Category: ย้อนเวลาหาความรู้
-
“เด็กหญิงกับอีแร้ง” ภาพถ่ายรางวัลยอดเยี่ยมจากปี 1993 ที่ทำให้ช่างภาพฆ่าตัวตาย
ผลงานภาพสะเทือนใจที่ได้รับรางวัลนั้นมีมากมายหลายภาพที่มีเบื้องหลังที่โหดร้ายกว่าที่เห็น แต่หากจะพูดถึงภาพถ่ายสะเทือนใจที่มีคนรู้จักกันมากที่สุด ก็คงไม่พ้นภาพของเด็กหญิงกับอีแร้งจากเมื่อปี 1993 นี่เป็นภาพเด็กหญิงชาวแอฟริกา ที่รูปร่างผอมแห้งและกำลังจะหิวตาย กับนกแร้งที่เฝ้าคอยที่จะจิกกินซากศพของเธอ ภาพนี้อยู่ถ่ายไว้โดยช่างภาพหนังสือพิมพ์ชื่อ Kevin Carter ผู้เดินทางไปยังซูดาน ในเดือนมีนาคม 1993 แม้ว่านี่จะเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นความโหดร้ายของโลกได้เป็นอย่างดี แต่ในเวลาเดียวกันก็สร้างคำถามให้กับผู้พบเห็นมากมายเช่นกัน ภาพของ Kevin Carter ในสมัยที่กำลังถ่ายภาพความรุนแรงในแอฟริกา และหนึ่งในคำถามเหล่านั้นคือ “เด็กที่เห็นเป็นอย่างไรต่อไป” และ “ทำไมตากล้องเอาแต่ถ่ายภาพและไม่ช่วยเด็กคนนี้” จากคำบอกเล่าของ Carter ดูเหมือนว่าเขาจะช่วยไล่นกแร้งออกไปก็จริง แต่เป็นหลังจากที่เขาถ่ายภาพเสร็จแล้ว ส่วนเด็กในภาพก็แข็งแรงพอที่จะเดินเองได้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ทราบว่าเธอนั้นเป็นอย่างไรต่อไป เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ Carter ถูกมองว่าเป็นนักข่าวที่เห็นแก่ชื่อเสียง และเลือกที่จะทำผลงานมากกว่าที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ จนเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากคนทั่วโลก Carter มักถ่ายภาพในเหตุการณ์รุนแรงอยู่เสมอๆ ในความเป็นจริงแล้วคนที่ทำงานในถิ่นทุรกันดารอย่าง Carter มักจะถูกสอนไม่ให้สัมผัสเหยื่อความหิวโหยในพื้นที่ เนื่องจากพวกเขาอาจจะมีโรคติดต่อร้ายแรงก็เป็นได้ ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็บอกว่ารู้สึกผิดเป็นอย่างมากที่เขาไม่ได้ช่วยเหลือเด็กคนดังกล่าว ถึงขั้นที่ว่าไม่นานหลังจากที่เขาได้รับรางวัลภาพถ่ายยอดเยี่ยมในปี 1994 Carter ก็จบชีวิตของตัวเองลงในเดือนกรกฎาคม 1994 และในวาระสุดท้ายของชีวิต Carter ก็ได้ทิ้งจดหมายลาตายไว้ว่า “ผมเสียใจมากๆ ความเจ็บปวดนี้มันทาทับความดีใจไปเสียจนหมด ผมสิ้นหวัง ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า…
-
นักวิทย์ไขปริศนา “สาเหตุ” การสร้างรูปปั้นโมอาย แท้จริงแล้วมันเกี่ยวกับแหล่งน้ำดื่ม
ตั้งแต่ในอดีต มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้ทำการถกเถียงกันถึงที่มาของรูปปั้นหินแห่งเกาะอีสเตอร์ที่ประเทศชิลี มันคือรูปปั้นหินที่รู้จักกันในนาม โมอาย หนึ่งในมรดกโลกและหนึ่งในปริศนาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขของโลกใบนี้ รูปปั้นโมอายเชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1250-1500 โดยชาวเกาะอีสเตอร์ที่มีชื่อว่า Rapa Nui และมีอยู่ทั้งหมดราวๆ 887 อันทั่วเกาะ อย่างไรก็ตามไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าชาวเกาะสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร หรือทำขึ้นมาเพื่ออะไร แต่ล่าสุดนี้เองทีมนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยบิงแฮมตันของสหรัฐอเมริกาก็ได้ออกมาบอกว่าพวกเขาสามารถไขปริศนา “สาเหตุ” ของการสร้างรูปปั้นโมอายได้แล้ว!! ดูเหมือนว่าบนเกาะอีสเตอร์นั้นมีแหล่งน้ำจืดอยู่ค่อนข้างน้อย ทำให้คนที่อาศัยอยู่ในเกาะจำเป็นต้องพึ่งพาน้ำใต้ดินในการดำเนินชีวิต และรูปปั้นโมอายทั่วเกาะก็เป็นสัญลักษณ์ของแหล่งน้ำที่ดื่มได้นั่นเอง การค้นพบนี้มาจากการศึกษาแหล่งน้ำบนเกาะจากการวิจัย ซึ่งพบว่าทั้งเกาะนั้นมีทะเลสาบที่พอจะเป็นแหล่งน้ำได้เพียงแค่สองที่เท่านั้น แถมยังอยู่ในบริเวณที่เข้าไปได้ยากด้วย นอกจากนี้หลักฐานการเก็บน้ำฝนของคนบนเกาะก็ยังมีอยู่ไม่มากและไม่น่าจะเพียงพอต่อการใช้ชีวิต นั่นทำให้พวกนักวิจัยเชื่อว่าชาวเกาะจะต้องใช้น้ำใต้ดินเป็นแหล่งน้ำหลักแน่ๆ จริงอยู่ว่าน้ำใต้ดินเหล่านี้นั้นมักจะไหลลงไปในทะเล แต่มนุษย์ก็สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ ในจังหวะที่มันกำลังจะไหลลงไปรวมกับน้ำเค็มเลย เพราะจากการวัดค่าความเค็ม น้ำใต้ดินเหล่านี้อยู่ในระดับที่ร่างกายคนเรารับได้ แม้น้ำจืดจะร่วมกับน้ำเค็มไปบางส่วนก็ตามที ในปัจจุบันแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่มีความเป็นไปได้สูงมาก เพราะจากการเดินทางมาที่เกาะของนักเดินทางเมื่อปีศตวรรษที่ 18 เอง ก็มีการบันทึกไว้ว่า ชาวเกาะตักน้ำทะเลไปบริโภคด้วย นั่นหมายความว่ารูปปั้นโมอายส่วนใหญ่บนเกาะจะถูกวางเอาไว้ในที่ต่างๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของจุดที่มีน้ำที่ดื่มได้ หรือไม่ก็ชี้ไปยังจุดที่มีแหล่งน้ำที่ว่านั่นเอง อย่างไรก็ตามการที่ชาวเกาะบริโภคน้ำในรูปแบบนี้ จะทำให้พวกเขาแทบจะไม่ต้องใช้เกลือในการทำอาหารเลย เนื่องจากพวกเขาได้รับเกลือที่จำเป็นในชีวิตประจำวันจากการดื่มน้ำแล้ว ที่มา allthatsinteresting, dailymail, news
-
เอกสารรัฐบาลเผย สหรัฐฯ เกือบจะใช้ “อาวุธนิวเคลียร์” ในสงครามเวียดนามแล้ว
เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม 2018 หนังสือพิมพ์ The New York Times ของสหรัฐฯ ได้มีการนำเอกสารที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศอย่างเป็นทางการว่ามิได้เป็นความลับอีกต่อไป ออกมาเปิดเผยแก่สาธารณชน มันเป็นเอกสารที่มีชื่อว่า “Fracture Jaw” ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1968 และเป็นเอกสารเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายอาวุธนิวเคลียร์ไปยังเวียดนามใต้ เพื่อเตรียมการใช้งานในขั้นต่อไป นี่เป็นคำขอที่เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในช่วงสงครามเวียดนาม และกองทัพกำลังเสียเปรียบเป็นอย่างมากในศึกที่ Khe Sanh หากคำขอที่ว่านี้ผ่าน ประวัติศาสตร์ของโลกอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่เราทราบมากเลยก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนายพล William Westmoreland ได้ลงนามอนุมัติการปฏิบัติการไปแล้วด้วย ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson (ซ้าย) และนายพล William Westmoreland (ขวา) นับว่าโชคดีมากที่ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้ทำการแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นกับประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson เสียก่อน และประธานาธิบดี Lyndon ก็ได้ออกมาคัดค้านปฏิบัติการดังกล่าวทันที จากการให้สัมภาษณ์ของที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ดูเหมือนว่าประธานาธิบดี Lyndon จะกลัวว่าการใช้อาวุธนิวเคลียร์อาจจะทำให้ความขัดแย้งที่รุนแรงอยู่แล้ว กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นไปอีก ข้อความที่ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ใช้แจ้งกับประธานาธิบดี …
-
นักวิทยาศาสตร์บอก เหยื่อภูเขาไฟวิซุเวียสปะทุ บางส่วนอาจ “ศีรษะระเบิด” ตาย
การระเบิดของภูเขาไฟวิซุเวียสในปีคริสต์ศักราชที่ 79 นับว่าเป็นหนึ่งในการระเบิดที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ แถมยังเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมแห่งเมืองปอมเปอี และเมืองเฮอร์คิวเลเนียมอีกด้วย แต่เชื่อหรือไม่ว่าจากงานวิจัยใหม่ล่าสุดของมหาวิทยาลัยวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ดูเหมือนว่าเหยื่อจำนวนหนึ่งจากการระเบิดของภูเขาวิซุเวียส เสียชีวิตไปจากการที่สมองละลายและกะโหลกระเบิด โดยสาเหตุการเสียชีวิตที่ฟังดูน่าสยดสยองนี้เชื่อกันว่าเกิดขึ้นจากความร้อนสูง ซึ่งอาจจะมาจากขี้เถ้าที่มาพร้อมกับการระเบิดของภูเขาวิซุเวียสนั่นเอง นี่เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากการที่นักวิทยาศาสตร์ตรวจพบโครงกระดูกจำนวนมากใกล้ๆ เมืองเฮอร์คิวเลเนียม ซึ่งหากนำไปตรวจสอบจะพบไอเอิร์น และไอเอิร์นออกไซด์ในปริมาณมาก การพบสารเหล่านี้ในจำนวนมาก บวกกับรอยแตกที่กะโหลก เป็นหลักฐานอย่างดีว่าความร้อนจากภูเขาไฟทำให้เกิดแรงดันในสมอง ซึ่งมากพอที่จะทำให้กะโหลกระเบิด และสังหารเหยื่อในทันที นอกจากนี้การที่กระดูกที่พบอยู่ในสภาพขดตัว (คล้ายกับการที่เหยื่อซึ่งถูกไฟคลอกมักจะเป็น) ยิ่งชี้ให้เห็นเขาไปอีกว่ากล้ามเนื้อของพวกเขาถูกเผาไหม้ไปในเวลาอันรวดเร็วด้วยความร้อนสูง อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อโต้แย้งเลยเพราะมีนักวิทยาศาสตร์ออกมาบอกว่าการที่ศีรษะของมนุษย์จะระเบิดออกนั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะแม้แต่ในเตาเผาศพในปัจจุบันซึ่งมีความร้อนสูงถึงราวๆ 1,000 องศาเซลเซียส กะโหลกของมนุษย์ก็ไม่มีร่องรอยว่าจะระเบิดออกมาอยู่ดี เนื่องจากคนเรามีปากและจมูกที่จะช่วยขับแรงดันในศีรษะออกมานั่นเอง ถึงอย่างนั้นก็ใช้ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้ว่ากะโหลกของคนเราจะบอบบางลงจากการถูกเผาไหม้ ทำให้ในปัจจุบันทฤษฎีที่ออกมา จึงต้องรอการพิสูจน์กันต่อไป ที่มา livescience, newshub, cnet
-
11 เทคโนโลยีปัจจุบัน ที่มีจุดกำเนิด “เก่าแก่” กว่าที่คิด ไม่อยากเชื่อว่าจะโบราณขนาดนี้!!
เทคโนโลยี เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสุดไฮเทคต่างๆ พวกเราอาจคิดว่ามันเพิ่งถูกคิดค้นขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ หารู้ไม่ว่า เทคโนโลยีสุดไฮเทคหลายชนิดก็ถูกคิดค้นและสร้างขึ้นตั้งนานแล้ว บางชนิดอาจเก่าแก่กว่าที่เราคิดเอาไว้เป็นสิบๆ ปีเลยทีเดียว วันนี้เราจะพาทุกท่านไปชม 11 เทคโนโลยี ปัจจุบันที่หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่า มันถูกคิดค้นมาตั้งนานแล้วววว 1. วัคซีน คิดค้นโดย Edward Jenner ปี 1796 2. แบตเตอรี่ คิดค้นโดยนักประดิษฐ์ชาวอิตาลี Alessandro Volta เมื่อปี 1800 3. ไมโครโฟน คิดค้นโดย Emile Berliner ตั้งแต่ปี 1876 4. เครื่องล้างจานอัตโนมัติ คิดค้นโดย Josephine Garis Cochran เมื่อปี 1886 5. คอนแทคเลนส์ คิดค้นโดยบริษัท F.A. Mueller ตั้งแต่ปี 1887 6. บันไดเลื่อน คิดค้นโดยดีไซเนอร์จากนิวยอร์ก…
-
“เท้าช้างแห่งเชอร์โนบิล” กลุ่มก้อนแผ่กัมมันตรังสี ที่ว่ากันว่ามีพิษรุนแรงที่สุดในโลก
เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่อง “The Elephant’s Foot” หรือ “เท้าช้างแห่งเชอร์โนบิล” กันไหม มันไม่ใช่เท้าของช้างจริงๆ ซึ่งถูกสารกัมมันตรังสีแต่อย่างใด แต่เป็นกลุ่มก้อนมีพิษที่ว่ากันว่ามีความรุนแรงที่สุดในโลกต่างหาก เท้าช้างแห่งเชอร์โนบิลเป็นกลุ่มก้อนของโคเรียม (Corium) ที่เกิดขึ้นจากการรั่วไหลของกัมมันตรังสีในเหตุการณ์เมื่อปี 1986 และถูกตั้งชื่อตามรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกับเท้าช้างจริงๆ กลุ่มก้อนโคเรียม ที่ว่านี้แผ่กัมมันตรังสีรุนแรงมากถึง 10,000 เรินต์เกน (หน่วยวัดความแรงของสนามรังสี) ต่อชั่วโมง ซึ่งหากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือคนเราจะได้รับรังสีในระดับที่อันตรายถึงชีวิตในเวลาเพียง 30 วินาทีหลังจากที่เข้าใกล้มัน จริงอยู่ที่เมื่อเวลาผ่านไปปริมาณการแผ่รังสีของเท้าช้างแห่งเชอร์โนบิลก็ค่อยๆ ลดลงตามไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นการแผ่กัมมันตรังสีทั้งหมดในเชอร์โนบิล ก็จะคงอยู่ต่อเนื่องไปอีกนานกว่า 100,000 ปีเลยทีเดียว และที่ภาพของเท้าช้างแห่งเชอร์โนบิลออกมาเหมือนกับภาพ ที่ถ่ายผ่านฟิลเตอร์ “Noise” หรือ “Grainy” แบบนี้ก็ไม่ใช่เพราะว่ากล้องไม่ดี แต่เป็นเพราะกัมมันตรังสีที่รุนแรงทำให้คุณภาพของฟิล์มตกลงไปต่างหาก เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่มก้อนนี้มีการซ้อนตัวหลายชั้นและมีความทนทานสูงมาก ถึงขั้นที่ว่าใช้สว่านเจาะไม่เข้า ทำให้ความคิดที่จะเคลื่อนย้ายหรือทำลายมันเป็นไปแทบจะไม่ได้ (ถึงแม้ทางโซเวียดจะบอกว่า AK ยิงเข้าก็ตาม) ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าเท้าช้างอันนี้จึงยังคงหลับไหลอยู่ในเมืองร้างแห่งเชอร์โนบิล แม้แต่ในปัจจุบันก็ตาม…
-
“คร็อบเซอร์เคิล” ปรากฏการณ์วงธัญพืชล้มปริศนา ที่เชื่อกันว่าเป็นฝีมือสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว
เคยได้ยินเรื่องของตำนาน “คร็อบเซอร์เคิล” หรือวงธัญพืชกันไหม นี่คือเรื่องที่ว่ากันว่าเกิดขึ้นในทุ่งข้าวโพด (และทุ่งธัญพืชอีกหลายชนิด) ในหลากหลายประเทศทั่วโลก โดยนี่เป็นเหตุการที่ผลผลิตในทุ่งธัญพืชล้มลงเป็นวงกลม ที่มีรูปร่างแตกต่างกันไปเมื่อมองจากมุมสูง และมักจะถูกมองว่าเป็นฝีมือของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว เชื่อกันว่าการที่พืชล้มในรูปแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1678 จากหลักฐานภาพวาดในสมัยนั้น แต่กว่าที่เหตุการณ์คร็อบเซอร์เคิลจะกลายเป็นที่โด่งดังขึ้นมา ก็เป็นในช่วงยุค 70 ที่อังกฤษ เพราะในปี 1972 มีเหตุการณ์ชายสองคนลองซ่อนตัวบริเวณเนินเขาสตาร์ฮิล ใกล้เวสมินเตอร์ ในกรุงลอนดอน เพื่อดูแสงประหลาด ซึ่งพวกเขาเชื่อกันว่าเป็น “ยูเอฟโอ” แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้เห็นยูเอฟโอในวันนั้น แต่พวกเขาก็ได้พบกับคร็อบเซอร์เคิลที่เกิดขึ้นในทุ่งธัญพืชใกล้ๆ แทน และตั้งแต่วันนั้นมา ก็มีรายงานของการค้นพบในรูปแบบนี้เข้ามาเรื่อยๆ จากทั่วโลก และในเวลาเดียวกัน ก็มีทฤษฎีที่พยายามอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นปรากฏออกมาเป็นจำนวนมากเช่นกัน เนื่องจากการล้มของต้นไม้นั้นเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน และในคร็อบเซอร์เคิล “ของจริง” ต้นพืชที่พบจะไม่หักแต่เพียงแค่ล้มลงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนจึงเชื่อว่าการที่จะทำเช่นนี้ได้จำเป็นที่จะต้องใช้คลื่นไมโครเวฟเลยทีเดียว แถมเหตุการนี้ยังทำให้ต้นไม้ในคร็อบเซอร์เคิลโตเร็วกว่าต้นไม้รอบๆ พอสมควรเลยด้วย อีกหนึ่งในทฤษฎีที่เป็นไปได้ของคร็อบเซอร์เคิล เชื่อกันว่ามาจากการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลกซึ่งทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าจนพืชล้มลงไปอย่างที่เห็น อย่างไรก็ตามเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคร็อบเซอร์เคิลอาจจะมาจากฝีมือของมนุษย์เอง เพราะในปี 2000 เอง ก็มีกลุ่มคนอังกฤษออกมาอ้างว่าพวกเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคร็อบเซอร์เคิลหลายๆ แห่งบนโลก…
-
โปแลนด์พบ กระดูกเด็กโบราณอายุราว 115,000 ปี เชื่อเคยถูกกินโดยนกยักษ์มาก่อน
ก่อนอื่นคงต้องอธิบายก่อนว่า ก่อนหน้านี้ร่างของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศโปแลนด์นั้น มีอายุอยู่ที่ราวๆ 50,000 ปี ซึ่งถือว่าค่อนมีอายุน้อยเมื่อเทียบกับการค้นพบในที่อื่นๆ นั่นทำการค้นพบกระดูกของเด็กที่มีความเก่าแก่ถึง 115,000 ปี ในถ้ำที่จังหวัดมาวอปอลสกา เมื่อไม่นานมานี้ กลายเป็นการค้นพบชิ้นส่วนของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไป นี่เป็นการค้นพบกระดูกนิ้วมือของเด็กมนุษย์สายพันธุ์นีเอนเดอร์ธัลเพศหญิงที่มีอายุราวๆ 5-7 ปี ซึ่งถูกค้นพบโดยมหาวิทยาลัย Jagiellonian และได้รับการตีพิมพ์ใน วารสารโบราณคดียุคเพลิโอะลีธอิค โดยนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยได้กล่าวเกี่ยวกับการค้นพบในครั้งนี้ว่าเป็นการค้นพบที่สำคัญมาก เพราะมันอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เราทราบเกี่ยวกับมนุษย์โบราณในยุโรปไปเลยก็ได้ เพราะนอกจากจะเป็นกระดูกที่มีอายุเก่าแก่แล้ว นิ้วมือของเด็กที่พบยังหลุดออกมาจากร่างเจ้าของ การการถูกนกขนาดใหญ่ในสมัยนั้น กินเข้าไปอีกด้วย นี่เป็นข้อสันนิษฐานที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งขึ้น จากการตรวบสอบนิ้วมือที่เหลืออยู่ไม่ถึง 1 เซนติเมตร และมีสภาพย่ำแย่มากจนไม่สามารถตรวจสอบ DNA ได้เลย ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็พบกับร่องรอยการถูกย่อยโดยระบบย่อยอาหารของสัตว์ตระกูลนกบนนิ้วมือดังกล่าว จึงทำให้เป็นไปได้มากว่านิ้วมือนี้จะเคยถูกกินเข้าไปมาก่อน นี่อาจจะเกิดจากการโจมตีเด็กโดยตรงของนกในอดีต หรือมาจากการกินซากศพของเด็กหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้วก็ได้ การค้นพบนิ้วมือในครั้งนี้ทำให้ทางโปแลนด์เชื่อเป็นอย่างมากว่าพวกเขาจะสามารถค้นพบร่องรอยของมนุษย์โบราณเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้ และหากเป็นไปได้ นักโบราณคดีก็หวังว่าพวกเขาจะสามารถค้นพบโครงกระดูกของมนุษย์ ในถ้ำที่มีการค้นพบนิ้วมือในครั้งนี้ต่อไป ที่มา ancient-origins, newsweek, scienceinpoland
-
เปิดตำนานแห่ง “ไซเรน” ปีศาจแห่งปกรณัม ที่หลอกล่อนักเดินเรือไปสู่ความตาย
เคยได้ยินเรื่องของปีศาจในเทพปกรณัมกรีกที่คอยใช้เสียงของมันหลอกล่อเหล่านักเดินเรือไปสู่ความตายของตัวเองไหม? มันคือ “ไซเรน” ปีศาจที่มีรูปร่างราวกับเป็นผลของการผสมพันธุ์อันผิดพลาดระหว่าง คนกับ ปลา หรือนกไม่มีผิด เพราะแม้ว่าพวกมันจะมีรูปร่างที่สวยและเสียงอันไพเราะ แต่กลับเป็นสัตว์ร้ายแห่งท้องทะเลไปเสีย ว่ากันว่าหากได้ยินเสียงของไซเรน ผู้ฟังจะตกอยู่ในภาวะไร้สติ จนเป็นเหตุผลให้นักเดินเรือหลายรายเผลอนำเรือเข้าชนหินโสโครก จมน้ำ และถูกนำไปเป็นอาหารในที่สุด ลักษณะของไซเรนแตกต่างกันไปในแต่ล่ะตำนาน บ้างก็ว่าเป็นครึ่งคนครึ่งปลาคล้ายกับนางเงือก ในขณะที่บางตำนานก็บอกว่าเป็นครึ่งคนครึ่งนก หรือแม้กระทั่งในงานศิลปะที่มักวาดไซเรนออกมาเป็นหญิงงามธรรมดา อาจจะเพราะตำนานของไซเรนโผล่ออกมาในเทพปกรณัมหลายเรื่อง (โดยเรื่องที่โด่งดังที่สุดเชื่อกันว่ามาจากตำนานโอดิสซีย์) ทำให้ไซเรนในปกรณัมมีคำบรรยายและที่มาของไซเรนต่างกันออกไปแต่ละเรื่อง นักเขียนบางคนบอกว่าไซเรนนั้นเป็นลูกสาวของฟอร์ซี่ส์เทพเจ้าแห่งทะเลลึก ในขณะที่บางคนก็บอกว่าเป็นลูกสาวของเทิร์ปซิคอเร หนึ่งในเก้าเทพธิดาผู้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่กวี แต่ไม่ว่าต้นกำเนิดของไซเรนจะเป็นเช่นไร สุดท้ายไซเรนก็จะกลายเป็นสัตว์ร้ายแห่งท้องทะเลที่คอยลากผู้ที่หลงใหลในเสียงของเธอไปสู่ความตายอยู่ดี ตามปกติแล้ว การจะหลีกหนีเสียงของไซเรนได้ มีแต่ต้องอุดหูไว้ เหมือนที่โอดิสซีอุสสั่งให้ลูกเรือของเขาทำ หรือไม่ก็หาเสียงเพลงที่ “ทรงพลังกว่า” มากลบ ดังเช่นที่ออร์ฟีอัสทำในตำนานของเจสันกับขนแกะทองคำ ว่ากันว่าหากมีคนได้ฟังเพลงของไซเรนและรอดชีวิตไปได้ พวกไซเรนจะท้อแท้กับเรื่องที่เกิดขึ้น จนเก็บตัวไม่ออกไปรบกวนนักเดินเรืออีก และตายไปในที่สุดเลยด้วย เรื่องของไซเรนนั้นเป็นไปได้ว่าแต่งขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้นักเดินเรือหลงหันหัวเรือจากเสียงที่ได้ยินในทะเลก็เป็นได้ หรือไม่ก็ทำอาจจะเป็นการแต่งขึ้นมาเพื่ออธิบายเกี่ยวกับการที่คนนำเรือไปชนโขดหินโสโครก ซึ่งหากว่าเป็นเช่นนั้นจริง การอุดหูและการเล่นเพลงของออร์ฟีอัส อาจจะเป็นตัวแทนของการหาอะไรมาตัดเสียงรบกวนรอบข้างในระหว่างการแล่นเรือก็เป็นได้ ที่มา ancient-origins, greekmythology, crystalinks
-
เปิดประวัติ “ทันตกรรม” ศาสตร์ที่ยืนยงคู่กับมนุษย์ และอยู่มานานกว่า 9,000 ปี
เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะรู้จักหมอฟันกันเป็นอย่างดี แต่ทราบกันหรือไม่ว่า การทำฟันนั้น มันมีมานานกว่า 9,000 ปีเลยทีเดียว แถมการถอนฟันเฉยๆ ยังมีมาก่อนหน้านั้นอีกนานเลยด้วย หลักฐานของการทำฟันในรูปแบบที่ควรเรียกว่าการทำฟันจริงๆ ที่มีความเก่าแก่ที่สุดนั้น ถูกค้นพบในอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุช่วง 7,000 ปีก่อนคริสตกาลในปากีสถาน โดยเป็นการรักษาฟันด้วยระบบสว่านที่ทำจากไม้และสายธนู นอกจากนี้เมื่อปี 2012 เองก็มีการขุดพบการอุดฟันด้วยขี้ผึ้งเมื่อ 6,500 ปีก่อนอีกด้วย ซึ่งแม้ว่าจะไม่อาจทราบได้ว่าการทำเช่นนี้ได้ผลจริงไหม แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยลดความเจ็บปวดได้มากแน่ๆ ดูเหมือนว่าในสมัยก่อนคนจะคิดว่าอาการฟันผุนั้นเกิดจากสิ่งมีชีวิตจำพวกหนอน เนื่องจากรูที่เกิดจากการการฟันผุมักจะมีรู้ร่างคล้ายรูที่หนอนเจาะนั่นเอง แต่หากจะพูดถึงสมัยที่การทำฟันแพร่หลายและพัฒนาไปอย่างไม่น่าเชื่อ ก็คงไม่พ้นในสมัยอียิปต์โบราณ เพราะจากบันทึกในกระดาษปาปิรุสจากเมื่อ 1,700 ปีก่อนคริสตกาล ที่อียิปต์มีการทำฟันมาตั้งแต่เมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาลเลย แถมการทำฟันของอียิปต์โบราณยังไม่ได้มีแค่การถอนหรืออุดฟัน แต่ยังมีการใช้ยาเพื่อให้ถอนฟันง่ายขึ้น และมีการทำฟันปลอมด้วยฟันที่ได้รับบริจาคมาจากคนอื่นอีกด้วย แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่าการทำฟันปลอมของอียิปต์เป็นการทำฟันในขณะที่คนไข้ยังมีชีวิต หรือเป็นเพียงการทำฟันปลอมให้ศพเพื่อความสมบูรณ์สวยงามเท่านั้น แต่นี่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของวงการทันตแพทย์เป็นอย่างดี เมื่อก่อนเองก็มีการทำทันตแพทย์เพื่อความสวยงามแทนกัน คล้ายกับการดัดฟันแฟนซีในสมัยนี้ โดยหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดชิ้นหนึ่งของการทำฟันรูปแบบนี้ อยู่ที่ชนเผ่ามายาที่มีการนำอัญมณีมาฝังเข้าไปในฟันนั่นเอง น่าแปลกที่ในช่วงยุคกลางของทางยุโรปการทำฟันกลับถูกผลักไปเป็นงานของช่างตัดผมหรือหมอทั่วๆ ไปแทนที่จะเป็นทันตแพทย์โดยเฉพาะ และกว่าที่วงการทันตกรรมจะเริ่มคล้ายคลึงกับในปัจจุบัน…
-
“การลุกฮือของดาโคตา” สงครามชนพื้นเมือง ซึ่งนำไปสู่การประหารชีวิตครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ
ในปี 1862 สหรัฐอเมริกา ต้องพบการการลุกฮือของกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันจากเผ่าดาโคตาที่รัฐมินนิโซตา และนำไปสู่สงครามที่มีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่ายรวมกันนับพัน นี้เป็นสงครามที่ทางสหรัฐฯ บอกว่าเกิดจากการที่เผ่าดาโคตาบุกโจมตีประชาชนจำนวนมาก และนำไปสู่การประหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และการขับไล่ชนเผ่าดาโคตาออกไปจากมินนิโซตาในเวลาต่อมา แต่หากมองให้ลึกลงไปแล้ว สงครามครั้งนี้มีที่ไปที่มามากกว่าที่เราคิด เพราะเมื่อปี 1805 เผ่าดาโคตาเคยทำสนธิสัญญากับทางสหรัฐฯ เพื่อแลกเปลี่ยนพื้นที่กว่า 400 ตารางกิโลเมตร กับเงินและอาหารจากทางสหรัฐฯ ปัญหาคือแทนที่พวกเขาจะได้รับเงินและอาหารตามสัญญา ทางสหรัฐฯ กลับเปลี่ยนเงื่อนไขของสัญญา และส่งเงินไปให้คนขาวในพื้นที่ซึ่งคอยขายสินค้าให้เผ่าดาโคตาแทน เผ่าดาโคตาจึงต้องอยู่แบบขาดแคลนทั้งพื้นที่ทำกินและอาหารที่จะช่วยประทังชีวิต ดังนั้นเมื่อเกิดโรคระบาดในพืชพันธุ์เมื่อปี 1861 เผ่าดาโคตาจึงตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นทำให้ในปี 1862 ชาวดาโคตา “ส่วนหนึ่ง” จึงตัดสินใจโจมตีคนขาวในพื้นที่ เป็นไปได้ว่าเพื่อขโมยอาหารและล้างแค้นทางสหรัฐฯ การต่อสู้เล็กๆ บานปลายไปเป็นสงครามเต็มรูปแบบหลังจากนั้น และถึงแม้ว่าในที่สุดสหรัฐฯ จะกำราบเผ่าดาโคตาลงได้ แต่พวกเขาก็ต้องเสียประชาชนที่ไม่มีทางสู้ไปถึง 450-800 ราย นี่ไม่ใช่การกระทำที่คนในประเทศจะยอมรับได้ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา อับราฮัม ลินคอล์น จึงต้องเข้าร่วมในการตัดสินโทษผู้ต้องสงสัยในคดีอาชญากรรมสงครามชาวเผ่าดาโคตากว่า 300 คนหลังสงครามจบ ว่ากันว่ามันเป็นการตัดสินโทษที่ไม่มีทั้งทนายและพยานของฝ่ายดาโคตา จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการลงความเห็นภายเดียวของทางสหรัฐอเมริกาเลยด้วยซ้ำ ท้ายที่สุดแล้วชาวเผ่าดาโคตา…
-
ย้อนรอย “ปัญหาวายทูเค” เรื่องเล็กๆ ที่ เชื่อกันว่าทำให้ระบบคอม “พังลง” พร้อมกันทั้งโลก
เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเรื่อง “ปัญหาวายทูเค” กันมาบ้าง มันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบบันทึกข้อมูลของหลายๆ บริษัทในปี 2000 และทำให้เกิดปัญหายุ่งยากไปทั่วทั้งโลก ปัญหาวายทูเคมาจากตัวอักษรย่อ Y2K ที่มาจากคำว่า “Year 2 kilo” ซึ่งกิโลในที่นี้ไม่ได้หมายถึงน้ำหนัก แต่เป็นหน่วยเลขของกรีก ดังนั้นวายทูเคจึงหมายถึง “ปี 2000” ตรงๆ เลยนั่นเอง ปัญหาวายทูเคเกิดขึ้นจากการที่ระบบบันทึกข้อมูลส่วนใหญ่ในสมัยก่อนจะบันทึกเลขปี ด้วยเลขเพียงสองหลักเช่นป 1995 จะถูกบันทึกด้วยเลข 95 เท่านั้น ซึ่งทำให้เมื่อถึงปี 2000 การใส่ตัวเลข 00 ลงในระบบ จะทำให้ระบบคิดว่าปีที่ใส่มาเป็นปี 1900 แทน แม้ว่าจะฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่เอาเข้าจริงๆ อันตรายกว่าที่คิด เพราะไม่ใช่แค่การจองตั๋วเดินทางจะมั่วไปหมดเท่านั้น แต่บันทึกหลายๆ อย่างทางประวัติศาสตร์จะเกิดการปะปนกันมั่วไปหมดจนอาจแยกไม่ออกเลยก็เป็นได้ ปัญหาวายทูเคมีโด่งดังขึ้นครั้งแรกในปี 1984-1985 จากการที่มีหนังสืออธิบายถึงปัญหานี้ไว้ออกวางจำหน่าย บวกกับการที่ในวันที่ 9 กันยายน 1999 มีคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งไม่สามารถเข้าใจค่าตัวเลย 9999 ได้ ทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมากว่าระบบคอมพิวเตอร์จะพังลงพร้อมกันทั้งโลกอยู่ช่วงหนึ่ง จนทำให้มีบริษัทจำนวนมากเลือกที่จะจ่ายเงินก้อนโตเพื่ออัปเดตระบบของตัวเองเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น …
-
ชม “หน้ากากกะโหลกกวาง” 11,000 ปี หลักฐานความเชื่อของคนโบราณ ที่ผ่านมาหลายยุคสมัย
เมื่อพูดถึง “ความเชื่อ” ของชนเผ่าโบราณ ภาพในหัวของหลายๆ คนก็อาจจะเป็นคนป่าที่แต่งตัวแปลกๆ ใส่กะโหลกของสัตว์ไว้บนหน้า ว่าแต่เพื่อนๆ เคยเห็นกันไหมว่า “หน้ากาก” เหล่านั้นมันหน้าตาเป็นจริงๆ เป็นอย่างไร นี่คือหนึ่งในหน้ากาก จากยุคหินกลาง ที่มีอายุราวๆ 11,000 ปี ที่ถูกค้นพบในนอร์ทยอร์กเชอร์ ประเทศอังกฤษ มันเป็นหน้ากากที่ทำจากกะโหลกกวาง จำนวน 33 ชิ้นที่ถูกพบพร้อมๆ เครื่องประดับ เครื่องมือ และอาวุธอีกเป็นจำนวนมาก เป็นไปได้ว่าในสมัยที่มนุษย์ยังอธิบายสิ่งที่ไม่เข้าใจด้วยความเชื่อและไสยศาสตร์ หน้ากากอันนี้จะถูกใช้ในพิธีกรรมของการล่าสัตว์เป็นหลัก เพราะหากดูจากสิ่งที่พบพร้อมๆ กันแล้ว เชื่อกันว่านี่น่าจะเป็นเครื่องมือของกลุ่มนักล่ากลุ่มใหญ่พอสมควร นี่อาจจะเป็นหน้ากากที่ทำขึ้นจากความเชื่อที่ว่าการใส่หน้ากากที่ทำจากสัตว์จะช่วยให้คนสามารถ “พรางตัว” ไปกับเหยื่อในพื้นที่ได้ง่ายขึ้น หรือไม่ก็การใส่หน้ากากจะทำให้พวกเขาสามารถติดต่อกับ “จิตวิญญาณ” ของป่าก็เป็นได้ ไม่ว่าจะเป็นทางไหน การใช้หน้ากากในรูปแบบนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในการล่าสัตว์ของมนุษย์ไป และกลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติของเหล่าชนเผ่าที่ถูกสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นไปอีกเป็นเวลานาน ที่มา ancient-origins, haaretz
-
การสังหารหมู่ที่ชินชอน เมื่อสหรัฐฯ ถูกกล่าวหาว่าสังหารพลเรือนเป็นหมื่น ในสงครามเกาหลี
สงครามเกาหลีเอาเข้าจริงๆ เป็นสงครามที่มีคนรู้จักน้อยกว่าสงครามอื่นๆ ทั้งที่สงครามนี้เป็นสงครามที่มีเรื่องน่าสนใจมากที่สุดครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะเชื่อว่าคงมีน้อยคนนักที่จะทราบว่าในสงครามครั้งนี้มี “ข่าว” ที่ว่าทหารสหรัฐฯ ลงมือสังหารพลเรือนชาวเกาหลีกว่า 35,000 รายด้วย นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อราวๆ 70 ปีก่อน ในเหตุการณ์ที่ชื่อว่าการ “Sinchon Massacre” หรือการสังหารหมู่ที่ชินชอน เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม 1950 ไปจนถึงวันที่ 7 ธันวาคม 1950 ในระหว่างสงครามเกาหลี แน่นอนว่านี่เป็นการกล่าวหาของฝั่งเกาหลีเหนือที่ในตอนนั้นกำลังต่อสู้กับทางเกาหลีใต้ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ว่าการกล่าวหานี้จะเกิดขึ้นเพื่อเป็นโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น โดยจากคำกล่าวอ้างของทางเกาหลีเหนือ ในวันที่ 18 ตุลาคม ได้มีเครื่องบินเข้าจู่โจมพื้นที่ชินชอนจนทำให้มีประชาชนเสียชีวิตกว่า 900 คน ตามด้วยการเข้าโจมตีประชาชนอย่างต่อเนื่องในเวลาต่อมา การกล่าวหาในครั้งนี้ทำให้เกิดแนวคิดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นจากการปั้นน้ำเป็นตัวของฝั่งเกาหลีเหนือล้วนๆ หรือกระทั่งแท้จริงแล้วเกาหลีเหนือเป็นผู้ลงมือสังหารประชาชนเสียเอง แต่ในอีกมุมหนึ่ง ทางเกาหลีเหนือก็บอกว่าเมื่อปี 1952 มีกลุ่มทนายความ ผู้พิพากษา และอาจารย์ จากทั้งประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรีย อิตาลี เบลเยียม จีน โปแลนด์ และบราซิล ออกมาสืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นกัน…
-
เปิดเรื่องราวตำนานของ “แฮตเชปซุต” ฟาโรห์หญิงแห่งอียิปต์ ที่มักถูกหลงลืมโดยผู้คน
ในปี 1903 เคยมีการค้นพบมัมมี่เพศหญิงร่างหนึ่งที่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์อียิปต์เป็นอย่างมาก แต่ในเวลานั้นเอง กลับไม่มีใครทราบเลยว่ามัมมี่ร่างนี้มีความสำคัญขนาดไหน นั่นคือครั้งแรกที่มีการค้นพบร่างของ “แฮตเชปซุต” ฟาโรห์หญิงแห่งอียิปต์โบราณ ผู้ครองราชย์ในช่วง 1507-1458 ปีก่อนคริสตกาล และมีชื่อเสียงในฐานะฟาโรห์หญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งอียิปต์ จริงอยู่ที่ว่าในอียิปต์โบราณมีอยู่หลายครั้งที่ผู้หญิงได้ครองอำนาจ แต่ฮัตเชปซุตคือผู้ที่ปกครองอียิปต์ให้เจริญรุ่งเรือง และยาวนานกว่าฟาโรห์หญิงคนอื่นมาก เดิมทีแล้วฮัตเชปซุตแต่งงานกับฟาโรห์ทุตโมสที่ 2 และต้องสำเร็จราชการแทนฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 ซึ่งเป็นลูกชายต่างสายเลือด ไม่นานหลังจากที่ทุตโมสที่ 2 สิ้นพระชนม์ไป อย่างไรก็ตามในขณะรับบทบาทเป็นฟาโรห์จำเป็น ฮัตเชปซุตกลับได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากจากภายในประเทศ จนถึงขั้นที่ว่าแม้ทุตโมสที่ 3 จะโตพอที่จะขึ้นครองราชย์แล้ว ฮัตเชปซุตก็ยังคงรักษาสถานะฟาโรห์ของเธอเอาไว้ได้ นั่นทำให้ตลอด 21 ปีนั้นอียิปต์ได้อยู่ใต้การปกครองร่วมระหว่างฟาโรห์ทั้งสองนั่นเอง เป็นไปได้ว่าที่ฮัตเชปซุตครองราชย์ได้นานขนาดนี้ อาจจะมาจากความสามารถในการชักจูงคนสูงก็เป็นได้ เพราะในภาพสลักจากสมัยโบราณ มีอยู่บ่อยครั้งที่มีการบันทึกว่า การครองราชย์ของเธอเป็นความต้องการของเทพ นอกจากนี้ในระหว่างการปกครองของเธอ ยังมีหลักฐานที่ว่าเธอนั้นปลอมตัวเป็นผู้ชายอยู่หลายครั้งอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นที่มีหนวดเครา หรือบันทึกบางส่วนจากสมัยก่อน นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกทีเดียวเพราะในสมัยนั้นน่าจะมีประชาชนจำนวนไม่น้อยเลยที่รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง เพราะแม้แต่รูปปั้นที่มีหนวดเคราของเธอ ก็ยังมีการทำส่วนเอวให้คล้ายกับผู้หญิงอยู่ด้วย ถึงอย่างนั้นฮัตเชปซุตก็ยังครองราชย์ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรนัก แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปกครองของเธอเป็นอย่างดี ฮัตเชปซุตได้สร้างสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่กว่าบรรพบุรุษรุ่นก่อนๆ หลายแห่ง…
-
นักวิทยาศาสตร์ยืนยัน “ภาชนะประหลาด” จากยุคสำริด มีร่องรอยว่าเคยใส่ “ฝิ่น”
เมื่อหลายสิบปีก่อนได้มีการค้นพบภาชนะรูปร่างแปลกตาในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีอายุมากกว่า 3,000 ปี ซึ่งเชื่อกันว่าเคยถูกใช้ในการค้าขายในช่วงยุคสำริดหรือ 1650-1350 ปีก่อนคริสตกาล แต่ภาชนะไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าสนใจเพียงอย่างเดียวของการค้นพบในครั้งนี้ เพราะจากการวิจัยของประเทศอังกฤษ เจ้าสิ่งที่อยู่ข้างในภาชนะเหล่านี้มาก่อนมันคือ “ฝิ่น” นั่นเอง นี่เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปี 1960 จากความสงสัยในรูปร่างอันแปลกประหลาดของภาชนะที่ใส่ แต่กว่าที่เราจะหาหลักฐานมายืนยันทฤษฎีนี้ได้ก็เมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น เพราะจากการตรวจสอบของมหาวิทยาลัยยอร์ก นักวิทยาศาสตร์พบว่าภายในของภาชนะรูปร่างแปลกนี้เคยมีการบรรจุน้ำมันพืชซึ่งมีส่วนผสมของโอเปียม อัลคาลอยด์ ซึ่งพบในฝิ่นเอาไว้ ตามปกติโอเปียม อัลคาลอยด์มักถูกผสมในยาที่มีฤทธิ์ค่อนข้างรุนแรงอย่าง ยาแก้ปวด ยามอร์ฟีน และโคเดอีน จึงเป็นไปได้ว่าน้ำมันที่พบนี้อาจจะใช้ในการทาตามร่างกายเพื่อเป็นยา หรืออาจจะใช้เป็นน้ำหอม แต่ถึงจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ภายใน นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถอธิบายได้อยู่ดีว่าทำไมภาชนะที่ใช้ใส่น้ำมันที่พบจึงจำเป็นต้องมีรูปร่างแปลกตาขนาดนั้น และมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าภาชนะที่พบเพียงแค่ถูกนำมาใส่น้ำมันหลังจากที่เคยใส่ฝิ่นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม Rebecca Stacey หนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้อธิบายว่าตัวอย่างภาชนะที่นักวิทยาศาสตร์มีอยู่ไม่มาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผลทดลองครั้งนี้อาจจะมีความคลาดเคลื่อนไปจากสินค้าที่ใช้ขายจริงในสมัยนั้น แต่การที่พบร่องรอยของฝิ่นก็ทำให้เกิดข้ออภิปรายใหม่ๆ ที่น่าสนใจของภาชนะที่พบได้เป็นอย่างดีเช่นกัน และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีหลักฐานการใช้ฝิ่นในสมัยก่อนของมนุษย์ด้วย เพราะหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของการใช้ฝิ่นสามารถย้อนไปได้ถึงในช่วง 6,000-5,000 ปีก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว ที่มา livescience, independent, dailymail
-
พบมีดโบราณที่ทำจากกระดูก อายุกว่า 90,000 ปี เชื่อเก่าแก่ที่สุดในวัฒนธรรมแบบอะทีเรียน
เมื่อพูดถึงยุคหิน เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะนึกถึงเครื่องมือที่ทำจากหินขึ้นมาเป็นอย่างแรกตามชื่อยุค แต่เอาเข้าจริงๆ ในสมัยนั้น หินไม่ใช่สิ่งเดียวที่มนุษย์นำมาทำอาวุธหรอกนะ เพราะนี่คือมีดโบราณที่ทำขึ้นจากกระดูก ที่มีการขุดพบที่ถ้ำ Dar es-Soltan 1 ในประเทศโมร็อกโก ซึ่งเชื่อกันว่ามีอายุราวๆ 90,000 ปี และนับว่าเก่าแก่กว่ามนุษย์สายพันธุ์นีเอนเดอร์ธัลถึง 40,000 ปี การค้นพบในครั้งนี้ทำให้เราทราบว่าบรรพบุรุษของมนุษย์ในแอฟริกา มีการใช้กระดูกในการทำเครื่องมือมานานกว่าที่เราเคยคิด และเป็นการค้นพบเครื่องมือที่เก่าแก่ที่สุดของวัฒนธรรมแบบอะทีเรียน (Aterian) ในแอฟริกาเหนือด้วย โดย “อะทีเรียน” คือชื่อที่ใช้เรียกวัฒนธรรมอุตสาหกรรมเครื่องมือในตอนกลางของแอฟริกาเหนือ เชื่อกันว่าสูญหายไปแทบจะทั้งหมดเมื่อ 20,000 ปีก่อน มีดจากกระดูกถูกค้นพบอยู่สามเล่ม โดยเล่มซ้ายเป็นเล่มที่เก่าแก่ที่สุด ดูเหมือนว่ามนุษย์โบราณที่มีวัฒนธรรมแบบอะทีเรียน จะใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการตัดวัตถุที่ไม่แข็งมาก อย่างหนังสัตว์ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความคมมากกว่าพลังทำลาย โดยกระดูกที่ใช้ในการทำมีดเล่มนี้ จะมาจากส่วนซี่โครงของสัตว์ที่มีขนาดใกล้เคียงกับวัว และมักจะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 13 เซนติเมตร นอกจากมีดที่พบจะทำให้เราทราบถึงการพัฒนาของเทคโนโลยีในหมู่มนุษย์โบราณที่แอฟริกาได้เป็นอย่างดีแล้ว มันยังแสดงให้เห็นถึงลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมแบบอะทีเรียนอีกด้วย เพราะมีดที่พบนั้นมีรูปแบบที่แตกต่างไปจากมีดที่พบในทางซาฮาราแอฟริกาค่อนข้างมากเลยนั่นเอง ในเบื้องต้นนักโบราณคดีหลายคนที่เชื่อว่าการปรากฏขึ้นของมีดที่พบ น่าจะเป็นเทคโนโลยีที่เกิดมาจากความเปลี่ยนแปลงทางทรัพยากรในช่วง 90,000 ปีก่อน อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้เคยเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่นักโบราณคดีต้องค้นหาหลักฐานกันต่อไป ที่มา ancient-origins, sciencenews, dailymail
-
พบภาพสกัดหินจาก 10,000 ปีก่อนคริสตกาล ที่อินเดีย เชื่อเป็นอารยธรรมที่ไม่เคยถูกพบ
ว่ากันว่าภาพสกัดหินในสมัยก่อนมักจะบอกเล่าเรื่องราวในสมัยนั้นเอาไว้ ดังนั้นจากค้นพบภาพสกัดหินในสมัยก่อน จึงนับว่าเป็นการค้นพบหลังสำคัญอยู่เสมอ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่มนุษย์เราได้พบกับภาพสลักหินที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สูง โดยการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นที่รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย มันเป็นภาพที่มีอายุอยู่ในช่วง 10,000 ปีก่อนคริสตกาล และมีการแสดงภาพของหลายๆ สิ่ง ไม่ว่าจะเป็น สัตว์ ป่า มนุษย์ นก หรือแม้กระทั่งรูปทรงเรขาคณิต ซึ่งล้วนแต่ชี้ให้เห็นถึงอารยธรรมเก่าแก่ที่ไม่เคยมีการพบมาก่อน แต่สิ่งที่มีอยู่ในรูปภาพนั้นไม่ใช่สิ่งเดิมที่น่าสนใจของภาพที่มีการค้นพบ เพราะการที่ไม่มีภาพของการทำการเกษตรเลย ก็ทำให้นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานได้ว่า อารยธรรมทำภาพนี้ขึ้นน่าจะใช้ชีวิตอยู่กับการล่าสัตว์และเก็บของป่าเป็นหลัก อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจของภาพดังกล่าวอยู่คือการมีสัตว์ ซึ่งไม่น่าจะมีอยู่ในพื้นที่อินเดียในอดีตอย่างแรดอยู่ด้วย ซึ่งนำไปสู่แนวคิดสองแบบ แนวคิดที่ว่าประกอบไปด้วยหินก้อนดังกล่าวอาจจะถูกเคลื่อนย้ายมาจากที่อยู่เดิม หรือไม่ก็ในสมัยก่อนในอินเดียเคยมีแรดมาก่อน แม้ว่าการค้นพบในครั้งนี้อาจจะทำให้เกิดคำถามมากมายกว่าคำตอบ แต่ก็ทำให้เหล่านักโบราณคดีทราบว่าที่อินเดียอาจจะเคยมีอารยธรรมเก่าแก่ซ่อนอยู่มากกว่าที่คิดก็เป็นได้ และจากสถานที่ที่มีการพบภาพในครั้งนี้ ยังทำให้พวกเขาเชื่ออีกว่าจะมีการพบภาพแบบนี้จากสมัยก่อนในอนาคตอันใกล้อีกเป็นจำนวนมาก ที่มา allthatsinteresting, ancient-origins, smithsonianmag
-
ชม “มดแวมไพร์” อายุ 98 ล้านปีจากพม่า ที่เสียบร่างเหยื่อ ดูดเลือด และทำโลหะชีวภาพได้
ในโลกของเราเต็มไปด้วยความลึกลับอีกมาก นั่นทำให้บ่อยครั้งที่คนเราจะหวาดกลัวต่ออะไรที่ตัวเองไม่รู้จัก แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าในบางครั้ง สิ่งที่น่าหวาดกลัวแบบสุดๆ อาจจะเป็นอะไรที่เราคุ้นเคยกันกว่าที่คิดก็เป็นได้ นี่คือ Linguamyrmex vladi มดสายพันธุ์โบราณที่ถูกพบอยู่ในอำพันที่พม่า และมีอายุกว่า 98 ล้านปี มันเป็นมดที่อยู่ในกลุ่ม Haidomyrmecines หรือที่รู้จักกันในฉายา “มดนรก” นั่นเอง มดนรกสายพันธุ์ที่พบไม่ได้น่ากลัวแค่เพียงชื่อเท่านั้น เพราะแทนที่จะมีขากรรไกรแนวนอนเหมือนมดทั่วๆ ไป มดสายพันธุ์นี้กลับมี “อวัยวะที่เคลื่อนไหวแนวตั้ง” ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนปากขนาดใหญ่และมีหนามแทน โดยเจ้ามดสายพันธุ์นี้จะใช้อวัยวะดังกล่าวในการตะครุบเหยื่อ ก่อนที่จะปักส่วนปลายที่แหลมคมเข้าไปในร่างของเหยื่อเพื่อ “ดูดเลือด” ผ่านท่อเล็กๆ ที่อยู่บริเวณขากรรไกรล่าง ซึ่งทำหน้าที่คล้ายๆ กับปากยุง ความสามารถนี้ ทำให้ไม่แปลกเลยที่มดสายพันธุ์ใหม่นี้จะได้รับชื่อเล่นว่า “มดแวมไพร์” แต่นั่นยังไม่ใช่ความน่ากลัวทั้งหมดของมัน เพราะนอกจากการล่าที่น่าสยดสยองแล้ว เจ้ามดสายพันธุ์นี้ยังสามารถทำโลหะชีวภาพได้ด้วย นี่เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ทราบจากการเอกซเรย์มดสายพันธุ์นี้ และพบว่าพวกมันสามารถ “เสริมความแข็งแกร่ง” ของอวัยวะอย่างส่วนเขาของมันด้วยโลหะได้ เป็นไปได้ว่านี่จะเป็นความสามารถในการแยกโลหะจากอาหารที่ทาน และย้ายมันไปรวมไว้ยังส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย อย่างเขาของมันเพื่อป้องกันการเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น นับว่าโชคดีจริงๆ ที่มดสายพันธุ์ดังกล่าวสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ยุคครีเทเชียสแล้ว ไม่เช่นนั้นคำว่าเจ็บแค่เท่ามดกัด อาจจะมีความหมายเปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมากเลยทีเดียว …
-
เชิญชมตำนาน Snallygaster สัตว์ร้ายแห่งรัฐแมริแลนด์ ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยจัดทีมล่า
คิดว่าเพื่อนๆ อาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของสัตว์ร้ายในตำนานจากในสมัยก่อนกันมาบ้าง ว่าแต่เชื่อว่าคงมีไม่มากที่จะรู้จัก Snallygaster สัตว์ร้ายแห่งรัฐแมริแลนด์สหรัฐอเมริกา นี่คือสัตว์ร้ายที่ว่ากันว่ามีรูปร่างคล้ายมังกร ที่เชื่อกันว่าเป็นเรื่องเล่าเริ่มต้นขึ้นในหมู่คนเยอรมันซึ่งอพยพเข้าไปในสหรัฐอเมริกาในช่วงศตวรรษที่ 17 ชื่อของมันเป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า “schnelle geist” หรือ วิญญาณที่ว่องไว ในภาษาเยอรมันอีกที และกลายเป็นที่มาที่คนในสมัยนั้นจะแขวนตราหกเหลี่ยมฟาร์มเพื่อไล่มัน เรื่องราวของ Snallygaster เปลี่ยนจากความเชื่อไร้มูลไปเป็นสัตว์ลึกลับแห่งรัฐแมริแลนด์จากการที่ในปี 1909 มีการลงข่าวการ “พบเห็น” ตัว Snallygaster ในหนังสือพิมพ์เมืองเฟรเดอริก แน่นอนว่าข่าวที่ออกมานั้นถูกเปิดเผยทีหลังว่าเป็นข่าวปลอม อย่างไรก็ตามในช่วงที่ข่าวนี้โผล่ออกมาก็ทำให้มีผู้หลงเชื่อเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญคือหนึ่งในคนที่เชื่อในข่าวนี้ ยังเป็น “ธีโอดอร์ รูสเวลต์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 26 อีกด้วย ความเชื่อในครั้งนี้ถึงขั้นที่ทำให้ประธานาธิบดีจัดตั้งหน่วยพรานออกล่า Snallygaster เลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอ ทางสถาบันสมิธโซเนียนแห่งสหรัฐอเมริกาเองก็ได้มีการตั้งค่าหัวของสัตว์ตัวนี้ไว้สูงถึง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นไปได้ว่าจริงๆ แล้ว Snallygaster จะเป็นเรื่องเล่าที่มาจากตำนานของกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันมากกว่า เพราะเจ้า Snallygaster นั้น มีลักษณะโดยรวมคล้ายกับภาพ Michi-Peshu หรือ “เสือใต้น้ำ” ของชนพื้นเมืองเลย แต่แม้ว่าความจริงของเจ้า Snallygaster จะเป็นอย่างไร…
-
อันตรายจากอดีต พบหนังสือจากยุคเรอเนซ็องส์ปนเปื้อน “สารหนู” ในห้องสมุดที่เดนมาร์ก
เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเรื่องการค้นพบของจากสมัยก่อนที่มีอันตรายอยู่บ้าง บางครั้งมันก็อาจจะมาในรูปแบบของโรคร้ายที่แผงอยู่ในศพ หรือไม่ก็สารพิษตามสิ่งของต่างๆ และการค้นพบในครั้งนี้เองก็เป็นประเภทหลัง เพราะเมื่อช่วงกลางปี 2018 ที่ผ่านมานักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทางตอนใต้ของเดนมาร์กได้พบกับหนังสือสามเล่มจากยุคเรอเนซ็องส์ที่มีการปนเปื้อนของ “สารหนู” เอาไว้ เดิมทีแล้วหนังสือทั้งสามเล่มนี้เป็นของที่ตกทอดมาในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยมาเป็นเวลานาน และมีกำหนดการจะถูกนำไปเอกซเรย์ เนื่องจากหนังสือในสมัยนั้น มักจะมีการนำกระดาษจากหนังสือในสมัยโบราณมารีไซเคิล นั่นหมายความว่าหากตรวจสอบให้ดี ปกของหนังสือจากยุคเรอเนซ็องส์อาจจะมีชิ้นส่วนของหนังสือจากสมัยก่อนหน้าอย่างหนังสือกฎหมายโรมันติดอยู่ได้เลย อย่างไรก็ตามเช่นที่จะพบกับชิ้นส่วนของหนังสือจากสมัยก่อน การเอกซเรย์ในครั้งนี้กลับทำให้พวกเขาพบว่าหนังสือเหล่านี้มีสารหนูประกอบอยู่เป็นจำนวนมากแทน ผลการรับสารหนูจากในหนังสือที่ตีพิมพ์ในปี 1859 โชคดีที่นี่ไม่ใช่การวางยาพิษบนหนังสืออย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ เพราะสารหนูที่พบนั้น มาจากส่วนของหน้าปกที่เป็นสีเขียวเสียส่วนใหญ่ ซึ่งการใช้สารหนูเป็นส่วนผสมของสีเขียวนั้น มีให้เห็นมาเป็นเวลาค่อนข้างนานแล้ว เพราะในศตวรรษที่ 19 เองยังเคยมีความเชื่อที่บอกว่าสีวาดภาพ และสีย้อมผ้าที่ทำจากสารหนูนั้นปลอดภัย (ตราบใดที่ไม่ถูกกิน) เลยด้วยซ้ำ ทำให้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผลงานจากในอดีตมีการเจือปนของสารหนู อย่างไรก็ตามการค้นพบนี้ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าสารหนูเหล่านี้จะถูกทาลงใบในระหว่างการเก็บรักษาหนังสือในช่วงศตวรรษที่ 19 เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงหรือหนูมาทำลายหนังสือก็เป็นได้ ในเวลานี้หนังสือที่พบสารหนูทั้งสามเล่มได้ถูกนำไปเก็บแยกไว้จากหนังสืออื่นๆ เป็นที่เรียบร้อย และจะมีการตรวจสอบหนังสือที่เหลือในห้องสมุดกันต่อไป ที่มา livescience, ancient-origins
-
นักวิทย์เผย โลงศพมัมมี่ 2,100 ปีที่เคยเชื่อว่าเป็น “เหยี่ยว” แท้จริงแล้วเป็นของ “เด็กทารก”
ในปี 1925 ปีมัมมี่เก่าแก่ชิ้นหนึ่งถูกบริจาคมายังพิพิธภัณฑ์ Maidstone ในอังกฤษ มันเป็นโลงศพของมัมมี่ขนาดเล็กที่เคยถูกเชื่อกันว่าเป็นของนกเหยี่ยวจากสมัยอียิปต์โบราณที่มีอายุราวๆ 2,100 ปี แต่จากการศึกษาร่างของมัมมี่ที่พบอย่างละเอียดในปี 2018 นี้เอง นักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบกับเรื่องไม่น่าเชื่อเกี่ยวกับมัมมี่ร่างนี้เข้าจนได้ เพราะเมื่อพวกเขาใช้เทคโนโลยีซีทีสแกนในการตรวจสอบร่างของมัมมี่ข้างในโลง โดยไม่จำเป็นต้องเปิดโลงออก และพบว่า สิ่งที่อยู่ในโลงศพดังกล่าว ไม่ใช่ “นกเหยี่ยว” แต่เป็น “ทารก” ของมนุษย์ นี่คือร่างของมัมมี่ทารกซึ่งคลอดออกมาตาย ที่คาดกันว่ามีอายุราวๆ 23-28 สัปดาห์ และได้รับการทำเป็นมัมมี่อย่างประณีต ราวกับว่ามัมมี่ที่พบมีความพิเศษกว่ามัมมี่ทั่วๆ ไป นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าที่เป็นเช่นนี้ น่าจะมาจากการที่ทารกคนดังกล่าวมีร่องรอยการเป็นโรค “Anencephaly” หรือ “มนุษย์กบ” อันเป็นความพิการ ซึ่งทำให้ส่วนหัวของทารกมีลักษณะบิดเบี้ยวคล้ายนกหรือกบ และรูปร่างอันบิดเบี้ยวนี้เองที่ทำให้ทารกคนนี้มีความพิเศษ เพราะการที่คนมีหัวเป็นนกทำให้เขามีรูปร่างคล้ายเทพในสายตาของคนอียิปต์โบราณ เป็นไปได้ว่าในสมัยก่อนมัมมี่ร่างนี้อาจถูกเชื่อว่ามีพลังอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตามเราไม่มีหลักฐานของคนที่พยายามใช้ “พลัง” ของมัมมี่ที่พบ หรือแม้กระทั่งสถานที่ซึ่งมัมมี่ร่างนี้ถูกฝัง จริงอยู่ว่ามัมมี่ที่พบนั้นยังคงมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมาก แต่การที่ได้ทราบว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่อยู่ในโลงศพไม่ใช่เหยี่ยวแต่เป็นทารก ก็นับว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากๆ ชิ้นหนึ่งอยู่ดี …
-
นักวิทย์เผย โครงกระดูก “เอเลี่ยน” ในชิลี แท้จริงแล้วเป็นของมนุษย์ที่ “กลายพันธุ์”
ในปี 2003 ที่ La Noria เมืองร้างกลางทะเลทรายของชิลี เคยมีการขุดพบโครงกระดูกขนาด 15 เซนติเมตร ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับสิ่งที่คนเรารู้จักกันในฐานะ “เอเลี่ยน” มากๆ ร่างหนึ่ง โครงกระดูกที่พบนี้ถูกเรียกว่า Ata และกลายเป็นที่โด่งดังไปในอินเตอร์เน็ตในฐานะของหลักฐานอย่างดีที่บอกว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง จนกลายเป็นที่ถกเถียงกันของสังคมออนไลน์มาเป็นเวลานาน แต่เมื่อไม่นานมานี้เอง Ramón Navia-Osorio นักธุรกิจชาวสเปนผู้เป็นเจ้าของโครงกระดูกที่พบได้อนุญาตให้ทางแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ได้เข้าตรวจสอบโครงกระดูกของ Ata แล้ว เดิมทีแล้วปี 2013 ทีมวิจัยในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเคยออกมาประกาศว่า Ata แท้จริงแล้วเป็นโครงกระดูกของมนุษย์มาก่อน อย่างไรก็ตามงานวิจัยในตอนนั้นไม่ได้มีคำอธิบายเกี่ยวกับรูปร่างอันผิดปกติของโครงกระดูกที่พบ โชคดีที่ในการศึกษาโครงกระดูกในครั้งนี้ ได้มีการค้นพบความน่าจะเป็นที่ทำให้โครงกระดูกของ Ata มีความผิดแปลกเช่นนี้ โดยสาเหตุที่เป็นไปได้ที่สุดนั้น ถูกระบุไว้ว่าเป็น “การกลายพันธุ์” นั่นเอง จากคำบอกเล่าของนักจุลชีววิทยาและภูมิคุ้มกัน Garry Nolan ดูเหมือนว่าตัว Ata จะมีการกลายพันธุ์ของยีนอย่างน้อย 7 ตัว ซึ่งทำให้กระดูกมีการผิดรูปไปจากที่ควรเป็น และทำให้กระดูกดูมีอายุขัยมากกว่าความเป็นจริง ว่าง่ายๆ ว่า Ata นั้นแท้จริงแล้วน่าจะเป็นเพียงเด็กทารกที่ตายหลังจากเกิดมาได้ไม่นานเท่านั้น อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ใช่ว่าจะไม่มีข้อโต้แย้งเลย เพราะ Fowzan Alkuraya นักพันธุศาสตร์…
-
5 วิธีการสืบสวนคดีสุดเก่าแก่ จากสมัยอียิปต์โบราณ มาดูกันว่าสมัยนั้นเขาสืบคดีกันอย่างไร
ว่ากันว่าในอดีตการสืบสวนคดีทำได้ลำบากกว่าในสมัยนี้มาก เพราะในอดีตนั้นมีเทคโนโลยีที่จะช่วยในการสืบสวนอยู่น้อยทำให้การสืบสวนในหลายๆ ครั้งเป็นไปได้อย่างยากลำบากเมื่อเทียบกับในปัจจุบัน ถ้าอย่างนั้นเคยสงสัยกันไหมว่าในสมัยก่อนเรามีการสืบสวนคดีกันแบบไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัฒนธรรมเก่าแก่อย่างอียิปต์แล้วด้วย เพราะวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 5 วิธีการสืบสวนคดีสุดเก่าแก่ จากสมัยอียิปต์โบราณกัน พวกเขาใช้ “ลิง” ในการจับคนร้าย ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนคนเราก็จะมีการฝึกสัตว์ในการช่วยจับคนร้าย แต่ในสมัยอียิปต์โบราณอาจจะแปลกกว่าที่อื่นสักหน่อย เพราะที่นี่เขาใช้ลิงจับโจรกัน ที่จริงแล้วในสมัยนี้มีการใช้สัตว์หลากหลายชนิดในการจับคนร้าย ดังนั้นลิงจึงไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวที่พวกเขาใช้ เพราะสัตว์อย่างสุนัขที่พวกเราคุ้นเคยกัน ก็มีหลักฐานการใช้งานปรากฏอยู่ในสมัยอียิปต์โบราณเช่นกัน การ “ไม่แจ้งความ” นับว่ามีโทษ เพราะในสมัยก่อนการสืบสวนคดีไม่ใช่เรื่องง่าย บ่อยครั้งคดีเลยหายไปโดยไม่มีการสืบด้วยซ้ำ นั่นทำให้ทางอียิปต์ออกกฎหมายให้ในกรณีที่มีการพบคดีแต่ไม่มีการแจ้งความ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีจะโดนลงโทษอย่างหนัก ว่ากันว่ากฎหมายนี้รุนแรงถึงขั้นที่ว่าลูกน้องของโจรปล้นสุสานแจ้งจับหัวหน้าตัวเองเพราะกลัวโดนลงโทษเลยทีเดียว คนร้าย (และพยาน) จะถูกโบยจนกว่าจะสารภาพ เอาเข้าจริงๆ นี่เป็นวิธีการสืบสวนที่ใช้งานในหลายยุคสมัยมากไม่ใช่แค่ในอียิปต์โบราณ แถมบางครั้งมันไม่ได้จบอยู่แค่การโบยคนร้ายด้วย เพราะหากพยานให้การเข้าข้างคนร้าย พวกเขาก็จะถูกโบยเช่นกัน นั่นทำให้คนที่ต้องขึ้นศาลในสมัยก่อนเกือบทั้งหมดมักจะถูกตัดสินว่ามีความผิด เนื่องจากในสมัยนั้นการสารภาพจะถูกนับว่าเป็นหลักฐานไปในตัวด้วยเลยนั่นเอง พยานจะต้องบอกว่าจะให้ศาลลงโทษอย่างไรหากพวกเขาโกหก การเป็นพยานในสมัยก่อนไม่ใช่เรื่องง่าย แถมในสมัยนั้นยังมีบทลงโทษในการให้การเท็จที่ค่อนข้างแปลกเลยทีเดียว ก่อนที่จะเริ่มการสืบสวนศาลจะให้พยานสาบานว่าจะพูดความจริง และระบุไว้ว่าหากคำที่พูดออกมาเป็นการโกหกจะให้ศาลลงโทษอย่างไร เช่น “หากฉันพูดโกหก ฉันจะยอมโดนตัดขา” เป็นต้น ระดับของโทษที่เป็นที่ยอมรับจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของคดี และหากคำให้การถูกตัดสินออกมาว่าเป็นเท็จแล้วละก็…
-
ย้อนรอย “จดหมายแอนแทรกซ์” การก่อการร้ายทางจดหมายที่ทำให้คนทั้งโลกหวาดกลัว
ในเดือนตุลาคมปี 2001 ในสมัยที่การส่งจดหมายที่เป็นกระดาษยังไม่ได้เป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างในปัจจุบัน โลกก็ได้พบกับการก่อการร้ายแบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนจนได้ นี่เป็นเรื่องราวที่มีจุดเริ่มต้นมาจากสำนักข่าวแห่งหนึ่งในอเมริกาที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคแอนแทรกซ์ จนทำให้มีผู้ป่วยถูกส่งเข้าไปในโรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก นี่คือโรคร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งสามารถพบได้ตามธรรมชาติในดิน และมักแพร่ระบาดในสัตว์กินพืช ซึ่งตามปกติแล้วจะติดต่อไปสู่คนจากการบริโภคเนื้อสัตว์ปรุงไม่สุก อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ต่างออกไป เพราะเจ้าเชื้อโรคแอนแทรกซ์ ที่พบนั้นไม่ได้มาจากดินหรือเนื้อสัตว์ แต่เป็นจากจดหมายที่สำนักข่าวได้รับต่างหาก ดูเหมือนว่าจากการตรวจสอบของทาง FBI หนึ่งในจดหมายที่สำนักข่าวต้นเรื่องได้รับ จะมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคแอนแทรกซ์ในปริมาณมาก เท่านั้นยังไม่พอเพราะจดหมายที่พบนั้นยังมีการส่งไปในสถานที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง และมีการออกส่งตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 หรือก็คือตั้งแต่ที่มีการก่อการร้ายที่ตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์นั่นเอง นั่นทำให้ทางสหรัฐฯ ก็ได้ลงความเห็นว่านี่ต้องเป็นจดหมายที่ถูกส่งด้วยจุดประสงค์ในการก่อการร้ายอย่างแน่นอน จนทำให้ทางสหรัฐฯ ต้องออกระบบป้องกันการโจมตีทางเคมีในประเทศใหม่อีกครั้งเลยทีเดียว ตลอดระยะเวลาหลายปีหลังจากนั้นทางสหรัฐฯ ได้พยายามตามหาคนที่ส่งจดหมายเชื้อโรคเหล่านี้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามมีผู้ต้องสงสัยเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถตามตัวพบจากหลักฐานที่มี เพราะว่าการสืบที่มาของจดหมายนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่าที่คิด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในสมัยนั้นการได้รับจดหมายจากคนที่ไม่รู้จักจึงกลายเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับหลายๆ ประเทศไป นับว่าเป็นโชคดีมากที่หลังจากการโจมตีด้วยจดหมายแอนแทรกซ์กลายเป็นเรื่องหวาดกลัวของคนในโลกได้ไม่นาน เทคโนโลยีก็เปลี่ยนการส่งจดหมายที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงในอดีต เป็นระบบ E-mail อย่างในปัจจุบันพอดี และนั่นก็เป็นการปิดฉากการก่อการร้ายด้วยจดหมายที่หลายๆ คนหวาดกลัวลงไปพร้อมๆ กัน ที่มา history, cnn
-
5 เรื่องราวสุดเหลือเชื่อ เกี่ยวกับ “ไสยศาสตร์และความเชื่อ” ของพรรคนาซีในอดีต
เราอาจจะทราบกันดีว่าในสมัยสงครามนาซีนั้นแทบจะทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ พวกเขาทำการทดลองกับมนุษย์ แถมยังมีการให้เด็กๆ ไปเข้าร่วมสงคราม ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่าในบรรดาสิ่งที่นาซีทำ มันเคยมีสิ่งที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์และความเชื่อด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านโหราศาสตร์ พลังจิต หรือแม้กระทั่งศาสนาเลยทีเดียว และนี่คือตัวอย่างบางส่วนของเรื่องเหล่านี้ พวกนาซีจ้างผู้มีพลังจิตเพื่อหาเบนิโต มุสโสลินี เอาเข้าจริงๆ ฮิตเลอร์ เคยแบนการใช้งานคนมี “พลังจิต” มาก่อน แต่หลังจากมุสโสลินีโดนจับ ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ ผู้นำหน่วย SS ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะหาตัวมุสโสลินีให้เจอ แรกๆ ก็เป็นการใช้หน่วยข่าวกรองตามหาตามปกติอยู่หรอก แต่หลังจากที่หาไม่เจอเสียทีฮิมม์เลอร์ก็ตัดสินใจติดต่อ “ผู้มีพลังลึกลับ” ที่ตัวเองเคยจับมาก่อนให้มาช่วยตามหามุสโสลินีโดยแลกกับอิสรภาพ จริงอยู่ว่านี่ดูจะเป็นแผนการที่ดูงมงายและสุดท้ายทางนาซีสามารถหาตัวมุสโสลินีได้เอง แต่ฮิมม์เลอร์ก็แอบเก็บผู้ที่ทายตำแหน่งของมุสโสลินีได้ถูกต้องเอาไว้หลังจากนั้นอยู่ดี โดยอ้างว่าพลังลึกลับนี่ล่ะที่จะทำให้เขาชนะสงคราม พลตรีของนาซีเคยทำให้ฮิมม์เลอร์เชื่อว่าพระเยซูเป็นชาวเยอรมัน นี่เป็นแนวคิดสุดบ้าคลั่งของ Karl Wiligut ผู้ซึ่งบอกว่าชาวเยอรมันมีอยู่มาตั้งแต่ 228,000 ปีก่อนคริสตกาล ในสมัยที่ยังมีดวงอาทิตย์สามดวง และบนโลกยังมียักษ์กับคนแคระ น่าแปลกที่มีคนเชื่อนายคนนี้มากกว่าที่คิด เพราะแม้แต่ฮิมม์เลอร์หนึ่งในผู้นำพรรคนาซีก็เชื่อในตัวเขา ทั้งๆ ที่เจ้าตัวเคยถึงขั้นที่อ้างว่าพระเยซูเป็นชาวเยอรมัน และมีชื่อจริงๆ ว่า Krist เท่านั้นยังไม่พอ Karl Wiligut ยังเคยได้รับสนับสนุนในการสร้างสิ่งก่อสร้างทางความเชื่ออย่าง “ปราสาทคาเมล็อต” ของเยอรมันด้วย ฮิตเลอร์เคยจ้างคนมาหาชาวยิวด้วย…
-
ไขปริศนา “มัมมี่สาวในโลงเหล็ก” แห่งเมืองนิวยอร์ก แท้จริงแล้วเธอไม่ใช่เหยื่อคดีฆาตกรรม
ย้อนไปเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2011 ได้มีการค้นพบมัมมี่ประหลาดในเมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และกลายเป็นปริศนาที่หลายๆ คนพยายามตามหากันว่าแท้จริงแล้วมัมมี่ที่พบ เป็นของใครและมาจากไหนกันแน่ นี่เป็นมัมมี่ของหญิงสาวผู้มีเชื้อสายแอฟริกันอเมริกันที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในโลงศพที่ทำจากเหล็ก ซึ่งเดิมทีแล้วดูสดใหม่มากจนทางตำรวจเชื่อกันว่า เธอน่าจะเป็นเหยื่อของการฆาตกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน อย่างไรก็ตามจากงานวิจัยของ Scott Warnasch นักโบราณคดีนิติเวชและทีมงาน ดูเหมือนว่ามัมมี่ที่พบนั้นจะมีอายุมากกว่าที่คิดมาก เพราะนี่ไม่ใช่เหยื่อของคดีฆาตกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นหนึ่งอาทิตย์หรือหนึ่งปี แต่เป็นร่างของหญิงสาวที่จากไปเมื่อกว่า 1 ศตวรรษก่อนต่างหาก “เธออาจจะดูเหมือนว่าเพิ่งตายไปได้ราวๆ หนึ่งสัปดาห์ แต่จริงๆ แล้วเธอจากไปเมื่อ 160 ปีก่อนต่างหาก” Warnasch กล่าว ดูเหมือนว่าร่างของหญิงสาวจะถูกเก็บรักษาไว้ในโลงศพที่ปิดสนิทจนลมเข้าไม่ได้ตั้งแต่ในช่วงกลางยุค 1800 และนั่นทำให้สภาพของเธอกลายเป็นมัมมี่ที่สมบูรณ์มากจนทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างที่เห็น แต่สิ่งที่น่าสนใจของมัมมี่ร่างนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ความเก่าแก่เท่านั้น เพราะจากการตรวจสอบโดยละเอียดของนักโบราณคดี ก็มีการพบว่าในมัมมี่ที่พบนั้นมีร่องรอยของการเป็นโรคฝีดาษอยู่ด้วย นั่นทำให้มัมมี่ร่างนี้กลายเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีของการศึกษาโรคในอดีตไป อีกทั้งการที่เธอเป็นโรคฝีดาษเองก็เป็นการอธิบายที่ดีเลยว่าทำไมเธอนั้นถึงถูกฝังไว้ในโลงศพเหล็กแบบนี้ เพราะผู้ที่ตายด้วยโรคร้ายในอดีตจะมักถูกฝังในโลงศพเหล็กแบบนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการติดต่อของโรคจากศพสู่คนนั่นเอง หน้าตาของมัมมี่ที่พบในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งวิเคราะห์ขึ้นด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน นอกจากนี้ทางทีมวิจัยได้ตรวจสอบประวัติคนตายในสมัยก่อนและพบว่ามัมมี่ที่พบนั้นน่าจะเป็นของ “Martha Peterson” หญิงสาวแอฟริกันอเมริกันวัย 26 ปี ที่เสียชีวิตไปในสมัยก่อนอีกด้วย นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะไม่เพียงแต่มัมมี่ร่างนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคฝีดาษในอดีต แต่มันยังอาจนำไปสู่การความรู้เรื่องการใช้ชีวิตของคนแอฟริกันอเมริกันในช่วงต้นศตวรรษที่…
-
เปิดประวัติ “ความผิดพลาด” เมื่อ 20 ก.พ. 1971 วันที่สหรัฐฯ โดน “นิวเคลียร์” ที่ไม่มีจริง
เชื่อว่าตามในหนังหรือเกมเพื่อนๆ อาจจะเคยได้ยินเรื่องสัญญาณเตือนภัยอาวุธนิวเคลียร์กันมาบ้าง ว่าแต่ทราบกันไหมว่าเจ้าระบบที่ว่านี้เคยสร้างความแตกตื่นขนาดไหนไว้ให้กับโลกใบนี้ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1971 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยที่จู่ๆ ก็มีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นพร้อมๆ กันทั่วประเทศอย่างมีปริศนา ทำให้เกิดความแตกตื่นเป็นอย่างมากในสังคม นั่นเพราะสหรัฐอเมริกาในตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงสงครามเย็น และสงครามเวียดนาม ทำให้ประชาชนหลายๆ คนหลงเชื่อไปว่า นี่อาจจะเป็นการเปิดฉากการโจมตีด้วย “อาวุธนิวเคลียร์” ของฝั่งคอมมิวนิสต์ก็เป็นได้ วิดีโอคลิปที่มีการบันทึกเสียงเตือนภัยดังกล่าว จากช่อง CONELRAD6401240 แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้คือระบบเตือนภัยแบบพิเศษที่เรียกกันว่า “Emergency Broadcast System” หรือ “EBS” ของทางสหรัฐฯ เองต่างหาก นี่เป็นระบบที่จะส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังสื่อต่างๆ ทั่วประเทศภายในเวลาเพียง 10 นาที หากมีเหตุด่วนเหตุร้ายเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือ “เหตุร้าย” ที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์ ตามปกติระบบนี้จะมีการทดสอบทุกๆ วันเสาร์ อย่างไรก็ตามในวันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 1971 ระบบดังกล่าวกับมีการส่ง “สัญญาณจริง” แทนที่จะเป็น “สัญญาณฝึกซ้อม” ออกมา จนเกิดความแตกตื่นในสังคมอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่ในความเป็นจริงประชาชนของสหรัฐฯ…
-
เปิดประวัติอันยาวนานของ “เซ็กส์ทอย” จากหินทรายสู่ซิลิโคน ตลอด 32,000 ปีที่ผ่านมา
ในปัจจุบันเราอาจจะเห็นอุปกรณ์ที่ช่วยมอบความสุขในการ “ช่วยตัวเอง” หลากหลายรูปแบบ วางขายอยู่เกลื่อนตามอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น ดิลโด้ ไข่สั่น หรือเซ็กส์ทอยอื่นๆ แต่เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่าไอ้เจ้าของแบบนี้ถือกำเนิดมายาวนานกว่าที่เราคิด แถมยังมีเซ็กส์ทอยที่หน้าตาแปลกๆ โผล่ออกมาในประวัติศาสตร์เต็มไปหมดเลยด้วย ว่ากันว่าเรื่องราวของเซ็กส์ทอยนั้นย้อนกลับไปได้ไกลถึงเมื่อ 32,000 ปีก่อน ที่มนุษย์เพศหญิงในยุคหินเก่า จะใช้หินทรายมาทำเป็นดิลโด้ (และใช้เป็นเครื่องมื่ออื่นๆ อย่างเช่นค้อน) ต่อมาในช่วง 51 ปีก่อนคริสตกาล ก็มี “ข่าวลือ” ของคนโบราณที่บอกว่า คลีโอพัตราใช้ “เซ็กส์ทอย” ที่ทำมาจากการนำผึ้งไปใส่ไว้ในผลไม้จำพวกน้ำเต้าหรือกล่องกระดาษปาปิรุส (นึกภาพไวเบรเตอร์เข้าไว้) และตั้งแต่นั้น “เซ็กส์ทอย” ก็กลายเป็นของที่อยู่คู่กับมนุษย์เสมอมา และมีการพัฒนาความแปลกและการใช้งานขึ้นเรื่อยๆ ตามรสนิยมของคนละยุคสมัย อย่างในช่วงศตวรรษที่ 5 เองก็มีบันทึกของสาวเอเชียใช้งาน “Ben-wa balls” อุปกรณ์คล้ายลูกบอลที่ทำจากแร่เงินในการช่วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเซ็กส์ทอยจะมาเริ่มมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเอาในช่วงศตวรรษที่ 18-19 โดยในช่วงนี้เองมีบันทึกของนักเดินเรือที่ว่าพวกเขาจะนำ “แขนเสื้อยาง” ไปด้วยในการเดินเรือในระยะไกล (ซึ่งฟังจากชื่อก็คงไม่พ้น จ๋องกระปิ๋ม) และต่อมาอีกเล็กน้อยในยุควิกตอเรีย ก็มีการคิดค้น “เครื่องสั่นแบบใช้ไอน้ำ” ขึ้นมาจนได้ โดยเจ้าเซ็กส์ทอยชิ้นนี้ออกแบบมาเพื่อรักษาอาการฮิสทีเรียดังนั้นหน้าตาก็จะดูไม่ค่อยเป็นมิตรมากนัก “The…
-
24 ภาพแห่งการโฆษณา ‘Coca-Cola’ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แล้วจะรู้ว่าความวินเทจมีอยู่จริง!!
เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในน้ำอัดลมที่โด่งดังข้ามยุคข้ามสมัยมาตั้งแต่โบราณกาลเลยก็ว่าได้สำหรับ ‘Coca-Cola’ หรือที่เราเรียกติดปากกันว่าโค้ก น้ำสีน้ำตาลรสชาติซาบซ่าที่หลายคนหลงรัก แต่แม้ว่าโค้กจะมีความโด่งดังแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่พวกเขาทำมาโดยตลอดและยังคงไม่ทิ้งลายก็คือ ‘การโฆษณา’ ที่ในแต่ละยุคก็จะเปลี่ยนไปตามความนิยมในสมัยนั้นๆ และแน่นอนเมื่อกาลเวลาผ่านไปมันได้กลายมาเป็นภาพสุดวินเทจ!! และนี่คือภาพการโฆษณาผลิตภัณฑ์ตัวนี้ในอดีต ซึ่งถ้าหากคุณได้เห็นแล้วจะต้องอดปากชมไม่ได้แน่ๆ ว่าอะไรมันจะดูคลาสสิคขนาดนี้ เอาล่ะพร้อมแล้วไปลุยกันเลยดีกว่า ปี 1950 ปี 1952 ปี 1953 ปี 1954 ปี 1955 ปี 1956 ปี 1959 ปี 1960 ปี 1965 ปี 1970 ปี 1974 ปี 1978 ปี 1982 ปี 1984…
-
23 ภาพถ่ายสุดงามของ “อินเดียนแดง” นี่คือกลุ่มคนที่อาศัยในอเมริกามาก่อนชาวยุโรป
ชนพื้นเมืองอเมริกัน หรือที่หลายๆ คนรู้จักกันในชื่ออินเดียนแดง เป็นกลุ่มคนที่อาศัยในทวีปอเมริกามานาน ก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้ามาตั้งรกราก อย่างไรก็ตามจำนวนของพวกเขากลับค่อยๆ ลดลงไปอย่างน่าใจหาย นั่นทำให้ในปี 1906 J.P. Morgan ได้ตัดสินใจออกทุนให้กับ Edward Sheriff Curtis เพื่อไปเก็บภาพของอินเดียนแดงเอาไว้ด้วยความกลัวที่ว่าพวกเขาจะหายไป และนี่ คือตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ จากรูปภาพกว่า 40,000 ภาพของ Curtis ผู้ซึ่งใช้เวลากว่า 20 ปีคลุกคลีไปกันคนในชนเผ่าเหล่านี้ เริ่มกันจากภาพของผู้นำเผ่า Klamath ในรัฐออริกอนปี 1923 นักรบเผ่า Apsaroke บนหลังม้า 1908 หญิงสาวจากเผ่า Jicarrilla เมื่อราวๆ ปี 1910 สมาชิกเผ่า Navajo ในอาริโซน่า 1904 แม่ลูกจากเผ่า Apsaroke 1908 ผู้นำเผ่า Sioux 1905 สาวเผ่า Tewa กับทรงผมที่เรียกกันว่า “butterfly whorl”…
-
5 คนร้ายจากอดีต ที่ไม่ว่าดูยังไงก็โดนจับเพราะ “ทำตัวเองแท้ๆ” ตำรวจแทบไม่ต้องสืบด้วยซ้ำ
ในหนังตลกเพื่อนๆ อาจจะเคยเห็นผู้ร้ายทำเรื่องที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่จนตัวเองโดนจับกันมาบ้าง เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะคิดว่าคนร้ายที่ทำอะไรแบบนี้มันจะไปมีอยู่จริงบนโลกได้อย่างไร แต่รู้หรือไม่ว่าไว้เรื่องแบบนี้มีจริงๆ เพราะมีคนร้ายหลายคนเลยที่ไม่ว่าดูยังไงก็โดนจับเพราะ “ทำตัวเองแท้ๆ” ไม่เชื่อก็ดูอย่างเรื่องราวของเหล่าผู้ร้าย 5 คนต่อไปนี้สิ Anthony Garcia Garcia เป็นสมาชิกแก๊งมีชื่อในลอสแอนเจลิส ผู้ซึ่งออกปล้นสังหารร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะลอยนวลไปได้นานถึงสี่ปี แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไรเจ้าตัวถึงได้สักภาพร้านเหล้าที่ตัวเองเคยไปปล้นไว้บนหน้าอกด้วยการสักถาวร นั่นทำให้ในตอนที่เขาโดนจับด้วยคดีเล็กๆ อย่างใบขับขี่หมดอายุ ตำรวจก็บังเอิญไปเห็นรอยสักของเขาเข้า จนทำให้ Garcia ต้องรับโทษในคดีที่เขาก่อในที่สุดนั่นเอง Marque Moore Moore เป็นผู้ต้องหาของคดีขโมยรถจักรยาน ที่สามารถลอยนวลไปได้เป็นเวลานานมาก อาจจะเพราะนี่เป็นคดีที่ไม่ใหญ่เท่าคดีฆาตกรรม ก็ได้ แต่การจะทำเงินจากของที่ขโมยมา Moore จะต้องเอาจักรยานไปขายให้ได้ และเขาก็เลือกที่จะโฆษณาขายจักรยานในอินเตอร์เน็ตนั่นเอง ปัญหาคือคนที่ไปเห็นจักรยานที่ Moore ขายเข้า ดันเป็นเจ้าของจักรยานเองเสียอย่างนั้น ทำให้เจ้าของจักรยานแจ้งเรื่องกับตำรวจ จนจับตัว Moore ได้ในที่สุด Hannah Sabata เธอคือหญิงสาววัย 19 ปีผู้ถูกจับในข้อหาเกี่ยวกับการปล้นธนาคารในเท็กซัส เนื่องจากเธอโพสต์ข้อความและวิดีโอโอ้อวดว่าตัวเองไปปล้นธนาคารในโซเชียลเน็ตเวิร์ค ตามปกตินี่คงถูกมองว่าเป็นการละเล่นเพ้อเจ้อของผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น แต่ปัญหาคือในวันที่เธอลงวิดีโอ ดันมีการปล้นธนาคารเกิดขึ้นจริงๆ แถมจากกล้องวงจรปิดตำรวจยังพบภาพของหญิงสาวที่เหมือนกับเธออีก นั่นทำให้นี่กลายเป็นเป็นคดีที่คนร้ายถูกจับด้วยหลักฐานที่คนร้ายเป็นคนนำไปโพสต์ลงอินเตอร์เน็ตเองเลยก็ว่าได้ ฟังดูเหมือนเป็นการกระทำของคนไม่ปกติใช่ไหม? นั่นเพราะจากประวัติของเธอแล้ว Sabata เคยเข้ารักษาโรคทางจิตหลายครั้งในโรงพยาบาลมาแล้วนั่นเอง…
-
พบสุสานโบราณอายุราว 2,200 ปี พร้อมรูปวาดบนผนังของ “คนใช้แก้ผ้าถือเหยือก”
เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2018 ที่ผ่านมา นักโบราณคดีในประเทศอิตาลีได้ออกมาประกาศข่าวการค้นพบสุสานโบราณใน Cumae เมืองที่เชื่อกันว่าในอดีตเคยเป็นอาณานิคมแห่งแรกของกรีกในพื้นที่ของอิตาลี นี่เป็นสุสานโบราณที่ภายในประกอบด้วยเตียงสำหรับศพ 3 ตัว ประตูทางเข้าที่ในอดีตถูกปิดไว้ด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ และรูปวาดบนผนัง จริงอยู่ว่าสุสานแห่งนี้จะมีร่องรอยของการถูกปล้นสุสานอยู่บ้าง แต่นักโบราณคดีก็ยังสามารถหาวัตถุโบราณที่ช่วยในการตามรอยที่มาของตัวสุสานได้จำนวนหนึ่ง นี่เป็นสุสานที่มีอายุราวๆ 2,200 ปีที่สร้างขึ้นในสมัยโรมันโบราณ 200-300 ปีก่อนคริสตกาล และน่าจะใช้ในการฝังผู้ที่มีฐานะพอสมควร อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าสิ่งที่ได้รับความสนใจที่สุดในการค้นพบครั้งนี้จะเป็นตัวรูปวาดบนพนังมากกว่า โดยมันเป็นภาพของคนใช้หรือไม่ก็ทาสในร่างเปลือยที่กำลังถือเหยือกสีเงินและแจกันสำหรับไวน์อยู่ จริงอยู่ที่ว่าคนใช้ที่แก้ผ้าทำงานจะดูเป็นเรื่องที่แปลกในปัจจุบัน แต่ในยุคโรมันโบราณการแก้ผ้าเป็นเรื่องที่พบได้ค่อนข้างจะบ่อยเลยทีเดียว เพราะจากหลักฐานในอดีต แม้แต่กลาดิเอเตอร์หญิงก็มีการแก้ผ้าสู้ในโคลอสเซียมอยู่บ่อยๆ นักโบราณคดีเชื่อว่านี่น่าจะเป็นภาพที่วาดขึ้นในตอนที่สุสานสร้างเสร็จ อย่างไรก็ตามแนวการวาดภาพแบบนี้กลับดู “ล้าหลังมาก” เทียบกับสมัยที่มีการวาดขึ้น เพราะในช่วง 200-300 ปีก่อนคริสตกาล แทบจะไม่มีช่างภาพคนไหนแล้วที่วาดภาพในลักษณะนี้ เนื่องจากภาพอื่นๆ ที่มาจากยุคสมัยเดียวกันมักจะเป็นการวาดด้วยโทนสีแดงและสีขาวเป็นหลักเท่านั้น อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ภาพเพียงภาพเดียวที่ถูกวาดอยู่บนกำแพงสุสาน เพราะจากร่องรอยความเสียหายของภาพ นักโบราณคดีก็เชื่อว่าเดิมทีแล้วตัวภาพน่าจะถูกวาดยาวไปถึงกำแพงด้านข้างเลย นั่นทำให้นักโบราณคดีตั้งใจที่จะโยกย้ายภาพที่พบ พร้อมๆ กับชิ้นส่วนอื่นๆ ของภาพที่กระจัดกระจายอยู่ ออกมาจากสุสานก่อนเพื่อป้องกันการทรุดโทรมไปมากกว่านี้ และพวกเขาตั้งใจว่าจะทำการประกอบภาพขึ้นมาอีกครั้งจากชิ้นส่วนที่พบในภายหลังอีกด้วย ซึ่งนั่นหลายความว่าเราอาจจะได้เห็นรูปเต็มๆ ของภาพวาดบนกำแพงที่ว่านี้แบบเต็มๆ อีกครั้งในอนาคตนั่นเอง …
-
“The Isolator” อุปกรณ์ดีๆ จากปี 1925 ที่จะช่วยตัดปัญหาเสียงรบกวนระหว่างทำงานให้คุณ
ในชีวิตการทำงานร่วมกับคนอื่น (โดยเฉพาะในออฟฟิศ) เราอาจจะต้องเผชิญกับปัญหาสิ่งรบกวนอันไม่พึงประสงค์กันอยู่บ่อยๆ บางครั้งอาจจะมาจากเพื่อนร่วมงานที่พูดไม่หยุด หรือเสียงเครื่องใช้ต่างๆ รอบตัว จริงอยู่ว่าในปัจจุบันเราอาจจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ด้วยการใส่หูฟัง แต่ถ้ายุคสมัยที่คุณอยู่มันยังไม่มีหูฟัง หรือแค่อุดหูเฉยๆ สำหรับคุณมันยังไม่พอล่ะ จะทำอย่างไรดี ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ได้เอาอุปกรณ์ดีๆ สำหรับการแก้ปัญหาสิ่งรบกวนมาฝาก เพราะนี่คือ “The Isolator” หรือหมวกปลีกวิเวก อุปกรณ์สุดเจ๋งจากปี 1925 ที่จะช่วยตัดเสียงรบกวนจากภายนอก และช่วยให้คุณสามารถจดจ่ออยู่กับการทำงานได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว นี่เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบโดย Hugo Gernsback นักเขียน บรรณาธิการ และนักประดิษฐ์ ผู้มีปัญหาเป็นอย่างมากกับสิ่งรบกวนรอบๆ ตัว มันเป็นหมวกคลุมหน้าที่มีองค์ประกอบหลักทำจากไม้ และมีสรรพคุณที่ถูกอ้างโดย Gernsback ว่าจะตัดเสียงรบกวนได้มากถึง 95% นอกจากนี้ยังลดขอบเขตการมอง ทำให้ผู้ใส่มีสมาธิอยู่กับงานตรงหน้าเท่านั้นด้วย นอกจากนี้ The Isolator รุ่นที่วางจำหน่าย ยังมาพร้อมกับถังออกซิเจนที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาคนใส่ง่วงนอนจากความมืด ความเงียบ และการสะสมของคาร์บอนไดออกไซด์ในหมวกอีกด้วย แม้ว่านี่อาจจะดูเป็นเรื่องน่าขำ แต่ The Isolator ก็ทำงานของมันได้อย่างดีเยี่ยม (อย่างน้อยๆ ก็สำหรับ Hugo Gernsback) และเชื่อเถอะว่าถ้าคุณเอามันมาใช้ในปัจจุบัน…
-
ชม 19 ภาพประวัติศาสตร์เยอรมนีบุกโปแลนด์ สงครามที่เปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สอง
ในช่วงเดือนกันยายน 1939 ประเทศเยอรมนีที่นำโดยพรรคนาซี ได้ทำการบุกโจมตีประเทศโปแลนด์ และสามารถยึดครองประเทศโปแลนด์ได้ในเวลาเพียงแค่ 1 เดือนนิดๆ อย่างไรก็ตาม สงครามครั้งนี้ก็นับเป็นสงครามครั้งสำคัญ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สองในฝั่งทวีปยุโรป และนั่นก็เป็นเหตุผลให้ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ได้ร่วมรวมภาพของการบุกโจมตีประเทศโปแลนด์ในปี 1939 มาให้เพื่อนๆ ได้ชม ว่าแต่จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น คงต้องให้ไปชมกันเอง ข้างล่างนี้เลย เริ่มกันที่ภาพการลงนามสนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนีกับโซเวียตในวันที่ 24 สิงหาคม 1939 เพื่อร่วมกันปกครองโปแลนด์ เมืองที่ยังไม่ถูกโจมตี มองจากเครื่องบินทิ้งระเบิดเยอรมันในปี 1939 เรือรบเยอรมันยิงถล่มสถานีขนส่งทหารของโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายน 1939 ทหารเยอรมันใน Westerplatte ท่าเรือของเมือง Danzig รัฐกึ่งอิสระของโปแลนด์หลังจากที่มีการยอมแพ้เมื่อวันที่ 7 กันยายน 1939 ภาพถ่ายทางอากาศของการทิ้งระเบิดในโปแลนด์ เมื่อเดือนกันยายน 1939 รถถังสองคันของเยอรมนี เคลื่อนผ่านแม่น้ำ Bzura ในเดือนกันยายน 1939 ทหารเยอรมันนั่งพักข้างถนนที่จะไปเมือง Pabianice ในปี 1939 ภาพหน่วยสำรวจของเยอรมันที่มีเมืองที่กำลังลุกเป็นไฟอยู่ในฉากหลัง การเคลื่อนพลของฝั่งนาซีในชานกรุงวอร์ซอ…
-
5 เหล่าสรรพสัตว์ที่เข้าร่วมสงครามเคียงบ่าเคียงไหล่กับมนุษย์ จนได้เป็น “ฮีโร่” แห่งสงคราม
การสงครามมักจะมาพร้อมกับวีรบุรุษ จริงอยู่ว่าวีรบุรุษส่วนมากนั้นมักจะเป็น “มนุษย์” ผู้ทำผลงานได้ดีในสงคราม ว่าแต่ทราบกันหรือมีว่าในบรรดาวีรบุรุษของสงครามนั้น ยังมีเหล่าผู้กล้าที่ไม่ใช่มนุษย์อยู่ด้วย พวกมันคือเหล่าสัตว์ที่เข้าร่วมสงครามเคียงบ่าเคียงไหล่กับมนุษย์ และสามารถทำผลงานจนตัวเองเป็นที่จดจำ แม้ว่ามันจะไม่ใช่มนุษย์ก็ตาม ดั่งเช่นเหล่าสรรพสัตว์ทั้ง 5 ตัวต่อไปนี้ สิบเอก Bill วีรบุรุษสายเลือดแคนาดาแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1 Bill เป็นแพะที่ถูกทหารแคนาดาพาเข้าสงครามในฐานะมาสคอต แต่ไปๆ มาๆ กลับสร้างผลงานสุดเจ๋ง ด้วยการขวิดทหารอย่างน้อยๆ สามรายลงไปในสนามเพลาะในตอนที่มีการยิงปืนใหญ่ถล่ม จนทำให้พวกเขารอดตาย นั่นทำให้สิบเอก Bill ได้รับเหรียญรางวัลถึงสองชิ้นในปี 1914 และในตอนที่มันเสียชีวิต ร่างของมันก็ถูกเก็บรักษาไว้ในฐานะ วีรบุรุษแห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอีกด้วย Siwash เจ้าเป็ดทหารเรือ Siwash เป็นมาสคอตที่ทหารเรือคนหนึ่งได้มาจากการพนันโป๊กเกอร์ และเข้าร่วมสงครามที่ตาราวาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อปี 1943 โดยมันมีชื่อเสียงมาจากการต่อสู้มือเปล่า (หรือควรเรียกว่าปีกเปล่าดี) กับไก่ของฝั่งญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามหลังจากสงคราม Siwash ก็ได้ปลดประจำการไปอยู่ที่สวนสัตว์ Lincoln และมารู้กันทีหลังว่าจริงๆ แล้วมันเป็นตัวเมียอีกด้วย สิบเอก Reckless ทหารผ่านศึกแห่งสงครามเกาหลี Reckless เดิมทีมีชื่อว่า Ah Chim Hai หรือ “เปลวเพลิงในรุ่งอรุณ” เป็นม้าที่ถูกเจ้าของขายให้ทหารอเมริกันเพื่อหาเงินรักษาน้องสาว มันรับหน้าที่ขนกระสุนในปี…
-
6 ภาพถ่ายที่ดูเหมือนจะธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ แต่กลับซ่อนเรื่องราวเอาไว้มากกว่าที่คิด
ว่ากันว่าภาพถ่ายนั้นมีอยู่สองรูปแบบ ได้แก่ภาพถ่ายที่แค่มองก็รับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และภาพถ่ายที่เหมือนจะเป็นภาพธรรมดาที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีอะไรซ่อนอยู่กว่าที่เห็น ภาพถ่ายแบบหลังเป็นภาพถ่ายที่จะมีคุณค่า ก็ต่อเมื่อคุณรู้เบื้องหลังของมันเท่านั้น และในหลายๆ ครั้งเรื่องราวของภาพถ่ายที่ว่า ก็มักจะเป็นอะไรที่สะเทือนอารมณ์สุดๆ เสียด้วย เหมือนกับภาพถ่ายทั้ง 6 ภาพต่อไปนี้ ภาพบ้านใน Fredericksburg นี่อาจจะเป็นภาพที่ดูเหมือนกับเป็นบ้านธรรมดา แต่รู้หรือไม่ว่าในศตวรรษที่ 19 Fredericksburg เคยเป็นสนามรบของสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกามาก่อน และนั่นทำให้หลังจบสงครามที่แห่งนี้เคยมีศพกองอยู่เกลื่อนไปหมด ถ้าอย่างนั้นศพพวกนั้นหายไปไหนกัน? แน่นอนว่าหลังสงครามจะต้องมีการเก็บศพไปกำจัด ปัญหาคือเนื่องจากความรีบร้อนในการทำงาน ทหารสหภาพจึงเอาศพส่วนมากไปกองทิ้งไว้ในบ้านที่เมืองร้างเฉยๆ และเดินทัพออกไป ว่าง่ายๆ ว่าในตอนที่ตากล้องเดินทางไปถ่ายภาพนี้มา ภายในบ้านที่เห็นนั้นกำลังเต็มไปด้วยซากศพที่ย่อยสลายมาได้ราวๆ 2 ปีเลยนั่นเอง ภาพถ่ายครอบครัว Lawson นี่เป็นภาพถ่ายครอบครัวที่ดูเหมือนจะธรรมดาแต่ก็ไม่ธรรมดา เพราะ Charles ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว (คนด้านบนขวา) จ่ายเงินถ่ายภาพนี้ไว้เพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะสังหารสมาชิกในครอบครัวเกือบทั้งหมดทิ้ง ดูเหมือนว่าเหตุจูงใจของเขาจะมาจากการที่เจ้าตัวหาเงินเลี้ยงดูที่บ้านไม่ไหว บวกกับการที่ Marie ลูกสาวของเขา (คนขวาบน) ท้อง จากการมีเพศสัมพันธ์ในครอบครัว (กับ Charles เองนั่นล่ะ) นั่นทำให้ในวันคริสต์มาสปี 1929 Charles ได้ใช้ปืนลูกซองสังหารคนในครอบครัวอย่างเลือดเย็น ก่อนจะฆ่าตัวตายในป่าใกล้ๆ ทิ้งเอาไว้เพียงลูกชายคนโต (ซ้ายบน) ที่ไม่อยู่ที่บ้านพอดีเท่านั้น …
-
4+1 เรื่องจริงที่หลายคนทราบในปัจจุบัน แต่กลับเคยถูกมองว่าเป็นเพียง “ทฤษฎีสมคบคิด”
ตั้งแต่ในอดีตโลกของเรามีทฤษฎีสมคบคิดมากมายออกมาให้เห็น หลายๆ ครั้งทฤษฎีเหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่ความหวาดระแวงไปเอง หรือไม่ก็การใส่ร้ายธรรมดาๆ แต่ถึงอย่างนั้น ในบางครั้งทฤษฎีที่ดูเหมือนจะไร้หลักฐานและไม่น่าเชื่อเหล่านั้น ก็ดันกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้เช่นกัน เหมือนกับ 4+1 เรื่องจริงที่หลายคนทราบในปัจจุบัน แต่กลับเคยถูกมองว่าเป็นเพียง “ทฤษฎีสมคบคิด” ต่อไปนี้ บุหรี่ทำให้คนเป็นมะเร็ง จริงอยู่ว่านี่เป็นเรื่องที่เราทราบกันเป็นอย่างดีในปัจจุบัน แต่ในสมัยก่อนมันไม่ใช่เลย เพราะในสมัยก่อนนั้นบุหรี่เคยถูกมองว่าดีต่อสุขภาพ ถึงขั้นที่มีการเอาหมอมาโฆษณาบุหรี่เลยทีเดียว เรื่องราวมันเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไปครั้งแรกในยุค 50 ที่มีงานวิจัยว่าบุหรี่ทำให้เกิดมะเร็งออกมา อย่างไรก็ตามบริษัทบุหรี่ได้ (พยายาม) มองว่างานวิจัยนั้นเป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิดเท่านั้น นั่นทำให้กว่าคนเราจะเชื่อในความน่ากลัวของบุหรี่จริงๆ มันก็หลังจากนั้นอีกนานเลย (วันงดสูบบุหรี่โลกจัดขึ้นครั้งแรกในปี 1988) สหรัฐฯ เคยวางแผนก่อการร้ายในประเทศตัวเอง นี่เป็นทฤษฎีสมคบคิดที่มีมาตั้งแต่อดีต แต่ก็มักถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้อยู่เสมอ เพราะใครจะไปวางแผนทำร้ายประชาชนของตัวเอง แต่ปัญหาคือมันดันมีจริงๆ มาแล้วนี่สิ เพราะในสมัยก่อนในสหรัฐฯ เคยมีการ “วางแผน” ก่อการร้ายในประเทศตัวเองเพื่อใส่ความคิวบามาแล้วภายใต้ชื่อ Operation Northwoods นับว่าโชคดีมากที่ในสมัยนั้นประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ได้ปฏิเสธแผนการในครั้งนี้ไป แต่จากที่แผนการนี้รั่วออกมาก็ทำให้มีคนจำนวนมากไม่ไว้ใจรัฐบาลสหรัฐฯ อีกต่อไป และมองว่าการก่อการร้ายในประเทศหลายๆ อันหลังจากนั้น (เช่นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001) อาจจะเป็นแผนของรัฐบาลสหรัฐฯ…
-
8 ฆาตกรในอดีตที่มีเหตุจูงใจในการลงมือสุดเพี้ยน เฮี้ยนจนนึกว่าเสียสติไปแล้ว
โดยมากแล้วการที่คนเราจะก่อคดีฆาตกรรมมักจะต้องมีเหตุจูงใจ บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้หลายๆ คนถึงกับเห็นใจฆาตกรขึ้นมา ในขณะที่ฆาตกรอีกหลายคนอาจจะมีเหตุจูงใจที่ง่ายๆ อย่างความโลภและเงิน แต่ในโลกใบนี้เองก็ยังมีฆาตกรอีกประเภทหนึ่งที่มีเหตุจูงใจในการก่อคดีที่ประหลาดสุดๆ และนั่นคือสิ่งที่เราจะไปชมกันในวันนี้ กับ 8 ฆาตกรที่มีเหตุจูงใจสุดเพี้ยนราวกับเสียสติไปแล้วต่อไปนี้ Armin Meiwes เขาคือฆาตกรผู้ที่ใฝ่ฝันในการกินมนุษย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นตอนที่เขาไปเห็นโฆษณาของชายคนหนึ่งที่บอกว่า “ช่วยกินฉันทั้งเป็นที” เขาจึงติดต่อไปหาชายคนนั้น มีเซ็กส์ด้วย ก่อนที่จะสังหารเขาแล้วกินเข้าไปอย่างสมใจอยากนั่นเอง Richard Trenton Chase เขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เชื่อว่าตัวเองถูก “นาซี” วางยาที่จะทำให้เลือดของเขากลายเป็นผง เจ้าตัวก็เลยออกฆ่าคนเพื่อดื่มเลือดและกินเนื้อคน เพื่อเอาชีวิตรอด แถมยังบอกว่าตัวเองมี UFO ของนาซีบินตามด้วย Richard Angelo เขาเป็นบุรุษพยาบาลที่วางยาคนไข้ของตัวเอง ทำให้พวกเขามีอาการโคม่า เพื่อที่จะ “ช่วยชีวิต” คนไข้ที่ตัวเองวางยา จะได้ดูเป็นฮีโร่ที่ที่มีฝีมือในสายตาเพื่อนร่วมงาน ปัญหาคือจากคนไข้อย่างน้อย 35 คนที่โดนเขาวางยา มีคนไข้ราวๆ 10 คนต้องเสียชีวิต เพราะการ “ช่วยเหลือ” ของเขาไม่ประสบความสำเร็จ Robert Lyons เขาเป็นชายอายุ 39 ปี ที่ก่อเหตุฆาตกรรมมารดาของตัวเองในปี 2011…
-
พบฟอสซิล “Ledumahadi mafube” ไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ ที่เคยตัวใหญ่ที่สุดในโลก
ตามปกติการค้นพบฟอสซิลไดโนเสาร์ก็นับว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นการค้นพบฟอสซิลไดโนเสาร์สายพันธ์ุใหม่ที่เคยมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จึงต้องนับว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าปกติเป็นธรรมดา เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีข่าวการค้นพบฟอสซิลไดโนเสาร์อายุราวๆ 200 ล้านปีจากยุคจูราสสิก ที่มีน้ำหนักถึง 12 ตัน และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น ไดโนเสาร์สายพันธุ์ที่ถูกพบนี้ถูกตั้งชื่อว่า “Ledumahadi mafube” ซึ่งมาจากภาษา Sesotho ภาษาท้องถิ่นที่พูดกันบริเวณที่มีการขุดพบฟอสซิลในแอฟริกาใต้ และมีความหมายว่า “ฟ้าผ่าใหญ่ในรุ่งอรุณ” Ledumahadi mafube เชื่อกันว่าเป็นสายพันธุ์ใกล้ชิดกับ Brontosaurus ไดโนเสาร์คอยาวที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปลายยุคจูราสสิค และทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้รับข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการของไดโนเสาร์เลยก็ว่าได้ โดย Ledumahadi mafube นั้นจากโครงสร้างทางกายภาพแล้วน่าจะเป็นบรรพบุรุษของไดโนเสาร์กลุ่ม sauropods ที่เป็นกลุ่มไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามไดโนเสาร์กลุ่ม sauropods มักจะเป็นไดโนเสาร์ที่เดินสี่ขา ผิดกับ Ledumahadi mafube สามารถยืนสองขาได้หากต้องการ และคาดว่าน่าจะวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษที่เดินสองขาอีกที ว่าง่ายๆ ว่าไดโนเสาร์สายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์ที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงจากพันธุกรรม ทำให้มันกลายเป็นสายพันธุ์ที่ทรงคุณค่าในการศึกษาเป็นอย่างมาก นอกจากนี้การที่ Ledumahadi mafube มีความใกล้เคียงทางพันธุกรรมกับไดโนเสาร์อื่นๆ ที่พบในอาร์เจนตินาทำให้มีความเป็นไปได้ว่าในสมัยก่อน ไดโนเสาร์สามารถเดินทางข้ามทวีปได้ นั่นหมายความว่าการมีอยู่ของ Ledumahadi mafube จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือของทฤษฎีที่ว่าในสมัยก่อนทวีปต่างๆ ของโลกเคยอยู่ติดกันนั่นเอง แม้ว่าในด้านขนาดตัว Ledumahadi…
-
เกมเมอร์นัดพบกันครั้งแรกหลังรู้จักมาหลายปี เพื่อให้กำลังใจเพื่อนที่ป่วยระยะสุดท้าย
“มิตรภาพ” ถือว่าเป็นความสัมพันธ์หรือความชอบซึ่งกันและกันระหว่างสิ่งมีชีวิต ซึ่งเราก็จะเห็นได้ทั่วไปไม่ว่าจะจากทั้งเพื่อน ครอบครัวหรือแม้กระทั่งคนแปลกหน้า และเรื่องราวที่เราจะนำมาให้เพื่อนๆในวันนี้ก็เป็นเรื่องราวของมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มเพื่อนเช่นกัน แต่มิตรภาพที่เกิดขึ้นนี้เกิดขึ้นผ่าน “หน้าจอ” คอมพิวเตอร์ เมื่อกลุ่มเพื่อนสนิทที่ร่วมเล่นเกมออนไลน์ด้วยกันตัดสินใจที่จะรวมตัวกันครั้งแรกตั้งแต่ที่รู้จักกันมาหลายปี เพื่อเข้าเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่กำลังเผชิญกับโรคมะเร็งและร่วมให้กำลังให้เขาฝ่าฟันมันไปได้ โดยที่หนุ่มคนที่ป่วยนั้นชื่อว่า Joe หนุ่มอายุ 23 ปี เขาป่วยเป็นโรคมะเร็งกระดูกที่พบเจอได้ยากหรือที่บางคนเรียกว่า Ewing’s Sarcoma และนั่นทำให้เขาเหลือเวลาอยู่อีกไม่มาก เมื่อเหล่าเพื่อนๆ 5 คนที่ร่วมเล่นเกมออนไลน์ด้วยกันมา 5 ปีได้ยินเรื่องอาการป่วยของเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม พวกเขาก็ได้ตัดสินใจรวมตัวกันเข้าเยี่ยมและให้กำลังใจกับ Joe David Miller หนึ่งในกลุ่มได้ให้สัมภาษณ์ว่า “เราเล่นเกมด้วยกันตลอดเวลา ถึงแม้จะไม่ได้เล่นเกมเราก็ยังคุยกันเรื่องต่างๆ เสมอ “เรามีความคิดที่จะนัดเจอกันอยู่ตลอด แต่เราว่างไม่ค่อยตรงกันเลย แต่เมื่อรู้ว่ามีสมาชิกคนหนึ่งเหลือเวลาอีกไม่มาก เรารู้ทันทีว่าเราต้องนัดเจอกันแล้ว” และแม้ว่าจะไม่เคยเจอตัวจริงกันมาก่อนหน้านี้เลยก็ตาม แต่เพื่อนสนิทจากเกมออนไลน์ทั้ง 6 คนกลับพูดคุยกันได้อย่างไม่เขินอายแต่อย่างใด แถมยังมีสมาชิกกลุ่มบางคนดีใจถึงขั้นหลั่งน้ำตา หลังจากวันนั้น David Miller เด็กหนุ่มในกลุ่มก็ได้โพสต์เล่าเรื่องราวของพวกเขาลงในเว็บ Reddit ว่า “สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ผมเจอกับเพื่อน 5 คนที่ผมไม่เคยเจอมาก่อนเลยแม้ว่าจะรู้จักพวกเขามาแล้วมากกว่า…
-
11 โฆษณาชวนเชื่อ ของสหรัฐฯ ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่โน้มน้าวคนได้เป็นอย่างดี
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นสงครามที่ชาวสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีเหตุผลที่จะเข้าร่วมสงครามที่รุนแรงเหมือนกับสงครามโลกครั้งที่สอง ถึงอย่างนั้นก็ยังมีทหารมากมายที่ตัดสินใจเดินทางไปรบที่ยุโรปเป็นจำนวนมาก ว่ากันว่าหนึ่งในเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเกิดจากการที่สหรัฐอเมริกามีการโฆษณาชวนเชื่อที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถโน้มน้าวใจคนจำนวนมากได้นั่นเอง ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชม 11 ภาพโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกัน ไปดูกันว่าโฆษณาที่โน้มน้าวใจคนให้เข้าร่วมสงครามได้นั้น มันเป็นอย่างไรกัน เริ่มกันจากโปสเตอร์ชื่อดังอย่าง “ฉันต้องการคุณ!! สำหรับกองทัพสหรัฐฯ” โดย James Montgomery Flagg “เดินไปสู่ที่ของคุณ” ภาพโฆษณาชวนเชื่อที่ออกมาในปี 1915 “ตื่นเถิดอเมริกา! อารยธรรมเรียกหาทุกคนไม่ว่าจะเป็นชาย หญิง หรือเด็ก” จากปี 1917 โดย James Montgomery Flagg “เกณฑ์ทหาร / คุณอยู่ฝั่งไหนของหน้าต่างกัน?” จากปี 1917 โดย Laura Brey “คุณ!! ไปซื้อพันธบัตรเสรีภาพ ไม่งั้นฉันจะตาย” เมื่อปี 1917 โดย Charles Raymond Macauley “ช่วยกาชาด” โดย Herman Roeg…
-
16 ภาพสุดเสียดแทง ของเด็กๆ ที่ไปอยู่ใน “ด้านที่ไม่ดีเท่าไหร่” ของประวัติศาสตร์
ว่ากันว่าเด็กๆ ก็เหมือนผ้าขาวที่ผู้ใหญ่และสังคมจะแต่งเติมสีสันลงไปจนกลายเป็นตัวต้นของเขาในอนาคต นั่นทำให้เราสามารถเห็นเด็กๆ ถูกพาไปอยู่ได้ในทุกๆ ที่ที่พ่อแม่จะอยากให้ลูกเป็นในอนาคต จริงอยู่ที่ว่าโดยมากแล้วจะเป็นสถานที่ที่ดี แต่ในบางครั้งเด็กๆ ก็ถูกพาไปอยู่ในด้านที่ไม่ดีเท่าไหร่ของประวัติศาสตร์เช่นกัน เหมือนกับภาพเด็กๆ ต่อไปนี้ เด็กน้อยในชุด KKK (กลุ่มองค์กรเหยียดผิวของสหรัฐอเมริกา) ทักทายกับตำรวจที่เป็นคนผิวสี เด็กๆ ที่ถือป้ายประท้วงให้กับโบสถ์ Westboro ที่รังเกียจพวกรักร่วมเพศ เด็กชายผู้ถือป้ายเหยียดชนชาติในการประท้วงของ “กลุ่มน้ำชา” กลุ่มอนุรักษนิยมเชิงเสรีนิยมที่ต่อต้านโอบามา ทหารเด็กของนาซีเยอรมนีหลังจากยอมจำนนมีนาคม 1945 เด็กๆ ในการประท้วงต่อต้านการแต่งงานเพศเดียวกันของฝรั่งเศส เด็กๆ ที่เป็นพวกชุดดำ (Blackshirts) กองกำลังอาสาที่สนับสนุนระบบฟาสซิสต์ในอิตาลี เด็กๆ บนรถของฝ่ายต่อต้านการรวมกลุ่มทางเชื้อชาติ (ว่าง่ายๆ ก็เหยียดชนชาตินั่นล่ะ) เด็กๆ ถือป้ายประท้วงในการรวมตัวของกลุ่มน้ำชา เด็กๆ ที่ค่ายฝึกของ Sons of Confederate Veterans ชูธง KKK ฮิตเลอร์กับ Hitlerjugend กองกำลังเด็กแห่งนาซีเยอรมัน ทหารเด็กของเวียดกง …
-
มีจริงหรือไม่ “Starlite” เทคโนโลยีปริศนาที่อ้างว่าทนความร้อนได้กว่า 10,000 องศาเซลเซียส
ถ้ามีคนมาบอกเรื่องวัสดุประหลาดที่ทนความร้อนได้กว่า 10,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเท่ากับว่าสามารถทนความร้อนของพื้นผิวดวงอาทิตย์ได้เพื่อนๆ จะเชื่อกันไหม เพราะนี่เป็นสรรพคุณของ Starlite พลาสติกพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นโดย Maurice Ward เมื่อปี 1986 นั่นเอง Starlite นั่นนอกจากจะถูกอ้างโดย Maurice Ward ว่าทนความร้อนได้กว่า 10,000 องศาเซลเซียสแล้ว เจ้าตัวยังบอกว่าพลาสติกชนิดนี้ยังสามารถป้องกันนิวเคลียร์ได้อีกด้วย เรื่องแบบนี้แน่นอนว่ายอมเป็นสิ่งที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเป็นธรรมดา และนอกจากสรรพคุณของ Starlite จะดูเกินจริงแบบสุดๆ แล้ว ตัว Maurice Ward เองยังไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์แต่เป็นเพียงช่างตัดผมด้วย ปัญหาคือเมื่อทางรายการ Tomorrow’s World ของ BBC ลองเอา Starlite ไปทดลองจริงๆ เมื่อปี 1990 พวกเขากลับพบว่า Starlite นั้นสามารถป้องกันไข่จากไฟที่มีอุณหภูมิสูงถึง 1,200 องศาเซลเซียสได้จริงๆ และไม่ใช่แค่ว่าที่เปลือกไข่จะไม่มีรอยไหม้เท่านั้น แต่ไข่ข้างในเองก็ยังมีสภาพดิบเหมือนไม่ได้โดนความร้อนเลยด้วย รายการ Tomorrow’s World ที่มีการทดลอง Starlite จากช่อง mauricewardstarlite หลังจากการทดลองที่ BBC จบลงสถาบันอาวุธปรมาณูของอังกฤษหรือ “AWE” ก็เชิญตัว Maurice Ward ไปทำเพื่อจัดแสดงความสามารถของ Starlite…
-
เปิดเรื่องราว “ทิทูบา” จากทาสอินเดียนแดงสู่ “แม่มดร้าย” ผู้ให้ความร่วมมือแห่งซาเลม
“คดีล่าแม่มดแห่งซาเลม” ว่ากันว่าเป็นการล่าแม่มดที่มีชื่อเสียงที่สุดของสหรัฐฯ ในอดีต โดยเป็นการกล่าวหาเด็กๆ ในหมู่บ้านว่าถูกปีศาจสิง และเหล่าผู้หญิงในหมู่บ้านเป็นแม่มด (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เปิด “คดีล่าแม่มดแห่งซาเลม” ตัวอย่างความเลวร้ายจากความเชื่อและการกล่าวหาผู้อื่น) แต่เพื่อนๆ รู้กันหรือไม่ว่าในบรรดาคนในหมู่บ้านที่โดนจับไปขัง ไม่ก็โดนประหารไปนั้น ยังมีทาสคนหนึ่งที่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากการเป็นทาส โดยอาศัยการล่าแม่มดที่ไม่เป็นธรรมครั้งนี้อยู่ด้วย ชื่อของเธอคือ “ทิทูบา” หญิงสาวสายเลือดอินเดียนแดงที่เดินทางมายังบอสตัน ในฐานะทาสของ ซามูเอล ฟาริส นักธุรกิจที่ร่ำรวยและรัฐมนตรีของซาเลม เมื่อปี 1680 ทิทูบา รับหน้าที่ดูแลลูกสาววัยเก้าขวบของซามูเอลที่ชื่อ อลิซาเบธ แพร์ริส หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เบ็ตตี้” หนึ่งในสองเด็กสาวที่เป็นจุดเริ่มต้นของคดีล่าแม่มดแห่งซาเลมนั่นเอง เรื่องราวมันเกิดขึ้นในปี 1692 ในตอนที่เด็กๆ ในหมู่บ้านซึ่งเป็นเพื่อนของเบ็ตตี้ได้กล่าวหาว่าเธอและหญิงสาวอีกสามคนเป็นแม่มด โดยอ้างว่าเธออบ “เค้กแม่มด” ให้เบ็ตตี้ทาน แต่แทนที่จะเอาความเจ็บแค้นไปลงกับเด็กๆ ทิทูบากลับมองเห็นการกล่าวหาในครั้งนี้ว่าเป็นโอกาส ทำให้ในบรรดาผู้หญิงที่โดนสอบสวน มีเพียงทิทูบาเท่านั้นมียอมรับว่าตัวเองเป็นแม่มด “มีปีศาจมาหาฉันและความคุมให้ฉันทำงานให้” หญิงสาวกล่าว ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวที่สมจริงมากจนทุกคนเชื่อจริงๆ ว่าเธอเป็นแม่มด โดยอ้างว่าถ้าเธอไม่ทำตามที่ปีศาจ (ที่เป็นชายผมขาว) สั่งเธอจะต้องตาย หญิงสาวถึงกับอ้างชื่อของผู้ถูกกล่าวหาที่เหลือด้วย โดยบอกว่าเธอนั้นมี “หนังสือ” ที่ระบุชื่อของคนที่ร่วมมือกับปีศาจอยู่ จนชาวบ้านหวาดกลัวเป็นอย่างมากและถามหาแม่มดคนอื่นๆ…
-
20 ภาพเหล่าคนดังในสมัยอดีต หาชมได้ยากยิ่ง จำกันแทบไม่ได้ (หรืออาจเกิดกันไม่ทัน)
เชื่อว่าหลายๆ คนอาจต้องเคยคิดว่า ศิลปิน ดารา คนดังที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน เมื่อก่อนนั้นพวกเขาดูเป็นอย่างไรกันบ้าง? หรือบางทีเราอาจแค่เคยได้ยินแต่ชื่อ เพราะเกิดไม่ทันในยุคของพวกเขาเหล่านั้น บทความนี้จะเป็นตัวช่วยให้เพื่อนๆ ได้ย้อนเวลากลับไปเห็นคนดังเหล่านั้นเมื่อครั้งอดีต ช่วงเวลาที่ #เหมียวตะปู เองก็เกิดไม่ทัน มีทั้งคนดังที่ยังมีชีวิตอยู่และผู้ที่จากโลกนี้ไปแล้ว เราลองไปย้อนอดีตดูพร้อมๆ กันเลย งานแต่งงานของ Britney Spears และ Kevin Federline (2004) Michael Jackson และ Milla Jovovich ถ่ายโฆษณาร่วมกัน (1990) Drew Barrymore ในงานแฟชั่นโชว์แม่-ลูก (1983) . Jim Carrey ในวัย 19 ปี (1981) เจ้าหญิง Diana และเจ้าชาย Harry ณ สวนสนุก (1992) Daniel Radcliffe ในการแสดงมายากลของ…
-
พบภาพวาดยุคโรมันโบราณที่วาดขึ้นแบบ “การ์ตูนคอมมิค” และมี “กรอบคำพูด”
เมื่อพูดถึงการ์ตูนที่เป็นภาพในปัจจุบันเชื่อว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่นึกถึงก็คงไม่พ้น “มังงะ” ที่ใช้เรียกหนังสือการ์ตูนของฝั่งญี่ปุ่น หรือไม่ก็ “คอมมิค” ที่มักใช้สื่อถึงการ์ตูนของฝั่งตะวันตก แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนมาบอกว่าการ์ตูนในรูปแบบนี้มีมานานกว่าที่เราคิด เพราะล่าสุดนี้ได้มีการค้นพบภาพวาดโบราณที่มีลักษณะคล้ายการ์ตูนคอมมิคขึ้นมานั่นเอง นี่เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณ ที่ถูกค้นพบในสุสานจากยุคโรมันโบราณ ที่ประเทศจอร์แดน ซึ่งเป็นภาพของเมือง Capitolias เมื่อราวๆ พันปีก่อน ในภาพดังกล่าวมีชาวเมืองนับร้อยใช้ชีวิตประจำวัน โดยได้รับความช่วยเหลือจากเทพต่างๆ โดยเฉพาะ Dionysus เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และการเก็บเกี่ยว อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ภาพที่พบในครั้งนี้มีความแตกต่างจากภาพที่เคยถูกพบมาก่อนหน้า กลับอยู่ที่รูปแบบของภาพวาดที่ออกมา เพราะนี่เป็นภาพวาดที่มีการเขียนตัวอักษบรรยายการกระทำของคนในภาพด้วยคำพูดของคนในภาพเอง นี่เป็นเทคนิคที่คล้ายกับการใช้ “กรอบคำพูด” ที่พบกันบ่อยๆ ในปัจจุบัน โดยตัวอักษรที่ปรากฏในภาพจะเขียนด้วยตัวอักษรกรีก แต่อ่านด้วยภาษาท้องถิ่นของอราเมอิก “ข้อความที่จารึกไว้มีความคล้ายคลึงกับ กรอบคำพูดในการ์ตูนคอมมิคมาก” Jean-Baptiste Yon นักวิจัยของห้องวิจัยประวัติศาสตร์และโลกโบราณในฝรั่งเศส หรือ “HiSoMA” กล่าว เธอยังอธิบายต่อด้วยว่า พวกเขา (คนโบราณ) บรรยายการกระทำของคนในภาพวาด ด้วยข้อความที่เป็นการพูดของตัวละครเองเช่น “ฉันกำลังตัดหิน” หรือ “อนิจจา!! ฉันตายแน่!!” ซึ่งนับว่าแปลกมากในสมัยนั้น แม้ว่าสุสานโรมันโบราณแห่งนี้จะมีการค้นพบมาตั้งแต่ช่วงปี 2016 แล้วแต่การค้นพบในครั้งนี้ก็อาจจะเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการศิลปะและวรรณกรรมเลยก็เป็นได้ ในเวลานี้ยังไม่มีข้อมูลอย่างระเอียดของการค้นพบทั้งหมดในสุสานโบราณแห่งนี้ อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญได้วางกำหนดการเปิดเผยสิ่งที่พวกเขาพบอย่างเป็นทางการอีกครั้ง…
-
รวม 18 ภาพบนเครื่องบินสมัย ‘1940s – 1970s’ ยุคที่จัดว่าเป็นยุคทองของการบิน!!
เดี๋ยวนี้ ‘เครื่องบิน’ เป็นการเดินทางที่ใครๆ ก็สามารถเลือกใช้ได้ ทว่าก็แน่นอนเพื่อความปลอดภัยจึงทำให้มีระเบียบข้อบังคับต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย แต่ก่อนที่เราจะมาถึงตรงนี้กันได้เคยสงสัยไหมว่าหน้าตาของการบินในสมัยก่อนมันเป็นเช่นไร?? หลายคนอาจสงสัยแต่ยังไม่เคยเห็นภาพจริงๆ ใช่ไหมล่ะว่ามันมีหน้าตายังไงกันนะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้หลายคนจะได้หายสงสัยกันแล้ว เพราะภาพต่อไปนี้คือภาพของการบินในช่วงยุค 1946 – 1970 ที่จัดได้ว่าเป็นยุคทองของการบินเลยก็ว่าได้ และแน่นอนในสมัยนั้นสิ่งต่างๆ ยังเป็นเรื่องปกติอยู่อย่างเช่นการดูดบุหรี่บนเครื่อง หรือแม้กระทั่งการเล่นไพ่ก็ตาม เอาล่ะไม่พูดมากเจ็บคอไปดูกันเลยดีกว่า!! การสูบบุหรี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ (แต่ในภาพชายคนนี้ดูคูลจริงๆ เลย) อ่ะดูเตียงนอนของพวกเขาซะก่อน รับกาแฟหรือชาเพิ่มไหมคะ?? งานเตียงสองชั้นก็มา นึกว่ารถไฟนะเนี่ย พนักงานบริการสามารถเป็นทุกอย่างให้ได้จริงๆ เสริมหมอนเพิ่มเพื่อความสบายที่สุดของผู้โดยสาร สอนวิชาภูมิศาสตร์กันบนเครื่องนี่แหละ มีให้เลือกกันสดๆ อย่างนี้แหละ แถมมีเชฟมาเสิร์ฟด้วยตัวเองด้วยนะ พนักงานต้อนรับมาเสิร์ฟแฮมแก่ผู้โดยสาร (มันเรียลแบบสุดๆ) กินอะไรก็ชี้ๆ เอา ง่ายดี มากกว่าเสิร์ฟก็คือหั่นให้เห็นสดๆ ถึงความฉ่ำของเนื้อ แทบจะยกบาร์มาลอยฟ้าเลยแหละ มีส่วนกลางให้ผู้โดยสารสามารถพูดคุยกันได้ …
-
นักดำน้ำสำรวจซากเรือนักสำรวจอาร์ติกที่เคยสูญหายของ “แฟรงคลิน” พบวัตถุโบราณ 9 ชิ้น
ว่ากันว่าใต้ท้องทะเลบนโลกของเราเต็มไปด้วยซากเรืออับปางจากหลากหลายยุคสมัย และภายในเรือเหล่านั้น ก็มีเรือจำนวนมากเช่นกันที่มีสมบัติ และบันทึกที่มีประวัติศาสตร์สำคัญในอดีตซ่อนเอาไว้เต็มไปหมด HMS Erebus คือหนึ่งในซากเรืออับปางเหล่านั้น โดยนี่เป็นหนึ่งในเรือของคณะนักสำรวจแห่งราชนาวีอังกฤษ ที่เดินทางไปสำรวจทวีปอาร์กติกภายใต้การนำของ John Franklin ก่อนที่ทั้งคณะจะหายไปอย่างลึกลับเมื่อราวๆ 170 ปีก่อน และเรือ HMS Erebus ถูกพบอยู่ที่ก้นสมุทร ตลอดเวลาหลังจากที่เรือลำนี้ถูกพบว่าจมลงไปใต้ทะเลก็ได้มีการพยายามดำน้ำสำรวจเรือลำนี้อยู่หลายครั้ง นำมาซึ่งวัตถุโบราณมากมาย และล่าสุดนี้เองการดำน้ำสำรวจซากเรือ HMS Erebus ก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้นักโบราณคดีก็ได้พบกับวัตถุโบราณเพิ่มเติมอีก 9 ชิ้นซึ่งหนึ่งในนั้นคือเหยือกเซรามิก และ Artificial Horizon หรือ “ขอบฟ้าจำลอง” อุปกรณ์ที่ใช้บอกว่าเรือเอียงหรือโคลงไปเท่าใดนั่นเอง แต่นอกจากวัตถุโบราณที่มีการค้นพบแล้ว นักดำน้ำกลับไม่สามารถเข้าไปในห้องของ John Franklin เนื่องจากสภาพอากาศหนาวจัด ทำให้ไม่สามารถ เก็บกู้เอกสารหรือบันทึกการเดินเรือของ HMS Erebus ออกมาได้ นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะโบราณคดีหลายๆ คนเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าหากมีการพบบันทึกการเดินเรือ พวกเขาอาจจะไขปริศนาการหายตัวไปอย่างลึกลับของคณะสำรวจที่นำโดยนาย John Franklin ในสมัยก่อนก็เป็นได้ ที่มา livescience, brinkwire, theturtleislandnews
-
11 คำพูดทำนายอนาคตในอดีต ที่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว “พังสุดๆ” ผิดไปคนละโลก…
ตลอดช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีความพยายามในการทำนายอนาคตออกมามากมาย บางครั้งคำพูดของพวกเขาก็อาจจะตรงมากอย่างน่ากลัว แต่ในขณะเดียวกันก็มีอีกหลายๆ คนที่ทำนายอนาคตได้ผิด ลองนึกภาพคุณไปบอกเพื่อนๆ ไว้ว่าหน้าอย่างคนนั้นคนนี้คงหาแฟนไม่ได้หรอกแล้ววันต่อมาคนที่ด่าก็ดันหาแฟนได้เสียอย่างนั้นสิ เชื่อว่าความรู้สึกมันก็คงประมาณนั้นล่ะ “การเคลื่อนที่บนราง (รถไฟ) ด้วยความเร็วสูงมันเป็นไปไม่ได้ เพราะผู้โดยสารจะหายใจไม่ออกและตาย” Dr. Dionysy Larder ศาสตราจารย์ปรัชญาธรรมชาติและดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน เคยกล่าวไว้ ในปี 1800 “เจาะหาน้ำมัน? หมายถึงคุณจะเจาะดินหาน้ำมันเหรอ? บ้าไปแล้ว!!” สมาคมปฏิเสธความคิดในการเจาะหาน้ำมันของ Edwin Drake ในปี 1859 “โทรศัพท์มีข้อด้อยมากเกินไปที่จะเรียกว่าสื่อการสื่อสารจริงๆ” บันทึกภายในของสหภาพตะวันตก จากปี 1876 “ทุกๆ คนที่คุ้นเคยกับหัวข้อนี้จะบอกว่ามันจะล้มเหลวแน่นอน” Henry Morton ประธานสถาบันเทคโนโลยี Stevens กล่าวเกี่ยวกับหลอดไฟของ Edison ในปี 1880 “การบินด้วยเครื่องยนต์ที่หนักกว่าอากาศมันใช้งานไม่ได้จริง และไม่มีนัยสําคัญ ไม่งั้นก็เป็นไปไม่ได้ไปเลย” Simon Newcomb นักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์มีชื่อ กล่าวไว้ 18 เดือนก่อนสองพี่น้อง Wright จะบิน…
-
ล้มทฤษฎี!! สโตนเฮนจ์ไม่ได้สร้างขึ้นมาในปี 1954 ภาพที่เห็นเป็นการ “บูรณะ” ต่างหาก
เนื่องจากช่วงนี้มีข่าวลือออกมาในโลกอินเตอร์เน็ตว่า แท้จริงแล้วสโตนเฮนจ์นั้นสร้างขึ้นมาในปี 1954 และมีการให้ภาพหลักฐานเป็นการก่อสร้างด้วยอุปกรณ์ทันสมัย ซึ่งแท้จริงแล้วมาจากการบูรณะสโตนเฮนจ์ในปี 1958 ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้ #เหมียวศรัทธา เลยจะมาพูดถึงการ “บูรณะ” ของสโตนเฮนจ์กันเสียหน่อย หนึ่งในรูปที่มีการถูกแอบอ้าง คาดว่าน่าจะมาจากการบูรณะในปี 1958 สโตนเฮนจ์เป็นอนุสรณ์สถาน ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นจากแท่งหินขนาดยักษ์ และจากการตรวจสอบด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสี ก็พบว่าก้อนหินชิ้นที่เก่าแก่ที่สุดนั้นมีอายุมากถึง 2,400-2,200 ปีก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว อย่าว่าแต่ตัวสโตนเฮนจ์เองเลย เพราะแม้แต่ประวัติการบูรณะของสโตนเฮนจ์ก็มีการพูดถึงกันมาตั้งแต่ในศตวรรษที่ 18 แล้ว เนื่องจากในปี 1797 มีก้อนหินก้อนหนึ่งตกลงมาจากที่ที่ควรจะเป็น ทำให้มีการพูดคุยถึงการบูรณะอนุสรณ์สถานแห่งนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น อย่างไรก็ตามกว่าจะมีการนำหินก้อนดังกล่าวกลับไปวางไว้ทีเดิมมันก็หลังจากนั้นอีกนานเลย ภาพถ่ายของสโตนเฮนจ์ก่อนการบูรณะ จากปี 1877 จะสังเกตเห็นว่าก้อนหินหลายอันตกลงมาจากที่ที่ควร การบูรณะครั้งใหญ่ของสโตนเฮนจ์เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1901 และมีการพยายามบูรณะเพิ่มเติมอีกครั้งในปี 1920 อย่างไรก็ตาม ภาพงานบูรณะที่มีชื่อเสียง (และถูกนำไปแอบอ้าง) มากที่สุดคือภาพการบูรณะในปี 1958 นั่นเอง เพราะในการบูรณะเมื่อปี 1958 มีการนำก้อนหินขนาดใหญ่กลับไปวางในที่ที่มันตกลงมา และเป็นที่มาของรถเครนที่มีการอ้างถึงในภาพบ่อยๆ นั่นเอง ภาพการบูรณะสโตนเฮนจ์ในหนังสือพิมพ์เมื่อปี 1920…
-
“กลุ่มอาการลาซารัส” อาการประหลาดที่ทำให้คนเรา “คืนชีพ” จากความตายได้เอง
เคยได้ยินเรื่องราวของคนที่ตายแล้วจู่ๆ กลับฟื้นขึ้นมาไหม จริงอยู่ว่าเรื่องเหล่านั้นอาจจะมีที่มาที่หลากหลาย แต่หนึ่งในเหตุผลของอาการเหล่านี้คือปรากฏการณ์ที่มีชื่อในทางวิทยาศาสตร์ว่า “กลุ่มอาการลาซารัส” นั่นเอง กลุ่มอาการลาซารัส หรือ Lazarus syndrome เป็นปรากฏการณ์ที่การไหลเวียนโลหิตกลับมาทำงานได้เอง หลังจากที่ความพยายามในการช่วยฟื้นคืนชีพ (ปั๊มหัวใจ) ล้มเหลว ว่าง่ายๆ ว่าผู้ป่วยจะมีภาวะหัวใจหยุดเต้น “เหมือนกับว่าตาย” อยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งต่อให้มีการปั๊มหัวใจก็ไม่พื้น แต่ต่อมากลับ “คืนชีพ” ขึ้นมาได้เอง กลุ่มอาการลาซารัส ได้ชื่อมาจาก “นักบุญลาซารัส” ผู้ที่คืนชีพจากความตายด้วยพรของพระเยซู โดยตั้งแต่ปี 1982 มีการบันทึกปรากฏการณ์เช่นนี้อยู่ที่ราวๆ 25 เหตุการณ์ ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่น้อยมาก นั่นทำให้กลุ่มอาการลาซารัสยังไม่มีการทราบสาเหตุที่แน่ชัด บ้างก็ว่าอาจเกิดจากการที่แรงกดตอนปั๊มหัวใจทำให้มีแรงดันในช่องอกสูง ดังนั้นเมื่อหยุดปั๊มหัวใจเลือดจึงค่อยๆ เข้าไปในช่องอกมากขึ้น ทำให้หัวใจกลับมาเต้น นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีที่ว่ากลุ่มอาการลาซารัสอาจจะเกิดขึ้นได้จากการออกฤทธิ์ที่ล่าช้าของยาที่ใช้ในการกู้ชีพเช่นอะดรีนาลีนก็เป็นได้ นอกจากนี้ก็ยังมีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง หรือการได้รับยาเอพิเนฟรีนในปริมาณมากเป็นต้น คนไข้ที่มีกลุ่มอาการลาซารัสและเป็นที่รู้จักได้แก่ชายวัย 66 ปี ที่หัวใจหยุดเต้นระหว่างผ่าตัดจนทีมแพทย์ลงความเห็นว่าตาย แต่กลับมามีชีวิตใน 10 นาทีหลังจากการลงความเห็น เมื่อปี 2001 และชายวัย…
-
6 กระดูกและฟอสซิลในอดีต ที่จะตายทั้งที ก็ดันมาตายในตอนที่ไม่เท่สุดๆ เสียอย่างนั้น
สิ่งมีชีวิตบนโลกไม่สามารถดูดีได้ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นคนส่วนมากก็มักจะอยากถูกจดจำในด้านดีๆ ของตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปได้สำหรับทุกๆ คน เพราะความตายไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน ดังนั้นในบางครั้งความตายก็จะมาเยือนเราในเวลาที่เราดูแย่ที่สุดก็เป็นได้ เหมือนกับเหล่าโครงกระดูกและฟอสซิลในประวัติศาสตร์เหล่านี้ ฟอสซิลแมงมุมขายาว นี่คือฟอสซิลของแมงมุมขายาวโบราณที่ว่ากันว่าเป็นบรรพบุรุษของแมงโหย่งที่ถูกค้นพบในประเทศพม่า อย่างไรก็ตามฟอสซิลชิ้นนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ติ่งน้อยๆ (ที่มีความยาวครึ่งหนึ่งของขนาดลำตัว) ของเจ้าแมงมุมมากกว่า เพราะไม่ใช่แค่เจ้าแมงมุมตายกลายเป็นฟอสซิลในระหว่างที่กำลังแข็งตัวเท่านั้น แต่เจ้าตัวน้อยของมันยังแข็งตัวอยู่แบบนั้นมานานกว่า 99 ล้านปีเลยทีเดียว การต่อสู้ของไดโนเสาร์ นี่เป็นฟอสซิลที่ถูกพบในปี 1971 โดยเป็นการล่าเหยื่อของ Velociraptor ที่กำลังพยายามจะปลิดชีพ Protoceratops อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ Velociraptor จะใช้เล็บแทงคอ Protoceratops เหยื่อของมันกลับเอาคืนด้วยการหักแขนขวาของ Velociraptor เสียก่อนทำให้ผู้ล่าตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบกว่าที่คิด ปัญหาคือก่อนที่ผลการต่อสู้จะออกมาทั้งคู่ก็ต้องตายไปเสียก่อนจากคลื่นทราย และกลายเป็นฟอสซิลอย่างที่เราเห็นไป ซึ่งไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่ท่าทางของ Velociraptor มันไม่เหลือความน่าเกรงขามเลยสักนิด ฟอสซิลเห็บติดใยแมงมุม คิดว่าวันนี้เป็นวันที่ไม่ดีเท่าไหร่หรือเปล่า มองมาดูเห็บตัวนี้กันดีกว่า เพราะนี่คือเห็บอายุ 99 ล้านปีที่โชคร้ายไปติดอยู่ในใยแมงมุม และในขณะที่มันกำลังพยายามจะออกจากใยอยู่นี่เอง มันก็โดนยางไม้เขาซ้ำจนกลายเป็นอำพันสุดงามอย่างที่เห็น การปะทะกันของกวางมูซ นี่เป็นการต่อสู้คล้ายๆ กรณีของไดโนเสาร์ด้านบน มันเป็นการพุ่งเขาชนกันเพื่อต่อสู้ของกวางมูซหนุ่มสองตัวเพื่อแย่งอาณาเขต (ไม่ก็ตัวเมีย) ปัญหาคือระหว่างที่สู้กันอยู่พวกมันก็โดนภัยธรรมชาติกลืนหายไปเสียก่อน ทิ้งไว้เพียงร่างที่แช่อยู่ในน้ำแข็งเท่านั้น โครงกระดูกแห่งปอมเปอี นี่เป็นโครงกระดูกของชายที่ว่ากันว่าโชคร้ายที่สุดในโลกที่ถูกค้นพบในเมืองปอมเปอี และกลายเป็นมีมบนโลกอินเตอร์เน็ตอยู่ช่วงหนึ่ง เขาถูกทับโดยบล็อกหินขนาดใหญ่ในระหว่างวิ่งหนีจากการปะทุของภูเขาไฟวิสุเวียส และเสียชีวิตลงในสภาพอย่างที่เห็น …
-
The Origin of the World ภาพวาด “ของลับ” สุดอื้อฉาว กับปริศนานางแบบที่เพิ่งถูกไข
ในปี 1866 Gustave Courbet จิตรกรชาวฝรั่งเศสได้ฝากผลงานสุดอื้อฉาวภาพหนึ่งไว้กับโลก และกลายเป็นผลงานที่มีการโต้เถียงกันมาอย่างยาวนานในหมู่นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อของผลงานชิ้นนี้คือ “The Origin of the World” แปลว่า “จุดเริ่มต้นของโลก” โดยเป็นภาพวาด “ของลับ” ของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในสังคมฝรั่งเศสเมื่อศตวรรษที่ 19 อย่างที่เห็นว่าภาพดังกล่าวนี้มีความล่อแหลม จนในปี 2011 ทาง Facebook เคยเซนเซอร์โปรไฟล์ที่ใช้ภาพดังกล่าวจนเกิดเป็นคดีความมาแล้วเลยด้วย ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วที่มีหลายๆ คนสงสัยว่าใครกันแน่ที่เป็นนางแบบของภาพอันอื้อฉาวนี้ โดยในสมัยก่อนคนส่วนมากเชื่อกันว่านางแบบของภาพภาพนี้น่าจะเป็นนางแบบชาวไอริช Joanna Hiffernan ผู้เป็นคนรักของ Courbet ภาพวาดของ Joanna Hiffernan คนรักของ Courbet อย่างไรก็ตาม Hiffernan นั้นมีผมสีแดงทำให้หลายๆ คนสงสัยว่าทำไมหญิงสาวในภาพของ Courbet จึงมีเส้นขนสีดำกันแน่ นั่นทำให้มีแนวคิดที่ว่าผู้หญิงในภาพน่าจะเป็นหญิงสาวคนอื่น และล่าสุดนี้เองจากทฤษฎีของนักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส Claude Schopp เขาคาดว่านางแบบของภาพภาพนี้น่าจะเป็นนักเต้นบัลเล่ต์ที่ชื่อ Constance Queniaux เสียมากกว่า Constance Queniaux หญิงที่อาจเป็นนางแบบของ The Origin of the World นี่เป็นทฤษฎีที่อ้างอิงจากจดหมายของ Alexandre…
-
6+1 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ “เรื่องเพศ” ในอียิปต์โบราณ เอกลักษณ์ที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน
วัฒนธรรมของโลกนั้นเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยสิ่งที่เราเห็นเป็นเรื่องธรรมดาในปัจจุบันอาจจะถูกมองเป็นเรื่องแปลกในอนาคตก็เป็นได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ภาษา ความเป็นอยู่ และแน่นอนว่าเรื่องเพศก็ด้วย ชื่อว่าหลายๆ คนคงพอจะรู้เรื่องความเป็นเอกลักษณ์ของเรื่องเพศในสมัยก่อนอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องเพศของคนอียิปต์โบราณมาก่อนเลยก็ได้ และนั่นคือสิ่งที่เราจะไปชมกันในวันนี้ นี่คือ 6+1 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องเพศในสมัยอียิปต์โบราณที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน การสมสู่กับศพเป็นที่กังวลมากของคนอียิปต์ เราทราบกันดีกว่าคนอียิปต์มีการรักษาศพที่ดีมากๆ แต่คนที่เป็นผู้ทำมัมมี่กลับไม่ใช่ว่าจะเป็นคนดีทุกคน เพราะมีข่าวลือที่ถูกบันทึกไว้อย่างน้อยๆ หนึ่งคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับการที่คนทำมัมมี่สมสู่กับศพของหญิงสาวรูปงาม นั่นทำให้หลังจากนั้นมาคนอียิปต์จะไม่มอบร่างคนสวยให้ช่างทำมัมมี่ในทันที และทางช่างทำมัมมี่เองก็จะช่วยกันดูแลสอดส่องเพื่อนร่วมงานด้วย หากเห็นใครสมสู่กับศพ ชายคนนั้นจะถูกประณาม พวกเขาใช้มูลจระเข้และยางไม้ในการคุมกำเนิด จากที่บันทึกไว้ในปาปิรุส คนอียิปต์จะนำ “กัมอะราบิก” ยางที่ได้จากต้นไม้สกุลอะคาเซียมา “ปกปากมดลูก” ระหว่างร่วมเพศซึ่งได้ผล “ในระดับหนึ่ง” นอกจากนี้ยังมีการนำมูลของจระเข้ไปผสมกับส่วนผสมอื่นๆ ยัดใส่ในของลับผู้หญิงเพื่อคุมกำเนิดด้วย การมีเซ็กส์กับสัตว์เกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คิด เป็นไปได้ว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากการที่คนอียิปต์นับถือในพระเจ้าที่มีหัวเป็นสัตว์ ทำให้มีการกล่าวถึงการสมสู่ระหว่างคนและสัตว์ในผลงานศิลป์ของอียิปต์อยู่บ่อยครั้ง และแม้จะมีข้อห้ามในเรื่องนี้อยู่แต่ก็ยังมีคนที่ฝ่าฝืนทำมันอยู่ดี ไม่มีใครใส่ใจเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ สำหรับชาวโรมันสาวพรหมจรรย์อาจจะถือเป็นอะไรที่มีค่ามากๆ แต่สำหรับชาวอียิปต์แล้ว พรหมจรรย์ไม่ใช่อะไรที่มีค่าขนาดนั้น แถมตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้แต่งงานทั้งคู่การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดเสียด้วย การนอกใจถือเป็นความผิดมหันต์ แม้ว่าการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานจะไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ครองหลังแต่งงานในอียิปต์กลับเป็นอะไรที่มีความผิดรุนแรงมากๆ ถึงขั้นมีว่าการมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาคนอื่นอาจจะนำไปสู่การที่ทั้งคู่โดนเฆี่ยน โดนตัดแขนตัดขา หรือว่ารุนแรงถึงขั้นประหารเลยทีเดียว น่าแปลกที่ในกรณีที่ชายแต่งงานแล้วไปมีชู้กับหญิงสาวซึ่งยังไม่ได้แต่งงาน ชายที่แต่งงานแล้วกลับโดนลงโทษเพียงแค่การประณามจากสังคมเท่านั้น การแต่งงานกันเองในหมู่พี่น้องเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ในหมู่คนชั้นสูง…
-
15 ภาพถ่าย “การเดินแถวมรณะบาตาอาน” การเคลื่อนย้ายเชลยที่ราวกับเดินทางในนรก
การเดินแถวมรณะแห่งบาตาอาน หรือ “Bataan Death March” เป็นการเคลื่อนย้ายเชลยศึกชาวฟิลิปปินส์และอเมริกัน 60,000–80,000 คนจากบาตาอานไปยังค่ายโอดอนเนลในประเทศฟิลิปปินส์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อปี 1943 นี่เป็นการเดินแถวย้ายเชลยศึกที่กินเวลาราวๆ 3 เดือนและมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เกิดเป็นภาพสุดเศร้าของการเดินทางในนรก เหมือนดังเช่นที่เห็นได้ในภาพถ่ายทั้ง 15 ภาพต่อไปนี้ การเดินแถวมรณะแห่งบาตาอาน เกิดจากการที่มีนักโทษสงครามมากกว่าที่ญี่ปุ่นคิด นั่นทำให้ทางญี่ปุ่นต้องบังคับให้นักโทษเดินไปค่ายกักกันเอง ทหารสหรัฐฯ ที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานยอมจำนนแก่ทางญี่ปุ่น ทหารญี่ปุ่นเฝ้าการเดินขบวนอยู่ห่างๆ นักโทษที่โดนผูกมือไว้ที่หลัง นักโทษที่เดินไม่ไหวแล้วจะโดนหิ้วไปใน “หาบทำมือ” นักโทษที่เสียชีวิตระหว่างการเดินถูกนำมาเรียงไว้ข้างทาง การแบกเพื่อนๆ ที่บาดเจ็บและเจ็บป่วยของนักโทษสหรัฐฯ ภาพการหยุดพักข้างทางระหว่างการเดิน นักโทษอเมริกันและฟิลิปปินส์ขณะก้าวไปบนหนทางอันโหดร้าย ทหารญี่ปุ่นที่จำนวนหนึ่งป้องกันนักโทษหนีระหว่างพักจากการเดินที่ยาวนาน การคัดแยกอุปกรณ์ของทหารที่ยึดได้จากทหารสหรัฐฯ ทหารญี่ปุ่นที่ยืนเฝ้าทหารสหรัฐฯ ระหว่างพักจากการเดิน โฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับการเดินเท้าที่บาตาอาน เหล่านักโทษผู้รอดชีวิตจากการเดินจะต้องเข้าไปอยู่ในค่ายกักกันต่อไป และกว่าที่พวกเขาจะได้รับการช่วยเหลือจากค่ายก็ในปี 1945 เลยทีเดียว …
-
5 หลุมศพในอดีตที่แค่ตัวหลุมก็น่ากลัวแล้ว แต่หากได้รู้ความเป็นมาจะยิ่งสยองขนหัวลุก
หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในวัฒนธรรมการฝังศพแน่นอนว่าคงจะไม่พ้นหลุมศพ บางครั้งแม้ว่าเราไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในหลุมศพนั้นเป็นใคร แต่เพียงแค่ตัวหลุมศพเองก็สร้างเรื่องเล่าสยองขวัญออกมาได้มากมาย นั่นเพราะหลุมศพมักจะมีบรรยากาศที่ชวนขนหัวลุกเฉพาะตัวของมันที่จะจุดประกายความกลัวของผู้คน และยิ่งถ้าได้รู้ความเป็นมาของมัน ความน่ากลัวก็จะยิ่งมากขึ้นอย่างเป็นทวีคูณ เหมือนกับหลุมศพทั้ง 5 อันต่อไปนี้ที่แค่ตัวหลุมศพก็น่ากลัวแล้ว แต่หากได้รู้ความเป็นมาของมันคุณจะยิ่งสยองขนหัวลุกสุดๆ อย่างแน่นอน หลุมศพของ Kitty Jay Kitty Jay เป็นหญิงสาวที่แขวนคอตายในช่วงปี 1700 ในโรงนาที่อังกฤษ และสาเหตุการตายของเธอก็หายไปตามกาลเวลา ว่ากันว่าเธออาจจะโดนข่มขืน หรือไม่ก็มีลูกนอกสมรส อย่างไรก็ตามการฆ่าตัวตายในยุคนั้นจัดว่าเป็นบาปมาก ทำให้คนที่ฆ่าตัวตายจะโดนฝังแบบอาชญากรที่ถูกประหาร ซึ่งเป็นการฝังที่สี่แยกเพื่อไม่ให้วิญญาณกลับมาหลอกหลอนคนได้นั่นเอง แต่จุดที่น่าสนใจของหลุมศพอันนี้อยู่ที่มีใครบางคนเอาดอกไม้มาวางที่หลุมศพนี้เสมอๆ แถมยังมีคนเห็นเงาดำอยู่ที่หลุมที่ว่า และบางครั้งก็เห็นหญิงสาวปริศนาในกระจกหลังเวลาขับรถผ่านอีกด้วย หลุมศพของ Inez Clark นี่เป็นหลุมศพที่มีรูปปั้นเด็กหญิงอยู่ในตู้กระจก เชื่อกันว่าเธอมีชื่อว่า Inez Clark อย่างไรก็ตามจากบันทึกของสุสานกลับไม่มีเด็กหรือคนชื่อนี้อยู่ในสุสานเลย มีข่าวลือที่ว่าเธอถูกทิ้งโดยแม่ และถูกรับเลี้ยงโดยปู่ย่าตายายก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อไป ชื่อศพกับบนสุสานเลยไม่ตรงกัน ตำนานเกี่ยวกับหลุมศพนี้มีอยู่ว่า Inez ตายในพายุฝนฟ้าคะนองจากการถูกขังไม่ให้เข้าบ้าน ดังนั้นเวลามีพายุ รูปปั้นเด็กหญิงจะหายไปอย่างลึกลับสร้างความหวาดกลัวแก่คนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี Lilly E. Gray หลุมศพนี้มีชื่อเสียงเรื่องคำจารึก ที่เขียนว่าเธอเป็น “เหยื่อของสัตว์ร้าย 666” นำมาซึ่งข่าวลือน่ากลัวมากมายของปีศาจและซาตาน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเรื่องราวจริงๆ จะไม่ใช่อย่างนั้น ความเป็นจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นคือ…
-
เปิดตำนาน “Gloomy Sunday” บทเพลงจากฮังการี ที่ว่ากันว่าทำให้คนฟัง “ฆ่าตัวตาย”
ตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว บทเพลงเป็นหนึ่งในสื่อที่เข้าถึงจิตใจของผู้คนได้ดีที่สุด บางบทเพลงทำให้ผู้ฟังรู้สึกฮึกเหิม บางบทเพลงทำให้ผู้ฟังรู้สึกสนุก และบางบทเพลงทำให้ผู้ฟังรู้สึกมีความสุข แต่ในบรรดาเพลงเหล่านั้นเองก็ยังมีบทเพลงที่สื่อถึงความรู้สึกด้านลบอยู่เช่นกัน แม้โดยมากแล้วจะเป็นความรู้สึก เหงา เศร้า หรืออกหัก แต่บางครั้งความรู้สึกด้านลบพวกนั้นก็เป็นอะไรที่รุนแรงมากๆ อย่าง “ความอยากตาย” และเพลงที่ว่ากันว่าสื่อถึง “ความอยากตาย” ที่โด่งดังที่สุดก็คงไม่พ้น “Gloomy Sunday” นั่นเอง คำเตือน : นี่คือบทเพลง Gloomy Sunday ของแท้จากปี 1932 โดยช่อง Historic Mysteries Gloomy Sunday หรือ “วันอาทิตย์มืดมน” เป็นบทเพลงของ Rezső Seress นักเปียโนและนักแต่งเพลงชาวฮังการี ที่แต่งขึ้นเมื่อปี 1932 เพลงนี้ถูกเรียกด้วยชื่อเล่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “บทเพลงแห่งความตาย” “บทเพลงสังหาร” หรือ “บทเพลงฆ่าตัวตายแห่งฮังการี” จากข่าวลือที่ว่าใครก็ตามที่ฟังเพลงนี้จะต้องฆ่าตัวตาย Rezső Seress เจ้าของเพลง Gloomy Sunday เนื้อร้องของ Gloomy Sunday แท้จริงแล้วมาจากบทกลอนของ László Jávor โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายที่ขอให้คนรักที่ตายไปมาร่วมงานศพของตน…
-
นักวิทย์กล่าว รอยสักมัมมี่โบราณ 5,300 ปี แท้จริงแล้วอาจเป็นการ “ฝังเข็ม” เพื่อรักษา
เดิมทีแล้วเมื่อพูดถึงเหตุผลในการสักของคนสมัยโบราณ หลายๆ คนก็คงจะบอกว่าเป็นการกระทำเพื่อพิธีกรรมอะไรบางอย่าง คล้ายกับการที่คนไทยในอดีตสักยันต์ด้วยความเชื่อที่ว่าจะทำให้มีพลังอำนาจอาคมต่างๆ แต่แล้วความคิดที่ว่าการสักนั้นเกิดขึ้นเพราะความเชื่อและพิธีกรรมเท่านั้นอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไปก็ได้ เพราะล่าสุดนี้เองนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาบอกว่า รอยสักในอดีตนั้นอาจจะเป็นผลมาจากการรักษาก็เป็นได้ นี่เป็นผลมาจากการศึกษาร่างของ Ötzi มัมมี่เก่าแก่จากเมื่อ 5,300 ปีก่อน ที่มีการค้นพบเมื่อปี 1991 ในอิตาลี โดยบนร่างของมัมมี่เก่าแก่นี้มีรอยสักอยู่ 61 แห่ง แต่ละแห่งล้วนเป็นรูปร่างง่ายๆ อย่างเส้นตรงหลายๆ ขีดหรือรูปเครื่องหมายบวกในบางจุด อย่างไรก็ตามรอยสักเหล่านี้กลับมีที่ไปที่มากว่าที่คิด จากการตรวจสอบร่างของ Ötzi นักวิทยาศาสตร์พบว่าเขาเป็นโรคร้ายหลายชนิด และเคยได้รับการรักษาด้วยสมุนไพรกับวิธีการบางอย่างที่คล้ายคลึงกับการ “ฝังเข็ม” ในปัจจุบัน พวกเขาเชื่อว่าการฝังเข็มเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดลวดลายบนร่างกายของ Ötzi เนื่องจากรอยสักที่พบนั้นนอกจากจะมีรูปร่างที่ค่อนข้าง “ธรรมดา” แล้ว ลวดลายส่วนมากยังอยู่ในจุดที่ใกล้เคียงกับจุดฝังเข็มในปัจจุบันอีกด้วย Albert Zink หัวหน้าสถาบันวิจัยเพื่อการศึกษามัมมี่ในโบลซาโน ประเทศอิตาลีกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ว่ารอยสักที่อกจะมาจากการรักษาอาการปวดท้อง ซึ่งแม้ว่าเราจะเคยเชื่อว่าการฝังเข็มเกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศจีนเมื่อ 2,200 ปีก่อน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้ที่ว่าการฝังเข็มจะมีมาก่อนหน้านั้น นอกจากนี้ในตอนที่เสียชีวิตในกระเพาะของ Ötzi ยังมีเห็ดสายพันธุ์ Birch Polypore อยู่ด้วย ซึ่งเห็นสายพันธุ์นี้มีชื่อเสียงเรื่องการลดไข้ และลดอาการผื่นคัน นั่นทำให้แนวคิดที่ว่ามัมมี่ร่างนี้เป็นของชายที่ได้รับการรักษาหลากหลายรูปแบบมีน้ำหนักมากพอสมควร…
-
เทโอทิวาคาน “เมืองแห่งพีระมิด” ที่มีผู้สร้างสุดลึกลับ จนเชื่อกันว่าสร้างโดยมนุษย์ต่างดาว
