Tag: ความรุนแรง
-
ชายญี่ปุ่นโหด คว้าโทรศัพท์มือถือ “ทุบศีรษะ” หญิงที่เผลอหลับ แล้วซบไหล่บนรถไฟ…
คนเราเวลาที่ง่วงบางครั้งมันก็ยากที่จะหักห้ามไม่ให้ตัวเองผล็อยหลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เพิ่งเลิกจากงานอันแสนเหน็ดเหนื่อย ได้มานั่งบนรถไฟฟ้าที่เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ ก็ยิ่งทำให้ “หลับ” ได้ง่ายขึ้น ทว่าการนอนหลับบนรถไฟฟ้านั้นหากไม่ระวังให้ดีก็อาจเอนตัวไปสัมผัสโดนผู้โดยสารคนอื่นเข้าได้ แต่หากเจอคนใจดีเขาก็คงจะพูดกับเราอย่างสุภาพหรือไม่ก็ปล่อยให้เรานอนซบไหล่ไปเลย แต่หากเจอคนใจร้ายล่ะก็ จะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่มีใครทราบได้… ลองมาชมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ที่หญิงสาวคนหนึ่งดันเผลอหลับบนรถไฟฟ้า ทำให้ตัวของเธอนั้นเอนไปชนเข้ากับชายวัยกลางคนรายหนึ่งเข้า ชายดังกล่าวมีสีหน้านิ่งๆ แต่ทำท่าจะคว้าอะไรสักอย่างจากในกระเป๋าถือของเขา เขาหยิบ “โทรศัพท์มือถือ” ออกมาฟาดเข้าที่ศีรษะของหญิงสาวคนที่หลับไปซบเขาจนเกิดเสียงดัง แล้วรีบเก็บเข้ากระเป๋าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้หญิงสาวตื่นขึ้นมาด้วยความงงงวยพร้อมกับความเจ็บปวด ชาวทวิตเตอร์ที่ชื่อว่า @SakuradaPC ก็ได้โพสต์วิดีโอเหตุการณ์ข้างต้นลงบนทวิตเตอร์ของตนเอง แสดงให้เห็นถึงวิธีการรับมือกับปัญหาของคน ที่เลือกจะ “ใช้ความรุนแรง” แทนการพูดและเจรจา ชมคลิปได้เลย… もたれかかって来るのが嫌なのは分かるけど…それはあかんやろ… pic.twitter.com/qBBlqeDRxa — 桜田PC (@SakuradaPC) October 3, 2018 ฟังจากเสียงแล้วคาดว่าน่าจะใช้แรงตีค่อนข้างมาก ประกอบกับโทรศัพท์มือถือเป็นของแข็งและค่อนข้างมีน้ำหนัก การกระทำเช่นนี้อาจก่อให้เกิดอันตรายกับหญิงในคลิปได้มากกว่าแค่การ “ปลุกให้ตื่น” เมื่อมีคนบังเอิญหลับมาซบหรือชนเข้ากับตัวเรา การแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรงนั้นทำก็สามารถทำได้ตั้งหลายวิธีเช่น ปลุกด้วยการสะกิดแล้วเจรจากัน เป็นต้น แค่บังเอิญหลับมาซบแค่เนี๊ยะ พี่บอกหนูดีๆ ก็ได้มั้งง~ ที่มา: @SakuradaPC และ soranews24
-
Hara อดีตสมาชิกวง KARA โพสต์ภาพถูกแฟนหนุ่ม “ทำร้าย” จนร่างกายฟกช้ำหนัก
การทะเลาะวิวาทระหว่างคู่รักเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ถึงอย่างไร ความรุนแรง และ การทำร้ายร่างกาย คือสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะมันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีเท่าใดนัก ล่าสุด แม้ว่าจะเป็นคนดังที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปยังหลายๆ ประเทศทั่วโลก เช่น ศิลปิน K-Pop เองก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องราวของความรุนแรงและการทำร้ายร่างกาย Hara (Goo Ha-ra) นักร้องและนักแสดงสาวสัญชาติเกาหลี อดีตสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป KARA ได้เผยภาพรอยฟกช้ำบนแขนและขาของเธอลงบนโลกออนไลน์ โดยกล่าวว่าเป็นผลมาจากการถูกแฟนหนุ่มทำร้ายร่างกาย ภาพถูกโพสต์ลงเว็บไซต์ Dispatch ทำให้ชาวเน็ตหลายๆ คนเกิดความสะเทือนใจที่ได้เห็นภาพรอยฟกช้ำจำนวนมากบนร่างกายของ Hara Hara อดีตสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป KARA ภาพรอยฟกช้ำและบาดแผลบนร่างกายของเธอ ทั้งแขน ขา เท้า หัวเข่า และข้อศอก . นอกจากนี้ Hara ยังโพสต์ภาพใบรับรองแพทย์ของเธอ ประกอบไปด้วยการวินิจฉัยจากสูติแพทย์และศัลยแพทย์กระดูก ตามคำวินิจฉัยของสูติแพทย์ Hara มีเลือดคั่งในท่อปัสสาวะและช่องคลอดเนื่องจากการถูกทำร้าย เธอจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาราวหนึ่งสัปดาห์ในการรักษา ใบกำกับการวินิจฉัย (สูติแพทย์) ขณะเดียวกันทางฝ่ายของศัลยแพทย์กระดูกก็กล่าวว่าเธอได้รับความบาดเจ็บซ้ำๆ บ่อยครั้ง เป็นไปได้ที่จะทำให้เกิด เอ็นกระดูกคอบาดเจ็บ กระดูกใบหน้าช้ำและแพลง กระดูกขาส่วนล่างช้ำและแพลง และเอ็นกระดูกปลายแขนขวาฉีกขาด ใบกำกับการวินิจฉัย…
-
นักศึกษาบังกลาเทศ ถูกฝ่ายรัฐบาลฆ่าและข่มขืน เนื่องจาก “ประท้วง” ขอความปลอดภัยบนท้องถนน
