Tag: ความรับผิดชอบ
-
ทำบุญหรือทำบาป? เมื่อชาวบ้านขนไก่ขึ้นสิบล้อ นำไปปล่อยที่วัดเกือบ 200 ตัว!!
ธรรมดาเราอาจเคยเห็นคนนำสัตว์เลี้ยงไปปล่อยไว้ตามวัด เช่นเดียวกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน วัดเขาบายศรี ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จังหวัดชลบุรี แต่สิ่งที่คนนำมาปล่อยกลับไม่ใช่หมาแมวทั่วๆ ไป เพราะเขานำเอา “ไก่” มาปล่อยไว้ให้ทางวัดดูแล เป็นจำนวนเกือบ 200 ตัวเลยทีเดียว!! ไก่จำนวนมากถูกนำมาปล่อยที่วัด เรื่องราวดังกล่าวถูกนำเสนอผ่านรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ในวันที่ 29 เมษายน 2018 เมื่อมีคนขับรถเข้ามาสอบถามกับพระอนันต์ ปภงกโร เจ้าอาวาสวัดเขาบายศรี โดยมีจุดประสงค์ต้องการนำไก่มาปล่อยที่วัด ในตอนแรกพระอนันต์คิดว่าชาวบ้านจะนำมาปล่อยแค่ 2 หรือ 3 ตัว แต่ที่ไหนได้ วันต่อมากลับมีรถสิบล้อบรรทุกไก่จำนวนถึง 196 ตัวนำมาปล่อยที่วัดดังกล่าว สร้างความตกใจให้กับเจ้าอาวาสเป็นอย่างมาก พระจำเป็นต้องช่วยกันดูแล นี่จึงกลายเป็นความเดือดร้อนของทางวัดที่ต้องคอยดูแลไก่ทั้งหมด โดยทางเจ้าอาวาสจำเป็นต้องเลี้ยงพวกมันร่วมกันกับหมา แมว และหมูที่อยู่ในวัด ยิ่งไปกว่านั้นคือ ไก่ที่ถูกนำมาปล่อยทั้งหมดเป็นไก่ไข่ตัวผู้ซึ่งถูกเลี้ยงไว้กรงเล็กๆ ทำให้พวกมันไม่ชินกับการหาอาหารด้วยตัวเอง ทำได้เพียงแค่เดินตามพระผู้คอยให้อาหารพวกมันเท่านั้น เจ้าอาวาสอนันต์บอกว่าจำเป็นต้องนำอาหารไปซ่อน ปล่อยให้ไก่ไปขุดคุ้ยหาบ้าง เพื่อให้พวกมันได้ออกกำลังกายและสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนกับไก่บ้านทั่วๆ ไป พระอนันต์ยังพูดติดตลกอีกว่า…
-
สาวแก้เผ็ดชายที่ทำเธอท้องแล้วหนี ด้วยการใช้ป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ประกาศตามหาซะเลย
เซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ แต่ว่าเมื่อเรายินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็จะต้องยอมรับผลที่ตามมาให้ได้และต้องช่วยกันรับผิดชอบ ทว่าหากมีใครคนหนึ่งที่ไม่สนใจและปล่อยให้เป็นภาระของอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียว อย่างนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นคนที่ใช้ไม่ได้คนหนึ่งเลย ดั่งเช่นเหตุการณ์ของสาวคนนี้ที่ได้ตั้งท้องกับชายคนหนึ่ง แต่หลังจากที่เธอตั้งท้องแล้วก็ปรากฏว่า ชายคนนั้นกลับตัดทุกช่องทางการติดต่อเพราะต้องการจะหนีความรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น สาวคนนี้เลยคิดไอเดียดีๆ ออกด้วยการใช้ป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ติดหราไว้กลางเมืองเพื่อพยายามจะติดต่อกับเขา พร้อมทั้งประจานไปในตัวด้วยเลย ป้ายโฆษณาตามหาพ่อของเด็กในท้อง สำหรับป้ายโฆษณาที่ว่านี้ได้ทำขึ้นโดยผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ประสงค์จะออกนาม โดยมันเป็นป้ายยักษ์ที่ตั้งอยู่บนถนน Mariano Jiménez กับถนน Salvador Nava Avenue ในเมือง San Luis Polosi ประเทศเม็กซิโก ซึ่งรายละเอียดภายในป้ายนี้ ก็จะมีรูปของชายคนหนึ่งที่ใส่หมวกคาวบอย พร้อมด้วยชื่อจริงของเขาแบบเต็มๆ นามว่า Carlos Orozco และสิ่งที่สำคัญที่เป็นทีเด็ดที่สุดของสาวคนนี้ก็คือข้อความกึ่งต้องการความรับผิดชอบกับการต้องการประจาน ที่ว่า “ประกาศตามหา Carlos