Tag: การศึกษา
-
สาวสู้ชีวิต จากพนักงานร้านอาหาร เดินตามความฝันจนเป็น “นางพยาบาล” วิชาชีพ!!
เรื่องราวในวันนี้ เป็นเรื่องราวของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ฝ่าฟันจากอาชีพพนักงานสาวในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด กระทั่งได้กลายเป็นพยาบาลวิชาชีพได้สำเร็จ Faye Lewis หญิงสาวที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาแพทยศาสตร์ด้านการพยาบาลเวชปฏิบัติครอบครัว ได้บังเอิญพบหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกว่าชีวิตของเธอนั้นได้ผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้างกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เธอพบป้ายชื่อของตนเอง ป้ายชื่อแต่ละแผ่นได้ระบุตำแหน่งงานของเธอเอาไว้ โดยป้ายเหล่านี้ได้ย้ำเตือนให้เธอได้รู้ว่าการไล่ตามความฝันที่จะเป็นพยาบาล สำหรับเธอแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย Faye Lewis เธอได้โพสต์ภาพแผ่นป้ายชื่อเหล่านั้นลงบนเฟซบุ๊ก เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ตนเองในการเรียนปริญญาแพทยศาสตร์สาขาพยาบาลเวชปฏิบัติครอบครัวให้จบ เพราะนี่คือความฝันของเธอ และกว่าเธอจะมายืนจุดนี้ได้เธอผ่านอะไรมามากมายเลยทีเดียว เธอเริ่มรับงานแรกตอนอายุ 16 ปี โดยการสมัครเป็นพนักงานของร้าน KFC เพื่อเก็บเงินสำหรับเรียนต่อ เธอทำงานที่นี่จนเรียนจบมัธยม แต่มันกลับไม่เป็นไปตามแผน เธอได้เกรด B มาสองวิชา ทำให้เธอเกรดไม่พอที่จะเข้าเรียนต่อในสถาบันพยาบาล เธอจึงเข้าเรียนมหาวิทยาลัยและหลังจากเรียนจบปี 1 เธอก็ตั้งครรภ์ เธอจึงลาออกจากมหาวิทยาลัยมาอยู่กับพ่อแม่ เวลาผ่านไป Faye ได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นผู้จัดการร้าน KFC และได้รับตำแหน่งแม่บ้านของ Assisted Living Facility ซึ่งเป็นโครงการของรัฐบาล ในเวลานั้น Faye สามารถเรียนจบหลักสูตรพยาบาลผู้ช่วยได้สำเร็จและเริ่มทำงานใน Memorial Medical Center ผู้จัดการ KFC แม่บ้านของ Assisted…
-
สุดภูมิใจ… ครอบครัวแฝด 5 เลี้ยงลูกให้ได้ดีทุกคน ส่งเรียนที่เดียวกัน และจบพร้อมกัน!!
ความสำเร็จสูงสุดของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ก็คงจะไม่พ้นในวันที่สามารถส่งลูกเรียนจนรอดฝั่ง สำเร็จการศึกษาในระดับสูง มีความรู้และวิชาชีพติดตัวเพื่อเลี้ยงดูตัวเองได้ โดยส่วนใหญ่แล้ว มีลูกคนเดียวส่งเรียนจนจบก็ชื่นใจ มากที่สุดอาจจะเป็นแฝด 2 หรือ 3 แต่สำหรับคุณพ่อเซลล์แมน Jorge ผู้มีพื้นเพมาจากประเทศเม็กซิโก… และคุณแม่ Enna Diaz ดีใจหนักยิ่งกว่าใคร เพราะได้เห็นและรับรู้ว่าลูกแฝดทั้ง 5 คน เรียนจบพร้อมกันในมหาวิทยาลัยเดียวกันทั้ง 5 สาขา!! Enna, Maria, Emilio, George และ John Diaz ร่วมชักภาพสวมชุดครุยและหมวก พร้อมกับใบปริญญาหลังจากที่ร่ำเรียนภายในมหาวิทยาลัย University of North Texas ร่วมกับแฝดทั้ง 5 ในระยะเวลา 4 ปี โดยที่ผ่านมาแฝด 5 อายุ 21 ปีเท่ากันทุกคน ต่างเคยผ่านประสบการณ์ร่วมกันมาโดยตลอด ทั้งเข้าเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาในสถาบันเดียวกัน รวมไปถึงการเข้าร่วมงานพรอมพร้อมกันทั้ง 5 คนด้วย!!…
-
10 ความรู้ทาง “ชีววิทยา” ที่โรงเรียนสอนมานับศตวรรษ แต่มันดันผิด!!!
การศึกษาใครบอกว่าจะต้องมาจากโรงเรียนเท่านั้น ยิ่งนับวันวิทยาการยิ่งก้าวหน้า การศึกษาสิ่งต่างๆ จึงทำได้มากและลึกยิ่งขึ้น และนั่นทำให้บางครั้งความรู้ที่เราเรียนมาจากโรงเรียนอาจเป็นข้อมูลที่ เก่าและผิด ไปแล้วก็ได้ โดยเฉพาะวิชาชีววิทยาที่หลายคนชื่นชอบ (ยกเว้น #เหมียวโลลิ) ที่เนื้อหาของมันก็เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต เช่น คนเราวิวัฒนาการมาจากลิง เป็นต้น ซึ่งก็เป็นความรู้ที่ผิดเช่นกัน เอาล่ะ งั้นวันนี้เราไปชมกันเลยดีกว่ากับ 10 ความรู้ทางชีววิทยาจากโรงเรียน ที่คนเรายังเชื่อว่ามันถูก… 1. มนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิง ความเชื่อที่ว่ามนุษย์เราวิวัฒนาการมาจากลิงนั้นกลายเป็นข้อมูลที่ผิดไปเสียแล้ว ลิงในปัจจุบันต่อให้เหมือนกับคนเราขนาดไหน แต่ที่จริงแล้วมนุษย์เองก็มีบรรพบุรุษของเราอยู่จริงๆ เมื่อหลายล้านปีที่แล้ว เราเพียงแค่มีบรรพบุรุษร่วมกัน แต่ไม่ได้เปลี่ยนจากลิงเป็นมนุษย์แต่อย่างใด อ้างอิง: www.skeptic.com/downloads/top-10-evolution-myths.pdf 2. มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนยอดห่วงโซ่อาหาร กลุ่มนักวิจัยชาวฝรั่งเศสได้ช่วยกันจัดลำดับห่วงโซ่อาหารใหม่ มนุษย์กลับกลายเป็นว่าไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อีกต่อไปแล้ว เพราะการจะอยู่บนยอดของห่วงโซ่อาหารได้นั้น ต้องกินเฉพาะเนื้อสัตว์ที่อยู่ต่ำกว่าลงไปเท่านั้น แต่พฤติกรรมการกินของมนุษย์ที่กินทั้งเนื้อสัตว์และพืชนั้นถือว่าไม่ได้อยู่บนยอดของห่วงโซ่อาหาร อ้างอิง: http://www.pnas.org/content/110/51/20617 3. หมากับแมวตาบอดสี เป็นความเชื่อกันมายาวนานนับแต่การทดลองในปี 1915 ว่าหมาและแมวนั้นมองเห็นเพียงสีขาว-ดำ แต่ปัจจุบันการทดลองครั้งใหม่ได้ทำให้ทราบว่า พวกมันก็มองเห็นไม่ต่างกับมนุษย์เพียงแค่จะบอดสีแดงหรือไม่ก็เห็นสีแดงได้น้อยที่สุด แต่พวกมันไม่ได้มีปัญหากับสีอื่นเลย อ้างอิง: http://www.todayifoundout.com/index.php/2012/01/both-cats-and-dogs-can-see-color/ 4. มนุษย์มีสัมผัสเพียงแค่ 5…
-
สาวจำต้องออกเรือนไปศึกษาต่อ ทิ้งโน๊ตไว้ให้แม่เพื่ออำลา น้ำตานองหน้าโหยหาลูก…
ความรู้สึกของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ในช่วงที่รู้ว่าลูกจะต้องออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง จากที่เคยเห็นหน้ากันอยู่ทุกวี่ทุกวัน แล้วเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งต้องห่างไกลกันเป็นระยะเวลานาน ก็คงจะรู้สึกใจหายไม่ใช่น้อย… อย่างในกรณีที่ลูกจะต้องออกไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัย หากนักศึกษาคนใดที่บ้านอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยก็จะเป็นที่จะต้องอาศัยหอพัก เพื่อย่นระยะเวลาในการเดินทางไปเรียน อย่างเช่นเรื่องราวน่ารักๆ ของ Victoria Nguyen นักศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส ได้แชร์รูปภาพคุณแม่ของเธอเอง พร้อมกับโน๊ตที่เธอทิ้งไว้ให้เธอ เพื่อเป็นการบอกลาว่านกน้อยจะออกจากรังเพื่อไปร่ำเรียนแล้วนะ… ทวีตของเธอกล่าวไว้ว่า “ฉันมักจะกลับไปเยี่ยมที่บ้านเป็นประจำอยู่แล้ว ฉันทิ้งโน๊ตไว้ให้คุณแม่ได้อ่านแล้วสิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้น” ‘แม่จ๋า หนูรักแม่นะ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง หนูคิดถึงแม่นะ’ คุณแม่ถึงกับนำโน๊ตมาแปะบนหน้าผากตัวเองเลย จากนั้นเธอก็ได้แชร์ข้อความจากคุณแม่ที่ส่งมา ด้วยความหวังที่ว่าภาพของเธอนั้นจะเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกคนอื่นๆ เป็นเด็กดีขึ้นมาบ้าง และได้รู้ความจริงภายหลังว่า คุณแม่ต้องทานข้าวเพียงลำพังหลังจากที่เธอไม่อยู่ และแน่นอนว่าชาวเน็ตที่ได้มาเห็นทวีตดังกล่าว ต่างก็รู้สึกไปในทางเดียวกัน บางคนถึงร้องไห้กับความรักที่คุณแม่มีให้ต่อลูกสาวคนนี้ ชีวิตที่ต้องห่างจากครอบครัว หมั่นรักษาเอาไว้ให้ดีน้า รักคุณพ่อคุณแม่เยอะๆ ที่มา : @HELLOHUE, nextshark
-
สาวน้อยมะกัน สอบติดมหาวิทยาลัยกว่า 113 แห่ง แถมได้ทุนการศึกษาอีก 143 ล้านบาท
นี่เป็นเรื่องราวของ Jasmine Harrison วัยรุ่นสาววัย 17 ที่มีความสามารถในการสอบทำคะแนน จนสอบติดมหาวิทยาลัยกว่า 113 แห่งได้พร้อมๆ กัน!? ตามการรายงานจากเว็บไซต์ Dailymail บอกว่า Jasmine จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมในรัฐนอร์ธแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา ด้วยคะแนนเฉลี่ย 4.00 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2018 และทำการยื่นใบสมัครไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ เธอแทบไม่ต้องกังวลกับอนาคตของเธอเลย เพราะเธอได้รับข้อเสนอจากมหาวิทยาลัยต่างๆ มากมายและยังได้ทุนการศึกษาจากเงินบริจาครวมๆ มูลค่าแล้วกว่า 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราวๆ 143 ล้านบาท) Jasmine ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “เมื่อตอนที่ฉันได้รับอีเมล 2-3 อันแรก ฉันก็แบบ ‘โอเค นี่มันเกิดขึ้นจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย’ ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้นะเนี่ย” แต่สิ่งที่เหลือเชื่อก็คืออีเมลตอบรับเข้ามหาลัยที่เธอได้รับนั้นไม่ได้มีแค่ 2-3 ฉบับ แต่มากถึง 113 ฉบับ จนทำให้เธอแทบจะอ่านมันไม่หมดเลยทีเดียว เธอบอกว่าจากคำแนะนำและเทคนิคของคุณครูที่โรงเรียน ทำให้เธอสามารถส่งใบสมัครไปยังมหาลัยต่างๆ กว่า…
-
คุณครูสาวถูกไล่ออก หลังมีคลิปเธอ “ยืนกระทืบเท้าบนโต๊ะ” เพื่อปลุกนักเรียนที่แอบงีบ
เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2018 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ Dailymail ได้รายงานว่าคุณครูสาวจากรัฐเซาท์แคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ถูกเชิญออกจากโรงเรียน หลังแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมอย่างการกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนโต๊ะนักเรียนแล้วกระทืบโต๊ะ และยังมีการดึงผมเด็กนักเรียน เพื่อปลุกให้เขาตื่นจากการงีบในห้องเรียน ตามรายงานบอกว่าคุณครูสาวรายนี้มีชื่อว่า Lisa Houston เป็นครูที่สอนหนังสือในโรงเรียนแห่งนี้มานานกว่า 27 ปี แต่หลังจากที่คลิปเหตุการณ์ของเธอถูกเผยแพร่ออกไปก็มีคำสั่งให้เธอออกจากการสอนหนังสือทันที คลิปวิดีโอดังกล่าวถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์ที่เธอยืนอยู่บนโต๊ะของนักเรียนคนหนึ่งที่หลับในห้องเรียน ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมห้องที่หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายเหตุการณ์ดังกล่าวเอาไว้พร้อมกับเสียงหัวเราะ ต่อมาเธอก็ได้ใช้เท้าเขี่ยไปที่นักเรียน มีการหยิบผมของเขาขึ้นมาเพื่อปลุกให้ตื่น จากนั้นเธอก็ได้กระทืบลงไปบนโต๊ะอยู่หลายครั้ง Houston ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท้องถิ่นว่าสิ่งที่แสดงออกไปนั้นไม่ได้เกิดจากความโมโห แต่เป็นเพราะเธอทำแบบนั้นเป็นประจำอยู่แล้ว “ถ้าคุณไปถามเด็กๆ คนไหนก็ตามที่เรียนกับฉัน พวกเขาจะบอกคุณว่าฉันหยอกล้อพวกเขา ทำให้พวกเขาตื่นตัวและหัวเราะตลอด” นอกจากนี้เธอยังเสริมอีกว่าสถานการณ์จริงๆ มันไม่ได้ดู “เลวร้าย” เท่ากับที่คลิปวิดีโอแสดงให้เราเห็น “ถ้าคุณไม่รู้ถึงสถานการณ์จริงๆ คุณจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันไม่ใช่การกระทำที่มุ่งร้าย มันก็แค่สนุกๆ กัน ฉันอยากให้สาธารณชนรู้ว่าฉันรักนักเรียน และพวกเราก็สามัคคีกันดีมากๆ ฉันคงไม่ทำอะไรที่มันทำร้ายเขาหรอก” ด้านนาย…
-
ตำนาน ‘หญิงญี่ปุ่นคนแรก’ ที่ได้ศึกษาระดับวิทยาลัย และวางรากฐานการศึกษาให้กับประเทศ!!