หลังจากที่มีข่าวการเสียชีวิตของนักเรียน 2 รายในประเทศบังกลาเทศเนื่องจากอุบัติเหตุบนท้องถนน จึงมี การประท้วง เกิดขึ้นเพื่อเรียกร้องให้การจราจรในประเทศมีความปลอดภัยมากขึ้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นความรุนแรง ความโหดร้าย และการสูญเสีย ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2018 ได้เกิดเหตุการที่รถบัสโดยสารคันหนึ่งพุ่งชนเข้ากับกลุ่มนักเรียน ทำให้ Diya Khanam Mim และ Abdul Karim Rajib นักเรียน 2 คนจากโรงเรียนและวิทยาลัย Shaheed Ramiz Uddin เสียชีวิต ข่าวการเสียชีวิตของนักเรียนทั้งสองแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วบนโลกออนไลน์ ทำให้เกิดการจลาจลต่อต้านรัฐบาลขึ้นในกรุงธากา ผู้ประท้วงส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนและนักศึกษาที่ออกมาปิดการจราจร ณ สี่แยกใหญ่หลายแห่ง ภาพการประท้วงที่ก่อให้เกิดการจลาจล มีรายงานว่า เด็กนักเรียนวัยเพียง 13 ปี หนึ่งในผู้ร่วมประท้วงได้ทำการปิดถนนและตรวจสอบรถทุกคันที่ผ่านมาว่ามีใบอนุญาตขับขี่หรือไม่ เพื่อให้มีความปลอดภัยบนท้องถนน และเมื่อวันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม 2018 เหล่าผู้ประท้วงนับพันได้รวมตัวกันประท้วงต่อต้านรัฐบาลให้มอบความยุติธรรมและเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนให้มากขึ้น แต่ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน การจลาจลกลับกลายเป็นความรุนแรง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจของบังกลาเทศและกลุ่มนักศึกษาที่สนับสนุนรัฐบาลถูกกล่าวหาว่าใช้กำลังและความรุนแรงต่อกลุ่มผู้ประท้วง รายงานจาก Agence France-Presse กล่าวว่านักเรียนที่เข้าประท้วงหลายร้อยรายบาดเจ็บจากการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีการยิงกระสุนยางและแก๊สน้ำตา…
-
ชาวเน็ตวิจารณ์เดือด…ทอมโหดทำร้ายแฟนสาว ‘หมวกกันน็อกฟาด’ จนเข้าโรงพยาบาล!!
ในชีวิตคู่ บางครั้งอาจจะมีทะเลาะกันบ้างก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกายกันแล้วขอบอกเลยว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดความรุนแรง และสร้างความเสียหายให้อย่างมากมาย เช่นเดียวกันกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ เรื่องมีอยู่ว่าผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งชื่อว่า Thikampron Kaain ได้ทำการแชร์คลิปวิดีโอเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างคู่รักทอมกับแฟนสาว (แฟนสาวเป็นน้องสาวของเจ้าของโพสต์) โพสต์ดังกล่าวมีแคปชันว่า “แ*ง..แค่เห็นสภาพน้องตอนอยู่โรงพยาบาลก็ว่าแย่แล้วพอมาดูคลิปยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ทำใจดูไม่ได้ได้แต่กรอไปกรอมา ใจทำด้วยอะไรวะ…ได้ข่าวว่ากลับบ้านใช่มั้ย ใครอยู่บ้านฝากหน่อยสิ จะได้รู้ว่ากินข้าวกินยากินน้ำไม่ได้มันทรมานยังไง น้องต้องปวดแค่ไหน นี่เหรอ 7 ปี ที่คบกันมา น้องเพิ่งส่งคลิปให้ดู ผมนี่หัวร้อนนเลย” เหตุการณ์เกิดขึ้นจากการทะเลาะกันเบาๆ ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะถูกผลักออกมา ด้วยความโมโหเธอจึงชกเข้าไปที่หน้าของทอม ก่อนที่ฝ่ายทอมจะหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาแล้วฟาดไปที่หน้าของฝ่ายหญิง หลังจากนั้นก็กลายเป็นการกระทำรุนแรงโดยฝ่ายเดียว มีผู้เห็นเหตุการณ์แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาห้ามปรามหรือช่วยเหลือได้แต่ยืนมอง จนกระทั่งมีผู้หญิงดูมีอายุคนหนึ่งเดินมาห้ามในที่สุด คลิปเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับความสนใจมากมาย จนมีคนเข้ามากดไลก์ถึง 34,000 ครั้งและแชร์ไปอีกกว่า 81,000 ครั้งเลยทีเดียว เนื่องจากว่าเฟซบุ๊กจัดให้คลิปเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ความรุนแรง จึงนำมาฝังไว้ในบทความไม่ได้ หากเพื่อนๆ คนไหนอยากชมคลิปก็คลิกเข้าไปที่ ลิงก์นี้ ได้เลยนะจ๊ะ หลายๆ คนต่างก็ให้ความเห็นด่าทอทอมในคลิปกันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่า “โห…
-
ตัวอย่างอันเลวร้าย.. เมื่อคุณแม่ประเคนบาทา เพราะเด็กสาวไม่ยอมให้ลูกของเธอแซงคิว
พ่อแม่และผู้ปกครองคือบุคคลสำคัญในการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ แต่ในบางครั้งมันก็อาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป เมื่อคุณแม่ชาวจีนคนหนึ่งได้แสดงกิริยาที่ไม่อาจรับได้ต่อหน้าลูกของเธอ คลิปวิดีโอเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นที่เมือง Changsha ประเทศจีน ได้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทขึ้นขณะที่โรงเรียนแห่งหนึ่งพาเด็กจำนวนมากไปเข้าต่อคิวเล่นสไลเดอร์ (กระดานลื่น) หลังจากนั้นคุณแม่สวมหมวกแดงคนหนึ่งก็พาลูกชายมา หวังจะให้ลูกของเธอเข้าไปแทรกกลางระหว่างแถวหรือก็คือพยายามให้ลูกของเธอได้แซงคิวนั่นเอง