Tag: ความตาย
-
คนดูช็อก…คุณยายอินเดียวัย 81 ปี “เสียชีวิตกลางรายการ” เนื่องจากภาวะหัวใจหยุดเต้น
หลายครั้งที่ ความตาย มาเยือนโดยไม่บอกกล่าว ไม่ว่าคุณจะทำอะไรอยู่ จะรู้สึกเศร้าหรือสนุกสนานก็ตามแต่ แต่เมื่อถึงเวลา ความตายก็จะมาหาทันที อย่างเช่นล่าสุด ศาสตราจารย์หญิง Rita Jitendra วัย 81 ปีชาวอินเดีย ขณะกำลังพูดคุยเสวนากับทางรายการ Good Morning J&K อยู่ จู่ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้น อ้าปาก แล้วก็เงียบหายไป ขณะที่ก่อนหน้านั้นบรรยากาศการสนทนาเป็นไปอย่างสนุกสนาน แต่แล้วบรรยากาศเหล่านั้นต้องจบลงหลังศาสตราจารย์ไม่มีการตอบโต้ ร่างกายของคุณยาย Rita แน่นิ่งและถูกพบว่า เสียชีวิต กลางรายการ ศาสตราจารย์ Rita Jitendra รายการนี้ออกอากาศในช่วงเช้าเวลา 08.30 น. ทำให้การเสียชีวิตของคุณยาย Rita ประจักษ์ต่อสายตาทุกคนที่ชมรายการนี้ แม้ว่ากล้องจะรีบตัดภาพกลับมายังพิธีกร แต่ผู้ชมต่างก็ยังตะลึงกับภาพที่ตนได้เห็น ชมวิดีโอบันทึกจากรายการดังกล่าว หลังจากนั้น ทางรายการจึงหยุดการออกอากาศชั่วคราว แล้วส่งตัวคุณยาย Rita ให้กับแพทย์ฉุกเฉิน สุดท้ายทีมแพทย์ก็ไม่สามารถช่วยเหลือคุณยายได้ ทั้งนี้ แพทย์พบว่าสาเหตุการตายของคุณยาย Rita นั้นเป็นผลมาจากภาวะหัวใจหยุดเต้น หัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมไปถึงโรคหัวใจ …
-
โมเมนต์บอกลาครั้งสุดท้าย “ผมรู้คุณไม่ได้ยินผมแล้ว แต่ผมรักคุณนะ” ปิดฉากรัก 60 ปี
“รักแท้” มีรูปร่างหน้าตาและความรู้สึกเป็นอย่างไร หากจะให้นิยามเป็นรูปแบบที่ตายตัวคงจะไม่ได้ เพราะทุกคนต่างผ่านเส้นทางความรักที่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างจากเรื่องราวของคุณตา Bobby Moore โดยบอกเล่าผ่านภาพถ่ายของช่างภาพสายข่าว April Yurcevic Shepperd ด้วยการเป็นพยานประจักษ์ถึงตำนานความรักแท้ในครั้งนี้ “ในวันนี้ฉันได้เจอกับชายคนหนึ่ง ชายผู้แหลกสลาย ยืนอยู่ตรงหน้าสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต และนี่ก็คือความรักที่มีตัวตนของเขา เมื่อเขาเดินเข้ามาในห้อง การย่างเท้าของเขาไม่มั่นคง แต่ความตั้งใจของเขายังแน่วแน่ ดวงตาจ้องมองมาที่ปลายทางใจกลางห้อง โลงศพเหล็กสีเทาวางอยู่ตรงนั้นภายใต้แสงสีนวลตา ครึ่งหนึ่งของโลกถูกเปิดเอาไว้ ตกแต่งไปด้วยโบและดอกไม้หลากสีสัน พร้อมกับเขียนคำว่า “ภรรยา” และ “แม่” เมื่อมาถึงปลายทางที่เขาตั้งใจ เขาก้มตัวและจูบริมฝีปากของเธอ ร่างกายอันอ่อนแอก็ยิ่งสั่นคลอน จนกระทั่งคำพูดอันสุภาพและอ่อนน้อมได้หลุดออกมาจากปากของเขา