Tag: การค้นพบ
-
อึ้งเหมือนโดนผึ้งต่อย 17 เรื่องจริงที่คุณอาจจะไม่เคยรู้ของ “ผึ้ง” สัตว์ใกล้ตัวของพวกเรา
จากข้อมูลการค้นพบล่าสุด ผึ้งน้ำหวานกำลังตกอยู่ในอันตรายจากการลดจำนวนลงอย่างมาก แม้ว่าพวกมันจะหาทางที่จะเอาชีวิตรอดมานับล้านปีแล้วก็ตาม ถ้าหากการลดจำนวนลงของผึ้งยังเป็นแบบนี้ต่อไป สิ่งที่ Albert Einstein เคยคาดการไว้ที่ว่า “หากผึ้งน้ำหวานหายไปจะทำให้เกิดหายนะไปทั่วโลกในเวลาเพียงสี่ปี” อาจจะกลายเป็นจริงก็เป็นได้ ดังนั้นเพื่อที่จะให้พวกเรารับรู้ถึงชีวิตของพวกผึ้งมากขึ้น วันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงได้ขอนำเสนอ 17 เรื่องจริงที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับสัตว์ใกล้ตัวเราอย่างผึ้งน้ำหวาน ผึ้งน้ำหวานนั้นสื่อสารกันด้วยการเต้นรำ การเต้นรำนี้จะเป็นการส่งสัญญาณให้กันผ่านทางการเคลื่อนไหวในรูปแบบเฉพาะ ผึ้งเป็นแมลงเพียงชนิดเดียวที่ผลิตอาหารที่มนุษย์นำมารับประทาน ไม่นับพวกแมลงที่เราทานตัวของมันนะ เสียงหึ่งๆ ของผึ้งจะสร้างขึ้นจากปีกของมัน ซึ่งกระพือมากกว่า 11,400 ครั้งต่อนาที เมื่อผึ้งตัวผู้ถึงจุดสุดยอดในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ลูกอัณฑะของมันจะระเบิดออก และมันจะตาย ผึ้งนั้นฉลาด แม้ว่าสมองของผึ้งมีรูปร่างเหมือนรูปไข่ และมีขนาดเท่าเมล็ดงาก็ตาม พวกมันมีความสามารถในการเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ แถมยังสามารถคำนวณเรื่องระยะทางในการหาอาหารได้อีกด้วย นางพญาผึ้งนั้นมีอายุได้ถึง 5 ปี และมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือการวางไข่ ในช่วงฤดูร้อนที่รังต้องการแรงงานผึ้งจำนวนมาก นางพญาผึ้งสามารถวางไข่ได้มากถึงวันล่ะ 2,500 ฟองเลยทีเดียว ถ้าหากว่านางพญาผึ้งเกิดตายขึ้นมา ผึ้งงานจะสร้างนางพญาตัวใหม่ขึ้นโดยการให้อาหารพิเศษที่เรียกกันว่า “นมผึ้ง” แก่ตัวอ่อนที่เพิ่งเกิด และทำให้ตัวอ่อนที่ว่าเติบโตขึ้นเป็นนางพญาตัวต่อไป ผึ้งงานเท่านั้นที่สามารถต่อยได้ และมันจะทำเฉพาะในกรณีที่รู้สึกว่าถูกคุกคามเท่านั้น เพราะมันจะตายหากมีการใช้เหล็กใน ส่วนนางพญานั้นแม้มีเหล็กในแต่มันไม่เคยออกจากรัง โดยมีการคาดว่าจะใช้การต่อยโดยเฉลี่ย 1,100 ครั้งในการฆ่ามนุษย์หนึ่งคน…
-
22 ภาพการการค้นพบที่ไม่ใช่จากนักวิทย์ ไม่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ แต่ก็ทั้งน่าสนใจ และน่าขำ
การค้นพบอะไรใหม่ๆ นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น บางครั้งการค้นพบที่ว่าอาจจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ได้มีความสำคัญใดๆ ก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน การค้นพบอะไรตลกๆ ในชีวิตก็อาจจะนับเป็นหนึ่งในการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ได้ ขึ้นอยู่กับวิธีการมองโลกของแต่ล่ะคน ภาพต่อไปนี้เป็นภาพของการค้นพบที่ไม่ใช่จากนักวิทยาศาสตร์ และอาจจะไม่มีอะไรเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เลยสักนิด แต่ก็ทั้งน่าสนใจ และน่าขำในเวลาเดียวกัน แซนด์วิชไก่งวงสามารถดูเหมือนอย่างอื่นได้ เหมือนอะไรกันน้า มีครีมอาบน้ำที่ติดป้ายไม่มีกลูเตนด้วย สำหรับคนที่แพ้กลูเตน สายเสียบหูฟังมันหลุดแบบนี้ได้ สุนัขตำรวจไม่จำเป็นต้องดูดุเสมอไป คอร์กี้น่ารักกกก เทปใส จะทำให้เรามองทะลุแก้วขุ่นได้ หูของนกฮูก แมวบางตัวจะห่อลิ้นได้ เลโก้มีโครงกระดูก น้ำเปล่าที่มีตราวีแกน แสดงว่าถ้าไม่มีตราอันนี้ น้ำเปล่าขวดนั้นจะเป็นเนื้อสัตว์สินะ หมีนั้น เคาะประตูก่อนโจมตีบ้านคน ก๊อก ก๊อก ก๊อก เปิดประตู เปิดออกดูว่าใครมา หรือว่าจริงๆ แล้วสองคนนี้เป็น คนคนเดียวกัน เราเคยใช้เอกซ์เรย์เพื่อบันทึกเพลง ไม่ใช่แล้ว แค่รอยบนแผ่นเฉยๆ แมวเป็นสัตว์ที่กลัวเส้นสปาเกตตี…
-
ข่าวดี!! นักวิทย์พบประชากร ‘เพนกวิน’ 1.5 ล้านตัวอยู่บนเกาะห่างไกลในแอนตาร์กติกา
ถือว่าเป็นข่าวดีมากเลยทีเดียวเมื่อนักวิทย์ค้นพบประชากรเพนกวินกว่า 1.5 ล้านตัว อาศัยอยู่ในทวีปแอนตาร์กติกา โดยที่ไม่เคยรู้มาก่อน!! นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการสำรวจเกาะต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลความเจริญในทวีปแอนตาร์กติกา ถึงกับต้องเซอร์ไพรส์เมื่อพวกเขาได้พบเจอกับเพนกวินฝูงใหญ่ที่มีประชากรมากกว่า 1.5 ล้านตัว ตามรายงานการวิจัยที่ปล่อยออกมาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาพบว่าเพนกวินดังกล่าวเป็นสายพันธุ์ Adélie Penguins ถูกพบบนเกาะที่มีชื่อว่า Danger Islands ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจากฝั่ง Antarctic Peninsula “โดยปกติแล้วเกาะเหล่านี้จะมีประชากรเพนกวินอาศัยอยู่มากมาย” Michael Polito ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมุทรศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ชายฝั่งทะเล จากมหาวิทยาลัย Louisiana State University หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว เพนกวิน Adélie นั้นสามารถพบเจอได้เฉพาะในแถบแอนตาร์กติกาเท่านั้น และจากเดิมเราเข้าใจผิดมาตลอดว่าจำนวนของมันค่อยๆ ลดลงไปเนื่องจากปัญหาภาวะโลกร้อน ทำให้น้ำแข็งละลายเป็นเหตุให้ที่อยู่อาศัยของมันถูกทำลาย “แต่เดิมพวกเราออกสำรวจกันแค่ฝั่งตะวันตก แต่ฝั่งตะวันออกยังไม่เคยตรวจสอบมาก่อน เพราะเป็นสถานที่ที่เข้าไปถึงได้ยากเนื่องจากสภาพอากาศที่โหดร้าย” ท่านรองศาสตราจารย์กล่าว นอกจากนี้การตรวจสอบภาพจากดาวเทียมบนเกาะ Danger Island พบว่ามีร่องรอยของอุจจาระเพนกวินอยู่ แต่ไม่คิดว่าจำนวนของมันจะมีมหาศาลถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าทีมนักวิจัยอย่างมากเลยทีเดียว จากการลงพื้นที่ไปตรวจสอบพบว่ามีรังของเพนกวินมากกว่า 751,527 รัง และจากการคำนวณดูก็ทำให้ทราบคร่าวๆ ว่าจำนวนประชากรของพวกมันน่าจะมีราวๆ 1.5 ล้านตัว นักวิจัยได้คาดการณ์เอาไว้ว่าแท้จริงแล้วเพนกวินเหล่านี้เคยอาศัยอยู่ที่ฝั่งตะวันตกมาก่อน แต่เพราะฝั่งตะวันออกนี้มีพื้นน้ำแข็งที่แข็งแรงและมั่นคง…
-
นักวิทย์เพิ่งค้นพบรอยสักที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ทั้งที่มันอยู่ในพิพิธภัณฑ์มาแล้วกว่า 100 ปี!?