แต่ว่าเด็กหญิงที่ยืนต่อคิวอยู่ปฏิเสธไม่ให้ลูกชายของคุณแม่คนดังกล่าวเข้ามาแซงได้ เด็กหญิงคนนั้นจึงตอบคุณแม่หมวกแดงไปว่า “อย่าแซงคิวสิคะ ทุกๆ คนเขาก็ต่อคิวรอกันทั้งนั้น” ประโยคนั้นสร้างความไม่พอใจต่อคุณแม่คนดังกล่าวเป็นอย่างมาก ตอนแรกเธอทำเหมือนกับว่าเดินจากไปเฉยๆ แต่จู่ๆ ก็หันกลับมาพุ่งถีบเด็กผู้หญิงจนล้มลงไป พร้อมกับเตะซ้ำอย่างแรง คุณแม่หมวกแดงทั้งถีบ ทั้งเตะซ้ำ หลังจากเหตุการณ์นั้นถึงทราบว่า เด็กผู้หญิงที่โดนถีบอย่างแรงมีชื่อว่า Meng Meng วัย 9 ขวบ ซึ่งตอนนี้ต้องเผชิญกับฝันร้ายเพราะไม่สามารถลืมเหตุการณ์ในวันนั้นได้ แม่ของ Meng Meng ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท้องถิ่นว่า เธอต้องการให้ผู้หญิงหมวกแดงคนนั้นแสดงตัวออกมา และเข้ามาขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไป คลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภายหลังทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 19 เมษายน 2018 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความคืบหน้าในเรื่องของการดำเนินคดี แต่นี่ถือว่าเป็นการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก…
-
คลิปที่นักศึกษาถ่ายเหตุการณ์ 9/11 “เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรด” กลับมาเป็นไวรัลอีกครั้ง…
หนึ่งในเหตุการณ์วินาศกรรมสะเทือนขวัญไปทั่วโลก ในวันมหาวิปโยคที่สุดแห่งมวลมนุษยชาติ คือเหตุการณ์เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ ณ วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 (หรือ 9/11) โดยกล่าวกันว่าเป็นความผิดของกลุ่มอัลกออิดะฮ์ โดยมี อุซามะฮ์ บิน ลาดิน เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 2,996 ราย เวลาผ่านมาแล้วเกือบ 17 ปี แต่ทว่าภาพจำจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำของญาติผู้เสียชีวิตและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น และชาวอเมริกันเป็นส่วนใหญ่ แต่แล้วคลิปวิดีโอฟุตเทจส่วนตัว ก็กลับโผล่ออกมาอีกครั้ง อันเป็นมุมกล้องจากอดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยนิวยอร์ก Caroline Dries ในขณะที่อยู่ในหอพักชั้น 32 อาคาร 200 Water Street ปัจจุบัน Caroline ทำงานทางด้านโปรดิวเซอร์และเขียนบทสื่อโทรทัศน์ตามรายการต่างๆ เช่น Smallville, Melrose Place และ The Vampire Diaries คลิปวิดีโอเหตุการณ์ 9 /11 ที่กำลังกลายเป็นกระแสไวรัลอีกครั้ง…
-
งานที่แย่ที่สุดในบริษัทเฟซบุ๊ก “ผู้ตรวจสอบเนื้อหารุนแรง” เหมือนเครื่องจักรที่ไม่มีใครใส่ใจ
บนโลกอินเทอร์เน็ตอันไร้ขอบเขตใดๆ ผู้ใช้งานสามารถเลือกที่จะเสพสื่อต่างๆ ตามความชื่นชอบหรือความสนใจของตัวเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด และด้วยความไร้ขอบเขตเหล่านี้ โลกอินเทอร์เน็ตจึงมีสภาพเป็นสีเทา ที่มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดีอยู่ โดนเฉพาะบนเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ค และเพื่อให้สังคมกลุ่มหนึ่งอยู่ภายใต้การควบคุม เนื้อหาที่ถูกเผยแพร่ออกมาจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ก็จะต้องผ่านผู้ดูแลตรวจสอบเสียก่อน เพื่อไม่ให้ความไม่จรรโลงใจไปกระทบกับจิตใจของผู้อื่นในวงกว้าง งานดังกล่าวก็คือ งานตรวจสอบเนื้อหาของผู้ดูแลระบบหลังบ้านของเฟซบุ๊ก โซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ระดับโลก ที่มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก โดยมีสำนักงานตั้งอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เพื่อคอยจัดการ ‘ตรวจสอบและลบ’ เนื้อหาที่ถูกแจ้งละเมิดเข้ามาทุกๆ วัน เป็นพันๆ เคส หนึ่งในผู้ดูแลทางด้านดังกล่าวนามว่า Laura เปิดเผยว่า งานดังกล่าวเป็นงานที่สำคัญที่สุด และแย่ที่สุดในเฟสบุ๊ก อีกทั้งยังไม่มีใครใส่ใจอะไรกับงานนี้เลย… เนื่องจากการทำงานของเธอจะต้องเจอกับ เนื้อหาที่ล่อแหลมและกระทบกระเทือนจิตใจ อย่างเช่น การตัดหัว สื่อลามกเด็ก การทารุณกรรมสัตว์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้ตรวจสอบเนื้อหาจะต้องพบเจอทุกวัน จากการรายงานเข้ามาของผู้ใช้งานของเฟซบุ๊ก เธอเปิดเผยว่าตัวผู้ทำงานจะกลายมาเป็นเครื่องจักร ที่คอยทำการกดปุ่มถัดไป ปุ่มใช่หรือไม่ใช่ กระบวนการดังกล่าวจะวนลูปกลายมาเป็น กดถัดไป ตัดสินใจ และกดถัดไป ตัดสินใจ หลายต่อหลายครั้งภายในหนึ่งวัน สำหรับ…
-
หญิงสาวเผย ถูกจองจำเป็นทาสเซ็กส์นาน 11 ปี ตั้งท้องและแท้งถึง 5 ครั้ง แต่ก็รอดมาได้!!