เขาพูดเพื่อให้เธอได้ยินเพียงคนเดียว และถูกพูดนับครั้งไม่ถ้วนในห้วงเวลาอันแสนสั้น แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พูดกับเธอ… “ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ยินผมอีกแล้ว แต่ผมรักคุณนะ” สิ้นสุดคำพูดของคุณตา น้ำตาก็เอ่อล้นไหลรินออกมา ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา คุณยายอยู่เคียงข้างคุณตามาโดยตลอด แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ ยังไม่ใกล้เคียงเสียด้วยซ้ำ คุณตาจึงคว้าเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างๆ โลง ในขณะที่ไม้ค้ำอยู่ทางด้านขวา และร่างของภรรยาอยู่ทางด้านซ้าย เขานั่งอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานเกือบชั่วโมง เขาคว้ามือของภรรยาและลูบเบาๆ คล้ายกับว่าเขากำลังปลอบโยนเธออยู่…
-
17 ภาพถ่ายความทรงจำสุดท้ายอันทรงคุณค่า ก่อนที่คนในรูปจะจากโลกนี้ไป
ภาพถ่ายหลายๆ ใบจะเป็นสิ่งที่ช่วยสื่อให้เราเห็นอะไรหลายๆ อย่างได้มากมาย มีความหมายอยู่ในภาพนั้นๆ เอง แต่ภาพที่เพื่อนๆ กำลังจะเลื่อนลงไปรับชมนี้ เป็นภาพถ่ายอันน่าจดจำ เพราะมันคือรูปสุดท้ายก่อนที่คนในภาพจะต้องจากโลกนี้ไป ทั้งหมดนี้คือภาพสุดท้ายก่อนการเกิดโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าหลายๆ เรื่อง ที่ทำให้คนในภาพเหล่านั้นส่วนใหญ่ต้องจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร แต่ละภาพมีหน้าตาเป็นอย่างไร เราไปดูกันได้เลย 1. ความผิดพลาดแสนเลวร้าย นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสวนสัตว์ที่ประเทศอินเดีย เมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งต้องการเข้าไปดูเสือขาวใกล้ๆ เขาจึงพยายามปีนต้นไม้ขึ้นไปให้เห็นชัดขึ้น โดยที่ไม่ได้ยินคำเตือนจากคนรอบข้างเลย แล้วจู่ๆ เขาก็ตกลงไปอยู่ในกรงกับเจ้าเสือในที่สุด ชายหนุ่มถูกเจ้าเสือต้อนจนติดขอบกรงอยู่อย่างนั้นนานกว่า 15 นาที ในขณะที่เจ้าหน้าที่สวนสัตว์และคนอื่นๆ พยายามหลอกล่อเรียกความสนใจจากเสืออยู่ แต่แล้วเรื่องราวก็จบลงด้วยการที่เสือขาวเดินเข้าไปตะครุบชายหนุ่ม ก่อนที่จะลากเขากลับที่พักอาศัยแล้วฆ่าเขาซะ 2. การตายของ Reynaldo Dagsa Reynaldo คือนักการเมืองชาวฟิลิปปินส์ที่กำลังถ่ายรูปคนในครอบครัวของตัวเองทั้งสามคน (ที่ถูกคาดปิดตา) ซึ่งในรูปจะเห็นได้ว่ามีสมาชิกแก๊งที่หมายเอาชีวิตของเขารวมอยู่ด้วยและนั่นก็เป็นคนที่จบชีวิตของเขาลงไปในที่สุด โดยคนในครอบครัวคนอื่นๆ ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร 3. เครื่องบินฝรั่งเศสเที่ยวบิน 4590 เที่ยวบินดังกล่าวออกบินในวันที่ 25 กรกฎาคม 2000 เดินทางจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ไปยังนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกจองโดยบริษัทล่องเรือสำราญสัญชาติเยอรมัน Peter…