เทโอทิวาคาน (Teotihuacan) เป็นเมืองโบราณที่มีชื่อเล่นว่า “เมืองแห่งพีระมิด” ตั้งอยู่ห่างจากเม็กซิโกซิตี้ ประเทศเม็กซิโกไปทางเหนือราวๆ 50 กิโลเมตร เมืองแห่งนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อราวๆ 2,100 ปีก่อน ในช่วงเวลาประมาณ 150 ปีก่อนคริสตกาล อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังมีการถกเถียงกันอยู่ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้สร้างเมืองแห่งนี้ ดูเหมือนว่าผู้ที่สร้างเมืองแห่งนี้ขึ้นจะทิ้งเมืองไปอย่างมีปริศนา ก่อนที่ตัวเมืองจะถูกใช้โดยชาวแอซเท็ก และถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี 1987 ชื่อของเมืองเทโอทิวาคาน (และสิ่งก่อสร้างหลายๆ อย่างในเมือง) ถูกตั้งขึ้นโดยชาวแอซเท็กที่เข้ามาอยู่ที่นี่ในภายหลังแปลว่า “เมืองที่พระเจ้าเป็นผู้สร้าง” ว่ากันว่าเทโอทิวาคานเคยมีคนอาศัยอยู่กว่า 100,000 คนซึ่งถือว่าเยอะมากในสมัยนั้น มีพีระมิดที่มีชื่อเสียงอยู่สองแห่งคือ “พีระมิดแห่งพระอาทิตย์ “และ “พีระมิดแห่งพระจันทร์” และถนนขนาดใหญ่ที่เรียกกันว่าถนนแห่งความตาย (Avenue of the Dead) นอกจากนี้เทโอทิวาคานยังมีโครงสร้างเมืองที่มีแบบแผน โดยคนมีฐานะจะอยู่สูงกว่าคนทั่วๆ ไปทำให้เชื่อกันว่าอดีตผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองแห่งนี้ น่าจะมีระบบชนชั้นที่ค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว ในเมืองมีร่องรอยของการทำพิธีบูชายัญทั้งคนและสัตว์ มีรูปปั้นของเทพงูมีปีกอย่าง “เควท์ซาลโคท์ล” (Quetzalcoatl) เทพที่เป็นที่นับถือของชาวแอซเท็ก และมีระบบการเขียนที่ซับซ้อนบันทึกเอาไว้ เรื่องเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์และลึกลับผิดกับยุคสมัยของเมืองแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี (แม้ว่าพิธีบูชายัญอาจจะมาจากชาวแอซเท็กในภายหลังก็ตาม) นั่นทำให้เทโอทิวาคานมักถูกมองว่าสร้างขึ้นโดยมนุษย์ต่างดาว หรือไม่ก็คนโบราณที่ได้รับความรู้มาจาก…
-
พบแขนเทียมโบราณจากยุคสำริด อายุราว 3,500 ปี เชื่ออาจเคยถูกใช้ในพิธีกรรม
อวัยวะเทียมเป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คนพิการสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น แถมยังพัฒนาขึ้นตามเทคโนโลยีจนมีความทันสมัยขึ้นทุกวัน จนในปัจจุบันแทบจะแยกระหว่างอวัยวะเทียมกับของจริงไม่ออกแล้วด้วยซ้ำ ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าอวัยวะเทียมมันมีความเก่าแก่กว่าที่เราคิดเยอะ นี่คือมือเทียมโบราณอายุกว่า 3,500 ปีจากยุคสำริด ที่ถูกค้นพบโดยนักล่าสมบัติในสวิตเซอร์แลนด์ และเปิดเผยออกมาโดยทางนักโบราณคดีเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายน 2018 ที่ผ่านมา จากข้อมูลของทางนักโบราณคดี มือเทียมพบที่มีขนาดเล็กกว่ามือคนจริงๆ เล็กน้อย ทำจากทองแดงกับดีบุก ประดับประดาด้วยทองคำ และเชื่อกันว่าเป็นอวัยวะเทียมที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการค้นพบในยุโรป เป็นไปได้ว่าช่างฝีมือสมัยก่อนจะติดมือเทียมนี้เข้ากับส่วนปลายของแขน โดยจากรูปร่างที่เหมือนกับว่าเคยมีอะไรวางอยู่บนนั้นมาก่อน โดยสิ่งที่ว่าอาจจะเป็นรูปปั้นหรือคทา นั่นทำให้เชื่อกันว่ามือที่พบอาจจะมีการใช้งานในฐานะมือเทียมสำหรับคนพิการจริงๆ หรืออาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพิธีกรรมในสมัยนั้นก็เป็นได้ นอกจากนี้ในบริเวณที่มีการค้นพบมือเทียมในครั้งนี้ยังมีการค้นพบมีดสั้นสำริด หมุดสำริด เศษทองสองชิ้นที่เชื่อว่าหลุดออกมาจากมือเทียม และเครื่องประดับผมอีกด้วย ดูเหมือนว่าการค้นพบในครั้งนี้จะเกิดขึ้นจากการที่นักล่าสมบัตินำเครื่องตรวจจับโลหะไปค้นหาที่ใกล้ๆ ทะเลสาบ Biel ในกรุงเบิร์น สวิตเซอร์แลนด์ และนำไปสู่การค้นพบหลุมฝังศพโบราณในเวลาต่อมา “เขา (เจ้าของมือเทียม) จะต้องเป็นคนระดับสูงอย่างแน่นอน เพราะการที่มือประดับด้วยทองคือสัญลักษณ์ของพลัง เป็นเครื่องหมายพิเศษของชนชั้นสูง หรือแม้กระทั่งเทพ” นักโบราณคดีกล่าว หลุมฝังศพโบราณที่ถูกพบใกล้ๆ สถานที่ค้นพบมือเทียม ในขณะนี้ทางนักวิทยาศาสตร์ได้วางแผนที่จะตรวจสอบทางเคมีกับมือที่พบเพื่อตรวจสอบว่ามือที่พบนั้นทำขึ้นในพื้นที่หรือนำเข้ามาจากสถานที่อันห่างไกลกันแน่ เนื่องจากมือเทียมที่เก่าแก่ขนาดนี้ ไม่เคยมีการพบมาก่อนในยุโรปนั่นเอง ในขณะนี้มือเทียมที่ถูกค้นพบได้มีการนำไปจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ New Biel เป็นการชั่วคราว อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของมือที่พบก็ยังคงเป็นปริศนาในปัจจุบัน ที่มา livescience, express, foxnews
-
23 ภาพเหล่าสัตว์ที่ใช้ในสงคราม อีกหนึ่งพลังที่นำชัยชนะแห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
มนุษย์เราใช้สัตว์ในการทำสงครามมาตั้งแต่สมัยก่อน โชคดีที่ในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีมากมายเข้ามาทดแทนสัตว์เหล่านั้น แต่บางครั้งเราก็ยังได้เห็นสัตว์บางอย่างในสงครามอยู่เป็นบางครั้งบางคราวอยู่ดี ว่ากันว่าจุดเปลี่ยนของการใช้สัตว์ในสงครามอยู่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เพราะนั่นเป็นสงครามใหญ่โตครั้งสุดท้ายที่เรายังพอเห็นการใช้สรรพสัตว์จำนวนมากในสงคราม ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรนานาชนิด ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 23 ภาพเหล่าสรรพสัตว์แห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกัน ไปชมกันดีกว่าว่าในสงครามครั้งนี้มีสัตว์ประเภทไหนบ้างที่มีบทบาทในการนำมาซึ่งชัยชนะของเหล่าทหาร นี่คือภาพของทหารเยอรมัน ที่ปล่อยสุนัขส่งข้อความ หลังจากมีการโจมตีด้วยแก๊สในปี 1918 ม้าศึกของเยอรมันที่แบกปืนกล Maxim M1910 ที่ยึดมาจากทางโซเวียตเอาไว้ สุนัขพยาบาลของอังกฤษนำผ้าพันแผลมาส่งให้ทหารในช่วงปี 1915 นกพิราบที่มีกล้องขนาดเล็กติดตั้งไว้ของเยอรมัน การขนย้ายล่อลงจากเรือในเมืองอเล็กซานเดรียประเทศอียิปต์เมื่อปี 1915 สิบเอก Stubby สุนัขที่มีการติดยศมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สมาชิกหน่วยทหารม้าของอังกฤษ กับการปล่อยม้าพักผ่อนในฝรั่งเศส หน่วยพยาบาลเยอรมันหลังถูกถล่มด้วยปืนใหญ่ในเดือน พฤษภาคม 1918 หน่วยพยาบาลเสี้ยววงเดือนแดง (คล้ายๆ หน่วยพยาบาลกาชาด) กับพาหนะคู่กาย 1916 ทหารประจำโรงพยาบาลกับหมีโคอาล่าใน ไคโร 1915 …
-
Wojtek จากหมีที่ถูกรับเลี้ยงโดยทหาร สู่ฮีโร่ “หมีแบกกระสุน” แห่งสงครามโลกครั้งที่สอง
เมื่อพูดถึงสัตว์ที่ถูกใช้ไปในสงคราม หลายๆ คนอาจจะคิดถึงสุนัขหรือม้าขึ้นมาเป็นอย่างแรก อย่างไรก็ตามด้วยอิทธิพลของเกมๆ หนึ่ง เชื่อว่าคงมีหลายคนเหมือนกันที่นึกถึงสัตว์ตัวใหญ่อย่าง “หมี” ว่าแต่รู้กันหรือไม่ว่าในระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ยังมีหมีที่เป็นฮีโร่ของสงครามอยู่จริงๆ ด้วย!! ชื่อของมันคือ Wojtek หมีสีน้ำตาลน้ำหนักราวๆ 250 กิโลกรัม ที่ถูกรับเลี้ยงตั้งแต่ยังเด็กโดยหน่วยปืนใหญ่ของโปแลนด์ในเดือนเมษายน 1942 มันถูกเลี้ยงมาด้วยนมในขวดวอดก้า และเติบโตขึ้นท่ามกลางผู้คนและทหารกล้า ว่ากันว่าเจ้าหมีตัวนี้กินเบียร์ และสูบบุหรี่ด้วย แถมยังถูกฝึกโดยคนในหน่วยให้จับขาทหารใหม่ห้อยหัวเพื่อข่มขวัญเด็กใหม่ และสร้างเสียงหัวเราะในเหล่าทหาร แถมยังเข้าไปอาบน้ำได้เองอีกด้วย เจ้า Wojtek กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำหน่วยไปตั้งแต่ในตอนนั้น มันวิ่งตามผลส้มที่ทหารใช้ในการฝึกขว้างระเบิด ช่วยเหลือในการขนส่งกระสุนปืน แถมยังมีทหารหลายคนที่เชื่อว่าเจ้าหมีสามารถช่วยใส่กระสุนปืนใหญ่ได้ (ในความเป็นจริงมันแค่ถือกระสุนเปล่าเล่นเท่านั้น) เรียกขวัญกำลังใจให้กับทหารได้เป็นอย่างดี จริงอยู่ว่าเจ้าหมีจะไม่ได้ทำอะไรมากมายเหมือนกับที่เป็นฮีโร่สัตว์ตัวอื่นๆ แต่ชื่อเสียงของมันก็โด่งดังมากพอที่จะทำให้หน่วยทหารของมันมีตราประจำหน่วยเป็นรูปหมีถือกระสุนปืนเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นฮีโร่ในด้านความเชื่อเลยก็ไม่ผิด อย่างไรก็ตามในตอนที่สงครามจบลง ทหารที่รับเลี้ยงเจ้าหมีกลับไม่อยากพามันกลับโปแลนด์เท่าไหร่นัก เพราะกังวลว่าหมีแบบ Wojtek อาจถูกทางรัฐบาลที่ถูกควบคุมโดยโซเวียตนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์ของคอมมิวนิสต์ก็เป็นได้ ท้ายที่สุด Wojtek ก็ถูกรับไปเลี้ยงไว้ที่ฟาร์มในสกอตแลนด์กับอดีตทหารชาวโปแลนด์อีกคนหนึ่ง และถึงแม้จะมีการย้ายที่อยู่ไปมาบ้างหลังจากนั้น แต่ Wojtek ก็มีชีวิตอย่างสงบสุขตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา …
-
ชาวเน็ตโหวต 10 อันดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 20
ในช่วงศตวรรษที่ 20 มีเหตุการณ์มากมายที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลกหรือการพัฒนาของเทคโนโลยี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ศตวรรษนี้จะเป็นช่วงที่มนุษย์พัฒนาไปมากที่สุด และในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่มีคนสนใจมากที่สุดเช่นกัน นั่นทำให้เกิดคำถามที่ว่าในศตวรรษที่น่าสนใจนี้ เหตุการณ์ใดกันที่ผู้คนคิดว่าสำคัญที่สุด นำไปสู่การลงคะแนนเสียงของชาวอินเตอร์เน็ตในเว็บไซต์ Ranker และมีการเข้าไปโหวตแล้วมากกว่าหนึ่งแสนครั้ง และในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ก็จะพาเพื่อนๆ ไปชม 10 อันดับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่มีคนโหวตให้มีความสำคัญมากที่สุดกัน อันดับที่ 10 : การทำลายกำแพงเบอร์ลิน เกิดขึ้นเมื่อปี 1990 โดยเป็นการทำลายกำแพงที่สร้างขึ้นช่วงสงครามเย็นเพื่อปิดกั้นพรมแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันตกของเยอรมนีตะวันตก (สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี) ออกจากเยอรมนีตะวันออก (สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี รัฐบริวารของสหภาพโซเวียต) ที่โอบอยู่โดยรอบ อันดับที่ 9 : ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ มีอีกชื่อว่า Great Depression เป็นเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่เกิดในทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรปในปี 1929 ก่อนจะขยายตัวไปทั่วโลก โดยมีหนึ่งในเหตุผลมาจากการเก็งกำไรในตลาดหุ้นนิวยอร์ค อันดับที่ 8 : การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ภาษาอังกฤษเขียนว่า Holocaust นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในยุโรปที่โหดร้ายและยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาโดยฝีมือของนาซีเยอรมันนั่นเอง อันดับที่ 7 : สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นี่เป็นสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเรียกตั้งแต่ “มหาสงคราม” เรื่อยไปจนถึง “สงครามที่จะหยุดสงครามทั้งหมด” กินเวลาในช่วงปี 1914-1918…
-
5+1 ภาพยนตร์ในอดีต ที่เกิดอุบัติเหตุจนนักแสดงนำเสียชีวิต แต่สุดท้ายก็ยังได้ออกฉาย
ในการถ่ายทำภาพยนตร์อาจมีอยู่หลายครั้งที่นักแสดงได้รับบาดเจ็บ แต่ถึงอย่างการที่จะเห็นนักแสดงบาดเจ็บจนเสียชีวิต ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะได้เห็นกันบ่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลยเช่นกัน ว่าแต่ในอดีตเคยมีภาพยนตร์เรื่องไหนบางที่มีนักแสดงเสียชีวิต? ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 5 ตัวอย่างภาพยนตร์ในอดีตที่เกิดอุบัติเหตุจนนักแสดงตาย แต่สุดท้ายก็ยังได้ออกฉาย The Crow นี่เป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 1994 โดยมีต้นฉบับมาจากการ์ตูนชื่อเดียวกันที่เขียนโดย James O’Barr นี่เป็นหนังที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำให้ Brandon Lee ลูกชายของ Bruce Lee โด่งดัง อย่างไรก็ตามระหว่างการถ่ายทำกลับเกิดความผิดพลาดกับกระสุนของปืนที่ใช้ในฉาก ทำให้ Brandon ถูกยิง จนเสียชีวิตในระหว่างการถ่ายทำนั่นเอง Twilight Zone: The Movie นี่เป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 1983 และมีหนึ่งในนักแสดงหลักคือ Vic Morrow อย่างไรก็ตามในฉากหนึ่งของเรื่องซึ่งตัวละครของ Vic ถูกโจมตีโดยทหารทหารอเมริกันในเวียดนาม กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้เฮลิคอปเตอร์ในฉากตก จนทำให้ไปพัดตัดร่างของ Vic พร้อมกับเด็กๆ ที่เข้าฉากอีกสองคนจนถึงแก่ความตาย Top Gun Top Gun เป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 1986 เกี่ยวกับนักบินในกองทัพเรือ…
-
Ruth Snyder กับภาพความตายบนเก้าอี้ไฟฟ้า ที่เปลี่ยนคดีธรรมดาๆ ให้กลายเป็นไม่ธรรมดา
Ruth Snyder เป็นนักโทษประหารชีวิตหญิงที่แม้ว่าจะก่อคดีที่แปลก แต่เดิมทีแล้วคดีของเธอก็ไม่ใช่คดีที่คนในสหรัฐฯ สนใจกันมากนัก แต่แล้วเรื่องราวก็เปลี่ยนไป เมื่อภาพความตายบนเก้าอี้ไฟฟ้าของเธอหลุดออกสู่สายตาประชาชนและเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไป ในวันที่ 20 มีนาคม 1927 Ruth ได้อ้างกับทางตำรวจว่ามีชาวอิตาเลียนตัวใหญ่สองคนบุกเข้ามาในบ้านและทุบเธอจนหมดสติ ก่อนที่จะสังหารสามีของเธอและหนีไปพร้อมกับเพชรพลอยในบ้าน มันเป็นคดีที่จัดฉากได้แย่สุดๆ เพราะนอกจากตัวเธอจะดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งถูกทุบหมดสติแล้ว ตำรวจยังพบเพชรพลอยที่ Ruth บอกว่าถูก “ขโมย” อยู่ใต้ฟูกของเตียงของเธอเองด้วย ภาพของ Ruth Snyder ในสมัยที่ยังมีชีวิต นั่นทำให้สุดท้าย Ruth ก็จนมุมจนต้องสารภาพความจริงว่าแท้จริงแล้วเธอร่วมมือกับ Henry Judd Gray ชู้รักของเธอในการฆ่าสามีเพื่อเอาเงินประกัน แถมยังมีการปลอมแปลงเอกสารประกันไว้ด้วย Henry Judd Gray พนักงานขายชุดคอร์เซตชู้รักของ Ruth นี่เป็นคดีที่ดูงี่เง่ามากๆ สำหรับคนที่รู้เรื่องถึงขนาดว่านักข่าวพาดหัวว่า “Dumbbell Murder” เพื่อล้อเลียนความงี่เง่าของแผนฆาตกรรมในครั้งนี้เลย (Dumbbell ล้อมาจากคำว่า Dumb ที่แปลว่าโง่) อย่างไรก็ตามด้วยวิธีการฆ่าที่ค่อนข้างโหดร้ายบวกกับโทษอื่นๆ ทำให้สุดท้าย Ruth กับ Henry ถูกสั่งประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าในเดือน มกราคม…
-
น่าทึ่ง!! หนุ่มอินโดพร้อมกับแพถูกพายุพัดออกไปอยู่กลางทะเล ลอยคออยู่ 49 วันยังรอด
สภาพอากาศถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่นักเดินเรือหรือชาวประมงต้องทำการศึกษาและเรียนรู้อยู่เสมอ เพราะหากคุณออกไปหาปลาขณะที่เกิดพายุอยู่อาจจะทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ขนาดไม่ได้ออกไปหาปลาถึงกลางทะเลก็ยังอาจจะเจอเหตุร้ายจากพายุได้ เหมือนอย่างหนุ่มคนที่เราจะนำมาพูดถึงวันนี้ เขากำลังใช้แสงไฟเพื่อล่อปลาอยู่บนแพกระท่อมที่เรียกว่า “Rompong” ขณะที่เกิดพายุขึ้นและพายุก็ได้พัดเอาแพของเขาลอยไปไกลเกือบ 2,000 กิโลเมตรและใช้เวลาถึง 49 วันกว่าจะมีคนพบตัว คนคนนั้นคือ Aldi Novel Adilang หนุ่มวัย 19 ปีจากเกาะ Sulawesi ของประเทศอินโดนีเซีย ในขณะที่แพกระท่อมของเขาถูกพายุพัดพาออกจากถิ่นไปไกลประมาณ 1,900 กิโลเมตร แพของเขานั้นมีอาหารติดอยู่เพียงพอสำหรับวันสองวันเท่านั้น แถมยังไม่มีไม้พายหรือเครื่องยนต์ที่จะทำให้เขาสามารถนำมันกลับเข้าฝั่งได้ด้วย ตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมานี้ Aldi ได้ต้องเอาตัวรอดโดยการพยายามจับปลาและเผาเศษไม้บนแพเพื่อทำให้มันสุก ส่วนเรื่องของน้ำดื่มเขาก็อาศัยดื่มน้ำทะเลที่กรองเอาเกลือออกผ่านเสื้อของเขา วันแล้ววันเล่าที่เจ้าหนุ่มต้องลอยคออยู่กลางทะเลที่ไม่รู้อยู่จัดไหนของโลก เขาได้บอกว่าเขาเจอเรือเป็นสิบๆ ลำและมีความหวังเสมอเมื่อเห็นเรือลำใหญ่ๆ เข้ามา แต่เรือเหล่านั้นกลับมองไม่เห็นเขาและแล่นผ่านเขาไปโดยไม่สนใจเลยสักนิด จนผ่านมา 49 วัน ในวันที่ 31 สิงหาคม ในที่สุดลูกเรือของเรือของชาวปานามาก็ได้สังเกตเห็นเขาและช่วยเขา จากนั้นเขาจึงรู้ว่าตัวเองในบนน่านน้ำของเกาะกวม ซึ่งห่างจากประเทศอินโดนีเซียถึง 1,900 กิโลเมตร!! พวกลูกเรือชาวปานามาได้พาเขาส่งไปที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ซึ่งเขาได้รับการดูแลอย่างดีจาก Mirza ตัวแทนกงสุลอินโดนีเซียในประเทศญี่ปุ่น พวกเขาพา Aldi ไปตรวจสุขภาพและพบว่าสุขภาพของเขาดีมากๆ…
-
ผู้เชี่ยวชาญถอดรหัสปาปิรุสโบราณอายุ 1,300 ปี เชื่อมาจากคาถา “เวทมนตร์ แห่งความรัก”
เมื่อความรู้และเทคโนโลยีในการถอดรหัสของมนุษย์พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จึงมีความพยายามในการถอดรหัสข้อความบนกระดาษปาปิรุสจากยุคโบราณ และทุกๆ ครั้งที่มีการถอดรหัส ก็จะทำให้เราได้ทราบเรื่องราวใหม่ๆ เกี่ยวกับอียิปต์โบราณ และในครั้งนี้เองก็ถึงคราวของกระดาษปาปิรุสโบราณอายุกว่า 1,300 ปีที่จะถูกนำมาถอดรหัสบ้างแล้ว นี่เป็นกระดาษปาปิรุสที่มีภาพของสัตว์ที่รูปร่างคล้ายนกสองตัวที่มีส่วนลำตัวช่วงล่าง “เชื่อมกัน” ด้วยสิ่งที่อาจเป็น “อวัยวะเพศ” เบื้องต้นเชื่อกันว่านกด้านซ้ายเป็นตัวผู้และนกด้านขวาเป็นตัวเมีย โดยนี่เป็นอาจการพยายามที่จะแสดงความแตกต่างทางเพศอยู่ก็ได้ นอกจากนี้ในกระดาษยังมีข้อความที่เขียนไว้ด้วยอักษรคอปติก รูปแบบหนึ่งของอักษรกรีกที่มีการใช้กันในภาษาอียิปต์ โดยข้อความที่ยังพอหลงเหลืออยู่ของส่วน “คาถา” สามารถแปลได้ว่า “ข้าพเจ้าขออัญเชิญ… ผู้ซึ่งเป็นพระคริสต์ เทพแห่งอิสราเอล” นอกจากนี้ก็มีประโยคสั้นๆ ที่ว่า “ท่านจะสูญสลาย” และมีการพูดถึง “บุตรของอาดัมทุกคน” ดูเหมือนว่านี่จะเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มใหญ่กว่านี้ และถูกใช้โดย “จอมเวท” เพื่อประกอบพิธีอะไรสักอย่างในยุคสมัยที่คริสต์ศาสนาเพิ่งเข้ามาในอียิปต์ได้ไม่นาน ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นเวทมนตร์หรือพิธีกรรมแห่งความรัก และมีความเกี่ยวข้องกับรักต้องห้าม “ตำราคริสเตียนในอียิปต์ที่มีการพูดถึงเวทมนตร์แห่งความรักมักมีเรื่องราวเกี่ยวกับความรักต้องห้ามของชายที่ไปหลงรักผู้หญิงที่เขาไม่อาจเอื้อม เช่นผู้หญิงที่เด็กเกินไป หรือหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว” Korshi Dosoo อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยสตราสบูร์กในประเทศฝรั่งเศส ผู้ร่วมแปลกระดาษปาปิรุสแผ่นนี้กล่าว อย่างไรก็ตามจากความไม่สมบูรณ์ของแผ่นกระดาษ บวกกับที่มาของกระดาษปาปิรุสที่ยังเป็นปริศนา ทำให้การถอดรหัสในครั้งนี้ไม่สามารถทำได้อย่างราบรื่นเท่าที่ควรจะเป็น เพราะการที่ไม่สามารถหาคนที่บริจาค หรือ ชื่อหนังสือที่เป็นต้นฉบับได้ ก็ทำให้โอกาสที่จะค้นพบเนื้อหาส่วนที่เหลือของหนังสือเวทมนตร์เล่มนี้หดหายไปด้วยนั่นเอง ที่มา livescience, technologybreakingnews
-
ที่มาของ “สต็อกโฮล์มซินโดรม” อาการทางจิตสุดแปลกที่ “ตัวประกัน” หลงรัก “คนร้าย”
เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยรู้จักกับอาการทางจิตที่มีชื่อว่า “สต็อกโฮล์มซินโดรม” (Stockholm syndrome) มันเป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นในบางครั้งกับคนที่ถูกคนร้ายจับเป็นตัวประกัน โดยเฉพาะในกรณีที่คนร้ายปฏิบัติตัวค่อนข้างดีกับเหยื่อ ลักษณะของสต็อกโฮล์มซินโดรมสามารถอธิบายง่ายๆ ว่าคือการ “หลงรัก” ในตัวคนร้าย จนในบางครั้งเหยื่อก็รู้สึกว่าสิ่งที่คนร้ายทำไม่ใช่เรื่องผิดอะไร หรือแม้กระทั่งเข้าข้างคนร้ายในบางกรณีเลยด้วย ชื่อของอาการสต็อกโฮล์มซินโดรม กลายเป็นที่รู้จักครั้งแรกจากคดีปล้นธนาคารโดยนาย Jan-Erik Olsson ในวันที่ 23 สิงหาคม 1973 ที่กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เขาจับเจ้าหน้าที่ของธนาคาร 4 คนเป็นตัวประกัน และเจรจาต่อรองขอเงินกว่า 2 ล้านบาท รถยนต์สำหรับหนี และการปล่อยตัวนักโทษคนหนึ่ง Jan-Erik Olsson (คนกลาง) ในตอนที่ถูกตำรวจที่ใส่หน้ากากกันแก๊สควบคุมตัว การเจรจาเหมือนว่าจะเป็นไปได้ดีสำหรับ Olsson ในตอนแรก อย่างไรก็ตามทางตำรวจปฏิเสธที่จะให้เขาพาตัวประกันออกไปด้วย ดังนั้นการปล้นธนาคารในครั้งนี้จึงกลายเป็นเรื่องยืดเยื้อยาวนานถึงห้าวัน และถูกเสนอข่าวไปทั่วประเทศ หน่วยซุ่มยิงที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ น่าแปลกที่ Olsson ดูแลตัวประกันของเขาเป็นอย่างดี เขาเอาเสื้อคลุมให้ตัวประกันหญิงเมื่อเห็นว่าเธอตัวสั่น ปลอบโยนตัวประกันตอนที่ฝันร้าย บอกตัวประกันให้อย่ายอมแพ้ตอนที่ติดต่อที่บ้านไม่ได้ มอบกระสุนปืนให้ตัวประกันเป็นเครื่องราง หรือแม้กระทั่งให้ตัวประกันออกไปเดินคลายเครียด (โดยผูกเชือกไว้) ในตอนที่มีอาการโรคกลัวที่แคบ …
-
5 โศกนาฏกรรมทางลิฟต์ ซึ่งเกิดขึ้นจริงในอดีต ที่อ่านแล้วจะทำให้คุณอยากใช้บันไดขึ้นตึก
สำหรับคนที่ต้องใช้ชีวิตขึ้นลงลิฟต์อยู่เป็นประจำ เชื่อว่าคงมีอยู่บ้างที่จู่ๆ ก็มักความคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากลิฟต์ที่เราขึ้นมีปัญหา โดยเฉพาะเวลาที่จู่ๆ ลิฟต์ก็สั่นอย่างไม่มีเหตุผล จริงอยู่ว่าลิฟต์ส่วนมากนั้นมักจะมีการรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี แต่ในประวัติศาสตร์โลกเองก็มีคดีน่ากลัวๆ เกี่ยวกับลิฟต์ที่ถูกนำเสนอออกมาเช่นกัน เหมือนกับคดีโศกนาฏกรรมและอุบัติเหตุทางลิฟต์ทั้งห้าอันต่อไปนี้ เหตุการณ์ในท้องที่มินาโตะ นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2006 โดยเด็กชายวัย 16 ปีที่ชื่อฮิโรสุเกะ อิจิคาวะได้ถูกลิฟต์ในที่อยู่อาศัย “ดีดขึ้น” ในขณะที่เขากำลังเดินออกจากลิฟต์ได้ครึ่งตัว จนทำให้เขาถูกหนีบกับขอบประตูลิฟต์จนขาดอากาศหายใจในเวลาต่อมา เรื่องในครั้งนี้ทำให้ที่ญี่ปุ่นมีการตรวจสอบลิฟต์แทบทั้งประเทศขึ้นทันที และพบว่ามีลิฟต์อย่างน้อยๆ 41 ที่ซึ่งจะมีปัญหา “ดีดขึ้นเอง” แม้ว่าจะไม่มีการจ่ายไฟฟ้าก็ตาม คดีของสามีภรรยา Wadsworth พวกเขาเป็นคู่รักที่อยู่ด้วยกันมากว่า 60 ปี อย่างไรก็ตามวันหนึ่งพวกเขากลับต้องไปติดในลิฟต์ของบ้านสามชั้นที่พวกเขาอาศัยอยู่ ปัญหาคือที่รัฐจอร์เจียในช่วงยุค 80 ยังไม่มีกฎหมายการตรวจสอบลิฟต์และไม่ได้มีข้อบังคับให้ในลิฟต์มีโทรศัพท์ฉุกเฉิน ส่งผลให้ทั้งคู่เสียชีวิตอยู่ในลิฟต์โดยที่ไม่มีใครทราบไป กว่าที่เพื่อนบ้านจะสงสัยว่าพวกเขาหายไปไหนมันก็เป็นเวลาหลังจากนั้นหลายวันเลยทีเดียว ความโชคดีของ Betty Lou Oliver ในวันที่ 28 กรกฎาคม 1945 เกิดอุบัติเหตุเครื่องบิน B-25 พุ่งชนตึกเอ็มไพร์สเตท จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม หญิงสาวนาม Betty Lou Oliver คือหนึ่งในผู้ที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ โดยหน่วยกู้ภัยพบเธออยู่ที่ชั้น 75…
-
5 ความเชื่อเกี่ยวกับ “ความตาย” จากในอดีตทั่วโลก ที่จะทำให้คุณอึ้งกับความแปลกของมัน
ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันโลกของเรามีความเชื่อเรื่องความตายมาหลากหลายรู้แบบ ตั้งแต่เรื่องธรรมดาๆ อย่างการฝังศพ เรื่อยไปยังความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ในหลายๆ ศาสนา แต่เชื่อหรือไม่ว่าในโลกใบนี้เองยังมีความเชื่อแปลกๆ เกี่ยวกับความตายที่น่าสนใจมากกว่านั้น เหมือนกับความเชื่อทั้ง 5 ข้อ ที่เพื่อนๆ จะได้ชมกันต่อไปนี้ ความเชื่อเรื่อง “ไวน์จากศพ” ในบอร์เนียว เกาะบอร์เนียวเป็นเกาะที่อยู่บริเวณใจกลางกลุ่มเกาะมลายู และแบ่งพื้นที่ออกเป็นสามประเทศได้แก่ มาเลเซีย บรูไน อินโดนีเซีย อย่างไรก็ตามที่นี่มีประเพณีการจัดงานศพที่แปลกสุดๆ ไปเลย ร่างของคนตายจะถูกทำความสะอาดและนำไปเก็บไว้เพื่อเอา “ไวน์จากศพ” ซึ่งเป็นน้ำจากการย่อยสลายก่อนที่จะนำศพไปฝัง โดยน้ำเหล่านี้จะถูกนำไปชโลมร่างกาย หรือผสมในอาหารต่อไปนั่นเอง การกินศพผู้เสียชีวิตของชนเผ่าอเมซอน เผ่าวารีเป็นหนึ่งในชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในป่าอเมซอน ซึ่งในเผ่านี้จะมีความเชื่อในการกินศพของญาติๆ ผู้ที่จากไป นั่นเป็นเพราะ พื้นดินถือว่าเป็นสิ่งสกปรก และศพไม่ควรที่จะถูกฝังลงดิน แต่ในขณะเดียวกันการปล่อยศพของคนรู้จักไว้โดยไม่ทำอะไรเลย ก็อาจจะทำให้คนที่รู้จักเสียใจทุกครั้งที่เห็นเห็นศพด้วยเช่นกัน นั่นทำให้ทางออกที่ดีของปัญหาเหล่านี้อยู่ที่การกินศพของญาติที่จากไปเสียเลย เพราะนอกจากจะเป็นการกำจัดศพแล้ว นี่ยังเป็นวิธีที่จะทำให้คนเป็นได้ตัดขาดจากคนตายอย่างสมบูรณ์นั่นเอง การควบคุมตัวภรรยาผู้ตายเพราะกลัวเธอกัดศพของชาว LoDagaa ชาว LoDagaa ในอดีตมีความเชื่อว่าการสัมผัสสิ่งสกปรกบนตัวคนตายอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น พวกเขาจึงมีพิธีล้างศพที่จะกระทำโดยหญิงชรา โดยพิธีที่ว่านี้อาจกินระยะเวลานานเป็นเดือนเพื่อให้คนรู้จักได้มีโอกาสมาพบศพเป็นครั้งสุดท้าย อย่างไรก็ตามในกรณีที่คนตายเป็นผู้ชาย ระหว่างทำพิธีพวกเขาจะมีการควบคุมตัวภรรยาของผู้ตายไว้ เนื่องจากความกลัวที่ว่าหญิงสาวจะ “กัดศพสามี” เพื่อฆ่าตัวตายตามคนรักไปนั่นเอง นอกจากนี้ญาติๆ คนไหนที่แสดงท่าทางเสียใจมากจนเกินไปก็อาจจะโดนพาไปกักตัวเช่นกัน …
-
วลาดิเมียร์ โคมารอฟ ชายผู้สละชีวิต “ตกลงมาจากอวกาศ” เพื่อช่วย “ยูริ กาการิน”
หากพูดถึงนักบินอวกาศที่มีชื่อเสียงคงมีหลายคนไม่น้อยที่นึกถึงยูริ กาการินนักบินอวกาศคนแรกของโลกที่สามารถเดินทางกลับโลกอย่างปลอดภัย แต่รู้กันหรือไม่ว่าเบื้องหลังความสำเร็จของยูริ กาการิน ยังมีชายผู้ซึ่งที่สละชีวิตของตัวเองเพื่อให้กาการินมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหนึ่งคน เขาคือวลาดิเมียร์ โคมารอฟ นักบินหลักของยานอวกาศ Soyuz 1 และเพื่อนที่ดีของยูริ กาการิน ภาพของ วลาดิเมียร์ โคมารอฟ เรื่องในครั้งนี้เกิดขึ้นในปี 1967 ราวๆ 6 ปี หลังจากที่ยูริ กาการินกลายเป็นมนุษย์คนแรกของโลกขึ้นไปบนอวกาศได้สำเร็จ ทางสหภาพโซเวียตได้มีกำหนดการปล่อยยานอวกาศ Soyuz 1 ขึ้นสู่อวกาศอีกครั้ง อย่างไรก็ตามกำหนดการของ Soyuz 1 ค่อนข้างมีปัญหามากจนกินเวลานานกว่าที่ควรเป็น ทำให้ผู้บริหารระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มจะทนไม่ไหว จนมีการกำหนดเส้นตายของการปล่อยจรวดขึ้น ยูริ กาการินวีรบุรุษของประชาชน และเพื่อนสนิทของ วลาดิเมียร์ โคมารอฟ นั้นทำให้การทำงานในโปรเจกต์นี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่ถึงแม้จะพยายามแค่ไหน ยานอวกาศก็ไม่พร้อมมากพอจะขึ้นบินอยู่ดี จนทางวิศวกรอยากให้มีการเลื่อนกำหนดการปล่อยยานออกไปก่อน ถึงขั้นที่กาการินเคยพยายามฝากข้อความ 10 หน้าที่เกี่ยวข้องกับการขอเลื่อนกำหนดการให้กับเพื่อนใน KGB เลยทีเดียว โชคร้ายของพวกเขาที่ไม่มีใครกล้าพอที่จะส่งข้อความของกาการินไปให้กับเบื้องสูง สุดท้าย Soyuz 1 จึงต้องดำเนินการปล่อยตามกำหนดการทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อม ในตอนนั้นมีเพื่อนของ…
-
20 เหตุการณ์ที่มีคนตายเป็นจำนวนมาก ในระยะเวลาไม่กี่ปี ไม่กี่เดือน จนถึงไม่กี่วินาที
ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ของมนุษย์ มีเหตุการณ์มากมายที่ถูกบันทึกไว้ให้เป็นเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่มีคนตายเป็นจำนวนมาก นั่นทำให้บางครั้งคนเราก็สงสัยกันว่าช่วงเวลาสั้นๆ ในเหตุการณ์ไหนกันบ้างในโลกที่มีคนตายมากที่สุด ด้วยเหตุนี้เอง ในคราวนี้เราจะไปดูที่สุดของเหตุการณ์ที่มีคนตายเป็นจำนวนมาก ภายในเวลาเพียง ไม่กี่วินาที ไม่กี่ชั่วโมง ไม่กี่วัน และไม่กี่ปี อ้างอิงจากข้อมูลที่มีการรวบรวมไว้ในหนังสือ Lapham’s Quarterly เมื่อปี 2013 คนตายเป็นจำนวนมากใน 5 ปี : “แบล็กเดท” จำนวนผู้เสียชีวิต 30 ล้านคน มีอีกชื่อว่า “กาฬมรณะ” เป็นการระบาดของกาฬโรคในยุโรปเมื่อปี 1347-1351 เฉลี่ยแล้วมีคนเสียชีวิตราวๆ 16,427 คนต่อวัน คนตายเป็นจำนวนมากใน 5 ปี : “โรคระบาดใหญ่ในเอเธนส์” จำนวนผู้เสียชีวิต 15,000 คน นี่เป็นเหตุการณ์โรคระบาดในกรีกโบราณเมื่อช่วง 430-426 ปีก่อนคริสตกาล เฉลี่ยแล้วมีคนเสียชีวิตราวๆ 78 คนต่อวัน คนตายเป็นจำนวนมากใน 4 ปี : “การก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่” จำนวนผู้เสียชีวิต 30 ล้านคน นี่เป็นความอดอยากในจีนจากนโยบายของเหมาเจ๋อตุงในปี 1959-1962…
-
พบแท่นบูชาหินสลักอายุกว่า 1,500 ปีในซากเมืองมายา เชื่อบอกเล่าเรื่องราว “ราชาโบราณ”
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2018 ที่ผ่านมาพิพิธภัณฑ์โบราณคดีและชาติพันธุ์วิทยาแห่งชาติในกัวเตมาลาได้ออกมาประกาศการค้นพบแท่นบูชาหินสลักอายุกว่า 1,500 ปีในซากเมืองมายาโบราณ La Corona ที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าทางตอนเหนือของประเทศกัวเตมาลา มันเป็นการค้นพบวัตถุโบราณที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมาในซากเมืองแห่งนี้ และเชื่อว่ามาจากยุคคลาสสิกของเผ่ามายา ซึ่งอยู่ในช่วงปีคริสต์ศักราชที่ 250 – 900 จากการตรวจสอบรูปสลักบนแท่นบูชาที่พบ ดูเหมือนว่าแท่นบูชาอันนี้จะมีการบันทึกเรื่องราวของอำนาจแห่งราชวงศ์ Kaanul ซึ่งปกครองที่พื้นที่ในบริเวณนั้นมากเป็นเวลายาวนานกว่า 200 ปี Marcello Canuto ผู้อำนวยการร่วมของโครงการโบราณคดีในพื้นที่ La Corona เล่าว่า การค้นพบในครั้งนี้จะช่วยให้เราเข้าใจราชาของพื้นที่ La Corona ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องทางการเมืองกับทาง Kaanul ราชาคนดังกล่าวจะมีชื่อว่า Chak Took Ich’aak ซึ่งจากภาพที่สลักไว้ในแท่นบูชา เขากำลังถืองูสองหัวที่มีเทพโผล่ออกมาเอาไว้ ดูเหมือนว่าการใช้งูเหมือนสื่อในภาพจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะราชาแห่ง Kaanul ก็ถูกรู้จักกันในฐานะราชาแห่งงูเช่นกัน นอกจากนี้บนแท่นบูชายังมีอักขระปฏิทินมายาสลักไว้ด้วย โดยหากเทียบกับปฏิทินแบบปัจจุบัน เวลาที่สลักไว้จะเป็นวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 544 เป็นไปได้ว่าแท่นบูชาที่พบนั้นจะบันทึกเรื่องราวการขึ้นเป็นใหญ่ของราชวงศ์ Kaanul เอาไว้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันโครงการโบราณคดีในพื้นที่…
-
25 ภาพ อันน่าหดหู่ของเด็กๆ ที่ต้องใช้แรงงานอย่างไม่สมวัยในสหรัฐฯ ต้นศตวรรษที่ 20
ต้นศตวรรษที่ 20 เป็นช่วงที่สหรัฐอเมริกามีการใช้แรงงานเด็กที่แพร่หลายไปทั่วประเทศ ด้วยความที่อุตสาหกรรมเติบโตไปอย่างรวดเร็ว ความแตกต่างของชนชั้นก็จะยิ่งเห็นได้ชัดไปตามนั้น ด้วยเหตุนี้เองชนชั้นกลางและชนชั้นล่างจำนวนมากตัดสินใจส่งลูกหลานไปทำงานก่อนวัยอันควร เกิดเป็นภาพอันน่าหดหู่ของเด็กๆ ที่ต้องใช้แรงงานอย่างไม่สมวัย เหมือนดังที่เพื่อนๆ จะได้เห็นในภาพถ่ายของคณะกรรมการแรงงานเด็กแห่งชาติสหรัฐฯ ทั้ง 25 ภาพต่อไปนี้ นี่เป็นภาพของเด็กอายุเพียง 7 ขวบที่ต้องทำงานส่งหนังสือพิมพ์ ทั้งๆ ที่ทอนเงินไม่เป็นด้วยซ้ำ ตุลาคม 1914 เด็กสาวที่ทำงานประจำอยู่ในโรงปั่นฝ้ายในออกัสตา รัฐจอร์เจีย มกราคม 1909 หนึ่งในเด็กๆ ที่ทำงานส่งจดหมายในรัฐคอนเนตทิคัต ต้องทำงานเป็นกะจนถึงสี่ทุ่ม คนงานโรงงานทอผ้าในเซาท์แคโรไลนา เมื่อเดือนธันวาคม 1908 Willie ระหว่างช่วงพักเที่ยงในโรงงานที่รัฐโรดไอแลนด์เมษายน 1909 Callie Campbell วัย 11 ขวบ กับการทำงานเก็บฝ้ายในเดือนตุลาคม 1916 Shorpy Higginbotham “เด็กถือจาระบี” วัย 14 ขวบที่ทำงานในเหมืองถ่านหินธันวาคม 1910 เด็กสาวสองคนที่ทำงานปั่นด้ายในรัฐนอร์ทแคโรไลนา พวกเธอบอกว่าได้เงิน 50 เซ็นต์…
-
เปิดตำนานช่างตีดาบ “มาซามุเนะ” ชายผู้ว่ากันว่าเป็นช่างตีดาบที่เก่งที่สุดในญี่ปุ่นสมัยก่อน
หากพูดถึงดาบในตำนานของญี่ปุ่นเชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะนึกถึงดาบของมุรามาสะเป็นอย่างแรก แต่ถ้าหากเราพูดถึงดาบในตำนาน “ที่ยังหลงเหลืออยู่จริงๆ” ดาบที่ว่าเหล่านั้นก็คงไม่พ้นผลงานของช่างตีดาบนามมาซามุเนะแน่ๆ ช่างตีดาบมาซามุเนะ (正宗) มีอีกชื่อหนึ่งว่า โกโระ นิวโด มาซามุเนะ (五郎入道正宗) เขาคือช่างตีดาบที่ชีวิตอยู่ในยุคคามาคุระ (ค.ศ. 1185-1333) และมีชื่อเสียงในฐานะนักตีดาบที่ยอดเยี่ยมในสมัยนั้น ว่ากันว่าเขาเป็นช่างตีดาบคนแรกๆ ที่ใช้การตีดาบแบบผสมเหล็กหลายชนิดเข้าด้วยกัน โดยใช้เหล็ก “กาวากาเนะ” ที่มีคาร์บอนสูงเป็นใบดาบ ใช้เหล็ก “ฮากานะ” ที่ผ่านการตีซ้อนกันหลายครั้งเป็นคมดาบ และใช้เหล็กคาร์บอนต่ำที่มีความยืดหยุ่นสูงชื่อ “ชิกาเนะ” เป็นไส้ในทำให้ได้มาซึ่งดาบที่คมกริบแต่ไม่เปราะบางมากนักออกมา วิธีการตีดาบของมาซามุเนะแพร่กระจายออกไปในหมู่ช่างตีดาบหลังจากนั้น แต่ก็แทบไม่มีใครเลยที่จะเก่งกาจไปกว่าตัวมาซามุเนะเอง ช่างตีดาบเพียงคนเดียวที่ว่ากันว่าเก่งพอๆ กับมาซามุเนะก็คือมุรามาสะผู้สร้างผลงานดาบคำสาปกระหายเลือดอันเลื่องชื่อ ตามตำนานของญี่ปุ่นบอกว่าทั้งสองคนเคยประลองดาบกันแล้วที่แม่น้ำ แต่แม้จะบอกว่าเป็นการประลองแต่มันเป็นเพียงการเปรียบเทียบกันว่าดาบของใครดีกว่าเท่านั้น ไม่ใช่การดวลดาบกันจริงๆ แต่อย่างใด ผลของการประลองคือเพียงแค่นำปลายดาบจุ่มลงไปในน้ำ ดาบของมุรามาสะก็ สามารถตัดใบไม้ กิ่งไม้ และปลาได้ ในขณะที่ดาบของมาซามุเนะตัดได้ทุกอย่างยกเว้นปลา (บางตำราก็บอกว่าปลาว่าย “ทะลุ” ดาบไปเลย) นี่เหมือนกับเป็นชัยชนะของมุรามาสะ แต่นักบวชที่ผ่านมาเห็นกลับบอกว่าที่ผลการประลองเป็นเช่นนั้นเพราะว่าดาบของมุรามาสะตีขึ้นจากความกระหายเลือดมันจึงทำลายได้ทุกอย่าง ในขณะที่ดาบของมาซามุเนะตีขึ้นจากความสงบนิ่งมันจึงปล่อยให้ปลารอดชีวิต ตำนานที่ว่านี้ทำให้เห็นความพิเศษของดาบที่มาซามุเนะตีได้เป็นอย่างดี แถมดาบหลายๆ เล่มของมาซามุเนะยังมีหลักฐานคงอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งต่างจากดาบของมุรามาสะที่หลายๆ เล่มไม่มีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน…
-
SHC ปรากฏการณ์สุดหลอนที่ คนลุกเป็นไฟ ไหม้เป็นเถ้าถ่าน กับคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์
22 ธันวาคม 2010 มีการพบศพของ Michael Faherty ชายวัย 76 ปี เสียชีวิตอยู่ในบ้านจากการถูกไฟไหม้ อย่างไรก็ตามไม่มีการพบหลักฐานว่านี่เป็นการฆ่าตัวตาย หรือการฆาตกรรมในที่เกิดเหตุเลยแม้แต่ชิ้นเดียวจนทำให้คดีที่เกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องที่สร้างความงุนงงแก่เจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก สุดท้ายคดีที่เกิดขึ้นก็ถูกลงความเห็นว่าเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า Spontaneous Human Combustion หรือ SHC ปรากฏการณ์แปลกๆ ที่ร่างกายมนุษย์เกิดการลุกไหม้ขึ้นเอง นี่เป็นเหตุการณ์ที่แม้จะฟังดูไม่น่าเชื่อแต่ก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้วหลายครั้งในประวัติศาสตร์ ถูกอธิบายไว้เป็นในช่วงศตวรรษที่ 18 โดย Paul Rolli ว่า “นี่คือปรากฏการณ์ที่ร่างกายมนุษย์เกิดการติดไฟจากความร้อนที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย โดยไม่มีหลักฐานการจุดไฟจากภายนอก” SHC ถูกบันทึกไว้เป็นครั้งแรกในช่วงปีคริสต์ศักราช 1400 โดยผู้เสียชีวิตคืออัศวินที่ชื่อ Polonus Vorstius หลังจากที่ทานไวน์ที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์สูงเข้าไป ก่อนที่จะ “ลุกเป็นไฟ” ในเวลาต่อมา จุดร่วมของปรากฏการณ์ SHC ที่เกิดขึ้นกว่า 200 คดีทั่วโลกนั้นมีอยู่ดังต่อไปนี้ 1. ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมักติดสุรา 2. เหยื่อมักเป็นผู้หญิงสูงอายุ 3. โดยมากแขน ขาของผู้ตายจะไม่ถูกเผาไปด้วย 4. ความเสียหายต่อสิ่งรอบกายผู้ตายจะมีน้อยมาก 5. การเผาไหม้ของร่างกายมักทิ้งสารตกค้างของไขมัน…
-
Bélmez Faces รอยเปื้อนสุดสยองแห่งสเปน ที่ปรากฏขึ้น เคลื่อนที่ และบางทีก็หายไปได้เอง
จะเกิดอะไรขึ้นหากวันหนึ่งมีรอยเปื้อนประหลาดโผล่ขึ้นมาที่ในบ้าน แถมไม่ว่าจะพยายามลบอย่างไรมันก็โผล่ขึ้นมาใหม่ด้วย หลายๆ คนอาจจะบอกว่างั้นก็ปล่อยมันไว้เฉยๆ สิ ไม่เห็นเป็นอะไร แต่ถ้าเจ้ารอยเปื้อนที่ว่ามันดันเป็นรูปหน้าคนเสมอล่ะ? นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ที่ห้องครัวของบ้านหลังหนึ่งใน Bélmez de La Moraleda หมู่บ้านเล็กๆ ที่ดาลูเซีย ประเทศสเปน และมีชื่อเรียกว่า “Bélmez Faces” หรือ “ใบหน้าแห่ง Bélmez” ดูเหมือนว่ารอยเปื้อนรูปหน้าคนสุดหลอนนี้จะปรากฏขึ้นมาครั้งแรกในปี 1971 เมื่อ María Gómez Cámara เจ้าของบ้านในตอนนั้นพบรอยเปื้อนรูปใบหน้าประหลาดที่พื้นในห้องครัว แถมยังขยับย้ายที่เองได้ด้วย ด้วยความกลัว María และครอบครัวก็รีบลบใบหน้าประหลาดนั่นทิ้งทันที แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ใบหน้านี้ก็จะกลับมาอยู่เสมอๆ แม้ว่าจะทำลายปูนทิ้งและฉาบปูนลงไปใหม่เลยก็ตาม เท่านั้นยังไม่พอเพราะใบหน้าที่กลับมานั้นมันไม่ได้กลับมาเพียงหน้าเดียว แต่กลับเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหน้าของผู้หญิงและผู้ชาย แถมบางทีมันก็หายไปได้เองอีกด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเข้ามาสำรวจในบ้านหลังนี้ ก่อนที่จะมีการขุดพบว่าที่ใต้บ้านนั้นมันมีกระดูกฝังเอาไว้ด้วย!! แต่ถึงแม้ว่าจะมีการขนกระดูกออกไปและฉาบปูนใหม่ รอยเปื้อนสุดประหลาดเหล่านี้ก็ยังคงโผล่ขึ้นมาอยู่ดี นั่นทำให้มีหลายๆ คนเชื่อกันว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่บ้านหลังนี้แท้จริงแล้วน่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์มากกว่า เป็นไปได้ว่าคนในบ้านจะเป็นคนทำภาพที่ว่าขึ้นมาเองเพื่อเรียกร้องความสนใจหรือดึงดูดนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามต่อให้มีการปิดตายห้องเป็นเวลาสามเดือน ก็ยังมีรอยเปื้อนใหม่ปรากฏขึ้นมาอยู่ดี แถมรอยเปื้อนเก่าๆ ยังย้ายที่ได้ด้วย และแม้ว่า María Gómez…
-
พบมัมมี่เก่าแก่จากยุคน้ำแข็งของ ลูกหมาป่า และกวางแคริบู เชื่ออายุมากกว่า 50,000 ปี
ภูมิภาค Klondike เป็นดินแดนของรัฐยูคอนในประเทศแคนาดา เดิมทีแล้วมีชื่อเสียงเรื่องการเป็นแหล่งทองคำขนาดใหญ่ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งมีค่าเพียงอย่างเดียวของสถานที่แห่งนี้ เพราะล่าสุดนี้เองรัฐบาลยูคอนได้ออกมาประกาศการค้นพบมัมมี่เก่าแก่จากยุคน้ำแข็งของลูกสุนัขหมาป่า และกวางแคริบู ในชั้นดินเยือกแข็งคงตัว หรือเพอร์มาฟรอสต์นั่นเอง นี่เป็นซากมัมมี่ที่เชื่อกันว่ามีอายุมากกว่า 50,000 ปีที่ถูกค้นพบโดยคนงานเหมืองที่กำลังทำการขุดหาทองคำในภูมิภาค Klondike เมื่อปี 2016 และถูกนำมาจัดแสดงที่ดอว์สันเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2018 ที่ผ่านมา มัมมี่ลูกสุนัขหมาป่าที่ถูกพบนั้นอยู่ในสภาพที่ดีมาก มันมีชิ้นส่วนของร่างกายครบถ้วน ถึงขั้นที่ว่ายังสามารถเห็นผิวหนังกับเส้นขนได้อย่างชัดเจน แถมจากการแถลงการณ์ของรัฐบาลยูคอน มัมมี่ลูกสุนัขหมาป่าที่พบนี้ ยังเป็นมัมมี่ลูกสุนัขหมาป่าเพียงตัวเดียวที่เคยมีการขุดพบบนโลกใบนี้ด้วย ส่วนมัมมี่ของกวางแคริบูนั้นแม้ว่าจะถูกพบเพียงแค่ครึ่งตัวส่วนหน้าเท่านั้น แต่ก็มีความสมบูรณ์สูงเช่นกัน มันยังมีผิวหนัง เส้นขน กล้ามเนื้อ และกระดูกอยู่อย่างครบถ้วนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่พบได้ยากมากในมัมมี่ที่มีอายุกว่า 50,000 ปี สัตว์ที่พบทั้งสองตัวนั้นเชื่อกันว่าเดิมทีแล้วน่าจะอาศัยอยู่ในทุ่งทุนดรากับสัตว์อื่นๆ เช่นแมมมอธ และด้วยความที่พื้นที่ที่พวกมันอาศัยมีลักษณะค่อนข้างแห้งและเย็นจัด ก็ทำให้มัมมี่เหล่านี้ถูกเก็บรักษาผ่านกาลเวลามาอย่างสมบูรณ์แบบมาก การค้นพบในครั้งนี้นับเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากในทางวิทยาศาสตร์ เพราะนอกจากมัมมี่ที่พบจะมีความเก่าแก่มากแล้ว มันยังสมบูรณ์มากพอที่จะถูกใช้ในการศึกษาและตรวจสอบสัตว์ดึกดําบรรพ์ โดยในปัจจุบันนี้ ทางนักวิทยาศาสตร์เองก็กำลังพยายามศึกษามัมมี่ทั้งคู่ เพื่อหาอายุในตอนที่พวกมันยังมีชีวิต และสาเหตุที่ทำให้พวกมันตายอยู่นั่นเอง ที่มา allthatsinteresting, theguardian, Yukon
-
23 ภาพอาวุธและเทคโนโลยีที่มีการใช้งานในช่วง “สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง”
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งมีชื่อเรียกอยู่หลายอย่างทั้ง “มหาสงคราม” และ “สงครามที่จะจบสงครามทั้งหมด” นี่เป็นสงครามที่แต่ละประเทศขนเอาเทคโนโลยีทางทหารทั้งหมดของตัวเองมาสาดใส่กัน เกิดเป็นสงครามที่มีการสูญเสียชีวิตมากที่สุดครั้งหนึ่งเลยก็ไม่ผิดนัก แต่ถึงแม้ว่านี่จะเป็นสงครามที่เต็มไปด้วยความสูญเสีย แต่เทคโนโลยีที่ปรากฏขึ้นมาในสงครามครั้งนี้ก็เป็นต้นแบบของเทคโนโลยีมากมายในอนาคตเช่นกัน ดังเช่นเทคโนโลยีในภาพต่อไปนี้ เริ่มกันที่ภาพทหารอเมริกากำลังให้เครื่องตรวจจับเสียง เพื่อหาว่าจะมีเครื่องบินฝ่ายศัตรูบินผ่านมาไหม รถไฟหุ้มเกราะของออสเตรียในแคว้นกาลิเซีย ประเทศสเปน 1915 ด้านในของรถไฟหุ้มเกาะเมื่อปี 1918 ภาพนี้ถ่ายจากที่ยูเครน การใช้จักรยานปั่นไฟโดยหน่อยสื่อสารเยอรมัน กันยายน 1917 นายทหารบนรถจักรยานยนต์ฮาร์เลย์ 1918 รถถัง Medium Mark A Whippet ของอังกฤษซึ่งออกแบบมาให้มีความคล่องตัวกว่ารถถังรุ่นก่อนๆ 22 สิงหาคม 1918 กระสุนปืนของ 38 cm SK L/45 ปืนใหญ่ติดรางรถไฟของเยอรมัน ซึ่งเดิมทีออกแบบมาเพื่อติดตั้งบนเรือรบ จากปี 1918 ทหารเยอรมันที่ใส่หน้ากากกันแก๊สและหมวกเหล็กที่มีการเสริมแผ่นเหล็กอีกชั้น จุดสังเกตการณ์ของอังกฤษที่ได้รับการตกแต่งให้เหมือนต้นไม้เพื่อตบตาศัตรู กองทัพตุรกีใช้เครื่องมือสื่อสารแบบใหม่ที่ใช้แสงอาทิตย์เป็นสื่อกลาง พาหนะที่ออกแบบโดยทางกาชาด ออกแบบมาเพื่อขนย้ายคนเจ็บระหว่างสนามเพลาะ จรวดส่งสัญญาณของฝั่งสหรัฐฯ ในเสี้ยววินาทีที่มีการปล่อยออกไป…
-
รวม 29 ภาพแนวรบฝั่งตะวันออกระหว่างโซเวียตและนาซีเยอรมันในช่วงปี 1942-1943
มีหลายๆ คนพูดว่าสงครามโลกครั้งที่สองในฝั่งของสหรัฐนั้น มันไม่ต่างอะไรกับสงครามของวีรบุรุษ ทหารที่มาร่วมสงครามมีเหตุผลที่จะมาเขาร่วม แถมยังมีผลงานมากมายที่ถูกเผยแพร่ออกไปให้โลกได้รับรู้ ผิดกับสงครามในแนวรบฝั่งตะวันออกของเยอรมันโดยสิ้นเชิง เพราะแนวรบในด้านนี้นั้นขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การทำลายล้าง และความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของชีวิต ภายใต้ชื่อของสงครามระหว่างโซเวียตและเยอรมนีนั่นเอง ด้วยเหตุนี้เราจะมาดู 29 ภาพการรบระหว่างโซเวียตและเยอรมนี มาดูกันดีกว่าว่าสงครามที่คนบอกว่าเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่นาซีเยอรมันแพ้สงครามมันเป็นอย่างไรกันแน่ ทหารโซเวียตเคลื่อนพลผ่านสตาลินกราดแนวรบด้านตะวันออกในสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้บัญชาการของหน่วยคอซแซค (พลม้า) ที่ปฏิบัติหน้าที่ในยูเครน เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 1942 พลปืนต่อต้านรถถังชาวเยอรมัน พร้อมรับการจู่โจมที่แนวหน้าการรบในรัสเซีย 1942 ประชาชนรัสเซียที่ออกมาตักน้ำ ระหว่างการปิดล้อมเมืองของเยอรมนีในเลนินกราด 1942 การปิดล้อมในครั้งนั้นทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องอดตาย อย่างไรก็ตามสุดท้ายเยอรมนีก็ไม่สามารถยึดเมืองแห่งนี้ได้ หลักฐานของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นระหว่างการเข้ายึดครองเมือง Rostov ประเทศรัสเซียเมื่อปี 1942 ทหารเยอรมันขนส่งอาวุธข้ามแม่น้ำเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 1942 หญิงชาวรัสเซียมองดูบ้านที่ลุกเป็นไฟในช่วงปี 1942 การดำเนินการสังหารชาวยิวในเคียฟเมืองหลวงของประเทศยูเครนเมื่อปี 1942 ทหารเยอรมันกับปืนกลในช่วงการรบที่สตาลินกราดฤดูใบไม้ผลิปี 1942 ทหารเยอรมันข้ามแม่น้ำรัสเซียบนรถถังของพวกเขาเมื่อวันที่…
-
เปิดเรื่องราวของ Freddie หนึ่งในสามกลุ่มเด็กสาวผู้ลอบสังหารนาซีในสงครามโลกครั้งที่สอง
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2018 ที่ผ่านได้มีข่าวการจากไปของคุณยายวัย 92 ปีคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่า Freddie Oversteegan ในเวลาเพียงหนึ่งวันก่อนที่จะถึงวันเกิดครบรอบ 93 ปีของเธอ แม้ว่านี่จะเป็นเหมือนข่าวการจากไปของคนชราธรรมดาๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น เพราะหญิงสาวที่ดูใจดีคนนี้ ในสมัยเด็กเคยมีวีรกรรมที่สุดยอดมากๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง Freddie Oversteegan ในช่วงปลายของชีวิต ในปี 1940 ทหารนาซีได้บุกเข้ามาในเนเธอร์แลนด์ก่อนที่จะได้รับชัยชนะและปกครองประเทศไปเป็นเวลานาน นั่นทำให้ Freddie Oversteegan ที่ในตอนนั้นอายุได้เพียงราวๆ 14 ปี ได้เข้าร่วมกองกำลังต่อต้านของชาวดัตช์ เริ่มต้นจากการเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวต่อต้านนาซี ก่อนที่จะกลายเป็นหนึ่งในนักลอบสังหารของพวกเขาในเวลาเพียง 2 ปี Freddie Oversteegan ในตอนที่อายุ 16 ปี นับจากวันนั้นมา Freddie และเพื่อนๆ (พี่สาวกับเพื่อนอีกหนึ่งคน) ก็เริ่มทำงานล่อทหารนาซีเยอรมันและผู้ให้ความร่วมมือชาวดัตช์มาสังหาร ด้วยความที่มีลักษณ์ที่ดูเป็นเด็กเสียยิ่งกว่าวัยของตัวเอง ไม่นาน Freddie และเพื่อนๆ กลายเป็นนักลอบสังหารที่ทำงานได้เป็นอย่างดีในกองกำลังต่อต้านของชาวดัตช์เลยก็ว่าได้ ผลงานที่มีชื่อเสียงของพวกเธอคือการล่อนายทหาร SS…
-
รู้หรือไม่ ก่อนที่กาลิเลโอจะโดนคริสตจักรจับ เขาเคยหลอกหน่วยอินควิสซิเตอร์สำเร็จมาแล้ว
เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่ากาลิเลโอ กาลิเลอีคือชายที่เป็น “บิดาแห่งวิทยาศาสตร์” ผู้พัฒนากล้องโทรทรรศน์ และพิสูจน์ให้เรารู้ว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ว่าแต่ทราบหรือไม่ว่าจากหลักฐานในจดหมายของกาลิเลโอ ชายคนนี้เคยพยายามหลอกการไต่สวนของคริสตจักรด้วย มันเป็นเรื่องในช่วงศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมถูกปกครองด้วยความเชื่อทางศาสนา นั่นทำให้การนำเสนอความคิดทางวิทยาศาสตร์อาจจะกลายเป็นเรื่องที่อันตรายมาก โดยผู้ที่รับหน้าที่ “ไต่สวน” เหล่าคน “นอกรีต” ของคริสตจักรคือหน่วย “อินควิสซิเตอร์” นั่นเอง นั่นทำให้เมื่อปี 1613 การที่กาลิเลโอส่งจดหมายซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการค้นพบหลักฐานในทฤษฎีโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์และมีการอ้างอิงถึงคำพูดในพระคัมภีร์ให้เพื่อนของเขา จึงกลายเป็นหลักฐานอย่างดีที่ทางอินควิสซิเตอร์จะสามารถใช้ในการตัดสินว่ากาลิเลโอเป็นคนนอกรีต เอาเข้าจริงๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการหาว่านักวิทยาศาสตร์เป็นคนนอกรีต เพราะในปี 1600 เอง นักคณิตศาสตร์ชื่อ Giordano Bruno ก็เคยโดนจับเผามาแล้วเพราะเขาออกตัวสนับสนุนทฤษฎีคล้ายๆ กันมาก่อน โชคดีที่กาลิเลโอไหวตัวทัน เขารีบฝากจดหมายอีกฉบับให้เพื่อนที่รู้จักส่งไปยังทางวาติกันทันที โดยมีการอ้างว่าเนื้อหาในจดหมายฉบับที่ทางอินควิสซิเตอร์มีนั้นมีการแอบ “เปลี่ยนแปลง” เพื่อใส่ร้ายเขา และจดหมายที่เขาฝากเพื่อนมาให้ทางวาติกันต่างหากที่เป็น “ต้นฉบับ” ที่มีเนื้อความจริงๆ เมื่อทางวาติกันได้รับจดหมายของกาลิเลโอทั้งสองฉบับ พวกเขาก็ต้องพบกับเรื่องปวดหัว เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถบอกได้ว่าจดหมายฉบับไหนกันแน่ที่เป็นจดหมายจริงๆ ที่กาลิเลโอตั้งใจจะส่ง การไต่สวนของกาลิเลโอจึงถูกยกเลิกไป นั่นทำให้การลงโทษกาลิเลโอจบลงที่เพียงการเตือนไม่ให้เขาสนับสนุนทฤษฎีโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์อีกในปี 1616 อย่างไรก็ตามกาลิเลโอกลับไม่ยอมเชื่อฟังแต่โดยดี เขาออกหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีของเขาออกมาอีกครั้ง จนทำให้เขาต้องถูกกักบริเวณในบ้านจากการตัดสินของศาลกรุงโรมเมื่อปี 1633 …
-
5 เหล่าชนชั้นสูงในอดีต ผู้มีความ “หมกมุ่น” กับเรื่องแปลกๆ และใช้อำนาจทำในสิ่งที่ต้องการ
การที่คนเราจะมีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพียงแต่บางครั้งคนเราก็คลุกคลีอยู่กับความชอบมากเกินไปจนกลายเป็นความหมกมุ่นได้เช่นกัน ตามปกติแล้วความหมกมุ่นมักจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็จริง แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะหากคนที่หมกมุ่นเป็นคนที่มีอำนาจอยู่ในมือมากๆ พวกเขามักจะใช้อำนาจที่ตัวเองมีในการทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ จนบางครั้งก็ทำให้ประชาชนต้องเดือดร้อนไปตามๆ กัน เหมือนกับเหล่าชนชั้นสูงในอดีตต่อไปนี้ Friedrich Wilhelm I กษัตริย์แห่งปรัสเซียผู้หมกมุ่นอยู่กับคนสูง Friedrich ปกครองแคว้นปรัสเซียอดีตราชอาณาจักรของเยอรมนีตั้งแต่ปี 1713-1740 และมีชื่อเสียงในฐานะผู้เพิ่มกำลังพลทหารของอาณาจักรขึ้นกว่า 2 เท่า อย่างไรก็ตามชายคนนี้มีข้อเสียอยู่ข้อหนึ่ง คือไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ชอบคนตัวสูงเหลือเกิน ถึงขั้นที่ว่ามีกองกำลังสำหรับคนที่สูงกว่า 180 เซนติเมตรไว้เลยทีเดียว ปัญหาคือนอกจากคนที่เข้ามาสมัครเองแล้ว Friedrich ยังมักจะ “ซื้อตัว” เด็กๆ ที่ตัวสูงจากชาวบ้านอีกด้วย แถมบางครั้งเขายังพยายามทำให้คนที่สูงอยู่แล้วสูงขึ้นไปอีกด้วยการผืนยืดร่างของพวกเขาด้วยเครื่องมือพิเศษ (ที่เอาเข้าจริงๆ แทบไม่ต่างจากการทรมานเลย) อีกด้วย ราชินี Juana ที่ 1 แห่งคาสทีลผู้หมกมุ่นอยู่กับสามีที่ตายไปแล้ว ราชินี Juana มีฉายาว่า “Juana ผู้ฟั่นเฟือน” เธอรักสามีของเธอมากถึงขั้นที่ว่า เมื่อสามีของเธอทิ้งเธอไปหาหญิงอื่น เธอก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องและไม่ทานอาหาร แถมเมื่อสามีของเธอตายไปในเวลาต่อมา จิตใจของเธอก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ราชินี Juana นำศพของสามีมาอยู่ด้วยและไม่ยอมจากไปไหน ว่ากันว่าตลอด 5 สัปดาห์หลังสามีของเธอตาย จริงสาวก็ไม่ยอมให้ใครปิดหลุมศพของเขา แถมเธอยังมักไปกอดจูบเท้าของศพอยู่เสมอๆ…
-
5 ผู้คุมหญิงสุดโหดแห่งนาซีเยอรมันช่วงสงครามโลก ที่โหดร้ายไม่ได้น้อยไปกว่าผู้ชายเลย
เมื่อพูดถึงนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ว่าใครก็คงนึกถึงภาพความโหดร้ายของพวกเขา อย่างไรก็ตามด้วยภาพลักษณ์ทางสังคมของคนในสมัยนั้น เชื่อว่าภาพในหัวของหลายๆ คน คงเป็นภาพของเหล่าชายฉกรรจ์กันทั้งนั้น ว่าแต่ทราบหรือไม่ว่าในบรรดานาซีเยอรมันเองก็มีผู้หญิงที่มี “ชื่อเสีย” อยู่มากมายเช่นกัน โดยส่วนมากแล้วพวกเธอจะเป็นผู้คุมของคุกหรือค่ายกักกันหญิง ซึ่งแม้จะเป็นผู้หญิงแต่ก็ไม่ได้มีความโหดร้ายน้อยไปกว่าผู้ชายแต่อย่างไร เหมือนดังเช่นเหล่าผู้คุมหญิงสุดโหด 5 คนต่อไปนี้ Hermine Braunsteiner เธอทำงานในค่ายกักกันใน Majdanek ในช่วงปี 1942-1944 และได้ฉายาว่า “เดอะเมีย” ที่แปลว่า “ม้าตัวเมีย” จากการที่เธอมักกระทืบนักโทษจนตายเสมอ นอกจากนี้เธอยังเป็นหนึ่งในผู้คุมเพียงไม่กี่คนที่หนีไปกบดานอยู่ที่เมืองนิวยอร์กได้สำเร็จ (ถึงจะถูกส่งกลับมาในปี 1973 ก็ตาม) เธอถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตในปี 1981 จากการสังหารนักโทษ 80 คน ให้การสนับสนุนในการสังหารเด็ก 102 คน และร่วมมือในการสังหารนักโทษอีก 1,000 คนนั่นเอง Ilse Koch ถ้าหากพูดถึงผู้หญิงที่โหดร้ายที่สุดในเยอรมัน เชื่อว่าคงมีหลายๆ คนนึกถึงเธอขึ้นมาเป็นคนแรก Ilse นั้นเดิมทีแล้วเป็นผู้หญิงธรรมดา ที่ได้มาเป็นผู้คุมหญิงของค่ายกักกัน Buchenwald จากการแต่งงานกับผู้บังคับบัญชาของค่ายกักกันในปี 1937 เธอมีชื่อเล่นว่า “แม่มดแห่ง Buchenwald ”…
-
25 ภาพชีวิตประจำวันใน “Ghetto” สลัมชาวยิวแห่งโปแลนด์ช่วงที่ถูกปกครองโดยนาซี
ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง ใช่ว่าชาวยิวทุกคนจะถูกส่งไปยังค่ายกักกันทั้งหมด โดยเฉพาะในโปแลนด์แล้วด้วย เพราะโดยมากแล้วชาวยิวจะถูกแยกออกไปอยู่ใน “Ghetto” พื้นที่สลัมสำหรับชาวยิวเสียมากกว่า นั่นทำให้ในปี 1941 ในพื้นที่เล็กๆ ของสลัมในวอร์ซอต้องมีผู้อยู่อาศัยมากถึง 460,000 ราย ซึ่งแม้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ในที่แห่งนี้จะนับว่าดีมากเมื่อเทียบกับค่ายกักกัน แต่ก็เลวร้ายอย่างเห็นได้ชัดเมื่อบอกว่าเป็นที่อยู่ของมนุษย์ด้วยกันอยู่ดี ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปดู 25 ภาพชีวิตประจำวันของคนในสลัมแห่งวอร์ซอ ไปชมกันว่าชาวยิวที่ไม่ได้อยู่ในค่ายกักกัน มีสภาพความเป็นอยู่แบบไหนกัน หญิงสาวผู้ที่กำลังจะหิวตาย นอนข้างทางเดินในวอร์ซอ การซื้อขายผักใน “ตลาด” ข้างถนน หญิงชราชาวยิวขายของใช้มีอยู่น้อยนิดเพื่อเงิน ชายชาวยิวขายขนมปังของตัวเองแลกเงิน ทุกสิ่งที่ขายได้จะถูกขายแลกเงินซื้ออาหาร แม้ว่าจะเป็นเศษเชือกก็ตาม การซื้อขายผ้าปูเตียงบนท้องถนน ร้านน้ำชาทำมือในตลาด เด็กหนุ่มที่พยายามขายขนมด้วยเก้าอี้ เด็กๆ ที่กำลังขายหนังสือพิมพ์และสายรัดแขน เด็กหนุ่มหน้าร้านขายของในสลัม เขาถอดหมวกออกตามกฎหมายที่ให้ถอดหมวกเมื่อเจอชาวเยอรมัน (ในที่นี้น่าจะเป็นตากล้อง) เหล่าชาวยิวและเด็กๆ โพสท่าให้กล้อง ชายคนหนึ่งที่กำลังอดอยาก ขอทานร่วมกับเด็กๆ (ที่อาจจะเป็นลูกของเขา)…
-
20 ภาพถ่ายจาก ‘มุมมืด’ ในอดีต ยุคทองของเหล่าอาชญากร มาเฟีย เจ้าพ่อ และสงคราม
อดีต มีทั้งเรื่องราวอันสดใสและดำมืด และเรื่องเล่าต่างๆ ที่ส่งผ่านกันมาปากต่อปากก็มักทำให้เราอยากเห็นภาพบรรยากาศของเรื่องเล่านั้นๆ เช่นเรื่องราวของแก๊ง Cairo ที่หลายคนต่างเคยได้ยินมาเพียงชื่อ แต่หากถามว่าพวกเขามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร หากไม่เห็นภาพก็คงอธิบายได้ยาก วันนี้ จึงรวบรวม 20 ภาพถ่ายจากมุมมืดในอดีต ที่แสดงให้เห็นถึงบรรยากาศอันมืดมัวและเรื่องราวน่าสนใจที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้ หากพร้อมแล้ว ไปชมกันเลย… 1. สมาชิกแก๊ง Cairo แก๊งนี้เป็นสายให้กับประเทศอังกฤษ ในช่วงเหตุการณ์ความเคลื่อนไหว Irish Republican Army โดยสมาชิกแก๊งส่วนใหญ่ถูกสังหารในวันที่ 21 พฤศจิกายน 1920 2. สมาชิกแก๊ง Growler เขากำลังจำลองวิธีการปล้นให้ช่างภาพดูเพื่อแสดงวิธีการปล้นที่พวกเขามักใช้กัน 3. ภาพโบสถ์ใหญ่ในเยอรมนีที่ถูกระเบิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 4. โฉมหน้าสมาชิกแก๊ง Five Points ของเมืองนิวยอร์ก ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 5. Giosue Gallucci และครอบครัว Giosue Gallucci เป็นผู้นำอาชญากรกลุ่ม Italian Harlem ของนิวยอร์ก …
-
หลักฐานใหม่ชี้ พระสันตะปาปา “หญิง” อาจมีตัวตนอยู่จริง หลังถกเถียงกันมานาน
พูดถึงพระสันตะปาปาแล้ว ไม่ว่าภาพในหัวที่เรานึกถึงจะเป็นใครอย่างน้อยๆ ภาพที่ออกมาก็คงจะเป็นผู้ชายก่อนเป็นอย่างแรก ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าในสมัยก่อนเคยมีข้อมูลของพระสันตะปาปาที่เป็นผู้หญิงอยู่ด้วย!! นี่คือพระสันตะปาปาหญิงโจน หรือพระสันตะปาปาหญิง Johannes Anglicus หนึ่งในพระสันตะปาปาที่เชื่อกันว่าดำรงตำแหน่งอยู่ช่วงศตวรรษที่ 13 ผู้ที่ว่ากันว่าขึ้นเป็นพระสันตะปาปาโดยปลอมตัวเป็นผู้ชาย แต่ก็ความลับแตกเพราะคลอดลูกบนหลังม้า อย่างไรก็ตามนักวิชาการส่วนมากในปัจจุบันกลับเชื่อว่าเธอนั้นเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น และพระสันตะปาปาหญิงไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงแต่อย่างใด เนื่องจากหลักฐานโบราณเกี่ยวกับพระสันตะปาปาในอดีต มักจะไม่มีการพูดถึงเธอเลย แต่หลังจากที่มีการถกเถียงมาอย่างยาวนานนั่นเอง ล่าสุดนี้ทางมหาวิทยาลัย Flinders ในแอดิเลด ออสเตรเลียก็ได้มีการออกมาแสดงทฤษฎีที่น่าสนใจที่จะบอกเราว่าพระสันตะปาปาหญิงนั้นอาจจะมีตัวตนอยู่จริง โดยอ้างอิงจาก “เหรียญ” ในสมัยก่อนนั่นเอง นี่เป็นทฤษฎีที่เกิดขึ้นจากการตรวจสอบเหรียญเงินที่ชื่อ “Deniers” ซึ่งเป็นเหรียญเงินที่ใช้กันในยุโรปตะวันตกในยุคกลาง และได้อิทธิพลมาจากเหรียญเงินโรมันโบราณ “Denarius” เหรียญเงินที่ว่านี้สั่งจัดทำโดยมีด้านหนึ่งเป็นชื่อของจักรพรรดิแห่งแฟรงค์ และอีกด้านหนึ่งเป็นชื่อย่อของพระสันตะปาปาในสมัยนั้น เดิมทีแล้วนักโบราณคดีเชื่อกันว่านี่น่าจะเป็นชื่อย่อของพระสันตะปาปาโจนที่ 8 ผู้ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 872-882 อย่างไรก็ตามในบรรดาเหรียญเงินของพระสันตะปาปาโจนที่ 8 ที่พบนั้นมีอยู่รุ่นหนึ่งที่มีลักษณะการลงชื่อแตกต่างไปจากรุ่นอื่นมากๆ อยู่ ภาพเปรียบเทียบการออกแบบเหรียญทั้งสอง ความแตกต่างใหญ่ๆ อยู่ที่ตัว S กับตัว O จะสลับที่กัน นอกจากนี้รายละเอียดอื่นๆ ก็จะต่างกัน…
-
พบรูปสลักสฟิงซ์เก่าแก่ จากยุคราชวงศ์ทอเลมี ระหว่างการลดระดับน้ำใต้ดินวิหารโบราณ
สฟิงซ์เป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับอียิปต์มาเป็นเวลานาน มันเป็นสัตว์ที่มีส่วนผสมของสัตว์หลายชนิดรวมอยู่ในตัวเดียวกัน และเป็นความเชื่อที่มีอยู่ในหลายวัฒนธรรม อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2018 ที่ผ่านมา กระทรวงโบราณวัตถุของอียิปต์ได้มีการออกมาเปิดเผยการค้นพบล่าสุดของรูปสลักสฟิงซ์โบราณ ในทางตอนใต้ของเมืองอัสวานประเทศอียิปต์นั่นเอง นี่เป็นสฟิงซ์ที่มีความสมบูรณ์ค่อนข้างสูง มีลำตัวเป็นสิงโต และหัวเป็นคนซึ่งใส่เครื่องประดับศีรษะเหมือนงู รูปสลักที่พบมีความสูงราว 38 ซม. และกว้าง 28 ซม. เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในยุคของราชวงศ์ทอเลมี ราชวงศ์ที่ปกครองอียิปต์ในช่วง 305-30 ปีก่อนคริสตกาล นั่นทำให้สฟิงซ์ที่พบมีอายุกว่า 2,000 ปีเลยทีเดียว การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินการลดระดับน้ำใต้ดินในวิหารโบราณ “Kom Ombo” ที่อยู่ใกล้ๆ แม่น้ำไนล์นั่นเอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการค้นพบวัตถุโบราณในวิหารโบราณ Kom Ombo เพราะก่อนหน้านี้เองก็มีการขุดพบภาพแกะสลักที่ซับซ้อน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้งานเครื่องมือผ่าตัดรุ่นแรกๆ ของแพทย์ในสมัยโบราณมาแล้ว จริงอยู่ว่าราชวงศ์ทอเลมีจะเป็นราชวงศ์ที่มีเชื่อสายมาจากกรีก มาซิโดเนียแต่ราชวงศ์นี้ก็ยังคงมีการหยิบยืมวัฒนธรรมจากชาวอียิปต์โบราณมาค่อนข้างมากเพราะจากภาพวาดของทอเลมีที่ 1 โซเตอร์ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์เองก็มีการใส่เครื่องประดับแบบฟาโรห์ในอดีต แถมรูปปั้นสฟิงซ์ที่พบเองก็เป็นงานศิลป์ในรูปแบบอียิปต์โบราณด้วยเช่นกัน ที่มา livescience