ความรุนแรงในรูปแบบความสัมพันธ์นั้นเป็นสิ่งที่ยากเกินจะคาดเดา ภายนอกเราอาจจะไม่รู้ว่าระหว่างคนสองคนนั้น กำลังเกิดอะไรขึ้น พวกเขามีความสุขกับการได้อยู่ด้วยกันอย่างที่เห็นผิวเผินหรือไม่… เรื่องราวของ Michelle Knight วัย 36 ปี หนึ่งในเหยื่อทั้ง 3 ที่ถูกนาย Ariel Castro ลักพาตัวมายังบ้านของเขา ที่กลายเป็นบ้านเขย่าขวัญนานนับสิบปี Michelle Knight เธอให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Dr. Phil หลังจากที่รอดพ้นจากเหตุการณ์ทุกข์ทรมานมาได้ ซึ่งในปัจจุบันเธอได้พบกับคู่ชีวิตที่พร้อมจะดูแลเธอ และได้ทำการแต่งงานเป็นที่เรียบร้อยมาตั้งแต่ปี 2016 แต่เมื่อกล่าวถึงช่วงชีวิตที่ถูกจองจำ เธอเล่าย้อนไปเมื่อปี 2002 เธอถูกนาย Ariel Castro ลักพาตัวและจองจำอยู่ภายในบ้าน ก่อนที่จะมีเหยื่ออีก 2 ราย นั่นก็คือ Amanda Berry และ Gina DeJesus ถูกลักพาตัวมาเพิ่ม Ariel Castro โดยเหตุการณ์เริ่มต้นที่เธอกำลังจะไปตามนัดของสถานสงเคราะห์ เพื่อจะไปรับลูกชาย Joey วัย 2 ขวบกลับมาเลี้ยงดู…
-
คำตัดสินจากศาล ‘ทำจิตใจบอบช้ำ = ลงมือฆ่า’ เมื่อแฟนหนุ่มบีบบังคับ ให้เธอต้องดับชีวิตลง…
ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวนั้นใกล้ตัวเราเกินกว่าจะรู้สึกได้ ซึ่งกว่าจะรู้ว่ากำลังถูกคุกคามอย่างรุนแรงจนสภาพร่างกายและจิตใจไม่สามารถแบกรับต่อไปได้ไหว มันก็อาจจะสายเกินไปสายแล้ว คดีความตัวอย่างของการทำร้ายจิตใจในรูปแบบทางความสัมพันธ์ ระหว่างอดีตทหารกับหญิงสาวผู้ถูกกระทำ ทั้งทำร้ายร่างกายและบั่นทอนจิตใจผ่านวาจา จนทำให้ฝ่ายหญิงตัดสินใจปลิดชีพตนเอง ซึ่งทำให้ได้รับโทษเทียบเท่ากับการลงมือฆาตกรรม… อดีตทหาร Steven Gane วัย 31 ปี ถูกตัดสินว่ามีความผิดจากพฤติกรรมบีบบังคับหรือควบคุมอีกฝ่าย จากความสนิทสนมทางความสัมพันธ์ ผลการตัดสินของศาล ทำให้ Gane นั้นได้รับโทษจำคุกเป็นระยะเวลา 4 ปี 3 เดือน ในข้อหาเป็นต้นเหตุทำให้นาง Kellie Sutton วัย 30 ปี ทำการฆ่าตัวตาย หลังจากที่ต้องทรมานกับความเจ็บทางร่างกายและจิตใจมาอย่างยาวนาน Steven Gane Philip Grey ผู้พิพากษาได้กล่าวกับเขาว่า “พฤติกรรมของคุณ ชักจูงให้ Kellie Sutton ทำการแขวนคอในเช้าวันนั้น คุณทำร้ายเธอ และทำลายจิตใจของเธอ” Kellie Sutton ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้นำสำนวนในครั้งนี้มาตั้งเป็นบรรทัดฐานใหม่ เพื่อใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบีบบังคับและควบคุมเหยื่อ…
-
แฟนหนุ่มโกรธโดนบอกเลิก ทุบตี-บีบคอ-ลากแฟนสาวกับพื้น แต่รอดตายราวปาฏิหาริย์!?