-
คุณแม่ ‘ชุบชีวิตลูกชาย’ ด้วยการผสมเทียมจากสเปิร์มของเขาขึ้นมา จนได้ลูกแฝดจากการอุ้มบุญ
การเสียชีวิต เป็นวงจรตามธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกชีวิต แต่ว่าเมื่อมีการตายเกิดขึ้น ก็อาจทำให้บรรดา เพื่อนฝูง พี่น้อง หรือบรรดาญาติๆ ต้องเศร้าโศกเสียใจกันยกใหญ่ และผู้ที่น่าจะเป็นผู้ที่เสียใจมากที่สุดก็คือ พ่อ-แม่ ที่อาจแทบใจสลายเมื่อได้เห็นการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของลูกๆ ถึงแม้ว่าเรื่องการตายจะเป็นเรื่องธรรมชาติ ทว่าก็มีแม่ชาวอินเดียคนหนึ่งที่พยายามจะหาตัวแทนของลูกชายที่ป่วยหนักและกำลังจะลาโลกไป เธอจึงตัดสินใจนำสเปิร์มของเขามาทำการผสมเทียม จนในที่สุดเธอก็ได้ลูกชายของเธอกลับคืนมาและที่สำคัญคือยังได้เป็นลูกแฝดอีกด้วย โดยคุณแม่คนที่ว่านี้มีชื่อว่า Rajashree Patil ชาวอินเดียวัย 49 ปี ที่ต้องการจะหาตัวแทนให้กับ Prathamesh ลูกชายของเธอที่เสียชีวิตไปด้วยโรคเนื้องอกในสมอง ในตอนแรกนั้นเธอต้องการที่จะนำสเปิร์มของลูกเธอมาทำการผสมเทียม และเธอจะเป็นผู้ที่อุ้มท้องเอง แต่ทางแพทย์ได้บอกกับเธอว่าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เพราะว่าเธอได้เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้ว จึงไม่สามารถมีไข่ที่จะนำมาผสมได้นั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว ความฝันของเธอก็เป็นจริงในที่สุด เมื่อมีหญิงผู้ไม่ประสงค์ออกนามคนหนึ่งตัดสินใจยอมบริจาคไข่ให้ โดยเธอผู้นี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวของเธอแต่อย่างใด ซึ่งเมื่อนำสเปิร์มมาปฏิสนธิกับไข่ แพทย์ก็ได้นำตัวอ่อนนี้มาให้ญาติสนิทเป็นผู้อุ้มบุญให้ การอุ้มบุญครั้งนี้ผ่านไปอย่างไม่มีปัญหาใดๆ และเมื่อถึงช่วงเวลาแห่งการรอคอยก็ปรากฏว่า การผสมเทียมในครั้งนี้ได้ให้กำเนิดลูกแฝดสอง แถมยังเป็นแฝดชายหญิงอีกต่างหาก โดยเด็กแฝดที่กำเนิดขึ้นมานี้ ทาง Rajashree ก็บอกเอาไว้ว่าเธอจะเป็นผู้เลี้ยงดูเด็กชายหญิงคู่นี้ให้เติบใหญ่ราวกับว่าเป็นลูกของเธอเองเลย เธอตั้งชื่อให้เด็กชายว่า Prathamesh เหมือนกับลูกชายของเธอที่เสียชีวิตไป และเด็กหญิงก็ได้รับชื่อว่า Prisha ตามชื่อน้องสาวของเธอที่จะมาเป็นผู้ช่วยในการเลี้ยงดูเด็กทั้งสองให้เติบโตขึ้นนั่นเอง หน้าตาของ Prathamesh “คุณหมอได้เก็บสเปิร์มของลูกชายฉันไว้ ก่อนที่พวกเขาจะทำการรักษาโรคมะเร็ง เพราะตัวยาอาจจะส่งผลเสียต่อเสปิร์มได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฉันสามารถนำจิตวิญญาณของลูกชายฉันกลับมาได้” Rajashree…
