Tag: การเรียน
-
พ่อรับปากลูกจะให้เงิน 4,200 บาท กับทุก A ที่ทำได้ เลยจัดไปเหนาะๆ 14 ตัว ถึงกับหน้าจาง!!
ถือเป็นเรื่องปกติในบ้านเราที่จะมีการ ‘ใช้เงิน’ เป็นตัวล่อให้ลูกๆ ตั้งใจเรียน ซึ่งก็แล้วแต่พ่อแม่แต่ละคนว่าจะให้เป็นจำนวนเท่าไหร่ หรือกำหนดเกรดเอาไว้อย่างไรบ้าง เช่นเดียวกันกับคุณพ่อชาวเวลส์ ที่อาศัยอยู่ในเมือง Rhondda ได้ทำการรับปากลูกสาวเอาไว้ว่าจะให้เงินเป็นจำนวน 100 ปอนด์ (4,200 บาท) ให้กับลูกสาวต่อเกรด A ที่เธอสามารถทำได้ และลูกสาว Molly Rowlands วัย 16 ปี ก็เลยจัดไปเต็มเหนี่ยวล่อเกรด A ไปทั้งหมด 14 ตัว เท่ากับว่าคุณพ่อจะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวน 1,400 ปอนด์ หรือราวๆ 60,000 บาทเลยทีเดียว ในตอนแรกนาย Clive Rowlands วัย 58 ปี ให้คำมั่นกับลูกสาวเอาไว้ก่อนเริ่มเกรด 10 หรือเทียบเท่ามัธยม 4 เอาไว้ว่าจะให้เงินกับลูกสาว 100 ปอนด์ต่อเกรด A ที่เธอสามารถทำได้ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าจะเสียเงินไปมากมายขนาดนี้ ขนาดคุณครูเองยังบอกว่าผลการเรียนที่ Molly ทำได้นั้นเป็นผลการเรียนที่ดีที่สุด เท่าที่โรงเรียนเคยมีมาเลยทีเดียว!! “ผมเคยบอกลูกเอาไว้เมื่อราวๆ…
-
เด็กหญิงทิ้งโน๊ตเจ็บปวดหัวใจ ‘ฉันเกลียดแม่’ เนื่องในวันแม่ มอบให้แด่มารดาผู้ใจร้าย…
วันสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับผู้เป็นบิดามารดา นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้บอกความรู้สึกในใจของลูกที่มีต่อบุพการี โดยส่วนมากแล้วจะเป็นในทำนองของความรัก ความเมตตาที่ได้รับ และตอบแทนกลับด้วยคำขอบคุณ โซเชียลมีเดีย โลกออนไลน์ต่างรวมแชร์ความรู้สึกที่มีเกี่ยวกับแม่ รู้สึกยินดีที่ได้เป็นลูกของแม่ แต่ทว่าเด็กหญิงคนหนึ่ง กลับต้องเสียน้ำตาและมาพร้อมกับความชิงชังผู้เป็น ‘มารดา’ ของตนเอง… โน๊ตเล็กๆ รูปทรงหัวใจ ที่อัดแน่นไปด้วยข้อความถึงคุณแม่ผู้ใจร้าย ถูกนำมาแชร์ผ่านกรุ๊ปพ่อแม่ชาวฮ่องกง ที่ไว้ใช้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องลูกๆ สิ่งที่ถูกเขียนภายในนั้น มีใจความว่า “ถึงแม่ผู้ใจร้าย ทุกวันที่แม่คอยบอกให้ทำแต่การบ้าน มันทำให้หนูรู้สึกรำคาญถึงขั้นอยากตาย หนูเกลียดแม่! ขอให้วันแม่นี้เป็นวันที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก จากลูกสาวของแม่” ทางด้านสมาชิกกลุ่มผู้ที่พบเจอกับกระดาษโน๊ตใบนี้ ได้ให้แคปชั่นเอาไว้ว่า “แม่ของเธอคงจะใจสลายหากได้เห็นเข้า” ภายในโน๊ตนั้นมีรูปหัวใจเพียงน้อยนิด และมีรูปวาดใบหน้าโกรธพร้อมกับคำว่า ‘Hate’ ถูกประทับไว้ อีกทั้งยังมีการลงชื่อ Wan Kiu-sheung อันเป็นชื่อของเด็กหญิงผู้เขียนเอาไว้… จากโน๊ตเพียงชิ้นเดียวก็กลายมาเป็นประเด็นถกเถียงของชาวเน็ตว่า ‘การกดดันทางด้านการเรียนกับลูกนั้นส่งผลกระทบกับความสุขของเด็กหรือไม่’ รวมไปถึงชาวเน็ตหลายท่านรู้สึกเป็นห่วงตัวเด็กคนดังกล่าว เพราะเธออาจจะประสบกับโรคซึมเศร้าเข้าให้แล้ว สำหรับสังคมพ่อแม่ชาวฮ่องกงนั้น รู้ดีว่าเด็กๆ ในยุคปัจจุบันจะต้องเจอกับปริมาณการบ้านที่มากกว่าเดิม ผิดไปจากยุคที่พวกเขาเคยเรียนรู้และผ่านกันมา… “ผมมักจะบอกให้ลูกสาวทำการบ้านทบทวนบทเรียนทุกวัน ถ้าหากว่าเธอไม่ทำ ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ถ้าผมปล่อยปละละเลย เธอจะไม่ทำแน่ๆ…
-
สาวจำต้องออกเรือนไปศึกษาต่อ ทิ้งโน๊ตไว้ให้แม่เพื่ออำลา น้ำตานองหน้าโหยหาลูก…
ความรู้สึกของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ในช่วงที่รู้ว่าลูกจะต้องออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง จากที่เคยเห็นหน้ากันอยู่ทุกวี่ทุกวัน แล้วเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งต้องห่างไกลกันเป็นระยะเวลานาน ก็คงจะรู้สึกใจหายไม่ใช่น้อย… อย่างในกรณีที่ลูกจะต้องออกไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัย หากนักศึกษาคนใดที่บ้านอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยก็จะเป็นที่จะต้องอาศัยหอพัก เพื่อย่นระยะเวลาในการเดินทางไปเรียน อย่างเช่นเรื่องราวน่ารักๆ ของ Victoria Nguyen นักศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส ได้แชร์รูปภาพคุณแม่ของเธอเอง พร้อมกับโน๊ตที่เธอทิ้งไว้ให้เธอ เพื่อเป็นการบอกลาว่านกน้อยจะออกจากรังเพื่อไปร่ำเรียนแล้วนะ… ทวีตของเธอกล่าวไว้ว่า “ฉันมักจะกลับไปเยี่ยมที่บ้านเป็นประจำอยู่แล้ว ฉันทิ้งโน๊ตไว้ให้คุณแม่ได้อ่านแล้วสิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้น” ‘แม่จ๋า หนูรักแม่นะ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง หนูคิดถึงแม่นะ’ คุณแม่ถึงกับนำโน๊ตมาแปะบนหน้าผากตัวเองเลย จากนั้นเธอก็ได้แชร์ข้อความจากคุณแม่ที่ส่งมา ด้วยความหวังที่ว่าภาพของเธอนั้นจะเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกคนอื่นๆ เป็นเด็กดีขึ้นมาบ้าง และได้รู้ความจริงภายหลังว่า คุณแม่ต้องทานข้าวเพียงลำพังหลังจากที่เธอไม่อยู่ และแน่นอนว่าชาวเน็ตที่ได้มาเห็นทวีตดังกล่าว ต่างก็รู้สึกไปในทางเดียวกัน บางคนถึงร้องไห้กับความรักที่คุณแม่มีให้ต่อลูกสาวคนนี้ ชีวิตที่ต้องห่างจากครอบครัว หมั่นรักษาเอาไว้ให้ดีน้า รักคุณพ่อคุณแม่เยอะๆ ที่มา : @HELLOHUE, nextshark