-
ปริศนาลึกลับแห่งสงครามเกาหลี เมื่อมีรายงานว่าทหารสหรัฐฯ ถูกโจมตีโดย “UFO”
หลังจากที่สงครามเกาหลีเริ่มต้นขึ้นได้ประมาณหนึ่งปี ในช่วงเดือนพฤษภาคม 1951 ได้มีรายงานทหารสหรัฐฯ หลายคน พบกับแสงประหลาดที่คล้ายกับ UFO ลอยอยู่บนน่านฟ้าประเทศเกาหลี ว่ากันว่า UFO ที่พวกเขาพบนั้นมีสภาพคล้าย “แจ็กโอแลนเทิร์น” (ตะเกียงฟักทอง) ที่บินอยู่บนท้องฟ้า และจะ “โจมตี” ทหารสหรัฐฯ ด้วยแสงประหลาดที่ทำให้พวกเขามีอาการอ่อนเพลียรุนแรง ก่อนที่จะกลายเป็นปริศนาและเรื่องเล่าขานในกองทัพไปอีกหลายปี เชื่อกันว่าตลอด 37 เดือนในสงครามเกาหลี มีรายงานการพบกับ UFO ในลักษณะนี้อย่างน้อยๆ 42 ครั้ง เรียกได้ว่ามีความถี่ในการพบมากกว่า 1 ครั้งต่อเดือนเลยทีเดียว หลังจากที่สงครามพบลงในปี 1953 ก็มีแนวคิดมากมายที่ออกมาอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เหล่าทหารได้พบ โดยนักวิทยาศาสตร์ส่วนมากเชื่อว่า UFO เหล่านี้น่าจะเป็นอาวุธรุ่นทดลองของทางโซเวียตที่มีต้นแบบมาจากเทคโนโลยีเกี่ยวกับระบบต้านแรงโน้มถ่วงของเยอรมัน อย่างไรก็ตามหลังจากที่สหภาพโซเวียตล่มสลายไป ก็มีการออกมาเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วก็มีทหารโซเวียตจำนวนมากเช่นกันที่พบกับ UFO ที่ว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้แนวคิดที่ว่า UFO ที่พบเป็นอาวุธของทางโซเวียตขาดความน่าเชื่อถือไป เมืองชอวอนหนึ่งในสถานที่ที่มีรายงานการพบ UFO ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงมีการพบเห็น UFO หลายครั้งเหลือเกิน? นี่เป็นคำถามที่อยู่ในหัวของทางสหรัฐอเมริกาตลอดช่วงปี 1952-1986 ถึงขนาดที่มีการจัดตั้งโครงการ “Project…
-
นักวิทย์พบ “สัตว์ที่เก่าแก่ที่สุด” อายุกว่า 558 ล้านปี และรูปร่างคล้าย “เอเลี่ยน”
อย่างที่หลายๆ คนทราบ โลกของเรานั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดที่หน้าตาไม่เหมือนกับสิ่งที่ควรมีอยู่บนโลกเท่าไหร่ ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดที่เราเคยพบเอง ก็มีลักษณะที่ประหลาดสุดๆ เช่นเดียวกัน นี่คือซากของ “Dickinsonia” สิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งถูกค้นพบในไขมันสัตว์โบราณ ที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศรัสเซีย และมีอายุมากถึง 558 ล้านปี ซึ่งมากกว่าอดีตฟอสซิลสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดอย่าง Kimberella ถึง 3 ล้านปีเลยทีเดียว Dickinsonia เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีรูปร่างเป็นวงรีแบนๆ คล้ายแพนเค้ก ที่มี “ซี่โครง”อยู่ทั่วทั้งตัวคล้ายสัตว์ประหลาดในหนังสยองขวัญ และสามารถมีขนาดตัวได้ยาวที่สุดถึงราวๆ 1.4 เมตร Dickinsonia ถูกค้นพบใน White Sea ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศรัสเซีย ที่จริงแล้วเราทราบถึงการมีอยู่ของ Dickinsonia มาก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากมีการพบฟอสซิลของมันในทางตอนใต้ของออสเตรเลียมาก่อน อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่มีการค้นพบตัวอย่างที่สมบูรณ์และมีความเก่าแก่ขนาดนี้ ตัวอย่างที่พบนี้สมบูรณ์ขนาดที่ว่ายังมีโมเลกุลคอเลสเตอรอลอยู่ ทั้งๆ ที่ผ่านช่วงเวลาที่เรียกว่า “การระเบิดของแคมเบรียน” มาเลยด้วยซ้ำ นั่นทำให้การค้นพบในครั้งนี้มีค่าในทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์มาก เพราะการค้นพบโมเลกุลคอเลสเตอรอลชนิดนี้เป็นสิ่งยืนยันเป็นอย่างดีว่า Dickinsonia ที่เคยมีการถกเถียงกันอย่างยาวนานว่าเป็นมีชีวิตตระกูลสัตว์ หรือตระกูลเชื้อรานั้น แท้จริงแล้วจัดเป็นสัตว์อย่างแน่นอน “การค้นพบไขมันของฟอสซิลนี้ยืนยันแล้วว่า Dickinsonia เป็นฟอสซิลสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุด เรียกได้ว่ามันช่วยไขปริศนาที่เป็นเหมือนจอกศักดิ์สิทธิ์ของวงการสัตว์และพืชดึกดำบรรพ์มากว่าทศวรรษเลยทีเดียว” Jochen Brocks นักวิจัยอาวุโสประจำมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียกล่าว…
-
ย้อนอดีตชม 20 ภาพน่าสะเทือนใจของ “การใช้แรงงานเด็ก” ช่วงยุค 1900s ในสหรัฐฯ
ในช่วงต้นๆ ของคริสต์ศักราช 1900 สำหรับวงการอุตสาหกรรมแล้ว แรงงานมนุษย์นั้นจำเป็นอย่างยิ่ง แม้จะเริ่มมีการใช้งานเครื่องจักร แต่ก็ไม่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ทุกอย่าง ฉะนั้น โรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบการใดที่มีแรงงานมนุษย์มากก็ถือว่าได้เปรียบ ในช่วงยุคนั้นจึงนิยม การใช้แรงงานเด็ก เพื่อทำงานในบางหน้าที่ จนสุดท้ายกลายเป็นการกดขี่อันน่าเศร้าที่เด็กๆ ต้องเจอ บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจของการใช้แรงงานเด็กในในอดีตช่วงยุค 1900s ถูกเก็บมาเป็น “ภาพ” ให้คนรุ่นหลังได้ชม วันนี้ เราจึงจะพาทุกท่านไปชมภาพเหล่านั้นกัน… 1. Giles Edmund Newsom เด็กวัย 11 ปีที่ทำงานเกี่ยวกับกังหันลม และแล้วอุบัติเหตุจากเครื่องจักรก็พรากนิ้วมือของเขาไป 2. Rosie วัย 7 ขวบกับปีที่สองของการเป็นคนงานแกะเปลือกหอย 3. เด็กส่งหนังสือพิมพ์คนหนึ่งผล็อยหลับบนขั้นบันได้พร้อมกับหนังสือพิมพ์ที่เขาต้องส่ง 4. Ferris เด็กส่งหนังสือพิมพ์วัย 7 ขวบ 5. Mary วัย 4 ขวบกับหน้าที่แกะเปลือกหอย 6. Vance วัย 15 ปีคอยเปิดปิดประตู ทำงาน 10…
-
17 ภาพสิ่งของในประวัติศาสตร์ ร่องรอยแห่งอารยธรรมที่หาดูได้ยากบนโลกใบนี้
ใครๆ ต่างก็เป็นอันรู้กันดีกว่าโลกของเรามีประวัติศาสตร์มาอย่างเนิ่นนาน แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่เราจะมีโอกาสได้เห็นร่องรอยอารยธรรมที่สิ่งมีชีวิตรุ่นก่อนๆ ทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า แต่ว่าในวันนี้อาจเป็นโอกาสอันดีที่เราจะทำความรู้จักกับสิ่งของต่างๆ ในประวัติศาสตร์ ซึ่งทั้งนี้สิ่งที่พวกคุณกำลังจะได้เห็นเป็นส่วนหนึ่งของงานนิทรรศการของพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ที่จัดขึ้นทั่วโลก เอาล่ะพร้อมแล้วใช่ไหม งั้นไปลุยกันเลยดีกว่า!! นี่คือวิกที่ทำมาจากผมของมนุษย์จริงๆ (ทำขึ้นในช่วงประมาณปี 1543 – 1292 ก่อนคริสต์ศักราช) ฟันของฉลามเม็กกาโลดอนติดอยู่ที่กระดูกสันหลังของวาฬตัวหนึ่ง ธงของเรือรบ San Ildenfonso สัญชาติสเปน ที่ใช้ต่อสู้กับเรือเดินสมุทรของชนชาติอังกฤษในศึก Trafalgar (1805) โครงกระดูกของมนุษย์ขณะกำลังขี่โครงกระดูกของม้า หน้าตาของอุปกรณ์โบราณที่ชาวโรมันใช้สำหรับการผ่าตัดเนื้อเยื่อหรือกระดูกต่างๆ สิ่งนี้เรียกว่า ‘Trephine’ หนึ่งในชุดดำน้ำที่เก่าแก่ที่สุดในโลก (ประมาณศตวรรษที่ 18) อุปกรณ์เอนกประสงค์แบบฉบับโบราณในช่วงศตวรรษที่ 16 (น่าจะอารมณ์มีดพับเราแหละ) โหลใส่เกลือที่ออกแบบมาเป็น 6 เหลี่ยมตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมของฝรั่งเศส (1550 – 1570) ภาพรองเท้าแตะของฟาโรห์ทุตอังค์อามุน (Tutankhaten) ขวดใส่ไวน์รูปทรงแรดของราชวงศ์ฮั่น (ประมาณช่วง 300 – 100 ปีก่อนคริสตกาล)…
-
16 ภาพที่ทั้งน่าสนใจ และสะเทือนใจ ของการรักษาพยาบาลจากสงครามโลกครั้งที่สอง
การรักษาคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากจะต้องมีความรู้แล้ว ในหลายๆ ครั้งคนเป็นหมอยังต้องรับกับความกดดันที่อาจจะทำให้คนไข้เสียชีวิตเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าหมอเหล่านั้นต้องทำงานในสภาวะสงครามด้วยพวกเขาจะต้องรู้สึกกดดันขนาดไหนกันนะ และการรักษาของพวกเขาจะต่างไปจากปกติอย่างไรบ้าง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาทุกๆ คนไปหาคำตอบกันใน 16 ภาพที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลจากสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ทั้งน่าสนใจ และสะเทือนใจไปในเวลาเดียวกันข้างล่างนี้ เริ่มกันด้วยภาพจากโรงพยาบาลรัสเซียในเลนินกราดหลังถูกจู่โจมโดยนาซีเยอรมันเมื่อปี 1942 ทหารผู้ได้รับบาดแผลที่ดวงตาทั้งของข้างระหว่างเข้ารับการรักษา โรงพยาบาลสนามของสหรัฐฯ ในเมืองคาแนนทันประเทศฝรั่งเศส ทหารที่เปื้อนไปด้วยเลือดพยายามกลืนยาซัลฟาที่เพื่อนทหารป้อนให้ Geneviève Marie และพี่ชาย ผู้ซึ่งเพิ่งจะกำพร้าพ่อแม่แบบสดๆ ร้อนๆ ได้รับการรักษาโดยทหารแพทย์สหรัฐฯ การป้อนอาหารให้กับทหารสหรัฐฯ ผู้ซึ่งโดนไฟคลอกแทบทั้งตัวในตอนที่เรือของเขาโดนคามิคาเซ่โดยทหายญี่ปุ่นในระหว่างการรบที่อิโวจิมา Mary Jensen พยาบาลหญิงของกองทัพ มองผ่านรูบนเรือที่เกิดจากการคามิคาเซ่ Sylvia Pavolvich พยาบาลหญิงจากหน่วยโรงพยาบาลผ่าตัดเคลื่อนที่ที่ 8209 กำลังให้เลือดทหารผู้บาดเจ็บ ทหารเสนารักษ์จากทัพเรือป้อนน้ำเพื่อนทหารที่บาดเจ็บ หน่วยพยาบาลที่ย้ายจากแอฟริกามาประจำการที่นอร์มองดีประเทศฝรั่งเศส การดูแลสุขภาพเชลยศึกในมนิลาประเทศฟิลิปปินส์ การให้ยาสลบโดยพยาบาลในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การรักษาทหารอเมริกันที่บาดเจ็บขณะโจมตีหาดโอมาฮ่า เหล่าหน่วยพยาบาลระหว่างการหยุดพักจากงานในนอร์มองดี…
-
24 ภาพความเสียหายจากเพิร์ลฮาร์เบอร์ ในตอนที่ถูกโจมตีอย่างฉับพลันจากประเทศญี่ปุ่น
เช้าวันที่ 7 ธันวาคม 1941 เป็นหนึ่งในวันที่คนสหรัฐอเมริกาจดจำได้เป็นอย่างดี เมื่อมีการจู่โจมอย่างฉับพลันจากประเทศญี่ปุ่นเข้าที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ จริงอยู่ที่การโจมตีครั้งนี้มีเจตนาเพื่อป้องกันไม่ให้กองเรือของสหรัฐเข้าแทรกแซงการปฏิบัติการของญี่ปุ่น แต่ในขณะเดียวกัน การโจมตีในครั้งนี้ก็เป็นการปลุกเสือที่หลับอยู่โดยไม่รู้ตัวของทางญี่ปุ่นเช่นกัน เพราะการโจมตีนี้ทำให้สหรัฐฯ เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ที่คนในสหรัฐฯ จะโมโหกับการโจมตีในครั้งนี้ โดยเฉพาะเมื่อการโจมตีที่ว่านำมาซึ่งความเสียหายแบบในภาพทั้ง 24 ภาพต่อไปนี้ เรือรบ USS West Virginia ที่ลุกเป็นไฟในเพิร์ลฮาร์เบอร์ เรือ USS Shaw ที่ระเบิดอย่างรุนแรง หลุมฝังศพของผู้เสียชีวิตในระหว่างการโจมตี ลูกเรือที่จำเป็นต้องทิ้งเรือ USS California อีกมุมหนึ่งของการทิ้งเรือ USS California ร่างไร้วิญญาณของชายบนรถที่พรุนไปด้วยสะเก็ดระเบิดจากการโจมตีของญี่ปุ่น USS Oklahoma ล่มอยู่ข้างๆ USS Maryland แถมสุดท้ายสุดท้ายก็ถูกทำลายทั้งคู่ด้วย ทะเลที่ลุกเป็นเพลิงจากน้ำมัน หลุมปืนกลที่ทำขึ้นอย่างเร่งด่วน เพื่อตอบโต้การโจมตี เรือรบที่เสียหายในท่าเรือ เครื่อง B-17C ที่หายไปเกือบครึ่งลำ The USS Arizona ลุกเป็นเพลิง…
-
เปิดประวัติ “เครื่องอบทารก” จากโชว์ในสวนสนุก สู่เครื่องมือที่ช่วยชีวิตเด็กมากมาย
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ไปจนถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หากคุณเดินทางไปที่สวนสนุกบนเกาะโคนีย์ ในสหรัฐอเมริกา คุณอาจจะได้เล่นน้ำ ทานไอศกรีม เล่นรถไฟเหาะ หรือไปดูเครื่องอบทารกของจริงที่มีเด็กอยู่ในนั้นก็ได้!! นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ฟังดูแปลก แต่เชื่อหรือไม่ว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ในอดีต เพราะในสมัยนั้นการใช้เครื่องอบทารกเพื่อดูแลเด็กที่คลอดก่อนกำหนดนั้นมักจะทำกันในสวนสนุกจริงๆ เดิมที่แล้วเครื่องอบทารกเป็นวิทยาการที่เชื่อกันว่าถูกคิดค้นขึ้นมาโดย Stéphane Tarnier สูติแพทย์ชาวฝรั่งเศสโดยมีแรงบันดาลใจมาจากเครื่องฟักไข่ของลูกเจี๊ยบ อย่างไรก็ตามในช่วง 5 ปีแรกหลังจากที่คิดค้นขึ้นมา เครื่องอบทารกกลับถูกมองว่าเป็นของไร้สาระโดยแพทย์ส่วนใหญ่ เหตุผลของการดูถูกเครื่องอบทารกในสมัยนั้น เชื่อว่าเกิดจากการที่มีทารกน้อยมากที่จะสามารถรอดชีวิตจากการคลอดก่อนกำหนดมาได้ และมีแพทย์ระดับสูงจำนวนมากที่มองว่าเครื่องอบทารก “ไม่ใช่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์” หน้าตาของเครื่องอบทารกที่ Stéphane Tarnier คิดค้น โชคดีที่ Martin Couney ชายชาวเยอรมันคนหนึ่งเห็นคุณค่าของเจ้าเครื่องอบทารกขึ้นมา เขามีความคิดที่ว่าเขาจะสามารถ “ช่วยเหลือเด็ก” และ “หาเงิน” จากการโชว์การใช้งานเครื่องมือที่ว่านี้ได้ ดังนั้นหากโรงพยาบาลไม่เห็นค่าของเครื่องอบทารก Couney ก็จะเป็นคนช่วยทารกเหล่านี้เอง และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ Martin Couney ได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเครื่องอบทารกแบบในปัจจุบัน และทำให้มันกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก Couney ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาแบบถาวร ก่อนจะนำเครื่องอบทารกไปตั้งโชว์ในสวนสนุกในปี 1903 และปฏิบัติการช่วยเหลือเด็กแรกเกิด ไปพร้อมๆ กับเก็บเงินค่าเข้าชมจากเหล่าคนที่สนใจเข้ามาดูเครื่องมือน่าพิศวงของเขา เชื่อกันว่าที่ Couney เชื่อมั่นในเครื่องอบทารกขนาดนี้มาจากการที่ Hildegard…
-
ย้อนยุคโฆษณาช่วง 1930 เคยมีการเอาแพทย์เป็นพรีเซ็นเตอร์ “บุหรี่ดีต่อสุขภาพ”
ในปัจจุบันงานวิจัยจำนวนมากได้ออกมาชี้ให้เราเห็นถึงอันตรายของการสูบบุหรี่กันอย่างต่อเนื่อง จนไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในหลายๆ ที่จะมีการตั้งเขตห้ามสูบบุหรี่กันขึ้นมาอย่างจริงจัง แต่เชื่อกันไหมว่าในสมัยก่อนนั้น ไม่เพียงแต่โลกจะยังไม่มีการค้นพบความเกี่ยวข้องของบุหรี่กับโรคปอดบวมและมะเร็งเท่านั้น แต่บริษัทผลิตบุหรี่จำนวนมากในสมัยนั้น ยังใช้แพทย์มาช่วยโฆษณาบุหรี่อีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงยุค 1930-1940 ที่คนยังไม่รู้กันว่าบุหรี่มีความเกี่ยวข้องกับโรคร้าย นั่นทำให้บริษัทผลิตบุหรี่หลายๆ ที่แข่งใช้ความน่าเชื่อถือของแพทย์มาโฆษณา เพื่อให้บุหรี่ของตัวเองขายดีขึ้นสักนิด นี่เป็นการแข่งกันเพื่ออ้างว่าบุหรี่ของตัวเองสร้างความ “ระคายเคืองในลำคอ” น้อยกว่ายี่ห้ออื่นๆ เนื่องจากในสมัยนั้น ปัญหาใหญ่ของการสูบบุหรี่ไม่ได้อยู่ที่โรคมะเร็ง หรือถุงลมโป่งพอง แต่เป็นการระคายเคืองต่างหาก บริษัทแรกที่นำแพทย์มาให้อ้างอิงในโฆษณาคือบริษัท American Tobacco ผู้เป็นเจ้าของบุหรี่ Lucky Strikes โดยมีการอ้างว่า แพทย์กว่า 20,679 รายบอกว่าบุหรี่ “Lucky ระคายเคืองคอน้อยกว่า” ในปี 1930 แถมนี่ยังเป็นตัวเลขที่มีการสำรวจมาจริงๆ ทำให้มีความน่าเชื่อถือมากกว่าการบอกว่า “หลายๆ คนชอบ” เหมือนที่ผ่านๆ มาอีกด้วย การกระทำในครั้งนี้นำไปสู่การต่อสู้ด้วยโฆษณาทางการแพทย์ของบริษัทบุหรี่หลายๆ เจ้าในทันที จนกระทั่งหนึ่งในบริษัทบุหรี่ Philip Morris ถึงกับออกมาบอกว่าบุหรี่ของตัวเอง “รักษา” อาการระคายเคืองในคอได้เลยด้วย นั่นทำให้ในช่วงยุค 40 มีจำนวนคนสูบบุหรี่จนเป็นโรคถุงลมโป่งพองเพิ่มขึ้นมาก แต่แม้คนจะเริ่มรู้สึกถึงอัตราการเป็นโรคถุงลมโป่งพองกันมากขึ้น แต่ก็ใช้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามันมาจากบุหรี่อยู่ดี แต่แล้วในช่วงกลางยุค…
-
เปิดเรื่องราวของ Las soldaderas กลุ่มนักรบหญิงแห่งสงครามการปฏิวัติเม็กซิโก
ภาพลักษณ์ของสงครามนั้นมักถูกมองว่าเป็นเรื่องของผู้ชาย ทั้งๆ ที่ก็มีผู้หญิงหลายๆ คนที่ปรากฏตัวขึ้นในสงครามในประวัติศาสตร์อยู่เรื่อยๆ แถมไม่ใช่แค่คนสองคนแต่เสียด้วย นี่เป็นเรื่องราวของ Las soldaderas กลุ่มนักรบหญิงแห่งสงครามการปฏิวัติเม็กซิโกเมื่อปี 1910 มันเป็นสงครามที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นการล้มล้างการปกครองแบบเก่า และสถาปนารัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามสำหรับผู้หญิงในสมัยนั้นแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่พวกเธอจะได้หลุดพ้นจากบทบาทดั้งเดิมของผู้หญิง พวกเธอเขาร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วยความสมัครใจ บางครั้งก็เป็นการติดตามสามีเฉยๆ บางครั้งก็เป็นการไปเป็นพยาบาลสนาม หรือแม้กระทั่งปลอมตัวเป็นผู้ชายจับอาวุธร่วมรบในฐานะทหารอาสา อย่างไรก็ตาม Las soldaderas ที่คนรู้จักกันมากที่สุดน่าจะเป็นเหล่าทหารหญิงของฝั่งปฏิวัติที่ใส่กระโปรงดั้งเดิม ใส่หมวกปีกกว้างและพกปืนไปรบนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเหล่าผู้หญิงที่แต่งกายเป็นผู้ชายจะไม่มีชื่อเสียงในสงครามเลย แถมเอาจริงๆ คนเหล่านี้ยังอาจจะใช้ชีวิตลำบากกว่าสาวๆ ที่เข้าร่วมสงครามในฐานะพยาบาล หรือแต่งตัวเป็นหญิงไปเลยด้วยซ้ำ พวกเธอต้องปลอมตัวเพื่อป้องกันการถูกดูหมิ่นจากผู้ชายและเจ้าหน้าที่ระดับสูง แถมยังต้องคอยรักษาความลับไม่ให้ใครรู้ หรือหากถูกรู้เข้าก็ต้องมีไหวพริบมากพอที่จะไม่ทำให้มีใครมาเอาเปรียบได้ ตัวอย่างที่ดีของผู้หญิงที่ปลอมเป็นผู้ชายในสงครามครั้งนี้คือ Angela Jimenez และ Amelia Robles โดยทั้งสองคนมีวิธีการรับมือกับผู้ชายที่แตกต่างกันมาก Angela ปลอมตัวเป็นชายที่ถูกเรียกกันว่า Pedro ตัวจริงของเธอถูกรู้โดยชายหลายคนมาก ถึงอย่างนั้นเธอก็มีวิธีรับมือกับคนเหล่านั้น โดยการโกหกว่าเธอเป็นพวกตื่นเช้ามากๆ เพื่อขึ้นมาโกนขน ก่อนที่คนอื่นๆ จะตื่น (ว่าง่ายๆ ว่าเธอขู่ผู้ชายอ้อมๆ ว่าถ้าทำอะไรเธอ เธอจะแอบฆ่าด้วยมีดโกนตอนนอนนั่นเอง) ส่วน Amelia…
-
5 เหล่ากษัตริย์จากยุคโบราณที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่ก็ทำ “ชื่อเสีย” เอาไว้มากมายจนน่าตกใจ
อย่างที่เราทราบกันว่าชนชั้นสูงในอดีตบางครั้งก็ชอบทำอะไรที่ไม่ค่อยน่าชื่นชมสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาจากไป เรื่องที่พวกเขาเคยทำก็มักจะถูกเปิดเผยออกมา ไม่ต่างอะไรจากคำว่าน้ำลดตอผุดเลยนั่นเอง เหมือนดังเช่นเหล่ากษัตริย์จากยุคโบราณที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก 5 คนต่อไปนี้ แต่ถึงไม่ได้มีมีชื่อเสียงมากนัก แต่ก็มีวีรกรรมทำ “ชื่อเสีย” ไว้จนสงสัยว่า คนพวกนี้เป็นโรคจิตรึเปล่าเลยทีเดียว Tiberius เขาคือจักรพรรดิคนที่สองแห่งกรุงโรม ครองราชย์ตั้งแต่คริสต์ศักราชที่ 14-37 และมีชื่อเสียมาจากการฝึกเด็กตัวเล็กๆ ให้คลานไปบนขาของเขา และ “เล้าโลม” ตัวเขาด้วยการเลียและใช้หัวนมถู แถม Suetonius นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันโบราณยังบอกอีกว่า Tiberius เคยแม้กระทั่งให้ทารก “อม” ให้กับเขาเลยทีเดียว นอกจากนี้ Tiberius ยังมีการจัดงานเซ็กส์หมู่ แถมยังสร้างห้องสมุดเร้าอารมณ์เพื่อให้ทาสเซ็กส์ของเขาสามารถเรียนรู้ท่าทางใหม่ๆ เพื่อให้งานในอนาคตอีกด้วย Commodus เขาคือจักรพรรดิแห่งโรมที่ครองราชย์ตั้งแต่คริสต์ศักราชที่ 180-192 เชื่อกันว่าหลายๆ คนน่าจะรู้จักเขาจากหนังเรื่อง Gladiator นายคนนี้เป็นจักรพรรดิที่หลงใหลในการฆ่าคนมาก ถึงขั้นที่ว่าเคยว่างแผนแกล้งทำเป็นว่ามีคนหมายเอาชีวิตตัวเองเพื่อหาเหตุผลไปโจมตีศัตรูเลยทีเดียว นอกจากนี้เขายังเคยสั่งให้นักบวชของเทพีเบลโลนาตัดแขนออกมาและเอาไปพาดคนอื่นอีกด้วย Phalaris เขาคือทรราชแห่ง Acragas เมืองกรีกโบราณในเกาะซิซิลี มีชีวิตในช่วง 570-554 ปีก่อนคริสตกาล ขึ้นชื่อจากการแย่งอำนาจก่อนจะปกครองเมืองอย่างเผด็จการ แต่สิ่งที่ทำให้ชายผู้นี้มีชื่อเสียงที่สุดกลับมาจากเครื่องประหารของเขานั่นเอง มันคือโคสัมฤทธิ์เครื่องประหารที่จะนำตัวนักโทษใส่เข้าไปในรูปปั้นวัวก่อนนำไปจุดไฟเผา อบตัวผู้ที่อยู่ข้างในจนตาย พร้อมๆ เสียงร้องทุรนทุรายที่เปล่งออกมาคล้ายเสียงของวัว Domitian เขาคือจักรพรรดิแห่งโรมที่ครองราชย์ตั้งแต่คริสต์ศักราชที่…
-
ย้อนอดีตชม 22 แบรนด์ดังกับ “โลโก้ยุคแรก” ของพวกเขา บอกเลยว่า…มาไกลมาก!!
เมื่อเห็นโลโก้ของ แบรนด์ดังระดับโลก หลายคนต้องนึกออกแน่ๆ ว่าโลโก้นั้นๆ เป็นของแบรนด์อะไร เพราะว่าแบรนด์ดังส่วนมากจะมีโลโก้ที่ติดตราตรึงใจผู้คน จนใครเห็นก็ต้องจำได้ แต่หารู้ไม่ว่าโลโก้แบรนด์ดังที่เห็นกันในปัจจุบันนั้นไม่ใช่เวอร์ชั่นออริจินัลหรอกนะ เพราะถ้าหากย้อนกลับไปยัง โลโก้ยุคแรกเริ่มของมัน จะเห็นได้ว่ามันต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง วันนี้เราจึงจะพาไปชม โลโก้ยุคแรกเริ่มของแบรนด์ดังระดับโลก ที่ต่างจากสมัยนี้มาก จนคุณๆ ทั้งหลายอาจจำไม่ได้ว่ามันมาจากแบรนด์อะไรกันแน่… 1. Playboy กับยุคแรกที่เป็นเจ้าต่ายแบบเต็มตัว 2. Adidas กับยุคเก่าพร้อมชื่อเต็มๆ ว่า Adolf Dassler 3. Burger King กับโลโก้ยุคแรกที่มีพระราชาบนเบอร์เกอร์ 4. Ford กับโลโก้ยุคแรกที่ดูคลาสสิก 5. Lego กับโลโก้ที่แปลกตา แต่มันก็คือโลโก้จริงในยุคแรกของแบรนด์ 6. Nestle กับโลโก้ยุคแรกที่มีเกราะอัศวินอยู่บนนั้น 7. Adobe กับโลโก้ยุคแรกที่มาพร้อมชื่อเต็ม 8. โลโก้ยุคแรกของ Canon มาเป็นองค์เทพกวนอิมพร้อมชื่อเดิมว่า Kwanon …
-
หนุ่มแต่งตัวเป็น ‘แมคโดนัน’ เกาะกระแสหนังดัง มัวแต่จ้องมองคนอื่น บาปกรรมตามเล่นทันที…
หลังจากที่เข้าโรงกันไปแล้ว กับเรื่องราวขยายจักรวาลผีปีศาจ The Nun จนกลายมาเป็นกระแสแต่งตัวเป็นแม่ชีไปดูหนัง แถมยังจะพากันแต่งตัวออกมาใช้ชีวิตประจำวันกันอีกด้วย… อาจจะเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน ที่จะมีคนแต่งตัวแปลกๆ ออกจากบ้าน เพื่อให้เป็นจุดเด่นของวันนั้น อย่างมาเป็นผีแม่ชีนั่งกินเบอร์เกอร์ในร้านอาหารเช่นนี้ คลิปนี้ถ่ายเอาไว้โดยนาย Roberto Da Matta Filgueiras จากประเทศบราซิล ในขณะที่เขากำลังมีความสุขกับมื้อค่ำ ก็ดันไปเจอเพื่อนโต๊ะอื่นหน้าตาซีดเซียว นั่งเคี้ยวเบอร์เกอร์แบบจ้องไปทั่วร้าน พี่แกไม่ได้ตั้งใจมาหลอกใคร ไม่ได้ตั้งใจมาอาละวาด ก็แค่หิวข้าวแบบไม่มองอาหารตัวเอง ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ลูกค้าท่านอื่น แต่จังหวะกินเร็วๆ มันจะติดคอ ต้องทานน้ำตาม… โชคร้ายของผีแม่ชีจริงๆ ที่คว้าแก้วดูดน้ำได้ ตาที่ไม่ยอมมองแก้วกลับมาทำร้ายตัวของนางเอง เล็งหลอดไม่ตรงปาก ทิ่มเต็มๆ เข้ารูจมูก เจ็บยิ่งกว่าโดนคาถาไล่ผีอีกกกก… หรือว่าผีจะกินน้ำผ่านจมูก!? ฮร่าาา หวังว่าแม่ชีจะรีบกินให้อิ่ม แล้วออกไปทำงานกะกลางคืนต่อนะ ที่มา: @roberto.damattafilgueiras, unilad
-
ชม 25 ภาพตัวอย่าง “ความผิดปกติทางการแพทย์” ที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ Mütter
พิพิธภัณฑ์ Mütter เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากของสะสมของ Dr. Thomas Mütter ผู้เก็บรวบรวมตัวอย่างความผิดปกติทางการแพทย์มากกว่า 20,000 อย่างเอาไว้ จนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กลายเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากตั้งแต่ตอนเปิดตัวขึ้นในปี 1863 ของส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่มักจะเป็นของแปลก หรือสิ่งหายากทางด้านการแพทย์เสียส่วนใหญ่ แต่จะแปลกขนาดไหนนั้น เชิญไปชมตัวอย่างกันได้ที่ข้างล่างนี้เลย ร่างของเด็กแฝดเพิ่งเกิดที่ตัวติดกันในโหลดองเชื่อกันว่ามาจากช่วงศตวรรษที่ 19 ตัวอย่างลำไส้ของคนเป็นโรคอหิวา จากช่วงที่อหิวาตกโรคระบาดหนักในปี 1849 ตัวอย่างมือของคนที่เป็นโรคเกาต์จากศตวรรษที่ 19 เครื่องมือรักษาสภาพศพจากช่วงเปลี่ยนขึ้นศตวรรษที่ 20 หูดที่อวัยวะเพศซึ่งถูกนำมาร้อยเป็นสร้อยเพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาในศตวรรษที่ 19 ชิ้นส่วนสมองของแอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จากปี 1955 เครื่องมือแพทย์ที่เป็นมรดกสืบทอดในตระกูล Leavitt คาดว่ามาจากช่วงปี 1870 กะโหลกที่มีการตัดกระดูกสบางส่วนออก เพื่อให้มองเห็นชั้นฟันของเด็กๆ ได้ชัดเจน เชื่อกันว่ามาจากช่วงเวลาก่อนปี 1941 มือแห้งๆ ของมนุษย์ที่สามารถมองเห็นองค์ประกอบภายในได้อย่างชัดเจน อุปกรณ์รมยาสลบจากยุค 1840 หุ่นขี้ผึ้งที่แสดงตัวอย่างของโรคซิฟิลิสระยะสุดท้าย ลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ที่เป็นท้องผูกเรื้อรังจากปี…
-
10 ภาพในวัยเด็กของคนที่ถูกเรียกว่า “ตัวร้าย” ในประวัติศาสตร์ และของแถมอีกนิดหน่อย
ว่ากันว่าเด็กนั้นเป็นผ้าขาวที่บริสุทธิ์อยู่เสมอ และไม่มีใครในโลกนี้ที่เกิดมาเป็นคนไม่ดีเลย ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่อาจจะทราบได้ว่าเด็กที่เราเห็นนั้นจะเติบโตขึ้นเป็นคนดีหรือไม่อยู่ดี เด็กบางคนอาจจะโตไปเป็นทหารเผด็จการ ในขณะที่เด็กบางคนอาจจะโตขึ้นไปเป็นนักการเมืองฉ้อโกง แต่ในเวลาที่พวกเขายังเป็นเด็กพวกเราก็คงจะไปถือโทษไม่ได้ เหมื่อนดังเช่นภาพในวัยเด็กของเหล่า “ตัวร้าย” ในประวัติศาสตร์ต่อไปนี้ ที่ต่อให้โตมาพวกเขาเป็นคนอย่างไร แต่ในตอนที่เป็นเด็กก็ยังมีความน่ารักน่าชังสุดๆ อยู่ดี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ตอนอายุได้ราวๆ 11 ขวบ ฮิตเลอร์เป็นผู้นำของกลุ่มนาซี ที่แม้ว่าจะมีภาพลักษณ์เยอรมันแบบสุดๆ แต่จริงๆ แล้วเขาเกิดในออสเตรียเมื่อปี 1889 ต่างหาก ชาร์ล แมนสัน ตอนอายุได้ราวๆ 6 ขวบ เขาเป็นอาชญากรชาวอเมริกัน เจ้าลัทธิสังหารโหดที่โด่งดังอย่าง “ครอบครัวแมนสัน” ที่บุกสังหารคน 7 คนในเวลาสองคืนนั่นเอง อุซามะห์ บิน ลาดิน ตอนอายุได้ราวๆ 5 ขวบ เขาคือหนึ่งในผู้ก่อตั้งและหัวหน้ากลุ่มอัลกออิดะฮ์ ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน ซัดดัม ฮุสเซน ตอนอายุได้ราวๆ 8 ขวบ เขาคืออดีตประธานาธิบดีของอิรักผู้ซึ่งถูกจับกุมและถอดออกจากตำแหน่ง โดยสหรัฐฯ ในช่วงสงครามอิรักนั่นเอง ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ ตอนอายุได้ราวๆ 12 ขวบ…
-
12 ภาพน่าสนใจในอดีต ที่สอนบทเรียนที่ไม่มีสอนในโรงเรียนให้แก่คนรุ่นหลัง
ว่ากันว่าภาพในอดีตนั้นมีคุ้นค่ามากกว่าที่คิด เพราะไม่เพียงแต่มีค่าในประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งรูปภาพเก่าๆ ก็สามารถสอนอะไรที่ไม่มีในบทเรียนให้แก่คนรุ่นหลังได้ด้วยเช่นกัน บางครั้งก็มาในรูปแบบของภาพเตือนใจ บางครั้งก็มาในรูปแบบของสิ่งที่หลงเหลือจากเหตุการณ์อันเลวร้าย ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจึงจะไปชมภาพในอดีตอีก 12 ภาพ ที่ไม่ใช่แค่สอนอะไรบางอย่างเท่านั้น แต่ยังน่าสนใจสุดๆ อีกด้วย นี่คือภาพของ L Ron Hubbard ในปี 1968 เขากำลังใช้เครื่อง E-Meter ในการตรวจสอบว่า “ต้นมะเขือเทศ” มีความเจ็บปวดหรือไม่อยู่ ภาพของ Joseph Goebbels ชายผู้เป็นเสมือนมือซ้ายของฮิตเลอร์ ในวินาทีที่เขารู้ตัวว่าตากล้องที่ถ่ายภาพเขานั้นเป็นชาวยิว นี่คือภาพของ Rudolph Hoess ผู้ออกแบบ และผู้บัญชาการค่ายกักกันเอาชวิทซ์ ในวันสุดท้ายของชีวิตเมื่อปี 1947 ภาพของ Jesse James โรบินฮู้ดแห่งอเมริกา เนื่องจากความเชื่อที่ว่าเขาเลือกปล้นแต่คนรวย (อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน) นอกจากนี้เขายังมักส่งจดหมายไปเตือนเหยือก่อนที่จะเข้าปล้นด้วย Vladimir Putin เต้นกับเพื่อนในงานเลี้ยงเมื่อปี 1970 งานแต่งงานของ Joseph Goebbels ในปี 1931 หากสังเกตดีๆ จะเห็นฮิตเลอร์ยืนอยู่ที่ด้านหลังขวา โลงศพของ Lee…
-
ชม 9 สุดยอด “คำพูดดีๆ” ที่มาจากเหล่าคนที่ “ไม่ดีเท่าไหร่” ในประวัติศาสตร์
เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่าคำพูดดีๆ บางคำมันออกมาจากปากของคนไม่ค่อยจะน่าจะพูดอะไรแบบนั้นได้เท่าไหร่ อะไรอย่างคนที่ไม่เคยมีแฟนเลยทั้งชีวิต ดันพูดคำคมสำหรับชีวิตคู่ออกมา หรือคนที่ไม่เคยชอบสุนัขเลยทั้งชีวิต ดันพูดว่าสุนัขเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ บางครั้งเราก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าคำพูดดีๆ หรือคำคมสุดกินใจนั้นจะออกมาจากปากใคร นั่นทำให้บางครั้ง แม้แต่คนที่โลกมองว่าไม่ใช่คนที่ดีเท่าไหร่ บางครั้งก็มักจะพูดคำคมดีๆ ออกมาเช่นกัน เหมือน “คำพูดดีๆ” ที่มาจากเหล่า “คนที่ไม่ดีเท่าไหร่” ข้างล่างนี้ “It Takes Less Courage to Criticize the Decisions of Others Than to Stand by Your Own” นี่เป็นคำพูดโดยอัตติลา จักรพรรดิชาวฮัน มีความหมายว่า “คนเราใช้ความกล้าในการวิจารณ์ความคิดคนอื่นน้อยกว่าการสนับสนุนความคิดตัวเอง” “Words Build Bridges Into Unexplored Regions.” คำพูดโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำแห่งนาซีเยอรมัน มีความหมายว่า “คำพูดเป็นเหมือนสะพานที่จะนำเราไปสู่สถานที่ที่เราไม่เคยรู้จัก” “Impossible Is a Word…
-
5 ยอดเพชฌฆาตมีชื่อในสมัยก่อน “เทวทูตแห่งความตาย” ผู้มีผลงานอยู่กับกลิ่นคาวเลือด
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่มนุษย์อยู่ร่วมกันในฐานะของสังคม “การประหารชีวิต” ก็กลายเป็นหนึ่งในโทษที่รุนแรงและเป็นที่หวาดกลัวที่สุดอย่างหนึ่งไป นั่นทำให้บ่อยครั้ง “เพชฌฆาต” ที่ลงมือสังหารผู้คนตามคำสั่งมักจะมีภาพลักษณ์ที่น่ากลัวและติดตาอยู่เสมอ แม้ว่าตัวจริงของเขาจะเป็นคนอย่างไรก็ตาม ในโลกของเรานั้นมีเพชฌฆาตที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคน แต่หากจะถูกถึงเพชฌฆาตที่มีผลงานมากที่สุดแล้ว มันก็คงจะไม่พ้นเพชฌฆาตทั้ง 5 คนต่อไปนี้แน่ๆ Antonina Makarova เธอคืออดีตนางพยาบาลของโซเวียตที่ถูกจับโดยหน่วย SS ของนาซี และถูก “หว่านล้อม” ให้ทำงานเป็นเพชฌฆาตให้แก่ทางนาซี เชื่อกันว่าในระหว่างทำงาน เธอสังหารคนด้วยปืนกลเฉลี่ยวันละ 27 คน ก่อนที่จะถูกจับได้โดยหน่วย KGB และประหารในฐานะคนทรยศในปี 1976 ว่ากันว่าตลอดชีวิตการทำงาน Makarova สังหารคนไปทั้งสิ้น 15,000 รายเลยทีเดียว (เธอมีเหยื่อที่ยืนยันตัวได้ราวๆ 200 ราย) Johann Reichhart เขาคือเพชฌฆาตชาวเยอรมันที่เกิดในตระกูลเพชฌฆาตและเริ่มทำงานตั้งแต่ในปี 1924 อย่างไรก็ตามผลงานที่ชัดเจนที่สุดของชายคนนี้อยู่ในช่วงปี 1939-1945 ต่างหาก เนื่องจากช่วงนั้นเขาต้องไปทำงานให้แก่ทางนาซี และกลายเป็นหนึ่งในสี่เพชฌฆาตที่น่ากลัวที่สุดของนาซี ตลอดชีวิตการทำงาน Johann สังหารคนไปทั้งสิ้น 3,165 คน โดย 2,876 คนจากในนั้นมาจากการทำงานให้แก่นาซีเยอรมันนั่นเอง …
-
4 หญิงชราผู้ที่ดูเป็นคุณยายใจดีไร้พิษภัย แต่แท้จริงแล้วเป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดต่างหาก
ตามปกติเวลาเราพูดถึงหญิงชรา ภาพลักษณ์ในหัวของเราส่วนมากก็น่าจะเป็นคุณยายใจดีเหมือนในนิทาน หรือไม่ก็อาจจะเป็นหญิงปากร้ายแต่รักหลานยิ่งกว่าใคร แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเชื่อว่าคงไม่มีใครคิดหรอกว่าหญิงชราจะไปเป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดไปได้ แต่ปัญหาคือมันเป็นไปแล้วนี่สิ เพราะในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ได้นำเรื่องราวของหญิงชรา 4 คน ที่เหมือนจะดูธรรมดาๆ แต่แท้จริงแล้วเป็นฆาตกรโหด และหญิงชราอีกหนึ่งคนที่เก็บศพไว้ในตู้เสื้อผ้ามาให้ชมกัน Leonarda Cianciulli เธอคือฆาตกรต่อเนื่องชาวอิตาลีที่เริ่มจากสังหารคนในปี 1939-1940 และฆ่าเหยื่อที่เป็นผู้หญิงไปทั้งสิ้น 3 ราย ด้วยความเชื่อว่าการฆ่าคนจะทำให้เธอสามารถหลุดพ้นจากคำสาปที่ทำให้เธอแท้งลูกอยู่หลายครั้งในอดีตนั่นเอง Leonarda มีวิธีทำลายศพที่ประหลาดมาก เธอจะหั่นศพเป็นชิ้นๆ และทำเป็นสบู่ หรือไม่ก็เอาไปอบเป็นขนมที่ทางยุโรปเรียกว่า Teacake แล้วก็ทานคู่กับน้ำชาเลยด้วย!! Amelia Dyer เธอคือหญิงชราที่ต้องสงสัยว่าใช้เวลา 20 ปีไปกับการสังหารทารกมากกว่า 400 คน ผ่านการ “รับอุปถัมภ์เด็ก” เพื่อแลกกับเงินก้อนใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในงานที่คนแก่ในยุควิคตอเรียมักจะทำกัน ดูเหมือนว่าในช่วงแรกๆ ของการ “รับเลี้ยงเด็ก” เธอจะปล่อยให้เด็กอดตายไปเอง แต่มันใช้เวลานานมากเธอจึงเริ่มสังหารเด็กในเวลาต่อมา Amelia ได้รับฉายาว่า “Baby Farmer” จากการกระทำของเธอ และถูกตัดสินโทษประหารชีวิตไปในปี 1896 นั่นเอง …
-
ชม!! 16+1 “หน้ากากคนตาย” ที่สร้างขึ้นจากใบหน้ายามตายของคนดังในอดีต
Death masks หรือ “หน้ากากคนตาย” เป็นประเพณีการปฏิบัติเกี่ยวกับความตายที่โด่งดังในช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 โดยเป็นการนำปูนมาหล่อใบหน้าของผู้ตาย เพื่อเก็บสภาพใบหน้าเดิมเอาไว้ เชื่อกันว่าทำไปเพื่อใช้ในการทำสิ่งที่เอาไว้ระบุตัวตนของผู้ตายในกรณีที่ไม่สามารถระบุได้ทันที หรือเพื่อเก็บรูปร่างหน้าตาของผู้ตายเอาไว้เป็นที่จดจำ นั่นทำให้ในอดีตนั้นมีหน้ากากคนตายโผล่ออกมาให้เราเห็นเป็นจำนวนมาก ในทางหนึ่งก็อาจจะเป็นข้อดีเพราะมันทำให้เราสามารถเห็นใบหน้าจริงๆ ของคนในอดีตได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็เป็นอะไรที่ดูแล้วรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง ในคราวนี้เราจะมีดูหน้ากากคนตายของคนในอดีตทั้ง 16+1 กัน มาดูกันดีกว่าว่าคนดังเหล่านั้น ในตอนที่เสียชีวิตมีสภาพใบหน้าอย่างไรกัน Abraham Lincoln เสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 เมษายน 1865 Ludwig Van Beethoven เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 1827 Napoleon Bonaparte เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 1821 Dante Alighieri เสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 กันยายน 1321 เขาเป็นนักกวีมีชื่อชาวอิตาลี มีงานชิ้นสำคัญคือ “Divina…
-
15 รูปภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังรอดมาจนถึงปัจจุบัน ภาพถ่ายแรกๆ ของโลกเป็นแบบนี้!!
แม้ว่าจะมีการคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 11 แต่กว่าที่การถ่ายรูปจะกลายเป็นแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันก็ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ได้ ในช่วงนี่เองที่ความฝันของการถ่ายรูปของหลายๆ คนเป็นจริงขึ้นมา และในเวลาเดียวกัน การถ่ายภาพ “ครั้งแรก” ของสิ่งต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้น ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะมาชม 15 รูปภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังรอดมาให้ชมกันในปัจจุบัน แถมแต่ละภาพยังเป็นภาพที่เก่าแก่ที่สุดใน หมวดหมู่ของตัวเองอีกด้วย ภาพที่ถ่ายด้วยกล้องถ่ายรูปซึ่งสามารถพกพาได้ที่เก่าแก่ที่สุด นี่เป็นภาพวิวจากหน้าต่างที่ Bourgogne ประเทศฝรั่งเศส ถ่ายโดย Joseph Nicéphore Niépce เมื่อปี 1826 ภาพที่ถ่ายติดมนุษย์ ที่เก่าแก่ที่สุด ถ่ายโดย Louis Daguerre ในปี 1838 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ภาพถ่ายตัวเองภาพที่เก่าแก่ที่สุด เป็นภาพที่ Robert Cornelius ถ่ายตัวเองในปี 1839 ที่ฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ภาพถ่ายดวงจันทร์ ที่เก่าแก่ที่สุด ถ่ายโดย John William Draper ที่หอดูดาวบนดาดฟ้าในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1840 …
-
5 สัตว์ร้ายในตำนานในอดีต ที่คนสมัยก่อนหวาดกลัวกันสุดๆ แต่กลับมีที่ไปที่มามากกว่าที่คิด
สัตว์ร้ายในตำนานเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่อดีต บ้างก็เป็นเพียงสัตว์ที่มีรูปร่างน่ากลัวซึ่งแต่งขึ้น บ้างก็เป็นเรื่องราวที่มีต้นตอมาจากความเป็นจริง แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหน สัตว์ร้ายในตำนานเหล่านี้ก็มีจุดร่วมอยู่ที่การใช้ความกลัวของมนุษย์เพื่อสอนอะไรบางอย่างนั่นเอง ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้ #เหมียวศรัทธาจะพาเพื่อนๆ ไปชม 5 สัตว์ร้ายในตำนานในอดีต ที่คนสมัยก่อนหวาดกลัวกันสุดๆ แต่กลับมีที่ไปที่มามากกว่าที่คิด ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นไปชมกันได้เลยที่ข้างล่างนี้ Wendigo สัตว์ร้ายตัวนี้มาจากความเชื่อของชนเผ่าอินเดียนอเมริกา Algonquin ที่อาศัยอยู่ในแคนาดา โดย Wendigo เชื่อกันว่าเกิดจากคนที่ถูกสิงโดยผีป่า ทำให้มีผิวขาวซีด ร่างกายซูบผอม และดวงตาลึกคล้ายคนอดอาหารจนตาย ก่อนที่จะออกเร่ร่อนกินซากศพมนุษย์ เป็นไปได้ว่า Wendigo นั้นแท้จริงแล้วคือคนที่หลงป่าอดอยากจนเป็นบ้า หรือหิวจนกินคนด้วยกันเอง แต่อย่างไรก็ตามสัตว์ร้ายตัวนี้ก็เป็นที่หวาดกลัวของคนในพื้นที่อยู่ดี Qalupalik นี่เป็นสัตว์ร้ายของชาวอินูอิตแห่งอาร์กติก เชื่อกันว่าอาศัยอยู่ใต้ธารน้ำแข็งและหากสบโอกาสจะกระโจนขึ้นมาฉีกร่างของเหยื่อเป็นชิ้นๆ หรือไม่ก็ลากลงธารน้ำแข็งไป ว่ากันว่ามีหน้าตาเหมือนกับผู้หญิงที่หน้าตาบวมเขียวจากการจมน้ำ เป็นไปได้ว่าเกิดขึ้นเพื่อเป็นคำสอนไม่ให้เด็กๆ ไปเล่นใกล้ธารน้ำแข็งที่อันตรายนั่นเอง Minotaur เขาคือชายที่มีหัวเป็นวัวผู้อาศัยอยู่ในเขาวงกตและคอยสังหารเด็กๆ ที่ถูกเลือกเป็นเหยื่อบูชายัญ ว่ากันว่าเขาเป็นบุตรที่ราชินีแห่งครีตมีร่วมกับวัว และมีชื่อจริงๆ ว่า Asterion และถูกขังอยู่ในเขาวงกตเพราะกษัตริย์มินอสรับไม่ได้กับสิ่งที่ภรรยาทำ อย่างไรก็ตามจากการบอกเล่าของ นักเขียนชีวประวัติชาวกรีกนาม Plutarch เรื่องราวของ Minotaur เกิดจากการที่กษัตริย์มินอสจัดงานเลี้ยงไว้อาลัยให้ลูกชาย โดยมีการแข่งขันที่มีเด็กๆ 14 คนเป็นรางวัล แต่คนที่ชนะดันเป็นนายพลผู้โหดร้ายคนหนึ่งซึ่งทารุณเด็กๆ ที่เขาได้ไปอย่างหนัก คนในสมัยนั้นเลยแต่งเรื่องว่าเขาเป็นปีศาจเสียเลย Basilisk นี่คือสัตว์ร้ายในตำนานที่ว่ากันว่ามีลมหายใจเป็นพิษ และมีแววตาที่หากจ้องมองจะต้องตายหรือตัวแข็งเป็นหิน ซึ่งนอกจากสองอย่างนี้แล้วลักษณ์ของ Basilisk…
-
พบครกหิน 13,000 ปีที่ใช้ “หมักเบียร์” เชื่อมนุษย์ทำเบียร์เป็นก่อนการเพาะปลูกเสียอีก
เมื่อประมาณช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โลกของเราได้พบกับหลักฐานโดยตรงของการมีอยู่ของเบียร์ที่เก่าแก่กว่า 2,500 ปีเป็นครั้งแรกจากเทคโนโลยีใหม่ของเหล่านักโบราณคดี (อ่านข่าวเก่าได้ที่นี่ พบหลักฐานโดยตรงของการมีอยู่ของเบียร์ เก่าแก่กว่า 2,500 ปี จากยุคเมโสโปเตเมีย) แต่แล้วเพียงแค่ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากนั้น โลกก็ได้พบกับการค้นพบที่สำคัญอีกครั้ง เพราะล่าสุดนี้เองมีการค้นพบครกหินเก่าแก่อายุ 13,000 ปีที่ใช้ในการหมักเบียร์ในอดีตนั่นเอง นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นในถ้ำราคีเฟต ของอิสราเอล โดยร่องรอยที่หลงเหลืออยู่บนครกหินทำให้เราทราบว่า มนุษย์โบราณสามารถหมักเบียร์ได้นานกว่าที่เราเคยคาดไว้เป็นพันปีเลยทีเดียว เพราะหลักฐานในการหมักเบียร์ที่พบนั้น มีอายุมากกว่าหลักฐานการเพาะปลูกที่เก่าแก่ที่สุดที่มีอายุ 11,000 ปีเสียอีก โดยหากอ้างอิงจากงานวิจัยร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแห่งสหรัฐอเมริกา และมหาวิทยาลัยไฮฟาของอิสราเอล การหมักเบียร์ในครกหินน่าจะเป็นวัฒนธรรมของมนุษย์โบราณที่อาศัยอยู่ในช่วงยุคหินเพลิโอะลีธอิคกับยุคนีโอะลีธอิคอย่างชาว “นาทูเฟียน” เผ่าพันธุ์ซึ่งอาศัยอยู่ทางตะวันออกของเมดิเตอร์เรเนียนนั่นเอง ชาวนาทูเฟียนเชื่อกันว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความก้าวหน้าทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยีมากในสมัยนั้น เผ่าพันธุ์นี้มีเครื่องมือที่ทำจากหินเหล็กไฟ (Flint) กระดูกสัตว์ ถ้วย หรือแม้กระทั่งครกหิน พวกเขาดำรงชีวิตด้วยการเก็บของป่าและล่าสัตว์ แถมยังรู้จักเลือกเก็บของป่าที่ใช้ทำเบียร์ได้อีกด้วย เป็นไปได้ว่าการหมักเบียร์นั้นอาจจะเกิดขึ้นเพื่อการถนอมอาหารเฉยๆ หรือทำขึ้นเพื่อใช้ในพิธีกรรมต่างๆ โดยการนำธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต พืชตระกูลถั่ว และพืชตระกูลเส้นใย มาตำและหมักในครกหินนั่นเอง และด้วยความที่หลักฐานการมีอยู่ของเบียร์มีมาก่อนการเพาะปลูกนี้เอง ทำให้มีทฤษฎีที่ว่าเหตุผลที่มนุษย์เริ่มเพาะปลูก อาจจะมาจากความต้องการธัญพืชเพื่อนำไปหมักเบียร์ก็เป็นได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง คงต้องบอกว่าที่เรามีการเกษตรแบบทุกวันนี้ได้…
-
สกาฮะ ยอดนักรบหญิง ครูของฮีโร่ เทพผู้ทดสอบมนุษย์ และเมอร์ลินแห่งตำนานไอริช
สกาฮะ (Scathach Scáthach หรือ Sgathach) เป็นหนึ่งในตัวละครของ Ulster Cycle ตำนานโบราณของชาวไอริช เธอได้รับการบรรยายไว้ว่าเป็นสุดยอดนักรบหญิง และอาจารย์ของยอดนักรบ ชื่อของสกาฮะแปลว่า “เงา” ในภาษาเกลิคภาษาเซลท์สาขาหนึ่ง และเชื่อกันว่าอาศัยอยู่ที่เกาะ Skye และเปิดสอนวิชาต่อสู้อยู่ที่นั่น เดิมทีแล้วเรื่องราวของสกาฮะ ไม่ได้มีการบันทึกและมักมาจากการเล่าปากต่อปากเท่านั้นจนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 14 จึงเริ่มมีการบันทึกเรื่องราวของเธอเป็นลายลักษณ์อักษร ภาพซากของปราสาท Dunscaith บนเกาะ Skye ที่ที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ฝึกสอนของสกาฮะ ว่ากันว่ามีคนมากมายที่ตามหาสกาฮะเพื่อให้เธอสอนวิชาต่อสู้ให้ แต่น้อยคนนักที่จะได้พบตัวเธอจริงๆ และจำนวนคนที่สำเร็จวิชาของเธอก็เรียกว่าน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ถึงขั้นที่มีความคิดที่ว่าการไปฝึกกับเธอนั้นไม่ต่างอะไรกับการเดินไปหาความตายเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามชื่อเสียงหลักๆ ของเธอมาจากการฝึกยอดนักรบในเรื่องราวอื่นๆ ของ Ulster Cycle โดยคนที่เป็นที่รู้จักที่สุดที่เป็นลูกศิษย์ของเธอก็ได้แก่ คู ฮูลินน์ (Cú Chulainn) บุตรของเทพแห่งแสงสว่าง ผู้ซึ่งถูกส่งมาตามหาเธอตั้งแต่วัยเยาว์โดยพ่อของหญิงสาวที่เขารัก (ที่ไม่อยากยกลูกสาวให้เขาก็เลยส่งเด็กหนุ่มไปตาย) นั่นเอง ผู้ที่ผ่านการฝึกของเธอได้มักจะได้รับพลังอันยิ่งใหญ่ตอบแทน อย่างในกรณีของคู ฮูลินน์เอง เขาก็ได้รับหอก Gáe Bulg ที่ถูกบรรยายไว้ว่า “หอกเจ็ดปลายที่แต่ละปลายมีหนามเจ็ดอัน เมื่อแทงเข้าไปในร่างศัตรูจะทำให้หนามพุ่งแทงออกมาจากภายใน”…
-
พบ “รูปวาด” รูปแรกของมนุษย์เก่าแก่ 73,000 ปี เป็นเครื่องหมายคล้าย “แฮชแท็ก”
เมื่อพูดถึงภาพวาดจากสมัยโบราณไม่ว่าใครก็คงนึกถึงภาพวาดการล่าสัตว์บนผนังถ้ำขึ้นมาเป็นอย่างแรก แต่จากการค้นพบในถ้ำโบราณในแอฟริกาใต้ ดูเหมือนว่ารูปวาดรูปแรกของมนุษย์ที่เคยมีการค้นพบ จะเป็นรูปของอะไรที่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด นี่คือเศษหินขนาดราวๆ 3.8 เซนติเมตร ที่มีร่องรอยของการใช้สีแดงวาดลวดลายที่ใกล้เคียงกับ “เครื่องหมายแฮชแท็ก” และมีอายุเก่าแก่ถึง 73,000 ปี ซึ่งนับว่าเก่าแก่กว่าภาพวาดที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งเคยมีการก่อนหน้าถึง 43,000 ปีเลยทีเดียว เศษหินชิ้นนี้ ถูกพบในถ้ำ Blombos ซึ่งเป็นถ้ำที่มีชื่อเสียงเรื่องโบราณวัตถุจากยุคหินกลาง และอยู่ห่างออกไปทางตะวันออกของเคปทาวน์ประมาณ 300 กิโลเมตร ภาพถ่ายพาโนรามาของถ้ำ Blombos สถานที่ที่มีการพบรูปวาดในครั้งนี้ เส้นสีแดงบนหิน เชื่อกันว่าเป็นการวาดลงไปอย่างจงใจของมนุษย์เผ่าพันธุ์โฮโมเซเปียน เพราะแม้จะดูเป็นภาพที่ไม่มีความหมาย แต่ลวดลายในลักษณะนี้ก็เคยมีการพบมาก่อนอยู่บ่อยครั้งในถ้ำโบราณอื่นๆ ใน แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย และฝรั่งเศส หินที่มีการสลักลวดลายที่ “ใกล้เคียง” กับรูปวาดที่พบ นอกจากนี้การที่ลายเส้นขาดหายไปจากเศษหินทำให้มีความเป็นไปได้ว่าแท้จริงแล้วหินที่มีการวาดภาพลงไปนั้นเดิมทีอาจจะมีขนาดใหญ่กว่านี้ ทำให้นักโบราณคดีกำลังพยายามตามหาชิ้นส่วนอื่นๆ อยู่ อย่างไรก็ตามยังไม่มีวี่แววว่าจะมีการค้นพบอะไรเพิ่มเติมในปัจจุบัน แต่แม้ว่าการค้นพบรูปวาดในครั้งนี้จะเป็นการ “วาดภาพ” ที่เก่าแก่ที่สุด แต่มันก็ไม่ใช่ “งานศิลปะ” ที่เก่าแก่ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพราะจากหลักฐานในอดีต โฮโม อิเรคตัส เองก็เคยสลักเส้นซิกแซ็กลงบนเปลือกหอยมาก่อนเมื่อ 540,000…
-
21 ภาพเหตุการณ์สุดทรงพลังในอดีต ที่ติดในความทรงจำผู้คนจนเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ
ตั้งแต่ที่มนุษย์เราคิดค้นการถ่ายรูปได้ รูปภาพก็กลายเป็นเครื่องมือที่เราใช้เปลี่ยนแปลงโลกเสมอมา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีรูปภาพมากมายที่สามารถทะลวงเข้าไปยังความรู้สึกของคนเราได้ แม้ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องที่อยู่เบื้องหลังเลยด้วยซ้ำ เหมือนอย่างภาพสุดทรงพลังทั้ง 21 ภาพต่อไปนี้ ที่เสียดแทงรุนแรงเสียจนเข้าไปติดในความทรงจำของผู้คน และเปลี่ยนแปลงโลกไปทั้งใบ สมาชิกในครอบครัวส่งตัวเด็กผู้ลี้ภัยผ่านรั้วลวดหนามไปให้ปู่ย่าตายายที่ค่ายแอลเบเนีย มีนาคม 1999 รอยขีดข่วนด้วยเล็บมือของผู้ต้องขังในค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ ฝูงชนชุมนุมกันที่กำแพงเบอร์ลิน พฤศจิกายน 1989 ครอบครัวโอบกอดกันหลังเหตุการณ์พายุทอร์นาโดในรัฐอลาบามา มีนาคม 2012 พระรูปหนึ่งเผาตัวเองเพื่อประท้วงต่อรัฐบาลเวียดนามใต้ มิถุนายน 1963 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ฟังข่าวตึกเวิลด์เทรด ระหว่างไปเยี่ยมห้องเรียนในฟลอริด้า นักกีฬาเหรียญทอง Tommie Smith และเหรียญทองแดง John Carlos ชูมือเพื่อเป็นสัญลักษณ์พลังของคนผิวสี เม็กซิโก 1968 Bill Iffrig นักวิ่งวัย 78 ปี นอนอยู่กับพื้นในระหว่างเหตุระเบิดในบอสตันมาราธอนปี 2013 รัฐบาลโบลิเวียถ่ายภาพกับศพของ เช เกบารา (เช กูวารา) 1967 ชาวคริสเตียนและชาวมุสลิมจับมือกัน ระหว่างการจลาจลในกรุงไคโร มกราคม…
-
13 ภาพหลังความตายของผู้นำนาซี “อาชญากรสงคราม” แห่งสงครามโลกครั้งที่สอง
หลังจากความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เหล่าผู้นำนาซีทั้งหลายจะถูกตราหน้าว่าเป็นอาชญากรสงครามและต้องรับโทษที่รุนแรงถึงชีวิต และนั่นทำให้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1946 มีผู้นำนาซีถึง 13 คนที่ต้องถึงแก่ความตายไปด้วยวิธีต่างๆ ว่าแต่พวกเขาเป็นใครบ้าง และมีสภาพเช่นไรหลังจากความตาย เราจะได้ทราบกันในวันนี้ เพราะนี่คือ ภาพหลังความตายของผู้นำนาซีทั้ง 13 คน มาดูกันดีกว่าคน อาชญากรแห่งสงครามโลกครั้งที่สองนั้น สุดท้ายแล้วมีจุดจบอย่างไรกัน คำเตือน ภาพต่อไปนี้มีอาจมีเนื้อหาที่รุนแรงโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำแห่งนาซีเยอรมัน ฆ่าตัวตายด้วยปืน เมื่อวันที่ 30 เมษายน 1945 ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี อย่างไรก็ตามภาพนี้เป็นภาพที่มีการถกเถียงกันอยู่ว่าไม่ใช่ของจริง เนื่องจากฮิตเลอร์เคยสั่งเสียไว้ว่าให้เผาศพของเขาหลังจากที่เขาฆ่าตัวตาย ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าคนในภาพจะเป็นเพียง Gustav Weler ชายผู้เป็น Body Double ของฮิตเลอร์เท่านั้น Anton Dostler นายพลผู้สั่งการทหารราบเยอรมัน เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 1945 จากการประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า ในเมือง Aversa ประเทศอิตาลี Wilhelm Keitel จอมพลเยอรมันผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองบัญชาการใหญ่แห่งแวร์มัคท์ ถูกประหารชีวิตที่นูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี…
-
19 ภาพ “ดิสนีย์แลนด์” ในวันที่เปิดให้เข้าชมเป็นครั้งแรก ก่อนเป็นสวนสนุกที่ใครๆ ก็รู้จัก
17 กรกฎาคม 1955 นี่เป็นวันที่ประตูสู่ดินแดนแห่งความหรรษาแห่งดิสนีย์แลนด์เปิดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่ก่อสร้างมาเป็นเวลาหนึ่งปี มันเป็นเหตุการณ์ที่คนในสมัยนั้นรอคอยกันเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าจากบัตรเชิญที่ส่งให้แขกเพียง 6,000 ใบกลับมีแขกเข้ามาในวันนั้น (ด้วยตั๋วปลอม) ถึง 30,000 รายเลยทีเดียว ว่าแต่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ในวันนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ได้รวบรวมภาพมาให้ชมกันแล้วที่ข้างล่างนี้ เหล่าแขกจำนวนมากที่บางส่วนเข้าร่วมงานเปิดด้วย “บัตรปลอม” Mickey กับ Minnie ในสมัยก่อนโน้น คุณวอล์ท ดิสนีย์ กับ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียบนรถจักรไอน้ำ เรือพลังไอน้ำ “Mark Twain” (ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น Riverboat) ขบวนพาเหรดในวันเปิด คนเยอะขนาดไหนดูลานจอดรถได้ ปราสาทของเจ้าหญิงนิทรา เจ้าช้างดัมโบ้กับอลิซ (จากอลิซในดินแดนมหัศจรรย์) ในขบวนพาเหรด Irene Dunne ดาราในสมัยนั้นบนเรือไอน้ำ พิธีเปิดดิสนีย์แลนด์ ถนนสายหลักในดิสนีย์แลนด์ วอล์ท ดิสนีย์ขับเรือ Mark Twain…
-
นักวิทย์ฯ คาด “นกยักษ์โบราณ” อาจอยู่ร่วมกับมนุษย์มานานกว่าที่คิดและสูญพันธุ์เพราะโดนล่า
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ตั้งแต่อดีตมีสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะสัตว์ที่เคยปกครองโลกอย่างไดโนเสาร์ หรือเจ้าช้างมีขนอย่างแมมมอธ และล่าสุดนี้เองนักวิทยาศาสตร์ก็พบกับความเป็นไปได้อย่างหนึ่งจากการศึกษาฟอสซิลนกที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก นั่นก็คือนกชนิดนี้อาจจะสูญพันธุ์ไปด้วยน้ำมือมนุษย์เราเอง นกจำพวกนี้มีชื่อเรียกว่า “นกช้าง” โดยฟอสซิลที่ถูกค้นพบนั้นเป็นของสายพันธุ์ Aepyornis และ Mullerornis ถูกพบที่บึงในมาดากัสการ์ ทางตะวันออกของแอฟริกา มันเป็นนกที่เชื่อกันว่ามีส่วนสูงมากถึง 3 เมตร และหนักราวๆ ครึ่งตัน และจากการวิเคราะห์เรดิโอคาร์บอนของฟอสซิลที่พบ เจ้านกช้างน่าจะมีชีวิตอยู่ที่มาดากัสการ์มาอย่างน้อยๆ ตั้งแต่เมื่อ 10,500 ปีก่อน อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจที่สุดของการค้นพบฟอสซิลในครั้งนี้ อยู่ที่ร่องรอยการตัดและสับกระดูกต่างหาก เพราะร่องรอยเหล่านี้บอกให้เราทราบว่า มนุษย์ในสมัยโบราณมีการออกล่านกชนิดนี้เพื่อเป็นอาหารนั่นเอง บนฟอสซิลที่พบมีร่องรอยการถูกสับและตัด ด้วยเครื่องมือที่มีความคม และขนาดใหญ่ การค้นพบที่ว่าทำให้นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมุติฐานที่ว่านกช้างนั้นอาจจะสูญพันธุ์ด้วยน้ำมือมนุษย์ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเรื่องในครั้งนี้ยังไม่มีหลักฐานมากพอที่จะฟันธงแต่อย่างใด เรื่องเดียวที่นักวิทยาศาสตร์สามารถฟันธงได้คือมนุษย์เราอยู่กับนกชนิดนี้มานานกว่าที่คิด เพราะการที่มีรอยตัดอยู่บนกระดูกที่พบ ก็ทำให้เราทราบได้ว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่ในมาดากัสการ์มาอย่างน้อยๆ 10,500 ปีแล้ว ซึ่งผิดไปจากหลักฐานก่อนๆ ที่เคยบอกว่ามนุษย์น่าจะมาถึงมาดากัสการ์เมื่อประมาณ 2,400-4,000 ปีก่อนเท่านั้นเอง รอยตัดบนฟอสซิลที่พบ เชื่อกันว่าเกิดขึ้นจากการตัดนิ้วเท้าของนกช้างออก นั่นหมายความว่ามนุษย์เราอยู่กับนกช้างมานานกว่า 9,000 ปีเลยทีเดียว เพราะเจ้านกสายพันธุ์นี้เพิ่งจะสูญพันธุ์ไปในช่วงเวลาไม่ถึง…
-
หลุมศพอายุกว่า 3,400 ปี จากยุคกรีกโบราณ ถูกค้นพบโดยบังเอิญ เพราะชาวนาจะจอดรถ
บางครั้งการค้นพบอันยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้นจากเรื่องเล็กๆ ที่ไม่น่าเชื่อได้เหมือนกัน เคยลองคิดเล่นๆ กันไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากจู่ๆ วันหนึ่งคุณก็พบกับหลุมศพเก่าแก่อายุกว่า 3,400 ปีอยู่ที่บ้านของคุณ นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชาวนาคนหนึ่งในเมือง Ierapetra บนเกาะครีต ประเทศกรีซ เพราะระหว่างที่เขากำลังพยายามจอดรถใต้ต้นมะกอก จู่ๆ พื้นดินรอบๆ ก็ยุบตัวลง เผยให้เห็นรูขนาดใหญ่ที่มีหลุมศพเก่าแก่ฝังอยู่ เขารีบติดต่อไปยังศูนย์มรดกทางวัฒนธรรมทันทีหลังจากนั้น และเหล่านักโบราณคดีก็ได้เข้ามาในพื้นที่เพื่อสืบหาที่ไปที่มาของสิ่งที่ชายชาวนาพบ มันเป็นหลุมศพที่มีโลงหินเก่าแก่บรรจุอยู่ 2 โลง นอกจากนี้ยังมีวัตถุโบราณ เช่นเหยือกแบบกรีกโบราณที่เรียกกันว่า “Amphorae” และถ้วยชามอีกเป็นจำนวนมาก Argyris Pantazis รองนายกเทศมนตรีชุมชนท้องถิ่น บอกว่าการที่หลุมศพอันดังกล่าวมีสภาพสมบูรณ์เช่นนี้นับเป็นเรื่องที่ดีต่อนักโบราณคดีในประเทศ เพราะการพบหลุมศพที่ไม่เคยถูกขโมยเข้ามาลับลอบขุดเลย จะทำให้พวกเขาสามารถเก็บข้อมูลของคนในสมัยก่อนได้อย่างเต็มที่ หลุมศพที่พบนั้นเชื่อกันว่ามากจากปลายยุค Minoan III A (ช่วง 1400-1200 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งเป็นช่วงที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไม่มากนัก (สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดจากยุคนี้ได้แก่ ตำนานคลาสสิกอย่าง “ธีเซียสกับมิโนทอร์”) นั่นทำให้การค้นพบในครั้งนี้เชื่อกันว่าจะช่วยให้เราสามารถเข้าใจอารยธรรมไมนอสได้มากยิ่งขึ้น ในปัจจุบันเองนักโบราณคดีก็ได้เริ่มทำการตรวจสอบโลงหินที่พบอย่างละเอียดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยุคนี้ในอนาคตอันใกล้ ที่มา allthatsinteresting
-
เปิดตำนาน “สงครามครูเสด” สงครามระหว่างศาสนาที่รุนแรงที่สุด ที่กินเวลาหลายร้อยปี
เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับสงครามครูเสดกันมาบ้าง หรืออย่างน้อยๆ ก็อาจจะเคยได้ยินคำว่า “ครูเสดเดอร์” มาก่อน ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าเจ้า “ครูเสด” ที่ว่านี้มันมีที่มาอย่างไรกันแน่ วันนี้ #เหมียวศรัทธา จะมาเล่าเรื่องของสงครามครูเสดให้เพื่อนๆ ได้ฟังกัน ครูเสดคืออะไร ครูเสด หรือ สงครามครูเสด แปลว่า “สงครามไม้กางเขน” เดิมทีแล้วหมายถึงสงครามระหว่างศาสนาเฉยๆ แต่จากความโด่งดังของสงครามทางศาสนาในศตวรรษที่ 11 ถึง 13 ซึ่งว่ากันว่าเป็นสงครามระหว่างศาสนาที่ยิ่งใหญ่และรุนแรงที่สุดในโลกคำว่า สงครามครูเสด จึงมักหมายถึงสงครามระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์ในครั้งนั้นไปนั่นเอง สงครามครูเสดเกิดขึ้นได้อย่างไร ว่ากันว่าสงครามครูเสดเกิดขึ้นจากการแย่งชิงอำนาจทางศาสนา และนั่นทำให้คริสตจักรพยายามเป็นอย่างมากที่จะ “ทวงคืน” ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่าง “เยรูซาเลม” มาให้แก่ชาวคริสต์ ปัญหาคือเยรูซาเลมนั่นอยู่ภายใต้การปกครองของชาวมุสลิมทำให้เกิดเป็นสงครามขึ้นนั่นเอง สงครามครูเสดเกิดขึ้นกี่ครั้ง จำนวนครั้งของสงครามครูเสดนั้นจะต่างกันออกไปตามแต่บันทึกทางประวัติศาสตร์ แต่ก็มีครั้งหลักๆ ที่ถูกบันทึกได้แก่ สงครามครูเสดครั้งแรก เมื่อปี 1096-1099 นี่เป็นสงครามที่มีกษัตริย์และประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เนื่องจากพระสันตะปาปาได้ออกมาบอกว่าคนที่เข้าร่วมสงครามจะได้รับการล้างบาปนั่นเอง โดยสงครามครูเสดในครั้งนี้ ว่ากันว่าเป็นสงครามที่ฝั่งชาวคริสต์ประสบความสําเร็จมากที่สุด สงครามครูเสดครั้งที่ 2 เมื่อปี 1147-1149 นำโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 7…
-
17 ภาพ “วายร้าย” ของโลก กับช่วงเวลาแห่งความสุขของพวกเขา ที่หลายคนอาจไม่เคยเห็น
มนุษย์เรานั้นไม่ว่าใครก็ต้องมีเวลาสนุกๆ เป็นของตัวเองกันบ้าง ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน เรื่องนี่คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกๆ คน ถึงอย่างนั้นคนเราก็มักจะมีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่ไม่อยากให้ใครเห็นว่ามีความสุขแบบสุดๆ คนเหล่านั้นมักจะมีจุดรวมกันอยู่ที่การถูกโลก “ตราหน้า” ว่าเป็น “วายร้าย” นั่นเอง เพราะในหลายๆ ครั้งพวกเรามักจะคิดว่า คนที่สังหารคนเป็นผักปลาแบบนี้ ไม่ควรจะมีเวลาดีๆ กับเขาหรอก ถึงอย่างนั้นต่อให้คนเหล่านี้เป็นวายร้ายมาจากไหน สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เป็นคนคนหนึ่งอยู่ดี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่พวกเขาจะมีเวลาดีๆ กันบ้าง เหมือนอย่างในภาพต่อไปนี้ พล พตนั่งดื่มชาใน “ทุ่งสังหาร” ที่ประเทศกัมพูชา ทีมเบสบอลของ KKK อีดี อามินหนึ่งในจอมเผด็จการผู้ชั่วร้ายของโลก นั่งกินแซนด์วิช ข้างสระน้ำ ฮิตเลอร์นั่งชมวิวข้างทะเลสาบ ฮิตเลอร์กับการทำท่าทาง “หยุดเลยนะตัวเอง~” โจเซฟ สตาลินทำท่าทางด้วยมือ เหล่านาซีในวันคริสต์มาสกับฮิตเลอร์ โยเซ็ฟ เกิบเบิลส์มือซ้ายของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในงานแต่งงาน ฮิตเลอร์ กับการชมโมเดลรถโฟล์คสวาเก้น อุซามะห์ บินลาดิน ตอนอายุ…
-
16 ภาพสหภาพโซเวียดตอนกำลังจะล่มสลาย ช่วงปลายของยุคที่ย้อมไปด้วยความขัดแย้ง
เป็นที่ทราบกันว่าสหภาพโซเวียดล่มสลายไปในปี 1991 ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ และความขัดแย้งภายใน นั้นทำให้ช่วงปลายของยุคสมัยของโซเวียดถูกย้อมไปด้วยภาพลักษณ์ของความขัดแย้ง ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะมาชม 16 ภาพของประเทศในสหภาพโซเวียดช่วงล่มสลาย ไปดูกันดีกว่าว่าภาพที่มาจากในสมัยนั้น จะเป็นภาพแบบไหนกัน นี่คือภาพการเฉลิมฉลองการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในกรุงมอสโก สิงหาคม 1991 ผู้ประท้วงในเมืองดูชานเบ ประเทศทาจิกิสถาน กุมภาพันธ์ 1990 กำแพงที่กั้นระหว่างประเทศลัตเวียและสหภาพโซเวียด ประติมากรรมรถถังของสาธารณรัฐเช็กถูกย้อมเป็นสีชมพู เพื่อประท้วงต่อสหภาพโซเวียต การปฏิวัติของประเทศโรมาเนียเมื่อปี 1989 ผู้สนับสนุนรัฐบาลถูกสังหารในโรมาเนีย 1989 การปฏิวัติแบบไม่ใช้ความรุนแรงในเมืองปราก ประเทศเชโกสโลวาเกีย 1989 รูปปั้นส่วนศีรษะของโจเซฟ สตาลินหลังถูกตัดออกจากตัวในฮังการี การประท้วงในเมือง Tartu ประเทศเอสโตเนีย เมื่อปี 1987 เหยื่อทั้ง 21 รายจากการที่ทหารรัสเซียยิงสังหารผู้ประท้วงชาวจอร์เจีย เมื่อวันที่ 9 เมษายน 1989 การเดินสวนสนามของทหารรัสเซียในปี 1987 ภาพเด็กนักเรียนในกรุงมอสโก ที่มีรูปวลาดีมีร์ เลนินเป็นฉากหลัง 25 พฤษภาคม 1981 รถถังบนสะพาน Bolshoy…
-
แพทย์สหรัฐฯ เชื่อ ลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของ “โมนาลิซ่า” น่าจะมาจากโรคไทรอยด์!!
