Tag: การแพทย์
-
10 วิธีการรักษาทางการแพทย์ “แปลกๆ” ในอดีต โชคดีแล้วที่เราไม่ได้เกิดมาในยุคนั้น…
โรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอกับมนุษย์เรา แต่โชคดีที่มนุษย์นั้นสามารถหาทางรักษาโรคต่างๆ ได้ แต่กว่าจะค้นหาวิธีการรักษาแต่ละโรคได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย ทุกวันนี้ เพียงการรักษาด้วยการฉีดยาหรือผ่าตัดสำหรับบางคนก็อาจจะร้อง “ยี้” แล้ว แต่ลองย้อนกลับไปสมัยก่อนที่การแพทย์กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาล่ะก็ รับรองว่าการรักษาโรคไม่ได้ทำง่ายๆ เพียงแค่ฉีดยาแน่นอน ไปชมกันเลยว่าในสมัยก่อนการรักษาโรคต่างๆ กว่าจะประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้ได้ต้องผ่าน ความเชื่อผิดๆ แบบไหนมาบ้าง…?? 1. รักษาด้วยการ “มีเซ็กส์กับชาย/หญิงบริสุทธิ์” ครั้งหนึ่งเมื่อคุณมีโรคติดต่อทางเพศ มีความเชื่อว่าหากไปมีเพศสัมพันธ์กับชาย/หญิงบริสุทธิ์ โรคจะถูกส่งต่อไปสู่คนผู้นั้น และคุณก็จะหาย (แถมทุกวันนี้บางที่ก็ยังเชื่อแบบนี้อยู่เลย) 2. รักษากามโรคด้วย “โรคมาลาเรีย” ครั้งหนึ่ง แพทย์ส่วนใหญ่เชื่อว่าการฉีดเชื้อโรคมาลาเรียเข้าไปในผู้ที่ป่วยเป็นโรคซิฟิลิสจะทำให้อาการไข้สามารถทำลายเชื้อของทั้งสองโรคได้ แต่ผลสุดท้ายคนไข้ก็ตายด้วยโรคมาลาเรีย 3. หนูตายรักษาได้แทบทุกอย่าง ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณซากหนูที่ตายนั้นจะถูกนำมาใช้รักษาอาการปวดฟัน ส่วนในสมัยเอลิซาเบธ ศพหนูจะถูกผ่าครึ่งแล้วนำมารักษาหูด นอกจากนี้หนูตายตามรายงานยังบอกว่าเคยถูกนำมาใช้รักษาอาการไอกรน โรคหัด ฝีดาษ และการฉี่รดที่นอนอีกด้วย 4. เหล็กแหลมร้อนรักษาริดสีดวง ในสมัยโบราณ นักบวชกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อการใช้เหล็กแหลมร้อนเสียบเข้าไปในรูทวารนั้นสามารถรักษาอาการริดสีดวงทวารได้ 5. การใช้ปรอทเหลว ในสมัยกรีกและเปอร์เซียโบราณมีการใช้ปรอทเหลวเป็นเครื่องทาคล้ายยาขี้ผึ้ง ส่วนชาวจีนโบราณใช้เป็นยาอายุวัฒนะ และมีการใช้เป็นยาวิเศษอีกหลายแห่ง แต่ความจริงแล้วปรอทเหลวมีแต่จะนำความตายมาให้ 6.…
-
14 ภาพการรักษาสุดแปลกในสมัยอดีตกาล ครั้นวิทยาการแพทย์ ยังไม่ก้าวหน้าเหมือนปัจจุบัน
ภาพถ่ายในอดีตช่วยให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ได้ เพราะที่ผ่านมานั้นกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ คนในยุคสมัยเก่าแก่จะต้องพบเจอกับอะไรมาบ้าง มีการลองผิดลองถูกหลายอย่างเพื่อให้ได้วิธีการที่ถูกต้องและดีที่สุด วิทยาการความก้าวหน้าทางการแพทย์ในอดีตคืออีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ อย่างเช่นการใช้เครื่องเอกซเรย์ที่ปลอดภัย Dr. Maxime Menard นายแพทย์ชาวฝรั่งเศส ถึงกับต้องสละนิ้วตัวเอง เนื่องจากเทคโนโลยีรังสีเอกซ์ในสมัยนั้นทำให้เขาได้รับรังสีมากเกินไป การเอกซเรย์ในแผนกรังสีวิทยาของ Dr. Maxime Menard ณ โรงพยาบาล Cochin ประเทศฝรั่งเศส ทั้งนี้กลวิธีในการรักษาแปลกๆ เหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี บางวิธีอาจจะดูแปลกเกินไปหน่อยจนอาจจะเกินเลยทำให้ผู้ป่วยได้รับผลกระทบที่แย่มากกว่าเดิม เมื่อพบว่าไม่ก่อให้เกิดผลดีจึงต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ให้ดีขึ้น Gerald Blackburn เด็กหญิงผู้ป่วยภายในเต้นท์ให้ออกซิเจนของโรงพยาบาล Princess Beatrice Hospital กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ รถพยาบาลในอดีตของออสเตรีย ซ้อนผู้ป่วยเป็นชั้นอยู่ภายในห้องโดยสาร เครื่องนวดเอวของสหรัฐอเมริกาปี 1928 หนึ่งในกรรมวิธีคลอดให้เจ็บปวดน้อยที่สุดด้วยการสูดดมยาแก้ปวด ในปี 1939 การแช่แขนและเท้าในอ่างพร้อมกับปล่อยกระแสไฟฟ้า เพื่อช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ปี 1938 ‘ปอดเหล็ก’ ต้นกำเนิดของเครื่องช่วยหายใจในปัจจุบัน ใช้งานในปี 1938…
-
คุณหมอมะกันเผย บีบสิวแบบทั่วไปน่ะผิด ต้องจิ้มต้องแทงแบบที่ผมบอกนี่!!
ที่เห็นในคลิปนี้คงเป็นวิธีที่เราๆท่านๆ ผู้ผ่านช่วงวัยรุ่นมาแล้วเคยทำกันบ้างนะ แต่แท้ที่จริงแล้ววิธีการบีบสิวด้วยแรงดันเช่นนี้น่ะ มันไม่ดีต่อผิวเราซะเลย จนคุณหมอ Mehmet Oz ได้ไปออกรายการที่วีชื่อดังของมะกัน Oprah Winfrey show เขาเผยว่า 1 ใน 5 ของคนที่เป็นสิว ชอบนักหนากับการบีบสิวแบบในคลิปนี้ (ซาดิสต์เล็กๆนะ แต่เหมียวก็ชอบ อิอิ) ทว่ายุทธศาสตร์หลักที่ถูกต้องนั้น เราไม่ควรบีบแบบนั้น ควรใช้เข็มเล็กๆทิ่มไปที่ผิวตามรูปนี้ตะหาก “อย่าได้บีบสิวแบบนั้นอีกล่ะ เพราะมันจะทำให้เนื้อเยื้อเราเปื่อยยุ่ยหมด” เขากล่าว การบีบแบบที่เขาทำกันน่ะ คือการทำลายเนื้อเยื่อดีๆ รอบข้างไปด้วย ที่ควรทำคือสอดเข็มเข้าไปในแนวขนานกับผิวเรา จากข้างหนึ่งสู่ข้างหนึ่ง แล้วสิวอุดตันก็จะออกมาเอง ทำแบบนี้นะ อย่าทำแบบนี้นะ ที่มา Metro
-
หญิงป่วยมะเร็งเผย ‘สารสกัดน้ำมันกัญชา’ ช่วยฟื้นฟูร่างกาย กำจัดมะเร็งให้หายเป็นปกติได้!!
เรื่องของสุขภาพกับโรคร้ายที่ยากจะรักษา ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะได้ยินเมื่อเกิดขึ้นกับตัวเองหรือแม้แต่กับคนใกล้ตัว โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ที่สามารถลุกลามไปทั่วร่างกาย และยากต่อการเยียวยาให้หายขาดได้ ดั่งเช่นเรื่องของ Joy Smith หญิงชาวอังกฤษวัย 52 ปี เธอถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ในปี 2016 และเวลาที่เหลือของเธอนั้นมีเพียงแค่ 6 เดือนต่อจากนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป 2 ปี ทุกอย่างกลับกลายเป็นดีขึ้นเรื่อยๆ Joy Smith ในวัย 52 ปี การฟื้นฟูร่างกายอันน่าประหลาดใจนี้ เธอกล่าวว่ามีผลส่วนหนึ่งมาจากการรับ ‘สารสกัดน้ำมันจากกัญชา’ อย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสารต้องห้ามและผิดกฎหมายในอังกฤษก็ตาม… เธอเปิดเผยว่า “เมื่อคุณรู้ว่ามีชีวิตเหลือเพียงแค่ 6 เดือน คุณจะหาหนทางเพื่อลองทุกอย่าง เชื่อฉันสิ ในตอนแรกฉันไม่ค่อยมั่นใจกับน้ำมันกัญชาเท่าไหร่นัก เพราะฉันไม่เคยเสพยามาก่อน แต่ฉันรู้แล้วว่าหากไม่มีมันฉันก็คงไม่อยู่มาจนถึงวันนี้” “ฉันอยากจะบอกกับทุกคนว่า น้ำมันกัญชาควรจะเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายสำหรับใช้ทางการแพทย์ ผู้คนกำลังล้มตายจากการทำเคมีบำบัด ที่ไม่ได้ช่วยรักษาให้หายดีขึ้นเลย” ก่อนหน้านี้ Joy ได้รับการทำเคมีบำบัดสามวันต่อสัปดาห์ และจะเว้นระยะห่างเป็นทุกๆ สองสัปดาห์ แต่แล้วก็ต้องหยุดรับการรักษาเนื่องจากมีภาวะติดเชื้อ จากนั้นเพื่อนของเธอจึงแนะนำให้รู้จักกับน้ำมันกัญชา หนึ่งในนั้นก็ได้ให้น้ำมันกัญชาในรูปแบบยาเม็ด…
-
หญิงสาวกลายเป็นฮีโร่ หลังใช้มีด ‘แทงคอ’ สามี ที่สำลักเนื้อบาร์บีคิวจนรอดอย่างปาฏิหาริย์!!