บางครั้งการค้นพบก็อาจจะเกิดขึ้นได้จากสิ่งของที่เรามองข้ามไป อย่างเช่นมัมมี่ชาวอียิปต์ที่ถูกค้นพบเมื่อนานมาแล้วและถูกนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์มาแล้วกว่า 100 ปี แต่พวกเขากลับเพิ่งรู้ว่าศพดังกล่าวมีรอยสักที่เก่าแก่ที่สุดติดมาด้วย ถึงจะบอกว่าเพิ่งค้นพบ แต่ใช่ว่านักวิทย์จะไม่รู้มาก่อนว่าศพดังกล่าวนั้นมีร่องรอยที่เป็นเหมือนรอยสักอยู่ เพราะก่อนหน้านี้รอยสีดำๆ ดังกล่าวนั้นยังไม่ได้รับการยืนยันว่ามันคือรอยสักจริงๆ จนล่าสุดก็ได้ยืนยันแล้วว่ามันคือรอยสักรูปควายป่าและแพะแอฟริกัน ทีมวิจัยชี้ว่ารอยสักดังกล่าวนั้นไม่ใช่เพื่อความสวยงาม แต่รอยสักรูปสัตว์ทั้งสองใช้สื่อถึงพลังของความเป็นชาย ทั้งด้านกำลังลังกาย สุขภาพทางเพศและความคิดสร้างสรรค์ ยังไม่หมดเท่านั้น นักวิจัยยังได้อธิบายเพิ่มเติมถึงความหมายที่ว่าทำไมต้องเป็นวัวและแพะอีกว่า กระทิงที่เห็นเป็นกระทิงที่เรียกว่า ‘ออรอซ‘ เป็นกระทิงยักษ์ในยุคเก่า ที่ปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งกระทิงดังกล่าวนั้นมีความหมายถึงความแข็งแกร่ง แถมยังเป็นสัตว์ที่คนในยุคนั้นเกรงกลัวและเคารพอีกด้วย ส่วนแพะนั้นหมายถึงพลังทางเพศ ซึ่งทีมวิจัยบอกว่าในยุคก่อน แพะถือเป็นตัวแทนเทพในเรื่องดังกล่าวและยังมีการยกย่องมากมายในหลากหลายตำนานทั่วโลก นอกจากนี้รอยสักดังกล่าวยังระบุว่าเป็นรอบสักที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เพราะตัวศพนั้นมีอายุมากกว่า 5,200 ปี นับตั้งแต่ยุคสำริด แถมยังมีรูปร่างที่ชัดเจนต่างจากรอยสักของมนุษย์ยุคน้ำแข็งที่เคยมีบันทึกก่อนหน้าว่าเป็นมัมมี่ที่มีรอยสักเก่าแก่ที่สุด เพราะรอยสักของมัมมี่ตัวดังกล่าวนั้นเป็นเพียงแค่ลายจุดตามร่างกาย ต่างจากมัมมี่ตัวนี้ที่มีรูปร่างชัดเจนนั่นเอง ปัจจุบันศพดังกล่าวได้จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์บริติชที่กรุงลอนดอน ถ้าใครสนใจหรือผ่านไปก็อย่าลืมแวะไปเยี่ยมเยือนรอยสักที่เก่าแก่ที่สุดกันดูได้ ที่มา independent
-
ดาวเทียมจับภาพเส้นสีขาวปริศนา ที่ตัดผ่านโลกของเราเป็นความยาวกว่า 20,000 กิโลเมตร
โลกของเรามีสิ่งแปลกๆ ที่เป็นปริศนาเกิดขึ้นอย่างมากมาย และเรื่องบางเรื่องเราก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้เช่น มีอะไรอยู่ใต้มหาสมุทร หรือที่แกนของโลกมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กำลังค้นหาคำตอบกันอยู่ในทุกๆ วัน แต่ว่าในตอนนี้ก็ได้มีคำถามใหม่เกิดขึ้นอีก เมื่อมีคนๆ หนึ่งใช้ดาวเทียมส่องดูโลกจากภายนอก แล้วดันไปพบเข้ากับเส้นตรงปริศนาที่ไม่สามารถหาที่มาที่ไปของมันได้ และที่สำคัญคือมันยังมีความยาวแบบเป็นหมื่นๆ กิโลเมตรอีกด้วย?? โดยเส้นพิศวงที่ลากผ่านส่วนต่างๆ ของโลกนี้ถูกค้นพบขึ้นโดย Tyler Glockner นักทฤษฎีสมคบคิดชื่อดังเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านมา และเขาก็ได้โพสต์วิดีโอการพบเจอปริศนานี้ลงในช่องยูทูบของเขาที่มีชื่อว่า secureteam10 ซึ่งเขาได้บอกเอาไว้ว่าปกติเขาเป็นคนที่ใช้ดาวเทียมของ Google Earth บ่อยๆ อยู่แล้ว เพื่อดูสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบริเวณที่ใกล้ๆ กับโลก และระหว่างที่เขากำลังใช้งานดั่งเช่นทุกๆ วันที่ผ่านมา เขาก็ดันไปเจอเส้นตรงเส้นนี้เข้าโดยบังเอิญ ซึ่งเส้นที่ว่านี้มันเป็นเส้นตรงที่ลากผ่านจากขั้วโลกใต้ไปยังขั้วโลกเหนือ ซึ่งความยาวของเส้นตรงนี้จากการประมาณการณ์ของ Tyler เขาก็บอกเอาไว้ว่ามันน่าจะมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 19,312 – 20,921 กิโลเมตร เลยทีเดียว “เส้นตรงนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยการบินอย่างแน่นอน เพราะแผนที่ที่ผมใช้ดูอยู่นี้มันมีระยะห่างเพียงพอสำหรับการดูกลุ่มเมฆและสภาพอากาศเพียงเท่านั้น ไม่อย่างงั้นผมคงเห็นเส้นทางการบินเป็นร้อยๆ พันๆ เส้นทาง” “ไม่ว่าอะไรก็ตามที่สร้างกลุ่มเมฆนี้เกิดขึ้น มันจะต้องมีขนาดใหญ่มากๆ ไม่เพียงเท่านั้นมันจะต้องเป็นอะไรที่มีความสามารถเพียงพอจะเดินทางจากขั้วโลกใต้ไปยังขั้วโลกเหนือที่มีระยะทางถึง 20,000 กิโลเมตรได้โดยไม่หยุดพัก และไม่มีการเปลี่ยนเส้นทางใดๆ เลยด้วย”…
-
นักวิทย์พบฟอสซิล ‘แมงมุม’ อายุกว่า 100 ล้านปีในอำพัน สภาพสมบูรณ์ แถมมีหางด้วย!?
