถูกปล่อยผ่านเรื่อยมา จนกระทั่งในปี 1933 ที่สหรัฐฯ กำลังพบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ความเครียดของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในประเทศก็พุ่งถึงขีดสุดจนได้ การแกล้งกันในปีนั้นรุนแรงมากอย่างไม่น่าเชื่อ มีทั้งการตัดสายโทรศัพท์ หรือการพลิกรถที่จอดอยู่เลยทีเดียว จนถึงขั้นที่ว่าฮาโลวีนในปีนั้นโดนเรียกว่า “ฮาโลวีนสีดำ” เลยทีเดียว นั่นทำให้บางเมืองในสหรัฐฯ คิดจะแบนวันฮาโลวีนไปเลย แต่ก็นับว่าโชคดีที่อีกหลายๆ เมืองร่วมกันคิดวิธีที่จะ “ควบคุม” เด็กๆ ในวันฮาโลวีนขึ้นมาแทน นี่เป็นจุดกำเนิดของธรรมเนียมในวันฮาโลวีนหลายๆ อย่าง โดยหนึ่งในนั้นคือการจัดงานปาร์ตี้และ “บ้านผีสิง” ที่ทำขึ้นเองในบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กๆ ออกไปก่อเรื่องข้างนอก และกลายเป็นที่นิยมของประชาชนไปในปี 1937 อันที่จริงสิ่งดึงดูดความสนใจในรูปแบบคล้ายๆ บ้านผีสิง มีการใช้งานมาตั้งแต่ในยุค…
-
ชม “จอห์น ทอร์ริงตัน” มัมมี่น้ำแข็งแห่งทีมสำรวจขั้วโลก ที่ผ่านมาเป็นร้อยปีก็ยังไม่เน่า
คณะสำรวจของจอห์น แฟรงคลินนั้น เรียกได้ว่าเป็นคณะสำรวจที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านความลึกลับเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อราวๆ 170 ปีก่อน คณะสำรวจกว่า 134 คนของเขาก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ในระหว่างการออกเดินทางไปยังมหาสมุทธอาร์กติก และไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา จอห์น แฟรงคลิน ผู้นำคณะสำรวจที่หายไปอย่างลึกลับ อย่างไรก็ตามในบรรดาลูกเรือที่หายไปของแฟรงคลิน มีการพบศพลูกเรือคนหนึ่งภายหลัง และกลายเป็นหนึ่งในลูกเรือที่มีคือเสียงที่สุดของจอห์น แฟรงคลินไป เขาคือจอห์น ทอร์ริงตันหนุ่มชาวอังกฤษวัย 20 ปี ที่เสียชีวิตในระหว่างการเดินทางสำรวจของแฟรงคลิน และถูกฝังเอาไว้ที่อาร์กติกแคนาดา เมื่อปี 1846 ทอร์ริงตันถูกพบในปี 1984 พร้อมกับโลงศพสีดำของเขา และมีสภาพสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ ระยะเวลากว่าศตวรรษที่ผ่านไปนั้นไม่ได้ทำให้ร่างกายของเขาเน่าเปื่อยลงไปอย่างที่ควรเป็นเลย จากการตรวจสอบมัมมี่ที่พบดูเหมือนว่าทอร์ริงตันจะถูกเก็บรักษาไว้ด้วยสภาพอากาศในพื้นที่ซึ่งทั้งเย็นและมีความชื้นต่ำ และกลายเป็นมัมมี่ไปในสภาพที่ยังยิงฟัน และดวงตาเปิดโพลงค้างไว้อย่างน่ากลัว เป็นไปได้ว่าหนวดเคราของเขาจะถูกโกนออกไปหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว และเป็นไปได้ว่าร่างของเขาถูกเก็บไว้ในระยะเวลาหนึ่งเพื่อทำการฝังที่ถูกต้องตามธรรมเนียม แต่แม้ว่าจะมีการตรวจสอบศพไปเท่าไหร่ นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่อาจฟันธงได้ว่าเขาเสียชีวิตเพราะอะไร จริงอยู่ว่าเขามีน้ำหนักน้อยมากซึ่งมาจากการขาดอาหารที่มีคุณภาพ แต่ในขณะเดียวกันในตัวของเขาก็มีสารตะกั่วตกค้างอยู่มากด้วย โลงศพของทอร์ริงตันที่มีการค้นพบเมื่อปี 1984 นั่นทำให้มีความเป็นไปได้ที่ว่าทอร์ริงตันจะเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวม ความอดอยาก หรือการได้รับพิษสารตะกั่วเกินขนาดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม การที่ทอร์ริงตันถูกฝังก็หมายความว่าในตอนที่เขาตาย ต้องมีลูกเรืออย่างน้อยๆ หนึ่งคนที่ยังมีชีวิตอยู่และฝังเขา…
-
ข้อมูลทางพันธุกรรมชี้ อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือ “ชาวอะบอริจิน” ในออสเตรเลีย
ชาวอะบอริจินเป็นกลุ่มคนผิวสีซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครเผ่าหนึ่งของโลก และเชื่อกันว่าพวกเขาอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่ทวีปออสเตรเลียหลายพันปีก่อนคนขาวอีก แต่รู้หรือไม่ว่าเรื่องราวของชาวอะบอริจินมีมาก่อนหน้านั้นนานกว่าที่คิด เพราะจากหลักฐานการทดสอบทางพันธุกรรม ชาวอะบอริจินนั้น มีร่องรอยทางพันธุกรรมสามารถย้อนรอยกลับไปได้ถึง 75,000 ปีก่อน ซึ่งเก่าแก่กว่ากลุ่มบรรพบุรุษอื่นๆ ของมนุษย์ที่สามารถย้อนรอยกลับไปได้เพียง 42,000 ปีเท่านั้น นั่นทำให้ในปัจจุบันชาวอะบอริจินถือว่าเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ โดยนี่เป็นผลการทดลองจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ที่ได้จากการเก็บตัวอย่าง DNA จากน้ำลายของชาวอะบอริจิน 83 คน กับ DNA ของชนพื้นเมืองที่ปาปัวนิวกินี 25 คน การค้นพบในครั้งนี้นำมาซึ่งแนวคิดที่ว่า สายพันธุกรรมของชาวอะบอริจิน น่าจะแยกออกมาจากกลุ่มชาวยูเรเชียที่อพยพออกมาจากทวีปแอฟริกาเมื่อราวๆ 57,000 ปีก่อนอีกที ดูเหมือนว่าชาวอะบอริจินจะเดินทางไปยังออสเตรเลียหลังจากนั้น และมาสร้างอารยธรรมที่ทวีปออสเตรเลีย ในเวลาต่อมา นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเดิมทีแล้วชาวอะบอริจินกับชนพื้นเมืองที่ปาปัวนิวกินีจะเคยมีเชื้อสายเดียวกันมาก่อนอีกด้วย และเพิ่งจะถูกแยกสายพันธุกรรมกันเมื่อราวๆ 37,000 ปีก่อนนี้เอง โดยเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ นักวิทยาศาสตร์คาดว่ามาจากการที่เดิมทีแล้วออสเตรเลียกับปาปัวนิวกินีน่าจะเคยเป็นแผ่นดินเดียวกัน ก่อนที่จะถูกแยกออกจากกันจากสายน้ำ ทำให้ชนพื้นเมืองที่อยู่ที่นี่ถูกแยกออกเป็นสองกลุ่มในภายหลัง แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลไหน การที่ชาวอะบอริจินถูกจัดเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกก็นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากอยู่ดี เพราะนี่หมายความว่าอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดยังมีชีวิตอยู่แม้ในปัจจุบันนั่นเอง ที่มา history, cnn, allthatsinteresting
-
“การกระโจนสู่เสรีภาพ” ภาพของผู้ไขว่คว้าหาเสรีภาพ กับเรื่องราวที่น่าเศร้ากว่าที่เห็น
เป็นที่รู้กันว่าในช่วงสงครามเย็น มีคนมากมายที่พยายามจะแอบหนีออกจากเบอร์ลินตะวันออกของโซเวียตและปกครองระบบคอมมิวนิสต์ ไปยังเบอร์ลินตะวันตกที่ปกครองด้วยฝ่ายสัมพันธมิตร แน่นอนว่าหลังจากที่มีการก่อสร้างกำแพงเบอร์ลินขึ้นมา การทำแบบนั้นก็ยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทราบหรือไม่ว่าในช่วงต้นๆ ของความขัดแย้งนี้ การหนีออกจากเบอร์ลินตะวันออก มันเป็นเรื่องง่ายๆ เหมือนการ “การกระโจนสู่เสรีภาพ” เท่านั้น นี่คือภาพของคอนราด ชูมานทหารยามวัย 19 ปี ของเยอรมันตะวันออก ในขณะที่เขาตัดสินใจกระโดดข้ามเขตแดนเบอร์ลินตะวันออกกับเบอร์ลินตะวันตกในปี 1961 และกลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก นี่เป็นการกระทำในสมัยที่เขตแดนเบอร์ลินยังมีเพียงแค่รั้วลวดหนามกั้นไว้ และเป็นช่วงเวลาที่ตัวกำแพงกำลังเริ่มสร้างได้เพียงแค่ 3 วัน ถึงอย่างนั้นนี่ก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นโอกาสสุดท้ายที่คอนราดจะสามารถหนีข้ามฝั่งไปได้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นคนในทางเยอรมันตะวันตกตะโกนมาหาเขาแบบกึ่งๆ ท้าทายว่า “ข้ามมาสิ” คอนราดก็ตัดสินใจโดดข้ามฝั่งมันในตอนนั้นเลย ภาพของเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของชายผู้แสวงหาเสรีภาพหลังจากนั้น และได้รับรางวัลมากมายจากสื่อมวลชน อย่างไรก็ตามสำหรับตัวคอนราดแล้ว การตัดสินใจในวันนั้นเป็นทั้งสิ่งที่ดี และความน่าอับอายในเวลาเดียวกัน นั่นเพราะสำหรับคนที่เป็นทหารอย่างเขา การแปรพักตร์มันก็ไม่ต่างอะไรกับการขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ แถมเขายังรู้สึกไม่ดีต่อครอบครัวที่เขาทิ้งไว้ที่เยอรมันตะวันออกตลอดมา คอนราดได้ไปอาศัยอยู่ที่บาวาเรียและสร้างครอบครัวใหม่หลังจากนั้น และกว่าที่เขาจะรู้สึกว่าตัวเองได้เป็นอิสระจริงๆ มันก็หลังจากที่กำแพงเบอร์ลินโดนถล่มในปี 1989 คอนราดและภาพของเขา 20 ปีหลังจากการกระโดดครั้งนั้น น่าเศร้าที่เรื่องราวของคอนราดไม่ได้จบลงโดยดีสักเท่าไหร่ เพราะหลังจากที่สามารถกลับไปพบกลับครอบครัวอีกครั้งคอนราด ก็พบว่าไม่มีใครในบ้านอยากนับญาติกับเขาอีกต่อไปแล้ว ท้ายที่สุดในวันที่…
-
รู้หรือไม่ ราชาโคเคน “ปาโบล เอสโคบาร์” เคยทำให้ “ฮิปโปโปเตมัส” ล้นประเทศโคลอมเบีย
เคยได้ยินเรื่องของ “ปาโบล เอสโคบาร์” กันไหม นายคนนี้คือราชาโคเคนที่มีชื่อเสียงในฐานะ อาชญากรที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เขามีอำนาจมากขนาดไหนงั้นเหรอ? ก็ถึงขนาดที่ทางโคลอมเบียต้องทำสัญญาขอให้เขาสร้างคุกขังตัวเองเลยทีเดียว!! ซึ่งแน่นอนว่าอาชญากรที่มีอำนาจขนาดนี้ ย่อมต้องมาพร้อมกับความผิดยาวเป็นหางว่าวเป็นธรรมดา ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าหนึ่งในความผิดของปาโบล เอสโคบาร์ มีเรื่องแปลกๆ ที่ว่าเขาทำฮิปโปล้นประเทศมาแล้วด้วย!! เรื่องของเรื่องคือในช่วงยุค 80 เอสโคบาร์เหลือเงินอยู่เยอะมากๆ (ช่วงนั้นเขาทำเงินได้ราวๆ วันละ 2,000 ล้านบาท) เขาก็เลยลงทุนสร้างสวนสัตว์ขึ้นมาเสียเลย ในสวนสัตว์ของเขามีสัตว์แปลกๆ อยู่เพียบ และในบรรดาสัตว์ที่เขาเอามาเลี้ยงในสวนสัตว์นี้ (ด้วยการนำเข้าประเทศแบบผิดกฎหมาย) ก็คือฮิปโปจำนวน 4 ตัวนั่นเอง จริงอยู่ว่าฮิปโปอาจจะดูเป็นสัตว์ที่ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่เชื่อหรือไม่ว่าในแอฟริกามีคนตายเพราะฮิปโปราวๆ ปีละ 500 รายเลยทีเดียว ลองนึกภาพว่าสัตว์แบบนั้นหลุดออกมาจากสวนสัตว์ดูสิ เพราะในตอนที่ เอสโคบาร์ โดนยิงตาย รัฐบาลโคลอมเบียก็ได้เข้ามาดูแลสวนสัตว์ของเขาแทน โดยในช่วงนั้นได้มีการเอาสัตว์ที่อยู่ที่นั่นส่งไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลกทั้งที่เป็นสวนสัตว์ และศูนย์อนุรักษ์ ปัญหาคือฮิปโปนั้นถูกทิ้งไว้ในสวนสัตว์เดิมของมัน แถมวันหนึ่งมันยังหนีออกไปสู่แหล่งน้ำธรรมชาติได้สำเร็จด้วย ด้วยความที่ไม่มีศัตรูทางธรรมชาติ ฮิปโปจากสวนสัตว์เหล่านี้จึงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนจากที่เคยมีแค่ 4 ตัว ในปี…
-
นักโบราณคดีพบโบราณวัตถุมีล้ำค่า หลังมีโจรขับรถพุ่งชนร้านค้าในอังกฤษเพื่อขโมยตู้ ATM
เมื่อเดือนธันวาคมปี 2017 ที่ร้านค้าแห่งหนึ่งในมณฑลเอสเซกซ์ประเทศอังกฤษได้เกิดเหตุถูกคนร้ายนำรถพุ่งเข้าชนอย่างรุนแรง เพื่อหวังขโมยตู้ ATM แม้ว่าคนร้ายในวันนั้นจะต้องกลับไปมือเปล่า แต่ร้านค้าแห่งนี้ก็ต้องเสียหายอย่างหนัก และต้องมีการซ่อมแซมบริเวณหน้าร้านกันเป็นเวลานาน แต่แล้วในความโชคร้ายเหล่านั้น เมื่อล่าสุดนี้เองทางร้านก็ได้พบกับเรื่องดีๆ จนได้ เพราะในระหว่างการซ่อมแซมร้านนั่นเอง พวกเขาก็พบกับวัตถุโบราณฝังไว้ใต้พื้นร้านเสียอย่างนั้น ดูเหมือนว่าก่อนที่จะกลายมาเป็นร้านค้า ที่แห่งนี้จะเคยเป็นบ้านเก่าแก่ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 1520 และที่ใต้ร้านนั้นเองก็ได้มีการขุดพบเตาผิงแบบยุคกลาง พร้อมกับวัตถุโบราณอีกจำนวนหนึ่ง เตาผิงที่พบนั้นเชื่อกันว่ามาจากช่วงศตวรรษที่ 15 และมีความเก่าแก่กว่าตัวบ้านโบราณเสียอีก ซึ่งแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการพบเตาผิงแบบนี้ในประเทศ แต่มันก็เป็นเตาพิงแบบที่ค่อนข้างหาได้ยากในอังกฤษอยู่ดี ส่วนวัตถุโบราณที่พบเป็นของที่มาจากศตวรรษที่ 16-18 เช่นหม้อน้ำแบบมีขาตั้งสามขาจากยุคราชวงศ์ทิวดอร์ ซึ่งเชื่อกันว่าใช้ในการขับไล่สิ่งชั่วร้ายในสมัยก่อน โดยทางนักโบราณคดีได้กล่าวว่า พวกเขาดีใจมากกับการค้นพบครั้งสำคัญในครั้งนี้ เพราะนี้อาจจะเป็นสิ่งที่นำไปสู่ข้อมูลของพ่อค้ารายใหญ่ที่เคยอาศัยและทำการค้าอยู่ที่นี่ในอดีตก็เป็นได้ และแม้ว่าการค้นพบครั้งสำคัญนี้จะทำให้การซ่อมแซมช้าลงไปบ้างก็ตาม แต่ในที่สุดร้านค้าแห่งนี้ก็จะกลับมาเปิดให้บริการในวันที่ 30 ตุลาคม 2018 นี้ ที่มา metro, livescience และ eadt
-
เปิดตำนาน “อินทรีโลหิต” การลงทัณฑ์ของไวกิ้ง ที่โหดสุดๆ จนไม่มีใครเชื่อว่ามีการใช้งานจริงๆ
เคยได้ยินเรื่อง “Blood Eagle” หรือ “อินทรีโลหิต” ของไวกิ้งกันมาก่อนไหม นี่เป็นการทรมานและประหารชีวิตโดยการหักกระดูกซี่โครง และกระดูกสันหลังของเหยื่อมาทำเป็น “ปีก” ให้กับเหยื่อ แถมบางครั้งยังดึงปอดออกมาด้วย นี่เป็นวิธีการลงโทษที่ปรากฏออกมาในกลุ่มชาวสแกนดิเนเวียโบราณ ที่อ้างว่าเหยื่อจะยังคงมีชีวิตจนกว่าจะจบการลงโทษ และถูกอธิบายไว้อย่างละเอียดในตำนานและเรื่องเล่าหลายเรื่องในสมัยนั้น การลงโทษแบบอินทรีโลหิตที่เก่าแก่ที่สุด เชื่อกันว่าเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 867 หรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อย เมื่อราชาแห่งนอร์ทัมเบรีย (มณฑลทางตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษในปัจจุบัน) ฆ่าผู้นำของไวกิ้งด้วยการโยนใส่หลุมงูพิษ Ragnar Lothbrok ผู้นำของไวกิ้งที่ถูกฆ่า นั่นทำให้ลูกชายของผู้นำไวกิ้งโกรธมากจนบุกอังกฤษ และจับราชาแห่งนอร์ทัมเบรียสังหารอย่างโหดเหี้ยมด้วย วิธีอินทรีโลหิต อย่างไรก็ตามนักประวัติศาสตร์บางคนมองว่าวิธีการประหารแบบอินทรีโลหิตนั้นน่าจะเป็นเพียงแค่เรื่องแต่งและไม่มีอยู่การใช้งานจริงๆ เพราะการที่อ้างว่าเหยื่อจะยังมีชีวิตตลอดกระบวนการนั้นเป็นไปได้ยากมาก นอกจากนี้เรื่องของราชาแห่งนอร์ทัมเบรียที่กล่าวมาก็มีจุดบอดอยู่มาก เช่นเรื่องที่ในนอร์ทัมเบรียนั้นแทบไม่มีงูพิษเนื่องจากอากาศหนาวเกินไป ทำให้การฆ่าผู้นำไวกิ้งด้วยการโยนใส่หลุมที่เต็มไปด้วยงูพิษเป็นไปได้ยาก ภาพราชาแห่งนอร์ทัมเบรียในตอนที่ทราบข่าวการมาล้างแค้นของไวกิ้ง เป็นไปได้ว่าอินทรีโลหิตจะเป็นเพียงเรื่องเล่าในสมัยก่อนที่ทำขึ้นเพียงเพื่อให้ภาพลักษณ์ของไวกิ้งดูน่ากลัวก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามการลงทัณฑ์แบบอินทรีโลหิตนั้นไม่ได้เกิดกับราชาแห่งนอร์ทัมเบรียคนเดียวเท่านั้น เพราะมีเรื่องเล่าว่าราชาอื่นๆ อย่างน้อย 4 คนก็ถูกประหารด้วยวิธีนี้ นอกจากนี้อินทรีโลหิตยังมีขั้นตอนการลงมือสืบทอดต่อกันมาในยุคสมัยที่ละเอียดเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าต่อให้ไม่เคยมีการใช้มาจริงๆ แต่หากจะทำก็จะสามารถทำได้จริงอย่างสมบูรณ์แบบ (แต่ไม่รับประกันว่าเหยื่อจะรอดจนสุดกระบวนการรึเปล่านะ) บันทึกบนแผ่นหินของไวกิ้งที่มีการแสดงภาพการทำพิธีที่คล้ายกับอินทรีโลหิต และแม้ว่า อินทรีโลหิต “อาจจะ” เป็นเพียงเรื่องเล่าก็ตาม…
-
นักโบราณคดีพบโครงกระดูกครอบครัวนอนกอดกันในปอมเปอี คาดเสียชีวิตจากภูเขาไฟระเบิด
นับตั้งแต่ที่โดเมนีโก ฟอนตานาค้นพบซากเมืองปอมเปอีในช่วงศตวรรษที่ 16 เวลาก็ผ่านเลยมาแล้วกว่า 300 ปี ถึงอย่างนั้นเราก็ยังมีการค้นพบอะไรใหม่ๆ ในเมืองแห่งนี้อยู่เรื่อยๆ แม้แต่ในปัจจุบัน และล่าสุดนี้เองก็ได้มีการค้นพบครั้งใหม่เกิดขึ้นที่เมืองแห่งนี้อีกครั้ง โดยคราวนี้นักโบราณคดีได้พบกับโครงกระดูกจำนวนหนึ่งซึ่งถูกฝังอยู่ที่ห้องเล็กๆ ในมุมหนึ่งของเมืองปอมเปอี นี่เป็นโครงกระดูกที่เชื่อกันว่าเป็นของครอบครัวคนสมัยก่อนที่เสียชีวิตไปในขณะที่กำลังกอดกัน ในเหตุการณ์ภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิดเมื่อปีคริสต์ศักราชที่ 79 โดยจากการรายงานของทางสื่อของอิตาลี โครงกระดูกที่พบเป็นของคนห้าคน ซึ่งประกอบด้วยผู้หญิงสองคน และเด็กอีกสามคน ซึ่งเป็นไปได้ว่าหนีเข้าไปในห้อง และมีร่องรอยของการนำเฟอร์นิเจอร์ไปกั้นประตูไว้ด้วย โชคร้ายที่หลังคาของห้องที่ครอบครัวนี้เข้าไปหลบไม่แข็งแรง มันจึงพังลงมาทับร่างของพวกเธอ ก่อนที่ความร้อนจากภูเขาไฟจะเผาร่างของครอบครัวผู้โชคร้ายไป เป็นเรื่องแปลกมากที่โครงกระดูกที่พบนั้นไม่ได้ถูกรบกวนหรือเคลื่อนย้ายเลยตลอดเวลาเกือบ 2,000 ปีที่ผ่านมา เพราะบริเวณที่มีการพบโครงกระดูกเหล่านี้นับว่าเป็นพื้นที่ที่มีโจรบุกรุกเข้ามาอยู่บ่อยครั้งในสมัยก่อน ในบริเวณใกล้ๆ กับห้องที่มีโครงกระดูก นักโบราณคดียังมีการค้นพบเหรียญเงินจากศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าพื้นที่บริเวณนี้เคยมีโจรผ่านมาสำรวจหาของมีค่า และแม้ว่าการค้นพบโครงกระดูกในครั้งนี้จะเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มาก แต่มันก็ไม่ใช่การค้นพบสำคัญๆ เพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ มีการค้นพบร่องรอยบันทึกบนผนังที่อาจจะเป็นหลักฐานอย่างดีที่จะล้มล้างแนวคิดที่ว่าภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิดขึ้นในเดือนสิงหาคมอีกด้วย (อ่านข่าวเกี่ยวกับการค้นพบที่ว่าได้ที่นี่ ข้อความบนผนังจากอดีตเผย “ภูเขาไฟวิสุเวียส” อาจปะทุช้ากว่าที่เราคาดการถึง 2 เดือน) โดยการค้นพบทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจครั้งใหญ่ในเมืองปอมเปอี ซึ่งเป็นการสำรวจครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ช่วงยุค…
-
“Aid From The Padre” ภาพของนักบวชผู้กล้า ที่ฝ่ากระสุนเข้าไปหาทหารที่บาดเจ็บ
จะเกิดอะไรขึ้นหากนักบวชคนหนึ่งต้องมาเห็นทหารบาดเจ็บสาหัสจากการถูกซุ่มยิง ซึ่งสำหรับนักบวช Luis Padilla แล้ว เขาเลือกที่จะวิ่งเข้าไปหาทหารคนนั้น นี่คือภาพของนักบวช Padilla ที่กำลังพยุงร่างของทหารที่บาดเจ็บกลางดงกระสุน ในระหว่างการจลาจลต่อต้านประธานาธิบดีในเวเนซุเอลา เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 1962 ดูเหมือนว่าที่ Padilla เสี่ยงชีวิตมาในพื้นที่ต่อสู้นั้น เขาจะมีเป้าหมายเพียงแค่การสวดส่งวิญญาณให้กับทหารที่ตายไปก็เท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นทหารที่ยังมีโอกาสรอด Padilla ก็ไม่รีรอที่จะเข้าไปช่วยเขาไว้ นับว่าโชคดีมากที่ทางศัตรูเองก็คิดหนักกับการยิงนักบวช (ทั้งในด้านความเชื่อและภาพลักษณ์) ทำให้แม้ว่าจะอยู่กลางดงกระสุนแต่สุดท้ายนักบวชคนนี้ก็สามารถรอดมาจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ด้วยดี ภาพที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถูกถ่ายเอาไว้ได้โดย Hector Rondón Lovera ผู้ที่ในเวลานั้นกำลังนอนหมอบเพื่อหลบกระสุนอยู่พอดี เขาตั้งชื่อภาพนี้ (ภาพแรกสุด) ว่า “Aid From The Padre” และได้รางวัล World Press Photo of the Year ในปีต่อมา เป็นไปได้ว่าที่ Aid From The Padre มีชื่อเสียงขึ้นมา อาจเพราะจะมีป้ายร้านด้านหลัง โดยในป้ายเขียนว่า “carnicería” ซึ่งแปลได้ทั้ง “ร้านเนื้อ”…
-
4 สถานที่ซึ่งถูกทิ้งร้างบนโลกใบนี้ ที่มีความน่าสนใจไม่ใช่เพียงแค่การไร้ซึ่งผู้คน
