Tag: การทดลอง
-
นักวิทย์ “เก็บสมองหมู” ให้มีชีวิต โดยไม่มีร่างกายได้สำเร็จ หรือนี่อาจต่อยอดสู่มนุษย์ได้!?
เคยดูหนังที่มีการเปลี่ยนสมองกันไหม? เคยคิดหรือเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคนเราสามารถย้ายสมองของเราไปอยู่ในร่างใหม่ได้จะเป็นอย่างไร… เชื่อไหมล่ะว่าในเวลานี้ คนเราสามารถผ่านสิ่งสำคัญในการย้ายสมองมาได้ข้อหนึ่งแล้ว เพราะในตอนนี้ เราสามารถรักษาสมองหมูไว้นอกร่างกายได้แล้ว!! นักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยเยลอ้างว่าได้พัฒนาเทคนิคที่ช่วยรักษาเนื้อเยื่อสมองของสุกรเป็นระยะเวลานานหลังจากการตัดหัว แม้ดูเหมือนว่าสมองจะไม่ได้รู้สึกตัวอยู่ แต่เทคนิคใหม่นี้ก็อาจจะนำไปสู่การรักษาในรูปแบบใหม่ก็เป็นได้ โดยพวกเขาบอกว่าสามารถทำการรักษาสมองของหมูให้มีชีวิตอยู่นอกร่างกายได้ถึง 36 ชั่วโมง นักวิจัยที่กล่าวว่าพวกเขาทำการทดลองกับหมูกว่า 100 ตัวที่ได้รับมาจากโรงเชือด และอ้างว่าสามารถฟื้นฟูสมองของหมูที่ตายไปแล้วตราบใดที่ยังไม่นานกว่าสี่ชั่วโมง โดยใช้เทคนิคที่ชื่อ BrainEx ที่ฟื้นการไหลเวียนโลหิตในเนื้อเยื่อสมอง และทำให้มันกลับมามีชีวิต… อย่างน้อยๆ ก็ในทางกายภาพ ที่ต้องบอกว่าการคืนชีพนั้นเป็นเพียงทางกายภาพ ก็เพราะว่าสมองของหมูที่ได้มานั้นไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงกิจกรรมในแง่ของคลื่นสมอง คือว่าง่ายๆ ว่าสมองนั้นไม่ได้รู้สึกตัวอยู่นั่นเอง อย่างไรก็ตามนักวิจัยสามารถตรวจสอบได้ว่าเซลล์กว่าพันล้านเซลล์ในสมองนั้น ยังอยู่ในภาพที่ดี เพียงแต่เนื้อเยื่อสมองที่ดี ไม่ได้หมายความว่าสักวันหมูจะรู้สึกตัวขึ้นมา หมูตัวที่ว่านี้มีสภาพคล้ายผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ และกลายเป็นเจ้าชายนิทราไป จนทำให้ในตอนนี้ยังมีหลายๆ ฝ่ายที่ไม่มั่นใจว่าการทดลองในครั้งนี้ควรจะถือว่าหมูตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่ Steve Hyman จากสถาบันในเคมบริดจ์ให้ความเห็นกับการทดลองครั้งนี้ว่าว่า “สมองเหล่านี้อาจได้รับความเสียหาย แต่ถ้าเซลล์ยังมีชีวิตอยู่ มันก็นับได้ว่าเป็นอวัยวะที่ยังมีชีวิต คล้ายๆ กับการรักษาไตนั่นล่ะ” แต่เมื่อถามว่าการทดลองในครั้งนี้จะสามารถเอาไปใช้ในการรักษามนุษย์ได้หรือไม่ เป็นไปได้ไหมว่าคนเราจะเปลี่ยนร่างกายทั้งตัวโดยเหลือแค่เพียงสมอง และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ Hyman ก็ตอบมาว่า “มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย” อย่างน้อยก็จากสิ่งที่คนเราพบในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้เรายังคงตั้งความหวังกันได้…
-
25 ภาพ GiF ผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ที่จะทำให้เราต้องตึ้งตึงตึงตึง ตะลึงตึงตึง ~
ผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์มักจะสามารถสร้างความประหลาดใจให้กับเราได้อยู่เสมอ เพียงแค่การผสมสารตั้งต้นบางอย่างเข้าด้วยกัน มันกลับกลายเป็นความมหัศจรรย์อันน่าเหลือเชื่อได้ง่ายๆ ทั้งหมดนี้คือ GiF ตัวอย่างผลการทดลองอันน่าอัศจรรย์ใจเหล่านั้น ซึ่งหลายๆ อันอาจเป็นปรากฏการณ์ที่เราไม่เคยเห็นกันมาก่อน แต่ละภาพจะตื่นตาตื่นใจมากขนาดไหนก็อย่ารอช้า ลงไปดูกันเลยยย เมื่อธาตุ โบรมีน และ อะลูมิเนียม ต้องมาเจอกัน ความสวยงามของสารเคมีและเหรียญเงิน สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อสารแคลเซียมคาร์ไบด์ถูกอัดแน่นอยู่ในขวด สีฟ้าสุดตระการตา ไม่ใช่แค่เปลี่ยนสีแต่มันยังส่องสว่างอีกด้วย คลิปหนีบกระดาษเล็กๆ สร้างให้เกิดผลงานล้ำๆ การเผาไหม้เอทานอล ตระการตาราวกับเวทมนตร์ สาร Spirit เติมด้วยน้ำตาลโซดา กลายเป็นสิ่งแปลกปลอมสุดสะพรึง ล้ำไปเต๊อะะะ นั่นมันหนอนยักษ์ชัดๆ ไหลออกมาไม่ยอมหยุด เปลี่ยนจากสีเหมือนไวน์ให้กลายเป็นน้ำเปล่า สบู่กับนม และสีผสมอาหาร แคลเซียมเจอไฟเข้าไป หลอนเลยทีนี้ หนวดปลาหมึกที่สร้างจากแอมโมเนียมไดโครเมต และไฟ หอคอยเกลือ…
-
อดีตศาสตราจารย์อ้าง “ผมวิวัฒนาการไปได้อีกขั้น” หลังจากทานผลไม้อย่างเดียว 8 ปี
เมื่อเดือนกันยายน 2009 Mizuki Nakano อดีตศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยโตเกียว ได้ตัดสินใจทำการทดลองอันน่าสนใจ ด้วยการทานแต่ผลไม้ทุกๆ วัน ติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยไม่ทานอย่างอื่นเลย แม้แต่น้ำเปล่า เพราะเขาต้องการพิสูจน์ความเชื่อที่ว่าการทานแต่ผลไม้จะมีผลเสียต่อร่างกาย เพราะน้ำตาลที่สูง และการขาดสารอาหาร Nakano บอกว่าความเชื่อพวกนี้ไม่ได้มีหลักฐานพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างไร ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะทานแต่ผลไม้ เป็นเวลาแรมปี จนรายการ Matsuko’s Unknown World ซึ่งเป็นรายการวาไรตี้โชว์ของญี่ปุ่นได้นำเรื่องของเขาไปออกรายการในปี 2015 จนเรื่องของเขากลายเป็นกระแสระดับชาติไป หลังจากวันนั้น เรื่องราวของ Nakano ก็เงียบหายไป จนทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าเขาอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากอาการขาดสารอาหาร ไม่ก็น้ำตาลในเลือดสูง แต่ในวันที่ 17 เมษายน 2018 ที่ผ่านมานั่นเอง Nakano ก็กลับมาอีกครั้งในรายการ Matsuko’s Unknown World นอกจากเรื่องที่ว่าเขายังไม่ตายแล้ว Nakano ยังดูสบายดี แม้ว่า Matsuko ผู้ดำเนินรายการจะบอกว่าเขาดูมีความหงุดหงิด และอาจจะมีอาการตับเสียหายก็ตาม เขายังกล่าวอีกด้วยว่าจากการที่เขาทานแต่ผลไม้ต่อเนื่องมากว่า 8 ปี นั้น ทำให้เขาไปถึง “ก้าวต่อไปในวิวัฒนาการของมวลมนุษย์” อีกด้วย เขาอ้างว่าได้ให้นักวิจัยคนหนึ่งตรวจสอบร่างกายของเขาและพบว่า…
-
สาวทำบอดี้เพนท์ไปเดตกับหนุ่มผ่านแอป Tinder โดยที่ฝ่ายชายไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย!!
การนัดออกเดตเป็นครั้งแรกสำหรับหนุ่มสาว มันเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะต้องสร้างความประทับใจให้กับอีกฝ่าย เพื่อที่ว่าจะได้มีการสานสัมพันธ์กันต่อได้ง่ายยิ่งขึ้น ดังนั้นสาวๆ หลายคนจึงพยายามแต่งตัวให้ดูดี ด้วยการเลือกชุดที่สวยที่สุดใส่ในวันนั้น รวมถึงแต่งหน้าทำผมอย่างสุดฝีมือเท่าที่ตัวเองจะทำได้ แต่ผู้ชายจะรู้สึกอย่างไรถ้าผู้หญิงไปออกเดตโดยไม่สวมเสื้อผ้าใดๆ เลยจะมีก็เพียงกางเกงในตัวเดียวเท่านั้น ด้วยความอยากรู้ถึงคำตอบของคำถามนี้ จึงทำให้นางแบบสาวคนหนึ่งตัดสินใจทดลองด้วยการทำบอดี้เพนต์ แล้วนัดเจอกับหนุ่มรายหนึ่งที่นัดเจอผ่านแอปฯ ซึ่งผลที่ออกมาก็ได้สร้างความขำขันให้กับคนที่ดูได้มากเลยทีเดียว โดยเหตุการณ์ที่ว่านี้เกิดขึ้นในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เมื่อนางแบบสาวชื่อว่า Joy Jewell ได้นัดเจอกับหนุ่มนักแสดงตลกคนหนึ่งผ่านทางแอปพลิเคชั่น Tinder เพื่ออยากจะดูปฏิกิริยาของเขาในตอนที่เจอเธอว่าจะสังเกตไหมว่า จริงๆ แล้วเธอไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลยสักชิ้นเดียว ซึ่งก่อนที่จะออกไปเจอกับหนุ่มคนนี้ Joy ก็ได้พรางตัวด้วยการทำบอดี้เพนต์จาก Jen Seidel หรือที่รู้จักกันในนาม Jen The Body Painter ผู้โด่งดัง โดยในส่วนบนของเธอนั้นมีเพียงแผ่นพลาสเตอร์ที่ปกปิดหัวนมเอาไว้เท่านั้น และท่อนล่างของเธอก็สวมเพียงกางเกงในเพียวๆ ตัวเดียวอีกด้วย ซึ่ง Jen ก็ได้บรรเลงฝีมือของเธอลงมาใส่ตัวของนางแบบสาวคนนี้ จนดูเหมือนกับว่าเธอสวมชุดจริงๆ อยู่เลย จากนั้นก็ถึงเวลานัดพบกับหนุ่มคนที่ได้นัดเอาไว้ เพื่อดูผลลัพธ์ที่จะได้กันแล้ว ทั้งสองคนนัดกันไว้ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐฯ และเมื่อได้เจอหน้ากันแล้วเขาก็ทำท่าทีเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาบอกว่าตัวเขาเองคิดว่า Joy นั้นกำลังโป๊อยู่แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้ความคิดนั้นผ่านไป เพราะคิดว่ามันคงเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดีที่เขาคิดเช่นนั้น ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างสนุกสนานตลอดเวลาที่ได้กินข้าวร่วมกัน จนกระทั่งในตอนสุดท้ายที่ทั้งคู่ออกไปข้างนอกห้างฯ แล้วปรากฏว่ามีฝนตกลงมา คราบบอดี้เพนต์ที่อยู่บนตัวของ…