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2018 สำนักข่าว Daily Mail ได้รายงานถึงเรื่องการค้นพบสุดเหลือเชื่อของนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ไปเจอเข้ากับซากฟอซซิลแมงมุมอายุกว่า 100 ล้านปี ที่มีหางยาวออกมาเหมือนกับแมงป่อง นี่เป็นการค้นพบของทีมงานจากหลายประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน เยอรมนี และสหราชอาณาจักร โดยพวกเขาเจอเจ้าสิ่งนี้เขตหุบเขา Hukawng ประเทศพม่า ลักษณะของแมงมุมที่มีการค้นพบในอำพัน แมงมุมทั้ง 4 ตัวที่พวกเขาค้นพบว่าเป็นซากอยู่ในก้อนอำพัน เป็นสิ่งมีชีวิตที่หลงเหลือมาจากยุคกลางครีเทเชียส เมื่อ 100 ล้านปีก่อน สมัยที่ไดโนเสาร์ยังมีชีวิตกันอยู่ สภาพของพวกมันเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบจริงๆ นักวิทยาศาสตร์สามารถตรวจสอบอวัยวะร่างกายโดยรอบของพวกมันได้อย่างชัดเจน ทั้งขา เขี้ยว อวัยวะที่ใช้ปล่อยใย อวัยวะบ่งบอกเพศที่ทำให้รู้ว่าทุกตัวคือตัวผู้ และหางที่ไม่มีอยู่ในแมงมุมสมัยนี้ นักวิทย์เชื่อว่าหางที่ติดตัวพวกมันมามีการทำงานเหมือนกับหางของแมงป่องคือ เป็นตัวรับสัมผัสใช้สำหรับการสำรวจสิ่งแวดล้อมโดยรอบ ไว้มองหาเหยื่อที่จะกลายมาเป็นอาหาร ขนาดตัวของแมงมุมหน้าตาประหลาดเหล่านี้ก็ถือว่าเล็กเอามากๆ ลำตัวของพวกมันยาวแค่ประมาณ 2.5 มิลลิเมตร ส่วนหางนั้นจะยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร และนี่เป็นครั้งแรกที่มีการพบหางติดอยู่กับตัวแมงมุม ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการคาดการณ์เอาไว้ถึงสิ่งมีชีวิตที่ลักษณะคล้ายกับแมงมุมมีหางเหมือนกัน แต่ว่าไม่มีตัวปล่อยใย อาศัยอยู่บนโลกของเราในยุคเดโวเนียนเมื่อประมาณ 380…
-
นักวิทย์สามารถไขรหัสลับอายุกว่า 500 ปี จากคัมภีร์ลึกลับที่สุดในโลกได้สำเร็จแล้ว
Voynich Manuscript หรือว่า “ข้อเขียนวอยนิช” นั้นถือว่าเป็นหนังสือโบราณที่เขียนด้วยอักษรและภาษาที่ไม่มีใครรู้จัก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็ได้พยายามอ่านมันมาเป็นเวลาหลายปี ขณะนี้มีข่าวออกมาว่า ผู้เชี่ยวชาญได้เริ่มถอดความข้อเขียนวอยนิชออกแล้ว ทำการศึกษาโดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษ ซึ่งเชื่อว่าภาษาที่เขียนในหนังสือเล่มนี้นั้นเป็นภาษาฮิบรู หนังสือเล่มนี้ถูกนำเข้ามาในโปแลนด์ตั้งแต่ปี 1912 โดยนักสะสมหนังสือหายากชื่อว่า Wilfrid Voynich เนื้อหาและที่มาของหนังสือนั้นยังไม่มีใครทราบ แต่หลายคนเชื่อว่ามันถูกเขียนขึ้นในอิตาลีช่วงยุคสมัยฟื้นฟูศิลปะและวัฒนธรรม มีรายงานจาก Metro ว่า Greg Kondrak หัวหน้าผู้ศึกษาข้อเขียนวอยนิชได้กล่าวว่า “มันถูกเขียนออกมาเป็นประโยคที่มีหลักไวยากรณ์ มันอาจจะดูแปลกๆ แต่มันสมเหตุสมผล” กลุ่มผู้ศึกษาลองใช้โปรแกรมถอดรหัสทางสถิติเพื่อตีความประโยคแรกของข้อเขียน ซึ่ง Kondrak ออกมาเผยว่ามีความถูกต้องถึงร้อยละ 97 โดยทางกลุ่มผู้ศึกษาเองได้ออกมายอมรับว่าพวกเขาสามารถจำแนกศัพท์บางคำได้แล้ว เช่นคำว่า ชาวนา แสง และอากาศ เป็นต้น และเชื่อว่าผู้เชี่ยวชาญภาษาฮิบรูจะสามารถนำมันไปตีความได้เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีคนบอกว่าข้อเขียนวอยนิชนั้นเป็นของที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อหลอกลวง แต่จากการวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์แล้วพบรูปแบบของภาษาจาก ศตวรรษที่ 15 ที่ไม่น่าปลอมแปลงขึ้นมาได้ เป็นการค้นพบที่น่าอัศจรรย์มาก หวังว่าในวันข้างหน้าจะสามารถถอดความเนื้อหาของมันได้นะครับ อาจจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ในนั้นที่ทำให้มนุษยชาติต้องสะทกสะท้านก็เป็นได้ ที่มา: Ladbible และ…
-
8 การค้นพบวัตถุโบราณที่มีมาตั้งแต่อดีตกาล และทำให้ทั่วทั้งโลกต้องตกตะลึง!!