-
อดีตประธานบริษัท Komatsu จัดงานเลี้ยง ‘ปิดฉากชีวิต’ ของตัวเอง หลังจากรู้ว่าอยู่ได้อีกไม่นาน
หากเรารู้ว่าเราเหลือเวลาใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นาน เราจะทำอย่างไรกับช่วงเวลาที่เหลืออยู่นั้น บางคนอาจเศร้าโศกเสียใจอยู่กับคนในครอบครัว บางคนอาจออกไปเที่ยวรอบโลก หรือบางคนอาจจัดงานเลี้ยงฉลองให้ยิ่งใหญ่เหมือนกับเขาคนนี้ Satoru Anzaki ชาวญี่ปุ่นวัย 80 ปี อดีตประธานบริษัทเครื่องจักร Komatsu ได้จัดงานเลี้ยงอำลาชีวิตของตัวเองในวันที่ 11 ธันวาคม 2017 บนโรงแรมโตเกียว หลังจากที่เขารู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานหลังจากนี้ ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้น แพทย์บอกกับเขาว่า มีการตรวจพบมะเร็งถุงน้ำดีระยะสุดท้าย แต่ Satoru เลือกที่จะไม่เข้ารับการรักษา เพื่อรักษาคุณภาพของชีวิตของตัวเองให้ดีที่สุด มีความสุขกับช่วงเวลาที่เหลืออยู่ Satoru อดีตประธานบริษัทเครื่องจักร Komatsu ต่อมาเดือนพฤศจิกายน ได้มีการประกาศเรื่องของงานเลี้ยงดังกล่าวลงในหนังสือพิมพ์ จนทำให้มีการพูดถึงกันเป็นวงกว้าง หลายคนชื่นชมในความกล้าที่จะเผชิญหน้าความตาย บางส่วนก็อยากให้ตัวเองได้รับเชิญไปร่วมงานฉลองนี้ จนกระทั่งในวันเลี้ยงฉลองมาถึง แขกกว่า 1,000 คนที่ได้รับเชิญต่างเดินทางมาร่วมงาน มีทั้งเพื่อนคนสนิทในปัจจุบัน เพื่อนเก่าร่วมชั้นในวัยเด็ก คู่ค้าและหุ้นส่วนทางธุรกิจ รวมถึงพนักงานบริษัทในสังกัด Komatsu ภายในงานถูกตกแต่งไปด้วยสิ่งของแห่งความทรงจำของชายคนนี้ อีกทั้งเขายังจ้างนักเต้นรำสไตล์ดั้งเดิมจากบ้านเกิดของเขาในจังหวัดโทคุชิมะ เข้ามาสร้างสีสันและความบันเทิงให้กับแขกทุกคนในงาน Satoru พยายามเดินทักทายและจับมือกับแขกทุกคนที่มาร่วมงาน เขายังคงยิ้มอย่างสดใสร่าเริง ไม่แสดงอาการเศร้าโศกใดๆ ทั้งสิ้น…
-
เมื่อคุณตายคุณจะรู้ตัวว่าคุณตาย…นักวิทย์ค้นพบว่าแม้ร่างกายจะตายไปแล้วแต่เราก็ยังรับรู้ได้