เชื่อว่าทุกๆ คนคงจะเคยได้ยินชื่อภาพวาดอันโด่งดังของเลโอนาร์โด ดา วินชีที่มีชื่อว่า “โมนาลิซา” กันมาบ้าง นี่เป็นภาพที่ดึงดูดสายตาของหลายๆ คนด้วยความลึกลับและรอยยิ้มนิดๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ จนมีทฤษฎีเกี่ยวกับเบื้องหลังของผลงานชิ้นนี้ออกมาเต็มไปหมด และล่าสุดนี้เองในวารสารที่ตีพิมพ์โดย Mayo Clinic ก็มีการผู้ถึงความเป็นไปได้ที่น่าสนใจของ Lisa Gherardini นางแบบของรูปภาพโมนาลิซา ว่าเธอนั้นอาจจะมีอาการของโรคพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน หรืออย่างน้อยๆ ก็อาจจะมีต่อมไทรอยด์ที่อ่อนแอ นี่เป็นทฤษฎีของ Dr. Mandeep Mehra ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของศูนย์หลอดเลือดและหัวใจในบริกแฮมและโรงพยาบาลหญิงในบอสตัน ที่คิดค้นมาร่วมกับเพื่อนของเขา Hilary Campbell ผู้ช่วยผู้บริหารระดับสูงจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เชื่อกันว่าการที่เลโอนาร์โด ดา วินชีวาดภาพโมนาลิซานั้นมาจากการที่พ่อค้าชาวอิตาลีผู้มั่งคั่งคนหนึ่งขอให้เขาวาดภาพภรรยาให้หลังจากที่เธอคลอดลูกไปสองคนนั่นเอง เดิมทีแล้วในปี 2004 เธอเคยถูกมองว่ามีภาวะไขมันในเลือดสูง จากรายละเอียดของภาพวาดวาด เช่นผิวหนัง และอาการบวมที่มือของเธอ อย่างไรก็ตามจากการที่เธออายุยืนถึง 63 ปี Mandeep และ Hilary จึงมองว่าทฤษฎีในปี 2004 มีช่องโหว่อยู่ เพราะคนที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงในสมัยนั้นไม่น่าจะอายุยืนนัก ดังนั้นพวกเขาจึงบอกว่าอาการของ Lisa Gherardini น่าจะมาจากการที่ต่อมไทรอยด์ผลิตไทรอยด์ฮอร์โมนไม่เพียงพอมากกว่า อาการเหล่านี้จะส่งผลต่อการเผาผลาญในร่างกาย และสามารถทำให้ผิวเหลือง คอพอก หรือต่อมไทรอยด์บวมได้ ซึ่งตรงกับลักษณะของโมนาลิซาทุกประการ นอกจากนี้อาการพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนยังสามารถเกิดได้จากการตั้งครรภ์ซึ่งก็ตรงกับประวัติของ Lisa…
-
Rosalia Lombardo มัมมี่ที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก ถึงขั้นที่มีข่าวลือว่าเธอ “ลืมตาได้เอง”
ลึกลงไปในสุสานที่ซิซิลีหนึ่งในแคว้นปกครองตนเองของประเทศอิตาลี ยังมีร่างของเด็กสาวในโลงศพเปิด ผู้ซึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุเพียง 2 ขวบด้วยภาวะแทรกซ้อนจากโรคปอดบวมเมื่อปี 1920 เธอคือ Rosalia Lombardo มัมมี่ที่ได้ชื่อว่าเก็บรักษาไว้ดีที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในมัมมี่ที่งดงามที่สุดในเวลาเดียวกัน นี่เป็นผลงานจากผู้เป็นบิดาของเธอ ที่ทำใจกับการจากไปของลูกไม่ได้ และ Alfredo Salafia ชายผู้ลงมือทำเด็กน้อยเป็นมัมมี่อย่างประณีตถึงขนาดที่อวัยวะภายในของเธอยังอยู่ครบทุกอย่าง แม้ผ่านมานานเกือบร้อยปีแล้วก็ตาม จริงอยู่ว่า Rosalia Lombardo เป็นมัมมี่ที่งดงามที่สุดร่างหนึ่ง เธอยังคงมีผิวที่นุ่ม ทรงผมของเธอยังคงงดงาม ราวกับเป็นเพียงเด็กหญิงที่หลับไปเท่านั้น แต่ชื่อเสียงของเธอนั้น มาจากข่าวลือที่ว่าเธอนั้น “ลืมตาได้” ต่างหาก นี่คือภาพที่ถ่ายในเวลาที่ต่างกันภาพละ 2 ชั่วโมง นี่กลายเป็นเรื่องที่โด่งดังขึ้นมาในโลกอินเตอร์เน็ตเมื่อปี 2009 ซึ่งแม้ว่าจะกินเวลาราวๆ 6 ชั่วโมง แต่จากในภาพเราก็จะเห็นได้ว่ามัมมี่ของ Rosalia Lombardo นั้นเหมือนว่าจะลืมตาได้จริงๆ ด้วย!! มาถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะเริ่มคิดว่าสิ่งที่เห็นนี้เป็นภาพตัดต่อขึ้นมาแล้ว แต่เชื่อหรือไม่ว่าภาพที่เห็นไม่ใช่การตัดต่อแต่อย่างใด… ถึงแม้ว่ามัมมี่ของ Rosalia Lombardo จะไม่ได้ลืมตาขึ้นจริงๆ เช่นกันก็เถอะ เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นได้รับการอธิบายจากนักมานุษยชีววิทยาชาวอิตาลี…
-
นักวิทย์ถอดรหัส “จดหมายซาตาน” เขียนโดยแม่ชีผู้โดนสิง เมื่อราวๆ 300 ปีก่อน
เมื่อราวๆ 300 กว่าปีก่อน โลกได้พบกับจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนโดยแม่ชีผู้อาศัยในซิซิลี หนึ่งในห้าแคว้นปกครองตนเองของประเทศอิตาลี หญิงสาวผู้อ้างว่าตนถูกสิงสู่โดยซาตาน และกลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงกันมาอย่างยาวนาน มันเป็นจดหมายที่ถูกเขียนขึ้นในวันที่ 11 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1676 โดยแม่ชีวัย 31 ปีนาม Maria Crocifissa della Concezione โดยจากข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ในสมัยนั้น Maria ถูกพบในห้องของเธอในสภาพใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำหมึก และมือข้างหนึ่งถือจดหมายที่เขียนด้วยตัวอักษรประหลาดเอาไว้ จดหมายที่อ้างว่าเป็นของแม่ชี Maria เปิดเผยโดยผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ Ludum นี่คือจดหมาย 14 บรรทัด ที่เขียนด้วยตัวอักษรประหลาดและไม่น่าจะอ่านได้ที่แม่ชี Maria ถือไว้ มันได้สร้างความปวดหัวให้กับผู้ที่พยายามถอดรหัสมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ Ludum ในซิซิลี ก็สามารถ “ถอดรหัส” จดหมายฉบับนี้ได้สำเร็จ ด้วยความช่วยเหลือจากโปรแกรมถอดรหัสนั่นเอง ภาพของแม่ชี Maria Crocifissa della Concezione แม้ว่าข้อความส่วนใหญ่ในจดหมายนี้จะไม่สามารถปะติดปะต่อออกมาได้ แต่อย่างน้อยๆ ในจดหมายก็มีการกล่าวถึง พระตรีเอกภาพว่าเป็น “ภาระไร้ค่า” และ “พระเจ้าคิดว่ามันสามารถปลดปล่อยมนุษย์ได้… ระบบมันไม่ทำงานให้ใครหรอก… บางทีตอนนี้…
-
20 ภาพถ่ายหาดูยาก จากเหตุการณ์ 9/11 หลากความรู้สึก ท่ามกลางความสับสน…
เป็นเวลากว่า 17 ปี แล้วกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญระดับโลก 11 กันยายน 2001 เมื่อเกิดเหตุเครื่องบินพุ่งชนตึกแฝดเวิลด์เทรดเซนเตอร์ ส่งผลทำให้ประชาชนต่างต้องวิ่งหนีและดิ้นรนเอาชีวิตรอด ท่ามกลางความรู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า สำนักข่าวต่างรายงานประเด็นนี้ไปทั่วโลก บ่งชี้ว่าเป็นการก่อการร้ายครั้งที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของชนชาติอเมริกัน โดยเหตุการณ์ในวันนั้นยังคงเป็นที่จดจำ ถึงความน่ากลัวจากอีกมุมมองหนึ่งที่ด้านล่างภายใต้ตัวอาคาร มุมสูงจากอาคารอื่น และมุมไกลๆ ที่เฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ และอาจจะเป็นภาพที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนจากหน้าสื่อหลักทั่วไป ประชาชนกำลังเฝ้ามองดูอาคารฝั่งใต้ถล่มลงมา ภาพถ่ายจากช่างภาพที่พยายามเอนตัวออกมาจากหน้าต่าง ในช่วงวินาทีที่เครื่องบินลำที่สองกำลังจะพุ่งชนตัวอาคาร ผู้ประสบเหตุที่ติดค้างอยู่ภายในอาคาร กับช่วงเวลาสุดท้ายที่กำลังร่วงลงมาจากตึก ประชาชนกำลังวิ่งหนีออกห่างจากกลุ่มควันและฝุ่น ผลพวงจากตึกที่กำลังถล่มลงมา ท่ามกลางความโกลาหล พนักงานส่งของก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองในวันนั้น มุมจากอพาร์ตเมนต์ที่อยู่ห่างออกมาเพียง 4 ช่วงตึก กลุ่มควันไฟเริ่มก่อตัวจากอาคารฝั่งเหนือ หลังจากเครื่องบินลำแรกพุ่งชนไปแล้วไม่กี่นาที อเมริกัน แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11 กำลังพุ่งเข้าชนตึก (มุมขวาบนของภาพ) สภาพของตึกฝั่งใต้ที่กำลังถล่มลงมา ภาพความเสียหายของตึกฝั่งใต้ ที่เหลือเป็นเพียงเศษซาก Isabel Daser สถาปนิกและนักบินสมัครเล่น ในขณะที่กำลังอุ้มท้อง…
-
23 ภาพของโลกในปี 1945-1947 กับช่วงเวลาที่โลกกำลังรักษาบาดแผลจากสงคราม
ปลายปี 1945 ไปจนถึงต้นปี 1947 เป็นช่วงเวลาที่แปลกสำหรับโลกใบนี้ มันเป็นเวลาที่หลายๆ ประเทศในโลกกำลังรักษาบาดแผลจากสงคราม และเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่โลกแทบจะไร้ความขัดแย้งใหญ่ๆ ก่อนที่จะถึงสงครามเย็น นี่เป็นช่วงเวลาสองปีที่โลกเก็บกวาดความเสียหายจากสงครามที่ว่ากันว่ารุนแรงที่สุดเท่าที่เคยประสบมา ถึงอย่างนั้นภาพในช่วงเวลาสองปีนี้ก็เป็นอะไรที่มีเสน่ห์มากมายเช่นกัน เริ่มกันด้วยภาพการผูกนายพลนาซี Anton Dostler กับเสา ก่อนการประหารด้วยการยิงเป้า 1 ธันวาคม 1945 ทหารโซเวียตชี้ธงนาซีลงพื้นในขบวนแห่วันแห่งชัยชนะ มอสโก 24 มิถุนายน 1945 อดีตนักโทษที่ผอมแห้ง แต่ก็ยินดีที่ได้รับการปล่อยตัวจากเงื้อมมือของทหารญี่ปุ่น 11 กันยายน 1945 การกลับมาของทหารโซเวียตหลังชนะสงครามที่สถานีรถไฟในกรุงมอสโก 1945 ชายชาวญี่ปุ่นท่ามกลางซากปรักหักพัง ที่เคยเป็นบ้านของเขาในเมืองโยโกฮามาประเทศญี่ปุ่น ภาพภายในศาลตัดสินโทษผู้นำของนาซีในปี 1946 หนึ่งในเครื่องบินรุ่นทดลองของเยอรมันที่ถูกนำไปจัดแสดงในกรุงลอนดอน 14 กันยายน 1945 นักโทษเยอรมันดูแลหลุมศพของทหารสหรัฐอเมริกาใกล้ๆ โอมาฮา สถานที่แห่งความหลังจากเหตุการณ์ D-Day 28 พฤษภาคม 1945 Jinpe…
-
19+1 รูปถ่ายเหล่าหญิงสาวในอดีต ผู้พร้อมจะฉีกกฎเกณฑ์ความไม่เท่าเทียมของสังคม
เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในอดีตโลกของเรานั้นมีความเหลื่อมล้ำทางเพศสูงมาก ในหลายๆ ยุคสมัยเพศหญิงมักจะถูกมองว่าด้อยกว่าผู้ชายอยู่เสมอๆ นั่นทำให้รูปถ่ายมีชื่อเสียงของโลกมักจะเป็นภาพของผู้ชายอยู่บ่อยๆ แต่มันก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะแม้แต่ในสมัยก่อนเอง โลกใบนี้ก็มีหญิงสาวสุดแกร่งที่พร้อมจะฉีกกฎเกณฑ์แห่งความไม่เท่าเทียมที่มองไม่เห็นของสังคมอยู่เช่นกัน เหมือนกับผู้หญิงในภาพต่อไปนี้ Annie Lumpkins หญิงสาวผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิในการลงคะแนนเสียง กับการลงคะแนนเสียงจากในเรือนจำ 10 กรกฎาคม 1961 พยาบาลสาวชาวอเมริกันในนอร์มังดี ในปี 1944 หลัง D-day ไม่นาน Erika เด็กสาวชาวฮังการีอายุ 15 ปี ที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพจากสหภาพโซเวียต 1956 เหล่านักบินหญิงลงจากเครื่องบิน B-17 ช่วงปี 1941-1945 พยาบาลกาชาดจดคำพูดสุดท้ายของทหารอังกฤษ 1917 Anna Fisher นักบินอวกาศผู้เป็นแม่คนแรกของโลก คนงานรถไฟระหว่างมื้อเที่ยง หลายๆ คนในภาพเป็นภรรยา หรือแม่ของคนที่ไปเข้าร่วมสงคราม โลกครั้งที่สองในปี 1943 หญิงสาวคนหนึ่งกับการประท้วงเพื่อสิทธิการลงคะแนนเสียงของสตรี คนงานหญิงระหว่างการทำกับเครื่องบิน P-38 ในปี 1944 หญิงสาวผู้รับหน้าที่เป็นช่างเชื่อม ในปี…
-
12 ภาพแปลกๆ หายากจากในอดีต ที่น่าสนใจราวกับเป็นขุมทรัพย์ลึกลับก็ไม่ผิดนัก
ว่ากันว่ารูปภาพจากอดีตนั้นมีอยู่หลากหลายแบบ บางครั้งก็เป็นเหตุการณ์เตือนใจ สิ่งลึกลับ หรือชีวิตประจำวันที่แตกต่างจากปัจจุบัน นั่นทำให้ภาพจากอดีตบางครั้งเป็นเหมือนกับขุมทรัพย์ที่มีค่ามากกว่าเงินตราใดๆ ด้วยเหตุนี้เอง ในคราวนี้เราจะไปชม 12 ภาพแปลกๆ และภาพหายากจากในอดีต ที่น่าสนใจราวกับเป็นขุมทรัพย์ลึกลับเลยก็ไม่ผิดนัก นี่คือภาพของเพื่อนสมัยเด็กสองคนที่ต้องมาเจอกันอย่างไม่คาดคิดภายในการชุมนุม Saint-Brieuc ฝรั่งเศส 1972 ภาพนักโทษของฝั่งสหภาพฯ ระหว่างสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา 1864 Schwerer Gustav ปืนใหญ่ติดรางรถไฟของฝั่งนาซีที่พัฒนาขึ้นในช่วงปลายยุค 1930 สุนัขนั่งบนปืนใหญ่ในฝรั่งเศสช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คนส่งน้ำแข็งที่เป็นผู้หญิงในปี 1918 เด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่นอกซากปรักหักพังของบ้านที่ถูกทิ้งระเบิด ลอนดอน 1940 ภาพคู่รักสองคนที่ถ่ายติด “อะไรบางอย่าง” ที่มุมขวาบน ไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับภาพนี้ รวมทั้งภาพที่ว่าเป็นของจริงหรือไม่ด้วย ทหารสองคนประยุกต์ใช้หน้ากากกันพิษในการหั่นหัวหอม ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปลากะพงขาวที่ใหญ่ที่สุดในอดีต จับได้โดย Edward Llewellen และหนัก 425 ปอนด์ (ราวๆ 193 กิโลกรัม) เหล่าหนุ่มๆ แห่งมอนแทนา ผู้กำลังตามหาหญิงสาวมาเป็นคู่ชีวิต …
-
5 บริการสุดแปลกของ “ช่างตัดผม” ในอดีต ที่ไม่น่าเชื่อสุดๆ จนสงสัยว่าให้ทำได้ยังไง
แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงช่างตัดผม คนในปัจจุบันก็คงจะนึกถึงอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากคนที่ให้บริการตัดผม อย่างดีก็อาจจะมีโกนหนวดโกนเครา หรือตัดขนจมูกเพิ่มขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นสิ่งที่เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่บนส่วนหัวของมนุษย์แน่ๆ แต่นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่คนในสมัยก่อนคิดก็เป็นได้ เพราะจากหลักฐานงานเขียนในช่วงศตวรรษที่ 16 แล้ว “ช่างตัดผม” มีบริการที่มากมาย และแปลกมากๆ เพราะไม่เพียงแต่ตัดผมเท่านั้น แต่ช่างตัดผมในสมัยก่อนยังมีบริการต่อไปนี้อีกด้วย เทน้ำมันร้อนๆ ลงสู่บาดแผลกระสุนปืน ในสมัยก่อนหากถูกกระสุนยิง แทนที่จะผ่าเอากระสุนออกคนส่วนมากมักจะใช้น้ำมันร้อนๆ ในการละลายกระสุนมากกว่า และแม้ว่าต่อมาจะมีการเปลี่ยนจากน้ำมันเป็นส่วนผสมของ ไข่ น้ำมันกุหลาบ และน้ำมันสนก็ตาม แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงให้ช่างตัดผมทำ แทนที่จะเป็นหมอ รีดเลือดเพื่อการรักษา ในยุคที่เชื่อว่าการใช้ปลิงดูดเลือดหรือการรีดเลือดออกจากร่างกายช่วยรักษาโรคได้สารพัดนั้น คนเราสามารถไปรีดเลือดกับช่างตัดผมได้ด้วย!! เพราะความนิยมการรีดเลือดในสมัยนั้นมีสูงมาก จนแทบจะพูดได้เลยว่าช่างตัดผมทุกคนต้องรีดเลือดเป็น แถมยังมีการวางเลือดที่รีดออกมาโชว์หน้าร้านเพื่อโฆษณาด้วยนะ สระผมด้วยฉี่หมัก เอาเข้าจริงๆ คนเราใช้ฉี่ในการทำความสะอาดมานานแล้ว อย่างในสมัยโรมันเองก็มีการใช้ฉี่แปรงฟัน และซักผ้ามาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตามฉี่หมักที่ใช้สระผมนั่นเรียกกันว่า Lotium ซึ่งมีการใช้งานคล้ายกับแชมพูทั่วๆ ไปนั่นเอง ผ่านิ่วในที่สาธารณะ คุณอ่านไม่ผิด การผ่านิ่วเป็นหน้าที่ของช่างตัดผมจริงๆ แถมมักทำกันในต่อหน้าผู้ชมจำนวนมากๆ ด้วย ดูเหมือนว่าแพทย์ในสมัยก่อนจะมองว่าอาชีพของตัวเอง “สูงส่ง” เกินกว่าที่จะมาทำงานสกปรก ดังนั้นหลายๆ ครั้งงานอย่างการรีดเลือดหรือผ่านิ่วจึงตกเป็นของช่างตัดผมไป อย่างไรก็ตามใช่ว่าช่างตัดผมทุกคนจะมีความรู้แพทย์จริงๆ การผ่านิ่วในสมัยนั้นจึงเป็นอะไรที่อันตรายแบบสุดๆ…
-
ชม 3 มัมมี่เด็กอายุกว่า 500 ปี เผยรายระเอียดพิธีบูชายัญของ “เผ่าอินคา” ในอดีต
ในปี 1999 ได้มีการพบมัมมี่ที่ใกล้ๆ ยอดภูเขาไฟ Llullaillaco ในประเทศอาร์เจนตินา มันเป็นร่างของเด็กชาวอินคา 3 คน ที่มีอายุมากกว่า 500 ปี และสมบูรณ์มากราวกับเพิ่งเสียชีวิต เด็กทั้งสามคนนี้ เชื่อกันว่าเป็นเด็กที่ถูกเลือกเป็นเหยื่อบูชายัญอันเป็นพิธีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน และได้รับการตั้งชื่อว่า La doncella หรือ “สาวพรหมจรรย์” El niño หรือ “เด็กหนุ่ม” และ La niña del rayo หรือ “เด็กสาวแห่งสายฟ้า” เด็กที่อายุมากที่สุดคือ La doncella ซึ่งมีอายุอยู่ที่ 13 ปี ตามมาด้วย El niño ที่อายุ 7 ปี และ La niña del rayo ที่อายุ 6 ปี อย่างไรก็ตามทั้งสามไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด จากการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ เด็กทั้งสามมีร่องรอยของการใช้ยาเสพติดและสุรา ซึ่งเชื่อกันว่าทำไปเพื่อให้เด็กๆ “ให้ความร่วมมือ” ในพิธีกรรมมากขึ้น ดูเหมือนว่าในบรรดาเด็กๆ…
-
5 ฮีโร่แห่งสงคราม ที่แม้อาจไม่โด่งดังไปทั่วโลก แต่ก็เป็นฮีโร่ในของหลายๆ คนอย่างแน่นอน
ใครๆ ก็ชอบเรื่องเล่าของฮีโร่ ตั้งแต่ในสมัยก่อนจนถึงในปัจจุบันมีฮีโร่มากมายที่ถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ บางคนอาจจะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ในขณะที่บางคนก็ไม่เป็นที่มีชื่อเสียงเท่าที่ควร แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เป็นฮีโร่ในกลุ่มคนที่ทราบวีรกรรมของพวกเขาอยู่ดี เหมือนกับฮีโร่แห่งสงครามทั้ง 5 คนต่อไปนี้ ที่แม้อาจไม่โด่งดังไปทั่วโลก แต่ก็เป็นฮีโร่ในสายตาของคนที่รู้จักเขาอย่างแน่นอน Hiroo Onoda Hiroo เป็นทหารฝั่งญี่ปุ่นที่เป็นทั้งผู้กล้าที่จงรักภักดี และเป็นคนที่หัวแข็งที่สุดคนหนึ่ง หน่วยของเขาถูกส่งไปประจำการในป่าบนเกาะแห่งหนึ่งที่ฟิลิปปินส์ ด้วยความที่เกาะดังกล่าวถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ชายหนุ่มคนนี้ไม่เชื่อข่าวการยอมแพ้ของญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง และต่อสู้จนหน่วยของเขาเหลือเพียงตัวเขาเพียงคนเดียว Hiroo ต่อสู้อยู่ในป่าเรื่อยมาแม้สงครามจะจบลงไปแล้ว 29 ปี จนในที่สุดทางญี่ปุ่นก็ต้องไปตามหาตัวเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่รู้จักกับเขา เพื่อไปบอกเขาว่าสงครามจบลงแล้ว และพาเขากลับประเทศเลยทีเดียว และด้วยความจงรักภักดีนี่เอง ศาลโลกก็ตัดสินไม่เอาโทษการกระทำทุกอย่างของเขา เนื่องจากเขาไม่ทราบว่าสงครามจบลงไปแล้วจริงๆ แถมคนญี่ปุ่นก็ยกย่องให้เขาเป็นฮีโร่แห่งสงครามอีกด้วย Ruby Bradley เธอคือพยาบาลศัลยกรรมแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ซึ่งถูกจับเป็นเชลยสงคราม 3 สัปดาห์หลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์จนต้องไปอยู่ที่กรุงมนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ที่นั่นเองที่เธอได้ฉายา “Angel in Fatigues” หรือ “นางฟ้าผู้อ่อนล้า” จากการผ่าตัดรักษาคนเจ็บและช่วยในการคลอดลูกกว่า 230 ครั้ง พร้อมๆ กับการแอบนำเข้า อาหารและยารักษาโรค เธอกลับเข้าสู่สงครามอีกครั้งที่สงครามเกาหลีในฐานะหัวหน้าพยาบาล โดยในครั้งนี้เอง เธอก็ได้เข้าอพยพผู้ได้รับบาดเจ็บจากที่หลบภัยซึ่งถูกศัตรูถูกล้อม จนตัวเองเกือบเอาชีวิตไม่รอดอีกด้วย …
-
8 ความตายสุดแปลกของคนในอดีต ที่บทจะตายก็ตายกันแบบไม่น่าเชื่อสุดๆ ไปเลย
โลกใบนี้มีความจริงอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือคนทุกคนต้องตายในสักวัน หลายๆ ครั้งการตายที่ว่าอาจจะมาในรูปแบบที่สงบ ในขณะที่อีกหลายๆ คนอาจจะต้องตายไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่ แต่ในบรรดาความตายที่มากมายนั้นเอง บนโลกใบนี้ก็ยังมีคนในอดีตที่ตายได้แปลกสุดๆ อยู่เช่นกัน แต่จะเป็นแบบไหน กันบ้างนะ Agathocles of Syracuse Agathocles เป็นทรราชแห่งเมือง Syracuse ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามความตายของเขากลับแปลกเอามาก เพราะนายคนนี้โดนลอบสังหาร ด้วยไม้จิ้มฟันอาบพิษนั่นเอง Empedocles of Akragas Empedocles เป็นนักปรัชญาชาวกรีกจากเมือง Akragas และเป็นที่รู้จักกันในฐานะต้นกำเนิดทฤษฎีธาตุหลักทั้งสี่ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะคลั่งในทฤษฎีของตัวเองไปนิดเลยคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า จนสุดท้ายเขาก็กระโดดลงภูเขาไฟไปเพื่อยืนยันว่าตัวเองเป็นพระเจ้าผู้เป็นอมตะ Carl Wilhelm Scheele เขาเป็นนักเคมีชาวสวีเดนที่มีนิสัยชอบลองชิมสารเคมีที่เขาพบ และนิสัยนั่นเองที่ทำให้เขาต้องตาย เพราะในปี 1786 นายคนนี้ได้เสียชีวิตจากการสารตะกั่ว กรดไฮโดรฟลูโอริก สารหนูและสารพิษอื่นๆ ที่ตกค้างในร่างกายนั่นเอง Chrysippus of Soli เขาเป็นปราชญ์ชาวกรีก วันหนึ่งเขาเห็นลากินมะเดื่อก็เลยเล่นมุกขึ้นมา ก่อนที่จะหัวเราะอย่างรุนแรงจนถึงแก่ความตาย Carl Beaford Terry และ Linda…
-
28 ภาพสุดเสียดแทงใจของ “Hitlerjugend” กองกำลังเด็กแห่งนาซีเยอรมัน
ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยคนเราก็พยายามที่จะสอนเด็กๆ ให้เป็นอย่างที่พวกเราต้องการ คำพูดนี้เป็นจริงอยู่เสมอแม้แต่กับนาซีเยอรมัน ที่ได้ทำการจัดตั้ง “Hitlerjugend” หรือ “เด็กๆ ของฮิตเลอร์” ขึ้นมา เพื่อปลูกฝังความเป็นนาซี ให้แก่คนที่จะมาเป็นรุ่นต่อไปของประเทศ Hitlerjugend หรือที่เรียกย่อๆ ว่า HJ ถูกจัดตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1922 โดยมีรูปแบบคล้ายๆ ลูกเสือ และโด่งดังที่สุดในช่วงปี 1939 ในตอนที่นาซีปกครองเยอรมันนั่นเอง ว่าแต่เด็กๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง เชิญไปชมกันได้ข้างล่างนี้ นี่คือ Hitlerjugend จัดตั้งขึ้นโดยนาซี พวกเขาคือกองกำลังกึ่งทหารของเด็กๆ หนึ่งเดียวของเยอรมนีในตอนนั้น HJ ประกอบไปด้วยเด็กๆ เยอรมนี ที่อายุระหว่าง 14-18 ปี โดย HJ จะมีหน่วย Deutches Jungvolk เป็นหน่วยย่อยของเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีอีกที ในช่วงแรกๆ พวกเขาจะสมัครเข้ามาผ่านโฆษณา “เพื่อแผ่นดินพ่อ” ในปี 1930 กองกำลังนี้มีเด็กอยู่ราวๆ 25,000…
-
ชมภาพของฟุกุชิมะ 5 ปีหลังจากภัยพิบัติ ความหมายของ “เมืองร้าง” เชอร์โนบิลแห่งญี่ปุ่น
วันที่ 11 มีนาคม 2011 เป็นวันที่เลวร้ายมากวันหนึ่งของญี่ปุ่นเลยก็ไม่ผิดนักเพราะนอกจากแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิแล้ว โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะเองก็ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นอีกจนกลายเป็นภัยพิบัติทางนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่ที่เชอร์โนบิลในปี 1986 นับตั้งแต่วันนั้นฟุกุชิมะก็ถูกทิ้งร้างไปเป็นเวลาหลายปี และแม้กระทั่งในปี 2018 เอง ก็ยังมีการถกเถียงกับเรื่องความปลอดภัยของเมืองนี้อยู่เป็นพักๆ ด้วยเหตุนี้เอง เราจะมาชมภาพของฟุกุชิมะ 5 ปีหลังจากภัยพิบัติกัน มาดูกันดีกว่าว่าสิ่งที่เขาเรียกว่าเมืองร้างหรือเมืองผี มันเป็นอย่างไรกัน สินค้าที่กระจายจากชั้นวางในซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้เขตระเบิด เสื้อผ้าที่ยังค้างอยู่ในเครื่องซักผ้าด้วยซ้ำ ถังขยะกัมมันตรังสีในบริเวณ ถนนที่ว่างเปล่า ปฏิทินที่ที่หยุดนิ่งมาอย่างยาวนาน ภายในบ้านที่ถูกทิ้ง เขตชุมชนที่ไร้ผู้คน ตึกที่พังทลายจากแผ่นดินไหว ร้านขายของที่ถูกทอดทิ้ง รถที่จอดอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปี 2011 ร้านเช่าภาพยนตร์กับโฆษณาเมื่อปี 2011 ด้านนอกของ Family Mart ที่ถูกทอดทิ้ง สถานีรถไฟนามิเอะที่ไม่มีรถไฟจอดอีกแล้ว รั้วกั้นถนนระหว่างฟุกุชิมะกับโอคุมะ ร้านร้างในนามิเอะ เครื่อง PS2…
-
6 สิ่งที่คนในยุคหินทำ ที่แทบไม่ต่างอะไรกับพวกเรา ราวกับมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะแค่เทียบเทคโนโลยีในปัจจุบันกับเมื่อ 20-30 ปีก่อน เราก็เห็นแล้วว่าโลกเราพัฒนาไปไกลแค่ไหน แต่เชื่อหรือไม่ว่าในโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วใบนี้ ก็ยังมีสิ่งที่คนเราทำเหมือนเดิมไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย แถมไม่ใช่แค่ร้อยสองร้อยปี แต่เป็นตั้งแต่ในยุคหินเลยด้วย เพราะนี่คือ 6 สิ่งที่คนในยุคหินทำ ที่เรายังทำกันอยู่ในปัจจุบันไม่เปลี่ยนแปลง 1. พวกเขามีการทำเนื้อเป็น “เบคอน” นี่เป็นเรื่องที่เราทราบจากการขุดพบมัมมี่ “Ötzi” ที่มีอายุ 5,300 ปี เพราะในท้องของเขานั้น ไม่ได้มีเพียงแค่เมล็ดข้าวปรุงสุกเท่านั้น แต่ยังมีเนื้อแพะที่มีการปรุงด้วยวิธีถนอมอาหาร คล้ายกับการทำเบคอนนั่นเอง 2. พวกเขาเล่นดนตรี หลักฐานการเล่นดนตรีของคนยุคหินนั้น โผล่มาครั้งแรกในถ้ำที่เยอรมนีเมื่อปี 2012 โดยเป็นเครื่องดนตรีจากเมื่อ 43,000 ปีก่อน ที่ประกอบด้วยขลุ่ยที่ทำจากกระดูกนกและงาช้างแมมมอธ เป็นไปได้ว่านี่เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรม หรือไม่ก็เพื่อความสนุกเฉยๆ 3. พวกเขามีผู้หญิงที่เข้มแข็ง ภาพลักษณะของผู้หญิงในอดีตมักจะถูก “ทำให้” ดูเป็นเพศที่อ่อนแอ แต่นั่นไม่ใช่สำหรับในยุคหิน เพราะร่างของผู้หญิงที่พบจากเมื่อ 7,000 ปีก่อนมักจะมีร่างกายที่แข็งแรง และดูเหมือนว่าจะทำงานใช้แรงงานเช่นเดียวกับผู้ชายอย่างเท่าเทียมกันเลยด้วย 4. พวกเขามีการส่งทรัพย์สินจากรุ่นสู่รุ่น จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งนอร์เวย์ ดูเหมือนว่าบ้านหนึ่งหลังของคนในยุคหินจะมีการใช้อยู่อาศัยเป็นเวลานาน และบางหลังอาจจะถูกใช้อยู่อาศัยนานมากถึง…
-
5 เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรเอาไปหาดูรูปในกูเกิล… เราเตือนคุณแล้ว
ว่ากันว่าเราอยู่ในยุคที่ทุกสิ่งหาได้เพียงกดค้นหาในกูเกิล แต่ภายในความสะดวกสบายนั้นเองบางครั้งก็เหมือนกับเป็นคำสาปเช่นกัน เพราะบนโลกใบนี้ก็มีบางสิ่งที่คนขวัญอ่อนไม่ควรจะไปค้นหาเช่นกัน เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเรื่องรายชื่อคำที่ไม่ควรหาในกูเกิลมาก่อน ซึ่งในคราวนี้เองเราก็จะมาว่ากันด้วยรายชื่อที่ว่านี้ล่ะ แต่เป็นเวอร์ชันประวัติศาสตร์ กับ 5 เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรเอาไปหารูปในกูเกิล… เราเตือนคุณแล้ว The Agent Orange Experiments Agent Orange Experiments หรือ “ฝนเหลือง” เป็นหนึ่งในโครงการอาวุธที่น่ากลัวมากๆ ของสหรัฐฯ และหนึ่งในความน่ากลัวที่สุดของโครงการนี้ก็อยู่ที่ Holmesburg Program โครงการย่อยที่นำโดย Dr. Albert M. Kligman และได้รับการสนับสนุนโดยทหาร มันเป็นโครงการที่ทำการทดลองด้วยการฉีดสารเคมีที่มีผลต่อผิวหนังเข้าไปในตัวเหยื่อทดลอง เพื่อเรียนรู้อาการทางผิวหนังและการกลายพันธุ์ต่างๆ ที่ว่ากันว่าทำไปเพื่อหาสารที่ดีที่สุดที่จะนำมาทำฝนเหลืองนั่นเอง สิ่งที่คุณจะพบ: ภาพเด็กๆ ที่พิกลพิการ ทารกไร้ดวงตา หรือมีคนที่มีแผลตามผิวหนังอย่างน่ากลัว ทั้งรูปจริงๆ และภาพปลอมที่ได้รับการตกแต่ง The Ed Gein Murders Ed Gein เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่โหดสุดๆ คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ในตอนที่เขาโดนจับตำรวจพบจมูกคน 4 ชิ้น หน้ากากหนังมนุษย์ 9 ชิ้น…
-
ชม 5 “ชิ้นส่วนร่างกาย” ของคนดังที่โลกเก็บเอาไว้ แถมบางอันยังเปิดให้เข้าชมด้วยนะ
เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนดังและคนมีชื่อเสียง บ่อยครั้งที่เราพยายามที่จะเก็บของที่พวกเขาเคยใช้เอาไว้สักชิ้นสองชิ้น ส่วนมากแล้วก็จะไม่พ้นเสื้อผ้า หรือไม่ก็ของที่พวกเขาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่เชื่อหรือไม่ว่าโลกของเราเก็บสิ่งสำคัญของคนดังในสมัยก่อนไว้มากกว่าที่คิด เพราะในบรรดาสิ่งของที่ทางพิพิธภัณฑ์เก็บไว้นั่น มันดันรวมไปถึง “ร่างกาย” ของพวกเขาด้วยนี่สิ ด้วยเหตุนี้เองในคราวนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม 5 คนดังที่โลกเก็บ “ชิ้นส่วนของร่างกาย” เอาไว้ แถมของบางคน ยังมีการเปิดให้เข้าชมในปัจจุบันด้วยนะ สมองของ Albert Einstein นักฟิสิกส์ชื่อดังอย่าง Albert Einstein จากโลกนี้ไปเมื่อปี 1955 แต่นักวิจัยได้ชำแหละสมองของเขาก่อนที่จะบริจาค “บางส่วน” ให้กับพิพิธภัณฑ์ Mütter ในฟิลาเดลเฟีย และมันก็ยังอยู่ที่นั่นแม้ในตอนนี้ องคชาตของ Grigori Rasputin Grigori Yefimovich Rasputin เป็นชายผู้มีชื่อเสียของรัสเซีย ผู้ซึ่งถูกวางยา ยิงทิ้ง ทุบตี หั่นเป็นชิ้นๆ และโยนทิ้งแม่น้ำ แต่เชื่อหรือไม่ว่า มีใครบางคนพบกับองคชาตยาว 13 นิ้วที่ (เชื่อว่า) เป็นของเขา โดยในปัจจุบันเจ้า Rasputin “ผมไม่เล็กนะครับ” อันนี้ ก็ถูกเก็บรักษาไว้ที่ พิพิธภัณฑ์ความเร้าอารมณ์ “MusEros” ในประเทศรัสเซียนั่นเอง…
-
22 ภาพความยุ่งเหยิงแห่งปี 1968 ปีที่เต็มไปด้วยการประท้วง จลาจล และสงคราม
เคยมีคำกล่าวที่ว่า โลกของเรานั้นยุ่งเหยิงอยู่ตลอดเวลา แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน ในปี 1968 เป็นปีที่แทบจะเรียกได้ว่ายุ่งเหยิงมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเลยก็ว่าได้ ด้วยการประท้วงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ สงครามเวียดนาม แถมด้วยการลอบสังหารมาร์ติน ลูเธอร์ คิงอีก ปี 1968 เป็นปีที่มีอะไรเกิดขึ้นมากภายในปีเดียว แต่จะมีเรื่องอะไรบ้างนั้น เชิญเพื่อนๆ ไปชมกันได้เลยข้างล่างนี้ กองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติของสหรัฐฯ ปิดกั้นถนนในเมมฟิสเทนเนสซี ขณะที่ขบวนประท้วงผิวสีห้อยป้ายที่เขียนว่า “ฉันเป็นมนุษย์” 29 มีนาคม 1968 ธงเวียดนามใต้โบกสะบัดอยู่บนซากอาคารในระหว่างรถยนต์ขับผ่านสะพาน กุมภาพันธ์ 1968 ภาพทหารสหรัฐฯ ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราจากการประจำการในเวียดนาม 18 กรกฎาคม 1968 โฆษกกำลังพูดหว่านล้อมคนให้หันมาสนับสนุนประชาธิปไตยในเชโกสโลวาเกีย ระหว่างความขัดแย้งกับสหภาพโซเวียต รถถังโซเวียตกว่า 2,000 คันบุกเข้ามาในเชโกสโลวาเกีย หลังผลการเจรจาระหว่างผู้นำออกมา “ล้มเหลว” ประชาชนยืนล้อมรถถังโซเวียตในวันแรกที่ทางโซเวียตบุกเข้ามาในเชโกสโลวาเกีย 21 สิงหาคม 1968 รูปภาพสุดท้ายของมาร์ติน ลูเธอร์ คิงที่ถ่ายไว้ในวันที่ 3 เมษายน ก่อนที่จะโดนลอบสังหาร Andrew Young นักการเมืองผู้สนับสนุนสิทธิพลเมืองคนผิวสี ชี้ไปยังทิศทางที่ฆาตกรหนีไป หลังจากการลอบสังหารมาร์ติน ลูเธอร์…
-
ชม 31 ภาพของเรือเหาะ “ฮินเดนเบิร์ก” ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังโศกนาฏกรรมในปี 1937
เมื่อพูดถึงเรือเหาะขนาดใหญ่บนโลกแห่งความจริง ชื่อว่าบางคนอาจจะนึกถึงโศกนาฏกรรมของเรือเหาะฮินเดนเบิร์กขึ้นมา นี่เป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมปี 1937 กับเรือเหาะ LZ 129 ฮินเดนเบิร์ก เรือเหาะที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาของเยอรมนี ผลิตโดยบริษัท Zeppelin ซึ่งจู่ๆ ก็เกิดติดไฟขึ้นกลางอากาศและเป็นสาเหตุให้การสร้างเรือเหาะของโลกต้องยุติลงไปช่วงหนึ่งเลย สาเหตุของโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นถูกสันนิษฐานไว้หลายแบบ แต่ทฤษฎีที่ได้รับการเชื่อถือมากที่สุดได้แก่การที่ไฮโดรเจนเกิดรั่วไหลทำให้เกิดการลุกไหม้ของไฟ และก่อให้เกิดประกายไฟฟ้าในอากาศ ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชมภาพของเรือ LZ 129 ฮินเดนเบิร์กกัน มาดูกันดีกว่าว่าก่อน ระหว่าง และหลังโศกนาฏกรรมปี 1937 เรือเหาะลำนี้มีหน้าตาแบบไหนกันนะ การตรวจสอบครั้งสุดท้ายของฮินเดนเบิร์กก่อนนำออกปฏิบัติการ โครงสร้างของ LZ 129 สมัยที่ยังไม่มีชื่อในเมือง Friedrichshafen ประเทศเยอรมนี การปฏิบัติการนำน้ำไปรดพื้นที่ในเมือง Lakehurst รัฐนิวเจอร์ซีย์ 9 พฤษภาคม 1936 เหล่าผู้คนและลูกเรือภาคพื้นดินกำลังล้อมรอบฮินเดนเบิร์กก่อนออกบินเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 1936 ภายในห้องทานอาหารของเรือเหาะฮินเดนเบิร์ก ผู้โดยสารในห้องอาหารบนฮินเดนเบิร์ก เดือนเมษายนปี 1936 ฮินเดนเบิร์ก บินผ่านบอสตัน 1936 เครื่องบินลาดตระเวนของสหรัฐฯ นำทางให้ฮินเดนเบิร์กร่อนลงที่รัฐนิวเจอร์ซีย์…
-
5 เทศกาลวันหยุดแบบแปลกๆ ในอดีต ที่น่าสนใจจนนึกอยากให้เอากลับมาใช้ในปัจจุบัน
ไม่ว่าใครก็คงชอบวันหยุด โดยเฉพาะวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่จะทำให้เราได้วันหยุดเพิ่มเติมจากปกติแล้วด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ในบางครั้งเราก็อาจจะรู้สึกกันว่าวันหยุดที่มีให้นั้นมันช่างน้อยเหลือเกินใช่ไหมล่ะ ว่าแต่เชื่อกันไหมล่ะว่าในสมัยก่อน นอกจากวันหยุดหลายๆ วันที่เรารู้จักกันแล้ว บนโลกใบนี้ยังเคยมีวันหยุดแปลกๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบ ถึงขนาดที่บางอันเห็นแล้วนึกอยากให้เอากลับมาเลยทีเดียว เหมือนกับวันหยุดต่อไปนี้ Plough Monday นี่เป็นวันที่จะจัดขึ้นในวันจันทร์แรกหลังจากวันที่ 6 มกราคม ในช่วงศตวรรษที่ 15 โดยนี่เป็นเทศกาลที่ใช้กำหนดปีการเก็บเกี่ยวใหม่และจะมีการใช้เด็กผู้ชายมาแต่งเป็นหญิงแก่ และมีชายหนุ่มแต่งเป็นสัตว์ ก่อนจะออกเดินลากคันไถพร้อมวงดนตรีไปตามบ้านเพื่อเรี่ยไรเงินเพื่อการเกษตร และมีการเต้นรำกันในยามราตรี Old Clem’s Night นี่เป็นวันฉลองของสมเด็จพระสันตะปาปาเคลมองต์ที่ 1 ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการอุปถัมภ์ช่างตีเหล็ก ที่จัดขึ้นในวันที่ 23 พฤศจิกายน โดยจะมีการเอาดินปืนไปใส่ทั่งตีเหล็กก่อนจะตีมันจนระเบิดเป็น “ดอกไม้ไฟ” นอกจากนี้ยังมีการให้ช่างตีเหล็กแต่งตัวเป็น “ตาเฒ่าเคลม” ไปเคาะประตูขอเบียร์ ของทานเล่น หรือเงินได้อีกด้วย Lughnasadh นี่เป็นงานที่จัดขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคม ตามวัฒนธรรมเซลติกโบราณ เพื่อเป็นการบูชาพระเจ้าสามหน้า “Lugh” และเข้าร่วมการ “ทดลองแต่งงาน” โดยจะให้คุณกับคนที่คุณสนใจทดลองแต่งงานกัน 1 ปี กับอีก 1 วัน และหากไม่ชอบ ในงาน Lughnasadh…
-
5 สิ่งของที่ดูจะไร้สาระ แต่ก็ทำให้เกิดสงครามเพื่อแย่งชิงมันขึ้นจริงๆ แล้วบนโลก
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เกิดสงครามขึ้นบ่อยที่สุดในประวัติศาสตร์นั้นมาจากการแย่งชิง ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรอย่างน้ำมัน หรือพื้นที่และเขตแดน จนทำให้หลายๆ ครั้งสงครามก็แลดูเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลในสายตาของผู้นำหลายๆ คน ในยุคสมัยต่างๆ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะบนโลกใบนี้เอง ในบางครั้งสงครามก็เกิดขึ้นมาจากการแย่งชิงสิ่งของที่ไร้สาระสุดๆ ได้เช่นกัน เหมือนอย่างสงคราม 5 ครั้งต่อไปนี้ อังกฤษและสเปนเข้าสู่สงครามเพราะหูของคนคนหนึ่ง นี่เป็นสงครามที่ถูกเรียกกันด้วยชื่อเล่นว่า “สงครามหูของเจนกินส์” ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่อังกฤษต้องการความได้เปรียบทางการค้าจากสเปนในปี 1739 พวกเขาเลยต้องการก่อสงครามขึ้น อย่างไรก็ตามการที่จู่ๆ จะไปโจมตีสเปนเลยมันก็ดูไม่ดี ทางอังกฤษจึงอ้างเรื่องที่เรือสเปนเคยบุกขึ้นมาตัดหูกัปตันเรือที่ชื่อโรเบิร์ต เจนกินส์เมื่อ 8 ปีก่อนมาเป็นข้ออ้างในการทำสงคราม ทำให้เหตุผลของสงครามในครั้งนี้ถูกระบุเอาไว้ว่าทำไปเพื่อหูของเจนกินส์นั่นเอง โบโลญญาและโมเดนารบกันเพื่อแย่งชิงถังไม้ การรบครั้งนี้มีอีกชื่อว่า “สงครามถังไม้” เกิดขึ้นในปี 1325 ระหว่างเมืองโบโลญญาและโมเดนาในอิตาลี จากการที่ทหารของโมเดนาแอบเข้าไปขโมยถังน้ำออกมาจากเมืองโบโลญญา (บ้างก็ว่าใส่ของมีค่าเอาไว้ในถังด้วย) และปฏิเสธเมื่อทางโบโลญญาขอถังคืนสงครามจึงเริ่มต้นขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะของทางโมเดนา ทำให้ในปัจจุบันถังไม้ดังกล่าวก็ยังคงตั้งอยู่ในหอระฆัง Torre della Ghirlandina ที่เมืองโมเดนา สงคราม 40 ปี ที่เกิดขึ้นเพราะอูฐหนึ่งตัว นี่คือสงครามระหว่างเผ่าที่ถูกเรียกกันว่า “สงคราม Al-Basus” จากการที่อูฐของผู้หญิงชื่อ Al-Basus หลงเข้าไปในฝูงอูฐของเผ่า Taghlib และถูกฆ่าตาย…
-
24 ภาพความงดงามและเหตุการณ์ต่างๆ ใน “นครรัฐวาติกัน” ผ่านเลนส์กล้องของคนในอดีต
นครรัฐวาติกัน เป็นนครรัฐที่ตั้งอยู่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นที่อยู่ของพระสันตะปาปา ผู้ซึ่งมีตำแหน่งสูงสุดในคริสตจักรโรมันคาทอลิก และมีศูนย์กลางคือมหาวิหารนักบุญเปโตร แน่นอนว่าสถานที่อันสำคัญเช่นนี้ย่อมต้องเปี่ยมไปด้วยความงดงามที่ถูกเก็บรักษามาตามกาลเวลาเป็นธรรมดา ดังนั้นในวันนี้เราจึงจะมาชมภาพ ความงดงามและเหตุการณ์ต่างๆ ในนครรัฐแห่งนี้ ผ่านเลนส์กล้องของคนในอดีตกัน ภาพภายในห้องแสดงรูปปั้นแห่งวาติกัน 1880 จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ 1910 พระศพของพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 1 ในโบสถ์ Clementine ของวาติกัน 1978 รูปปั้น Pieta ระหว่างการบูรณะ ในห้องปฏิบัติการของวาติกัน 1972 พระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ให้พรแก่ผู้สื่อข่าวฝ่ายสัมพันธมิตรภายหลังการปลดปล่อยกรุงโรม ในปี 1944 การสร้างกำแพงแบ่งนครวาติกันออกจากอิตาลี การบูรณะภาพตกแต่งภายในของโบสถ์ Sistine ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ หอรวมรูปปั้นสัตว์ ในพิพิธภัณฑ์วาติกัน 1880 การทำงานของพระคาร์ดินัล Paul Marcinkus 1991 (พระคาร์ดินัล คือสมณศักดิ์ชั้นสูงรองจากพระสันตะปาปา) ชนพื้นเมืองอเมริกัน ในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ 1980 แม่ชีเทเรซาเดินผ่านตัวเมืองวาติกัน…
-
“โคมไฟวิเศษ” เครื่องฉายภาพแห่งยุควิกตอเรีย กับบริการ “เช่าหนัง” ในสมัยก่อน
ในปัจจุบันด้วยพลังแห่งเทคโนโลยีและโลกอินเตอร์เน็ต การดูภาพยนตร์เป็นเรื่องที่ง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส แต่หากมองย้อนไปสักร้อยสองร้อยปี คงไม่มีใครคิดแน่ๆ ว่าในคนสมัยนั้นเขาก็มีวิธีดูภาพยนตร์ในแบบของเขาเช่นกัน นี่คือ “Magic lanterns” หรือ โคมไฟวิเศษ อุปกรณ์ฉายภาพที่เชื่อกันว่าถูกคิดค้นขึ้นมาในศตวรรษที่ 16 และใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วง ศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 เจ้าเครื่องนี้มีการทำงานคล้ายกับเครื่องฉายภาพ หรือเครื่องโปรเจกเตอร์ ที่หากมีการประยุกต์ที่ดี ก็อาจจะฉายภาพสามมิติ หรือภาพเคลื่อนไหวสั้นๆ (คล้ายภาพ GIF) ได้เลย เดิมทีแล้วนักโบราณคดีเชื่อกันว่า เจ้าอุปกรณ์เหล่านี้น่าจะเป็นของมีราคา และมีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้ใช้ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าแท้จริงแล้วเจ้าเครื่องนี้จะมีการใช้ที่แพร่หลายกว่านั้น เพราะจากงานวิจัยใหม่ที่มีการเปิดเผยในมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ ประเทศอังกฤษได้ออกมาบอกว่าในสมัยก่อน แม้แต่ชนชั้นกลางเองก็มีโอกาสได้ดูโคมไฟวิเศษเช่นกัน จากหลักฐานโฆษณาสินค้าในหนังสือพิมพ์จากยุควิกตอเรีย ดูเหมือนว่าในสมัยนั้นจะมีบริการที่เรียกว่าการให้เช่าโคมไฟวิเศษอยู่ โดยจะเป็นการจ้างวานพนักงานซึ่งจะคอยควบคุมโคมไฟวิเศษนั่นเอง การจ้างวานจำพวกนี้มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ในช่วงวันพิเศษ อย่างวันเกิดของเด็กๆ หรือเทศกาลคริสต์มาส และมักจะมีการจ้างวานจากทางโบสถ์ ศาลากลางเมือง และบ้านของประชาชน “มันก็คล้ายๆ กับ Netflix หรือร้านเช่าภาพยนตร์นั่นแหละ” John Plunkett รองศาสตราจารย์วิชาภาษาอังกฤษที่ มหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์กล่าว “มันเป็นวิธีเข้าถึงสื่อที่พวกคุณไม่สามารถซื้อเองได้”…
-
ย้อนดูเหตุการณ์แข่งวิ่งมาราธอน ฝ่าความหฤโหดทั้งดินและฝุ่น ในกีฬาโอลิมปิก 1904
ในยุคปัจจุบันที่กีฬาการวิ่งได้รับกระแสตอบรับความนิยมมากขึ้น มีการจัดแข่งวิ่งทั่วประเทศและถี่ตลอดทั้งปี อาจจะมีความรู้สึกว่ายากในบางรายการ แต่คงไม่ยากเท่ารายการวิ่งมาราธอนในอดีตครั้งนี้แน่ๆ ที่ทำให้นักวิ่งโอลิมปิกถึงกับต้องยอมแพ้ ในปี 1904 กีฬาโอลิมปิกถูกจัดขึ้นที่เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี ประเทศสหรัฐอเมริกา และรายการแข่งมาราธอนถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของโอลิมปิก โดยจัดแข่งเป็นรายการสุดท้ายของวันนั้น มีนักกีฬาเข้าร่วมทั้งหมด 62 คนจากทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นวันที่จัดเทศกาลครั้งใหญ่ของเมือง ซึ่งนับว่าเป็นวันที่เกิดงานสองงานรวมกันในวันเดียว และก่อให้เกิดหายนะต่อนักกีฬาอย่างร้ายแรง หายนะเริ่มต้นจากผู้จัด เลือกวันตรงกับงานเทศกาลใหญ่ของเมือง และให้เริ่มการแข่งขันวิ่งในช่วงบ่ายแทนที่จะเป็นช่วงเช้า นั่นหมายความว่า นักกีฬาจะต้องวิ่งท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงกว่า 30 องศาเซลเซียส ตลอดการแข่งขัน และน้ำดื่มที่นักวิ่งจะได้รับนั้น อยู่ห่างออกไปประมาณ 17 กิโลเมตรจากจุดปล่อยตัว ซึ่งเป็นเพียงจุดเดียวที่มี เส้นทางการวิ่งประกอบไปด้วยทางดินและทางฝุ่น ประกอบกับเป็นวันจัดงานเทศกาลใหญ่ของเมือง ชาวบ้านที่ขับรถม้าสัญจรไปมา ทั้งล่วงหน้าและตามหลังนักกีฬา ก่อให้เกิดฝุ่นตลบอบอวลตลอดเส้นทาง และกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ของนักกีฬา Charles Lucas นักประวัติศาสตร์โอลิมปิกกล่าวว่า “นักกีฬาหลายคนไม่ได้ดื่มน้ำระหว่างทาง ผลที่ตามมาก็ก่อให้เกิดความผิดปกติในลำไส้” หนึ่งในนักวิ่งชาวอเมริกัน William Garcia ถูกชาวบ้านพบ นอนเป็นลมล้มพับกลางทาง เนื่องจากเขาได้รับผลกระทบต่อร่างกายภายในอย่างรุนแรง…
-
10 วิธีการรักษาทางการแพทย์ “แปลกๆ” ในอดีต โชคดีแล้วที่เราไม่ได้เกิดมาในยุคนั้น…
โรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอกับมนุษย์เรา แต่โชคดีที่มนุษย์นั้นสามารถหาทางรักษาโรคต่างๆ ได้ แต่กว่าจะค้นหาวิธีการรักษาแต่ละโรคได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย ทุกวันนี้ เพียงการรักษาด้วยการฉีดยาหรือผ่าตัดสำหรับบางคนก็อาจจะร้อง “ยี้” แล้ว แต่ลองย้อนกลับไปสมัยก่อนที่การแพทย์กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาล่ะก็ รับรองว่าการรักษาโรคไม่ได้ทำง่ายๆ เพียงแค่ฉีดยาแน่นอน ไปชมกันเลยว่าในสมัยก่อนการรักษาโรคต่างๆ กว่าจะประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้ได้ต้องผ่าน ความเชื่อผิดๆ แบบไหนมาบ้าง…?? 1. รักษาด้วยการ “มีเซ็กส์กับชาย/หญิงบริสุทธิ์” ครั้งหนึ่งเมื่อคุณมีโรคติดต่อทางเพศ มีความเชื่อว่าหากไปมีเพศสัมพันธ์กับชาย/หญิงบริสุทธิ์ โรคจะถูกส่งต่อไปสู่คนผู้นั้น และคุณก็จะหาย (แถมทุกวันนี้บางที่ก็ยังเชื่อแบบนี้อยู่เลย) 2. รักษากามโรคด้วย “โรคมาลาเรีย” ครั้งหนึ่ง แพทย์ส่วนใหญ่เชื่อว่าการฉีดเชื้อโรคมาลาเรียเข้าไปในผู้ที่ป่วยเป็นโรคซิฟิลิสจะทำให้อาการไข้สามารถทำลายเชื้อของทั้งสองโรคได้ แต่ผลสุดท้ายคนไข้ก็ตายด้วยโรคมาลาเรีย 3. หนูตายรักษาได้แทบทุกอย่าง ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณซากหนูที่ตายนั้นจะถูกนำมาใช้รักษาอาการปวดฟัน ส่วนในสมัยเอลิซาเบธ ศพหนูจะถูกผ่าครึ่งแล้วนำมารักษาหูด นอกจากนี้หนูตายตามรายงานยังบอกว่าเคยถูกนำมาใช้รักษาอาการไอกรน โรคหัด ฝีดาษ และการฉี่รดที่นอนอีกด้วย 4. เหล็กแหลมร้อนรักษาริดสีดวง ในสมัยโบราณ นักบวชกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อการใช้เหล็กแหลมร้อนเสียบเข้าไปในรูทวารนั้นสามารถรักษาอาการริดสีดวงทวารได้ 5. การใช้ปรอทเหลว ในสมัยกรีกและเปอร์เซียโบราณมีการใช้ปรอทเหลวเป็นเครื่องทาคล้ายยาขี้ผึ้ง ส่วนชาวจีนโบราณใช้เป็นยาอายุวัฒนะ และมีการใช้เป็นยาวิเศษอีกหลายแห่ง แต่ความจริงแล้วปรอทเหลวมีแต่จะนำความตายมาให้ 6.…
-
5 หญิงสาวผู้อยู่เคียงข้าง “วายร้าย” ของโลก แม้ไม่ได้มีวีรกรรม แต่ก็รักสามีอย่างถึงที่สุด
ในสมัยก่อนมีคำพูดที่ว่า “เคียงข้างผู้ยิ่งใหญ่ มักจะมีผู้หญิงที่ดีอยู่เสมอ” ไม่แน่ว่าคำพูดคำนี้อาจจะไม่ได้หยุดอยู่แค่เหล่าวีรบุรุษเท่านั้นก็เป็นได้ เพราะหากมองกันให้ดีๆ ในบรรดาเหล่าคนที่โลกโลกตีตราว่าเป็น “ผู้ร้าย” เอง พวกเขาก็มีหญิงสาวคอยเคียงข้างเช่นกัน แม้ว่าพวกเธออาจจะไม่ได้มีวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่อะไร จนบางครั้งก็ถูกลืมไปจากประวัติศาสตร์แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พวกเธอหลายๆ คนนั้น อยู่เคียงข้างคนรัก อย่างถึงที่สุดเลยจริงๆ Eva Braun ภรรยาของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ Eva พบกับฮิตเลอร์ครั้งแรกในปี 1929 ในตอนที่เธออายุได้เพียง 17 ปี (เธอเด็กกว่าฮิตเลอร์ 23 ปี) แม้ว่าไม่ทราบว่าทั้งคู่เริ่มคบหากันเมื่อไหร่ แต่เชื่อว่าทั้งคู่รักกันมาอย่างน้อยๆ 16 ปี โดยในระหว่างนั้น Eva ได้พยายามฆ่าตัวตายอยู่สองครั้ง อย่างไรก็ตาม จากรายงานแล้วดูเหมือนว่าการพยายามฆ่าตัวตายนี้จะไม่ได้เพื่อหนีท่านผู้นำ แต่เพื่อเรียกร้องความสนใจ ให้เขากลับมามองเธอต่างหาก เพราะในปี 1945 เธอก็จบชีวิตของตัวเองไปพร้อมๆ กับฮิตเลอร์นั่นเอง Sajida Talfah ภรรยาของซัดดัม ฮุสเซ็น นอกจากจะเป็นภรรยาของซัดดัมแล้ว Sajida ยังเป็นญาติทางสายเลือดของซัดดัมด้วย ทั้งคู่แต่งงานกันในงานแต่งที่จัดโดยญาติๆ เมื่อปี 1963 และอยู่ด้วยกันมานาน อย่างไรก็ตามในปี 1986 ซัดดัมได้แต่งงานอีกครั้งกับภรรยาคนที่สอง…
-
24 ภาพจากสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง สงครามที่ญี่ปุ่นเข้ารุกรานแมนจูเรียในปี 1937
สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง เป็นสงครามที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งต่อมากลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกและเรียกกันว่า “สงครามแปซิฟิก” โดยเริ่มต้นจากการที่ญี่ปุ่นได้เข้ารุกรานแมนจูเรีย และเป็นที่มาของ “การข่มขืนนานกิง” อาชญากรรมสงครามที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของโลก อย่างไรก็ตามในสงครามครั้งนี้มีเรื่องราวมากกว่าเพียงแค่ที่นานกิง ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชม 24 ภาพจากสงครามสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง มาดูกันดีกว่าว่านอกจากการข่มขืนนานกิงแล้ว ภาพจากสงครามในครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง ภาพหลังการทิ้งระเบิดที่สถานีเซี่ยงไฮ้ 1937 ผู้หญิงจีนกับสามีที่กำลังจะตาย 1940 ทหารญี่ปุ่นท้าทายนักโทษจีนคู่หนึ่งก่อนที่พวกเขาจะถูกฆ่า 1938 ทหารญี่ปุ่นประจำตำแหน่งบนสิ่งก่อสร้างจีนโบราณ 1938 ผู้ลี้ภัยหนีจากฉงชิง ในขณะที่เมืองลุกเป็นไฟ 1939 ผลจากการทิ้งระเบิดที่สวนสนุกในปี 1937 แม่ลูกท่ามกลางซากปรักหักพังจากการทิ้งระเบิดในฉงชิง ราวๆ ปี 1937-39 การฝึกกองกำลังป้องกันหญิงในกว่างโจว 1938 ชายหนุ่มกับลูกชายที่ตายในช่วงปี 1937-45 ควันจากเขตจ๋าเป่ย หลังจากการทิ้งระเบิด 1937 การยึดเมืองไท่หยวนโดยทหารญี่ปุ่น 1937 รถถังของกองทัพญี่ปุ่น 1938 …
-
14 ภาพที่ถูกนำมาแต่งเติมสีสัน คืนชีวิตสู่เหตุการณ์จากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เป็นสงครามที่ถูกเรียกว่า “มหาสงคราม” (Great War) และเชื่อกันว่าเป็น “สงครามที่จะหยุดสงครามทั้งหมด” มีศูนย์กลางการรบในยุโรป และเกิดขึ้นในปี 1914-1918 นี่เป็นสงครามที่ว่ากันว่ามีผู้บาดเจ็บล้มตายถึงประมาณ 40 ล้านคน และส่งผลกระทบเป็นรองเพียงแค่สงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมภาพส่วนหนึ่งจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ถูกนำมาแต่งเติมสีสัน คืนชีวิตให้แก่ภาพของผู้คน ผู้เข้าร่วมสงครามอันโหดร้ายในครั้งนี้ กลุ่มทหารปืนใหญ่อังกฤษนั่งอยู่บนกระสุนปืนใหญ่ในช่วงปี 1918 บนกระสุนเขียนไว้ว่า “RMA” ที่ย่อมาจาก Royal Military Academy และ “รับประกันเพื่อความสงบ” ทหารอังกฤษที่หลบอยู่หลังซากอ่างอาบน้ำ คาดว่าเป็นเพียงภาพการล้อเล่นยามว่างของทหาร ทหารและล่อของเขาเดินผ่านสนามโคลนในแนวรบด้านตะวันตก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ม้ามีความสำคัญสำหรับการขนส่งมาก ทำให้ในช่วงนั้นมีม้าจำนวนมากเสียชีวิตไปในสงคราม ทหารในสมัยนั้นใช้ชีวิตอยู่ในสนามเพลาะ จนบางครั้งก็ได้ก็ถูกเรียกเล่นๆ ว่าทหารตัวตุ่น ส่วนนี่เป็นภาพของทหารฝั่งเยอรมันในแนวหน้าของซอมม์ ซึ่งเป็นสนามรบเดียวกับภาพด้านบน หน่วยลาดตระเวน “Royal Scots” แห่งกองทัพอังกฤษใน Méteren มิถุนายน 1918 …
-
เปิดที่มาของ “แซนด์วิช” เชื่อหรือไม่ เกิดขึ้นเพราะความ “ไม่อยากหยุดเล่นเกม”
แซนด์วิชเป็นอาหารที่ช่วยชีวิตเหล่ามนุษย์โลกในยามเช้าที่เร่งรีบไปเรียนหรือทำงาน และยามดึกเวลาไม่มีอะไรทานได้เป็นอย่างดี มันเป็นอาหารที่ทำง่ายๆ จากขนมปัง และอาหารอื่นๆ ที่นำมาเป็นไส้ ไม่ว่าจะเป็นแฮม ทูน่า ปูอัด หมูหยอง ชีส แล้วแต่ความชอบของคน ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าเจ้าของที่ทำง่ายๆ แบบนี้ ใครกันที่เป็นคนคิดขึ้นมาคนแรก? เชื่อหรือไม่ว่าอาหารง่ายๆ อย่างแซนด์วิชนั้น ไม่ได้มีมานานเป็นพันๆ ปีอย่างที่หลายๆ คนคิด ในความเป็นจริงแล้ว ชื่อของมันเพิ่งปรากฏขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 18 นี้เองด้วยซ้ำ โดยผู้ที่คิดค้นการทำแซนด์วิชขึ้นมาเป็นคนแรกคือ John Montagu หรือ เอิร์ลคนที่สี่แห่งแซนด์วิชนั่นเอง ที่ John Montagu ถูกเรียกว่าว่าเอิร์ล แห่ง แซนด์วิช จะมาจากการที่เรือของบรรพบุรุษตระกูล Montagu เคยไปติดอยู่ที่หาดในเมืองแซนด์วิช ในมณฑลเคนท์ ประเทศอังกฤษ อย่างไรก็ตาม การทำแซนด์วิชครั้งแรก เกิดขึ้นมาจากการที่ John Montagu ชอบเล่นเกมกระดานมาก (บางแหล่งข้อมูลก็บอกว่าชอบเล่นไพ่เฉยๆ) เขาจึงไม่อยากเสียเวลาไปนั่งทานอาหาร เพราะในสมัยนั้นขุนนางจะทานอาหารทีต้องมีการจัดมื้ออาหารใหญ่ๆ ทำให้เสียเวลามาก ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงสั่งให้นำเนื้อสไลด์และขนมปังมาให้เขาที่โต๊ะเกมโดยตรง ก่อนที่เจ้าตัวจะประกบขนมปังทานในขณะเล่นเกมเลยนั่นเอง…
-
Lepa Radić หญิงสาววัย 17 ที่สละชีวิตต่อต้านนาซี วีรสตรีของประชาชนแห่งยูโกสลาเวีย
ในโลกของเรา บางครั้งผู้เสียสละก็อาจจะไม่ใช่ผู้ที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยคนที่ได้รับการช่วยเหลือเอาไว้โดยผู้เสียสละเหล่านั้น จะต้องจดจำพวกเขาเอาไว้ในใจอย่างแน่นอน นี่คือเรื่องของ Lepa Radić เด็กสาวผู้เข้าร่วมกองกำลังปาร์ติซานแห่งยูโกสลาเวียในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อต่อสู้กับกองทัพนาซีเยอรมันในปี 1941 นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่ฮิตเลอร์บุกโจมตียูโกสลาเวียในวันที่ 6 เมษายน 1941 เพื่อเปิดทางขึ้นไปยังสหภาพโซเวียต แน่นอนว่าประเทศยูโกสลาเวียพ่ายแพ้ให้กับกองทัพเยอรมันอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นทางเยอรมนีครอบครองได้แค่เพียงตัวเมืองเท่านั้น ลึกเข้าไปในป่าเขา เหล่าผู้ต่อต้านชาวเซอร์เบียเริ่มที่จะเผยตัวออกมาให้โลกได้เห็นอีกครั้ง พวกเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่กลุ่ม “เชตนิก” และกลุ่ม “ปาร์ติซาน” เชตนิกเป็นกลุ่มที่ต้องการให้ชาวเซอร์เบียรอดชีวิต และจงรักภักดีต่อระบอบราชาธิปไตยที่มีมาแต่เดิมของยูโกสลาเวีย ในขณะที่ฝั่งปาร์ติซาน หรือนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ มีผู้นำคือยอซีป บรอซ หรือที่รู้จักกันในชื่อเล่น “ติโต” และต่อต้านฝ่ายอักษะอย่างถึงที่สุด Lepa Radić เข้าร่วมฝั่งปาร์ติซานเมื่อตอนที่เธออายุได้ 15 ปีพร้อมๆ กับคนในบ้านของเธอ หลังจากที่พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากคุก ก่อนที่เด็กสาวจะอาสาเข้าร่วมแนวหน้า โดยรับหน้าที่ขนส่งทหารที่บาดเจ็บออกจากสนามรบ และได้ช่วยชีวิตคนไว้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของ Lepa Radić มาจากการเสียสละในตอนที่เธออายุได้ 17 ปีต่างหาก เพราะในเดือนกุมภาพันธ์ 1943 เธอถูกทางนาซีจับได้ในระหว่างการช่วยเหลือเด็กและผู้หญิง 150 คนออกจากพื้นที่ของฝั่งอักษะ …
-
9 ภาพเหยื่อคดีอาชญากรรม ที่เชื่อกันว่าถูกถ่ายโดยฆาตกรของพวกเขาเอง
คำเตือนอาจมีภาพของความรุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม เป็นไปได้ว่าสำหรับฆาตกรบางคนแล้ว เหยื่อของพวกเขาจะไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนถ้วยรางวัลในความสำเร็จด้วย ด้วยเหตุนี้เองเราจึงเห็นฆาตกรบางคนถ่ายภาพเหยื่อของตัวเองโดยไม่สนใจเลยว่ามันจะกลับมาเป็นหลักฐานมัดตัวหรือไม่ จริงอยู่ว่าหลักการความคิดของฆาตกรเหล่านี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาไปเข้าใจได้ แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อที่เห็นภาพของเหยื่อของพวกเขา เชื่อว่าหลายๆ คนจะรู้สึกได้ถึงความกลัวในสายตาของเหยื่อเหล่านั้น ดังเช่นภาพของเหยื่อที่เชื่อกันว่าถูกถ่ายโดยฆาตกรทั้ง 9 ภาพเหล่านี้ ภาพผู้เสียหายจากการลักพาตัว ที่ถูกทิ้งไว้ในลานจอดรถ เด็กสาวในภาพเชื่อกันว่าชื่อ Tara Calico ส่วนเด็กชายไม่ทราบว่าเป็นใคร โดยนี่เป็นภาพที่ถูกพบเมื่อเดือนกันยายน 1988 อย่างไรก็ตามแม้ตำรวจจะพยายามขนาดไหน ในปัจจุบันก็ยังไม่มีการพบตัวทั้งสองอยู่ดี Judy Ann Dull ก่อนการตายของเธอ Judy ถูกลักพาตัวโดย Harvey Glatman ฆาตกรต่อเนื่องชาวอเมริกัน เขามักปลอมตัวเป็นช่างถ่ายภาพเพื่อล่อเหยื่อให้ติดกับ และก่อนที่เขาจะฆ่าเหยื่อ Harvey จะถ่ายรูปของเหยื่อเอาไว้เสมอๆ และบางครั้งภาพเหล่านั้น ก็ไม่ได้จบลงแค่ก่อนเหยื่อตายอีกด้วย James Ferris ระหว่างถูกมัดและฉีดยาโดย Bob Berdella Bob Berdella ทำร้ายร่างกาย ทรมาน และสังหารเหยื่ออย่างน้อยๆ 6 คนในช่วงกลางปี 80 นอกจากนี้เขายังชอบ ถ่ายรูปเหยื่อระหว่างการทรมานอีกด้วย โดยภาพนี้เป็นหนึ่งในภาพที่ถูกเผยแพร่ออกไปในตอนที่ Bob โดนจับ หญิงสาวไม่ทราบชื่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของ “Dating…
-
“เงานิวเคลียร์” แห่งเมืองฮิโรชิมา สิ่งเตือนใจถึงความเสียหายจากสงครามและอาวุธนิวเคลียร์
6 สิงหาคม 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 ของสหรัฐฯ ได้ทำการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ในเมืองฮิโรชิมา สังหารผู้คนกว่า 70,000 รายภายในเสี้ยวพริบตา และพร้อมๆ กันนั้นเองความร้อนที่รุนแรงของการระเบิดก็ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “เงานิวเคลียร์” ขึ้นพร้อมๆ กัน นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากรังสียูวีที่ปล่อยออกมาจากแรงระเบิดไปกระทบ ทำให้ส่วนที่โดนบังไว้ (โดยคนหรือสิ่งของ) โดนเผาไหม้น้อยกว่าส่วนที่ไม่มีอะไรบัง เกิดเป็นความแตกต่างของสีพื้นผิวไป เงานิวเคลียร์แห่งเมืองฮิโรชิมานับว่าเป็นสิ่งที่เตือนใจถึงความเสียหายจากสงครามได้เป็นอย่างดี และบอกเล่าเรื่องราวในวินาทีสุดท้ายของคนที่ต้องเสียชีวิตไปในที่นั้น ให้คนที่ผ่านไปมา โดยไม่ต้องใช้คำพูดด้วยซ้ำ แน่นอนว่าร่างของคนที่อยู่ในระยะแรงระเบิดจะถูกเผาจนเป็นจุณ ภาพเงาของคนที่ถือบันได ไหม้ติดไปกับตัวอาคาร พวกเขาจะหายไปในไม่ถึงวินาที และเป็นไปได้ว่าจะไม่รู้ตัวต้องซ้ำว่าตัวเองตายไปแล้ว เงาของคนถือไม้เท้าติดไปกับบันได แต่เงาพวกนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนเท่านั้น เงาของบันไดเกลียว สิ่งของที่อยู่ในระยะแสง UV ก็จะมีเงาแบบนี้เช่นกัน เค้าร่างของบันได ที่เหลือเพียงเงาบนกำแพง บางครั้งหากสิ่งนั้นๆ แข็งแรงพอ เราอาจจะเห็นเงาให้เปรียบเทียบกันเลยด้วย เงาของวาล์วเครื่องจักรติดกับกำแพง ซึ่งโดยมากแล้วจะเกิดกับสิ่งก่อสร้างที่เป็นเหล็ก เงาของนอตที่ไหม้ไปกับกำแพง หรือสิ่งที่อยู่ไกลจากจุดระเบิดมากพอที่จะโดนเพียงแสงนั่นเอง เงาของสะพานรั้วสะพาน เงาพวกนี้บางครั้งก็กลายเป็นต้นกำเนิดของเรื่องผี เงาของใครสักคนที่กำลังนั่งอยู่บนบันได หรือกลายเป็นที่ที่คนไปเคารพความตายของคนในสมัยก่อน เงาดำที่บันไดของวัด และสิ่งหนึ่งที่เงาพวกนี้มีเหมือนกัน เงาที่ถูกเผาลงบนเสาไม้ …
-
6 อุปกรณ์การแพทย์ในสมัยก่อนที่น่ากลัวแบบสุดๆ แน่ใจนะว่าไม่ใช่เครื่องทรมาน
ว่ากันตรงๆ อุปกรณ์การแพทย์ไม่ว่าจะในยุคไหนๆ ก็จะมีความน่ากลัวในแบบของมันอยู่เสมอ แต่บ่อยครั้งรูปร่างที่น่ากลัวของมันก็เกิดขึ้นมาจากการออกแบบเพื่อที่จะให้สามารถรักษาคนไข้ได้อย่างปลอดภัยที่สุดนั่นเอง ทำให้พูดได้ว่ารูปร่างน่ากลัวแต่การใช้งานอ่อนโยนก็ไม่ผิด แต่ในขณะเดียวกันบนโลกในนี้เองก็ยังมีอุปกรณ์ที่น่ากลัวทั้งรูปร่างและการใช้งานอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะของที่มาจากในสมัยก่อนแล้วด้วย เหมือนกับอุปกรณ์การแพทย์สุดโหดทั้ง 6 ชิ้นต่อไปนี้นั่นเอง อุปกรณ์ทำลายทารก ในสมัยที่การผ่าคลอดยังไม่สามารถทำได้ บ่อยครั้งทีมแพทย์จะต้องเลือกว่าจะให้มารดาตายหรือว่าทารกตาย ซึ่งโดยมากแล้วพวกเขาจะเลือกมารดาไว้ก่อน ดังนั้นอุปกรณ์ทำลายทารกจึงเป็นสิ่งที่จะมีติดที่ทำคลอดอยู่เสมอ โดยเจ้าอุปกรณ์ที่ว่าจะมีรูปร่างและชื่อที่เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย แต่โดยมากจะเป็นแท่งเหล็กที่มีอุปกรณ์เจาะ ตัด หรือเลื่อยติดอยู่ ซึ่งให้ในการ “ทำลาย” ทารกเป็นชิ้นๆ นั่นเอง Lithotome Caché นี่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้กันในฝรั่งเศสช่วงศตวรรษที่ 18 เพื่อการกำจัดนิ่วในไต โดยจะใช้เครื่องนี้เสียบเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะเพื่อ “ตัดและขยาย” ส่วนปลายของกระเพาะปัสสาวะ ก่อนจะใช้คีมผ่าตัดคีบนิ่วออกมา เครื่องเจาะกะโหลก ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกันตั้งแต่สมัยก่อนคนเรามักจะเชื่อว่าการ “เจาะกะโหลก” รักษาโรคได้หลายอย่าง ด้วยเหตุนี้เองเครื่องนี้จึงเกิดขึ้น โดยจะมีลักษณะต่างๆ กันไปตามแต่ละที่ ส่วนในภาพจะเป็นแบบที่คล้ายกับเครื่องทำน้ำแข็งไสแบบหมุนนั่นเอง แล้วก็เผื่อว่าจะยังสยองไม่พอ ในสมัยนั้นไม่มียาชา ยาสลบ หรือยาฆ่าเชื้อนะ Tongue Écraseur อีกหนึ่งเครื่องมือแพทย์จากช่วงศตวรรษที่ 18 โดยจะทำหน้าที่ในการรักษาเนื้องอกบนลิ้น หรือการติดเชื้อที่ลิ้น ด้วยการตัดลิ้นบางส่วนทิ้งไปจากการ…
-
24 ภาพประหลาดจากสมัยก่อน ที่ไม่ใช่แค่แปลก แต่บางอย่างก็หาเหตุผลไม่ได้เลยทีเดียว
โลกของเรานั้น บางครั้งก็เป็นดูเหมือนจะไม่สมประกอบเท่าไหร่ จึงไม่ใช่เรื่องแรกที่มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกในบางครั้งก็จะทำอะไรที่หาเหตุผลไม่ได้อยู่บ้าง ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วที่คนเรามักจะทำอะไรที่ไม่สมเหตุสมผล ราวกับเป็นสายเลือดความติงต๊องที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ไม่เชื่อก็ดูภาพในอดีตทั้ง 24 ภาพต่อไปนี้สิ แล้วจะเข้าใจ การดื่มชากับช้าง 1939 รถบ้าน หรือบ้านที่เป็นรถ 1926 การแต่งตัวของคู่รักที่เม็กซิโก 1940 การบำบัดเขาสัตว์ ฟินแลนด์ 1935 พางูไปเดินเล่น 1930 สาวๆ ในกางเกงยักษ์ สหรัฐอเมริกา 1933 ช้างงับหัวนักแสดง สหรัฐอเมริกา 1937 รถฮิปโปโปเตมัส? 1924 หญิงชรานักกายกรรม 1977 สาวนักแว๊น? บนรถดัดแปลง ในยุค 1920 คนขี่หมู ในอังกฤษ 1903 ยามเช้าบนรถไฟ ญี่ปุ่น 1964 การตกปลากลางคืนในฮาวาย 1948 ชายที่อ่านหนังสือในโพรงไม้ที่ ออสเตรเลีย สตันท์แมน 2…
-
“มาตา ฮาริ” นักระบำเปลื้องผ้า โสเภณี และสปายแห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
เคยได้ยินชื่อ “มาตา ฮาริ” กันไหม เธอคือนักระบำเปลื้องผ้า และโสเภณี ผู้มีชื่อเสียงในฐานะสปายผู้ใช้มารยาหญิงที่โด่งดังที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มาตา ฮาริมีชื่อเดิมว่า Margaretha Geertruida Zelle เกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 1876 ใน Leeuwarden ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก่อนที่จะหนีจากสามีที่เคยพยายามฆ่าเธอด้วยมีดหั่นขนมปัง ไปยังปารีสในปี 1905 และเปลี่ยนชื่อเป็น มาตา ฮาริ ที่แปลว่า “ดวงตาแห่งทิวากาล” ในเวลาต่อมา เธอหย่ากับสามีในปี 1906 และทำงานเป็นนักระบำเปลื้องผ้าและโสเภณีอย่างเต็มตัว ด้วยท่าทางการเต้นที่มีจุดเด่นในการเร้าอารมณ์ทางเพศ ทำให้เธอมีคนรักเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทหารหลายคน ดยหนึ่งในนั้นคือตอนปี 1916 พบรักกับ Vladimir de Masloff ทหารรัสเซียอายุ 21 ปีผู้ตาบอดใ ชายที่เธอเชื่อว่าเป็น “คู่แท้” ด้วยความที่ต้องการเงินมาช่วยเหลือคนรัก มาตา ฮาริได้รับข้อเสนอจากทางฝรั่งเศสเพื่อเป็นสปายในประเทศเบลเยียม ที่กำลังถูกปกครองโดยเยอรมัน เธอใช้เสน่ห์ทำงานเป็นสปายฝรั่งเศสอยู่ช่วงหนึ่ง อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าฝรั่งเศสจะไม่ได้เป็นประเทศเดียวที่ติดต่อกับเธอ หน่วยงานของฝรั่งเศสสืบทราบว่า มาตา ฮาริ เคยได้รับการติดต่อจากประเทศเยอรมันมาก่อน แถมเธอยังมีการให้ข้อมูลของทางฝรั่งเศสแก่ฝั่งเยอรมันอีกด้วย…
-
5 ฮีโร่แห่งสงครามโลกครั้งที่สอง กับวีรกรรมเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ราวกับเป็นซูเปอร์แมน
เชื่อว่าใครๆ ก็ชอบเรื่องราวของฮีโร่ โดยเฉพาะเรื่องราวของฮีโร่แห่งสงคราม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของนายทหารที่ทำตามคำสั่งแม้จะรู้ว่าคำสั่งนั้นจะนำมาซึ่งความตายของตัวเอง หรือกระทั่งอุทิศตัวให้ชาติแทนประโยชน์ส่วนตน ฐานะของฮีโร่ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาอย่างง่ายดาย แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่ไปไขว่คว้าเอามาได้อยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮีโร่แห่งสงครามโลกครั้งที่สองทั้ง 5 คนต่อไปนี้ ที่ไม่เพียงได้ชื่อว่าเป็นฮีโร่ แต่วีรกรรมเบื้องหลังของพวกเขา ยังยิ่งใหญ่ราวกับเป็นซูเปอร์แมนเลยด้วย Adrian Carton de Wiart สำหรับทหารคนหนึ่ง แค่ผ่านสงครามมาได้โดยไม่ตายก็เก่งแล้ว แต่นั่นไม่ใช่สำหรับทหารแห่งกองทัพอังกฤษคนนี้ เพราะเขาสามารถรอดมาจาก สงครามโบเออร์ครั้งที่สอง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามโปแลนด์-โซเวียต สงครามโปแลนด์-ยูเครน สงครามโปแลนด์-ลิทัวเนีย และสงครามโลกครั้งที่สอง ร่างกายของเขานั้นเต็มไปด้วยบาดแผลจากสงคราม เขาตาบอดและเสียแขนไปข้างหนึ่ง แถมยังเคยโดนยิงที่ศีรษะ ใบหน้า มือ ท้อง ขา หัวเข่า และจุดสำคัญอื่นๆ รวม 11 จุดแต่ก็ยังรอดมาได้ แถมยังไม่ยอมออกจากการเป็นทหารอีกต่างหาก ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะถูกเรียกด้วยชื่อเล่นว่า “ชายผู้ไม่อาจถูกสังหารได้” John Basilone เขาคือฮีโร่แห่งสงครามโลกครั้งที่สองของฝั่งสหรัฐอเมริกา ผู้ที่ป้องกันแนวรบจากทหารญี่ปุ่นด้วยหน่วยปืนกลเพียงหน่วยเดียวในศึกที่ Guadalcanal หลังจากวีรกรรมในครั้งนั้น เขาก็ได้รับข้อเสนอให้ไปทำงานในแนวหลัง แต่เจ้าตัวปฏิเสธ และต่อมาในศึกที่อิโวจิมา John Basilone ก็สละชีวิตตัวเองในการบุกไปทำลายป้อมของศัตรู เพื่อให้รถถังฝ่ายพันธมิตรสามารถผ่านเขตที่วางทุ่นระเบิดไปได้ …
-
22 ภาพสีจาก “Civil War” สงครามกลางเมืองแท้ๆ ของสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ใช่หนังมาร์เวล
เมื่อพูดถึง Civil War เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะนึกถึงกัปตันอเมริกาขึ้นมาก่อนเป็นอย่างแรก แต่อันที่จริงแล้วหากกล่าวถึง Civil War ส่วนมากแล้วจะเป็นการพูดถึง สงครามกลางเมืองอเมริกาในปี 1861-1865 ต่างหาก โดยนี่เป็นสงครามที่สืบเนื่องจากข้อโต้แย้งเกี่ยวกับทาสของ สมาพันธรัฐอเมริกาหรือ “ฝ่ายใต้” ที่นำโดย เจฟเฟอร์สัน เดวิส และฝ่ายสหภาพหรือ “ฝ่ายเหนือ” ที่นำโดย อับราฮัม ลินคอล์น และนับเป็นสงครามปลดปล่อยทาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปดู 22 ภาพสีจาก Civil War แท้ๆ ของสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ใช่กัปตันอเมริกา และไม่มีสไปเดอร์แมนโผล่มากัน ร่างไร้วิญญาณของทหาร ที่ Antietam 17 กันยายน 1862 ชุดสีเทาคือทหารสมาพันธรัฐ ส่วนสีน้ำเงินคือทหารสหภาพ ลินคอล์นพบกับนายพล McClellan ที่ Antietam, 3 ตุลาคม 1862 ทหารยืนข้างรถขนปืนใหญ่ 1865 เด็กขนดินปืน ในเมืองชาร์ลสตัน เซาท์แคโรไลนา 1865 ศพทหารสหภาพ กรกฎาคม 1863 ศพทหารสมาพันธรัฐ 3 เมษายน 1865 …
-
21 ภาพการใช้เวลาว่างระหว่างสงครามของเหล่าทหาร เพราะคนเรายิ้มได้แม้ในยามยาก
ในระหว่างสงครามนั้นคนเราอาจจะนึกภาพลักษณ์ของทหารออกได้หลายแบบ สำหรับบางคนอาจจะเป็นภาพของทหารกล้าวีรบุรุษสงคราม ในขณะที่อีกหลายๆ คนอาจจะขึ้นภาพของทหารที่กำลังหวาดกลัวท่ามกลางกองศพ แต่เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะนึกภาพทหารที่ยิ้มแย้มกับเวลาว่างแน่ๆ ถึงอย่างนั้นทหารในสงครามก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน ในระหว่างที่ไม่ได้ยิงกันพวกเขาก็ต้องหาอะไรทำลดความเครียดกันบ้าง นำมาซึ่ง ภาพการใช้เวลาว่างในสงครามของเหล่าทหารทั้ง 21 ภาพต่อไปนี้ ทหารอเมริกันนั่งดื่มเบียร์ ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง พลร่มอเมริกันนั่งเล่นไพ่ในสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารฝั่งสหภาพ (นำโดยอับราฮัม ลินคอล์น) ทำตัวติงต๊องในสงครามกลางเมืองอเมริกา ทหารอเมริกันนั่งดู มิกกี้ รูนีย์ แสดงในสงครามโลกครั้งที่สอง เหล่าลูกเรือร้องเพลงและเล่นเปียโนในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทหารอเมริกากับการแข่งขันบนจักรยานในสงครามอิรัก ทหารอเมริกา เล่นฮอกกี้บนถนนในสงครามอิรัก ทหารที่กำลังออกเวร ถ่ายรูปกับสาวๆ ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นาวิกโยธินถ่ายรูปด้วยหน้าประหลาดในสงครามเวียดนาม นักบินอังกฤษนั่งหลับในสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารตั้งวงดนตรีแจ๊สในสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารแคนาดานั่งดื่มเบียร์ สงครามโลกครั้งที่สอง ทหารอังกฤษดูการแข่งมวยในสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารเยอรมันแกล้งเพื่อนที่หลับในสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารหนุ่มสองนายโพสท่าให้กล้องในสงครามเวียดนาม กองทัพโซเวียตชมการแสดงในสงครามโลกครั้งที่สอง …
-
“ยาสุเกะ” ชาวแอฟริกัน ซามูไรผิวสีต่างชาติคนแรกของญี่ปุ่น และนักรบแห่งโอดะ
ถ้าเพื่อนๆ เคยเล่นเกม Nioh เป็นแฟนของอนิเมะเรื่อง Afro Samurai หรือได้ยินข่าวการสร้างหนังซามูไรของ Gregory Widen ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่อง Highlander มาก่อน เพื่อนๆ อาจจะรู้จักซามูไรผิวดำนาม ยาสุเกะ ผู้เป็นต้นแบบของตัวละครในสื่อเหล่านี้ก็เป็นได้ เพราะชายคนนี้คือซามูไรชาวแอฟริกัน ผู้รับใช้โอดะ โนบุนากะแห่งยุคเซงโงกุ และเป็นชายที่ว่ากันว่าเป็น “ซามูไรชาวต่างชาติ” คนแรกของญี่ปุ่นอีกด้วย เชื่อกันว่าเดิมทีแล้วยาสุเกะเป็นทาสชาวแอฟริกันที่ถูกพาตัวเขามาในญี่ปุ่นด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง อย่างไรก็ตามประวัติของเขาเริ่มต้นขึ้นในตอนที่เขาติดตาม Alessandro Valignano ผู้ที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายเยซูอิตในปี 1579 แต่กว่าที่เรื่องราวของเขาจะเริ่มต้นขึ้นจริงๆ ก็ในตอนที่โอดะ โนบุนากะมาพบเขาและสนใจในตัวเขามากๆ เพราะคิดว่าตัวเขานั้นถูกอาบด้วย “หมึกดำ” แต่หลังจากพบว่าสีผิวของเขาเป็นสีผิวตั้งแต่กำเนิดโนบุนากะก็ “ปลดปล่อย” ชายหนุ่ม และรับเขาเข้าไปรับใช้ แม้จะไม่มีการระบุชื่อจริงๆ ของชายคนนี้ไว้ในประวัติศาสตร์ แต่โอดะ โนบุนากะก็เรียกเขาว่า “ยาสุเกะ” ดูเหมือนว่าโนบุนากะจะสนใจในพลังของชาวแอฟริกันเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่มีการบรรยาย พลังของยาสุเกะไว้ว่า เท่ากับคนสิบคนเลยทีเดียว นอกจากนี้ยาสุเกะยังสูงถึง 182 ซม. บวกกับมีสีผิวที่ดำสนิทซึ่งแปลกตาสำหรับคนญี่ปุ่น จนเขามีภาพลักษณ์ที่น่ากลัวใช้ข่มขวัญคู่ต่อสู้ได้เป็นอย่างดี สำหรับที่ญี่ปุ่น…
