Tag: เจ๊ง

การหั่นหัวหอมคือหนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายๆ คนขยาดที่จะเข้าครัวไปทำอาหาร เพราะไม่ชอบที่จะต้องหั่นไปร้องไห้ไปอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ได้มีหัวหอมรูปแบบใหม่ที่จะทำให้เราไม่เจอกับปัญหานี้อีกต่อไป นี่คือหัวหอมที่ชื่อว่า Sunions เป็นหอมที่จะทำให้เราไม่ต้องหลั่งน้ำตาให้กับการหั่นอีกต่อไปแล้ว ซึ่งภาพของเจ้าหัวหอมชนิดนี้ได้ถูกโพสต์ลงในอินสตาแกรม Suniononion เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2017   หัวหอมสายพันธุ์ใหม่ ที่ทำให้เราไม่ต้องหลั่งน้ำตาให้มันอีกต่อไปแล้ว   บางคนอาจกำลังคิดว่านี่ต้องเป็นหัวหอมที่ผ่านกระบวนการ ดัดแปลงพันธุกรรม (หรือที่เรียกว่า GMO) อย่างแน่นอน แต่ความจริงแล้วมันเป็นพืชที่เกิดการข้ามสายพันธุ์ตามธรรมชาติ โดยใช้ระยะเวลานานกว่า 30 ปี Rick Watson ผู้เพาะพันธุ์เจ้าพืชชนิดนี้บอกว่า “จากการวิจัยและพัฒนาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ทำให้เราได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นหัวหอมชนิดนี้ ซึ่งความพิเศษของมันคือ ลดความแสบร้อนในขณะที่เราเก็บมันเอาไว้” ความแสบร้อนที่ว่าก็คือกลิ่นที่ลอยมาแตะจมูกของเราขณะที่กำลังหั่นมันอยู่ ซึ่งนั่นคือกลไกป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งของพืชชนิดนี้ เหมือนกับจะบอกเราว่า “อย่ากินฉันเลยนะ ฉันขอร้อง” และน้ำตาของเราที่ไหลออกมา คงเกิดจากความสงสารอะไรทำนองนั้น     สำหรับการค้นพบในครั้งนี้ คงต้องขอขอบคุณความช่วยเหลือจากฟาร์ม L&L AG Production , Hartley Produce และ Perry&Sons ที่ช่วยทำให้เราไม่ต้องกังวลกับปัญหาน้ำตาไหลเวลาหั่นหอมอีกต่อไป ปัจจุบัน…

พวกเราแต่ละคนจะมีวิธีประยุกต์ใช้งานสิ่งของบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้มันสามารถตอบสนองความต้องการของเราให้ได้มากที่สุด เช่นเดียวกันกับคนเหล่านี้ พวกเขาสามารถคิดหาวิธีการนำสิ่งต่างๆ มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหลือเชื่อ และถึงแม้มันจะดูเด๋อๆ ไปหน่อย แต่มันก็สามารถใช้ได้จริงนะเออ เราลองไปดูกันเลย   เศรษฐกิจไม่ค่อยดี มันก็ต้องทำควบสองงานเป็นธรรมดา   นอกจากจินตนาการจะล้ำเลิศแล้ว ฝีมือช่างไม้ของเขายังเซียนอีกด้วย   เมื่อเราติดเกมอยู่ในบ้าน แล้วแม่บอกให้ออกไปเล่นนอกบ้านบ้าง   ไม่ใช่แค่นักกีฬาดีเด่น เพราะฝีมือการทำอาหารของเขาก็ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว   ถ้าคุณเบื่อรถติด เราขอแนะนำเจ้าสิ่งนี้เลย เพลินอย่าบอกใครเชียว   หมดปัญหาถอยไปชนคันอื่นทันที เพราะมีเสียงเตือนอัจฉริยะอยู่   วิ่งๆ มันน่าเบื่อ ขอลองเล่นแบบนอนหงายดูบ้าง   ช่วงเวลาเร่งรีบ รองเท้าไม่แห้งนี่เรื่องใหญ่นะ   จะดำน้ำทั้งที อย่าลืมพกถังออกซิเจนไปด้วย   เจ๋งซะยิ่งกว่าโล่ของกัปตันอเมริกา สามารถป้องกันน้ำมันกระเด็นได้อย่างยอดเยี่ยม   จะให้ยกขึ้นไปตัดเองมันก็ไม่ไหวหรอก   เตาอบแบบใหม่ สำหรับคนที่ไม่สนใจเรื่องดีไซน์   ที่นั่งสบายๆ แถมประหยัดงบประมาณอีกต่างหาก   เดี๋ยวลูกค้าจะรอนาน เชฟเลยต้องเร่งมือหน่อย   DIY แบบชิลล์ๆ…

ไม่ว่าจะเรื่องอะไรทุกคนก็ล้วนเริ่มจากศูนย์กันทั้งนั้น เช่นเดียวกับการคอสเพลย์ที่ไม่มีใครอยู่ดีๆ เกิดมาก็คอสเพลย์เป็น ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้ Nina Mkhoiani หญิงสาวจากรัฐจอร์เจียที่สงสัยในคอสเพลย์จึงพาตัวเอาเข้ามาอยู่ในวงการ เธอเล่าว่าตอนช่วงปี 2013 เธอไม่รู้เลยว่าอะไรคือการคอสเพลย์ รู้แค่ว่าที่เมืองของเธอมันฮิตมากๆ เธอจึงเกิดสนใจอยากจะเข้าร่วมในวงการนี้ด้วย แต่เธอก็ไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับการคอสเพลย์ฉะนั้นเธอจะต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง…   สาวสวยผู้ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการคอสเพลย์   เธอเริ่มเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองจากการดูคลิปบนยูทูบ ซึ่งเป็นคลิปที่สอนเกี่ยวการทำชุดตัวละคร Arthas จากเกม World of Warcraft โดยปกติเธอก็เป็นแฟนเกมนี้อยู่แล้วเธอจึงตื่นเต้นมากๆ โดยหลังจากดูทุกอย่างจบ เธอก็จัดการไปซื้อวัตถุดิบมาเตรียมพร้อมเพื่อจะทำตามบ้าง Nina เลือกใช้วัสดุที่ไม่แพงมากนักในการหัดทำครั้งแรก เพราะเธอให้เหตุผลว่าเธอไม่อยากจะใช้เงินไปกับมันมากเกินไป เธอเลือกใช้โฟมยางแบบที่ไม่แพงมาก ใช้กาวร้อนและกาวลาเท็กซ์เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งหลังจากที่เธอเริ่มเข้าใจและทำมันไปเรื่อยๆ โดยใช้เวลาหลายวันในที่สุดผลงานของเธอก็เสร็จสิ้น!!   เธอจัดการสร้างทุกอย่างขึ้นมาจากไม่มีอะไรเลย เรียนรู้จากเพียงการดูยูทูบ   ใช้กาวลาเท็กซ์สร้างทรงดาบขึ้นมา   สุดท้ายเกิดเป็นผลงานสุดเจ๋ง!!   เธอเล่าเสริมอีกว่า เธอตัดสินใจไปงานประกวดคอสเพลย์ใกล้ๆ ในเมืองเธอ ซึ่งครั้งแรกที่ขึ้นเวทีเธอบอกว่ามันให้ความรู้แปลกใหม่และตื่นเต้นมากๆ เธอรู้สึกได้สวมบทบาทเป็นคนอื่น เป็นใครสักคนที่ไม่ใช่ Nina Mkhoiani อีกต่อไป และหลังจากจบงานเธอก็เก็บความรู้สึกนั้นไว้และใช้มันพลักดันตัวเองต่อไป เมื่อเวลาผ่านไป เธอก็มีผลงานใหม่ๆ ออกมา ซึ่งผลงานหลักๆ ของเธอก็ยังคงอยู่กับเกมที่เธอชื่นชอบ World of Warcraft…

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน ได้มีกระแสโซเชี่ยลจากฝั่งญี่ปุ่นที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับหนุ่มคนหนึ่งที่ครอสเดรสเป็นหญิงสาวสุดน่ารัก จนถูกเพื่อนรักทักมาขอจีบ มาวันนี้เรื่องราวของเขาถูกแฟนๆ เอาไปจิ้นพร้อมวาดแฟนอาร์ตออกมาเพียบแล้วนะ!! (กลับไปอ่านข่าวเก่าได้ที่ “หนุ่มญี่ปุ่นครอสเดรสสุดน่ารัก จนเพื่อนชายทักหา “นั่นนายใช่ไหม?” แถมขอคบกันด้วย!?“) โดยแฟนอาร์ตต่างๆ นั้นถูกส่งมาจากชาวเน็ต ซึ่งทุกคนก็ล้วนใส่ไอเดียตามสไตล์ของแต่ละคนเข้าไป จนสุดท้ายก็ออกมาเป็นงานภาพสุดน่ารักๆ มากมายให้เราได้ชมกัน…   ถ้าเราไม่รู้มาก่อน เราจะต้องคิดว่านี่เป็นการวาดแฟนอาร์ตให้ผู้หญิงแท้แน่นอน   งานแฟนอาร์ตแต่ละรูปก็เรียกว่าตั้งใจกันวาดแบบสุดๆ .   แบบวาดดินสอเฉยๆ ก็มีนะ สวยไม่ต่างกับข้างบนเลย   แต่ที่เด็ดที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นการวาดเป็นโดจินมาให้เลย #เหมียวมู่ทู่ ขอตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า “เพื่อนซี้ของฉันไม่น่ารักขนาดนั้นหรอก!!”   และนี่ก็คือตัวอย่างเนื้อหาข้างใน ซึ่งหน้านี้จะพูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวที่เพื่อนชายมาขอออกเดทกับเขาในชุดครอสเดรส ซึ่งเจ้าตัวก็รู้ว่ามันไม่ดีแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงๆ พี่แกกลับรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้แต่งตัวออกไปหาเพื่อนรักซะอย่างนั้น เอ้า!!   สุดท้ายเจ้าตัวก็เลยเลือกแต่งตัวแบบผู้ชายแมนๆ เตะบอลกันออกมา โดยกะว่าเออ นี่ถ้าตรูแต่งแบบนี้แล้วเจ้าเพื่อนตัวแสบเห็นกล้ามนิดๆ มันคงเปลี่ยนใจ… ที่ไหนได้ พอเพื่อนตัวแสบมาเห็นเสื้อไม่ติดกระดุมหนึ่งเม็ด พร้อมกับชุดสุภาพแบบพนักงานออฟฟิศ งานนี้ยิ่งถูกใจคุณเพื่อนเข้าไปใหญ่!!     เอาเป็นว่าถ้าใครยังไม่ได้ติดตามพ่อหนุ่ม @Elmon_0715 ก็สามารถไปกดติดตามเขาได้ที่ทวิตเตอร์ส่วนตัวกันเลย แถมช่วงนี้คงจะมีแฟนอาร์ตน่ารักๆ โผล่มาให้เสพกันอีกเพียบเลยล่ะ   ที่มา goboiano

ด้วยสังคมที่เร่งรีบในปัจจุบันและการแข่งขันที่มีเข้ามาอยู่มาเสมอ สองมือของเราอาจยังไม่สามารถทำงานให้ออกมามีประสิทธิภาพหรือรวดเร็วทันใจได้ วันนี้เราจึงขอเสนอ Double Hand สิ่งประดิษฐ์ที่สามารถช่วยคุณได้เพราะมันจะทำให้คุณได้มีมือไว้ใช้รวมกันถึง 4 ข้างเลยทีเดียว   สิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตแบบ 4 มือได้   นี่เป็นผลงานของ Federico Ciccarese จากบริษัทผู้ผลิต Youbionic โดยเราสามารถเห็นได้จากรูปลักษณ์ของมันเลยว่า เพียงแค่คุณใส่มันเข้าไปในแขนข้างใดข้างหนึ่ง เจ้าตัวนี้ก็จะทำให้คุณได้รู้สึกเหมือนกับว่าแขนข้างนั้นมีมืองอกออกมาถึงสองข้างพร้อมๆ กัน     ด้วยวัสดุที่เป็นพลาสติกขนาดเบาทำให้หมดกังวลว่ามันจะหนักจนเกินไป อีกทั้งการควบคุมก็ยังง่ายแสนง่ายเพียงแค่ใช้สองนิ้วก็สามารถควบคุมมือเทียมนี้ได้หนึ่งข้างแล้ว ราคาของมันก็ถู๊กถูก เพียงแค่ 70,000 บาทเท่านั้น (ยังไม่รวมค่าจัดส่ง) ก็สามารถเป็นเจ้าของมันได้แล้ว และถ้าใครอยากมีแขนรวมกัน 4 ข้างก็เพียงแค่ซื้อมาอีกชิ้นใส่แขนอีกข้างเท่านั้นเอง รวมๆ ก็ 140,000 บาท   การทำงานของมันด้วยการควบคุมที่ง่ายแสนง่าย   แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องขอเตือนกันไว้ก่อนว่าเจ้าสิ่งนี้ไม่ได้มีความพิเศษมากขนาดที่จะช่วยให้เราพิมพ์ดีดได้เร็วขึ้น หรือเล่นเปียโนเก่งขึ้นได้ เพราะการทำงานของมันหรือการขยับนิ้วก็ยังคงช้าเอามากๆ และจากที่เห็นกันในคลิปวิดีโอสาธิต เจ้าสิ่งนี้ก็ยังทำได้แค่กำมือ แบมือเท่านั้นเอง   คลิปสาธิตการทำงานเจ้า Double Hand   อย่างไรก็ตามหากใครอยากซื้อมาเป็นเจ้าของเพื่อไว้ยกแก้วเครื่องดื่มทีละ 4…

การเก็บบันทึกรูปภาพของคนแต่ละคนนั้นก็มีวิธีแตกต่างกันออกไปตามแต่ความชอบส่วนบุคคล บางคนอาจจะชอบการเก็บภาพไว้ในคอมพิวเตอร์ บางคนอาจจะชอบใส่กรอบไว้ หรือบางคนอาจจะชอบพกติดตัวเสมอ แต่ยังมีการเก็บภาพอีกแบบหนึ่ง ที่คนนิยมทำเช่นกันแต่อาจจะไม่แพร่หลายมากนัก นั่นก็คือการเก็บภาพใส่ขวดโหลที่มีน้ำอยู่ ซึ่งมันจะทำให้ภาพดูใหญ่และมีมิติมากขึ้น!! Christoffer Relander ช่างภาพชาวฟินแลนด์ผู้ชื่นชอบการเก็บความทรงจำไว้ในขวดโหล ก็ได้ใช้วิธีดังกล่าวมาเก็บภาพชนบทในฟินแลนด์ ส่วนสาเหตุที่ต้องเป็นชนบทนั่นก็เพราะมันทำให้เขาคิดถึงความทรงจำในวัยเด็กของเขานั่นเอง     เขาได้นิยามผลงานของเขาว่า “ธรรมชาตินั้นสวยงามก็จริง แต่ความเซอร์เรียลมันกลับซึบซับได้ดีมากกว่า” “ภาพถ่ายสำหรับผมมันคือการแสดงออกและกระตุ้นจินตนาการของผม ธรรมชาติก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโลกเท่านั้น แต่เมื่อบวกเข้ากับเทคนิคการถ่ายภาพและการแสดงมันออกมา มันทำให้ผมสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่สวยงามที่แตกต่างไปจากภาพวาดหรือการแต่งรูปนั่นเอง”       อย่างไรก็ตามผลงานภาพในขวดโหลของเขา ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่น่าสนใจไม่น้อย และเมื่อรวมกับฝีมือถ่ายภาพระดับมืออาชีพ เราก็จะเห็นว่างานที่เขาสร้างกับคำพูดของเขามันไม่ได้เกินจริงเลย ถ้าใครที่สนใจและอยากจะติดตามผลงานของ Christoffer มากกว่านี้ก็สามารถเข้าไปดูงานของเขาได้ที่เว็บไซต์ของเขา christofferrelander ได้เลย ข้างในนั้นยังมีผลงานภาพในขวดโหลดในธีมต่างๆ อีกมากมาย และแต่ละอันก็สวยมากๆ เลยล่ะ แต่ถ้ายังไม่มั่นใจหรือยังไม่ชัวร์ว่าจะกดเข้าไปดูดีไหม ก็ลองชื่นชมผลงานเซตความทรงจำวัยเด็กของเขาดูก่อนเป็นไง…   . . . . . . .   ใครจะคิดว่าภาพวิวสวยๆ เมื่อรวมเข้ากับเทคนิคในขวดโหลจะออกดูดีแบบนี้ ที่มา thisiscolossal

สัตว์แต่ละชนิดอาจมีความสามารถที่เราคาดไม่ถึงซ่อนไว้อยู่ก็ได้ บางตัวอาจมีความสามารถในการลอกเลียนเสียงมนุษย์ บางตัวอาจมีความสามารถในการพรางตัว หรือบางตัวอาจมีความสามารถในการจดจำใบหน้าของมนุษย์ได้!? การทดลองนี้เป็นของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ศาสตราจารย์ด้านระบบประสาท Jenny Morton ถูกตีพิมพ์ใน Royal Society Open Science เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2017 โดยเธอได้ใช้แกะจำนวน 8 ตัวมาเป็นผู้รับการทดลองในครั้งนี้     เมื่อเธอพาพวกมันมาที่ฟาร์มสำหรับการทดลองแล้ว เจ้าแกะแต่ละตัวก็ถูกกำหนดให้จำใบหน้าของ 1 ใน 4 คนดังได้แก่ Barack Obama , Emma Watson , Fiona Bruce และ Jake Gyllenhall โดยให้พวกมันดูรูปถ่ายใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้น ขั้นตอนต่อไปคือการให้เจ้าแกะเข้าไปทีละตัวและเลือกว่ารูปไหนคือคนดังที่มันได้จดจำไป หากมันเลือกถูกก็จะได้รับอาหารเป็นของรางวัล แต่ถ้าผิดก็จะไม่ได้รับอาหารและมีเสียงสัญญาณดังขึ้นมาแทน   เลือกถูกได้อาหาร เลือกผิดไม่ได้อะไรแต่จะมีเสียงดังขึ้นมา   ในตอนแรกหน้าจอแสดงขึ้นมาเพียงฝั่งเดียวก่อน หลังจากนั้นในรอบต่อๆ ไปจะมีรูปภาพใบหน้าโผล่ขึ้นมาทั้งสองจอ ซึ่งมีฝั่งหนึ่งที่เป็นคนดังที่มันจดจำเอาไว้และอีกฝั่งหนึ่งที่เป็นใครก็ไม่รู้แต่มีลักษณะคล้ายกับคนที่พวกมันได้จดจำ มีเพศเดียวกันและเชื้อชาติเดียวกัน   ในตอนแรกมีการแสดงภาพขึ้นมาเพียงจอเดียว   ต่อมามีการแสดงภาพทั้งสองจอ…