ในปี 1868 ประเทศญี่ปุ่นเริ่มเข้าสู่ยุคเมจิ อันเป็นยุคเปลี่ยนผ่านจากประเทศปิดสู่การเปิดรับความเจริญจากนานาประเทศทั่วโลก ยุคเมจิถือว่าเป็นยุคที่วางรากฐานการเปลี่ยนโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการศึกษา ในช่วงเวลาดังกล่าว การเดินทางข้ามประเทศของการทูตเริ่มมีความเป็นไปได้มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์แล้ว ยังเป็นการศึกษาระบบการศึกษา โครงสร้างสังคมของสหรัฐอเมริกาและยุโรปด้วย โดยจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มี ‘ผู้หญิงชาวญี่ปุ่น’ คนแรกที่ได้สำเร็จการศึกษาในระดับวิทยาลัยคนนี้ เธอมีชื่อว่า Sutematsu Yamakawa (ชื่อเดิม Sakiko) เกิดในปี 1860 ในช่วงเวลานั้นเธอมีอายุได้เพียง 12 ปี และได้กลายเป็นหนึ่งในห้าของผู้หญิงชาวญี่ปุ่นกลุ่มแรก ที่ได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้สมัครใจไป เธอถูกบีบบังคับ เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นในยุคสมัยนั้นพ่ายแพ้ต่อการรุกรานของต่างชาติ ถูกห้อมล้อมไปด้วยข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ญี่ปุ่นจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้จากประเทศคนเถื่อนเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ และจากน้ำมือของพี่ชายที่เซ็นสัญญามอบตัวไปอเมริกาโดยที่ไม่ถามเธอสักคำ มีเหตุผลเพียงสองข้อนั่นก็คือ เพื่อยกระดับชื่อเสียงของครอบครัว และไม่ต้องมาคอยเลี้ยงดูให้เป็นภาระของครอบครัวอีกต่อไป… กลุ่มผู้หญิงชาวญี่ปุ่นกลุ่มแรก ที่ได้เดินทางออกนอกประเทศสู่สหรัฐอเมริกา ด้วยการบีบบังคับทั้ง 5 คน สำหรับ Sutematsu นั้น ไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศญี่ปุ่น เธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แม้แต่คำเดียว และจะต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกพร้อมกับผู้หญิงอีก…
-
นักศึกษาเขียนหัวข้อรายงานเล่นๆ ว่า “ชีวิตแม่มบัดซบ” แต่ดันลืมเปลี่ยนและส่งไปทั้งแบบนั้น
หลายคนที่เคยผ่านประสบการณ์การเรียนในช่วงมหาลัยกันมาแล้ว น่าจะรู้ซึ่้งดีว่าการจะเขียนรายงานสักเล่มมันต้องใช้เวลาและพลังสมองแค่ไหน ยิ่งหากคุณทำแบบหามรุ่งหามค่ำก็อาจจะมีกันบ้างที่เบลอๆ เผลอเขียนอะไรผิดๆ ลงไปในรายงาน เรื่องที่เราไปเจอมานี้เป็นเรื่องราวสุดเปิ่นของหญิงสาวรายหนึ่งในโลกทวิตเตอร์ที่ใช้ชื่อว่า @morgs216 เธอได้โพสต์ภาพรายงานของเธอที่ส่งให้กับอาจารย์เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา แต่ดันเขียนหัวข้อแบบส่งๆ ว่า “Fuck my life” หรือแปลได้ว่า “ชีวิตแม่มโคตรบัดซบ” แต่ดันลืมเปลี่ยนก่อนที่จะส่งให้อาจารย์ “ฉันส่งรายงานให้กับศาสตราจารย์ของฉันเมื่อคืนที่ผ่านมา และในตอนเช้าฉันก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองลืมเปลี่ยนหัวเรื่อง วันนี้ของพวกคุณเป็นไงกันมั่งล่ะ?” ในเวลาไม่นานรูปนี้ก็กลายเป็นภาพไวรัลและมีคนกดรีทวีตไปกว่า 8 หมื่นครั้ง พร้อมกับข้อความฮาๆ อีกมากมาย “เพื่อนเอ๋ย นี่ล่ะชีวิตบัดซบของจริง ฉันอยากจะนอนขดตัวเป็นก้อนแล้วร้องไห้” “สัปดาห์นี้มันช่างหนักหนาเหลือเกิน เอื้อออ” หลังจากนั้นก็มีคนแชร์ประสบการณ์กับเธอว่าเขาเธอเองก็เคยเขียนอะไรแบบนี้ส่งให้อาจารย์เหมือนกัน อย่างผู้ใช้ทวิตเตอร์ @mai_foringer11 ได้โพสต์ภาพรายงานของเธอ ที่มีบทคัดย่อว่า “ฉันเกลียดโปรเจกต์ห่านนี่ และฉันก็เกลียด Google Docs ด้วย” ผู้ใช้ @JeffriesHalee ได้เข้ามาถามว่าศาสตราจารย์ของเธอนั้นมีทีท่าอย่างไรกลับมาบ้าง? เธอจึงบอกว่า “555+ เขาพูดว่า ‘ขอบคุณที่ส่งรายงานนะ’” …
-
จิตแพทย์เตือนพ่อแม่ทุกวันนี้ “ผลักดันลูกมากเกินไปไหม!?” ปล่อยให้พวกเขาได้เล่นบ้าง…
ตื่นเช้ามืด – แต่งตัว – ออกจากบ้าน – เรียน – เลิกเรียน – ไปเรียนพิเศษ – กลับบ้าน – ตื่นเช้า… ถ้าข้อความข้างบนทำให้คุณรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นตัวเองล่ะก็ คุณคือเด็กไทยอย่างแน่นอน เพราะเราอยู่ในประเทศที่มีการแข่งขันสูง การสอบวัดผลและคะแนนมีผลต่อชีวิตของเรามาก (หากเราและทางบ้านให้ค่ากับมัน) นั่นทำให้เด็กกว่าครึ่งค่อนประเทศต้องเรียนอย่างหนัก ซ้ำยังต้องออกไปหาสถานที่เรียนพิเศษนอกโรงเรียนด้วย แม้ลึกๆ เราจะรู้สึกอิจฉาในประเทศต่างๆ ที่ไม่ต้องมาเรียนหนักๆ แบบบ้านเรา และยังมีเวลาเอาไปทำกิจกรรมอย่างอื่น แต่พวกเขาก็ต้องเจอกับปัญหาที่แตกต่างกันไป เพราะอย่างใน “ออสเตรเลีย” เองกำลังประสบกับปัญหาที่เหล่าพ่อแม่ผลักดันเด็กๆ ให้ไปทำกิจกรรมอื่นๆ นอกห้องเรียนมากเกินไป จนอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของเด็กๆ เอง ก่อนหน้านี้เคยมีงานวิจัยหลายๆ ชิ้นที่บ่งชี้ว่าการสนับสนุนให้เด็กๆ (ตั้งแต่ 4 ขวบเป็นต้นไป) ทำกิจกรรมต่างๆ นอกห้องเรียน จะช่วยให้พวกเขาทำกิจกรรมในห้องเรียนได้ดีขึ้นไปด้วย เช่นการว่ายน้ำ การเต้นรำ การปั้นเครื่องปั้นดินเผา การทำสวน เล่นดนตรี หรือวิชาคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้การทำกิจกรรมนอกห้องยังช่วยให้เด็กๆ พัฒนาตัวเองในด้านต่างๆ…
-
ผู้คนชื่นชมสาว ป.ตรี ทำงานกวาดถนน แต่ติวเตอร์ดังแย้งว่ามันคือ “ความล้มเหลวของระบบการศึกษา”
ตั้งแต่มีโพสต์จากหญิงสาวคนหนึ่งที่เรียนจบปริญญาตรีแล้ว แต่กลับมาทำอาชีพอย่าง พนักงานรักษาความสะอาด หรือที่เราเรียกติดปากกันว่า “คนกวาดถนน” ก็ทำให้ชาวเน็ตต่างออกมาชื่นชมกันยกใหญ่ว่าดี ไม่เลือกงาน หาเงินได้เองอย่างสุจริต หรือยินดีที่ได้ทำงานที่ตนเองสบายใจ เป็นต้น โพสต์ของหญิงสาว ป.ตรี ที่รับอาชีพเป็นคนกวาดถนน . . แต่ขณะที่กระแสของชาวเน็ตทั้งหลายจะเห็นด้วยและชื่นชมกับหญิงสาวคนนี้ นายภัทรพล ขาวสอาด หรือ อ.บิ๊กซ์ ติวเตอร์ชื่อดังกลับคิดตรงกันข้าม เขาออกมาโพสต์ข้อความบน เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า การที่หญิงสาวคนนี้เลือกอาชีพคนกวาดถนน ทั้งๆ ที่ร่ำเรียนมากว่า 10 ปี ตนมองว่าเป็นการ “ถอยหลังเข้าคลอง” เพราะว่าหญิงสาวคนนี้อุตส่าห์ได้เข้าถึงกระบวนการผลิตบัณฑิตแต่กลับไม่นำความรู้ความสามารถไปใช้กับงานที่เหมาะสมกว่า นอกจากนี้ อ.บิ๊กซ์ ยังกล่าวอีกว่า หากโพสต์เพื่อแก้เก้อที่หางานทำไม่ได้ก็เข้าใจดี แต่หากว่าคิดแบบที่โพสต์จริงๆ ก็ถือว่าเป็นความล้มเหลวของระบบการศึกษาที่ปลูกฝังความคิดแบบนี้ให้กับผู้ที่ควรจะเป็นปัญญาชนและเป็นกำลังหลักของประเทศ และยังบอกอีกว่า หากพอใจกับอาชีพนี้จริงๆ เรียนจบแค่ ม.3 ก็สมัครงานนี้ได้แล้ว เรียนจบปริญญาให้มันสูญเสียทรัพยากรและขาดทุนทางการศึกษาเปล่าๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อ.บิ๊กซ์ ก็ยืนยันว่าตนไม่ได้ดูถูกอาชีพหรือสถาบันใดๆ โพสต์ข้อความทั้งหมดของ อ.บิ๊กซ์ อ.บิ๊กซ์ และนักเรียน…
-
ครูโพสต์บ่น ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารัก สปอยล์ลูกซะเละ’ แถมแฉโรงเรียน ไม่มีใยดีใดๆ กับครูเลย…
ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา จะมีการวางระบบทางสังคมพื้นฐานมาเป็นอย่างดี แต่ทว่าความสมบูรณ์แบบนั้นไม่มีอยู่จริง เพราะเมื่อกาลเวลาผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมเสื่อมตามเช่นกัน… อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ แต่สำหรับปัญหาของระบบการศึกษานั้นเริ่มสั่นคลอนมากขึ้นทุกวัน เมื่อคุณครูท่านหนึ่งจากรัฐเท็กซัส ได้ทำการโพสต์เพื่อระบายความในใจ เกี่ยวกับเหตุการณ์อันน่าหดหู่ที่กำลังเกิดขึ้นในโรงเรียนของเธอ Julie Marburger Julie Marburger คุณครูสอนระดับชั้นเกรด 6 (ป.6) ของโรงเรียน Cedar Creek Intermediate School ได้หมดความอดทนในวิชาชีพของตัวเอง หลังจากที่ทำงานในฝันงานนี้มานับสิบปี… “มันคือความฝันของฉัน ตั้งแต่จำความได้ว่าอยากจะมีห้องเรียนเป็นของตัวเอง และตอนในใจของฉันแหลกสลายหลังจากที่ไม่ได้รับแยแสใดๆ ใน 2 ปีที่ผ่านมา” พ่อแม่ไม่ให้ความเคารพคุณครู และเด็กๆ ก็แย่ยิ่งกว่า ผู้บริหารโรงเรียนก็เอาใจผู้ปกครอง นั่นจึงทำให้เธอไม่อาจปฏิบัติตามวิชาชีพที่ถูกจ้างมาเพื่อ ‘สอนเด็ก’ ได้ เธอลาออกจากการสอน และได้แสดงให้เห็นว่าทำไมเธอถึงหมดกำลังใจที่จะเป็นครู เนื่องจากความบกพร่องของผู้ปกครอง ผู้บริหารโรงเรียน และการสนับสนุนของภาครัฐ… โพสต์ดังกล่าวของเธอถูกแชร์ไปกว่า 400,000 ครั้งในโลกออนไลน์ พร้อมกับได้รับความเห็นใจจากเพื่อนร่วมวิชาชีพครูที่กำลังประสบปัญหาเดียวกัน Julie เชื่อว่าครูท่านอื่นเริ่มลาออกตามๆ กัน เพราะวิกฤตในระบบการศึกษาที่กำลังเสื่อมลง…
-
ปรับนานแล้ว? เปิดกฎกระทรวงฉบับปี 2515 ระบุชัด นักเรียนชายไม่ต้องตัด “ผมเกรียน”
ภาพของเด็กนักเรียนมัธยมที่มีทรงผมสั้นติ่งหู หรือผมเกรียน หรือการลงโทษเด็กที่ผมยาวจนถูกปัตตาเลี่ยนไถหัวจนกลายเป็นทรงแหว่งๆ ยังคงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในสังคมไทยเรา เนื่องจากมันเป็นกฎที่หลายๆ โรงเรียนตั้งเอาไว้เพื่อใช้ควบคุมการแต่งกายของเด็กนักเรียนให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย นอกจากนี้ยังมีคำบอกเล่าจากเหล่าครูบาอาจารย์บางคนอีกว่าการไว้ผมเกรียนนั้น ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเหาบนหัวนั่นเอง อีกทั้งเกรงว่าเด็กๆ จะทำทรงผมแบบแปลกประหลาดจนเกิดการเลียนแบบไปทั่ว ทำให้การไว้ผมสั้นยังคงถูกบังคับใช้ในโรงเรียนส่วนใหญ่ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราเริ่มจะได้เห็นการออกมาเคลื่อนไหวของเด็กรุ่นใหม่ เกี่ยวกับการเรียกร้องเพื่อให้มีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบตรงนี้เสียใหม่ หรือให้มีการเปิดเสรีเกี่ยวกับทรงผม เนื่องจากมองว่าการบังคับให้เหล่านักเรียนตัดผมสั้นถึงติ่งหูหรือสั้นเกรียนนั้นเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลขั้นพื้นฐานเกินไป หนึ่งในนั้นที่บางคนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาคือนาย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ที่เคยออกมาพูดถึงเรื่องนี้เมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้วกับเว็บไซต์ประชาไท โดยบางช่วงบางตอนของบทสัมภาษณ์นั้นเนติวิทย์กล่าวว่า “เรื่องทรงผมไม่ใช่ว่าได้รองทรงแล้วจะจบ เราจะเรียกร้องไปถึงที่สุดเลยครับ คือจำเป็นเลยที่จะต้องยกเลิกกฎระเบียบเรื่องทรงผม” “เพราะว่าผมเชื่อเลยครับถ้าสมัยก่อนเขาให้รองทรง นักเรียนก็ต้องต่อสู้อยู่ดี ก็ต้องเรียกร้องสิ่งที่มากกว่า ไม่มีใครหรอกครับที่จะต้องการโดนจำกัดเสรีภาพ และเสรีภาพที่ทางกระทรวง (ศึกษาธิการ) ให้ เป็นเสรีภาพจอมปลอมเท่านั้นเอง ทำให้เราหลงเชื่อว่าเรามีอิสรภาพ มีเสรีภาพแล้ว เสรีภาพที่แท้จริง ต้องไม่ควบคุมกันครับ นี่เป็นสิ่งที่เราเรียกร้องไปให้ถึงที่สุด” ย้อนกลับไปในปี 2556 นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ ได้เคยออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับกฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องของทรงผมนักเรียนที่เคยออกไว้ตั้งแต่ 22 เมษายน 2515 หรือราวๆ 46 ปีที่แล้ว โดยในกฎดังกล่าวระบุเอาไว้ว่า 1. นักเรียนชายไว้ผมยาว…
-
ครูสกลนคร ปฏิรูปการให้เกรด ทุกคนที่ 1 เท่ากัน เพราะคนเราเก่งในแบบที่แตกต่าง!!
เป็นที่รู้กันดีว่าการศึกษาของไทยนั้นเน้นไปที่เรื่องของการสอบวัดผล เกรด และคะแนน หากคุณสอบได้คะแนนน้อย นั่นก็เท่ากับว่าเราอาจจะยังไม่สามารถนำเอาความรู้ที่เรียนมามาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม ทำให้ต้องมีการสอบซ่อมมั่ง เรียนเสริมมั่ง จนเกิดเป็นการแข่งขันที่ทำให้เด็กๆ เครียดได้ แต่เนื่องจากปัญหาเหล่านี้ ทำให้คุณครูจากจังหวัดสกลนครรายหนึ่งนำเอาวิธีการเรียนการสอนมาปรับปรุง เพื่อให้เด็กๆ ทุกคนมองเห็นว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นมีคุณค่าและเก่งในด้านที่แตกต่างกันไป คุณครูที่#เหมียวฟิ้นพูดถึงมีชื่อว่าคุณครูชินกร พิมพิลา ครูพิเศษจากโรงเรียนบ้านนาสีนวล สกลนคร ที่ปรับการให้คะแนนของเด็กๆ ใหม่ จนทุกคนกลายเป็นนักเรียนเก่งที่ได้ที่ 1 กันทุกๆ คนเลย จากภาพนี้จะเห็นได้ว่าในรายชื่อนักเรียนแต่ละคนนั้น จะถูกเขียนกำกับไว้ว่าแต่ละคนเก่งในด้านไหนบ้าง เช่น นำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์เก่งที่สุด, หาปลาเก่งที่สุด, นวดฝ่าเท้าเก่งที่สุด, ย้อมผ้าจากสีธรรมชาติเก่งที่สุด ฯลฯ นอกจากนี้คุณครูยังเขียนข้อความลงในเฟซบุ๊กของตัวเองด้วยว่า “ประกาศผลสอบแล้วนะเด็กๆ พรุ่งนี้ครูรอแจกประกาศผล ไม่เรียงลำดับความเก่ง แต่ทุกคนเก่งในแบบที่แตกต่างกันและมีความเฉพาะด้าน ที่โอเน็ตไม่ได้วัดพวกเธอ” ด้วยวิธีการสอนและให้คะแนนสุดแหวกนี้เอง ทำให้ผู้คนในโลกออนไลน์กล่าวชื่นชมในความคิดสร้างสรรค์ การสอนนักเรียนให้มีความสุขและการมองเห็นคุณค่าเล็กๆ น้อยๆ ในตัวเอง . . . . ความเห็นบางส่วนจากชาวเน็ตบอกว่า Matinee Ma…
-
หนุ่มจืดที่แท้ทรู… ตั้งใจสมัครเข้าเรียนวิทยาลัยหญิงล้วน เพื่อเพิ่มโอกาสหาแฟนให้ตัวเอง!!