‘อุบัติเหตุ’ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา หลายๆ ครั้งก็อาจทำให้เป็นเหตุให้เกิดการสูญเสียได้เลยทีเดียว… เช่นเดียวกันกับนาย Izak Bester วัย 50 ปี ชาวนิวซีแลนด์ ที่กำลังนั่งทานปาร์ตี้บาร์บีคิวกับแฟนสาวอย่างมีความสุขบนชายหาด Waimarama Beach ที่ตั้งอยู่ในอ่าว Hawke แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น Izak เกิดสำลักเนื้อบาร์บีคิว เพื่อนๆ ของเขาพยายามช่วยเหลือเขาด้วยวิธีเฮมลิก แมนูเวอร์ (เป็นวิธีการช่วยเหลือคนสำลักอาหารด้วยการกอดจากด้านหลัง แล้วใช้สันมือกระแทกบริเวณกระบังลมเพื่อให้อาหารกระเด็นหลุดออกมา) แต่ก็ไม่เป็นผล เขาหมดสติไป ปากของเขาเริ่มเปลี่ยนสีกลายเป็นสีฟ้า สีม่วง หลังจากนั้นก็กลายเป็นสีดำ แฟนสาวของเขา Sarah Glass ที่มีอาชีพเป็นผู้ช่วยทำคลอด ก็รู้ทันทีว่าเวลาของเขาใกล้หมดลงแล้ว คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่ Sarah กำลังจะทำต่อไปนี้เป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก แต่นั่นก็ช่วยชีวิตของ Izak จนรอดมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ เธอตัดสินใจหยิบมีดทำครัวขึ้นมา แล้วก็หาจุดที่อาหารติดอยู่ ก่อนที่จะแทงลงไปที่บริเวณลำคอ!? เพื่อเปิดช่องให้อากาศเข้าไปผ่านทางหลอดลม แม้อาจจะดูน่ากลัว แต่สิ่งที่ Sarah ทำนั้นเป็นเรื่องที่ส่งผลดีมากกว่าส่งผลร้ายกับ Izak จากนั้นเพื่อนๆ ก็หาถังออกซิเจนเพื่อสร้างอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในระบบการหายใจของเขา…
-
ผลจากการศึกษาพบว่าการสูบ ‘กัญชา’ มีส่วนทำร้ายสมองน้อยกว่าการดื่มแอลกอฮอล์
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเปิดเผยผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย University of Colorado Boulder ที่พบว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นั้นจะส่งผลทำร้ายสมอง มากกว่าการสูบกัญชา!! ซึ่งจากการศึกษาเผยว่าการสูบกัญชานั้นไม่ได้ส่งผลเสียต่อสมองในระยะยาว ซึ่งแตกต่างจากดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างเป็นประจำ การศึกษาดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในวารสาร Addiction ซึ่งได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ของระดับสารสีเทาและสีขาวในระหว่างการดื่มแอลกอฮอล์และสูบกัญชา ซึ่งสารดังกล่าวนั้นจะส่งผลต่อการทำงานของสมอง การศึกษาครั้งนี้ได้ทำการทดสอบในกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 55 ปี จำนวน 853 คนที่มีการใช้กัญชาและดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งได้ผลการศึกษาที่น่าสนใจอย่างมาก จากการศึกษาพบว่าในกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่มีการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำนั้นจะมีระดับของสารสีเทาที่มาก ซึ่งสารดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ใหญ่มากกว่ากลุ่มวัยรุ่น โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มเป็นเวลานานหลายปี นอกจากนี้ทีมวิจัยยังพบอีกว่าปริมาณของสารสีขาวนั้น ก็จะส่งผลกระทบต่อสมองกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีการดื่มแอลกอฮอล์เช่นกัน แต่สารดังกล่าวกลับไม่ส่งผลต่อผู้ดื่มที่อยู่ในกลุ่มของวัยรุ่น ส่วนในกลุ่มผู้ใช้กัญชาเป็นระยะเวลา 1 เดือนนั้นพบผลการศึกษาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งพวกเขาพบว่าการสูบกัญชาในระยะเวลาดังกล่าวไม่มีความสัมพันธ์กับปริมาณของสารทั้งสองตัวแต่อย่างใด “ในด้านของผลกระทบเชิงลบนั้น กัญชาแทบไม่ส่งผลกระทบเลยเมื่อเทียบกับแอลกอฮอล์” ดอกเตอร์ Kent Hutchison หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว แต่อย่างไรก็ตามดอกเตอร์ท่านดังกล่าวก็ได้เผยว่าถึงแม้ว่ากัญชาจะไม่ได้ส่งผลเสียต่อสมอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง “เมื่อเราลองดูการศึกษาเก่าๆ เราจะพบผลการศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งระบุว่ากัญชานั้นลดขนาดของ hippocampus ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสมองในการสร้างความทรงจำระยะยาวและการกำหนดทิศทางในที่ว่าง นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาในช่วงเวลาใกล้ๆ กันที่เผยว่ากัญชานั้นมีความสัมพันธ์กับการเปลี่นแปลงของ cerebellum ที่ทำหน้าที่สำคัญในการประมวลการรับรู้และการควบคุมการสั่งการ” ดอกเตอร์ Kent กล่าว ที่มา unilad
-
พบกับ 7 การทดลองอันสยดสยองที่เคยเกิดขึ้นบนโลกในอดีต ช่างน่าหดหู่ใจซะจริงๆ
(บทความนี้อาจมีภาพที่มีเนื้อหารุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม) ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโลกของเราในอดีตนั้น เคยมีความโหดร้ายเกิดขึ้นอย่างมากมายเพียงใด และยิ่งในช่วงที่เกิดสงครามขึ้นแล้ว การบาดเจ็บล้มตายรวมถึงการจับเชลยมาใช้แรงงาน ถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่เราสามารถเห็นได้ในทุกวันในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ แต่ว่าก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่อาจดูรุนแรงและวิปริตในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือการทดลองต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยสงคราม วิธีการทดลองนี้ส่วนมากก็จะใช้เหล่าเชลยศึกเป็นเหยื่อในการทดลอง ซึ่งมันก็ได้สร้างความทรมานใจให้แก่ผู้พบเห็นอย่างเราๆ เป็นอย่างมาก และนี่คือ 7 การทดลองสยองโลก ที่ว่ากันว่ามีความอำมหิตที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งมันจะน่ากลัวขนาดไหน รวมทั้งมีวิธีการอย่างไรบ้าง เชิญชมพร้อมๆ กันได้ ณ บัดนี้ 1. การทดลองเย็บเด็กให้กลายเป็นแฝดตัวติดกัน นี่เป็นหนึ่งในการทดลองของระบบนาซี ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Dr. Josef Mengele เกิดสนใจในการทำฝาแฝดขึ้นมา เขาจึงได้ทำการทดลองโดยใช้เด็กกว่า 1,500 คู่ในการทดลองครั้งนี้ และเมื่อถึงค่ายกักกันก็ปรากฏว่ามีเด็กที่สามารถรอดชีวิตเพียง 200 คู่เท่านั้น วิธีการทดลอง ในการทำแฝดสยามนั้น ทีมการทดลองนี้จะนำเด็กสองคน นำมาควักอวัยวะภายในบางอย่างออก จากนั้นก็จะเย็บให้ตัวติดกัน โดยเด็กๆ ส่วนมากจะเสียชีวิตจากการติดเชื้อ การทดลองนี้จึงสามารถบอกได้ถึงความโหดร้ายของนาซีได้เป็นอย่างดี 2. การทดลองเปลี่ยนสีตา การทดลองเรื่องนี้ก็เป็นของนาซีอีกเช่นเดียวกัน โดยการเปลี่ยนสีตาที่ว่านี้ มักจะใช้ผู้ทดลองเป็นชาวยิวเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าพวกเขาเป็นเชลยศึกที่ถูกจับมานั่นเอง…
-
ภาพประกอบทางการแพทย์แบบวินเทจ ดูแล้วหลอนถึงใจเพื่อการศึกษาที่เห็นภาพ!!