-
ยูทูบเบอร์ปลอมเป็นคนไร้บ้าน เข้าร้านอาหารอ้างว่ามีเงิน แต่พนักงานร้านไม่เชื่อ…
ว่ากันว่าคนที่ดูดีไม่จำเป็นต้องมีหน้าตาที่หล่อสวยเสมอไป แต่สิ่งที่จะทำให้เราดูพิเศษกว่าคนอื่น ส่วนหนึ่งก็มาจากเรื่องของ ‘เครื่องแต่งกาย’ ที่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะรูปร่างรวมถึงบุคลิกของเราเอง ซึ่งการแต่งตัวนี้เองก็ทำให้เราสามารถบ่งบอกความเป็นตัวเองออกมาผ่านสไตล์ หรือลุค ที่เราต้องการจะสื่อออกมาได้อีกด้วย ทว่าก็ด้วยสังคมแบบในปัจจุบัน ที่เสื้อผ้าได้กลายเป็นปัจจัยบ่งบอกฐานะอย่างหนึ่ง จึงทำให้ยูทูบเบอร์คนหนึ่งได้ทำการทดสอบพนักงานร้านอาหารว่า ถ้าเขาใส่เสื้อผ้าแบบคนไร้บ้านไปกินอาหาร พนักงานจะให้เขาเข้าไปหรือไม่และพนักงานจะมีท่าทีอย่างไรต่อเขาบ้าง โดยหนุ่มคนนั้นก็คือ Coby Persin ยูทูบเบอร์มหาเศรษฐีชาวอเมริกันชื่อดังวัย 23 ปี เขาได้กลายเป็นที่รู้จักกันว่าชอบทำคลิปแกล้งคน รวมถึงทำการทดลองสังคมในด้านต่างๆ ด้วย ซึ่งในคราวนี้เขาได้ทำการทดสอบปฏิกิริยาของพนักงานคนหนึ่งของร้านอาหารในรัฐฟลอริด้า ด้วยการปลอมตัวเป็นคนไร้บ้านที่ดูไม่มีเงินแต่จะเข้าไปกินอาหารภายในร้าน ในตอนแรกนั้นเขาก็เดินเข้าไปในร้านแล้วถามพนักงานต้อนรับว่า พอจะมีโต๊ะว่างสำหรับให้เขากับ Ronaldo เพื่อนของเขากินอาหารบ้างไหม แต่สิ่งที่พนักงานคนนั้นตอบกลับมาก็คือ “ขอโทษด้วย แต่ผมไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะสถานที่นี้มันคงแพงไปสำหรับคนอย่างคุณ” แต่ Coby ก็ยังคงไม่ยอมและถามขอดูเมนูหน่อยก็ยังดี และมีอยู่ประโยคหนึ่งที่เขาบอกว่าเขามีเงินพอสำหรับค่าอาหารแน่ๆ ซึ่งก็แน่นอนว่าพนักงานคนนั้นก็ปฏิเสธเช่นเดิม โดยให้เหตุผลว่าที่นี่ไม่สามารถเสิร์ฟอาหารให้แก่คนอย่างเขาได้ ทว่าก็ยังมีคำขอโทษตามมาด้วยเช่นกัน เมื่อ Coby มีท่าทีว่าไม่ยอมไป พนักงานคนดังกล่าวก็กล่าวไล่ให้เขาหลบไปให้พ้นจากหน้าร้าน แถมยังแนะนำว่าให้ไปกินอาหารที่ร้านแมคโดนัลน์ หรือร้านอื่นๆ แทน แต่อย่างไรก็ตามต้องไม่ใช่ที่ร้านอาหารแห่งนี้อย่างแน่นอน ต่อจากนั้นมหาเศรษฐีคนนี้จึงใช้โทรศัพท์โทรเรียก Ronaldo เพื่อนของเขาให้มาที่ร้านนี้โดยด่วน ซึ่งเพื่อนของเขาก็มาอย่างทันควันพร้อมกับรถเปิดประทุนยี่ห้อโรลส์-รอยซ์คันหรู …
-
พบกับ 7 การทดลองอันสยดสยองที่เคยเกิดขึ้นบนโลกในอดีต ช่างน่าหดหู่ใจซะจริงๆ
(บทความนี้อาจมีภาพที่มีเนื้อหารุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม) ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโลกของเราในอดีตนั้น เคยมีความโหดร้ายเกิดขึ้นอย่างมากมายเพียงใด และยิ่งในช่วงที่เกิดสงครามขึ้นแล้ว การบาดเจ็บล้มตายรวมถึงการจับเชลยมาใช้แรงงาน ถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่เราสามารถเห็นได้ในทุกวันในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ แต่ว่าก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่อาจดูรุนแรงและวิปริตในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือการทดลองต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยสงคราม วิธีการทดลองนี้ส่วนมากก็จะใช้เหล่าเชลยศึกเป็นเหยื่อในการทดลอง ซึ่งมันก็ได้สร้างความทรมานใจให้แก่ผู้พบเห็นอย่างเราๆ เป็นอย่างมาก และนี่คือ 7 การทดลองสยองโลก ที่ว่ากันว่ามีความอำมหิตที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งมันจะน่ากลัวขนาดไหน รวมทั้งมีวิธีการอย่างไรบ้าง เชิญชมพร้อมๆ กันได้ ณ บัดนี้ 1. การทดลองเย็บเด็กให้กลายเป็นแฝดตัวติดกัน นี่เป็นหนึ่งในการทดลองของระบบนาซี ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Dr. Josef Mengele เกิดสนใจในการทำฝาแฝดขึ้นมา เขาจึงได้ทำการทดลองโดยใช้เด็กกว่า 1,500 คู่ในการทดลองครั้งนี้ และเมื่อถึงค่ายกักกันก็ปรากฏว่ามีเด็กที่สามารถรอดชีวิตเพียง 200 คู่เท่านั้น วิธีการทดลอง ในการทำแฝดสยามนั้น ทีมการทดลองนี้จะนำเด็กสองคน นำมาควักอวัยวะภายในบางอย่างออก จากนั้นก็จะเย็บให้ตัวติดกัน โดยเด็กๆ ส่วนมากจะเสียชีวิตจากการติดเชื้อ การทดลองนี้จึงสามารถบอกได้ถึงความโหดร้ายของนาซีได้เป็นอย่างดี 2. การทดลองเปลี่ยนสีตา การทดลองเรื่องนี้ก็เป็นของนาซีอีกเช่นเดียวกัน โดยการเปลี่ยนสีตาที่ว่านี้ มักจะใช้ผู้ทดลองเป็นชาวยิวเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าพวกเขาเป็นเชลยศึกที่ถูกจับมานั่นเอง…
-
การทดสอบที่ว่า “ความรวย” ทำให้คนเราคบกันเล่นๆ ไม่จริงจัง เป็นเรื่องจริงหรือ!?
ความสัมพันธ์ของคนเรา นับวันยิ่งจะซับซ้อนมากยิ่งขึ้น มีทั้งการคบสั้น คบยาว คบซ้อน คบเล่น หรือคบอะไรก็ตามแต่ มันทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า อะไรกันนะที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้คนเราตัดสินใจว่า จะคบกับใครและรูปแบบไหน จึงได้เกิดการศึกษาหนึ่งซึ่งได้รับการตีพิมพ์โดย Evolution and Human Behavior ขึ้นมา โดยผลสรุปของมันปรากฏออกมาว่า คนเราจะมีความสัมพันธ์แบบไม่จริงจัง (ระยะสั้น) มากขึ้นเมื่อเรารู้สึกว่าเรา “รวย” การศึกษาทดลองนี้เก็บข้อมูลมาจากหนุ่มสาวที่อาสามาเป็นกลุ่มตัวอย่าง (ชาย 75 คน หญิง 76 คน) โดยขั้นตอนการทดลองนั้นคือ การให้เหล่ากลุ่มตัวอย่างทั้งชายและหญิงดู “ภาพคู่เดท” ที่จัดมาให้ 50 ภาพ แล้วจัดกลุ่มภาพเหล่านั้นออกมาว่าต้องการจะคบคนในภาพเป็นระยาว ระยะสั้น หรือไม่คบเลย จากนั้นจึงให้กลุ่มตัวอย่างดู ภาพสิ่งของหรูหรา ต่างๆ เช่น เงิน รถสปอร์ต และเครื่องเพชร อัญมณีทั้งหลาย เป็นต้น เมื่อดูแล้ว ให้กลุ่มตัวอย่างกลับไปเลือกภาพคู่เดทอีกครั้ง จากนั้นจึงสลับกับการฉาย วิดีโอการเลี้ยงลูก แล้วก็ให้กลับมาเลือกคู่เดทอีกครั้ง และสุดท้ายสลับไปฉาย ภาพสัตว์ที่เป็นอันตราย แล้วจึงกลับมาให้เลือกคู่เดทอีกครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ หลังจากที่กลุ่มตัวอย่างดูภาพสิ่งของหรูหราแล้ว…
-
ว่าไงนะ? พืชผักใกล้ตัวเรานั้นสามารถ ‘ได้ยิน’ และ ‘รู้สึก’ ว่ามีภัยคุกคามกำลังจะถูกกิน!?
ว่ากันว่าต้นไม้นั้นมีชีวิต มันสามารถได้ยินเสียงของเราและรับรู้ถึงสิ่งรอบๆ ฟังดูโรเมนติกดีใช่ไหมล่ะ ว่าแต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ต้นไม้จะรู้สึกแบบไหนเวลาที่ใบโดนหนอนแทะกันนะ ดูเหมือนว่าพวกนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Missouri (MU) จะสนใจในเรื่องพวกนี้กันมากเลยทีเดียวเพราะดูเหมือนพวกเขาจะค้นพบว่าพืชนั้นสามารถ “ได้ยิน” ถึงสิ่งรอบๆ ตัวของมันรวมถึง “รับรู้” ถึงเสียงที่เป็นอันตรายต่อตัวของมันอีกด้วย ที่จริงแล้วแนวคิดเรื่องพืชได้ยินเสียงนั้นมีอยู่มานานแล้วตั้งแต่โบราณ แถมในสมัยก่อนยังมีความเชื่อที่ว่าการร้องเพลงให้พืชฟังนั้นจะทำให้การเจริญเติบโดของพืชดีขึ้นอีกด้วย “มันเคยมีงานทดลองชิ้นก่อนหน้าของพวกเราที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตอบสนองของต้นไม้ต่อคลื่นเสียง ซึ่งรวมไปถึงเสียงเพลงต่างๆ “ Heidi Appel นักวิทยาศาสตร์อาวุโสฝ่ายวิทยาศาสตร์พืชประจำส่วนวิชาการเกษตรและอาหาร ทรัพยากรธรรมชาติ และศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตพันธบัตรของ MU กล่าว “อย่างไรก็ตามงานของเราเป็นผลงานชิ้นแรก เกี่ยวกับการที่พืชตอบสนองต่อการสั่นสะเทือนของระบบนิเวศน์พืช” พวกเขาพบว่าการ “สั่นสะเทือนของการทานอาหาร” เปลี่ยนการเผาผลาญของเซลล์พืชทำให้มีการหลั่งสารเคมีที่ป้องกันการถูกหนอนผีเสื้อโจมตีออกมามากขึ้น ด้วยความร่วมมือจาก Rex Cocroft ศาสตราจารย์สาขาชีววิทยาศาสตร์ที่ MU ได้นำหนอนผีเสื้อไปวางไว้บนใบ Arabidopsis พืชเล็กๆ ชนิดหนึ่ง ด้วยการใช้เลเซอร์และชิ้นส่วนเล็กๆ ของวัสดุสะท้อนแสงบนใบของพืช พวกเขาสามารถบันทึกการเคลื่อนที่ของใบในการตอบสนองต่อการเคี้ยวของหนอนเอาไว้ได้ จากนั้น Cocroft และ Appel ได้เล่นเทปบันทึกเสียงสั่นสะเทือนจากการเคี้ยวของหนอนผีเสื้อ ให้กับชุดพืชอีกชุดหนึ่ง ส่วนพืชอีกชุด พวกเขาจะเปิดเทปที่ไม่มีเสียงอะไรเลย Heidi Appel (ซ้าย) และ Rex Cocroft…
-
ชายหนุ่มทดลองเอา ‘น้ำแข็งแห้ง’ 13 กิโลฯ โยนลงไปในสระว่ายน้ำ เพื่อดูว่ามันอู้ฟู่แค่ไหน!?