-
นักศึกษาเขียนหัวข้อรายงานเล่นๆ ว่า “ชีวิตแม่มบัดซบ” แต่ดันลืมเปลี่ยนและส่งไปทั้งแบบนั้น
หลายคนที่เคยผ่านประสบการณ์การเรียนในช่วงมหาลัยกันมาแล้ว น่าจะรู้ซึ่้งดีว่าการจะเขียนรายงานสักเล่มมันต้องใช้เวลาและพลังสมองแค่ไหน ยิ่งหากคุณทำแบบหามรุ่งหามค่ำก็อาจจะมีกันบ้างที่เบลอๆ เผลอเขียนอะไรผิดๆ ลงไปในรายงาน เรื่องที่เราไปเจอมานี้เป็นเรื่องราวสุดเปิ่นของหญิงสาวรายหนึ่งในโลกทวิตเตอร์ที่ใช้ชื่อว่า @morgs216 เธอได้โพสต์ภาพรายงานของเธอที่ส่งให้กับอาจารย์เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา แต่ดันเขียนหัวข้อแบบส่งๆ ว่า “Fuck my life” หรือแปลได้ว่า “ชีวิตแม่มโคตรบัดซบ” แต่ดันลืมเปลี่ยนก่อนที่จะส่งให้อาจารย์ “ฉันส่งรายงานให้กับศาสตราจารย์ของฉันเมื่อคืนที่ผ่านมา และในตอนเช้าฉันก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองลืมเปลี่ยนหัวเรื่อง วันนี้ของพวกคุณเป็นไงกันมั่งล่ะ?” ในเวลาไม่นานรูปนี้ก็กลายเป็นภาพไวรัลและมีคนกดรีทวีตไปกว่า 8 หมื่นครั้ง พร้อมกับข้อความฮาๆ อีกมากมาย “เพื่อนเอ๋ย นี่ล่ะชีวิตบัดซบของจริง ฉันอยากจะนอนขดตัวเป็นก้อนแล้วร้องไห้” “สัปดาห์นี้มันช่างหนักหนาเหลือเกิน เอื้อออ” หลังจากนั้นก็มีคนแชร์ประสบการณ์กับเธอว่าเขาเธอเองก็เคยเขียนอะไรแบบนี้ส่งให้อาจารย์เหมือนกัน อย่างผู้ใช้ทวิตเตอร์ @mai_foringer11 ได้โพสต์ภาพรายงานของเธอ ที่มีบทคัดย่อว่า “ฉันเกลียดโปรเจกต์ห่านนี่ และฉันก็เกลียด Google Docs ด้วย” ผู้ใช้ @JeffriesHalee ได้เข้ามาถามว่าศาสตราจารย์ของเธอนั้นมีทีท่าอย่างไรกลับมาบ้าง? เธอจึงบอกว่า “555+ เขาพูดว่า ‘ขอบคุณที่ส่งรายงานนะ’” …
-
19 คำถามสุดแปลกที่เด็กๆ ถามในวิชาเพศศึกษา ก็เพราะแบบนี้ไงวิชาเพศศึกษาถึงได้สำคัญ
เพศศึกษานั้นสำคัญไฉน… การสอนเด็กๆ เกี่ยวกับเรื่องเพศนั้นเป็นเรื่องที่ลำบากและจำเป็นต้องมีการควบคุมที่ดี ความรู้ที่เด็กได้รับนั้นควรที่จะชัดเจน และครบถ้วน แต่ก็ไม่ควรมากจนนำไปสู่การชักจูงให้มีเซ็กส์ก่อนวัยอันควรเช่นกัน อย่างไรก็ตามเพศศึกษามักจะถูกมองว่าเป็นเรื่องที่เร็วเกินไปสำหรับเด็กๆ พ่อแม่หลายๆ คนมักจะบอกปัดลูกด้วยคำว่าโตไปก็รู้เองหรือให้ความรู้ที่ไม่ถูกต้องอย่างเด็กเกิดมาจากไม้ไผ่ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เมื่อถึงเวลาเรียน เพศศึกษาเข้าจริงๆ ครูผู้สอนจึงได้พบกับคำถามแปลกๆ มากมายจากเด็กๆ เป็นคำถามที่เกิดจากความไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้อย่างแท้จริง เหมือนอย่างคำถามต่อไปนี้ ฉันจำได้ว่า ตอนที่สอนเพศศึกษา มีเด็กถามว่า “ตอนมีเซ็กส์ฉี่ได้ไหม” I remember during sex ed a kid asked if you could pee while having sex — MOM-E (@saylurmoon) October 17, 2012 ครั้งหนึ่งในวิชาเพศศึกษา มีเด็กผู้ชายถามว่าหน้าอกหลุดได้ไหม และจู๋หักได้ไหม มันหักได้นะ ประมาณว่ากล้ามเนื้อฉีกขาดอ่ะ ในตอนเรียนเพศศึกษา มีหนุ่มคนหนึ่งถามว่าถ้าผู้หญิงกินทาโก้ เธอจะรสเหมือนทาโก้ไหม? ท่าทางจะอร่อยแปลกๆ I remember in sex…
-
ครูสกลนคร ปฏิรูปการให้เกรด ทุกคนที่ 1 เท่ากัน เพราะคนเราเก่งในแบบที่แตกต่าง!!
เป็นที่รู้กันดีว่าการศึกษาของไทยนั้นเน้นไปที่เรื่องของการสอบวัดผล เกรด และคะแนน หากคุณสอบได้คะแนนน้อย นั่นก็เท่ากับว่าเราอาจจะยังไม่สามารถนำเอาความรู้ที่เรียนมามาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม ทำให้ต้องมีการสอบซ่อมมั่ง เรียนเสริมมั่ง จนเกิดเป็นการแข่งขันที่ทำให้เด็กๆ เครียดได้ แต่เนื่องจากปัญหาเหล่านี้ ทำให้คุณครูจากจังหวัดสกลนครรายหนึ่งนำเอาวิธีการเรียนการสอนมาปรับปรุง เพื่อให้เด็กๆ ทุกคนมองเห็นว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นมีคุณค่าและเก่งในด้านที่แตกต่างกันไป คุณครูที่#เหมียวฟิ้นพูดถึงมีชื่อว่าคุณครูชินกร พิมพิลา ครูพิเศษจากโรงเรียนบ้านนาสีนวล สกลนคร ที่ปรับการให้คะแนนของเด็กๆ ใหม่ จนทุกคนกลายเป็นนักเรียนเก่งที่ได้ที่ 1 กันทุกๆ คนเลย จากภาพนี้จะเห็นได้ว่าในรายชื่อนักเรียนแต่ละคนนั้น จะถูกเขียนกำกับไว้ว่าแต่ละคนเก่งในด้านไหนบ้าง เช่น นำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์เก่งที่สุด, หาปลาเก่งที่สุด, นวดฝ่าเท้าเก่งที่สุด, ย้อมผ้าจากสีธรรมชาติเก่งที่สุด ฯลฯ นอกจากนี้คุณครูยังเขียนข้อความลงในเฟซบุ๊กของตัวเองด้วยว่า “ประกาศผลสอบแล้วนะเด็กๆ พรุ่งนี้ครูรอแจกประกาศผล ไม่เรียงลำดับความเก่ง แต่ทุกคนเก่งในแบบที่แตกต่างกันและมีความเฉพาะด้าน ที่โอเน็ตไม่ได้วัดพวกเธอ” ด้วยวิธีการสอนและให้คะแนนสุดแหวกนี้เอง ทำให้ผู้คนในโลกออนไลน์กล่าวชื่นชมในความคิดสร้างสรรค์ การสอนนักเรียนให้มีความสุขและการมองเห็นคุณค่าเล็กๆ น้อยๆ ในตัวเอง . . . . ความเห็นบางส่วนจากชาวเน็ตบอกว่า Matinee Ma…
-
13 เคล็ดลับจัดระเบียบชีวิต นร. – นศ. ลองนำไปปรับใช้แล้วอะไรๆ ก็จะดีขึ้นกว่าเดิมเย๊อะ!!