[บทความต่อไปนี้อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ดูรุนแรงที่ต้องใช้วิจารณญาณในการรับชม] ในสมัยปัจจุบัน เทคโนโลยีและสื่อต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการศึกษาทางด้านการแพทย์ในการนำเสนอวิธีการและตัวอย่าง แต่เคยคิดกันไหมล่ะว่าในอดีตนั้นมีการศึกษากันอย่างไร ย้อนไปเมื่อยุคศตวรรษที่ 19 ก่อนที่สื่อมัลติมีเดียต่างๆ จะกำเนิดขึ้น หลักการและขั้นตอนการผ่าตัดเหล่านี้จึงได้ถูกวาดเป็นภาพเพื่อสอนให้กับผู้คนที่ต้องการจะเรียนทางด้านสายการแพทย์ ตั้งแต่เทคนิควิธีการผ่าตัดไปจนถึงการอธิบายอุปกรณ์ต่างๆ ที่นำมาใช้ ภาพแต่ละภาพจะครอบคลุมเนื้อหาและทฤษฎีทางการแพทย์ที่แม่นยำในยุคนั้น ภาพวาดที่บรรยายถึงขั้นตอนต่างๆ จากศตวรรษที่ 19 ได้ถูกเรียบเรียงและตีพิมพ์โดย Richard Barnett นักประวัติศาสตร์ด้านการแพทย์ โดยหนังสือคู่มือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีความน่าสนใจและแสดงให้เห็นข้อมูลเชิงลึกที่ดูน่ากลัว แต่นั้นก็ได้เปลี่ยนโลกของวงการแพทย์ไปตลอดกาล . ภาพ cross section ของสมอง ภาพการผ่าหาเส้นเลือดในแขน . . . ภาพสาธิตวิธีการทำคลอดแบบผ่า ทั้งแบบเอาหัวออกก่อนและเอาขาออกก่อน . . การผ่าตัดดวงตา เป็นอะไรที่น่ากลัวสุดๆ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการผ่าตัด แต่ละภาพบางทีก็เหมือนจริงจนน่ากลัวเกินไป คนวาดนี่วาดได้เก่งสุดๆ ไปเลย ที่มา 9Gag
-
เด็กสาวป่วยเป็นโรคประหลาด หากหกล้มจะทำให้เธอเสียชีวิตทันที แต่ก็ยังไม่พ้นการถูกกลั่นแกล้ง
ว่ากันว่า ลาภอันประเสริฐที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิตก็คือ การไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ซึ่งก็อาจจะจริงอย่างที่ว่ากัน เพราะว่าในสมัยนี้เชื้อโรคใหม่ๆ ได้เกิดขึ้นทุกวันและเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเกินกว่าใครจะนึกถึง ปัจจุบันโลกของเราจึงเต็มไปด้วยคนป่วยจากโรคต่างๆ มากมาย ทั้งจากเชื้อโรคหรือการส่งต่อทางพันธุกรรม… สำหรับโรคที่ส่งต่อกันทางพันธุกรรมนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นโรคที่รักษาได้ยากกว่าโรคที่เกิดขึ้นทั่วๆ ไป และอาจก่อให้เกิดอาการแปลกๆ ที่เราอาจไม่เคยรู้จักได้ด้วย และก็มีเด็กสาวคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรมที่แปลกชนิดที่ว่า แทบจะไม่มีใครเป็นในโลกเป็น เรื่องราวนี้ได้รับการเปิดเผยเมื่อวันที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านมา โดย Cath Carter ผู้เป็นแม่ของ Lauren Stribling เด็กสาววัย 13 ปีผู้ป่วยเป็นโรคดังกล่าวเป็นผู้เล่าให้ฟัง โดยเธอบอกว่าลูกสาวของเธอป่วยเป็นโรคที่เรียกว่า มาร์แฟน ซินโดรม (Marfan syndrome) ซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับระบบเนื้อเยื่อที่อาจทำให้เกิดอันตรายแก่ปอดและหัวใจจนถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งพี่สาวของเธอ (ป้าของ Lauren) และแม่ของเธอ (ยายของ Lauren) ก็เสียชีวิตลงเพราะมีโรคนี้เป็นสาเหตุ สำหรับโรคมาร์แฟน ซินโดรม คือกลุ่มอาการที่เกิดความผิดปกติขึ้นที่เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่อาจก่อนให้เกิดอันตรายต่อหัวใจและปอด ซึ่งมันรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้หากหกล้มเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และนั่นคือสิ่งที่ Cath เป็นห่วง เพราะว่าในตอนนี้ลูกสาวของเธอกำลังถูกรังแกโดยเพื่อนๆ ที่โรงเรียน โดยกลุ่มคนเหล่านั้นเชื่อว่าโรคที่ Lauren กำลังเผชิญอยู่เป็นสิ่งที่เธอสร้างเรื่องมาเพื่อหลอกคนอื่น แม้ว่าเธอจะมีแขนขาที่ยาว ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรคนี้ก็ตาม…
-
คุณหมอเขียน “ชื่อ” และ “หน้าที่” ของตัวเองบนหมวกคลุมผม เกิดกระแสเปลี่ยนแปลงในวงการแพทย์
เมื่อเราต้องทำงานร่วมกับคนจำนวนมากที่แทบไม่รู้จักกันเลย เวลาเราต้องประสานงานหรือว่าช่วยงานกัน จึงทำให้การเรียกหรือระบุตัวคนเป็นเรื่องยาก เพราะว่าเราคงไม่สามารถจำชื่อคนทุกคนในเวลาอันสั้นได้ จากปัญหาดังกล่าว ทำให้หมอคนหนึ่งในเมืองซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เกิดความคิดสุดประหลาดขึ้นมาว่า หากเขาเขียนชื่อและตำแหน่งงานของตนเองลงบนหมวกคลุมผม เวลาที่ทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน คนอื่นจะได้รู้ว่าเขาชื่ออะไร ทำงานส่วนไหน Dr. Rob Hackett คุณหมอ Rob Hackett เขามักจะมีปัญหาเวลาที่ต้องทำงานกับคนอื่นในห้องผ่าตัด เพราะหมอแทบทุกคนจะใส่หน้ากากอนามัย และหมวกคลุมผม จนแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร มีหน้าที่อะไรบ้าง ซึ่งเวลาที่หมอแต่ละคนต้องการให้คนช่วยงาน พวกเขาก็จะเสียเวลามานั่งคิดนั่งจำว่าหมอคนนั้นชื่ออะไร เป็นหมอเชี่ยวชาญด้านใด จนอาจทำให้การผ่าตัดล่าช้าโดยใช่เหตุ เขาบอกว่า “เมื่อคุณต้องทำงานในโรงพยาบาลหลายแห่ง ร่วมกับคนหลายร้อยคน ผมบอกเลยว่าผมไม่รู้เลยว่าคนกว่า 3 ใน 4 นั้นชื่ออะไรบ้าง และเวลาจะเรียกให้ช่วยงานกันก็จะรู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกๆ” เขาเลยเขียนว่า “Rob วิสัญญีแพทย์” ลงบนหมวกคลุมผมของเขา ทีนี้แพทย์ทุกคนก็จะรู้แล้วว่าเขาทำหน้าที่อะไร และเรียกให้ช่วยงานได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลามาแยกว่าคนนั้นเป็นหมอด้านไหน หลังจากนั้นเพียง 6 เดือน ไม่น่าเชื่อว่าไอเดียนี้ของเขา กลายเป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นสากล และมีคนนำไปทำตามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ในประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร…
-
ภรรยาของชายผู้บริจาคอวัยวะได้สัมผัสใบหน้าของอดีตคนรัก ที่กลายเป็นใบหน้าคนอื่นอีกครั้ง