หนึ่งในปัญหาสังคมของประเทศเกาหลีใต้ที่ไม่อาจแก้ไขให้หมดไปได้ แม้ภาพลักษณ์ของผู้ชายเกาหลีใต้ที่เห็นผ่านสื่อละครซีรีส์ต่างๆ ในมาดสุภาพบุรุษชายชาตรี ความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามกันเสมอ… เว็บไซต์ AllKPop ทำการรายงานเหตุทำร้ายร่างกายแฟนสาวโดยหนุ่มวัย 19 ปีรายหนึ่ง จนทำให้เธอได้รับบาดเจ็บหลายส่วน สถานีตำรวจปูซานได้ทำการจับกุมนาย A ในข้อหาทำร้ายร่างกายนางสาว B โดยที่เหตุก่อนหน้านั้นถูกจุดให้ระอุขึ้น จากการที่นาย A เริ่มทุบตีเธอในรถระหว่างไปเที่ยวบนภูเขา จับหัวโขกกับพวงมาลัยและตบหน้าเธออย่างไม่ยั้ง จากความรุนแรงภายในรถ นาย A จึงได้ลากตัวนางสาว B ไปยังที่บ้านของตนพร้อมจับเธอขังเดี่ยวอยู่ในบ้านเป็นเวลา 1 วัน และจะได้ออกมาก็ต่อเมื่อให้สัญญากับนาย A ว่าจะกลับมาที่บ้านของเขาทันที หลังจากที่เข้าเรียนเสร็จแล้ว ภาพจากกล้องวงจรปิด เผยให้เห็นว่านาย A กำลังลากตัวนางสาว B ไปกับพื้น แต่นางสาว B รู้สึกกลัวเกินกว่าจะที่จะรับนาย A ได้ไหว เธอจึงส่งข้อความเพื่อขอเลิกกับนาย A ซึ่งในตอนแรกเขายังยื้อเอาไว้ แต่ภายหลังดูเหมือนว่าจะยอมเลิกและบอกกับเธอว่า จะนำของใช้ส่วนตัวของเธอไว้ในกล่องจดหมาย เพื่อให้เธอกลับมาเก็บเอง นางสาว B ใช้เวลาทำใจนานถึง…
-
ครอบครัวตั้งกล้อง แอบถ่ายพี่เลี้ยงเด็กที่ทำร้ายลูกของเขาด้วยการทุบตีและบีบจมูก
ปัจจุบันหลายครอบครัวนิยมจ้างพี่เลี้ยงเด็กให้มาดูแลลูกของตัวเอง เพราะตนเองไม่ว่างและไม่อยากปล่อยให้เด็กอยู่ในบ้านตามลำพัง แต่ก่อนจะรับพี่เลี้ยงเด็กมาควรจะตรวจสอบประวัติและพฤติกรรมของเธอให้ดี ไม่เช่นนั้นลูกของคุณอาจจะลำบากเพราะการเลี้ยงดูที่ไม่ดีของพี่เลี้ยงเด็กเอาได้เหมือนกับครอบครัวนี้ Elena Levendeeva เป็นคุณแม่อายุ 26 ปี เธออาศัยอยู่ในเมือง Nefteyugansk ประเทศรัสเซีย เมื่อไม่นานมานี้เธอเพิ่งจ้าง Anastasia Zhelyabova หญิงอายุ 31 ปี มาเป็นพี่เลี้ยงคนใหม่ให้กับลูกชายอายุ 8 เดือนของเธอ Elena Levendeeva และลูกชายของเธอ แต่พอพี่เลี้ยงมาดูแลลูกได้ไม่นาน เธอก็สังเกตเห็นว่าลูกของเธอร้องไห้งอแงทุกครั้งเมื่อพี่เลี้ยงคนนี้มาทำงาน เธอจึงเอะใจว่าบางทีพี่เลี้ยงคนนี้อาจจะเลี้ยงลูกของเธอได้ไม่ดีก็ได้ เธอจึงลองติดกล้องวงจรปิดไว้ในบ้านเพื่อสังเกตพฤติกรรมของพี่เลี้ยงดู หลังจากติดกล้องวงจรปิดได้วันเดียวเท่านั้น สิ่งที่กล้องบันทึกภาพได้ก็ทำให้เธอโมโหมาก เพราะ Zhelyabova ใช้ความรุนแรงกับลูกของเธอหลากหลายรูปแบบเลยทีเดียว ในตอนต้นของคลิป ในขณะที่เธอกำลังให้นมหนุ่มน้อยอยู่ เขาคงขัดขืนจนทำให้เธอโมโหเธอก็เลยใช้มือตบก้นและหน้าของเขา เท่านั้นยังไม่พอตอนที่เธอป้อนนมหนุ่มน้อยอยู่ เธอก็ใช้มือบีบจมูกของเขาเอาไว้ด้วย เพื่อบังคับให้เขาดื่มนมเข้าไป หลังจากเธอป้อนนมเขาเสร็จเธอก็จับมือของเด็กชายไว้และลากเขาไปตามทาง แล้วเธอก็โยนเด็กน้อยไปบนพื้นข้างๆ กันด้วย พอดูคลิปวิดีโอที่เธอแอบถ่ายเอาไว้จบ เธอก็ตัดสินใจนำคลิปวิดีโอส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้พวกเขาดำเนินคดีกับ Zhelyabova ทันที นอกจากนี้เธอยังอัปโหลดคลิปวิดีโอลงในโซเชียลมีเดีย เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้กับครอบครัวอื่นที่คิดจะจ้างพี่เลี้ยงเด็กมาดูแลลูกของตัวเองด้วย โดยเธอโพสต์ว่า “เนื่องจากลูกของฉันร้องไห้บ่อยมาก ฉันก็เลยลองติดกล้องวงจรปิดดู…
-
กลุ่มผู้ชาย รวมตัวกันมาเผยความจริงว่าเคยโดน ‘ข่มขืน’ สื่อถึงความอยุติธรรมที่ได้รับ