เชื่อกันไหมว่า ได้มีการศึกษาที่ทำให้ค้นพบว่าถ้าเกิดร่างกายของเราตายไปแล้วนั้น แต่จิตใต้สำนึกของเราจะยังคงทำงานต่อไปได้ สุดยอดไหมล๊าาา… ซึ่งจากผลการศึกษาดังกล่าวจึงมีข้อสรุปว่า แม้คนๆ นั้นจะตายแล้วแต่ก่อนจะไปเขายังคงรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ รวมถึงรับรู้ถึงการตายของตัวเองอีกด้วย นั่นรวมถึงบางคนอาจจะได้ยินตอนที่หมอพูดว่าเราตายไปแล้วเช่นกัน การวิจัยนี้ได้บอกเล่าโดย Dr Sam Parnia ซึ่งเขาได้บอกผ่านทาง Live Science เกี่ยวกับการศึกษาการรับรู้ความรู้สึกหลังความตายนั้นมันเกิดขึ้นจริงๆ เพราะกว่าเซลล์สมองจะตายจริงๆ นั้นจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงเลยทีเดียว Dr. Sam Parnia ยังบอกอีกว่าโดยปกติแล้วทางการแพทย์จะตัดสินการตายผ่านการเต้นของหัวใจ ซึ่งเมื่อหัวใจหยุดเต้นแพทย์ก็จะบอกว่าคนนั้นตายทันที เพราะเมื่อหัวใจหยุดเต้นเลือดก็จะหยุดสูบฉีดเพื่อไปเลี้ยงสมอง เพียงแต่ว่านั่นเป็นวิธีการทางเทคนิคเท่านั้น ซึ่งเมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวมันเกิดขึ้น เลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง สมองก็บางส่วนนั้นก็จะตายทันที ทั้งเซลล์ม่านตา เซลล์กล้ามเนื้อ ซึ่งรวมถึงเปลือกสมองที่เป็นตัวประมวลผลจากประสาทรับรู้ต่างๆ ก็เช่นกัน ในช่วงเวลา 2 ถึง 20 วินาทีคลื่นสมองจะหายไปจากจอมอนิเตอร์ทันที เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นจะส่งผลเป็นลูกโซ่และต้องใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมงกว่าสมองจะตายอย่างสมบูรณ์ แต่ยังไงก็ตามถ้าเกิดมีการทำ CPR ทันทีก็ยังคงมีโอกาสที่ทำให้สมองกลับมาทำงานได้และไม่ตายอย่างสมบูรณ์ เพราะถ้ามีเลือดไปเลี้ยงสมองต่อเพียงแค่ 15 เปอร์เซ็น สมองก็จะกลับมาทำงานได้ปกติ แต่ยังไงก็ตามเซลล์สมองก็จะยังคงค่อยๆ ตายอย่างช้าๆ อยู่ดี เพราะการที่คนเราตายไปแล้วก็ต้องตายอยู่ดี และไม่นานมานี้ก็เพิ่งจะมีหนังแนวๆ การโกงความตายด้วยเซลล์สมองแบบนี้ออกมาเช่นกัน…
-
ชมตัวอย่างแรกของ “Death Note” สมุดโน๊ตแห่งความตาย เวอร์ชั่นฮอลลีวูด!!
เชื่อว่าคงมีน้อยคนนักที่ไม่รู้จักการ์ตูนเรื่อง Death Note ผลงานของ สึงุมิ โอบะ และ ทาเคชิ โอบาตะที่ว่าด้วยเรื่องของนักเรียนมัธยมคนหนึ่งที่บังเอิญเก็บสมุดโน๊ตที่เมื่อเขียนชื่อใครลงไป คนๆ นั้นจะตายในเวลาต่อมา เขาจึงตัดสินใจใช้สมุดโน๊ตเล่มนั้น เขียนชื่อคนที่เขาคิดว่าเป็นคนเลวลงไปทั้งหมด ด้วยเนื้อเรื่องที่ซับซ้อน รวมทั้งการหักเหลี่ยมเฉือนมุมของตัวละคร ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ล่าสุดทางฮอลลีวูดได้ซื้อลิขสิทธิ์การ์ตูนเรื่องนี้ไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ และเพิ่งปล่อยตัวอย่างแรกออกมา หนังเวอร์ชั่นนี้ได้ อดัม วินการ์ด