การให้หรือการมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับผู้อื่นนั้น บางครั้งอาจจะไม่เกิดผลที่เราสามารถเห็นได้อย่างทันที แต่มันอาจเป็นเรื่องยิ่งใหญ่อย่างคาดไม่ถึง เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวคนนี้ ก่อนหน้านี้เราได้รายงานเกี่ยวกับเรื่องของคุณ Andy Sandness ชายหนุ่มที่เข้ารับการบริจาคใบหน้าจากครอบครัวของคุณ Lilly Ross เมื่อปี 2016 หลังจากผ่านไปหนึ่งปีกว่า คุณ Lilly ก็ได้มีโอกาสได้สัมผัสผิวหน้าของสามีที่เธอคุ้นเคยเธออีกครั้ง และถึงแม้ว่าในครั้งนี้จะไม่เหมือนกับการได้พบกับสามีของเธอเหมือนทุกๆ ครั้ง แต่มันก็ทำให้เธอมีความสุขได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งสองพบกันเมื่อประมาณเดือนตุลาคม หลังจากได้รับคำเชิญจาก Mayo Clinic ณ ห้องสมุดของคลินิกดังกล่าว ในรัฐมินนิโซตา หญิงสาวได้เริ่มพูดคุยกับชายผู้รับบริจาคใบหน้าของสามีเธอ ก่อนที่จะเริ่มสัมผัสไปที่ผิวของของเขา การทำศัลยกรรมดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่คุณ Sandness ต้องเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายเนื้อเยื่อที่ใบหน้า หลังจากที่เขาเคยคิดสั้นโดยการใช้ปืนจ่อยิงที่ใต้คางของตัวเอง จนทำให้สูญเสียจมูก แก้ม ปาก ริมฝีปาก ขากรรไกร และฟัน การตัดสินใจบริจาคอวัยวะครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้ฆ่าตัวตายในขณะที่คุณ Lilly ตั้งท้องลูกชายของเธอได้เพียงแค่ 8 เดือน แน่นอนว่าการตัดสินใจที่จะมาพบผู้รับบริจาคใบหน้าของอตีดสามีเธอนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และถึงแม้จะมีความกลัวอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจมาพบกับชายผู้รับบริจาคใบหน้าของสามีเธอก็คือ Lilly ต้องการให้ลูกชายตัวน้อยของเธอได้รับรู้ถึงสิ่งที่พ่อของเขาทำ ความกลัวของเธอก็หายไปทันทีหลังจากที่ได้พบกับชายหนุ่มคนดังกล่าว เพราะหลังจากการศัลยกรรมแล้วใบหน้าของชายหนุ่มคนนี้ไม่มีส่วนใดที่คล้ายกับสามีของเธอเลย หลังจากที่เธอได้พบกับชายหนุ่มที่ได้รับบริจาคใบหน้าไป หญิงสาวผู้ใจบุญก็รู้สึกตื้นตันใจและรู้สึกว่าเธอได้ช่วยเหลือคนคนหนึ่งให้สามารถมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ต่อไป “มันทำให้ฉันภูมิใจมาก สามีของฉันน่าจะได้เห็นใบหน้าของเขาในตอนนี้ เขาต้องไม่เคยเห็นตัวเองแบบนี้มาก่อนแน่ๆ “ Lilly กล่าว …
-
8 พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับ ‘สมอง’ ที่ทำให้เราได้เห็นสมองของผู้ที่ป่วยโรคทางประสาทนานาชนิด
ถ้าจะให้พูดถึงอวัยวะที่ซับซ้อนที่สุดในร่างกายของเรา ก็คงจะไม่พ้นอวัยวะที่ไว้สำหรับควบคุมร่างกายในทุกๆ ส่วนอย่างสมอง ที่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถจะหาข้อมูลเกี่ยวกับมันได้ทั้งหมด อาจจะเป็นเพราะระบบการทำงานของมันมีความซับซ้อนจนมนุษย์ไม่สามารถศึกษาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และในวันนี้จะขอแนะนำทุกท่านถึงสถานที่ที่มีการเก็บสมองของคนจริงๆ ซึ่งบางสถานที่อาจจะเก็บไว้สะสมหรือว่าเก็บไว้เพื่อศึกษา ยังไงมันก็ยังคงมีความน่ากลัวอยู่นะ บรื๋ออ 1. คอลเลกชันสมองของ Cushing สถานที่นี้ก่อตั้งโดยผู้บุกเบิกการแพทย์เกี่ยวกับโรคประสาทชื่อว่า Harvey Cushing ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยที่นี่มีสมองเก็บไว้มากเป็นร้อยๆ ไห สมองบางอันมีความสมบูรณ์แบบ บางอันก็มีเพียงแค่ชิ้นส่วนเพียงบางส่วนเท่านั้น และบางอันก็มีเนื้องอกที่โผล่ออกมาด้วย สถานที่นี้ต้องอยู่ที่โรงเรียนการแพทย์ในมหาวิทยาลัย Yale โดยรวมๆ แล้วที่นี่มีสมองของคนเรามากถึง 400 ก้อนและยังมีอีก 150 ก้อนในห้องแล็บทำหรับการศึกษาของแพทย์ ซึ่งที่นี่มุ่งเน้นการศึกษาในเรื่องของเนื้องอกที่เกิดขึ้นที่สมอง 2. พิพิธภัณฑ์สมอง The Mammalian สมองที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์นี้ไม่ใช่สมองจริงๆ ของมนุษย์ แต่เป็นการจำลองสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต่างๆ ถึง 275 ก้อน เพื่อให้เห็นความแตกต่างกันและความเหมือนกันของส่วนต่างๆ ซึ่งที่นี่ตั้งอยู่ที่ รัฐแมริแลนด์ ทางตอนเหนือของกรุงวอชิงตัน ดีซี 3. พิพิธภัณฑ์สมอง Lima สถานที่นี้ซ่อนตัวอยู่ในสถาบันประสาทแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ที่เมือง Ancon ประเทศเปรู ที่นี่เป็นสถานที่เก็บสมองที่ใหญ่ที่สุดในแถบละตินอเมริกาเลยทีเดียว โดยที่แห่งนี้มีสมองถึง 3,000 ก้อน ซึ่งบางอันได้รับความความเสียหาย…
-
เด็กน้อยวัย 7 ขวบนอนหลับยาว 11 วัน โดยที่แพทย์ก็ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัด
เรื่องราวสุดประหลาดนี้เกิดขึ้นกับเจ้าหนู Wyatt Shaw หนูน้อยวัย 7 ขวบจากเมือง Elizabethtown รัฐเคนทักกี หลังจากที่เขานอนหลับไปนานถึง 11 วัน!! คุณ Amy แม่ของหนุ่มน้อยเล่าว่า ลูกชายของเธอเข้านอนหลังจากที่กลับมาจากงานแต่งงานของน้าสาวของเขา แต่หลังจากนั้นเจ้าหนูก็นอนยาวถึง 11 วันเลยทีเดียว และถึงแม้ว่าแม่ของเขาจะพยายามเรียกเท่าไหร่ Shaw ก็ไม่รู้สึกตัวและไม่มีการตอบสนองใดๆ เลย “เขาดูปกติมากในงานแต่ง เขาร่าเริงและเต้นรำเหมือนกับเด็กๆ ทั่วไป แต่เมื่อวันจันทร์ตอนที่ฉันไปปลุก เขาก็ไม่ยอมตื่น และถึงแม้ว่าจะเรียกนานเท่าไหร่เขาก็ยังคงนอนอยู่ ตอนนั้นมันน่ากลัวมากๆ เลย” คุณ Amy กล่าว หลังจากที่เริ่มเห็นความผิดปกติกับเจ้าตัวเล็ก คุณ Amy จึงพาลูกของเธอไปหาหมอ เด็กชายถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลเด็ก Norton ในเมืองลุยส์วิลล์ แพทย์สันนิฐานว่าเจ้าหนูอาจจะโดนเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียเล่นงาน เนื่องจากเจ้าหนูบ่นว่ามีอาการปวดหัวและปวดท้องก่อนที่จะหลับยาว แต่อย่างไรก็ตามแพทย์กลับไม่พบสาเหตุใดๆ เลย คุณ Amy ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า สิ่งที่ทำให้ลูกชายของเธอนั้นนอนหลับนานถึง 11 วันนั้นก็เพราะว่าสารสื่อประสาทในสมองของเขาไม่ทำงาน แต่แพทย์ก็พยายามใช้เครื่องมือและวิธีการรักษาที่ทันสมัยจนสามารถช่วยลูกของเธอได้หลังจากที่นอนหลับไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตอนนี้เจ้าหนู Wyatt ยังคงมีปัญหาในการพูดอยู่บ้าง และยังคงเดินไม่ได้เหมือนปกติ แต่ว่าอาการของเค้าก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด …
-
อีกขั้นของวงการแพทย์!! ทีมวิจัยคิดค้นกาวรักษาแผลภายใน 1 นาทีได้สำเร็จ