แน่นอนว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับทุกเพศทุกวัยย่อมเป็นเรื่องที่มีอิทธิพลต่อสังคมมนุษย์เป็นอย่างมาก “การข่มขืน” ก็เป็นหนึ่งในประเด็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและส่งผลกระทบทางลบกับหลายๆ ฝ่าย ไม่แปลกหากว่าพูดถึงเรื่องของการข่มขืนแล้วเราจะนึกถึงภาพเหยื่อที่เป็นเพศหญิง เพราะจากที่เราเห็นกันตามสื่อส่วนมากเป็นเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วนั้นเพศชายที่ถูกข่มขืนเองก็มีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว และวันนี้ พวกเขา “ชายที่เคยถูกข่มขืน” รวบรวมความกล้าก้าวออกจากความเงียบงัน สู่การแสดงออกถึงความจริงที่หลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการข่มขืน ในโลกแห่งความจริงนั้น ตามรายงานจากองค์กรต่อต้านความรุนแรงทางเพศของสหรัฐอเมริกาชื่อ RAINN พบว่าร้อยละ 10 ของเหยื่อที่ถูกข่มขืนเป็นเพศชาย และผู้ชายร้อยละ 0.33 ของอเมริกาเคยถูกข่มขืนหรือเกือบถูกข่มขืน “นายควรขอบคุณที่ฉันอุตส่าห์ยอมส่งข้อความหานายนะ” ในประเทศอังกฤษเองก็มีตัวเลขจำนวนผู้ชายที่ถูกข่มขืนสูงด้วยเช่นกัน เกือบจะร้อยละ 12 ของเหยื่อการข่มขืนทั้งหมดของประเทศเป็นเพศชาย แต่ว่าปัจจุบันกลุ่มชายที่เคยถูกข่มขืนกลุ่มหนึ่งตัดสินใจที่จะออกมาบอกเล่าถึงความจริงที่หลายๆ คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องของการข่มขืน “ไม่ต้องมีอะไรกันก็ได้ แค่ให้ฉันเลี้ยงเหล้าคุณอีกแก้วก็พอน่า…” ชายกลุ่มนี้ออกมาบอกเล่าเรื่องราวของตน โดยการเขียนประกาศถึง “คำพูด” ที่ผู้กระทำชำเราใช้กับพวกเขาในเหตุการณ์ความรุนแรงนั้นๆ การเผยแพร่นี้กระทำผ่านเว็บเพจของ Tumblr ที่ชื่อว่า Project Unbreakable ภายในเป็นการรวบรวมภาพถ่ายที่มุ่งเน้นช่วยเหลือเหล่าผู้ประสบความรุนแรงทางเพศ ความรุนแรงภายในบ้าน และความรุนแรงในวัยเยาว์ “ไม่ต้องห่วง พวกหนุ่มๆ น่ะชอบแบบนี้กันทั้งนั้น” ท่ามกลางเหล่าสตรีที่เผยข้อมูลที่ตนได้ผ่านการถูกข่มขืน ชายเหล่านี้เองก็ได้ต่อสู้เพื่อจุดยืนของตน โดยการชูป้ายที่รวมเอาคำพูดของผู้กระทำชำเราที่ได้พูดต่อพวกเขาให้โลกได้รับรู้ “ไม่มีใครรักแกหรอกน่า และก็ไม่มีใครสนใจแกด้วย แกมันเป็นของชำรุดไปแล้ว” โปรเจกต์นี้ยังได้ก่อให้เกิดผลกระทบเล็กน้อยในเชิงของการตอบโต้เรื่องผลการรายงานเกี่ยวกับการข่มขืนที่ต่ำกว่าความเป็นจริง…
-
สองหนุ่มพี่น้อง เจ้าของกิจการ ‘ขนย้ายของ’ ฮีโร่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้หลุดพ้นการถูกกดขี่
เรื่องราวน่าประทับใจที่จะนำมาเสนอในวันนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสองพี่น้องชายหนุ่มที่ทำอาชีพรับจ้างขนของแถมยังคอยช่วยเหลือผู้คน ราวกับว่าพวกเขา เป็น “ฮีโร่” กันเลยทีเดียว ในรัฐแคลิฟอร์เนียปี 1997 สองพี่น้อง Aaron Steed และ Evan ได้ก่อตั้งกิจการ “ขนย้ายของ” ขึ้นมาเป็นของตัวเอง เนื่องจากในขณะนั้นทั้งคู่เป็นนักกีฬาของโรงเรียน ทำให้พวกเขาต้องพบเจอปัญหาในการหางานเสริมที่มีเวลาตรงกับตารางเวลาที่แน่นขนัดของพวกเขา แต่พวกเขายังคงต้องการเงินที่จะมาส่งตัวเองเรียน ทำให้วันหนึ่งหลังจากที่พวกเขาถูกจ้างโดยพ่อของเพื่อนให้ไปช่วยขนย้ายข้าวของออกจากบ้าน พวกเขาจึงตัดสินใจก่อตั้งกิจการขนย้ายของโดยใช้ชื่อว่า “Meathead Movers” กิจการของพวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นบริษัทขนย้ายของที่ใหญ่ที่สุดในแคลิฟอร์เนีย อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่คอยช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงภายในครอบครัวอีกด้วย หลังจากที่ Aaron กับ Evan ก่อตั้งกิจการได้ไม่นานนัก ก็มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาที่บริษัทจำนวนหนึ่ง ผู้ติดต่อเผยว่าพวกเขาถูกกดขี่และทำร้ายภายในบ้าน ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ไม่มีเงินแถมยังแทบจะไม่มีหวังที่จะออกจากสภาวการณ์ที่ถูกกดขี่เช่นนั้น แต่สองพี่น้องคู่นี้คิดว่าอย่างไรก็ต้องช่วยเหลือคนพวกนั้นให้ได้ หากว่าผู้ที่ติดต่อเข้ามาขอความช่วยเหลือให้สามารถหลบหนีออกจากสถานการณ์ความรุนแรงภายในบ้านได้ล่ะก็ สองพี่น้องก็จะช่วยเหลือโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และไม่มีคำถามใดๆ ทั้งนั้น “ตั้งแต่นั้นมา พวกเราก็ให้การบริการแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายสำหรับเหยื่อของความรุนแรงภายในบ้าน” Evan กล่าว สองพี่น้องนึกได้ถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่ติดต่อเข้ามาเมื่อหลายปีก่อน