ปัญหาของสัดส่วนประชากรที่ไม่เท่ากันระหว่างเพศชายกับหญิง ยิ่งนานวันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะตัวเลขสัดส่วนของประเทศจีน… ทางสถาบันสังคมศาสตร์จีนเคยทำการสำรวจไว้ในปี 2010 เผยให้เห็นว่าจำนวนผู้ชายโดยเฉลี่ยในหนึ่งมณฑล จะมีอัตราส่วนที่ 130 คน ต่อผู้หญิง 100 คน ซึ่งถ้าหากมองในภาพรวมระดับประเทศ ผู้ชายนับล้านคนจะประสบกับปัญหา ‘มีเมียยาก’ ด้วยเหตุของปัญหาที่กล่าวไปนั้น ว่าที่นักศึกษาหนุ่มวัย 18 ปีรายหนึ่ง (ไม่เปิดเผยนาม) จากเมืองหนิงปัว มณฑลเจ้อเจียง ได้ตัดสินใจสมัครเข้าเรียนในวิทยาลัย China Women’s University ในกรุงปักกิ่ง โดยไม่เขินอายกับเหตุผลที่เขาเลือกเข้ามาสมัครในวิทยาลัยหญิงล้วนแห่งนี้เลย ในระหว่างรอบคัดเลือกขั้นสุดท้าย เขาตอบเหตุผลอย่างหนักแน่นว่า “ผมมาก็เพื่อที่จะหาแฟนได้ง่ายขึ้น เพราะสถาบันนี้มีผู้หญิงเยอะ ถ้าหากได้รับคัดเลือกเข้าเรียนที่นี่ ปัญหาของการหาคู่ก็จะหมดไป” ‘ผมมาเพื่อหาแฟนครับ’ หลังจากที่วิดีโอคลิปการสอบสัมภาษณ์ของเขาถูกแพร่กระจายออกไปในโลกออนไลน์ โดยได้รับอนุญาตจากทางวิทยาลัยแล้ว ก็ทำให้เกิดการถกเถียงถึงจำนวนเพศของประชากรที่ไม่เท่ากันในสังคมจีนอีกครั้ง ส่วนเจ้าตัวก็ยังเผยความรู้สึกว่า การคัดเลือกของวิทยาลัยแห่งนี้มหาโหดมากๆ เพราะทางวิทยาลัยรับผู้ชายเพียงแค่คนเดียวในปีที่แล้ว จากจำนวนรับนักศึกษาหญิงทั้งหมด 1,500 คนต่อปี ซึ่งตามรายงานนั้นเผยว่าเขาผ่านสอบสัมภาษณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามทางครอบครัวของชายหนุ่ม กลับรู้สึกไม่ค่อยยินดีกับการตัดสินใจของเขาเท่าไหร่นัก เนื่องจากคุณพ่อเกรงว่าลูกชายจะเปลี่ยนไป จากสภาพแวดล้อมที่ถูกล้อมรอบเรียงรายไปด้วยผู้หญิง สำหรับวิทยาลัย…
-
งานวิจัยเผย 80 เปอร์เซ็นต์ของมือปืนกราดยิง ไม่ได้มีความสนใจในวิดีโอเกมส์แต่อย่างใด
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2018 เราอาจได้ยินคำพูดของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา Donald Trump ที่พูดเอาไว้ว่า “วิดีเกมส์คือสิ่งที่ส่งผลให้เกิดการกราดยิง” แต่ผลจากงานวิจัยชิ้นล่าสุดนั้นกลับให้ผลออกมาในทิศทางตรงกันข้าม นี่คือการศึกษาของนักจิตวิทยา Patrick Markey เมื่อเขาพยายามหาคำตอบเกี่ยวกับผู้ก่อเหตุกราดยิงและวิดีโอเกมส์ จนกระทั่งพบว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้ก่อเหตุนั้นไม่ได้มีความสนใจในเรื่องของวิดีโอเกมส์เลย ผลลัพธ์ดังกล่าวเรียกว่าเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความคิดและความเข้าใจของใครหลายๆ คนเป็นอย่างมาก Patrick บอกว่างานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ก่อนหน้านี้อาจมีข้อมูลที่ไม่เหมือนกับผลการศึกษาของเขา แต่ถึงอย่างนั้นข้อมูลดังกล่าวก็ไม่อาจบอกได้ว่าเกมส่งผลกับเรื่องนี้จริงๆ ขณะเดียวกันก็ได้มีการพุ่งประเด็นไปที่เรื่องของบริษัทขายปืนในอเมริกาที่ชื่อว่า Remington ซึ่งมีการผลิตปืนตามต้นแบบจากเกมดังอย่าง Call of Duty ก่อนที่จะพยายามขายให้กับวัยรุ่นผู้ชาย จนพวกเขาถูกฟ้องร้องภายหลังเหตุกราดยิงในปี 2012 ที่มีเด็กเสียชีวิตไปมากถึง 26 คน ซึ่งพบว่าผู้ก่อเหตุใช้ปืนของผู้ผลิตรายนี้ ทนายความ Josh Koskoff อธิบายว่าการกระทำของบริษัทนี้ถือว่าเป็นการส่งเสริมและเพิ่มความเสี่ยงให้มีเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นมาอีก Adam Lanza ผู้ก่อเหตุกราดยิงภายในโรงเรียนประถม เมื่อปี 2012 แน่นอนว่าการขายอาวุธที่ใช้ก่อเหตุให้กับคนร้ายถือว่าเป็นสิ่งที่ผิด แต่หากเราลองมองกลับมาที่เรื่องของวิดีโอเกมส์ที่เกริ่นกันไว้ในตอนแรก การที่เราจะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ส่งผลให้มีการก่อเหตุนั้นกลับไม่สามารถพูดได้เต็มปากเหมือนอย่างกรณีการขายปืน ยิ่งมีงานวิจัยชิ้นใหม่เข้ามาเสริมด้วยแล้ว งานวิจัยและการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่ออกมาขัดกับความเข้าใจของเราหรือแม้แต่ประธานาธิบดีของสหรัฐเองก็ตาม และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ Patrick บอกว่างานวิจัยของเขานั้นยังบอกอีกว่า ยิ่งมีเกมรุนแรงถูกปล่อยออกมาเท่าไหร่…
-
7 เหตุผลรองรับทางวิทยาศาสตร์ ช่วยไขกระจ่างว่า ทำไมเราถึงควรดื่ม ‘กาแฟ’ ทุกๆ วัน
กาแฟ คือเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย ด้วยความขมที่เป็นลักษณะเฉพาะและยังมีคาเฟอีนที่ช่วยในเรื่องของความกระปรี้กระเปร่า ทำให้หลายๆ คนเลือกที่จะให้มันกลายเป็นเครื่องดื่มที่ต้องดื่มเป็นประจำในยามเช้า แต่สิ่งที่เราอาจไม่เคยรู้กันมาก่อนก็คือประโยชน์อื่นๆ ของกาแฟ ซึ่งกลายมาเป็นเหตุผลที่ว่า ‘ทำไมเราถึงควรจะดื่มกาแฟทุกวัน’ มันสามารถช่วยอะไรเราได้บ้าง มันจะดีต่อสุขภาพของเรามากขนาดไหน ลองไปดูพร้อมๆ กันเลยยย 1. กาแฟอุดมไปด้วยสารอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ ตามหลักชีวภาพแล้ว กาแฟคือสิ่งที่ดีต่อร่างกายเราในหลากหลายด้าน เพราะมันเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้กลายเป็นเครื่องดื่มอันดับหนึ่งของชาวอเมริกันที่สามารถช่วยในเรื่องนี้ได้ เอสเปรสโซหนึ่งแก้วจะมีโปรตีน 0.3 กรัม , โพแทสเซียม 116 มิลลิกรัม , วิตามินบี 0.2 มิลลิกรัม , วิตามินบี 5 0.6 มิลลิกรัม , แมงกานีส 0.1 มิลลิกรัม , แมกนีเซียม 7.1 มิลลิกรัม และไนอะซิน 0.5 มิลลิกรัม 2. ลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน จากผลการศึกษาหลายชิ้นชี้ชัดว่า กาแฟสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทได้เป็นอย่างดี ความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์จะลดลงได้มากถึง 65%…
-
ภาควิชาการแสดงมหาวิทยาลัยจีน ปฏิเสธผู้สมัครที่ผ่านการทำ “ศัลยกรรม” หรือ “แต่งหน้าจัด”
เป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้วกับการทำศัลยกรรม เพื่อให้ใบหน้าดูดีขึ้นหรือเหตุผลอื่นๆ ด้วยค่านิยมที่เปลี่ยนไปในสังคม รวมถึงการลดลงของค่าใช้จ่ายในการทำศัลยกรรม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรอีกต่อไป… แต่ก็ใช่ว่าการทำศัลยกรรมจะเป็นที่ยอมรับในทุกแวดวง เพราะอย่างแวดวงการศึกษาในประเทศจีน กลับเลือกที่จะสั่งห้าม และปฏิเสธรับผู้ที่ทำศัลยกรรมเข้ามาศึกษาภายในสถาบัน Dong Lian คณบดีวิทยาลัยศิลปะการแสดง ภาพยนตร์ และโทรทัศน์ ภายใต้มหาวิทยาลัยซานตง ประเทศจีน กล่าวประกาศอย่างเป็นทางการ ผ่านการประชุมสอบคัดเลือกของวิทยาลัย เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมาว่า… “เราตัดสินใจที่จะสั่งห้ามรับผู้สมัครเรียน ที่ผ่านการทำศัลยกรรมสำหรับการเข้าสอบคัดเลือกเรียนในปีนี้ เพราะอาชีพอย่างนักแสดงหรือพิธีกร ที่จะต้องดึงความสนใจจากผู้ชมนับล้าน หากทำการศัลยกรรมมา แม้จะเล็กน้อยแค่ไหน มันจะส่งผลต่อการแสดงสีหน้าของคุณอย่างเห็นได้ชัด” แม้ว่าคุณสมบัติ ‘ความดูดีจากภายนอก’ จะเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับวงการบันเทิง ทางฝ่ายรับสมัครจะทำการปฏิเสธผู้สมัครที่ผ่านการศัลยกรรมมาแล้ว รวมไปถึงการใช้เครื่องสำอางที่มากเกินไป จะทำให้นักแสดงที่ทางวิทยาลัยคาดหวังให้เป็นนั้นด้อยคุณค่าลง “นักศึกษาควรจะยึดมั่นในความสวยตามธรรมชาติ และมุ่งพัฒนาทักษะทางด้านการงานอาชีพของตน เราจะไม่รับนักศึกษาที่แต่งหน้าจัด แม้จะด้วยเหตุผลปกปิดแผลเป็นก็ตาม คุณภาพทางด้านวิชาชีพและความสามารถ คือสิ่งที่สำคัญกว่า” คณบดีกล่าวเสริม ในปีที่ผ่านมา มีผู้สมัครเข้าเรียนวิทยาลัยการแสดงแห่งนี้กว่า 9,000 ราย โดยจะทำการคัดเลือกเหลือเพียงแค่…
-
ดราม่าหนัก!! คุณครูโรงเรียนที่ญี่ปุ่นใช้กรรไกรตัดผมนักเรียนกว่า 44 คนเพราะยาวเกินไป
สำหรับโรงเรียนบางโรงเรียน ก็อาจจะมีกฎระเบียบในเรื่องของการแต่งกายรวมถึงทรงผม ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นนั้นเรื่องของทรงผมถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องคุณครูที่สั่งให้ย้อมผมเป็นสีดำในประเทศนี้ และเรื่องของทรงผมก็ได้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่มีคุณครูของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ตัดผมให้แก่นักเรียนที่มีความยาวของเส้นผมเกินกว่าที่ระเบียบกำหนดไว้ถึง 44 คน ในระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา!! ตามรายงานกล่าวเอาไว้ว่า คุณครูที่กระทำการดังกล่าวคือคุณครู 6 คน ของโรงเรียนมัธยม Mizuhashi จังหวัดโทะยะมะ ที่ใช้กรรไกรตัดผมเด็กนักเรียนกว่า 44 คนที่มีผมยาวเกินไปและแสดงให้เห็นถึงการต่อต้านระเบียบวินัยเรื่องการแต่งกายของโรงเรียน ซึ่งการตัดผมในลักษณะนี้ ทางโรงเรียนกล่าวเอาไว้ว่าได้เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2017 และกระทำมาอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนมกราคม 2018 ที่ผ่านมา โดยทางโรงเรียนจะมีการตรวจเช็กระเบียบการแต่งกายรวมถึงเรื่องทรงผมในทุกๆ เดือน และนักเรียนที่ดูมีเส้นผมยาวเกินกว่าที่กำหนดจะได้รับคำเตือนให้ไปตัดผม แต่ถ้ายังไม่ปฏิบัติตามก็จะเป็นหน้าที่ของคุณครูในการตัดผมให้แก่นักเรียนเหล่านี้ ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันว่ามีคุณครูคนไหนที่ผ่านการฝึกตัดผมมาแล้วบ้าง แต่ทางสื่อก็ได้สันนิษฐานว่า ทรงผมที่นักเรียนได้รับอาจจะไม่ใช่ทรงผมที่พวกเขาถูกใจที่สุด แต่อาจจะเป็นทรงผมที่ตัดเพื่อให้สั้นพอที่จะไม่ผิดระเบียบของโรงเรียนเท่านั้น ซึ่งในเรื่องนี้ทางโรงเรียนก็ได้อ้างว่า พวกเขาได้รับการอนุญาตจากนักเรียนก่อนที่จะมีการตัดผมเกิดขึ้น แต่ทางสื่อของประเทศญี่ปุ่นก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เด็กๆ จะสามารถพูดอะไรได้หากคนที่มีอำนาจเหนือกว่าพวกเขาอย่างคุณครู เดินตรงมาหาพร้อมกับมีกรรไกรอยู่ในมือ ต่อมาทาง Yasuhiro Nakada คุณครูใหญ่ของโรงเรียนดังกล่าวก็ได้ออกมาให้คำแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น จากนี้ไปเราจะมีทีมผู้บริหารคอยตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก” เมื่อข่าวนี้ได้แพร่ออกไป ก็ได้มีชาวเน็ตญี่ปุ่นจำนวนมากออกมาวิพากษ์วิจารย์ถึงกรณีที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนแห่งนี้อย่าง “นี่เป็นเรื่องจริงๆ เหรอ นี่เรายังอยู่ในยุคเก่าอยู่ใช่ไหมเนี่ย จุดประสงค์ของกฎข้อนี้คืออะไรกัน?” “คุณครู…
-
การทดสอบที่ว่า “ความรวย” ทำให้คนเราคบกันเล่นๆ ไม่จริงจัง เป็นเรื่องจริงหรือ!?
ความสัมพันธ์ของคนเรา นับวันยิ่งจะซับซ้อนมากยิ่งขึ้น มีทั้งการคบสั้น คบยาว คบซ้อน คบเล่น หรือคบอะไรก็ตามแต่ มันทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า อะไรกันนะที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้คนเราตัดสินใจว่า จะคบกับใครและรูปแบบไหน จึงได้เกิดการศึกษาหนึ่งซึ่งได้รับการตีพิมพ์โดย Evolution and Human Behavior ขึ้นมา โดยผลสรุปของมันปรากฏออกมาว่า คนเราจะมีความสัมพันธ์แบบไม่จริงจัง (ระยะสั้น) มากขึ้นเมื่อเรารู้สึกว่าเรา “รวย” การศึกษาทดลองนี้เก็บข้อมูลมาจากหนุ่มสาวที่อาสามาเป็นกลุ่มตัวอย่าง (ชาย 75 คน หญิง 76 คน) โดยขั้นตอนการทดลองนั้นคือ การให้เหล่ากลุ่มตัวอย่างทั้งชายและหญิงดู “ภาพคู่เดท” ที่จัดมาให้ 50 ภาพ แล้วจัดกลุ่มภาพเหล่านั้นออกมาว่าต้องการจะคบคนในภาพเป็นระยาว ระยะสั้น หรือไม่คบเลย จากนั้นจึงให้กลุ่มตัวอย่างดู ภาพสิ่งของหรูหรา ต่างๆ เช่น เงิน รถสปอร์ต และเครื่องเพชร อัญมณีทั้งหลาย เป็นต้น เมื่อดูแล้ว ให้กลุ่มตัวอย่างกลับไปเลือกภาพคู่เดทอีกครั้ง จากนั้นจึงสลับกับการฉาย วิดีโอการเลี้ยงลูก แล้วก็ให้กลับมาเลือกคู่เดทอีกครั้ง และสุดท้ายสลับไปฉาย ภาพสัตว์ที่เป็นอันตราย แล้วจึงกลับมาให้เลือกคู่เดทอีกครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ หลังจากที่กลุ่มตัวอย่างดูภาพสิ่งของหรูหราแล้ว…
-
MIT เผย “โรคเสพติดมือถือ” มีอยู่จริง และส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ร้ายแรงกว่าที่เราคิด!?
ปัจจุบัน แทบทุกคนจะต้องมีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเอง และการที่เล่นแต่มือถือจนแทบไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย แบบนั้นเราอาจเรียกว่า อาการของคนติดมือถือ แต่เพื่อนๆ รู้มั้ยว่าอาการนั้นมันมีอยู่จริงและสามารถส่งผลเสียให้กับสุขภาพเราได้อย่างมาก การเสพติดมือถือจะมีความใกล้เคียงกับการเสพติดโซเชียลมีเดีย เพราะคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น มักจะเล่นโซเชียลมีเดียผ่านมือถือกันทั้งนั้น การโทรคุยกันแทบจะไม่เกิดขึ้น เพราะเราสามารถได้เห็นและสื่อสารกันผ่านโลกโซเชียลได้ นั่นจึงทำให้มีการศึกษาจำนวนมากที่พยายามศึกษาเกี่ยวกับผลเสียที่ตามมาจากสมาร์ทโฟน ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2017 สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือรู้จักกันในชื่อ MIT ได้เผยแพร่ การทดลองของอาจารย์โรงเรียนสอนธุรกิจในประเทศอิตาลี และฝรั่งเศส อาจารย์ทั้งสองคนตั้งกฎห้ามไม่ให้นักเรียนใช้สมาร์ทโฟนเป็นเวลาหนึ่งวัน ผลลัพธ์ที่ได้คือ นักเรียนส่วนใหญ่เกิดความกระวนวายขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าจะเอาเวลาว่างไปทำอะไรดี เนื่องจากปกติพวกเขาจะเช็กโทรศัพท์กันอยู่เสมอ เหมือนอย่างนักเรียนคนหนึ่งที่ปกติจะเช็กมือถือของตัวเองถึง 4 ครั้งในเวลาแค่ 10 นาที การศึกษาในรูปแบบเดียวกันนั้นเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา พบว่าเด็กที่ไม่ได้เล่นมือถือจะทำงานที่ต้องใช้สภาวะทางด้านจิตใจได้แย่ลง รู้สึกสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป และยังส่งผลถึงทางร่างกาย เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย มี การศึกษาหนึ่งที่พูดถึงการเพิ่มสูงขึ้นของผู้มีอาการซึมเศร้าและฆ่าตัวตายในปี 2010 – 2015 จากสถิติของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือรู้จักกันในชื่อ CDC ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงได้รับผลกระทบค่อนข้างมากในช่วงที่สมาร์ทโฟนเริ่มเป็นที่นิยม โดยสถิติการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้นถึง 65 เปอร์เซ็นต์ และหญิงสาวที่มีอาการซึมเศร้าก็เพิ่มอีกกว่า 58…
-
เมื่อรายการญี่ปุ่นถามชาวฟินแลนด์ เกี่ยวกับกฎระเบียบอันเข้มงวดของรร. ญี่ปุ่น เด็กฟินแลนด์ถึงกับอึ้ง!!
อย่างที่เรารู้ๆ กันดีอยู่แล้วว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นขึ้นชื่อในเรื่องของระเบียบวินัยที่ค่อนข้างเป๊ะไปซะทุกเรื่องรวมถึงกฎระเบียบต่างๆ ในโรงเรียนอีกด้วย และแน่นว่าถ้าหากพูดถึงเรื่องระบบการศึกษาล่ะก็ ประเทศฟินแลนด์เองก็ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าในด้านนี้อันดับต้นๆ ของโลก และอย่างที่เราทราบกันว่าโรงเรียนที่ฟินแลนด์มันคือสวรรค์ของเด็กๆ ชัดๆ ไม่ว่าจะเป็นการบ้านหรือการสอบที่แสนจะน้อยนิด และกฎระเบียบที่ไม่เข้มงวดมาก แต่จะเป็นอย่างไรบ้างถ้าหากเด็กๆ จากฟินแลนด์ได้ยินเกี่ยวกับกฎต่างๆ ของโรงเรียนในญี่ปุ่น?? เมื่อไม่นานมานี้ได้มีชาวเน็ตญี่ปุ่นท่านหนึ่งได้โพสต์ภาพของรายารทีวีที่ได้ได้เผยให้เห็นคำตอบของเหล่าเด็กๆ จากประเทศฟินแลนด์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ภาพจากทวิตเตอร์ของคุณ @noginoginanamai “ในญี่ปุ่นมีกฎว่าห้ามนักเรียนย้อมผมและใส่ต่างหูมาโรงเรียน พวกหนูๆ คิดว่าอย่างไร้าง??” ทางรายการถามเหล่าเด็กๆ ชาวฟินแลนด์ “เราจะไม่ไปโรงเรียนแน่นอน ถ้าหากมีกฎแบบนั้น” ทางเว็บไซต์ Rocketnews ระบุว่ากฎระเบียบในโรงเรียนที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศนั้นอาจจะมาจากจุดประสงค์ของนโยบายการศึกษา ซึ่งจุดมุ่งหมายในการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ก็คือการเรียนของพวกเด็กๆ เท่านั้น ซึ่งต่างจากบางประเทศที่ให้ความสำคัญกับด้านอื่นๆ ด้วย อย่างเช่นความเป็นระเบียบวินัยของเด็กๆ นั่นเอง และแน่นอนว่าหลังจากที่มีการเผยแพร่ภาพจากรายการทีวีดังกล่าว ก็ได้มีชาวเน็ตญี่ปุ่นเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันจำนวนมาก ซึ่งบางคนก็บอกว่า “ไม่ใช่แค่โรงเรียนในฟินแลนด์เท่านั้นที่ไม่มีกฎเข้มงวด แต่ในโรงเรียนอาชีวะหรือพวกวิทยาลัยต่างๆ ก็ด้วย ฉันอิจฉาพวกเขาจริงๆ กฎเข้มงวดเหล่านี้ไม่มีทางเปลี่ยนได้เลยอย่างนั้นหรือ??” ในขณะที่บางคนก็บอกว่า “แต่ในโรงเรียนเอกชนแพงๆ ก็ไม่ได้มีกฎที่เข้มงวดเหมือนกันนะ พวกเขาทำให้เด็กๆ อยากเรียนรู้ด้วยตัวเองและกฎต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่จำเป็น แต่น่าเสียดายที่โรงเรียนส่วนมากยังมีกฎที่เข้มงวดแบบนี้” แล้วโรงเรียนของเพื่อนๆ…
-
ความเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง ระหว่างบุคคลอายุ 14 และ 77 ปี จากผลการศึกษานาน 60 ปี…
ทุกคนรู้ว่าเมื่ออายุของเราเพิ่มมากขึ้นรูปร่างและระบบการทำงานของร่างกายเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่งานวิจัยอันยาวนานนี้ก็ได้บอกเราอีกว่า ไม่ได้มีเพียงแค่สุขภาพร่างกายของเราที่เปลี่ยนไปเพราะมันมีอะไรมากกว่านั้นอีกเยอะ นี่คืองานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน Psychology and Aging ใช้เวลานาน 63 ปีสำหรับการศึกษาในครั้งนี้ ทำให้เรารู้ว่าอายุที่เพิ่มขึ้นของเรา ไม่ได้มีแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป แต่มันรวมถึงเรื่องของลักษณะอุปนิสัยของเราด้วย การศึกษานี้เริ่มขึ้นในปี 1950 ทำการสำรวจเด็กวัย 14 ปีจำนวน 1,208 คนในประเทศสกอตแลนด์ โดยให้คุณครูของเด็กๆ ให้คะแนนในเรื่องของความมั่นใจในตัวเอง ความขยันหมั่นเพียร ความมั่นคงของอารมณ์ ความยุติธรรม ความคิดริเริ่ม และความอยากที่จะเรียนรู้ รวมกันเป็น 6 คำถาม เพื่อดูว่าเด็กแต่ละคนอยู่ในระดับใดบ้าง ทั้ง 6 หัวข้อนั้นสามารถรวมได้เป็นหนึ่งบุคลิกหลักก็คือความน่าไว้วางใจ นักวิจัยได้เก็บผลนั้นไว้ แล้วกลับมาติดตามผลอีกครั้งหลังจากผ่านไปนานถึง 63 ปี เหลือผู้ร่วมการทดลองอยู่เพียง 635 คน และมีผู้เข้ารับการทดสอบครั้งที่สองอีกเพียงแค่ 174 คน นักวิจัยได้ทำการทดสอบด้วยคำถามเดิม ให้ผู้ร่วมการทดลองวัย 77 ปีเป็นคนให้คะแนนตัวเอง รวมถึงญาติสนิทหรือคนใกล้ชิดที่ต้องให้คะแนนพวกเขาด้วยเช่นกัน ผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษาอันยาวนี้ก็ได้สร้างความตกใจให้กับนักวิจัยเป็นอย่างมาก เพราะคะแนนที่ได้ต่างจากคะแนนในตอนที่พวกเขายังเป็นเด็กอย่างชัดเจน…
-
นิวซีแลนด์สั่งตรวจข้อสอบส่วนกลางวิชาคณิตฯ เพราะยากเกินไปและนอกเหนือจากบทเรียน!?