คุณเคยมีคำถามมากมายในหัวมาตลอดชีวิตใช่มั้ย แบบมันจะเป็นยังไงนะถ้าฉันทำแบบนั้น? ฉันเกิดมาทำไม? หรือกอริลลาจะยกเวทได้หนักเท่าไหร่? ก็ต้องขอขอบคุณเหล่าผู้คนบนอินเตอร์เน็ตที่ได้เสียเวลาและเงินของพวกเขามาทดลองอะไรต่างๆ ให้เราได้ชมกัน แล้วเพื่อนๆ เคยมีคำถามมั้ยว่าถ้าเอาน้ำแข็งแห้ง 13 กิโลกรัมโยนลงไปในสระว่ายน้ำมันจะเกิดอะไรขึ้น เพื่อนๆ ต้องคาดไม่ถึงแน่ๆ ไปดูความน่าตื่นตาตื่นใจกัน ต้องขอบคุณนายคนนี้ เจ้าของช่อง Crazy Russian Hacker ใน Youtube ในคลิปวิดีโอล่าสุดของเขา เขาเสนอคำถามที่คุณก็อาจจะไม่ต้องการคำตอบว่า ถ้าโยนน้ำแข็งแห้ง 13 กิโลกรัมลงสระน้ำแล้วจะเป็นยังไง แต่แนะนำว่าอย่าลองทำที่บ้านนะ เพราะเจ้าน้ำแข็งแห้งนี่ก็อันตรายอยู่ เขาเริ่มจากการใส่น้ำแข็งแห้งลงไปในกล่องเก็บความเย็น ต่อมาเขาเริ่มทุบแผ่นน้ำแข็งแห้ง ให้กลายเป็นเศษเล็กๆ จากนั้นเขาก็ยกกล่องบรรจุน้ำแข็งแห้ง 13 โลฯ ไว้ริมสระว่ายน้ำ แล้วเค้าก็เทน้ำแข็งแห้งลงในสระ ตู้ม! จะกลายเป็นโกโก้ครั้นช์หรือไม่!? ผลลัพธ์ออกมาจะเป็นอย่างไร ติดตามต่อได้ในวิดีโอของเขากันเลย ที่มา Boredomtherapy, Youtube
-
หนุ่มทดลองอยู่คนเดียวนาน 1 สัปดาห์ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ‘ความโดดเดี่ยว’ มันโหดร้ายแค่ไหน
บนโลกนี้มีคนอยู่นับล้านๆ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันบนดาวดวงเล็กๆ ใบนี้ ซึ่งในแต่ละวันเราก็ต้องพบปะกับผู้คนมากมายทั้งรู้จักและแปลกหน้า และด้วยความที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ทำให้หากไม่ได้พบปะหรือมีปฏิสัมพันธ์กับใครก็อาจจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเหงา’ ขึ้นมาได้ ความเหงาอาจเกิดขึ้นมาได้ในตอนที่เรารู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว หรืออยากจะหาใครสักคนมาพูดคุยปรับทุกข์ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่มีใครรู้จักกับความเหงาจริงๆ ว่าความโหดร้ายจริงๆ ของมันทำให้เราทรมานได้แค่ไหนกันนะ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชายคนหนึ่ง ทดลองขังตัวเองไว้ในบ้านเป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์โดยไม่มีการพบปะกับใคร ไม่มีการใช้โทรศัพท์ รวมถึงไม่มีการใช้อินเทอร์เน็ต เพื่ออยากจะทดสอบว่าความเหงามันจะสามารถสร้างผลกระทบอะไรแก่เขาได้บ้าง ชายนักทดลองคนดังกล่าวมีชื่อว่า Joe โดยเขาได้อัดวิดีโอตัวเองขณะทำการทดลองในครั้งนี้เอาไว้ ซึ่งจากวิดีโอของเขาจะเห็นได้ว่า ในวันแรกๆ ของการทดลอง Joe ก็ดูจะมีความสุขดีกับความเงียบสงบภายในบ้านที่เขาอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนัก ความเหงาก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน จนในที่สุดมันก็ทำให้สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่จนแทบจะไม่มีชิ้นดี จนถึงขั้นนอนไม่หลับเลยทีเดียว “มันเป็นความว่างเปล่าที่ผมสัมผัสได้ว่ามันว่างเปล่าจริงๆ” Joe กล่าว การทดลองของ Joe ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญชื่อว่า The Loneliness Project ซึ่งเป็นแคมเปญที่ต้องการกระตุ้นให้ผู้คนช่วยกันดูแลช่วยเหลือคนเหงา รวมถึงฟื้นฟูสภาพจิตใจที่ได้รับบาดเจ็บมาจากความเหงา ที่มักจะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ “ในตอนนี้มีคนที่มีภาวะเหงาเรื้อรังมากถึง 1.2 ล้านคนในสหราชอาณาจักร โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะดังกล่าว ก็คือพวกเขาเหล่านี้มักจะไม่ได้รับสิ่งที่เรียกว่า มิตรภาพ…
-
นักค้นคว้ารัสเซีย ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์กับสุนัข พบว่ามันมีชีวิตอยู่ในน้ำได้นาน 30 นาที
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2017 สำนักข่าว Daily Mail ได้นำเสนอคลิปวิดีโอการทดลองของชาวรัสเซีย เมื่อพวกเขายัดน้องหมาสายพันธุ์ดัชชุนตัวหนึ่งลงไปในขวดที่เต็มไปด้วยน้ำ ภาพที่เราเห็นคือน้องหมาจมอยู่ในน้ำภายในขวดที่ถูกปิดฝาเอาไว้ ด้วยสภาพกลับหัวกลับหาง ก่อนที่นักค้นคว้าจะดึงมันขึ้นมาหลังจากที่เวลาผ่านไปซักระยะหนึ่ง และเจ้าหมาตัวนั้นก็ยังคงมีชีวิตอยู่ การทดลองดังกล่าวมีขึ้นเพื่อต้องการค้นคว้าว่า วิธีการปั๊มออกซิเจนเหลวเข้าไปในปอดจะสามารถทำให้เจ้าหมาตัวนี้จมน้ำอยู่ได้นานมากขนาดไหน ซึ่งผลที่ได้คือมันสามารถอยู่ได้นานถึง 30 นาที แต่ถึงอย่างไร ภาพที่เราได้เห็นก็อาจทำให้บางคนรู้สึกไม่เห็นด้วยกับวิธีการทดลองดังกล่าว เพราะน้องหมามีโอกาสเสี่ยงมากจนเกินไป ซึ่ง Vitaly Davydov รองผู้จัดการกองทุนที่สนับสนุนการทดลองนี้ออกมาบอกว่า “พวกเราเคยทำการทดลองแบบเดียวกันกับหนู หรือสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่านี้มาก่อนแล้ว” ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้สุนัขทุกตัวที่นำมาใช้ในการทดลองรอดชีวิตและใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังจากการทดลอง อีกทั้งพวกมันยังสามารถหายใจภายใต้ของเหลวได้นานมากยิ่งขึ้นอีกด้วย เมื่อผ่านการทดลอง สุนัขส่วนใหญ่จะถูกนักค้นคว้าพากลับไปเลี้ยงที่บ้าน และอีกส่วนหนึ่งจะมอบมันให้กับคนรู้จักไปเลี้ยงแทน เขาบอกอีกว่า ก้าวต่อไปสำหรับการค้นคว้าในเรื่องนี้คือ การทดลองวิธีการเดียวกันกับมนุษย์ อย่างไรก็ตามการทดลองดังกล่าวยังคงติดปัญหาอยู่ 2 อย่าง คือ อุปสรรคในเรื่องของสรีระวิทยาของมนุษย์ และการตามหาอาสาสมัครที่จะเข้ารับการทดลอง ปั๊มออกซิเจนเหลวเข้าไปในปอด วิดีโอแสดงให้เห็นการทดลองดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การทดลองดังกล่าวทำให้ชาวเน็ตเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ว่ามันเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วหรือไม่ โดยฝั่งคนที่ไม่เห็นด้วยได้ออกมาพูดว่า “น่าสมเพชจริงๆ กับการอ้างถึงเรื่องวิทยาศาสตร์แล้วทำสิ่งเลวร้ายกับสุนัขที่น่าสงสาร เพียงเพราะว่ามันไม่สามารถพูดปฏิเสธออกมาได้”…
-
MIT เผย “โรคเสพติดมือถือ” มีอยู่จริง และส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ร้ายแรงกว่าที่เราคิด!?
ปัจจุบัน แทบทุกคนจะต้องมีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเอง และการที่เล่นแต่มือถือจนแทบไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย แบบนั้นเราอาจเรียกว่า อาการของคนติดมือถือ แต่เพื่อนๆ รู้มั้ยว่าอาการนั้นมันมีอยู่จริงและสามารถส่งผลเสียให้กับสุขภาพเราได้อย่างมาก การเสพติดมือถือจะมีความใกล้เคียงกับการเสพติดโซเชียลมีเดีย เพราะคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น มักจะเล่นโซเชียลมีเดียผ่านมือถือกันทั้งนั้น การโทรคุยกันแทบจะไม่เกิดขึ้น เพราะเราสามารถได้เห็นและสื่อสารกันผ่านโลกโซเชียลได้ นั่นจึงทำให้มีการศึกษาจำนวนมากที่พยายามศึกษาเกี่ยวกับผลเสียที่ตามมาจากสมาร์ทโฟน ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2017 สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือรู้จักกันในชื่อ MIT ได้เผยแพร่ การทดลองของอาจารย์โรงเรียนสอนธุรกิจในประเทศอิตาลี และฝรั่งเศส อาจารย์ทั้งสองคนตั้งกฎห้ามไม่ให้นักเรียนใช้สมาร์ทโฟนเป็นเวลาหนึ่งวัน ผลลัพธ์ที่ได้คือ นักเรียนส่วนใหญ่เกิดความกระวนวายขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าจะเอาเวลาว่างไปทำอะไรดี เนื่องจากปกติพวกเขาจะเช็กโทรศัพท์กันอยู่เสมอ เหมือนอย่างนักเรียนคนหนึ่งที่ปกติจะเช็กมือถือของตัวเองถึง 4 ครั้งในเวลาแค่ 10 นาที การศึกษาในรูปแบบเดียวกันนั้นเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา พบว่าเด็กที่ไม่ได้เล่นมือถือจะทำงานที่ต้องใช้สภาวะทางด้านจิตใจได้แย่ลง รู้สึกสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป และยังส่งผลถึงทางร่างกาย เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย มี การศึกษาหนึ่งที่พูดถึงการเพิ่มสูงขึ้นของผู้มีอาการซึมเศร้าและฆ่าตัวตายในปี 2010 – 2015 จากสถิติของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือรู้จักกันในชื่อ CDC ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงได้รับผลกระทบค่อนข้างมากในช่วงที่สมาร์ทโฟนเริ่มเป็นที่นิยม โดยสถิติการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้นถึง 65 เปอร์เซ็นต์ และหญิงสาวที่มีอาการซึมเศร้าก็เพิ่มอีกกว่า 58…
-
ภาพ GIF สุดปั่นที่ดูแล้วจู่ๆ ก็มีเสียงเฉยเลย กับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?