เวลาที่เราอยากจะได้ไอเดียอะไรบางอย่างเพื่อสร้างสินค้า บางครั้งเรามักจะมองไปไกลๆ เพื่อหาไอเดียแปลกๆ ใหม่ๆ จนบางครั้งเราลืมมองหาไอเดียจากอะไรที่อยู่รอบตัวไปเสียทุกที เช่นเดียวกับของชิ้นหนึ่งที่ดูยังไงมันก็น่าจะมาทำเป็นกระเป๋าได้สบายๆ ของที่ว่านั่นก็คือ คลิปหนีบกระดาษ ที่ดูทรงแล้วมันก็คือกระเป๋าใบเล็กดีๆ นี่เอง Peter Bristol ดีไซน์เนอร์จากบริษัท Oculus ก็ได้หยิบเจ้าคลิปหนีบกระดาษนั้นมาทำเป็นกระเป๋าในขนาดที่ใหญ่ขึ้น แต่มีหน้าตาเหมือนเดิมและจุดประสงค์ใช้งานที่เปลี่ยนไป ที่สำคัญมันดูดีไม่หยอกเลยล่ะ…   โฉมหน้าของดีไซน์เนอร์หนุ่มเจ้าของผลงานนี้   หน้าตาของเจ้ากระเป๋าคลิปหนีบกระดาษที่ว่า   ฟังค์ชั่นเดียวกับคลิปหนีบกระดาษเป๊ะๆ ส่วนที่เป็นหูจับสามารถพับได้   นอกจากดีไซน์ที่เรียบง่ายจากคลิปหนีบกระดาษแล้ว วัสดุก็เปลี่ยนจากตัวคลิปที่เดิมเป็นเหล็กให้กลายเป็นขนสัตว์แทน เพื่อสัมผัสที่นุ่มสบาย ส่วนหูจับก็ทำจากอลูมิเนียมอย่างดี ฉะนั้นกระเป๋าใบนี้รับรองว่าคุณภาพเยี่ยมแน่นอน     เรียบง่ายแต่คูล . .   ถือไปข้างนอกรับรองคนต้องสนใจในกระเป๋าใบนี้ชัวร์ๆ . .   เมียบเทียบกับคลิปหนีบกระดาษทั่วไปแล้ว นอกจากขนาดอย่างอื่นก็ไม่ต่างกันเลย เหมือนเป๊ะๆ   การใช้งานก็ง่ายดุจดั่งกระเป๋าถือทั่วๆ ไป   ถือแล้วดูเกร๋ ดูแพงอย่าบอกใคร   ชิคแบบนี้เอาเงินไปเลยจ้า ที่มา designyoutrust

โลกที่หมุนไป เวลาที่ไหลผ่านทุกอย่างเริ่มพัฒนาไม่มีที่สิ้นสุดจนเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาในทุกวัน บางอย่างอาจจะออกมาให้ใช้จริงแล้ว บางอย่างก็อาจจะยังเป็นคอนเซ็ปต์เท่านั้น เพียงแต่ว่าแม้จะเป็นแค่คอนเซ็ปต์มันก็แฝงความน่าสนใจไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว และเมื่อพูดถึงคอนเซ็ปต์โลกอนาคต นวัตกรรมยานยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ทุกครั้งที่มีการปล่อยคอนเซ็ปต์ทีไรเป็นอันต้องร้องว๊าวไปซะทุกที เพราะเวลาที่แต่ละค่ายนั้นไปปล่อยของในงาน CES (Consumer Technolygy Association) มันมักจะมีอะไรใหม่ๆ มาให้เราชมเสมอ   นี่เป็นคอนเซ็ปต์รถสุดล้ำจาก Fiat Chrysle ที่ดูภายนอกอาจจะรู้สึกถึงขนาดที่ใหญ่เทอะทะ และหนัก แต่ด้วยความทันสมัยภายในนั้นก็สามารถที่จะทดแทนตัวรถได้ไม่ยาก ตัวรถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่สามารถชาร์จแบตให้เต็มได้ภายใน 20 นาที และยังมีระบบขับขี่สุดล้ำที่ออกแบบมาให้เหมาะสำหรับสังคมเมือง .   ทาง Rinspeed ก็ได้ปล่อยคอนเซ็ปต์ของทางบริษัทที่ชูแนวคิดรักโลกออกมา โดยตัวรถจะทำหน้าที่เป็นดั่งโอเอซิสที่ภายในจะมีต้นไม้อยู่เต้มไปหมด ส่วนตรงกระบังลมก็จะเป็นปุ่มควบคุมแบบทัชสกรีน . .   Honda ก็ไม่น้อยปล่อยคอนเซ็ปต์รถ NeuV รถที่สามารถอ่านความรู้สึกของคนขับเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติให้ดียิ่งขึ้น .   Volkswagen ยังคงรักษาความคลาสสิคโดยใช้โมเดลรถแวนรุ่นเก่า แต่นำมาผสมกับเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นรถไฟฟ้าซึ่งสามารถวิ่งได้ถึง 434 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง รวมถึงยังมีเทคโนยีล้ำๆ อีกเยอะแยะมากมาย ที่สำคัญสามารถสั่งการผ่านโทรศัพท์มือถือได้ด้วยนะ . .   ส่วน Toyota ก็ปล่อยคอนเซ็ปต์รถของพวกเขาเช่นกัน โดยใช้ชื่อรุ่นว่า…

การดูหนังสยองขวัญไม่ใช่สิ่งที่หลายๆ คนชื่นชอบ แต่งานวิจัยนี้อาจช่วยให้เปลี่ยนความคิดนั้นได้ เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่าการดูหนังแนวนั้นเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง!! งานวิจัยดังกล่าวเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย Westminster ตั้งอยู่ใจกลางกรุงลอนดอน โดยนักวิจัยได้บอกว่าการดูหนังสยองขวัญเป็นเวลา 90 นาที สามารถเบิร์นแคลอรี่ได้มากถึง 113 แคลฯ เทียบเท่ากับการเดินเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง     ดอกเตอร์ Richard Mackenzie วิทยากรอาวุโสผู้เชี่ยวชาญด้านการเผาผลาญและสรีระวิทยาของมหาวิทยาลัย ได้ออกมาอธิบายถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเอาไว้ว่า “การดูหนังสยองขวัญช่วยเบิร์นแคลอรี่ของเราจากการสะดุ้งตกใจของเราในขณะที่รับชม” เขาอธิบายต่อว่า “การสะดุ้งจะทำให้ชีพจรและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงขึ้น เลือดลมในร่างกายสูบฉีดเร็วขึ้น จนทำให้ร่างกายปล่อยอะดรีนาลีนออกมาเอง ซึ่งอะดรีนาลีนดังกล่าวจะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ ตอนที่เราเครียดหรือหวาดกลัว ลดความอยากอาหารของเราไป เพิ่มอัตราการเผาผลาญขั้นพื้นฐานและช่วยเบิร์นแคลอรี่ในระดับสูงมากยิ่งขึ้น”     นอกจากนั้นได้มีการศึกษาจากบริษัทเช่าหนังออนไลน์ที่ชื่อว่า LoveFilm ทำการวัดอัตรการเต้นของหัวใจ การรับออกซิเจนและการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของเราออกมา ผลลัพธ์ที่ออกมาคือหนังสยองขวัญสามารถช่วยเบิร์นแคลอรี่ได้มากกว่าค่าเฉลี่ยปกติถึง 3 เท่า     ถ้าหากเพื่อนๆ คิดว่า 113 แคลฯ มันน้อยไปแล้วล่ะก็ เรามีวิธีที่มันแอดวานซ์ขึ้นไปอีก เพราะจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Westminster บอกว่าการดูหนังจำนวน 6 จาก 10 เรื่องดังต่อไปนี้ สามารถเบิร์นแคลอรี่ได้มากกว่านั้นเยอะ โดยได้จัดอันดับเอาไว้ตามนี้…

พอถึงวันฮาโลวีนทีไร คอสตูมเฟี้ยวๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่นักปาร์ตี้จะขาดไม่ได้เลยทีเดียว เช่นเดียวกับคอสตูมของเด็กๆ ที่วันนั้นเป็นวันแสนสนุกของพวกเขา เพียงแต่เด็กบางคนก็ไม่รู้จะแต่งอะไรเนี่ยสิ คุณพ่อชาวเน็ตนามว่า Moosecock เลยเกิดไอเดียอยากทำคอสตูมเจ๋งๆ ให้ลูกใส่ไปงานฮาโลวีน เขาเลยหยิบชุดของ Rocketeer ฮีโร่หัวจรวดยุคเก๋า ก่อนที่ Iron Man จะดังมาทำให้ลูกใส่ซะเลย     เริ่มจากการทำหมวกเหล็กซะก่อน โดยเริ่มร่างแบบจากคอมพิวเตอร์   พอได้แบบที่ร่างไว้แล้ว ก็ตัดออกมาทาบตัดกับโฟมอีกทีหนึ่ง   ออกเป็นรูปเป็นร่างแล้วเห็นไหม   จากนั้นก็ตัดส่วนปากตามแบบ     ลองเอามาประกอบกันดู แหม่ใช้ได้เลยนะเนี่ย   เก็บรายละเอียดต่างๆ นิดๆ หน่อยๆ   จากนั้นก็พ่นสีทับเพื่อความเนียบ   ปิดท้ายด้วยสีทองที่เป็นสีจริงๆ จากตัวตัวละคร Rocketeer   โอเค ส่วนหัวเสร็จแล้วมาต่อกันที่จรวดกันบ้าง   เริ่มจากเจาะรูเยอะๆ แบบนี้   จากนั้นก็ใช้พลาสติกจากขวดมาเป็นส่วนหัวและท้าย   หลังจากลองประกอบแล้ว ก็ถอดชิ้นส่วนมาพ่นสีแยก   ส่วนปลายเป็นสีทองตามต้นฉบับ   ภายในไอพ่นก็ติดไฟ LED เข้าไปเพื่อเพิ่มเอฟเฟกต์ไอพ่น  …

ความเพอร์เฟ็กต์เป็นสิ่งที่หลายคนชื่นชอบและต้องการให้มันเกิดขึ้นกับหลายๆ สิ่ง แต่แน่นอนว่าจะให้ทุกอย่างมันสมบูรณ์แบบได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่ โดยพิสูจน์ได้จากภาพของสิ่งเหล่านี้ที่มีความเป๊ะสุดๆ จนเหมือนกับว่าพวกมันเกิดมาเพื่อคู่กัน ไปดูกันเลยว่าเมื่อมันถูกจัดวางกันอย่างลงตัวแล้ว ทำให้เรารู้สึกชุ่มชื่นหัวใจมากขนาดไหน?   ถ้าตอกไข่ใส่ลงไปตรงกลางนี่เยี่ยมเลย   ถ้วยชามที่วางเรียงกันจนดูเหมือนครัวซองต์   วางแบบนี้เหมือนรูปร่างของปอดเราเลยนะเนี่ย   ถุงหิ้วแบบใส่ได้พอดีเป๊ะ เห็นแล้วก็รู้สึกสบายตาพกพาสะดวก   ขนาดน้ำแข็งในแก้วยังทำให้เกิดรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าได้…..อิลูมินาติ คอนเฟิร์ม   อยากรู้จริงๆ ว่าตอนลงอุโมงค์มาไม่รู้สึกหวาดเสียวบ้างหรือไง   หัวชาร์จไอโฟนก็ยังมีความลงตัวได้กับบางสิ่งเช่น ปฏิทิน   คนละยี่ห้อนะ แต่ดูเหมือนสร้างมาเพื่อกันและกันจริงๆ   แหวนคู่ที่บอกได้ว่าทั้งสองมีความเข้ากันได้มากเพียงใด   ขอชื่นชมให้กับคนที่นั่งเรียงจริงๆ พอดีเกิ๊นนน   สงสัยจะซื้อมาคู่กันสินะ   ตอนขีดเส้นนี่ตั้งใจให้มันเป็นระนาบเดียวกันหรือเปล่า   ยินดีด้วยนะครับ คุณได้ลูกแฝด   เป็นการห่อของขวัญที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด   อย่าลืมพกช็อกโกแลตเอาไว้กินรองท้องระหว่างขับรถด้วยนะ   สบายใจไม่ต้องซื้อทีวีติดรถกันแล้ว ดูผ่านมือถือเอาเนี่ยแหละ   องศาของแสงและเงา ทุกอย่างมันช่างลงตัวกันไปหมดเลย   แบ่งครึ่งกันแบบเป๊ะๆ   ฟูกที่เราสามารถเอามาใช้แทนประตูได้…

จะเป็นยังไงเมื่อคุณนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาพบว่าโลกใบนี้มันได้ติดเชื้อในกระแสเลือด…เอ้ย เชื้อไวรัสซอมบี้กันจนหมด คนรอบข้างก็กลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ บ้านที่เราอยู่ก็ดูจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป แล้วที่ไหนล่ะที่เราจะมีชีวิตรอดได้? ด้วยเหตุนี้ทาง boredomtherapy ก็เลยรวบรวมสถานที่ต่างๆ จากรอบโลกมาให้เราดูกันว่า ถ้าเกิดเป็นดังที่เกริ่นจริงๆ ควรจะไปอยู่ที่ไหนดีถึงจะปลอดภัย ว่าแต่จะมีที่ไหนอยู่ใกล้เราบ้างนั้นลองมาดูกัน…   Wiltshire’s Secret Underground City หลุมหลบภัยในเมือง Corsham ประเทศอังกฤษที่มีพื้นที่กว้างขวางสามารถจุคนได้มากถึง 4,000 คนนี้ถือเป็นสถานที่หลบภัยซอมบี้อย่างดี แม้จะสร้างไว้ตั้งแต่ปี 1950s สถานที่แห่งนี้ก็พร้อมไปด้วยไฟและน้ำฉะนั้นอยู่ได้ยาวๆ   Lawson Tower หอคอยสูงแห่งนี้ตั้งอยู่ที่รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเดิมทีมันเป็นหอสำหรับกักเก็บน้ำและสร้างโดย Thomas Lawson ทว่าตอนที่สร้างเสร็จภรรยาของเขาก็ไม่ปลื้มเท่าไหร่เพราะมันบดบังวิว แต่ตัวเขาไม่อยากพังมันลงจึงให้ช่างสร้างหอคอยทรงยุคกลางขึ้นมาครอบไว้ เพื่อให้ดูสวยงามแทนที่นั่นเอง ฉะนั้นใช้หลบภัยได้ยาวๆ   Alcatraz Island คุกบนเกาะกลางน้ำบริเวณรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ครั้งหนึ่งเคยดำเนินการคุมขังเหล่านักโทษคดีอุกฉกรรจ์เพราะบรเวณโดยรอบมีแต่ละเทและคลื่นลมแรง แต่เนื่องจากลมทะเลมักจะมาพร้อมกับไอเกลือทำให้มันกัดเซาะเหล็กและโครงสร้างต่างๆ จนยากเกินที่จะดูแล ทำให้มันถูกทิ้งร้างไปอย่างน่าเสียดาย ที่แห่งนี้จัดว่าเป็นสถานที่หลบภัยชั้นดีเลยล่ะ เมื่อต้องสู้กับกองทัพซอมบี้ เพราะว่าโดยปกติแล้วซอมบี้มักจะกลัวน้ำ และด้วยความที่ที่แห่งนี้เป็นคุกอยู่แล้ว หาอาหารการกินจึงหมดห่วง   Scotland’s Secret Bunker ถ้าการอยู่ที่สูงหรือเกาะกลางน้ำยังไม่ใช่คำตอบ งั้นหลบไปอยู่ใต้ดินเป็นไง กับอีกหนึ่งหลุ่มหลบภัยในประเทศสกอตแลนด์ที่ใช้ในการหลบนิวเคลียร์และตั้งอยู่ในชนบทห่างไกลผู้คน แถมยังอยู่ใต้บ้านฟาร์มอีกรับรองว่าซอมบี้หาไม่เจอแน่นอน…