ในหลายครั้งทีี่เราทำข้อสอบ เราอาจเคยคิดว่าข้อสอบนั้นยากเกินไปหรือคิดว่าทำไมเราถึงไม่เคยเรียนอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ซึ่งนี่ก็คงเป็นความคิดของนักเรียนหลายๆ คนในประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2017 ได้มีการสอบระดับ 1 ของการวัดระดับวิชาคณิตศาสตร์ส่วนกลางที่ชื่อว่า The National Vertificate of Educational Achievement (หรือเรียกว่า NCEA) ที่มีไว้วัดระดับนักเรียนชั้น Year 11 (เทียบเท่ากับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในบ้านเรา) ของประเทศนิวซีแลนด์ จากการสอบในครั้งนั้นทำให้เด็กหลายๆ คนที่เข้าสอบร้องเรียนว่าข้อสอบนั้นยากเกินไปและอยู่นอกเหนือจากบทเรียน เด็กบางคนยอมรับว่าพวกเขาถึงกับนั่งร้องไห้ในห้องสอบเพราะว่าทำไม่ได้ ส่วนบางคนก็บอกว่าทำได้เพียง 2-3 ข้อจาก 15 ข้อเท่านั้น และเพื่อนของเขาเองก็ทำได้ประมาณนี้เหมือนกัน หรือแม้แต่บางคนที่ไม่เขียนอะไรในกระดาษคำตอบเลยก็มี Amanda Fraser ประธานสมาคมคณิตศาสตร์ Otago ในนิวซีแลนด์ บอกว่าข้อสอบนั้นยากจนเกินไปและบางข้อก็ทำให้อาจารย์หลายๆ คนเกิดความรู้สึกสับสน ซึ่งเธอมองว่าการข้อสอบที่ยากขนาดนี้จะเป็นตัวทำลายความมั่นใจและการเห็นคุณค่าในตัวเองของเด็ก ส่วนหนึ่งของข้อสอบที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในครั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ทำให้คุณครูคณิตศาสตร์จาก 22 สถาบันได้ส่งจดหมายร้องเรียนไปให้กับกระทรวงศึกษาธิการและคณะกรรมการตรวจสอบกลาง (หรือเรียกว่า NZQA) จัดตั้งทีมตรวจสอบขึ้นมาในทันที อย่างไรก็ตามหน่วยงานที่ดูแลการสอบในครั้งนี้ก็ได้ออกมาบอกว่า…
-
เจ้านายเหมียวจะคิดถึงเหล่าทาสอย่างเรามั้ยเวลาที่เราไม่อยู่บ้าน? คำตอบนั้นอยู่ที่นี่แล้ว
เหล่าทาสแมวทั้งหลายอาจเคยสงสัยว่าเจ้านายเหมียวของเรานั้นรู้สึกอย่างไรกับเรา ยิ่งเวลาที่เราต้องออกจากบ้านหรือห่างมันไปนานๆ แล้วมันคิดถึงเรามากเหมือนกับที่เราคิดถึงมันหรือเปล่านะ? ด้วยคำถามนี้จึงได้มีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับความรู้สึกของน้องเหมียวออกมาหาคำตอบกัน ดอกเตอร์ Elizabeth Stelow คือหัวหน้าทีมผู้ศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ในมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และเป็นผู้ที่มาให้คำตอบกับคำถามที่ว่านั้นกัน โดยเธอได้พูดถึงข้อสังเกตที่ทำให้เราพอจะทราบได้ว่าเจ้าเหมียวคิดถึงเราหรือเปล่า? ข้อสงสัยนี่เป็นสิ่งที่ยังคงมีการถกเถียงอยู่ในปัจจุบันเกี่ยวกับความรู้สึกของน้องแมว Elizabeth เล่าว่าได้มีการศึกษาหนึ่งพูดถึงข้อสังเกตง่ายๆ ว่าแมวรู้สึกหดหู่หรือเป็นกังวลอยู่หรือเปล่า โดยถ้าพวกมันรู้สึกอย่างนั้น ส่วนใหญ่ก็จะฉี่นอกกระบะทรายหรืออาจมีพฤติกรรมทำลายข้าวของ นั่นคือถ้าเรากลับบ้านไปแล้วเห็นรอยฉี่ของน้องเหมียวตามพื้นบ้านหรือมีของเสียหายไปบ้าง นั่นอาจหมายความว่ามันรู้สึกหดหู่ในตอนที่เราหายไปก็เป็นได้ อย่างการพังโน่นพังนี่ก็อาจเป็นการแก้แค้นเราที่ทิ้งมันไว้อยู่บ้านคนเดียว แต่อีกการศึกษาหนึ่งที่เธอพูดถึงกลับแสดงให้เห็นว่าแมวไม่ได้มีความผูกพันกับเจ้าของ เพราะว่าพวกมันมีท่าทีตอบสนองกับทั้งเจ้าของและคนแปลกหน้าเหมือนๆ กันหมด แม้ว่าการศึกษาทั้งสองงานขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัด แต่ Elizabeth ก็ได้บอกว่าความเป็นจริงเราสามารถรู้ได้เลยว่าเจ้าเหมียวนั้นให้ความสนิทสนมกับแต่ละคนไม่เหมือนกันจริงๆ อย่างเช่นเรามีแมวบ้านอยู่ 3 ตัวก็ไม่จำเป็นที่เจ้าเหมียวทั้งหมดนั้นจะต้องสนิทกับเราทุกตัวก็ได้หรอกนะ และถ้าหากคุณรู้สึกว่าตัวเองมีความผูกพันกับมันขึ้นมาเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่ามันก็คิดเหมือนกับคุณเช่นเดียวกัน สังเกตได้จากพฤติกรรมชอบเดินเข้ามาในห้องน้ำที่เรากำลังปลดทุกข์อยู่ หรือไม่ก็ขึ้นมานอนด้วยกันบนเตียงอะไรแบบนี้ ทำขนาดนี้แล้วถ้าคุณยังคิดว่ามันไม่รักเราจริงๆ ก็แปลกแล้วล่ะจริงมั้ย อย่างไรก็ตามการจะวัดความรู้สึกหรืออารมณ์ที่แท้จริงของเจ้าเหมียวนั้นก็เป็นไปได้ยากมาก เพราะมันพูดภาษาคนไม่ได้และก็ไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนน้องหมาที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าต้องการอะไร หรือรู้สึกประมาณไหนกับเรา ทั้งหมดนี้จึงเป็นข้อสังเกตที่สามารถใช้ได้จริงในระดับหนึ่ง แต่ถึงแม้เราจะไม่รู้ใจมันทั้งหมดแต่เราก็ต้องอย่าลืมที่จะแสดงความรักให้กับมันด้วยนะ เพราะถึงอย่างไรเราก็ได้ตกไปเป็นทาสของมันแล้วนี่นาจริงมั้ย ที่มา: thedodo
-
ไปดูระบบการศึกษาของเนเธอร์แลนด์ อีกประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านการปฏิรูปการศึกษา
ระบบการศึกษาแต่ละประเทศก็จะมีความแตกต่างกันไปบ้าง เพื่อทำให้ตนเองก้าวสู่ความเป็นหนึ่งในการให้ความรู้กับเยาวชนทั้งหลาย ซึ่ง เนเธอร์แลนด์ ก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับต้นๆ ของเรื่องนี้เลยทีเดียว ปัญหาในเรื่องของการเมืองที่ยาวนานไม่ได้สร้างผลกระทบให้กับความตั้งใจที่จะพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศแต่อย่างใด เพราะหลังจากเรื่องนั้นจบลงรัฐบาลก็ได้มุ่งเป้ามาที่การสร้างความเท่าเทียมให้กับทั้งโรงเรียนรัฐและเอกชน เพื่อการศึกษาที่ดีในทุกที่ทั่วประเทศ การศึกษาที่ดีไม่ถือว่าเพียงพอ เพราะจุดประสงค์ของพวกเขาก็คือทำให้มันอยู่ในระดับดีเยี่ยม จึงใส่ใจให้กับทุกสิ่งที่เป็นส่วนประกอบของการเรียนการสอน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน คุณครู หรือทางโรงเรียนเองก็ตาม ความเป็นอิสระถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นแกนหลักให้เด็กสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้อย่างเต็มที่ คุณครูสามารถใช้วิธีการสอนได้ตามที่ตนถนัด และเรื่องของการบริหารก็จะปล่อยให้ทางโรงเรียนเป็นคนจัดการโดยที่รัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซงใดๆ ถึงอย่างนั้นการพัฒนาก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอาจารย์ที่จะจะต้องมีประสิทธิภาพในการถ่ายทอดความรู้และทำให้เด็กมีแรงจูงใจกับการเรียนการสอน จึงได้เกิดวิธีการให้ครูผู้สอนสังเกตการณ์การเรียนการสอนของครูผู้สอนคนอื่นๆ และนำมาพัฒนาการเรียนการสอนของตัวเอง หรือแม้แต่การเข้าไปดูการสอนของอีกท่านเพื่อเป็นการชี้แนะและแนะนำให้เป็นไปในทางที่ดีมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเป็นวิธีการที่สามารถสร้างได้ทั้งประสิทธิภาพและความสัมพันธ์ระหว่างกันได้อย่างดีเยี่ยม มองว่าคุณครูทุกคนก็เปรียบเสมือนทีมเดียวกันที่จะช่วยกันผลักดันให้ก้าวต่อไป ผู้อำนวยการวิทยาลัยไทลิงเกนในเนเธอร์แลนด์ ได้พูดว่า “แน่นอนว่าความสำคัญอย่างแรกของการเป็นครูคือความเชี่ยวชาญในเรื่องที่สอน และอย่างที่สองคือการเปิดรับเพื่อพัฒนาตนเองให้สามารถเข้าถึงนักเรียนได้ดีที่สุด เพราะว่าเรื่องที่สอนเป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทอดทักษะความรู้” นอกจากนั้นกระทรวงศึกษาธิการของประเทศก็ได้จัดตั้งโปรแกรม School ann Zet ขึ้นเพื่อให้คุณครูในแต่ละภาควิชาที่แตกต่างกัน เข้ามาพูดถึงแผนการสองในอนาคตของตัวเองทุกเดือน และปรึกษาร่วมกันเพื่อให้มีผลสัมฤทธิ์ทางสอนและการเรียนรู้อย่างแท้จริง และแม้ว่าวิชาจะแตกต่างกัน แต่วิธีการหรือแนวทางการสอนก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาการสอนของตัวเองได้อีกด้วย เป็นทั้งการรับความรู้และการให้คำแนะนำในเวลาเดียวกัน คลิปวิดีโอที่มาและการจัดการระบบการศึกษาในเนเธอร์แลนด์ จากวิธีการของระบบดังกล่าวทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นสนใจที่จะพัฒนาศักยภาพในตัวบุคคลทั้งหมด เพราะว่าในขณะที่นักเรียนเป็นผู้รับ อาจารย์เองก็เป็นตัวกลางที่จะถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียนอย่างมีประสิทธิภาพอีกเช่นเดียวกัน และอิสระที่เท่าเทียมกับการช่วยเหลือกัน…
-
14 เหตุผลดีๆ ที่ทำให้ “ระบบการศึกษาฟินแลนด์” ได้รับยกย่องว่าดีที่สุดในโลก
ถ้าหากให้เดาชื่อของประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องของคุณภาพการศึกษาแล้ว เชื่อว่าชื่อของประเทศฟินแลนด์คงจะผุดขึ้นมาในหัวของหลายๆ คนอย่างแน่นอน เพราะอาจจะเคยได้ยินหรือได้เห็นกันมาบ้างว่าที่นี่นั้นดียังไง… และทางเว็บไซต์ brightside ได้รวบรวม 14 เหตุผลดีๆ ที่จะช่วยยืนยันว่าระบบการศึกษาของฟินแลนด์นั้นยอดเยี่ยมจริงๆ ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นไปชมกันเลย… 1. ทุกๆ อย่างที่นี่ฟรี!! อย่างที่หลายๆ คนเคยทราบกัน การศึกษาของประเทศนี้ฟรี!! และไม่เฉพาะค่าเทอมเท่านั้นแต่ยังรวมถึงค่าบริการต่างๆ อย่างเช่นการไปทัศนศึกษาและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในการเรียนอีกด้วย นอกจากนี้นักเรียนที่อยู่ห่างจากโรงเรียนเกิน 2 กิโลเมตรก็ยังมีรถรับส่งฟรีอีกด้วย โดยในแต่ละปีพวกเขาจะจัดสรรงบประมาณ 12.2% จากงบประมาณทั้งหมดของประเทศเพื่อการศึกษา 2. เด็กๆ สามารถมีอิสระได้แบบที่เขาต้องการ เด็กๆ ทุกคนสามารถเลือกกิจกรรมและการเรียนได้ตามที่พวกเขาสนใจและตามความสามารถของตนเอง นอกจากนี้พวกเขายังมีคุณครูที่จะคอยให้ความรู้และความเข้าใจอย่างใกล้ชิด นั่นหมายความว่าบางวิชาที่ไม่น่าสนใจสำหรับพวกเขา เด็กๆ สามารถเลือกทำกิจกรรมอย่างอื่นได้ อย่างเช่นการอ่านหนังสืออื่นๆ ที่ไม่ใช่ตำรารเรียน หรือการเรียนเย็บผ้าได้ 3. ที่นี่จะไม่มีการตัดเกรดจนกว่าเด็กๆ จะขึ้นป. 3 ระบบการคิดคะแนนผลการเรียนของที่นี่จะมีด้วยกัน 10 คะแนน โดยพวกเขาจะไม่มีการให้เกรดเด็กๆ จนกว่าพวกเขาจะขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และสำหรับการให้คะแนนเกรด ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 1 จะมีเพียงคำว่า “พยายามอีกนิด”…
-
หนุ่มใส่ส้น “รองเท้าสูงปีน” เขาที่โหดที่สุดในอังกฤษ เพื่อพิสูจน์ว่า… ไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้!!
สำหรับนักปีนเขาชาวอังกฤษทั้งหลาย ต่างรู้ดีว่าเทือกเขา ‘Ben Navis’ เป็นหนึ่งในเขาที่ปีนยากและโหดหินที่สุดแห่งเกาะอังกฤษ ทว่าสำหรับ Ben Conway หนุ่มชาวผู้ดีอังกฤษวัย 19 ปีคนนั้น เขาอยากจะทำอะไรที่มันท้าทายมากกว่านั้น เมื่อเจ้าตัวได้ตัดสินใจนำส้นสูงยาว 5 นิ้วมาใส่แทนรองเท้าบู๊ท จากนั้นก็ออกเดินทางปีนเขาเพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าจู่ๆ อยากจะปีนแก้เบื่อหรอกนะ เพราะเจ้าตัวทำไปเพื่อทุนการศึกษา โดยก่อนหน้านี้หนุ่ม Ben Conway ได้ยื่นเรื่องขอทุนการศึกษาจาก School of Communication Arts in Brixton ซึ่งทางสถาบันได้ให้ผู้สมัครยื่นขอทุน ‘ไปทำรายงานอะไรมาก็ได้ที่เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้สมัครตั้งใจอย่างแรงกล้า’ พ่อหนุ่มจึงคิดได้ว่าเจ้าตัวปีนเขามาก็ตั้ง 13 ปีแล้ว คราวนี้เลยขอปีนเขาเพื่อยื่นขอทุนอีกซักรอบเลยล่ะกัน Ben Navis ภูเขาที่อยู่สูงกว่า 1,345 เมตรจากระดับน้ำทะเล “เรื่องของเรื่องคือผมยื่นขอทุนไป ทางสถาบันเค้าบอกให้ไปทำรายงานอะไรก็ได้ที่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เราตั้งใจจริงในชีวิตเรา ผมก็เลยคิดว่า… เอาวะ ไหนๆ ก็ชอบปีนเขาตอนวันหยุดแล้ว เราใส่ส้นสูงปีนเขาอีกซักรอบเลยละกัน” Ben Conway เล่า เจ้าตัวเริ่มออกเดินทางในเช้าวันที่…
-
ภาพพิธีจบการศึกษาจาก “มหาวิทยาลัยเกียวโต” แต่งคอสเพลย์ประชันกันสุดเหวี่ยง!!