ในโลกนี้แม้จะเต็มไปด้วยมนุษย์แต่ก็ยังมีสถานที่หลายแห่งที่ถูกทิ้งร้างไร้ซึ่งผู้คน บ่อยครั้งสถานที่เหล่านั้นจะเป็นป่าลึก หรือที่อันตราย แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่สถานที่ที่เคยมีคนอยู่จะถูกทิ้งร้างไป แต่ถึงแม้จะเป็นเมืองที่ไม่มีคนอยู่อีกต่อไปแล้ว บ่อยครั้งเมืองเหล่านั้นกลับมีเบื้องหลังที่น่าสนใจอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะไปชม 4 เมืองร้างบนโลกใบนี้ ซึ่งมีความน่าสนใจไม่ใช่เพียงแค่ความไร้ซึ่งผู้คน อิสลา ดิ ลาส มูเนเคส อิสลา ดิ ลาส มูเนเคส (Isla De Las Munecas) นั้นแปลตรงๆ ว่า “เกาะแห่งตุ๊กตา” ตั้งอยู่ใกล้กับ เม็กซิโกซิตีเมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก เดิมทีแล้วที่นี่อยู่ภายใต้การดูแลของ ดอน จูเลียต ซานตานา ผู้เดินทางมาอาศัยอยู่พร้อมกับครอบครัว เขาอ้างว่าตัวเองไปพบกับศพเด็กผู้หญิงที่ลอยมากับน้ำเลยไปเก็บรวบรวมตุ๊กตามากประดับไว้รอบๆ เกาะเพื่อเอาใจวิญญาณของเด็กผู้หญิงคนนั้น แม้ว่าครอบทางครอบครัวของซานตานาจะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการคิดไปเองของเขาเท่านั้น แต่ในปี 2001 ก็มีคนพบศพซานตานาในจุดเดียวกับที่เขาอ้างว่าพบศพเด็กผู้หญิง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ทำให้เกาะนี้ถูกทิ้งร้างเท่านั้น แต่ยังทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวสยองขวัญไปในเวลาต่อมา เกาะโพเวกเลีย นี่เป็นเกาะที่อยู่ใกล้ๆ เมืองเวนิส ในอิตาลี เลยเคยเป็นปราการควบคุมการเดินทางทางน้ำเข้าสู่เมืองเวนิส เพื่อเป็นด่านตรวจรักษาโรคที่อาจจะติดมากับคนบนเรือ ทำให้ที่แห่งนี้มีคนตายเป็นจำนวนมาก แถมในศตวรรษที่ 20 เกาะแห่งนี้ยังถูกทำเป็นสถานกักกันผู้มีอาการทางจิต ซึ่งมีการทดลองกับผู้ป่วยอีกด้วย ทำให้ชื่อเสียงในด้านลบของที่แห่งนี้ยิ่งกลายเป็นที่โด่งดังขึ้นไปอีก นั่นทำให้หลังจากที่สถานกักกันปิดตัวลงในปี 1968 แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนเกาะดังกล่าวเป็นศูนย์พักพิงผู้ยากไร้ ก็ไม่มีใครที่กล้าพอจะมาอาศัยอยู่ที่นี่อีก…
-
เปิดตำนาน “เรดบารอน” ปีศาจแห่งทัพอากาศเยอรมัน เจ้าของผลงานยิงเครื่องบินรบกว่า 80 ลำ
เคยได้ยินเรื่องของ “เรดบารอน” แห่งกองทัพอากาศประเทศเยอรมนีกันไหม? นี่เป็นฉายาของยอดนักบินแห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ผู้มีผลงานยิงเครื่องบินรบฝ่ายตรงข้ามตก “อย่างน้อย” 80 ลำใน ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชื่อจริงๆ ของชายคนนี้คือ มันเฟรท ฟ็อน ริชท์โฮเฟิน ผู้เกิดในครอบครัวขุนนางในโปแลนด์ และเข้าเรียนในโรงเรียนทหารตั้งแต่อายุได้เพียง 11 ปี และเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในเวลาต่อมา ดูเหมือนว่าชีวิตในสงครามสนามเพลาะจะไม่ใช่สถานที่ที่เขาชอบเท่าไหร่นัก มันเฟรทจริงยื่นเรื่องขอย้ายหน่วยมาอยู่กับกองทัพอากาศเยอรมัน และในที่นั่นเองที่มันเฟรทได้กลายเป็นตำนาน ในเวลาเพียงหนึ่งปีมันเฟรทก็สามารถเลื่อนขั้นจากพลสำรวจ (ที่ขึ้นเครื่องไปกับนักบิน) จนกลายเป็นนักบินเดี่ยวอย่างเต็มตัว ก่อนที่จะยิงเครื่องบินศัตรูได้ถึง 15 เครื่องในเวลาอันสั้น จนได้เป็นเอซไพล็อตของกองบินไป เขาได้รับการเลื่อนขั้นจนได้ควบคุมฝูงบินของตัวเอง และในช่วงเวลานี้เองที่เครื่องบินของเขาได้รับการทาสีเป็นสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ หลังจากวันนั้นมาเขาก็มีผลงานอย่างต่อเนื่องจนได้รับฉายาว่า “เรดบารอน” จากการที่เกิดในตระกูลขุนนาง และขับเครื่องบินสีแดง หนึ่งในตำนานของเขามาจากนักบินของอังกฤษ ที่บอกว่าแม้ตัวเองจะขับเครื่องบินที่น่าจะเร็วกว่าของ มันเฟรท แต่ก็ไม่สามารถไล่ตามเครื่องบินปีก 3 ชั้นสีแดงของเขาได้เลย และพอละสายตาไปเพียงครู่เดียว เครื่องบินของเขาก็หายไปแล้ว เรื่องราวแบบนี้กลายเป็นข่าวลือกันในทหารของศัตรู จนทำให้บางครั้ง เรดบารอนก็ถูกมองว่าเป็นปีศาจแห่งสงครามไป น่าเสียดายที่ตำนานของมันเฟรทจบลงในตอนที่เขาอายุได้เพียง 25 ปี เท่านั้น เพราะในวันที่…
-
เปิดประวัติปุ่ม “WASD” ที่เกมเมอร์มักวางมือแบบนี้เวลาเล่นเกม มีที่มามากกว่าที่คิด
สำหรับคนที่เป็น PC เกมเมอร์แล้ว การใช้งานปุ่ม WASD อาจจะเป็นอะไรที่ฝังลึกอยู่ในสัญชาตญาณไปแล้วก็เป็นได้ ถึงขั้นที่มีคำพูดว่าหากอยากรู้ว่าให้เป็นเกมเมอร์ให้ดูวิธีวางมือบนคีย์บอร์ดกันเลยทีเดียว ว่าแต่รู้รึเปล่าว่าในสมัยก่อนมันไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกนะ เพราะหากสังเกตกันให้ดีๆ แล้ว เกมในสมัยก่อนอย่าง Doom ภาคแรกนั้น จะให้การควบคุมทั้งหมดอยู่บนคีย์บอร์ดเลย โดยการเดินมักจะอยู่ที่ลูกศรทิศทาง ไม่ก็แป้นตัวเลข นั่นเป็นเพราะเกมเดินยิงในสมัยนั้นโดยมากแล้วจะมีมุมมองเพียงซ้ายกับขวาเท่านั้น ทำให้สามารถยัดการควบคุมทั้งหมดลงบนคีย์บอร์ดได้ง่าย เรื่องมันเป็นเช่นนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งการมาของเกม Quake ซึ่งเป็นเกมเดินยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่งแรกๆ ที่มีการใช้ระบบมุมมองบนล่างซ้ายขวา และในช่วงเวลานี้เองที่การควบคุมเกมของแต่ละคนเริ่มแตกต่างกันไปอย่างไม่มีแบบแผน แต่แล้วในปี 1997 เราก็ได้เห็น Dennis Fong หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Thresh” คว้าถ้วยรางวัลในการแข่งขันเกม Quake โดยการวางมือขวาบนเมาส์ และมือซ้ายบนปุ่ม WASD มันเป็นแนวคิดที่แปลกแต่ก็ฉลาดมาในสมัยนั้น เพราะปุ่ม WASD อยู่ใกล้กับปุ่ม Shift และ Ctrl ซึ่งมีการใช้งานสูง แถมยังสามารถกดตัวเลขเพื่อเปลี่ยนปืนได้ง่ายกว่าลูกศรที่มือขวา นั่นทำให้หลังจากนั้นมามีคนมากมายเริ่มเลียนแบบ Thresh จนทาง ค่ายผู้สร้างเกมหลายๆ ค่ายเอาการกำหนดปุ่มควบคุมของเขาไปใช้ในเกมของตัวเอง ทำให้ WASD กลายเป็นปุ่ม…
-
8 เรื่องน่าสนใจของฮิตเลอร์ในวัยเด็ก เรื่องราวของเผด็จการโหดที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
ว่ากันว่าชีวิตในวัยเด็กจะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะโตมาเป็นคนแบบไหน และไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหนก็ต้องเคยมีช่วงเวลาในวัยเด็กมาก่อน เรื่องเหล่านี้ใช้ได้กับทุกๆ คนไม่เว้นแม้แต่ผู้นำสุดโหดอย่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จริงอยู่ว่าเรื่องราวที่ทำให้ฮิตเลอร์มีชื่อเสียงนั้นมักมาจากในสมัยที่เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าในสมัยเด็กเอง ชีวิตของฮิตเลอร์ก็มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่มากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะมาชม 8 เรื่องน่าสนใจของฮิตเลอร์ในวัยเด็ก ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน เริ่มกันที่รู้หรือไม่ว่า สมัยเป็นวัยรุ่นฮิตเลอร์เคยใช้มรดกที่มีจนหมด หนังสือชีวประวัติบางเล่มถึงกับบอกว่า เขาต้องไปอยู่ในศูนย์พักอาศัยของคนไร้บ้านอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่ผู้เป็นป้าจะเขามาช่วยเหลือ เขาเคยถูกทารุณกรรมในบ้าน นี่เป็นเรื่องที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือที่เชื่อกันว่าเขียนโดยพี่น้องของฮิตเลอร์ ว่าด้วยเรื่องที่อาลัวส์ ฮิตเลอร์มักจะทำร้ายร่างกายลูกๆ จนแม่ต้องเข้ามาปกป้องนั่นเอง ฮิตเลอร์เคยแอบชอบสาวชาวยิวมาก่อน นี่เป็นคำบอกเล่าของเอากุสท์ คูบีเซคเพื่อนสนิทของเขา ที่บอกว่าฮิตเลอร์เคยแอบชอบสาวชาวยิวชื่อ Stefanie Isak แถมยังเคยแอบสะกดรอยตาม วางแผนลักพาตัว หรือแม้กระทั่งคิดจะฆ่าตัวตายพร้อมๆ กันเลยด้วย ฮิตเลอร์เคยทำร้ายร่างกายน้องสาวตัวเอง ดูเหมือนว่าการถูกทารุณกรรมในบ้านจะทำให้ฮิตเลอร์หัวรุนแรงตามไปอีกคน เพราะจากบันทึกของ “พอลล่า” น้องสาวต่างมารดาของฮิตเลอร์ เธอมักเห็นฮิตเลอร์เป็นเหมือนพ่อที่ในเวลานั้นเสียไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่เธอเขาหาพี่ชาย ฮิตเลอร์ก็มักจะตอบสนองด้วยการตบตีเธอเสมอๆ ฮิตเลอร์มีพี่น้องมากมาย แต่ในบรรดาคนเหล่านั้น มีเพียงคนเดียวที่รอดมาจากวัยเด็ก เนื่องจากพ่อของฮิตเลอร์มีลูกกับผู้หญิงหลายคน ฮิตเลอร์จึงมีพี่น้องถึง 5 คน อย่างไรก็ตามมีเพียง พอลล่า น้องสาวที่อายุห่างจากฮิตเลอร์ 7 ปี เท่านั้นที่รอดจากวัยเด็กไปได้ (เธอเสียชีวิตในปี 1960)…
-
เปิดเรื่องราวเกาะ “โอคุโนะชิม่า” เกาะซึ่งเต็มไปด้วยกระต่าย แต่กลับมีประวัติน่ากลัวกว่าที่คิด
เกาะโอคุโนะชิม่าเป็นเกาะแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดฮิโรชิม่า มีชื่อเสียงเรื่องการถูกยกย่องว่าเป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยกระต่าย จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากๆ แห่งหนึ่งของญี่ปุ่นไป แต่รู้หรือไม่ว่าในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเจ้าตัวน้อยน่ารักเหล่านี้ มันมีเบื้องหลังที่ไม่น่ารักเท่าไหร่อยู่ด้วย เพราะในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เกาะแห่งนี้เคยเป็นฐานทัพลับของทางญี่ปุ่นมาก่อนนั่นเอง ไม่มีใครทราบว่ากระต่ายที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มีที่ไปที่มาอย่างไร อย่างไรก็ตามคนในพื้นที่เชื่อในความเป็นไปได้อยู่สองแบบ โดยแบบหนึ่งคือมีกลุ่มเด็กๆ เอากระต่ายมาปล่อยไว้ที่นี่ในยุค 70 ส่วนความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง คือกระต่ายเหล่านี้เคยถูกใช้ในการทดลองอาวุธเคมีของทางกองทัพญี่ปุ่นตั้งแต่ในช่วงปี 1929 เชื่อกันว่าหนึ่งในอาวุธเคมีเหล่านั้นก็คือ “แก๊สมัสตาร์ด” อาวุธเคมีสุดร้ายแรงซึ่งมีสนธิสัญญาห้ามการใช้งานตั้งแต่จบสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สิ่งปลูกสร้างที่เชื่อกันว่าเป็นโรงงานแก๊สพิษ ในสมัยสงคราม ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงนักประวัติศาสตร์ ก็ประมาณการว่าแก๊สพิษที่ผลิตจากเกาะแห่งนี้ จะกลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้คนราวๆ 80,000 คน ในช่วงที่ญี่ปุ่นบุกโจมตีประเทศจีนเลยทีเดียว การที่มีประวัติศาสตร์แบบนี้ทำให้เกาะแห่งนี้มีอีกชื่อเล่นที่เรียกกันโดยคนในพื้นที่ว่า “เกาะแห่งพิษ” ไป น่าแปลกที่จากการตรวจสอบกระต่ายที่อยู่บนเกาะในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์กลับไม่พบร่องรอยสารเคมีในกระต่ายอย่างที่ควรเป็นในหมู่สัตว์ที่ใช้ในการทดลองอาวุธเลย หลายๆ คนให้ความเห็นกับเรื่องนี้ว่า เป็นไปได้ว่ากระต่ายรุ่นที่ถูกทดลองในอดีตอาจจะตายไปหมดแล้ว และกระต่ายที่เห็นในปัจจุบันเป็นรุ่นที่ถูกนำมาปล่อยในภายหลังโดยกลุ่มเด็กๆ ในยุค 70 หรือไม่ก็สารเคมีที่มีการทดลองในสมัยก่อน อาจจะไม่ส่งผลกับกระต่ายรุ่นลูกก็เป็นได้ ในปัจจุบันเกาะแห่งนี้มีกระต่ายอยู่ที่ราวๆ 1,000 ตัว อย่างไรก็ตามการขยายพันธุ์ที่มากเกินไปนี้ก็กำลังส่งผลกับระบบนิเวศบนเกาะโดยตรงเช่นเดียวกัน เพราะในปัจจุบันแหล่งอาหารที่มีอยู่บนเกาะเริ่มลดน้อยลงจากการเพิ่มจำนวนของกระต่ายบนเกาะ…
-
“Omayra Sánchez” ภาพของเด็กผู้เป็นเหยื่อภูเขาไฟระเบิด กับเรื่องราวที่เฉียดแทงลึกไปในใจ
ในปี 1985 ได้มีภาพภาพหนึ่งได้รับรางวัล World Press Photo of the Year และกลายเป็นที่พูดถึงของคนทั้งโลกไป โดยมันเป็นภาพที่ดูเผินๆ อาจจะเหมือนภาพสยองขวัญ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีเรื่องราวที่น่าเศร้ากว่าที่คิด นี่คือภาพของ Omayra Sánchez เด็กสาววัย 13 ผู้เป็นเหยื่อของเหตุการณ์ภูเขาไฟ Nevado del Ruiz ระเบิด ที่ถูกถ่ายไว้โดย Frank Fournier นักข่าวชาวฝรั่งเศสในโคลัมเบีย การระเบิดของภูเขาไฟในครั้งนี้นำมาซึ่งเหตุแผ่นดินไหว น้ำท่วม และดินถล่มในหลายพื้นที่ โดยหนึ่งในพื้นที่เหล่านั้นก็คือเมือง Armero ที่ Sánchez อาศัยอยู่ ซึ่งมีตัวเลขผู้เสียชีวิตสูงถึง 20,000 คน และแม้แต่ตัว Sánchez เองจะรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ต้องอยู่ในสภาพขาถูกคอนกรีตทับอยู่ใต้น้ำ และต้องใช้มือเกาะกิ่งไม้ไว้เพื่อให้จมน้ำ แน่นอนว่าหลังจากที่มีการพบตัวเธอเจ้าหน้าที่ก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะช่วยเหลือเธอออกจากที่นั่น และ Sánchez เองก็ยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างดี และมีแรงมากพอที่จะให้สัมภาษณ์ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามหลังจากเวลาผ่านไป เธอก็เริ่มที่จะไม่ไหว ก่อนที่สถานการณ์จะยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อทีมกู้ภัยพบว่าทางเดียวที่จะเอาเธอออกมาจากซากคอนกรีตได้ คือการที่จะต้องตัดขาของเธอทิ้งเท่านั้น ทว่าในตอนนั้น ทีมแพทย์ไม่มีอุปกรณ์ที่จะช่วยเธอจากการเสียเลือดได้ อีกทั้งเด็กสาวในปัจจุบันก็อ่อนแอเป็นอย่างมากด้วย ดังนั้นหากฝืนไปตัดขาเธอแล้วละก็ Sánchez จะต้องเสียชีวิตอย่างแน่นอน…
-
4 การสันนิษฐานของนักโบราณคดี ที่ผิดไปคนละโลกอย่างไม่น่าเชื่อ บวกของแถมนิดหน่อย
ตามปกติแล้ว เวลามีการค้นพบทางประวัติศาสตร์ การสันนิษฐานเบื้องต้นของนักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญก็มักจะได้รับความน่าเชื่อถือมากที่สุด และบ่อยครั้งการสันนิษฐานดังกล่าวก็มักจะถูกต้องเสียด้วย แต่ก็ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์นั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุการณ์ที่นักโบราณคดีสันนิษฐานผิดเลยเช่นกัน แถมบางครั้งยังมั่วสุดๆ ผิดไปคนละโลกเลยด้วย เหมือนดังเช่นการค้นพบทั้ง 4+1 ครั้งต่อไปนี้ จารึกหินที่ Runamo นี่เป็นร่องรอยบนหินที่นักโบราณคดี พยายามไขความลับกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 และเชื่อกันว่าเป็นภาษาโบราณที่สูญหายไปเมื่อนานมาแล้ว แต่แล้วในช่วงยุค 1800 เมื่อเทคโนโลยีเรื่องพัฒนาไป ในที่สุดนักโบราณคดีก็พบความจริงของจารึกหินที่ Runamo จนได้ เพราะแท้จริงแล้วเจ้าร่องรอยบนหินที่เราเห็นนั้น มันก็แค่รอยแตกของหินเท่านั้นเอง… อ้าว… รูบนกะโหลกมนุษย์นีเอนเดอร์ธัล ในปี 1921 ได้มีการพบกะโหลกมนุษย์นีเอนเดอร์ธัล ที่ในเวลานั้นอ้างกันว่ามีอายุราว 38,000 ปีและมีรูอยู่ที่ด้านข้างของกะโหลก ซึ่งในยุคโบราณขนาดนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการเจาะกะโหลกเพื่อรักษาโรค ดังนั้นนักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งจึงคิดทฤษฎีสุดประหลาดที่ว่ามนุษย์นีเอนเดอร์ธัลถูกยิงด้วยปืนจากคนที่ย้อนเวลาไปขึ้นมา โชคดีที่ไม่นานหลังจากนั้นความจริงก็ถูกเปิดเผยออกมา เพราะไม่เพียงแต่รูบนกะโหลกจะไม่ได้มาจากปืนเท่านั้น แต่กะโหลกที่พบนั้น จริงๆ แล้วก็มีอายุถึง 125,000-300,000 ปีเลยด้วย ส่วนรูที่อยู่บนกะโหลกเองนั้น เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียและไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าของกะโหลกเสียชีวิตแต่อย่างใดเลย อนุสรณ์สถานเกรท ซิมบับเว ในเวลาที่มีการค้นพบอนุสรณ์สถานแห่งนี้ มีนักโบราณคดีบางส่วนเชื่อว่าเกรท ซิมบับเวสร้างโดยคนจากฝั่งยุโรป (ทั้งๆ ที่มันตั้งอยู่ในตอนใต้ของแอฟริกา) และพยายามหาหลักฐานมายืนยันอยู่เป็นเวลานาน โชคดีที่ในเวลาต่อมามีคนที่พิสูจน์ได้ว่าที่แห่งนี้สร้างขึ้นมาโดยอาณาจักรซิมบับเวในสมัยก่อนจริงๆ ส่วนเหตุผลที่ที่นักโบราณคดีกลุ่มดังกล่าวเชื่อว่าเกรท ซิมบับเวสร้างขึ้นโดยคนจากฝั่งยุโรปนั้น…
-
โศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ ความผิดพลาดของนาซา ที่ถูกถ่ายทอดไปทั่วประเทศ
17 ปี หลังจากอะพอลโล 11 ลงจอดบนดวงจันทร์ ในวันที่ 28 มกราคม 1986 ทางนาซาได้เตรียมปล่อยจรวด OV-099 หรือที่รู้จักกันในนาม “ชาเลนเจอร์” ขึ้นสู่อวกาศ ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่คอยชมผ่านทางโทรทัศน์ อย่างไรก็ตามเพียงแค่ 73 วินาทีหลังออกบิน กระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ก็แตกออกเป็นชิ้นๆ ส่งผลให้นักบินเจ็ดคนเสียชีวิต และกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ทำให้คนทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาต้องผวา เดิมทีแล้วกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์เคยมีการปฏิบัติการมาแล้วกว่า 9 ครั้ง ทำให้ทางนาซาค่อนข้างมั่นใจว่าการปล่อยกระสวยอวกาศในยังนี้จะต้องเป็นไปได้ด้วยดีแน่ๆ อย่างไรก็ตามจากการที่ยานเคยปฏิบัติการมาหลายครั้ง ทำให้วงแหวนยางที่อยู่ระหว่างรอบต่อของจรวดไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควร บวกกับอากาศที่เย็นจัดทำให้เกิดน้ำแข็งเกาะ จนเกิดแก๊สรั่วและไฟลุกเมื่อมีการปล่อยจรวดนั่นเอง ที่จริงแล้วความเป็นไปได้ที่กระสวยอวกาศชาเลนเจอร์จะระเบิดนั้น เคยมีการพูดถึงมาก่อนโดยวิศวกรของนาซา ซึ่งต้องการที่จะขอเลื่อนวันปล่อยจรวดออกไป ปัญหาคือผู้บริหารหลายคนของนาซาไม่เชื่อ และฝืนจะให้ทำการบินให้ได้ นั่นทำให้นาซาต้องเสียนักบินทั้งเจ็ดคนไป แถมจากรายงานทางวิทยุสื่อสาร นักบินทั้งหมดก็ไม่ได้เสียชีวิตทันทีเสียด้วย เพราะแรงระเบิดนั้นไปไม่ถึงห้องนักบิน อย่างไรก็ตามการที่กระสวยระเบิดไปก็ทำให้นักบินทั้งเจ็ดต้องดิ่งลงมาจากความสูง 15 กิโลเมตรโดยไม่สามารถสละยานได้ ก่อนที่จะกระแทกเข้ากับมหาสมุทรแอตแลนติกในที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้โศกนาฏกรรมของกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์กลายเป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คงไม่พ้นเรื่องที่การปล่อยจรวดครั้งนี้มีการถ่ายทอดไปทั่วประเทศนั่นเอง เพราะนอกจากผู้ใหญ่จำนวนมากแล้วในเวลานั้นเองก็ยังมีเด็กอีกหลายคนที่เฝ้าดูการขึ้นบินในครั้งนี้อยู่ด้วย และเด็กเหล่านั้นเองก็ได้เห็นภาพอันโหดร้ายซึ่งเกิดขึ้นจากความประมาทของมนุษย์เข้าไปอย่างจัง ภาพโศกนาฏกรรมของกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ที่ถูกถ่ายทอดผ่านทาง CNN และไม่แน่ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้…
-
4 การตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายของเหล่าผู้คน ที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปทั้งใบ
ในการใช้ชีวิตบางครั้งคนเราก็อาจจะต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ในวินาทีสุดท้ายอยู่เหมือนกัน และในบางครั้งการตัดสินใจเหล่านั้น ก็อาจจะนำมาซึ่งประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่เสียด้วย ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะมาชม 4 การตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายของเหล่าผู้คน ที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปทั้งใบ มาร์ติน ลูเธอร์ คิงพูดว่า ข้าพเจ้ามีความฝัน (I have a dream) เดิมทีแล้วในตอนที่ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ กล่าวสุนทรพจน์ในวันที่ 27 สิงหาคม 1963 เขาได้มีการเตรียมบทพูดมาเป็นอย่างดี และไม่มีคำว่า “ข้าพเจ้ามีความฝัน” อยู่เลย อย่างไรก็ตาม Mahalia Jackson ที่ฟังเขาอยู่ในตอนนั้นตะโกนขึ้นมาว่า “เล่าความฝันให้พวกเขาฟังสิ” ด้วยเหตุนี้เอง มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จึงตัดสินใจใส่คำพูดจากใจจริงไม่มีเขียนอยู่ในบทพูดลงไปในสุนทรพจน์ และคำพูดจากใจจริงนี้เองก็ทำให้สุนทรพจน์ของเขาในวันนั้น กลายเป็นตำนานที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไป ธีโอดอร์ โรสเวลต์ รอดชีวิตเพราะเอาบทพูดใส่กระเป๋าเสื้อ ในปี 1912 โรสเวลต์ ได้ลงสมัครเลือกตั้งอีกครั้งและกำลังจะต้องไปกล่าวสุนทรพจน์ อย่างไรก็ตามในระหว่างที่เดินทางอยู่นั้น เจ้าตัวก็พับบทพูดใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ นับว่านี่เป็นการกระทำที่โชคดีสุดๆ เลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากขึ้นเวทีไปไม่นานก็มีคนลอบยิงเขาที่หน้าอกพอดี กระดาษที่หนาร่วมๆ 50…