ไม่ว่าคุณจะเบื่อ เศร้า เหงา หรือเซ็งจนจิตหงุดเงี้ยว อยู่ล่ะก็.. ไม่ต้องทำหน้าหงอยไป เพราะเราจะพาไปชม 18 ภาพที่ดูแล้วฟินห์ตา ดูแล้วไม่อยากหันไปทางอื่นเล๊ยย!!   ช่างเป็นสนามหญ้าที่น่านอนกลิ้งเหลือเกิน อูยยย…   หลอดไฟหรือไข่แดง? เอ๊ะหรือดราก้อนบอล?   กระป๋องเบียร์ที่เรียงตัวอย่างสวยงาม เพิ่มความน่าดื่มเข้าไปอีก 10%   แกะพลาสติกบนโต๊ะหินอ่อนไม้ที่เพิ่งซื้อมา โอ้ววฟินนห์อ่าาาห์   ช่างเป็นเค้กที่ดูมีรูปทรงกลมกล่อมน่าลิ้มลองมากๆ   ขาว ดำ ดำ ขาว ขาว ดำ ขาว ขาว ดำ ดำ ขาว ดำ ดำ ขาว ดำ   สวรรค์ของเจ้าเหมียวเลยสิเนี๊ยะ   ลุ้นแทบตาย… สุดท้ายก็แกะสติ๊กเกอร์ได้อย่างเพอร์เฟกต์ ยอดเยี่ยมไปเลยนายจ๋าา   การไล่ลำดับสีของผลมะเขือเทศตามธรรมชาติ สวยงามเว่อร์   ช็อกโกแลตปุดๆๆ เห็นแล้วอยากเอานิ้วไปจิ้มแล้วดูดจัง   เรียงกระป๋องเบียร์ยังไงให้ดูคูลที่สุดในสามโลก…

สิ่งของรอบตัวเราล้วนมีความสกปรกแอบซ่อนอยู่ ซึ่งหลายคนก็รู้เพียงวิธีทำความสะอาดแบบพื้นๆ แต่บางครั้งก็แทบไม่รู้เลยว่า แท้จริงของหลายอย่างน่ะมี ‘วิธีขจัดคราบสกปรก’ ในแบบเฉพาะกิจที่แหวกแนวสุดขั้วอยู่!!! แต่ละอย่างจะต้องจัดการอย่างไร รับรองว่าหลายคนคงอึ้งกับวิธีเหล่านี้แน่   1.ขนมปังเบเกิลช่วยทำความสะอาดให้รูปภาพได้ ถ้าลองถูตามรูปภาพอย่างเบามือเสร็จ ลงอดูว่าขนมปังเบเกิลจะมีสภาพเป็นยังไง   2.ใช้น้ำส้มสายชูทำความสะอาดไมโครเวฟได้นะ วิธีนี้ให้นำน้ำส้มสายชูกลั่นมาคนเข้ากับน้ำ จากนั้นนำไปวางในตู้ไมโครเวฟ 5 นาที แล้วคุณเชื่อมั้ยว่ามันจะทำปฏิกิริยาชะล้างสิ่งสกปรกแบบราบคาบเลยล่ะ (เฮ้ย สบายเวอร์อ่ะ)   3.หากอยากได้ฝักบัวใสวิ้ง จงนำน้ำส้มสายชูกลั่นหุ้มด้วยถุงพลาสติก แล้วนำไปคลอบหัวฝักบัว 1 ชั่วโมง   4.ครีมออฟทาร์ทาร์สามารถใช้ขจัดคราบสกปรกบนเครื่องปิ้งขนมปังได้   5.วิชาวิทยาศาสตร์ยามประถม ใช้ลบคราบบนพรมได้ เพียงคุณเทน้ำส้มสายชูกลั่นลงบนคราบ จากนั้นจัดเต็มโรยผงฟูตามลงไป ซึ่งทั้งสองจะเกิดปฏิกริยาเป็นฟองขึ้นมา จากนั้นรู้มั้ยว่าฟองเหล่านี้จะทยอยดูดซับคราบออก ก่อนปิดท้ายด้วยการนำผ้ามาเช็ดเพียงเท่านี้ทุกอย่างก็เรียบร้อย   6.ใช้ถุงเท้าทำความสะอาดบานเกล็ดก็ได้นะ   7.หากอยากทำความสะอาดเครื่องปั่น แค่เทน้ำร้อนลงไป จากนั้นก็กดปุ่มปั่้นทิ้งไว้สัก 1-2 นาที   8.แปรงหวีผมต้องหัดดูแลซะบ้าง หากเส้นผมติดหนึบหนับเยอะเกินไป ให้คุณใช้กรรไกรตัดตามขดลวดหวีตามแนวยามสองสามซี่ และนั่นจะช่วยให้ดึงเส้นผมที่ตกค้าง ติดพัน ออกได้ง่ายดาย   9.เกลือและน้ำเปล่าสามารถช่วยขจัดคราบนกระทะได้ แต่ถ้าอยากให้ผิวมันวาวอาจต้องเหยาะน้ำมันลงไปสักนิด และเช็ดเพื่อทำการเคลือบ…

เราเคยคิดกันบ้างไหมว่าถ้าผ่านไปอีก 20 หรือ 30 ปี จนเรามีลูกแล้วพวกเขาถามว่า “พ่อๆ ตอนวัยรุ่นพ่อเป็นยังไงเหรอ” แน่นอนว่าเราจะตระหนักได้ว่ายุคของเรานั้นไม่ค่อยได้ทำอะไรเจ๋งๆ นอกจากการถ่ายรูปอาหารหรือเซลฟี่สักเท่าไหร่ ทว่าเมื่อเด็กในยุคปัจจุบันลองถามพ่อแม่ของพวกเขาดู พวกเขากลับได้เจอรูปเจ๋งๆ ของพวกเขาในศตวรรษที่ 19 ซึ่งแต่ละรูปมันบ่งบอกถึงช่วงชีวิตสุดคูลของพวกเขาได้ไม่ยากเลยล่ะ ขนาดเราไม่ใช้ลูกของพวกเขาเรายังรู้สึกได้เลยว่าช่วงชีวิตของพวกเขาในตอนนั้นต้องเจ๋งมากแน่ๆ   ภาพของคุณพ่อจากยุค 1980 ที่เท่ไม่เหมือนใคร เด็กยุคนี้ก็ทำไม่ได้ เชื่อสิ   คุณพ่อในยุค 80 ที่ขี่จักรยานล้อเดียวแถมแบกลังเบียร์พร้อมกัน อะไรจะเฟี้ยวแบบนั้น ถ้าเป็นปัจจุบันคงใส่หลังรถยนต์มาสินะ   ภาพของคุณพ่อในยุค 1948 โดยลูกชายได้เล่าว่าในภาพนั้นคือพ่อและรถคันแรกของเขา ซึ่งพ่อได้เล่าว่าเขาซื้อรถในรูปเมื่ออายุ 11 ขวบ โดยเป็นรายได้จากการทำงาน…ซื้อรถ 11 ขวบ!?   คุณพ่อจากยุค 1977 ที่ดูแล้วคูลสุดๆ ยิ่งลีลาการเล่นสเก็ตนี่ไม่ธรรมดาเลย   คุณพ่อสุดคูลที่ทำงานในประเทศซาอุดิอาระเบียช่วงยุค 70 โดยเขาทำหน้าที่เป็นหน่วยดำน้ำในทะเลแดง   เจ้าของภาพบอกว่า คนในรูปคือเพื่อนของพ่อเขา โดยเขาได้ปฏิเสธพร้อมชูนิ้วกลางแก่กลุ่ม KKK เป็นอะไรที่คูลมากๆ เลยล่ะ  …

ในช่วงชีวิตหนึ่งใครก็อยากจะมีคนรู้ใจมานอนกอดให้หายเหนื่อยยามค่ำคืนกันทั้งนั้น ก็แหม.. ทั้งได้รับความอบอุ่น ทั้งรู้สึกเหมือนมีคนเป็นห่วง แถมเผลอๆ บางคืนอาจมีเซอร์ไพรส์ให้ลุ้นตามอีก… เพื่อเป็นการตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มคนที่อยากมีใครซักคนให้กอด แต่ไม่อยากคบใครจริงจัง บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น Bibi Lab จึงได้เปิดตัวตุ๊กตาหมอนข้างรุ่นใหม่โดยใช้ชื่อว่า ‘Watabito’ หรือ ‘มนุษย์คัตต้อนจิ๋ว’ นั่นเอง   เป็นคนที่ใครก็อยากกอดได้ง่ายๆ เพียงซื้อมนุษย์คัตต้อนจิ๋วมานอนด้วย   แต่ในทางเทคนิคบริษัทเคลมว่านี่คือ.. “ตุ๊กตาเพื่อนรู้ใจตัวจิ๋ว” ที่เป็นมิตรกับคนทุกเพศทุกวัย   เจ้ามนุษย์คัตต้อนก็ถูกยัดไส้ด้วยซอฟท์คัตต้อน จากนั้นก็เย็บเข้ากับผ้าชั้นนอกที่สามารถนำไปซักได้   ขนาดของมนุษย์คัตต้อนแก้เหงาก็มีตั้งแต่ 80 ซม. (สีเทา) 90 ซม. (สีชมพู) และ 100 ซม. (สีฟ้า)   ไม่ใช่แค่ตุ๊กตาคัตต้อนธรรมดาเท่านั้น เพราะเจ้า Watabito แต่ละสีก็จะมีลักษณะนิสัยแตกต่างกันออกไป   สีฟ้าหมายถึงอารมณ์ดี อยู่ด้วยแล้วจะทำให้รู้สึกอุ่นใจ สะท้อนถึงสีของท้องฟ้าและท้องทะเล   สีชมพูสื่อถึงสีแห่งความรัก และการเป็นที่รักใคร่   ส่วนสีเทาคือสีที่จับคู่กับสีอื่นๆ ได้ง่าย จึงหมายถึงความเป็นกันเอง ความเฟรนด์ลี่…

สำหรับใครที่คิดว่าอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทแบบยุคกลาง ใช้ชีวิตแบบยุคโรมันราวกับหลุดมาจาก Game of Thrones อะไรทำนองนี้ละก็ สถานที่แห่งนี้จะถูกใจคุณอย่างแน่นอน โปรเจคดังกล่าวนั่นก็คือ การสร้างปราสาท Guedelon Castle ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Burgundy ประเทศฝรั่งเศส โดยใช้เทคนิคการสร้างแบบยุคกลางเท่านั้น จะไม่มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วยอย่างเด็ดขาด   .   ตัวปราสาทนี้เริ่มสร้างมาตั้งแต่ปี 1997 โดย Michel Guyot และ Maryline Martin และในปัจจุบันตัวปราสาทก็เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว โปรเจกต์นี้ได้สร้างงานมากกว่า 55 งาน และมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมกว่า 300,000 คน ทุกปี แม้ว่าตอนนี้เวลาจะผ่านไป 20 ปี แล้ว พวกเขาก็ยังคงเริ่มสร้างทุกอย่างต่อไปรวมถึงกำแพงโดยรอบ ทั้ง Michel และ Maryline คาดหวังว่าโปรเจกต์นี้จะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2023 หรือก็คืออีก 6 ปีข้างหน้า   แปลนของปราสาทที่วางไว้   ผลงานปราสาท Guedelon Castle นั้นเป็นงานที่ทุกคนตั้งใจและรีดทักษะต่างๆ ออกมาอย่างสุดความสามารถ ทั้งช่างไม้ ช่างแกะสลักหิน เรียกว่าเป็นการนำฝีมือที่ไม่ค่อยได้ใช้ในปัจจุบันมาใช้ได้เกิดประโยชน์มากๆ นอกจากนี้การขนส่งนักท่องเที่ยวและวัสดุก่อสร้าง ทุกอย่างล้วนใช้เกวียนและม้าในการขนย้าย ซึ่งถือว่าใครชอบอะไรที่เป็นยุคกลางแบบคลาสสิคๆ ที่นี่แหละของจริง!!…

ช่วงนี้สถานการณ์โลกเรียกว่าร้อนระอุมากๆ ทั้งผู้นำทวิตเตอร์แมนที่ออกมาป่าวประกาศว่าถ้าผู้นำมนุษย์จรวดซ่ามาก รับรองจบไม่สวยแน่ จนคนก็หวั่นๆ ว่านี่มันจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือเปล่านะ แน่นอนว่ามันเป็นปัญหาที่พวกผู้นำเขาต้องจัดการ ส่วนคนแบบเราสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นการสร้างบ้านไว้หลบภัยจริงไหม แต่หลายคนก็คงไม่รู้ว่าจะเอาแบบบ้านหลบภัยจากไหนให้ดูปลอดภัยและน่าอยู่ในเวลาเดียวกันดี ฉะนั้นวันนี้เราจะมาดูบ้านที่สร้างเพื่อกันวันสิ้นโลกมาให้ดูกัน แน่นอนว่าหลบภัยสงครามด้วยนะ จะเป็นยังไงไปดู…   The Oppidum สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในประเทศเช็กเกีย โดยเป็นอาคารสุดหรูที่มีชั้นใต้ดินหลายชั้นมากๆ เหมาะแก่การหลบภัยสุดๆ นอกจากนั้นยังมีห้องเก็บเสบียงที่ใหญ่มากขนาดที่เคลมว่าอยู่หลบแต่ในบ้านนี้ได้เป็นสิบปีเลยล่ะ .   Vivos Xpoint สถานหลบภัยที่ตั้งอยู่ในรัฐเซาท์ดาโคตา โดยสถานที่หลบภัยแห่งนี้สามารถจะจุคนได้มากถึง 5,000 คนเลยทีเดียวล่ะ ภายในก็จะมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายทั้งน้ำสะอาดและอาหาร ซึ่งเราสามารถอยู่ในนี้ได้เป็นปีหรือนานกว่านั้นก็ได้ .   Survival Condo ใน Kansas ภายนอกอาจจะเป็นว่าเพียงแค่หลุมหลบภัย แต่สถานที่แห่งนี้นั้นเป็นคอนโดใต้ดินที่มีหลายชั้นมากๆ ภายในก็มีที่หลบภัยและสถานที่อำนวยความสะดวกเพียบ มีกระทั่งสระว่ายน้ำด้วยนะ .   The Genesis บ้านนี้ยังเป็นเพียงแค่แบบเท่านั้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงรับรองว่าจะต้องเป็นบ้านในอนาคตที่ใช้อยู่อาศัยและหลบภัยชั้นดีแน่นอน โดยตัวบ้านส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ดินพ่วงด้วยระบบกู้ภัยและอำนวยความสะดวกอีกมากมาย .   Underground bunker house ใน Las Vegas…

เมื่อพูดถึงบอร์ดเกมในปัจจุบันนั้น เราก็จะมีตัวเลือกมากมายให้เลือกเล่นเลยทีเดียว ซึ่งแต่ละอันก็จะมีธีมและกฎที่แตกต่างกันออกไป แต่ถ้าจะพูดถึงบอร์ดเกมที่คลาสสิคที่สุดที่เราเข้าถึงได้ง่ายๆ ก็คงจะหนีไม่พ้น ‘เกมเศรษฐี’ ด้วยเหตุนี้ชาวเน็ตจากเว็บไซต์ Boredpanda นามว่า Jenna Shaw ได้โพส์ตผลงานกระดานเกมเศรษฐีของเธอ ซึ่งเธอเล่าว่าเธอตั้งใจจะทำให้เป็นของขวัญวันเกิดของเพื่อนสนิท เธอบอกว่าเพื่อนสนิทของเธอนั้นชอบเกมเศรษฐีมากๆ แต่ว่าเจ้าเกมเศรษฐีของฝรั่งที่เรารู้จักกันว่า Monopoly นั้นดันไม่มีธีมแฮร์รี่ พอตเตอร์ซะได้ ทั้งๆ ที่มีธีมอื่นมากมาย เธอจึงเริ่มใช้เวลากว่า 80 ชั่วโมงในการสร้างมันขึ้นมานั่นเอง   ลองดูแบบฉบับสมบูรณ์ดูก่อนเป็นไง   เอาล่ะมาเริ่มขั้นตอนแรกก่อนเลย ปริ้นท์ตัวช่องกระดานที่ร่างไว้ออกมาก่อน   จากนั้นก็เคลือบผิวและลอกลายลงไป   จากนั้นก็ทำความสะอาดพร้อมทำจุดที่จะเผาส่วนที่เป็นลวดลายไว้   เธอจัดการเผาให้เป็นรูปปราสาทฮอกวอตส์ ตามด้วยกรอบวางการ์ดต่างๆ   การ์ด โฉนดและอื่นๆ อีกมากมายดีไซน์สวยงาม   การ์ดอีเว้นท์ต่างๆ ก็ทำให้เข้ากับธีมของแฮร์รี่ พอตเตอร์   เช่นเดียวกับการ์ดไอเทมช่วยเหลือ ก็ทำให้เป็นธีมแฮร์รี่ พอตเตอร์อีกเช่นกัน   ด้านบ้านและปราสาท เธอก็ใช้ชิ้นส่วนจาก Monopoly ธีมดิสนีย์ จากนั้นก็พ่นสีเอง   ส่วนเหรียญเงินก็เปลี่ยนค่าเงินเองนิดหน่อย พร้อมพ่นสีเป็นทองแดง…

ทุกวันนี้ชีวิตของเรานั้นมักจะถูกหลอกจากเรื่องต่างๆ มากมายในชีวิตของเราทั้งจากคำพูด ความเชื่อและอื่นๆ อีกมากมาย ทว่าการหลอกลวงพวกนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่น่าสนใจเท่าไหร่นัก… แต่ภาพลวงตานั้นกลับเป็นการหลอกลวงที่น่าสนใจมากๆ เพราะมันทำให้เราต้องกลับมานั่งคิดคำตอบว่าจริงๆ แล้วภาพลวงตานั้นมันเป็นยังไงกันแน่ มันเล็กหรือใหญ่ มันขยับไหม หรือมันมีสีนี้จริงๆ เหรอ ซึ่งมันสนุกมากๆ เลยจริงไหม? ฉะนั้นเราจะมาดู 20 ภาพลวงตาที่ดูแล้วต้องคิดตามกัน ว่าแต่จะเด็ดดวงขนาดไหนนั้นลองดู!!   จริงๆ แล้วรถไฟนี้ไปทางไหนกันแน่   เห็นไมเคิลแจคสันในภาพนี้กันไหม? ถ้ายังลองออกไปให้ห่างจอดูสิ   เชื่อไหมว่าจริงๆ แล้วรถสามคันนี้มีขนาดเท่ากัน   สวนแห่งหนึ่งในปารีส ที่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นวงกล้มนะ .   จริงๆ แล้ววงกลมสีส้มทั้งสองวงที่เราเห็น มีขนาดเท่ากันทั้งคู่   จุดต่างๆ จริงๆ แล้วเป็นสีขาวล้วนเลยไม่มีสีอื่นเจือปน   รูบิคที่เราเห็น จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่รูบิคจริงๆ   ส้มที่เห็นก็ไม่ใช่ส้มจริง ดันเป็นภาพลวงตาซะได้   ภาพนี้เคลื่อนไหวหรือเปล่า?   แล้วภาพนี้ล่ะ เคลื่อนไหวไหม?   ภาพนี้เขาหันข้างหรือหันหน้ากันนะ  …