การเรียนเป็นสิ่งที่ดี แต่บางทีมันก็ยากลำบากเหลือเกินเวลาที่เราต้องเรียนหลายๆ วิชา แถมยังต้องจำเนื้อหาหรือสาระสำคัญของแต่ละวิชาให้ได้อีก รวมถึงบางครั้งการสั่งการบ้านก็มาพร้อมๆ กันหลายวิชาอีกต่างหาก จนทำให้หลายคนมองว่าชีวิตวัยเรียนนี่มันลำบากสุดๆ สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาแบบนี้อยู่ล่ะก็ วันนี้เราจะนำเสนอเคล็ดลับการจัดระเบียบชีวิต สำหรับนักเรียนและนักศึกษา ลองอ่านและนำไปปรับใช้กันดูนะครับ รับรองว่าชีวิตคุณจะสบายขึ้นแน่นอน… 1. จดบันทึกสิ่งที่ต้องทำ – งานไหนที่ต้องส่ง บทเรียนไหนที่ต้องอ่าน ก็บันทึกมันไว้ซะ อันไหนที่ทำแล้วก็ทำเครื่องหมายเอาไว้ 2. แผนการนำเสนอ – หากว่าเราจะต้องออกไปนำเสนอหน้าชั้นเรียน แนะนำว่าควรเขียนแผนการนำเสนอแยกออกเป็นส่วนๆ เช่น คำนำ ข้อมูลเบื้องหลัง สาระสำคัญ และอื่นๆ พร้อมทั้งเขียนสาระสำคัญสำหรับแต่ละส่วนด้วย 3. ลองเขียนสิ่งที่ต้องทำเป็นข้อๆ ลงในตารางแต่ละวัน คล้ายปฏิทิน – เขียนวันที่ไว้แต่ละหน้า แล้วก็เขียนสิ่งที่ต้องทำประจำวันนั้นๆ เอาไว้ พร้อมทั้งทำเครื่องหมายหากได้ทำอันไหนไปแล้ว 4. พยายามตกแต่งสมุดจดบันทึกรายการหรือแผนที่ต้องทำของคุณให้สวยงามน่าอ่าน 5. เก็บของใช้สำหรับการเรียนให้เป็นส่วนๆ พอมันเป็นระเบียบมันก็จะน่าใช้มากขึ้น 6. อาจจะนำกล่องกระดาษที่ไม่ใช้แล้วมาแยกใส่อุปกรณ์แต่ละชนิิด 7. หากการจดโน้ตของคุณไม่มีประสิทธิภาพ ลองวิธีนี้…
-
เด็ก 9 ขวบติเตียนคุณครู ‘โคลัมบัสไม่ได้พบอเมริกา’ อย่าสอนอะไรผิดๆ พร้อมตั้งคำถามย้อน
บางทีสิ่งที่เราร่ำเรียนกันมานั้น อาจจะเป็นความรู้และข้อมูลที่ถูกส่งต่อกันมาเป็นทอดๆ ซึ่งอาจจะไม่ได้ถูกต้องเสมอไป แต่พวกเราเองเรียนรู้มันมาอย่างนั้น โดยที่ไม่ได้สนใจหรือสังเกตเห็นความผิดปกติ แต่สำหรับเด็กชายวัย 9 ขวบที่ชื่อว่า King Johnson คนนี้ ไม่ยอมปล่อยให้ความผิดพลาดนั้นผ่านไปง่ายๆ แน่นอน เมื่อเขาพบว่าสิ่งที่เขาได้เรียนไปในเรื่องราวเกี่ยวกับ “ผู้คนพบอเมริกา” ที่ว่าเป็น Christopher Columbus นั้นมันไม่เป็นความจริง! เขาจึงทำการเขียนรีวิววิชาดังกล่าวในเชิงตำหนิลงในสมุดบันทึกของเขา พร้อมย้อนครูผู้สอนด้วยคำถามสุดเจ็บแสบเลยทีเดียว โดยใจความในบันทึกที่เขาเขียนก็ประมาณว่า สิ่งที่เขาได้เรียนมาไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นเรื่องโกหก พร้อมทั้งเฉลยความจริงให้ผู้อ่านได้ตาแตกกันไปอีก เขาเขียนว่า “วันนี้เป็นการเรียนหนังสือที่ไม่ค่อยดีนัก บลาๆๆๆ ผมไม่อยากได้ยินคุณครูพูดอะไรอีกแล้ว” “คุณครูสอนผิด และผมก็ไม่อยากจะฟังสิ่งที่ครูโกหกอีก แม่ผมบอกว่า มีคนชื่อ Christofer (Christopher) คนเดียวเท่านั้นที่พวกเรายอมรับ นั่นก็คือ Christopher Wallace“ (Christopher Wallace คือศิลปินแร็พชื่อดัง รู้จักกันในนาม Notorious B.I.G.) เขาเขียนต่อว่า “Columbus ไม่ได้เป็นคนค้นพบประเทศของเราเสียหน่อย ชาวอินเดียแดงต่างหากที่พบ” “ผมยังอยากมีวันหยุดอยู่นะ แต่ผมไม่อยากให้คุณครูสอนอะไรที่มันไม่จริงอีก” “และคำถามสำหรับวันนี้ก็คือ คนขาวจะมาสอนประวัติของคนผิวสีได้อย่างไรกันล่ะ?” ที่หมายความประมาณว่า คนผิวขาวจะมารู้ประวัติศาสตร์คนผิวสีที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันได้อย่างไรกัน!? …
-
นิวซีแลนด์สั่งตรวจข้อสอบส่วนกลางวิชาคณิตฯ เพราะยากเกินไปและนอกเหนือจากบทเรียน!?