-
12 ภาพที่แม้จะดูธรรมดา แต่มีเบื้องหลังสุดน่ากลัว ราวกับหมาป่าสวมหนังแกะไม่มีผิด
บนโลกของเรานั้นมีสิ่งที่น่ากลัวซ่อนอยู่มากมาย บางครั้งเบื้องหลังสิ่งที่งดงามก็อาจจะมีอะไรที่เลวร้ายซ่อนอยู่ กบสีสวยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพิษร้ายและนักล่าที่พรางตัวเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ที่สำคัญคือความน่ากลัวเหล่านั้นบางครั้งก็ถูกบันทึกไว้ในรูปแบบของรูปภาพเสียด้วย เหมือนกับรูปภาพที่ราวกับหมาป่าสวมหนังแกะทั้ง 12 ภาพต่อไปนี้ ที่แม้จะดูธรรมดา แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่ธรรมดาเลย รูปภาพของ Regina Kay Walters นี่อาจจะเป็นเหมือนภาพของสาวที่ไม่อยากถ่ายรูปเฉยๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วภาพนี้ถ่ายโดย Robert Ben Rhoades ชายผู้ลักพาตัว Regina ไป และสังหารเธอหลังจากนั้น ภาพชายจูงเด็ก แม้ภาพนี้จะเหมือนการพาเด็กไปเที่ยวเล่นธรรมดา แต่จริงๆ แล้วนี่เป็นภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดภาพสุดท้ายที่ถ่ายติดเด็กคนนี้เลย เพราะหลังจากนั้นเด็กในภาพก็โดนทรมาน ก่อนถูกสังหารทิ้งในภายหลังนั่นเอง นี่อาจจะเหมือนภาพรอยเปื้อนธรรมดา แต่จริงๆ แล้วนี่คือรอยคาร์บอนซึ่งเกิดจากการที่ร่างของคนสลายไปในแรงระเบิดของนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมาต่างหาก นี่ก็อาจจะเหมือนภาพครอบครัวธรรมดาเช่นกัน แต่หากสังเกตให้ดีๆ จะเห็นว่าชายที่มุมซ้ายของภาพถือปืนอยู่ และนี่ก็เป็นภาพในวินาทีก่อนที่การสังหารสมาชิกสภาเมืองมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ นาย Reynaldo Dagsa (ผู้ถ่ายภาพ) นั่นเอง นี่ไม่ใช่แค่ภาพตัวตลกน่ากลัวหน่อยๆ แต่เป็นภาพของ John Wayne Gacy ที่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง ผู้สังหารคนกว่า 30 คนในเวลาหกปีเลยทีเดียว นี่อาจจะเหมือนภาพงานปาร์ตี้ธรรมดา แต่จริงๆ…
-
เปิดที่มาของ “ดอกไม้ไฟ” ความงดงามแห่งท้องฟ้างานเทศกาล ที่อยู่คู่กับมนุษย์มานาน
ในหลายๆ ประเทศของโลก งานเทศกาลมักจะมากับดอกไม้ไฟอันงดงาม แถมในบางครั้งยังสามารถทำออกมาเป็นสีและรูปร่างต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าดอกไม้ไฟนั้นมันมาจากไหนกันแน่ ว่ากันว่าดอกไม้ไฟถูกคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศจีน ไม่ก็อินเดีย หรือตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตามหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของดอกไม้ไฟที่เคยมีการค้นพบนั้น มาจากประเทศจีนในช่วงปีคริสต์ศักราชที่ 800 โดยเป็นการผสมเกลือ กำมะถัน และถ่านเพื่อสร้างดินปืนดิบอย่างง่าย ดูเหมือนว่าเดิมทีแล้ว นี่จะเป็นการทดลองเพื่อค้นหายาอายุวัฒนะ แต่ก็กลายเป็นว่าพวกเขาได้ผลิตสิ่งอื่นขึ้นมาแทน มันเป็นผงประหลาดที่จะระเบิดอย่างแรงเมื่อติดไฟ และนำมาซึ่งความเชื่อที่ว่าดินปืนที่พวกเขาสร้างขึ้นนั้น อาจมีอำนาจใช้ไล่วิญญาณร้ายได้นั่นเอง นั่นทำให้คนจีนเริ่มใช้ดินปืนกันอย่างแพร่หลาย โดยในช่วงแรกๆ พวกเขาจะเอาดินปืนไปใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่ และจุดไฟจนเกิดเป็นเสียงดัง ก่อนที่จะพัฒนาไปใช้กระดาษห่อดินปืนและทำชนวนจนกลายเป็นประทัดในเวลาต่อมา กระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 10 พวกเขาก็เอาประทัดไปติดไว้กับธนูเพื่อการสงคราม และพัฒนาต่อยอดเป็นพลุที่สามารถยิงใส่ศัตรูโดยไม่ต้องพึ่งธนูในเวลาราวๆ 200 ปีต่อมา และกลายเป็นต้นกำเนิดของดอกไม้ไฟอย่างที่พวกเราคุ้นเคยกัน ดอกไม้ไฟแพร่เข้าไปในยุโรปในปี 1295 จากการเดินทางของมาร์โค โปโล (ซึ่งในสมัยนั้น แม้จะมีหลักฐานการใช้ดินปืนอยู่แล้วแต่ไม่ใช่กับดอกไม้ไฟ) ทำให้การมาของดอกไม้ไฟในครั้งนี้เชื่อกันว่าช่วยให้ทางตะวันตกพัฒนาอาวุธที่ทรงพลังที่สุดชิ้นหนึ่งของโลกอย่าง “ปืน” นั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังใช้ดอกไม้ไฟในการเฉลิมฉลองซึ่งเป็นจุดประสงค์จริงๆ ที่นำมาตอนแรกเช่นกัน และไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเมื่อชาวยุโรปเดินทางไปยังโลกใหม่ (ทวีปอเมริกา) พวกเขาก็เอาดอกไม้ไฟไปด้วย และแม้ว่าในปัจจุบัน หลายๆ…
-
5 ความเป็นอยู่ของลูกหลาน “วายร้าย” ในประวัติศาสตร์ ไปดูกันว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง
คนเราส่วนใหญ่มักจะทราบจุดจบของเหล่า “วายร้าย” ในประวัติศาสตร์กันเป็นอย่างดี เพราะเรื่องราวเหล่านี้มักจะเป็นเรื่องราวที่มีในบทเรียน หรือมีการบันทึกและป่าวประกาศกันเป็นอย่างดี แต่เรื่องพวกนี้ มักจะไม่ได้นับรวมลูกหลานทายาทของพวกเขาเอาไว้ด้วย นั่นทำให้หลายๆ ครั้ง เหล่าทายาทที่ว่าก็ถูกมองราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องแบกรับความหวาดกลัวของคนรอบข้างที่คิดว่าสักวันพวกเขาอาจจะกลายเป็นเหมือนกับบรรพบุรุษด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชมความเป็นอยู่ของเหล่าทายาทของ “วายร้าย” ในประวัติศาสตร์กัน ทายาทของ แฮร์มัน เกอริงทำหมันตัวเอง เบ็ทตินา เป็นทายาทของ แฮร์มัน เกอริง (ลูกสาวของหลานสาวของแฮร์มัน) ผู้นำแห่งเรชสแต็ก ชายผู้มีอำนาจเป็นรองแค่เพียง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในสมัยนาซีเยอรมัน โดยเหตุผลที่เธอทำหมันตัวเองนั้นเจ้าตัวบอกว่าเพราะความกลัวที่ว่าตัวเองจะ “สร้างสัตว์ประหลาดอีกตัวขึ้นมา” ลูกสาวของ พล พต ใช้ชีวิตอย่างคนปกติ ซอ พัชฏะเป็นลูกสาวของ พล พต ผู้นำเขมรแดง ผู้ที่เชื่อกันว่าอยู่เบื้องหลังความตายของโศกนาฏกรรมในกัมพูชา ช่วงเขมรแดงเรืองอำนาจ อย่างไรก็ตามลูกสาวของเขาแตกต่างไปจากพ่อมาก เพราะหลังจากพ่อของเธอโดนจับและเธอต้องหนีตายเป็นเวลานาน ตอนที่พ่อของเธอเสียชีวิต ซอก็ตัดสินใจที่จะอยู่อย่างคนธรรมดาตลอดมา และเมื่อปี 2014 ที่ผ่านมาเธอก็ได้แต่งงานแล้วด้วย อูเดย์ ฮุสเซน อาจจะโหดเหี้ยมยิ่งกว่าพ่ออีก อูเดย์…
-
30 ภาพญี่ปุ่นหลังยอมแพ้สงคราม ช่วงเวลาเยียวยาตัวเองก่อนจะเป็นญี่ปุ่นแบบทุกวันนี้
หลังจากที่ประกาศยอมแพ้สงครามอย่างไม่มีเงื่อนไขไปในปี 1945 ประเทศญี่ปุ่นก็เข้าสู่ช่วงที่หลายๆ คนบอกว่า “ลำบากที่สุด” ของประเทศ มันคือช่วงเวลาที่ประเทศเยียวยาตัวเองจากไฟสงคราม และค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นทีละนิดจนเป็นกลายเป็นญี่ปุ่นอย่างที่เราคุณเคยกันในปัจจุบัน ดังนั้นในวันนี้เราจะมาชมภาพของประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไปดูกันดีกว่าว่าหลังแพ้สงคราม ประชาชนที่นั่นมีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง ผู้หญิงและเด็กช่วยกับทำความสะอาดเศษซากจากบนถนนในโตเกียว 14 สิงหาคม 1945 เด็กที่ถูกส่งคืนประเทศ 30 สิงหาคม 1946 ทหารอเมริกันกับเด็กๆ ญี่ปุ่น ในโตเกียว กันยายน 1945 ซากตึกจากการทิ้งระเบิดของเครื่อง B-29 1 สิงหาคม 1945 หญิงในรถโตโยต้ารุ่นใหม่ 1947 ทหารญี่ปุ่นเดินผ่านจุดทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ในฮิโรชิมา กันยายน 1945 คู่รักชาวญี่ปุ่นกำลังนวดข้าว 1949 จักรพรรดิฮิโรฮิโตะและคุณหญิงนากาโกะ พบประชาชน เมื่อช่วงปี 1945 นายทหารที่ได้รับหน้าที่จัดหาอาหารและที่พักพิงให้ผู้สูญเสียจากสงคราม เมื่อช่วงปี 1950 ชายที่นั่งในวัดพร้อมกล่องที่บรรจุเถ้ากระดูกของเหยื่อระเบิดที่ฮิโรชิมา กันยายน 1945 ความเสียหายจากการทิ้งระเบิดในโตเกียว ฤดูร้อน…
-
13 ภาพแปลกๆ หายากจากในอดีต เพราะการค้นรูปเก่าๆ ก็เหมือนการขุดสมบัติแบบหนึ่งนี่เอง
ว่ากันว่าโลกของเราเต็มไปด้วยเรื่องแปลกๆ ที่น่าสนใจ และในหลายๆ ครั้งเรื่องเหล่านั้นก็มักจะถูกบันทึกไว้เป็นภาพได้อย่างพอดิบพอดีเสียด้วย ด้วยเหตุนี้เองบางครั้งการไปค้นรูปเก่าๆ ในสมัยก่อนมาดูจึงเป็นเหมือนการขุดสมบัติแบบหนึ่ง ที่เราไม่อาจจะทราบได้เลยว่าเจอกับของแปลกๆ แบบไหน ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงได้รวบรวม ภาพแปลกๆ หายากจากในอดีตมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน แต่จะแปลกขนาดไหนนั้น ต้องลองไปชมกันเอง ข้างล่างนี่ นี่คือ Punt gun ปืนล่านกแบบติดเรือที่เคยใช้งานจริงๆ ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 อย่างไรก็ตามปืนนี้ถูกห้ามใช้ไปแล้วเนื่องจากมันล่านกได้ดีเกินไป ถึงขั้นที่ว่านัดเดียวสังหารนกได้กว่า 50 ตัวเลย ทุกภาพบอกเล่าเรื่องราว นี่เป็นภาพของชนชั้นสองสองคนกับเด็กที่โดดเรียนสามคน ซึ่งมีชื่อเสียงมากในปี 1937 เนื่องจากเด็กในภาพส่วนใหญ่ ล้วนแต่โตมามีชีวิตที่ยากลำบาก มูฮัมหมัด อาลี ฝึกใต้น้ำที่ไมอามี่ในปี 1961 ภาพที่ส่งให้หน่วย OSS ของสหรัฐอเมริกา ในกรณีที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ไม่ได้ตายแต่ปลอมตัวหนีการจับกุม สตีฟ บูเซมีในวัยหนุ่ม ตอนนั้นเขากำลังเป็นนักดับเพลิง ไมค์ ไทสัน กับ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ในวัยเด็ก …
-
เปิด “คดีล่าแม่มดแห่งซาเลม” ตัวอย่างความเลวร้ายจากความเชื่อและการกล่าวหาผู้อื่น
หากพูดถึงการล่าแม่มดที่มีชื่อเสียงที่สุดในอดีต เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อของคดีล่าแม่มดแห่งซาเลมกันมาก่อนก็เป็นได้ นี่คือคดีล่าแม่มดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนปี 1692 ถึง เดือนพฤษภาคมปี 1693 ที่หมู่บ้านซาเลม รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา โดยเป็นการกล่าวหาเด็กๆ ในหมู่บ้านว่าถูกสิงโดยปีศาจ และเหล่าผู้หญิงในหมู่บ้านเป็นแม่มดนั่นเอง ว่ากันว่าจุดเริ่มต้นของการล่าแม่มดในครั้งนี้มาจากการที่ เด็กหญิงสองคนในหมู่บ้าน อบิเกล วิลเลียม วัย 11 ขวบ และอลิซาเบธ แพร์ริส หรือ “เบ็ตตี้” วัย 9 ขวบ เริ่มแสดงอาการประหลาดอย่างการกรีดร้องโวยวาย และบิดไปมาอย่างรุนแรงน่าหวาดกลัว ก่อนที่อาการจะค่อยๆ ลามไปในหมู่เด็กสาวในหมู่บ้านทีละคน ในปัจจุบันอาการที่ว่านี้จะได้รับการสันนิษฐานว่าเกิดจากเชื้อรากลุ่มเออร์กอตอัลคาลอยด์ ซึ่งมักปนเปื้อนมาในธัญพืชที่เก็บไว้โดยเฉพาะข้าวไรย์ โดยเชื้อราชนิดนี้มักทำให้เกิดพิษหลอนประสาท ชักเกร็ง กล้ามเนื้อกระตุกและเนื้อตาย อย่างไรก็ตามในสมัยนั้น บาทหลวงที่เข้ามาในหมู่บ้านกลับประกาศว่าอาการของเด็กๆ นั้นเป็นการกระทำของแม่มด จนทำให้เกิดการกล่าวหาคนในหมู่บ้านทั้งโดยบาทหลวง เด็กๆ หรือแม้กระทั่งชาวบ้านด้วยกันเอง จนทำให้ในที่สุดก็มีคนในหมู่บ้านกว่า 60 คนโดนจับขัง การพิจารณาคดีและพิพากษาเริ่มต้นขึ้นหลังจากนั้น โชคร้ายที่ศาลในตอนนั้นมีความอยุติธรรมค่อนข้างสูง บวกกับการซัดทอดคนอื่นไปมาของคนในหมู่บ้านก็ทำให้มีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่ถูกแขวนคอในแต่ละสัปดาห์ จนถึงขนาดว่ามีคำกล่าวว่าแท่นแขวนคอนั้นไม่เคยว่างจากศพเลยทีเดียว กว่าที่ความบริสุทธิ์ของคนในหมู่จะได้รับการยอมรับจริงๆ ก็หลังจากนั้นนานพอสมควร…
-
5 บุคคลที่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ แต่ก็อาจจะเคยทำอะไรลามกไม่ใช่น้อย
ว่ากันว่ามนุษย์เราแทบจะทุกคนมีความลามกซ่อนอยู่ในตัวเสมอ มันอยู่ที่ว่าใครจะซ่อนความลามกของตัวเองได้ดีกว่ากันก็เท่านั้น ความลามกนั้นไม่สนว่าคุณเป็นใครหรือมาจากไหน เพราะต่อให้มีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ในหลายๆ ครั้งคนก็หนีความอยากไม่พ้นอยู่ดี เหมือนกับเหล่าคนดังทั้ง 5 คนต่อไปนี้ ที่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์แบบสุดๆ แต่ก็อาจจะเคยทำอะไรลามกไม่ใช่น้อยในเวลาเดียวกัน ซิกมันด์ ฟรอยด์ ซิกมันด์ ฟรอยด์เป็นผู้คิดค้นชุดทฤษฎีและเทคนิคจิตวิทยาที่เรียกว่า “จิตวิเคราะห์” อีกทั้งยังเป็นคนที่มีความสำคัญที่สุดของโลกในด้านในด้านจิตวิทยาคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่เชื่อหรือไม่ว่า ซิกมันด์ ฟรอยด์ เคยยอมรับว่าตัวเองมีความรู้สึกทางเพศกับแม่แท้ๆ ของเขาด้วย เพียงแต่ซิกมันด์ ฟรอยด์บอกว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีที่ว่าเด็กผู้ชาย มักจะหลงรักแม่ของตัวเองในช่วงหนึ่งของชีวิตเป็นธรรมดา ดังนั้นไม่แน่ว่าการยอมรับของเขานั้น จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งในทฤษฎีปมออดิปุสก็เป็นได้ มหาตมะ คานธี เป็นชื่อที่ไม่น่าเชื่อที่สุดชื่อหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่เชื่อไหมล่ะว่าเบื้องหลังชายผู้ที่ถือเพศพรหมจรรย์ตั้งแต่อายุ 37 ผู้นี้ เขาเคยฝึกการนอนกับสาวแก้ผ้าเพื่อ “ทดสอบ” ความอดทนทางเพศของตัวเองด้วย นอกจากนี้เขายังร่วมใน “กิจกรรม” ที่ไม่เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์อื่นๆ อย่างการ ให้ผู้หญิงเต้นยั่วสวาท หรืออาบน้ำกับผู้หญิงหลายๆ คนด้วย แต่ตามทำบอกเล่าของคนรอบข้าง ในท้ายที่สุดคานธีก็ถือเพศพรหมจรรย์ผ่านทุกอย่างมาได้ด้วยดี โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท เขาคือสุดยอดนักแต่งเพลงในตำนานสำหรับหลายๆ คนเลยก็ว่าได้ แต่รู้รึเปล่าว่าในบรรดาเพลงที่เขาแต่งนั้น มีเพลงที่มีเนื้อหาลามกแบบสุดๆ อยู่ด้วย โดยเจ้าเพลงที่ว่ามีชื่อว่า…
-
เปิดตำนาน “ชาแมน” ผู้รู้และหมอยา ตำแหน่งประจำชนเผ่าที่มีอยู่ทั่วทุกทวีปในโลก
เมื่อพูดถึง “ชาแมน” เชื่อว่าคอการ์ตูนหลายๆ คนคงนึกถึง “ชาแมนคิง ราชันแห่งภูต” เป็นอย่างแรก เพราะเอาเข้าจริงๆ เรารู้เรื่องของ “ชาแมน” บนโลกจริงๆ กันค่อนข้างน้อย แต่ถึงอย่างนั้นกลุ่มคนเหล่านี้ก็น่าสนใจกว่าที่คิด ชาแมน (Shaman) มาจากกลุ่มภาษาตุงกูซิกที่ใช้พูดในไซบีเรียตะวันออก โดยเป็นการรวมคำว่า “ša” ที่แปลว่า “รู้” เขากับคำว่า “Man” ที่แปลว่า “คน” ดังนั้น ชาแมนจึงแปลได้ตรงๆ ว่า “ผู้รู้” นั่นเอง ชาแมนนั้นว่ากันว่ามีจุดเริ่มต้นขึ้นมาจากไซบีเรีย แต่นักวิทยาศาสตร์ก็พบหลักฐานของชาแมนอยู่ทั่วทุกทวีปในโลกด้วยเช่นกัน โดยพวกเขาจะเป็นคนที่รับหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างสถานที่ของเรากับ “สถานที่ที่สูงกว่า” ซึ่งคล้ายคลึงกับนักบวชของคาทอลิก อย่างไรก็ตามการเชื่อมต่อกับเบื้องสูงของชาแมนโดยเฉพาะในไซบีเรีย มักจะทำขึ้นเพื่อการรักษา ทั้งทางกายภาพ และจิตวิทยา และไม่ใช่แค่ของผู้ป่วยคนสองคน แต่เป็นทั้งชุมชน ซึ่งนับรวมต้นไม้ใบหญ้า และเหล่าสรรพสัตว์ด้วย นั่นทำให้ผู้เป็นชาแมนมีความรู้ในการผสมสมุนไพรเพื่อทำยารักษา เป็นผู้นำในการติดต่อกับวิญญาณ หรือในบางครั้งก็มีการใช้สารหลอนประสาทในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ จนเป็นที่เชื่อถือและเคารพของคนในเผ่ามากๆ แต่การใช้สารหลอนประสาทนี้เหล่านี้ ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลให้หลายๆ ประเทศมองชาแมนว่าเป็นตำแหน่งที่ผิดกฎหมายเช่นกัน ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าชาแมนจะใช้สารหลอนประสาททุกคน เพราะวิธีการรักษาของชาแมนมักจะแตกต่างกันไปในชนเผ่า…
-
“คริส คอสท์เนอร์ ไซส์มอร์” หญิงสาว 22 ใบหน้า กรณีศึกษาของอาการหลายบุคลิก
คริส คอสท์เนอร์ ไซส์มอร์ (Chris Costner Sizemore) อาศัยอยู่ในเมืองเอดเกอร์ฟิลด์ รัฐเซาท์แคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอเป็นหญิงสาวที่มีชื่อเสียงในบทความการศึกษาทางจิตเวชศาสตร์ “The Three Faces of Eve” ในฐานะของหญิงสาวที่มีหลากหลายบุคลิก คริสเกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน 1927 และได้พบเห็นภาพอันโหดร้ายตั้งแต่ยังเด็ก แม่ของเธอโดนมีดแทงจากอุบัติเหตุในห้องครัวอาการสาหัส เพื่อนร่วมงานของพ่อเธอก็โดนเลื่อยหั่นไม้หั่นเป็นสองส่วนต่อหน้า แถมเธอยังต้องเข้าร่วมงานศพของเด็กที่เป็นญาติอีก นั่นเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวรู้สึกถึงใครบางคนในจิตใจของเธอเอง เธอมักจะเห็นเด็กหญิงผมแดงคนหนึ่ง ที่จะ “ออกมา” แทนตัวเธอในเวลาที่เจ็บปวด และอาการหลายบุคลิกของเธอก็เริ่มต้นขึ้นจากวันนั้น คริสบอกว่าเธอจะ “เปลี่ยนไป” เมื่อมีอาการปวดหัวรุนแรง และหมดสติไป ทำให้หลายๆ ครั้งเธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอสลับบุคลิกไปตอนไหน หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่างไรก็ตามตอนที่ “อีฟ แบล็ก” หนึ่งในบุคลิกของเธอพยายามจะบีบคอลูกสาววัย 2 ขวบของเธอ คริสก็ตัดสินใจเข้าพบจิตแพทย์ทันที โชคดีที่ในวันนั้นลูกสาวของเธอถูกช่วยไว้ทันโดย “อีฟ ไวท์” อีกหนึ่งตัวตนของเธอ และหลังจากที่เข้าพบกับจิตแพทย์พวกเขาก็พบว่าคริสนั้น ยังมีบุคลิกที่สาม “เจน” อยู่อีกด้วย โดยนี่เป็นสามบุคลิกที่โด่งดังที่สุดของคริสจนถึงขนาดที่มีการนำไปแสดงเป็นภาพยนตร์…
-
ชม 5 สิ่งของในชีวิตประจำวันที่เรารู้จักกันดี แต่เป็นเวอร์ชันที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ว่ากันว่าคนเราแสวงหาความเก่าแก่ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามบนโลก หากได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดย่อมมีเสน่ห์ที่หาใดเปรียบไม่ได้เป็นธรรมดา แม้ว่าสิ่งที่พูดถึงนั้น จะเป็นคน สัตว์ หรือแม้แต่สิ่งของในชีวิตประจำวันก็ตาม ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงจะนำเพื่อนๆ ไปพบกับ 5 สิ่งของในชีวิตประจำวันที่เรารู้จักกันดี ในเวอร์ชันเก่าแก่ที่สุดนั่นเอง เสื้อที่เก่าที่สุดในโลก นี่คือชุดที่เรียกกันว่า ชุด “Tarkhan” ถูกค้นพบเมื่อปี 1912 ในสุสานอียิปต์โบราณทางตอนใต้ของกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ นี่เป็นชุดที่มีการใช้งานในช่วง 3,482-3,102 ปีก่อนคริสตกาล โดยทำจากผ้าลินิน และเชื่อกันว่าเป็นเสื้อผ้าที่ใส่กันในหมู่หญิงผู้สูงศักดิ์นั่นเอง รูปสลักไม้ที่เก่าแก่ที่สุด นี่คือ Shigir Idol รูปสลักไม้ที่ถูกพบเมื่อวันที่ 24 มกราคม 1894 เชื่อกันว่ามีอายุมากถึง 11,000 ปี และแกะขึ้นมาจากต้นไม้ที่มีอายุกว่า 159 ปีในตอนนั้น รูปสลักไม้นี้สูง 2.8 เมตร และว่ากันว่าเดิมทีแล้วน่าจะมากถึง 5.3 เมตรมาก่อนเลยด้วย การร้องเรียนจากลูกค้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก นี่เป็นแผ่นหินที่อยู่มาตั้งแต่เมื่อ 1,750 ปีก่อนก่อนคริสตกาล โดยเป็นแผ่นหินที่มีการสลักคำร้องเรียนจากลูกค้าที่ไม่พอใจในคุณภาพของสินค้าของพ่อค้าในบาบิโลเนียนั่นเอง กางเกงที่เก่าแก่ที่สุด จริงอยู่ที่เสื้อที่เก่าที่สุดในโลกถูกค้นพบที่ประเทศอียิปต์…
-
25 ภาพชีวิตของผู้อพยพในสหรัฐอเมริกา อีกมุมมหนึ่งประเทศในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
Jacob Riis คืออดีตผู้ที่อพยพมาจากเดนมาร์กในปี 1870 ในช่วงที่สหรัฐอเมริกาดูราวกับเป็นเมืองที่เฟื่องฟูน่าอยู่ แต่หลังจากที่เขาย้ายเข้ามาในสหรัฐอเมริกาจริงๆ สิ่งที่เขาพบกลับผิดไปจากที่เขาคิดมากเหลือเกิน คนในยุคนั้นไม่ได้อยู่กันอย่างสบายอย่างที่คิด เพราะการรับคนอพยพเข้าประเทศเป็นจำนวนมากทำให้การดูแลคนในประเทศเป็นไปได้อย่างไม่ทั่วถึง เด็กๆ ที่อพยพมาต้องอยู่อย่างแร้นแค้น และคนส่วนมากอยู่ต้องอยู่ในสลัม ไม่ต่างอะไรกับประเทศที่ขัดสนเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้เขาหยิบกล้องขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ด้วยการโชว์ภาพอีกมุมมหนึ่งของสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ให้โลกรู้ ภายใต้ชื่อผลงาน “How the Other Half Lives” นั่นเอง เด็กหญิงที่อุ้มทารกอยู่ข้างๆ ถังขยะในช่วงปี 1890 คนอพยพชาวอิตาเลียนสูบบุหรี่ในบ้านชั่วคราวของเขา ในช่วงปี 1890 เหล่าชายหนุ่มยืนอยู่ในซอยที่รู้จักกันในชื่อ “ที่พักโจร” 1887-1890 เด็ก ๆ ที่นอนหลับอยู่ใกล้กับตะแกรงความร้อน เพื่อความอบอุ่น 1890-1895 เด็กหนุ่มและแรงงานในโรงงานนรก 1889 แก๊งชื่อดัง “Short Tail” นั่งอยู่ใต้สะพาน 1887-1889 ชายกับบ้านโทรมๆ 1887-1888 เด็กสองคนนอนในตึกของบริษัทหนังสือพิมพ์ที่พวกเขาทำงานเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ให้ คนไร้บ้านที่อาศัยอยู่ในชั้นใต้ดินมากว่า 4 ปี …
-
ชมภาพเหล่าสาวฝรั่งเศสที่ให้ความร่วมมือแก่ “นาซี” กับบทลงโทษหลังประเทศได้รับอิสระ
ในปี 1944 ประเทศฝรั่งเศสที่ถูกปกครองโดยนาซีได้รับอิสระภาพอีกครั้งจากการปลดปล่อยของทหารฝ่ายพันธมิตร นั่นเป็นเวลาที่ประชาชนจำนวนมากของฝรั่งเศสร่วมกันเฉลิมฉลองในวันดีๆ ที่พวกเขาได้รับ หลังจากถูกกดขี่มาเป็นเวลานาน แต่ในบรรดาคนที่กำลังหัวเราะอยู่นั่นเอง ก็ยังมีผู้หญิงอยู่กลุ่มหนึ่งที่ยิ้มไม่ออกเหมือนกับคนอื่นๆ เช่นกัน พวกเธอคือ “Collaboration horizontale” เหล่าผู้หญิงที่ให้ความร่วมมือกับฝ่ายนาซี ไม่ว่าจะเต็มใจ หรือโดนบังคับก็ตาม Collaboration horizontale คือเหล่าผู้หญิงที่ให้ความร่วมมือกับฝ่ายนาซี การให้ความร่วมมือกับฝ่ายนาซีที่ว่า อาจมาจากความสมัครใจหรือโดนบังคับ ผู้หญิงที่มีปฏิสัมพันธ์กับทางนาซี จะถูกมองว่าเป็นผู้ให้ความร่วมมือทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูลกับทางนาซี หรือการร่วมหลับนอนเพื่อแลกความสบายในสงคราม ในบางกรณีพวกเธออาจจะตามคนรักไปเป็นเชลยสงครามด้วย แต่บางครั้งพวกเธอก็อาจจะอยู่ในประเทศต่อไปโดยทำเป็นว่าไม่เคยเกี่ยวข้องกับนาซีมาก่อน แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า คนที่ตามทหารนาซีไปในคุกต่างหาก ที่น่าจะปลอดภัยกว่าคนที่อยู่ในเมืองต่อไป เพราะหลังจากที่ฝรั่งเศสเป็นอิสระ พวกเธอจะถูกประณามอย่างหนักจากคนในประเทศ ต้องถูกกล้อนผมทั้งศีรษะเพื่อเป็นการประจาน บางครั้งอาจรุนแรงถึงขั้นโดนยิงทิ้งเลยก็มี ผู้คนในสมัยนั้นยังโกรธแค้นพวกนาซีอยู่มาก ดังนั้นจึงไม่มีความสงสารใดๆ แก่เหล่าผู้ร่วมมือ ทั้งที่บางครั้งพวกเธอก็ทำไปด้วยความจำเป็นจริงๆ แค่โดนบังคับให้ร่วมมือ หรือแค่โดนกล่าวหาเท่านั้น…
-
เปิดตำนานแห่ง “ชาวไวกิ้ง” นักรบแห่งสแกนดิเนเวีย ซึ่งอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด
สำหรับหลายๆ คน ภาพลักษณ์ของชาวไวกิ้งคงจะเป็นกลุ่มชายร่างยักษ์ใส่หมวกเหล็กมีเขา เปลือยกายท่อนบน และใช้ขวานใหญ่เป็นอาวุธสังหารคนปล้นสะดม ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าแท้จริงแล้วชาวไวกิ้งแทบจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเคย เพราะพวกเขามีวัฒนธรรมมากกว่านั้นเยอะ “ชาวไวกิ้ง” เป็นกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับท้องทะเลในช่วง “ยุคไวกิ้ง” (ศตวรรษที่ 9-11) มีชื่อเรียกมาจากภาษาสแกนดิเนเวียน “Vikingr” ที่แปลว่า “โจรสลัด” อย่างไรก็ตาม คำว่าไวกิ้งมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “การเดินเรือ” เสียมากกว่า แถมเดิมทีแล้วคำว่าจัดเป็นคำกริยาอีกด้วย แม้ว่าจะมีชื่อเสียงในการปล้นสะดมและเรื่องป่าเถื่อน แต่จริงๆ แล้วชาวไวกิ้งออกเดินเรือเพื่อทำการค้าขายทางน้ำ ค้นหาดินแดนใหม่ๆ มากกว่า นอกจากนี้พวกเขายังมีการปลูกพืช ทำปศุสัตว์เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ แถมยังมีหลักฐานการใช้หวี ช้อน และรักในการรักษาความสะอาด หรือแม้กระทั่งกฎหมาย เรียกได้ว่ามีอารยธรรมสูงเลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้ชาวไวกิ้งยังไม่ได้ตัวใหญ่อย่างที่คิดเสมอไป เพราะแถวๆ สแกนดิเนเวียมีฤดูร้อนสั้น ทำให้การปลูกพืชทำได้อย่างจำกัด จนมีชาวสแกนดิเนเวียนจำนวนมากเหมือนกันที่ตัวเล็กจากการขาดอาหาร อีกทั้งจากลักษณะภูมิประเทศก็ทำให้ชาวไวกิ้งมักจะอาศัยกันเป็นกลุ่มๆ ดังนั้นการรวมพลจำนวนมากจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ทำให้แท้จริงแล้วคนไวกิ้งไม่ได้เหมาะสมกับสงครามอย่างที่หลายๆ คนคิด ที่สำคัญหมวกเกราะของชาวไวกิ้งไม่ได้ประดับเขาเสมอไป หมวกเกราะจริงๆ ของชาวไวกิ้งมักจะมาในรูปแบบหมวกหนัง หรือหมวกเหล็กธรรมดาติดเกราะโซ่ถัก ส่วนการที่ชาวไวกิ้งใส่หมวกเกราะมีเขานั้น แท้จริงแล้วมาจากความคิดของคนสมัยวิกตอเรียเสียส่วนใหญ่ เป็นไปได้ว่าภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของชาวไวกิ้งจะมาจากการโฆษณาชวนเชื่อของทางคาทอลิกในช่วงศตวรรษที่…
-
เรื่องราวการสังหารหมู่ชาว Herero และ Nama การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งแรกในศตวรรษที่ 20
เมื่อพูดถึงการการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ว่าใครก็คงคิดถึงการสังหารชาวยิวของนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก่อนเป็นสิ่งแรกว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าที่ประเทศเยอรมนีเคยมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาก่อนหน้านั้นแล้ว นี่คือการสังหารหมู่ของชาว Herero และ Nama ที่เริ่มต้นในช่วงปี 1904 และว่ากันว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งแรกในศตวรรษที่ 20 อีกด้วย เรื่องราวมันเกิดขึ้นเมื่อชาว Herero และ Nama (ประเทศนามิเบียในปัจจุบัน) ก่อการกบฏต่ออาณานิคมเยอรมันหลังจากที่ถูกกดขี่มากว่า 2 ทศวรรษ ทำให้เกิดการต่อสู้ไปทั่วพื้นที่ และนำไปสู่สงครามในที่สุด จริงอยู่ว่าทหารเยอรมันได้รับชัยชนะจากสงครามในครั้งนั้น แต่แทนที่เรื่องราวจะจบลงแค่นั้น ทางประเทศเยอรมนีกลับมองว่าชาว Herero และ Nama เป็นอันตรายและได้ตัดสินใจออกคำสั่งขุดรากถอนโคนชนชาติทั้งสองเสีย ทหารเยอรมันในช่วงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สามปีหลังจากนั้นทหารเยอรมันได้ทำทุกวิถีทางเพื่อจะล้างบางชาว Herero และ Nama ออกไปจากประเทศ ไม่ว่าจะด้วยการวางยาพิษบ่อน้ำ สังหารพลเรือน ปล่อยชาวบ้านไว้ในทะเลทราย หรือแม้กระทั่งสร้างค่ายกักกัน แม้ไม่อาจทราบตัวเลขผู้เสียชีวิตจริงๆ ได้ แต่เชื่อกันว่าราวๆ 75% ของชาว Herero และราวๆ 50% ของชาว Nama เสียชีวิตไปในเหตุการณ์ครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีพวกเขาอีกจำนวนหนึ่งถูกส่งไปยังประเทศเยอรมนีเพื่อการทดลอง และแสดงให้โลกเห็นว่าชาวยุโรปเหนือกว่าชาวแอฟริกัน กระดูกของพวกเขาถูกเก็บไว้ที่เยอรมนีมาตลอดตั้งแต่วันนั้น และนำมาซึ่งการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่ในปี 1990 ระหว่างประเทศนามิเบีย…
-
ภาพการเปลี่ยนแปลงของ “แฟชั่นสตรี” จากปี 1784-1970 เกือบ 200 ปีมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง!!?
แฟชั่นและการแต่งกายนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสุภาพสตรีมาหลายยุคหลายสมัย ขณะที่เวลาผ่านไป แฟชั่นเองก็เปลี่ยนแปลงและไม่คงที่ โดยเฉพาะในยุคที่ ศตวรรษที่ 18-20 ที่การแต่งกายเป็นสิ่งสำคัญในการระบุรสนิยมและชนชั้น แฟชั่นของยุคนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยเกือบทุกปี แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในทุกๆ ปี นั้นได้เกิดเป็นความแตกต่างอันยิ่งยวดเมื่อมองย้อนกลับไป จากชุดเดรสกระโปรงสุ่มในวันนั้น กลายมาเป็นเสื้อผ้าที่เราเห็นกันชินตาอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร ขอเชิญไปชม ภาพความเปลี่ยนแปลงของแฟชั่นตั้งแต่ปี 1784-1970 พร้อมๆ กันเลย… ปี 1784 ถึง 1788 ปี 1789 ถึง 1795 ปี 1796 ถึง 1803 ปี 1804 ถึง 1811 ปี 1812 ถึง 1819 ปี 1820 ถึง 1827 ปี 1828 ถึง 1834 ปี 1835 ถึง…
-
10 ความจริงทางประวัติศาสตร์ “แบบง่ายๆ” แต่น่าสนใจ อ่านไปเถอะอย่าคิดมาก
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ สำหรับหลายๆ คนแล้วเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมาก ทำให้การเรียนประวัติศาสตร์เป็นอะไรที่น่าเบื่อไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้มีแต่เรื่องยากๆ อย่างที่เราคิด เพราะบนโลกใบนี้ยังมี ประวัติศาสตร์แบบง่ายๆ อยู่ เหมือนอย่างความจริงทางประวัติศาสตร์ “แบบง่ายๆ” แต่น่าสนใจ 10 ข้อต่อไปนี้ มาริลีน มอนโรและควีนอลิซาเบธ เกิดในปีเดียวกัน (1926) นอกจากนี้ทั้งคู่ยังเคยพบกันตอนที่อายุ 30 อีกด้วย ตอนที่ชาวอียิปต์สร้างพีระมิด ช้างแมมมอธยังมีชีวิตอยู่บนโลก พีระมิดสร้างขึ้นเมื่อ 2,630-2,611 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนแมมมอธเชื่อว่าสูญพันธุ์เมื่อ 1,650 ปีก่อนคริสตกาล เจ้าเต่าแฮเรียตที่เสียชีวิตในปี 2006 อาจเคยพบกับชาร์ลส์ ดาร์วิน เชื่อกันว่าเจ้าเต่าแฮเรียตถูกเก็บมาโดยชาร์ลส์ ดาร์วินในปี 1835 อย่างไรก็ตามก็มีแนวคิดว่าจริงๆ แล้วชาร์ลส์ ดาร์วินไม่เคยไปเกาะกาลาปากอสที่เจ้าเต่าแฮเรียตจากมาเช่นกัน มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดอยู่มานานกว่าจักรวรรดิแอซเทคอีก จักรวรรดิแอซเทคปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์เมื่อปี 1428 แต่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดมีหลักฐานการสอนที่เก่าแก่ที่สุดมาตั้งแต่ในปี 1096 เลยทีเดียว แถมยังมีความเป็นไปได้ว่าจริงๆ แล้วมหาวิทยาลัยนี้จะเก่าแก่ยิ่งกว่านั้นอีกด้วย จอร์จ วอชิงตันเสียชีวิตในปี 1799 แต่ฟอสซิลไดโนเสาร์ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1824…
-
7 ความเชื่ออันน่าเหลือเชื่อ ของบุคคลในอดีตกาล ที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ‘เพศศึกษา’
ก่อนที่เราจะมีความรู้ที่ถูกต้องตามหลักการในปัจจุบัน จะต้องใช้เวลาในการศึกษาและขจัดความเชื่อเดิมๆ ออกไปให้หมด และในด้านทางความเชื่อเอง ก็ถูกยึดติดอย่างเหนียวแน่นไปหลายชั่วอายุคน ความเชื่อเรื่องเพศเองก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่กว่าจะเข้าใจและยอมรับได้ ต้องผ่านอะไรมาเยอะมากๆ และในอดีตก็มีคนที่เชื่อเรื่องแบบนี้เยอะเช่นกัน เกินกว่าจินตนาการของคนในยุคปัจจุบันจะเอื้อมถึงได้ ลองมาดูกันเถอะ 1) เมื่อนานมาแล้ว หลายวัฒนธรรมต่างเชื่อว่าผู้หญิง มีโอกาสจะถูกสาบให้เป็นกลีบเขมือบ ตำนานอันแปลกประหลาดเกี่ยวกับเขี้ยวฟันแหลมคมในโยนี ก่อเกิดขึ้นตามรากวัฒนธรรมท้องถิ่นตั้งแต่ชิลี แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น และกรีซ บางตำนานก็บอกว่าเป็นคำสาป บางตำนานก็บอกว่าเป็นพรจากพระเจ้าบ้าง 2) นักวิทย์เคยเชื่อว่าในสเปิร์มจะมีมนุษย์ตัวจิ๋วอยู่ ในช่วงศตวรรษที่ 17 และ 18 นักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งเคยเชื่อในทฤษฎีพรีฟอร์เมชัน ที่มีคนตัวขนาดเล็กมากๆ อยู่ในไข่และสเปิร์ม แถมยังมีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตัวเองด้วยแหละ 3 การช่วยตัวเองคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยที่อธิบายไม่ได้ แพทย์ในศตวรรษที่ 18 ยกให้เป็นความผิดของ ‘การช่วยตัวเอง’ ที่ก่อให้เกิดโรคที่ยังสาเหตุแน่ชัดไม่ได้อย่างเช่น อาการตาบอด ลมบ้าหมู เป็นลมล้มชัก สูญเสียความทรงจำ รวมไปถึงกระตุ้นการเติบโตอย่างรวดเร็วในเด็ก 4 ที่หนักกว่านั้นคือ หน้าอกจะไม่โต… ปี…
-
23 ภาพการทำงานของสาวแกร่งในโรงเหล็ก ผู้อยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนหนุ่มๆ ที่ไปออกรบ
ว่ากันว่าหนึ่งในสาเหตุที่ช่วยให้สหรัฐฯ ชนะสงครามโลกครั้งที่สองมาจากกำลังการผลิต และผู้ที่อยู่เบื้องหลังกำลังการผลิตของสหรัฐอเมริกาก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเหล่าสตรีนั่นเอง เพราะในระหว่างที่ผู้ชายเดินทางไปรบ เหล่าผู้หญิงหลายๆ คนก็เลือกที่จะช่วยเหลือกองทัพด้วยการเข้าใช้แรงงานในโรงเหล็กแทนส่วนของผู้ชาย ด้วยเหตุนี้เองเราจะมาดูการเข้าร่วมสงครามโลกของผู้หญิงสหรัฐฯ กัน มาดูกันดีกว่าว่าเบื้องหลังหนุ่มๆ ที่ไปออกรบ ผู้หญิงสหรัฐฯ เขาช่วยเหลือสงครามกันแบบไหน ช่างเชื่อมหญิงทำงานในโรงถลุงเหล็กแทนที่ผู้ชายที่ออกรบ แรงงานหญิงทำความสะอาดรางรถไฟ สาวๆ ใส่หน้ากากกันพิษทำความสะอาดเตาหลอมเหล็ก การรวมพลก่อนทำงาน Bernice Daunora หนึ่งในพนักงานหญิงใส่หน้ากากกันพิษ เจ้าหน้าที่สาวลงชื่อเข้าทำงาน เครื่องตีเหล็กที่ถูกบังคับโดย Florence Romanowski (ด้านขวา) Katherine Mrzljak คุณแม่ลูกสองมาทำงานที่โรงเหล็กแห่งนี้กับสามี การขจัดสิ่งไม่บริสุทธิ์ออกจากผิวโลหะ การทำงานกับเหล็กที่จะถูกนำไปทำเกราะรถถัง ช่างเชื่อมหญิง Audra Mae Hulse Lugrash Larry จากฝ่ายเตาหลอม Lorraine Gallinger จากฝ่ายสังเกตการณ์ Blanche Jenkins ช่างเชื่อมหญิงอีกคนหนึ่ง…
-
Tarrare ชายผู้กินอาหารสำหรับ 15 คน กลืนแมวทั้งตัว และถูกกล่าวหาว่ากินเด็ก 14 เดือน
การทานอาหารนับว่าเป็นความสุขของใครหลายๆ คน ทำให้ในบางครั้งเราจึงได้ยินคำพูดว่ากินอย่างตะกละตะกลามอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าหากจะพูดถึงยอดนักกินที่ว่ากันว่าตะกละตะกลามที่สุดในประวัติศาสตร์แล้วล่ะก็ เราคงต้องย้อนกันไปที่ฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18 กันเลยทีเดียว นี่เป็นเรื่องราวของ Tarrare ทหารในกองทัพปฏิวัติฝรั่งเศสในยุค 1790 เขาคือชายที่มีความอยากอาหารเหนือมนุษย์ ถึงขั้นที่ว่าในสมัยเด็กเขาทานอาหารจนที่บ้านเลี้ยงดูไม่ไหว และไล่เขาออกจากบ้านเลยทีเดียว ในชีวิตก่อนมาเป็นทหาร Tarrare เคยอยู่กับแก๊งล้วงกระเป๋ามาก่อน โดยรับหน้าที่เป็นนักแสดงตัวล่อ จากความสามารถในการทานอาหารของเขานั่นเอง ว่ากันว่าเขาสามารถอ้าปากได้กว้างมากๆ ถึงขนาดที่กลืนแอปเปิลหนึ่งตะกร้าได้ในครั้งเดียว แถมยังเคยกลืนแมวทั้งตัวในการแสดงอีกด้วย น่าแปลกที่ในตอนที่อายุได้ 17 ปี Tarrare มีน้ำหนักเพียงแค่ 45 กิโลเท่านั้น แต่ว่ากันว่าหากเขาได้ทานอาหารร่างกายของเขาจะขยายขึ้นราวกับเป็นลูกโป่งเลยทีเดียว ในระหว่างเป็นทหาร เขาทานอาหารสำหรับคน 15 คน แถมยังทานทุกๆ อย่างที่หาได้ จนทางกองทัพคิดจะทำการทดลองกับร่างกายของเขาเลยทีเดียว น่าเศร้าที่ระหว่างอยู่ในกองทัพ Tarrare ไม่สามารถทำประโยชน์อะไรได้เลย เขาเหนื่อยง่ายจนเกินไป แถมยังกินเยอะ และแม้ว่าทางกองทัพจะให้เขากลืนข้อความเข้าไปเพื่อรับหน้าที่เป็นคนส่งสารลับ เขาก็ถูกจับโดยศัตรูจนต้องคายความลับออกมาหลังโดนทรมานอยู่ดี โชคดีที่ข้อความในจดหมายไม่ใช่อะไรที่สำคัญ (เป็นจดหมายแจ้งว่าถ้า Tarrare ไปขึ้นให้ส่งข้อความกลับมาด้วย) Tarrare จึงได้กลับมาทำงานในกองทัพอีกครั้ง และในตอนนั้นเองที่เขายอมรับการทดลองกับร่างกายตัวเอง เพื่อหาทางรักษาอาการที่เขาเป็น แต่ไม่ว่าแพทย์จะทดลองอะไรก็ไม่สามารถรักษาอาการของ Tarrare…
-
15 ภาพของผู้ที่มี “เท้าดอกบัว” กลุ่มสุดท้ายบนโลก อดีตความงามที่แลกมาด้วยความเจ็บปวด
“เท้าดอกบัว” เป็นวัฒนธรรมความงามของผู้หญิงจีนโบราณในยุคศตวรรษที่ 10 ซึ่งเป็นผลมาจาก “ประเพณีรัดเท้า” โดยเท้าดอกบัวเชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของสตรีที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ไม่จำเป็นต้องทำงาน และถูกมองว่าเป็นสิ่งสวยงามในสมัยนั้น จริงอยู่ที่ประเพณีรัดเท้าเสื่อมความนิยมลงไปตามกาลเวลาแล้ว และมีการสั่งห้ามไม่ให้มีการทำการรัดเท้าอีกต่อไปทำให้การรัดเท้าดอกบัวในปัจจุบันเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เรามาดูภาพของเท้าดอกบัวกลุ่มสุดท้ายบนโลกใบนี้ จากผลงานของ Jo Farrell ช่างภาพชาวอังกฤษด้วยกันดีกว่า เท้าดอกบัวที่สวยจะต้องมีขนาดไม่เกิน 3 นิ้ว นี่คือภาพของเท้าดอกบัวของคุณ Su Xi Rong หนึ่งในสตรีกลุ่มสุดท้ายที่ยังรัดเท้าอยู่ เรียกกันว่า ดอกบัวทองคำ 3 นิ้ว เท้าของคุณ Yang Jinge โดยการรัดเท้าจะทำให้กระดูกผิดรูปไป เท้าของคุณ Zhang Yun Ying ผู้เกิดเมื่อปี 1928 โดยมากแล้วนิ้วเท้าทั้ง 4 จะถูกพับลงมาเป็น3 เหลี่ยม เท้าของคุณ Zhang Xiu Ling ซึ่งในบางครั้งอาจทำให้พิการถึงขั้นเดินไม่ได้เลย การรัดเท้าเชื่อว่าเริ่มในหมู่ชนชั้นสูงที่เป็นนางรำ ก่อนจะเป็นที่นิยมในสมัยราชวงศ์ซ่ง คุณ Su Xi Rong วัย…
-
6 อาชีพสุดแปลกจากในอดีต ที่ดูแล้วอาจจะเข้าใจเหตุผล แต่มันก็ประหลาดอยู่ดี
คนโบราณเคยกล่าวเอาไว้ว่า คนเราหากไม่เลือกงานย่อมไม่ยากจน แม้ว่าจะเป็นงานที่ลำบากขนาดไหน หรือแปลกเพียงใด หากมันทำให้เรามีกินมีอยู่ก็ทำไปเถอะ เพราะงานและอาชีพหลายๆ อย่างในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับในสมัยก่อนแล้ว ถือว่าค่อนข้างมีเหตุผล และชัดเจนกว่ามาก ไม่เชื่อก็ลองไปดู 6 งานและอาชีพสุดแปลกจากในอดีตเหล่านี้ดูสิ คนแบกส้วม นี่เป็นตำแหน่งที่จัดตั้งขึ้นมาโดย เฮนรีที่ 4 และเรียกกันว่า Groom of the Stool หรือ “เจ้าบ่าวของส้วม” ทำหน้าที่ช่วยเหลือกษัตริย์ในการเข้าห้องน้ำ ด้วยการแบก “ส้วมพกพา” คอยติดตามกษัตริย์ ซึ่งแม้จะฟังดูสกปรก แต่นี่เป็นตำแหน่งที่เป็นที่นับถือในสมัยนั้นเลยทีเดียว นักคืนชีพ Resurrectionist แม้จะแปลว่า “นักคืนชีพ” แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็แค่นักขุดสุสานที่จะขุดเอาศพไปขายนั่นเอง ซึ่งเดิมทีแล้วแม้จะผิดกฎหมายแต่ก็ไม่มีการตามจับจริงจังนัก จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 19 มีนักขุดสุสาน 2 คนกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องเพราะจะหาศพไปขายนั่นเอง อาชีพแบบประเภทนี้จึงกลายเป็นที่ต้องห้ามไป คนรับซักผ้า แม้จะมีชื่อเรียกแท้ๆ ว่า “Fuller” แต่เอาเข้าจริงๆ พวกเขาก็เป็นคนรับซักผ้าธรรมดาๆ นี่เอง เพียงแค่อยู่ในสมัยโรมันโบราณเท่านั้น ซึ่งพอดีว่าในสมัยนั้นคนเขาใช้ฉี่ในการซักผ้ากัน ทำให้ Fuller ต้องทำงานอยู่กับอ่างซักผ้าที่เหม็นกลิ่นฉี่อยู่ทั้งวัน แถมบางครั้งยังต้องเดินเก็บฉี่รอบเมืองอีกด้วย…
-
5 อาวุธแปลกในประวัติศาสตร์ ที่แค่ดูก็สงสัยแล้ว ว่ามันจะใช้งานได้จริงๆ เหรอ
เพื่อที่จะชนะสงคราม มนุษย์เราจึงมีการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งในหลายๆ ครั้งสิ่งเหล่านั้นอาจจะช่วยให้พวกเขาได้เปรียบในสงครามขึ้น แถมเทคโนโลยีที่เขาคิดค้นส่งผลดี สิ่งนั้นก็อาจจะเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบเลยด้วย แต่ในการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ เอง บางครั้งก็อาจจะมีของแปลกๆ ที่ดูแล้วสงสัยว่ามันจะใช้งานได้จริงๆ เหรออยู่เช่นกัน เหมือนกับ 5 อาวุธแปลกในประวัติศาสตร์ต่อไปนี้ The Man Catcher นี่เป็นอาวุธยาวจำพวกหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อดึงทหารลงมาจากหลังม้า อย่างไรก็ตามเจ้าอาวุธชิ้นนี้มักถูกใช้ในฐานะเครื่องจับกุมคนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นใช้จับชนชั้นสูงของฝั่งศัตรูเป็นตัวประกันเรียกค่าไถ่ หรือจับนักโทษหัวรุนแรงเป็นต้น โล่โคมไฟ คิดค้นขึ้นในยุคเรอเนซองส์ โล่โคมไฟคือโล่กลมขนาดเล็กที่ติดอยู่กับโคมไฟและเกราะมือ อีกทั้งยังมีใบมีดยื่นออกมาจากเกราะมือ และเหล็กแหลมยื่นออกมาจากโล่ ทำให้โล่โคมไฟเป็นได้ทั้งโล่และอาวุธในเวลาเดียวกัน แถมยังช่วยส่องไฟในยามราตรีได้อีกด้วย โครงการ Habakkuk นี่เป็นโครงการของอังกฤษที่คิดค้นขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเป็นความพยายามในการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินจาก “Pykrete” วัสดุที่ผลิตจากน้ำแข็งและขี้เลื่อย เนื่องจากเหล็กเริ่มเป็นที่ขาดแคลน อย่างไรก็ตามก่อนที่จะมีการทดลองสร้างเรือขึ้นมาจริงๆ สงครามโลกครั้งที่สองก็จบลงเสียก่อน ทำให้ไม่อาจทราบได้ว่าโครงการ Habakkuk จะสามารถใช้งานได้จริงหรือไม่ กรงเล็บของอาร์คิมิดีส นี่เป็นอาวุธที่คิดค้นขึ้นในศตวรรษที่สาม โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องเมืองจากการโจมตีทางเรือของโรมัน โดยเจ้าอาวุธชิ้นนี้จะเกี่ยวเอาเรือของศัตรูขึ้นจากน้ำ และปล่อยเรือลงกระแทกกับพื้นจนเรือได้รับความเสียหาย ว่าง่ายๆ ว่าทำงานคล้ายๆ ปั้นจั่นนั่นเอง ระเบิดเกย์ ระเบิดเกย์ เป็นชื่ออย่างไม่เป็นทางการของทฤษฎีระเบิดเคมีที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต…
-
“แมว” เคยเป็นไม้ตาย ที่ช่วยให้กษัตริย์แคมไบสิสที่ 2 แห่งเปอร์เซียใช้เอาชนะอียิปต์
ในสงครามสมัยก่อน มีอยู่บ่อยครั้งที่เราจะเห็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้ทางจิตวิทยา ไม่ว่าจะการเอาศีรษะของชาวบ้านใส่เครื่องดีดลูกหิน และยิงเข้าไปในป้อมปราการ หรือการจับคนสำคัญๆ ของอีกฝ่ายไว้เป็นตัวประกัน แถมในบางครั้งตัวประกันที่ว่าก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนด้วยซ้ำ เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะทราบแล้วว่าชาวอียิปต์โบราณนับถือสัตว์ตระกูลแมวมากๆ ถึงขั้นที่ว่ามองเป็นพระเจ้าแห่งความสง่างาม สงบนิ่ง และความสมดุลเลยทีเดียว พวกเขามีเทพีที่มีหัวเป็นแมวชื่อว่า “บาสเต็ท” (Bastet) และบูชาเธอมาอย่างยาวนาน ปัญหาคือการบูชาแมวมากๆ นี่เองที่เป็นสิ่งที่ย้อนมาเล่นงานชาวอียิปต์โบราณ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วง 525 ปีก่อนคริสตกาล ในสงครามที่เมืองเปลุสิอุม ระหว่างกษัตริย์แคมไบสิสที่ 2 แห่งเปอร์เซีย กับฟาโรห์ปซาเมติคที่ 3 นี่เป็นสงครามที่เกิดขึ้นจากการที่ฟาโรห์อมาสิส บิดาของฟาโรห์ปซาเมติคที่ 3 สั่งให้หญิงคนหนึ่งปลอมตัวเป็นลูกสาวไปถวายเป็นชายาของกษัตริย์แคมไบสิสที่ 2 แล้วโดนจับได้ แม้ว่าจากประสบการณ์ทางการรบแล้ว นักประวัติศาสตร์ส่วนมากจะเชื่อว่ายังไงกษัตริย์แคมไบสิสที่ 2 ก็ชนะสงครามในครั้งนี้ แต่เมืองเปลุสิอุมเองถือว่าเป็นเมืองที่แข็งแกร่งมากของอียิปต์เช่นกัน ทำให้แผนการที่กษัตริย์แคมไบสิสที่ 2 ใช้ในการเอาชนะสงครามในครั้งนี้กลายเป็นเรื่องที่น่าจดจำไป เพราะแทนที่จะใช้กองกำลังบุกเข้าไปเฉยๆ กษัตริย์แคมไบสิสที่ 2 กลับเลือกที่จะตัดกำลังใจในการสู้รบของคนอียิปต์ ด้วยการจับสัตว์ที่คนอียิปต์เคารพ (โดยเฉพาะแมว) มาผูกไว้กับโล่ของทหารเสียเลย แถมยังมีการเอาปล่อยแมววิ่งในสนามรบ และปาแมวใส่ศัตรูอีกต่างหาก แม้ว่านี่จะเป็นแผนการแปลกๆ…
-
22 ภาพถ่ายจากสงครามเวียดนาม ที่ทรงพลังถึงขนาดที่เปลี่ยนทิศทางของสงครามได้
สงครามเวียดนามเป็นสงครามที่แปลกสำหรับสหรัฐฯ เพราะนี่เป็นสงครามที่ไม่มีเหตุจูงใจที่รุนแรงเหมือนตอนสงครามโลก หรือสงครามอิรัก แถมยังเป็นสงครามที่ภาพถ่ายของนักข่าวสหรัฐฯ กลายเป็นดาบที่กลับมาเล่นงานประเทศตัวเองอีกด้วย ถึงขั้นที่ว่าภาพถ่ายที่ประชาชนเห็น อาจกลายเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ประชาชนสหรัฐฯ ไม่พอใจในสงครามครั้งนี้ จนทำให้สหรัฐฯ ต้องถอนกำลังอาจจะมาจากเลยทีเดียว อ่านมาถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าภาพถ่ายเหล่านั้นมันต้องทรงพลังขนาดไหนกัน ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงได้นำ 22 ภาพถ่ายจากสงครามเวียดนาม มาให้เพื่อนๆ ได้ชม ไปดูกันดีกว่าว่าภาพถ่ายที่ทรงพลังถึงขนาดที่เปลี่ยนทิศทางของสงครามได้นั้น มันเป็นอย่างไรกัน นี่คือภาพ “การสังหารที่ไซ่ง่อน” ซึ่งเป็นภาพของนายพลเวียดนามใต้สังหารทหารเวียดกง ในปี 1968 พ่อที่กำลังอุ้มร่างไร้วิญญาณของลูกกับทหารเวียดนามใต้ที่มองลงมาจากรถหุ้มเกราะ 19 มีนาคม 1964 เหล่าเด็กๆ ที่มีรอยแผลไหม้จากระเบิดนาปาล์ม 8 มิถุนายน 1972 นี่เป็นภาพที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ ในปี 1977 ในสาขาภาพข่าวดีเด่น ภาพของทหารที่ใส่หมวกที่เขียนว่า “สงครามคือนรก” มิถุนายน 1965 เหล่าทหารที่ต้องติดพายุฝนขณะเคลื่อนพล 10 มกราคม 1966 หลายคนในภาพไม่มีชีวิตรอดกลับมาจากสงคราม เหล่าผู้หญิงและเด็กหลบกระสุนอยู่ในคลอง 1 มกราคม 1966 แพทย์ทหารที่บาดเจ็บ พยายามรักษาผู้เจ็บคนอื่นๆ ต่อไป 30 มกราคม 1966 …
-
17 ภาพน่าปวดใจหลังเลิกทาส เพราะต่อให้เป็นอิสระ ชีวิตพวกเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
ในวันที่ 22 กันยายน 1862 หลังจากที่สงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกาจบลง อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาก็ทำการประกาศการเลิกทาสอย่างเป็นทางการ ปิดฉากการใช้แรงงานทาสของสหรัฐอเมริกาลงอย่างงดงาม… นั่นเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วชีวิตความเป็นอยู่ของคนคนหนึ่งมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงกันง่ายขนาดนั้น เพราะต่อให้การเลิกทาสเกิดขึ้นแล้วก็ตาม มันก็ยังมีทาสอีกหลายคนที่การใช้ชีวิตไม่ได้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเลยแม้แต่น้อย เด็กแอฟริกันอเมริกันยืนอยู่หน้าบ้านของเขา พวกเขายังคงอาศัยอยู่ในบ้านของทาสในสวนของคนขาว แม้จะมีการเลิกทาสไปแล้วก็ตาม คนจำนวนมากเลือกที่จะกลับไปทำงานที่เดิมกับที่พวกเขาเคยทำ ในสมัยที่ยังเป็นทาส บางคนก็เช่าบ้านจากเจ้านายคนเก่า และมีบางส่วนที่เช่าที่ทำกินจากเจ้านายเก่าด้วย ซึ่งพวกเขาจะต้องมอบพืชผลที่ได้จำนวนหนึ่งคืนให้เจ้านาย ทาสที่เป็นอิสระเดินไปทำงานรวบรวมฝ้ายที่สวนกับเจ้านายคนเดิม ในทางกลับกันคนขาวกลับกลัวเรื่องการเลิกทาสมา ในภาพเป็นโปสเตอร์ที่เตือนคนขาวว่าสักวันเด็กผิวขาวอาจต้องขัดรองเท้าให้คนดำ ร้านตัดผมบางร้านเริ่มจะบริการเฉพาะคนขาว คนจำนวนมากมารุมประชาทัณฑ์ Jesse Washington ชายผิวสีที่โดนตัดสินว่าข่มขืนและฆ่าภรรยาของนายจ้าง ร่างของเขาถูกแขวนกับต้นไม้และเผาทิ้ง บ้านทรุดโทรมที่ถูกบรรยายว่า “คนดำจนๆ อยู่ที่นี่” คนดำที่ทำผิดจะถูกล่ามโซ่ไว้ด้วยกันก่อนจะนำไปใช้แรงงาน เรียกกันว่า “Chain Gang” และบางครั้งก็มาจากคนบริสุทธิ์ที่โดนใส่ความ พวกเขาจะต้องทำงานเหมือนทาสโดยไม่ได้เงิน เป็นการลงโทษ ครอบครัวคนผิวสีที่ถ่ายภาพกันหลังเป็นอิสระ พวกเขายังไม่รู้ตัวว่ายังมีการเหยียดผิวรออยู่ในอนาคต ภาพถ่ายของ “คนผิวสีประเภทอาชญากร”…
-
5 เกมกระดานที่เก่าแก่ที่สุดในโลก จากอารยธรรมโบราณในยุคก่อนคริสตกาล
ว่ากันว่าคนเราเล่นเกมกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ และเกมเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่สมัยอารยธรรมเก่าแก่อย่างเมโสโปเตเมีย และอียิปต์โบราณ ซึ่งแม้ว่ากฎของเกมที่เล่นกันในสมัยนั้นจะหายไปแล้ว แต่ก็ยังมีหลักฐานมากมายถึง “เกมกระดาน” ที่พวกเขาเล่นกันอยู่ดี ดังนั้นเราจะไปดู 5 เกมกระดานที่เก่าแก่ที่สุดในโลกกัน มาดูกันดีกว่าว่าคนในสมัยก่อนเขาเล่นเกมแบบไหนกัน The Royal Game of Ur หรือ Game of Twenty Squares นี่เป็นเกมที่เก่าแก่ที่สุดที่มีการพบพร้อมกฎการเล่น ดังนั้นจึงเป็นเกมที่ยังสามารถเล่นได้เหมือนเมื่อก่อน โดยเจ้าเกมกระดานอันนี้ มีอยู่มาตั้งแต่ประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล และเชื่อว่ามีการเล่นกันในยุคเมโสโปเตเมีย โดยผู้เล่นจะต้องแข่งกันเดินตัวหมากทั้ง 7 ไปให้ถึงเส้นชัยก่อนอีกฝั่งนั่นเอง Mehen นี่เป็นเกมจากอียิปต์โบราณที่เล่นได้ 2-6 คน โดยหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่มีมาตั้งแต่เมื่อ 2,770 ปีก่อนคริสตกาล และนับว่าเป็นเกมกระดานเกมแรกๆ ที่มีผู้เล่นได้มากกว่า 2 คน โดยผู้เล่นจะต้อง โยนแท่งไม้แล้วเดินตามแต้มบนแท่งไม้ ใครนำหมากออกจากกระดานก่อนชนะนั่นเอง แบ็กแกมมอน แบ็กแกมมอนคือ เกมกระดานสำหรับสองคนซึ่งใช้เบี้ยและลูกเต๋าสองลูกในการเดิน ซึ่งผู้เล่นจะสลับกันเดินเพื่อนำเบี้ยของตนออกจากกระดาน โดยเวอร์ชันที่เก่าแก่ที่สุดถูกค้นพบที่อิหร่าน และมีอยู่มาตั้งแต่ 3,000 ปีก่อนคริสตกาลแล้ว อย่างไรก็ตามกฎที่ใกล้เคียงกับปัจจุบันที่สุดของเกมนี้ ไม่ได้มาจาก 3,000…
-
ชมภาพ “สุสานใต้ดินปารีส” อดีตเหมืองใต้ดินที่ฝังศพคนตายเอาไว้กว่า 6 ล้านศพ
ในช่วงศตวรรษที่ 18 สุสานหลายแห่งในฝรั่งเศสต้องพบกับปัญหาศพล้นสุสาน ถึงขั้นที่ว่ามีศพที่ไม่มีที่ฝังกองเกลื่อนเต็มเมือง ส่งกลิ่นเน่าเหม็นไปทั่วทำให้คนในเมืองเดือดร้อนและเสี่ยงต่อการติดโรคร้ายอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าของเหมืองคนหนึ่งจึงได้ตัดสินใจมอบเหมืองเก่าให้เป็นสุสานแห่งใหม่ และเคลื่อนย้ายศพจากที่ต่างๆ ทั่วเมืองมาไว้ยังที่แห่งนี้ จนกลายเป็นที่มาของ Catacombes de Paris หรือสุสานใต้ดินแห่งปารีสไปนั่นเอง ที่แห่งนี้ว่ากันว่าเป็นอดีตเหมืองใต้ดินที่มีระยะทางยาวกว่า 300 กิโลเมตร ซึ่งถูกดัดแปลงใช้เป็นสุสาน และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในปัจจุบัน แม้ว่าพื้นที่ที่มีการอนุญาตให้คนเข้าไปในปัจจุบันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของอุโมงค์ทั้งหมดเท่านั้น (ราวๆ 2 กิโลเมตรได้) อย่างไรก็ตามสถานที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่น่าสนใจและมีเสน่ห์ในความน่าหวาดกลัวของมัน นำมาซึ่งเรื่องเล่าสยองขวัญมากมาย และกลายเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากหวังที่จะได้เข้าไปเหยียบสักครั้งในชีวิตจริงๆ ว่ากันว่าที่แห่งนี้เก็บศพไว้กว่า 6 ล้านร่าง ปริมาณศพนั้นเยอะมากจนช่วงหลังๆ ทางฝรั่งเศสเพียงแค่นำศพมากองๆ ทิ้งไว้เลยทีเดียว ศพเหล่านั้น กลายเป็นกำแพงแห่งความตายในเวลาต่อมา เส้นทางข้างในให้ความรู้สึกที่วังเวง บนผนัง: ‘ความตายคือสิ่งที่รอคุณอยู่อย่างแน่นอน’ หนึ่งในทางเข้าออกที่เชื่อว่าเคยมีการใช้งาน ต้องใช้ศพมากมายขนาดไหนถึงจะได้กำแพงใหญ่ขนาดนี้กันนะ “กระดูกของผู้บริสุทธิ์” งานประติมากรรมที่อยู่ในสุสาน หลุมลึกภายในอุโมงค์ เป็นไปได้ว่าที่พื้นที่บางส่วนถูกปิดไป…
-
เชื่อหรือไม่ คนอังกฤษในศตวรรษที่ 17-19 จะ “ประมูลขายภรรยา” แทนการหย่าร้าง
สำหรับหลายๆ คนแล้ว การหย่ากัน เป็นอะไรที่ยุ่งยากมาก เพราะไหนจะเรื่องความรู้สึก เรื่องของพวกลูกๆ และเรื่องการแบ่งทรัพย์สินที่เคยใช้ร่วมกันทำให้ในหลายๆ ครั้งการหย่าก็ไม่อาจจะทำได้ง่ายๆ อย่างที่คิดสักเท่าไหร่ แต่เชื่อหรือไม่ว่าปัญหาเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่กับคนในสมัยนี้ เพราะในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึง 19 ในอังกฤษ ค่าใช้จ่ายในการหย่ามันมากมายสุดๆ จนการหย่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่าชนชั้นล่างของอังกฤษเลือกที่จะขายภรรยาแทนการหย่าเลยทีเดียว นี่อาจจะฟังดูเป็นเรื่องที่น่าขำและอาจยอมรับไม่ได้สำหรับหลายๆ คน แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในสมัยนั้น โดยการ “ขาย” มักถูกทำในรูปแบบการเปิดประมูล โดยจะมีการผูกโบว์หรือเชือกไว้ที่คอ มือ หรือเอวของภรรยา ก่อนที่จะพาไปขาย โดยการซื้อขายภรรยามักเกิดขึ้นในสถานที่ที่มีผู้คนผ่านไปมามาก ไม่ว่าจะเป็นตลาด ร้านเหล้า หรือตามงานแสดงสินค้า ใครก็ตามที่ซื้อตัวหญิงสาวไปจะถือว่าได้ภรรยาคนใหม่ ส่วนอดีตสามีก็จะถูกถือว่าทำการหย่าอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แม้ว่าจะเป็นการกระทำที่ไม่ต่างอะไรกับทำเหมือนภรรยาเป็นสิ่งของ แต่ดูเหมือนว่าชนชั้นล่างของอังกฤษจะยอมรับการขายภรรยาในฐานะสิ่งที่ใช้แทนการหย่าเป็นอย่างดี เพราะโดยมากแล้วคนที่มาร่วมประมูลนั้นมักจะเป็นคนรักคนใหม่ของฝ่ายหญิงที่มีการตกลงกันไว้เป็นอย่างดีแล้ว และหลายๆ ครั้งคนที่มาประมูลก็มักจะมีเพียงคนเดียวด้วย ในกรณีนี้ผู้เป็นสามีเก่าจะสามารถเรียกเก็บเงินจากชู้รักของฝ่ายหญิงได้ แถมยังมีโอกาสได้ปฏิบัติกับฝ่ายหญิงด้วยการทำให้อับอายเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการทำเหมือนเธอเป็นวัว ไม่ก็ประกาศน้ำหนักของเธอ ส่วนฝ่ายหญิงและชู้รักก็จะสามารถอยู่เลี่ยงการถูกสามีเก่าฟ้องร้องเกี่ยวกับการนอกใจได้ อย่างไรก็ตามในบางครั้งอาจมีประมูลราคาสู้จากผู้สนใจคนอื่นๆ ซึ่งในกรณีนี้คนที่ให้ราคามากที่สุดจะได้ตัวหญิงสาวไป แม้จะไม่ใช่คนที่เธอหวังไว้ก็ตาม นอกจากนี้ฝ่ายชายยังสามารถประกาศขายภรรยาโดยไม่แจ้งให้เจ้าตัวทราบได้อีกด้วย ทำให้มีอยู่หลายๆ ครั้งเหมือนกันที่ฝ่ายหญิงถูกขายให้กับชายที่เธอไม่รู้จัก…
-
5 อาหารในช่วงยุคกลาง ที่ในปัจจุบันดูยังไงก็เป็นของแปลก นี่มันเปิบพิสดารชัดๆ
ว่ากันว่าวัฒนธรรมการทานอาหารของแต่ละประเทศ จะเปลี่ยนไปตามวัตถุดิบที่พวกเขามี ดังนั้นอาหารที่ดูเป็นเรื่องธรรมดาของที่หนึ่ง อาจจะดูเป็นของเปิบพิสดารของอีกที่ได้ไม่ยาก เพราะต่อให้เป็นสถานที่เดียวกันเมื่อเวลาผ่านไปมุมมองที่คนมีต่อการกินก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลาได้เช่นกัน ดังเช่นอาหารธรรมดาๆ ในช่วงยุคกลาง แต่สำหรับในปัจจุบัน ดูยังไงก็มันก็เป็นของแปลกชัดๆ อย่างเช่นเมนูต่อไปนี้ บีเวอร์ ในช่วงยุคกลางมีความเชื่อกันว่าหางของบีเวอร์เป็น “ของเย็น” และสามารถทานได้ในช่วงเทศกาลมหาพรต (ที่มีการทำศีลอดเนื้อ) แถมต่อมาในศตวรรษที่ 17 ทางโบสถ์ก็ออกมาบอกว่าไม่ใช่แค่หางของบีเวอร์เท่านั้นที่ทานได้ในเทศกาลมหาพรต แต่เป็นบีเวอร์ทั้งตัวเลย เนื่องจากทางโบสถ์อ้างว่าบีเวอร์นั้นเป็น “ปลา” เพราะมันว่ายน้ำได้เร็วมากนั่นเอง (ศีลอดเนื้อของคริสต์ไม่ห้ามทานปลา) หงส์ย่าง แม้ว่าหงส์ย่างอาจจะไม่ใช่อะไรที่แปลกเท่าไหร่สำหรับบางคน แต่ก็ไม่ใช่อาหารที่เห็นกันได้บ่อยๆ เช่นกัน โดยในช่วงศตวรรษที่ 14 ในอังกฤษจะมีวิธีเตรียมหงส์ย่างแบบแปลกๆ ด้วยการถลกหนังหงส์ไปย่าง ก่อนจะเอาหนังและขนกลับมาคลุมไว้ก่อนนำไปเสิร์ฟ ซึ่งจะทำให้ดูเหมือนหงส์ยังมีชีวิตอยู่เลยนั่นเอง แมวย่าง อีกหนึ่งของอาหารแปลกในอดีต โดยการเตรียมอาหารเริ่มจากการตัวหัวแมวทิ้งเนื่องจากสมัยก่อนเชื่อกันว่ากินไม่ได้ เพราะหากทานสมองแมวเอาไปคนทานจะเป็นบ้า จากนั้นก็ควักเครื่องในออกและล้างทำความสะอาดเนื้อก่อนจะเอาไปฝังหนึ่งวันแล้วค่อยนำมาย่างตามปกติ ไก่ร้องเพลง เมนูนี้ต้องบอกว่าไม่ได้แปลกที่ไก่ แต่แปลกที่การเตรียมอาหาร เพราะจะมีการมัดคอไก่ที่ปรุงเตรียมไว้กับปรอทและกำมะถันทำให้เมื่อนำไปอุ่นให้ร้อน จะมีเสียงเหมือนกับไก่ร้องเพลง แถมบางครั้งยังมีการเสิร์ฟคู่กับหงส์ ปลา หรือหมูที่พ่นไฟได้จากการเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์จุดไฟยัดใส่ในตัวอีกด้วย ปลาไหล Lamprey นี่เป็นปลาชนิดหนึ่งที่หน้าตาอัปลักษณ์ แถมยังดูดเลือดเป็นอาหาร อย่างไรก็ตามในสมัยก่อนเจ้าปลาชนิดนี้กลับถูกมองว่าเป็นอาหารอันโอชะ…
-
20 ภาพการล่าสุราของเจ้าหน้าที่ ในยุคที่สหรัฐอเมริกา ห้ามการซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เมื่อ 90 กว่าปีก่อนในวันที่ 16 มกราคม 1920 สหรัฐอเมริกาได้มีประการห้ามการซื้อขาย และครอบครองเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดในประเทศ หลังจากที่มีปัญหาคนเมามาอย่างยาวนาน นี่นับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งสังคมไร้แอลกอฮอล์ของสหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการค้าสุราเถื่อนที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศในเวลาเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เองภาพของการทำสุราเถื่อน และการเทสุราทิ้งจึงเป็นเรื่องที่มีให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ในยุคนี้ จนเรียกได้ว่าเป็นภาพอันชินตาของคนในสมัยนั้นไปเลยก็ไม่ผิดนัก ไม่เชื่อก็ลองไปดูภาพทั้ง 20 ภาพต่อไปนี้ดูสิ การเทสุราทิ้งลงท่อน้ำทิ้งที่นิวยอร์ก 1921 ตำรวจปราบปรามสุราเข้าตรวจสอบแอลกอฮอล์ที่ยึดมาได้นิวยอร์ก 1922 เจ้าหน้าที่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ถูกยึด ในไมอามี 1925 ฝูงชนที่มามุงดู เจ้าหน้าที่ดำเนินการจับกุมสุราผิดกฎหมาย ฟิลาเดลเฟีย 1928 เรือขนสุราเถื่อนถูกยึดที่ดีทรอยต์ 1929 เจ้าหน้าที่เทเหล้าออกมาจากร้านขายที่ผิดกฎหมาย ดีทรอยต์ 1929 เจ้าหน้าที่พบเครื่องกลั่นที่ ดีทรอยต์ 1929 ชายคนหนึ่งทำลายขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยขวานดีทรอยต์ 1929 เจ้าหน้าที่เทสุราออกมาจากโรงกลั่นผิดกฎหมาย ที่ดีทรอยต์ 1929 การค้นหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อาจถูกซ่อนไว้ในร้านขายเหล้าผิดกฎหมาย ดีทรอยต์ยุค 20 เจ้าหน้าที่ยืนอยู่ข้างเครื่องกลั่น ในดีทรอยต์ยุค 20 …
-
เชื่อหรือไม่ ในยุควิคตอเรีย “การช่วยตัวเอง” ถูกมองว่าอันตรายมากๆ และทำให้สุขภาพเสีย
การช่วยตัวเองในปัจจุบันอาจจะดูเหมือนเรื่องธรรมดาสำหรับหลายๆ คน มันเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำกันทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แถมถ้าไม่หมกมุ่นจนเกินไปการช่วยตัวเองก็ไม่ได้มีผลร้ายอะไรเป็นพิเศษด้วย แต่เชื่อหรือไม่ว่าเมื่อก่อนคนเราไม่ได้เชื่อแบบนี้เลย เพราะในสมัยยุควิคตอเรียนั้น การช่วยตัวเอง ถูกมองว่าเป็นการทำร้ายตัวเอง ทำให้ตัวเองแปดเปื้อน หรือแม้แต่ทำให้สุขภาพเสียเลยทีเดียว อุปกรณ์ป้องกันการช่วยตัวเอง คู่มือการแพทย์ของยุควิคตอเรียนั้นส่วนมากจะบอกว่าการช่วยตัวเองของผู้ชายสามารถทำให้ร่างกายอ่อนแอ นำไปสู่ความเจ็บป่วย ตาบอด ไร้สมรรถภาพ เป็นโรคลมชัก โรคจิต หรือแม้กระทั่งนำไปสู่ความตายก่อนวัยอันควรได้เลย นั่นทำให้คนในช่วงศตวรรษที่ 19 หวาดกลัวต่อการช่วยตัวเองมาก ถึงขนาดที่ว่ามีการเข้าปรึกษาแพทย์อย่างจริงจังเกี่ยวกับความอยากช่วยตัวเอง แถมแพทย์ยังให้คำปรึกษากลับไปว่า ให้เลิกการกระทำที่ “เสี่ยงตาย” แบบนี้โดยเด็ดขาดอีกด้วย ในกรณีที่ผู้ป่วยช่วยตัวเองบ่อยๆ แพทย์อาจจะมีการสั่งให้ปรับเปลี่ยนการทานอาหาร ออกกำลังกายให้มากขึ้น หรือสวดมนต์เพื่อลดความใคร่ อย่างไรก็ตามหากวิธีเหล่านั้นไม่ได้ผล แพทย์ในสมัยนั้นก็จะใช้ไพ่ตายซึ่งเป็นอุปกรณ์ป้องกันการช่วยตัวเอง โดยอุปกรณ์เหล่านี้ก็มีตั้งแต่การใส่ห่วงหนาม หรือระบบช็อตไฟฟ้าที่อวัยวะเพศ เรื่อยไปจนถึงการขลิบเพื่อรักษาความต้องการในการช่วยตัวเอง ส่วนสำหรับผู้หญิงเองการช่วยตัวเองก็มักจะถูกมองว่าทำให้เป็นโรคฮิสทีเรีย มีอาการวิกลจริต หรือลมบ้าหมูเช่นกัน แพทย์บางคนถึงกับมองว่าการช่วยตัวเองของผู้หญิงเป็นการกระทำต่อต้านสังคมเลยทีเดียว นั่นทำให้การรักษาของผู้หญิงน่ากลัวไม่แพ้กับผู้ชาย ทั้งการให้ใส่เข็มขัดพรหมจรรย์ เรื่อยไปจนถึงการผ่าตัดเอาปุ่มกระสันทิ้งไปเลยทีเดียว รู้สึกโชคดีจริงๆ ที่ไม่ได้เกิดในสมัยนั้น ที่มา vintag หนังสือ The Secret Companion:…
-
22 ร้านขายของจากต้นศตวรรษที่ 20 มาดูกันว่าร้านค้าในสมัยก่อนมันเป็นอย่างไรกัน
ในสังคมของมนุษย์ ไม่ว่าจะในยุคไหนๆ พ่อค้าแม่ค้าก็เป็นบุคคลสำคัญของเศรษฐกิจอยู่เสมอ ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นร้านขายของต่างๆ ในแทบทุกยุคที่มีการใช้เงินตรา และว่ากันว่าพวกเขามีตัวตนมานานกว่านั้นมากอีกด้วย ว่าแต่เคยสงสัยกันรึเปล่าว่าร้านค้าของคนในสมัยก่อนจะมีความแตกต่างจากปัจจุบันอย่างไร เพราะวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาทุกๆ คนไปชม 22 ร้านขายของจากต้นศตวรรษที่ 20 มาดูกันดีกว่าว่าร้านค้าในสมัยก่อนมันเป็นอย่างไรกัน เริ่มกันจากร้านแก้วสวยงามในซานฟรานซิสโก ร้านซ่อมรถยนต์ในแคลิฟอร์เนีย ร้านเบเกอรี่ที่เซาท์แคโรไลนา ร้านตัดผมในลอสแอนเจลิส ร้านขายของชำในเมืองชาร์เลอรัว เพนซิลเวเนีย ห้องผสมสีในโรงพิมพ์ ร้านซ่อมรองเท้าในรัฐคอนเนตทิคัต ร้านฮาร์ดแวร์ รัฐอิลลินอยส์ ร้านขายขนม (และซิการ์) ที่เพนซิลเวเนีย ร้านของช่างไม้ในกรุงลอนดอน ร้านขายหมวก ร้านของช่างตีเหล็กในไอโอวา ร้านขายยาที่สาธารณรัฐเช็ก ร้านค้าที่ประเทศเยอรมนี ร้านขายผักและผลไม้ ร้านขายของในโคโลราโด ร้านขายจักรยานในรีโอเดจาเนโร ร้านขายเนื้อที่รัฐเพนซิลเวเนีย …
-
5 ภาพจากในอดีตพร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์ เพราะเรื่องแบบนี้ไม่มีสอนในห้องเรียน
ประวัติศาสตร์ในห้องเรียนมักจะมีเพียงเรื่องใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์เท่านั้น บ่อยครั้งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มักจะถูกตัดออกไปจากการสอน เนื่องจากถูกมองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เชื่อหรือไม่ว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ในบางครั้งก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจกว่าที่คิด ไม่เชื่อก็ลองไปดูภาพ 5 ภาพจากในอดีตพร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์ เหล่านี้ดูสิ และจะรู้ว่าสิ่งที่ไม่มีสอนในห้องเรียน มีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าที่คุณคิด แบบจำลองของภูเขารัชมอร์ เชื่อหรือไม่ว่าภูเขารัชมอร์ที่สลักหน้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ (และเป็นต้นแบบภูเขาที่หมู่บ้านนารูโตะ) เดิมทีแล้วไม่ได้จะมีแค่ใบหน้าของประธานาธิบดีเท่านั้น เพราะจากแบบจำลองที่ออกแบบโดย Gutzon Borglum เดิมทีแล้วภูเขารัชมอร์จะต้องเห็นตัวของเหล่าประธานาธิบดีด้วย ปัญหาคือหลังจากที่สลักใบหน้าสำเร็จ งบประมาณที่ใช้ก็ดันหมดเสียก่อน ภูเขาเลยมีแค่หัวอย่างที่เห็นในปัจจุบัน การประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชนครั้งสุดท้ายในสหรัฐอเมริกา นี่คือภาพการแขวนคอ Rainey Bethea จากคดีข่มขืนและฆ่าหญิงชราวัย 70 ในวันที่ 14 สิงหาคม 1936 ที่รัฐเคนทักกี อย่างไรก็ตามการประหารชีวิตครั้งนี้มีปัญหาเกิดขึ้น เพราะที่ผู้ต้องลงมือสับสวิตช์ประหารเมาจนทำหน้าที่ไม่ได้ ซึ่งนับว่าเป็นความอับอายของชาวอเมริกา จนนำไปสู่การยกเลิกการประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชนในเวลาต่อมา กลุ่มนาซีอเมริกัน นี่เป็นภาพที่ถูกถ่ายไว้ในปี 1937 ในนิวเจอร์ซี โดยเป็นการเดินขบวนของสมาชิก “กลุ่มเยอรมัน-อเมริกัน” (German American Bund) นี่เป็นกลุ่มที่สนับสนุนแนวคิดของนาซีในอเมริกา และบางครั้งก็มีการปฏิบัติการเลียนแบบพวก SS…
-
5 สิ่งดีๆ ที่ผู้ที่ถูกโลกตราหน้าว่าเป็นวายร้ายเคยทำ พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีใครที่เลวสมบูรณ์แบบ
ว่ากันว่าในโลกใบนี้ไม่มีใครที่เลวไปเสียทุกอย่าง และในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครที่ดีงามสมบูรณ์แบบ ต่อให้เป็นคนที่โลกตราหน้าว่าเป็นวายร้ายขนาดไหน ในความชั่วร้ายที่พวกเขาทำ ในบางครั้งก็อาจจะมีแสงแห่งความดีอยู่บ้างเช่นกัน ดังนั้น #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อๆ ไปพบกับสิ่งดีๆ ที่ผู้ที่ถูกโลกตราหน้าว่าเป็นวายร้ายเคยทำ แต่เรื่องดีๆ เหล่านี้จะเพียงพอที่จะให้โลกให้อภัยพวกเขาได้ไหมนั้น เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันอีกที ซัดดัม ฮุสเซ็น ทำให้คนอิรักได้เข้ารักษาในโรงพยาบาลฟรี ซัดดัม เชื่อกันว่าเป็นผู้สังหารชาวเคิร์ดผู้บริสุทธิ์หลายพันคน อย่างไรก็ตามเขาเป็นผู้ที่ทำให้คนอิรักเข้ารักษาในโรงพยาบาลฟรี แถมยังเป็นผู้นำแห่งการศึกษาอีกด้วย เขาทำให้ประชาชนอิรัก 100% มีการศึกษาขั้นต่ำ แถมยังทำโครงการเรียนรู้ โดยมุ่งเป้าไปที่การทำให้ประชากรทั้งประเทศมีความรู้ จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ค้นพบสิ่งมีชีวิตทางทะเลหลายชนิด จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ เป็นผู้นำกองกำลังญี่ปุ่นบุกสร้างความหวาดกลัวในสงครามโลกครั้งที่สองก็จริงอยู่ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นนักพฤกษศาสตร์ทางทะเลที่มีฝีมือคนหนึ่งเลย โดยในช่วงที่เขาไม่ได้ควบคุมกองทัพ จักรพรรดิฮิโรฮิโตะก็ได้ออกบทความทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่เป็นที่ยอมรับในวารสารพฤกษศาสตร์อีกด้วย ฮิตเลอร์ มีโครงการห้ามสูบบุหรี่โดยสมบูรณ์ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อาจจะเป็นหนึ่งในสุดยอดวายร้ายแห่งโลกใบนี้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าชายคนนี้เชื่อว่าการสูบบุหรี่จะทำให้ร่างกายของชาวอารยันที่บริสุทธิ์แปดเปื้อน ทำให้เขาออกโครงการห้ามสูบบุหรี่โดยสมบูรณ์ในเยอรมันอยู่ช่วงหนึ่งเลย เหมา เจ๋อตุง ประคับประคองประเทศจีน เหมา เจ๋อตุงเป็นได้ทั้งผู้นำในตำนาน และผู้นำสุดเลือดเย็นได้ในเวลาเดียวกัน จริงอยู่ที่เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความตายของผู้คนจำนวนมากที่มีความเห็นแตกต่างไปจากเขา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้ที่ประคับประคองประเทศจีนที่กำลังย่ำแย่จากการสงครามให้กลายเป็นประเทศผู้มีอิทธิพลของโลกอย่างในปัจจุบันเช่นกัน และไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือคนเลวก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีคนจีนจำนวนมากเลยที่รักเขา เบนิโต มุสโสลินี เพิ่มอัตราการเข้าเรียนในโรงเรียน ของคนอิตาลี เบนิโต มุสโสลินีว่ากันว่าเป็นจอมเผด็จการ…
-
19 ภาพจากอีกด้านของสงครามแห่งศตวรรษที่ 20 ด้านที่เราไม่ค่อยได้เห็นในเวลาที่โหดร้าย
ศตวรรษที่ 20 เป็นปีที่โลกได้พบกับสงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก หลายๆ ครั้ง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ภาพส่วนมากในสมัยนั้น ส่วนมากจะมีความเกี่ยวข้องกับสงคราม โดยมากแล้วนี่มักจะเป็นภาพของการรบของทหารกล้า หรือภาพของความโหดร้ายที่สะท้อนออกมาจากสงครามเป็นหลัก แต่ในบรรดาภาพแห่งสงครามเหล่านั้น ก็ยังมีภาพที่แตกต่างออกไปจากภาพสงครามอื่นๆ อยู่เหมือนกัน จริงอยู่ว่าภาพเล่านี้อาจจะไม่ได้โด่งดังเหมือนภาพอื่นๆ แต่ก็ทำให้เราได้เห็นอีกด้านของสงครามได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว วันคริสต์มาส 1914 นี่เป็นภาพของทหารสองฝั่งเล่นฟุตบอลร่วมกันในวันคริสต์มาส เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก่อนที่จะถูกย้ายถิ่นประจำการ เพราะพวกเขาปฏิเสธที่จะฆ่าฟันกันในวันต่อมานั่นเอง ทหารเยอรมันกำลังดูภาพจากค่ายกักกัน ในปี 1945 เหล่าทหารบอกลาครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเดินทางไปรบในปี 1943 ทหารสหรัฐเอาบุหรี่ให้ทหารญี่ปุ่นที่ฝังตัวเองแกล้งตายมานานกว่า 48 ชั่วโมง นายทหารกับม้าคู่ใจ พร้อมหน้ากากกันพิษในปี 1910 นายทหารเอากล้องส่องทางไกลให้เด็กๆ เล่นในปี 1944 ส่วนหัวของรูปปั้นสตาลินระหว่างการปฏิวัติของชาวฮังการี 1956 การทำศัลยกรรมพลาสติกรุ่นแรกๆ จากปี 1917 นี่เป็นการศัลยกรรมให้กับทหารที่บาดเจ็บจากสงครามโลกครั้งที่ 1 นั่นเอง การใส่หน้ากากใบหน้าเทียมให้กับทหารที่ได้รับบาดแผลที่หน้าในปี 1918 เด็กสาวอายุ 15…
-
18 ภาพประวัติศาสตร์ การทดลอง “The Gadget” ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลก!!