ในยุคสมัยนี้เทคโนยีเกี่ยวกับเสื้อผ้านั้นมีมากมายเลยทีเดียว ด้วยการพัฒนาวัสดุพิเศษขึ้นมาทำให้เสื้อผ้าสามารถกันความร้อนได้ กันยูวีได้ หรือจะเป็นเส้นใยโพลิเมอร์แบบใหม่ที่อุดรูเล็กๆ ได้ในตัวเองเป็นต้น แต่ปัญหาที่ตามมาสำหรับเส้นใยราวนั้นคือ เมื่อใช้ไปนานๆ มันก็จะเสื่อมลงตามกาลเวลา ทางนักวิทยาศาสตร์จึงช่วยกันคิดหาทางออกว่า พวกเขาจะทำยังไงให้มีวัสดุที่เจ๋งและไม่เสื่อมตามการใช้งาน จนในที่สุดพวกเขาก็คิดฝ้ายแบบใหม่ขึ้นมาที่สามารถเรืองแสงได้ด้วยตัวเอง และไม่เสื่อมง่ายๆ !! ฟังดูมันอาจจะไม่ว้าว เพราะว่าเราเคยเห็นเสื้อผ้าเรืองแสงกันมาแล้ว แต่ส่วนใหญ่นั้นก็จะเรืองแสงเพราะใช้แบลคไลท์ หรือใช้หลอดไฟ LED มาช่วยทำปฏิกิริยากับเสื้อผ้านั่นเอง     พวกเขาบอกว่าได้ใช้เทคนิคพิเศษโดยการ ปลูกต้นฝ้ายในแบบเดียวกับการปลูกพืชเรืองแสง ซึ่งจะทำให้ต้นฝ้ายของพวกเขาสามารถเรืองแสงได้ตามธรรมชาติ Natalio หัวหน้าทีมวิจัยจาก Weizmann Institute of Science ได้บอกว่า เขาและทีมได้ช่วยกันสังเคราะห์สารประกอบพิเศษที่เรียกว่า Glucose derivatives ขึ้นมา ซึ่งมันจะทำหน้าที่เป็นกาวและเชื่อมเข้าไปกับโมเลกุลเรืองแสงของเส้นใยฝ้าย จนในที่สุดก็เกิดเป็นเส้นใยฝ้ายเรืองแสงชนิดใหม่นั่นเอง   เรืองแสงได้โดยไม่ต้องใช้อะไรช่วยจริงๆ นะ   ทางทีมวิจัยของ Natalio ยังบอกอย่างภูมิใจว่า พวกเขาใช้วิธีการผลิตที่คิดค้นกันขึ้นมาเองและมันเป็นวิธีธรรมชาติมากๆ ที่สำคัญไม่มีการตัดต่อพันธุกรรมใดๆ เลยในตัวฝ้าย นอกจากนั้นพวกเขายังบอกอีกว่า เวลาเก็บเกี่ยวมันตื่นเต้นมากๆ เพราะไม่รู้ว่าใยฝ้ายของพวกเขาจะออกมาเป็นสีอะไร ฟ้า แดง หรือสีเรืองแสง นั่นเอง     ถ้ามีทำออกมาขายจริงๆ…

หลายคนคงจะเคยเห็นคำพูดที่ว่าคนเกิดเดือนนั้นจะเป็นแบบนี้ คนเกิดเดือนนี้จะเป็นอย่างนั้นกันใช่ไหมล่ะ แล้วเคยได้ยินทฤษฎีที่เขาว่ากันว่าคนเกิดเดือนกันยายน มีแนวโน้มจะฉลาดกว่าคนอื่นบ้างหรือเปล่า? คำกล่าวนี้ไม่ได้เป็นคำที่ยกขึ้นมาลอยๆ เพื่อยกหางตัวเองหรอกนะ เพราะ #เหมียวมู่ทู่ ก็ไม่ได้เกิดเดือนนี้ แต่มันมีผลวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการสำรวจและวิเคราะห์มาแล้ว ว่ามันได้ผลแบบนี้จริงๆ     นักวิทยาศาสตร์ได้เผยแพร่ผลวิจับดังกล่าวผ่าน National Bureau of Economic Research โดยได้สำรวจผ่านนักเรียนกว่า 1.2 ล้านคนในรัฐฟลอริด้าที่มีอายุระหว่าง 6 ถึง 15 ขวบ โดยแต่ละคนก็จะเกิดเดือนและวันแตกต่างกันไป ผลวิจัยก็พบว่า เด็กที่เกิดในช่วงเดือนกันยายนจะมีความฉลาดที่มากกว่าเด็กที่เกิดเดือนสิงหาคม เหตุผลนั้นไม่ได้มาจากด้านพันธุกรรมแต่อย่างใด แต่มาจากผลของการเกิดก่อนเกิดหลังต่างหาก     เด็กที่เกิดในช่วงกันยายนจะได้เข้าเรียนในช่วงเดียวกับเด็กที่เกิดต่อๆ ไปและปีถัดไป ซึ่งพวกเขาจะมีโอกาสเจริญเติบโตและได้เรียนรู้เร็วมากกว่าเด็กที่เกิดสิงหาคม ที่ต้องรอโตขึ้นอีกนิดและเขาเรียนช้ากว่าคนเกิดกันยายนนั่นเอง ส่วนเรื่องของเดือนเกิดนั้นยังส่งผลกับความเชื่อของพ่อแม่ด้วย ซึ่งถ้าเกิดว่าเด็กที่เกิดมาในช่วงต้นปีหรือปลายปีจริงๆ ก็มีโอกาสที่จะถูกพ่อแม่ดึงไว้ให้เข้าเรียนช้าไปอีกหนึ่งปี ซึ่งพ่อแม่ที่มีลูกเกิดในเดือนนี้ก็จะโอเคและสนับสนุนการเข้าเรียนมากกว่า     นอกจากนั้นนักวิจัยยังพบอีกว่า เด็กที่เดือนกันยายนที่มีโอกาสได้เข้าเรียนและมีการเรียนรู้ที่ไวกว่าเด็กอื่นๆ จะมีโอกาสที่มีความคิดแบบผู้ใหญ่และลดอัตราการเป็นอาชญากรลง สุดท้ายยังไงก็ตาม ทุกอย่างก็ยังอยู่ที่การตัดสินใจและการเลี้ยงดูของครอบครัวเป็นหลัก ฉะนั้นนี่จึงเป็นส่วนเสริมเพียงเล็กๆ เท่านั้นเอง…   ที่มา independent

ถ้าพูดถึงการตัดผมแบบมีลวดลายเราก็มักจะนึกถึงการทำให้เป็นลายเส้นต่างๆ หรือวงกลมอะไรแบบนั้น แต่เชื่อเหอะว่า Mario Hvala ช่างตัดผมชาวเซอร์เบียสามารถทำให้มันไปไกลกว่านั้น… Mario Hvala จากตัดผมวัย 33 ปี จากเมืองนอวีซาด ประเทศเซอร์เบีย ผู้มีสไตล์การตัดผมสุดแปลกไม่เหมือนใคร เพราะเขาไม่ได้ตัดผมให้เป็นทรงปกติ ทว่าจะตัดผมให้ออกมาเป็นใบหน้าของคนต่างๆ ตามที่ลูกค้าต้องการ ที่สำคัญอย่างเหมือนและเนียนกริ๊บ!!     เส้นทางการเป็นช่างตัดผมใบหน้าคนของ Mario นั้นเริ่มมานานแล้วกว่า 8 ปี โดยเขาเล่าว่า เขาเริ่มแกะลายครั้งแรกเมื่อเขาทำงานอยู่ที่ประเทศสโลวีเนีย โดยมีลูกค้าท่านหนึ่งขอให้เขาทำลวดลายเส้นง่ายๆ บนศีรษะของเขา Mario รู้สึกว่ามันจะธรรมดาเกินไปถ้าเป็นแค่ลายเส้นสองเส้นเฉยๆ ตามลูกค้าสั่ง เขาเลยจัดการบอกลูกค้าว่าเขาจะดีไซน์ให้ใหม่ สุดท้ายเลยจบลงที่ลูกค้าได้หัวลายแมงมุมทารันทูร่าตัวยักษ์ไป ซึ่งลูกค้าก็ถูกใจมากๆ เขาเลยจัดการฝึกฝีมือมาเรื่อยๆ จนกลับมามีชื่อเสียงที่ร้านทำผม House Damian hair salon ในเซอร์เบีย     เขาให้สัมภาษณ์กับทาง Tattoo Club Srbija ว่าเขาใช้เวลาราวๆ 3 ถึง 5 ชั่วโมงในการทำผมลูกค้าแต่ละหัว เขาจะใช้กรรไกรและมีดโกนเป็นหลักในการตัดผมให้ลูกค้า Mario ยังบอกอีกว่าส่วนที่เสียเวลาที่สุดคือช่วงที่เขาต้องร่างแบบในหัวและมองดูว่าควรจะทำส่วนในของหัวลูกค้าดี เพราะหัวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เขาจะต้องมองหาส่วนที่แบนราบที่สุดเพื่อให้ตัวลวดลายไม่บิดเบี้ยวจนเกินไป  …

ย้อนกลับเมื่อเราอายุ 12 ตอนนั้นเราทำอะไรกันอยู่? หลายคนอาจจะกำลังดีดลูกแก้ว วิ่งเล่นกับเพื่อน หรือาจจะกำลังเรียนเสริมต่างๆ แต่สำหรับ Callum Donovan Grujicich เด็กชายวัย 12 กลับมองเห็นเป้าหมายในชีวิตตัวเองเรียบร้อยแล้ว เขาวาดฝันว่าอยากจะเป็นศิลปินที่สร้างผลงานอาร์ตๆ ออกมา   แปลกตาดีไหมล่ะ นี่งานเด็ก 12 ขวบนะ   งานของเขาก็จะดูหลอนหน่อยๆ   ตัวนี้เหมือนจากหนังอะไรสักอย่างเลย คุ้นๆ   งานของเขาก็น่าจะสื่อความหมายอะไรสักอย่างไว้แน่ๆ   หลอนสุดๆ เลย ฮือ   จริงๆ แล้วความชอบของเขาถูกแสดงออกมาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ แล้ว Callum เล่าว่าเมื่อตอนเด็กๆ เขาเริ่มสร้างประติมากรรมง่ายๆ มาตั้งแต่ตอนนั้นโดยใช้เศษผ้าจากนั้นก็เริ่มพัฒนามาเรื่อยๆ จนเริ่มใช้ดินเหนียวและอื่นๆ ไม่นานนักเขาก็เริ่มสร้างผลงานในแบบตัวเอง เป็นรูปปั้นที่ใช้วัสดุต่างๆ ผสมเข้าด้วยกันจนออกมาเป็นรูปปั้นสุดแปลกที่มีหน้าตาหลอนๆ จนศิลปินมากมายมาเห็นเขาก็ถามว่า ผลงานของเขามันมีความหมายอะไรไหม Callum เขาก็บอกว่า “เวลาที่คนมาถามเรื่องความหมายแฝง ผมก็เลือกที่จะไม่ตอบกับพวกเขานะ ผมอยากให้พวกเขาคิดถึงความหมายกันเอาเอง ถ้าผมบอกไปความหมายมันก็จะหยุดนิ่งอยู่ที่ผมเท่านั้น”   ถือเป็นดีไซน์ที่แปลกพอสมควรเลยล่ะ  …

สำหรับแฟนๆ รองเท้าสนีกเกอร์แล้ว ต้องขอบอกเลยว่าทุกวันนี้มีสนีกเกอร์แบบใหม่ๆ ออกมาวางขายกันมากมาย จนทำเอาเลือกซื้อกันแทบไม่ถูกเลยทีเดียวเชียว… ในขณะที่รุ่นใหม่ๆ ถูกออกแบบและผลิตออกมา ก็ยังคงมีสนีกเกอร์รุ่นเก๋าดั้งเดิม ที่ยังคงถูกผลิตและนำมาขายอยู่ตลอด ล่าสุดทางเว็บไซต์ Business Insider ได้ทำการจัดอันดับ 7 อันดับสนีกเกอร์รุ่นเหนือกาลเวลา ที่ยังไง๊ยังไงก็ไม่มีทางตกยุคอย่างแน่นอน ราคาค่าตัวก็ไม่แพงเกินกว่า 3,500 บาท อีกด้วย จะมีรุ่นไหนบ้างลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า…   Adidas Superstar   Adidas Superstar ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสนีกเกอร์ที่มีความคลาสสิคมากที่สุด โดยถูกปล่อยออกมาวางขายครั้งแรกตั้งแต่ปี 1969 พอมานับดูดีๆ แล้วก็เกือบ 50 ปี แล้วนะเนี่ย ด้วยดีไซน์ในตอนแรกที่ตั้งใจจะทำออกมาเป็นรองเท้าผ้าใบที่ใช้สำหรับเล่นบาสเก็ตบอล แต่ภายหลังกลับถูกนำมาใช้เป็นรองเท้าแฟชั่นซะอย่างนั้น และก็ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน หากใครอยากได้เป็นเจ้าของล่ะก็มีราคาอยู่ที่ 80 เหรียญดอลลาร์ หรือราวๆ 2,650 บาท   Adidas Stan Smith   Adidas Stan Smith ถือเป็นรองเท้าที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และคาดว่ามันน่าจะอยู่ในสายการผลิตของแบรนด์อีกต่อไปอีกนานเท่านานเลยล่ะ ซึ่งจริงๆ…

ใช่ว่าการ ‘ระดมทุน’ จะมีให้แต่คนที่มีความคิดสร้างสรรค์หรือธุรกิจสตาร์ทอัพเสมอไป เพราะที่ญี่ปุ่นได้เปิดตัวแอพพลิเคชั่นใหม่เอาใจวัยโจ๋ไส้แห้ง ‘Polca’ แอพฯ ที่จะทำให้คุณเสนอโครงการขอระดมเงินทุนจากเพื่อนๆ (อาจจะคล้ายๆ การยืมตังค์) โดยผู้ผลิตเค้าเคลมว่าสาเหตุที่สร้างแอพฯ นี้ขึ้นมาก็เพราะ.. อยากให้มีการระดมทุนในวงที่แคบลง และมาพร้อมกับความไว้ใจที่มากขึ้น     แม้ว่าทางผู้ผลิตอยากจะเน้นไปการเป็นศูนย์กลางการระดมทุนเงินของกลุ่มเพื่อนฝูง แต่ก็ใช่ว่าจะโพสต์ขอระดมทุนเงินชาวบ้านได้ง่ายๆ เหมือนที่เราโพสต์ด่าชาวบ้านผ่านเฟซบุ๊ก เพราะผู้ยืมจะต้องลงทะเบียนโดยระบุข้อมูลพื้นฐานทั้งหมด เขียนอธิบายสาเหตุที่ต้องการเงินทุน (เงินยืม) อัพโหลดรูปภาพที่เกี่ยวข้อง และเซ็ตยอดเงินสูงสุดที่ต้องการ รางวัลของผู้สนับสนุนเงินทุน และวันปิดระดมทุน…   ด้วยขั้นตอนง่ายๆ หลังโพสต์แล้วก็จะมีหน้าตาประมาณนี้ ส่วนจะได้มากได้น้อยก็ต้องไปลุ้นกันเอาเองนะจ๊ะ   นอกเหนือไปจากนั้น Polca จะเชื่อมต่อข้อมูลรายชื่อเพื่อนของเราผ่านแอพฯ โซเชียลมีเดียต่างๆ อีกทั้งเรายังสามารถเลือกได้ว่าจะให้ ‘คำขอระดมทุน’ เราไปปรากฎให้เพื่อนคนไหนเห็นได้บ้าง แต่ดูเหมือนว่าหลังที่เปิดตัวใช้ในญี่ปุ่น แอพฯ จะได้รับความนิยมมากไปกว่านั้น เพราะมันสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการระดมทุนจัดงานปาร์ตี้ ระดมทุนเพื่อช่วยเหลือองค์กรการกุศล หรือแม้แต่ระดมทุนช่วยผู้ตกทุกข์ได้ยาก     น่าเสียดายที่ตอนนี้ แอพฯ รองรับแต่ในภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ไม่แน่นะหากในอนาคตได้รับความนิยมสูงขึ้นก็อาจจะมีเวอร์ชั่นภาษาไทย หรืออังกฤษให้เราใช้กันบ้าง     เรียกได้ว่าใครจะยืมเงินใครทีนี่… รู้กันไปทั้งโลกโซเชียลเลย ที่มา: Rocketnews