ปัจจุบันการพัฒนาของเทคโนโลยีนั้นเรียกได้ว่ามีความก้าวหน้าอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในวงการไอที การก่อสร้าง และหนึ่งในนั้นก็คือวงการแพทย์นั่นเอง เมื่อไม่นานมานี้ทางทีมวิจัยที่เกิดจากความร่วมมือกันของ University of Sydney, Harvard Medical School และ Northeastern University ได้คิดค้นกาวชนิดพิเศษขึ้นมา ซึ่งเจ้ากาวที่ว่านี้สามารถทำให้บาดแผลสนิทกันได้ภายใน 1 นาที!! MeTro หรือกาวติดบาดแผลที่ถูกคิดค้นนี้จะช่วยให้แพทย์ทำงานได้ง่ายมากขึ้น จากบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ Science Transational Medicine ระบุว่า กาวชนิดนี้เป็นไฮโดรเจลที่มีความยืดหยุ่นสูงและเข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อของร่างกาย มันถูกปรับเปลี่ยนให้ตอบสนองได้ดีกับแสงอัลตราไวโอเล็ต เมื่อทากาวชนิดนี้ลงบนบาดแผลและฉายแสงยูวี มันจะสามารถสมานแผลได้ภายใน 60 วินาที ในการทดสอบประสิทธิภาพของมัน ทางทีมวิจัยได้นำกาว MeTro ไปใช้ในการสมานบาดแผลจากการผ่าตัดที่ปอดและหลอดเลือดของหนู ผลการทดสอบเป็นไปด้วยดี บาดแผลที่หลอดเลือดและปอดของหนูไม่มีการรั่วแต่อย่างใด สารประกอบหลักของกาวชนิดนี้ทำมาจากโปรตีน ซึ่งมีส่วนประกอบคล้ายกับโปรตีนในเซลล์ผิวของมนุษย์ และนอกจากนี้เอนไซม์ ที่สามารถปรับตัวได้เพื่อยืดระยะเวลาในการสมานแผลให้เหมาะสมกับแผลแต่ละแบบอีกด้วย “กาว MeTro นั้นดูคล้ายกับของเหลว มันจะเข้าไปเชื่อมในรอยบาดแผล มันมีการตอบสนองที่ดี และตัวของมันเองก็คล้ายกับเซลล์เนื้อเยื่อของมนุษย์และช่วยให้เกิดการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ตัวเจลนั้นมีการเก็บรักษาที่ง่ายและสามารถฉีดไปที่บาดแผลโดยตรงได้เลย” คุณ Anthony Weiss หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว ตอนนี้ทางทีมวิจัยได้วางแผนจะทดสอบกาว MeTro ในระยะยาวต่อไป ก่อนที่จะนำไปทดลองทางคลินิกกับมนุษย์ ทางด้านคุณ Annabi หนึ่งในทีมวิจัยได้กล่าวถึงการคาดการณ์ของเธอว่า ภายใน 3-5 ปีนี้…
-
ชายหนุ่มตัดสินใจ นำร่างของภรรยาเข้ารับการ “แช่แข็ง” เพื่อหวังได้เห็นเธออีกครั้ง
“เธอยังไม่ตาย ตอนนี้ภรรยาของผมเธอแค่พักผ่อนอยู่เท่านั้น” คุณ Gui Junmin หนุ่มชาวจีนวัย 49 ปีที่ตัดสินใจนำร่างไร้วิญญาณของภรรยาเก็บไว้ในเครื่องแช่แข็งเพื่อรอให้เทคโนโลยีการรักษาก้าวหน้ากว่านี้ ร่างของคุณ Zhan Wenlia ภรรยาวัยเดียวกันของคุณ Gui ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ถูกแช่แข็งไว้ในไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิต่ำถึง -196 องศาเซลเซียส คุณ Gui บอกกับสำนักข่าว Xinhua News ว่าเขายังทำใจไม่ได้ที่ต้องสูญเสียภรรยาและไม่อยากเห็นเธอต้องจากเขาไป “ผมไม่อยากเห็นเธอจากไปพร้อมกับเปลวไฟ ผมคิดว่าตอนนี้เธอกำลังไปพักผ่อนที่ไหนซักที่” ชายหนุ่มบอกกับนักข่าว คุณ Zhan ถูกแช่แข็งด้วยวิธีการ cryogenically เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท Yinfeng Biological Group คุณ Gui บอกว่าภรรยาเขาได้ยินยอมเข้ารับการแช่แข็งเพื่อเก็บรักษาร่างกายก่อนที่เธอจะหมดลมหายใจ จากนั้นผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท Yinfeng จึงเดินทางมารอรับร่างของเธอที่โรงพยาบาล และหลังจากที่แพทย์ได้ยืนยันว่าเธอเสียชีวิตเมื่อประมาณตี 4 ของวันที่ 8 พฤษภาคม พวกเขาก็เริ่มต้นขั้นตอนการแช่แข็งโดยทันดี ภายใน 2 นาทีหลังจากที่จัดการเรื่องทางกฎหมายเสร็จ บริษัทได้ทำการฉีดยาต้านการแข็งตัวของเลือดและสารต้านอนุมูลอิสระเข้าไปในร่างกายของคุณ Zhan จากนั้นเกลือ น้ำ และน้ำแข็งก็ถูกฉีดเข้าไปในร่างกายของเธอ เพื่อช่วยให้ร่างกายเธอเย็นลง เธอถูกสวมเครื่องช่วยหายใจกับเครื่องปั๊มหัวใจ เพื่อช่วยให้เลือดมีการไหลเวียนและป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดออกซิเจน หลังจากนั้นอีก 13 นาทีร่างของคุณ Zhan จึงถูกย้ายไปที่ห้องแลปของบริษัท Yinfeng เพื่อเข้ากระบวนการแช่แข็งและฉีดสารเคมีเข้าไปแทนเลือดเพื่อรักษาอวัยวะต่างๆ…
-
คุณแม่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง สูญเสียลิ้นจนพูดไม่ได้ และปลูกถ่ายใหม่จากเนื้อบนข้อมือ…
การรักษาโรคบางอย่างอาจต้องทำให้เราสูญเสียบางอย่างไปแลกกัน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถมีสิ่งมาทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปในตอนนั้นได้เสมอไป เมื่อเธอผู้นี้ได้สละผิวของอวัยวะส่วนเล็กๆ เพื่อเติมเต็มอีกส่วนที่ขาดหายไป คุณแม่วัย 34 ปีที่มีชื่อว่า Stephanie Wigglesworth ได้ถูกวินิจฉัยว่าเธอนั้นป่วยเป็นโรคมะเร็งหายากชนิดหนึ่งของเธอที่เกิดขึ้นกับช่องปาก หนทางเดียวที่จะรักษาได้นั่นคือการตัดลิ้น… โรงพยาบาลเมือง Cambridgeshire ในประเทศอังกฤษ ได้วินิจฉัยโรคดังกล่าวให้กับเธอ และตัดเอาลิ้นครึ่งหนึ่งของเธอออกไป ก่อนที่จะให้เธอปลูกถ่ายเนื้อลิ้นใหม่ ซึ่งนั่นเป็นทางเดียวที่จะช่วยเยียวยาหลังการผ่าตัดของเธอได้ สิ่งที่นำมาปลูกถ่ายนั้นไม่ได้มาจากไหนไกล แต่มันคือเนื้อเยื่อบริเวณข้อมือของเธอขนาด 3×3 นิ้ว และจากฝีมือการผ่าตัดของศัลยแพทย์ชื่อดังในเดือนมีนาคม ปี 2013 ที่ใช้เวลาถึง 9 ชั่วโมง ก็ทำให้ประสบความสำเร็จได้ หลังจากการผ่าตัดนำเนื้อบริเวณข้อมือไปปลูกถ่ายลิ้น ข้อมือของเธอในปัจจุบัน เธอได้บอกเล่าเรื่องราวว่าในตอนแรกนั้นมันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจอย่างมากที่เธอไม่สามารถพูด หรือแม้แต่ไม่สามารถกลืนน้ำลายได้ แถมยังรู้สึกสะอิดสะเอียน ที่ต้องใช้ไวท์บอร์ดในการสื่อสารกับสามีของเธอ มันยากที่จะอธิบายความรู้สึกในตอนนั้นแต่มันรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก และความรู้สึกที่เธอไม่สามารถเรียกชื่อของลูกเธอได้นั้น คือสิ่งที่แย่ที่สุดสำหรับเธอ . แต่แน่นอนว่าหลังจากที่ทุกอย่างหายดีแล้วสุดท้ายเธอก็สามารถกลับมาพูดได้ตามปกติอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่ามันจะยากมากที่จะต้องเรียนรู้การออกเสียงใหม่ตั้งแต่ต้น และสองคำแรกที่เธอพูดได้ก็คือชื่อลูกของเธอทั้งสองคน Keiran และ Daisy เธอใช้เวลาถึง 12…
-
นักวิทย์สร้าง “หัวใจเทียม” จากเครื่องปริ้นท์ 3 มิติ อีกขั้นของความก้าวหน้าทางการแพทย์…