16 กรกฎาคม 1945 นับเป็นเวลาราวๆ 3 ปีหลังจากที่มีการเริ่มต้นโครงการแมนฮัตตันในปี 1942 และใช้งบประมาณไปกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราวๆ 65,000 ล้านบาท) ในที่สุด ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลกที่มีชื่อเล่นว่า “The Gadget” ก็ได้ถูกทำมาทดลองใช้จริงที่สถานที่ทดสอบทรินิตีจนได้ จริงอยู่ที่แรกเริ่มเดิมทีการทดลองในครั้งนี้จัดเป็นความลับของทางฝ่ายพันธมิตร แต่หลังจากที่สงครามโลกจบลง ภาพเหล่านั้นก็ถูกนำออกมาเผยแพร่สู่สาธารณชน ดังที่เห็นต่อไปนี้ ค่ายทหารที่ฐานการทดสอบ การเคลื่อนย้าย “The Gadget” ไปยังสถานที่ทดสอบ สารประกอบระเบิดถูกส่งมายังสถานที่ทดสอบทรินิตี กล้องจับภาพถูกติดตั้งรอบๆ สถานที่ทดสอบทรินิตี เพื่อบันทึกการทดสอบ “The Gadget” ก่อนการทดสอบ สายจำนวนมากนี้ ออกแบบมาตรวจวัดค่าต่างๆ ของ “The Gadget” อุปกรณ์ที่ใช้วัดความเร็วของแรงระเบิด หอคอยที่เป็นเป้าหมายในการทดลอง สภาพพื้นที่หลังจากการทดลอง ลูกไฟหลังการระเบิด 0.016 วินาที ลูกไฟหลังการระเบิด…
-
5 สารพัดวิธีที่จะยืนยันการเสียชีวิตในช่วงศตวรรษที่ 18-19 แต่ใช้ได้จริงหรือไม่ว่ากันอีกที
ในยุคที่การแพทย์ยังไม่ก้าวหน้ามากนัก การรักษาจัดเป็นอะไรที่ทั้งประหลาดและอันตราย หรือไม่ตรงประเด็นอย่างที่สุดในหลายๆ ครั้ง แม้แต่การตรวจสอบว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วเสียชีวิตจริงๆ หรือไม่ ยังถือเป็นเรื่องที่ยากมากๆ จริงๆ นั่นทำให้ในช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 เหล่าแพทย์ได้คิดค้นสารพัดวิธีที่จะยืนยันการเสียชีวิตของผู้คนขึ้นมามากมาย ทั้งแบบที่มีเหตุผล น่าสนใจ แปลก หรือใช้ไม่ได้จริงไปเลยดังต่อไปนี้ ทรมานเท้าของผู้ตาย เท้าจัดเป็นส่วนที่ไวต่อความรู้สึกมาก ดังนั้นในสมัยก่อนจึงมีการทรมานเท้าของคนตาย เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่ตาย ตายไปแล้วจริงๆ บางครั้งก็ทำโดยการกรีดเท้า เผาเท้า หรือไม่ก็เอาเหล็กแหลมแทงที่ใต้เล็บเท้าเป็นต้น ใช้ยาสูบสวนทวารหนักผู้ตาย นี่เป็นการตรวจสอบคนที่เสียชีวิตไปแล้วที่เกิดขึ้นในปี 1774 ซึ่งจะทำการใช้ควันยาสูบในการสวนทวารคนที่จมน้ำตาย โดยในสมัยนั้นเชื่อกันว่าการทำแบบนี้จะทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น และกระตุ้นการหายใจในกรณีที่ร่างที่พบยังไม่ตาย อย่างไรก็ตามวิธีนี้อันตรายมาก หากแพทย์ที่ลงมือทำเผลอหายใจเข้า แทนที่จะเป่าควันออก เชื้อโรคในศพอาจเข้าสู่ร่างกายจนเสียชีวิตได้เลย ทำให้ต่อมาต้องมีการเพิ่มที่สูบลมเข้าไปในชุดปฏิบัติการนั่นเอง เสียบเข็มยาวที่มีธงม้วนติดอยู่ที่หัวใจ นี่เป็นผลงานของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ Middeldorph ซึ่งหากหัวใจยังเต้น ธงที่เข็มจะคลายออกทำให้รู้ว่าคนที่โดนยังไม่ตาย โชคร้ายที่ในปี 1893 แพทย์ที่ใช้วิธีนี้ กลับโดนกล่าวหาว่าสังหารคนไข้ด้วยการปักเข็มที่หัวใจเสียอย่างนั้น จนทำให้วิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมเท่าที่ควรไป การใช้ก๊าซที่ปล่อยออกมาจากศพเพื่อเปิดเผยหมึกล่องหน นี่เป็นวิธีการที่น่าสนใจมากของ Séverin Icard ในศตวรรษที่ 19 โดยนี่เป็นการเขียนคำว่า…
-
36 ภาพถ่ายขำๆ เอาฮาของคนสมัยก่อน เพราะมนุษย์เราไม่ว่าจะยุคไหนก็มีอารมณ์ขันเสมอ
ในสมัยที่การถ่ายภาพยังไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ก็ทำกัน คนเราคงไม่คิดหรอกว่าการถ่ายภาพแบบเอาฮาจะเป็นที่นิยมกันแบบในปัจจุบัน เพราะกว่าจะได้ภาพมาแต่ละภาพในสมัยก่อนค่อนข้างที่จะยุ่งยาก ไหนจะค่าฟิล์ม แถมยังต้องเอาฟิล์มไปล้างอีก แต่ในความเป็นจริงแล้วต่อให้การถ่ายภาพลำบากแค่ไหนก็ไม่สามารถหยุดยั้งอารมณ์ขันของมนุษย์ได้หรอก เพราะในโลกใบนี้มีภาพถ่ายขำๆ เอาฮาให้เราได้ดูมากกว่าที่เราคิดเยอะ ไม่เชื่อก็ดูภาพทั้ง 36 ภาพต่อไปนี้ได้เลย เริ่มกันด้วยเซิ้งริมน้ำตก เก๋ไหมล่ะ สวยนะหล่อน!! เป๊ะเวอร์ นิ้วเข้าโกร่งไก!!! โกรธ!!! นุ่มไหมลูกพี่ ทำอะไรกลางวันแสกๆ หล่อเชิด!! หนวดสวยนะเพื่อน อย่าเลียจอกันนะ ถ้าถ่ายสมัยนี้คงโดนด่าเหยียดชนชาติไปแล้ว ขี่ถังสนุกไหม จับนม จับนม กระจอก มาบ้านเรามีของจริงให้ดู โอโห พลังแขน คนล่างเก่ง (และแกร่ง) ที่สุด อันนี้ถ่ายมาจะสื่ออะไร? อันนี้คือพิงเพื่อน หรือเมาพับ?…
-
พบมัมมี่ลูกม้าอายุราว 30,000-40,000 ปี ในเพอร์มาฟอส สมบูรณ์มากจนเห็นขนจมูกได้
ว่ากันว่าในยุคน้ำแข็ง โลกของเราได้เก็บหลักฐานของสิ่งมีชีวิตไว้ใต้ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (Permafrost) เป็นจำนวนมาก และสิ่งที่ถูกเก็บไว้เหล่านั้น ก็เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมากอีกด้วย และล่าสุดนี้เอง ที่ไซบีเรีย ประเทศรัสเซียก็ได้มีการขุดพบมัมมี่ของลูกม้าอายุกว่า 30,000-40,000 ปี ขึ้นมาจากชั้นดินเยือกแข็งคงตัวลึก 100 เมตร นี่เป็นร่างของลูกม้าโบราณที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดร่างหนึ่งที่เคยมีการพบเลยก็ว่าได้ ทั้งผิวหนัง กีบ และหางเรียกได้ว่ายังคงอยู่ในสภาพที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงขั้นที่ว่านักวิทยาศาสตร์ยังสามารถเห็นขนจมูกของเจ้ามาน้อยได้เลยทีเดียว “นี่เป็นครั้งแรกในโลกที่มีการพบม้าโบราณที่ยังเด็ก และเก็บรักษามาอย่างสมบูรณ์ขนาดนี้” Semyon Grigoryev จากพิพิธภัณฑ์แมมมอธ ในเมืองยาค็อตสค์กล่าว จริงอยู่ว่าม้าเป็นสัตว์ที่ยังมีอยู่เป็นจำนวนมากในปัจจุบัน แต่ลูกม้าที่พบนั้นมาจากสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อ 30,000-40,000 ปีก่อน ซึ่งมีชื่อว่า “Equus caballus lenensis” หรือ “ม้าลีนา” มันเป็นลูกม้าที่มีความสูง 98 เซนติเมตร และเชื่อกันว่าตายไปเมื่ออายุได้เพียงสองเดือนเท่านั้น โดยทางนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเจ้าม้าน่าจะตกลงไปในน้ำที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็ง ก่อนจะขาดอากาศหายใจจนตาย เนื่องจากไม่มีบาดแผลที่มองเห็นได้จากบนร่างที่พบ ในปัจจุบันทางนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการเก็บตัวอย่างของขนและชิ้นเนื้อไปทำการทดลองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะมีการตรวจสอบลำไส้ของเจ้าม้าที่พบ เพื่อหาว่ามันทานอะไรเป็นอาหารในสมัยที่ยังมีชีวิต โดยการทดลองนี้จะนำไปสู่ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชีวิตก่อนตายของเจ้าลูกม้าที่พบได้นั่นเอง ที่มา thesun, sciencealert, cnet และ livescience
-
เชื่อหรือไม่ ตำนานพื้นบ้านยุโรปโบราณบอกว่าผู้หญิงสามารถใช้ “ของลับ” ไล่ปีศาจได้
ในตำนานพื้นบ้านของทางยุโรปโบราณ บ่อยครั้งจะมีการอธิบายสตรีในสองรูปแบบ หนึ่งคือผู้ที่มักถูกเหล่าปีศาจใช้งาน (อย่างอีวาที่โดนงูหลอก) และอีกรูปแบบหนึ่งคือผู้ที่สามารถล้มล้างได้แม้กระทั่งซาตาน ซึ่งในวันนี้เราจะพูดถึงผู้หญิงแบบหลังกัน ตั้งแต่ในศตวรรษที่ 17 ตามตำนานพื้นบ้านมักจะมีการปลูกฝังความเชื่อว่าปีศาจนั้นหวาดกลัวผู้หญิง หรือถ้าจะพูดให้เจาะจงคือปีศาจหวาดกลัวอวัยวะที่แสดงความเป็นเพศหญิง ทำให้ในสมัยนั้น มีภาพศิลปะที่แลดูเข้าใจยากปรากฏอยู่ประปราย นี่คือภาพประกอบจากนิทานเรื่อง The Devil of Pope-Fig Island โดย Jean de La Fontaine ซึ่งมีเนื้อเรื่องคร่าวๆ ว่า ปีศาจกับชาวนาท้าประลองกันว่าใครจะขุดดินเป็นร่องได้ดีกว่ากัน ทำให้ภรรยาของชาวนาที่คิดจะช่วยสามีตัดสินใจเปิดของลับให้ปีศาจดู พลางแกล้งบ่นว่าสามีทดลองกรงเล็บกับเธอจนทำให้หว่างขาของเธอเป็นแผลแยก ปีศาจที่ไม่คุ้นเคยกับร่างกายผู้หญิงเห็นดังนั้นก็หวาดกลัวในพลังของชาวนามาก เพราะคิดว่าของลับของผู้หญิงคือบาดแผลรุนแรง จนตัดสินใจหนีไปจากการแข่ง จากผลงานหลายๆ เรื่องในอดีตจะเห็นได้ว่าปีศาจมักจะมีความหวาดกลัวต่ออวัยวะเพศของผู้หญิงมาก ซึ่งสำหรับเรื่องนี้เอง Dr. Magdalena Łanuszka ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลปะจาก มหาวิทยาลัย Jagiellonian ในโปแลนด์บอกว่า การที่ปีศาจหวาดกลัวอวัยวะเพศหญิงน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อในสมัยโบราณเกี่ยวกับการให้กำเนิด ซึ่งเชื่อกันว่าสตรีที่สามารถให้กำเนิดลูกได้ก็เปรียบเหมือนได้รับพรที่จะขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปนั่นเอง นอกจากนี้การที่ปีศาจหวาดกลัวอวัยวะเพศหญิง อาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำสอนในอดีตก็เป็นได้ ตัวอย่างเช่นในยุค 1800 ผลงานของ Thomas Rowlandson ที่ชื่อ The…
-
ชม 12 “รถบ้าน” จากในอดีต แทนที่จะแบกเต็นท์ใส่รถไปเที่ยว สู้ทำรถเป็นบ้านเลยจะดีกว่า!!
แม้จะไม่ใช่เรื่องที่เห็นกันบ่อยนักในประเทศไทย แต่เชื่อว่าหลายๆ คนคงอาจจะเคยเห็นรถที่ใช้เป็นทั้งรถทั้งบ้านมาบ้างตามหนังภาพยนตร์ หรือซีรีส์ของประเทศ เชื่อกันว่าความคิดเรื่องรถบ้านมาจากต้นยุค 1900 โดยนักท่องเที่ยวที่คิดว่าแทนที่จะแบกเต็นท์ใส่รถไปเที่ยว สู้ทำรถเป็นบ้านเลยจะดีกว่า จนเกิดเป็น “รถบ้าน” อย่างที่พวกเรารู้จักกันในทุกวันนี้ แต่ถึงแม้ว่าต้นกำเนิดของ “รถบ้าน” จะเป็นอย่างไร เราก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารถที่สามารถเป็นบ้านได้ (หรือบ้านที่สามารถเคลื่อนที่ได้แบบรถ) เป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ในตัวเองอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงจะนำเพื่อนๆ ไปชม 12 รถบ้านจากในอดีต ไปดูกันดีกว่าว่าในสมัยก่อนนั้น เขาประดิษฐ์รถบ้านออกมาแบบไหนกัน “ยอดรถบัส” ของ Ray Conklin ประธานบริษัท New York Motorbus ในปี 1915 Gospel Car หมายเลข 1 สร้างโดย William Downer จากรัฐนิวเจอร์ซี ปลายยุค 1910 Dr. Foster กับครอบครัวของเขา ถ่ายรูปคู่กับเต็นท์ท่องเที่ยวแบบติดรถ (เต็นท์ติดกับรถจริงๆ) รถฟอร์ดโมเดล T แบบดัดแปลงจากยุค 1920 …
-
พบพีระมิดขั้นบันไดเก่าแก่จากยุคสำริด ที่เมืองโบราณ Shimao ในประเทศจีน
ประเทศจีนเป็นประเทศที่ว่ากันว่ามีอารยธรรมที่เก่าแก่มากๆ ประเทศหนึ่งของโลก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายที่มีการค้นพบ นี่เป็นอารยธรรมที่ยังคงเต็มไปด้วยปริศนา พวกเขามาจากที่ไหนกันแน่ และอารยธรรมเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่กัน ในขณะที่คำตอบของคำถามยังไม่ออกมาอย่างชัดเจนนั่นเอง นักโบราณคดีของประเทศจีนก็ได้ค้นพบพีระมิดขั้นบันไดโบราณ จนทำให้ปริศนาการกำเนิดของอารยธรรมจีน กลายเป็นเรื่องที่ลึกล้ำยิ่งกว่าเดิมไปอีก นี่คือพีระมิดขั้นบันไดจากยุคสำริด ที่มีการขุดพบในซากปรักหักพังของเมืองโบราณ Shimao ในมณฑลส่านซี ประเทศจีน นี่เป็นเมืองที่สร้างขึ้นในช่วง 4,300 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งนับว่าเก่าแก่ยิ่งกว่ากำแพงเมืองจีนเสียอีก เมืองแห่งนี้ถูกค้นพบในปี 1976 และมีการเริ่มขุดค้นจริงจังในปี 2011 ตั้งแต่นั้นมา เมืองแห่งนี้ก็ค่อยๆ เปิดเผยความลับที่ไม่มีใครเคยทราบมาก่อนเกี่ยวกับประเทศจีนทีละนิด นี่เป็นเมืองที่มีอาณาเขตประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร มีกำแพงสองชั้น นอกจากนี้ยังมีการค้นกะโหลกของมนุษย์จำนวนมาก ที่เชื่อกันว่ามาจากการบูชายัญเหล่านักโทษสงครามอีกด้วย กะโหลกของมนุษย์จำนวนมาก ถูกพบในปี 2016 ส่วนพีระมิดขั้นบันไดที่พบเชื่อว่าสูงอย่างน้อย 70 เมตรโดยสร้างเป็นขั้นบันได 11 ขั้น ตัวพีระมิดชั้นล่างทำจากหิน และชั้นบนทำจากไม้และดิน มีระบบประปาที่ซับซ้อน อีกทั้งยังเก็บโบราณวัตถุเอาไว้อีกเป็นจำนวนมาก เป็นไปได้ว่าชั้นบนของพีระมิดที่พบจะเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ดีชั้นสูงของอาณาจักร เพราะตัวพีระมิดมีระบบป้องกันที่ค่อนข้างแน่นหนา แถมยังมีหลักฐานงานฝีมือระดับสูงที่ส่วนบนของพีระมิด เมืองโบราณ Shimao มักถูกเชื่อกันว่าเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมจีน และการค้นพบพีระมิดในครั้งนี้ก็อาจจะช่วยให้เหล่านักโบราณคดีสามารถเข้าใจลักษณะสังคมของเหล่าคนโบราณที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามงานฝีมือและการก่อสร้างที่พบนั้น ค่อนข้างแตกต่างไปจากประเทศจีนในรุ่นหลังๆ อยู่มาก…
-
“Maine Potato Episode” เหตุการณ์ที่เรือพิฆาตสหรัฐฯ จมเรือดำน้ำญี่ปุ่นได้เพราะมันฝรั่ง
ว่ากันว่าในสถานการณ์คับขัน ทุกๆ สิ่งล้วนแต่นำมาใช้เป็นอาวุธได้ ไม่ว่าจะเป็นไม้กวาด กระเป๋า หรือแม้กระทั่งของที่ไม่น่าเชื่อที่สุดอย่างมันฝรั่ง ก็เคยมีประวัตินำเรือรบสหรัฐฯ ไปสู่ชัยชนะมาแล้ว!! นี่เป็นเรื่องราวของเรือพิฆาต O’Bannon เรือพิฆาตรุ่น Fletcher ที่ออกรบในปี 1942 และติดตั้งอาวุธมากมาย ทั้งปืนต่อต้านอากาศยาน ตอร์ปิโด ระเบิดน้ำลึก และปืนติดดาดฟ้าเรือ U.S.S. O’Bannon วันหนึ่งในระหว่างที่ O’Bannon กลับมาจากภารกิจใกล้ๆ หมู่เกาะโซโลมอน พวกเขาก็พบกับเรือดำน้ำ RO-34 ของญี่ปุ่นเข้าโดยบังเอิญ น่าแปลกที่ทางเรือดำน้ำญี่ปุ่นไม่ได้รู้สึกถึงการมาของ O’Bannon แถมยังทำเพียงลอยลำเหนือน้ำเฉยๆ อีกด้วย ในช่วงแรกๆ เรือ O’Bannon คิดจะพุ่งชนเรือดำน้ำโดยตรง แต่ก็กลัวว่าการพุ่งชนอาจจะทำให้เรือจมไปทั้งคู่ พวกเขาจึงหยุดการพุ่งชนไว้กลางคัน โชคร้ายที่การทำเช่นนั้นทำให้ฝั่งญี่ปุ่นรู้ตัว แถมจากระยะห่างของเรือแล้วทาง O’Bannon ไม่มีอาวุธอะไรที่สามารถยิงเรือดำน้ำได้เลย เรือรุ่น Kaichū (ในภาพเป็น RO-33) ทันทีที่เห็นปืนติดดาดฟ้าเรือของ RO-34 หันมาหา ทางกองเรือสหรัฐฯ ก็หาทางทำทุกอย่างเพื่อถ่วงเวลาให้เรือเล่นออกห่างพอที่จะให้อาวุธจู่โจมศัตรูได้ ซึ่งหนึ่งในการพยายามนั่นเอง พวกเขาได้โยนมันฝรั่งจำนวนหนึ่งที่อยู่บนเรือใส่ฝั่งญี่ปุ่นด้วย อาจจะด้วยความที่ฟ้ายังมืดอยู่ ทหารฝั่งญี่ปุ่นก็เข้าใจผิดว่ามันฝรั่งที่ทหารสหรัฐฯ โยนมานั้นเป็นระเบิดมือ พวกเขาจึงลนลานปามันฝรั่งกลับมาที่เรือ O’Bannon นั่นทำให้เรือ O’Bannon สามารถหนีออกจากสถานการณ์คับขันได้ และถึงแม้ว่า RO-34…
-
รองเท้าสุดเท่จากสมัยโรมันโบราณ ต้นแบบรองเท้าหุ้มส้นที่เราใส่กัน ตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน
เมื่อพูดถึงรองเท้าแฟชัน เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะนึกถึงรองเท้าผ้าใบของ Converse, Nike หรือไม่ก็ Adidas ขึ้นมาเป็นอย่างแรก ด้วยการออกแบบอย่างประณีตและดูทันสมัย บวกกับความเท่หาเปรียบไม่ได้ของรองเท้าเหล่านั้น แต่เชื่อหรือไม่ว่าย้อนไปเมื่อสมัยโรมันโบราณ พวกเขาก็มีรองเท้าเท่ๆ แบบพวกเราเช่นกัน นี่คือรองเท้าอายุรองเท้า 2,000 ปีจากสมัยโรมันโบราณ ที่มีการค้นพบที่ป้อมโรมันใน Saalburg ประเทศเยอรมัน โดยเจ้าป้อมโรมันดังกล่าวมีการขุดพบในศตวรรษที่ 19 และกลายเป็นมรดกโลกของทาง UNESCO ไปในเวลาต่อมา ส่วนรองเท้าที่เห็นถูกพบอยู่ในบ่อน้ำของป้อม และได้ถูกนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ Saalburg ร่วมกับรองเท้าอื่นๆ ที่พบในสมัยโรมันโบราณ อย่างไรก็ตามไม่มีรองเท้าอันไหนที่จะโดดเด่นไปกว่ารองเท้าที่พบในครั้งนี้อีกแล้ว ด้วยความที่ว่ารองเท้าที่พบนั้นมีการออกแบบอย่างประณีต และดูคล้ายกับรองเท้าผ้าใบในปัจจุบันมากอย่างไม่น่าเชื่อนั่นเอง จากการค้นพบ นักโบราณคดีเชื่อว่ารองเท้าที่พบน่าจะเป็นของคนมีฐานะ เนื่องจากในสมัยนั้น บางครั้งคนรวยจะโชว์ความมั่งคั่งและสถานะในสังคมจากรองเท้าที่ใส่ และนั่นทำให้โรมันกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่มีการคิดค้นรองเท้าที่ห่อหุ้มเท้าโดยสมบูรณ์อีกด้วย รองเท้าที่พบมีพื้นรองเท้าที่ค่อนข้างหนักซึ่งเป็นลักษณะของรองเท้าที่ใส่นอกบ้าน แต่ก็มีการประดับตกแต่งค่อนข้างมาก นักโบราณคดีจึงเชื่อกันว่ารองเท้าที่พบน่าจะเป็นของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ดูเหมือนว่าชาวโรมันจะมีวัฒนธรรมรองเท้าที่ค่อนข้างทันสมัยเลย พวกเขามีรองเท้าสำหรับใส่นอกบ้าน และใส่ในบ้าน แถมยังมีรองเท้าที่ให้ในเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะ เช่นรองเท้าสำหรับใส่เวลาฝนตก หรือรองเท้าพิเศษสำหรับเหล่าสมาชิกสภา ป้อมโรมันใน Saalburg ที่มีการค้นพบรองเท้าในครั้งนี้ …
-
นักวิทย์พบ หลักฐานสาวลูกครึ่งคนแรกของโลก เป็นมนุษย์โบราณอายุกว่า 50,000 ปี
เมื่อหลายปีก่อนเคยมีกระแสหนุ่มสาวลูกครึ่งมาแรงอยู่ช่วงหนึ่ง ด้วยความที่พวกเขาหลายๆ คนมักได้รับลักษณะเด่นๆ ของฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่มา ทำให้เด็กลูกครึ่งมักจะมีรูปร่างหน้าตาที่ดูดีในสายตาคนทั่วไปได้ไม่ยากเลย แต่เชื่อหรือไม่ว่าเด็กลูกครึ่งมีมานานกว่าที่เราคิด แถมไม่ใช่แค่ร้อยสองร้อยปี แต่มีมายาวนานอย่างน้อยๆ ก็ 50,000 ปีเลยทีเดียว นี่เป็นผลการวิจัยที่สืบเนื่องมาจากการค้นพบฟอสซิลมนุษย์โบราณจำนวนมากที่ถ้ำ Denisova ในปี 2012 โดยหนึ่งในกระดูกที่พบซึ่งเป็นของเด็กสาววัย 13 ปีที่เกิดมาเมื่อ 50,000 ปีก่อน ได้ถูกนำไปตรวจสอบ DNA และพบว่าเธอมีเชื้อสายมาจากทั้งมนุษย์โบราณสายพันธุ์ Neanderthals และสายพันธุ์ Denisovans นั่นเอง ถ้ำ Denisova สถานที่ที่มีการขุดพบฟอสซิลมนุษย์โบราณ จากการตรวจสอบเชื่อว่าเด็กสาวคนที่พบน่าจะมีมารดาเป็น Neanderthals และบิดาเป็น Denisovans ซึ่งแม้ที่ผ่านๆ มาทั้งสองสายพันธุ์อาจจะเคยติดต่อข้ามสายพันธุ์มาก่อน (ทฤษฎีจาก DNA ของมนุษย์ในปัจจุบัน) แต่เด็กสาวคนนี้ก็เป็นหลักฐานเก่าแก่ที่สุด ที่เคยมีการค้นพบของเด็กลูกครึ่งเลย จริงอยู่ว่าทั้งสายพันธุ์ Neanderthals และ Denisovans จะปรากฏตัวมาบนโลกตั้งแต่เมื่อ 390,000 ปีก่อนแล้วก็ตาม แต่ข้อมูลของสายพันธุ์ Denisovans ที่เราทราบในปัจจุบันก็มีอยู่น้อยมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหลักฐานการมีอยู่ของสายพันธุ์ Denisovans มีเพียงแค่กระดูกนิ้วมือ ฟัน และกระดูกส่วนขา ที่มีการขุดพบในภูเขาอัลไตเท่านั้น ภูเขาอัลไต…
-
เติมฝันคู่รักไร้บ้าน ได้รับบริจาคชุดแต่งงาน จัดงานใต้สะพานท่ามกลางเพื่อนไร้บ้าน 100 คน
“การแต่งงาน” ถือว่าเป็นจุดสูงสุดที่คู่รักหลายๆ คู่นั้นใฝ่ฝัน เพราะมันเปรียบเสมือนกับการที่พวกเขาได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังเป็นวันที่เจ้าสาวหลายๆ คนจะสวยที่สุดในชีวิตอีกด้วย และถ้าหากจะจัดงานแต่งงานสักครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าคู่รักหลายๆ คู่คงอยากที่จะให้งานออกมาดี ดูหรู ดูแพงและเพอร์เฟกต์ แต่ความคิดดังกล่าวก็ไม่อาจเป็นจริงได้เสมอไป เมื่อคู่รักที่เราจะนำมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันในวันนี้เป็นคู่รัก “คนไร้บ้าน” พวกเขาได้รับความร่วมมือจากทั้งคนแปลกหน้าและแขกผู้มีเกียรติ รวมถึงเพื่อนๆ ชาวไร้บ้านทำให้เกิดเป็นงานแต่งงานเรียบๆ เล็กๆ ที่แสดงให้เราได้เห็นว่าไม่ต้องหรูหราก็มีความสุขได้ คู่รักดังกล่าวซึ่งฝ่ายเจ้าบ่าวคือ Llewellyn Jeneker และฝ่ายเจ้าสาว Cecilia Absolom ได้พบกันข้างถนนในเมือง Cape Town ประเทศแอฟริกาใต้ ตั้งแต่ตอนนั้นก็ผ่านมานานแล้วกว่า 30 ปีแล้ว แต่ความรักก็ไม่ลดลงเลย ทั้งคู่ฝันว่าอยากจัดงานแต่งงานมาโดยตลอด แต่ว่าด้วยสภาพการเงินและสถานะไร้บ้านนั้นทำให้ยากต่อการจัดงาน แต่ฟ้ามีตาในที่สุดก็มีคนใจดีนามว่า Jill Jeftha ได้มอบชุดแต่งงานให้กับ Cecelia Jill กล่าวว่า “ฉันรู้เรื่องของพวกเขาผ่านบาทหลวง เขาเล่าเรื่องของพวกเขาและถามฉันว่าพอจะช่วยได้มั้ย ฉันเข้าใจถึงความรู้สึกนั้นและก็ดีใจที่ได้ช่วยพวกเขา พวกเขาสมควรที่จะได้รับความรู้สึกที่สวยงามนี้” ทั้งสองคนยังได้รับความช่วยเหลือจาก Culemborg Safe Space สถานที่พักสำหรับคนไร้บ้านเป็นฝ่ายช่วยจัดงานหลายๆ อย่างให้อีกด้วย ในที่สุดวันจริงก็มาถึง…
-
22 ภาพของกลุ่มแก๊งแห่งนิวยอร์กยุค 70 อันธพาลครองเมือง อนาธิปไตยแห่งเหล่าคนพาล
ในช่วงยุค 70 ที่เมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีกลุ่มแก๊งของเหล่าอันธพาลโผล่ออกมาเป็นจำนวนมาก พวกเขายึดถนน ขายยาเสพติด เข้าร่วมในสงครามชิงพื้นที่ และคุกคามคนรอบข้างในยุคที่เศรษฐกิจย่ำแย่ นี่เป็นยุคที่เรียกว่ายุคอันธพาลครองเมืองเลยก็ไม่ผิดนัก และหลงเหลือภาพถ่ายเป็นจำนวนมากมาเป็นหลักฐานแห่งอนาธิปไตยในเหล่าคนพาลได้เป็นอย่างดี แก๊ง Screaming Phantoms มีภาพของเจงกีสข่านบนเสื้อกั๊กของพวกเขา สมาชิกกลุ่ม Bronx Street Gang แสดงให้เห็นถึงความโหดของพวกเขา ชาวแก๊งเผาทุกอย่างที่เห็นบนถนน การสูบบุหรี่ โบกปืนไปมา และชูนิ้วกลางเป็นเครื่องหมายการค้าของหลายๆ แก๊ง แก๊ง Midnight Bachelors กำลังฉลองด้วยอาวุธปืนและการดื่มเหล้า แก๊งโหดโชว์ปืน แก๊ง Supreme Bachelors ไต่รั้ว การส่งคำเตือนด้วยภาพของชาวแก๊ง สมาชิก Savage Skull เดินตามถนน สัญลักษณ์และโลโก้มีความสำคัญต่อตัวตนของแก๊งมาก พวกเขาท้าทาย แก๊งอื่น ๆ ด้วยการแสดงเสื้อของพวกเขา และคอยดูว่าใครจะกล้ามาฉกไป Gestapo จาก Savage Nomads ขังสมาชิกที่ทำผิดกฎ…
-
An Loc หมู่บ้านทางตอนใต้เวียดนาม ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนโดนทิ้งระเบิดในสงคราม
เขต An Lộc อยู่ในตัวเมือง Bình Long จังหวัด Bình Phước ทางตอนใต้เวียดนาม นี่เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงมากในสงครามเวียดนามในฐานะสถานที่ที่โดนทิ้งระเบิดในปี 1972 จนสถานที่แห่งนี้ต้องกลายเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่มีศพถูกฝังไว้กว่า 3,000 ร่าง แต่รู้กันหรือไม่ว่าหมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มมาก่อน อย่างที่สามารถเห็นได้จากภาพของช่างภาพชาวอเมริกัน John L. Beck ที่ถ่ายมาในช่วงปี 1968-1969 ต่อไปนี้ เด็กในหมู่บ้าน เพื่อนบ้านสูบบุหรี่ ชาวบ้านหนุ่มสองคน ชาวบ้านสาวอีกสองคน ร้านก๋วยเตี๋ยว จวนผู้ว่า ร้านขายเครื่องดื่ม เด็กสาวผู้ยิ้มแย้ม ของีบสักตื่น การขนน้ำแข็ง เด็กๆ อาบน้ำ ตลาดหมู่บ้าน สาวๆ ใน Ao Dai ภาพถ่ายทางอากาศของ An Loc จังหวัด Binh Long…
-
26 ภาพวีรบุรุษและผู้เสียสละ จาก D-day นอร์มองดี ทหารกล้าแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2
“ดวงตาของคนทั้งโลกกำลังมองคุณอยู่ ความหวังและคำอธิษฐานของคนรักเสรีภาพทุกคนจะเดินทัพไปกับคุณ” ผู้บัญชาการสูงสุด ดไวต์ ดี ไอเซนฮาวร์ D-day หรือวันที่ 6 มิถุนายน 1944 นับเป็นวันที่สำคัญที่สุดสำหรับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สองเลยก็ว่าได้ เพราะนี่คือวันที่เหล่าทหารกล้าที่เดินทางมาจากตอนใต้ของอังกฤษ บุกเข้าจู่โจมชายฝั่งนอร์มองดีของฝรั่งเศส ในยุทธการที่จะกำหนดอนาคตของสงครามโลกครั้งที่สอง คุณกำลังจะได้พบกับในวันแห่งตำนาน ของเหล่าวีรบุรุษ และผู้เสียสละ ผ่านเลนส์กล้องของเหล่าตากล้องที่เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งภาพความเป็นจริงของสงคราม แม้ว่าจะเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม เข้าไปสู่ปากแห่งความตาย ทหารสหรัฐวิ่งผ่าท้องทะเล เข้าสู่ดงกระสุนที่หาดโอมาฮา ทหารแคนาดาผู้มาถึงหาด Courseulles ในเมืองนอร์มองดี ทหารอเมริกันกับเหล่าผู้ตายในหาดโอมาฮาหลังจากเสร็จสิ้นการโจมตี การยกพลขึ้นบกหลังยึดหาดได้สำเร็จ ทหารอเมริกันได้รับบาดเจ็บขณะที่บุกหาดโอมาฮา ร่างไร้ชีวิตของทหารกล้า กับปืนไขว้ที่ว่างอยู่ใกล้ๆ อันเป็นการไว้อาลัยจากเพื่อนๆ การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเรือขนส่งที่จม ผู้บัญชาการสูงสุด ดไวต์ ดี ไอเซนฮาวร์ พบเหล่าทหารก่อนสงคราม ทหารสหรัฐรอการขึ้นบกที่หาดโอมาฮา ทหารอเมริกันในนอร์มังดีไม่นานหลังจากการบุกโจมตี เรือรบของอเมริกันเดินทางผ่านช่องแคบอังกฤษ …
-
Lewis Carroll ผู้แต่ง “อลิซท่องแดนมหัศจรรย์” ที่อาจจะมีอาการของ “โรคใคร่เด็ก”
“Alice’s Adventures in Wonderland” หรือที่เรารู้จักกันในนาม “อลิซท่องแดนมหัศจรรย์” เป็นนวนิยายที่เขียนเมื่อปี 1865 เกี่ยวกับ สาวน้อยที่ตกลงไปในหลุมกระต่ายจนได้พบกับเรื่องราวแฟนตาซีมากมาย ที่เขียนโดย Charles Lutwidge Dodgson หรือ “Lewis Carroll” เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยทราบเรื่องนี้มาก่อนว่า อลิซท่องแดนมหัศจรรย์นั้น ได้แรงบันดาลใจมาจาก Alice Liddell เด็กสาววัย 10 ขวบผู้เป็นหนึ่งในสามลูกสาวของเพื่อนของ Lewis ในระหว่างที่ไปพายเรือในปี 1858 Lewis ได้เล่าเรื่องของเด็กสาวที่มีเหมือนกับ Alice เพื่อฆ่าเวลากับเด็กทั้งสาม ก่อนที่ Alice จะบอกให้เขาเขียนเรื่องที่เล่าออกมา และกลายเป็นนวนิยายชื่อดังที่เรารู้จักกันนั่นเอง เด็กทั้งสามแห่งบ้าน Liddell ปัญหาคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความเอ็นดูต่อ Alice Liddell ที่ Lewis มีต่างหาก Lewis Carroll ในสมัยก่อนเคยเป็นช่างภาพมาก่อน และได้เคยขอร้องครอบครัว Liddell เพื่อถ่ายรูปลูกสาวทั้งสามของพวกเขา รูปที่ครอบครัว Liddell ดูนั้นไม่มีอะไรที่ผิดปกติมากมายนัก จนกระทั่งพวกเขาพบกับภาพของ Alice ที่แต่งตัวเหมือนขอทานเปลือยไหล่ และภาพวาดของเด็กสาวอีกคนนั่งเปลือยกายอยู่ริมทะเล จริงอยู่ว่าภาพเหล่านี้อาจจะถูกมองว่าเป็นผลงานทางศิลปะได้ แต่กลับกลายเป็นว่า Lewis ได้แอบเก็บภาพเปลือยของพี่สาวของ Alice…
-
เผยข้อมูล “โลงหินสีดำ” ที่อเล็กซานเดรีย หนึ่งในกระดูกเป็นผู้หญิง และพบจารึกทองสามแผ่น
ถ้ายังจำกันได้ เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมามีการขุดพบโลงหินสีดำในเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ และพบกับโครงกระดูกสามร่าง กับน้ำเสียสีน้ำตาลแดง (อ่านข่าวเก่าได้ที่ เปิดแล้ว!! โลงหินสีดำลึกลับในอเล็กซานเดรีย ท่ามกลางความหวาดกลัวคำสาปโบราณ) ล่าสุดนี้เองทางนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าของการตรวจสอบโลงหินที่ว่านี้แล้ว นี่เป็นโลงศพที่เชื่อกันว่ามาจากช่วงราชวงศ์ทอเลมี โดยถูกฝังเมื่อราวๆ 304-30 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นยุคสมัยที่ลูกหลานของแม่ทัพที่เป็นลูกน้องของอเล็กซานเดอร์มหาราช กำลังปกครองเมืองอเล็กซานเดรียอยู่ ตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิเคราะห์โครงกระดูกทั้งสามจากในโลงศพ และได้ค้นพบความรู้ใหม่ๆ อยู่หลายข้อ เรื่องแรกคือหนึ่งในสามกระดูกที่เป็นของหญิงสาวอายุประมาณ 20-25 ปี ซึ่งถูกฝังไว้กับร่างของชายสองคนที่มีอายุประมาณ 35-39 ปี และ 40-44 ปีในตอนที่ตาย ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือที่กะโหลกของหนึ่งในโครงกระดูกที่พบนั้นมีร่องรอยโดนเจาะเป็นรูปรากฏอยู่ โดยการเจาะกะโหลกในลักษณะนี่หมายความว่าเจ้าของโครงกระดูกเคยได้รับการรักษาที่เรียกกันว่า “Trepanation” (การเจาะรักษา) ซึ่งในสมัยก่อนเชื่อว่าจะสามารถรักษาอาการป่วยหลายๆ ชนิดได้ จริงอยู่ว่าการรักษาในรูปแบบนี้จะเกิดขึ้นมาเป็นเวลาค่อนข้างนานและพบเห็นได้บ่อยๆ ในหน้าประวัติศาสตร์ แต่ก็เป็นการรักษาที่พบได้ไม่บ่อยนักในอียิปต์โบราณ อย่างไรก็ตามการค้นพบที่สำคัญที่สุดในการวิเคราะห์โลงศพครั้งนี้อยู่ที่การค้นพบรูปวาดปริศนาบนแผ่นจารึกทองสามแผ่นในโลงศพต่างหาก โดยทั้งสามแผ่นมีรูปที่แตกต่างกันไปและเชื่อว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับโครงกระดูกทั้งสาม แผ่นแรกเป็นรูปของงู ซึ่งเป็นรูปที่ปรากฏขึ้นในอียิปต์โบราณอยู่บ่อยๆ เนื่องจากความเกี่ยวข้องกับการเกิดใหม่ (ลอกคราบ) และความเกี่ยวข้องกับเทวีไอสิส ภาพที่สองเชื่อกันว่าเป็นภาพของฝักข้าวโพดหรือไม่ก็ต้นปาล์ม ที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และการเกิดใหม่…
-
ชมฟอสซิล “มัมมี่ไดโนเสาร์” สมบูรณ์ที่สุดในโลก ยังมีทั้งผิวหนังและเครื่องในอยู่!!
เมื่อพูดถึงฟอสซิลไดโนเสาร์ ภาพในหัวของคนส่วนใหญ่ก็คงไม่พ้นโครงกระดูกขนาดใหญ่กันเป็นธรรมดา เพราะสิ่งที่มีชีวิตอยู่เมื่อกว่า 100 ล้านปีก่อน คงไม่น่าจะมีอะไรหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน แต่เชื่อหรือไม่ว่าบนโลกของเรานั้นมีฟอสซิลไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์แบบกว่านั้นมาก มันยังมีผิวหนังและเครื่องในอยู่เลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบมากจนแทนที่จะเรียกว่าฟอสซิล เจ้าไดโนเสาร์ตัวนี้น่าจะใกล้เคียงกับคำว่ามัมมี่มากกว่าเคยด้วยซ้ำ นี่คือฟอสซิลของไดโนเสาร์สายพันธุ์ “Borealopelta markmitchelli” โดยมันเป็นไดโนเสาร์กินพืชร่างหุ้มเกราะที่รู้จักกันในชื่อ Suncor Nodosaur จากยุคครีเทเชียสเมื่อประมาณ 110 ล้านปีก่อน Suncor Nodosaur เชื่อกันว่าในขณะมีชีวิตจะมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000 ปอนด์ (ราวๆ 1,360 กิโลกรัม) เลยทีเดียว โดยเจ้าฟอสซิลที่พบเองก็มีน้ำหนักถึง 2,500 ปอนด์ (ราวๆ 1134 กิโลกรัม) มันเป็นฟอสซิลของไดโนเสาร์ที่มีค้นพบในปี 2011 โดยเชื่อกันว่าเจ้าไดโนเสาร์น่าจะถูกพัดไปตามกระแสน้ำจนออกไปยังทะเล ก่อนที่จะจมลงไปตายที่ใต้ทะเลเพราะน้ำหนักของมัน เป็นไปได้ว่าพื้นโคลนใต้ทะเลในสมัยโบราณจะช่วยรักษาสภาพร่างของมันเอาไว้นั่นเอง ฟอสซิลที่พบนั้นมีความสมบูรณ์สูงมาก มันยังมีทั้งเนื้อหนัง ชิ้นส่วนเกราะ รวมทั้งเครื่องในบางส่วนอยู่ จนนักวิจัยบอกว่าการศึกษาฟอสซิลอันนี้เหมือนกับการได้ศึกษาไดโนเสาร์อย่างที่มันควรจะเป็นเลยทีเดียว ตั้งแต่ที่มีการค้นพบนักวิทยาศาสตร์ก็ใช้เวลาศึกษาร่างที่พบกว่า 6 ปี จนค้นพบทฤษฎีใหม่ๆ มากมายเกี่ยวกับไดโนเสาร์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือทฤษฎีที่ไดโนเสาร์อาจพรางตัวด้วยการเปลี่ยนสีผิวได้นั่นเอง ฟอสซิลที่พบถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Royal Tyrrell…
-
ชมภาพการนั่งเครื่องบินในช่วงยุค 50 ย้อนไปดูว่าครึ่งร้อยปีก่อน บนเครื่องเป็นอย่างไรกัน
ตั้งแต่ที่ Wilbur กับ Orville สองพี่น้องห่งตระกูล Wright สร้างเครื่องบินขึ้นมาในปี 1903 เวลาก็ผ่านล่วงเลยมานานเหลือเกิน การขึ้นเครื่องบินง่ายและราคาถูกลงทุกวัน จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คนในสมัยนี้จะหลงลืมความมหัสจรรย์ของการได้ขึ้นบินไปกันจนหมดแล้ว แต่นั่นไม่ใช่สำหรับในยุค 50 เพราะในช่วงนั้นการขึ้นเครื่องบินถือเป็นอะไรที่พิเศษมาก เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะขึ้นเครื่องบินได้ อีกทั้งค่าโดยสารยังค่อนข้างแพง ทำให้การบริการบนเครื่องบินนั้นดีแบบสุดๆ เลย ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงจะนำเพื่อนๆ ไปชมภาพการนั่งเครื่องบินในช่วงยุค 50 กัน ว่าเมื่อ 60 ปีก่อน ในเครื่องบินมันเป็นอย่างไรกัน เริ่มกันจากรูปร่างเครื่องบินในสมัยนั้นกันก่อน นี่คือ Douglas DC-6 เครื่องบินพาณิชย์ที่ค่าตั๋วพอรับได้ที่สุดในยุค 50 จะสังเกตุว่าในเครื่องมีเตียงด้วย ข้างในเครื่องดูกว้างใช้ได้เลย ที่นั่งสามารถเอนลงไปเป็นที่นอนเหมือนกับปัจจุบัน แต่จะเอนได้มากกว่า นอกจากนี้ยังมีที่นอนเหนือศีรษะด้วย (คล้ายๆ รถไฟ) ที่นอนที่ว่าเปิดออกมาจากเหนือศีรษะ ซึ่งปัจจุบันกลายเปนที่เก็บกระเป๋า มีผ้าม่านเพื่อความเป็นส่วนตัวด้วย นอกจากที่นั่งแล้วบนเครื่องยังมีเลานจ์ให้นั่งด้วย โดยในเลานจ์จะมีโซฟาให้นั่งหยียดแข้งเหยียดขา แถมยังมีบาร์แบบจัดเต็มให้ด้วย …
-
นักโบราณคดีเผย “การด่าแม่” เกิดขึ้นมานานแล้วในสังคมมนุษย์ ตั้งแต่ 3,500 ปีก่อน
เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะรู้ว่าการล้อเลียนบุพการี โดยเฉพาะการล้อเลียนมารดาของผู้อื่น นับเป็นการกระทำที่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสำหรับหลายๆ วัฒนธรรมในโลก โดยเฉพาะการล้อเลียนที่ออกไปในทางเรื่องเพศแล้วด้วย แต่เชื่อหรือไม่ว่าการล้อเลียนมารดานั้นเกิดขึ้นมานานกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่ในยุคเรเนซองส์ หรือยุคกลาง แต่ย้อนกลับไปนานถึง 1,500 ปีก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว นี่เป็นความรู้ที่นักโบราณคดีได้รับ จากการตรวจสอบแผ่นจารึกโบราณซึ่งอายุมากกว่า 3,500 ปี ที่มีการขุดพบในอิรักเมื่อปี 1976 โดยนี่เป็นการผลงานการแปลของ J.J. van Dijk นักโบราณคดีผู้ขุดพบแผ่นจารึกโบราณ ก่อนที่แผ่นหินจะสูญหายไปในภายหลังนั่นเอง Dijk บอกในงานวิจัยของเขาว่าบนแผ่นหินนั้นมีการสลักข้อความที่ค่อนข้างไร้สาระเอาไว้มากมาย จนมีความเป็นไปได้สูงว่าผู้คงมือสลักข้อความน่าจะเป็นเด็กนักเรียนชาวบาบิโลนในสมัยก่อน โดยเป็นการเขียนในภาษาอัคคาเดีย ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันในสมัยนั้น ดูเหมือนว่ากว่าครึ่งของข้อความบนแผ่นหินจะเป็นปัญหาลับสมอง หรือปริศนาเชาว์ ซึ่งทำให้เราทราบว่าคนในสมัยก่อนก็มีความรู้ในการทำปริศนาและการอุปมาอุปมัยเช่นกัน แต่ที่น่าสนใจที่สุดอยู่ที่ปริศนาเชาว์ข้อหนึ่งซึ่งหากแปลตรงๆ จะได้ว่า “….คือคนที่มีอะไรกับแม่แก เขาคือใคร/มันคืออะไร” (…of your mother is by the one who has intercourse with her. What/who is…
-
เชิญชมหนังสือโบราณจากเยอรมัน เปิดได้ 6 แบบ เพื่อเป็นหนังสือที่ต่างกัน 6 เล่ม!!
ในภาพยนตร์หรือนิยายที่เกี่ยวกับการสืบสวนหรือเรื่องลี้ลับ เราอาจจะเคยได้พบกับหนังสือต้องใช้การอ่านแบบพิเศษถึงจะได้เนื้อเรื่องที่เราต้องการมาบ้าง บางครั้งอาจจะเป็นอะไรง่ายๆ อย่างการอ่านเฉพาะตัวอักษรตัวแรกของบรรทัดหรือยากขึ้นมาหน่อยก็อาจจะเป็นการเปิดหนังสือแบบพิเศษ แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าหนังสือที่สามารถเปิดอ่านได้หลายแบบเช่นนั้นมีอยู่จริงๆ บนโลก แถมยังมีการทำขึ้นมานานมากแล้วอีกด้วย นี่คือหนังสือพิเศษสัญชาติเยอรมันที่ทำออกมาในศตวรรษที่ 16 ซึ่งมีความพิเศษตรงที่สามารถเปิดอ่านได้ถึง 6 แบบ ออกมาเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาต่างๆกันไปหกเล่มเลยทีเดียว!! หนังสือที่เปิดอ่านในรูปแบบนี้เรียกกันว่า “Dos-à-Dos” หรือ “Back-to-Back” ซึ่งเป็นหนังสือที่จัดรูปเล่มออกมาหลังชนหลังกันทำให้อ่านได้หลายแบบ อย่างไรก็ตามโดยมากแล้วหนังสือแบบ Dos-à-Dos จะมีวิธีเปิดอ่านเพียงแค่สองแบบเท่านั้น หนังสือเล่มนี้ถูกยึดติดกันด้วยขอเกี่ยวโลหะ และการอ่านหนังสือแต่ละเล่มจะทำได้โดยการปลดขอเกี่ยวที่จำเป็นในการเปิดหนังสือด้านนั้นๆ ออก ซึ่งนับเป็นงานฝีมือที่หายากมากๆ จากสมัยโบราณเลยก็ว่าได้ โดยในหนังสือเล่มนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาที่เคยมีการตีพิมพ์ในเยอรมันในช่วงปี 1550-1570 เช่นบทความของ Martin Luther และ Der kleine Catechismus ซึงแม้ว่าการจัดพิมพ์แบบพิเศษจะทำให้หนังสือเล่มนี้อ่านได้ยากอยู่บ้างแต่ก็นับว่าเป็นงานฝีมือที่ยอดเยี่ยมมากๆ เช่นกัน ซึ่งหากเพื่อนๆ สนใจอยากเดินทางไปดูหนังสือเล่มดังกล่าวด้วยตัวเอง ในปัจจุบันหนังสือเล่มนี้ได้รับการเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติสวีเดน ที่มา canyouactually, laughingsquid และ erikkwakkel
-
17 แฟชันยอดนิยมในโลกยุคอดีต ที่นอกจากจะแปลกแล้ว บางอันก็ดูอันตรายอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยไหน คนเราก็วิ่งตามหาความงดงามของหน้าตาและร่างกายอยู่เสมอ ไม่ว่าใครก็คงอยากดูดี จะสวยจะหล่อหรือว่าเท่ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละคน ด้วยเหตุนี้เองคนเราเลยมักจะวิ่งตามแฟชันอยู่เสมอๆ โดยที่ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าแฟชันในยุคที่ตัวเองอยู่นั้นอาจจะถูกมองว่าแปลกจากคนยุคอื่นก็เป็นได้ เหมือนอย่าง 17 แฟชันที่เคยดังในอดีต แต่ในปัจจุบันดูยังไงก็แปลก แถมบางอันยังอันตรายอีกด้วยต่อไปนี้ ผู้หญิงยุคเรอเนซ็องส์อยากหัวเถิก หน้าผากโค้งขนาดใหญ่เป็นความงามของผู้หญิงในสมัยนั้น ดังนั้นสาวๆ บางคนยังถึงกับจงใจดึงแนวผมตัวเองไปด้านหลัง เพื่อให้หัวเถิกเลยด้วย การทาสีที่ขาเป็นที่นิยมในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในสงครามโลกครั้งที่สองถุงน่องไนลอนเป็นที่ขาดแคลน สาวๆ จึงมักทาสีขาให้เหมือนถุงน่องไนลอนแทน คนจีนโบราณชอบเท้าเล็ก เรียกกันว่า “เท้าดอกบัว” ทำได้โดยการรัดเท้าสตรีตั้งแต่ยังเด็กๆ จนกระดูกและรูปร่างของเท้าผิดรูปไปนั่นเอง ชาวมายาโบราณจะดัดรูปร่างกะโหลกศีรษะ ทำได้โดยการใช้เครื่องมือกดศีรษะของทารก เชื่อกันว่าเป็นเทรนด์ความงามในช่วง 1000 ปีก่อนคริสตกาลนั่นเอง ชาวจีนยุคราชวงศ์ชิงชอบไว้เล็บยาว เป็นสัญลักษณะของคนที่ร่ำรวยไม่ต้องทำงาน ช่วงยุคกลางผู้ชายชอบโชว์น่อง ดูเหมือนจะคล้ายๆ ที่สมัยนี้ชอบโชว์กล้ามนั่นเอง สาวๆ ยุคเรอเนซ็องส์ต้องไม่มีขนตา การมีขนบนตัวไม่ใช่เรื่องที่ดีของสาวๆ ในยุคกลางและเรอเนซ็องส์ เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของการมีความรู้สึกเรื่องเพศมากเกินไป จึงจะพบเห็นพวกเธอถอนขนตาอยู่บ่อยๆ ผู้หญิงญี่ปุ่นทาฟันดำ ในสมัยก่อนผู้หญิงญี่ปุ่นจะทาฟันดำเมื่อแต่งงาน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความงามและความมุ่งมั่นในการสมรส ในศตวรรษที่ 18…
-
6 กษัตริย์มีชื่อในอดีต ที่มีสาเหตุการตายสุดแสนจะไม่สมศักดิ์ศรี บทจะตายก็ตายแบบนี้เนี่ยนะ
ว่ากันว่าคนเราเมื่อถึงเวลาที่จะต้องตาย ต่อให้แค่ไม้จิ้มฟันแทงเหงือกก็ตายได้ ไม่ว่าจะเป็นใครยิ่งใหญ่มาจากไหน เมื่อถึงเวลาที่จะตาย บางครั้งความตายที่ว่าก็มาในรูปแบบที่ไม่เข้ากับฐานะเป็นอย่างยิ่งได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับเหล่าผู้มีชื่อเสียงในอดีตที่มีสาเหตุการตายสุดแสนจะไม่เข้าท่า ไม่สมศักดิ์ศรีเอาเสียเลย บทจะตายก็ตายกันแบบนี้เลยเนี่ยนะ Sigurd Eysteinsson โดนฟันปักขา Sigurd เป็นผู้นำของไวกิ้งที่ปกครองหมู่เกาะออร์คนีย์ของสกอตแลนด์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 9 เขาเป็นนักรบมากฝีมือผู้ที่สามารถตัดหัวของ Maelbrigt เอิร์ลแห่งสก็อตได้สำเร็จ ปัญหาคือระหว่างนำหัวของศัตรูกลับไปนั่นเอง แรงสะเทือนของม้าดันทำให้ฟันของ Maelbrigt ปักเขาใส่ขาของ Sigurd ทำให้เขามีอาการติดเชื้อจนเสียชีวิตเสียอย่างนั้น Adolf Frederick กินมากเกินไป Adolf Frederick คือกษัตริย์แห่งสวีเดนครองบัลลังก์ตั้งแต่ปี 1751-1771 แต่แล้วในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1771 Adolf Frederick กลับต้องมาเสียชีวิตไปด้วยอาการอาหารไม่ย่อย จากการที่เขาทานอาหารชุดใหญ่ บวกกับขนมอบแบบนอร์ดิกอีกสิบสี่ชิ้นในวันนั้น Henry I กินปลาไหล กษัตริย์ Henry I ปกครองอังกฤษด้วยอำนาจและกฏเหล็ก อย่างไรก็ตามเขาเคยถูกหมอสั่งห้ามไม่ใช้ทานปลา “Lamprey” ปลาดูดเลือดที่มีลักษณะคล้ายปลาไหลเด็ดขาด โชคร้ายที่เขาไม่ยอมฟังที่หมอพูด และทานปลา Lamprey เข้าไปเป็นจำนวนมากในปี 1135 จนสุขภาพเขาแย่ลงอย่างมาก และเสียชีวิตลงในปีนั้น Charles VIII หัวโขกขอบประตูตาย Charles VIII…
-
5 ผู้นำสุดโหดในอดีตที่ไม่ใช่ ฮิตเลอร์ หรือ สตาลิน เพราะโลกมีผู้นำสุดโหดมานานกว่านั้น
เมื่อพูดถึงผู้นำที่โหดร้ายที่สุดในอดีต เชื่อว่าสำหรับหลายๆ คนแล้วคงไม่พ้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์, โจเซฟ สตาลิน หรือไม่ก็เบนิโต มุสโสลินี แต่บนโลกของเรามีผู้นำที่โหดร้ายมานานกว่านั้นมาก ดังนั้น ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาไปชม 5 ผู้นำที่โหดร้ายที่สุดในอดีตก่อนยุค 1930 มาดูกันดีกว่าว่าใครบ้างที่ถูกประวัติศาสตร์ยกให้เป็นผู้นำที่โหดร้ายที่สุด เจงกีสข่านผู้นำแห่งเผ่ามองโกล หากคุณพบกับกองทัพมองโกลนั่นหมายความว่าหายนะได้มาเยือนเมืองแล้ว หากโชคดีคุณอาจจะได้รับทางเลือกให้เข้าร่วมกับมองโกล แต่ถ้าไม่ เมืองของคุณก็จะหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ตลอดกาล ด้วยเหตุนี้เองทำให้ตลอดชีวิตของเจงกีสข่านเขาสังหารคนไปมากกว่า 40 ล้านคน หรือ 11% ของคนทั้งโลกเลยนั่นเอง ตีมูร์อีแลง หรือติมูร์ ติมูร์ มีชีวิตอยู่ในปี 1336 ถึง 1405 เขาเป็นขุนศึกที่มีเชื้อสายผสมระหว่างมองโกลและเติร์ก มีชื่อเสียงด้านความ “ไม่ปราณี” จนขนาดที่ว่านักประวัติศาสตร์คาดว่าผู้คนจำนวนกว่า 17 ล้านคนล้มตายเนื่องจากการพิชิตเอเชียตะวันตกและเอเชียกลางของติมูร์เลยทีเดียว นอกจากนี้ติมูร์ยังถูกเชื่อว่าเคยตัดหัวศัตรูในกรุงแบกแดดเพื่อสร้างเป็นหอคอยกระโหลกอีกด้วย วลาดที่ 3 ต้นกำเนิดตำนานแห่งแวมไพร์ วลาดที่ 3 ได้รับชื่อเล่นว่า วลาดนักเสียบ ที่แม้ว่าจะได้รับชื่อว่าเป็นวีรบุรุษแห่ง Walachian (โรมาเนียในปัจจุบัน) ก็ตาม แต่เขาคือฝันร้ายของคนชาติอื่นเลยก็ไม่ผิดนัก ผลงานของเขามีทั้งการรบยามราตรี ฆาตกรรมหมู่ แยกชิ้นส่วนหรือถลกหนังเหยื่อทั้งเป็น และที่สำคัญที่สุด “การเสียบประจาน”…
-
9 เรื่องไม่น่าเชื่อเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ไม่มีสอนในห้องเรียน แต่น่าสนใจสุดๆ
สงครามโลกครั้งที่สองนับว่าเป็นเหตุการณ์ใหญ่โตที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่สงครามครั้งนี้เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่คนเราได้เรียนในห้องเรียนมากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าพวกเราจะรู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับสงครามโลกแล้ว เพราะมันมีความรู้มากมายอยู่ที่ไม่ได้ถูกสอนในห้องเรียน เหมือนกับเรื่องไม่น่าเชื่อเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองต่อไปนี้ ที่ไม่ใช่แค่ไม่มีสอนในห้องเรียน แต่ยังแปลกและน่าสนใจสุดๆ ไปเลย!! ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีนักบินกามิกาเซ่เพียงประมาณ 1 ใน 9 เท่านั้น ที่พุ่งชนเป้าหมายได้สำเร็จจริงๆ จากข้อพิพาทหมู่เกาะคูริล ทำให้ญี่ปุ่นและรัสเซียไม่ได้เซ็นสัญญาสงบศึกกันตอนจบสงครามโลกครั้งที่สอง ควีนอลิซาเบธที่สอง เคยทำหน้าที่เป็นช่างและคนขับรถมาก่อน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง John R. McKinney ได้รับเหรียญกล้าหาญจาการหยุดกองทัพญี่ปุ่นที่มีทหารกว่า 100 นาย ด้วยตัวคนเดียว นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างการบุกยึดฟิลิปปินส์คืนมาจากญี่ปุ่นในปี 1945 จำนวนชาวจีนที่เสียชีวิตในในสงครามโลกครั้งที่สองมีมากกว่าชาวยิวในช่วงที่ถูกพันธุฆาตเสียอีก จำนวนชาวจีนที่เสียชีวิตคาดการไว้อยู่ที่ประมาณ 20 ล้านคน ส่วนชาวยิวคาดกันว่าเสียชีวิตราวๆ 6 ล้านคน หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่สองวินสตัน เชอร์ชิลล์ก็แพ้การเลือกตั้งในปี 1945 Nicholas Alkemade พลปืนของเครื่องบินกองทัพอากาศอังกฤษตกลงจากจากความสูงกว่า 5,500 เมตร แต่กลับรอดชีวิต ตอนที่ฮิตเลอร์ไปเยี่ยมชมปารีสในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวฝรั่งเศสได้ทำการตัดสายเคเบิลของลิฟต์ที่หอไอเฟล เพื่อที่ว่าหากฮิตเลอร์อยากไปชมหอไอเฟลเขาจะต้องเดินขึ้นบันไดไป ฮิตเลอร์อาจเคยว่าแผนจะสร้าง…
-
35 ภาพถ่ายสะเทือนอารมณ์ในประวัติศาสตร์ โลกของเราได้ผ่านเรื่องเศร้ามามากเหลือเกิน
ว่ากันว่ารูปภาพใช้แทนคำพูดได้นับพัน และเป็นหลักฐานจากสมัยก่อนที่สื่ออารมณ์ความรู้สึกออกมาได้ดีที่สุด บ่อยครั้งที่เรามองดูภาพจากสมัยก่อนและน้ำตาไหลหรือรู้สึกหดหู่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะเบื้องหลังรูปที่เราเห็นนั้น มันช่างสะเทือนอารมณ์เสียยิ่งกว่าอะไร แต่ในขณะเดียวกันก็ตีแผ่โลกใบนี้ออกมาได้อย่างเจ็บแสบเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง ในคราวนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะนำเพื่อนๆ ไปชม 35 ภาพถ่ายสุดสะเทือนอารมณ์จากประวัติศาสตร์ ที่จะทำให้เพื่อนๆ ทราบว่ากว่าจะมาเป็นทุกวันนี้ โลกของเราผ่านเรื่องเศร้ามามากเหลือเกิน สายลับรัสเซียหัวเราะก่อนจะถูกประหารชีวิตในฟินแลนด์ 1942 ชาวยิวคนสุดท้ายใน Vinnitsa 1941 สีหน้าทหารเยอรมันระหว่างดูภาพวิดีโอของค่ายกักกัน 1945 Georges Blind สมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มต่อต้านของชาวฝรั่งเศส ยิ้มให้กับทหารเยอรมัน 1944 ทหารเยอรมันกลับมาบ้าน เพียงเพื่อที่จะพบว่าครอบครัวของเขาไม่อยู่ที่นั่นแล้ว 1946 เด็กชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งยืนตรงในระหว่างแบกน้องชายที่ตายไปเผา 1945 ภาพความตายของทหารสหัฐฯ ภาพแรกที่ออกสู่สายตาประชาชน 1943 “ท้าทายจนถึงท้ายที่สุด” ชาวเยอรมันผู้สนับสนุนคอมมิวนิสต์ถูกประหารชีวิตในมิวนิค 1919 ชายว่างงานในยุค 1930 นักบวชและทหารที่กำลังจะตาย 1962 Hans-Georg Henke…
-
Petrus Gonsalvus ประวัติศาสตร์ครอบครัว “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” บนโลกแห่งความจริง
เชื่อว่าในสมัยเด็กหลายๆ คนน่าจะเคยได้ยินเรื่อง “Beauty And The Beast” หรือ โฉมงามกับเจ้าชายอสูร กันมาบ้าง นี่เป็นเรื่องราวของความรักระหว่างสัตว์ร้ายกับหญิงรูปงาม ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังจากเวอร์ชันของ Gabrielle-Suzanne Barbot de Villeneuve ในปี 1740 และโด่งดังขึ้นอีกครั้งจากผลงานของ Disney ในปี 1991 ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าบนโลกจริงๆ ของเราก็มีเรื่องราวคล้ายๆ กับเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูรอยู่เช่นกัน นี่คือเรื่องราวของ Petrus Gonsalvus ชายหนุ่มผู้ที่เกิดมาในปี 1537 ในเตเนริเฟ่ หนึ่งในหมู่เกาะคานารี่พร้อมกับ “โรคมนุษย์หมาป่า” หรือ Hypertrichosis กลุ่มอาการที่ทำให้ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยขนยาวรุงรัง Petrus เกิดมาในฐานะของทาส และถูกมอบให้กับกษัตริย์เฮนรีที่ 2 แห่งฝรั่งเศสในตอนที่เขาอายุได้เพียง 10 ปี ซึ่งนับเป็นโชคดีมากของ Petrus ที่เฮนรีที่ 2 สนใจในตัวเขามากจึงไม่ได้ขังเขาไว้ในกรงเหมือนสัตว์เลี้ยง กลับกันเฮนรีที่ 2 ได้จัดการเรียนสอนการเป็นผู้ดี ภาษา หรือแม้แต่การสงครามให้แก่ Petrus จนทำให้เขามีความรู้มากกว่าชนชั้นสูงบางคนเสียอีก ซึ่งในช่วงนี้เองที่ Petrus ได้พบกับหญิงสาวรูปงามนามว่า แคทเธอรีน พวกเขาตกหลุมรักกัน และมีลูกด้วยกันหลายคนหลังจากนั้น…
-
พบหลักฐานโดยตรงของการมีอยู่ของเบียร์ เก่าแก่กว่า 2,500 ปี จากยุคเมโสโปเตเมีย
ว่ากันว่าเบียร์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีมาตั้งแต่ก่อนพระเจ้าฮัมมูราบีแห่งบาบิโลน (ประมาณ 1,810 – 1,750 ปีก่อนคริสตกาล) นั่นทำให้เบียร์เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากในอารยธรรมเมโสโปเตเมีย แต่ถึงอย่างนั้นที่ผ่านมากลับไม่เคยมีการค้นพบหลักฐานโดยตรงของการมีอยู่ของเบียร์จริงๆ มาก่อนเลย แต่แล้วเรื่องราวเหล่านี้ก็เปลี่ยนไป เพราะเมื่อไม่นานมานี้เองได้มีการค้นพบเบียร์ที่มีอายุกว่า 2,500 ปี ซึ่งถือเป็นหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของเบียร์ที่มนุษย์เคยมีการค้นพบเลยทีเดียว นี่เป็นการค้นพบที่เกิดจากเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้เหล่านักโบราณคดีสามารถตรวจสอบหาร่องรอยของเบียร์ในภาชนะโบราณที่ทำจากเซรามิคได้ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาสามารถค้นพบร่องรอยสารเคมีของเบียร์ในสมัยเมโสโปเตเมียได้ โดยเจ้าร่องรอยของเบียร์ที่เก่าแก่ที่สุดนั้น อยู่บนภาชนะโบราณอายุ 2,500 ปี ที่มีการขุดพบใน เคอร์ดิสถาน ซึ่งอยู่ทางเหนือของอิรัก Claudia Glatz วิทยากรอาวุโสด้านโบราณคดีที่มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ เล่าว่าในภาชนะเซรามิคโบราณเหล่านี้ นอกจากจะมีการค้นพบร่องรอยสารเคมีอันเป็นเอกลักษร์ของเบียร์แล้ว ยังมีการค้นพบร่องรอยทางเคมีของข้าวบาเลย์อีกด้วย ทำให้เบียร์ที่พบเป็นเบียร์ข้าวบาเลย์นั่นเอง อย่างไรก็ตามทีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่เบียร์จะมีความเก่าแก่มากกว่านั้น เพราะในอารยธรรมเมโสโปเตเมียได้มีหลักฐานของการมีอยู่ของเบียร์ในตำราบัญชีเก่าแก่ที่มีการค้นพบ หรือแม้กระทั่งใน “มหากาพย์กิลกาเมช” บทกวีที่นับเป็นผลงานวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย Glatz บอกว่าเบียร์เป็นมากกว่าเพียงเครื่องดื่มในยุคเมโสโปเตเมีย “มันเป็นสิ่งที่ทุกคนดื่ม แต่กลับมีความสำคัญทางสังคมในการทำพิธีกรรม มันเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นตัวตนของยุคเมโสโปเตเมียในหลายๆ ด้านได้เป็นอย่างดีเลย” ว่ากันว่าเบียร์เป็นเครื่องดื่มที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่สมัยที่คนเรารู้จักการถนอมอาหาร และอยู่มานานมากกว่า 6,000 ปีแล้ว ดังนั้นไม่แน่เหมือนกันว่าเราอาจจะได้พบกับอารยธรรมโบราณ ที่มีความเกี่ยวข้องกับเบียร์เพิ่มขึ้นอีกในอนาคตก็เป็นได้ …
-
นักวิทยาศาสตร์ไขปริศนา เหตุผลที่ “อารยธรรมเผ่ามายา” ล่มสลาย เกี่ยวข้องกับน้ำฝน!!