เวลาที่ใครชื่นชอบอะไรสักอย่างหนึ่งอย่างสุดใจ เชื่อเหอะว่ามีเงินเท่าไหร่เขาคนนั้นก็พร้อมที่จะจ่ายมันอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับหญิงสาวคนนี้ที่เธอชื่นชอบในดิสนีย์มากๆ มากเสียจนว่าทุกพื้นที่ในห้องมีแต่ของใช้ดิสนีย์… Emily Simpson วัยรุ่นสาววัย 21 ปี ผู้สานฝันความชื่นชอบในวัยเด็ก ที่เธอได้ไปเที่ยวที่ดิสนีย์แลนด์กับคุณแม่ จนในที่สุดโตมาเธอก็เลยใช้เวลา 3 ปี ในการเก็บสะสมของใช้ต่างๆ จากดิสนีย์มากกว่า 5,000 ชิ้น!!     ภาพของเธอเมื่อตอนอายุ 10 เดือนที่ได้ไปเที่ยวกับคุณแม่   ทุกอย่างที่เธอสะสมนั้นก็ล้วนเป็นสินค้าที่เป็นตัวละครต่างๆ จากค่ายดีสนีย์ ซึ่งก็ประกอบด้วย เสื้อผ้า กระเป๋าถือ เครื่องนอนต่างๆ ถ้วยชาม เครื่อวประดับ ตุ๊กตาและอื่นๆ อีกมากมาย ที่สำคัญ เธอยังสักบนร่างกายด้วยรอยสักดิสนีย์ด้วยนะ ของทั้งหมดนั้นคิดเป็นมูลค่ากว่า 660,000 บาท ที่สำคัญของทั้งหมดยังจัดเก็บอยู่ภายในห้องนอนห้องเดียวอีกด้วย โดยตัว Emily บอกว่าเธอรอไม่ไหวแล้วที่จะเติมเต็มบ้านของเธอด้วยสินค้าจากดิสนีย์   แค่ของที่เป็นเฉพาะจากเรื่อง Lilo & Stitch อย่างเดียวก็เยอะมากๆ แล้วนะเนี่ย   เรียงสูงกันเป็นตับ อื้อหือ ยอมใจเลยว่าชอบจริงๆ   ที่สำคัญคือ ของสะสมทั้งหมดนั้นจัดวางกันเป็นระเบียบมากๆ เลย…

หลายคนน่าจะรู้กันดีว่า ประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นหนึ่งในประเทศที่นิยมใส่ผ้าปิดปากมากๆ ทั้งในชีวิตจริงหรือในการ์ตูนก็ตาม เรามักจะเห็นว่าอย่างน้อยๆ จะมีกลุ่มคนสวมผ้าปิดปากอยู่ในนั้นด้วย… สำหรับเหตุผลในการสวมใส่นั้นก็มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นก็ดี ป้องกันฝุ่นละออง หรือป้องกันการจาม แต่ส่วนใหญ่นั้นล้วนจะเป็นรูปทรงเดิมๆ เพียงแค่เพิ่มลวดลายเข้าไปเท่านั้น     แต่มาวันนี้ทางญี่ปุ่น ก็ได้ออกแบบผ้าปิดปากรูปแบบใหม่ออกมา เพิ่มเติมจากของเดิมที่มีอยู่ และที่สำคัญมันก็ดูเจ๋งไม่หยอกเลยล่ะ โดยจุดประสงค์หลักของผ้าปิดปากตัวนี้คือป้องกันแสงยูวี!!   ใส่แล้วเหมือนนินจาเลย หู้วว   ตัวหน้ากากนั้นจะปิดตั้งแต่ส่วนจมูกและใบหน้าบางส่วนลงไปจนถึงส่วนคอ เพื่อปกป้องแสงแดดในยามที่ต้องออกไปข้างนอกหรือเล่นกีฬากลางแจ้ง ทางผู้ผลิตอ้างว่าเจ้าหน้ากากนี้สามารถกันแสง UV ได้มากถึง 98% อีกทั้งยังสามารถใส่เป็นแฟชั่นได้อีกด้วย ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเปิดขายผ่านเว็บไซต์ Belle Maison ซึ่งล่าสุดก็มีรายงานว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม้ว่าในตอนแรกผู้คนจะรู้สึกว่าหน้าตามันแปลกประหลาด แต่พอเอาจริงๆ มันก็ไม่แย่เท่าไหร่ ยิ่งมีคนรีวิวก็ยิ่งสร้างความสนใจมากขึ้น   ถ้าใครสงสัยว่าหายใจยังไง ภายใต้จมูกจะมีช่องว่างถ่ายเทได้สะดวก   ถ้ารู้สึกว่ายังกันไม่มิดชิดพอ สวมหมวกเข้าไปแบบนี้ก็โอเคเหมือนกันนะ   ในส่วนของราคานั้นจะอยู่ที่ราวๆ 750 บาท ถ้าใครสนใจอยากจะสั่งซื้อก็สามารถเข้าไปดูได้ที่ bellemaison เลย งานนี้ใครเป็นชื่นชอบใส่หน้ากากและเล่นกีฬาจะต้องชอบแน่นอน… ที่มา rocketnews24

ปกติแล้วเวลาเราจะทำเฟอร์นิเจอร์อะไรสักชิ้นหนึ่ง เรามักจะเลือกใช้วัสดุที่สามารถหาได้ทั่วไปอย่างไม้หรือพลาสติกอะไรทำนี้เป็นต้น แต่ก็มีบ่อยๆ ที่เราจะเห็นคนหยิบชิ้นส่วนจากรถจากของเหลือใช้เป็นต้น วันนี้แคทดั๊มป์ไดเร็กเลยขอเอาใจคนชอบแต่งบ้านและคนรักเครื่องบินกันสักหน่อย กับเฟอร์นิเจอร์สุดสวยที่ทุกอย่างล้วนทำมาจากส่วนต่างๆ ของเครื่องบิน งานนี้รับรองว่าถ้าใครชอบทั้งสองอย่าง มีฟิน…   เก้าอี้ขนาดใหญ่สุดสบายที่ทำจากชิ้นส่วน Boeing 737   โต๊ะจากเครื่องบินยุคเก่า   โต๊ะประชุมเกร๋ๆ จากชิ้นส่วน Boeing 747   โต๊ะทำงานจากส่วนหนึ่งของเครื่องยนต์ Boeing 747   โต๊ะจากใบพัดเครื่องบินรุ่นเก่า   มุมโต๊ะทำงานสวยๆ ที่ทำจากตัวเครื่องบิน   โต๊ะจากส่วนหนึ่งของเครื่องบิน   ใบพัดเครื่องยนต์ที่ถูกเปลี่ยนมาให้กลายเป็นกระจกตกแต่งบ้าน   โต๊ะทำงานสุดเจ๋งอีกตัวหนึ่งที่ทำจากปีกของเครื่องบิน   โต๊ะเก็บไวน์ที่ทำจากใบพัดเครื่องยนต์   ยอมรับเลยว่าชิ้นส่วนเครื่องยนต์เครื่องบินเจ็ตเป็นอะไรที่ฮิตมากๆ   ตู้เก็บแก้วสุดหรูที่ทำจากลูกระเบิด   ชิ้นส่วนของ Kc-97 ก็เอามาทำซิ้งค์น้ำ   หรือจะเป็นชิ้นส่วนของ BAe-146 ก็กลายเป็นหลอดไฟได้เหมือนกัน   ประตูเครื่องบินก็กลายมาเป็นตู้เก็บของ   ชิ้นส่วนเครื่องยนต์อีกชิ้นที่กลายมาเป็นโต๊ะ เกร๋ๆ เท่ไม่เหมือนใคร   เก้าอี้จากชิ้นส่วนของเครื่องบินเก่า   ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ใช่ว่าจะเอาไปทำโต๊ะได้อย่างเดียว…

ปกติแล้วสำหรับคนทั่วไปเมื่อต้องการเนื้ออะโวคาโด ส่วนใหญ่ก็จะแคะเมล็ดของมันออกมาแล้วก็ทิ้งไปโดยไม่ได้สนใจอะไร ทว่า Jan Campbell กลับไม่คิดแบบนั้น เธอกลับมองว่ามันคือต้นกำเนิดของผลงานชิ้นเอกของเธอ… เรื่องมันเริ่มจากวันหนึ่งที่ Jan กำลังแคะเนื้อและจะทิ้งเมล็ดไป แต่เธอกลับสังเกตเห็นว่าเมล็ดและหลุมตรงกลางมันสวยงามอย่างไม่น่าเชื้อ เธอจึงตัดสินใจลองหยิบเมล็ดมันมาแกะสลัดดูก็พบว่า เมล็ดดังกล่าวมีพื้นผิวที่น่าสนใจและแกะสลักง่ายมากๆ   ปกติคนจะควักอโวคาโดให้เป็นหลุมและทิ้งเมล็ดไปเปล่าๆ แต่เธอคนนี้กลับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นงานศิลป์ที่น่าสนใจ   ดังนั้นเธอจึงเริ่มศึกษาและเริ่มลงลึกไปเรื่อยๆ จนเธอค้นพบเอกลักษณ์การแกะสลักของตัวเอง ออกมาเป็นเทพารักษ์ตัวเล็กน่ารัก และยังมีเทพีแห่งธรรมชาติรวมถึงสิ่งมีชีวิตในจินตนาการอื่นๆ อีกมากมายเลยทีเดียว เกริ่นกันมาเยอะแล้ว เราลองมาดูผลงานบางส่วนของเธอกันเลยดีกว่า…     เทพแห่งผืนป่าที่สวยงามจริงๆ   สีของเมล็ดแต่ละลูกก็ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นงานแต่ละชิ้นก็จะแตกต่างกันไป   สังเกตดูดีๆ จะเห็นว่ารายละเอียดของเมล็ดนั้นดูดีมากๆ เลยล่ะ   มากันเป็นครอบครัวหนวดงาม   เทพีแห่งธรรมชาติ… .   แบบแกะสลักก็มีเยอะแยะมากมาย แต่ธีมหลักๆ ก็จะอยู่ในแนวเดียวเสมอ . . .   เหมือนจะมีอะไรแปลกปลอมมาด้วยนะ   งานบางชิ้นก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นหน้าเสมอไป .   ถึงอย่างนั้น งานรูปเห็ดบางอันก็มีหน้าเหมือนกัน ฮร่าๆ .…

หลายคนคงเคยฝันอยากจะมีบ้านเป็นปราสาทหลังโต แต่การจะสร้างบ้านแบบนั้นล้วนต้องใช้ปัจจัยเยอะแยะมากมาย ทั้งต้องรวยบ้าง มีพื้นที่กว้างขว้างบ้าง แต่ใครจะเชื่อว่าคู่รักคู่นี้สามารถเนรมิตรบ้านของพวกเขาให้เป็นดั่งฝันได้ง่ายๆ Martin และ Jayne Townley คู่รักจากเกาะอังกฤษผู้มีความฝันอยากมีบ้านเป็นปราสาทยุคกลาง แต่มันยากที่จะให้เป็นจริงได้ และบ้านหลังเก่านี้พวกเขาก็พึ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ได้ปีเดียวเท่านั้น   สภาพบ้านแรกเริ่มก่อนจะกลายเป็นปราสาทหลังงาม   แต่ว่าเมื่อมีความฝัน มันก็ต้องสานต่อให้เป็นจริง พวกเขาจัดการจ้าง Martin Darcy ซึ่งเป็นศิลปินท้องถิ่นในบริเวณนั้นมาช่วยกันรีโนเวทบ้านด้วยการทาสีตัวบ้านใหม่ สาเหตุที่ต้องทาสีใหม่ เพราะมันเป็นวิธีการเปลี่ยนแปลงบ้านให้เป็นปราสาทที่ง่ายที่สุดโดยไม่ต้องรื้อบ้าน หรือไปซื้อบ้านหลังใหม่     ไม่ใช่แค่ทาสีบ้านให้เป็นธีมปราสาทเท่านั้น พวกเขายังตกแต่งบ้านด้วยของตกแต่งมากมายที่เป็นธีมยุคกลางอีกด้วย ทุกส่วนทั้งกำแพงโต๊ะกินข้าวและห้องนอนล้วนเป็นยุคกลางล้วนๆ ตัว Jayne เล่าว่าเพื่อนบ้านพอได้เห็นและมาเยี่ยมเยียนทุกคนต่างตกตะลึงกับภายในสุดๆ บางคนถึงกับอยากได้แบบนี้บ้างเลยก็มี งานนี้ต้องชื่นชมพี่ศิลปินที่มาแต่งบ้านให้จริงๆ เลยนะ   เพดาน หลอดไฟ ผ้าม่าน ตกแต่งได้สุดยอดสุดๆ   โต๊ะกินข้าว ก็แต่งได้หรูมากๆ   หลายคนคงคิดว่าต้องลงทุนขนาดไหนถึงไปหาซื้อชุดเกราะมาตั้งในบ้านได้ ใช่ไหม?   เพราะดูจากชุดเกราะ พรอพอื่นๆ ก็ดูหรูดูแพงสุดๆ   แต่ความจริงพวกเขาสั่งมันมาจากไหนเน็ต และมันก็ไม่แพงอย่างที่คิดเลยด้วย     ทางด้าน…

Phileas Flash ศิลปินที่ใช้เวลาในการฝึกฝนและสร้างผลงานด้วยลูกโป่งมานานกว่า 13 ปี จนล่าสุดเขาได้เลือกจะสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ที่เหล่าแฟนๆ คอมมิกส์ฝั่งตะวันตกได้เห็นแล้ว จะต้องรู้สึกปลื้มปลิ่มอย่างแน่นอน ผลงานที่ว่านั้นก็คือ การบิดลูกโป่งเป็นรูปหน้าปกหนังสือคอมมิกส์ทั้งจากค่าย DC และ Marvel ซึ่งเขายังบอกว่าตอนที่เขาได้อ่านคอมมิกส์เป็นครั้งแรก เขาก็รู้สึกว่าเขาชอบในงานอาร์ตของหน้าปกมากๆ เขาจึงอยากจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ด้วยฝีมือของเขานั่นเอง   โฉมหน้าของ Phileas Flash และผลงานดั้งเดิมของเขา   ส่วนนี่ก็คือหน้าปกคอมมิกส์ทั้งหมดที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยการบิดลูกโป่ง   งานชิ้นแรกเป็นรูปหน้าปกจาก Batman: The Killing Joke   ตามมาด้วย Superman Vs Muhammed Ali   หน้าปก Amazing Spider-man, Vol. 1, #2 มี Vulture ด้วยเข้ากับกระแส Homecoming เลยนะเนี่ย   Wonder Woman ฉบับที่ 72 แม้หน้าจะแปลกๆ หน่อยแต่ก็โอเคอยู่   The Fantastic 4…

ญี่ปุ่น ประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องของเทคโนโลยีและความขยันขันแข็งของประชากร รวมถึงขึ้นชื่อเรื่องป้ายโฆษณาที่มีจำนวนมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งไม่ว่าจะไปมุมไหนก็ทุกหัวมุมถนนหรือมุมตึกก็จะมีโฆษณาอยู่เต็มไปหมด… ทว่าด้วยเรื่องดังกล่าวทำให้ Nicolas Damiens กราฟฟิกดีไซน์เนอร์ชาวฝรั่งเศสผู้คร่ำหวอดในวงการออกแบบกว่า 8 ปี หันมาสนใจและริเริ่มแนวคิดว่าที่ว่า ถ้าตัดภาพโฆษณาทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่นออกไป บ้านเมืองจะเป็นยังไงกันนะ? ด้วยเหตุนี้โปรเจค Tokyo No Ads จึงเกิดขึ้น…     เขาเริ่มตระเวนไปถ่ายรูปภาพจากส่วนต่างๆ ของตัวเมืองโตเกียวในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทุกภาพก็จะเป็นจุดที่มีป้ายโฆษณาอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นในตรอกซอกซอยไปจนถึงบนตัวตึกสูงโฆษณาก็ยังมีอยู่ทุกที่ แต่ทว่าเมื่อเขาเริ่มโปรเจคจนออกมาเป็นรูปร่างให้เราได้ดูกัน ก็บอกเลยว่าญี่ปุ่นจะกลายเป็นเมืองผี และพื้นที่ทั้งหมดจะดูโล่งในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยล่ะ ไม่เชื่อลองมาดูกัน!!   ลองคิดตามว่าถ้าไม่มีโฆษณาแล้ว รวมถึงตัวป้ายสูงๆ เมืองก็จะดูโล่งสบายมากๆ เลยทีเดียว   หรือแม้แต่ในย่านร้านค้าตามซอยต่างๆ ที่เต็มไปด้วยป้ายไฟ ป้ายร้านค้า ถ้าเราลองเอามันออกไปทั้งหมดเลยจะเป็นยังไงกันนะ   แค่ลบตัวหนังสือเท่านั้น ใครจะคิดว่ามันจะต่างกันขนาดนี้   หรือบางภาพกับร้านเพียงแค่ร้านเดียวก็ยังมีป้ายไฟจำนวนมากเลย   แต่การที่ย่านแบบนี้มีโฆษณาเต็มไปหมดก็เรียกว่าเป็นเสน่ห์อีกอย่างเหมือนกันนะ   เรียกว่าโฆษณาทุกจุด ทุกที่ที่จะพอยัดเข้าไปเลย อย่างภาพนี้ร้านเล็กนิดเดียว แต่มีโฆษณาเต็มไปหมด   ขนาดตัวตึกชาวญี่ปุ่นก็ไม่ปล่อยให้พื้นที่ว่างๆ เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ แต่ถ้าลบออกมันก็ให้ความรู้สึกอีกแบบนะ…