ในช่วงวันสองวันที่ผ่านมาอาจจะมีบางคนได้เห็นข่าวคราว เกี่ยวกับกรณีที่มีนักศึกษาสาวใส่ชุดครุยถ่ายแบบ จนทำให้มีชาวเน็ตบางรายไม่พอใจหยิบยกไปวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการถ่ายภาพที่ไม่เหมาะสม หลังจากที่เรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปก็ทำให้ชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นกันไปหลากหลายแบบ บางคนมองว่าเป็นการถ่ายภาพนอกรอบที่ไม่ต้องแต่งตามระเบียบอะไรมาก แต่บางคนก็มองว่ามันคือ “ชุดครุย” จึงควรแต่งตัวให้ถูกระเบียบ ด้วยเหตุนี้เอง#เหมียวฟิ้นก็เลยแอบสงสัยว่าในประเทศอื่นๆ เขาให้ความสำคัญกับเครื่องแต่งกายหรือพิธีการเหมือนกับบ้านเราหรือเปล่า? ล่าสุดเราได้ไปเจอกับภาพที่น่าสนใจจากเว็บไซต์ Sensekyoto.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ในการโปรโมทของมหาวิทยาลัยเกียวโต จากประเทศญี่ปุ่น ชุดภาพที่ว่านี้เป็นภาพถ่ายจากพิธีจบการศึกษาของมหาลัยเกียวโตในปี 2016 ที่เหล่านักศึกษาจะพากันแต่งชุดคอสเพลย์แบบหลุดโลกเพื่อมาประชันกันในวันจบการศึกษา อย่างกับเป็นงานปล่อยของยังไงยังงั้นเลยทีเดียว เจ้าหญิงโมะโนะโนะเกะฮิเมะ มาคนเดียวไม่พอ ต้องมาเป็นบอยแบนด์ กล้วยเหรอ? เอ็กโซเดีย รถบัสแมว สนามกีฬาโอลิมปิก 2020!? สัญลักษณ์โอลิมปิก รายการทีวีในตำนาน แต่งเป็นรถโฟล์คสีเหลือง กอริลล่า หมีพูห์เวอร์ชั่นทุนน้อย เมื่อมาร์เวลและดีซีจับมือกัน ทรัมป์ก็มา พีระมิด ตัวไรหว่า? ฮาชิ? นั่นฮาชิใช่ไหม?…
-
นักเรียนญี่ปุ่นไอเดียแหวก แปลทวิตเตอร์ Donald Trump เพื่อเรียนภาษาอังกฤษและสังคม
การเปลี่ยนผ่านอำนาจจาก Barack Obama มาสู่ Donald Trump ดูจะเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจมาก เพราะทุกๆ การตัดสินใจของสหรัฐจะส่งผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งไปยังประเทศต่างๆ รอบโลก ฉะนั้นนักข่าวและผู้คนทั่วโลกจึงต้องจับตามองทุกๆ ความเคลื่อนไหวของ Trump ว่ากำลังคิดหรือเตรียมจะตัดสินใจเรื่องใดต่อไป โดยเฉพาะทางทวิตเตอร์ @realDonaldTrump ที่เขามักจะทวีตความคิดของตัวเองออกมา แต่คนที่ติดตาม Trump เองใช่ว่าจะมีแต่คอการเมืองเท่านั้น คนที่สนใจเรื่องการศึกษาและภาษาอังกฤษก็ติดตามเขาอยู่เหมือนกันนะ บางคนอาจงงว่าติดตามดูประธานาธิปดีแล้วจะได้การศึกษายังไง? งั้นเรามาดูข่าวนี้กัน เมื่อไม่นานมานี้เราได้ไปเจอเข้ากับทวิตเตอร์ที่ชื่อว่า @DonaldTrumpJPN เป็นทวิตเตอร์ที่จะหยิบเอาข้อความต่างๆ จาก @realDonaldTrump มาแปลจากอังกฤษเป็นญี่ปุ่น เพื่อช่วยให้คนญี่ปุ่นสามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษและเข้าใจสิ่งที่ผู้นำสหรัฐผู้นี้ทวีตออกมานั่นเอง ทวิตเตอร์ @DonaldTrumpJPN ถูกสร้างขึ้นมาด้วยสโลแกนว่า Make English-learning Great Again (ทำให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษกลับมายอดเยี่ยมอีกครั้ง) ซึ่งเป็นการล้อข้อความของ Trump ตอนหาเสียง Make America Great Again (ทำให้อเมริกากลับมายอดเยี่ยมอีกครั้ง) เพราะอย่างที่รู้กันว่าชาวญี่ปุ่นนั้นไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ การสื่อสารส่วนใหญ่จึงมีแต่ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น การสร้างทวิตเตอร์นี้จึงเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ดีทางหนึ่งเลย บัญชีทวิตเตอร์นี้ดำเนินการโดยแอดมินที่ใช้นามแฝงว่า K・T-san วัย 17 ปี เขาจะแปลทุกๆ ข้อความที่ Trump ทวีตออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นเพื่อให้คนเข้าใจ ปัจจุบันทวิตเตอร์ @DonaldTrumpJPN มีผู้ติดตามแล้วกว่า…
-
สรุปให้เข้าใจง่ายๆ 8 ข้อ ร่างกฎหมาย กยศ. ฉบับเก่า vs ใหม่ แตกต่างกันอย่างไร!? กู้ยาก!? ดอกเบี้ยแพง!?
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมีอยู่ของหน่วยงานที่ชื่อ กยศ. (กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา) ทำให้เด็กไทยเป็นแสนเป็นล้านคนสามารถมีทุนการศึกษาเพื่อเล่าเรียนต่อและต่อยอดโอกาสให้กับตัวเอง โดยส่วนตัว#เหมียวฟิ้นเองในช่วงมัธยมก็ได้กู้เพื่อมาเรียนเหมือนกัน แต่คนบางคนเห็นว่ามีดอกเบี้ยที่ต่ำก็เลยเอาเงินไปผ่อนมือถือหรือซื้อของใช้ฟุ่มเฟือยเสียมากกว่า และเมื่อจบการศึกษาไปแล้วกลับไม่ยอมใช้หนี้ กยศ. จนตอนนี้มีรายชื่อผู้ค้างชำระหนี้มากถึง 1.9 ล้านราย ด้วยเหตุนี้เองทางกยศ.จึงได้เตรียมร่างกฎหมายฉบับใหม่ เพื่อทำให้การกู้ยืมเงินเป็นไปได้ยากขึ้นและสร้างกฎเกณฑ์เพื่อให้คนหันกลับมาชำระหนี้หลังจากที่จบการศึกษาไปแล้ว โดยในร่างกฎหมายฉบับเดิมระบุว่าผู้มีสิทธิ์กู้คือนักเรียนและนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่ในร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้จะเพิ่มเงื่อนไขเข้าไปอีก ว่านอกจากจะขาดทุนทรัพย์แล้วจะต้องเป็นนักเรียนนักศึกษาที่เรียนในสาขาที่มีความจำเป็นพ่อประเทศหรือสาขาที่ประเทศกำลังขาดแคลน (ถ้าเรียนตามใจตัวเองก็จะไม่สามารถกู้ได้) และต้องเรียนดีด้วย ต่อไปนี้จะเป็นการเปรียบเทียบเงื่อนไขการกู้ยืมเงินแบบเก่าและแบบใหม่ดูว่ามีความแตกต่างกันยังไงบ้าง!? 1. เรื่องผลการศึกษา แบบเก่า: เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.00 แบบใหม่: เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1.00 จุดนี้จะเห็นได้ว่าเปิดโอกาสให้นักเรียนที่มีผลการเรียนแย่กว่าเดิมสามารถกู้ได้ เหมือนกับการเปิดโอกาส แต่การที่จะมีคนได้เกรด 1.00 หรือ 1.25 แล้วได้เรียนต่อไป (จุดนี้ต้องตั้งคำถามว่ายังมีสถาบันที่เปิดโอกาสให้เรียนต่อไปอีกหรือไม่ เพราะบางสถาบันเกรดต่ำกว่า 1.75 หรือ 2.00 ก็จะถูกบังคับออกแล้ว) 2. ดอกเบี้ย แบบเก่า: ดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี แบบใหม่: ดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากเดิมที่เงินกู้ กยศ.…
-
ฟินแลนด์เริ่มเปลี่ยนหลักสูตรการเรียน โดยนำเอา ‘วิชาพื้นฐาน’ ออกไปจากระดับ ม.ปลาย!?
ระบบการศึกษาของประเทศ Finland นั้นถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในระบบที่ดีที่สุดในโลก จากการจัดระดับของนานาชาติแล้วพวกเขาจะต้องติดอยู่ 1 ใน 10 อันดับแรกเสมอ แต่อย่างไรก็ตาม ทางผู้บริหารก็ยังคงไม่หยุดยั้งที่จะทำการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศตัวเองต่อไป ถึงแม้ว่ามันจะให้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีทุกปีก็ตาม และล่าสุดทางฟินแลนด์ก็เพิ่งจะประกาศออกมาเป็นทางการว่าพวกเขาต้องการที่จะยกเลิกวิชาเรียนหลากหลายวิชาออกจากหลักสูตรการศึกษา จะไม่มีการสอนวิชา ฟิสิกส์, คณิตศาสตร์, วรรณคดี, ประวัติศาสตร์, และภูมิศาสตร์ ในโรงเรียนอีกต่อไป รัฐมนตรีของกระทรวงการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ Marjo Kyllonen ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวว่า “มีโรงเรียนมากมายที่ทำการเรียนการสอนในแบบเก่าๆ ซึ่งมันส่งผลดีอย่างมากใช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่ความต้องการมันเปลี่ยนไปแล้ว และพวกเราต้องการอะไรที่มันใหม่สำหรับศตวรรษที่ 21” แทนที่จะต้องมานั่งเรียนแต่ละวิชาแยกกันไป เหล่านักเรียนทั้งหลายจะได้เรียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ และปรากฏการณ์ต่างๆ ในรูปแบบของสหวิทยาการ ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาเรื่องราวในสงครามโลกครั้งที่สองผ่านมุมมองทางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เป็นต้น ด้วยวิธีการเรียนการสอนแบบ “Working in a Cafe” (อารมณ์แบบนั่งเรียนในร้านกาแฟ) จะช่วยให้นักเรียนนั้นสามารถดูดซับความรู้ทั้งหมดไปในคราวเดียว นอกจากนี้ยังมีการฝึกภาษาอังกฤษ วิชาเศรษฐศาสตร์ และ สกิลการสื่อสารกับผู้อื่น ในบทเรียนด้วย …
-
และนี่คือ 5 สาเหตุที่ว่า ทำไมการศึกษาของ ‘ประเทศฟินแลนด์’ อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก!!
ประเทศฟินแลนด์ เป็นประเทศเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในยุโรปตอนบน มีประชากรประมาณ 5 ล้านคน หลายๆ คนอาจจะยังไม่เคยรู้ว่า ที่นี่เป็นประเทศที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “นักเรียนที่มีคุณภาพที่สุดในโลก” ประเมินจากนักเรียนที่จบการศึกษาภาคบังคับของนักเรียนจำนวน 65 ประเทศ และอะไรกันที่ทำให้การศึกษาของพวกเขาดีเยี่ยมขนาดนั้น เราลองไปชมพร้อมๆ กันเลยดีกว่า… 1. ช่วงเวลาก่อนเข้าเรียน เด็กๆ ที่ฟินแลนด์นั้น จะเข้าโรงเรียนเมื่ออายุ 6-7 ปี และก่อนหน้านั้นก็จะให้เด็กได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวอย่างเต็มที่พ่อแม่จะเป็นคนดูแลเด็กๆ เอง ทั้งให้ความรู้ เป็นเพื่อนเล่น และความรัก เพราะเขาเชื่อว่าทั้งความรู้และความรักนั้นต่างก็สำคัญสำหรับเด็กในช่วงวัยนี้ ถ้าเทียบกับบ้านเรานั้นเด็กในช่วงวัยนี้จะต้องเข้าโรงเรียนชั้นอนุบาล (ตั้งแต่ 3 ขวบ ถึง 6 ขวบ) และที่โรงเรียนก็จะมีการสอนให้อยู่ร่วมกันกับเด็กคนอื่นๆ และห้ามไม่ให้พ่อแม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเรียนการสอนแต่อย่างใด เด็กจะมีโอกาสเจอพ่อแม่ก็ต่อเมื่อหลังเลิกเรียนเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามที่ประเทศฟินแลนด์นั้นก็มีโรงเรียนที่คล้ายอนุบาลเหมือนกันนะ ไว้สำหรับพ่อแม่ที่ต้องออกไปทำงาน โดยสถานที่นี้เรียกว่า Daycare ที่จะเป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็ก มีคนคอยดูแลพร้อมกับสนามเด็กเล่นให้เล่นทั้งวัน และเท่านั้นยังไม่พอที่ Daycare ยังอนุญาตให้ผู้ปกครองเข้าไปเป็นเพื่อนเล่นได้ตลอดเวลาด้วย 2. เปิดโอกาสให้เด็กๆ ทำในสิ่งที่สนใจ เด็กๆ…
-
กระทรวงศึกษาฯ สิงคโปร์ ปล่อยคลิปเตือนใจ “การเรียนรู้ อาจจะสำคัญกว่าเกรด” !??
เชื่อว่าในช่วงวัยเรียนของใครหลายๆคน ต่างก็ต้องเคยบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า “จะสอบไปทำไม ครับ/ค่ะ ครู คะแนนไม่ได้ช่วยวัดทุกอย่างของชีวิตนะ” และปัญหานี้ไม่ได้มีแค่เฉพาะในบ้านเราเท่านั้น ที่เด็กนักเรียนจะมุ่งเน้นแข่งขันกันเอาตัวเลขในใบเกรดเฉลี่ยให้ได้สูงที่สุด แต่ปัญหานี้เกิดขึ้นกับประเทศสิงคโปร์ ด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง ทางกระทรวงศึกษาธิการ ของสิงคโปร์ ปิ๊งไอเดีย ทำโฆษณาชุดหนึ่งเพื่อเตือนสติเหล่านักเรียนทั้งหลาย ให้ได้รู้ว่าบางครั้ง… เกรดและคะแนนตัวเลขนั้น มันไม่สำคัญเท่ากับ การได้เรียนรู้และฝึกฝนพัฒนาตนเอง โฆษณาชุดนี้ ก็ได้เค้าโครงมาจากเรื่องจริงทั้งหมด เป็นเรื่องราวระหว่างนักเรียนหญิงที่ชื่อว่าเชอหลี และคุณครูมาดามปัว ในตอนแรกนั้นเชอหลี เป็นเด็กนักเรียนที่หัวช้า เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างก็ช้ากว่าเพื่อนๆ แถมเวลาทำข้อสอบทีไร คะแนนของเธอก็ตกชั้นทุกที ไม่ว่าเธอจะพยายามเท่าไหร่ สุดท้ายผลที่ได้ มันก็ไม่ได้เป็นดั่งที่เธอหวัง.. และด้วยความรักที่มีต่อนักเรียน ของมาดามปัว เธอก็ได้ทราบถึงความเสียใจของเชอหลี มาดามปัวจึงตัดสินใจที่จะจัดเวลาว่าง ช่วยสอนทักษะภาษาอังกฤษเพิ่มให้เชอหลี เธอก็ได้ฝึกฝนที่จะเรียนรู้ และพัฒนาทักษะด้วยตนเองมาโดยตลอด จวบจนถึงวันที่เธอสามารถใช้ภาษาอังกฤษตอบโต้ได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน… จนมาถึงวันสอบ วันที่นักเรียนหลายคนเฝ้ารอ แม้ว่าสุดท้าย เชอหลี จะสอบตก เธอรู้สึกผิดหวังกับความพยายามที่ผ่านมา ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคะแนนเธอถึงไม่ผ่านครึ่ง… แต่นั่นไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกอย่าง เพราะสิ่งที่มีค่ามากที่สุด คือคำพูดของคุณครูที่ได้ฝากให้ไว้กับ…
-
ฮ่าฮ่า!! บัณฑิตหนุ่มติดธุระต่างประเทศ แต่อยากถ่ายภาพ เพื่อนๆ เลยปริ้นภาพมาถ่ายด้วยเลย…
นี่คือภาพที่มีการแชร์มากที่สุดในตอนนี้เลย สำหรับภาพของบัณฑิตหนุ่มรายหนึ่ง ที่ไม่สามารถมาถ่ายรูปกับคนอื่นๆ ได้ เพื่อนของเขาก็เลยแก้ปัญหาด้วยการปริ้นรูปขนาดเท่าตัวจริงมาถ่ายภาพในวันซ้อมรับปริญญาสะเลย… ภาพนี้ถูกเผยแพร่ผ่านผู้ใช้เฟซบุ๊กของคุณ Panuphong Rordlerdrhai (คุณเต้) ซึ่งเป็นช่างภาพให้กับบัณฑิตหนุ่ม #เหมียวฟิ้นได้มีโอกาสการพูดคุยและสอบถามถึงได้ทราบว่า หนุ่มในรูปคนนี้มีชื่อว่าคุณมุนิศ (เพื่อนๆ ชอบเรียกว่า ‘ดุก‘) คุณมุนิศมีกำหนดการที่จะต้องมาถ่ายภาพซ้อมรับปริญญาในวันที่ 29 และ 31 ที่มหาวิทยาลัยมหิดล แต่เนื่องจากเจ้าตัวติดภารกิจทางศาสนาที่ต้องไปร่วมพิธีฮัจญ์ ในนครมักกะหฺ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ว่ากันว่าใครก็ตามที่นับถือศาสนามุสลิม และมีความพร้อมในด้านต่างๆ จะต้องเดินทางไปร่วมพิธีให้ได้สักครั้งในชีวิต ด้วยเหตุนี้เองคุณเต้จึงนำภาพของคุณมุนิศมาปริ้นให้ได้ขนาดเท่าๆ กับตัวจริง แล้วนำไปวางถ่ายภาพตามจุดต่างๆ ขอบอกว่าครีเอทมากทีเดียว . . . . . . . . . . ยังไงแล้ว#เหมียวฟิ้นขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตด้วยนะ แม้จะไม่ได้ไปร่วมถ่ายภาพกับเพื่อนๆ แต่ก็ยังมีความทรงจำฮาๆ เก็บไว้เล่าให้ลูกให้หลานฟังได้นะ ที่มา Panuphong Rordlerdrhai
-
ผลวิจัยต่างประเทศ ‘การเล่นเกมออนไลน์’ ช่วยพัฒนาการเรียน – ดีกว่าอยู่กับโซเชียลเน็ตเวิร์ก
หลายคนอาจจะคิดว่า ผู้หลักผู้ใหญ่บางคน มักมีชุดความคิดเกี่ยวกับเกมในด้านลบๆ อยู่หน่อย ยิ่งเป็นเกมออนไลน์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันคือสิ่งมอมเมาเยาวชนโดยแท้จริง แต่#เหมียวฟิ้นจะบอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไปนะ เพราะมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งในต่างประเทศบอกว่าการเล่นเกมออนไลน์นี่แหละ ช่วยให้เราเรียนได้ดีขึ้น!? รองศาสตราจารย์ Alberto Posso จากโรงเรียนเศรษฐศาสตร์ การเงินและการตลาดในออสเตรเลีย ได้ใช้โปรแกรมสำหรับการประเมินผลนักเรียนในระดับนานาชาติเพื่อประเมินเด็กออสเตรเลียวัย 15 ปี กว่า 12,000 คน ที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ การอ่านและวิทยาศาสตร์ ศาสตราจารย์ Posso กล่าวว่าวิดีโอเกมสามารถช่วยให้นักเรียนฝึกฝนความสามารถในการเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้ “นักเรียนที่เล่นเกมออนไลน์สม่ำเสมอ ทำคะแนนเฉลี่ยได้ 15 คะแนนในวิชาคณิตศาสตร์ และ 17 คะแนนสำหนับวิชาวิทยาศาตร์” “เมื่อคุณเล่นเกมออนไลน์ คุณจะได้แก้ปัญหาปริศนาอยู่บ่อยๆ นั่นนำคุณไปสู่การพัฒนาการใช้ความรู้ทั่วไป และความสามารถในคณิตศาสตร์ การอ่านและวิทยาศาสตร์ที่คุณได้รับการสอนโดยคุณครูที่โรงเรียน ครูในโรงเรียนควรพิจารณาการผสมผสานวิดีโอเกมดังๆ เข้าไปในการเรียนการสอน ตราบเท่าที่มันไม่ได้มีความรุนแรงอยู่ในเกมนั้นด้วย” ในทางกลับกัน ศาสตราจารย์ Posso บอกว่าวัยรุ่นที่ติด Facebook หรือโปรแกรมแชททุกวันๆ จะทำคะแนนในวิชาคณิตศาสตร์ได้น้อยกว่านักเรียนที่ไม่ติดสื่อสังคมออนไลน์ใดๆ เลยถึง 20 คะแนน ทั้งหมดนี้อาจบ่งชี้ว่าพวกเขามีปัญหาในการคิดคำนวน…
-
5 เหตุผลดีๆ ว่าทำไม ‘ระบบการศึกษาญี่ปุ่น’ จึงถูกยกย่องว่าเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย
ประเทศญี่ปุ่น เป็นอีกตัวอย่างของประเทศที่หลังจากเกิดวิกฤตหลังสงครามโลกแล้ว พวกเขาก็เอาแต่เก็บตัวพัฒนาประเทศชาติมาโดยตลอด จนกลายเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก นอกเหนือจากสิ่งประดิษฐ์เทคโนโลยีสุดล้ำแล้ว ที่นี่ยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ประชากรมีระเบียบกันสุดๆ และสิ่งคัญที่จะปลูกฝังคนในประเทศให้ดีได้นั่นก็คือ การศึกษา เราไปทำความเข้าใจกันเลยดีกว่า กับ 5 เหตุผล ที่ทำให้ประเทศนี้ก้าวกระโดดไปไกลสุดๆ 1. คุณลักษณะที่ดีต้องมาก่อนความรู้ ระบบการศึกษาในญี่ปุ่นจะไม่มีการจัดสอบใดๆ ทั้งสิ้น จนกว่าจะถึงชั้นเกรด 4 (อายุประมาณ 10 ขวบ) เพราะเขาเชื่อว่า ช่วง 3 ปีแรก ยังไม่ควรมอบความรู้อันหนักอึ้งให้แก่เด็กๆ แต่เน้นไปที่การสอนให้เด็กรู้จักเคารพผู้อื่น มีความเป็นมิตรที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม การรู้จักรับผิดชอบตัวเองด้วยเรื่องเล็กๆ และยังสอนให้รู้จักกับความยุติธรรมอีกด้วย 2. โรงเรียนในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่มีภารโรงหรือผู้ดูแล!! เพราะนักเรียนทุกคนจะต้องช่วยกันทำความสะอาด ห้องเรียน โรงอาหาร หรือแม้แต่ห้องน้ำ โดยการสลับกันแบ่งกลุ่มออกไปทำ ด้วยแนวคิดที่เชื่อว่าจะสามารถช่วยสอนให้นักเรียนรู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่น และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรียกได้ว่าได้เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบกันตั้งแต่เล็กเลยทีเดียว 3. นักเรียนทุกคนจะได้รับประทานอาหารมื้อเที่ยง พร้อมกันในห้องเรียนของตัวเอง นอกจากรัฐบาลจะเล็งเห็นความสำคัญด้านสุขภาพ ด้วยการจัดแจงอาหารมื้อเที่ยงให้ครบ 5 หมู่สำหรับเด็กๆแล้ว นักเรียนทุกคนจะได้รับประทานร่วมกันในห้องเรียน พร้อมทั้งคุณครูประจำชั้นด้วย และนี่คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ นักเรียน…
-
ติดตามชีวิต 3 หนุ่มน้อยใน Eton College สุภาพบุรุษโรงเรียนชายล้วน ที่หรูสุดในอังกฤษ!!