ในหลายครั้งทีี่เราทำข้อสอบ เราอาจเคยคิดว่าข้อสอบนั้นยากเกินไปหรือคิดว่าทำไมเราถึงไม่เคยเรียนอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ซึ่งนี่ก็คงเป็นความคิดของนักเรียนหลายๆ คนในประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2017 ได้มีการสอบระดับ 1 ของการวัดระดับวิชาคณิตศาสตร์ส่วนกลางที่ชื่อว่า The National Vertificate of Educational Achievement (หรือเรียกว่า NCEA) ที่มีไว้วัดระดับนักเรียนชั้น Year 11 (เทียบเท่ากับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในบ้านเรา) ของประเทศนิวซีแลนด์ จากการสอบในครั้งนั้นทำให้เด็กหลายๆ คนที่เข้าสอบร้องเรียนว่าข้อสอบนั้นยากเกินไปและอยู่นอกเหนือจากบทเรียน เด็กบางคนยอมรับว่าพวกเขาถึงกับนั่งร้องไห้ในห้องสอบเพราะว่าทำไม่ได้ ส่วนบางคนก็บอกว่าทำได้เพียง 2-3 ข้อจาก 15 ข้อเท่านั้น และเพื่อนของเขาเองก็ทำได้ประมาณนี้เหมือนกัน หรือแม้แต่บางคนที่ไม่เขียนอะไรในกระดาษคำตอบเลยก็มี Amanda Fraser ประธานสมาคมคณิตศาสตร์ Otago ในนิวซีแลนด์ บอกว่าข้อสอบนั้นยากจนเกินไปและบางข้อก็ทำให้อาจารย์หลายๆ คนเกิดความรู้สึกสับสน ซึ่งเธอมองว่าการข้อสอบที่ยากขนาดนี้จะเป็นตัวทำลายความมั่นใจและการเห็นคุณค่าในตัวเองของเด็ก ส่วนหนึ่งของข้อสอบที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในครั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ทำให้คุณครูคณิตศาสตร์จาก 22 สถาบันได้ส่งจดหมายร้องเรียนไปให้กับกระทรวงศึกษาธิการและคณะกรรมการตรวจสอบกลาง (หรือเรียกว่า NZQA) จัดตั้งทีมตรวจสอบขึ้นมาในทันที อย่างไรก็ตามหน่วยงานที่ดูแลการสอบในครั้งนี้ก็ได้ออกมาบอกว่า…
-
หญิงสาวตอกหน้าทุกคน ที่เคยดูถูกเธอว่า ‘โง่’ ด้วยการคว้าปริญญาตรีเกียรตินิยม
บางครั้งคำดูถูกก็อาจจะเป็นแรงผลักดันให้เราลุกขึ้นมาพิสูจน์ตัวเอง เพื่อเอาชนะคำสบประมาทเหล่านั้นให้ได้ และหญิงสาวชาวออสเตรเลียผู้นี้เองก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนที่สามารถเอาชนะคำดูถูกและตอกหน้าคนที่เคยทำร้ายจิตใจของเธอ “เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ฉันโดนดูถูกมานานหลายปี แต่ฉันใช้มันเป็นแรงผลักดัน” หญิงสาวที่ชื่อว่า Phoebe ได้เขียนผ่านเฟซบุ๊กของเธอ หญิงสาวต้องทนต่อความอับอายที่หลายๆ คนบอกว่าเธอนั้นไม่ฉลาด เธอมีปัญหาด้านการเรียนรู้หลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นความบกพร่องในการอ่านหนังสือ (Dyslexia) ความบกพร่องทางการคำนวน (Dyscalculia) ความบกพร่องทางการเขียน (Dysgraphia) และโรคสมาธิสั้น หลังจากที่สามารถคว้าใบปริญญาพร้อมเกรียรตินิยมมาครองได้สำเร็จ Phoebe ก็เขียนระบายความในใจของเธอผ่านเฟซบุ๊กว่า “ถึงครูที่เคยบอกกับพ่อแม่ของฉันว่าให้ควรให้ฉันเลิกเรียนเพราะฉันจะทำให้เกรดของเด็กคนอื่นๆ ตกไปด้วย ถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ด่าฉันหน้าชั้นเรียนจนฉันแทบร้องไห้ เพียงเพราะว่าฉันสะกดคำผิด ถึงพ่อแม่ของนักเรียนคนอื่นที่เคยบอกครูประจำชั้นว่าอย่าให้ลูกๆ ของพวกเขานั่งใกล้ฉัน เพราะกลัวจะทำให้พวกเขาติดเชื้อโง่ไปด้วย ถึงระบบการศึกษาสุดห่วย ที่บอกว่าฉันมีคะแนน ATAR แค่ 49 (คะแนน ATAR เป็นระบบวัดความรู้ของเด็กนักเรียนออสเตรเลีย คนที่ได้คะแนนเยอะที่สุดในชั้นปีจะมีคะแนน 100 ถ้าได้ 49 คะแนน แปลว่าคุณได้คะแนน 49 เปอร์เซ็นของคนที่ได้เยอะที่สุด) หลังจากที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ฉันก็พบว่าตัวเองป่วยด้วยโรคหลายโรค แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็สามารถจบการศึกษาด้วยเกรดที่สูงที่สุดคนหนึ่งของคณะ สำหรับใครก็ตามที่ทำให้ฉันอับอาย เพราะฉันไม่เหมือนพวกคุณ ระวังให้ดีล่ะ เด็กพิการอย่างพวกเราก็สามารถเอาชนะพวกคุณได้ด้วยวิธีการของพวกเรา” และแน่นอนว่าเรื่องราวของเธอนั้น กลายเป็นที่พูดถึงไปทั่วอินเตอร์เน็ต และหลังจากที่เธอโพสต์ข้อความดังกล่าวลงบนโลกออนไลน์…
-
James Meredith นักศึกษาผิวดำคนแรก ในประวัติศาสตร์อเมริกา เรื่องจริงที่เราควรได้รับรู้…
ย้อนกลับไปในอดีตการเหยียดผิวในประเทศอเมริกานั้นเป็นเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่ารุนแรงมากๆ เลยล่ะ เหล่าคนผิวสีทั้งหลายไม่สามารถมีสิทธิมีเสียงเป็นของตัวเองถูกลดทอนคุณค่าให้เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ย่อท้อต่อสู้เพื่อเสิทธิเสรีภาพในการใช้ชีวิตของตัวเองจนในที่สุดก็สามารถผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายมาได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่กว่าจะเป็นเหมือนปัจจุบัน (ซึ่งในปัจจุบันเองก็ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่) และหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ที่เรียกได้ว่าเป็นก้าวใหม่ที่เปลี่ยนแนวคิดเรื่องของการเหยียดผิวเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็คือเหตุการณ์ที่ James Meredith นักศึกษาผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกาที่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ในช่วงที่ความรุนแรงในการเหยียดผิวกำลังครุกกรุ่น ชีวิตในมหาวิทยาลัยของ James จะเป็นอย่างไรบ้างนะ? เราลองไปชมเรื่องราวของเขาพร้อมๆ กันเลยดีกว่า ช่วงชีวิตก่อนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย James เกิดเมื่อปี 1933 ในเมือง Kosciusko รัฐ Mississippi เป็นลูกครึ่ง African กับ American หลังจากจบการศึกษาในระดับมัธยมปลายแล้วได้เข้ารับการเกณฑ์ทหารและรับใช้ชาติในกองทัพอากาศนานกว่า 9 ปี ภาพระหว่างเรียนในมหาวิทยาลัย หลังจากที่ปลดประจำการมาแล้วเขาก็ได้ชมการปราศรัยของท่านประธานาธิบดี John F. Kennedy ถึงการผลักดันให้มหาวิทยาลัย University of Mississippi ที่เป็นมหาวิทยาลัยประจำรัฐ ให้กลายเป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดกว้างมากขึ้น ทำให้ James ตัดสินใจที่จะยื่นใบสมัครเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่นี่ โดยครั้งแรกได้เขียนในใบสมัครไว้ด้วยว่า… “ไม่มีใครรับผมเข้าเรียนหรอก ผมเชื่อว่าอย่างนั้น และก็เชื่อมาจนถึงทุกวันนี้ มันเป็นความรับผิดชอบของผมต่อการกระทำของพระผู้เป็นเจ้า ผมมีความคุ้นเคยกับความยากลำบากที่น่าจะเกิดขึ้นในระหว่างการเรียนในมหาวิทยาลัย…
-
ฟินแลนด์เริ่มเปลี่ยนหลักสูตรการเรียน โดยนำเอา ‘วิชาพื้นฐาน’ ออกไปจากระดับ ม.ปลาย!?