ถ้าให้พูดถึงของเล่นที่ฮอตฮิตที่สุดในเวลานี้ เจ้าฟิตเจ็ทสปินเนอร์คงจะเป็นชื่ออันดับแรกๆ ที่ต้องนึกถึงทันที แต่ทว่าพอมองไปที่เจ้าฟิตเจ็ทสปินเนอร์อันไหนๆ ก็มีหน้าตาคล้ายกันไปหมด แถมจุดประสงค์หลักของเจ้าฟิตเจ็ทสปินเนอร์มันคือการทำให้คนที่สมาธิสั้นหันมาโฟกัสและมีสมาธิมากขึ้น แต่คนส่วนใหญ่ก็ลืมจุดนั้นไป จนกลายเป็นอะไรที่ธรรมดาและน่าเบื่อไปโดยปริยาย ด้วยเหตุนี้ Jonathan Odom จึงจัดการแก้ปัญหาความหน้าเบื่อของฟิตเจ็ทสปินเนอร์ทั่วไปให้กลายเป็นเครื่องเล่นแอนิเมทเสียเลย     เขาได้บอกว่าแมวคือสัตว์ที่จะทำให้เรารู้สึกเสียสมาธิ และฟิตเจ็ทสปินเนอร์คือสิ่งที่ช่วยรวบรวมสมาธิ Jonathan ก็เลยจัดการนำมันมารวมกันเสียเลย โดยเขาได้ใช้รูปแมววิ่งแบ่งออกเป็น 12 ภาพต่อๆ กัน และเมื่อนำมารวมเข้ากับฟิตเจ็ทสปินเนอร์ ที่หมุนตลอดเวลา เครื่องฉายภาพเคลื่อนไหวขนาดเล็กจึงถือกำเนิดขึ้นมานั่นเอง!!     เขาใช้ภาพโมชั่นแมววิ่งที่สร้างโดย Eadweard Muybridge ในช่วงศตวรรษที่ 19 มาใส่ในสปินเนอร์ของเขา โดยตัดบางส่วนออกและทำให้มันตรงกับช่องทั้ง 12 พอดี     ด้านดีไซน์ก็ง่ายๆ คล้ายกับตัวฟิตเจ็ทสปินเนอร์ทั่วไปที่มีปุ่มไว้กดสำหรับนิ้วโป้งและนิ้วชี้ เพียงแต่เปลี่ยนส่วนใบพัดให้กลายเป็นวงกลมแทน   และนี่ก็คือผลที่ได้ เท่ใช่ไหมล่ะ รับรองไม่เหมือนฟิตเจ็ทสปินเนอร์ของคนอื่นแน่นอน   ดูสาธิตการหมุนเต็มๆ ได้ที่คลิปข้างล่างเลยจ้า   ส่วนใครที่สนใจอยากดูรายละเอียดการทำเจ้าฟิตเจ็ทสปินเนอร์สุดเฟี้ยวอันนี้บ้าง สามารถเข้าไปดูและโหลดโปรเจ็คได้ที่ instructables แล้วมาหมุนแบบแอนิเมทไปด้วยกัน!!   ที่มา boredpanda

การตัดต่อภาพให้สวยงาม หลักการก็คือการนำอะไรที่เข้ากัน แสงคล้ายกัน หรือคนที่กำลังทำอะไรในทิศทางเดียวกัน มาใส่รวมเข้าด้วยกัน แต่คงไม่ใช่สำหรับศิลปินคนนี้หรอก ทว่า Stephen McMennamy ศิลปินผู้ชื่นชอบในการทำภาพแนวเซอร์เรียลโดยการนำภาพสองอย่าง ที่ไม่ค่อยมีใครคิดว่ามันจะอยู่ด้วยกัน มาต่อกันและทำมันออกมาได้ทีมากๆ เลยทีเดียว ไม่เชื่อลองดูตัวอย่างสักหน่อย     ใครจะคิดว่าภาพส้อมที่กำลังตักสปาเก็ตตี้มีทบอล จะสามารถตัดครึ่งแล้วเอามาแทนที่ส่วนหน้าของรถยกของได้ แต่แหม่… มันอาจจะดูแตกต่าง แต่ก็ลงตัวดีเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงสร้างแฮชแทคผลงานภาพของเขาว่า #ComboPhotos เพื่อให้เข้ากับลักษณะงานศิลปะที่เขาสร้างขึ้นมานั่นเอง     เขายังเล่าอีกว่า การทำผลงานแต่ละชิ้นนั้นเขาต้องใช้เวลาที่นานมากๆ ซึ่งถ้าเรามองผ่านๆ เราก็คงคิดว่ามันจะไปยากอะไร ก็แค่เอาภาพสองภาพมาต่อกัน แต่เขาได้อธิบายถึงจุดนั้นว่า การจะเอาภาพมาต่อกันได้ให้พอดี เขาต้องใช้เวลาในการตามหาภาพต่างๆ เพื่อให้มันต่อกันได้อย่างลงตัว รวมถึงไอเดียการทำภาพเขายังต้องใช้เวลาในการคิดนานมากๆ แถมบางครั้งไอเดียก็มาจากเพื่อนช่างภาพก็มี เล่ากันมาขนาดนี้ลองมาดูผลงานชิ้นอื่นๆ ของเขาดูดีกว่าว่าจะเด็ดแค่ไหนกัน   ภาพของเด็กที่ถือร่ม ซึ่งเมื่อตัดส่วนร่มออกแล้วรวมเข้ากับดอกไม้ที่กลับหัว จึงได้ภาพนี้มา   งวงช้างกับต้นมะพร้าวริมชายหาด ก็ช่างพอดีเป๊ะ   เปลือกกล้วยกับเปลนอนสีเหลืองที่เข้ากันสุดๆ   ร่มขนาดเล็กที่ใช้ตกแต่งแก้ว ผสมผสานกับร่มชายหาด จนได้ภาพสุดเจ๋ง   ใครจะคิดว่าไม้กวาดทางมะพร้าวจะสามารถนำมาทำเป็นภาพเคราของคนได้   สุดยอดของการผสมผสานระหว่างนกนางนวลกับหางเครื่องบิน   หรือจะเป็นการผสมผสานเสื้อผ้าของหญิงสาวกับผมเปียกๆ เขาก็ทำออกมาได้เข้ากันดีเลยทีเดียว…

สำหรับเพื่อนๆ ที่เป็นสายแข็งทั้งหลาย คงจะติดนิสัยจ่ายหนักกันเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเป็นเงินสดหรือสั่งซื้อผ่านทางออนไลน์ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างหลังนี่ยิ่งหนักเลยเพราะมันสามารถใช้จ่ายได้ง่ายมาก เพียงกดเลือกๆ จิ้มๆ ก็สามารถสั่งซื้อได้อย่างง่ายดาย อาจนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ได้เลยทีเดียวล่ะ สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับแอปฯ ที่จะช่วยบล็อคการใช้บัตรเครดิตเป็นเวลา 12 ชั่วโมงเพื่อป้องกันไม่ให้คนเมาใช้เงินช็อปปิ้งผ่านทางออนไลน์ เจ้าแอปฯ นี้มัชื่อว่า DrnkPay ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยบริษัททางการเงินของประเทศอังกฤษชื่อว่า iBe TSE หลังจากมีการวิจัยพบว่ามีนักดื่มชาวอังกฤษเป็นจำนวนมากที่รู้สึกเสียดายเงินทีหลังเมื่อสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ขณะที่กำลังมีอาการเมาอยู่     และส่วนใหญ่สิ่งที่พวกเขาสั่งซื้อนั้นมันก็เป็นอะไรที่แปลกซะเหลือเกิน ยกตัวอย่างเช่น คอร์สการบิน, สมัครสมาชิกคลับพายเรือตลอดชีวิตให้กับใครก็ไม่รู้ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน, รองเท้าแตะ 30 คู่ หรือแม้แต่ไก่เป็นๆ ก็มี   จากผลงานวิจัยดังกล่าวเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดแอปฯ DrnkPay ขึ้นมา   และวิธีการของมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย ทางตัวแอปฯ ก็จะมีอุปกรณ์เป่าวัดแอลกอฮอล์ที่นำมาใช้คู่กัน ก่อนอื่นที่ต้องทำก็คือผูกบัญชี หรือบัตรเครดิตไว้กับแอปฯ จากนั้นมันก็จะกำหนดเอาไว้ว่าหากมีค่าแอลกอฮอล์เกินบัตรก็จะถูกบล็อคเป็นเวลา 12 ชั่วโมง นอกจากนี้ก็ยังมีระบบ “Help me out” สำหรับคนที่เมาจนไม่ไหว ทางแอปก็จะเรียกรถ Uber มารับและไปส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย     ลองไปชมคลิปเพิ่มเติมกันแบบเต็มๆ…

โดยปกติแล้วเราจะเข้าใจว่าการปลูกต้นไม้ต้องปลูกในกระถางหรือบนพื้นเท่านั้น แต่ด้วยความครีเอทของเหล่านักทำสวนหรือศิลปินต่างๆ ก็เริ่มที่จะมีไอเดียในการปลูกต้นไม้ในอุปกรณ์แปลกๆ มาให้เราได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ เช่นเดียวกันกับผลจากศิลปิน Richard Clarkson ชาวนิวยอร์คผู้นี้ ที่เปลี่ยนหลอดไฟ LED ธรรมด๊าธรรมดาให้กลายเป็นหลอดไฟธรรมชาติจำลองสุดคูล เพิ่มบรรยากาศร่มรื่นให้กับส่วนต่างๆ ของห้อง     หลอดไฟธรรมชาติจำลองนี้จะถูกออกแบบให้ต้นไม้หรือพืชทุกแบบตามที่เราต้องการโดยมี 2 ขนาดด้วยกันคือแบบความยาวรอบวง 12 นิ้ว และ 8 นิ้ว นอกจากนี้ก็สามารถเลือกได้ด้วยว่าจะใส่ไฟ LED เข้าไปหรือไม่ใส่ก็ได้     ก็จริงอยู่ที่เจ้าหลอดไฟหรือลูกแก้วกลมๆ นี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถปลูกต้นไม้ไว้ข้างใน แต่เราสามารถสั่งให้ใส่ตัวตุ๊กตา ฟิกเกอร์ หรือวัสดุต่างๆ เข้าไปได้ด้วยเช่นกัน     นอกจากนี้ก็สามารถสั่งให้เปลี่ยนสีของแก้ว เพื่อให้แสงของไฟ LED เปลี่ยนไปตามที่ต้องการได้ด้วย!! . . . . .   หากใครสนใจก็สามารถเข้าไปสั่งทำได้ที่เว็บไซต์ richardclarkson ได้เลยนะจ๊ะ มีราคาอยู่ที่ประมาณ 7,100 บาทเอ๊งงง!! ที่มา : sobadsogood

ศิลปะจากลูกโป่งเป็นอะไรที่ดูเหมือนง่าย แต่การจะทำให้มันเป็นรูปร่างต่างๆ โดยที่มันไม่แตกเลยถือเป็นอะไรที่ยากมากๆ บางคนก็อาจจะมีความสามารถพอที่จะทำให้เป็นรูปร่างต่างๆ ที่ไม่ยากเช่นหมาหรือดาบเล็กๆ ทว่า Masayoshi Matsumoto ศิลปินชาวญี่ปุ่นคนนี้เขาทำอะไรที่มันเหนือชั้นกว่านั้น เพราะเขาได้ใช้ลูกโป่งจำนวนมากมาสร้างศิลปะชั้นเยี่ยมจนออกมาเป็นรูปร่างต่างๆ ที่สำคัญรายละเอียดของงานก็เทพสุดๆ ไปเลยล่ะ   แค่ชิ้นแรกก็แทบจะพนมมือก้มลงแล้วกราบทันที นกฟีนิซ์ของพี่แกสุดยอดจริงๆ   แม้แต่แมลงวันก็ยังดูดีสุดๆ รายละเอียดแน่นมาก   Masayoshi ได้เล่าว่าถึงความเป็นมาของศิลปะเหล่านี้ว่า “ผมเริ่มมาทำงานศิลปะพวกนี้ก็เมื่อ 7 ปีก่อน เมื่อตอนที่ผมได้รับแรงบันดาลใจจากภาพของเหล่าสัตว์ป่าที่สวยงาม และนั่นก็ทำให้ผมอยากจะเห็นมันตัวเป็นๆ ผมจึงคิดว่าผมจะสร้างพวกมันขึ้นมาเองได้บ้างไหมนะ นั่นแหละจึงเป็นจุดเริ่มต้นของผม” ในการทำงานแต่ละชิ้นเขาใช้เวลามากถึง 2 ชั่วโมง แถมบางชิ้นที่รายละเอียดยากๆ จะใช้เวลานานถึง 6 ชั่วโมงเลยทีเดียว ไม่เพียงแค่นั้น งานของเขาทั้งหมดเลยใช้แต่ฝีมือและลูกโป่งเพียงอย่างเดียว ไม่มีสติกเกอร์ เทปกาวหรืออะไรมาเพิ่มเติมเลย ยิ่งได้รู้แบบนี้ยิ่งยอมใจในฝีมือของเขาจริงๆ   กิ้งก้าคาเมเลี่ยนในเวอร์ชั่นกระดูก   หนอนชาเขียว!! ชิเมโจได๋..ชิเมโจได๋   งูหางกระดิ่งที่มาพร้อมกับรายละเอียดจัดเต็ม!!   ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดไหน คุณ Masayoshi  ก็ทำออกมาได้สุดยอดจริงๆ   ฝีมือพี่แกจะเทพเกินไปแล้ว!!   แม้จะบอกว่าไม่ใช้อุปกรณเสริม แต่บางครั้งเขาก็เพิ่มพรอพเข้าไปนิดหน่อย อย่างเช่นลูกตาที่ใช้กระดิ่งมาทำ…

ทกอย่างเริ่มต้นขึ้นเมื่อสองปีก่อน Heidi Annalise ได้สินใจที่จะลาออกจากงานในรัฐสภาที่วอชิงตัน ดี.ซี ทิ้งชีวิตที่ยุ่งเหยิงแล้วกลับมาอยู่ที่บ้านของเธอในชานเมือง และเธอก็ตัดสินใจสร้างงานศิลปะขึ้นมาเอง จากการวาดรูปลงในกล่องขนาดเล็ก… งานศิลปะที่ว่านั้น เธอลงมือวาดทุกอย่างด้วยตัวเอง เธอใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเดินทางไปรอบๆ ภูเขา ทุ่งหญ้า และป่าไม้เพื่อชื่นชมธรรมชาติอันสวยงาม จากนั้นเมื่อเธอจุดที่สนใจเธอก็จะเริ่มลงมือวาดภาพงานของเธอลวงในกล่องลูกอมขนาดเล็ก ซึ่งเธอใช้มันเป็นทั้งถาดสีและผ้าใบในการวาดรูปเล็กๆ ของเธอ   .   นอกจากนี้ Heidi ยังได้อธิบายถึงความสุขของเธอที่ได้วาดรูปลงในกล่องเล็กๆ พวกนี้ว่า “เมื่อฉันได้ลองวาดรูปลงในกล่องเล็กๆ พวกนี้ ฉันจะรู้สึกได้ทันทีว่าตัวเองจะไม่ถูกดึงดูดหรือหลอมรวมไปกับสิ่งต่างๆ รอบๆ และที่สำคัญเจ้ากล่องเล็กๆ พวกนี้มันกระทัดรัดและช่วยให้จัดการกับอุปกรณ์รวมถึงภาพวาดเปียกๆ ของคุณได้ง่ายมากๆ เลย”   เธอเดินทางไปทุกที่ ทั้งทะเลสาบ   ทุ่งหญ้าอันแสนสงบสุข   ป่าที่อยู่ติดกับเนินเขาหิมะ   ชานป่าที่อาจจะดูไม่สวยงาม แต่เธอก็สามารถวาดมันออกมาดูดีพอสมควร   แม้แต่ต้นไม้หัก แต่ด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่าง เธอก็ทำออกมาได้ดีเลย   แม้ว่าการงานก่อนหน้าของเธอจะมั่นคง แต่การหนีชีวิตที่วุ่นวายกลับมาอยู่กับธรรมชาติก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียว   เธอยังไปชายหาดด้วยนะ   ทะเล แสงแดด และเสียงคลื่น!! .…

เคยไหมที่บางครั้ง เราอยากจะลองไปร่วมงานคอสเพลย์แล้วแต่งตัวเป็นตัวละครที่ชอบดูบ้าง แต่ด้วยเหตุจำกัดของงบที่มีน้อยเสียเหลือเกิน จะแต่งแบบจัดเต็มก็จ่ายไม่ไหว แต่ยังไงก็มีทางออกที่สดใสเสมอ ด้วยเสื้อยืดสุดเฟี้ยว เพียงแค่กลับด้านก็คอสเพลย์ได้!! แม้ว่าเสื้อกลับด้านแล้วมีลายอยู่อีกด้านหนึ่งจะไม่ใช่อะไรที่เป็นของใหม่ แต่การกลับด้านแล้วทำให้เรากลายเป็นตัวละครจากการ์ตูนเรื่องต่างๆ ก็ยังถือเป็นอะไรที่ไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยๆ นัก ด้วยเหตุนี้ทางร้าน Shalemon จึงจัดการออกแบบลายที่นำตัวการ์ตูนที่หลายคนชื่นชอบมาทำเสื้อแบบกลับด้านเสียเลย   อย่างเช่นเสื้อตัวนี้ที่เขียนไว้ว่า “ระวัง!! มีบางอย่างกำลังมา”   พ๊างง!! กลายเป็นสไลม์…   หรือจะเป็นลุคจากเดธโน๊ต ก็มีเช่นกัน แถมเป๊ะมากๆ นอกจากนั้นเสื้อยังเขียนว่า Daeth Tshirt แทนที่จะเป็น Death Note ด้วย     หุ่นเอวา 01 ก็มาแจมกับเขา แม้จะไม่เหมือนก็ตาม แต่ก็พอดูออกว่าเป็นตัวอะไร   ถ้าใครกำลังหาเสื้อให้เข้ากับธีมสไปดี้เพื่อเตรียมไปดูภาคโฮมคัมมิ่ง เสื้อตัวนี้ก็ตอบโจทย์เช่นกัน   แต่ถ้าจะเอาเป๊ะที่สุด ก็ต้องตัวนี้แล้วล่ะ กับ No Face ตัวละครจากอนิเมชั่นเรื่องดัง Spirited Away ส่วนตัวหนังสือก็เปลี่ยนจาก No Face เป็น Yes Face แทน    …