ประสาทสัมผัสของคนเรานั้นมีอยู่หลายด้าน ทั้งการมองเห็น การสัมผัส การดมกลิ่น รวมทั้งการได้ยิน ซึ่งบางคนก็อาจจะมีประสาทสัมผัสด้านการได้ยินที่ดีเกินไปจนเรียกว่าเกิดอาการ ‘หูแว่ว’ หรือว่าได้ยินสิ่งที่คนอื่นมักไม่ได้ยิน แต่มีภาพเคลื่อนไหวบางภาพ ที่หลายคนต่างยืนยันว่ามีเสียงออกมาจากภาพเหล่านั้นจริงๆ แม้ว่าจะมีการปิดเสียงไว้ก็ตาม ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่พวกเขาได้ยินกันมานั้นมันเป็นเสียงที่อยู่ในภาพหรือว่าเป็นเสียงที่พวกเขาคิดกันอยู่ในหัวกันแน่ ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ชื่อว่า @Lisa DeBruine ได้แชร์ภาพเคลื่อนไหวอันหนึ่ง ที่ไม่ว่าใครได้มาชมต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันมีเสียงออกมาภาพจริงๆ นะ และหากใครอยากทดสอบว่ามันจริงไหมนะ ก็ลองไปทดสอบกันได้เลย ภาพเคลื่อนไหวที่ว่ากันว่ามีเสียงออกมาจากภาพ Does anyone in visual perception know why you can hear this gif? pic.twitter.com/mcT22Lzfkp — @debruine@tech🐘lgbt (@LisaDeBruine) December 2, 2017 ภาพเคลื่อนไหวดังกล่าว เป็นภาพของเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่เล่นกระโดดเชือกกัน โดยสิ่งที่คนส่วนใหญ่ได้ยินเป็นเสียงดังที่มาจากการสั่นสะเทือนของพื้นดินระหว่างที่เสาไฟฟ้านั้นกระโดดข้ามเชือกนั่นเอง มีผู้คนกว่า 67% จาก 300,000 คนบอกว่าได้ยินเสียงดังกล่าว บางคนก็บอกว่าได้ยินเสียง ดึ๋งๆ ในภาพหลังเธอได้ออกมาอธิบายถึงสาเหตุที่คนส่วนใหญ่ได้ยินเสียงดังมาจากภาพเคลื่อนไหวดังกล่าว โดยเธอบอกว่ามันเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า…
-
ชายหนุ่มแกล้งทำเนียนเป็นนักบาสหน้าใหม่ของ NBA ไปดูซิว่าคนอื่นๆ มีปฏิกิริยาอย่างไรกันบ้าง
พวกเราหลายๆ คนคงรู้สึกตื่นเต้นเวลาได้เจอกับดาราดังหรือนักกีฬาที่มีชื่อเสียง แต่เขาคนนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าบางครั้งไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงจริงๆ แต่แค่ “ทำตัวเหมือนกับคนมีชื่อเสียง” ก็สามารถทำให้คนรอบข้างเดินเข้ามาขอถ่ายรูปด้วยแล้ว นี่เป็นการทดลองทางสังคมของ Connor Toole นักเขียนจากสำนักข่าวออนไลน์ Elite Daily โดยพวกเขาได้โพสต์คลิปลงในวันที่ 26 มิถุนายน 2015 เพื่อทดสอบดูว่าถ้าให้นาย Connor แต่งตัวและทำท่าทางเหมือนกับนักบาสในลีกดังอย่าง NBA คนอื่นๆ ที่ได้เห็นจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง หนุ่มนักเขียน Connor Toole ผู้ทำการทดลองในครั้งนี้ ชายหนุ่มคนนี้ได้ไปยืนอยู่หน้างาน NBA Draft 2015 จัดขึ้นที่ Barclays Center ในเมืองบรู๊คลิน สหรัฐอเมริกา ด้วยท่าทางที่มั่นใจราวกับเป็นหนึ่งในผู้ที่จะถูกรับเลือกเข้าทีมดัง และชุดสูทที่ดูดีบวกกับส่วนสูงกว่า 2 เมตรของเขา ก็ทำให้คนรอบๆ เชื่อว่าเขาจะต้องเป็นหนึ่งในนักบาสหน้าใหม่อย่างแน่นอน มีคนจำนวนมากเดินเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย พร้อมกับพูดให้กำลังใจและยังบอกอีกว่าถ้าเขาติดทีมไหนก็จะตามไปเชียร์ให้ถึงที่อะไรทำนองนั้น เรียกว่าเชื่อสนิทใจไม่มีการสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนสูงที่มากกว่าคนทั่วๆ ไป ทำให้พวกเขาเชื่อสนิทใจเลยว่านี่มันนักบาสชัดๆ เด็กๆ ต่างเดินเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย พวกเขาให้กำลังใจและหวังว่าชายหนุ่มคนนี้จะได้เข้าไปเล่นในทีมที่พวกเขาเชียร์อยู่อย่างแน่นอน…
-
การทดลอง ‘ผ่าตัดเปลี่ยนหัว’ กับศพ ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น เชื่อมต่อระบบร่างกายได้
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายน 2016 #เหมียวฟิ้น ได้นำเสนอข่าวของหนุ่มรัสเซีย Valery Spiridonov วัย 31 ปีผู้ป่วยเป็นโรคแปลกประหลาดและได้เป็นอาสาสมัครให้กับการทดลองผ่าตัดเปลี่ยนหัว ซึ่งตอนนี้การผ่าตัดดังกล่าวได้มีความคืบหน้ามากขึ้นหลังจากที่แพทย์สามารถเปลี่ยนถ่ายหัวของศพได้สำเร็จ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2017 สำนักข่าวเดลี่เมล ได้รายงานว่าศาสตราจารย์ชาวอิตาลี Sergio Canavero และทีมแพทย์ชาวจีนที่นำโดยดอกเตอร์ Xioaping Ren สามารถเปลี่ยนถ่ายหัวของศพในประเทศจีนได้สำเร็จ โดยใช้ระยะเวลาการผ่าตัดนานถึง 18 ชั่วโมง ศาสตราจารย์ Sergio Canavero ผู้ผลักดันให้เกิดการผ่าตัดปลูกถ่ายศีรษะ Canavero บอกว่านี่คือการเปลี่ยนถ่ายหัวมนุษย์ครั้งแรกของโลก โดยกระดูกสันหลัง เส้นประสาท และเส้นเลือดต่างๆ ของร่างกายสามารถเชื่อมกับหัวที่ถูกปลูกถ่ายได้สำเร็จ เขาได้พูดกับสื่อว่า “ความสำเร็จในครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งไปจากเดิม ธรรมชาติเคยกำหนดความเป็นตายของเรามาโดยตลอด แต่ในยุคนี้เราจะเป็นคนที่กำหนดโชคชะตาของเราด้วยตัวเอง” เขายังเสริมอีกว่า ตอนนี้เหลือเพียงแค่ขั้นตอนสุดท้ายในการปลูกถ่ายศีรษะและสมองของคนตายที่ได้รับการบริจาคมาให้เข้ากับร่างกายเท่านั้น ซึ่งหากว่าผลออกมาสำเร็จ ในไม่ช้านี้เขาการปลูกถ่ายศีรษะของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะมีให้เราเห็นอย่างแน่นอน ไม่ใช่เพียงแค่ Canavero สำหรับศัลยแพทย์ Ren ก็มีความเชื่อเดียวกัน ก่อนหน้านี้เขาและทีมแพทย์ได้เคยทดลองผ่าตัดปลูกถ่ายศีรษะของหนูทดลองไปกว่า 1,000 ตัว…
-
การทดลองเจ๋งๆ ที่ทดสอบว่าเจ้า ‘แกะ’ จะสามารถจดจำใบหน้าของคนดังได้หรือไม่?
สัตว์แต่ละชนิดอาจมีความสามารถที่เราคาดไม่ถึงซ่อนไว้อยู่ก็ได้ บางตัวอาจมีความสามารถในการลอกเลียนเสียงมนุษย์ บางตัวอาจมีความสามารถในการพรางตัว หรือบางตัวอาจมีความสามารถในการจดจำใบหน้าของมนุษย์ได้!? การทดลองนี้เป็นของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ศาสตราจารย์ด้านระบบประสาท Jenny Morton ถูกตีพิมพ์ใน Royal Society Open Science เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2017 โดยเธอได้ใช้แกะจำนวน 8 ตัวมาเป็นผู้รับการทดลองในครั้งนี้ เมื่อเธอพาพวกมันมาที่ฟาร์มสำหรับการทดลองแล้ว เจ้าแกะแต่ละตัวก็ถูกกำหนดให้จำใบหน้าของ 1 ใน 4 คนดังได้แก่ Barack Obama , Emma Watson , Fiona Bruce และ Jake Gyllenhall โดยให้พวกมันดูรูปถ่ายใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้น ขั้นตอนต่อไปคือการให้เจ้าแกะเข้าไปทีละตัวและเลือกว่ารูปไหนคือคนดังที่มันได้จดจำไป หากมันเลือกถูกก็จะได้รับอาหารเป็นของรางวัล แต่ถ้าผิดก็จะไม่ได้รับอาหารและมีเสียงสัญญาณดังขึ้นมาแทน เลือกถูกได้อาหาร เลือกผิดไม่ได้อะไรแต่จะมีเสียงดังขึ้นมา ในตอนแรกหน้าจอแสดงขึ้นมาเพียงฝั่งเดียวก่อน หลังจากนั้นในรอบต่อๆ ไปจะมีรูปภาพใบหน้าโผล่ขึ้นมาทั้งสองจอ ซึ่งมีฝั่งหนึ่งที่เป็นคนดังที่มันจดจำเอาไว้และอีกฝั่งหนึ่งที่เป็นใครก็ไม่รู้แต่มีลักษณะคล้ายกับคนที่พวกมันได้จดจำ มีเพศเดียวกันและเชื้อชาติเดียวกัน ในตอนแรกมีการแสดงภาพขึ้นมาเพียงจอเดียว ต่อมามีการแสดงภาพทั้งสองจอ…
-
13 การทดลองทางจิตวิทยาแบบแปลกๆ ที่ทำขึ้นเพื่อให้เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์
จิตวิทยาคือศาสตร์อย่างหนึ่งในการพยายามทำความเข้าใจมนุษย์ ว่าภายในจิตใจของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือมีขั้นตอน รูปแบบต่างๆ อย่างไรกันบ้าง ซึ่งหนึ่งในวิธีที่สามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นได้ดีก็คือการทดลอง หลายคนอาจเคยเห็นการทดลองทางจิตวิทยากันมาบ้างแล้ว แต่วันนี้เรามาพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับการทดลองแปลกๆ เจ๋งๆ ที่อาจไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ไปดูกันเลยว่าเป็นการทดลองแบบไหนและผลลัพธ์ที่ได้ช่วยให้สามารถเข้าใจมนุษย์ได้มากขึ้นจริงๆ หรือเปล่า? 1. The Piano Stairs Experiment นี่เป็นการทดลองแฝงโฆษณาของบริษัท Volkswagen เรียกว่า “ทฤษฎีแห่งความสนุก” โดยเปลี่ยนบันไดในเมือง Stockholm ประเทศสวีเดน ให้กลายเป็นรูปเปียโน เพื่อพิสูจน์ว่ามนุษย์จะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองเมื่อถูกดึงดูดด้วยความสนุกสนานได้หรือไม่? ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ 66 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ต้องขึ้นลงทางนั้น เลือกใช้บันไดแทนการขึ้นบันไดเลื่อน แถมพวกเขายังมีความสุขกับการได้ขึ้นบันไดอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าความสนุกสนานสามารถเปลี่ยนแปลงคนได้จริงๆ 2. The Smoky Room Experiment การทดลองนี้กำหนดให้คนที่เข้าไปทำแบบสอบถามอยู่ในห้องที่มีควันลอยออกมาเต็มไปหมดและจะสังเกตดูว่าผู้เข้ารับการทดลองมีท่าทีอย่างไรบ้าง ทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่ คนกลุ่มแรกต้องเข้าไปนั่งในห้องคนเดียว กลุ่มสองต้องเข้าไปนั่งในห้องพร้อมกัน 3 คน และกลุ่มที่สามเข้าไปคนเดียวแต่จะมีหน้าม้าเข้าไปด้วยอีก 2 คน ซึ่งทั้งสองทำเป็นไม่สนใจกับควันภายในห้อง ผลลัพธ์ออกมาว่าคนกลุ่มแรกจำนวน 75…
-
นี่คือภาพของการทำงานภายใน ‘กระบอกเก็บเสียงปืน’ รู้ซักทีว่าเสียงหายไปได้ยังไง