อดีตกาลเมื่อนานมาแล้ว หลายๆ สิ่งบนโลกมีความแตกต่างจากที่เราใช้ชีวิตกันในปัจจุบัน ทั้งในเรื่องของวิทยาการ สังคม หรือแม้แต่สัตว์บางชนิดที่เชื่อว่าเคยมีอยู่จริงในสมัยก่อนและสูญพันธุ์ไปแล้ว สิ่งเหล่านั้นคงไม่อาจพิสูจน์ได้หากปราศจากการทำงานของเหล่านักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์ จากการออกตามหาร่องรอยสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของยุคก่อน ทำให้มีการค้นพบวัตถุโบราณมากมาย และวันนี้เรากำลังพูดถึงวัตถุโบราณเก่าแก่ 8 อย่างที่ทำให้คนทั้งโลกต้องตกตะลึง แต่ละอย่างจะน่าสนใจมากเพียงไหน เพื่อนๆ ลองไปดูกันเองเลย 1. สมองไดโนเสาร์ ใครจะไปคิดว่าหินที่เจอในเมือง Sussex ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 2004 แท้จริงแล้วมันคือฟอสซิลสมองของไดโนเสาร์ที่มีอายุราวๆ 133 ล้านปี จากการพิสูจน์ด้วยกล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษ ทำให้พวกเราได้รับรู้กันว่าสมองของสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่เคยอาศัยอยู่บนโลกสมัยก่อนมีหน้าตาเป็นอย่างไร 2. งานแฮนด์เมดจากฝีมือของทหารแนวหน้าในระหว่างสงครามปรัสเซีย 1870 และสงครามอังกฤษที่สู้รบในกันในแอฟริกาใต้กับอินเดีย ผ้าห่มที่เป็นเอกลักษณ์หลายผืนถูกปักโดยเหล่าทหารหนุ่ม แสดงให้เห็นถึงความสวยงามท่ามกลางสงครามอันโหดร้าย เชื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นจะใช้เวลาทำงานฝีมือในตอนที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล อย่างไรก็ตามได้มีงานวิจัยออกมาชี้ว่า ผลงานทั้งหมดถูกสร้างขึ้นกลางสมรภูมิระหว่างหยุดพักวางแผนขณะทำภารกิจ ผลงานที่สวยงามและมีความหมายเหล่านี้ถูกจัดแสดงไปเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา 3. ซากมนุษย์โบราณที่เก่าแก่มากที่สุดในโลก นี่เป็นโครงกระดูกของมนุษย์ในยุค Australopithecus ซึ่งถูกจัดแสดงในปี 2017 ความพิเศษของเจ้าสิ่งนี้คือมีอายุนานกว่า 3.6 ล้านปี แต่ยังคงสภาพเอาไว้แทบจะไม่มีการแตกหักในแต่ละส่วน แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ในยุคนั้นมีลักษณะใกล้เคียงกับพวกเราในปัจจุบันมากขนาดไหน ซากศพดังกล่าวถูกค้นพบในถ้ำ Sterkfontein…
-
นักวิทย์เก็บชิ้นส่วนกระดาษ จากปืนใหญ่ของ “โจรสลัดเคราดำ” ทำให้รู้ได้ว่าพวกเขาอ่านอะไรกัน…
โจรสลัดสมัยก่อนมักถูกมองว่าไม่ฉลาดซักเท่าไหร่ เป็นพวกที่คอยจ้องแต่ฆ่า ปล้น แย่งชิงเรือ จับศัตรูเดินไปบนแผ่นไม้ และดื่มแต่เหล้าทั้งวัน แต่ล่าสุดมีการค้นพบชิ้นส่วนกระดาษที่มีข้อความอ่านได้ง่าย ในกระบอกปืนใหญ่บนเรือธงของโจรสลัดหนวดดำ ซึ่งมันทำให้เห็นภาพจากมุมมองจากเหล่าลูกเรือซึ่งเป็นมุมมองที่เราอาจไม่เคยเห็นมาก่อน โดยนักอนุรักษ์จากกรมธรรมชาติวัฒนธรรมของรัฐนอร์ทแคโรไลนาได้แสดงให้เห็นว่าหนวดดำและลูกเรือของเขาได้เริ่มอ่านเรื่องหนังสือบรรยายการเดินทางซึ่งเป็นวรรณคดีที่ได้รับความนิยมในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ถึงต้นศตวรรษที่ 18 ภายในบันทึกนั้นมีรายละเอียดเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ทหารเรือของประเทศอังกฤษที่เดินทางโดยใช้เรือ Duke และเรือ Dutchess ด้วย นักอนุรักษ์ได้ค้นพบชิ้นส่วนกระดาษขณะกำลังสำรวจเรือของหนวดดำอยู่ ซึ่งเรือมันเกยตื้นอยู่ที่ใกล้ๆ Beaufort Inlet ใน North Carolina ในปี 1718 โดยหนวดดำได้ขโมยมันมาจากชาวฝรั่งเศสเมื่อปี 1717 ซึ่งชาวฝรั่งเศสก็ขโมยเรือมาจากเจ้าของเดิมที่เป็นชาวอังกฤษอีกทีในปี 1711 และแต่เดิมมันถูกเรียกว่าเรือ Concord เรือลำนี้มันถูกใช้เป็นเรือขนทาส หลังจากนั้นโจรสลัดหนวดดำผู้น่ากลัวคนนี้ก็ได้ตั้งเชื่อเรือใหม่ว่า Queen Anne’s Revenge จากนั้นก็ติดตั้งปืน 40 กระบอก และทำให้มันเป็นเรือของเขา โดยที่มีการค้นพบซากเรือในปี 1996 นักวิจัยได้ค้นพบกระดาษที่กระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยอยู่ 16 ชิ้นซึ่งมันอยู่ปะปนกับก้อนตะกอนเปียกๆ ในโถงสำหรับบรรจุลูกปืน ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดมีขนาด 1 ส่วน 4 ของขนาดที่สมบูรณ์ แต่มันก็หายากมากในซากเรืออับปาง แล้วยิ่งมันมีอายุมากกว่า 300 ปี มันอาจจะเปื่อยและสลายหายไปใต้น้ำแล้วก็ได้ …
-
7 การค้นพบ ที่เหมือนจะสร้างคำถามมากกว่าคำตอบให้กับวิทยาศาสตร์ซะมากกว่า