จากภาพยนตร์เรื่อง The Guest และ You’re Next เป็นผู้กำกับ และได้นักแสดงจาก The Fault in Our Stars และ Papers Town อย่าง แนต วูล์ฟ มานำแสดง จากตัวอย่างที่ปล่อยออกมาดูเหมือนว่า Death Note เวอร์ชั่นฮอลลีวูดนี้จะออกเป็นแนวฆาตกรโรคจิตสยองขวัญ มากกว่าจะเป็นแนวสืบสวนสอบสวนเหมือนต้นฉบับ . เราไปชมตัวอย่างกันเลยดีกว่า หนังจะเข้าฉายทาง Netflix ในช่วงเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ใครสนใจก็สมัครสมาชิกรอชมกันได้เลยนะฮะ ที่มา Netflix US &…
-
บริษัทอังกฤษรับทำ “เถ้ากระดูกคนตาย” เป็นแผ่นเสียง เพื่อระลึกถึงคนที่คุณรัก…
‘ความตาย’ เป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่ว่าใครต่างก็ต้องพบเจอ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันก็มักจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความเศร้า และความคิดถึงแทบใจจะขาด ให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีวิธีการจัดการกับความเศร้าที่แตกต่างกันออกไป และนี่ก็คือวิธีที่เรียกได้เลยว่าแปลกมากๆ เพราะทางบริษัท And Vinyly ของประเทศอังกฤษ ได้ทำการนำเถ้ากระดูกของผู้เสียชีวิตมาทำเป็นแผ่นเสียง นั่นก็เพื่อให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้เปิดฟังและระลึกถึงคนสำคัญที่จากไป… วิธีการทำก็คือการนำเถ้ากระดูกของผู้เสียชีวิตมาโรยลงไปบนแผ่นเสียง ที่ทางลูกค้าจะเป็นคนเลือกเพลง หรือเสียงอะไรก็ตามที่ต้องการให้เขียนลงบนแผ่นเสียง จากนั้นก็จะทำการเคลือบแผ่นเสียงอีกครั้ง ให้เถ้ากระดูกติดอยู่กับแผ่นเสียงไม่หลุดออกไป และเวลาเปิดแผ่นเสียงฟังนั้นจะมีเสียงตะกุกตะกักอันเกิดมาจากเศษเถ้ากระดูกเล็กน้อย เป็นการแสดงว่าพวกเขายังคงอยู่ในแผ่นเสียงนั้น ใกล้ๆ กับเราตลอดเวลา นอกจากนี้ในส่วนของตลับแผ่นเสียงนั้นก็มีบริการจากศิลปินจาก National Portrait Gallery มาช่วยวาดภาพพอร์เทรทให้อีกด้วย นาย Jason Leach ผู้ก่อตั้งได้กล่าวเอาไว้ในหนังสั้นเรื่อง Hearing Madge ถึงธุรกิจของเขาเอาไว้ว่า “เรื่องราวอันอ่อนโยนของชีวิตนั้นถูกบันทึกไว้โดยเสียง” . หากใครสนใจล่ะก็สามารถติดต่อโดยตรงไปยังบริษัท andvinyly ได้เลย และมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 130,000 บาท ถึงจะเป็นราคาที่ดูแพงไปสักหน่อย แต่สำหรับหลายคนมันกลับคุ้มค่ามาก… ลองไปชมคลิปหนังสั้นโปรโมท ของบริษัท And Vinyly กันแบบเต็มๆ ในตัวอย่างวิดีโอด้านล่าง… ที่มา…
-
6 คนที่เคยหัวใจหยุดเต้น บอกเล่า ‘ประสบการณ์หลังความตาย’ ว่าพวกเขาเจออะไรบ้าง!??