ระบบการศึกษาของประเทศ Finland นั้นถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในระบบที่ดีที่สุดในโลก จากการจัดระดับของนานาชาติแล้วพวกเขาจะต้องติดอยู่ 1 ใน 10 อันดับแรกเสมอ แต่อย่างไรก็ตาม ทางผู้บริหารก็ยังคงไม่หยุดยั้งที่จะทำการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศตัวเองต่อไป ถึงแม้ว่ามันจะให้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีทุกปีก็ตาม และล่าสุดทางฟินแลนด์ก็เพิ่งจะประกาศออกมาเป็นทางการว่าพวกเขาต้องการที่จะยกเลิกวิชาเรียนหลากหลายวิชาออกจากหลักสูตรการศึกษา จะไม่มีการสอนวิชา ฟิสิกส์, คณิตศาสตร์, วรรณคดี, ประวัติศาสตร์, และภูมิศาสตร์ ในโรงเรียนอีกต่อไป รัฐมนตรีของกระทรวงการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ Marjo Kyllonen ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวว่า “มีโรงเรียนมากมายที่ทำการเรียนการสอนในแบบเก่าๆ ซึ่งมันส่งผลดีอย่างมากใช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่ความต้องการมันเปลี่ยนไปแล้ว และพวกเราต้องการอะไรที่มันใหม่สำหรับศตวรรษที่ 21” แทนที่จะต้องมานั่งเรียนแต่ละวิชาแยกกันไป เหล่านักเรียนทั้งหลายจะได้เรียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ และปรากฏการณ์ต่างๆ ในรูปแบบของสหวิทยาการ ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาเรื่องราวในสงครามโลกครั้งที่สองผ่านมุมมองทางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เป็นต้น ด้วยวิธีการเรียนการสอนแบบ “Working in a Cafe” (อารมณ์แบบนั่งเรียนในร้านกาแฟ) จะช่วยให้นักเรียนนั้นสามารถดูดซับความรู้ทั้งหมดไปในคราวเดียว นอกจากนี้ยังมีการฝึกภาษาอังกฤษ วิชาเศรษฐศาสตร์ และ สกิลการสื่อสารกับผู้อื่น ในบทเรียนด้วย …
-
เด็กน้อยป่วย ‘ลูคีเมีย’ ต้องเดินทางคนเดียว 400 กิโล เพื่อไปรักษา และกลับมาเรียนให้ทันเวลา..!!
เรื่องราวของเจ้าหนูน้อยที่ป่วยเป็นโรคลูคีเมีย (หรือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว) และต้องเดินทางไป-กลับเป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร ระหว่างโรงเรียนและโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาและเรียนในเวลาเดียวกัน Shi Luyao หนุ่มน้อยวัย 11 ปี ได้รับการตรวจพบว่าเป็นโรคลูคีเมียเมื่อปี 2013 ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลามากพอสมควรในทำคีโมเพื่อทำการรักษา และต้องได้รับการตรวจกระดูกสันหลังอย่างละเอียด ในเรื่องของการรักษานั้นเจ้าหนุ่มน้อยได้รับการช่วยเหลือจากประกันภัยสังคมเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เป็นเพราะว่าเขาต้องย้ายตามคุณพ่อจากเมืองเกิด Guizhou ไปทำงานที่เมือง Anhui (หลังจากที่แม่ทิ้งไปเมื่อตอนเขาอายุได้เพียง 2 ขวบ) และด้วยเหตุนี้เองทำให้คุณพ่อของหนุ่มน้อย Luyao นั้นต้องพยายามหาเงินทุกวิถีทาง กว่า 1 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้จ่ายเป็นค่ารักษาส่วนต่างที่ประกันไม่ได้จ่ายให้ การหาเงินระดมทุนนั้นเองก็เป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ในประเทศจีนนั้นการขอเรี่ยไรเงินเพื่อนำไปรักษาโรคมะเร็งนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างยาก (เอาจริงๆ ก็ยากหมดเกือบทุกประเทศแหละนะ ถ้าเราเกิดมาแล้วมีสุขภาพที่ย่ำแย่ แต่ช่วงหลังมีเว็บระดมทุนพวกนี้ในโลกฝั่งตะวันตกเยอะกว่าทางฝั่งเอเชียนั่นเอง) เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้ คุณพ่อของหนูน้อย Luyao ได้ทำการสวมใส่หน้ากากม้าและให้คนมาขี่หลังเพื่อหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับลูกชาย และเมื่อสองปีก่อนเขาก็ได้ไปคุกเข่าอยู่หน้าบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งใน Sichuan ร่วมกับกลุ่มนักเรียนที่เป็นเพื่อนของลูกชายเพื่อขอยืมเงินจากผู้อำนวยการไปใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาล และในที่สุดการรักษาก็เริ่มขึ้น Luyao ต้องย้ายกลับไปอยู่ในเมือง Guizhou ที่เป็นบ้านเกิด เพื่อรับสิทธิ์ในการรักษาเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมเมื่อปีที่ผ่านมา…
-
โลกเดี๋ยวนี้มันโหดร้าย… เด็กสาวร้องไห้เป็นเผาเต่า เพราะทำการบ้านคณิตศาสตร์!?
เราทุกคนล้วนมีช่วงเวลาที่ ‘ทำการบ้านไม่ได้’ ทั้งนั้น เพราะมันจะยากขึ้นไปเรื่อยๆ ตามระดับการศึกษาของเรา ซึ่งแต่ละคนก็จะมีวิธีแก้ไขที่แตกต่างกันออกไป บางคนฝึกอ่านฝึกทำจนทำได้ บางคนก็ให้เพื่อนสอน บางคนลอกเพื่อน บางคนตีมึนส่งไปทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลยก็มี… (เราก็ทำบ่อย) แต่สำหรับเด็กสาวคนนี้ มันกลับเป็นเรื่องที่หนักหนาเกินจะรับไหวทีเดียว นี่เป็นคลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ผ่านผู้ใช้ทวิตเตอร์ @FreddyAmazin เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา ในคลิปนี้เป็นคลิปเด็กสาวชั้น ป.6 กำลังร้องไห้สะอื้น เนื่องจากการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ที่ได้รับมอบหมายมามีความยากเกินความสามารถของเธอ จนไม่รู้จะระบายออกทางไหนดี จากคลิปวิดีโอจะเห็นว่าเด็กสาวกำลังโวยวายถึงการบ้านของเธอ เมื่อพี่สาวของเธอมาเห็นเข้าก็ไม่ได้จะสงสารน้องตัวเองเลย แถมอดขำไม่ได้และหยิบมือถือขึ้นมาบันทึกช่วงเวลาฮาๆ ไว้ให้น้องสาวกลับมาดูในอนาคต คลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบชัดๆ ยากจริงโว้ย!! นี่อาจสะท้อนถึงการเลี้ยงดูลูกและวัฒนธรรมการศึกษาในต่างประเทศได้บ้างนะ แต่คงไม่ทั้งหมด เพราะวัยรุ่นหลายๆ คนที่ใช้ชีวิตและเรียนได้อย่างพอดิบพอดีก็มีเช่นกัน ที่มา distractify , @FreddyAmazin
-
เทรนด์ฮาๆ เปรียบเทียบ “วันแรก-วันสุดท้าย” ชีวิตการเรียน ว่าเปลี่ยนไปกันขนาดไหน!?