เป็นที่รู้กันดีว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความลึกลับมากมาย ทั้งในใต้ทะเลลึกที่มนุษย์เรายังไม่มีความสามารถหาได้ว่าจริงๆ แล้วภายใต้น้ำเค็มเหล่านั้นมีอะไรซ่อนอยู่อีกบ้าง นอกจากนี้บนผืนดินที่เราอาศัยกันก็มีความลับมากมายซ่อนอยู่เช่นเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการขุดค้นพบสิ่งแปลกๆ ที่ฝังอยู่ใต้ดินอยู่บ่อยครั้งนั่นเอง ทั้งนี้การค้นพบอาจจะให้คำตอบแก่เราได้ว่า จริงๆ แล้วโลกของเราในอดีตเคยเป็นอย่างไรมาบ้าง แต่ก็มีการค้นพบบางอย่างที่นอกจากจะไม่ให้คำตอบแล้ว ยังสร้างคำถามเพิ่มขึ้นให้แก่เราอีกว่า มันเกิดมาจากอะไร? หรือเกิดมาเพื่ออะไรกันนะ? สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาอยู่ในปัจจุบันที่ยังรอคนมาพิสูจน์อยู่ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเช่นไรกันแน่ และนี่คือ 7 การค้นพบบนโลกใบนี้ที่ได้สร้างความงงงวยให้แก่ทุกคน ซึ่งการค้นพบแต่ละอย่างได้สร้างความปวดหัวขนาดไหน มาลองดูกันเลยดีกว่า 1. เอ็มบริโอมัมมี่ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบโลงหินโลงหนึ่ง โดยในขั้นต้นการค้นพบนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนัก เพราะในสมัยอียิปต์โบราณผู้คนก็มักจะเก็บอวัยวะต่างๆ ของผู้เสียชีวิตเอาไว้ในโลงอยู่แล้ว ทว่าเมื่อมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโลงหินที่เพิ่งค้นพบนี้ ก็พบว่าโลงนี้ไม่ได้มีเอาไว้เก็บอวัยวะมนุษย์ แต่สิ่งที่พวกเขาเก็บเอาไว้ในโลงนี้กลับเป็น ทารกในครรภ์ที่ถูกทำเป็นมัมมี่ โดยเอ็มบริโอดังกล่าวมีอายุเพียงแค่ 16-18 สัปดาห์เท่านั้น โลงที่ถูกค้นพบนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์กันไว้ว่าน่าจะมีอายุประมาณ 664-525 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งการค้นพบนี้เป็นการค้นพบมัมมี่ที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัตศาสตร์เลยทีเดียว 2. ม้วนกระดาษเดดซี ม้วนกระดาษเดดซี เป็นหนึ่งในหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบม้วนกระดาษนี้ที่ถ้ำแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับทะเลเดดซี กระดาษที่พวกเขาค้นพบมีมากมายนับพันๆ แผ่น ซึ่งข้อมูลที่เขียนขึ้นในแผ่นกระดาษเหล่านี้เกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ฮีบรูไบเบิลของศาสนาคริสต์ นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังเชื่ออีกว่า พวกเขายังสามารถค้นพบแผ่นกระดาษแบบนี้เพิ่มเติมได้อีก หากยังคงมีการค้นหาต่อ…
-
พบ ‘ซากคล้ายไดโนเสาร์’ ในอินเดีย ที่ยังมีชิ้นเนื้อติดอยู่ คาดเป็นหลักฐานทางโบราณคดีชิ้นสำคัญ
ไดโนเสาร์คือสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่สูญพันธู์ไปเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว การศึกษาเกี่ยวกับพวกมันจึงหาข้อมูลได้ยาก ที่ผ่านมานั้นนักวิทยาศาสตร์ได้เพียงแต่ศึกษาข้อมูลของพวกมัน ผ่านทางเศษกระดูก รอยเท้า และฟอสซิลที่พบเท่านั้น แต่ล่าสุด มีการค้นพบซากสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ และถ้ามันเป็นซากไดโนเสาร์จริงๆ ละก็ มันจะกลายเป็นข้อมูลชิ้นสำคัญที่ทำให้เราได้ศึกษาไดโนเสาร์ได้ลึกซึ้งมากขึ้น เพราะซากชิ้นส่วนนี้มีความพิเศษไม่เหมือนกับสิ่งที่เคยพบมาก่อนนั่นเอง ซากลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ที่ถูกค้นพบ ซากรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ที่ว่านี้ถูกค้นพบโดยบังเอิญ เมื่อมีช่างไฟฟ้าคนหนึ่งเข้าไปทำงานที่สถานีรถไฟใต้ดินร้างที่ถูกปล่อยทิ้งไว้กว่า 35 ปี ในเมืองแจสเพอ รัฐอุตตราขัณฑ์ ประเทศอินเดีย แต่มันมีความพิเศษกว่าซากหรือฟอสซิลอื่นๆ ที่เคยพบมา เนื่องจากซากชิ้นนี้ ยังมีชิ้นเนื้อของสิ่งมีชีวิตติดมากับกระดูกที่มีรูปร่างค่อนข้างสมบูรณ์ด้วย นักวิทยาศาสตร์ต่างตื่นเต้นกันมากที่พบซากในลักษณะนี้ ขณะนี้ซากที่พบก็ถูกส่งไปยัง Kamuan University แล้ว เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญด้านฟอสซิล Dr.Bahadur Kotlia ได้ทำการวิเคราะห์ จะได้รู้กันว่ามันเป็นไดโนเสาร์จริงหรือไม่ แล้วมันมีจากยุคใด ซากไดโนเสาร์นั้นมีความยาวประมาณ 28 เซนติเมตร จึงอาจจะตีความได้ว่ามันเป็นไดโนเสาร์สายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งระหว่าง Deinonychus, Coelophysis และ Dromaeosarus ซึ่งทั้งสามสายพันธุ์นี้เป็นไดโนเสาร์พันธุ์เล็ก จัดเป็นไดโนเสาร์ในกลุ่ม Theropod ซึ่งเป็นกลุ่มสายพันธุ์เดียวกับไดโนเสาร์ T Rex นั่นเอง อย่างไรก็ตามนักอนุรักษ์…
-
นักวิทย์ฯ ร่วมไขความลับภายในพีระมิดกิซ่า จนพบ “ห้องลับ” ห้องใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน
พีระมิด สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่จากยุคโบราณที่แม้ปัจจุบันจะมีเทคโนโลยียอดเยี่ยมขนาดไหน ภายในของมันก็ยังคงเป็นปริศนา สำรวจเท่าไหร่ก็ไม่มีหมดสักที โดยเฉพาะภายในพีระมิดกิซ่า พีระมิดขนาดใหญ่ที่สุดที่มีการเข้าไปสำรวจภายในอย่างต่อเนื่องแต่ปัจจุบันก็ยังสำรวจไม่ทั่วอยู่ดี ยิ่งล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ก็ได้มีการค้นพบห้องลับห้องใหม่ หลังจากที่สงสัยจุดดังกล่าวมาเป็นเวลานาน ห้องลับดังกล่าวนั้นถูกระบุว่าตั้งอยู่ใน Grand Gallery ซึ่งเป็นทางยาวที่เชื่อมไปยัง King’s Chamber โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้วิธีการสืบหาข้อมูลหลากหลายวิธีทั้ง รังสีคอสมิก, 3D สแกนด้วยแสงเลเซอร์ และกล้องอินฟาเรดเพื่อตรวจจับความร้อนในจุดต่างๆ ของพีระมิด . . การสแกนนั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2015 โดยทีมวิจัยจากฝรั่งเศสและญี่ปุ่นที่รวมทีมกันในชื่อ ScanPyramids โดยหลักๆ แล้วจะการใช้เครื่องสแกนรังสีคอสมิกหรือที่เรียกกันว่า Muons ทีมงานจะทำการวางเครื่องดังกล่าวไว้ตรงใจกลางพีระมิด ซึ่งตรงจุดนั้นก็คือ Queen’s Chamber ที่ตั้งอยู่ใจกลางพอดี ด้วยวิธีการสแกนแบบนี้จะทำให้พวกเขาสามารถศึกษาพีระมิดได้อย่างปลอดภัย รวมถึงไม่ต้องสร้างความเสียหายกายภาพให้แก่พีระมิดด้วย จนปัจจุบันปี 2017 ทีมสำรวจดังกล่าวก็มั่นใจแน่แล้วว่าพื้นที่ที่พวกเขาเจอมันเป็นห้องลับที่พวกเขายังไม่ค้นพบแน่นอน โดยทีมงานได้กะขนาดของห้องไว้ที่ยาว 50 เมตร สูง 8 เมตร และกว้างราวๆ 1 เมตร หน้าตาของเจ้าเครื่องสแกนรังสีคอสมิก ส่วนเรื่องที่ว่าห้องดังกล่าวมีไว้ทำไมนั้น ทางทีมงานคาดว่ามันอาจจะไว้ใช้สำหรับขนย้ายหินและวัสดุก่อสร้างต่างๆ ของคนงานที่ใช้ในการสร้าง Grand…
-
ค้นพบ “นครที่สาบสูญ” ของอเล็กซานเดอร์มหาราช อายุกว่า 2,000 ปี ริมทะเลสาบประเทศอิรัก
ถ้าหากใครที่สนใจในประวัติศาสตร์กรีกโบราณ คงจะรู้จักกับอเล็กซานเดอร์มหาราชกันเป็นอย่างดี พระองค์เป็นหนึ่งในจักพรรดิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคโบราณ ผู้ขึ้นชื่อทั้งในเรื่องของการรบ และการปกครอง ล่าสุดได้มีการค้นพบที่น่าสนใจเกี่ยวกับมหาราชพระองค์นี้!! นักโบราณคดีชาวอังกฤษได้ค้นพบซากเมือง Qalatga Darband เมืองโบราณอายุกว่า 2,000 ปี ซึ่งเชื่อกันว่าที่นี่ได้สร้างขึ้นโดยอเล็กซานเดอร์มหาราช หลังจากการสำรวจด้วยโดรนในบริเวณทะเลสาบทางตอนเหนือของประเทศอิรัก จากการรายงานของสำนักข่าว The Times นักโบราณคดีจากพิพิธพันธ์แห่งชาติของอังกฤษ ได้เดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าวทันที หลังได้วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมที่บันทึกโดยกองทัพของสหรัฐเมื่อปี 1960 ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้พื้นที่ดังกล่าวจะอยู่ในเขตสงคราม แต่มันก็ปลอดภัยพอที่ทีมสำรวจจะทำการขุดกู้ซากเมืองโบราณดังกล่าวได้ ภาพแผนที่และกราฟฟิคของเมืองโบราณแห่งนี้ คุณ John MacGinnis นักโบราณคดีผู้รับผิดชอบในการขุดซากเมืองโบราณครั้งนี้กล่าวว่า ในอดีตนั้นเมือง Qalatga Darband ถือเป็นหนึ่งเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 และ 2 เมื่อเริ่มทำการสำรวจและทำการวิเคราะห์ภาพถ่ายจากโดรน ทีมสำรวจพบว่าที่นี่เต็มไปด้วยอาคารและสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่ซ่อนตัวอยู่ในทุ่งข้าว วัตถุโบราณของชาวกรีกอย่างเหรียญและรูปปั้น ที่พบในพื้นที่สำรวจ ดอกเตอร์ MacGinnis กล่าวว่า “การสำรวจด้วยโดรนมันได้ผลอย่างยิ่ง มันทำให้เราได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากการสำรวจด้วยโดรนและนำภาพมาวิเคราะห์ เราเห็นความแตกต่างของค่าสะท้อนของสีในช่วงการเจริญเติบโตของพืช” เป็นไปได้ว่าเมือง Qalatga Darband นั้นถูกสร้างขึ้นราวๆ 300 ปีก่อนคริสตกาล ในตอนที่อเล็กซานเดอร์มหาราชยกทัพมาสู้รบกับดาเรียส ไอที่ 3 ก่อนที่จะเอาชนะได้ในศึกที่กอกามีลา…
-
ทีมสำรวจค้นพบฟันปลอมสีเขียวที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป คาดว่ามีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14