-
4 คนไม่ธรรมดาในประวัติศาสตร์ ที่ดูแล้วจะพูดว่านี่มัน “ฟอร์เรสท์ กัมพ์” ในโลกจริงชัดๆ
“ชีวิตก็เหมือนกล่องที่เต็มไปด้วยช็อกโกแลต คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคุณจะได้รสอะไร” นี่เป็นคำคมจากภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องฟอร์เรสท์ กัมพ์ ที่สอนให้เรารู้ว่าในชีวิตของคนคนหนึ่ง เราอาจจะพบกับอะไรที่ไม่คาดฝันได้เสมอๆ ถึงอย่างนั้นน้อยคนนักที่จะเชื่อว่าคนที่มีชีวิตน่าสนใจสุดๆ แบบฟอร์เรสท์ กัมพ์นั้นจะมีอยู่จริง เพราะในโลกอันโหดร้ายนี้ ไม่น่าจะมีคนที่ทำตามที่คนอื่นบอกทุกอย่างแล้วได้ดีหรอกใช่ไหม? แต่เชื่อหรือไม่ว่าในโลกใบนี้ก็ดันมีคนที่ชีวิตคล้ายๆ ฟอร์เรสท์ กัมพ์อยู่จริงๆ นี่สิ แถมยังไม่ใช่แค่คนสองคนอีกด้วย ไม่เชื่อก็ไปดูคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา 4 คนนี้สิ ยางคยองจง ยางคยองจง เป็นคนเกาหลีที่มีชีวิตน่าทึ่งมาก เพราะในปี 1938 เมื่อตอนอายุได้ 18 ปี เขาก็ถูกเกณฑ์เข้าไปในกองทัพญี่ปุ่นเพื่อรบกับสหภาพโซเวียต และถูกจับกุมไว้ในฐานะเชลยศึกในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามไม่นานหลังจากนั้นทางโซเวียตก็ได้ประกาศสงครามกับนาซีเยอรมัน ซึ่งหยางก็ถูกส่งไปรบในฐานะทหารโซเวียดด้วย และแน่นอนว่าเขาถูกจับกุมโดยทางนาซีในปี 1942 นั่นเอง น่าแปลกที่ ยางไม่ได้เสียชีวิตจากการเป็นเชลย แต่กลับถูกส่งไปรบกับทางสหรัฐฯ ต่อในปี 1944 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาโดนจับตัวโดยทหารของศัตรู นับว่าเป็นโชคดีมากที่สงครามจบลงในช่วงนั้นพอดี ยางจึงได้ใช้ชีวิตที่เหลือในสหรัฐอเมริกาสืบไป ทิโมธี เด็กซ์เตอร์ เขาคือชายที่ได้ชื่อว่าซื้อบื้อที่สุด แต่ก็โชคดีที่สุดในโลกในเวลาดียวกัน เพราะเขานั้นโดนหลอกอยู่เป็นประจำไม่ว่าจะเป็นการหลอกซื้อธนบัตรที่ไม่มีคุณค่า หรือหลอกให้ซื้อถาดทำความอุ่นเตียงไปขายต่อในที่ที่ไม่มีใครต้องการ แต่ไม่รู้เพราะอะไรชายคนนี้ล้วนแต่ผ่านเรื่องเหล่านั้นมาได้เพราะโชคเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการที่จู่ๆ สกุลเงินที่ไม่มีค่าก็ดีดขึ้นเพราะสงครามจบ หรือซื้อถาดทำความอุ่นเตียงที่ซื้อมาถูกดัดแปลงเป็นกระทะจนขายดิบขายดีไป นั่นทำให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างร่ำรวยสุดๆ…
-
ย้อนรอย “คดีเชือดแห่งซาเซโบ” ที่มาของ “เนวาดา-ตัน” ฆาตกรผู้โด่งดังในโลกอินเตอร์เน็ต
ย้อนเวลากลับไปในวันที่ 1 มิถุนายน 2004 ที่เมืองซาเซโบ จังหวัดนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่นได้เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าที่จะกลายเป็นหนึ่งในคดีฆาตกรรมที่ถูกจดจำของโลกอินเตอร์เน็ตไป นี่คือ “คดีเชือดสังหารแห่งซาเซโบ” เหตุการณ์ที่เด็กสาววัย 11 ขวบสังหารเพื่อนร่วมห้องโดยการปาดคอด้วยมีดคัตเตอร์ แถมเมื่อคนในเหตุการณ์พยายามถ่ายรูปเธอไว้เป็นหลักฐาน เธอก็หันกลับมายิ้มให้กล้องในสภาพเปื้อนเลือดด้วย แน่นอนว่าเด็กสาวผู้ลงมือก่อเหตุถูกจับในวันเดียวกันทันที และจากคำสารภาพของเธอ ดูเหมือนว่าเหตุจูงใจในการก่อคดี จะมาจากการที่เพื่อนของเธอเข้ามาล้อเลียนเธอว่า “อ้วน” ในโซเชียลมีเดีย มีรายงานบอกว่า เด็กสาวผู้ลงมือเป็นเด็กน่ารักเรียนเก่ง แต่กลับชอบเก็บตัว มีพฤติกรรมรุนแรงในบางครั้ง ชอบดูหนังที่มีเนื้อหารุนแรง และมีประวัติเข้าชมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก หนังเรื่อง Battle Royale จากเมื่อปี 2000 คือหนึ่งในหนังที่ว่ากันว่าเด็กสาวคนนี้ชอบดูที่สุด นอกจากนี้ในบันทึกของเธอ หลักฐานที่บอกว่าเด็กสาวนั้นวางแผนที่จะฆ่าเพื่อนคนดังกล่าวมาเป็นเวลานานแล้วอีกด้วย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาพยายามฆ่า และต้องเข้ารับการบำบัดในสถานพินิจ จริงอยู่ว่าตามปกติแล้วฆาตกรที่ยังเป็นเยาวชนจะไม่ได้รับการเปิดเผยชื่อหรือภาพจากทางตำรวจ แต่ในท้ายที่สุดก็มีคนแอบนำภาพของเธอไปเผยแพร่จนได้ ในเวลานี้ภาพของเด็กสาวเป็นที่รู้จักไปทั่วอินเตอร์เน็ตแล้ว น่าแปลกที่แทนที่โพสต์เผยแพร่ภาพของเธอจะได้ผลตอบรับในทางลบ อินเตอร์เน็ตกลับสนใจในความน่ารักของเด็กสาว และตั้งชื่อให้เธอว่า “เนวาดา-ตัน” จากเสื้อที่เธอใส่ในเวลาก่อเหตุ จนเด็กคนดังกล่าวกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงไป เนวาดา-ตันกลายเป็นที่โด่งดังที่สุดในปี 2007 จากการที่เธอกลายเป็นหัวข้อพูดคุยใน 2channel (คล้ายๆ…
-
“ขายเด็กสี่คน” ภาพในตำนานของแม่ที่ประกาศขายลูกแท้ๆ ซึ่งมีเรื่องราวมากกว่าที่คิด
ในวันที่ 5 สิงหาคม 1948 ในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของรัฐอินเดียน่า สหรัฐอเมริกา ได้มีภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังประกาศขายลูกๆ ถูกแพร่ออกไปต่อสายตาของสาธารณชน สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมเป็นอย่างมาก หากไม่รู้ความจริง ไม่ว่าใครเห็นภาพถ่ายนี้ก็คงคิดว่านี่เป็นภาพที่มีการจัดฉากขึ้นมาแน่ๆ แต่ปัญหาคือไม่ใช่แค่ภาพดังกล่าวจะเป็นของจริงเท่านั้น แต่เด็กๆ ที่เห็นในภาพทุกคน (บวกกับที่อยู่ในท้องแม่ด้วย) ก็โดนขายออกไปจริงๆ ด้วย นี่เป็นภาพที่มีการถ่ายไว้ที่เมืองชิคาโก และมีคำบรรยายในต้นฉบับว่า คนในภาพคือภรรยาของอดีตคนขับรถขนถ่านที่ถูกไล่ออกจากงาน และถูกไล่ออกจากอพาร์ตเมนต์ เธอจึงตัดสินใจขายเด็กๆ ในบ้านของตัวเอง เด็กที่ถูกขายออกไปนั้นมีชื่อว่า RaeAnn Mills, Milton, David, Lana และ Sue Ellen โดยสองคนแรกถูกขายออกไปในปี 1950 และต้องกลายเป็นทาสของพ่อแม่คนใหม่ไป RaeAnn Mills (ซ้าย) กับ Milton (ขวา) หลังจากที่ถูกขายออกไป ในเวลานั้นพวกเขายังไม่รู้เลยว่าจะต้องพบกับอะไรบ้าง จากคำบอกเล่าของ RaeAnn Mills เธอต้องถูกทำร้ายร่างกายและบังคับใช้แรงงานเป็นเวลานาน ส่วน Milton เองก็เคยถูกเรียกว่า “เจ้าทาส” อยู่บ่อยๆ ด้วย RaeAnn ในตอนที่อายุได้ 17 ปี ถูกลักพาตัวและข่มขืน…
-
“Atomic Energy Lab” ของเล่นสุดแนวจากสมัยก่อน ที่ให้เด็กๆ เล่นกับ “กัมมันตรังสี” จริงๆ
หากพูดถึงปรมาณูหรือกัมมันตรังสี เชื่อว่าคงไม่มีใครนึกถึงคำว่าของเล่นเด็กขึ้นมาเป็นอย่างแรกแน่ๆ แต่เชื่อหรือไม่ว่าในอดีตนั้น เคยมีคนที่คิดของเล่นเด็กที่มีความเกี่ยวข้องกับปรมาณู และกัมมันตรังสี ออกมาขายจริงๆ ด้วย นี่คือ “Gilbert U-238 Atomic Energy Lab” ของเล่นสุดแนวจากบริษัทของเล่น Alfred Gilbert ในสหรัฐอเมริกา ที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ผ่านการนั่งดูปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันในบ้าน!! ที่สำคัญเจ้าของเล่นที่เห็นนี้นั่น ไม่ใช่เพียงแค่ของจำลองที่มีแค่ไฟหรือเสียงเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือที่มีการใช้ธาตุยูเรเนียมอย่างจริงจัง และในชุดของเล่นยังมีการแถมไกเกอร์เคาน์เตอร์ (เครื่องมือวัดปริมาณกัมมันตรังสี) มาให้เลยด้วย นอกจากนี้ในคู่มือของชุดของเล่นชิ้นนี้ ยังมีการอธิบายการเล่น “ซ่อนหา” โดยการเอาวัตถุกัมมันตภาพรังสีที่อยู่ในชุดเครื่องเล่นไปซ่อน เพื่อให้อีกฝ่ายตามหาด้วยไกเกอร์เคาน์เตอร์อีก อ่านมาถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะเริ่มขนลุกว่าเอาของแบบนี้มาขายได้อย่างไร คงต้องบอกว่าเอาเข้าจริงๆ ระดับกัมมันตภาพรังสีที่อยู่ในชุดเครื่องเล่นนี้มีระดับกัมมันตภาพรังสีที่ต่ำมากๆ จน “ค่อนข้างปลอดภัย” ต่อการใช้งาน แต่ถึงจะปลอดภัยอย่างไร การเล่นกับกัมมันตภาพรังสีก็ดูจะไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมเท่าใดอยู่ดี เพราะแม้กระทั่งในยุค 50 ที่มีการปล่อยของเล่นตัวนี้ออกมา Gilbert U-238 Atomic Energy Lab ก็ขายได้เพียง 5,000…
-
พบอาวุธโบราณอายุราว 15,500 ปี ในเท็กซัส เชื่ออาจเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์อเมริกาเหนือ
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2018 ที่ผ่านมา ได้มีการรายงานข่าวการค้นพบวัตถุโบราณที่คาดว่าจะเป็นส่วนปลายของหอกในรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา และเชื่อกันว่านี่จะเป็นการค้นพบอาวุธโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือเลยด้วย ปลายหอกที่ถูกค้นพบในที่นี้มีอายุราวๆ 15,500 ปี ซึ่งแม้จะไม่ถือว่านานเมื่อเทียบกับอาวุธที่เก่าแก่ที่สุดที่มีการค้นพบบนโลก (ที่คาดว่ามาจากเมื่อ 400,000 ปีก่อนคริสตกาล) แต่ก็มีความสำคัญมากกับทางอเมริกาเหนือเลยทีเดียว เพราะที่ผ่านๆ นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า มนุษย์ชนเผ่าโคลวิส (Clovis) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวอินเดียนแดงนั้นเพิ่งจะเดินทางมาอาศัยในทวีปอเมริกาเหนือเมื่อราวๆ 13,000 ปีก่อนเท่านั้น หากปลายหอกที่ถูกค้นมาจากเมื่อ 15,500 ปีก่อนจริงๆ นั่นจะหมายความว่ามนุษย์ชนเผ่าโคลวิสน่าจะเดินทางมายังทวีปอเมริกานานกว่าที่เราทราบมาก หรือไม่ก็ในอดีตเคยมีมนุษย์อีกเผ่าหนึ่งอาศัยอยู่ในอเมริกาเหนือมาก่อน และจากการที่ปลายหอกซึ่งถูกพบมีลักษณะที่แตกต่างไปจากของชนเผ่าโคลวิสค่อนข้างมาก ทำให้วิทยาศาสตร์เชื่อว่า การค้นพบในครั้งนี้อาจจะทำให้ประวัติศาสตร์ในอดีตของทวีปอเมริกาอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กันเลยก็เป็นได้ เพราะการค้นพบในครั้งนี้ ได้ไปช่วยเสริมความน่าจะเป็นของทฤษฎีที่ว่า ในสมัยก่อนมนุษย์ไม่ได้เดินทางมาในอเมริกาด้วยการเดินเท้าจากอะแลสกา แต่เป็นการเดินทางมาด้วยเรือจากทางแปซิฟิกต่างหาก นั่นทำให้การค้นพบในครั้งนี้ไม่ได้มีคุณค่าอยู่ที่เพียงความเก่าแก่ของอาวุธที่พบเท่านั้น แต่ยังนับว่ามีคุณค่าเป็นอย่างมากในการสืบหาประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของทวีปอเมริกาเหนืออีกด้วย อย่างไรก็ตามทฤษฎีที่มีการเผยแพร่ออกมา ยังจำเป็นที่จะต้องรอการพิสูจน์ที่ชัดเจนกันต่อไป ที่มา history, allthatsinteresting
-
พบกระดูกเด็กวัยรุ่น 2 ร่างจากยุคเหล็ก ถูกฝังไว้พร้อมทองคำจำนวนมากในคาซัคสถาน
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการขุดพบโครงกระดูก 2 ร่างจากยุคเหล็ก ที่คาดว่ามีความเก่าแก่กว่า 2,700 ปี และถูกประดับประดาไว้ด้วยทองคำเป็นจำนวนมาก ที่ภูเขา Tarbagatai ในประเทศคาซัคสถาน โครงกระดูกที่พบนั้น ในเบื้องต้นเชื่อว่าเป็นของเด็กวัยรุ่นเพศชายที่เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 19 ปี และเด็กวัยรุ่นเพศหญิงที่เสียชีวิตเมื่ออายุ 16 ปี โครงกระดูกเพศชายถูกฝังไว้พร้อมๆ กับเครื่องประดับหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอทองคำ มีดสั้นที่ทำจากทองและสัมฤทธิ์ และสิ่งที่น่าจะเป็นเหรียญทองอีกเป็นจำนวนมาก จากร่องรอยที่มีการขุดพบ เชื่อว่าโครงกระดูกของวัยรุ่นเพศหญิงน่าจะถูกปล้นโดยโจรปล้นสุสาน ในขณะที่โครงกระดูกของเด็กวัยรุ่นเพศชายไม่มีร่องรอยของการขุดค้นมาก่อน นั่นหมายความว่าเดิมทีแล้ว โครงกระดูกทั้งสองน่าจะถูกฝังไว้พร้อมๆ กับทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก และน่าจะเป็นลูกหลานของครอบครัวที่มีฐานะในสมัยก่อน โดยในเบื้องต้นนักโบราณคดีเชื่อว่าโครงกระดูกที่พบ น่าจะเป็นของชนเผ่าเร่ร่อน “ชากา” ซึ่งเข้ามาในพื้นที่อยู่ราวๆ หนึ่งศตวรรษ ก่อนที่จะถูกพิชิตโดยชาวตุรกี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการขุดพบของมีค่าเป็นจำนวนมากในพื้นที่แห่งนี้ เพราะเมื่อต้นปี 2018 เอง ก็มีการขุดพบเพชรพลอยจำนวนมากในที่แห่งนี้มาแล้ว ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่าเผ่าชากาในพื้นที่แห่งนี้ น่าจะมีฐานะที่ร่ำรวยมากเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามการค้นพบในครั้งนี้ ยังต้องมีการนำโครงกระดูกไปตรวจสอบเพิ่มเติมโดยทางนักวิทยาศาสตร์ก่อน เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่มีการค้นพบต่อไป ที่มา archaeology และ allthatsinteresting
-
5 วิธีการทรมานสุดเพี้ยนในอดีต ที่โหดหรือไม่โหดไม่รู้ แต่เรื่องแปลกนี่ต้องยกให้เลยจริงๆ
ตั้งแต่ในสมัยก่อน มนุษย์เราได้สรรหาสารพัดวิธีการที่จะนำมาทรมานผู้อื่น บางครั้งวิธีการเหล่านั้นก็อาจจะโหดร้าย ทารุณ เหนือกว่าที่จะจินตนาการ แต่ในบางครั้งวิธีการทรมานที่ถูกใช้ก็อาจจะดูแปลกแบบสุดๆ ได้เช่นกัน เหมือนอย่างวิธีการทรมานสุดเพี้ยนในอดีตทั้ง 5 อย่างต่อไปนี้ ที่โหดหรือไม่โหดไม่รู้ แต่เรื่องแปลกนี่ต้องยกให้เลยจริงๆ การทรมานด้วยการจักจี้ เราอาจจะเคยเห็นการทรมานแบบนี้มาในการ์ตูนอยู่บ่อยๆ แต่รู้หรือไม่ว่าการจักจี้นั้นเคยเป็นการทรมานที่ถูกใช้จริงๆ มาก่อน ทั้งในอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น หรือกระทั่งในค่ายกักกันนาซี การทรมานแบบนี้มีอยู่หลากหลายวิธี แต่หนึ่งในนั้นคือการเอาเกลือหรือน้ำหวานทาที่เท้าของเหยื่อ และให้แพะเลียไปเรื่อยๆ นี่อาจจะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่การหัวเราะอย่างต่อเนื่องก็อาจจะนำไปสู่การ วิงเวียน อาเจียน หรือเป็นลมได้เลย นอกจากนี้ การเลียของแพะที่นานเกินไปยังอาจจะทำให้ผิวหนังลอกออกอย่างรุนแรงได้อีกด้วย Schwedentrunk การทรมานนี้บางครั้งก็เรียกว่า “เครื่องดื่มแห่งสวีเดน” เป็นการทรมานที่ถูกคิดต้นขึ้นในช่วงสงครามสามสิบปีระหว่างเยอรมนีและสวีเดน (ระหว่างปี 1618-1648) โดยนี่จะเป็นการทรมานโดยบังคับให้เหยื่อดื่มสิ่งสกปรกอย่างปัสสาวะ อุจจาระ หรืออาเจียน (หรือบางครั้งก็อาจจะเป็นน้ำต้มเดือด) เข้าไปในปริมาณมากๆ จนท้องป่อง ก่อนที่มีการเหยียบ กระทืบ หรือทับท้องด้วยของหนักอีกที ห้องสีขาว นี่เป็นการทรมานที่เน้นไปที่การโจมตีทางจิตใจเป็นหลักและมีประวัติถูกใช้มาแล้วหลายครั้งในโลก โดยจะเป็นการนำเหยื่อมาใส่ชุดขาวและขังไว้ในห้องที่ทุกอย่างเป็นสีขาว และแม้กระทั่งอาหารที่ได้รับก็จะเป็นสีขาว นี่เป็นการทรมานที่เน้นเรื่องความโดดเดี่ยวเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่ว่ายามของที่คุมขังต้องไม่ทำให้เหยื่อรู้ตัวว่ามีใครอยู่ใกล้ๆ เลยทีเดียว โดยมากแล้วเหยื่อที่ถูกทรมานเช่นนี้จะเริ่มมีอาการประสาทหลอน…
-
รู้จักกับ Fuck Tha Police เพลงแรปในตำนาน ประท้วงความไม่ยุติธรรมของ “ตำรวจ”
N.W.A (Niggaz Wit Attitudes) คือชื่อของกลุ่มศิลปินแรปเปอร์ผิวสีระดับตำนาน ประกอบไปด้วย Arabian Prince, MC Ren, Ice Cube, Eazy-E, DJ Yella และ Dr.Dre เริ่มก่อตั้งขึ้นมาในปี 1986 รายชื่อเรียงจากซ้ายไปขวา พวกเขาส่วนใหญ่เติบโตมาจากในเมือง Compton ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เมืองที่ชาวผิวสีจำนวนมากถูกตราหน้าว่าเป็นพวก “แก๊งสเตอร์” และต้องถูกกดขี่ข่มเหงโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ คนผิวสีจะต้องเผชิญกับการใช้ชีวิตในสังคมแบบที่ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้อย่างปกติ เป็นความเหลื่อมล้ำที่เห็นได้ชัดระหว่างคนผิวขาวและคนผิวสีในยุคนั้น ลองคิดภาพตามกันดูว่าแค่พวกเขาจับกลุ่มยืนคุยกันอยู่ข้างถนน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะจอดรถและตรงเข้ามาสอบถามทันที เพียงเพราะว่าพวกเขาเป็นคนผิวสี ซึ่งบางครั้งอาจถึงขั้นจับกุมตัวไปอย่างไร้เหตุผลเลยก็ได้ เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนต่างจับตามองทุกการกระทำของคนผิวสี พร้อมที่จะแจ้งข้อหาจับผิดทุกๆ อย่าง และการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุต่อคนผิวสีก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไป และสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นแค่จากตำรวจที่เป็นคนผิวขาวเท่านั้น เพราะแม้แต่ตำรวจผิวสีเองก็ยังทำพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันด้วย ภาพจากภาพยนตร์ปี 2015 ที่พูดถึงชีวิตของศิลปินกลุ่มนี้ การใช้ชีวิตที่ต้องถูกกดขี่โดยตำรวจที่มีหูมีตาอยู่ทั่วเมือง ความรู้สึกของพวกเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงเพื่อต่อต้านความไม่ชอบธรรมของพวกเขา มันคือจุดเริ่มต้นของเพลงระดับตำนานอย่าง Fuck Tha Police Fuck…
-
22 ภาพความน่ากลัวของรถไฟใต้ดินในนิวยอร์กยุค 70-80 เพราะที่นั่นไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป
เมื่อพูดถึงรถไฟใต้ดิน เชื่อว่าหลายๆ คนคงคิดถึงความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง เพราะถึงแม้จะแออัดไปบ้าง อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวการจราจรบนถนน แต่รู้กันไหมว่าสำหรับนครนิวยอร์กในช่วงยุค 70-80 มันไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะในช่วงนี้รถไฟใต้ดินของสหรัฐฯ นับว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว ไม่เชื่อก็ลองดูในภาพต่อไปนี้สิ ในช่วงยุค 70-80 รถไฟใต้ดินของสหรัฐฯ นับว่าเป็นแหล่งมั่วสุมขนาดใหญ่ที่หนึ่ง เนื่องจากในเวลานั้นยังไม่มีการตรวจตราที่เข้มงวด นั่นทำให้ที่แห่งนี้มีคนอยู่ทุกประเภท และในหลายๆ ครั้งก็จะเต็มไปด้วยผู้ไม่หวังดี ในบางเวลาของวันที่สถานีจะเปลี่ยวอย่างไม่น่าเชื่อ มีคนไร้บ้านอาศัยอยู่เต็มไปหมด แถมตัวรถไฟก็เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนสกปรก และเจ้าหน้าที่มีจำนวนน้อย ไม่เพียงพอต่อการดูแลพื้นที่ทั้งหมด นั่นทำให้คนที่มาใช้บริการ มักรู้สึกหวาดระแวงอยู่เสมอๆ เพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนที่เห็นเป็นคนดีหรือไม่ ทำให้มีผู้คนจำนวนมากหลีกเลี่ยงที่จะให้งานรถไฟใต้ดิน แต่ในบางครั้งคนเราก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเดินทางได้อยู่ดี อัตราอาชญากรรมในที่แห่งนี้พุ่งสูงอย่างไม่น่าเชื่อในช่วงปลายยุค 70 จนถึงขั้นที่ว่าในปี 1980 ทางรัฐต้องจ้างตำรวจเพิ่มเติมจำนวนมาก ในปีนั้นมีการจ้างตำรวจกว่า 2,300 นายเข้ามาดูแลพื้นที่ และมีการสอดส่องดูแลตลอด 24 ชั่วโมง…
-
21 ภาพหาชมยากจากสงครามเกาหลี สงครามอันน่าสลด ที่แบ่งแยกสองพี่น้องออกจากกัน
สำหรับหลายๆ คนแล้ว สงครามเกาหลีนับว่าเป็นสงครามที่ได้รับความสนใจน้อยมาก จนถึงขั้นที่ว่ามีคนตั้งฉายาให้เป็น สงครามที่ถูกลืมเลยทีเดียว ถึงอย่างนั้นสงครามครั้งนี้เองก็เป็นสงครามที่เต็มไปด้วยความสูญเสียไม่แพ้สงครามอื่นๆ ในโลก และมีภาพที่น่าสนใจมากมายที่ถูกบันทึกเอาไว้ในระหว่างสงครามในครั้งนี้ ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะมาชม 21 ภาพหายากจากสงครามเกาหลี สงครามที่ถูกลืมซึ่งน้อยคนนักจะเข้าใจ เริ่มกันที่ภาพเด็กเกาหลีที่แบกน้องชายเอาไว้ โดยมีรถถังเป็นฉากหลัง ที่ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1950 การเดินทัพของทหารเกาหลีเหนือในกรุงโซล ภาพทหารสหรัฐฯ ที่ถูกจับโดยทหารเกาหลีเหนือ การยกพลขึ้นฝั่งของทหารสหรัฐฯ ในวันที่ 15 กันยายน 1950 ภาพทหารแห่งกองทหารที่ 31 เตรียมขึ้นฝั่งที่ท่าเรืออินช็อน 18 กันยายน 1950 ภาพการโจมตีทางอากาศที่ถ่ายจากเครื่อง USAF RF-80 ทหารสหรัฐฯ (ขวา) จับกุมคนเกาหลีเหนือในวันที่ 20 กันยายน 1950 เด็กเกาหลี นั่งบนซากบ้านที่ไฟไหม้ ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1951…