เมื่อไม่นานมานี้ #เหมียวเลเซอร์ ได้หยิบยกภาพบรรยากาศภายในโรงเรียนชายล้วนที่ดีที่สุดจากประเทศอังกฤษมาให้ชมกัน นั่นก็คือ Eton College หรือวิทยาลัยอีตัน (คลิกชมที่ลิงค์นี้) และจากที่ได้เปรยไปว่าสถาบันการศึกษาแห่งนี้ดูดีมากจนน่าเหลือเชื่อ จะเห็นได้จากบุคลิกการแต่งกายของเหล่านักเรียนนั้นมีความเป็นผู้ดีสุดๆ แล้วบรรยากาศการเรียนข้างในนั้นจริงๆ จะดีอย่างที่เราคิดกันหรือไม่ ถ้าอยากรู้แล้วล่ะก็ มาติดตามกันได้เลย ทางสถานีโทรทัศน์ BBC ได้จัดทำรายการที่ติดตามชีวิตของนักเรียนในแต่ละสถาบันของอังกฤษในซีรีส์ My Life ติดตามชีวิตนักเรียนในสถาบันต่างๆ ซึ่งในคราวนี้จะเป็นของวิทยาลัยอีตัน โดยมีหนุ่มวัยมัธยมต้น 3 คนที่ได้รับทุนเข้ามาศึกษาในรั้วอีตันแห่งนี้ หนุ่มน้อยทั้งสามของเรามีชื่อว่า Fara, James และ Theo ได้รับทุนเข้าเรียนในระดับ Year 9 หรือเท่าเทียบ ม.3 ในบ้านเรา Fara เองได้เล่าไว้ว่าการได้เข้าเรียนที่นี่คือความใฝ่ฝันของแม่ เพราะอยากจะให้ลูกได้เข้าเรียนสถาบันที่ดีที่สุดในประเทศ และเขาก็สามารถสอบชิงทุนตามที่แม่หวังเอาไว้ได้ James นั้นมีเชื้อสายจีน โดยพ่อแม่ย้ายมาอยู่ที่อังกฤษ การสอบทุนนั้นเกิดขึ้นด้วยความเบื่อของ James เอง ลองทำการสมัครชิงทุน และแล้วก็สอบผ่านมาได้ ซึ่งถ้าหากไม่ได้ทุนนี้มา เขาก็คงไม่ได้เรียนที่นี่ เพราะค่าเทอมแพงมาก…
-
ถึงกับเงิบ!! คุณครูสั่งการบ้านให้เด็กสะกดคำว่า ‘xี’ พร้อมบอกผู้ปกครอง “อย่าคิดมาก”
แม้ว่า#เหมียวฟิ้นจะผ่านวัยเรียนมาได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังคงสนใจการเรียนการสอนของเด็กๆ สมัยนี้นะ เพราะต้องคอยช่วยดูการบ้านให้กับเด็กๆ หรือหลานๆ ที่บ้านเป็นครั้งคราว แต่ต้องยอมรับเลยว่าการบ้านแบบที่คุณกำลังจะได้เห็นต่อไปนี้ อาจจะทำให้คุณเงิบเลยก็ได้… เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปที่ใช้นามแฝงว่าคุณ บราวนี่รสเสน่หา ได้เข้ามาตั้งกระทู้เกี่ยวกับการบ้านวิชาภาษาไทยของหลานที่อยู่ชั้น ป.1 ซึ่งการบ้านนั้นเป็นการให้เด็กๆ แจกลูกสะกดคำของสระอี แต่เมื่อเจอโจทย์ข้อหนึ่งเธอก็ถึงกับเงิบเลยทีเดียว เพราะมีคำไม่สุภาพอยู่ในโจทย์ด้วย!? เธอจึงสงสัยว่าคำๆ นี้เป็นคำที่เกิดจากการพิมพ์ผิดหรือตั้งใจกันแน่เพราะเป็นคำที่หยาบคายเกินกว่าจะสอนเด็กประถมได้ ต่อมาคุณครูได้ให้คำตอบกับเธอว่า “คุณป้าอย่าคิดมาก ทุกวันนี้คำนี้ไม่ใช่คำไม่สุภาพแล้วนะคะ เราควรสอนให้เด็กรู้จักคำนี้ไปเลยค่ะ พวกครูภาษาไทยที่บอกว่าไม่เหมาะสมนั้นเป็นพวกหัวโบราณหรือเปล่าคะ คุณป้าอย่าคิดแทนเด็กเลยค่ะ พวกเขาไม่คิดอะไรหรอกค่ะ” หลังจากที่กระทู้นี้เริ่มได้รับความสนใจจากชาวเน็ตในวงกว้าง ก็เริ่มมีสมาชิกคนอื่นๆ เข้ามาให้ความเห็นว่าคำดังกล่าวเป็นคำที่ค่อนข้างหยาบคาย ไม่ควรมาอยู่ในบทเรียน และแม้ว่าจะไม่ได้มีการเรียนการสอนคำนี้แต่ในอนาคตพวกเขาก็จะสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว ตัวอย่างคอมเม้นท์จากชาวเน็ตที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นดังกล่าว… คุณ ผู้หญิงเลือดเย็น “ดิฉันเองก็เป็นครูภาษาไทย(หัวโบราณตามที่ถูกแขวะ) เพราะจะขอยืนยันว่า คำนี้มันไม่ใช่คำที่สุภาพ” “ควรอธิบายและทำความเข้าใจกับเขา แต่มันไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ให้เป็นจุดเด่น การบอกว่าไม่เหมาะที่ครูจะเลือกมาใช้ในใบงานไม่ใช่ปิดกั้นไม่ให้เด็กรู้จักนะคะ” “#มีบางความเห็นบอกว่าคำนี้ไม่มีความหมาย ไม่มีพจนานุกรมเล่มไหนให้ความหมายมัน ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานเล่มปัจจุบัน ให้ความหมายคำว่า ห..อี.. ว่า น.อวัยวะสืบพันธุ์ของหญิงหรือสัตว์เพศเมียบางชนิด” . คุณ พิมพ์นรา “คือ…คำอื่นที่เหมาะสม…
-
เจ๋งโพดๆ!! ‘เด็กประถม’ ร่วมกันประกอบดาวเทียม ‘CubeSat’ และปล่อยขึ้นสู่วงโคจรได้สำเร็จ
เหล่าเด็กทั้งหลายนั้นมีความสามารถที่น่าทึ่งจนผู้ใหญ่บางคนถึงกับต้องตะลึงเลยทีเดียวล่ะ เพราะตอนนี้ได้มีการปล่อยดาวเทียมดวงแรกที่ออกแบบและสร้างเองโดยเด็กประถม ขึ้นสู่วงโคจรแล้ว!! เด็กนักเรียนชั้นประถมจากโรงเรียน St. Thomas More Cathedral ในรัฐ Virginia ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประสบความสำเร็จในการเป็นเด็กประถมแห่งแรกของโลกที่สามารถช่วยกันประกอบและส่งดาวเทียมได้สำเร็จ เจ้าดาวเทียม ‘CubeSat’ ออกแบบและสร้างเองโดยฝีมือของพวกเขาถูกปล่อยขึ้นสู่วงโคจรที่ระดับ 400 กิโลเมตรเหนือพื้นโลก เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งโครงการนี้เด็กๆ ทั้งหลายได้รับการสนับสนุนจากองค์การ NASA ให้ความช่วยเหลือด้วยการส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยแนะนำในเรื่องของการออกแบบและประกอบดาวเทียมด้วย โดยหลังจากที่ประกอบเสร็จก็ได้รับอนุญาตให้ส่งดาวเทียมจากสถานีอวกาศนานาชาติ เพื่อทำภารกิจเป็นดาวเทียมถ่ายภาพต่อไป… หลังจากนี้เด็กๆก็จะได้ร่วมเฝ้าติดตามตำแหน่งของเจ้า ‘CubeSat’ ที่จะทำหน้าที่ถ่ายภาพพื้นโลกส่งกลับมาทุก 30 วินาที โครงการนี้ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 4 ปี และก็ออกมาเป็นผลสำเร็จอย่างงดงาม ลองไปชมคลิปจาก BBC ที่ข้างล่างนี้ได้เลย… ดาวเทียมดวงแรกของโลกที่เด็กประถมออกแบบและสร้างเอง ขึ้นสู่วงโคจรแล้ว เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาของโรงเรียนเซ็นต์ ธอมัส มอร์ คาธีดรัล ในรัฐเวอร์จิเนียของสหรัฐฯ ร่วมกันฉลองความสำเร็จที่ดาวเทียม “คิวบ์แซท” (CubeSat) ซึ่งพวกเขาออกแบบและสร้างขึ้นเอง ถูกปล่อยขึ้นสู่วงโคจรที่ระดับ 400 กิโลเมตรเหนือพื้นโลกได้สำเร็จแล้ว โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากองค์การนาซา ซึ่งส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยแนะนำนักเรียนในการออกแบบและประกอบดาวเทียม…
-
ผลการศึกษาบอกว่า… เหล่าคน 10 ประเภทดังต่อไปนี้นี้ มักจะมีนิสัย ‘ชอบนอกใจ’ มากที่สุด!?
ในปัจจุบันมีงานวิจัยและการศึกษามากมายที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมขิงมนุษย์ โดยใช้วิธีการศึกษาด้วยการเก็บสถิติและสังเกตุการณ์ การศึกษานั้นครอบคลุมไปทั้งเรื่องของความรัก การใช้เงิน หรือแม้แต่การนอกใจ วันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปดูผลการศึกษาเกี่ยวกับคนที่มีแนวโน้มที่จะนอกใจมากที่สุด จะมีอะไรบ้างนั้นลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้าา… 1. คนที่เคยนอกใจมาก่อน (อ่ะแหนะ) จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย University of Alabama ในประเทศอังกฤษได้ผลลัพธ์ว่าคนที่เคยมีประวัติการนอกใจมาก่อนมักจะทำซ้ำอีกเป็นครั้งที่สองหรือสามสี่ หรือทำไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นรู้สินะว่าถ้าจับได้ครั้งแรกควรทำยังไง!?? 2. แฟนเพลง Rock-N-Roll เว็บไซต์อื่นๆ มากมายได้สรุปผลการศึกษาอย่างไม่เป็นทางการออกมาว่า 41% ของคนที่นอกใจมักจะเป็นแฟนเพลง Rock-N-Roll ส่วนแฟนเพลง Rap เป็นกลุ่มคนที่ซื่อสัตย์ที่สุด 3. คนที่มีอาชีพครู-ติวเตอร์ ถึงจะฟังดูแปลก แต่ก็มีการศึกษาออกมาจริงจากเว็บไซต์หาคู่ชื่อดังอย่าง Ashley Madison ได้ผลการศึกษาออกมาว่าคุณครู (โดยเฉพาะครูผู้หญิง) มีโอกาสที่จะนอกใจคู่รักมากกว่า 4. มีเงินเยอะ ชายที่ร่ำรวยมักจะมีแนวโน้มที่จะนอกใจมากกว่าปกติ 5. ผู้หญิงยากจน ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงยากจนมีโอกาสที่จะนอกใจคู่รักของตัวเอง นักชีววิทยาวิวัฒนาการชี้ว่ามันเกี่ยวข้องกับระบบพันธุกรรม และโอกาสในการก้าวหน้าทางสถานะทางการเงิน 6. ชาวฝรั่งเศส แบรนด์ของเล่นเซ็กส์ทอยชื่อดังอย่าง LELO ชี้ให้เห็นถึงผลการศึกษาว่า 75% ของชาวฝรั่งเศสยอมรับว่านอกใจคู่รักของตนเอง …
-
ครูโหด!! ทำร้ายเด็ก 6 ขวบจนตาเขียว เพียงเพราะว่าสะกดคำผิดเท่านั้น!?
การเป็นคุณครู นอกจากจะมีความรู้แล้วยังต้องมีจิตวิทยาคอยดูแลและรับมือกับเด็กๆ ในรูปแบบต่างๆ ด้วยนะ เพราะหากคุณครูไม่มีจิตวิทยาและเอาแต่สอนอย่างเดียว อาจจะทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดเวลาที่เด็กๆ ทำไม่ได้อย่างที่คุณครูต้องการก็เป็นได้ เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา เว็บไซต์ Dailymail ได้รายงานว่า เด็กหญิงวัย 6 ขวบ จากเขต Bat Xat ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ถูกคุณครูตีเข้าที่ใบหน้าจนมีรอยฟกช้ำน่ากลัว เพียงเพราะเธอสะกดคำผิดเท่านั้น!? ตามรายงานบอกว่าคุณครูผู้ก่อเหตุดังกล่าวมีชื่อว่า Tran Thi Thu Tra เธอรู้สึกโกรธเกรี้ยวมาก เมื่อเห็นว่าเด็กนักเรียนตัวน้อยไม่สามารถสะกดคำที่ถูกต้องได้ แต่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นาน แต่แทนที่เธอจะช่วยบอกคำที่ถูกต้อง เธอกลับตีเด็กคนนั้นเข้าที่ใบหน้าด้วยไม้บรรทัด จนทำให้มีรอยดำที่ใต้ดวงตาของเธอ ทางด้านแม่ของเด็กหญิงเองก็ไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เธอบอกว่า “เพื่อนของลูกสาวสองคนช่วยกันพาเธอมาส่งที่บ้าน เธอดูเจ็บปวดมาก หน้าของเธอบวมและมีรอยฟกช้ำใกล้กับดวงตา เธอเสียใจและหวาดกลัวมาก” ทั้งนี้ไม่มีรายงานว่าหลังจากนี้คุณครูจะได้รับโทษทางวินัยหรือให้ออกจากราชการงานหรือไม่ แต่ทางด้านโฆษกของสำนักงานการศึกษาของเขต Bat Xat ก็ได้ออกมาบอกว่าจะต้องมีการหารือและปรับปรุงเกี่ยวกับความรุนแรงในโรงเรียนอย่างแน่นอน ที่มา dailymail
-
จะไปอยู่ไหนดี!? มหาลัยชื่อดังไล่นักศึกษาออกจากหอ เพราะจะมีนักศึกษาจากที่อื่นมาพักชั่วคราว!?
เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยผ่านประสบการณ์การเข้าพักในหอพักนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ (เรียกง่ายๆ ว่าหอใน) ซึ่งโดยหลักสากลทั่วไปแล้ว การที่เราเขาอยู่ในห้องพักห้องนั้นก็จะถือเป็นห้องของเราจนกว่าที่เราจะย้ายข้าวของออกไปใช่ไหมล่ะ แต่สำหรับหอพักบางแห่งแล้ว คุณอาจจะถูกเชิญออกกลางคันก็เป็นได้นะ… เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ภาพผ่านผู้ใช้เฟซบุ๊ก Toto Evnom เป็นภาพกระดาษข้อความจากหอในของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ที่ขอให้น้องๆ นักศึกษาเก็บข้าวของออกจากหอพักภายในวันที่ 1 เมษายนนี้ เพราะวันที่ 4-5 เมษายนจะมีนักศึกษาจาก 2 มหาาวิทยาลัยเข้ามาพักชั่วคราว พร้อมกันนี้ยังมีข้อความด้วยว่า “มาอีกแล้วปัญหาหอพักใน แล้วน้องๆ ผมเขาจะไปอยู่ไหนครับ ถ้าการอยู่หอในมันจะยุ่งยากไปซะทุกเรื่อง ก็ไม่ต้องบังคับกันอยู่หรอกต่อไป เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียแล้ว ยังไม่เห็นว่าโครงการนี้จะเวิร์คเลย” “หลายคนยอมจ่ายค่าหอใน แล้วออกไปเช่าห้องข้างนอกอยู่ สบายใจดี #จุ๊ๆๆเรื่องจริงที่หลายคนยังไม่รู้ หอพักในบางห้องเตียงยังไม่มีเลย #หอพักนานาชาติดีกว่าหอพักนักศึกษาไทยประมาณ200ปี” เจอเข้าไปแบบนี้ เป็น#เหมียวฟิ้นคงมึนตึ๊บเลย เพราะไม่รู้ว่าจะไปอยู่ไหนดีในระหว่าง 2 วันที่ถูกไล่ออกจากหอ ที่มา Toto Evnom
-
นักศึกษาเขียนขอคะแนนผ่านกระดาษคำตอบ เจออาจารย์ติง “ปริญญาที่ได้ไปจะมีค่าเหรอ”
#เหมียวฟิ้นเชื่อว่าในสมัยเรียน หลายๆ คนต้องเคยผ่านการสอบที่ยากโหดหินจนต้องร้องขอชีวิตมาแล้วแน่ๆ บางคนเตรียมตัวมาดี อ่านหนังสือทำการบ้านก็ทำได้สบายๆ แต่บางคนที่อ่านแล้วแต่ไม่ค่อยเข้าหัว หรือความจำสั้น ก็อาจจะยากหน่อย เผลอๆ มีแอบเขียนขอคะแนนกันโต้งๆ แบบนี้เลยก็มีนะ เมื่อช่วงดึกของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ภาพกระดาษข้อสอบแผ่นหนึ่งผ่านผู้ใช้เฟซบุ๊ก Sittiporn Pattaradilokrat อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง โดยในกระดาษข้อสอบมีข้อความเขียนว่า “หนูทำไม่ได้ค่า ขอความกรุณาหน่อยนะคะ หนูปี 3 แล้ว หนูอยากฝึกงานปีหน้าค่ะ” หลังจากที่ได้เห็นข้อความดังกล่าว อ.สิธิพรก็ได้นำเอามาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ เพื่อเป็นแบบอย่างแก่นักเรียนนักศึกษาคนอื่นๆ โดยบอกว่า “ถ้าเกรดที่ได้มาจากการ ‘ขอเกรด’ แทนที่จะเป็นความรู้ ปริญญาที่น้องจะได้รับพระราชทานจะมีค่าหรือ” พร้อมกันนี้ยังบอกกับชาวเน็ตอีกว่าการที่ตนเองนำข้อสอบนี้มาเปิดเผยให้ทุกๆ คนได้เห็นกัน ไม่ใช่เพื่อเป็นการประจาน แต่เพื่อให้เห็นว่าการกระทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง เพราะหากนักศึกษาจบออกไปแล้ว จะถูกสังคมตัดสินด้วยตัวเอง ทางด้านชาวเน็ตที่ได้เห็นข้อความดังกล่าวก็พากันแสดงความคิดเห็นในเชิงตำหนินักศึกษารายนี้กันยกใหญ่ อีกทั้งยังมีอาจารย์บางท่านแนะนำเข้ามาอีกว่าให้บอกแแก่นักศึกษาไปตรงๆ เลยว่าควรตั้งใจเรียนดีกว่า . อ่านโพสต์เต็มๆ ได้ที่นี่เลย ขอฝากเรื่องนี้ไว้กับน้องๆ นักศึกษารุ่นใหม่ด้วยก็แล้วกันนะ อยู่ในห้องตั้งใจเรียนถ้าทำได้นั่นคือความรู้ที่เรามี…
-
มันเจ็บจี๊ดดด!! เหมียวรวม 20 ประโยคเจ็บๆ ที่นักเรียน ม.6 ได้ยินแล้วเหนื่อยใจเป็นที่สุด!!
ในช่วงนี้#เหมียวฟิ้นคิดว่าโรงเรียนหลายๆ แห่งก็ใกล้จะปิดเทอมแล้ว (หรือบางที่ก็เริ่มปิดกันแล้ว) แต่คงจะไม่มีใครหนักใจเท่ากับเด็กๆ ชั้มม.6 อีกแล้วล่ะ เพราะว่าต้องพยายามสอบและหาที่เรียนใหม่ ซึ่งถ้ามองจากมุมของเด็กๆ นี่ก็ถือเป็นอีกจุดเปลี่ยนหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ และวันนี้เองเหมียวก็ได้จับเอาเด็กๆ ม.ปลายบางคนมานั่งสัมภาษณ์ถึงความห่อเหี่ยว ความเครียด ที่ตัวเองนั้นยังสอบที่ไหนไม่ได้เลย มาคุยกันว่าพวกเขาเบื่อประโยคแบบไหนมากที่สุด หากคุณมีลูกๆ หรือหลานๆ อย่าไปพูดแบบนี้ให้พวกเขาได้ยินเด็ดขาดนะ 1. “แกๆ มีที่เรียนยัง” (อยากตอบคำถามนี้ได้เหลือเกิน) 2. “เข้าคณะนี้จะดีเหรอลูก?” (ดีซิแม่ ถ้าไม่ดีเขาจะเปิดสอนทำไมล่ะ ^^!) 3. “ยังไม่เลือกมหาลัย…อีกเหรอ” (ค่อยๆ ดูไปได้ไหมอะ) 4. “คะแนนแค่นี้จะเอาอะไรไปสู้กับเขา” (น้ำตาจะไหล) 5. “เรียนคณะนี้จบไปจะทำงานอะไร” (ทำงานได้หลายอย่างเลย บางทีเรียนคณะนี้ไม่ต้องไปทำงานตรงสายก็ได้นะ) 6. “รอยื่นแอดมิชชันถ้าไม่ได้จะทำยังไง ทำไมไม่เอาสอบตรงหรือสอบโควต้า” (บางทีมันได้คณะที่ไม่อยากเรียนอะ) 7. “ติดที่ไหนยัง” (ยังไม่ติดสักที่เลยจ้าาาา) 8. “พ่อ/แม่ว่า เรียนคณะนี้ดีกว่านะลูก”…
-
สัมภาษณ์วัยรุ่นเกาหลีใต้กับคำว่า ‘นรกโชซอน’ น้อยคนนักที่อยากจะอยู่ในประเทศของตัวเอง!!
ประเทศที่มีภาพลักษณ์ดีในแถบเอเชียที่ไม่แพ้ญี่ปุ่นเลยก็คือประเทศเกาหลีใต้ ที่ทำให้คนรู้จักไปทั่วผ่านสื่อทั้งเพลงจากเกิร์ลกรุ๊ปและบอยแบนด์ ดาราคนดังในซีรีย์ และอื่นๆ อีกมากมาย จนทำให้มีภาพลักษณ์ที่ดูดีมากจนชาวต่างชาติอยากจะไปเที่ยว ไปเยือน หรืออยากจะอาศัยอยู่ที่นี่กันเลยทีเดียว!! แต่ทว่าลองมาฟังความคิดเห็นของบุคคลที่อาศัยอยู่ในประเทศกันบ้างดีกว่า โดยรายการ Asian Boss ได้ออกไปทำการสัมภาษณ์บรรดากลุ่มวัยรุ่นกับคำนิยามของ ‘นรกโชซอน’ ว่าเคยได้ยินหรือรู้จักกับคำนี้บ้างหรือไม่? (Hell Joseon – Hell Korea โชซอนคือชื่อเดิมของเกาหลี) สำหรับต่างประเทศอาจจะไม่อยากเชื่อว่าคำนี้เป็นคำที่คนในประเทศเกาหลี ไว้ใช้นิยามบ้านเกิดเมืองนอนของตนเปรียบเหมือนดั่งนรกและล้าหลังด้วยระบบศักดินาต่างๆ ซึ่งทำให้ดูสิ้นหวังกับการที่จะใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ แล้วคำนี้เกิดมาจากอะไร? ก็เป็นเพราะว่าวัยรุ่นที่ให้สัมภาษณ์หลายคนต่างบอกว่าพวกเขาจะต้องเจอกับความกดดันที่เยอะมาก จากทั้งครอบครัวก็ดี จากทั้งการทำงานก็ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบการศึกษาที่จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับท๊อปของประเทศ ไหนจะต้องแข่งขันกันเข้าชิงตำแหน่งในบริษัทที่ใหญ่โตอีก เพราะถ้าหากว่าไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ก็จะไม่มีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต เพราะจะไปอยู่บริษัทธรรมดา ถึงจะมีงานทำแต่ได้เงินเดือนต่ำถึงต่ำมาก แต่หากใครที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะ การเงินพร้อมทุกอย่าง ประเทศนี้จะน่าอยู่มาก (มีแต่พวกลูกนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูง มีเส้นมีสาย) สิ่งที่สะท้อนออกมาได้ชัดเจนมากจากการสัมภาษณ์คือ ‘คนที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับท๊อปได้ ก็จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างไปครอบครอง’ และ ‘แทนที่จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก กลับต้องมาเป็นในสิ่งที่สังคมขีดเส้นให้เราเป็นแทน’…
-
เพิ่งเคยเห็นนะเนี๊ยะ!! โลกออนไลน์แชร์ภาพมหาลัยมอบมงกุฎให้นักศึกษาในวันรับปริญญา!?
กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ทีเดียว สำหรับภาพการสวมมงกุฎให้เหล่านิสิตนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา เนื่องในวันรับปริญญาบัตรเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านผู้ใช้เฟซบุ๊ก ษัฑวัฒก์ จิตราภิรมย์ พร้อมกับข้อความว่า “เพื่อนอาจารย์(ระดับคณบดี) ส่งภาพมาให้ครับ เทรนด์ใหม่ในการรับปริญญา รับกันไปที่สวนอัมพร เห็นแล้วอึ้ง…ยังกะนางงามรับมง(กุฏ) เสียดาย…ขาดสายสะพาย” เมื่อภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปในโลกออนไลน์ ก็ทำให้ชาวเน็ตพากันแสดงความคิดเห็นกันอย่างมากมาย โดยส่วนใหญ่มองว่าพิธีการดังกล่าวเป็นเรื่องที่แปลก เพราะไม่มีที่ไหนทำกัน ในขณะเดียวกันก็มีชาวเน็ตและนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญออกมาโต้แย้งว่าพิธีกรรมดังกล่าวเป็นพิธีที่ทำต่อเนื่องกันมานานแล้ว และการสวมมงกุฎนั้นก็สวมเฉพาะในวันซ้อม ในวันรับจริงไม่ได้มีการสวมมงกุฎแต่อย่างใด แถมยังมีอีกหลายๆ ความเห็นมองว่าแปลกใหม่และสร้างสรรค์อีกด้วย เพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง ลองแชร์ความเห็นกันได้นะจ๊ะ ที่มา ษัฑวัฒก์ จิตราภิรมย์ , Bulim Natthawoot Nindee
-
ไม่เก่งจริงทำไม่ได้นะ รวม 8 ดาราและคนดังที่เคยผ่านรั้วมหาวิทยาลัย “ฮาร์วาร์ด” มาแล้ว
เชื่อว่า ณ ตอนนี้คงจะไม่มีมหาวิทยาลัยไหนโด่งดังและเป็นที่พูดถึงของชาวไทยเท่ากับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอีกแล้วล่ะ เพราะจากกรณีของทันตแพทย์หนีทุนไปเรียนที่นั่น ทำให้มีการพูดถึงกันอย่างแพร่หลายทีเดียว แต่ได้ยินชื่อบ่อยๆ แบบนี้คุณรู้หรือไม่ว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกาที่ถือได้ว่าเก่าแก่ที่สุดในสหรัฐเลยก็ว่าได้ เพราะถูกก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2179 จนถึงตอนนี้ก็มีอายุกว่า 380 ปีเข้าไปแล้ว นอกจากนี้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยังได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของสหรัฐเลยก็ว่าได้ (2552-2553) วันนี้แอดเหมียวเลยจะพาเพื่อนๆ ไปชมกันสักหน่อยว่า เคยมีใครผ่านรั้วของมหาวิทยาลัยแห่งนี้แล้วบ้าง พร้อมแล้วไปชมกันเลย 1. Matt Damon เข้าเรียนที่ฮาร์วาร์ดตั้งแต่ปี 1988 ถึง 1992 (แต่ลาออกจากมหาวิทยาลัยเสียก่อน) 2. Conan O’brian จบจากฮาร์วาร์ดเมื่อปี 1985 มีความสามารถในด้านการเขียน จนไปเขียนบทให้กับรายการต่างๆ มากมาย ทั้ง Saturday Night Live และ The Simpsons อีก 2-3 ซีซั่น จนมีรายการเป็นของตัวเอง 3. Tommy Lee Jones…
-
ผลสำรวจต่างประเทศเผยให้เห็นถึงรายได้งามๆ ของ 10 สาขาอาชีพที่ไม่ต้องการใบปริญญา!!
การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพราะเป็นใบเบิกทางนำไปสู่การประกอบอาชีพที่ใฝ่ฝัน แต่ทว่าในปัจจุบันก็มีหลากหลายอาชีพที่ไม่ต้องการใบปริญญาเพื่อเข้าทำงาน และสิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือรายได้ของแต่ละอาชีพนั้นถือว่าให้ผลตอบแทนงามมากๆ อาชีพที่ไม่ต้องการใบปริญญา? ล่าสุดนี้เมื่อทาง i100 ส่วนหนึ่งของ The Independent ร่วมมือกับ Statista จัดทำอินโฟกราฟฟิคที่แสดงให้เห็นถึงข้อมูลอาชีพที่ไม่ต้องการใบปริญญาและมีรายได้สูงสุดทั้งหมด 10 อันดับด้วยกัน โดยเป็นข้อมูลของอาชีพภายในประเทศอังกฤษ และใช้สกุลเงินปอนด์ จากผลสำรวจจะเห็นได้ว่าอาชีพ Equities Trader มาแรงเป็นอันดับหนึ่งกับรายได้เฉลี่ยเกือบๆ 60,000 ปอนด์ต่อปี (ประมาณ 3.17 ล้านบาท) อันดับที่สองคือ Mining Construction รายได้เฉลี่ย 56,260 ปอนด์ต่อปี (ประมาณ 2.97 ล้านบาท) และอันดับที่สามคือ Commodities Trader รายได้เฉลี่ย 53,003 ปอนด์ต่อปี (ประมาณ 2.8 ล้านบาท) หากลองไล่จากอันดับสุดท้ายขึ้นมาสามอันดับ อาชีพนักข่าวก็ถือว่าได้เงินเยอะมากเฉลี่ย 30,998 ปอนด์ต่อปี (ประมาณ…
-
เมื่อผมสอนวิชาประวัติศาสตร์…คุณครูเผยภาพสมุดของนักเรียน อธิบายประวัติศาสตร์ได้เข้าใจง่ายม๊าก!!
หากจะพูดถึงวิชาที่น่าเบื่อ ที่ไม่ว่าใครได้เรียนก็หลับกันเป็นแถว เห็นจะหนีไม่พ้นวิชาประวัติศาสตร์ละนะ เพราะมีรายละเอียดที่เยอะมากกก ใครทำอะไร เมื่อไหร่ ที่ไหน แถมยังเป็นเหตุการณ์ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว การจะให้มานั่งท่องจำ อาจจะต้องใช้เวลานานสักหน่อย และด้วยความยากของวิชานี้เอง ทำให้เด็กๆ ต้องการวิธีในการจดจำ เช่นการจดโน๊ตเล็กๆ ไว้ในกระดาษ การใช้ปากกาไฮไลท์เพิ่มสีสัน หรือแม้แต่การวาดรูปก็ช่วยให้เนื้อหาในตำรานั้นน่าจดจำได้เหมือนกัน อย่างเช่นเรื่องราวที่เหมียวจะให้ดูต่อไปนี้ เมื่อไม่นานมานี้เหมียวได้ไปเจอเข้ากับภาพชุดหนึ่งจากเฟซบุ๊กของคุณ Chonlapoom Banharn ซึ่งเป็นคุณครูท่านหนึ่งจากโรงเรียนสาธิตมศว. ปทุมวัน เป็นภาพสมุดวิชาเรียนประวัติศาสตร์ของเด็กนักเรียนคนหนึ่ง ที่จดได้ละเอียด เข้าใจง่าย พร้อมกับวาดภาพน่ารักๆ ประกอบไปด้วย ทำให้วิชาที่น่าเบื่อ กลายเป็นวิชาที่ง่ายต่อการเข้าใจมาก . . . . . . . . . . . . . . . . . ทั้งนี้คุณครูยังได้บอกผ่านเฟซบุ๊กด้วยว่า อยากให้มีสำนักพิมพ์สักแห่งจ้างนักเรียนคนนี้ไปวาดรูปให้เหลือเกิน…
-
อยากให้เธอลอง!! พาเลสเบี้ยนมาพบกับชายแท้ พาเกย์มาพบกับหญิงแท้ ลงเอยด้วย ‘จูบ’
ในยุคสมัยที่มีความเปลี่ยนแปลงมากจนถึงมากที่สุด ซึ่งในเรื่องของเพศทางเลือกในอดีตนั้นถูกปกปิดมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าทั้งฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงที่มีความรู้สึกในด้านความรู้สึกชื่นชอบเพศเดียวกัน ปัจจุบันนี้ก็ได้มีการเปิดกว้างและยอมรับมากขึ้นแล้ว แต่จะว่าไปในเรื่องของความรู้สึกที่ชื่นชอบในเพศเดียวกัน หากให้พวกเขาเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นเลสเบี้ยนหรือเกย์มาพบกับผู้ที่มีเพศเป็นปกติบ้างล่ะ พวกเขาจะรู้สึกแบบไหน!? ก็คงไม่ต่างจากคนทั่วไปนั่นแหละ ก็คือผู้คนธรรมดาเหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือความรู้สึกในเรื่องแรงกระตุ้นในเรื่องเพศ ซึ่งหากให้พวกเขามาพบกับเพศที่ตรงกันข้ามแบบนี้ ปฏิกิริยาของพวกเขาก็มีความรู้สึกเขินอายเล็กน้อยถึงปานกลาง ซึ่งในงานนี้ก็ได้เชิญเลสเบี้ยนมาพบกับชายแท้ และเกย์มาพบกับหญิงแท้ เพื่อพิสูจน์ในเรื่องของการจูบ ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ลองมาพิสูจน์กันได้ในคลิปทั้งสองด้านล่างเลยจ๊ะ เลสเบี้ยนมาพบกับชายแท้ เกย์มาพบกับหญิงแท้ (บางคนไม่เคยจูบผู้หญิงมาก่อนเลย) ทั้งนี้ จากการที่ได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว พวกเขาก็ยังเหมือนคนทั่วไป เพียงแต่ว่าการจูบกับเพศปกตินั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงอารมณ์ทางด้านเพศหรือมีแรงกระตุ้นเท่าที่ควร แต่ก็ยังมีความรู้สึกดีที่ได้มอบให้กับฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง ที่มา : The Human Experiment
-
ทางเลือกการศึกษา!! หนุ่มจากสถาบัน MIT ลาออกมาตั้งวิทยาลัยเอง เรียนก่อน จ่ายทีหลัง!!