ทุกคนรู้ว่าปืนเป็นอาวุธที่มีเสียงดังมากๆ ทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่ากระบอกเก็บเสียงขึ้น เพื่อช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว แต่เราเคยรู้มั้ยว่าการทำงานภายในกระบอกเล็กๆ นั้นมันเป็นอย่างไร ด้วยความสงสัยดังกล่าวทำให้ชายที่ชื่อว่า Destin Sandlin จากแชนแนลยูทูบ Smarter Every Day ทำการทดลองใช้กล้องสโลโมชั่นเก็บภาพการทำงานภายในของกระบอกเก็บเสียงดู เขาได้รับความร่วมมือจาก Steve ช่างฝีมือที่ทำงานอยู่ในบริษัท Soteria ผู้ผลิตอุปกรณ์และอาวุธปืนรายใหญ่ของรัฐอลาบาม่า นำอุปกรณ์มาให้ใช้ในการทดลอง ในการทดลองพวกเขาได้ใช้กระบอกเก็บเสียง 5 แบบ เราลองไปดูกันดีกว่าว่าการทำงานของมันเป็นอย่างไรกันบ้าง ด้วยวัสดุที่ทำขึ้นมาเพื่อให้สามารถมองเห็นข้างในได้ แต่มันกลับไม่สามารถทนแรงดันที่เกิดจากกระสุนได้ทำให้ปลอกหลุดออกไปหลังจากการยิง อันที่สองเราเริ่มได้เห็นการทำงานที่ชัดเจนขึ้น สังเกตได้ว่าแรงดันที่เกิดขึ้นจากการยิงจะไม่พุ่งออกไปจากปลายกระบอกเลย แบบที่สามถึงแม้ว่าจะมีลวดลายภายในต่างกัน แต่ก็ใช้หลักการเดียวกันกับแบบที่สอง กระบอกที่ 4 เองก็เช่นกัน มันจะเก็บไฟเอาไว้ไม่ให้หลุดลอดออกไปข้างนอกได้ สุดท้ายคือกระบอกที่ Destin ชื่นชอบมากที่สุดเพราะมันมีความใสเห็นข้างในได้ชัดเจน แต่เนื่องจากว่ามันทำมาจากอะคริลิค ทำให้ไม่สามารถทนรับแรงดันของกระสุนได้และแตกกระจายออกมาในที่สุด จากการทดลองทั้งหมดเขาก็ได้อธิบายหลักการการทำงานของกระบอกเก็บเสียงเอาไว้ว่า ภายในจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งมีไว้เพื่อไม่ให้แรงดันกระจายออกไปในอากาศ และส่วนที่สองมีไว้ปิดกั้นให้แรงดันดังกล่าวยังคงอยู่ภายในกระบอกจนกว่าจะหายไปเอง เสียงปืนที่ดังออกมาเกิดขึ้นจากแรงดันของกระสุนที่ออกมาด้วยความแรง เพราะฉะนั้นการที่เก็บแรงดันไว้ในกระบอกได้ก็จะช่วยให้ไม่เกิดเสียงนั่นเอง ส่วนแรกตรงโคนจะช่วยให้แรงดันที่เกิดขึ้นไม่กระจายตัวออกไปในอากาศ ส่วนที่สองจะช่วยปิดกั้นให้มันอยู่ข้างในและสลายหายไปเอง คลิปการทดลองที่ทำให้เห็นว่าภายในกระบอกเก็บเสียงเป็นอย่างไร …
-
การทดลองของหนุ่มรัสเซียปลีกวิเวกไปใช้ชีวิตเพียงลำพังเหมือนอาศัยอยู่ในยุคกลางปี 1100
การใช้ชีวิตของเราในยุคนี้เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในทุกเรื่อง จนเราคิดภาพกันแทบไม่ออกแล้วว่าหากต้องไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในป่าโดยที่ไม่มีไฟฟ้าใช้มันจะให้ความรู้สึกอย่างไร จนกระทั่งได้มีการทดลองเกิดขึ้นในประเทศรัสเซีย เมื่อหนุ่มวัย 24 ปีที่ชื่อว่า Pavel Sapozhnikov ปลีกวิเวกเข้าไปใช้ชีวิตในป่าด้วยตัวคนเดียวนานถึง 8 เดือน บ้านไม้ที่ไม่มีรั้วคือที่อยู่อาศัยของชายคนนี้ตลอดการทดลอง โปรเจกต์ดังกล่าวมีชื่อว่า Project Hero จากไอเดียของ Alexei Ovcharenko ซึ่งการทดลองในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานบริหารงานอีเว้นท์ที่มีชื่อว่า Ratobor เป็นบริษัทที่จัดอีเว้นท์หรือโปรเจกต์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้ามารับประสบการณ์แบบย้อนยุค นำผ้ามาพันไว้เพื่อให้สามารถผ่านคืนอันหนาวเหน็บไปได้ ทั้งสองคนนี้ได้ทำการปรึกษากันนานเป็นปีจนกระทั่งกลายเป็นการทดลองชิ้นนี้ มีเป้าหมายเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและจิตใจที่จะแสดงออกมาผ่านบุคลิกภาพ และต้องการทราบว่าการได้รับแรงสนับสนุนจากสิ่งรอบตัวในปัจจุบันมีความสำคัญขนาดไหน เพื่อให้การทดลองเห็นผลลัพธ์มากที่สุด พวกเขาจึงเลือกช่วงเวลาในฤดูหนาวตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2013 ถึงพฤษภาคมปี 2014 เพื่อให้ Pavel ต้องเจอกับสภาพแวดล้อมอันยากลำบากและความท้าทายในการเอาชีวิตรอด เขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังกลางป่าในบ้านไม้และมีฟาร์มหลังเล็กๆ บ่อน้ำ โรงเก็บฟาง โรงเก็บอาหาร และห้องน้ำที่แยกออกมาให้ใช้ในการดำรงชีพ พร้อมกับเครื่องมือที่มีอยู่ในศตวรรษที่ 10 เท่านั้น การทดลองนี้จะอนุญาตให้ชายหนุ่มออกมานอกเขตบ้านได้ก็ต่อเมื่อออกไปล่าสัตว์หรือตกปลามาเป็นอาหารเท่านั้น ไม่สามารถออกบ้านไปเพื่อเหตุผลอื่นได้ ฟาร์มที่เขาสามารถเลี้ยงไก่ไว้กินหรือให้พวกมันออกไข่ การรักษาสภาพของบ้านเอาไว้เป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนั้นเขายังถูกห้ามไม่ให้ติดต่อกับใครยกเว้นผู้สังเกตการณ์ที่จะเข้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเขาผ่านกระดาษโน้ตเดือนละหนึ่งครั้ง…
-
17 การทดลองทางวิทยาศาสตร์เจ๋งๆ เปิดหูเปิดตาให้คุณได้รู้อะไรใหม่ๆ อีกเพียบ!!
วิทยาศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ทำให้เราได้รู้ความจริงจากการพิสูจน์ การทดลอง แต่นอกจากนั้นวิทยาศาสตร์ ยังทำให้เราได้เห็นถึงความแปลกใหม่ ที่เราอาจไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต และนี่คือบางส่วนของการทดลอง ที่เรานำมาให้ชมกันในรูปแบบของภาพเคลื่อนไหว จะเป็นอย่างไรไปดูความมหัศจรรย์เหล่านี้กันเลย นักดำน้ำคนนี้เดินอยู่ใต้น้ำแข็งในสภาพกลับหัวกลับหาง การเผาไหม้ของหัวไม้ขีด การแตกของกระจกที่ 10 ล้านเฟรมต่อวินาที อานุภาพของคลื่นเสียงที่ทำให้สิ่งหนึ่งลอยตัวได้ เมื่อแตงโมถูกรัดด้วยยางกว่า 100 เส้นปรากฎว่า… การปล่อยสปริงแบบสโลโมชั่น แม่เหล็กที่เป็นสีน้ำเงินกำลังกลืนกินโลหะลูกหนึ่ง แบตเตอรี่ แม่เหล็ก และทองแดงสามารถขับเคลื่อนกลไกแบบง่ายๆ ได้ อุปกรณ์ที่ช่วยจัดศูนย์ถ่วงให้แก้วเบียร์ ทำยังไงก็ไม่หก คุณสามารถใช้ควันจุดเทียนใหม่อีกครั้งได้ด้วยการจุดไฟจากควันที่ลอยขึ้นมา สิ่งนี้เรียกว่า “การลอยตัวของมวลสาร” การแตกตัวของเมล็ดพืช การจับเหยื่อของแมงมุม ลูกสนขยายตัว ว้าวว เมื่อเลือดตกใส่ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ ความมหัศจรรย์ของแม่เหล็กเหลว น้ำแข็งแห่งเจอกับน้ำยาล้างจาน น่าทึ่งจริงๆ…
-
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อใส่ “โซเดียม” ลงไปในแตงโม&โค้ก พร้อมคำอธิบายแบบวิทย์ๆ
หลายๆ ครั้งที่การทดลองทางวิทยาศาสตร์มักทำให้เราประหลาดใจได้บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการทดลองทางฟิสิกส์ หรือการทดลองทางเคมี ก็ดูน่าทึ่งไม่น้อยเลยทีเดียว ก่อนหน้านี้เราได้นำเสนอเกี่ยวกับการนำสาร 2 ชนิดมาผสมซึ่งให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่แปลกใหม่ (อ่านข่าวเก่า ชั่วโมงวิทย์กับจารย์เหมียว 14 ภาพอันน่าสนใจ จะเป็นอย่างไร เมื่อสสาร 2 ชนิดมาเจอกัน) และวันนี้เราก็มีอีกการทดลองที่น่าสนใจมาฝากกัน นั่นก็คือการใส่ “โซเดียม” ลงไปในแตงโม&โค้ก นั่นเอง ส่วนผลที่ได้จะเป็นอย่างไรไปชมกันเลย… โซเดียมพระเอกของงานนี้!! เมื่อไม่นานมานี้ทางช่องยูทูบ The Q ได้อัพเดทคลิปวิดีโอการทดลองวิทยาศาตร์ โดยการนำโซเดียมไปใส่ลงในของทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ น้ำอัดลม แตงโม และนำผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งผลที่ได้ออกมานั้นก็คือการระเบิดนั่นเอง!! เริ่มต้นจากการหย่อนโซเดียมลงในแก้วโค้กเล็กๆ ก่อน จากนั้นจึงขยับมาที่ขวดโค้กขนาดใหญ่ขึ้น และก็… บู้มม!! เกิดเป็นระเบิด จากนั้นก็มาต่อกันที่แตงโม และผลที่ได้ก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ!! ไปชมการทดลองนี้แบบเต็มๆ ได้ที่คลิปวิดีโอด้านล่างนี้เลย… การทดลองนี้จะได้ผลกับกลุ่มของโลหะอัลคาไลน์ หรือพูดง่ายๆ ก็คือธาตุแถวแรกในตารางธาตุนั่นเอง โดยในธรรมชาติแล้วธาตุเหล่านี้จะมีความไวในการทำปฏิกิริยากับธาตุอื่นๆ มาก แถมยังมีความอันตรายอีกด้วย คุณ Pavel…
-
นักวิทยาศาสตร์ทำการศึกษา อธิบายว่า “การถูกบอกเลิก” แบบไหนที่ทำให้เราเจ็บที่สุด
ในตอนที่เราอกหักครั้งแรกตอนนั้นรู้สึกอย่างไรกันบ้าง กินไม่ได้นอนไม่หลับ รู้สึกทรมาน มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างยากลำบาก ประมาณนั้นหรือเปล่า? แล้วครั้งนั้นเป็นครั้งที่เจ็บที่สุดมั้ย? เราสามารถถูกบอกเลิกได้หลากหลายเหตุผล ทว่าแล้วเหตุผลไหนที่เจ็บที่สุดล่ะ? นี่จึงกลายเป็นคำถามให้กับนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Cornell ได้ออกมาหาคำตอบกัน การถูกบอกเลิกก็คือการที่ถูกอีกฝ่ายบอกปฏิเสธนั่นเอง ผู้วิจัยจึงได้ทำการทดลองกับคน 600 คน โดยการทดลองแรกนั้นจะมีหน้าม้าเป็นผู้หญิงสองคน และผู้ชายอีกคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรอยู่รวมกัน จากนั้นพวกเขาจะมอบหมายงานบางอย่างให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง และเธอคนนั้นต้องเลือกว่าจะทำงานกับผู้หญิงอีกคน ทำงานกับผู้ชาย หรือว่าทำคนเดียว ซึ่งเธอเลือกที่จะทำกับผู้หญิงอีกคนหรือทำคนเดียวเท่านั้น และเมื่อผู้ชายไม่ได้อยู่ในการตัดสินใจของเธอเลย นั่นจะทำให้พวกเขาสามารถรับรู้ความรู้สึกของการถูกปฏิเสธได้ ส่วนการทดลองอื่นจะให้ผู้เข้าร่วมอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ใช้เวลาร่วมกันและกระตุ้นให้พวกเขาเหล่านั้นแสดงความรู้สึกออกมาว่า รู้สึกอย่างไรกันบ้างเมื่อตนเองต้องถูกปฏิเสธด้วยสาเหตุต่างๆ ในขณะที่ผู้วิจัยจะทำการสังเกตร่วมด้วย การศึกษาทั้งสองนี้เผยให้เห็นว่าการที่ต้องถูกปฏิเสธและไปเลือกคนอื่น สร้างความรุนแรงได้มากกว่าปฏิเสธด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่มีบุคคลที่สามมาเกี่ยวข้อง ดังนั้นหากว่าอกหักเพราะอีกฝ่ายไปกับอีกคน จะยิ่งสร้างความทรมานใจได้มากกว่าสิ่งอื่นใด นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “การถูกปฏิเสธจากการเปรียบเทียบ” เหตุผลที่มันมีความรุนแรงมากที่สุดก็เพราะ การปฏิเสธคือการทำให้รู้สึกถูกตัดทิ้งออกไปและลดความเป็นเจ้าของลง นั่นยิ่งทำให้รู้สึกแย่เมื่อพบว่าตนเองเป็นตัวเลือกที่แย่กว่า จากการสังเกตอื่นๆ ของผู้วิจัยพบว่า หากคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองถูกปฏิเสธเพราะอะไร ก็จะพยายามหาคำตอบให้ได้ แม้ว่าสิ่งที่ได้อาจทำให้เจ็บกว่าเดิมก็ตาม แต่ถ้าหากหาเหตุผลไม่ได้จริงๆ พวกเขาจะตีความไปเองว่าคนใหม่ที่โผล่มาในรูปของเธอคนนั้นคือคนที่เธอเลือก นักวิทยาศาสตร์เสริมให้อีกว่า มันเป็นเรื่องดีที่จะบอกให้ผู้ที่ถูกปฏิเสธรับรู้ว่าคุณไม่ได้เลิกกับเขาเพื่อไปมีคนอื่น ซึ่งจะทำให้เขาเหล่านั้นรู้สึกดีขึ้น แต่หากว่าไปมีคนอื่นจริงๆ การแสดงออกว่าคนๆ นั้นดีกว่าคนเดิมก็ควรจะเก็บเอาไว้เป็นความลับให้มากที่สุด…
-
รายการทีวีทดลองขังคนไว้ในห้อง 5 วัน ไม่ติดต่อกับโลกภายนอก รอดูว่าใครจะทนได้!!