-
เปิดตำนาน “วูดเฮนจ์” สถานที่ซึ่งเป็นสโตนเฮนจ์แห่งเยอรมนี กับประวัติการบูชายัญในอดีต
ในยุคสมัยที่ข้อมูลหาได้ง่ายเพียงแค่เปิดอินเตอร์เน็ตเช่นนี้ เชื่อว่าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักสโตนเฮนจ์ สิ่งก่อสร้างหินปริศนาแห่งประเทศอังกฤษอีกแล้ว แต่รู้กันไหมว่าที่เยอรมนีเอง ก็มีอะไรคล้ายกันนี้อยู่เช่นกัน มันคือโบราณสถานที่มีอายุราวๆ 4,300 ปีซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่บ้าน Pömmelte ในเยอรมนี และมีชื่อเรียกว่า “สโตนเฮนจ์แห่งเยอรมัน” หรือ “วูดเฮนจ์” วูดเฮนจ์ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในปี 1991 โดยเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทำจากไม้ และเรียงกันเป็นวงกลมหลายชั้น ซึ่งแม้จะไม่ได้โด่งดังเท่ากับสโตนเฮนจ์ของอังกฤษ แต่ที่แห่งนี้ก็มีเรื่องราวของตัวเองเช่นกัน เพราะในบริเวณที่มีการค้นพบวูดเฮนจ์นั้น ได้มีการค้นพบโครงกระดูกของเด็ก และหญิงวัยรุ่นจำนวนมากเช่นกัน และจากการตรวจสอบของนักวิทยาศาสตร์พวกเขานั้นได้จบชีวิตลงจากการสังหารที่โหดร้ายรุนแรงอีกด้วย จริงอยู่ว่านี่อาจจะเป็นเพียงการสังหารหมู่ธรรมดาในสมัยนั้น แต่จากการที่ไม่มีโครงกระดูกของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่อยู่เลย ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่าโครงกระดูกเหล่านี้ น่าจะมาจากการบูชายัญเสียมากกว่า เป็นไปได้ว่าในสมัยก่อนจะมีการใช้ที่แห่งนี้ในการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ และมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 250 ปี ตลอดช่วง 2300-2050 ปีก่อนคริสตกาล ส่งผลให้มีโครงกระดูกจำนวนมากถูกฝังอยู่ในที่แห่งนี้ไป อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าการประกอบพิธีกรรมที่ว่าจะถูกยกเลิกไปกลางคัน เพราะในบริเวณหนึ่งของวูดเฮนจ์ยังมีวัตถุโบราณที่น่าจะเคยใช้ในการประกอบพิธีฝังเอาไว้และกลบด้วยขี้เถ้า ซึ่งน่าจะเกิดจากการเผาเสาทิ้งบางส่วน เป็นไปได้ว่าในช่วง 2050 ปีก่อนคริสตกาล ได้มีการยกเลิกประกอบพิธีกรรมไป คนในสมัยนั้นจึงเอาอุปกรณ์ที่เคยใช้ทั้งหมดใส่ลงไปในหลุม และเผาเสาไม้เพื่อเอาขี้เถ้าไปกลบหลุมเสียนั่นเอง ในปัจจุบันวูดเฮนจ์ได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ด้วยความร่วมมือระหว่างทางการและผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ และได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อให้คนจากทุกมุมโลกได้มาเยี่ยมชมสืบไป…
-
Heinz Meixner ผู้ขับรถหนีจากคอมมิวนิสต์ ลอดใต้ด่านเบอร์ลินตะวันออก ทำทุกสิ่งเพื่อความรัก
ว่ากันว่าคนเราสามารถทำทุกอย่างได้เพื่อความรัก คำพูดนี้ใช้ได้ดีมากในกรณีของ Heinz Meixner เพราะสำหรับเขาแล้วเพื่อที่จะได้อยู่กับคนที่รัก ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตเขาก็ไม่กลัว เรื่องราวของ Heinz Meixner เกิดขึ้นในเยอรมนีเมื่อปี 1963 ในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดของสงครามเย็นพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ในเวลานี้เองที่ Meixner หลงรักสาวคนหนึ่งในกรุงเบอร์ลินตะวันออก ซึ่งอยู่ในการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ แต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองหลายๆ อย่างในตอนนั้น Meixner จึงไม่สามารถครองรักกับหญิงสาวที่เขาชอบได้ นั่นทำให้ Meixner วางแผนที่จะพาคนรัก (และแม่ของเธอ) หนีไปยังออสเตรีย บ้านเกิดของเขา เพื่อที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบ ปัญหาคือกำแพงเบอร์ลินที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา และด่านตรวจ “ชาร์ลี” ที่มีการคุมเข้มตลอด 24 ชั่วโมง นับว่าเป็นโชคดีของ Meixner ที่เขาสังเกตเห็นว่าด่านตรวจ “ชาร์ลี” มีเหล็กกั้นที่สูงจากพื้นถึง 95 เซนติเมตร Meixner จึงออกหารถซึ่งเตี้ยพอที่จะลอดเหล็กกั้นดังกล่าวได้ทันที เขาซื้อรถ Austin-Healey Sprite ซึ่งหากเปิดประทุนและถอดกระจกหน้าออกจะมีความสูงเพียง 90 เซนติเมตร ให้ภรรยากับแม่ยายซ่อนอยู่หลังเบาะและในกระโปรงหลัง ก่อนที่จะขับรถไปที่ด่านตรวจชาร์ลีในวันที่ 5 พฤษภาคม เขาถูกสายตรวจของด่านตรวจเรียกให้หยุดและลงจากรถ แต่แทนที่จะทำตาม Meixner ก็ตัดสินใจขับรถพุ่งลอดใต้เหล็กกั้น ก่อนจะเหยียบคันเร่งหนีเข้าไปยังกรุงเบอร์ลินตะวันตก…
-
“Durdak Garcham” ประเพณีประหลาดของชาวทิเบต ที่ให้โครงกระดูกออกมาเต้นระบำ
บนปกของนิตยสาร National Geographic ฉบับประจำเดือนพฤศจิกายน 1928 ได้มีการนำภาพสุดประหลาดของคนที่ใส่ชุดโครงกระดูกมาลง จนกลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงของสมัยนั้นไป นี่คือภาพที่ถูกถ่ายไว้ในปี 1925 และนำมาผ่านเทคนิค Autochrome เพื่อแต่งเติมสีให้กับภาพขาวดำก่อนจะนำไปขึ้นปกนิตยสาร โดยเป็นภาพของนักเต้นชาวทิเบตที่กำลังประกอบพิธีกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ พิธีกรรมการเต้นที่เห็นนี้มีชื่อว่า “Durdak Garcham” หรือ “ระบำเทพเจ้าแห่งโครงกระดูก” ซึ่งเป็นพิธีกรรมของชาวพุทธเชื้อสายหิมาลายัน (น่าจะเป็นนิกายวัชรยาน) ว่ากันว่าผู้เต้นจะเป็นตัวแทนของ “Chitipati” คู่รักผู้เป็นผู้ปกครองพื้นดินของสุสาน ผู้มีตาแห่งภูมิปัญญา ใส่มงกุฎที่ทำจากกะโหลกเล็กๆ ถือคทาที่ทำจากหัวและกระดูกสันหลังมนุษย์ และครอบครองกะโหลกที่เรียกว่า Kapala อย่างไรก็ตามการเต้นระบำเทพเจ้าแห่งโครงกระดูก บางครั้งก็จะถูกบอกว่าเป็นการแสดงโดยพระสี่รูปซึ่งเปรียบเสมือนกองทัพแห่งความดีของพระยมราชแทน จึงเป็นไปได้ว่าการเต้นระบำนี้ อาจมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ แต่ไม่ว่าจะมีรากฐานมาจากไหน การประกอบพิธีในรูปแบบนี้ก็มีจุดร่วมเดียวกันคือ เพื่อสะท้อนถึงความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ รวมถึงร่างกายและจิตใจนั่นเอง ที่มา rarehistoricalphotos, cultofweird, posttoday
-
โครงกระดูกที่เคนย่าเผยการ “สังหารหมู่” ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เมื่อราวๆ 10,000 ปีก่อน
ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เราได้พบการสังหารหมู่อยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลจากสงคราม การแย่งชิงพื้นที่ หรือการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ประวัติศาสตร์ก็เปื้อนไปด้วยเลือดเสมอมา ว่าแต่เคยสงสัยไหมว่าการสังหารหมู่ที่เก่าแก่ที่สุดมันเป็นอย่างไรกัน? นี่คือหนึ่งในฟอสซิลโครงกระดูกของชนเผ่าเร่ร่อน ที่มีอายุราวๆ 10,000 ปี ซึ่งมีการขุดพบที่ แหล่งโบราณคดี “Nataruk” ห่างออกไปจากทะเลสาบเทอร์คานาในประเทศเคนย่าราวๆ 30 กิโลเมตร โครงกระดูกที่ถูกพบนั้นมีอยู่อย่างน้อยๆ 27 ร่าง และทั้งหมดล้วนแต่มีร่องรอยของการถูกทุบด้วยของแข็ง หรือถูกโจมตีด้วยธนู ทำให้นี่กลายเป็นการสังหารหมู่ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการขุดพบบนโลกใบนี้ไป ในบรรดาโครงกระดูกนั้นเป็นผู้หญิงอยู่ 8 ร่าง และมีโครงกระดูกของเด็กอีกราวๆ 6 ร่าง แถมหนึ่งในผู้หญิงเหล่านั้นยังเป็นหญิงท้องแก่อีกด้วย สะท้อนให้เห็นถึงความไร้ปรานีของฝั่งผู้โจมตีได้อย่างดี หนึ่งในโครงกระดูกของผู้หญิงที่ถูกพบ มีร่องรอยของการโดนมัดมือก่อนที่จะถูกสังหาร แม้จะไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าฝ่ายที่โจมตีเป็นใครมาจากไหน แต่จากหลักฐานหัวธนูที่ทำจากหินออบซิเดียน ซึ่งหาได้ยากในพื้นที่ นักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่าใครก็ตามที่สังหารกลุ่มคนเหล่านี้ น่าจะอพยพมากจาพื้นที่อื่น นอกจากนี้การยังมีหลักฐานว่าร่างของผู้เสียชีวิตทั้งหมดไม่ได้มีการถูกฝังหลังจากที่ตาย ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้มากว่าการสังหารหมู่ในครั้งนี้ น่าจะเกิดขึ้นในสงครามระหว่างเผ่าอีกด้วย นี่เป็นหลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งของประวัติศาสตร์ว่ามนุษย์มีการก่อสงครามและการสังหารหมู่มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ทั้งๆ ที่ดินแดนแห่งนี้ในสมัยก่อนมีความสมบูรณ์มากพอที่เผ่าทั้งสองจะสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบได้แท้ๆ เป็นไปได้ว่าความรุนแรงและกระหายเลือดจะเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในสายเลือดของมนุษย์ก็เป็นได้ เพราะแม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 10,000 ปี มนุษย์ก็ยังคงไม่หยุดที่จะฆ่าฟันกันเองอยู่ดี …
-
4 เหตุการณ์น่าสะเทือนขวัญในอดีต ที่อาจสามารถเลี่ยงได้ง่ายๆ เพียงแต่ฟังคำเตือนสักนิด
มีอยู่บ่อยครั้งที่มนุษย์เราไม่เชื่อฟังคำเตือนจากคนอื่น ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นพ่อแม่ ครู หรือแม้กระทั่งเพื่อนๆ นั่นทำให้พวกเขาต้องพบกับเหตุการณ์ที่เจ็บปวด ทั้งๆ ที่อาจจะสามารถหลบเลี่ยงเหตุการณ์เหล่านั้นได้ง่ายๆ และนี่คือ 4 เหตุการณ์น่าสะเทือนขวัญในอดีต ที่อาจสามารถเลี่ยงได้ง่ายๆ หากคนในสมัยนั้น ยอมฟังคำเตือนของคนที่ออกมาบอกสักนิด ภัยพิบัติกระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์ นี่เป็นเหตุการณ์ที่กระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์แตกเป็นเสี่ยงๆ ในเวลา 73 วินาทีหลังออกบิน ทำให้สมาชิกลูกเรือทั้งเจ็ดคนเสียชีวิต ซึ่งแม้จะฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เชื่อไหมว่าเคยมีคนเตือนทาง NASA ไปแล้ว ชายคนดังกล่าวคือ Roger Boisjoly ผู้ที่ทราบว่าระบบไอพ่นของกระสวยอวกาศจะต้องทำงานผิดพลาดแน่ๆ และพยายามหยุดการปล่อยจรวด โชคร้ายที่ NASA ไม่เชื่อว่า “ความผิดพลาดในการออกแบบ” ที่ Roger บอกจะเป็นความจริง และฝืนที่จะปล่อยกระสวยต่อไป จนเกิดเป็นโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ การลอบสังหารอับราฮัม ลินคอล์น เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าก่อนที่อับราฮัม ลินคอล์นจะถูกสังหาร มีคนจำนวนมากที่เคยเตือนให้เขาระวังตัวมาก่อน แต่ในบรรดาคนเหล่านั้น คนที่มั่นใจว่าลินคอล์นตกอยู่ในอันตรายที่สุดก็คงไม่พ้น Charles Colchester Colchester เป็น “ผู้มีญาณทิพย์” ชาวอังกฤษที่ออกมาเตือนผู้คนว่า ลินคอล์นกำลังอยู่ในอันตรายในช่วงราวๆ 1 สัปดาห์ก่อนถูกลอบสังหาร มีข่าวลือว่า Colchester ได้ข้อมูลเหล่านี้มาจากแหล่งข้อมูลภายในของกลุ่มผู้ไม่หวังดี ไม่ใช่ “ญาณทิพย์” อย่างที่หลายๆ…
-
5 ผลผลิตที่มีชื่อเสียงของโลก ซึ่งเกิดขึ้นจากความบังเอิญล้วนๆ ไม่ได้ตั้งใจแต่อย่างใด
สิ่งของหลายอย่างบนโลก ไม่ว่าจะเป็นของกิน เครื่องดื่ม ของใช้ หรือแม้แต่ฉากในภาพยนตร์ที่เราชอบกัน บางครั้งก็เกิดขึ้นโดยที่คนทำไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นเลยสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมผลผลิตเหล่านั้นมันกลับออกมาดีอย่างไม่น่าเชื่อ จนทำให้ความบังเอิญธรรมดาๆ กลายเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาไป และสิ่งของที่เกิดจากความบังเอิญเหล่านั้น กลายเป็นสิ่งที่โลกต้องจดจำไปได้เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะมาชม 5 ผลผลิตที่มีชื่อเสียงของโลกซึ่งเกิดขึ้นจากความบังเอิญล้วนๆ ไม่ได้ตั้งใจแต่อย่างใด คุกกี้ช็อกโกแลตชิป คุกกี้ช็อกโกแลตชิปนั้นแรกเริ่มเดิมทีเกิดจากการที่ Ruth Wakefield เจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งจะทำคุกกี้ช็อกโกแลต แต่กลับไม่มีดาร์กช็อกโกแลตสำหรับทำขนมเหลืออยู่ เธอจึงเอาช็อกโกแลตแบบหวานมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่คุกกี้โดยหวังว่ามันจะละลายในระหว่างอบ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ละลาย และออกมาเป็นคุกกี้ช็อกโกแลตชิปแบบที่เรารู้จักไป ไอศกรีมโคนวาฟเฟิล เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1904 ในงาน St. Louis World’s Fair เมื่อ Arnold Fornachou พ่อค้าไอศกรีมคนหนึ่ง ขายไอศกรีมดีมาก จนถ้วยกระดาษที่เตรียมมาใส่ไอศกรีมหมด และบังเอิญว่าในเวลานั้นข้างๆ ร้านของเขามีร้านขายวาฟเฟิลแบบกรอบเปิดอยู่พอดี ด้วยเหตุนี้แทนที่จะปิดร้านกลับ Fornachou ก็เลยซื้อวาฟเฟิลแบบกรวยมาทำเป็นโคน และกลายเป็นต้นกำเนิดของไอศกรีมวาฟเฟิลไป ชีสเบอร์เกอร์ จากคำกล่าวอ้างของร้าน Rite Spot ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ช่วงปี 1920 เชฟหนุ่มชื่อ Lionel Sternberger เผลอทำเนื้อที่ต้องใส่ในเบอร์เกอร์ไหม้ไปเล็กน้อย…
-
เปิดตำนาน “Lyudmila Pavlichenko” สไนเปอร์หญิงที่เก่งที่สุด ผู้สังหารทหารนาซีร่วม 309 ราย
หากพูดถึงสไนเปอร์ที่เก่งที่สุด เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะคิดถึง “มัจจุราชสีขาว” อย่าง Simo Häyhä เป็นคนแรก แต่ถ้าพูดถึงสไนเปอร์ “หญิง” ที่เก่งที่สุดล่ะ เพื่อนๆ จะนึกถึงใครขึ้นมา? นี่คือ Lyudmila Mykhailivna Pavlichenko สไนเปอร์หญิงจากกองทัพโซเวียตเจ้าของสถิติยิงสังหารทหารนาซีไป 309 ราย Lyudmila เข้าเป็นหนึ่งในกลุ่มทหารสไนเปอร์หญิง 2,000 คนแห่งกองทัพโซเวียตเมื่อตอนที่เธออายุได้ 24 ปี และเป็นหนึ่งในสไนเปอร์หญิงเพียง 500 คนที่รอดชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สองอีกด้วย เธอเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่ในช่วงที่ผู้หญิงยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่ และคาดว่าจะได้เข้ารับหน้าที่ในฐานะพยาบาลของกองทัพในช่วงแรก อย่างไรก็ตามจากผลงานเก่าๆ ของเธอในกองทัพอาสาสมัครเพื่อความร่วมมือกับกองทัพอากาศและกองทัพเรือ (DOSAAF) Lyudmila ก็ถูกย้ายไปอยู่หน่วยพลแม่นปืนแทน จากคำบอกเล่าของตัว Lyudmila เอง วิธีการสังหารศัตรูของเธอนั้นค่อนข้างจะโหดมาก โดยเธอจะยิงทหารคนหนึ่งให้บาดเจ็บเพื่อหลอกล่อให้เพื่อนๆ มาช่วยและกลายเป็นเหยื่อคนต่อไปของเธอ วิธีการรบเช่นนี้เองทำให้เธอกลายเป็นที่หวาดกลัว และโกรธแค้นของทหารนาซีไป ถึงขั้นที่ว่าเคยมีจดหมายมาขู่ว่าจะ “หั่นเธอเป็น 309 ชิ้น” เลยทีเดียว แต่แทนที่จะกลัวเธอกลับรู้สึกยินดีมาก และบอกว่า “พวกเขารู้สถิติของฉันด้วย” ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ Lyudmila ก็บาดเจ็บอยู่หลายครั้ง…
-
งานวิจัยเผย “ลีโอนาร์โด ดา วินชี ” วาดภาพงดงามออกมาได้ อาจเพราะอาการ “ตาเหล่”
ตั้งแต่ในสมัยก่อน คนเราสงสัยกันมาตลอดว่าด้วยเหตุใดกันคนอย่าง ลีโอนาร์โด ดา วินชี จึงสามารถวาดภาพที่งดงามและเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ออกมาได้ จริงอยู่ว่าเรื่องเหล่านี้อาจจะเกี่ยวกับพรสวรรค์และการฝึกฝนเป็นหลัก แต่จากการวิจัยของแพทย์ล่าสุดนี้เอง ไม่แน่นะว่าการที่ลีโอนาร์โด ดา วินชี วาดภาพที่งดงามออกมาได้แบบนี้ อาจจะมาจากอาการ “ตาเหล่” ก็เป็นได้ อ่านมาถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะเริ่มสงสัยว่าอาการดวงตาทั้งสองข้างไม่ได้เพ่งมองไปที่จุดเดียวกัน ที่เราเรียกว่า ตาเหล่ หรือตาเขนั้น มันเกี่ยวข้องกับการวาดภาพอย่างไรกัน? เรื่องนี้คณะแพทย์จากมหาวิทยาลัย City University of London ได้อธิบายไว้ว่า อาการตาเหล่ จะมีลักษณะการมองเห็นในมุมมองที่ต่างไปจากคนปกติ ซึ่งแม้จะฟังดูเป็นอาการที่ไม่ดีแต่กลับมีประโยชน์ต่อผลงานในเชิงศิลป์มาก นั่นเป็นเพราะการมองเห็นภาพสามมิติของคนเรามาจากการประมวลผลของสมอง โดยอาศัยข้อมูลจากดวงตาทั้งสอง เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเวลาเอานิ้วมาวางใกล้ๆ จมูกและหลับตาทีละข้าง นิ้วเราจะอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เองอาการตาเหล่จึงทำให้คนที่มีอาการสามารถถ่ายทอดภาพสามมิติลงบนพื้นภาพใบที่เป็นสองมิติได้ดี เพราะสมองให้ความสำคัญกับข้อมูลภาพสามมิติที่ได้รับจากตาของข้างต่างจากคนทั่วไป และนั่นก็ทำให้การเปลี่ยนวิวที่เห็นจากสามมิติเป็นสองมิติผ่านการมองด้วยตาเพียงข้างเดียวของคนที่ตาเหล่ มีประสิทธิภาพกว่าคนที่ไม่มีอาการในหลายๆ สถานการณ์ โดยจากการวิจัยภาพจำนวนหนึ่งของ ลีโอนาร์โด ดา วินชี ทางแพทย์เชื่อว่าอาการตาเหล่ของเขานั้นไม่รุนแรง และไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำให้เขาสามารถพลิกแพลงการมองได้ดีกว่าคนอื่นๆ แถมยังไม่ดูแปลกแยกมากนัก นอกจากนี้ทางทีมแพทย์ที่ทำการวิจัยเองก็เชื่อว่าน่าจะยังมีศิลปินอีกหลายคนในประวัติศาสตร์ที่มีอาการตาเหล่ โดยในเบื้องต้นเชื่อว่าเรมบรันต์ หรือปิกัสโซเองก็น่าจะมีอาการเช่นนี้เหมือนกัน ที่มา independent, allthatsinteresting, msn
-
พบรถม้าศึกโบราณจากยุคเหล็ก ถูกฝังแบบครบถ้วนทั้ง ตัวรถ ม้าลาก และคนขับ
ในสมัยก่อนมนุษย์เราใช้ม้ารถด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ทั้งในการเดินทาง การค้า และสงคราม การขุดพบรถม้าโบราณจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไร แต่เรื่องที่ทำให้การค้นพบในครั้งนี้แปลก อยู่กับสิ่งที่มาพร้อมกับรถม้าต่างหาก เพราะนี่เป็นการค้นพบรถม้าศึกโบราณจากยุคเหล็ก ที่ถูกฝังแบบครบถ้วนทั้งตัวรถม้า ม้าที่ลากรถ และแม้กระทั่งคนที่กำลังควบคุมรถม้าศึกคันนั้นอยู่นั่นเอง นี่เป็นการค้นพบโดยบริษัทพัฒนาพื้นที่ Persimmon Homes Yorkshire ในระหว่างการเตรียมการก่อสร้างหมู่บ้านแห่งใหม่ที่เมือง Pocklington เมืองค้าขายเล็กๆ ของอังกฤษ โดยคุณ Simon Usher กรรมการผู้จัดการบริษัท Persimmon Homes Yorkshire ได้ออกมากล่าวยืนยันว่า บริษัทของเธอได้มีการพบรถม้าโบราณจริงๆ และได้มีการจัดทีมนักโบราณคดีเข้าขุดค้นพื้นที่ที่มีการค้นพบรถม้าแล้ว แม้ว่าคุณ Simon จะยังไม่ขอให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับรถม้าที่พบจนกว่าที่การขุดค้นรถม้าจะเสร็จสิ้นลง แต่เขาก็ได้กล่าวว่ารถม้าคันนี้จะถูกนำไปออกรายการ Digging for Britain ของทาง BBC อย่างแน่นอน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการขุดพบรถม้าในพื้นที่เมือง Pocklington เพราะในปี 2017 เองก็เคยมีการขุดพบรถม้าที่มีซากม้าลากอยู่ด้วยมาก่อนแล้ว อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่มีการขุดพบรถม้าที่มีร่างผู้ควบคุมอยู่ด้วยในพื้นที่ ที่มา allthatsinteresting, yorkshirepost, archaeology
-
ชาวเน็ตโพสต์คลิป “คนยักษ์” ในญี่ปุ่นช่วงปี 1890 มนุษย์จะตัวใหญ่ขนาดนี้ได้จริงหรือ?