ความตาย เป็นสิ่งที่ทุกชีวิตจะต้องเจอในวาระสุดท้าย ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ จนกระทั่งเกิดเป็นคำถามที่ว่า ‘ชีวิตหลังความตายนั้นเป็นอย่างไร’ จนปัจจุบันก็ยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ เพราะคนตายไปแล้วคงไม่กลับมาตอบให้ (หรืออาจจะเป็นผีบอก) ตึ่งโป๊ะ!? แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปมากแค่ไหน แต่เรื่องของชีวิตหลังความตายนั้นก็เป็นสิ่งที่เกินกว่าวิทยาศาสตร์จะหาข้อเท็จจริงได้ ซึ่งส่วนมากแล้วในทางทฤษฎีที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือจะเห็นเป็นแสงสีขาวพร้อมกับภาพความทรงจำในชีวิตแทรกเข้ามาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งคำถามที่ว่า ‘ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร’ ได้เดินทางมาสู่เว็บไซต์ Reddit (พันทิปฝรั่ง) โดยมีผู้ที่เข้ามาตอบคำถามดังกล่าวเป็นผู้ที่เคยตายไปแล้วในทางการแพทย์แต่กลับฟื้นคืนชีพมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ทั้งหมด 6 รายด้วยกัน (โปรดใช้วิจารณาญาณในการอ่าน) 1) เหมือนดั่งการอ่านเรื่องราวในหนังสือ ผู้ใช้นามแฝง monitormonkey เล่าว่าเมื่อ 5 ปีก่อน เขาเข้ารับการผ่าตัดครั้งใหญ่ ซึ่งในระหว่างนั้นเขาเสียเลือดมากจนทำให้เขาเสียชีวิตเป็นเวลาหลายนาที ‘ฉันตื่นขึ้นมาในลักษณะที่คล้ายกับอวกาศ แต่ไม่มีดวงดาวหรือแสงใดๆ เลย แล้วก็ไม่ได้รู้สึกล่องลอยด้วย แบบว่าจู่ๆ ก็โผล่เข้าไปที่นั่น ฉันไม่รู้สึกร้อนหรือหนาว ไม่รู้สึกหิวหรือเพลีย มีแต่ความรู้สึกสงบเงียบ ฉันรู้ว่ามีแสงและความรักอยู่ที่ไหนซักแห่งใกล้ๆ แต่ก็ไม่สามารถไปตามหามันได้ทันทีทันใด’ ‘ฉันจำได้ว่า ฉันคิดถึงเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา ไม่ใช่เป็นแบบภาพตัดเข้ามานะ แต่เป็นเหมือนการนั่งพลิกหน้าหนังสือแล้วก็มีภาพออกมาจากตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง’ ‘แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร มันเปลี่ยนความคิดบางอย่างของฉัน ฉันยังรู้สึกกลัวที่จะต้องตาย…
-
เกาหลีใต้ปิ๊งไอเดีย ผุดศูนย์บำบัดนอนในโลงศพ เพื่อลองสัมผัสและเผชิญหน้ากับความตาย
หลายคนอาจจะพอทราบมาบ้างแล้วว่า ปัญหาใหญ่ที่สังคมเกาหลีใต้กำลังเผชิญอยู่ หนึ่งในนั้นก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก ‘การฆ่าตัวตาย’ ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ ศูนย์การแพทย์ฮโยวอน แห่งกรุงโซล จึงได้ปิ๊งแนวคิดสุดแจ่ม ในการบำบัดคนที่ต้องการฆ่าตัวตาย เพื่อทำให้พวกเขาได้พิจารณาว่า ตนจะทำให้คนที่รักต้องเจ็บปวดขนาดไหน เมื่อพวกเขาเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองลง และที่สำคัญหากคุณได้เข้าเป็นหนึ่งในผู้บำบัด คุณจะได้สัมผัส