ในปัจจุบันอินเตอร์เน็ต โลกโซเชียลมีเดีย รวมถึงสมาร์ทโฟน ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนเรามากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากจะทำให้เราได้รับข้อมูลข่าวสารที่สดใหม่ ยังทำให้เราได้ติดต่อสื่อสารกับคนอื่นๆ ได้อย่างง่ายๆ อีกด้วย ซึ่งมันก็กลายเป็นเรื่องยากไปเสียแล้ว หากชีวิตของใครหลายๆ คนขาดสิ่งเหล่านี้ไป และแม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาเพียงแค่วันเดียว ก็ทำให้หลายๆ คนถึงขั้นทนไม่ไหวเลยก็มี ด้วยเหตุนี้ ทางรายการโทรทัศน์ The Solitary: The Anti-Social Experiment จากสหราชอาณาจักร จึงได้ทำการทดลองขังคนเอาไว้ในห้อง ทั้งนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า หากถูกคุมขังเป็นเวลานานติดต่อกันนาน 5 วัน โดยที่ไม่ให้เล่นอินเตอร์เน็ต และไม่ติดต่อสื่อสารกับคนภายนอก มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง การทดสอบในครั้งนี้ มีอาสาสมัครทั้งหมดจำนวน 5 คน โดยหนึ่งในนั้นคือ George Lamb ผู้จัดรายการโทรทัศน์ก็เข้ามาเป็นหนึ่งในอาสาสมัครของการทดลองในครั้งนี้ด้วย โดยพวกเขาถูกนำตัวเข้าไปอยู่ภายในห้องเล็กๆ ของตัวเอง ซึ่งภายในห้องจะมีเพียงแค่เตียงนอน ห้องน้ำ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่ไม่ใช่ของใช้อิเล็กทรอนิกส์ และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น… ภายหลังจากที่ได้เริ่มทำการทดลอง Charmayne วัย 28 ปี…
-
เผยการทดลองจากปี 1950 ให้ศิลปินเสพ LSD เพื่อวาดภาพเดิมถึง 9 ครั้ง ยิ่งนานยิ่งสติแตก…
ในช่วงปี 1950 รัฐบาลสหรัฐได้ทำการทดลองเกี่ยวกับยาเสพติดที่มีฤทธิ์ต่อประสาทอย่างรุนแรง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการทดลองเกี่ยวกับยา LSD นั่นเอง ในการทดลองดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์จะทำการศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้ยา LSD โดยพวกเขาได้ให้ผู้เข้าร่วมการทดลองเสพยาตัวดังกล่าวเข้าไปและหลังจากนั้นจะคอยเฝ้าสังเกตพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง ศาสตราจารย์ Oscar Janiger จากมหาวิทยาลัย California-Irvine ได้ทำการทดลองยา LSD กับศิลปิน โดยเขาให้ศิลปินเสพยาเข้าไปแล้วทำการวาดภาพเดิมซ้ำๆ กัน 9 ภาพ ซึ่งภาพที่คุณจะได้เห็นต่อไปนี้คือภาพวาดของศิลปินหลังจากที่เขาได้ใช้ยาเข้าไปแล้ว 20 นาทีหลังจากการเสพย์ LSD ปริมาณ 50 ไมโครกรัม ศิลปินเริ่มจับดินสอขึ้นมาและวาดภาพ ยายังไม่ออกฤทธิ์ ทุกอย่างยังคงปกติ 1 ชั่วโมง 15 นาทีหลังจากเสพย์ยาครั้งแรก และหลังจากนั้น 20 นาทีเพิ่มยาอีก 50 ไมโคกรัม (รวม 100 ไมโคกรัม) ศิลปินเริ่มมีอาการร่าเริง “ผมเริ่มเห็นทุกอย่างชัดขึ้น และชัดขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มควบคุมดินสอไม่ได้ แต่ยังคงพยายามวาดภาพออกมา” เขากล่าว 2 ชั่วโมง 30 นาทีหลังจากเสพย์ยา ศิลปินยังคงมุ่งมั่นในการวาดภาพ เขาบอกว่า “เส้นโครงต่างๆ…
-
นี่คือ “การทดสอบบดไข่” ที่เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ดูไปก็ฟินลูกตาแบบแปลกๆ!!
ก่อนหน้านี้ในโลกอินเตอร์เน็ตหลายๆ คนน่าจะเคยเห็นคลิปวีดีโอการทดลองหนึ่งที่กลายเป็นกระแสกันอยู่พักใหญ่ๆ ซึ่งมันก็คือ การทดลองเอามีดลนไฟให้ร้อน จากนั้นก็เอามาผ่าสิ่งของต่างๆ อย่างคลิปที่เราจะเห็นด้านล่างนี้นั่นเอง แต่ทว่าพอหาไปๆ #เหมียวมู่ทู่ ก็ไปเจอคลิปหนึ่งจากแชแนล xperiment at Home ซึ่งก็เป็นเจ้าของเดียวกับมีดไฟข้างบนนั่นและ โดยเขาเริ่มที่จะทดลองอะไรใหม่ๆ อีกแล้วโดยเปลี่ยนจากการใช้มีดกลายมาเป็นเครื่องบดแทนซะงั้น ภายในคลิปที่จะให้ดุนี้จะเป็นคลิปที่เขานำไข่ต้มจำนวนมากมาเข้าเครื่องบด แถมในช่วงแรกที่ดูยังรู้สึกว่า ‘นี้มันบ้าอะไรกันเนี่ย!!’ เราจะทดสอบอะไรแบบนี้กันไปทำไม ยิ่งดูยิ่งหาคำตอบกลับพบว่า แค่ฟังเสียงไข่ต้มพวกนี้ถูกบด มันกลับฟินอย่างบอกไม่ถูก รู็ตัวอีกทีก็ฟังวนไปไม่รู้กี่รอบแล้ว ไม่ใช่แค่ไข่ไก่ธรรมดาเท่านั้น เขายังได้นำไข่นกกระจอกเทศมาทดลองดูด้วย ผลัพท์ที่ได้คือ มันดูเพลินแบบไม่รู้ทำไม แค่นั่งดูเปลือกมันกระทบกัน แกร๊กๆ ก็เพลินสุดๆ ถ้าดูแค่ภาพแล้วยังคิดตามไม่ออกก็ลองเอาแบบคลิปไปฟังดู แล้วจะรู้ว่าทำไม #เหมียวมู่ทู่ ถึงเปิดมันวนได้เป็นชั่วโมง แต่ใช่ว่าเจ้าคลิปนี้จะได้ผลตอบรับที่ดีหรอกนะ เพราะว่าถึงแม้จะมีคนดูมากถึง 1.8 ล้านครั้งแล้ว แต่ยอดดิสไลค์กลับมีมากถึง 4000 กว่าดิสไลค์เลยทีเดียว แถมยังมีคอมเม้นท์เชิงลบมากมายทำนองว่าเขากำลังใช้อาหารอย่างสิ้นเปลือง หรือไม่ก็แนวๆ ถ้าเอาไปให้เด็กแอฟริกาจะยังดีเสียกว่า แต่เขาก็ได้ออกมาตอบโต้พร้อมบอกเหตุผลว่า ไข่พวกนี้มันวางขายอยู่ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตฉะนั้นมันไม่มีทางกลายเป็นไก่ ถ้ายังวางอยู่แบบนั้นและมันก็เป็นเงินของเขา เขายังบอกอีกว่า กว่าไข่ไก่ของเขาจะเดินทางไปถึงเด็กที่แอฟริกา ไข่ก็เน่ากันพอดีสู้หาซื้อจากพื้นที่ใกล้ๆ…
-
ทดลองนำ “สุนัข” ผูกไว้ข้างทางให้เหมือนถูกทิ้ง เพื่อสังเกตน้ำใจจากคนในสังคม!?