เคยได้ยินบ่อยครั้งอยู่เหมือนกันว่า คนสมัยก่อนนั้นบางคนก็มีขนาดร่างกาย “ใหญ่ยักษ์” แต่ไม่รู้ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อดีเพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนยืนยันคำกล่าวเหล่านั้น แต่เมื่อเร็วๆ นี้กลับมี คลิปวิดีโอ หนึ่งบนอินเทอร์เน็ตที่เผยให้เห็นภาพเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “คนยักษ์” ที่ร่วมเดินขบวนอะไรบางอย่างในประเทศญี่ปุ่น คลิปวิดีโอคนยักษ์ ในญี่ปุ่น ช่วงปี 1890 จะเห็นได้ว่าชายคนหนึ่งที่ดูตัวใหญ่โตมหึมาสวมชุดซูโม่กำลังเดินร่วมขบวน สองข้างทางเป็นผู้คนที่คาดว่าน่าจะมาร่วมชมขบวนนี้ ต่างคนต่างก็ถือธงประจำประเทศญี่ปุ่นเป็นของตัวเอง จังหวะที่คนยักษ์คนนี้ ชูมือโบกให้กับคนดูข้างทาง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีคลิปวิดีโอออกมาเช่นนี้ เสียงของชาวเน็ตก็ยังแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าเป็นภาพจริงเพราะคนสมัยก่อนนั้นหากจะมีขนาดตัวใหญ่กว่าปกติ 2-3 เท่าก็ไม่แปลก ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งกลับแย้งว่าเป็นคลิปวิดีโอที่ถูก “สร้าง” ขึ้นด้วยเทคนิคการตัดต่อ เพราะไม่มีทางที่มนุษย์จะมีขนาดตัวใหญ่อย่างที่เห็นในคลิปวิดีโอได้ แล้วท่านผู้ชมล่ะครับ จากคลิปวิดีโอนี้ คิดว่าโลกของเราจะมีมนุษย์ที่ตัวใหญ่ยักษ์ขนาดนี้อยู่จริงหรือเปล่า? ที่มา: ck101 และ liveleak
-
นักโบราณคดีพบ “ค้อนเทพธอร์ขนาดจิ๋ว” ในหุบเขาทางตอนใต้ของประเทศไอซ์แลนด์
เมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคม 2018 ที่ผ่านมา ในหุบเขาธยอร์ซาดาเลอร์ (Þjórsárdalur) ที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ ได้มีข่าวการขุดพบวัตถุโบราณขนาดเล็กที่มีลักษณะคล้ายค้อนมโยลเนียร์ อาวุธของเทพธอร์ นี่เป็นค้อนมโยลเนียร์จำลองขนาดจิ๋ว ที่ทำขึ้นจากการแกะสลักหินทราย เชื่อกันว่าถูกใช้เป็นสร้อยคอกึ่งเครื่องรางโดยชาวไวกิ้งในช่วงปีคริสต์ศักราช 793-1066 การค้นพบในครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาก เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่มีการพบค้อนมโยลเนียร์จำลอง ที่ถูกสร้างขึ้นจากงานแกะสลักหินทราย (โดยมากแล้วค้อนมโยลเนียร์จำลองที่เคยค้นพบจะเป็นเครื่องเงิน) หุบเขาธยอร์ซาดาเลอร์ที่มีการค้นพบสร้อยคอรูปค้อน ดังกล่าวนับว่าเป็นสถานที่สำคัญในการขุดค้นวัตถุโบราณจากยุคไวกิ้งเลยก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่ในปี 1920 นักโบราณคดีได้มีการค้นพบวัตถุโบราณในที่แห่งนี้มาแล้วกว่า 20 ครั้ง พื้นที่บริเวณนี้ถูกพบเป็นครั้งแรกโดย Bergur Þór Björnsson ผู้เป็นชาวบ้านในพื้นที่โดยบังเอิญ และเชื่อกันว่าน่าจะเป็นพื้นที่เพาะปลูกของชาวไวกิ้งในสมัยนั้น Bergur Þór Björnsson ผู้ค้นพบพื้นที่ดังกล่าว เป็นไปได้ว่าสร้อยคอรูปค้อนที่พบจะเป็นผลงานที่เกิดจากการที่ศาสนาคริสต์เริ่มเข้ามาเผยแพร่ในหมู่ชาวไวกิ้ง และผสมผสานกับความเชื่อของชาวนอร์สโบราณจนออกมาเป็นเครื่องรางในลักษณะนี้ โดยนอกจากสร้อยคอที่พบแล้ว นักโบราณคดียังมีการขุดพบ หินลับมีด อีเต้อ และหัวเข็มขัด ในบริเวณใกล้ๆ กับสร้อยคออีกด้วย ในปัจจุบันนักโบราณคดีมีกำหนดการที่จะเคลื่อนย้ายวัตถุโบราณที่พบไปยังกรุงเรคยาวิก เมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์เพื่อทำการวิจัยวัตถุโบราณที่พบต่อไป โดยพวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะพบข้อมูลเกี่ยวกับอายุที่ชัดเจน และที่มาของวัตถุโบราณจากการวิจัยในครั้งนี้ และแน่นอนว่าจะมีการขุดค้นหุบเขาธยอร์ซาดาเลอร์เพื่อตามหาสิ่งที่อาจจะถูกฝังที่นั่นต่อไป ที่มา allthatsinteresting, ancient-origins, foxnews
-
“Kombat” ภาพถ่ายผู้กล้าแห่งโซเวียต ผู้ปลุกใจกองกำลังและจากไปหลังจากนั้นเพียง 2 นาที
ในเวลาโลกกำลังลุกไหม้ไปด้วยสงครามนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะพบกับภาพที่กลายเป็นตำนานสักภาพสองภาพ และสำหรับทางโซเวียตแล้ว ภาพที่เป็นตำนานเช่นนั้นคงไม่พ้นภาพ “Kombat” ของช่างภาพ Max Alpert นี่เป็นภาพที่ Max Alpert ถ่ายได้ในระหว่างการรบที่หมู่บ้าน Khorosheye ซึ่งเป็นหมู่บ้านในพื้นที่ประเทศยูเครนในปัจจุบัน และถูกถ่ายไว้เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 1942 นั่นเอง เขาคือ Alexey Yeremenko ผู้บังคับหมู่ที่ 4 ประจำกองร้อยปืนเล็กที่ 220 ผู้ซึ่งกล่าวปลุกใจจนทำให้ทางทหารกลับมามีใจสู้อีกครั้ง แต่ก็ต้องแลกด้วยการที่เขาถูกยิงจนตาย หลังจากที่ภาพนี้ถูกถ่ายออกมาได้ไม่ถึง 2 นาที ว่ากันตามตรงในตอนที่ภาพนี้ถูกถ่ายไม่มีใครรู้ว่าคนที่อยู่ในภาพเป็นใคร เพราะในเวลานั้นทุกคนต่างต้องการเอาชีวิตในสงครามอยู่ และหน่วยหมู่ที่ 4 ในภาพก็ไม่มีใครรอดกลับมาสักคนเลยด้วย นั่นทำให้ทุกคนรู้เพียงแค่ว่าชายคนดังกล่าวกำลังให้กำลังใจทหารของโซเวียตอยู่ และภาพภาพนี้ก็ถูกทางโซเวียตใช้ในการประชาสัมพันธ์กองทัพก็เท่านั้น จนกระทั่ง 23 ปีหลังจากนั้น ในปี 1965 ในที่สุดตัวจริงของชายในภาพก็ถูกเปิดเผยออกมา หลังจากที่ทางครอบครัวของ Alexey ออกมาเห็นรูปดังกล่าวเขา และบอกว่าคนในภาพนั้นต้องเป็น Alexey อย่างแน่นอน แต่แม้ว่า Alexey Yeremenko จะเสียชีวิตไปแล้ว ชื่อเสียงของเขาก็จะยังคงอยู่ในฐานะฮีโร่ของโซเวียตตลอดไป พร้อมๆ กับอนุสาวรีย์…
-
เปิดตำนาน “กระดานวีจี” ผีถ้วยแก้วของตะวันตก ซึ่งเบื้องหลังไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
รู้จักกระดานวีจี (Ouija) ไหม? นี่เป็นกระดานที่ใช้ทั้งในการละเล่น และการติดต่อกับโลกวิญญาณที่โด่งดังของทางยุโรป ซึ่งหากจะพูดแล้วก็คงคล้ายๆ กับผีถ้วยแก้วของไทยนั่นเอง กระดานวีจี มาจากคำว่า Oui ในภาษาฝรั่งเศส และ Ja ในภาษาเยอรมัน ซึ่งทั้งสองคำแปลว่า “ใช่” ทั้งคู่ กระดานวีจีประกอบไปด้วยกระดานที่มีการพิมพ์ตัวหนังสือเอาไว้ และอุปกรณ์รูปหัวใจที่เรียกว่า “Planchette” ซึ่งใช้ในการเลื่อนไปบนกระดาน ระหว่างที่ผู้เล่นเอามือวางไว้ข้างบนนั้น ว่ากันว่ากระดานวีจีมาจากสมัยกรีกโบราณหรือเก่าแก่กว่านั้น แต่เอาเข้าจริงๆ กระดานวีจีกลับเพิ่งจะมีการคิดค้นขึ้นในปี 1890 นี้เอง แถมเดิมทีแล้วยังถูกใช้ในฐานะเกมเพื่อการเล่นสนุกเฉยๆ ด้วย กระดานวีจีเป็นเกมที่ถูกคิดค้นโดย Elijah Bond และขายให้กับ William Fuld ในเวลาต่อมา ก่อนที่สุดท้ายจะตกไปอยู่ในมือของบริษัทของเล่น Parker Brothers ในปี 1966 กระดานวีจีนั้นเดิมทีแล้วถูกเรียกว่ากระดานพูดได้ จากการที่ในหมู่คนเล่นมักจะมีการแอบขยับ Planchette จนเหมือนกับว่ากระดานพูดได้นั่นเอง เรื่องของกระดานวีจีแลดูสดใสเรื่อยมาจนกระทั่งมี ตำนานของ Pearl Curran ผีจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่ถูกเชื่อกันว่าจะออกไปสิงตามกระดานวีจีออกมา จนทำให้ภาพลักษณ์ของกระดานวีจี เปลี่ยนไปเป็นอุปกรณ์ในการสื่อสารกับวิญญาณไป หลังจากวันนั้นมากระดานวีจีก็มักจะถูกใช้ในเชิงความเชื่อมาตลอด ไม่ว่าจะการตามหาของที่หาย ถามชะตากรรมของทหารที่ไปร่วมสงคราม หรือแม้กระทั่งเรียกปีศาจร้าย…
-
“เลโอนิด โรโกซอฟ” นายแพทย์โซเวียตสุดแกร่ง ผู้ผ่าตัดไส้ติ่งตัวเองในทวีปแอนตาร์กติกา
หลายๆ คนอาจจะรู้กันดีว่าแพทย์ นั้นเป็นงานที่ยากลำบากขนาดไหน แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าในโลกของเรานั้นมีแพทย์ที่ผ่าตัดตัวเองมาแล้วอยู่ด้วย นี่คือเรื่องราวของเลโอนิด โรโกซอฟ (Leonid Rogozov) นายแพทย์ในคณะสำรวจขั้วโลกของโซเวียต และประจำการอยู่ที่สถานี Novolazarevskaya เมื่อช่วงปี 1960-1961 ในสถานที่แห่งนั้นมีเพียงเลโอนิดคนเดียวที่เป็นแพทย์ซึ่งมีความสามารถมากพอที่จะทำการผ่าตัดได้ ดังนั้นในตอนที่เขาเกิดอาการปวดท้องในวันที่ 29 เมษายน 1961 ทุกคนก็รู้สึกเป็นกังวลเป็นอย่างมาก เลโอนิดเข้าใจทันทีว่าตัวเองมีอาการของไส้ติ่งอักเสบ แต่ปัญหาคือในสถานีซึ่งถูกตัดขาดจากโลกแห่งนี้ เขาคงไม่สามารถหาคนมาช่วยผ่าตัดเขาได้ทันเวลาอย่างแน่นอน นั่นทำให้หลังจากนอนรอหนทางอื่นๆ มาเป็นเวลานาน ในที่สุดเมื่อเวลา 2.00 นาฬิกาของ วันที่ 1 พฤษภาคม เลโอนิดจึงได้ตัดสินใจทำการผ่าตัดตัวเอง ด้วยความช่วยเหลือของวิศวกรเครื่องกล และนักอุตุนิยมวิทยาที่มาทำหน้าที่เป็นลูกมือจำเป็น เลโอนิด ผ่าเปิดท้องตัวเองด้วยการมองผ่านกระจกที่ลูกมือถือให้ และเริ่มทำการผ่าตัดในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอน และใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมง 45 นาทีในการผ่าตัดทั้งหมด จากข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ ในระหว่างผ่าตัดไปได้ราวๆ 30-40 นาที คุณหมอก็ต้องหยุดพักจากสภาพร่างกายที่อ่อนแอ แต่สุดท้ายเข้าก็กลับมาผ่าตัดจนสำเร็จได้ สร้างความนับถือในบรรดาผู้ช่วยเป็นอย่างมาก หลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นเลโอนิดก็ใช้เวลาพักผ่อนอยู่ราวๆ…
-
5 ความเชื่อสุดแปลกเกี่ยวกับเซ็กซ์จากสมัยก่อน ที่บางอันก็แปลกจนรู้สึกว่าดีแล้วที่มันหายไป
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมาตั้งแต่สมัยก่อน เราสามารถมีความเชื่อได้กับทุกการกระทำในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะการกิน การนอน หรือแม้กระทั่งการมีเซ็กซ์ โดยเฉพาะอย่างหลังในหลายๆ ครั้งก็แปลกอย่างไม่น่าเชื่อด้วย เหมือนอย่าง 5 ความเชื่อสุดแปลกเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์จากสมัยก่อนเหล่านี้ ที่บางอันก็แปลกจนรู้สึกว่าดีแล้วที่เดียวนี้คนไม่ได้เชื่อแล้วต่อไปนี้ ทุกสิ่งเกิดจากการช่วยตัวเองของเทพ นี่เป็นเรื่องราวของเทพอาทุม หรือที่บางครั้งก็เรียกกันว่าอาเทมของอียิปต์ ซึ่งนับว่าเป็นเทพของแรกในความเชื่อเรื่องการสร้างโลก โดยได้มีการระบุไว้ว่าเทพอาทุมจะใช้มือของตัวเองในการเป็นตัวแทนเพศหญิงในการสร้างเทพอื่นๆ ซึ่งนี่ก็เป็นการสื่อถึงการช่วยตัวเองอย่างชัดเจน และแน่นอนว่าตามแนวคิดนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก จะเกิดขึ้นมาจากน้ำอสุจิของเทพอาทุมนั่นเอง การฉีดปรอทใส่ท่อปัสสาวะรักษาโรคหนองใน (และซิฟิลิส) ได้ นี่เป็นความเชื่อในการรักษาโรคหนองในที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งมีการค้นพบในเรือ Mary Rose ของอังกฤษ พร้อมๆ กับเครื่องมือที่ใช้ในการฉีดปรอทใส่ท่อปัสสาวะ และดูเหมือนว่าคนสมัยก่อนจะมีการใช้วิธีนี้รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายๆ ชนิดมาอย่างต่อเนื่องจนในศตวรรษที่ 19 ในตอนที่เราทราบว่าปรอทเป็นพิษกับมนุษย์เลยทีเดียว การถึงจุดสุดยอด (ของผู้ชาย) จะทำให้เสียสุภาพ นี่เป็นความเชื่อของลัทธิเต๋า ที่เชื่อว่าการถึงจุดสุดยอดของผู้ชายจะเป็นการปล่อยพลังชีวิตออกมา และทำให้ร่างกายอ่อนแอลงได้ นั่นทำให้ผู้ชายในลัทธิพยายามอย่างมากที่จะไม่ถึงจุดสุดยอดทั้งจากการช่วยตัวเองและการมีเซ็กซ์ โดยที่พวกเขามักจะยอมถึงจุดสุดยอดในกรณีที่ได้พลังชีวิตจากฝ่ายหญิงมาก่อนเท่านั้น เพราะมีความเชื่อว่าการถึงจุดสุดยอดของผู้หญิงจะนำมาซึ่งพลังชีวิตโดยที่ไม่ต้องเสียอะไรไปนั่นเอง มีเซ็กซ์กันคนที่ไม่รู้จักเพื่อตรวจสอบภาวะเจริญพันธุ์ ตามความเชื่อของชาวเมโสโปเตเมีย ผู้หญิงทุกคนจะต้องไปที่วิหารของเทพอิชทาร์สักครั้งในชีวิต เพื่อมีเซ็กซ์กับใครก็ตามที่เลือกเธอ เพื่อเป็นการตรวจสอบภาวะเจริญพันธุ์ และความเสริมมั่งคั่งของชุมชน แต่ในขณะเดียวกันที่เมโสโปเตเมียก็มีแนวคิดที่ว่าผู้หญิงที่แต่งงานจะต้องเป็นหญิงพรหมจรรย์ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าผู้หญิงที่มาที่วิหารน่าจะเป็นหญิงที่แต่งงานแล้วทั้งนั้นนั่นเอง ใช้ลูกอัณฑะบีเวอร์ในการคุมกำเนิด…
-
6 สัตว์เลี้ยงของเหล่าผู้นำสุดโหดในโลกไปนี้ มาดูกันว่าแต่ละคนจะเลี้ยงสัตว์แบบไหนไว้กัน
สำหรับหลายๆ คนแล้วการเลี้ยงสัตว์มีข้อดีตรงที่ว่าไม่ว่าคุณจะเป็นคนแบบไหน สัตว์เลี้ยงของคุณก็จะอยู่กับคุณเสมอไม่มีแบ่งแยก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณจะได้ยินว่าเหล่าคนโหดๆ ในประวัติศาสตร์ก็มีสัตว์เลี้ยงของเขาเหมือนกัน ว่าแต่เคยสงสัยไหมว่าสัตว์เลี้ยงที่ว่านั้นเป็นตัวอะไร เพราะในวันนี้เราจะไปชม 6 สัตว์เลี้ยงของเหล่าผู้นำสุดโหดของโลกไปนี้ ที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเลี้ยงสัตว์กับเขาเหมือนกัน แมวของวลาดีมีร์ เลนิน เลนินเป็นผู้นำนักปฏิวัติ คนแรกของสหภาพโซเวียตเจ้าของแนวคิดส่วนใหญ่ในลัทธิเลนิน แต่เชื่อหรือไม่ว่าชายคนนี้กลับเป็นทาสแมวเสียอย่างนั้น มีภาพหลักฐานมากมายที่บอกให้เรารู้ว่าเลนินเลี้ยงแมวอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครเลยที่รู้ว่าแมวที่เขาเลี้ยงนั้นมีกี่ตัว หรือว่ามีชื่อว่าอะไร Blondi สุนัขของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ Blondi เป็นสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด ซึ่งเป็นสุนัขที่ได้รับความนิยมมากในเยอรมนีในสมัยนั้น และพวกเขาก็ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอๆ โชคร้ายที่มันต้องมาจบชีวิตลงจากการที่ฮิตเลอร์เอาไซยาไนด์ที่ได้มาจากไฮน์ริช ฮิมเลอร์ให้มันกิน เพื่อพิสูจน์ว่าของที่อยู่ในแคปซูลเป็นยาพิษจริงๆ หรือไม่ Ras สิงโตของเบนิโต มุสโสลินี เบนิโต มุสโสลินีได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิฟาสซิสต์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าตัวจะอยากได้สัตว์เลี้ยงที่ดูแข็งแกร่ง จนเขามีสิงโตที่ได้รับการฝึกอยู่จำนวนหนึ่งเลย และในบรรดาสิงโตเหล่านั้น ตัวที่เขาชอบมากที่สุดก็มีชื่อว่า Ras นั่นเอง สุนัขทดลองของ โจเซฟ สตาลิน หากบอกว่าที่ฮิตเลอร์เอายาพิษให้สุนัขตัวเองกินโหดแล้ว คุณยังไม่ได้พบกับสตาลิน เพราะชายคนนี้เลี้ยงสุนัขไว้เพื่อใช้งานโดยเฉพาะเลย กล่าวคือนอกจากเขาจะให้สุนัขเป็นองครักษ์แล้ว สตาลินยังมีโครงการที่จะเอาสุนัขไปติดระเบิดเพื่อให้วิ่งไประเบิดพลีชีพรถถังของนาซีอีกด้วย ฮิปโปของปาโบล เอสโคบาร์ เขาคือราชาโคเคน อาชญากรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ยาเสพติด และในเวลาว่างเขาก็ให้เงินที่มีในการสร้างสวนสัตว์ไว้เก็บสัตว์ที่ลับลอบนำเขามาจากแอฟริกา…
-
“อลิซาเบธ บาโธรี่” ฆาตกรโฉดผู้สังหารผู้หญิงกว่า 650 ราย หรือเพียงแค่เหยื่อผู้ถูกใส่ความ
เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อของ “อลิซาเบธ บาโธรี่” กันมาบ้าง เพราะนี่เป็นชื่อที่ปรากฏขึ้นมาใน ภาพยนตร์ การ์ตูน และเกมอยู่หลายเรื่อง และมีชื่อเสียงในด้านการสังหารผู้หญิงเพื่อความต้องการในความงามของตัวเอง อลิซาเบธ บาโธรี่เกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 1560 ในตระกูลขุนนาง และเชื่อกันว่าเธอเป็นหญิงสาวผู้มีความเชื่อในเรื่องความอ่อนเยาว์ชั่วนิรันดร์ และด้วยเหตุผลนี้เองเธอจึงสังหารผู้หญิงเพื่อเอาเลือดสดๆ ไปอาบ ภาพวาดของอลิซาเบธ บาโธรี่ในตอนที่เธออายุประมาณ 25 ปี ตลอดชีวิตของเธอ อลิซาเบธ บาโธรี่ ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังความตายของผู้หญิงกว่า 650 คน การกระทำนี้เองที่ทำให้เธอตำนาน จนถึงขั้นที่เธอถูกตั้งฉายาว่า The Bloody Countess หรือ Countess Dracula เลยทีเดียว ว่ากันว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในปีในปี 1602 ซึ่งมีข่าวการหายตัวไปของผู้หญิงในพื้นที่ซึ่งตั้งใจจะมาเป็นคนใช้ของบาโธรี่ ทำให้หลายๆ คนได้เข้ามาถามบาโธรี่ถึงสาเหตุการหายตัวไปของหญิงสาวคนนั้น แต่หลังจากที่ เคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ คู่แต่งงานของบาโธรี่เสียชีวิตไปโดยทิ้งสมบัติและอำนาจทุกอย่างไว้ในมือของเธอ เมื่อปี 1604 การถามหาสาเหตุก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นข่าวลือ ในเวลานั้นมีคนหลายคนออกมาบอกว่าบาโธรี่เป็นคนสังหารสาวใช้ที่หายไป และอ้างว่าเห็นบาโธรี่สังหารผู้หญิงคนอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากด้วย ถึงขั้นที่ว่ามีการกล่าวหาว่าเธอเป็นพวกกินคนด้วยกันเอง…
-
“Operation Vittles” การทิ้งขนมจากฟ้า ที่ทำให้สหรัฐฯ ชนะใจคนเยอรมันในช่วงสงครามเย็น