เธอเล่าว่าเธอถูกทำร้ายโดยคนรักเก่าของเธอแทบจะทุกวัน และยังถูกข่มขู่ว่าจะทำร้ายลูกสาวและหลานของเธออีกด้วย จากนั้นบริษัท Meathead ก็เข้ามาช่วย พวกเข้าเข้ามานำตัวหญิงสาวพร้อมลูกสาวและหลานของเธอหนีออกจากบ้านหลังเดิม เท่านั้นยังไม่พอพวกเขายังเตรียมที่นอนพร้อมเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นให้กับที่พักแห่งใหม่สำหรับหญิงสาวและเด็กๆ แถมยังเอาดอกไม้ใส่กระถางมาให้เป็นของขวัญต้อนรับเข้าสู่บ้านใหม่อีกด้วย จากนั้นชื่อเสียงของพวกเขาได้แพร่กระจายออกไป และหนุ่มๆ ในบริษัทก็เข้ามาทำหน้าที่ตามคำปฏิญาณที่ตั้งใจเอาไว้…
-
สาววัยรุ่นอายุ 13 ปี ก่อเหตุตบหน้า “หญิงวัยกลางคน” กลางถนนในกรุงลอนดอน
แม้ทุกคนจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าความรุนแรงไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหา แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงให้เห็นอยู่เป็นประจำ เมื่อไม่นานมานี้ที่ประเทศอังกฤษเองก็เกิดเหตุใช้ความรุนแรงที่ไม่ทราบเหตุผลขึ้น โดยเด็กสาววัยรุ่นอายุ 13 ปีคนหนึ่งได้เข้าไปตบหน้าหญิงวัยกลางคนอย่างโจ่งแจ้ง คลิปนี้ถูกเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตและมีคนรับชมจำนวนมาก เหตุเกิดขึ้นกลางถนน Hounslow Hign ที่พลุกพล่านในกรุงลอน ประเทศอังกฤษ คลิปวิดีโอนี้ถูกอัปโหลดลงในอินสตาแกรมเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านมานี้เอง การใช้ความรุนแรงครั้งนี้ถูกบันทึกภาพไว้ด้วยกล้องมือถือของคนที่อยู่ในบริเวณนั้น จะเห็นได้ว่านอกจากเด็กสาวและหญิงสาวแล้ว ยังมีวัยรุ่นชายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงที่เห็นเหตุการณ์นั้น และน่าจะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งเห็นเหตุการณ์จากด้านหลังกล้องมือถือด้วย ในช่วงแรกของคลิปวิดีโอสาววัยรุ่นซึ่งสวมชุดนักเรียนอยู่ตะคอกใส่หญิงสาวว่า “แกกำลังพูดถึงใครอยู่” ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่าหญิงสาวอาจจะพูดบางอย่างกับเธอก่อนหน้านี้หรือไม่ได้พูดก็ได้ แต่กล้องบันทึกภาพไว้ได้ไม่ทัน หญิงวัยกลางคนเองก็ไม่ได้ตอบอะไร เธอเพียงแค่ส่ายหน้าด้วยท่าทางตื่นกลัว แต่เด็กสาวรุ่นก็ตบหน้าเธออย่างแรง ทางด้านหญิงสาวทำได้เพียงกรีดร้องด้วยความตกใจและยืนร้องไห้อยู่นิ่งๆ เท่านั้น หลังจากที่สาววัยรุ่นตบหน้าหญิงสาวแล้วเธอก็เดินหนีออกไปจากที่เกิดเหตุทันที ส่วนหญิงวัยกลางคนก็มีคนที่อยู่ในบริเวณนั้นเข้ามาช่วยเหลือและให้กำลังใจเธอ คลิปวิดีโอจบลงเพียงเท่านี้ คลิปวิดีโอนี้ถูกอัปโหลดลงในโปรแกรมสแนปแชต โดยผู้ที่ใช้ชื่อว่า Skye หลังจากนั้นไม่นานคลิปวิดีโอก็ถูกนำไปเผยแพร่ต่อในอินสตาแกรมและมีคนเข้าไปชมมากกว่า 200,000 คนแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลเรื่องนี้ให้ข้อมูลว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2018 เวลา 16.10 น. ทางด้านสาววัยรุ่นมีอายุเพียง 13 ปี ส่วนหญิงสาวที่โดนตบนั้นมีอายุประมาณ…
-
คุณแม่อธิบายว่าทำไมถึงหัวเสียจนต้องตีลูก หลังลูกทำตั๋วรถไฟราคา 5 หยวนหาย
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2018 ที่ผ่านมานี้ในเว็บไซต์ Pear Video ซึ่งเปรียบเสมือนยูทูบของประเทศจีน ได้มีคนอัปโหลดคลิปวิดีโอของคุณแม่คนหนึ่งที่ตีลูกชายเพราะเขาทำตั๋วรถไฟหาย ในคลิปเธออธิบายถึงสาเหตุของการตีลูกให้ชาวเน็ตฟังด้วย ชาวเน็ตได้ฟังแล้วก็พูดไม่ออกเลย โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นในรถไฟใต้ดินในเมือง Nanchang มณฑล Jiangxi ประเทศจีน คุณแม่ท่านหนึ่งเดินทางมากับลูกชายของเธอ แต่จู่ๆ เธอก็โกรธลูกชายแล้วทุบเขาที่หลัง ทำให้คนในรถไฟหันมาสนใจเธอกันหมดเลย คนที่อยู่ใกล้ๆ ก็เลยนำมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้ ตอนที่เธอตีลูกนั้นเธอพูดว่า “ทำไมพูดแล้วไม่ยอมฟังเลย เวลาที่บอกว่าอย่าเล่นก็ห้ามเล่น เข้าใจไหม!” จากนั้นเรื่องก็ดูเหมือนจะสงบลง แต่ผ่านไปสักพักเธอก็ตีลูกอีกครั้งหนึ่งและด่าลูกไม่หยุดเลย