เมื่อช่วงท้ายปี 2016 ได้มีการขุดค้นพบฟันของศพคนตายจำนวนสามศพ ซึ่งความแปลกที่ทีมสำรวจเจอคือฟันของศพทั้สามดันมีสีเขียว แทนที่ปกติเราจะคิดว่ากระดูกจะเป็นสีขาว… สาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าฟันดังกล่าวนั้นเป็นฟันปลอมนั่นเอง ซึ่งพวกเขาขุดได้จากบริเวณโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองลุกกาประเทศอิตาลี ซึ่งทีมสำรวจคาดกันว่าฟันปลอมนี้มีอายุมานานตั้งแต่ยุคสมัยของ Leonardo Da Vinci เลยทีเดียว ทีมสำรวจจากมหาวิทยาลัย Pisa บอกว่าพวกเขาค้นพบฟันปลอมดังกล่าวขณะที่กำลังขุดสำรวจ สุสานแห่งหนึ่งใต้โบสถ์ San Francesco ซึ่งในนั้นมีศพโครงกระดูกอยู่เป็นร้อยๆ เลยทีเดียว บริเวณที่พวกเขาทำการขุดนั้นเป็นสุสานของตระกูล Guinigi ซึ่งเป็นตระกูลที่ทำงานเป็นนายธนาคาร และมีอำนาจในการควบคุมเมืองในตอนนั้น ซึ่งทำให้คาดได้ว่าการทำฟันปลอมแบบนี้ในตอนนั้นจะมีเฉพาะในคนที่มีเงิน เพราะสังเกตจากฟันปลอมทั้งห้าซี่แล้ว จะมีการผูกติดโลหะผสมไว้ด้วยทองหรือเงินนั่นเอง และถ้าให้พูดถึงการทำฟันปลอมครั้งแรกที่ถูกบันทึกนั้น คงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงอียีปต์หรือโรมันโบราณกันเลยทีเดียว ส่วนสาเหตุที่ทำให้ฟันปลอมกลายเป็นสีเขียวนั้นก็เพราะว่า ผลจากแผ่นโลหะที่ผสมทองแดงและทองเข้ากันดัน มันส่งผลต่อสภาพของฟันปลอมและแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นสีเขียวนั่นเอง สังเกตดีๆ จะเขียวแค่ช่วงที่มีเหล็กยืดตรงรากฟันเท่านั้น ด้านนักวิจัยได้บอกปิดท้ายการสำรวจนี้ว่า วิธีการทำฟันปลอมแบบนี้นั้นถือเป็นเทคโนยีที่อยู่ในระดับสูงมากๆ ในยุคนั้นนั่นเอง… ทำฟันปลอมยุคนี้สบายกว่าเย๊อะ ไม่เขียวด้วย ที่มา dailymail
-
ค้นพบฟอสซิลสิ่งมีชีวิตในจีน คาดเป็นบรรพบุรุษสิ่งมีชีวิต มีอายุมากกว่า 540 ล้านปี
เรารู้กันดีว่าในยุคสมัยหลายล้านปีก่อน โลกของเราเคยเป็นยุคของไดโนเสาร์ และก่อนไดโนเสาร์ ก็มีสิ่งมีชีวิตก่อนหน้าอีกที ซึ่งทุกอย่างก็ถูกยืนยันด้วยซากฟอสซิลที่หลายคนได้เจอนั่นเอง ทว่าการพ้นพบกลับไม่หยุดแค่นั้น เพราะล่าสุดนักวิทยาศาตร์ได้ค้นพบซากฟอสซิลชนิดใหม่ที่ประเทศจีน และพวกเขาก็คาดว่ามันเป็นฟอสซิสของสิ่งมีชีวิตอายุมากกว่า 540 ล้านปี ที่สำคัญยังเป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตมากมายในยุคแรกอีกด้วย!! ทางนักวิจัยบอกว่า เจ้าสิ่งมีชีวิตที่เป็นเจ้าของฟอสซิลนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนพื้นทรายใต้น้ำ และมีส่วนประกอบหลักเพียงแค่ปากขนาดใหญ่ ไม่มีตาจมูก หรือแม้แต่รูทวาร ซึ่งพวกเขาตั้งชื่อให้มันว่า Saccorhytus coronarius เจ้า Saccorhytus นั้นถูกจัดอยู่ในสัตว์ประเภทแรกๆ ของสัตว์ตระกูล Deuterostomes ซึ่งในภายหลังก็พัฒนาไปสู่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในท้องทะเลและยาวไปจนถึงสัตว์บกรวมถึงมนุษย์ด้วย การค้นพบครั้งนี้เป็นการร่วมมือกันของนักวิทยาศาสตร์สามชาติด้วยกัน เยอรมนี จีน และสหราชอาณาจักร ซึ่งได้ตีพิมพ์เรื่องราวการค้นพบผ่านวารสารเนเจอร์ สุดท้ายพวกเขาบอกว่า การค้นพบนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ที่สุดยอดมากๆ เพราะขนาดของเจ้าฟอสซิลดังกล่าวนี้มีขนาดที่เล็กมากแค่ 1 มิลลิเมตร เท่านั้น ถ้ามองแบบไม่คิดอะไรมันก็จะเป็นแค่ก้อนดินชิ้นๆ เท่านั้นเอง ที่มา bbc,weirdasianews,wikipedia
-
ค้นพบซากของผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์ “เครื่องบินตก” เมื่อ 51 ปีที่แล้ว ยังอยู่ดีไม่เน่าเฟะ!!?
Daniel Roche นักปีนเขาฝีมือดีได้บอกเล่าเรื่องราว ที่เขาได้ไปเจอกับซากของศพที่เสียชีวิตจากเครื่องบินตกบนยอดเขาน้ำแข็งที่เขาไปปีน ซึ่งเมื่อค้นประวัติดูก็ได้รู้ว่าเครื่องบินดังกล่าวตกมานานแล้วถึง 51 ปี!! เดิมทีแล้ว Daniel จะปืนยอดเขาน้ำแข็งเพื่อตามเก็บเศษซากศพต่างๆ แต่เขาเล่าว่าศพที่เขาเจอล่าสุดนี้ มันสมบูรณ์มากๆ มากที่สุดตั้งแต่เขาสำรวจมาเลย ถึงจะไม่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็น แต่ก็เรียกว่าสภาพดีมากๆ เลยล่ะ ส่วนภาพนี้เป็นชิ้นเนื้อช่วงต้นขา ใครจะคิดว่าผ่านไป 51 ปี เนื้อจะยังไม่ย่อยสลาย ชิ้นส่วนดังกล่าวนั้นประกอบด้วย มือและต้นขา ซึ่งทั้งสองอยู่ในสภาพที่ไม่เน่าเละเลย คาดว่าอาจจะเป็นผลของการที่มันอยู่ในภูเขาน้ำแข็งก็เป็นได้ นอกจากนั้นหลังจากศึกษาข้อมูลก็พบว่าเป็นชิ้นส่วนจากผู้โดยสารจากเครื่องบิน Air India Boeing 707 ซึ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างเมืองมุมไบไปยังนิวยอร์ค และลูกเรือทั้ง 117 คนล้วนเสียชีวิตทั้งหมดเมื่อปี 1966 ไม่หมดเท่านั้นเขายังคาดเดาว่าซากทั้งหมดที่เขาเจอนั้นมาจากคนละคนกัน และเป็นผู้หญิง นอกจากซากแล้วเขายังเจอชิ้นส่วนเครื่องบินที่ยังอยู่ดีถึง 4 ชิ้นด้วยกัน ยังไงก็ตามเขาก็ได้ติดต่อกับทีมกู้ภัยในท้องถิ่นเรียบร้อย เพื่อให้พวกเขามาช่วยกู้ซากทั้งหมดไป และตัวเขาจะได้ศึกษาชิ้นส่วนว่าเป็นใครยังไงต่อไปให้ได้มากกว่านี้นั่นเอง ที่มา metro
-
คนงานก่อสร้างขุดค้นเจอ “พีระมิดขนาดเล็ก” อายุ 2,000 ปี อยู่ใต้ไซส์งานซะอย่างนั้น!?