อารยธรรมเผ่ามายาจัดว่าเป็นอารยธรรมที่มีความน่าสนใจมากที่สุดอันหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างอันมีเอกลักษณ์ วัฒนธรรมที่ไม่เหมือนใคร และปริศนามากมายที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผยของพวกเขา อย่างเรื่องที่ว่าทำไมอารยธรรมมายาที่ยิ่งใหญ่ถึงได้ล่มสลายไปได้ แต่เมื่อไม่นานมานี้เองหนึ่งในปริศนาที่ยิ่งใหญ่ของการล่มสลายของเผ่ามายา ก็ได้รับการคลี่คลายโดยเหล่านักวิทยาศาสตร์แล้ว โดยเหตุผลที่เผ่ามายาต้องล่มสลายนั้น ก็เกี่ยวข้องกับฝนนั่นเอง อารยธรรมเผ่ามายาตั้งอยู่ในสถานที่ซึ่งกลายเป็นสาธารณรัฐกัวเตมาลาในปัจจุบัน เชื่อกันว่ามีอำนาจมากที่สุดในศตวรรษที่หก ก่อนที่จะหายไปอย่างลึกลับในปีคริสต์ศักราช 900 ทิ้งไว้เพียงซากเมืองที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้เองเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบกับหลักฐานอย่างดีของหตุผลที่เผ่ามายาต้องล่มสลาย ซึ่งก็คือการที่ไม่มีฝนตกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน นำมาซึ่งภัยแล้งรุนแรงนั่นเอง กุญแจสำคัญที่ช่วยให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ไขปริศนาในครั้งนี้ได้คือไอโซโทปของออกซิเจนและไฮโดรเจนในทะเลสาบ Chichancanab ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับอาณาจักรของเผ่ามายา โดยการวิเคราะห์ไอโซโทปเหล่านี้ จะทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถรับรู้ถึงสภาพภูมิอากาศในสมัยก่อนได้ จากผลการตรวจสอบในครั้งนี้เองทำให้เราทราบว่าในช่วงที่เผ่ามายาล่มสลายไปนั้นมีการลงลดของน้ำฝนมากถึง 41-54% แถมยังเป็นการลดลงของน้ำฝนที่กินเวลานานกว่า 400 ปีอีกด้วย นั่นทำให้ปริมาณความชื้นในพื้นที่ลดลง 2-7% ซึ่งส่งผลโดยตรงกับพืชผลทางเกษตรของเผ่ามายา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะคิดว่าการลดลงของแหล่งน้ำและอาหารจะนำมาซึ่งการล่มสลายของอารยธรรมเผ่ามายา แม้ว่าการลดลงของน้ำฝนที่พบจะไม่มีที่ไปที่มาที่แน่นอน แต่จากงานวิจัยก่อนๆ ก็ทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่าของชนเผ่ามายาเอง หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงในการหมุนเวียนของบรรยากาศโลก ที่ทำให้การเกิดฝนตกลดลง นั่นทำให้แม้ว่าจะมีการค้นพบครั้งใหม่ขึ้นมา การล่มสลายของเผ่ามายาก็ยังคงมีปริศนาเหลืออยู่อีกมากอยู่ดีนั่นเอง ที่มา allthatsinteresting, sciencemag, iflscience, nytimes
-
ส่อง 18 ภาพแฟชั่นในยุค ‘1970s’ สุดวินเทจแสนจะฮิปสเตอร์ เห็นแล้วอยากแต่งตามเลยเนี้ย…
เรื่องของสไตล์การแต่งตัวแฟชันต่างๆ ถ้าจะให้ดูฮิปดูคูลแบบสุดๆ แล้ว ก็ต้องแต่งตามเทรนด์ในช่วงนั้นๆ ว่ามีอะไรกำลังฮิตกำลังเป็นกระแสอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ แต่รู้ไหมว่าในช่วงยุค 1970s กระแสการแต่งตัวเป็นยังไง สงสัยกันล่ะสิว่ามันจะดูย้อนยุควินเทจมีความฮิปสเตอร์ได้ขนาดไหนกัน ถ้าอย่างนั้นลองไปดูผลงานของช่างภาพนาม Evert Ardensson ที่ได้บันทึกภาพเหล่านี้เอาไว้กันดีกว่า ภาพถ่ายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นภาพที่ถ่ายขึ้นในเมือง Huskvarna ประเทศสวีเดนทั้งสิ้น ไปลองดูกันดีกว่าว่าแฟชั่นในยุคนั้นเป็นยังไงจะมีอะไรให้เราน่าเลียนแบบมาใส่ในตอนนี้บ้าง ไม่รู้ว่ารถกับคนอันไหนจะเฟี้ยวฟ้าวกว่ากัน หยั่งกับหลุดออกมาจากในหนังแน่ะ ฮิปสเตอร์สมัยนี้หลบไป นี่ของจริง!! พาลูกพาหลานออกมาเดินเล่นยังคูลได้แบบสุดๆ สวยสมสมัย ขาม้านี่อยู่ทุกยุคทุกสมัยจริงๆ คอเต่าก็มา ฮั่นแน่ มีสวีท มาเป็นแก๊งอ่ะ รถก็สวยคนก็หล่อ โอ๊ยย ดูดีทั้งพ่อทั้งลูกเลย เอ้า นี่แหละคำกล่าวที่ว่า ‘เก๋ามาตั้งแต่รุ่นพ่อ’ ทรงผมนี้ตัวเธอได้แต่ใดมา เห็นแล้วคิดถึงหนังมาเฟียขึ้นมาทันที สู้กล้องหน่อยสิลูก ภาพนี้ต้องบอกว่าเท่สุดๆ เท่เกิ๊น รับขนมจีบ ซาลาเปาไหมคะ?…
-
22 ภาพชีวิตในค่ายกักกันของนาซีช่วงสงครามโลก สถานที่แห่งความโหดร้ายที่โลกไม่เคยลืม
เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวความโหดร้ายของพรรคนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกันมาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสังหารชาวยิวในค่ายกักกัน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่ในสมัยนั้นการถ่ายภาพได้เริ่มเป็นที่แพร่หลายแล้ว ทำให้ภาพความโหดร้ายเหล่านี้ถูกบันทึกไว้มากมายตลอดช่วงสงคราม และกลายเป็นหลักฐานชี้ให้เห็นถึงความโหดร้ายของพรรคนาซีได้เป็นอย่างดี ดังนั้นในวันนี้เราจะไปชม 22 ภาพชีวิตในค่ายกักกันของพรรคนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มากดูกันดีกว่าว่าสถานที่แห่งความโหดร้ายนั้น มีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง ภาพลับของหน่วย Sonderkommando นี่เป็นภาพของเหล่าหญิงสาวที่ถูกพาไปห้องยังห้องรมแก๊ส เหล่านักโทษที่ได้รับการปล่อยตัวจากที่ค่ายกักกัน Mauthausen ประเทศออสเตรีย รถไฟไปค่ายกักกัน Treblinka ผู้โดยสารเกือบทั้งหมดถูกรมแก๊สหลังจากนั้น ผู้หญิงและเด็กที่ถูกเลือกให้ตาย พวกเธอกำลังรอเวลาถูกพาไปประหารที่ห้องรมแก๊สใกล้ๆ นั่นเอง หญิงชราและเด็กกำลังเดินไปสู่ความตายในห้องรมแก๊ส ผู้หญิงและเด็กรออยู่ใกล้ๆ โรงเผาศพ กำแพงประหาร ในค่ายกักกันเอาชวิทซ์ ผู้มาใหม่ที่เลือกเดินไปอาบน้ำจะรอด ส่วนบรรดาผู้ที่ถูกขอให้รอรถบรรทุกมารับถูกฆ่า ผู้สูงอายุมักถูกมองว่าไม่เหมาะสำหรับการใช้แรงงานและมักถูกลงโทษทันทีที่มาถึง ชาวยิวฮังการีราว 500,000 คนถูกพาไปยังค่ายกักกันเอาชวิทซ์ ส่วนใหญ่จะถูกสังหารทันทีหลังจากไปถึง ผู้คุมของเอาชวิทซ์กำลังเพลิดเพลินกับเวลาว่าง เจ้าหน้าที่นาซีจำนวนมาก คนที่ยืนแถวหน้าสุดเกือบทั้งหมดโดนประหารด้วยการแขวนคอเมื่อจบสงคราม หมอของ Schutzstaffel (SS) ในเอาชวิทซ์ Irma…
-
5 ภาพน่าสนใจจากอดีตพร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์ มาชมเรื่องราวก่อนจะมาเป็นปัจจุบันกันเถอะ
ประวัติศาสตร์เป็นสื่งที่คอยค้ำจุนปัจจุบัน หากไม่มีอดีตก็อาจจะไม่มีพวกเราในทุกวันนี้ นั่นคือเหตุผลให้คนเราสนใจในประวัติศาสตร์ เพราะเรื่องราวก่อนที่จะมาถึงยุคของเรานั้น มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้เองในครั้งนี้ #เหมียวศรัทธา จึงได้นำเอาภาพจากในอดีตมาให้เพื่อนๆ ได้ชม พร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับรูปเหล่านี้ การฝึกยิงปืนของทหารเยอรมัน นี่เป็นภาพที่ถูกถ่ายไว้ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมันเมื่อปี 1935 โดยนี่ไม่ใช่เป็นเพียงการฝึกยิงปืนของทหารม้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำให้ม้าที่ใช้ในสงครามเคยชินกับเสียงปืนจะได้ไม่วิ่งหนีไปในการรบ แต่ตามปกติแล้วทหารจะไม่ยืนสองขาบนม้าเลยแบบนี้ พวกเขามักจะปล่อยเท้าข้างหนึ่งไว้ที่โกลนมากกว่า กองไฟจากถัง นี่เป็นภาพของถังจำนวนมากที่มีสิ่งที่น่าจะเป็นธงอยู่ด้านบน นี่เป็นภาพที่ถ่ายมาจากงานที่จัดขึ้นทุกๆ วันที่ 4 กรกฎาคม ในยุค 1920 เชื่อกันว่ากองไฟที่เห็นมาจากในงานที่ Gallows Hill ในแมสซาชูเซต ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยถังเหล่านี้จะถูกจุดไฟเผา และลุกไหม้เป็นชั่วโมงๆ ภายในงานนั่นเอง การลอบสังหารที่ออกโทรทัศน์ นี่เป็นการการลอบสังหาร นายอิเนจิโร อาซานุมะ นักการเมืองของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1960 นายอิเนจิโรค่อนข้างที่จะใกล้ชิด และสนับสนุนคอมมิวนิสต์จีนในสมัยสงครามเย็น จนเป็นเหตุให้ถูกสังหารด้วยดาบสั้นโดยนายโอโตยะ ยามากุชิ จากสมาคมคนรักชาติในระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยออกรายการสด ก่อนที่ผู้ลงมือจะฆ่าตัวตายในสัปดาห์ต่อมา ครอบครัวนิวเคลียร์ นี่เป็นภาพของครอบครัวในเนวาดากำลังดูการทดลองนิวเคลียร์จากในบ้านเมื่อปี 1953 ในสมัยนั้นประชาชนยังไม่ทราบถึงอันตรายของกัมมันตภาพรังสีจากการระเบิด โดยมีข่าวลือบางแห่งอ้างว่ามีหลักฐานว่ารัฐฯ ปิดบังข้อมูลความอันตรายของกัมมันตภาพรังสี เพื่อป้องกันการโต้เถียงจากฝั่งประชาชนด้วย การค้าทารก…
-
20 ภาพชีวิตของคนในสหภาพโซเวียต ด้านหนึ่งของโซเวียตที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อน
สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Union of Soviet Socialist Republics หรือ USSR) เป็นหนึ่งในรัฐสังคมนิยมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1917 ก่อนที่จะล่มสลายไปในปี 1991 ถึงอย่างนั้นเรื่องราวของชีวิตคนในสหภาพโซเวียตนอกจากในสงครามกลับเป็นเรื่องที่ไม่คอยจะปรากฏให้เห็นมากนัก ภาพของชีวิตของคนในสหภาพโซเวียตในสายตาของหลายๆ คน มักจะแลดูมืดมัว ยากจน ความเป็นอยู่แย่ หรือสะท้อนให้เห็นถึงความทรุดโทรม แต่มันจะเป็นเช่นนั้นเสมอไปจริงๆ หรือ? ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปพบกับอีกด้านหนึ่งของชีวิตความเป็นอยู่ในสหภาพโซเวียต ที่เพื่อนๆ อาจไม่เคยเห็นมาก่อนก็เป็นได้ การประกวดความงามครั้งแรกของสหภาพโซเวียตสหภาพโซเวียต 1988 นักเรียนของโรงเรียนในมอสโคว์ 1991 การสอบใบขับขี่ 1969 ร้านเป๊ปซี่ ฤดูร้อน 1989 ชายคนหนึ่งซื้อแฟนต้า ตอนมันมาถึงสหภาพโซเวียตครั้งแรกในปี 1979 การเรียนคอมพิวเตอร์ ในโรงเรียนที่หมู่บ้าน Chkalovski 1985 คนต่อคิวเข้าแมคโดนัลด์เจ้าแรกที่มอสโก ลีฮาร์วีย์ออสวอลด์กับคนงานในโรงงานที่มินสค์ ประเทศเบลารุส 1960 เด็กชายกับโปสเตอร์ของ Vladimir Lenin…
-
6 อาวุธความคิดดีจากวิทยาการทางทหาร แต่ดันใช้ไม่ได้จริง พังเละไม่เป็นท่าเสียอย่างนั้น
ว่ากันว่าช่วงเวลาที่เทคโนโลยีจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วที่สุดก็คือช่วงที่มีสงครามเกิดขึ้น ซึ่งหากพูดกันตามตรง สิ่งของที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน หลายๆ ชิ้นเองก็มีที่มามาจากวิทยาการทางทหารจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการคิดค้นทุกอย่างที่ออกมาจากวิทยาการทางทหารจะเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป เพราะในหลายๆ ครั้ง ทหารก็คิดค้นอาวุธแปลกๆ ที่ใช้งานไม่ได้จริงออกมาเช่นกัน เหมือนอย่างอาวุธ 6 ชิ้นต่อไปนี้ ปืนอาปาเช่ นี่เป็นอาวุธที่คิดค้นขึ้นโดยสหรัฐอเมริกาในปี 1880 โดยเป็นการพยายามรวม ปืน พกมีด และสนับมือเข้าด้วยกัน ปัญหาคือการทำเช่นนั้นทำให้อาวุธที่ได้มาไม่สามารถใช้งานจริงๆ ได้สักอัน มีดที่ได้ออกมาบอบบางเกินไป ปืนก็ไร้ซึ่งพลังทำลายและความแม่นยำ ส่วนเวลาใช้สนับมือ มีดกับปากปืนก็ดันหันเข้าหาตัวเองอีก Wind Cannon นี่คือปืนที่มีความยาวราวๆ 10 เมตรที่ผลิตขึ้นโดยนาซีเยอรมนี ออกแบบมาเพื่อยิง “ลม” ใส่ศัตรู ซึ่งแม้ไม่น่าเชื่อแต่ก็สามารถใช้การได้จริงๆ แต่ปืนที่ว่านี้มีปัญหาอยู่เล็กน้อยทำให้ไม่สามารถใช้ในการรบจริงได้ เพราะมันใหญ่เกินไปจนตกเป็นเป้านิ่งได้ง่ายๆ นั่นเอง Monitor Novgorod นี่เป็นความพยายามในการสร้างเรือกลมขนาดเล็กของรัสเซีย ในขณะที่รบกับตุรกีในปี 1877–1878 เอาเข้าจริงๆ มันก็เป็นความคิดที่น่าสนใจ เพราะเรือในรูปแบบนี้สามารถหมุนได้เร็วกว่าเรือธรรมดามาก ถ้าไม่ติดที่ว่าทุกครั้งที่ยิงปืนเรือจะหมุนจากแรงสะท้อนอ่ะนะ บอลลูนเพลิง นี่เป็นการผูกระเบิดเพลิงไปกับบอลลูนไฮโดรเจน ซึ่งจะระเบิดเป็นเพลิงในวงกว้างจากบนท้องฟ้า ผลิตขึ้นโดยกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฟังดูดีใช่ไหมล่ะ? แต่เอาเข้าจริงๆ…
-
7 กีฬาเอ็กซ์ตรีมสุดโหดจากในอดีต ที่อันตรายยิ่งกว่ากีฬาในปัจจุบันแบบเทียบกันไม่ได้เลย
กีฬาเอ็กซ์ตรีมโดยมากแล้วจะมีภาพลักษณ์ที่อันตรายกว่ากีฬาโดยทั่วไป และถูกมองว่าเป็นแนวกีฬาที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาได้ไม่นานนัก แต่เชื่อหรือไม่ว่าในอดีตเองก็มีกีฬามากมายที่เข้าข่ายกีฬาเอ็กซ์ตรีมเช่นเดียวกัน เพียงแค่ว่าอาจจะไม่ได้เรียกว่ากีฬาเอ็กซ์ตรีมก็เท่านั้น ไม่เชื่อก็ลองไปดูกีฬาสุดโหดทั้ง 7 อย่างต่อไปนี้สิ แล้วจะเข้าใจว่ากีฬาเอ็กซ์ตรีมในอดีตมันเป็นอย่างไร Calcio Fiorentino Calcio Fiorentino เป็นกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่เล่นกันในสมัยโรมันโบราณ และมีความใกล้เคียงกับรักบี้ในปัจจุบัน โดยเป็นการที่ทีมซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 27 คน สองทีมพยายามจะพาบอลไปให้ถึงอีกฝั่งของสนาม สิ่งที่ต่างไปจากรักบี้คือผู้เล่นสามารถทำอะไรก็ได้เพื่อให้ทีมชนะ ไม่ว่าจะต่อย เตะ หรือผลักคู่ต่อสู้ก็ไม่ถือว่าผิดกฎทั้งสิ้น Land Diving (ดิ่งพสุธา) นี่เป็นประเพณีของ Pentecost หนึ่งในเกาะ 83 แห่งของวานูอาตู โดยการดิ่งพสุธาจะคล้ายกับบันจี้จัมในปัจจุบัน เพียงแต่แทนที่จะใช้เชือกพวกกเขากลับใช้ “เถาวัลย์” และโดดจากสิ่งก่อสร้างสูง 23 เมตรแทน Knattleikr นี่เป็นกีฬาของชาวไวกิ้งที่มีข้อมูลอยู่ค่อนข้างน้อย เชื่อกันว่านี่เป็นกีฬาที่เล่นกันบนน้ำแข็งหรือที่ราบที่หนาวจัด และเกี่ยวข้องกับการใช้ไม้ตีลูกบอลที่หนักและแข็ง เป็นไปได้ว่าจะคล้ายกับคริกเกต แต่รุนแรงกว่าหลายเท่า การแข่งขันรถม้า อีกหนึ่งกีฬาสุดโด่งดังที่เล่นกันในสมัยโรมันโบราณ โดยหนึ่งในสนามที่มีชื่อเสียงของการแข่งขันรถม้ามีชื่อว่า “The Circus Maximus” สร้างขึ้นมาเพื่อจุคนดูกว่า 150,000 คน แต่ในขณะเดียวกันก็มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูง…
-
ทีมนักวิจัยร่วมถอดรหัส “กระดาษปาปิรุส” พบการแพทย์ของอียิปต์โบราณก้าวไกลกว่าที่คิด
“ปาปิรุส” ว่ากันว่าเป็นกระดาษชนิดแรกของโลกเลยก็ไม่ผิดนัก โดยเชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากอียิปต์โบราณและใช้ในการบันทึกข้อความสรรเสริญเทพเจ้า หรือเหตุการณ์ต่างๆ ในประเทศ อย่างไรก็ตามยังมีข้อความในกระดาษปาปิรุสอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้มีการแปลและถอดรหัสอยู่เช่นกัน นั่นทำให้ทีมนักวิจัยจากนานาชาติเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนในเดนมาร์ก ด้วยความหวังที่จะค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ในกระดาษปาปิรุสที่ยังไม่มีการแปลเหล่านั้น และแน่นนอนว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการแปลข้อความในกระดาษเหล่านั้น ก็คุ้มค่ากับที่ลงแรงไปจริงๆ เพราะดูเหมือนว่าหนึ่งในกระดาษปาปิรุสที่มีอายุราว 3,500 ปีซึ่งพวกเขานำมาแปลนั้น จะมีข้อมูลด้านการแพทย์ของอียิปต์โบราณระบุเอาไว้นั้นเอง จากกระดาษที่พบ ดูเหมือนว่าชาวอียิปต์โบราณจะรู้จัก “ไต” เป็นอย่างดี ซึ่งผิดจากทฤษฎีของนักวิจัยหลายๆ คนที่เคยมีการเชื่อกันว่าคนอียิปต์โบราณจะไม่รู้จักอวัยวะชิ้นนี้ นอกจากนี้ชาวอียิปต์โบราณยังมีความรู้ในด้านดาราศาสตร์ พฤกษศาสตร์ และโหราศาสตร์เป็นอย่างดีอีกด้วย กระดาษปาปิรุสบางส่วนจะถูกใช้ในการทำนายอนาคต โดยจะมีการเขียนผลลัพธ์ของเหตุการณ์ต่างๆ เอาไว้ ก่อนจะถามพระเจ้าว่าผลลัพธ์ไหนเป็นของจริง (ไม่ได้มีการระบุไว้ว่าการ “ถามพระเจ้า” ทำได้ด้วยวิธีการใด) หนึ่งในกระดาษปาปิรุสที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ยังมีการระบุถึงวิธีการตรวจสอบการตั้งครรภ์ของอียิปต์โบราณด้วยการให้ผู้หญิงปัสสาวะใส่ลงในถุงข้าวสาลี และถุงข้าวบาเลย์ เพื่อตรวจดูเพศของทารกในครรภ์จากข้าวที่งอกออกมาก่อนนั่นเอง (ในกรณีที่ไม่งอกทั้งคู่ จะถือว่าไม่ได้ตั้งครรภ์) แม้ว่าการตรวจสอบการตั้งครรภ์ในรูปแบบนี้อาจจะดูแปลกอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่าการตรวจครรภ์เช่นนี้จะมีการใช้ที่เยอรมันในปี 1699 อีกด้วย Sofie Schiødt นักวิจัยในโครงการบอกว่า “แนวคิดหลายอย่างจากเอกสารทางการแพทย์ของอียิปต์โบราณ มักจะปรากฏขึ้นอีกครั้งในสมัยกรีกและโรมัน และแพร่กระจายไปยันตะวันออกกลางเลยด้วย” จริงอยู่ว่ากระดาษปาปิรุสที่มาจากอียิปต์โบราณอาจจะไม่สมบูรณ์สักเท่าไหร่ แต่การถอดความข้อความบนกระดาษโบราณเหล่านั้นออกมา อาจจะนำไปสู่ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับรากฐานของวิทยาศาสตร์และการแพทย์ของโลกในยุคโบราณได้เป็นอย่างดีเลยนั่นเอง ที่มา livescience, sciencenordic
-
22 โฆษณาเด็กในอดีตที่ทั้งน่ากลัว สยดสยอง ไม่ก็ขาดความรับผิดชอบสุดๆ
ในปัจจุบันพวกเราเห็นการเอาเด็กๆ มาแสดงโฆษณาขายขนมกันก็มาก บ่อยครั้งที่เราคิดว่าโฆษณาเหล่านั้นมันดูไม่มีพิษมีภัย หรือไม่มีสาระอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราขัดใจอะไรมากมายในเวลาเดียวกัน แต่รู้หรือไม่ว่าในช่วงศตวรรษที่ 19-20 นั้น การเอาเด็กมาโฆษณาเป็นอะไรที่เป็นที่นิยมกว่าในปัจจุบันมาก แถมพอมาดูในปัจจุบันแล้ว หลายๆ อันก็น่ากลัว สยดสยอง หรือไม่ก็แลดูขาดความรับผิดชอบอย่างมาก ไม่เชื่อก็ดูอย่างโฆษณา 22 อันต่อไปนี้สิ ทาแยมอีกสิคะคุณแม่… ทาอีก… ทาอีกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!! นี่มัน!! เนื้อ!!! เอาเนื้อมา!!! ลิ้นจะแตะหน้าอยู่แล้ว หน้าแก่ได้อีก พอแล้วแม่ พอเถอะ ผมขอร้อง เด็กทารกดื่มน้ำอัดลมนี่จะดีเหรอ? เฮ้ยมีดโกน!! กรงขังเด็ก… นอกหน้าต่าง? โฆษณาบุหรี่…ด้วยเด็กทารก อื้อหือ ฟัน อันนี้เลียปากหรือกำลังกัดลิ้น เฮ้ยยย!! น้ำส้ม ไม่เคยเห็นเลย อันนี้มั่นใจนะว่าไม่ใช่ฆาตกรรม ส่วนอันนี้มั่นใจนะว่าไม่ใช่ฆาตกร…
-
จากภัยอากาศร้อน นำไปสู่การค้นพบอารยธรรมโบราณจำนวนมากที่ประเทศอังกฤษ
ขณะที่ประเทศไทยมีการพยากรณ์อากาศว่า กำลังจะมีฝนตกหนักจนต้องระวังน้ำท่วมในหลายๆ พื้นที่อยู่นั้น ในหลายๆ ประเทศทั้งเอเชียและยุโรปเองก็กำลังต้องเผชิญกับภัยอากาศร้อนรุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน แต่ในเวลาที่อากาศร้อนจนมีคนป่วยเป็นจำนวนมากนั้นก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่เช่นกัน เพราะล่าสุดนี้เองที่ประเทศอังกฤษ ได้มีการค้นพบร่องรอยของอารยธรรมโบราณ เนื่องจากภัยร้อนในประเทศนั่นเอง นี่เป็นการค้นพบเนื่องจากความแตกต่างของการเติบโตของพืชในพื้นที่ ซึ่งนำไปสู่การบอกให้เหล่านักโบราณคดีทราบถึงตำแหน่งที่ชัดเจนของสิ่งปลูกสร้างที่ถูกฝังเอาไว้ใต้ดิน โดยการค้นพบอารยธรรมโบราณในรูปแบบนี้ประกอบไปด้วย การค้นพบการตั้งถิ่นฐานในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มณฑลคอร์นวอลล์ การค้นพบอนุสรณ์สถานจากยุคนีโอะลีธ-อิคในบัคคิงแฮมเชอร์ เชื่อว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในช่วง 3,600-3,000 ปีก่อนคริสตกาล การค้นพบหมู่บ้านที่คาดว่าเป็นของชาวโรมันโบราณในช่วงปี 43-410 ที่เดวอน การค้นพบที่ซัมเมอร์เซ็ท เป็นหมู่บ้านในยุคสำริด (2500-800 ปีก่อนคริสตกาล) หรือยุคเหล็ก (800 ปีก่อนคริสตกาลถึง คริสตศักราชที่ 43) และการค้นพบรูปสี่เหลี่ยม 4 รูปที่มีแนวโน้มจะเป็นสถานที่ฝังศพยุคเหล็กที่ยอร์กเชอร์ โดยดันแคน วิลสันผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานประวัติศาสตร์อังกฤษของรัฐบาลได้ออกมากล่าวว่า “สภาพอากาศที่ร้อนจัดนี้เป็น สภาพอากาศที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักโบราณคดีทางอากาศในการมองหาสิ่งที่อยู่ใต้ดินเลย” เพราะว่าพืชที่เติบโตบนสิ่งปลูกสร้างเช่นกำแพงหิน จะมีความแตกต่างไปจากพืชอื่นๆ เนื่องจากบนสิ่งปลูกสร้างที่มีความแข็งรากของพืชจะไชลงไปได้ไม่ลึกทำให้ลำต้นสั้น และในกรณีที่อากาศร้อน มันจะเจริญเติบโตเต็มที่เร็วกว่าพืชที่ปลูกบนดินธรรมดา นั่นทำให้พื้นที่ที่ปลูกพืชเป็นจำนวนมากอย่างไร่หรือนามีโอกาศที่จะพบกับร่องรอยของสิ่งปลูกสร้างที่ฝังอยู่ใต้ดินได้ง่ายๆ จากการสังเกตความแตกต่างของการเติบโตของพืชในพื้นที่นั่นเอง ภาพสามมิติของบ้านในยุคเหล็ก ภาพสามมิติของบ้านในโรมัน ในปัจจุบันการค้นพบในครั้งนี้ยังยังเป็นเพียงการชี้ตำแน่งที่นักโบราณคดีจะต้องทำการขุดค้นเท่านั้น…
-
พบ “มัมมี่ชีส” จากอียิปต์โบราณ เก่าแก่ที่สุดในโลก นักวิจัยบอกทานไปล้มป่วยแน่นอน!!
ในช่วงที่มีการขุดพบโลงศพหินสีดำ มีคนมากมายที่ออกมาบอกว่าการเปิดโลงหินออกอาจจะนำไปสู่การแพร่ระบาดของโรคร้ายก็เป็นได้ ซึ่งนับว่าโชคดีมากที่การค้นพบในครั้งนั้นจบลงด้วยดีและไม่มีใครติดเชื้ออะไรไป (ถึงจะมีคนอยากดื่มน้ำจากในโลงศพก็ตาม) แต่นั่นไม่ใช่สำหรับการค้นพบครั้งล่าสุดนี้ เพราะจากคำบอกเล่าของทีมนักวิจัย ใครก็ตามที่ทานเข้าสิ่งที่ถูกค้นพบเขาไป จะต้องล้มป่วยอย่างแน่นอน!! นี่เป็นการค้นพบไหดินเหนียวที่บรรจุชีสเอาไว้ ในหลุมฝังศพของ Ptahmes เจ้าหน้าที่ระดับสูงในสมัยของฟาโรห์เซติที่ 1 และฟาโรห์รามเสสที่ 2 โดยหลุมฝังศพแห่งนี้สร้างขึ้นมาแล้วเป็นเวลาราว 13 ศตวรรษก่อนคริสตกาล ซึ่งนั่นหมายความว่าชีสที่มีการค้นพบมีอายุมากถึง 3,300 ปีนั่นเอง จริงอยู่ว่ามีความเป็นไปได้ว่าสิ่งที่ค้นพบอาจจะเป็นเพียงนมที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานจนแข็งตัว แต่จากการวิเคราะห์ของทางนักวิทยาศาสตร์แล้ว เจ้าชีสอันนี้แข็งตัวมาตั้งแต่ถูกฝังแล้ว ว่าง่ายๆ ว่าเป็นชีสจริงๆ ไม่ใช่เพียงนมเน่านั่นเอง ทำให้การค้นพบในครั้งนี้กลายเป็นการค้นพบชีสที่เก่าแก่ที่สุดในโลกไปโดยปริยาย อย่างไรก็ตามใครที่คิดอยากจะลิ้มลองเจ้าชีสอายุ 3,300 ปีชิ้นนี้ก็คงต้องเสียใจกันไปตามๆ กันเนื่องจากเจ้าชีสตัวนี้มีแบคทีเรียที่ชื่อ Brucella Melitensis อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากทานเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการมีไข้รุนแรง คลื่นไส้อาเจียน และอาการอื่นๆ เกี่ยวกับโรคระบบทางเดินอาหารได้ ภาพเชื้อ Brucella Melitensis และถึงชีสจะทานไม่ได้แล้ว แต่การที่มีแบคทีเรีย Brucella Melitensis อาศัยอยู่ในชีสที่พบก็แสดงเป็นหลักฐานอย่างดีที่แสดงให้เราเห็นว่าเจ้าเชื้อโรคตัวนี้มีมาตั้งแต่โบราณแล้วนั่นเอง ไม่แน่นะว่าโรคที่เกิดขึ้นในสมัยก่อนกับปัจจุบัน อาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากอย่างที่เราคิดก็เป็นได้ เอาเป็นว่าอย่าไปลงชื่อขอกินชีสอันนี้ก็แล้วกัน ที่มา livescience, abc
-
งานวิจัยล่าสุดเผย มัมมี่เกิดขึ้นมานานกว่าที่เราเคยรู้ 1,500 ปี แถมเก่าแก่กว่าภาษาเขียนเสียอีก
เมื่อพูดถึงมัมมี่ไม่ว่าใครก็คงจะคิดขึ้นฟาโรห์แห่งอียิปต์เป็นอย่างแรก เพราะความยิ่งใหญ่ของตำแหน่ง บวกกับสื่อต่างๆ ที่ออกมาให้เราเห็นกันบ่อยๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วมัมมี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาเพื่อฟาโรห์เท่านั้น แถมจากการค้นพบล่าสุดนี้เอง ก็ทำให้เราทราบว่ามัมมี่ถือกำเนิดมานานกว่าที่พวกเราคิดไว้ อย่างน้อยๆ ก็ 1,500 ปีเลยทีเดียว นี่คือการค้นพบการจากวิจัยมัมมี่ของร่างหนึ่ง ที่มีการขุดพบเมื่อปี 1901 และนำไปเก็บไว้ยังพิพิธภัณฑ์อียิปต์เมืองตูริน ประเทศอิตาลี โดยเป็นร่างของชาวอียิปต์ที่นอนคุดคู้อยู่ในหลุมทราย พร้อมกับอุปกรณ์ที่ใช้ทำพิธีศพหลากหลายชนิด นี่เป็นมัมมี่ที่ดูเผินๆ จะไม่เหมือนกับมัมมี่ที่เราคุ้นเคยสักเท่าไหร่ ทำให้เหล่านักโบราณคดีเคยเชื่อกันว่า มัมมี่ร่างนี้ได้รับการรักษาสภาพไว้ด้วยสภาพของทะเลทรายเท่านั้น ไม่ใช่การทำมัมมี่ด้วยมือคนแต่อย่างใด แต่หลังจากการตรวจสอบศพครั้งล่าสุดนี้เอง กลับมีการพบว่ามัมมี่ร่างนี้มีการใช้ยาดองศพ ซึ่งเป็นอันเดียวกับที่มีการใช้ในช่วงที่มีมัมมี่ถูกขุดพบมากที่สุด ทำให้มัมมี่ร่างนี้จัดเป็นมัมมี่ที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการขุดพบของอียิปต์ และอาจมีอายุมากกว่า 5,000-6,000 ปี นั่นหมายความว่าการทำมัมมี่นั้นมีมาตั้งแต่ในช่วง 3700-3500 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งถือว่านานกว่าที่เคยมีการคาดไว้มาก เก่าแก่เสียยิ่งกว่าภาษาเขียนอันแรกที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เสียอีก (หลักฐานการมีตัวตนของภาษาเขียนที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ในช่วง 3,400 ปีก่อนคริสตกาล) โดยเหล่านักโบราณคดีจึงชื่อกันว่าวิธีการทำมัมมี่น่าจะมีการสอนสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นผ่านการสอนปากเปล่า และถูกใช้อย่างต่อเนื่องมานานกว่า 2,500 ปี ในแทบทุกพื้นที่ของประเทศอียิปต์โบราณเลยทีเดียว “พวกเขามีความเชื่อมั่นในชีวิตหลังความตาย พวกเขาจึงต้องการให้ร่างกายของพวกเขาถูกเก็บรักษาไว้ให้นานที่สุด” เจน่า โจนส์นักวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สมัยโบราณแห่งมหาวิทยาลัย Macquarie ในนครซิดนีย์ ออสเตรเลียกล่าว…
-
แผนที่โบราณที่ทำให้โคลัมบัสออกเดินเรือ ให้คำตอบกรณีทำไมต้องล่องเรือไปทางตะวันตก
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสเป็นชายที่มีชื่อเสียงในการ “ค้นพบ” ทวีปอเมริกา จากการล่องเรือออกไปทางตะวันตก (แม้ว่าแท้จริงแล้วจะมีหลักฐานการค้นพบทวีปอเมริกามาก่อนหน้าแล้วก็ตาม โดยเชื่อกันว่าเป็นการค้นพบโดยชาวไวกิ้งนั่นเอง) เดิมทีแล้วนี่เป็นการเดินทางที่เกิดขึ่นเพื่อที่จะตามหาเส้นทางสายใหม่ไปยังทวีปเอเชีย จากเดิมที่ต้องมีการล่องเรือเลาะไปทางทิศตะวันออก ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมแทนที่จะเดินทางไปตามเส้นทางเดิมโคลัมบัสจึงเลือกที่จะล่องเรือไปทางทิศตะวันตก จากการศึกษาของนักโบราณคดี เชื่อกันว่าความคิดการล่องเรือไปยังทิศตะวันตกของโคลัมบัสนั้น มาจากแผนที่ฉบับหนึ่งในปี 1491 สมัยที่ผู้คนยังเชื่อกันฝังใจว่าโลกใบนี้แบน แผนที่ต้นฉบับในปี 1491 มันเป็นแผนที่ที่ยังไม่มีทวีปอเมริกา และค่อนข้างแปลกไปจากแผนที่โลกที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันมาก อย่างไรก็ตามเมื่อมองจากแผนที่ที่ว่านี้แล้ว โคลัมบัสที่เชื่อว่าโลกกลมก็มองเห็นหนทางใหม่ที่เขาเชื่อว่าใกล้กว่าเดิม ในการเดินทางไปยัง “อินเดียตะวันออก” (ซึ่งก็คือแถวๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง) แผนที่อันนี้เชื่อกันว่าเขียนขึ้นโดยผู้ทำแผนที่ชาวเยอรมันนาม Henricus Martellus จากเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี โดยเป็นแผนที่ขนาด 1.2 X 2 เมตร และเก่ามากจนมองแทบไม่ออกในปัจจุบัน โชคดีมากที่ล่าสุดนักวิทยาศาตร์สามารถถ่ายภาพอัลตราไวโอเลตของแผนที่ดังกล่าวไว้ได้ เราจึงสามารถเห็นแผนที่นี้ได้ชัดๆ อีกครั้งหนึ่ง แผนที่ของ Henricus Martellus ที่ได้รับการฟื้นฟูด้วยเทคโนโลยีภาพอัลตราไวโอเลต แผนที่ฉบับนี้ มีประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่มุมขวาบนของแผนที่และมีความแปลกกว่าแผนที่อื่นๆ ในสมัยนั้นตรงที่ไม่มีภาพของปีศาจแห่งท้องทะเลถูกวาดเอาไว้ ซึ่งน่าจะมาจากการลดต้นทุนของแผนที่เพื่อให้นักเดินเรื่อที่มีต้นทุนต่ำสามารถซื้อได้นั่นเอง ว่ากันว่าจากความสำเร็จของโคลัมบัส แผนที่ฉบับนี้ก็ได้กลายเป็นต้นแบบของแผนที่จำนวนมาก อย่างเช่นแผนที่ของ Martin Waldseemüller…
-
เชิญชม “มาตรฐานความงาม” ของสาวๆ แต่ละยุคสมัย เมื่อก่อนเขาชอบสาวแบบไหนกันนะ
เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป หลายๆ สิ่งก็เปลี่ยนแปลงไปตามกัน เทคโนโลยีที่ใช้งานในปัจจุบัน อีกหน่อยอาจจะกลายเป็นอะไรที่ล้าสมัย และสิ่งที่เคยเป็นที่นิยมในวันนี้ สักวันก็อาจจะกลายเป็นอะไรที่ไม่มีใครสนใจก็เป็นได้ ค่านิยมของรูปร่างสตรีเป็นอีกหนึ่งในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาที่ว่า เพราะตลอดเวลากว่า 3,000 ปีที่ผ่านมานั้น มาตรฐานความงามของสังคมได้เปลี่ยนไปมากมายเหลือเกิน ดังนั้นเราจะมาย้อนดูมาตรฐานความงามที่เปลี่ยนแปลงไปของมนุษย์ ตั้งแต่ปัจจุบันไปยันสมัยก่อนคริสตกาลกัน มาดูกันดีกว่าว่าโลกของเราในแต่ละยุค มีการมองรูปร่างของสตรี แตกต่างกันไปเพียงใด ความงามหลังยุคใหม่ (จากยุค 2000 – ปัจจุบัน) ลักษณะเด่น: หน้าท้องแบน ผอมอย่าง ‘สุขภาพดี’ หน้าอกและก้นใหญ่ มีช่องว่างระหว่างต้นขา ความงามแบบ “สาวขี้ยา” (ช่วงยุค 1990) ลักษณะเด่น: แลดูโทรม ผอมสุดๆ ผิวโปร่งแสง แลดูเป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ความงามแบบ ซุปเปอร์โมเดล (ช่วงยุค 1980) ลักษณะเด่น: แข็งแรง รูปร่างเรียวและสง่างาม แต่มีส่วนเว้าโค้ง สูง แขนมีกล้ามเนื้อ ความงามแบบยุค 60 ที่มีชีวิตชีวา (ช่วงยุค 1960) ลักษณะเด่น: สมส่วน ผอม ขาเพรียวยาว…
-
พบกับ 14 ‘ภาพลับ’ แบบฉบับเซเลบริตี้ ที่จะทำให้คุณทึ่ง ในอดีตพวกเขามีภาพอย่างนี้ด้วยเหรอ…
สำหรับเหล่าเซเลบริตี้ชื่อก้องโลกทั้งหลาย เราอาจจะเห็นพวกเขาเดินเฉิดฉายสวยหล่อกันอยู่ตามเวทีพรมแดงต่างๆ แต่รู้หรือไม่ว่าบางทีพวกเขาในอดีตอาจจะไม่ใช่ภาพคุ้นตาอย่างที่พวกเราเคยเห็นก็เป็นได้ อย่างเช่นภาพลับๆ ของพวกเขาเหล่านี้ที่คุณอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นว่าคนเราก็มีหลายมุมที่เก็บซ่อนเอาไว้ บางทีอาจจะเป็นภาพเมื่อครั้งอดีตหรือภาพในตอนที่พวกเขาแสดงบทบาทต่างๆ คุณจะต้องทึ่งเมื่อได้เห็นเหมือนกับที่ #เหมียวจิวยี่ เป็นอยู่ตอนนี้ก็เป็นได้ สองมนุษย์เหล็ก Arnold Schwarzenegger กับ Sylvester Stallone นอนคุยกันชิลๆ ในโรงพยาบาล Elizabeth Taylor นางเอกเรื่อง Cleopatra (1963) ขณะอาบน้ำให้เจ้าตูบ https://instagram.com/p/62zEJuutJR/?utm_source=ig_embed Jared Leto กับ Cameron Diaz ขณะคบกันในปี 2000 https://www.instagram.com/p/Bls2hpvg23E/?utm_source=ig_embed Britney Spears ในปี1999 https://instagram.com/p/BlIzh9xlHJ_/?utm_source=ig_embed Jimi Hendrix มือกีตาร์ชื่อดังก้องโลกกับอิริยาบถสบายๆ ในปี 1967 https://instagram.com/p/BlUcE5JALhK/?utm_source=ig_embed Anthony Kiedis และ Flea สองคู่หูแห่งวง Red Hot Chili Peppers…
-
‘Anna Coleman Watts Ladd’ หญิงผู้ช่วยเยียวยาบาดแผลสงครามโลก ด้วยการสร้าง ‘หน้ากาก’!!
ขึ้นชื่อว่า ‘สงคราม’ สิ่งที่หลีกเลี่ยงอย่างไม่ได้ ก็คือเรื่องของความสูญเสีย บางคนต้องเสียเสาหลักของครอบครัว บางคนต้องเสียอวัยวะบางอย่างจนทุพพลภาพ ขณะเดียวกันบางคนก็เสียรูปลักษณ์ภายนอกไปอย่างน่าเศร้าสลด… โดยในเรื่องที่ #เหมียวจิวยี่ อยากจะนำเสนอนี้ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ ของการเยียวยาบาดแผลจากสงครามของหญิงคนหนึ่ง แต่การรักษาของเธอจริงๆ แล้วมันมิใช่เพียงแค่การรักษาบาดแผลเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงการฟื้นฟูจิตใจให้กับเหล่าทหารผ่านศึกที่ล้วนสูญเสียบางอย่างให้กับสงครามในครั้งนั้นด้วย… Anna Coleman Watts Ladd และนี่คือเรื่องราวของ Anna Coleman Watts Ladd หญิงสาวช่างปั้นหม้อชาวอเมริกันที่จับพลัดจับผลู กลายมาเป็นนักศัลยกรรมตกแต่งให้กับเหล่าทหารผ่านศึกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 จากผลงานการปั้นหน้ากากของเธอ จุดเริ่มต้นของการอุทิศตนช่วยเหลือมนุษยชาติในครั้งนี้ เริ่มจากความที่เธอกับสามีได้ย้ายไปยังประเทศฝรั่งเศสในปี 1917 และที่นี่เองที่เธอได้พบกับช่างปั้นชาวอังกฤษชื่อว่า Francis Derwent Wood โดยในเวลานั้นเขาได้เปิดร้านชื่อว่า “Tin Noses Shop” ช่วยเหลือทหารผู้เสียโฉมจากศึกสงครามด้วยการทำ ‘หน้ากากเสมือนจริง’ ปิดบังบาดแผลฉกรรจ์บนใบหน้าไว้ และนี่เองได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับ Ladd เปิดร้านชื่อ “Studio for Portrait-Masks” ในเวลาต่อมา ซึ่งจากฝีมือและประสบการณ์การเป็นนักปั้นของเธอ ก็ช่วยให้เธอสร้างหน้ากากจากกา่รปั้นแผ่นดินเผาเติมเต็มส่วนที่หายไปบนใบหน้าของทหารหลายต่อหลายคนได้ราวกับมีเวทมนตร์ ผลงานจมูกเทียมจากการปั้นของเธอ เรื่องราวและผลงานของเธอถูกนับให้เป็นอีกบทหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่โลกต้องจารึกเอาไว้ เพราะการทำงานของเธอได้ช่วยให้ทหารจำนวนมากมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นมาจากบาดแผลที่ถูกหน้ากากกลบเอาไว้ และถึงแม้ว่าจะไม่สามารถทดแทนของจริงได้ แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ…
-
12 รูปภาพสุดทรงพลัง ที่จำกัดความของ “สงครามโลกครั้งที่สอง” ได้เป็นอย่างดี
สงครามโลกครั้งที่สองถือว่าเป็นสงครามที่ส่งผลกระทบให้กับผู้คนแทบทุกหย่อมหญ้าบนโลกใบนี้ และมันถือว่าเป็นสงครามครั้งที่ยิ่งใหญ่และสร้างความเสียหายให้แก่มนุษยชาติมากที่สุด เท่าที่เคยมีการบันทึกประวัติศาสตร์มา และนอกจากเหล่าทหารหาญที่ต้องต่อสู้แล้ว ในสนามรบก็ยังมีช่างภาพที่คอยบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ เอาไว้ ด้วยเหตุนี้เองทำให้สงครามโลกครั้งที่สองเต็มไปด้วยภาพที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ทุกเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในสงคราม ย่อมมาพร้อมกับภาพที่ทรงพลังมากขึ้นตามไปด้วย สะท้อนความรุนแรงของสงครามเป็นอย่างดี ดังเช่นภาพต่อไปนี้ พฤษภาคม 1940 ปาฏิหาริย์แห่งดันเคิร์ก ทหารเยอรมันบุกผ่านเบลเยียมและทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ทำให้การสื่อสารและการขนส่งระหว่างกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งหมดถูกตัดขาดลง ทหารจำนวนมากจึงล่าถอยมาที่หาด ฝั่งสัมพันธมิตรจึงได้เร่งปฏิบัติการไดนาโม เพื่อช่วยเหลือทหารที่ตกค้าง ด้วยเรือทุกชนิดที่หาได้และนี่คือภาพการช่วยเหลือในครั้งนั้น 7 ธันวาคม 1941 การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ เพิร์ลฮาร์เบอร์ถูกโจมตีอย่างกะทันหันโดยกองทัพญี่ปุ่น จนทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,400 ราย นี่เป็นการโจมตีที่จุดชนวนความโกรธแค้นของชาวสหรัฐอเมริกา จนนำไปสู่การเข้าร่วมสงครามในเวลาต่อมานั่นเอง แรงงานหญิงของสหรัฐอเมริกา เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงคราม เหล่าชายหนุ่มที่เคยเป็นแรงงานหลักของอุตสาหกรรมก็ลดลงเป็นอย่างมาก ดังนั้นทางรัฐจึงได้รับเอาผู้หญิงมาทำงานพวกนั้นแทน ทำลายความคิดเดิมๆ ที่ว่าผู้หญิงทำงานหนักๆ ไม่ได้ไป นักบินผิวสีจากปี 1942 เมื่อก่อนสหรัฐอเมริกาเคยเชื่อว่าคนผิวสีไม่มีความรู้มากพอที่จะขับเครื่องบินได้ อย่างไรก็ตามเมื่อสงครามเกิดขึ้นแนวคิดนี้ก็เปลี่ยนไป เพราะความต้องการกำลังรบของประเทศทำให้สหรัฐอเมริกาขยายโครงการฝึกอบรมนักบิน จนมีนักบินผิวสีออกมาให้เห็นนั่นเอง การจลาจลในวอร์ซอ หลังจากที่เข้ายึดโปแลนด์ได้ ทางนาซีก็เรื่มสังหารชาวยิวเป็นจำนวนมาก จนทำให้เกิดการจลาจลครั้งใหญ่ของชาวโปแลนด์ในเดือน เมษายน 1943…
-
22 รูปภาพของ 11 สิ่งก่อสร้างโบราณสุดงดงามของโลก ที่ยังคงมีการเปิดให้เข้าชม
เวลาที่มีการพบสิ่งก่อสร้างจากสมัยก่อน บ่อยครั้งทางรัฐบาลจะมีการปิดไม่ใช้มีการเข้าชมสถานที่เหล่านั้นเนื่องจากความกังวลว่าการเข้าไปของนักท่องเที่ยวจะทำให้สิ่งก่อสร้างเหล่านั้นได้รับความเสียหาย นั่นทำให้สิ่งก่อสร้างโบราณที่ยังคงเปิดให้เข้าชมอยู่นั้นกลายเป็นอะไรที่มีความน่าไปเยี่ยมเยี่ยนดูมาก ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงจะนำเพื่อนๆ ไปพบกับ 11 สิ่งก่อสร้างโบราณสุดงดงามที่ยังคงเปิดให้เข้าชมนั่นเอง ซานตาโซเฟีย นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เสร็จสมบูรณ์ในปี 537 ด้านในของซานตาโซเฟีย แพนธีออน กรุงโรม ประเทศอิตาลี สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 117 ด้านในของแพนธีออน โบสถ์ซานตาซาบินา กรุงโรม ประเทศอิตาลี เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 422 ด้านในของซานตาซาบินา สุสานของเฮเดรียน กรุงโรม ประเทศอิตาลี เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 139 ถูกดัดแปลงเป็นป้อมปราการในปี ค.ศ. 400 ด้านในสุสานของเฮเดรียน โคลอสเซียม กรุงโรม ประเทศอิตาลี เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 80 ด้านในโคลอสเซียม โรงละครมาร์เซลลัส กรุงโรม…
-
ความจริงของการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ยุค 60 ภาพสังคมอันน่าเศร้าที่คนขาวปกครอง
ในช่วงกลางยุค 60 นักถ่ายภาพข่าว Ernest Cole จากแอฟริกาใต้ ได้ทำสิ่งที่นับว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากในแอฟริกาใต้ยุคที่การเหยียดสีผิวรุนแรงถึงขีดสุด ด้วยการออกถ่ายภาพที่จะเปิดเผยความจริง ในสังคมแห่งการเหยียดสีผิวให้โลกรู้ ผลงานของเขาถูกตีพิมพ์ในหนังสือ “House of Bondage” เมื่อปี 1967 แสดงให้เห็นถึงสังคมอันโหดร้ายของแอฟริกาใต้ที่ปกครองโดยคนขาว ที่ที่คนดำถูกใช้งานอย่างหนัก และปฏิบัติตัวด้วยราวกับไม่ใช่คน ม้านั่งในเมืองถูกเขียนไว้ว่าสำหรับ ชาวยุโรป (คนขาว) เท่านั้น คนงานเหมืองที่ถูกผลัดเปลี่ยนราวเป็นเครื่องมือ คนดำที่โดนจับเนื่องจากเข้าไปในเขตคนขาวโดยไม่ได้รับอนุญาต เด็กน้อยคนหนึ่งนั่งเรียนแยกจากเพื่อนๆ ในห้อง ชายผิวดำขอทานจากคนผิวขาว ไม่มั่นใจว่าเขาโดนตบ หรือโยนเหรียญใส่หน้ากันแน่ การตรวจร่างกายแบบหมู่ คนขาวมักจะโกรธที่โดนคนดำแตะตัว ดังนั้นบางครั้งนักล้วงกระเป๋าจึงใช้คนดำเป็นตัวดึงความสนใจของเหยื่อ แม้แต่ในธนาคาร เคาน์เตอร์ของคนดำกับคนขาวก็แยกกัน สถานีรถไฟในช่วงเวลาเร่งด่วน ที่แสดงให้เห็นความการแบ่งแยกสีผิวได้เป็นอย่างดี แม้ว่าคนเป็นแม่จะไม่ได้ปฏิบัติกับคนดำดีนัก แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้เกลียดลูกของเธอ “ฉันรักเด็กคนนี้แม้ว่าเธอจะเติบโตขึ้นไปทำกับฉันเหมือนแม่ของเธอก็ตาม ตอนนี้เธอยังไร้เดียงสา” ห้องนอนของคนผิวสี โรงเรียนของเด็กผิวสี ไม่มีแม้แต่โต๊ะเรียน แอฟริกาใต้ปกครองโดยคนขาว ส่วนคนดำกลายเป็นเพียงคนงาน …
-
6 วิธีการลดน้ำหนักจากสมัยก่อน ที่แปลกอย่าบอกใคร ใช้ลดน้ำหนักได้จริงไหมก็ไม่รู้
การลดน้ำหนัก เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาอย่างช้านาน ยิ่งหลังจากที่ค่านิยมของคนเปลี่ยนไปชอบคนที่รูปร่างผอมเพรียวแล้วด้วย การลดน้ำหนักทั้งหลายจึงยิ่งกลายเป็นที่นิยมมากเข้าไปอีก นั่นทำให้คนเราคิดค้นวิธีลดน้ำหนักใหม่ๆ ออกมาเพื่อให้การลดน้ำหนักทำได้ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งแม้ว่าจะมีของที่ใช้ได้จริงอยู่บ้าง แต่ในขณะเดียวกันก็มีการลดน้ำหนักแปลกๆ ออกมามากมายเช่นกัน เหมือนกับวิธีการลดน้ำหนัก 6 อย่างจากในอดีตต่อไปนี้ ที่ได้ผลจริงหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ แต่เรื่องแปลกนี่ขอให้บอกเลย สายพานสั่นสะเทือน ในยุค 60 มีความเชื่อกันว่าการสั่นหน้าท้องอย่างรวดเร็วจะสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้ ปัญหาคือจากงานวิจัยของผู้เชี่ยวชาญแล้ว ไอ้เจ้าการสั่นสะเทือนนี้ แทบจะไม่มีประโยชน์กับการลดน้ำหนักเลย ทำให้เจ้าสายพานสั่นสะเทือนกลายเป็นสินค้าในอดีตไป การหดเงา ในช่วงต้นของยุค 1900 คนเราจะใช้วิธีดัดตัวเพื่อให้เงามีขนาดที่เล็กเพรียวที่สุด เพราะเชื่อว่าช่วยลดน้ำหนักได้ ซึ่งแม้ว่าน้ำหนักจะลดลงไปจริงๆ แต่มันเป็นเพราะการออกกำลังกายจากการดัดตัว ไม่ใช่การพยายามหดเงาแต่อย่างใด Toning Shoes นี่เป็นรองเท้ารูปร่างแปลกๆ ที่เคยเป็นที่นิยมในยุค 40-50 โดยเชื่อกันว่ารูปทรงของมันจะช่วยกระชับช่วงล่างได้เพียงแค่ใส่เดิน ปัญหาคือเจ้ารองเท้านี้จริงๆ แล้วไม่ได้ช่วยอะไรเลย และคุณสมบัติของมันก็เป็นการโม้ออกมาของผู้ผลิตเท่านั้น เสื้อออกกำลังกายแบบผ่อนคลาย นอนเฉยๆ แล้วน้ำหนักลดเป็นความฝันของคนหลายๆ คน นั่นทำให้ในยุค 50 เจ้าชุดเสื้อออกกำลังกายแบบผ่อนคลายกลายเป็นสิ่งที่หลายๆ คนฝันอยากจะได้ ด้วยความเชื่อที่ว่าการช็อกไฟฟ้าอ่อนๆ จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันได้ผลตรงกันข้ามเลย เพราะการช็อกไฟฟ้าใส่กล้ามเนื้อได้รับการพิสูจน์หลังจากนั้นว่าเป็นอันตราย…
-
5 คุกบนโลกแห่งความจริง ที่มีชื่อเสียงเรื่องความน่ากลัว ราวกับเป็นคุก “อัซคาบัน”
เมื่อพูดถึงคุกที่น่ากลัวที่สุด เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะนึกถึง “อัซคาบัน” จากอิทธิพลของ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” เป็นธรรมดา แต่ถ้าหากถามว่าคุกที่น่ากลัวที่สุด “บนโลกแห่งความจริง” แล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะนึกภาพไม่ค่อยออกกัน ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนไปดู 5 คุกบนโลกของเรา ที่มีชื่อเสียงว่านี่ละคือหนึ่งในคุกที่น่ากลัวที่สุด!! คุกแห่งหมู่เกาะกาลาปากอส ประเทศเอกวาดอร์ แทนที่จะเรียกว่าคุก ที่แห่งนี้คือเกาะที่ใช้ขังคุกจะเหมาะกว่า โดยนักโทษที่มาอยู่ที่เกาะแห่งนี้จะถูกบังคับให้แรงงานให้สร้าง “Wall of Tears” กำแพงแห่งน้ำตาที่สูงเกือบ 20 เมตร เพื่ออะไรอย่างนั้นเหรอ? ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก มันก็แค่การก่อสร้างไร้ที่สิ้นสุดที่ทำขึ้นมาเพื่อทรมานนักโทษทั้งกายและใจเท่านั้น แถมดูเหมือนว่าจะได้ผลเป็นอย่างดีเสียด้วย เพราะตลอดระยะเวลาที่เปิดเป็นคุก เกาะแห่งนี้ก็คร่าชีวิตนักโทษไปเป็นพันๆ คน จากโรคร้าย ความอดอยาก ความอ่อนแรง และการฆ่าตัวตาย Unit 731 แห่งประเทศจีน นี่เป็นคุกที่มีความน่ากลัวที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นคุกที่เชื่อกันว่าทหารญี่ปุ่น (ที่บุกเข้ามาในประเทศจีน) ใช้ในการทดลองอาวุธชีวภาพกับนักโทษ และประชาชนของจีน ในปี 1938 นั่นเอง การทดลองก็มีทั้งฉีดโรคระบาดเข้าไปในตัวนักโทษ ไม่ก็ผ่าร่างโดยไม่ใช้ยาสลบ…
-
3 แนวคิดสุดฉลาดในอดีต แต่กลายเป็นว่า “ล้ำสมัย” เกินไป จนไม่ประสบความสำเร็จ
คนเราในบางครั้งก็ยากที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลง ความคิดที่ดีกว่าหรือสมเหตุสมผลหากออกมาเร็วเกินไป ในบางครั้งก็อาจจะไม่ได้รับการยอมรับจากคนรอบๆ ได้เช่นกัน ลองนึกดูสิว่าหากคนปัจจุบันไปบอกคนในยุคล่าแม่มดว่าแม่มดไม่มีอยู่จริงจะเกิดอะไรขึ้น นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับแนวคิดข้างล่าง เพราะนี่คือ 3 แนวคิดสุดฉลาดที่ดีจริงๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าคิดออกมาได้ล้ำสมัยจนเกินไป การล้างมือ เชื่อหรือไม่ว่าในสมัยก่อนนั้นการล้างมือเพื่อฆ่าเชื้อโรคไม่ได้เป็นเรื่องที่ทุกๆ คนทำกัน ต้องบอกว่าแม้แต่แพทย์เองในสมัยก็ก่อนไม่ได้ล้างมือสักเท่าไหร่ด้วย จนกระทั่งในปี 1847 มีแม่เด็กจำนวนมากที่ตายหลังจากคลอดลูก นั่นทำให้ Dr. Ignaz Semmelweis พบว่าแม่เด็กที่ทำคลอดโดยหมอนั้น ตายกันมากกว่าแม่เด็กที่ทำคลอดโดยหมอตําแยเสียอีก เนื่องจากพวกหมอมักจะทำการชันสูตรศพก่อนที่จะมาทำคลอด ทำให้มีเชื้อโรคติดมือมา และสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการล้างมือ อย่างไรก็ตามเมื่อ Ignaz นำเรื่องนี้ไปบอกกับหมอ พวกเขาก็ไม่พอใจอย่างมากและหาว่า Ignaz บอกว่าพวกเขานั้นสกปรก จนทำให้ Ignaz ถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลในปี 1850 และถูกส่งเข้าโรงพยาบาลบ้าในเวลาต่อมา แน่นอนว่าเรื่องที่เชื้อโรคทำให้ผู้เป็นแม่เสียชีวิตในการคลอดถูกพิสูจน์ในเวลาต่อมา และการล้างมือก็กลายเป็นเรื่องแพร่หลายหลังจากนั้น โชคร้ายที่ Ignaz ไม่ได้มีชีวิตอยู่ดูวันนั้น พันธุศาสตร์ จำตารางพันเนตต์กันได้ไหม (ถ้าจำไม่ได้ดูในรูปเลย) มันเป็นแผนภาพที่ใช้ช่วยทำนายผลที่ได้จากการทดลองการผสมพันธุ์ ที่สร้างขึ้นโดย Reginald C. Punnett แต่ Punnett ไม่ใช่คนแรกที่คิดเรื่องลักษณะทางพันธุกรรมได้ เพราะคนแรกที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้คือ Gregor Mendel…
-
ตำนาน ความเชื่อ หรือเรื่องแต่ง “อุ้งมือลิง” ของขลังที่ทำคำขอให้เป็นจริง โดยไม่สนวิธีการ
เคยได้ยินเรื่อง “อุ้งมือลิง” กันไหม? ว่ากันว่ามีอุ้งมือของลิงจากสมัยโบราณ ที่มีเวทมนตร์สามารถทำให้คำขอเป็นจริงได้ แต่จงระวังคำขอของพวกคุณไว้ให้ดี เพราะเจ้าอุ้งมือนี้ จะทำให้คำขอที่ว่าเป็นจริงโดยไม่สนวิธีการใดๆ หากคุณขอความร่ำรวย เงินที่ได้มาก็อาจเป็นเงินประกันชีวิตจากความตายของคนที่คุณรัก หากขอความเป็นอมตะคุณก็อาจจะถูกแช่อยู่ในน้ำแข็งทั้งเป็นไปตลอดกาล และอย่าหวังว่าจะสามารถให้เล่ห์กลใดๆ เพื่อบิดเบือนคำขอ เพราะไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน คนเราก็ไม่สามารถควบคุมเวทมนตร์ได้อยู่ดี อุ้งมือลิงว่ากันว่ามีที่มาจากประเทศอินเดีย แม้ว่าในบางครั้งก็มีแนวคิดที่ว่าอุ้งมือลิงซึ่งมีลักษณะคล้ายมัมมี่เหล่านี้น่าจะมาจากอียิปต์มากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีหลักฐานใดๆ พูดถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับอุ้งมือลิงในสองประเทศนี้เลย เอาเข้าจริงๆ ต้องบอกว่าไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับอุ้งมือลิงที่ทำให้คำขอเป็นจริงเลยจนกระทั่งในปี 1902 ต่างหาก อุ้งมือลิงที่ทำให้คำขอเป็นจริงปรากฏออกมาแบบเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก ในหนังสือของ W.W. Jacobs ที่มีชื่อว่า “The Monkey’s Paw” ซึ่งเป็นเรื่องราวของครอบครัวไวท์ที่ได้รับอุ้งมือลิงมาจากเพื่อนที่เป็นทหารอยู่ในอินเดีย และต้องพบกับเรื่องเลวร้ายจากคำขอของพวกเขา The Monkey’s Paw เป็นเรื่องสั้นสยองขวัญที่มีสามองก์จบ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากตะเกียงวิเศษในอาหรับราตรี (และอาจจะได้แรงบันดาลใจจาก The Hand ของ Guy de Maupassant ในปี 1883 เช่นกัน) เรื่องสั้นเรื่องนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสมัยก่อน จนถูกตีพิมพ์ในหลายๆ…
-
12 ธงโจรสลัดในประวัติศาสตร์จริงๆ เพราะธงโจรสลัด ไม่ได้มีแค่กะโหลกไขว้เท่านั้น
ถ้าพูดถึงธงโจรสลัด ไม่ว่าใครก็คงจะนกถึงธงหัวกะโหลกไขว้ก่อนเป็นสิ่งแรก เพราะมันเป็นความเท่สุดคลาสสิคซึ่งเป็นภาพลักษณ์ของโจรสลัดในสายตาของหลายๆ คน แต่เชื่อไหมล่ะว่าธงโจรสลัดในประวัติศาสตร์จริงๆ มีหลายๆ อันที่ไม่ได้เท่อย่างที่คิด โดยเฉพาะธงของโจรสลัดอย่างหนวดดำแล้วด้วย สนใจกันแล้วใช่ไหมล่ะ? นี้คือ 12 ธงโจรสลัดในประวัติศาสตร์จริงๆ ที่บอกเลยว่ากว่าครึ่งไม่ได้เท่แบบที่คิดแม้แต่น้อย Bartholomew Roberts ออกปล้นเมื่อ 1719-1722 Bartholomew Roberts รู้จักกันในฐานะ Black Bart ผู้ซึ่งว่ากันว่าออกปล้นเรือมากว่า 400 ลำ ซึ่งในภาพเป็นธงอันแรกที่เขาใช้ โดยเป็นภาพของ Roberts กับยมทูตถือนาฬิกาทรายร่วมกัน ธงต่อมาของ Bartholomew Roberts ธงอันที่สองนี้เป็นภาพของเขายืนอยู่บนกะโหลกของชาวเกาะบาร์เบโดส และมาร์ตินีก ส่วนตัวหนังสือ “ABH และ AMH” เป็นคำว่ากะโหลกของชาวเกาะทั้งสองนั่นเอง Sam Bellamy ออกปล้นเมื่อ 1716-1717 Sam Bellamy มีฉายาว่า “Black Sam” เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของธงโจรสลัดแบบที่เราคุ้นเคยกัน อย่างไรก็ตาม Black Sam ออกปล้นอยู่เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นก่อนที่จะเหลือเพียงธงของเขาที่ถูกจดจำ Edward Teach ออกปล้นเมื่อ…
-
7 เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของโลกที่อาจเกิดขึ้นเพียงเพราะ “ความผิดพลาด”
ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นในชีวิต ถึงอย่างนั้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเราจะทำอะไรออกมาถูกต้องตลอดเวลา นั่นทำให้บ่อยครั้งประวัติศาสตร์นั้นถูกเขียนขึ้นจากความผิดพลาด และในบางครั้งความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ก็เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปตลอดกาลเลยด้วย เช่นเดียวกับเหตุการณ์ต่อไปนี้ การล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิล เกิดขึ้นเพราะลืมล็อกประตูเมือง คอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองที่เชื่อกันว่าสามารถทนการโดนล้อมเมืองได้นานถึง 1,000 ปีได้ในปี 1453 พวกเขาทำได้อย่างไรอย่างนั้นเหรอ? จากบันทึกในประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า เพราะทางคอนสแตนติโนเปิลลืมล็อกประตูเมืองนั่นเอง นี่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุคกลาง และจุดเริ่มต้นของยุคเรอเนซ็องส์เลยก็ว่าได้ การทำลายกำแพงเบอร์ลิน เกิดขึ้นเพราะการเข้าใจผิด ในปี 1989 ได้มีการปรับเปลี่ยนกฎหมายการเดินทางเล็กน้อย แต่กลับมีการเข้าใจผิดในงานแถลงข่าวของนักการเมืองเยอรมัน ที่ว่าข้อจำกัดในการเดินทางทั้งหมดจะถูกยกเลิก ดังนั้นเมื่อนักการเมืองตอบคำถามที่ว่ากฎหมายจะมีผลบังคับใช้เมื่อไหร่ว่า “ตอนนี้เลย” กำแพงเบอร์ลินก็ถูกเหล่าประชาชนถล่มทิ้งทันที เรือไททานิคล่ม อาจเกิดขึ้นเพราะไม่มีกุญแจ หนึ่งในสาเหตุที่เรือไททานิคล่ม เชื่อกันว่ามาจากการที่ต้นหนสังเกตเห็นก้อนน้ำแข็งช้าเกินไป แต่เชื่อหรือไม่ว่าเหตุผลที่ต้นหนสังเกตเห็นก้อนน้ำแข็งช้ามาจากการที่เขาไม่มีกล้องส่องทางไกล เนื่องจากมันอยู่ในตู้ล็อกเกอร์ของเจ้าหน้าที่คนเก่าและเขาไม่มีกุญแจตู้ล็อกเกอร์ที่ว่านั่นเอง ชัยชนะของจอร์จวอชิงตัน อาจเกิดขึ้นเพราะการลืมอ่านจดหมาย ระหว่างการปฏิวัติอเมริกาจอร์จวอชิงตันได้ข้ามแม่น้ำเดลาแวร์และปราบกลุ่ม Hessian (ทหารเยอรมันที่อยู่ฝั่งอังกฤษ) อย่างวีรบุรุษ ดูเหมือนว่าชัยชนะครั้งนี้จะเกิดขึ้นจากการที่ผู้บัญชาการของกลุ่ม Hessian ไม่ได้อ่านจดหมายแจ้งเตือนการมาบุกของจอร์จวอชิงตัน เพราะในกระเป๋าเสื้อของเขายังมีจดหมายเตือนที่ยังไม่มีการเปิดอ่านอยู่ สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อาจเกิดขึ้นเพราะรถเลี้ยวผิดทาง สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นจากการลอบสังหารอาร์ชดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ การลอบสังหารเกิดขึ้นสองครั้ง โดยครั้งแรกเป็นการโยนระเบิดพลาดจนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ฟรานซ์จึงได้ตัดสินใจจะไปเยือนคนเจ็บจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่แทนที่จะเลี้ยวไปโรงพยาบาล คนขับรถกลับเลี้ยวผิดไปอีกทางซึ่งนักฆ่าอีกคนกำลังอยู่แถวนั้นพอดี ความตายของสตาลิน…
-
เปิดประวัติ “วิลเลี่ยม อดัมส์” หรือ “มิอุระ อันจิน” ซามูไรชาวตะวันตกคนแรกแห่งยุคเอโดะ
สำหรับประเทศญี่ปุ่นในสมัยก่อนแล้ว การติดต่อกับชาวต่างชาติโดยเฉพาะคนจากฝั่งตะวันตกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ค่อยจะบ่อยนัก ดังนั้นการที่จะหาชาวตะวันตกที่ได้รับยศของซามูไรซึ่งถือเป็นยศอันทรงเกียรติก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากตามไปด้วยเช่นกัน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีชาวตะวันตกที่ได้รับยศซามูไรอยู่ในญี่ปุ่นเลย เพราะในสมัยของ โตกุกาวะ อิเอยาซึ เราก็ได้เห็นซามูไรชาวตะวันตกกันเป็นครั้งแรก ชื่อของซามูไรคนนั้นคือ “มิอุระ อันจิน” (三浦按針) ชายผู้มีชื่อเดิมว่า “วิลเลี่ยม อดัมส์” (William Adams) จากเมืองกิลลิงแฮม มณฑลเคนต์ ประเทศอังกฤษ โดยก่อนที่จะมาเป็นซามูไรวิลเลี่ยม เคยเป็นนักเดินเรือมาก่อน และได้ล่องเรือออกไปยังท้องทะเลเพื่อการค้าขายกับกองเรือดัตช์ จากกองเรือ 5 ลำที่ออกค้าขาย เรือของวิลเลี่ยมเป็นเรือเพียงลำเดียวที่เดินทางมาถึงญี่ปุ่น หลังจากที่พบกับหายนะทางท้องทะเล โดยในตอนที่มาถึงพวกเขาก็โดนคนญี่ปุ่นในพื้นที่หาว่าเป็นโจรสลัดจนลูกเรือส่วนมากโดนสังหารทิ้ง และวิลเลี่ยมกลายเป็นนักโทษของอิเอยาซึไป นับเป็นโชคดีของวิลเลี่ยมที่อิเอยาซึสนใจในความรู้ของเขา จนทำให้เขาได้กลายเป็นคนสนิท ผู้ให้คำปรึกษาแก่ อิเอยาซึ ในการสร้างเรือแบบตะวันตก และกลายเป็นผู้ที่มีความสำคัญในการจัดการค้าขายกับเนเธอร์แลนด์และอังกฤษในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม วิลเลี่ยมนั้นมีภรรยาและลูกๆ อยู่ที่บ้านเกิดจึงได้พยายามขอลากลับบ้าน แต่ด้วยความที่กลัวว่าวิลเลี่ยมจะหนีไปอิเอยาซึจึงไม่ยอมให้เขาออกจากประเทศ และเพื่อเป็นการตอบแทนอิเอยาซึได้มอบดาบคาตานะสองเล่มให้แก่วิลเลี่ยม แต่งตั้งเขาเป็นซามูไร และให้ชื่อใหม่ว่า มิอุระ อันจิน การแต่งตั้งในครั้งนี้ทำให้วิลเลี่ยมยังคงอยู่รับใช้อิเอยาซึต่อไปในฐานะซามูไร ก่อนที่จะได้แต่งงานกับหญิงชาวญี่ปุ่นชื่อ โอยูกิ (お雪)…
-
ผู้เชี่ยวชาญชุบชีวิตให้ภาพเก่า 20 รูปภาพจากประวัติศาสตร์ที่ถูกนำมาเล่าอีกครั้งด้วยการลงสี
การทำให้ภาพในอดีตกลับมามีชีวิตเป็นความฝันของคนหลายๆ คน จะเกิดอะไรขึ้นหากได้เห็นภาพเหล่านั้นอีกครั้งแบบมีสีสัน ไม่แน่นะว่ามันอาจจะให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากที่เคยเป็นเลยก็ได้ ไม่แน่ว่า Marina Amaral ผู้เชี่ยวชาญด้านสีจากประเทศบราซิลก็อาจจะคิดเช่นนั้น เธอจึงใช้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์บวกกับความรู้ในด้านสีทั้งหมดที่เธอมี ใส่ลงไปในโปรแกรมโฟโต้ชอป เพื่อให้ได้ออกมาซึ่งภาพในสมัยก่อน ที่มีสีสันอีกครั้งราวกับเป็นภาพถ่ายในปัจจุบัน และนี่คือหนึ่งในผลงานของเธอ ที่ไม่ใช่เพียงการลงสีตามบรรยากาศของภาพ แต่เป็นรูปสีที่ผ่านการวิจัยมาอย่างยาวนาน กว่าที่จะออกมาในแต่ล่ะรูปนั่นเอง ตำรวจกำลังพาเด็กสาวผิวดำ ไปเรียนที่โรงเรียนซึ่งเคยมีแค่คนขาว จากปี 1960 ชาวครี ชนพื้นเมืองที่อาศัยในแคนาดา 1903 Claude Monet จิตรกรชาวฝรั่งเศสกับภาพของเขา โปแลนด์หลังสงครามโลก เมื่อปี 1946 Marie Sklodowska Curie ผู้หญิงคนแรกที่ได้รางวัลโนเบล จากการวิจัยกัมมันตภาพรังสี Lewis Powell ผู้สมรู้ร่วมคิดในการสังหาร Abraham Lincoln นักบินหญิง 4 คน ในปี 1944 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ตอนสาวๆ …
-
เปิดประวัติศาสตร์ 5 ชนชั้นสูงในสมัยก่อน ผู้ซึ่งถูกบันทึกไว้ว่า “มีอาการทางจิต”
เมื่อนึกถึงเหล่าชนชั้นสูงในสมัยก่อน เชื่อว่าหลายคนคงจะนึกถึงจากเต้นรำที่มีเจ้าหญิงรูปงามหรือเจ้าชายรูปหล่อเข้ามาร่วมงาน แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป เพราะตลอดระยะเวลาประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของโลกนั้น ก็มีชนชั้นสูงที่มีนิสัยแปลกๆ อยู่มากมายเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะมียศถาบรรดาศักดิ์มาจากไหนสุดท้ายชนชั้นสูงก็เป็นคนคนหนึ่งอยู่ดี ในบางครั้งพวกเขาก็อาจจะมีอาการโรคจิต หรือกระทำการใดๆ ที่สร้างความเดือดร้อนและหวาดกลัวให้กับประชาชนได้เหมือนกัน ดังเช่นเหล่าชนชั้นสูงจิตวิปลาสต่อไปนี้ มาเรีย เอลลีโอโนราราชินีแห่งสวีเดน ในฐานะของชนชั้นสูง ความต้องการอันสูงสุดของมาเรียคือการมีลูกชายเพื่อสืบสกุล ดังนั้นเมื่อเธอให้กำเนิดลูกสาวในปี 1626 เธอจึงไม่ยอมรับลูกสาวของตัวเอง โดยเรียกลูกว่าปีศาจ และพยายามฆ่าลูกสาวตัวเองอยู่บ่อยครั้ง นอกจากนี้เมื่อสามีของเธอจากไป ความวิปลาสของเธอก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก โดยเธอไม่ยอมให้มีการฝังร่างของสามีเด็ดขาด และจะนอนหลับอยู่ใต้โลงศพที่ใส่หัวใจของสามีเอาไว้เท่านั้น ชาร์ลส์ที่ 6 กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ชาร์ลส์ที่ 6 เป็นกษัตริย์ผู้ปกครองฝรั่งเศสในช่วงปลายศตวรรษที่ 14 และมีชีวิตอยู่กับความวิปลาสมาเป็นเวลานาน เขาหวาดระแวงและมักโมโหร้ายจนถูกจับมัดอยู่บ่อยๆ แถมยังทำตัวสกปรกมากจนบางครั้งต้องมีการตัดเสื้อที่เขาใส่ออกเลยด้วย อย่างไรก็ตามอาการที่มีชื่อเสียงที่สุดของชาร์ลส์ที่ 6 คือการเชื่อว่าตัวเองทำจากแก้ว และจะไม่ยอมขยับตัวเลยเป็นเวลานานนั่นเอง ปีเตอร์ที่ 3 จักรพรรดิแห่งรัสเซีย สามีของแคทเธอรีน มหาราชผู้ซึ่งแตกต่างจากภรรยาอย่างที่สุด เขาเกลียดรัสเซีย และคนรัสเซียก็เกลียดเขา แถมเจ้าตัวยังมีอาการทำตัวเป็นเด็กอีก ว่ากันว่าตลอดเวลาที่แต่งงานกับแคทเธอรีนพวกเขาไม่เคยมีอะไรกันเลย แถมยังเอาแต่เล่นทหารของเล่นจนไม่ได้ทำงานทำการอีกด้วย จักรพรรดิเนโร แห่งกรุงโรม เนโร เกลาดิอุส ไกซาร์…
-
เก่าแต่เก๋า 20 ความเท่สุดคลาสสิกของทรงผมท่านชาย ที่เคยโด่งดังสุดๆ ในยุค 80
เชื่อว่าอาจจะมีหลายๆ คนที่ประสบปัญหาไปร้านตัดผมแต่ไม่รู้ว่าจะตัดผมทรงอะไรดี จนสุดท้ายก็ปล่อยให้ช่างตัดสินใจ แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจกันทีหลังเพราะไม่ได้ดั่งใจกันมาบ้าง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะบางครั้งทรงผมที่เราอยากทำมันไม่ใช่ทรงผมแบบทันสมัยสักเท่าไหร่ ดังนั้นเพื่อที่จะให้เรามีทางเลือกเวลาไปตัดผมมากขึ้น #เหมียวศรัทธา จึงได้นำ 20 ทรงผมสุดเท่ของผู้ชาย ที่เคยโด่งดังสุดๆ ในยุค 80 มาฝาก ไปดูกันดีกว่าว่าทรงผมสมัยก่อนนั้น จะดูดีสู้ทรงผมยุคใหม่ๆ ได้ไหม เริ่มกันที่ทรงผมแบบดัด จากปี 1980 Crop Cut แบบปี 1984 ผมหยิกแบบแมนๆ จากปี 1984 Flat 1984 ทรงของ Duke Nukem รองทรงยาวแบบ 1984 ตัดแบบมีเลเยอร์ 1984 ปล่อยยาวหยักศกแบบ 1984 ทรงควิฟแบบ 1984 Flattop จากปี 1985 บ๊อบสั้น 1986 He-Man…