บ่อยครั้งที่เรามักจะได้เห็นคลิปวิดีโอการทดลองทางสังคม จากแชนแนลต่างๆ บนยูทูป บ้างก็เพื่อทดสอบน้ำใจจากคนในสังคม หรือบ้างก็ต้องการดูปฏิกริยาจากผู้คน ที่มีต่อการทดลองนั้นๆ และล่าสุดที่เราไปเจอมาแชนแนล MoeAndEt ได้ทดลองนำเอาสุนัขสองตัวมาผูกไว้ข้างทาง พร้อมทั้งเขียนป้ายกำกับให้ดูเหมือนว่าพวกมันถูกทิ้งอย่างไร้เยื่อใยจริงๆ โดยระหว่างการทดลอง จะมีสองผู้จัดรายการจะคอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ในบริเวณนั้น เพื่อดูว่าจะมีใครทำร้ายมัน หรือมีคนหยิบยื่นน้ำใจเข้ามาช่วยเหลือพวกมันหรือไม่… ป้ายจากเจ้าของที่บอกว่า บ้านถูกยึด การเงินล้มละลาย และประกาศหาคนรับเจ้าตูบทั้ง 2 ตัวนี้ต่อไป โฉมหน้าของสองตูบที่กำลังสวมบทบาทว่าตัวเองเป็นหมาถูกทิ้งอยู่ เจ้าไซดำนี่ทำหน้านิ่ง ส่วนเจ้าขาวนี่ทำหน้าหมดอาลัยในชีวิตได้สมบทบาทมากๆ จากนั้นพวกเขาก็ลองเฝ้าสังเกตดูอยู่ห่างๆ ท่ามกลางอุณหภูมิ -6 องศาใจกลางเมืองนิวยอร์ค มีคนเดินผ่านไปมาคนแล้วคนเล่าก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนว่าความหวังของทั้งสองตูบจะริบหรี่ลงทุกที บางคนก็เข้ามาดมกลิ่น พร้อมกับสบถว่า ‘แม่งเหม็นชิบหาย’ แล้วก็เดินจากไป แต่แล้วจู่ๆ ก็มีชายนิรนามคนหนึ่งเข้ามาเล่นกับพวกมัน โดยไม่มีทีท่ารังเกียจสัตว์ไร้บ้านพวกนี้เลยแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็หายไป 10 นาทีผ่านไปเขากลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เขามาพร้อมกับชาม และอาหารสุนัขสำเร็จรูปที่เจ้าตัวไปซื้อมา ทันทีที่หนุ่มคนนี้เอาอาหารมาช่วยเหลือตูบทั้ง 2 สองผู้ดำเนินรายการจึงรีบเข้าไปสัมภาษณ์เจ้าตัวทันที ซึ่งหนุ่มใจดีคนนี้ได้เล่าว่า ‘เพราะผมก็เป็นคนไร้บ้านเหมือนกัน ผมเข้าใจดีว่าความรู้สึกหิวโหยและอดอยากมันเป็นยังไง…
-
การทดลองนำคนแปลกหน้า ทั้งชายและหญิง ‘แก้ผ้ากอดกัน’ หวังเพิ่มความผ่อนคลาย!?
ถ้าจู่ๆมีคนบอกให้เราไปกอดกับคนแปลกหน้า คงเป็นธรรมดาที่เราอาจจะเกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจ เพราะส่วนใหญ่แล้วเราคงคุ้นเคยกับการกอดคนที่เรารัก หรือคนที่เราสนิทด้วยมากกว่าใช่ไหมล่ะ? ‘WatchCut Video’ แชนแนลหนึ่งในยูทูปได้ทำการทดลองโดยให้อาสาสมัครต่างเพศ ต่างวัย และต่างที่มา แน่นอนว่าทุกคนไม่มีใครรู้จักกัน แต่ทุกคนต้องแก้ผ้า และโอบกอดซึ่งกันและกัน!? การทดลองครั้งนี้มีชื่อว่า ‘Skin to Skin’ สาเหตุที่ทางรายการจัดทำการทดลองนี้ขึ้นมา เพราะมีการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ระบุไว้ว่า “มนุษย์เราเมื่อสัมผัสต้องตัวกัน สามารถช่วยลดความเครียด อีกทั้งยังช่วยให้รู้สึกเชื่อใจกันมากขึ้นได้จริง” ดังนั้นทางรายการจึงอยากจะรู้ว่า ถ้าหากนำเอาคนแปลกหน้ามาสัมผัสต้องตัวกัน จะสามารถช่วยทำให้พวกเขาต่างรู้สึกดีขึ้นได้จริงหรือไม่ มีทั้งคู่ที่เป็นชายสูงอายุ กับชายหนุ่มที่ยังเด็กกว่า หลังจากที่อาสาสมัครพร้อมแล้ว ทางรายการก็ให้ทุกคนถอดเสื้อออก ซึ่งเท่ากับว่าไม่ว่าจะเป็นเพศไหนทุกคนต่างอยู่ในจุดที่เสมอภาคกันอย่างแท้จริง (ลืมเรื่องลามกไปได้เลย) จากนั้นก็ให้อาสาสมัครเข้าโอบกอดซึ่งกันและกัน ทั้งๆที่พวกเขาเพิ่งจะมารู้จักกันตอนถ่ายทำเนี่ยแหละ หลังจากที่อาสาสมัครได้โอบกอดกันแล้ว รายการก็ได้ถามว่าพวกเขาเกิดความคิด หรือความรู้สึกใดบ้าง จากการกอดคนแปลกหน้าในครั้งนี้ ซึ่งอาสาสมัครส่วนใหญ่ก็จะตอบว่า พวกเขาต่างรู้สึกสบายตัวมากขึ้น รู้สึกดีจากการได้กอดกัน และยังรู้สึกว่าหายวิตกกังวลจากตอนแรกอีกด้วย มีการเปลี่ยนท่าให้โอบกอดจากด้านหลังด้วยนะ มีงานวิจัยด้านจิตวิทยาได้กล่าวไว้ว่า “มนุษย์ในยุคดิจิตัล (ปัจจุบัน) จะรู้สึกดีมากขึ้นถ้าได้สัมผัสร่างกายของกันและกัน ส่วนหนึ่งมันช่วยลดพฤติกรรมความรุนแรง เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน…
-
10 วัตถุที่มีคุณสมบัติสุดเจ๋งทางวิทยาศาตร์ เปิดหูเปิดตา ให้เราเห็นอะไรใหม่ๆ มากขึ้น
บางทีนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ต่างจากนักมายากล เพราะมักจะมีการทดลองในสิ่งที่ท้าทายกฏฟิสิกส์ ยากต่อการอธิบายในทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนรูปทรงของวัตถุตามสภาพอากาศ การเปลี่ยนก๊าซเป็นโลหะหนัก หรือแม้จะกระทั่งการทำให้วัตถุแข็งตัวในอุณภูมิสูง เช่นเดียวกับการทดทองทั้ง 10 เหตุการณ์นี้ ช่วยเปิดหูเปิดตาให้เราสนุกกับอะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างมากเลย… 1. วัตถุที่น้ำเข้าไม่ได้ นี่เป็นวัตถุที่มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถป้องกันไม่ได้น้ำเข้าได้รวมทั้งของเหลวอื่นๆ หรือสิ่งสกปรก วัตถุนี้สร้างขึ้นบนพื้นฐานของอนุภาคนาโนของซิลิคอนไดออกไซด์และไทเทเนียม การทดลองนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสิ่งของในชีวิตประจำวันของเราได้ หากเราไม่อยากให้สิ่งเหล่านั้นโดนของเหลว เช่น เสื้อผ้า รองเท้า ผ้าปูโต๊ะ วัสดุก่อสร้าง และแม้กระทั่งการทำความสะอาดมหาสมุทร 2. ก๊าซที่ทำให้วัตถุลอยได้ ราวกับเป็นน้ำ Sulfur Hexafluoride หรือก๊าซ SF6 มีความหนาแน่นมากกว่าอากาศ 5 เท่า เมื่อนำวัตถุลอยอยู่ทำให้มันไม่จม ก๊าซนี้มียังความสามารถเปลี่ยนเสียงของคุณให้เหมือน Darth Vader หากกลืนลงไปเพียงอึกเดียว 3. โลหะที่ละลายในมือ ปกติเราเคยเห็นการละลายโลหะแค่ในห้องทดลองฟิสิกส์เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วมีโลหะบางชนิดที่สามารถละได้ในอุณภูมิห้อง และไม่ใช่เพียงเท่านั้น วัสดุที่ทำจากแกลเลียมสามารถละลายในน้ำร้อนอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทันเลยทีเดียว ถ้าอลูมิเนียมสัมผัสกับแกลเลียมมันจะกลายเป็นสิ่งของที่กรอบ ซึ่งอัลลอยแกลเลียมมักจะถูกนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยี 4. ผงระเบิด ไนโตรเจน ไอโอไดด์ และ Fulminating…
-
การทดลองสุดเจ๋ง นำเบอร์เกอร์ McDonald’s สุดฮิต มาลองราดด้วยกรดซัลฟิวริก!??
หลังจากที่อินเตอร์เน็ตเริ่มแพร่หลายและเข้าถึงผู้คนทั่วโลกมาเป็นระยะเวลานานกว่าหลายปี เราก็มักจะได้เห็นการทดลองแปลกๆใหม่ๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การนำลูกอมเมนทอสยัดใส่ในขวดโค้ก หรือการผสมสารเคมีต่างๆเพื่อดูปฏิกริยาที่เกิดขึ้น จากการทดลองโดยแชนแนลในยูทูปรายหนึ่งที่ชื่อว่า Let’s Melt This ผู้ที่มักจะนำสิ่งของต่างๆมาทำการละลายโดยสารเคมีเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้น และนี่คืออีกหนึ่งการทดลองของเขา เมื่อนำเบอร์เกอร์จาก ‘McDonald’s’ แบรนด์ฟาสต์ฟู้ดที่ใครๆก็ต่างรู้จักกันดี มาราดด้วยน้ำกรดซัลฟิวริก เราไปดูกันเลยดีกว่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตัวอย่างบิ๊กแมคชีสเบอร์เกอร์ เมนูยอดนิยม ที่ถูกนำมาทดลองในครั้งนี้ แต่ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นถึงคุณสมับติของกรดซัลฟิวริกกันก่อน คือ เจ้ากรดซัลฟิวริกเนี่ยมันมีคุณสมบัติเป็นกรดแร่ (Mineral Acid) มันสามารถทำละลายได้ในทุกระดับความเข้มข้น และมักจะพบเห็นได้บ่อยๆในการทดลองระดับอุตสาหกรรมต่างๆ อีกทั้งมันยังมีความเข้มข้นมากพอที่จะใช้ในการสังเคราะห์เคมี ได้อีกด้วย **คำเตือน** เนื่องจากมันเป็นกรดที่รุนแรง และมีจุดเดือดที่ทำให้ติดไฟได้ง่าย เพราะฉะนั้นขอไม่แนะนำให้ทำการทดลองเองที่บ้านเด็ดขาดนะจ๊ะ และด้วยเหตุนี้เอง การทดลองนี้จึงใช้กรดซัลฟิวริก ในการกัดกร่อนและทำละลายเจ้าเบอร์เกอร์นี้ เพื่อพิสูจน์ว่าสุดท้ายแล้วสสารของเจ้าเบอร์เกอร์ตัวนี้ มันจะออกมาเป็นอย่างไรกันแน่ อาบเบอร์เกอร์ด้วยกรดซัลฟิวริก ให้ชุ่มฉ่ำกันไปเลย (แต่อย่าเผลอกินเด็ดขาดเลยนะ) หลังจากที่เทกรดลงไปแล้ว ก็ต้องรอให้มันเกิดการทำปฏิกริยากันเกิดขึ้นด้วยระยะเวลาเพียง 30 นาที เราจะค่อยๆเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของเบอร์เกอร์ไปทีละเล็กน้อย และนี่คือสภาพของมันหลังจากผ่านไปแล้ว 30 นาที เราจะเห็นได้ว่าขนมปังมีการแข็งตัว ด้านขอบรอบๆขนมปังก็ถูกกรัดกร่อนจนกลายเป็นสีดำด้วย แต่กลับกันในส่วนด้านในและตรงกลางของเบอร์เกอร์ยังคงไม่แข็งตัว…
-
วิทยาศาสตร์พาเพลิน รวม GIF การทดลองสนุกๆ ที่ในคาบเรียนวิชาเคมี ไม่ค่อยมีสอน!!