นับวันเทคโนโลยีต่างๆ ในโลกล้วนแต่มีการพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นไปมากขึ้น และหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างมากและอาจมีผลต่อการเปลี่ยนโฉมโลกนั่นก็คือ “เครื่องพิมพ์สามมิติ“ นั่นเอง เมื่อไม่นานมานี้ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผู้ป่วย เมื่อมีผู้ที่สามารถผลิตหัวใจเทียมจากเครื่องพิมพ์สามิติที่ว่านี้ได้สำเร็จ โดยทางผู้ผลิตหวังว่าหัวใจเทียมที่ปริ้นออกมาจากเครื่องพิมพ์สามมิตินั้นจะสามารถช่วยชีวิตผู้คนอื่นๆ ได้อีกมากมาย ภาพต้นแบบของหัวใจเทียมก่อนที่จะถูกปริ้นท์ออกมาด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ทีมวิจัยจาก ETH Zurich ได้คิดค้นและออกแบบหัวใจซิลิโคนนี้ออกมา โดยพวกเขาระบุว่าอวัยวะเทียมที่ผลิตออกมานี้มีความยืดหยุ่นและสามารถเต้นได้เหมือนกับหัวใจจริงๆ ในอนาคตพวกเขาหวังว่าจะใช้หัวใจเทียมนี้ กับผู้ป่วยที่กำลังรอการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อหัวใจ เพราะว่าโครงสร้างของซิลิโคนนี้จะไม่เกิดการต่อต้านจากร่างกาย ซึ่งต่างจากหัวใจเทียมแบบเหล็กและพลาสติกที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังจากการผ่าตัดได้ และนี่คือหัวใจเทียมซิลิโคนที่ปริ้นท์ออกมาจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ทางทีมวิจัยกล่าวว่า “หัวใจเทียมที่เราผลิตมานี้มีขนาดที่ใกล้เคียงกับหัวใจของผู้ป่วย และสามารถเลียนแบบการทำงานได้ใกล้เคียงกับของจริงมากๆ “ นอกจากนี้ภายในของหัวใจเทียวดังกล่าวยังมีรายละเอียดที่เหมือนกับหัวใจจริงๆ ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้องหัวใจด้านซ้ายและขวา พร้อมกับระบบสูบฉีดเลือดด้วย ในการทดสอบการทำงานของหัวใจเทียมนี้ ทางผู้คิดค้นได้ทดสอบการเต้นของมันและพบว่ามันสามารถเต้นได้นานกว่า 3,000 ครั้งซึ่งสามารถยื้อชีวิตผู้ป่วยได้ประมาณ 30-45 นาที ซึ่งในจุดนี้อาจจะต้องมีการคัดเลือกวัตถุดิบสำหรับการผลิตให้หัวใจเทียมนี้สามารถใช้งานได้นานขึ้น ตอนนี้หัวใจเทียมกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาและยังไม่พร้อมที่จะนำไปใช้กับผู้ป่วยจริงๆ ทางทีมวิจัยได้ออกมาเปิดเผยว่าในอนาคตอันใกล้นี้ อีกไม่นานพวกเราอาจมีโอกาสได้เห็นหัวใจซิลิโคนนี้แน่นอน และพวกเขาก็หวังว่ามันจะสามารถพัฒนาต่อจนใช้แทนหัวใจจริงได้อย่างใกล้เคียงหรือสมบูรณ์แบบมากที่สุดในอนาคต… ไปชมขั้นตอนผลิตและการทดลอบหัวใจซิลิโคนได้ที่คลิปวิดีโอด้านล่างนี้เลย วิทยาศาสตร์การแพทย์นี่ก้าวหน้าไปไกลมากเลยนะเนี่ย สุดยอดจริงๆ ที่มา engadget
-
ทีมแพทย์บราซิลทดลองใช้ ‘หนังปลาทิลาเพีย’ เพื่อรักษาแผลไฟไหม้ ให้ได้ผลที่ดีกว่า!!
เนื่องจากว่าประเทศบราซิลนั้นเป็นประเทศที่มีความขาดแคลนทรัพยากรทางการแพทย์เป็นอย่างมาก ทีมแพทย์จึงได้หันมาทำการทดลองใช้ ‘หนังปลาทิลาเพีย’ (หรือหนังปลานิล) มารักษาแผลที่เกิดจากไฟไหม้ แทนที่การใช้ครีมและยาทาชนิดต่างๆ แผลไฟไหม้ในระดับที่ 2 และ 3 เป็นอะไรที่เจ็บปวดมากๆ จนบางครั้งก็อาจทำให้ถึงตายได้หากได้รับบาดแผลทั่วร่างกาย โดยปกติแล้วการใช้เนื้อเยื่อจำลองในการรักษาจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟูมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับสถาบันทางการแพทย์ José Frota ที่ตั้งอยู่ในเมือง Fortaleza ประเทศบราซิล เหล่าคุณหมอสามารถใช้ได้แต่ครีมรักษาแผลไฟไหม้ และผ้าพันแผลที่ต้องหมั่นเปลี่ยนเป็นประจำ เป็นวิธีการรักษาที่สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้เข้ารับการรักษาเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เองทางทีมแพทย์จึงหาวิธีอื่นในการรักษาแทน อย่างเช่น หนังปลาทิลาเพียที่ฆ่าเชื้อแล้ว เพราะเพิ่งทราบถึงผลการศึกษาที่น่าตกใจ!? “มันเป็นอะไรที่น่าตกใจมาก เพราะในหนังปลาทิลาเพียนั้นมีคอลลาเจนโปรตีนแบบที่ 1 และแบบที่ 3 อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งมันจำเป็นมากในการทำให้เกิดแผลเป็น และคอลลาเจน 2 ตัวที่กล่าวมานี้มีอยู่ในหนังของปลาทิลาเพียมากกว่าในผิวหนังของมนุษย์และสัตว์อื่นๆ เสียอีก” Dr. Edmar Maciel ผู้เชี่ยวชาญทางด้านแผลไฟไหม้จากสถาบันกล่าว ซึ่งปลาทิลาเพียเป็นปลาที่สามารถหาได้ทั่วไปตามแหล่งน้ำในประเทศบราซิล แถมยังมีการทำฟาร์มปลาชนิดนี้อีกมากมาย ถือว่าเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายและเหมาะที่จะนำมาทดลองการรักษา และที่เจ๋งไปกว่านั้นก็คือเจ้าหนังปลลาทิลาเพียที่ฆ่าเชื้อแล้ว สามารถปิดทิ้งไว้จนแผลกลายเป็นแผลเป็น แต่บางเคสที่แผลร้ายแรงมากก็อาจจะต้องมีการเปลี่ยนหนังปลา แต่ไม่บ่อยเท่ากับการใช้ผ้าพันแผลและครีมแบบเดิม…
-
บริษัทวิจัยเยอรมัน ประกาศหาอาสาสมัครมาสูบกัญชาฟรี เพื่อกรณีศึกษาทางการแพทย์!!
นี่อาจเป็นโอกาสทองของสายเขียวทั่วโลกเลยก็ว่าได้ เพราะบริษัทวิจัยทางการแพทย์จากเยอรมัน กำลังประกาศหาอาสาสมัครมาสูบกัญชา เพื่อนำข้อมูลไปวิจัยทางการแพทย์แบบฟรีๆ!! ข่าวดีก็คือ… โครงการนี้รับสมัครอาสาสมัครทั้งหมด 25,000 ชีวิต และตอนนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมเพียงแค่ 2,000 คนเท่านั้น โดยบริษัทจะมอบกัญชาให้อาสาสมัครฟรี 30 กรัมต่อเดือน Marko Dörre หัวหน้าโครงการวิจัยดังกล่าว ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ‘ในเยอรมันมีประชาชนนับล้านที่ใช้กัญชา และถือว่าเป็นเวลาอันสมควรแล้ว ที่เราจะนำกัญชามาศึกษาเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในอนาคต’ ทางด้านของ Dr. Thomas Schnel หนึ่งในทีมวิจัยได้อธิบายเสริมว่า ‘กัญชาถูกจัดให้เป็นสิ่งเสพติดที่ได้รับความนิยมสูงไปทั่วโลก อ้างอิงข้อมูลจาก World Drug Report แต่นอกเหนือจากการนำมาใช้ในเชิงสิ่งเสพติดแล้ว คุณจะพบว่ากัญชาเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์มากมาย และควรค่าแก่การวิจัยอย่างยิ่ง’ ในส่วนของ Hermann Gröhe รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสุขภาพ ก็ได้ออกมาให้ความเห็นสนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับกัญชา ในเยอรมันไว้ว่า ‘ผู้ป่วยมีสิทธิ์ที่จะได้รับการรักษาที่ดีที่สุด… ปัจจุบันมีงานวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้น และเคสของผู้ป่วยหลายกรณีที่ชี้ให้เห็นว่า เราสามารถนำประโยชน์จากสารสกัดกัญชามาใช้รักษาผู้ป่วยได้จริง และนี่ก็เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน’ ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลเยอรมัน ก็ได้มีการออกกฎหมายให้ผู้ป่วยสามารถใช้กัญชาเพื่อการรักษาตามใบสั่งแพทย์ได้แล้วเช่นกัน และสำหรับใครที่สนใจอยากจะสมัครละก็ สามารถเข้าไปดาวน์โหลดไปใบสมัครได้ที่ CannabisResearch หน้าเว็บสามารถแปลเป็นอังกฤษได้อยู่ แต่ส่วนใบสมัครคงต้องหาเพื่อนที่รู้ภาษาเยอรมันมาช่วยแปลแล้วล่ะ……
-
นักวิทยาศาสตร์ใช้ ‘ผักโขม’ พืชสวนครัวใกล้ตัว มาศึกษาการทำงานของเนื้อเยื่อหัวใจ!?
ในปัจจุบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว หลายๆ งานวิจัยทางการแพทย์ช่วยยื้อชีวิตให้กับมนุษย์เราได้อย่างคาดไม่ถึง และเร็วๆ นี้ก็มีงานค้นคว้าทางด้านพันธุวิศวกรรมที่น่าสนใจมากงานหนึ่ง เมื่อนักวิทยาศาตร์ได้นำพืชผักสวนครัวมาดัดแปลง เพื่อศึกษาการทำงานของเนื่อเยื่อหัวใจ ไม่แน่นะอาจช่วยให้การผ่าตัดหัวใจในอนาคตง่ายขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ทางเว็บไซต์ Dailymail ได้รายงานว่าทีมวิจัยได้นำใบของผักโขมมาใช้ในการศึกษาการทำงานของเนื้อเยื่อหัวใจ ก่อนหน้านี้ได้มีการพยามจำลองโครงข่ายและเนื้อเยื่อของหัวใจด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติแต่ไม่สำเร็จ ดังนั้นการค้นพบครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะมันช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำงานวิจัยและศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเนื้อเยื่อของหัวใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งปัจจุบันการศึกษาและงานวิจัยแนวนี้ยังมีอยู่น้อยมาก นี่เป็นภาพแสดงลำดับของการขจัดเซลพืชออกจากใบผักโขม ด้วยวิธีการที่เรียว่า decellularization วิธีนี้จะทำให้เหลือแต่เส้นใยและโครงสร้างของใบ ที่คล้ายกับเส้นเลือดในหัวใจมนุษย์แบบใสๆ เนื่องจากการลำเลียงสารอาหารในใบพืชนั้นคล้ายกับการลำเลียงเลือดของหัวใจของมนุษย์ ถึงแม้ว่าการลำเลียงสารเคมีภายในเนื้อเยื่อของสัตว์และพืชอาจจะไม่เหมือนกัน แต่โครงข่ายของท่อลำเลียงนั้นคล้ายกัน ในอตีดเคยมีการจำลองโครงสร้างนี้ขึ้นมาแล้ว แต่ว่ามีขนาดเล็กเกินไปทำให้ยากในการที่จะศึกษาเพื่อนำไปใช้ในการรักษา แต่ใบผักโขมนั้นมีขนาดใหญ่กว่าจึงทำให้มีความเหมาะสมมากกว่า ทีมวิจัยหวังว่าการค้นพบเทคโนโลยีนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการนำไปสร้างเนื้อเยื่อใหม่ สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ งานวิจัยชิ้นนี้กำลังจะถูกตีพิมพ์ลงนิตยสาร Biomaterials ในเดือนพฤษภาคมนี้ นักวิทยาศาสตร์จากสถาบัน Worcester Polytechnic ได้บอกว่า “การพัฒนาครั้งนี้จะเป็นรากฐานของการศึกษาการทำงานที่เหมือนกันของเนื้อเยื่อพืชและสัตว์” ถึงเเม้ว่าระบบการขนส่งของเหลวของเซลสัตว์และพืชจะต่างกัน แต่โครงสร้างของเนื้อเยื่อทั้งสองมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก ในการทดลองเนื้อเยื่อหัวใจเทียมครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ใส่ของเหลวที่คล้ายกับเซลเนื้อเยื่อของมนุษย์เข้าไปในผักโขม เป็นการศึกษาการทำงานของเส้นใยในใบที่ทำหน้าที่คล้ายเส้นเลือดของหัวใจมนุษย์ Glenn Gaudette ศาสตราจารย์ทางด้านพันธุวิศวกรรมของสถาบัน Worcester Polytechnic กล่าวว่า “เรายังมีงานที่ต้องทำอีกมาก แต่ตอนนี้มีแนวโน้มที่ใกล้ความจริงมากยิ่งขึ้น การนำพืชที่มีการเพาะปลูกอย่างยาวนานมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อช่วยให้เราสามารถแก้ปัญหาเรื่องข้อจำกัดของการศึกษาได้” นักวิทยาศาตร์เชื่อว่า ในวันข้างหน้าเทคนิคนี้จะสามารถนำไปช่วยการสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงได้หรือฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหายจากหัวใจวายได้ เพื่อให้เห็นภาพชัดๆ…
-
รวม 10 เรื่องจริงของการ “วงการแพทย์” เมื่อร้อยปีก่อน แทบไม่ต่างจากฝันร้ายในหนังสยองขวัญ!!
ทุกวันนี้วิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว มนุษย์สามารถรักษาโรคร้ายต่างๆ ที่คนเมื่อร้อยปีก่อนทำได้แค่ฝันได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเรื่องการผ่าตัดที่แทบจะกลายเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาของมนุษย์ไปแล้ว แต่สำหรับเหล่านายแพทย์เมื่อ 100 ปีก่อนนั้น การผ่าตัดแทบไม่ต่างจาก ฉากสุดโหดเหี้ยมจากหนังสยองขวัญที่เราได้ชมกันในปัจจุบัน 1. ในช่วงปี 1900 การผ่าตัดคือเรื่องที่สยดสยองสุดๆ ช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่เหล่านายแพทย์เพิ่งเรียนรู้เกี่ยวกับการผ่าตัดร่างกายมนุษย์ และวิธีการที่พวกเขาผ่าตัดนั้นจะบอกว่าป่าเถื่อนก็คงจะไม่เกินไปนัก เพราะการผ่าตัดแต่ละครั้งไม่มีการสวมถุงมือหรือผ้าปิดปากแต่อย่างใด 2. ไม่มีการใช้ยาสลบหรือยาชา ในยุคนั้น การผ่าตัดคลอดลูกจะไม่มีการใช้ยาชาหรือยาสลบแต่อย่างใด พวกเขาจะใช้มีดผ่าผิวหนังชั้นนอก แล้วเอามือล้วงเข้าไป ก่อนจะเย็บแผลสดๆ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการ “มาตรฐาน” ในสมัยนั้นเลย แม้กระทั่งโรงพยาบาลชื่อก้องโลกอย่าง John Radcliffe ในมหาวิทยาลัยอ็อกส์ฟอร์ด ก็ทำเหมือนกัน 3. ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไหร่ เมื่อก่อนการผ่าตัดมีเอาไว้รักษาอาการกระดูกหัก กระดูกแตก หรือว่าอวัยวะขาดเท่านั้น ส่วนการรักษาอื่นๆ ยังไม่มีการใช้จริงแต่อย่างใด เพราะการทดลองแต่ละครั้ง ผู้เข้ารับการทดลองจะต้องเจ็บปวดเป็นอย่างมาก และส่วนใหญ่ ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ด้วยน่ะสิ 4. การถือกำเนิดขึ้นของยาสลบและยาชา ยาชาและยาสลบถูกคิดค้นขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แต่เริ่มนำมาใช้จริงๆ ก็ช่วงต้นทศวรรษที่…
-
การแพทย์สุดสะพรึงในอดีต… ความเชื่อเรื่องกิน ‘ซากศพ’ สามารถช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้!!!
ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์นั้นพัฒนาไปอย่างมาก ทั้งในเรื่องของยารักษาโรค และอุปกรณ์ต่างๆ แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่ากว่าจะมาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ก็ต้องมีการทดลองลองผิดลองถูกกันมามากมาย และมีครั้งหนึ่งที่มีความเชื่อว่า ‘การกินเนื้อมนุษย์’ เป็นหนึ่งวิธีในการรักษาโรคอีกด้วย!! เอาล่ะจะเป็นอย่างไรกันบ้างนั้นตาม #เหมียวหง่าว ไปชมพร้อมๆ กันได้เลยยย… ย้อนกลับไปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึง 17 วิทยาการทางด้านการแพทย์ในสมัยนั้นค่อนข้างที่จะโบราณอยู่ก็ว่าได้ จากการศึกษาของ Richard Sugg พบว่าในช่วงกว่า 100 ปีนี้หลายๆ ชาติในยุโรปมีการใช้ส่วนต่างๆ ในร่างกายของมนุษย์มาทำเป็นยารักษาโรค ยกตัวอย่างเช่น กระดูก, เลือด, และไขมัน สามารถนำมารักษาอาการปวดศีรษะและโรคลมบ้าหมูได้ ด้วยความเชื่อนี้ทำให้ศพมัมมี่มากมายถูกขโมยไปจากสุสานของชาวอียิปต์ นอกจากนี้ยังมีการขโมยกระโหลกอีกจำนวนมากไปจากที่ฝังศพของชาวไอริช ซึ่งผลงานเหล่านี้เป็นฝีมือของ ‘นักขุดศพ’ (เป็นอาชีพเถื่อนที่หารายได้จากการขุดศพไปขาย) ต้องบอกเลยว่าในยุคนั้นคำถามที่ว่า ‘เคยกินเนื้อมนุษย์รึเปล่า?’ เป็นคำถามที่เด็กๆ ไปเลย เพราะควรจะถามว่า ‘คุณเคยกินเนื้อมนุษย์แบบไหน?’ มากกว่า Sugg กล่าว เทคโนโลยีการทำศพของชาวอียิปต์นั้นช่วยรักษาเนื้อเยื่อและกระดูกได้เป็นอย่างดี จึงทำให้มัมมี่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะส่วนกระโหลกจะถูกนำมาป่นเป็นผงเพื่อใช้ในการรักษาอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวกับศีรษะ Thomas Willis ผู้คิดค้นวิธีในการนำผงกระโหลกมาผสมกับช็อคโกแลตทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อรักษาโรคลมชัก และใช้ห้ามเลือด พระราชา…
-
เจ้าเพนกวินน้อยโดนตัดขา… กลับมาเดินได้อีกครั้ง ด้วยเทคโนโลยีเครื่องพริ้นท์ 3 มิติ
ในปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์นั้นพัฒนาไปอย่างมาก ซึ่งมันก็ช่วยลดความเจ็บปวด และความลำบากที่เกิดจากอาการป่วยได้มากยิ่งขึ้น แถมยังช่วยให้ชีวิตของเรายืนยาวยิ่งขึ้นไปอีก และแน่นอนว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ก็ถูกเผื่อแผ่ไปยังสัตว์ร่วมโลกทั้งหลายอีกด้วย ปัจจุบันมีการทำขาเทียมเพื่อช่วยเหลือเหล่าสัตว์ทั้งหลายให้กลับมาใช้ชีวิตโดยไม่ลำบากอีกต่อไป เหมือนกับเจ้าเพนกวินน้อยที่ชื่อว่า Bagpipes ตัวนี้ ที่อาศัยอยู่ในความดูแลของศูนย์พิทักษ์สัตว์ International Antarctic Centre ตั้งอยู่ในเมือง Christchurch ประเทศ นิวซีแลนด์ มันใช้ชีวิตอยู่ที่มีมานานกว่า 9 ปีแล้ว โดยถูกช่วยเหลือมาหลังจากที่เจ้าหน้าที่ไปพบมันถูกอวนดักปลาของชาวประมงพันอยู่ที่ขา ทำให้มันได้รับบาดเจ็บและเป็นแผล พอนำมาให้แพทย์ตรวจก็พบว่าแผลของมันเกิดติดเชื้อและค่อยๆ เน่าลามไปเรื่อยๆ จนทำให้ต้องตัดสินใจตัดขามันทิ้ง แม้ว่าเจ้า Bagpipes จะรอดชีวิตมาได้ แต่มันก็ต้องทนใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากทั้งการเดิน และการว่ายน้ำ เจ้าหน้าที่ก็เลยทำขาเทียมจากจุกขวดเบียร์แบบโฟมมาติดไว้ที่ขาให้มันแก้ขัดไปก่อน เผื่อจะช่วยมันได้บ้าง อย่างไรก็ตามเหล่าเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์พิทักษ์สัตว์ก็ยังคิดหาทางที่จะสร้างขาเทียมที่ดีที่สุดให้กับเจ้านกเพนกวินตัวนี้ และด้วยความช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัย University of Canterbury จึงทำให้พวกเขาสามารถสร้างขาเทียมแบบเสมือนจริงออกมาได้ โดยใช้เครื่องพิมพ์แบบสามมิติ โดยเทคโนโลยีของเจ้าเครื่องพิมพ์แบบสามมิตินี้มันพิเศษตรงที่สามารถสร้างส่วนแข็งส่วนอ่อนออกมาได้ด้วย ซึ่งจะช่วยให้เจ้า Bagpipes กลับมาเดินและว่ายน้ำได้อีกครั้งอย่างแน่นอน (แต่อาจต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกันซักหน่อยล่ะ) และนี่ก็ถือเป็นครั้งแรกสำหรับประเทศนิวซีแลนด์เลย ที่มีการติดตั้งขาเทียมให้กับสัตว์ป่า นับว่าเป็นการพัฒนาที่น่าชื่นชมจริงๆ เชียว >< ลองไปชมคลิปเพิ่มติมที่ข้างล่างนี้ได้เลยจ้า… ต้องขอแสดงความยินดีกับเจ้าเพนกวิ้นด้วยนะ ในที่สุดเอ็งก็สามารถกลับมาเดินและว่ายน้ำได้เป็นปกติซักที แต่อาจจะต้องใช้เวลากับการทำความเคยชินซักหน่อย พยายามเข้าน๊าาา ^^ ที่มา :…
-
Jason Padget จากอดีตเสือผู้หญิง โดนชกที่หัว ตื่นมาอีกทีกลายเป็นอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์!?
เรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อของชายวัย 44 ปี จากเมือง Tacoma รัฐ Washington ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาผู้นี้มีชื่อว่า Jason Padget ซึ่งปัจจุบันนี้เขากลายมาเป็นพ่อหนุ่มอัจฉริยะทางด้านคณิตศาสตร์แบบที่ว่าหาได้ยากมากๆ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้เขาเป็นอัจฉริยะได้นั้นกลับไม่ใช่มาจากการศึกษาในตอนแรก เพราะในอดีตที่ผ่านมาของ Jason ไม่เคยสนใจที่จะเรียนหนังสือเลย ลาออกจากโรงเรียน มีนิสัยเกเร แถมยังเป็นเสือผู้หญิงตัวพ่ออีกต่างหาก โดยย้อนกลับไปในปีค.ศ. 2002 ระหว่างที่เขาเพิ่งออกมาจากผับ จู่ๆ ก็มีโจร 2 คนพุ่งเข้ามาทำร้ายเขาทั้งชกและเตะไปที่หัวของเขาอย่างจังและซ้ำอยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะหลบหนีไป แพทย์ได้ทำการตรวจร่างกายของเขาและบอกว่า บริเวณศรีษะได้รับการกระทบกระเทือนนิดหน่อย ไม่จำเป็นต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล รับยาแล้วก็ไปพักที่บ้านได้ หลังจากพักฟื้นได้ซักพักเขาก็เริ่มมองเห็นรูปทรงเรขาคณิตแบบซับซ้อนกับทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นภาพวาดได้ แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงสมการต่างๆ ของรูปทรงเหล่านี้ เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้เรียนรู้มาก่อน และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ Jason ตัดสินใจเรียนทางด้านคณิตศาสตร์และฟิสิกส์อย่างจริงจัง ทั้งนี้ก็ได้มีการตรวจสอบสมองของ Jason อย่างละเอียดอีกครั้งก็พบว่า สมองของเขาได้รับการกระตุ้นอยู่ 2 ส่วนจากการถูกทำร้ายในคืนนั้นที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือส่วนคำนวณด้านคณิตศาสตร์และส่วนของจินตนาการภาพ โดยอาการแบบนี้เรียกว่า…
-
แอร์โฮสเตสและผู้โดยสารวุ่น ช่วยทำคลอดให้หญิงชาวไต้หวันบนเครื่องบิน จนเด็กออกมาอย่างปลอดภัย
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2558 ทางสำนักข่าวต่างประเทศ ได้เผยภาพสถานการณ์บนเครื่องบินของสายการบิน ไชน่า แอร์ไลน์ ที่มีเส้นทางการบินจากเมืองบาหลี สู่นครลอสแอนเจลิส ต้องลงจอดฉุกเฉินที่สนามบิน Ted Stevens Anchorage ในอลาสก้า สหรัฐอเมริกา อย่างด่วนจี๋ เนื่องจากมีหญิงชาวไต้หวันที่กำลังตั้งท้องคนหนึ่ง เกิดภาวะน้ำเดิน และได้คลอดลูกสาวก่อนกำหนดถึง 8 อาทิตย์บนเครื่องบิน งานนี้ทำเอาลูกเรือและผู้โดยสาร ต่างพากันช่วยทำคลอดจนเด็กคลอดออกมาอย่างปลอดภัย ซึ่งในระหว่างที่หญิงสาวกำลังจะคลอดลูก ทางลูกเรือได้ขอความช่วยเหลือจากผู้โดยสารที่มีความรู้ในด้านการแพทย์ และไม่น่าเชื่อเลยว่ามีคุณหมออยู่บนเครื่องบินลำดังกล่าว แถมยังได้ช่วยทำคลอดให้กับหญิงสาวคนนี้อีกด้วย จากคลิปวีดีโอที่ถูกถ่ายโดยผู้โดยสารบนเครื่องบิน จะเห็นได้ว่าเหล่าลูกเรือกำลังอุ้มเด็ก และค่อย ๆ เช็ดตัวเด็กและแม่ หลังจากที่คุณแม่ชาวได้ให้กำเนิดทารกน้อย ท่ามกลางเสียงปรบมือแสดงความยินดีของผู้โดยสารที่อยู่บนเครื่องบินลำนั้น หลังจากที่คุณแม่ได้คลอดลูกน้อยก่อนกำหนด เธอก็ถูกนำตัวส่งที่โรงพยาบาลท้องถิ่น ในอลาสก้า ซึ่งในตอนนี้สองแม่ลูกมีอาการแข็งแรงดี และปลอดภัยแล้ว ที่มา : dailymail