เคยไหมที่บ้างครั้งเราอยู่ในช่วงเวลาที่เร่งรีบ แต่ร่างกายก็ต้องการกาแฟเสียเหลือเกิน จะแวะร้านกาแฟก็คงไม่ทันแน่ๆ จนล่าสุดก็มีคนมองเห็นปัญหาดังกล่าวและคิดค้น Mokase เคสมือถือที่จะทำให้เราสามารถดื่มกาแฟได้ทุกที่ทุกเวลาขึ้นมาเสียที… Smart K บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติอินตาเลี่ยน ผู้เป็นเจ้าของไอเดีย Mokase เคสเครื่องผลิตกาแฟเคลื่อนที่สุดเจ๋งนี้ ซึ่งพวกเขาก็มีความคิดเช่นเดียวกับที่ได้กล่าวไปคือ บางครั้งเราอาจจะมีเวลาน้อยแต่ใจก็อยากดื่มกาแฟเพียงซักนิดก็ยังดีนั่นเอง     ส่วนถ้าใครสงสัยว่ามันเป็นแค่เคสโทรศัพท์นะ ถึงจะเป็นแค่คอนเซ็ปต์ก็เถอะ แล้วมันจะทำงานยังไงล่ะ จะมีความอันตรายอะไรบ้างไหม? คำตอบก็คือ ตัวเคสได้ออกแบบให้มีวัสดุที่ทนทานและทำจากวัสดุป้องกันความร้อน ซึ่งจะมีแคปซูลที่บรรจุน้ำไว้ข้างในรวมถึงเมล็ดกาแฟที่เตรียมพร้อมให้เราสามารถชงกาแฟได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ก่อนอื่นจะต้องมีแอพพลิเคชั่นของ Mokase เสียก่อนเพื่อให้ตัวเคสสามารถใช้งานปุ่มชงกาแฟบริเวณเคสได้ และเมื่อเรากดชงกาแฟตัวแคปซูภายในเคสก็จะเริ่มทำความร้อนที่ 50 ถึง 60 องศา จากนั้นปุ่มกดข้างหลังก็จะโชว์เราเห็นว่ากาแฟพร้อมจะเสิร์ฟแล้ว     นอกจากวัสดุของเคสที่กันความร้อนแล้วทาง Smart K ก็ยังบอกอีกว่าตัวท่อส่งกาแฟจะไม่เป็นภัยอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาออกแบบโดยใช้วัสดุเป็นซิลิกอนอัลลอย ซึ่งทนทานความร้อนได้มากและจะไม่มีสารพิษใดๆ เจือปนมากับกาแฟ ทว่าถ้าใครหวังจะกินกาแฟจากเจ้าเคสตัวนี้แบบเต็มแก้วจุใจก็คงจะต้องล้มเลิกความคิดไปได้เลย เพราะเคสนี้ออกแบบมาให้เราได้กินกาแฟเป็นปริมาณ 25 มล. หรือเท่ากับกาแฟ 1 ช็อตเพียงเท่านั้น   .   แต่ถ้าใครอ่านแล้วรู้สึกสนใจอยากจะเป็นเจ้าของเคสตัวนี้ก็สามารถที่จะเข้าไป Pre-order กันได้ที่เว็บไซต์ mokase โดยจะสนนราคาอยู่ที่ราวๆ 1,900 บาท สำหรับตัวเคส ส่วนตัวแคปซูลกาแฟจะมีแบบแบ่งขายเป็นจำนวน…

Alisa ดีไซน์เนอร์สาวชาวรัสเซีย ผู้คิดค้นริเริ่มออกแบบเครื่องประดับในแบบของตัวเองผ่านความชอบในดินอบญี่ปุ่น เริ่มจากดีไซน์ง่ายๆ อย่างดอกไม้จนก้าวข้ามไปเป็นอะไรที่ยากยิ่งขึ้นอย่างสัตว์หรือสิ่งของต่างๆ สิ่งสำคัญที่สุดในงานของ Alisa ก็คือ เครื่องประดับที่เธอออกแบบทุกชิ้นนั้นล้วนทำด้วยมือทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ เข็มกลัด ต่างหูและอื่นๆ อีกมากมาย งานแต่ละชิ้นนั้นมีควาเป็นเอกลักษณ์แบบที่ไม่มีใครเหมือนเลยล่ะ   เริ่มกันที่ชิ้นแรกกับสุนัขจิ้งจอกที่ออกแบบมาได้อย่างลงตัว   ตามมาด้วยเจ้าเม่นหลากสีสัน   หรือจะเป็นแมวดำล้วนที่ตกแต่งด้วยอัญมณีสีเหลืองเข้าไป   ไม่ใช่ว่าจะมีแต่สัตว์ทั่วไปนะ เพราะสัตว์แฟนตาซีอย่างยูนิคอร์นก็มีเช่นกัน   นกฮูกตัวนี้ก็ดูเท่ไม่หยอกเลย   พอดีไซน์ไหนที่เป็นแมวทีไร ดูโดดเด่นกว่าชิ้นอื่นมากๆ   เชสเซอร์จากอลิซอินวันเดอร์แลนด์   เจ้านกตัวนี้สีเหมือนกับแองกรี้เบิร์ดเลย   พอเป็นแมวแล้วมันดูแปลกกว่าดีไซน์อื่นจริงๆ นะ   นกทูแคน ตัวน้อยก็น่ารักใช่เล่น   นกยูงตัวนี้ก็ดูแพงสุดๆ   จิ้กจอกดีไซน์เดิมเพิ่มเติมคือเปลี่ยนสี   กระต่ายหลากสี   แม้บางอันก็จะใช้การรีไซเคิลสีแต่ดีไซน์เดิม แต่ก็ยังดูสวยงามอยู่ดี   ไก่กุ๊กๆ ที่ส่วนตัว #เหมียวมู่ทู่ ชอบบริเวณหางมากๆ   พอใช้โทนสีน้อย มันก็ดูเรียบและเท่ขึ้นมาทันที…

สำหรับคนที่เกิดมาพร้อมกับรอยปาน หลายๆ ครั้งแล้วมักจะถูกทักถึงมันอยู่บ่อยๆ ว่าคืออะไร? ถูกทำร้ายมารึเปล่า? เป็นรอยสีที่ล้างไม่ออกเหรอ? จนทำให้เกิดความเบื่อหน่ายที่จะต้องคอยตอบคำถามเพราะมันเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว หลายคนถึงกับบอกว่า ถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากให้มันมีติดตัวมาหรอก จึงกลายมาเป็นไอเดียโปรเจ็คดีๆ จากช่างถ่ายภาพชาวเดนมาร์ก Linda Hansen ที่ชื่อว่า Nevus Flammeus ได้จับคนมีปานมาถ่ายรูปแบบพอเทรทเพื่อแสดงให้ผู้คนได้มองเข้าไปในภาพแล้วตระหนักถึงตัวตนจริงๆ ของพวกเขาโดยมองข้ามรอยปานไป     ซึ่งการจ้องมองรอยปานของพวกเขาในที่สาธารณะนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่หยาบคายและคุกคามความเป็นส่วนตัวของพวกเขา แต่จากภาพถ่ายของ Hansen จะช่วยให้ผู้คนเปลี่ยนความคิดใหม่   “ฉันต้องการที่จะทำให้เกิดการเผชิญหน้า และคุณจะต้องจ้องไปที่รูปภาพนานเท่าไหร่ หรือว่าควรจะเริ่มมองตรงส่วนไหนของรูปภาพดี? ซึ่งแต่ละภาพก็จะมีการซุกซ่อนรายละเอียดเล็กๆ น้อย และเมื่อมองดูรายละเอียดเหล่านั้นไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่ารอยปานนั้นไม่ได้ดูเด่นเหมือนตอนแรกอีกต่อไป” “สำหรับฉันแล้วการมีรอยปานมันก็เหมือนรอยสักนั่นแหละ มันดูแปลกและแต่ละรอยของแต่ละคนก็จะมีเรื่องราวของตัวเอง มันงดงามมาก เพราะเรามีรอยสักที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาจากธรรมชาติ มันเจ๋งไปเลยไม่ใช่รึไง?” Hansen กล่าว     เธอหวังว่าจะทำให้ผู้คนในสังคมมีทัศนคติที่ดีขึ้นต่อคนมีร่องรอยปาน และทำให้ทุกคนที่มีสิ่งนี้ติดตัวมาแต่เกิด มีความมั่นใจ และเชื่อมั่นในตัวเองเช่นกัน… . . . . . . . . . . . .…

ทุกวันนี้เรามักจะพยายามเสนอนวัตกรรมสีเขียวเพื่อช่วยและอนุรักษ์โลกกันอยู่บ่อยๆ อย่างเช่น รถยนต์อีโคคาร์ เป็นต้น ซึ่งก็จะเป็นนวัตกรรมประหยัดในด้านพลังงานเท่านั้น แต่ถ้าบอกว่าตอนนี้มีคนคิดค้นรถที่อีโคจริงๆ ขึ้นมาล่ะจะว่ายังไง? แถมอีโคที่ว่าไม่ใช่แค่พลังงานที่ตัวรถใช้ แต่รวมถึงตัวรถเกือบทั้งคันนั้นเป็นวัสดุจากพืชเลยทีเดียว ห๊ะ?!!     Lina คือชื่อของรถที่ถูกคิดค้นโดยนักศึกษาเนเธอร์แลนด์ จาก Eindhoven University of Technology ซึ่งเป็นรถคันแรกของโลกที่มีส่วนประกอบเป็นธรรมชาติล้วนๆ Quinten Oostvogel ผู้จัดการของทีมวิจัยให้สัมภาษณ์พร้อมพูดถึงรถของพวกเขาว่า “พวกเราได้คิดค้นวัสดุของรถที่มีพื้นฐานเป็นวัสดุชีวภาพทั้งหมด โดยพืชหลักที่เราใช้ก็จะเป็นต้นฝ้ายซึ่งนำมาใช้สร้างรถคันนี้ นั่นก็หมายความว่าตัวรถทั้งคันมาจากต้นฝ้ายนั่นเอง ไม่ใช่แค่นั้นนะ การตกแต่งภายในและส่วนอื่นๆ ก็ยังเป็นวัสดุชีวภาพแทบทั้งสิ้น”     พวกเขายังได้อธิบายเสริมถึงสาเหตุของการใช้ต้นฝ้ายอีกว่า “ที่เราใช้ต้นฝ้ายก็เพราะเป็นพืชที่เมื่อนำมาใช้แล้วจะเป็นวัสดุชีวภาพที่แข็งแรงมากๆ และเมื่อนำมารวมเข้ากับหัวผักกาดหวาน พวกเราก็สามารถที่จะใช้วัสดุดังกล่าวมาสร้างตัวรถได้ ที่สำคัญพืชพวกนี้ยังสามารถหาได้ง่ายทั่วยุโรปเลยล่ะ” ในส่วนของพลังงานที่ Lina ใช้แน่นอนว่าก็ต้องเป็นพลังงานสะอาดซึ่งพวกเขาเลือกใช้พลังงานไฟฟ้า นอกจากนั้นตัวรถยังกินไฟไม่มากเพราะรถมีน้ำหนักที่น้อยเพียงแค่ 300 กิโลกรัมเท่านั้น ทำให้ไม่ต้องใช้แรงขับที่เยอะมากนัก     อย่างไรก็ตามเหล่าผู้ผลิตรายใหญ่มากมายยังมองว่า Lina  เป็นผลผลิตจากการทดลองบ้านๆ เท่านั้นไม่สามารถผลิตมาขายได้จริงแต่พวกเขาอาจจะคิดผิด และในอนาคตเราอาจจะได้ใช้รถที่มี Lina  เป็นต้นแบบก็เป็นได้   สามารถรับชมการให้สัมภาษณ์ของทีมผู้สร้างได้ข้างล่าง   ส่วนใครที่อยากเห็นตัวรถเต็มๆ พร้อมกับแบบวิ่งขยับได้สามารถดูได้ที่คลิปนี้  …

เป็นที่รู้กันดีว่าไม้ไผ่ ถือเป็นไม้ที่มีความยืดยุ่นมาก สามารถนำมาใช้เป็นวัสดุในการสร้างก่อสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และเป็นไม้ขึ้นชื่อของประเทศจีน อีกทั้งยังเป็นอาหารหลักของหมีแพนด้าอีกต่างหาก!! ด้วยเหตุนี้ศิลปินชาวจีนนามว่า Ge Qiantao จึงร่วมมือกับ George Kunihiro สถาปนิกผู้มีชื่อเสียง ได้จัดตั้งงาน International Bamboo Architecture Biennale ขึ้นมา โดยร่วมมือกันสร้างหมู่บ้านที่มีไม้ไผ่เป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งตั้งรวมกับหมู่บ้าน Baoxi ของประเทศจีน     ส่วนสิ่งก่อสร้างต่างๆ ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักรับรองและพิพิธภัณฑ์เซรามิก โดยใช้วัสดุธรรมชาติดั้งเดิมอย่างไม้ไผ่ผนวกเข้ากับการออกแบบสมัยใหม่ ส่วนทางด้านหมู่บ้าน Baoxi ก็ออกมาสนับสนุนอย่างเต็มที่ พร้อมกับหวังว่าโปรเจคดังกล่าวจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวชมอาคารบ้านเรือน โรงแรม รวมถึงศูนย์การเรียนรู้ด้วย   ดีไซน์สวยงามและลงตัวมากๆ   แม้แต่ตัวสะพานในหมู่บ้านก็ยังมีส่วนผสมประกอบของไม้ไผ่ การออกแบบก็ดูดีเช่นกัน   ภายในของศูนย์วิจัยและออกแบบผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่ เรียบแต่หรู!!   ต้องยอมรับเลยว่าพวกเขาทำออกมาได้เยี่ยมจริงๆ   แม้จะบอกว่าเป็นบ้านไม้ไผ่ แต่ก็ไม่ได้ใช้แต่ไม้ไผ่อย่างเดียว เพราะยังต้องการความแข็งแรงและทนทาน   ตัวพิพิธภัณฑ์เซรามิก มีการวางกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี   ภายในพิพิธภัณฑ์เซรามิก ก็มีดีไซน์สวยงามไม่แพ้อาคารหลังอื่นเลย   อีกมุมหนึ่งของศูนย์วิจัยและออกแบบผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่   ส่วนนี่ก็เป็นทางเดินของศูนย์ฯ   มุมมองจากภายในของตัวสะพานที่เราเห็นข้างนอกกันไปแล้ว…

สำหรับเส้นทางรถไฟฟ้าในตัวเมืองโดยปกติแล้วเราก็คงจะแค่มองผ่านๆ หรือจำเส้นทางที่เราจะไปเพียงเท่านั้น เพราะว่าถ้าจะให้จำได้หมดก็คงจะไม่ไหว เพราะมันมีหลากหลายเส้นทางเยอะแยะไปหมด แต่เราเคยคิดกันไหมว่าเส้นทางเหล่านี้พอดูดีๆ มันกลับสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ!! ศิลปินชาวอเมริกันนามว่า Peter Dovak ก็คงจะมองเห็นในจุดนั้นเช่นกัน เขาจึงได้จัดการนำภาพเส้นทางรถไฟสายต่างๆ ของแต่ละหัวเมืองทั่วทุกมุมโลกมารวมเป็นภาพกราฟฟิกสุดมินิมอลในสไตล์ของเขา     ภาพดังกล่าวมีชื่อผลงานว่า 220 Mini Metros ซึ่งเป็นการรวมเส้นทางรถไฟจากทุกมุมโลกไม่ว่าจะเป็นเมืองเล็กเมืองใหญ่ หรือแม้แต่เมืองที่มีเส้นทางเดียวเขาก็ยังหยิบมาอยู่ในผลงานนี้ด้วย นอกจากนั้นใครจะเชื่อว่าพอมองดีๆ แล้วภาพเส้นทางรถไฟของบางเมืองดูเป็นระเบียบกว่าที่คิดแถมยังสวยงามสุดๆ แม้จะมีเส้นทางเยอะแยะมากมายก็ตาม   สำหรับกรุงโซลที่แม้จะมีเส้นทางมากมายซะเหลือเกิน ดูยุ่งเหยิงพอสมควร แต่พอดูในแผนที่จริงๆ แต่ละเส้นสายก็จะมีระยะทางที่ห่างกันพอดูจนลบจุดดังกล่าวออกไปได้   ทว่าในส่วนของเมืองโตเกียวที่แม้จะมีเส้นทางเยอะเช่นกัน แต่จะเห็นได้ว่าเส้นทางส่วนใหญ่จะเป็นเส้นทางที่ดูมีระเบียบและไปในทิศทางที่คล้ายๆ กัน   เมืองใหญ่อย่างปารีสที่มีการวางผังเมืองมาอย่างดี   สำหรับเซี่ยงไฮ้ จะเห็นว่ารถไฟเกือบทุกสายจะมีปลายทางที่มาจากนอกตัวเมืองและหมุนมาบรรจบกันที่ใจกลาง   ทางด้านปักกิ่ง ตัวเส้นทางรถไฟจะเน้นเป็นการทำมุม 45 องศาเสียส่วนใหญ่ และมีบางสายที่เป็นเส้นตรงยาวๆ   ทว่าสำหรับเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก เส้นทางกลับไม่ได้วนอยู่แค่ภายในเมือง แต่เป็นการกระจายไปทั่วและเส้นทางแต่ละสายก็จะยาวมากๆ   ทางด้านมาดริดก็ดีไม่แพ้กัน เส้นทางรถไฟของเมืองนี้จะมีทั้งเส้นขาออกไปนอกตัวเมืองหรือวนเวียนอยู่ภายใน และมีการอธิบายเส้นทางต่างๆ ที่เข้าใจได้ง่าย   ลอนดอนคืออีกหนึ่งเมืองหลวงที่มีผู้คนมากมาย จึงไม่แปลกที่เส้นทางในเมืองนี้จะมีให้เลือกหลากหลาย   ปิดท้ายด้วยมอสโควที่ผังทางรถไฟสุดยอด…