ในช่วงเวลาสามปีหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองจบลง เบอร์ลินได้กลายเป็นศูนย์กลางของการแบ่งแยกแห่งประเทศเยอรมนี ด้วยความที่ประเทศถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยผู้ชนะสงครามอย่างสหรัฐอเมริกาและโซเวียต เรื่องราวมันเกิดขึ้นหลังจากที่ทางโซเวียตตัดการขนส่งทั้งหมดที่เข้าสู่เบอร์ลินโดยหวังว่าการขาดแคลนอาหารจะทำให้คนในเบอร์ลินฝ่ายประชาธิปไตย หันมาสนใจในแนวคิดคอมมิวนิสต์ แต่ในตอนนี้นเองฝ่ายพันธมิตรก็นึกวิธีที่จะซื้อใจคนเยอรมันขึ้นมาได้เช่นกัน โดยพวกเขาตัดสินใจที่จะนำเครื่องบินที่พวกเขามี ออกโปรยอาหารให้แก่ชาวเบอร์ลินในสมัยนั้น นี่คือปฏิบัติการที่มีชื่อว่า “Operation Vittles” หรือที่รู้จักกันในชื่อ การขนส่งทางอากาศที่กรุงเบอร์ลิน และการทิ้งระเบิดขนมที่เบอร์ลิน เดิมทีแล้วปฏิบัติการในครั้งนั้นจะเน้นไปที่การส่งอาหารทางอากาศให้แก่ชาวเบอร์ลินเป็นหลัก แต่วันหนึ่งผู้พัน Gail Halvorsen ได้ไปเห็นเด็กๆ ในเยอรมนีไม่มีขนมกิน ดังนั้นเขาจึงได้เรี่ยไรขนมจากทหารและนำไปโปรยให้เด็กๆ ในเมือง นี่เป็นปฏิบัติการที่น่ารักมากๆ จากทหารเลยก็ว่าได้ เพราะพวกเขาจะใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนร่มชูชีพผูกกับขนม และโปรยมันลงมาจากฟ้าราวกับหลุดออกมาจากนิทานไม่มีผิด การกระทำของผู้พัน Gail Halvorsen กลายเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วหลังจากนั้น ทางสหรัฐฯ จึงได้ตัดสินใจเพิ่มขนมไปในปฏิบัติการอย่างเป็นทางการ และประชาชนในประเทศก็ร่วมใจกันส่งขนมมาให้กับทางกองทัพเป็นจำนวนมาก จะบอกว่าปฏิบัติการในครั้งนี้ได้รับความนิยมท่วมท้นจากทางเยอรมนีเลยก็ไม่ผิดนัก โดยสหรัฐฯ ได้ทิ้งขนมหวานลงจากท้องฟ้าไปมากถึง 23 ตัน ในเวลาเพียงหนึ่งปีเลยทีเดียว ความสำเร็จของ Operation Vittles ทำให้ทางโซเวียตยกเลิกการตัดการขนส่งในปีต่อมา เพราะพวกเขารู้ดีว่าการกระทำของพวกเขา มีแต่จะทำให้สหรัฐฯ ได้รับความนิยมมากขึ้นเท่านั้น ที่มา mentalfloss, smithsonianmag
-
ข้อความบนผนังจากอดีตเผย “ภูเขาไฟวิสุเวียส” อาจปะทุช้ากว่าที่เราคาดการถึง 2 เดือน
ตั้งแต่ในอดีตพวกเราเชื่อกันว่าการปะทุครั้งใหญ่ของภูเขาไฟวิสุเวียสเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ปี ค.ศ. 79 และทำให้เกิดโศกนาฏกรรมที่เมืองปอมเปอีกับเฮอร์คิวเลเนียมไป อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่เกิดขึ้นของเหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นที่ถกเถียงของทางนักวิทยาศาสตร์ และนักโบราณคดีมาจนถึงปัจจุบัน และแล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง นักโบราณคดีได้มีการค้นพบข้อความบนผนังในเมืองปอมเปอี ที่มีการระบุข้อความซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ของวันที่ภูเขาไฟวิสุเวียสปะทุขึ้นก็เป็นได้ นี่เป็นข้อความที่ถูกเขียนโดยถ่านว่า “16 วันก่อนวัน Calends (วันแรกของเดือนในปฏิทินโรมันโบราณ) ของเดือนพฤศจิกายน เขาดื่มด่ำกับอาหารปริมาณมากเกินงาม” แม้ข้อความที่พบจะไม่ได้สื่อความหมายสำคัญอะไร แต่การลงวันที่ว่าเป็น 16 วันก่อนวัน Calends ของเดือนพฤศจิกายนนั้น หมายความว่าอย่างน้อยๆ ในวันที่ 17 ตุลาคม คนในเมืองปอมเปอีควรจะยังให้ชีวิตตามปกติอยู่ การค้นพบในครั้งนี้เผยให้เห็นถึงความเป็นไปได้ว่าภูเขาไฟวิสุเวียสอาจจะปะทุช้ากว่าที่เราเคยคาดไว้ถึง 2 เดือน และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 24 ตุลาคมมากกว่า 24 สิงหาคม นั่นเพราะข้อความที่ถูกเขียนด้วยถ่านมักจะบอบบางมาก และจะเลือนหายไปหลังจากที่เขียนภายในเวลาไม่กี่เดือน หรือไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ดังนั้นการที่ข้อความยังคงอยู่มาถึงปัจจุบันจึงเป็นหลักฐานอย่างดีว่าเมืองถูกปกคลุมด้วยเถ้าภูเขาไฟ หลังจากที่มีการเขียนข้อความนี้ขึ้นไม่นานนั่นเอง จริงอยู่ว่าเดิมทีแล้วหลักฐานการปะทุของภูเขาไฟวิสุเวียสถูกเขียนไว้โดย “Pliny” ผู้เป็นทนายความและนักประพันธ์ในกรุงโรมว่าเกิดขึ้นในวันที่ 24…
-
ซากเรือเรือไวกิ้งโบราณ ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เชื่อถูกใช้เป็นสุสานของราชาหรือราชินี
ตามปกติการค้นพบซากเรือโบราณมักจะเกิดขึ้นในการสำรวจท้องทะเลเป็นหลัก ดังนั้นตอนที่นักโบราณคดีใช้เรดาร์ตรวจสอบพื้นที่ในมณฑลแอสต์โฟลด์ (Østfold) ประเทศนอร์เวย์ เชื่อว่าพวกเขาคงไม่คิดหรอกว่าจะเจอกับซากเรือ แต่มันก็เป็นไปแล้ว เพราะจากการสำรวจครั้งล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเรือขนาด 20 เมตร ของชาวไวกิ้ง ซึ่งมีอายุเก่าแก่ถึง 1,000 ปี ฝังอยู่ได้ดินลึกลงไปเพียงราวๆ 50 เซนติเมตร นี่เป็นเรือไวกิ้งขนาดใหญ่ที่สุดที่มีการค้นพบ ซึ่งเชื่อกันว่าทำหน้าที่เป็นเหมือนสุสานให้แก่ราชาหรือราชินีของชาวไวกิ้งในสมัยก่อน และจากเปิดเผยของทางนักโบราณคดี การค้นพบในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก อีกทั้งสถานที่ที่เรือลำนี้ถูกฝังเอาไว้ ยังเป็นในพื้นที่เกษตรกรรมซึ่งตามปกติมักจะเป็นพื้นที่ซึ่งโบราณวัตถุมีโอกาสที่จะถูกทำลายสูง ดังนั้นในตอนที่เรดาร์ตรวจพบบางสิ่งซึ่งมีขนาดใหญ่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน นักโบราณคดีจึงรู้สึกแปลกใจมาก จากเค้าโครงที่ในเรดาร์นักโบราณคดีเชื่อว่าเรือลำดังกว่าน่าจะมีหลุมศพอยู่ราวๆ 10 หลุม อย่างไรก็ตามเนื่องจากยังไม่มีการขุดค้นขึ้น พวกเขาจึงไม่อาจฟันธงได้ว่าจะมีอะไรอยู่ใต้ดินบ้าง นอกจากนี้ในปัจจุบันเรายังไม่มีข้อมูลใดๆ เลยที่จะบอกได้ว่าเรือที่ถูกฝังนั้นมีความเป็นไปเป็นมาอย่างไร นอกไปเสียจากว่า เรือลำดังกล่าวถูกลากขึ้นมาบนบกจากทางน้ำในอ่าวออสโลฟยอร์ดเท่านั้น และนอกจากตัวเรือ แล้วเรดาร์ยังมีการตรวจพบบ้านยาวจำนวนห้าหลังฝังอยู่ใกล้ๆ ด้วย ซึ่งน่าจะเป็นอดีตชุมชนของชาวไวกิ้งในสมัยนั้น ดังนั้นหากการขุดค้นสำเร็จได้ด้วยดี การค้นพบในครั้งนี้อาจจะให้ข้อมูลที่สำคัญมากๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรมไวกิ้งในสมัยโบราณเลยก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ยังไม่มีกำหนดการใดๆ เกี่ยวกับการขุดค้นเรือที่พบในครั้งนี้ และทางนักประวัติศาสตร์เองก็ยังต้องมีการตรวจสอบสภาพของเรือที่ถูกฝังอีกว่าจะมีสภาพดีพอที่จะขุดขึ้นมาหรือไม่ ภาพตัวอย่างของเรือไวกิ้งที่มีการจำลองขึ้นมา ซึ่งเจ้ามีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรือที่ว่านั้น ก็มีกำหนดการอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 2019 ทำให้กว่าที่เราจะได้เห็นเจ้าเรือลำที่ว่าจริงๆ (ถ้านักประวัติศาสตร์ตัดสินออกมาว่าขุดได้)…
-
โปรเจกต์ “Stargate” เมื่อสหรัฐอเมริกาทดลองใช้ “ผู้มีพลังจิต” ในการต่อกรกับทางโซเวียต
ในปี 2017 ทาง CIA ได้เปิดเผยข้อมูลมากมายที่เคยเป็นความลับให้แก่ประชาชนได้รับรู้ และภายในหน้ากระดาษกว่า 12 ล้านแผ่นที่ได้รับการเปิดเผยออกมาในปีนั้น ก็ยังมีโปรเจกต์ที่น่าสนใจอยู่ชิ้นหนึ่งด้วย นี่คือโปรเจกต์ “Stargate” โครงการที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1972-1995 ระหว่างความตึงเครียดของสงครามเย็น และเกี่ยวข้องกับการใช้ “ผู้มีพลังจิตอ่านใจ” ในการต่อกรกับทางโซเวียต จากข้อมูลที่ได้รับการปล่อยออกมา ทางกองทัพและหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ได้มีการการรับสมัครผู้มีพลังจิต โดยเฉพาะคนที่อ้างว่าอ่านใจคนอื่นได้มาเพื่อใช้ในการจารกรรมข้อมูลจากทางโซเวียต นี่เป็นโปรเจกต์ที่ได้รับความร่วมมือจาก “ยูริ เกลเลอร์” ชายผู้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในฐานะผู้ใช้พลังจิตงอเหล็ก อ่านใจ หรือแม้กระทั่งควบคุมคนอื่นได้ โปรเจกต์นี้ถูกย้ายจากการควบคุมของ CIA ไปอยู่กับกองทัพ (หน่วยข่าวกรองกลาโหม หรือ DIA) ในช่วงปลายยุค 70 นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนการการฝึกผู้มีพลังจิตเพื่อเป็นสปาย ไปเป็นการฝึกผู้มีพลังจิตเพื่อต่อต้านสปายที่ (อาจจะ) มีพลังจิตของทางโซเวียต และการควบคุมการใช้พลังจิตในประเทศแทน โดยนักการเมืองของนอร์ทแคโรไลนา Charlie Rose ได้ให้คำจำกัดความของโปรเจกต์ในช่วงนี้ว่า “มันก็เหมือนเรดาร์ถูกๆ นั่นล่ะ เพราะถ้าทางโซเวียตมีแต่พวกเขาไม่มี พวกเราจะแย่เอา” จากคำกล่าวอ้างของผู้เกี่ยวข้องในโปรเจกต์ หน่วยงานพลังจิตของพวกเขาเคยถูกส่งไปช่วยงานตามหาตัวประกันในอิหร่าน…
-
“เลโอโปลด์ที่ 2” ประวัติศาสตร์เปื้อนเลือดแห่งเบลเยียม ผู้สังหารชาวคองโกร่วม 10 ล้านคน
เมื่อผู้ถึงประเทศเบลเยียมเชื่อว่าหลายๆ คนคงจะมีภาพในหัวที่ต่างๆ กันออกไป ถึงอย่างนั้นก็เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะนึกถึงภาพ “ประวัติศาสตร์เปื้อนเลือด” แน่ๆ แต่เชื่อไหมล่ะว่าประเทศนี้ก็มีเรื่องราวสุดโหดกับเขาเช่นกัน เพราะนี่เป็นเรื่องของกษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 2 แห่งเบลเยียม ชายผู้ที่ว่ากันว่าโหดร้ายพอๆ กับฮิตเลอร์หรือสตาลินเลยทีเดียว โดยในยุคปลายศตวรรษที่ 19 นั้นมีประเทศในยุโรปหลายประเทศที่เข้าไปล่าอาณานิคมในแอฟริกา และเบลเยียมก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยพวกเขาได้ประเทศคองโกไปครอบครอง นั่นทำให้ตลอดระยะเวลา 23 ปี คนในประเทศคองโกต้องตกเป็นทาสของกษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 2 อย่างเต็มตัว เพราะเลโอโปลด์ที่ 2 ได้จัดตั้งบริษัทขึ้นมาด้วยทรัพย์สินส่วนตัว เพื่อดูแลการเก็บเกี่ยวผลผลิตในคองโกโดยเฉพาะนั่นเอง จริงอยู่ว่าตามปกติการ “ดูแล” แรงงานทาสในต่างแดนก็มักจะต้องมีการใช้ความรุนแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่บริษัทของกษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 2 นั้นโหดกว่าที่อื่นเป็นพิเศษ ภายใต้การดูแลของบริษัทแห่งนี้ ชาวบ้านในแต่ละที่จะต้องส่งยอดสินค้า (โดยมากแล้วเป็นยางพารา) ให้ได้เท่ากับที่กำหนด ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษรุนแรง ตั้งแต่การเฆี่ยน การทรมาณ ไปจนถึงขั้นประหารชีวิต โดยการประหารชีวิตส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของทหารซึ่งเป็นชาวคองโกที่ภักดีต่อกษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 2 และในการประหารแต่ล่ะครั้งจะต้องมีการตัดมือ ของเหยื่อเพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการเบิกกระสุนอีกด้วย ปัญหาคือการออกกฎเช่นนั้นทำให้เกิดปัญหาขึ้น กล่าวคือทางทหารตัดสินใจ “ทุจริต”…
-
“หลุมแก๊สดาร์วาซา” สถานที่ซึ่งลุกไหม้ราว “ประตูสู่ขุมนรก” และไม่เคยมอดดับมากว่า 40 ปี
ทะเลทรายการากุม (Karakum) เป็นทะเลทรายที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 13 ของโลก กินพื้นที่ประมาณ 350,000 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดอาฮาล ประเทศเติร์กเมนิสถาน แม้นี่จะดูเหมือนกับทะเลทรายธรรมดาๆ ที่หาดูได้ทั่วไปในโลก แต่ลึกเข้าไปกลางทะเลทรายนั้น ยังมีสถานที่สุดแปลกและน่ากลัว จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ประตูสู่ขุมนรก” อยู่ นี่คือ “หลุมแก๊สดาร์วาซา” หลุมแก๊สขนาดใหญ่ที่ว่ากันว่าลุกไหม้เป็นเปลวเพลิงมาตั้งแต่ปี 1971 และยังคงมีการเผาไหม้มาอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งในปัจจุบัน แม้จะมีความแตกต่างในบันทึกของสาเหตุการกำเนิดของหลุมแก๊สดาร์วาซาอยู่บ้าง แต่เชื่อกันว่าที่หลุมแก๊สติดไฟขึ้นมานั้น เดิมทีแล้วเกิดจากการที่นักธรณีวิทยาจุดไฟเพื่อจะกำจัดแก๊สมีเทนซึ่งเป็นพิษนั่นเอง เดิมทีแล้วพวกเขาคำนวนว่าไฟจะลุกไหม้อยู่ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่จะมอดไป แต่กลายเป็นว่าหลุมเพลิงแห่งนี้กลับเผาไหม้อย่างต่อเนื่องมากว่า 47 ปีแทน และยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงเลย ด้วยความที่ว่าการสำรวจหลุมแก๊สนี้เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ทำให้ในปัจจุบันเราไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดของปริมาณแก๊สที่อยู่ในหลุม ดังนั้นจากคำนวนเวลาที่เพลิงในหลุมแก๊สนี้จะมอดลง จึงเป็นอะไรทำแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าการปล่อยให้หลุมแก๊สนี้ลุกไหม้ต่อไปอาจจะเป็นเรื่องที่ดีต่อประเทศเติร์กเมนิสถานมากกว่าก็เป็นได้ เพราะประตูสู่ขุมนรกแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศไปแล้ว จนถึงปัจจุบันได้มีการค้นพบหลุมแก๊สที่มีลักษณะคล้ายกันในบริเวณใกล้เคียงอีก 2 หลุม แต่ถึงอย่างนั้นหลุมทั้งสองกลับไม่มีท่าทีว่าจะติดไฟ ทำให้ในปัจจุบันไม่มีหลุมแก๊สที่ไหนที่จะน่าสนใจได้เท่ากับประตูสู่ขุมนรกอีกแล้ว ที่มา thevintagenews, allthatsinteresting
-
7 ทริคดีๆ ในการใช้ชีวิตประจำวันจากเมื่อ 100 ปีก่อน ที่บางอันก็ยังใช้ได้ในปัจจุบัน
ในปัจจุบันเราอาจจะหาทริคการใช้ชีวิตประจำวันง่ายๆ ได้ทั่วไปในอินเตอร์เน็ต หรือบางครั้งก็ตามโฆษณาสินค้าต่างๆ แต่เชื่อหรือไม่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในปัจจุบันเท่านั้น เพราะเมื่อ 100 ปีก่อนเอง หากหยิบกล่องบุหรี่ขึ้นมาดูเพื่อนๆ ก็จะสามารถอ่านทริคดีๆ ที่จะทำให้ใช้ชีวิตประจำวันง่ายขึ้นเช่นกัน แถมบางอย่างยังใช้ได้แม้แต่ในปัจจุบันอีกด้วย ดังเช่นทริคข้างกล่องบุหรี่ต่อไปนี้ เอาเสี้ยนที่ตำมือออก การโดนเสี้ยนตำอาจจะเป็นอะไรที่น่ารำคาญสุดๆ แต่คุณสามารถแก้ไขมันได้ง่ายๆ ด้วยการนำขวดมาใส่น้ำร้อนจนเกือบเต็ม และแปะไว้ที่ส่วนที่เสี้ยนตำแบบในภาพ แล้วขวดจะดูดเสี้ยนออกไปให้คุณเอง การหั่นขนมปังอย่างง่าย จริงอยู่ว่าโดยมากแล้วขนมปังจะหั่นมาให้เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าเกิดคุณอยากหั่นเอง ก็ลองเอามีดจุ่มน้ำร้อนก่อนเอามาหั่นสิ แล้วความร้อนจะทำให้คุณหั่นขนมปังได้ง่ายขึ้น แยกแก้วที่ติดกันออก บางครั้งการฝืนแยกแก้ว อาจทำให้แก้วแตกได้ ดังนั้นหากแก้วติดกันก็ลองใส่น้ำเย็นลงในแก้วใบข้างบน แล้วเอาแก้วใบล่างไปแช่ในน้ำอุ่นๆ ดูสิ แก้วจะหลุดจากกันอย่างง่ายดายเลย คืนชีพให้ดอกไม้ ดอกไม้ที่ซื้อมาเริ่มจะไม่สวยแล้วใช่ไหม เอาก้านดอกจุ่มลงไปในน้ำร้อนๆ แล้วปล่อยดอกไม้แช่ไว้จนน้ำเริ่มเย็นดูสิ แล้วดอกไม้จะมีชีวิตชีวาขึ้นมากเลย แล้วก็อาลืมตัดปลายก้านดอกออกด้วยนะ การวาดเป็ดโดยไม่ยกปากกา หรือดินสอ อันนี้ไม่มีอะไรให้อธิบายมาก วาดไปตามภาพได้เลย จริงอยู่ว่ามันอาจจะดูไม่มีสาระเท่าไหร่ แต่ก็อาจจะเอาไปใช้เรียกรอยยิ้มจากเด็กๆ ได้เป็นอย่างดีก็เป็นได้ จะรู้ได้อย่างไรว่าเนยที่มีเป็นเนยแท้รึเปล่า หากไม่มีแพ็กเกจให้ดู สิ่งที่คุณทำได้ คือทาเนยลงบนกระดาษจุดไฟเผา หากกลิ่นที่ออกมาเป็นกลิ่มหอมเนย แสดงว่าเป็นเนยแท้…
-
“การชูธงที่ไรชส์ทาค” ภาพการปักธงธรรมดาที่มีเบื้องหลัง ทั้งการจัดฉาก และตัดแต่งภาพ
ตั้งแต่ในอดีต การที่ได้เห็นธงของประเทศโบกสะบัด มักจะถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะอันยิ่งใหญ่ และสำหรับชาวโซเวียตในสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว การได้เห็นภาพเช่นนั้นก็ช่วยเรียกขวัญกำลังใจกลับคืนสู่ประเทศได้ดีเลยทีเดียว ภาพการชูธงที่ไรชส์ทาค อันต้นฉบับ ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 1945 นี่คือภาพ “การชูธงที่ไรชส์ทาค” ภาพถ่ายทางประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่มีการถ่ายไว้เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 1945 และเป็นสัญลักษณ์แสดงชัยชนะของสหภาพโซเวียตต่อนาซีเยอรมันอีกด้วย อย่างไรก็ตามภาพนี้มีความแตกต่างจากภาพ “การปักธงที่อิโวจิมา” ของฝั่งสหรัฐอเมริกาที่ออกมาก่อนอย่างมาก เพราะนี้เป็นภาพที่เต็มไปด้วยการจัดฉาก และการแก้ไข เดิมทีแล้วภาพการชูธงที่ไรชส์ทาคก็ได้แรงบันดาลใจมาจากการปักธงที่อิโวจิมามาตรงๆ อยู่แล้ว เพราะนี่เป็นภาพที่เกิดขึ้นจากการที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของโซเวียต สั่งให้ Yevgeny Khaldei ผู้เป็นช่างภาพเดินทางไปถ่ายภาพที่เบอร์ลินโดยตรงเลย กว่าจะได้ภาพนี้ออกมา Khaldei เลือกสถานที่อยู่หลายที่ ไม่ว่าจะเป็นประตูบรันเดินบวร์ค หรือท่าอากาศยานเบอร์ลินเท็มเพิลโฮฟ จนสุดท้ายก็มาจบที่อาคารไรชส์ทาคสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์ในกรุงเบอร์ลิน อันที่จริงพวกทหารได้มีการปักธงไว้ที่นี่มาก่อนหน้านั้นหลายวันแล้ว แต่ก็มีการเอาธงออก เพื่อที่จะถ่ายภาพดังกล่าวโดยเฉพาะ ปัญหาคือหลังจากถ่ายภาพดังกล่าวเสร็จ เจ้าหน้าที่กองเซนเซอร์ของโซเวียตกลับสังเกตเห็นว่าที่ข้อมือของทหารในภาพนั้นมีนาฬิกาอยู่ทั้งสองข้างเสียนี่ จริงอยู่ว่ามีเสียงบอกว่าบอกว่าสิ่งที่เหมือนนาฬิกานี้ จริงๆ แล้วเป็นเข็มทิศ Adrianov ต่างหาก อย่างไรก็ตามการที่มีสิ่งที่เหมือนนาฬิกาอยู่บนข้อมือถึงสองอันก็อาจจะทำให้ประชาชนเข้าใจว่าทหารในภาพปล้นนาฬิกามาจากศพก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้เองภาพดังกล่าวจึงถูกนำไปปรับปรุ่งแก้ไขใหม่อีกครั้ง โดยมีการเพิ่มความชัดเจนของควันในภาพ และลบนาฬิกาที่ข้อมือขวาออกไป และรายละเอียดเล็กๆ…
-
ฮิโร โอโนดะ สุดยอดชายชาติทหาร ผู้ใช้เวลาสามสิบปีรบในป่า โดยไม่รู้ว่าสงครามจบไปแล้ว