นักโบราณคดีถึงกับทึ่ง เมื่อพวกเขาเจอเข้ากับพีระมิดโบราณอายุนับพันปี แถมยังอยู่ใต้ไซต์ก่อสร้างซะด้วย!! พีระมิดที่ว่านี้ ถึงจะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับพีระมิดของกษัตริย์ในอียิปต์ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการขนาดนั้น พราะพีระมิดที่นักโบรานคดีขุดเจอมีความสูงเพียงแค่ 1.8 เมตรเท่านั้น โดยมันตั้งอยู่ในกรุที่มีความกว้าง 30 เมตร และยาวเพียงแค่ 8 เมตรเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้มันจะมีขนาดเล็ก แต่มันก็จัดว่าเป็นโบราณสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เช่นกัน เนื่องจากอายุอันเก่า่แก่ และอาจจะโยงไปสู่เรื่องราวของคนในยุคนั้น จากการวิเคราะห์พบว่าแม้ว่าจะต้องมีการวิเคราะห์เพิ่มเติมเพื่อระบุอย่างเป็นทางการว่าอายุของพีระมิดที่ขุดเจอ มีอายุเป๊ะๆ เท่าไหร่กันแน่ รวมถึงว่าเป็นพิระมิดของใครแล้วมีเหตุผลอะไรถึงสร้างมันขึ้นมา แต่เบื้องต้นพวกเขาวิเคราะห์ว่าพิระมิดนี่มีอายุตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นแล้ว เพราะตัวพีระมิดถูกสร้างด้วยอิฐ แต่ไม่ใช่แค่พีระมิดเท่านั้นที่ถูกขุดเจอ เพราะข้างๆ ก็มีหลุมศพที่เป็นทรงครึ่งกระบอกอยู่ด้วย ซึ่งคาดการณ์ว่าน่าจะถูกสร้างและนำมาเก็บไว้พร้อมๆ กับพีระมิดนั่นเอง ดูจากมุมนี้มันก็เหมือนจะใหญ่นะ พอดูแบบนี้เล็กนิดเดียว แต่ก็มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากเช่นกัน สังเกตุว่ารอบๆ จะเป็นไซต์ก่อสร้าง ซึ่งถ้าไม่มีการก่อสร้าง เราอาจจะไม่ทราบว่ามีสิ่งนี้ซ่อนอยู่ ห้องนี้ถูกสร้างขึ้นในทิศตะวันออกเฉียงเหนือโดยทางเข้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออก คาดว่าอีกสักพักพีระมิดนี้ น่าจะถูกย้ายออกไป เพื่อที่พื้นที่แห่งนี้จะได้ถูกสร้างเป็นที่พักอาศัย ยังไงซะมันก้ถือเป็นการค้นพบใหม่ ที่จะช่วยให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์เราอีกมากทีเดียว ที่มา metro
-
พบรูปปั้นฟาโรห์ Ramses II อายุ 3,000 ปี ซ่อนตัวใต้สลัมอียิปต์ หนึ่งในการค้นพบแห่งประวัติศาสตร์!!
การร่วมมือกันของนักสำรวจจากเยอรมนีและอียิปต์ได้ทำให้พวกเขาได้ค้นพบวัตถุสำคัญทางประวัติศาสตร์ชิ้นใหม่ ซึ่งพวกเขาคาดเดาว่าวัตถุชิ้นนี้จะมาอายุมากถึง 3,000 ปีเลยทีเดียว การค้นพบนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านที่ย่านสลัมอันรู้จักกันในชื่อ Matariya ในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ โดยสิ่งที่พวกขุดเจอนั่นก็คือรูปปั้นฟาโรห์ที่มีขนาดสูงถึง 8 เมตร ภาพของนักสำรวจที่กำลังตรวจสอบชิ้นส่วนของรูปปั้นที่พวกเขาเจอ ตัวรูปปั้นที่พบเห็นนั้นอยู่ในสภาพแตกหัก มันถูกสร้างด้วยหินควอตไซต์ ซึ่งทำให้พวกเข้าค้นพบรูปปั้นชิ้นอื่นๆ ตามมา และหากสำรวจบริเวณนี้ได้เรียบร้อย รูปปั้นเหล่านี้จะถูกนำไปจัดแสดงใน Grand Egyptian Museum พิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ที่จะสร้างเสร็จในปี 2018 ตรงส่วนนี้น่าจะเป็นฐานที่มีข้อความบ่งบอกถึงอะไรสักอย่าง หลังจากการสำรวจเบื้องต้น พวกเขาคาดเดาว่ารูปปั้นนี้น่าจะเป็นรูปปั้นของฟาโรห์ Ramses II ซึ่งเป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่มีฟาโรห์มาทุกพระองค์เลยทีเดียว เชื่อกันว่าเขาเป็นคนสร้าง Heliopolis (และกลายมาเป็น Matariya ในปัจจุบัน) การขุดค้นครั้งนี้ถือเป็นอีกครั้งสำคัญที่สุดแห่งประวัติศาสตร์ เพราะทำให้พวกเราทราบถึงประวัติศาสตร์อียิปต์มากยิ่งขึ้น ส่วนตัวของรูปปั้นที่แตกหัก นอกจากนี้ การขุดค้นอาจจะทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวในอียิปต์กลับมาบูมอีกครั้ง หลังจากที่ถดถอยลงไปกว่า 6 ปี เพราะปัญหาทางการเมือง สงคราม และการก่อการร้ายนั่นเอง …
-
6 การค้นพบทางโบราณคดี ที่พลิกโฉมหน้า “ประวัติศาสตร์” มนุษยชาติไปตลอดกาล!!
การศึกษาด้านโบราณคดีนับว่าเป็นอีกหมวดวิชาที่ค่อนข้างจะสำคัญมากเลยทีเดียว เพราะการย้อนกลับไปศึกษาเรื่องราวในประวัติศาสตร์ มันช่วยทำให้มวลมนุษยชาติรู้จักตัวตนของเราในวันนี้ได้มากขึ้น จากหลักฐานต่างๆที่บรรพบุรุษเคยทิ้งเอาไว้ จะว่าไปแล้วทุกการค้นพบทางโบราณคดี ย่อมมีความสำคัญต่อโลกเราทั้งนั้นแหละ หากแต่วาการค้นพบทั้ง 6 สิ่งนี้ คือเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์เสียเหลือเกิน…. 1. การค้นพบเมืองปอมเปอี ประเทศอิตาลี ในอดีตเคยเป็นเมืองที่รุ่งเรือง แต่ทว่าวันหนึ่งทุกอย่างก็ถูกฝังลงใต้เถ้าถ่านจากภูเขาไฟลึก 20 ฟุต ทำให้เมืองนี้หายไปตลอดระยะเวลา 1,500 ปี ก่อนที่จะถูกค้นพบอีกครั้งในปี 1599 และต้องใช้เวลานานกว่า 150 ปี กว่าจะบูรณะเมืองนี้กลายเป็นอีกสิ่งทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ได้ 2. หีบศพฟาโรห์ทุตอังค์อามุน ประเทศอียิปต์ ปี 1922 นักสำรวจ ‘Howard Carter’ ได้ค้นพบหีบศพของฟาโรห์องค์นี้ หลังจากที่ถูกซ่อนมาอย่างยาวนานถึง 3,000 ปี และคาดว่านี่คือหีบศพที่มีสภาพสมบูรณ์มากที่สุด การค้นพบนี้เองส่งผลให้เรามีองค์ความรู้ที่เข้าใจในวิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชาวอียิปต์โบราณมากยิ่งขึ้น 3. ศิลาโรเซตต้า นี่คือแท่งศิลาจารึกโบราณซึ่งถูกเขียนขึ้นโดยนักบวชชาวอียิปต์โบราณ เพื่อเทิดทูนการขึ้นครองราชย์ของ ‘King Ptolemy V’ ในช่วง 196 ปีก่อนคริสตศักราช โดยศิลาจารึกชิ้นนี้ถูกค้นพบโดยทหารฝรั่งเศสนายหนึ่ง…