สำหรับเด็กๆ แล้ว หนึ่งในหน้าที่ที่พวกเขาทุกคนต้องทำคือการร่ำเรียนหนังสือซึ่งก็จะมีระยะเวลาประมาณ 12-18 ปี แน่นอนว่าตลอดระยะเวลานั้น พวกเขาต้องผ่านช่วงชีวิตหลากหลายช่วง จากเด็กสู่วัยรุ่น จากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ ซึ่งเมื่อมองย้อนดูแล้ว มันช่างเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่โตพอดูเลยทีเดียว เมื่อมีกระแสจัดประกวดภาพถ่ายเปรียบเทียบ “วันแรก-วันสุดท้าย” ของชีวิตการเรียน ว่าแต่ละคนจะเปลี่ยนไปขนาดไหนนั้น #เหมียวอ๊อดโด้ ขอหยิบยกภาพที่ได้คะแนนโหวตสูงมาให้ชมกันสัก 15 ภาพล่ะกันครับ… จากตัวนิดเดียว ตอนนี้พ่ออุ้มแทบจะไม่ไหวแล้ว เธอต้องเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวแน่นอน เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน จากกระเป๋าอนุบาล สู่ชุดครุยแห่งความพยายาม สองเพื่อนซื้ตั้งแต่เด็กจนจบมหาลัย ที่ต่างคงมีเพียงอายุที่เพิ่มขึ้น ท่าเดิม รถคันเดิม คนคนเดิม แต่เวลาเปลี่ยนไป ยิ้มแป้นเหมือนเคย 13 ปีแห่งชีวิตนักเรียน จนเด็กน้อยในวันนั้น สู่คุณหมอในวันนี้ ไปหากางเกงมาจากไหนเนี่ย ฮา ยังน่ารักเหมือนเดิม 13 ปีผ่านไป เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะเนี่ย …
-
ผลวิจัยต่างประเทศ ‘การเล่นเกมออนไลน์’ ช่วยพัฒนาการเรียน – ดีกว่าอยู่กับโซเชียลเน็ตเวิร์ก
หลายคนอาจจะคิดว่า ผู้หลักผู้ใหญ่บางคน มักมีชุดความคิดเกี่ยวกับเกมในด้านลบๆ อยู่หน่อย ยิ่งเป็นเกมออนไลน์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันคือสิ่งมอมเมาเยาวชนโดยแท้จริง แต่#เหมียวฟิ้นจะบอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไปนะ เพราะมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งในต่างประเทศบอกว่าการเล่นเกมออนไลน์นี่แหละ ช่วยให้เราเรียนได้ดีขึ้น!? รองศาสตราจารย์ Alberto Posso จากโรงเรียนเศรษฐศาสตร์ การเงินและการตลาดในออสเตรเลีย ได้ใช้โปรแกรมสำหรับการประเมินผลนักเรียนในระดับนานาชาติเพื่อประเมินเด็กออสเตรเลียวัย 15 ปี กว่า 12,000 คน ที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ การอ่านและวิทยาศาสตร์ ศาสตราจารย์ Posso กล่าวว่าวิดีโอเกมสามารถช่วยให้นักเรียนฝึกฝนความสามารถในการเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้ “นักเรียนที่เล่นเกมออนไลน์สม่ำเสมอ ทำคะแนนเฉลี่ยได้ 15 คะแนนในวิชาคณิตศาสตร์ และ 17 คะแนนสำหนับวิชาวิทยาศาตร์” “เมื่อคุณเล่นเกมออนไลน์ คุณจะได้แก้ปัญหาปริศนาอยู่บ่อยๆ นั่นนำคุณไปสู่การพัฒนาการใช้ความรู้ทั่วไป และความสามารถในคณิตศาสตร์ การอ่านและวิทยาศาสตร์ที่คุณได้รับการสอนโดยคุณครูที่โรงเรียน ครูในโรงเรียนควรพิจารณาการผสมผสานวิดีโอเกมดังๆ เข้าไปในการเรียนการสอน ตราบเท่าที่มันไม่ได้มีความรุนแรงอยู่ในเกมนั้นด้วย” ในทางกลับกัน ศาสตราจารย์ Posso บอกว่าวัยรุ่นที่ติด Facebook หรือโปรแกรมแชททุกวันๆ จะทำคะแนนในวิชาคณิตศาสตร์ได้น้อยกว่านักเรียนที่ไม่ติดสื่อสังคมออนไลน์ใดๆ เลยถึง 20 คะแนน ทั้งหมดนี้อาจบ่งชี้ว่าพวกเขามีปัญหาในการคิดคำนวน…
-
เกม Civilization ถูกพิจารณาให้บรรจุลงในหลักสูตรมัธยมปลายของสหรัฐอเมริกา…
ไม่รู้จะเป็นการตอกหน้าผู้ใหญ่หลายๆ คนในประเทศนี้หรือเปล่า ที่บอกว่าเกมเป็นเรื่องไร้สาระ เมื่อเกม Civilization V กำลังจะถูกบรรจุลงหลักสูตรการเรียนการสอนในชั้นมัธยมปลายของสหรัฐอเมริกา ทางค่าย Take-Two Interactive Software, 2K และ Firaxis Games ได้ร่วมมือกับบริษัท GlassLab Inc. ดัดแปลงเกม Civilization V เพื่อนำไปใช้ในหลักสูตรการศึกษามัธยมปลายในชื่อว่า CivilizationEDU ซึ่งจะเริ่มใช้งานกันในปี 2017 ที่จะถึงนี้ สาเหตุที่มีการนำเกมนี้มาใช้เป็นหลักสูตรการสอน เพราะตัวเกมมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม ความสัมพันธ์ทางการฑูต การทหาร และ เศรษฐกิจสังคม ซึ่งจะทำให้นักเรียนสามารถเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ได้ดีกว่าเดิม โดยทางครูผู้สอน จะต้องคอยแนะนำนักเรียนให้วางแผนการเล่นอย่างถูกต้องจนสามารถผ่านภารกิจแต่ละภารกิจไปได้ และต้องชี้แจงให้นักเรียนเห็นถึงผลดีและผลเสียของการตัดสินใจภายในเกมของพวกเขา Sid Meier หนึ่งในผู้ก่อตั้งเกมนี้กล่าวว่า “ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่เราพบขณะเล่นเกม Cilvilization คือพวกเรา “เรียนรู้” อะไรหลายๆ อย่างขณะที่เล่น” สุดยอดเกมกินเวลาชีวิตของ #เหมียวอ๊อดโด้ กำลังจะกลายเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนซะแล้ว น่าอิจฉาเด็กๆ ประเทศเขาจริงๆ แล้วเพื่อนๆ…
-
ถึงกับเงิบ!! คุณครูสั่งการบ้านให้เด็กสะกดคำว่า ‘xี’ พร้อมบอกผู้ปกครอง “อย่าคิดมาก”