นับว่าเป็นอีกปัญหาหนึ่งของการศึกษาในระดับที่สูงๆ อย่างการเรียนในระดับอุดมศึกษา (ทั้งมหาวิทยาลัยและวิทยาลัย) นั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากๆ จนทำให้เหล่านักเรียน นักศึกษาต้องหันหน้าเข้าหาแหล่งเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (ในประเทศไทยก็คือ กยศ.) ซึ่งสำหรับที่ต่างประเทศก็มีเช่นเดียวกัน แต่ทว่าด้วยค่าเทอมที่สูงลิบ ค่ากิน ค่าอยู่ก็แพง รวมไปถึงหนี้จากการกู้ยืมเพื่อการศึกษาก็มีจำนวนสูงเช่นกัน โดยหนึ่งในนักศึกษาจากสถาบัน MIT – Jeremy Rossman เขาก็ประสบกับปัญหาหนี้จากการกู้ยืมเพื่อการศึกษานี้ เพียงระยะเวลาที่เป็นนักศึกษาผ่านไปแค่ 9 เดือน (ค่าเทอม ค่าความเป็นอยู่) ก็ปาเข้าไปแล้วประมาณ 1.6 ล้านบาท (44,720 ดอลลาร์) เขาจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะทำได้มาก่อน นั่นก็คือการลาออก และไปตั้งวิทยาลัยของตัวเอง เขาไม่ได้ก่อตั้งเพียงคนเดียว ยังมี Ashu Desai เป็นผู้ร่วมก่อตั้งด้วย พวกเขาตั้งชื่อว่า The Make School (โรงเรียนแห่งการสร้าง) โดยให้นิยามคือเป็นระบบ Anit-College (ต่อต้านระบบวิทยาลัยแบบเก่า) โดยจะเป็นสถานที่เรียนสำหรับผู้ก่อตั้งเองและเหล่านักพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วย ความแตกต่างของวิทยาลัยแห่งนี้ก็คือ…
-
เซ็งหนัก!! กยศ. มียอดหนี้ค้างชำระพุ่งสูง แม้ลูกหนี้จะมีงานและมีเงิน แต่ตั้งใจที่จะไม่จ่าย
ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษาได้เป็นอย่างดี สำหรับนักเรียนหรือนักศึกษาที่ไม่มีเงินทุนสำหรับการใช้จ่ายในการเล่าเรียน ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน ค่าเทอมหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดเลยล่ะ ทั้งนี้การกู้ยืมเงินจาก กยศ. นั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด จึงทำให้มีจำนวนผู้กู้ยืมเป็นจำนวนมาก และสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นก็ตามมา นั่นก็คือการไม่ชำระหนี้หลังจากจบการศึกษาและมีงานทำแล้ว โดยมีการเปิดเผยจากทาง กยศ. ว่า ณ ขณะนี้มียอดผู้ที่ครบกำหนดและอยู่ระหว่างชำระหนี้ 2,185,133 ราย ค้างชำระหนี้อีก 1,205,626 ราย โดยกำลังทำการเร่งติดตามอยู่ ซึ่งสาเหตุหลักของผู้ที่ไม่มาชำระหนี้ก็คือไม่มีงานทำจึงทำให้ไม่มีเงินมาชำระหนี้ และอีกหนึ่งสาเหตุก็คือ มีงานทำและมีเงินเดือน แต่ตั้งใจที่จะไม่ชำระหนี้ ทั้งนี้สถิติสาขาที่มีผู้ค้างชำระมากที่สุดก็ได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว นั่นก็คือ กลุ่มสาขาสังคมศาสตร์ ศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศึกษาศาสตร์ โดยรวม 72% กลุ่มสาธารณสุข/พยาบาลอีก 57% และกลุ่มแพทย์ศาสตร์อีก 51% จะเห็นได้ว่าจำนวนเกินครึ่งทุกกลุ่ม เหมียวว่าการที่มีผู้เบี้ยวหนี้เยอะขนาดนี้อาจจะเป็นเพราะรุ่นพี่บอกต่อรุ่นน้องว่าไม่จำเป็นต้องชำระก็ได้ หรือไม่ก็ผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ หรือเห็นยอดหนี้ที่เยอะเกินจนไม่อยากจะจ่าย ทั้งที่ดอกเบี้ยก็ไม่ได้สูงเลย ถ้าขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ รุ่นน้องก็จะไม่มีเงินกู้เรียนอย่างแน่นอน…
-
ความถนัดภาษาอังกฤษของประเทศไทยครองบ๊วยอันดับสามของเอเชีย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ไม่ว่าประเทศไหนๆ ต่างก็ยอมรับและใช้เป็นภาษากลางในการติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติ และก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าภาษาอังกฤษก็ได้ระบุเป็นหนึ่งในวิชาที่ต้องเรียนรู้ผ่านการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะว่าไปแล้วการเรียนภาษาอังกฤษในระบบการศึกษาของประเทศไทยนั้นมีตั้งแต่ระดับอนุบาลยันไปจนถึงระดับอดุมศึกษากันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเรียนกันตั้งแต่เด็กยันโต ไม่ว่าจะเรียนในระดับไหนก็หนีภาษาอังกฤษไม่พ้นอยู่ดี แต่เหตุใดภาษาอังกฤษของคนไทยกลับรั้งท้ายของเอเชีย จากผลสำรวจของสถาบันสอนภาษาอังกฤษ อีเอฟ (Education First) ได้เปิดเผยความถนัดทางด้านภาษาอังกฤษของประชาชนในประเทศต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก พบว่าประเทศไทยตกมาอยู่อันดับที่ 62 จากทั้งหมด 70 ประเทศ ซึ่งถ้าเทียบกันในเอเชียแล้ว ประเทศไทยเป็นที่สามนับจากอันดับสุดท้าย เหนือกว่ากัมพูชาและมองโกเลียเพียงสองประเทศเท่านั้น แต่ถ้าเทียบในสัดส่วนระดับโลกก็เหนือกว่ากาตาร์ คูเวต อิรัก แอลจีเรีย ซาอุดีอาระเบีย และลิเบีย ทั้งนี้ทางอีเอฟได้เปิดเผยอีกว่า ระบบการศึกษาของไทย (ระบบโรงเรียน) สอบไม่ผ่านในทุกหัวข้อที่ประเมิน ถึงแม้จะใช้งบทางการศึกษาสูงถึง 31% ของงบประมาณรายปี แต่กลับมีทักษะทางด้านภาษาอังกฤษต่ำ โดยสัดส่วนงบประมาณนี้สูงกว่าทุกประเทศที่ทำการสำรวจซะอีก จากกรณีนี้เหมียวเองก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เกิด จนถึงป่านนี้ก็พออ่านออกเขียนได้ ทั้งนี้ก็มาจากการเรียนรู้ด้วยตนเองส่วนหนึ่ง และการเรียนรู้ผ่านระบบการศึกษาส่วนหนึ่ง มาคิดๆ ดูแล้วคนไทยก็เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กจนโตเลยนะ ทั้งผ่านครูชาวไทย…
-
การ์ตูนก็มีสาระ!! ประเทศญี่ปุ่นจัดสรรการ์ตูนกว่า 100 เรื่องให้เป็นหนังสือเรียนอ่านนอกเวลา
พื้นฐานของการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญ หากเด็กๆ ได้รับการศึกษาที่ดีแล้วจะสามารถช่วยพัฒนาให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าได้อย่างแน่นอน และด้วยตามประสาของวัยเด็กที่สนใจอ่านการ์ตูนเพื่อเป็นความบันเทิงนั้น ผู้ใหญ่มักจะมองว่าเป็นสิ่งที่ไร้สาระ ทั้งที่จริงแล้วการ์ตูนบางเรื่องก็ได้เสริมความรู้ให้กับผู้อ่านไปในตัว ทางด้านองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Nippon Foundation ของประเทศญี่ปุ่นจึงได้ริเริ่มโครงการคัดสรรการ์ตูนเสริมสร้างความรู้สำหรับเด็กขึ้นมาในชื่อ This is Also a Learning Manga ~World Discovery Project~ โดยจะนำการ์ตูนกว่า 100 เรื่องมาใช้เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างการเรียนรู้ของเด็กๆ ทั้งนี้ทางองค์กรก็ได้เชิญบุคลากรทางการศึกษาจาก 2 แห่งนั่นก็คือศาสตราจารย์ Yukari Fujimoto ผู้วิจัยด้านการ์ตูนญี่ปุ่นจาก Meiji University และศาสตราจารย์ Ichiya Nakamura จาก Keio University ร่วมกับนักเขียนการ์ตูนอาจารย์ Machiko Satonaka และบุคคลอื่นๆ อีก 4 ท่าน รวมทั้งสิ้นเป็น 7 ท่านมาร่วมกันคัดสรรการ์ตูนเพื่อใช้เป็นหนังสือเรียนอ่านนอกเวลา มีการเปิดเผยรายชื่อของหนังสือการ์ตูนที่ได้รับการคัดเลือกกว่า 100 เรื่องผ่านทางเว็บไซต์…
-
‘ทำไมต้องเรียนหนังสือ?’ ที่ปรึกษาด้านการศึกษาของญี่ปุ่น ตอบได้อย่างลึกซึ้งและคมคาย!!
การศึกษาถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อเสริมสร้างความรู้และเปิดโลกให้กว้างได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งในสังคมญี่ปุ่นก็ให้ความสำคัญกับการศึกษามาก แต่ก็ใช่ว่าเด็กทุกคนจะรักการเรียนเสมอไป จนกระทั่งกลายมาเป็นคำถามว่า ‘ทำไมต้องเรียนหนังสือ?’ ผู้เชี่ยวชาญและเป็นที่ปรึกษาทางด้านการศึกษาของญี่ปุ่น คุณ Nobufumi Matsunaga ก็ได้ให้ความสำคัญกับคำถามที่ว่านี้ และการจะตอบคำถามนั้นจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ต้องขัดเกลาคำตอบให้กระจ่างแจ้ง เพื่อทำให้เด็กๆ เข้าใจว่าทำไมการศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มจากคำตอบในทางด้านบวกกันก่อน ‘การศึกษาจะสะท้อนได้ดีที่สุดนั้นก็ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยและพัฒนาการของเด็ก โดยทั่วๆ ไปแล้วการศึกษาจะช่วยให้คุณพัฒนาตัวเอง ส่งผลให้คุณสามารถไปประกอบอาชีพที่คุณชอบและสามารถหาเงินเลี้ยงชีพในอนาคตได้ ทั้งนี้เรียนหนังสือก็เพื่ออิสรภาพนั่นเอง’ แต่ที่เราเรียนหนังสือกันนั้นก็ใช่ว่าจะเรียนเพื่อพัฒนาตัวเองเสมอไป เขากล่าวเสริมเอาไว้ว่า ‘นอกจากนี้ โลกของเราเต็มไปด้วยการโกหกและการหลอกลวง และด้วยเหตุผลนี้ทำให้เราต้องการที่จะเติบโตขึ้นเพื่อให้รู้ทันคน เราสามารถสามารถตรวจจับการโกหกด้วยการเรียนหนังสือ แต่ถ้าเราไม่พัฒนาทักษะทางด้านตรรกะความคิดจากการเรียนหนังสือเลย คุณก็จะมารู้สึกเสียใจในภายหลัง’ ทั้งนี้เขากล่าวปิดท้ายไว้อย่างคมคายว่า ‘เด็กๆ จะมีความอ่อนไหวต่อแนวคิดของการได้มาและการสูญเสีย เพราะฉะนั้นการอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขาเข้าใจ ก็จะทำให้พวกเขาเห็นภาพอนาคตของตัวเองหลังจากให้ความสำคัญกับการศึกษา’ ที่มา : rocketnews24
-
เว็บไซต์หนังผู้ใหญ่มอบทุนการศึกษา 895,000 บาท เพียงแค่เขียนเรียงความ ‘ทำอย่างไรให้ผู้อื่นมีความสุข’
กลายมาเป็นกระแสโด่งดังกันอีกแล้วกับเว็บไซต์หนังผู้ใหญ่อย่าง Pornhub ที่ได้ออกมาประกาศแคมเปญดีๆ ที่ช่วยเหลือเหล่านักศึกษาวัยเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยทางเว็บไซต์ได้ประกาศผ่านแคมเปญ Pornhub Cares เอาไว้ว่า ‘เรายินดีมอบทุนการศึกษาเป็นจำนวน 895,000 บาท (25,000 ดอลลาร์) ให้กับผู้ที่ได้รับคัดเลือกเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะเรียนสาขาวิชาไหนก็ตาม เราเปิดโอกาสให้ทุกคน แต่จะต้องมีเกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 3.2 หรือมากกว่านั้น’ ซึ่งผู้ที่สนใจจะสมัครรับทุนนี้จะต้องเขียนเรียงความยาวประมาณ 1,000 – 1,500 คำ เพื่อตอบคำถามในหัวข้อที่ว่า ‘จะทำอย่างไรให้ผู้อื่นมีความสุข’ และจะต้องอัดคลิปวิดีโอความยาว 2 – 5 นาทีเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าวิธีการนั้นสามารถทำได้จริง สำหรับทุนนี้จะสิ้นสุดการรับสมัครภายในวันที่ 31 ตุลาคมปีนี้ ก็ถือว่าเป็นโครงการดีๆ จากเว็บไซต์หนังผู้ใหญ่ที่ตอบแทนสังคมได้อย่างดี โดยที่ไม่ต้องใส่ชุดนักศึกษามาหาพี่นะจ๊ะ ที่มา : thechive
-
เอ้า มีจริงดิ!! รวม 15 สาขาวิชาแปลกๆ ที่มีสอนอยู่จริงในมหาวิทยาลัยจากทั่วโลก!!
สาขาวิชาที่มีสอนอยู่ในมหาวิทยาลัยทั่วไปนั้น ก็มักจะมีเหมือนๆ กัน จะแตกต่างกันไปตามสไตล์การเรียนการสอนของแต่มหาวิทยาลัย แต่เชื่อมั้ยว่ายังมีสาขาวิชาแปลกๆ อีกมากมายที่ไม่ค่อยมีใครรู้ ฮั่นแหน่!! อยากรู้แล้วล่ะสิ ตามมาอ่านกันได้เลยจ้า 1. สาขาวิศวะสวนสนุก หากคุณเป็นบุคคลที่ชอบและหลงใหลสวนสนุก ที่มหาวิทยาลัย California State University Longbeach มีสาขาวิชาที่เหมาะกับคุณเป็นที่สุด เพราะจะได้ศึกษาการสร้างและออกแบบความตื่นเต้นเร้าใจในรูปแบบสวนสนุกกันแบบจัดเต็มเลยล่ะ 2. สาขาวิทยาการหมัก ที่มหาวิทยาลัย Appalachian State University เปิดสอนสาขาวิชาสำหรับคนรักเบียร์โดยเฉพาะเลยล่ะ สาขาวิชานี้จะเจาะลึกในเรื่องของการหมักเบียร์ตามแนวทางวิทยาศาสตร์ เจ๋งมั้ยล่ะ!? 3. สาขาตลกศาสตร์ ถ้าคุณคิดว่าตัวเองเป็นคนตลก สาขาวิชานี้ที่วิทยาลัย Humber College เหมาะกับคุณมากๆ เลยล่ะ เปิดสอนในศาสตร์แห่งความตลก สามารถนำความรู้ไปต่อยอดในอาชีพตลกได้ด้วย 4. สาขาวัฒนธรรมสมัยนิยม ทุกประเทศมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง แต่วัฒนธรรมสากลตามสมัยนิยมก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจเช่นกัน สามารถขับเคลื่อนคนทั้งโลกให้คล้อยตามได้อย่างไร ถ้าอยากรู้ต้องไปเรียนที่ Bowling Green State University ต่อยอดในสายอาชีพสื่อสารมวลชน สายโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ได้ 5. สาขาเป่าปี่สกอต ดูเผินๆ เหมือนเป็นเรื่องตลก ใครจะเรียนทางด้านการเป่าปี่สกอตในระดับมหาวิทยาลัยแบบนี้…
-
ตบนี้ถึงสรยู๊ทธ!! ชาวเน็ตแห่แชร์คลิป รอง ผอ. ตบหัวเด็กนักเรียนกลางสนาม เพราะประท้วงค่า SMS
เรื่องของวงการศึกษา ครูและนักเรียนมีดราม่ากันให้เห็นบ่อยครั้ง แต่ครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องนำมาเป็นข่าวเนื่องจากเหตุการณ์รุนแรงจนถึงทำร้ายร่างกายกลางที่สาธารณะเลยล่ะ เมื่อชาวเน็ตแชร์คลิปประธานนักเรียนออกมาเป็นตัวแทนเพื่อประท้วงค่า SMS ที่โรงเรียนเรียกเก็บ เพื่อนำไปใช้ในการทำระบบแจ้งเตือนทางโทรศัพท์ เด็กนักเรียนหลายคนสงสัยว่าทำไมมีการเก็บเงินเยอะนัก และเดือดร้อนถึงทางนักเรียนกับผู้ปกครอง ทางเด็กนักเรียนจึงรวมตัวประท้วงขอคำชี้แจง และเกิดเหตุการณ์แบบในคลิปนี้…. #รองผอตบกระบาลลั่น นักเรียนโคราชประท้วงค่า SMS !!!โรงเรียนเสิงสาง บ้านบัวหลวง ตำบลเสิงสาง อำเภอเสิงสางจังหวัดนครราชสีมาCREDIT : www.facebook.com/PagPratchayanon********************************************************ขอบคุณคลิปแนะนำจาก Peak Newworld(วันศุกร์ 21 สิงหาคม 2558)อยากดู คลิปอีก คลิก Like ===> เจ้าพ่อ คลิปเด็ด <=== Posted by เจ้าพ่อ คลิปเด็ด on Friday, August 21, 2015 ล่าสุด มีคำอธิบายจากสมาชิกเฟซบุ๊คบางคนที่ช่วยออกมาเล่าเรื่องราวของเหตุการณ์ว่าจริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้น… หวังว่าเรื่องนี้จะออกไปถึงสื่อใหญ่โดยเร็ว และทางเหมียวจะคอยติดตามหาข้อมูลเพิ่มเติมมาลงให้ทุกคนได้รับทราบหากมีอะไรคืบหน้าครับ…