ร้อยตรี ฮิโร โอโนดะ เป็นทหารที่ตลอดทั้งชีวิตถูกเรียกด้วยฉายาอันหลากหลาย แต่สำหรับชาวญี่ปุ่นหลายๆ คนแล้ว เขาคือสุดยอดของชายชาติทหาร โอโนดะเป็นทหารหน่วยข่าวกรองที่ถูกส่งไปยังเกาะลูบัง ประเทศฟิลิปปินส์ ฝ่ายใต้คำสังที่ว่าให้เขาลอบโจมตีทหารพันธมิตรไปเรื่อยๆ ตามมอบตัว และห้ามฆ่าตัวตายเด็ดขาด คำสั่งนี้เองที่ทำให้โอโนดะเข้าไปอยู่ในภูเขาพร้อมเพื่อนทหารจำนวนหนึ่ง และต่อสู้อยู่ในนั้นเรื่อยมา โดยที่ไม่ได้ทราบเลยว่า สงครามนั้นจบลงไปตั้งแต่ปี 1945 แล้ว จริงอยู่ว่าในช่วงนั้น มีอยู่บ่อยครั้งที่พวกเขาได้รับใบปลิวจากคนในพื้นที่ที่บอกว่า สงครามมันจบลงไปตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคมแล้ว แต่ด้วยความเชื่อมั่นในประเทศของตัวเอง โอโนดะและเพื่อนๆ กลับเชื่อว่าใบปลิวที่พบเป็นเพียงข่าวลวง กว่าที่หนึ่งในทหารของโอโนดะจะเริ่มสงสัยว่าสงครามจบลงจริงๆ ก็เมื่อปี 1949 แต่การที่เขาไม่ได้กลับมาอีกเลยหลังจากที่ออกจากกลุ่มไปมอบตัวเมื่อปี 1950 กลับทำให้พวกโอโนดะหวาดกลัวยิ่งขึ้นไปแทน แต่ต่อให้พวกเขาระวังตัวแค่ไหน ระหว่างการออกปฏิบัติการพวกเขาก็ค่อยๆ โดนยิงตายไปทีละคนอยู่ดี จนกระทั่งในปี 1972 หน่วยทหารที่อยู่ในภูเขาก็เหลือเพียงแค่โอโนดะเท่านั้น โชคดีของเขาที่ในปี 1974 มีนักเดินทางชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเข้ามาหาเขาในป่า ทำให้โอโนดะทราบว่าสงครามโลกครั้งที่สองนั้นจบลงแล้วจริงๆ อย่างไรก็ตามโอโนดะก็ยังไม่ยอมมอบตัวอยู่ดี โดยเขายื่นคำขาดว่าหากไม่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาหาเขา เขาจะอยู่ในป่าแห่งนี้ต่อไป นั่นทำให้ทางรัฐบาลญี่ป่นทำการออกหาตัวเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่โอโนดะรู้จักอย่างเร่งด่วน และในปีนั้นเองพวกเขาก็พบกับนายโยชิมิ ทานิกุจิผู้บังคับบัญชาของโอโนดะ และพาเขาไปพบกับโอโนดะในป่าทันที นั่นคือวันที่โอโนดะยอมออกมาจากป่าจริงๆ…
-
จอร์จ สตินนีย์ เหยื่อความอยุติธรรมแห่งการตัดสินคดี ที่ใช้เวลากว่า 70 ปีในการพิสูจน์ความจริง
ความไม่เป็นธรรมในการตัดสินคดีเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และยิ่งประเทศกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่การเหยียดชนชาติเป็นเรื่องปกติด้วยแล้ว การที่คนคนหนึ่งจะกลายเป็นคนร้ายเพียงเพราะสีผิว ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลย นี่เป็นเรื่องราวของ “จอร์จ สตินนีย์ จูเนียร์” เด็กชายผิวสีผู้ถูกประหารชีวิตด้วยจากการสืบสวนที่ไม่เป็นธรรมเมื่อปี 1944 และกลายเป็นเด็กผิวสีที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งถูกประหารชีวิตในสหรัฐอเมริกา สตินนีย์ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมเด็กหญิงสองคนในเซาท์แคโรไลนาเมื่อตอนที่เขาอายุได้ 14 ปี และถูกลงมติว่ามีความผิดจริงโดยคณะลูกขุน (ซึ่งเป็นคนผิวขาวทั้งหมด) หลังจากที่มีการพิจารณาคดีได้เพียงแค่หนึ่งวัน ในความเป็นจริงแล้วการตัดสินคดีในครั้งนี้มีจุดน่าสงสัยอยู่หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นการที่ลูกขุนใช้เวลาเพียง 10 นาทีในการลงมติ หรือการที่หลักฐานของคดีมีเพียงคำกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ที่ว่าสตินนีย์รับสารภาพหลังถูกจับกุม น่าแปลกที่ทางตำรวจไม่มีการบันทึกคำรับสารภาพเป็นลายลักษณ์อักษรเก็บไว้แต่อย่างใด และสตินนีย์ก็ถูกนำตัวไปประหารชีวิตทันทีหลังจากที่คำตัดสินออกมา โดยที่ไม่มีโอกาสได้ยื่นอุทธรณ์ด้วย สตินนีย์ กับเด็กหญิงสองคนที่ทางตำรวจบอกว่าถูกเขา “สังหาร” นอกจากนี้จากการรายงานของสื่อท้องถิ่น ครอบครัวของสตินนีย์เอง ก็ถูกบังคับให้ออกจากเมืองไปในตอนที่สตินนีย์ถูกจับอีกด้วย ความไม่เป็นธรรมของการตัดสินคดีในครั้งนี้ถูกเปิดเผยออกมาหลังจากนั้นนานพอสมควร แต่กว่าที่จะเป็นเช่นนั้น สตินนีย์ก็ต้องเสียชีวิตไปอย่างไร้ความเป็นธรรมเสียแล้ว เพราะเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 1944 หลังจากที่ถูกกักขังมายาวนานกว่า 81 วัน สตินนีย์ก็ถูกส่งเข้าไปในห้องประหารในที่สุด เขาถูกประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า และจบชีวิตลงโดยที่ไม่มีใครรู้ถึงความจริงเบื้องหลังคดีในครั้งนี้เลย ฉากการประหารชีวิตของสตินนีย์ ที่ถูกจำลองขึ้นในหนังเรื่อง Carolina Skeletons (ตัวละครในหนังชื่อ Linus Bragg) บางคนก็บอกว่าการตัดสินคดีครั้งนี้เกิดขึ้นจากอคติที่มีต่อคนผิวสีในสมัยนั้น ในขณะที่หลายๆ…
-
นาร์ซิสซัส จากหนุ่มรูปงามแห่งเทพปกรณัมกรีก สู่อาการหลงตัวเองแบบรุนแรงทางการแพทย์
เคยได้ยินตำนานของดอกนาร์ซิสซัสไหม? นี่เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าจากเทพปกรณัมกรีกซึ่งเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มที่ชื่อนาร์ซิสซัส ผู้เป็นหนุ่มรูปงามที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก เรื่องราวของนาร์ซิสซัสนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละตำรา แต่หนึ่งในเรื่องที่มีชื่อเสียงคือเรื่องของนาร์ซิสซัส และเอคโค ซึ่งมีเรื่องราวคร่าวๆ อยู่ว่า นาร์ซิสซัสเป็นหนุ่มรูปงามที่มีคนรักมาก และเจ้าตัวก็ทราบดีว่าตัวเองรูปงามขนาดไหน แต่ด้วยความที่เป็นคนทะนงตนมาก เขาจึงมองว่าคนที่มารักเขาล้วนไม่คู่ควรกับเขา และทำให้นาร์ซิสซัสไม่เคยมีความรักเสียที ปัญหาคือหนึ่งในคนที่มาชอบนาร์ซิสซัสนั้นดันมีเหล่าเทพอยู่ด้วย และหนึ่งในนั้นก็คือเอคโค ผู้ซึ่งโดนคำสาปให้พูดได้แค่สิ่งที่คนอื่นพูดออกมาก่อนเท่านั้น (เป็นที่มาของเสียงเอคโคที่เรารู้จักนั่นล่ะ) ด้วยเหตุนี้เองเอคโคที่ชอบนาร์ซิสซัสจึงไม่สามารถบอกรักเขาได้ และทำได้แค่ตามเขาไปเรื่อยๆ และการกระทำนี้เองที่ทำให้นาร์ซิสซัสรำคาญแบบสุดๆ เพราะรู้สึกว่าเอคโคกำลังล้อเลียนตัวเองด้วยการพูดซ้ำสิ่งที่ตนกล่าว นั่นทำให้สุดท้ายนาร์ซิสซัสปฏิเสธรักของเอคโคไป และเมื่อไม่สามารถทำให้นาร์ซิสซัสรักได้เอคโคก็เสียใจมากจนตรอมใจตายไปในที่สุด เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เหล่าเทพโกรธมากจนสาปนาร์ซิสซัสให้หลงรักตัวเองเสีย และคำสาปนี้เองก็ทำให้นาร์ซิสซัสที่ไปเห็นเงาตัวเองในน้ำหลงรักในเงานั้นมากจนไม่ย่อมขยับไปไหน จนสุดท้ายก็ตายกลายเป็นดอกไม้ไปในที่สุด (บางที่บอกว่านาร์ซิสซัสไม่ได้โดนสาปด้วยซ้ำ แค่ไปเห็นตัวเองในน้ำก็หลงรักแล้ว) แต่ไม่ว่าจะอ้างอิงตำนานชิ้นไหน นาร์ซิสซัสก็จะมีลักษณะเด่นเรื่องความหลงตัวเองและทะนงตนอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้เองชื่อนาร์ซิสซัสจึงถูกนำไปเป็นชื่อเรียกของโรคหลงตัวเอง หรือนาซิซีติส (Narcisisitic) ไป คนที่มีอาการนาซิซีติสนั้น มักจะคลั่งไคล้ตัวเองมากเกินกว่าปกติ มีความเครียดอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากกลัวความขายหน้า ไม่ยอมใช้ตัวเองตกอันดับ และมักต้องการให้คนอื่นสนใจตัวเองอยู่เสมอ เชื่อกันว่าในปัจจุบันมีคนที่เข้าข่ายกลุ่มอาการนี้มากขึ้นจากสมัยก่อนด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีโซเชียลมีเดีย และด้วยความที่ว่าโรคนี้ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด คนที่อยู่ในกลุ่มนี้จึงอาจจะถูกเกลียดโดยไม่รู้ตัวได้ง่ายมากๆ และเฉกเช่นนาร์ซิสซัสที่หลงรักเงาของตัวเองจนตาย คนที่มีอาการนาซิซีติสหนักๆ เองก็อาจจะลุกลามไปเป็นโรคซึมเศร้า หรือการฆ่าตัวตายได้เช่นกัน หากไม่ได้รับการดูแลที่ดีและถูกต้อง ที่มา britannica, psychologytoday, honestdocs และ greekmyths-greekmythology
-
5 สิ่งที่สร้างขึ้นตามรูปลักษณ์ของเทพในอดีต ที่แปลกจนสงสัยว่าเทพหน้าตาแบบนี้จริงๆ เหรอ
หากกล่าวถึงเทพที่มีรูปร่างหน้าตาแปลกๆ แล้ว เชื่อว่าภาพในหัวหลายๆ คนคงเป็นเทพคธูลูจากผลงานของ เอช. พี. เลิฟคราฟท์เป็นอันดับแรกๆ แต่เชื่อหรือไม่ว่าบนโลกใบนี้มีเทพที่รูปร่างสุดแปลกที่คนเคยนับถือกันอยู่จริงๆ เอาเข้าจริงๆ เราไม่อาจทราบได้ว่าคนในสมัยก่อนคิดว่าเทพของพวกเขาหน้าตาเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือไม่ แต่จากสิ่งที่สร้างขึ้นตามรูปลักษณ์ของเทพทั้ง 5 ชิ้นนี้แล้ว เชื่อว่าเทพในความคิดของพวกเขาก็คงมีรูปร่างที่ไม่ปกติเท่าไหร่ Shigir Idol Shigir Idol มักถูกรู้จักกันในฐานะของประติมากรรมที่ถูกสร้างขึ้นจากไม้ซึ่งมีความเก่าแก่มากที่สุดในโลก มีความสูงมากกว่า 5 เมตรและมีส่วนบนเป็นรูปศีรษะที่มีตาเป็นขีดๆ และปากเป็นรูปตัว O แม้ว่าจะมีการถกเถียงกันอยู่ว่า Shigir Idol นี้ทำมาเพื่ออะไรกันแน่ แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์ไม่น้อยที่เชื่อว่านี่เป็นรูปสลักของเทพ ที่ทำขึ้นเป็นเหมือน “ป้ายห้ามเข้า” ในสมัยก่อน ที่ห้ามไม่ให้คนเข้าไปในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง หน้ากากชิวเตกตลี นี่คือหน้ากากของชิวเตกตลี (Xiuhtecuhtli) เทพแห่งไฟและชีวิตหลังความตายของแอซเท็ก ที่ถูกสร้างขึ้นจากไม้ และมีหน้าตาประหลาดอย่าบอกใคร เชื่อกันว่าถูกสวมโดยเหยื่อบูชายัญในสมัยก่อน จริงอยู่ว่าหน้าตาจริงๆ ของชิวเตกตลีอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนี้เป๊ะๆ เสียทีเดียวแต่จากหน้ากากแล้ว เทพองค์นี้ก็คงไม่หล่อเท่เท่าไหร่แน่ๆ ล่ะ รูปปั้นมิคท์ลันเตชูห์ตลี นี่เป็นอีกหนึ่งในพระเจ้าของแอซเท็กที่มีรูปร่างดูแล้วชวนขนลุกอย่าบอกใคร โดยเทพมิคท์ลันเตชูห์ตลี (Mictlantecuhtli) จะเป็นเจ้าผู้ครองโลกใต้พิภพชั้นล่างสุด และเกี่ยวข้องกับสัตว์อย่าง นกฮูก แมงมุม…
-
7 คำแนะนำในการไปเดตจากสมัยก่อน แต่จะดังหรือพังในสมัยนี้ คุณเป็นคนตัดสิน
ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนตามนิตยสารก็มักจะมีมุมแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับการไปเดตอยู่ แต่ก็อย่างที่เราทราบกันดีกว่าสังคมนั้นเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ดังนั้นคำแนะนำจากสมัยก่อนก็ใช่ว่าจะใช้กับปัจจุบันได้เสมอไป ถึงอย่างนั้นคำแนะนำของสมัยก่อนก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ดี ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชม 7 คำแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับการไปเดตจากสมัยก่อนกัน แต่จะออกมาดัง หรือออกมาพังนั้น คงต้องให้เพื่อนๆ ไปตัดสินกันเองนะ 1. อย่าใส่ต่างหู นิตยสาร The San Francisco Call เมื่อปี 1912 บอกว่า “โลกใบนี้มีผู้หญิงอยู่สองแบบ สาวๆ ที่มีอารยะ กับคนที่ใส่ต่างหู” ดูเหมือนว่าในสมัยนั้นการใส่ต่างหูจะถูกมองว่าเป็นคนหยาบคายมากเลยทีเดียว อยากรู้จริงๆ ว่าคนสมัยนั้นจะทำหน้ายังไงถ้าเป็นแฟชั่นในปัจจุบัน 2. อย่าทานชีส นิตยสาร Etiquette, Health and Beauty เมื่อปี 1889 บอกว่า “คนเป็นสุภาพสตรี เขาแทบจะไม่ทานชีสในปาร์ตี้อาหารเย็นกันหรอก” ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีเหตุผลอะไรเป็นเบื้องหลัง (อาจจะเกี่ยวกับกลิ่น?) แต่จะบอกว่าการที่ผู้หญิงทานชีส “ดูไม่ดี” ในสมัยนั้นก็คงได้ 3. อย่าทำตัวมีอารมณ์ขัน นิตยสาร How to Be a Lady เมื่อปี…
-
ภาพ “บ้าน” ของเด็กผู้เติบโตในค่ายกักกันนาซี ลายเส้นยุ่งเหยิงที่ออกจากจิตใจที่มีบาดแผล
จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณบอกให้เด็กที่เติบโตมาในค่ายกักกันในช่วงสงคราม วาดภาพของ “บ้าน” ออกมา? ภาพที่พวกเด็กเหล่านั้นวาดออกมาจะเสียดแทงจิตใจขนาดไหนกัน นี่คือภาพของ David Seymour ที่ถูกถ่ายมาจากศูนย์ฟื้นฟูจิตเวชสำหรับเด็กในวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ เมื่อปี 1948 โดยเป็นภาพของเด็กสาวที่ถูกเรียกว่า “Tereszka” หญิงสาวผู้เติบโตมาในค่ายกักกันของนาซีเยอรมัน ข้อมูลที่เราทราบเกี่ยวกับเด็กสาวคนนี้มีอยู่น้อยมาก แต่จากภาพที่ปรากฏมาในสายตาของคนทั้งโลก ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดวงตาของเธอ ไม่ใช่ดวงตาของเด็กที่ไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว เป็นไปได้ว่าในระหว่างที่อยู่ในค่ายกักกัน เด็กสาวคนนี้อาจจะต้องพบประสบการณ์ที่เจ็บปวดมามากกว่าที่จะบรรยายได้ และจากภาพที่เธอวาด หลายๆ คนก็ตีความไปถึงความสับสนวุ่นวายในจิตใจของเด็กสาว หรือแม้กระทั่งรั้วลวดหนามของค่ายกักกันเอง ตลอดช่วงสงครามเชื่อกันว่ามีเด็กชาวยิวกว่า 216,000 คนถูกส่งไปยังค่ายกักกันเอาชวิทซ์ แต่เมื่อจบสงคราม ทางโซเวียตกลับพบเด็กชาวยิวหลงเหลือในค่ายเพียง 451 คนเท่านั้น ในบรรดาเด็กเหล่านั้นยิ่งมีน้อยคนมากที่ได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ เพราะพวกเขามักไม่เหลือญาติพี่น้องอีกต่อไป ไม่รู้ที่ไปที่มาของตัวเอง หรือไม่ก็จะมีความผิดปกติทางอารมณ์อย่างรุนแรงจนต้องเขารับการรักษาในศูนย์ฟื้นฟูจิตเวช หากโชคดีพวกเด็กๆ จะได้ถูกรับอุปการะหลังจากนั้น แต่ถึงอย่างนั้นบาดแผลที่พวกเขาได้รับก็มักจะเป็นเรื่องฝังลึกที่รักษาไม่หายไปอีกนานอยู่ดี ที่มา rarehistoricalphotos
-
17 ภาพเหล่าสัตว์จากสมัยก่อน ที่ทำตัวเหมือนคนไม่มีผิด สงสัยจะอยู่กับมนุษย์นานไปหน่อย
การเลี้ยงสัตว์เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อน นั่นทำให้เราสามารถเห็นภาพของเหล่าสัตว์เลี้ยงในภาพถ่ายเก่าๆ อยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่าการมาอาศัยอยู่กับมนุษย์ย่อมทำให้นิสัยของเหล่าสัตว์เปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นอยู่บ้าง แต่ก็มีบางเวลาเหมือนกันที่เหล่าสัตว์เลี้ยงทำตัวเหมือนเป็นมนุษย์ไม่มีผิด เกิดเป็นภาพเก่าๆ สุดน่ารัก เหมือนกับภาพถ่ายจากสมัยก่อนทั้ง 17 ภาพต่อไปนี้ เริ่มกันจากน้องหมูนั่งรถในมณฑลเอสเซ็กซ์ประเทศอังกฤษ กันยายน 1934 น้องแมวนั่งเล็มหนวด เมื่อเดือนเมษายน 1932 น้องกระต่ายยิงลูกเทนนิสจากปืนใหญ่ของเล่น เมื่อปี 1956 น้องแมวตากหนูบนราวตากผ้า เมื่อปี 1933 น้องหมาน้องแมว กับรถของเล่นเมื่อปี 1933 เวลาน้ำชาสุขสันต์ของคนสองคน และสัตว์อีกสองตัว เมื่อปี 1936 น้องแมวกับวันชิลๆ และเพลงสุดโปรด คุณแมวน้ำที่มาเรียนร้องเพลงในปี 1926 ไม่ได้จะกินหัวคนสอนจริงๆ นะ Ginger แมวที่หนักที่สุดในลอนดอน (เมื่อปี 1935) ในร้านอาหาร คุณห่านใส่แว่นสัตว์เลี้ยงของนักแสดงหญิง Fay Webb เมื่อปี 1925 ลูกหมูที่มารักษาโรคผิวหนัง เมื่อปี…
-
14 ภาพการเอกซเรย์จากสมัยก่อน มาดูกันว่าเครื่องมือที่คนในอดีตกลัว มันน่ากลัวจริงๆ หรือไม่
ในช่วงแรกๆ ที่มีการคิดค้นการเอกซเรย์ออกมา ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่านี่เป็นเครื่องมือที่มีความอันตรายค่อนข้างสูง แต่ถึงอย่างนั้นการเอกซเรย์ก็ช่วยเหลือในการรักษาชีวิตของผู้คนในสมัยนั้นไว้เป็นจำนวนมากอยู่ดี ว่าแต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่าการเอกซเรย์ในสมัยก่อนนั้นมันเป็นอย่างไรกัน ที่คนกลัวกันขนาดนั้นเป็นเพราะหน้าตาของมันใช่หรือไม่ มาหาคำตอบไปด้วยกันกับ 14 ภาพการเอกซเรย์จากสมัยต่อไปนี้ นี่คือเครื่องเอกซเรย์รุ่นแรกๆ ในประเทศออสเตรีย กับการใช้งานในช่วงปี 1910 ส่วนนี่คือเครื่องเอกซเรย์ของศาสตราจารย์มินาร์ด ในโรงพยาบาลโคชิน ประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี 1914 เครื่องเอกซเรย์ของสถาบัน Roentgen ประเทศเยอรมนี 1929 จะสังเกตว่าเทคโนโลยีเครื่องเอกซเรย์จะดูล้ำสมัยมากเมื่อเทียบกับของอื่นๆ สมัยนั้น ภาพผลการเอกซเรย์แผ่นหลังของ Judith Allen นักแสดงมีชื่อของสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1930 การสาธิตการทำงานของอุปกรณ์เอกซเรย์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ลอนดอน เมื่อปี 1932 นักรังสีในชุดป้องกันรุ่นเก่าที่ไม่จำเป็นแล้วในการเอกซเรย์ในปัจจุบัน เมื่อปี 1934 เครื่องเอกซเรย์ศีรษะรุ่นใหม่ที่มาพร้อมระบบป้องกันที่ดียิ่งขึ้นในงานนิทรรศการทางการแพทย์ที่กรุงลอนดอน เมื่อปี 1934 จากคำอธิบาย เครื่องนี้ใช้ง่ายขนาดว่าสามารถเสียบปลั๊กกับบ้านคนธรรมดาได้เลย การเอกซเรย์ทรวงอกเพื่อการตรวจโรคเกี่ยวกับปอดด้วยเครื่องมือเฉพาะทาง ในรีโอเดจาเนโร 1937 การตรวจเอกซเรย์ ของแพทย์สนามสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง…
-
เปิดตำนาน “เพชรโฮป” อัญมณีสีน้ำเงินต้องสาป ที่เชื่อว่าจะนำเรื่องร้ายๆ มาให้กับเจ้าของ
เคยได้ยินเรื่องราวของเพชรต้องสาปไหม มันเป็นเพชรขนาดใหญ่หนักราวๆ 45 กะรัตที่มีสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งถูกเก็บไว้ที่ในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาสมิธโซเนียน ที่สหรัฐอเมริกา และว่ากันว่าจะนำพาเรื่องร้ายๆ มาให้กับเจ้าของ ไม่มีใครรู้ว่าเพชรเม็ดนี้ถูกค้นพบเมื่อใด แต่ว่ากันว่าเพชรเม็ดดังกล่าวถูก พ่อค้าชาวฝรั่งเศส Jean Baptiste Tavernier นำมาขายให้กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในช่วงศตวรรษที่ 17 เพชรเม็ดนี้ตกทอดมาถึงมือของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และแมรี่ อังตัวเนตต์ในเวลาต่อมา และในช่วงนี้เองที่ตำนานเพชรต้องสาปเริ่มต้นขึ้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และแมรี่ อังตัวเนตต์ถูกประหารชีวิตในการปฏิวัติฝรั่งเศสหลังจากนั้น ส่วนเพชรเม็ดนี้ได้สูญหายไปอย่างลึกลับ เป็นไปได้ว่าจะถูกขโมยไปพร้อมๆ กับเครื่องประดับอื่นๆ ในระหว่างความวุ่นวายของการปฏิวัติ อย่างไรก็ตามในปี 1830 ได้มีบันทึกว่ามีคนซื้อเพชรเม็ดนี้เอาไว้อีกครั้ง โดยชายคนดังกล่าวมีชื่อว่าเฮนรี่ ฟิลิป โฮป และทำให้เพชรสีน้ำเงินเม็ดดังกล่าวได้รับชื่อ “เพชรโฮป” ที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน ภาพของเฮนรี่ ฟิลิป โฮป ดูเหมือนว่าเพชรเม็ดนี้จะมีรูปร่างเปลี่ยนไปจากในอดีตพอสมควร ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะมาจากการเจียระไนใหม่ โดยช่างเจียระไนชาวดัตช์ แต่แม้รูปร่างจะเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้คำสาปของเพชรเม็ดนี้ลดน้อยลงไปเลย เพราะหลังจากที่เพชรเม็ดนี้ตกทอดไปในตระกูลโฮป ได้ไม่นานคนในตระกูลก็เริ่มพบกับโชคร้ายทันที…