ไม่ใช่แค่เฉพาะหมาแมวเท่านั้นหรอกนะ ที่ควรจะได้บ้านหรือที่นอนสวยๆ เพราะเพื่อนรักสัตว์ปีกอย่างนกก็สมควรที่จะได้รับบ้านหลังงามเช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ เช่นกัน และเชื่อว่าใครหลายๆ คนก็อยากจะลองเลี้ยงนกดูบ้าง เลี้ยงนกที่ว่าไม่ใช่การไปจับมันมาขังในกรงนะ หมายถึงการทำที่ให้อาหารไว้นอกบ้าน หรือกระทั่งทำบ้านเล็กๆ ไว้ให้นกผู้ตกเป็นเหยื่อของเรา เผลอมาวางไข่ทำรังนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ทาง Sourgrassbuilt จึงทำการเนรมิตรบ้านนกสุดเจ๋งขึ้นมา โดยการผสมผสานสถาปัตยกรรมของมนุษย์เข้าไปกับบ้านของนก จนออกมาเป็นบ้านนกที่มีดีไซน์สวยงามทั้งแบบที่คล้ายกับบ้านคนแบบโมเดิร์นตามที่หลายคนนิยมกัน     ตัวบ้านของนกนั้นทำมาจากไม้ทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นไม้วอลนัต, ไม้ไผ่, ไม้สัก และไม้มะฮอกกานี ตามด้วยการทาสีด้วยสไตล์ป็อบโมเดิร์นเพื่อหลอกล่อให้เพื่อนสัตว์ปีกของเราเข้ามาอยู่ บรรยายกันมาขนาดนี้แล้ว ลองมาดูตัวอย่างกันเลยดีกว่า เผื่อเห็นแล้วถูกใจอยากจะซื้อไปตั้งให้นกที่บ้านสักหลัง   บ้านน้ำชา ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก San Francisco’s Japanese Tea Garden (จากสวนบริเวณสะพานโกลเด้นเกต ในซานฟรานซิสโก)   บ้านที่มีการผสมผสานรวมสไตล์สถาปัตยกรรมมากมายเข้าไว้ด้วยกัน   The Bauhaus บ้านไม้ที่มีรั้วต้นไม้เสริมเข้าไปให้ตัวบ้านดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น   ส่วนรุ่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากบ้านสไตล์ Eichler อายุหกสิบกว่าปีในซันนีเวล แคลิฟอร์เนีย และมีจุดใส่เมล็ดพืชต่างๆ ที่ทำจากโลหะ   The Kauai House บ้านสไตล์ริมชายหาดที่ได้แรงบันดาลใจจากชาวฮาวาย  …

สำหรับงานแต่งงานแล้ว เชื่อเถอะว่าใครๆ ก็อยากจะมีงานที่ดีจนเป็นความทรงจำที่น่าจดจำไปตลอดชีวิต เพราะการแต่งงานโดยปกติ แล้วเราก็หวังว่าจะได้จัดมันครั้งเดียวในช่วงชีวิตเท่านั้น และคู่บ่าวสาวในเรื่องนี้ก็เช่นกัน James Sissom วัย 35 ปี และ Ashley Schmieder วัย 32 ปี จากรัฐแคลิฟอเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาคือเจ้าของเรื่องราวในครั้งนี้ โดยทั้งคู่ได้เลือกสถานที่แต่งงานสุดแหวกไม่เหมือนใคร อย่างยอดเขาเอเวอเรสต์     ทว่าการจะไปที่แห่งนั้นไม่ใช่ว่าใครๆ ก็จะไปได้ หรือจู่ๆ คิดได้ว่าอยากไปเขาเอเวอเรสต์ก็ไปได้เลย เพราะภูเขาเอเวอเรสต์เป็นสถานที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลไปถึง 8,848 เมตร แถมยังมีอุณหภูมิที่ติดลบอีกต่างหาก ทั้งคู่จึงต้องใช้เวลาเป็นปีเพื่อวางแผนในการปีนยอดเขาดังกล่าว เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว ทั้งคู่ก็จัดการเดินทางไปที่ยอดเขาทันที ซึ่งทั้งคู่จะใช้เวลาในการปีนเขาและอยู่ที่นั้นเป็นเวลา 3 สัปดาห์ด้วยกัน แถมตลอดเส้นทางทั้งคู่ก็ดูจะมีความสุขมากๆ กับการที่ได้ทำอะไรที่ท้าทายขนาดนี้     ทั้งคู่ยังได้บรรยายถึงประสบการณ์ในครั้งนี้ว่า “พวกเราทั้งคู่รู้สึกสนุกกับการปีนเขาในครั้งนี้ เราทั้งคู่รู้ดีว่าช่วงเวลา 3 สัปดาห์นั้นมันเป็นอะไรที่ท้าทายร่างกายและจิตใจมากๆ มากกว่าอะไรที่เราเคยเจอในชีวิตเสียอีก” จนสุดท้ายการเดินทางของทั้งคู่ก็หยุดอยู่ที่เบสแคม์ปเพื่อจัดพิธีกันตรงที่แห่งนั้น เพราะถ้าไปสูงกว่านี้คาดว่าไม่น่าจะรอด เพราะการขนชุดแต่งงานไปใส่กันด้านบนสุด มันคงจะลำบากซะจนเกินไป และนี่ก็เป็นภาพสุดประทับใจของทั้งคู่นั้นเอง   แค่ภาพแรกก็สวยสดงดงามแล้วไหมล่ะ   ช่วงเวลาสุดประทับใจ   ออกจากแคมป์เตรียมพร้อมลุยถ่ายรูปได้!!…

เคยไหมที่บางครั้งเรามองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวแล้วเกิดภาพขึ้นมาจากจินตนาการของเราว่าสิ่งของเหล่านั้นมีรูปร่างหน้าตาในแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครจากการ์ตูนที่ชอบ หรือหน้าเหมือนดาราคนดัง ล่าสุดทางเว็บไซต์ top-news นำเสนอเรื่องราวของชาวเน็ตคนหนึ่ง ซึ่งได้เปลี่ยนเส้นสปาเก็ตตี้ธรรมดาๆ แต่งเติมเสริมจินตนาการจนกลายมาเป็นตัวละครดังจากการ์ตูน “โคนัน เจ้าหนูยอดนักสืบ” ดูเหมือนว่าเขาจะต้องการดึงดูดเหล่าเด็กน้อยให้สนใจในอาหารชนิดนี้ สร้างกระแสให้เป็นที่พูดถึงบนโลกออนไลน์ และย้ำเตือนเราว่าหากมีจินตนาการ อะไรๆ ก็สามารถเป็นไปได้นั่นเอง   ถ้าเป็นเราปกติแล้วจะคิดอะไรแบบนี้ได้ไหมนะ!?   ดูแว๊บแรกก็รู้เลยว่านี้คือ ไฮบาระ ไอ   จากภาพเราจะเห็นว่าตัวเส้นก็อยู่ในมุมมองที่ปกติดี แต่ด้วยการจัดเส้นเพิ่มเติมนิดหน่อยบวกเข้ากับการลงสีเงาลงไป ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเส้นมันกลายเป็นรูปตัวละครต่างๆ ปกติเราคงจะกินไปแบบไม่คิดอะไรแน่ๆ แต่ยอมรับว่าคนที่ทำภาพนี้ขึ้นมาสุดยอดจริงๆ นั่นแหละ     ภาพนี้ถ้ามองไม่ดีอาจจะเห็นแค่ตัวโคนัน แต่ถ้าลองโฟกัสลึกๆ เราจะเห็นกลุ่มนักสืบจิ๋วทั้งแก๊งเลยล่ะ   ไฮบาระ ไอ ชัดๆ อีกรูปหนึ่ง   ชินอิจิ กับ รัน   อากาอิ ชูอิจิ   ยอมใจคนทำจริงๆ ด้วยความสามารถในการจินตนาการระดับนี้ เชื่อเหอะว่าต่อให้เป็นเส้นผม หรือน้ำบนพื้น เจ้าของภาพก็สามารถคิดมันให้ออกมาเป็นรูปร่างต่างๆ ได้สบายๆ เลยล่ะ   ที่มา: top-news

กว่าเราจะเก่งกาจ หรือมีความสามารถในด้านใดด้านหนึ่งก็ต้องผ่านการฝึกฝนกันมาอย่างหนักหน่วงพอสมควร และพอมองย้อนกลับไปดูตอนเริ่มฝึกกับหลังฝึก มันช่างแตกต่างกันซะเหลือเกิน เช่นเดียวกับ Merrick Hanna เด็กหนุ่มวัย 12 ปี ที่มีความชื่นชอบและหลงใหลกับการเต้น เขาพยายามฝึกอย่างหนักจนกลายเป็นนักเต้นที่มีชื่อเสียงโด่งดัง     และเขาได้ทำการเปรียบเทียบฝีมือการเต้นระหว่างตอนที่เพิ่งเริ่มฝึกเต้นใหม่ๆ เมื่อ ปี 2014 ตอนเอายุได้ 9 ปี และหลังจากฝึกไปได้แล้วเป็นระยะเวลา 2 ปี ก็กลับมาถ่ายอีกครั้งเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่าง     ผ่านไป 2 ปี Merrick อายุได้ 11 ปีแล้ว (แว๊บแรกที่เห็นทำไมเด็กฝรั่งมันโตไวจังเลยฟร๊ะ!?)   ในคลิปจะเห็นถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจนทั้งท่าเต้นที่ดูเข้มแข็ง และดูชำนาญขึ้นอย่างเห็นได้ชัด   อีกทั้งยังมีความมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมด้วย .   จากที่เริ่มฝึกหัดการเต้นเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนนี้ Merrick กลายเป็นนักเต้นที่มีแฟนๆ ติดตามมากมายในยูทูบก็มีผู้ติดตามถึง 8 พันคน และในอินสตาแกรมอีกกว่า 50,000 คนเลยทีเดียว!!     ลองไปชมคลิปเปรียบเทียบความแตกต่างตอนเริ่มเต้นกับหลังเต้นไปแล้ว…

การต่อสู้กับความเครียดไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยสำหรับใครหลายๆ คน มิหนำซ้ำมันยังเป็นตัวการที่ทำให้สุขภาพร่างกายของเราย่ำแย่ลงอีกด้วย และนี่เป็นผลงานศิลปะ Minipeople ของศิลปินชาวโปแลนด์ชื่อว่า Dawid Planeta ที่ทำขึ้นมาเพื่อช่วยบำบัดความเครียดของตัวเอง     จึงสร้างโลกในจินตนาการขึ้นมาเป็นเรื่องราวของชายตัวเล็กๆ ที่เดินทางผจญภัยไปในป่าที่แสนมืดมิด และเผชิญหน้ากับความอ่อนแอ ความหวาดกลัว ที่โผล่ออกมาให้เห็นในรูปแบบของสัตว์ตัวใหญ่ยักษ์ที่มีดวงตาส่องสว่างดูน่ากลัว นอกจากนี้ยังมีการใช้โทนสีที่เป็นขาวดำ ทำให้ภาพแต่ละภาพออกมาดูหลอนๆ น่ากลัว แต่ขณะเดียวกันก็ดูสวยงามและน่าค้นหา   .   แม้ว่าความกลัวหรือความเครียดมันจะน่ากลัวแค่ไหน แต่สิ่งที่เราต้องทำก็คือการเผชิญหน้ากับมัน .   ความเครียดมันช่างน่ากลัวยิ่งนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ . .   ความรู้สึกของเราเมื่อต้องเผชิญกับความเครียด มันช่างโดดเดี่ยวและอ้างว้างเหลือเกิน   เราอาจจะต้องการแสงสว่าง หรือใครสักคนเพื่อระบายให้ความเครียดให้เขาฟังก็อาจจะช่วยได้นะ .   หากเราไม่ต่อสู้กับมัน สักวันหนึ่งมันอาจจะพรากชีวิตของเราไปก็ได้   กองไฟที่สว่างจ้าขึ้นมาก็เปรียบเสมือนกำลังใจในการต่อสู้กับอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามา . .   นี่เป็นโลกแห่งความกลัวในจินตนาการของเขา .   เปรียบตัวเองเป็นชายตัวเล็กในรูป และสัตว์ต่างๆ ก็คือความเครียดและความหวาดกลัวที่ตัวเองมี   บนโลกนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เรายังต้องเผชิญ และเราต้องผ่านมันไปให้ได้   เพื่อนๆ…

Ben Ketola ชายหนุ่มวัย 23 ปีผู้หลงใหลในการโยนโบว์ลิ่ง และเป็นผู้ทำงานให้กับลานโบว์ลิ่งแห่งหนึ่งใน Cortland เมือง New York จนวันหนึ่งเมื่อปี 2015 เขาดูคลิปของ Tom Dougherty โปรโบว์ลิ่งที่สามารถทำการโยนสไตรค์ 12 เลน เลนละ 1 ลูกได้ในเวลา 110.99 วินาที ซึ่งถือเป็นสถิติที่ไวที่สุดในโลกอย่างไม่ทางการในขณะนั้น     เขาจึงบอกกับตัวเองว่า “เฮ้ยมันเจ๋งว่ะ วันหนึ่งผมจะฝึกฝน แล้วลองดูว่าผมก็สามารถทำแบบนั้นได้เหมือนกัน” ทำให้ตั้งแต่นั้นมาเขาฝึกโยนโบว์ลิ่ง 50 เกมต่อต่อสัปดาห์ระหว่างที่เขาอยู่ที่ทำงาน Ben ได้สร้างความท้าทายให้กับตัวเองด้วยการโยนโบว์ลิ่ง 12 เลน และทุกเลนจะต้องสไตรค์ทั้งหมด ซึ่งมันจะต้องดีกว่าสถิติของ Tom Dougherty ที่เขาเคยดู (STRIKE หรือสไตรค์ คือการโยนโบว์ลิ่งให้พินล้มทั้ง 10 พิน ภายในครั้งแรกและจะไม่มีการโยนครั้งที่ 2 ต่อ)   แล้วเราคิดว่าเขาจะทำได้ไหมล่ะ? เชิญพิสูจน์ได้ในคลิปข้างล่าง   ถ้าดูคลิปแล้วอ่านกันมาจนถึงตรงนี้ เราก็จะรู้แล้วล่ะว่าเขาสามารถทำได้…

ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบของเก่าและก็ชอบคอมพิวเตอร์ด้วย รับรองว่าเคสคอมพิวเตอร์ดัดแปลงตัวนี้จากหนุ่มชาวรัสเซียจะต้องถูกอกถูกใจคุณแน่นอน สมาชิกคนหนึ่งจาเว็บไซต์ของรัสเซียที่ชื่อว่า englishrussia ได้บอกว่าเดิมทีเป็นคนที่ชอบเก็บสะสมของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เก่าๆ จากยุคสมัยโซเวียตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกกับความที่เขาเป็นคนชอบคิดค้นอะไรใหม่ๆ เขาจึงคิดริเริ่มที่จะเอาของที่เขาเก็บสะสมไว้อย่าง สวิตช์ ปุ่มและหน้าปัดต่างๆ มารวมกันเพื่อเกิดเป็นผลงานชิ้นใหม่ และนี่ก็คือคัสตอมเคสผลงานล่าสุดของเขา…   มันมีชื่อว่า Felix โดยเขาตั้งตามเครื่องคิดเลขแบบเก่าของโซเวียต   ชิ้นส่วนต่างๆ ที่เขานำมาใช้เป็นชิ้นส่วนของเครื่องวิทยุเก่าของโซเวียต   บางชิ้นก็อยู่ในสภาพที่มีสนิมเกาะ ไม่สามารถใช้งานได้ เขาก็นำมาทำความสะอาดจนเอี่ยมสุดๆ   ส่วนสวิตช์ ต่างๆ ที่อยู่ข้างหน้านอกจากตัวเปิดปิดและรีเซ็ตเครื่องแล้ว เขาก็ไม่ได้ใส่ให้เกินมาเล่นๆ เพราะมันสามารถที่จะเปิดปิดเพื่อให้ตัวมิเตอร์แสดงค่าต่างๆ รวมถึงเปิดปิดพัดลมเสริมได้อีกต่างหาก   เช่นเดียวกับตัวหน้าปัดก็ไม่ได้แสดงอะไรมั่วๆ เพราะมันช่วยแสดงความร้อนของเครื่อง ความเร็วของพัดลม รวมถึงสามารถบอกหน่วยความจำที่เหลือในเครื่องได้อีกด้วย สุดยอดไหมล่ะ!!   นอกจากนี้ปกติแล้ววิทยุของโซเวียตจะไม่มีหลอดไฟ เขาจึงจัดการนำหลอดไฟ LED มายัดใส่เข้าไปบริเวณหน้าปัด เพื่อเพิ่มความสวยงาม .   และนี่คือผลงานก่อนและหลัง ที่จะกลายเป็นคัสตอมเคสสุดอลังการของหนุ่มรัสเซียผู้มากฝีมือ   #เหมียวมู่ทู่ ขอซื้อต่อได้ไหม เอาตังค์ไปเลย ที่มา designyoutrust