Orozco ตอนนี้ฉันกำลังตั้งท้อง แล้วนายก็บล็อกฉันทุกวิถีทางทั้ง เฟซบุ๊ก โทรศัพท์ ขนาดเพื่อนคนที่เคยแนะนำเราให้รู้จักกันนายยังเลิกคบเลย นี่จึงเป็นวิธีเดียวที่ฉันจะบอกข่าวนี้กับนายได้” เด่นหราเห็นแต่ไกลเลย แน่นอนว่าป้ายของหญิงสาวขนาดยักษ์คนนี้ ได้กลายเป็นกระแสไวรัลในสังคมโซเชียลมีเดียของประเทศเม็กซิโก โดยมีการแชร์นับพันผ่านทั้งเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ รวมถึงเว็บไซต์ข่าวต่างๆ ด้วย ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เห็นว่ามันเป็นป้ายที่น่าขำขันดี แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะหัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะมันคือชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งเลย “ประชาชนบางคนเห็นว่าเมืองนี้เป็นเสมือนกับหน้าวอลบนเฟสบุ๊ก และทำการโพสต์สิ่งต่างๆ ลงในนั้น แต่นี่คือโลกจริงที่อาจมีผลกระทบที่ตามมาอีกมาก” Juan…
-
เหตุผลที่ว่าทำไมพ่อแม่ชาวญี่ปุ่นจึงปล่อยให้ลูกอายุเพียง 6-7 ขวบเริ่มพึ่งพาตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก!?
หากเราได้เคยสัมผัสหรือรับรู้ผ่านสื่อต่างๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่นมาบ้าง จะสังเกตเห็นได้ว่าเด็กเล็กอายุเพียงแค่ 6-7 ขวบโดยประมาณ เดินไปไหนมาไหนคนเดียว ใช้บริการรถสาธารณะเพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางนั่นก็คือโรงเรียนนั่นเอง เหมือนกับผู้ใหญ่ที่เดินทางไปทำงานในแต่ละวัน ไม่เหมือนกับวัฒนธรรมในบ้านเราที่จะต้องมีพ่อแม่พาไปส่งโรงเรียนในทุกๆ เช้า แตกต่างกับนักเรียนญี่ปุ่นในวัยประถมศึกษาที่จะเห็นได้ว่ามาด้วยตัวคนเดียว และเลือกที่จะเดินเท้าไปขึ้นรถไฟเพื่อไปโรงเรียน แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ? คุณพ่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะฝึกให้ลูกๆ ของตนรู้จักที่จะพึ่งพาตัวเองตั้งแต่ยังเล็กๆ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทั้งเด็กผู้หญิงหรือผู้ชาย และไม่ว่าจะเป็นครอบครัวไหนก็จะพยายามฝึกให้ลูกของตัวเองรู้จักที่จะไปไหนมาไหนและทำอะไรด้วยตนเองให้ได้ อย่างเช่นหนุ่มน้อยวัย 12 ขวบนามว่า ไคโตะ ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับทางเว็บไซต์ citylab ในกรณีนี้ว่าเขาเริ่มนั่งรถไฟด้วยตัวเองมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ‘ครั้งแรกของผมเป็นอะไรที่รู้สึกกังวลมาก แม้ว่าผมจะสามารถนั่งรถไฟไปเองได้แต่ก็ยังกังวลอยู่เล็กน้อย’ ซึ่งปัจจุบันเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ได้สร้างความกังวลให้กับเขาอีกต่อไป แต่ก็ใช่ว่าทางพ่อกับแม่จะไม่รู้สึกเป็นห่วง ซึ่งช่วงแรกๆ ก็แอบกังวลอยู่บ้าง แต่พอปล่อยให้เขาได้ลองซักครั้งเนื่องจากคิดว่าโตแล้ว ก็ควรที่จะทำได้เพราะเด็กคนอื่นๆ ก็ทำได้เหมือนกัน โดยที่ทางด้านแม่เลี้ยงของไคโตะเปิดเผยว่า ‘เพราะฉันคิดว่ารถไฟนั้นปลอดภัยและตรงเวลามาก ฉะนั้นไม่ต้องห่วงเลยว่าเขาจะกลับบ้านไม่ตรงเวลา แถมเขายังเป็นเด็กที่เก่งด้วย’ ‘ฉันนั่งรถไฟด้วยตัวเองตั้งแต่ตอนที่ฉันยังมีอายุน้อยกว่าเขาซะอีก แถมตอนนั้นก็อยู่ในโตเกียวด้วย ในสมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ยังสามารถไปถึงจุดหมายจากจุด A ไปถึงจุด…