-
รู้หรือไม่ ในสงคราม นาซีเคยปลอมระเบิดเป็นของกินของใช้ อย่าง “ช็อกโกแลตแท่ง” มาแล้ว
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีอยู่หลายครั้งที่ฝั่งนาซีพยายามจะตัดสายการลำเลียงเสบียงของฝั่งอังกฤษ และหลายๆ ครั้งพวกเขาก็เลือกที่จะใช้การซ่อนระเบิดไปบนเรือของอังกฤษนั่นเอง โชคดีที่ทางอังกฤษมีหน่วยป้องกันการก่อวินาศกรรมที่ค่อนข้างมีฝีมือมาก จนสามารถเก็บกู้การลอบวางระเบิดของทางนาซีได้เป็นอย่างดี และในระหว่างการทำงานของพวกเขานั่นเอง Laurence Fish ศิลปินหนุ่มคนหนึ่งในสมัยนั้น ก็คอยรับหน้าที่วาดภาพแบบแปลนของระเบิดจากข้อมูลที่หน่วยป้องกันการก่อวินาศกรรมมอบให้ เพื่อเป็นข้อมูลในการสอดส่องดูแลต่อไป โดยหนึ่งในภาพที่น่าสนใจของ Laurence คือแบบแปลนระเบิดช็อกโกแลตแท่ง ที่ออกแบบมาให้ทำงานในทันทีที่ช็อกโกแลตถูกหักออก ซึ่งว่ากันว่าทางนาซีเคยพยายามที่จะใช้ในการลอบสังหาร Winston Churchill นั่นเอง ภาพเหล่านี้ถูกค้นพบในช่วงปี 2015 และกลายเป็นที่สนใจมากของนักประวัติศาสตร์ในสมัยนั้น เพราะความคิดสร้างสรรค์ของนาซีในการทำระเบิดนั้น มันช่างเหนือความคาดหมายในหลายๆ ด้านจริงๆ เพราะนอกจากช็อกโกแลตแท่งแล้ว ทางนาซียังเคยแอบวางกับดักระเบิดมาในอาหารการกิน น้ำมันเครื่อง นาฬิกา หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ที่คล้ายคลึงกับกระติกน้ำเลยด้วย จากข้อมูลของ Jean Bray ภรรยาผู้เป็นม่ายของ Laurence กล่าวว่าภาพของสามีที่เธอพบนั้นมีทั้งหมด 25 ภาพ ซึ่งมีขนาดตั้งแต่กระดาษ A4 ไปจนถึง A1 และมีสภาพสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากที่สงครามจบลง Laurence ก็ประสบความสำเร็จในการเป็นศิลปินอย่างเป็นตัว ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไปในปี…
-
“Shell Shock” กลุ่มอาการของเหล่าผู้โดนความโหดร้ายของสงครามกลืนกินจนเป็นบ้า
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งถูกเรียกว่ามหาสงครามอย่างมีที่มาที่ไป เพราะนี่ไม่ใช่แค่สงครามที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาของโลกในสมัยนั้น แต่มันยังเป็นสงครามที่ส่งคนจำนวนมากไปสู่ความตายและความบ้าคลั่งอีกด้วย และในสงครามครั้งนี้เองที่ทำให้มนุษย์รู้จักกับอาการที่ชื่อว่า “Shell Shock” อาการที่มักจะเกิดขึ้นกับทหารที่เห็นภาพความโหดร้ายของสงครามอย่างต่อเนื่อง “ดวงตาแห่งความบ้าคลั่ง” รูปภาพเกี่ยวกับอาการ Shell Shock ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ว่ากันว่า Shell Shock เป็นชื่อที่ทหารตั้งให้กับกลุ่มอาการที่ทหารสะสมความเครียดและความกลัวจนสติแตก และมีที่มาจากมาจากการที่ทหารหวาดกลัว “กระสุนปืนใหญ่” ในสมัยนั้น อาการของ Shell Shock มีอยู่หลากหลาย ตั้งแต่ตัวสั่น นอนฝันร้าย ทำอะไรไม่ถูก พูดไม่ได้ เรื่อยไปยันการไร้สติโดยสิ้นเชิงคล้ายหุ่นไร้วิญญาณ และอาจจะมีผลยาวนานไปจนจบสงครามหรือตลอดชีวิตได้เลย อาการนี้มักถูกนำไปรวมกับอาการ PTSD หรืออาการความเครียดหลังจากเหตุการณ์สะเทือนใจ ซึ่งมีความใกล้เคียงกันค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามมีคนจำนวนหนึ่ง (โดยเฉพาะทหาร) ที่มักเชื่อว่าอาการทั้งสองไม่เหมือนกันเสียทีเดียว เพราะอาการ Shell Shock มักถูกมองว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นทันทีทันใด และในช่วงแรกๆ ที่อาการนี้เป็นที่รู้จัก อาการดังกล่าวยังถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอ จนถึงขั้นที่ว่าใครที่มีอาการจะถูกประหารชีวิตเลยด้วย โชคดีที่ต่อมาทางรัฐบาลอังกฤษได้ออกมาบอกว่า Shell Shock ไม่ได้เกิดจากความอ่อนแอ และอาการทางจิตที่ว่านี้ก็กลายเป็นหนึ่งในความรู้คู่กองทัพไปในเวลาหลังจากนั้น ที่มา rarehistoricalphotos, apa
-
“ไมเคิล คอลลินส์” นักบินที่ถูกลืมแห่งอะพอลโล 11 ผู้รู้จัก “ความโดดเดี่ยว” ดีที่สุด
เมื่อพูดถึงอะพอลโล 11 เชื่อว่าหลายๆ คนคงคิดถึงนีล อาร์มสตรองเป็นคนแรก และถ้ารู้ลึกสักนิดก็คงจะมีหลายๆ คนที่พูดชื่อของบัซ อัลดรินแถมขึ้นมาอีกชื่อ แต่เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่าอะพอลโล 11 ยังมีนักบินที่ขึ้นไปปฏิบัติการอีกคน ชื่อของเขาคือ ไมเคิล คอลลินส์ ชายอีกคนที่ร่วมเดินทางไปยังดวงจันทร์อีกคน เขาได้รับหน้าที่รอคอยนักบินทั้งสองอยู่บนยานแม่ รอคอยการกลับมาของเพื่อนๆ ตามลำพัง จริงอยู่ว่าหน้าที่ของเขาอาจจะฟังดูเป็นเรื่องง่ายเมื่อเทียบกับความเสี่ยงของนีล อาร์มสตรองและบัซ อัลดริน แต่ใครเล่าจะรู้ว่าการรอคอยของคอลลินส์นั้นเป็นได้ทุกอย่างนอกจากคำว่าสบาย เพราะตั้งแต่ที่ปล่อยยานลูกลงไปสู่พื้นผิวดวงจันทร์คอลลินส์ ก็ต้องรอคอยเพื่อนๆ อย่างโดดเดียวในอวกาศนานถึง 21 ชั่วโมงครึ่ง และลอยไปยังอีกด้านของดวงจันทร์อย่างโดดเดี่ยว โดยไร้ซึ่งการติดต่อจากโลกหรือเพื่อนๆ จากบันทึกของเขาตลอดเวลาที่อยู่บนอวกาศ เขาไม่ได้อิจฉาเพื่อนๆ ทั้งสองเลย กลับกันในหัวของเขาเต็มไปด้วยความกลัวที่ว่าเพื่อนของเขาจะไม่กลับมา และเขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่ได้กลับไปที่โลก แม้กระทั่งภาพถ่ายจากอวกาศของเขาก็เต็มไปด้วยเงาของความโดดเดี่ยว เพราะในภาพที่เรียกได้ว่าถ่ายติดคนทั้งโลก และยานของเพื่อนทั้งสองของเขานั้น ก็ยังมีเพียงคอลลินส์เท่านั้นที่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในภาพด้วย ภาพของ “มนุษย์ทุกคน” ที่คอลลินส์เป็นคนถ่าย ภาพแห่งความเดียวดายที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ไม่ติดในภาพ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับคอลลินส์ที่เพื่อนทั้งสองของเขาสามารถติดต่อกลับมาหาเขาได้สำเร็จ ทำให้ความคิดที่ว่าเขาจะต้องกลับโลกอย่างผู้มีบาดแผล หายไปเป็นปลิดทิ้ง แม้ว่าชื่อเสียงของคอลลินส์จะเป็นที่พูดถึงน้อยมากเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญสำหรับชายคนนี้เลย เพราะสำหรับเขาแล้วการที่ได้กลับบ้านพร้อมๆ กับเพื่อน…
-
“วงแหวนนางฟ้า” ปรากฏการณ์เห็ดขึ้นเป็นวง “ประตูสู่อีกโลก” ที่เป็นได้ทั้งเรื่องดีและข่าวร้าย
ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน การที่จู่ๆ เห็ดจะขึ้นเป็นวงแหวนในป่ามักจะถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของบางสิ่งบางอย่างจากต่างโลก และกลายเป็นที่มาของเรื่องเล่าเรียกกันว่า “วงแหวนภูต” “วงแหวนเอลฟ์” หรือ “วงแหวนนางฟ้า” การพบวงแหวนเหล่านี้จะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อของคนในพื้นที่ บางครั้งเรื่องเล่าก็บอกว่าวงแหวนนางฟ้าจะนำมาซึ่งโชคดี ในขณะที่ในอีกหลายๆ เรื่องเล่าวงแหวนนางฟ้าก็จะนำมาซึ่งสิ่งชั่วร้าย วงแหวนเหล่านี้บางครั้งก็ถูกมองว่าเป็นทางผ่านไปยังดินแดนของชาวเอลฟ์ ดินแดนของนางฟ้า หรือแม้กระทั่งอีกโลกหนึ่ง ในฝรั่งเศสและเยอรมนี วงแหวนเหล่านี้มักจะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเวทมนตร์ชั่วร้าย อันเป็นผลงานจากพิธีกรรมของแม่มด แต่ในอังกฤษ สแกนดิเนเวียน และเซลติก วงแหวนนี้กลับมักถูกมองว่าเกิดจากการเต้นรำของเหล่าภูติแทน แต่แม้ว่าแนวคิดเรื่องวงแหวนนางฟ้าแต่แตกต่างกันไปในแต่ละที่ โดยมากแล้วในสมัยก่อนมักจะมีคำสอนที่ห้ามไม่ให้เข้าไปใกล้วงแหวนเหล่านี้อยู่เสมอๆ ในตำนานหลายๆ เรื่องการเข้าไปในวงแหวนจะทำให้ผู้ที่เข้าไปตายตั้งแต่ยังเด็ก กลายเป็นคนที่ไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป ถูกขังอยู่ในนั้นตลอดกาล สูญเสียดวงตา หรือแม้กระทั่งโดนบังคับให้เต้นไปจนตาย โชคดีที่ในปัจจุบันเราทราบกันแล้วว่าเหตุการณ์วงแหวนนางฟ้านั้นเกิดขึ้นด้วยเหตุผลใด กล่าวคือเห็ดบางชนิด (อย่างเห็ดแชมปิญอง เห็ดหัวกรวด) จะมีการกระจายเส้นใยเห็ดออกไปในระยะทางเท่าๆ กันรอบทิศ นั่นทำให้หากกลุ่มของเส้นใยสมบูรณ์มันจะเกิดเป็นดอกเห็ดซึ่งล้อมวงกันเป็นวงกลมแบบพอดิบพอดีนั่นเอง ส่วนเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับวงแหวนเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ เด็กๆ ในสมัยนั้นเก็บเห็ดในวงแหวนไปทานก็เป็นได้ เพราะในบรรดาเห็ดที่มีการกระจายเส้นใยในรูปแบบนี้ มีอยู่หลายชนิดที่มีพิษกับมนุษย์นั่นเอง ที่มา ancient-origins, britannica
-
พบร่างเด็ก 10 ขวบถูก “ฝังแบบแวมไพร์” ตามความเชื่อโรมันโบราณ ป้องกันศพ “ลุกกลับมา”
ในยุคที่ความเชื่อเป็นสิ่งที่ปกครองมนุษย์ ความกลัวในสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติย่อมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา และสำหรับชาวโรมันโบราณแล้ว หนึ่งในเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านั้น คือการที่คนตายลุกขึ้นมาจากหลุมศพ นั่นทำให้เมื่อนักโบราณคดีได้พบกับร่างของเด็กอายุราวๆ 10 ขวบคนหนึ่งที่ถูกฝัง “โดยยัดหินไว้ในปาก” ไว้ในซากโบราณสถานในอิตาลี พวกเขาจึงเข้าใจได้ว่าการฝังแบบนี้น่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้ศพลุกกลับขึ้นมานั่นเอง นี่เป็นรูปแบบการฝังที่นักโบราณคดีเรียกกันว่า “การฝังแวมไพร์” โดยจะเป็นการนำเหยื่อที่ตายด้วยโรคร้ายหรืออาการแปลกๆ มาฝังโดยนำของแข็งยัดใส่ไว้ในปาก หรือไม่ก็ตอกลิ่มทะลุหัวใจตรึงร่างไว้กับพื้น การกระทำเช่นนี้เป็นไปได้ว่าจะถูกเชื่อโดยคนสมัยก่อนว่าช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรคได้ หรือไม่ก็ป้องกันไม่ให้ศพลุกขึ้นมากัดคน แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละที่ โดยการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นที่ “La Necropoli dei Bambini” สถานที่ซึ่งใช้ฝังศพเด็กในสมัยโรมันช่วงกลางศตวรรษที่ห้า ซึ่งเดิมทีแล้วเชื่อกันว่ามีไว้ฝังทารกและเด็กเล็กเท่านั้น นั่นทำให้การค้นพบเด็กอายุราวๆ 10 ขวบในครั้งนี้ไปขยายช่วงอายุของเด็กที่จะถูกฝังที่นี่ขึ้น เพราะจนถึงเมื่อไม่นานมานี้โครงกระดูกของเด็กที่พบที่นี่ ไม่มีร่างไหนเลย ที่อายุมากกว่า 3 ขวบ แม้ว่าการค้นพบในครั้งนี้จะดูแปลก แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการขุดพบโครงกระดูกที่ชาวโรมันมีมาตรการป้องกันไม่ให้ศพลุกกลับมา เพราะในอดีตเองก็ได้มีการพบโครงกระดูกที่มีการใช้หินทับไว้เป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งในสุสานเดียวกันนี้เองก็มีร่องรอยว่าร่างของเด็กๆ บางส่วนถูกเอาหินทับมือและเท้าไว้เพื่อไม่ใช้พวกเธอลุกขึ้นมาเช่นกัน อย่างไรก็ตามนี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่มีร่างของเด็กที่ถูกยัดหินใส่ปากเพื่อป้องกันการลุกขึ้นมาจากหลุมศพในยุคโรมัน และมีความหลายคลึงกับศพที่เคยถูกค้นพบในปี 2009 ของหญิงชราที่เวนิซเมื่อศตวรรษที่ 16 มากว่า ดูเหมือนว่าร่างของเด็กที่พบจะมีร่องรอยของฟันที่เป็นหนองอันเป็นผลพวงของโรคมาลาเลีย ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าร่างที่พบนั้นจะมาจากช่วงที่โรคมาลาเลียกำลังระบาดหนัก…
-
นักโบราณคดีพบ วิหารโบราณพร้อมภาพวาดฝาพนัง ในเมืองที่ถูกฝัง “ปอมเปอี”
ปอมเปอี คืออดีตเมืองของอาณาจักรโรมัน ในประเทศอิตาลี เป็นที่รู้จักกันในนามเมืองที่ถูกฝังไปในเถ้าภูเขาไฟวิสุเวียส และเป็นสถานที่แห่งความตายที่มีชาวเมืองเสียชีวิตไปกว่า 30,000 ราย แต่ในบรรดาประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความตายนั้นเอง เมืองปอมเปอี ก็ยังเก็บรักษาเรื่องดีๆ เอาไว้เช่นกัน เพราะล่าสุดนี้เอง นักโบราณคดีได้ขุดพบวิหารโบราณที่ถูกฝังไว้โดยภายได้เถ้าภูเขาไฟในเมืองแห่งนี้ มันเป็นวิหารที่มีภาพงานศิลปะอันงดงามวาดเอาไว้บนกำแพง และมีความสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อเนื่องจากถูกเก็บรักษาไว้ได้เถ้าภูเขาไฟ มันเป็นภาพของนกยูงที่มีความเหมือนจริงมากเดินอยู่ในสวนด้านใต้ภาพของสัตว์ที่คล้ายกับปลาไหลสีทองสองตัว ซึ่งกำลังมองไปยังแท่นบูชาที่มีไข่ มะเดื่อ และถั่ววางอยู่ เป็นไปได้ว่าแท่นบูชาที่เป็นสัญลักษณ์แทนความอุดมสมบูรณ์ส่วน สัตว์ซึ่งหน้าตราคล้ายกับปลาไหลสีทองที่ว่าน่าจะเป็นภาพงูขดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ “Lares” หนึ่งในเทพที่ชาวโรมันให้ความเคารพ แต่นั่นไม่ใช่ภาพเพียงภาพเดียวที่มีการขุดพบ เพราะที่กำแพงอีกด้านก็มีการพบกำแพงที่ถูกทาเป็นสีแดงฉาน และมีภาพของสุนัขที่กำลังต่อสู้กับหมูป่าวาดเอาไว้อีกด้วย นอกจากนี้ที่อีกมุมหนึ่งของห้องยังมีภาพของชายที่มีศีรษะเป็นสุนัขที่น่าจะเป็นเทพอะนูบิสของอียิปต์ในเวอร์ชันของโรมันอีกด้วย นักโบราณคดีบอกว่าภาพเหล่านี้มีความบอบบางมากดังนั้นพวกเขาจึงต้องลงมือทำการดูแลรักษามันอย่างเร่งด่วน มิเช่นนั้นแสงและสภาพอากาศในปัจจุบันอาจจะทำลายภาพเหล่านี้ไปอย่างรวดเร็วเลยก็เป็นได้ จริงอยู่ว่าการถูกค้นเมืองปอมเปอีจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 แต่ในสมัยนั้นนักโบราณคดีมักจะไม่มีการบันทึกสิ่งที่ค้นพบเอาไว้เลย ทำให้การค้นพบในครั้งนี้นับว่าเป็นการค้นพบที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ในปัจจุบันเอง นักโบราณคดีก็ยังคงเชื่อกันว่าเมืองแห่งนี้ยังมีสิ่งที่พวกเราจะสามารถเรียนรู้ได้จากการขุดค้นอีกมากมายเลยทีเดียว ที่มา thesun, ancient-origins, ancient, history
-
22 ภาพการทดลองนิวเคลียร์มีชื่อของโลก “ระเบิดแห่งความตาย” ที่อาจทำลายโลกทั้งใบ
ว่ากันว่าวันที่ 14 กรกฎาคม 1945 เป็นวันที่จะเปลี่ยนโลกใบนี้ไปทั้งใบ เมื่อสหรัฐอเมริกาได้ทำการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลกที่สถานที่ทดสอบทรินิตี และเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปทั้งใบ นับตั้งแต่วันนั้นมา โลกของเราก็เข้าสู่ยุคสมัยแห่งนิวเคลียร์ และนำมาซึ่งการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแล้วครั้งเล่ามาจนถึงในปัจจุบัน และด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจึงจะไปชม 22 ภาพของการทดลองนิวเคลียร์ ที่มีชื่อเสียงของโลก ไปดูกันดีกว่าว่าการทดลองอาวุธที่ทำให้โรเบิร์ต โอปเฟนไฮเมอร์หัวหน้าโครงการแมนฮัตตันหลุดปากออกมาว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้า ได้กลายเป็น “ความตาย” ผู้ทำลายโลกทั้งใบ” มันเป็นอย่างไรกัน เริ่มกันที่ “แกดเจ็ต” ระเบิดนิวเคลียร์ที่มีการทดลองลูกแรกของโลกหลังจากจุดชนวน 9 วินาที 16 กรกฎาคม 1945 ภาพทหารสหรัฐฯ สังเกตการณ์การทดลองนิวเคลียร์ ที่บิกีนีอะทอลล์ 25 กรกฎาคม 1946 ภาพการระเบิดที่บิกีนีอะทอลล์ แบบใกล้ชิด 25 กรกฎาคม 1946 การระเบิดที่บิกีนีอะทอลล์ จากมุมสูง 25 กรกฎาคม 1946 การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ของเครื่องบิน B-36H ในการทดลองนิวเคลียร์ที่มีโค้ดเนมส์ว่า Ivy 16 พฤศจิกายน 1952…
-
พบสุสานนักบวช “ไคเรส” สหายเพียงหนึ่งเดียวของฟาโรห์ ผู้มากตำแหน่งแห่งอียิปต์โบราณ
เมื่อพูดถึงคนที่มีอำนาจปกครองอย่างฟาโรห์ การที่คนแบบนั้นจะมีผู้คนล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมดย่อมเป็นภาพลักษณ์ที่ติดตาสำหรับหลายๆ คนเป็นเรื่องธรรมดา แต่เอาเข้าจริงๆ การได้เป็นฟาโรห์อาจจะเป็นอะไรที่เหงากว่าที่คิดก็เป็นได้ เพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง ได้มีการขุดพบสุสานของนักบวชชื่อ ไคเรส (Kaires) ผู้ซึ่งถูกระบุไว้ว่าเป็น “สหายเพียงคนเดียวของฟาโรห์” และ “ผู้เก็บรักษาความลับแห่งมอร์นิ่งเฮ้าส์” สถานที่ซึ่งฟาโรห์ทานอาหารเช้าและแต่งกาย นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นในนครสุสานอบูเซียร์ ที่ประเทศอียิปต์ และเชื่อกันว่ามาจากสมัยที่ฟาโรห์เนเฟอร์อิร์คาเร (Neferirkare) กำลังการครองราชย์ เมื่อช่วง 2,446-2,438 ปีก่อนคริสตกาล หรือไม่ก็บรรพบุรุษของเขา รูปปั้นของนักบวชไคเรส ที่ถูกค้นพบ ไคเรสนั้นเป็นคนที่มีตำแหน่งหลากหลายมาก เพราะนอกจากสองตำแหน่งที่ระบุไว้ด้านบนแล้ว เขายังมีตำแหน่ง “ผู้ดูแลผลงานของกษัตริย์ทั้งหมด” และ “บุคคลที่สำคัญที่สุดของบ้านแห่งชีวิต” หอสมุดที่เก็บปาปิรุสไว้เป็นจำนวนมาก แม้จะไม่อาจทราบได้ว่าเขาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของฟาโรห์จริงๆ หรือไม่ แต่คนคนนี้จะต้องเป็นบุคคลที่สำคัญมากคนหนึ่งในอียิปต์โบราณเป็นแน่ เพราะเขานั้นถูกฝังไว้ในสถานที่ที่ตามปกติจะอนุญาตให้ฝังเพียงแค่เชื้อพระวงศ์ และชนชั้นสูงเท่านั้น แถมสุสานของเขายังมีการปูหินบะซอลเป็นฐาน ซึ่งตามปกติจะทำให้กับฟาโรห์เท่านั้นอีกด้วย น่าเสียดายที่ในปัจจุบันยังไม่มีการค้นพบมัมมี่ของไคเรส อย่างไรก็ตามการขุดค้นในครั้งนี้ก็ยังไม่ถือว่าเสร็จสมบูรณ์ ดังนั้นในอนาคตเราอาจจะได้เห็นใบหน้าของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ก็เป็นได้ ที่มา livescience, heritagedaily, ancient-origins