และเผชิญหน้ากับความตายในชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งผู้ที่จะเข้าร่วมการบำบัดนั้นมีตั้งแต่วัยรุ่น ผู้ใหญ่ แม้กระทั่งผู้สูงวัยยังไงละเหมียว สำหรับวิธีการบำบัดนั้น ผู้เข้าร่วมจะต้องสวมชุดสีขาวเข้ามาอยู่ในห้องที่มีโลงศพไม้วางเรียงกันเป็นแถว โดยแต่ละคนจะนั่งลงในโลงของตน เพื่อฟังการบรรยายจากหัวหน้าศูนย์บำบัด เมื่อฟังเสร็จแล้วผู้บำบัดทุกคนจะนอนลงในโลง หลับตาลงและกอดภาพถ่ายที่จะใช้ในพิธีศพของตัวเอง พอเวลาผ่านไป แต่ละคนจะต้องเขียนสิ่งที่ตัวเองต้องการและคำสั่งลาถึงคนที่รักเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นผู้บำบัดจะต้องอ่านข้อความให้เพื่อนในกลุ่มฟัง และเมื่อเวลาแห่งความตายสิ้นสุดลง ทุกคนจะต้องลงไปนอนในโลงศพอีกครั้ง ก่อนที่จะมีทูตสวรรค์เดินเข้ามาปิดฝาโลงให้แก่พวกเขา หลังจากนั้นผู้บำบัดทุกคนจะทุกทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวราว 10 นาที ซึ่งจะเป็นเวลาที่พวกเขาได้พิจารณาชีวิตของตัวเองในมุมมองจากคนภายนอก เมื่อกิจกรรมสิ้นสุดลงหัวหน้าศูนย์บำบัดจะกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง และบอกกับผู้บำบัดว่า ‘คุณได้สัมผัสความรู้สึกราวกับว่าตายไปแล้ว แต่พวกคุณยังมีชีวิตอยู่ และจะต้องสู้ต่อไป’ ที่มา : kapook, odditycentral
-
เหมียวพาชม ความเชื่อและที่มาของ 10 เทศกาลแห่ง ‘ความตาย’ จากรอบโลก!!!
สำหรับเทศกาลแห่งความตาย ที่ทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดีก็คงหนีไม่พ้นเทศกาลปล่อยผี หรือ Halloween ของชาวตะวันตก ที่ผู้คนออกมาแต่งชุดคอสตูมเฉลิมฉลองกันทั้งเมืองนั่นเอง จะว่าไปแล้วความตายก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตมนุษย์ วันนี้เหมียวเลยอยากพาเพื่อนๆ ไปชมเทศกาลแห่งความตายกัน จากทั่วทุกมุมโลกเลยล่ะ ดูซิว่าจะเหมือนกันรึเปล่า Dia de los Muertos หรือวันแห่งความตาย ในประเทศเม็กซิโก ถ้าจะย้อนกลับกันจริงๆ แล้วเทศกาลนี้มีมาตั้งแต่อาณาจักรแอซเทคเรืองอำนาจเลยทีเดียว และนานนับศตวรรษ เทศกาลนี้ได้หลอมรวมเข้ากับศาสนาคริสต์อย่างกลมกลืน สำหรับการเฉลิมฉลองในวันนี้ ครอบครัวจะมารวมตัวกัน เพื่อทำความสะอาดให้หลุมศพของผู้ตายอันเป็นที่รัก และตกแต่งหลุมให้สวยงาม Ari Muyang ในประเทศมาเลเซีย ชาวเผ่า Mah Meri ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศ ได้เฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความตายนี้ด้วยการเต้นรำทำเพลง เหล่าพ่อมดหมอผีจะมาร่วมพิธีเพื่อร่ายมนตร์และกล่าวอวยพร ก่อนที่เทศกาลนี้จะเริ่มขึ้นอย่างเต็มตัว เทศกาล Chuseok หรือชูซอก ในประเทศเกาหลีใต้ ถ้าจะนับกันตรงๆ แล้วเป็นเทศกาลเก็บเกี่ยวของประเทศ ที่กินเวลา 3 วันด้วยกัน แต่ก็เป็นวันหยุดสำหรับบูชาเหล่าบรรพบุรุษของคนในประเทศเช่นกัน ทุกๆ…