แม้ว่า#เหมียวฟิ้นจะผ่านวัยเรียนมาได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังคงสนใจการเรียนการสอนของเด็กๆ สมัยนี้นะ เพราะต้องคอยช่วยดูการบ้านให้กับเด็กๆ หรือหลานๆ ที่บ้านเป็นครั้งคราว แต่ต้องยอมรับเลยว่าการบ้านแบบที่คุณกำลังจะได้เห็นต่อไปนี้ อาจจะทำให้คุณเงิบเลยก็ได้… เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปที่ใช้นามแฝงว่าคุณ บราวนี่รสเสน่หา ได้เข้ามาตั้งกระทู้เกี่ยวกับการบ้านวิชาภาษาไทยของหลานที่อยู่ชั้น ป.1 ซึ่งการบ้านนั้นเป็นการให้เด็กๆ แจกลูกสะกดคำของสระอี แต่เมื่อเจอโจทย์ข้อหนึ่งเธอก็ถึงกับเงิบเลยทีเดียว เพราะมีคำไม่สุภาพอยู่ในโจทย์ด้วย!? เธอจึงสงสัยว่าคำๆ นี้เป็นคำที่เกิดจากการพิมพ์ผิดหรือตั้งใจกันแน่เพราะเป็นคำที่หยาบคายเกินกว่าจะสอนเด็กประถมได้ ต่อมาคุณครูได้ให้คำตอบกับเธอว่า “คุณป้าอย่าคิดมาก ทุกวันนี้คำนี้ไม่ใช่คำไม่สุภาพแล้วนะคะ เราควรสอนให้เด็กรู้จักคำนี้ไปเลยค่ะ พวกครูภาษาไทยที่บอกว่าไม่เหมาะสมนั้นเป็นพวกหัวโบราณหรือเปล่าคะ คุณป้าอย่าคิดแทนเด็กเลยค่ะ พวกเขาไม่คิดอะไรหรอกค่ะ” หลังจากที่กระทู้นี้เริ่มได้รับความสนใจจากชาวเน็ตในวงกว้าง ก็เริ่มมีสมาชิกคนอื่นๆ เข้ามาให้ความเห็นว่าคำดังกล่าวเป็นคำที่ค่อนข้างหยาบคาย ไม่ควรมาอยู่ในบทเรียน และแม้ว่าจะไม่ได้มีการเรียนการสอนคำนี้แต่ในอนาคตพวกเขาก็จะสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว ตัวอย่างคอมเม้นท์จากชาวเน็ตที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นดังกล่าว… คุณ ผู้หญิงเลือดเย็น “ดิฉันเองก็เป็นครูภาษาไทย(หัวโบราณตามที่ถูกแขวะ) เพราะจะขอยืนยันว่า คำนี้มันไม่ใช่คำที่สุภาพ” “ควรอธิบายและทำความเข้าใจกับเขา แต่มันไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ให้เป็นจุดเด่น การบอกว่าไม่เหมาะที่ครูจะเลือกมาใช้ในใบงานไม่ใช่ปิดกั้นไม่ให้เด็กรู้จักนะคะ” “#มีบางความเห็นบอกว่าคำนี้ไม่มีความหมาย ไม่มีพจนานุกรมเล่มไหนให้ความหมายมัน ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานเล่มปัจจุบัน ให้ความหมายคำว่า ห..อี.. ว่า น.อวัยวะสืบพันธุ์ของหญิงหรือสัตว์เพศเมียบางชนิด” . คุณ พิมพ์นรา “คือ…คำอื่นที่เหมาะสม…
-
อยากเรียนเป็นโอตาคุ!? จัดหนักกับหลักสูตรโอตาคุที่ต้องดูอนิเมะอย่างน้อย 20 ตอนต่อสัปดาห์
หากว่าความชื่นชอบสามารถนำไปต่อยอดได้ก็คงจะดีไม่น้อย อย่างเช่นในเรื่องของการ์ตูนที่เติบโตกับเรามาตั้งแต่เด็กๆ แต่ทว่าเมื่อเราโตขึ้นการ์ตูนก็คงเป็นเพียงได้แค่การ์ตูนเท่านั้น แต่ที่ญี่ปุ่นก็เริ่มมีการเปิดสาขาวิชาเกี่ยวกับการ์ตูนและอนิเมะเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่เป็นแรงขับเคลื่อนของประเทศเลยก็ว่าได้ โดยจะเป็นหลักสูตรที่เกี่ยวกับการ์ตูนและอนิเมะอย่างจริงจัง อย่างเช่นมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจากญี่ปุ่นไม่เปิดเผยนามนี้ ได้เปิดหลักสูตรที่เกี่ยวข้องโดยตรง คุณสมบัติของผู้สมัครนั้นเรียกได้ว่าเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการ์ตูนสุดๆ มีการเปิดเผยประมวลรายวิชาออกมา มีใจความดังต่อไปนี้ หลักสูตร / วิธีการ: ในหลักสูตรนี้เราจะชมอนิเมะเป็นเหมือนดั่งภาพยนตร์และงานศิลปะ จะมีการตรวจสอบและวิเคราะห์แนวโน้มของผลงานที่สำคัญต่างๆ จากยุคปี 2000 อย่างเช่นอนิเมะเก่าๆ เรื่อง Gundam และ Evangelion รวมไปถึงเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น Star Driver, Code Geass, Lucky Star, Durarara!!, Monogatari Series, Tiger & Bunny, Penguindrum, และ PSYCHO-PASS เป็นต้น อีกทั้งจะมีการหารือในประเด็นวัฒนธรรมโมเอะ วัฒนธรรมการเล่นเกม วัฒนธรรมฟูโจชิ คอสเพลย์ และรูปแบบเชิงสัญลักษณ์ในมังงะ *หมายเหตุ: ชั้นเรียนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับอนิเมะและมังงะ ต้องมีความสามารถในการพูดเชิงการ์ตูนอย่างคล่องแคล่วด้วย…
-
เมื่อผมสอนวิชาประวัติศาสตร์…คุณครูเผยภาพสมุดของนักเรียน อธิบายประวัติศาสตร์ได้เข้าใจง่ายม๊าก!!
หากจะพูดถึงวิชาที่น่าเบื่อ ที่ไม่ว่าใครได้เรียนก็หลับกันเป็นแถว เห็นจะหนีไม่พ้นวิชาประวัติศาสตร์ละนะ เพราะมีรายละเอียดที่เยอะมากกก ใครทำอะไร เมื่อไหร่ ที่ไหน แถมยังเป็นเหตุการณ์ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว การจะให้มานั่งท่องจำ อาจจะต้องใช้เวลานานสักหน่อย และด้วยความยากของวิชานี้เอง ทำให้เด็กๆ ต้องการวิธีในการจดจำ เช่นการจดโน๊ตเล็กๆ ไว้ในกระดาษ การใช้ปากกาไฮไลท์เพิ่มสีสัน หรือแม้แต่การวาดรูปก็ช่วยให้เนื้อหาในตำรานั้นน่าจดจำได้เหมือนกัน อย่างเช่นเรื่องราวที่เหมียวจะให้ดูต่อไปนี้ เมื่อไม่นานมานี้เหมียวได้ไปเจอเข้ากับภาพชุดหนึ่งจากเฟซบุ๊กของคุณ Chonlapoom Banharn ซึ่งเป็นคุณครูท่านหนึ่งจากโรงเรียนสาธิตมศว. ปทุมวัน เป็นภาพสมุดวิชาเรียนประวัติศาสตร์ของเด็กนักเรียนคนหนึ่ง ที่จดได้ละเอียด เข้าใจง่าย พร้อมกับวาดภาพน่ารักๆ ประกอบไปด้วย ทำให้วิชาที่น่าเบื่อ กลายเป็นวิชาที่ง่ายต่อการเข้าใจมาก . . . . . . . . . . . . . . . . . ทั้งนี้คุณครูยังได้บอกผ่านเฟซบุ๊กด้วยว่า อยากให้มีสำนักพิมพ์สักแห่งจ้างนักเรียนคนนี้ไปวาดรูปให้เหลือเกิน…
-
ชมโฆษณาเกาหลีสุดสะเทือนใจ เล่าถึงปัญหาพ่อแม่กดดันลูกเรื่อง “การเรียน” มากจนเกินไป..
เหมียวเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนก็อยากให้ลูกได้เรียนสูงๆ เผื่อว่าอนาคตลูกจะได้มีการงานที่ดีๆที่ แต่ปัจจุบันสังคมมันได้เปลี่ยนไปแล้ว ต่อให้เรียนสูง เกรดดีมากแค่ไหน งานดีๆมันก็ต้องแย่งกันอยู่ดี และบริษัทส่วนมากก็ดูกันที่ประสบการณ์ วันนี้เหมียวไปเจอโฆษณาเกาหลีตัวหนึ่งชื่อว่า “The Tough Life of A Korean Student” เล่าเรื่องชีวิตที่แสนลำบากของชีวิตนักเรียนเกาหลี ซึ่งพอดูแล้วเหมียวคิดว่าไม่ใช่เฉพาะเกาหลีแน่นอนที่เป็นแบบนี้ บ้านเราก็เป็นเหมือนกัน ในคลิปนี้เป็นเรื่องราวชองเด็กนักเรียนสาวคนหนึ่ง ที่คุณแม่อยากให้เธอได้เรียนทางด้านวิศวกรรม และเธอคนนี้ก็พยายามทำตามใจแม่ โดยขอคุณแม่อย่างหนึ่งว่าถ้าเธอสอบผ่านแล้ว เธอขอทำอะไรก็ได้ตามใจเธอ คุณแม่ก็ตกลงข้อเสนอนั้น พร้อมกับเฝ้าลูกอ่านหนังสืออย่างเข้มงวด ให้ลูกไปเรียนกวดวิชากลับบ้านดึกๆ อ่านหนังสือต่อจนดึก โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วลูกของเธอมีความสนใจทางด้านศิลปะมากกว่า แต่เมื่อผลสอบครั้งแรกออกมา เธอยังสอบไม่ผ่าน แม่ก็เลยให้เธออ่านหนัง เรียนหนักขึ้นกว่าเดิม จนสุดท้ายเธอก็สอบผ่าน และเธอก็ทวงสัญญาที่เคยให้ไว้กับแม่ว่าขอทำตามใจตัวเอง ซึ่งแม่ก็อนุญาตให้เธอทำแล้ว เรื่องราวนี้ยังไม่จบ เราไปชมคลิปอันน่าสะเทือนใจนี้กันเลย มันสะท้อนอะไรให้เราได้เห็นหลายอย่างเลยล่ะ ดูจากรูปที่เด็กนักเรียนคนนี้วาดแล้ว รู้เลยว่าเธออยากมีอิสระมากแค่ไหน… ที่มา 스낵비디오
-
‘ทำไมต้องเรียนหนังสือ?’ ที่ปรึกษาด้านการศึกษาของญี่ปุ่น ตอบได้อย่างลึกซึ้งและคมคาย!!
การศึกษาถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อเสริมสร้างความรู้และเปิดโลกให้กว้างได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งในสังคมญี่ปุ่นก็ให้ความสำคัญกับการศึกษามาก แต่ก็ใช่ว่าเด็กทุกคนจะรักการเรียนเสมอไป จนกระทั่งกลายมาเป็นคำถามว่า ‘ทำไมต้องเรียนหนังสือ?’ ผู้เชี่ยวชาญและเป็นที่ปรึกษาทางด้านการศึกษาของญี่ปุ่น คุณ Nobufumi Matsunaga ก็ได้ให้ความสำคัญกับคำถามที่ว่านี้ และการจะตอบคำถามนั้นจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ต้องขัดเกลาคำตอบให้กระจ่างแจ้ง เพื่อทำให้เด็กๆ เข้าใจว่าทำไมการศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มจากคำตอบในทางด้านบวกกันก่อน ‘การศึกษาจะสะท้อนได้ดีที่สุดนั้นก็ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยและพัฒนาการของเด็ก โดยทั่วๆ ไปแล้วการศึกษาจะช่วยให้คุณพัฒนาตัวเอง ส่งผลให้คุณสามารถไปประกอบอาชีพที่คุณชอบและสามารถหาเงินเลี้ยงชีพในอนาคตได้ ทั้งนี้เรียนหนังสือก็เพื่ออิสรภาพนั่นเอง’ แต่ที่เราเรียนหนังสือกันนั้นก็ใช่ว่าจะเรียนเพื่อพัฒนาตัวเองเสมอไป เขากล่าวเสริมเอาไว้ว่า ‘นอกจากนี้ โลกของเราเต็มไปด้วยการโกหกและการหลอกลวง และด้วยเหตุผลนี้ทำให้เราต้องการที่จะเติบโตขึ้นเพื่อให้รู้ทันคน เราสามารถสามารถตรวจจับการโกหกด้วยการเรียนหนังสือ แต่ถ้าเราไม่พัฒนาทักษะทางด้านตรรกะความคิดจากการเรียนหนังสือเลย คุณก็จะมารู้สึกเสียใจในภายหลัง’ ทั้งนี้เขากล่าวปิดท้ายไว้อย่างคมคายว่า ‘เด็กๆ จะมีความอ่อนไหวต่อแนวคิดของการได้มาและการสูญเสีย เพราะฉะนั้นการอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขาเข้าใจ ก็จะทำให้พวกเขาเห็นภาพอนาคตของตัวเองหลังจากให้ความสำคัญกับการศึกษา’ ที่มา : rocketnews24
-
สลัดความเครียดทิ้งไป แล้วมาชม 23 ภาพฮาๆ ที่จะมาสร้างความสุข และเสียงหัวเราะกันดีกว่า!!
ณ จุดจุดนี้ ใครที่กำลังเครียดอยู่กับการทำงาน หรือการเรียน เหมียวอยากจะขอให้คุณเบรกความเครียดนั้นไว้สักครู่ แล้วมาชมอะไรฮาๆ แก้เซงกันดีกว่า เพราะในวันนี้เหมียวจะมามอบความสุขเล็กๆ ให้กับเพื่อนๆ โดยการพามาดู 23 ภาพสุดฮา ที่จะมาสร้างสีสันให้วันที่น่าเบื่อของคุณ กลายมาเป็นวันที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และความสุข หากใครที่พร้อมแล้ว เรามาชมภาเหล่านั้นพร้อมๆ กันเลยจ้า เป็นการดำน้ำดูปะการังที่ล้ำมากจริงๆ ดูเหมือนพี่แกจะภูมิใจ ที่จับจระเข้ยักษ์ตัวนี้ได้ วันว่างๆ ของพี่ม้า นั่งโซฟาเป็นเพื่อนคุณยาย มันลอยได้ยังไงกันเนี่ย หรือว่านี้มันเป็นภาพตัดต่อ ดูวุ่นวายกันเหลือเกิน เครื่องประดับของพี่แกดูแปลกไม่เหมือนใครเลย ช็อตเด็ดเชียร์หลีดเดอร์ มนุษย์ขน ดูสยองเหมือนกันนะว่ามั้ย นี่มันตัวอะไรกันนะ รถคันนี้เจ๋งจริงๆ คนถ่ายก็เก่งเนาะ จับภาพได้พอดีเป๊ะ เท้าประหลาด มีแค่ 3 นิ้วเอง 0.0 เรือโซล่าเซลลำนี้มันใหญ่โตมากจริงๆ …
-
18 อุปกรณ์การเรียน และของใช้ต่างๆ ที่มาในธีม ‘Harry Potter’ งานนี้สาวกพ่อมดตัวจริงห้ามพลาด!!
ใครที่เป็นสาวก Harry Potter ตัวจริงเชิญทางนี้ เพราะเรามีเครื่องเขียน และของใช้ของสะสมมากมายในธีม Harry Potter มาให้เพื่อนๆ ได้เลือกชมกัน ไม่ว่าจะเป็นปากกา หนังสือ กระเป๋า และของใช้อื่นๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าหากสาวก Harry Potter ตัวจริงได้เห็น จะต้องกรี๊ดร้องในความอยากได้แน่ๆ ถ้าอย่างนั้นเรามาชมกันเลยดีกว่า ว่าของใช้ที่เหล่ามักเกิ้ลก็สามารถใช้ได้เหมือนกันมีอะไรบ้าง 1.สมุดจดตารางเวลา (อยากได้กันละสิ) ภายในเป็นช่องตาราง สามารถจดทุกอย่างลงไปได้ง่ายๆ 2.ปากกาขนนกสีดำและทอง 3.กระเป๋าเป้ 4.กระเป๋าซิปใส่ของ 5.ปากกาขนนกสุดคลาสสิก 6.สมุดโน้ตที่ทำเป็นปกวิชาต่างๆ 7.ปกสมุดวิชาต่างๆ 8.ปกผ้าตราฮอกวอตส์ 9.ดินสอสลัก quote 10.กล่องอาหารเที่ยงลายเครื่องรางยมทูต 11.Post-It ตราปีศาจ 12.กระเป๋าผ้าตราสเนป 13.คลิปหนีบกระดาษรูปสายฟ้าฟาด …