หนึ่งในวิชาที่หลายๆ คนต่างก็เกลียดในช่วงเรียนมัธยมอย่าง เคมี ถือว่าเป็นอีกแขนงของวิทยาศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้กัน ส่วนมากก็ต้องมานั่งท่องตารางธาตุ จำกันไม่หวาดไม่ไหว จนถึงขั้นปวดหัวตัวร้อนกันเลยทีเดียว ที่สนุกที่สุดของวิชานี้ก็น่าจะเป็นช่วงทดลองนี่แหละ ว่าแต่น้อยครั้งเหลือเกินที่จะได้ทำ เอาเป็นว่า ถ้าหากว่ามีการทดลองแบบนี้เกิดขึ้นในชั่วโมงวิชาเคมีก็น่าจะสนุกไม่น้อยเลยนะ จะได้รู้ว่าหากนำสารนี้ไปทำแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง มีปฏิกิริยากันอย่างไร ว่าแล้วก็มาดูกันเลย การปาก้อนโซเดียมลงไปในทะเลสาบ โพแทสเซียมคลอเรตเดือดๆ กับเยลลี่หมีผู้โชคร้าย (มักจะถูกนำมาทดลองเป็นประจำ) นำอลูมิเนียมหลอมละลายมาเทลงในแม่พิมพ์เย็นๆ ใช้ดินสอเป็นตัวกลางนำไฟฟ้า จังหวะการเทเกลือหลอมเหลวลงไปในน้ำ การยิงกระสุนโพแทสเซียมใส่แตงโม เทอร์ไมต์ย่างเยลลี่หมี (โดนอีกแล้ว) ไนโตรเจนเหลวและมีเทนเหลวจุดให้ติดไฟแล้วก็เทลงพื้นซะ!! ที่มา : thechive
-
เมื่อหนุ่มโปแลนด์แต่งตัวเป็นคนจนสลับกับคนรวย เพื่อดูว่าหญิงสาวจะเลือกใคร งานนี้ถึงกับจุก!!
แม้ว่าเงินจะไม่สามารถซื้อความสุขได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเงินนั้นช่วยให้ชีวิตของเราง่ายขึ้นเยอะ วันนี้เหมียวจะพาไปพิสูจน์ว่าเงินนั้นช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นแค่ไหน ผ่านคลิปวิดีโอของนาย Sadam หนุ่มชาวโปแลนด์ ผู้ที่อยากจะทดลองทางสังคม โดยการแต่งตัวเป็นหนุ่มธรรมดาๆ เดินเข้าไปคุยกับหญิงสาว และขอนั่งข้างๆ เธอ แต่เหมือนเธอจะไม่แยแส แถมยังบอกให้เขาไปให้พ้นๆ อีก จากนั้นนาย Sadam ก็ทำหน้าจ๋อยและหลบมุมไปเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้ากลายเป็นหนุ่มสปอร์ต หล่อรวย พร้อมกับควบบิ๊กไบค์กลับมายังจุดเดิมที่เขาพบหญิงสาวคนเมื่อกี้ จากนั้นเขาก็เริ่มคุยกับเธอเป็นภาษาอังกฤษ โดยบอกกับเธอว่า “ผมเพิ่งย้ายมาอยู่แถวนี้ ผมชื่อ Sadam นะ ผมเพิ่งซื้อบ้านใหม่ที่นี่ ผมมีคฤหาสน์ สระว่ายน้ำ อยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 100 เมตร” ต่อมาเขาก็เอ่ยปากชวนเธอไปที่บ้านของเขา จากนั้นเธอก็ตอบตกลงไปแบบไม่ลังเลย แต่หลังจากที่เธอขึ้นไปนั่งบนมอเตอร์ไซค์ได้ไม่นาน นาย Sadam ก็หยุดรถและหันมาถามเธอว่า “เธอจำผู้ชายที่เพิ่งคุยกับเธอเมื่อ 10-15 นาทีก่อนได้ไหม?” และเขาก็ถอดหมวกออก หญิงสาวถึงกับตกใจในใบหน้าของเขาเพราะไม่คิดว่าจะเป็นคนๆ เดียวกัน ก่อนที่นาย Sadam จะจากไป เขาได้ถามเธอว่าต้องการเงินมากนักใช่ไหม? เขาจึงล้วงไปหยิบเศษเหรียญในกระเป๋าและโยนลงไปต่อหน้าเธอ ทำเอาหน้าชาแบบบอกไม่ถูกเลยทีเดียว …
-
สาระน่ารู้กับ 10 เรื่องราวอันน่าสนใจทางวิทยาศาสตร์ในรอบเดือนตุลาคม 2558
เหมียวเองถึงแม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องทางวิทยาศาสตร์มากมายซักเท่าไหร่ แม้จะเรียนวิทยาศาสตร์ได้เกรด 1 มาบ่อยๆ ก็ตาม แต่ก็ชอบที่จะเรียนรู้ว่าตอนนี้วิทยาศาสตร์มันพาเราไปไกลถึงไหนแล้ว อิอิ ซึ่งในช่วงเดือนตุลาคม 2558 ที่ผ่านมานี้ มีทฤษฎีใหม่ที่น่าสนใจเกิดขึ้นเยอะแยะเลย 15 ตุลาคม – ดวงดาวที่มีระยะห่างไกลกว่า 1,500 ปีแสง มีการส่องแสงสว่างระยิบระยับเป็นช่วงๆ ซึ่งอาจจะมีวัตถุขนาดมหึมาโคจรรอบๆ มันอยู่ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่ ซึ่งกำลังทำการวิจัยสำหรับคลื่นวิทยุจากสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาในอวกาศอันไกลโพ้นอยู่ 2 ตุลาคม – จากผลการศึกษาใหม่ สามารถสนับสนุนสาเหตุการสูญพันธ์ุของไดโนเสาร์นั้นมาจากการรวมตัวกันของภูเขาไฟขนาดใหญ่ และได้รับผลกระทบจากดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งชนโลก 5 ตุลาคม – นักวิทยาศาสตร์จาก NASA ยืนยันแล้วว่ามีของเหลวที่ลักษณะคล้ายกับน้ำอยู่บนดาวอังคาร จากการสังเกตการณ์อยู่เป็นระยะๆ จากแนวลาดชันบนดางอังคาร 8 ตุลาคม – จากผลการสำรวจพื้นผิวดาวอังคาร NASA ยืนยันว่า Gale Crater บนดาวอังคารนั้นเคยเป็นทะเลสาปเมื่อ 3,800,000,000…
-
12 ภาพกระบวนวิทยาศาสตร์อันน่าทึ่ง จากเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ทำให้กลายเป็นจริง!!
ทุกวันนี้โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากๆ จากที่เมื่อก่อนแทบจะไม่มีอะไรเลย แต่เดี๋ยวนี้สิ กลับมีอะไรต่อมิอะไรผุดออกมาเต็มไปหมด จนแทบจะตามกันไม่ทัน และในเรื่องของทางวิยาศาสตร์ก็เช่นกัน จากที่เราคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ต้องคิดใหม่แล้วล่ะ เพราะบางอย่างนั้นก็ใกล้ตัวเราซะเหลือเกิน!! การทำวัตถุให้ลอยตัวได้ด้วยคลื่นเสียง การหยดน้ำลงไปในสภาพที่เย็นจัดแปรสภาพกลายเป็นหยดน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว การตัดหยดน้ำแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยมีด Superhydrophobic การกระทบของคลื่นเลเซอร์กับของเหลวกลางอากาศ การยกตัวทางควอนตัม อาศัยพลังงานจาก Superconductor หยดน้ำกระทบกับผิวทราย หยดน้ำเด้งดึ๋งบนพื้นผิว Superhydrophobic หยดน้ำบินวนรอบๆ วัตถุ หยดน้ำเด้งดึ๋งบนพื้นผิวของเหลว ภาพยนตร์ที่มีขนาดเล็กที่สุด โดยสร้างจากอะตอมแบบเฟรมต่อเฟรม ที่มา : thechive
-
ทดลองเอา ‘ลูกเหล็กร้อน’ วางลงบน ‘ฟลอรัลโฟม’ ผลที่เกิดขึ้นก็ตามภาพนั่นแหละ
เมื่อมนุษย์อย่างเรามีเวลาว่างกันเกินไป ไอเดียความคิดแปลกๆ ก็มักจะก่อตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณความเวิ่นของเราที่ทำให้ได้รู้จักกับคำว่า ‘วิทยาศาสตร์’ เช่นเดียวกับเจ้าของ Youtube Channel ที่มีชื่อว่า ‘Carsandwater’ ที่ได้เผยแพร่วิดีโอการทดลองอย่างหนึ่งของเขา นั่นก็คือ การนำเอาลูกเหล็กที่ร้อนจี๋มาวางบนฟลอรัลโฟมหรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ โอเอซิส ที่ไว้ใช้สำหรับการจัดดอกไม้ และผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เราต้องประหลาดใจ จะเห็นว่าตอนแรกๆ ก็ดูธรรมดาๆ จนสงสัยว่า เฮ้ย!!! เจ้าลูกเหล็กร้อน เอ็งมีอิทธิฤทธิ์แค่นี้เองเหรอ แต่ดูไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่า ฟลอรัลโฟมนั้นอยู่ดีดีก็โดนไหม้เกรียมจนเปลี่ยนเป็นสีดำกันเลยทีเดียว ในตอนสุดท้าย ฟลอรัลโฟมก็ไม่เหลืออะไรเลย นอกจากเถ้าถ่านอย่างที่เราเห็นในรูปนี้นั่นเอง ใครดูภาพข้างบนแล้วยังรู้สึกเฉยๆ งั้นตามมาดูคลิปเต็มๆ กันเลยดีกว่า แล้วจะรู้ว่าสุดยอดแค่ไหน!!! ดูจบแล้ว ก็ระวังกันด้วยนะ อย่าไปลอกเลียนแบบไม่งั้นอาจจะเกิดอันตรายได้ เป็นห่วงเพื่อนๆ จะโดนเจ้าลูกเหล็กลวกเอาน่ะสิ!!! ที่มา Carsandwater
-
ชมปฏิกิริยาของนักระบำใต้น้ำ หลังดื่มแอลกอฮอลจนเมาแอ๋ ว่าจะเก่งเหมือนเดิมไหม?
มีการรายงานกันว่าในปี 2014 ประเทศสวีเดน มีสถิติว่าผู้คนเสียชีวิตจากการจมน้ำมากที่สุดในรอบ 10 ปี โดยเมื่อเทียบกับอุบัติเหตุทางบกแล้ว ยังถือว่าเยอะกว่ามาก ซึ่งผู้เคราะห์ร้ายส่วนใหญ่เป็นผู้ชายที่ดื่มแอลกอฮอลก่อนเกิดเหตุทั้งนั้น จากเหตุการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงพยายามเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนอย่างหนักหน่วง พวกเขาจึงปล่อยคลิปวิดีโอตัวหนึ่ง ที่ช่วยเตือนสติพวกเราว่า แม้จะมีความเชี่ยวชาญหรือเก่งกาจในการว่ายน้ำแค่ไหน แต่หากต้องอยู่ในสภาพเมา ก็ไม่อาจจะควบคุมร่างกายได้เหมือนปกติแน่นอน คลิปวิดีโอที่เหมียวจะให้ดูต่อไปนี้มีชื่อว่า Don’t Drink and Dive เป็นการทดลองของกลุ่มนักระบำใต้น้ำ Synchronised Swimming Team ที่คว้ารางวัลมาแล้วมากมาย โดยพวกเขาจะต้องดื่มแอลกอฮอลเข้าไปในร่างกาย จนถึงจุดที่พวกเขาเมามากพอ และทีมงานจะให้พวกเขาลงน้ำ และซ้อมการระบำใต้น้ำเหมือนอย่างที่พวกเขาเคยทำ การทดลองดังกล่าวเริ่มต้นในเวลาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำไปจนถึงเที่ยงคืนกว่า ซึ่งเป็นเวลาที่พวกเขาจะเมาได้ที่และมีโอกาสเสี่ยงที่พวกเขาจะจมน้ำ แต่การทดลองครั้งนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมโดยตลอดการทดลองจะมีนักประดาน้ำคอยดูแลความปลอดภัยอยู่ในน้ำให้พวกเขาด้วย ตัดสินด้วยสายตาของคุณเองแล้วกัน ว่าพวกเขายังเหมือนเดิมอยู่ไหม คลิ๊กชมคลิปได้ที่ด้านล่าง โชคดีที่หลังจากการทดลองจบลง ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือจมน้ำใดๆ แต่คุณก็คงเห็นแล้วใช่ไหมล่ะ ว่าแม้จะเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจขนาดไหน แต่หากดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปขนาดนั้น ก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้เหมือนกัน ฉะนั้น ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่มนะทุกคน ที่มา Trygg-Hansa