คนที่เห็นเหตุการณ์อยู่จึงทนดูไม่ได้ เมื่อแม่และลูกลงจากรถไฟใต้ดินแล้ว คนที่ถ่ายคลิปอยู่จึงเข้าไปสอบถามเหตุการณ์จากคุณแม่ เธอจึงอธิบายว่าสาเหตุที่เธอตีลูกไปเพราะโมโหที่เขาทำตั๋วรถไฟราคา 5 หยวน (ประมาณ 25 บาท) หายไปนั่นเอง พอได้ฟังแล้วหญิงที่อยู่ข้างๆ ก็เลยแนะนำว่าแค่ซื้อตั๋วใหม่เสียก็จบแล้ว ทว่าคุณแม่กลับตอบมาว่า “ฉันไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก” เธออธิบายต่อว่าแม้ว่าเงินจำนวนนั้นอาจจะดูไม่มากสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับเธอแล้วเงินจำนวนนั้นมีค่ามากกว่าที่คนอื่นคิด เธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีเงินเดือนเพียง 900 หยวน (ประมาณ 4,500 บาท) เท่านั้น แต่ค่าใช้จ่ายในการดูแลลูกชายแต่ละเดือนก็ปาเข้าไป 1,000 หยวน…
-
งานวิจัยเผย ‘วิดีโอเกม’ ไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้เล่นมีพฤติกรรมเกรี้ยวกราด
เราอาจเคยได้ยินหรือเชื่อว่า วิดีโอเกม คือสิ่งที่กระตุ้นเหล่าผู้เล่นให้มีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว และยิ่งเกมมีความสมจริงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้คนเหล่านั้นมีความก้าวร้าวเพิ่มมากขึ้นตามไป แต่จากงานวิจัยในมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษได้ออกมาบอกว่า ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกนะ นี่เป็นงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย York ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Computers in Human Behavior เหล่านักวิจัยได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 3,000 คน เพื่อต้องการทราบว่า เกมเป็นสิ่งสำคัญที่เพิ่มความก้าวร้าวของคนได้จริงหรือไม่ การทดลองของพวกเขากำหนดให้กลุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม และต้องเจอกับเกมที่มีความหลากหลายต่างกันไป โดยในการทดลองแรกแบ่งให้กลุ่มหนึ่งเล่นเกมขับรถที่ต้องคอยหลบสิ่งกีดขวาง ส่วนอีกกลุ่มเล่นเกมที่ได้สวมบทบาทเป็นหนูที่คอยหลบไม่ให้ถูกแมวจับได้ จากนั้นผู้เข้าร่วมจะได้ทำแบบทดสอบที่ให้พวกเขาแยกรูปภาพของสิ่งต่างๆ ว่าจัดอยู่ในประเภทของยานพาหนะหรือว่าสัตว์ ซึ่งหากผู้เข้าร่วมสามารถทำการแยกประเภทได้ไวกว่าปกติ นั่นหมายความว่าเกมที่พวกเขาเล่นสามารถส่งผลกับความคิดของพวกเขาได้จริง แต่ผลการทดลองที่ออกมากลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้เล่นเกมขับรถที่มีบางคนแยกหมวดหมู่ของภาพที่เห็นได้ช้ากว่าปกติมากเลยทีเดียว สำหรับการทดสอบครั้งแรก แสดงให้เห็นว่าเกมไม่ได้ส่งผลต่อตัวผู้เข้ารับการทดสอบ หลังจากนั้นจึงเข้าสู่การทดลองต่อไป ให้คนเหล่านั้นได้มาเล่นเกมที่มีความสมจริงเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์มากยิ่งขึ้น อย่างเกมแนวที่เรียกว่า Ragdoll Physics ที่สมจริงในลักษณะทางกายภาพ เกมที่พวกเขาได้เล่นในครั้งนี้มีความสมจริงทั้งตอนหกล้ม ตกบันได หรือตอนที่ตกลงมาจากตึก ร่างกายของหุ่นในเกมจะตอบสนองเหมือนกับมนุษย์จริงๆ เช่นอาการบาดเจ็บต่างๆ นอกจากนั้นพวกเขายังได้เล่นเกมต่อสู้ หรือเกมการรบอื่นๆ อีกด้วย เกมในรูปแบบ Ragdoll Physics ดอกเตอร์ David…
-
สองหนุ่มบุกรุกฟาร์มผึ้ง ทำลายรวงผึ้งซะราบเป็นหน้ากลอง ผึ้งกว่าครึ่งล้านตายเรียบ
ผึ้งอาจจะเป็นสัตว์ที่หลายคนหวาดกลัว เพราะหากถูกมันต่อยเข้าล่ะก็จะรู้สึกเจ็บแสบไม่ใช่น้อยเลย แต่จริงๆ แล้วผึ้งเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อโลกนี้มาก มันมีส่วนช่วยในการผลิตพืชผักกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลกเลยทีเดียว แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ผึ้งมีจำนวนลดน้อยลงมากเนื่องจากมีการใช้ยาฆ่าแมลง นอกจากนี้แหล่งที่อยู่อาศัยของมันยังถูกบุกรุกด้วย และเหตุการณ์ที่เด็กชายสองคนบุกไปฆ่าผึ้งในฟาร์มกว่า 500,000 ตัวก็คงมีผลไม่น้อยเลยทีเดียว เหตุเกิดที่ฟาร์มเลี้ยงผึ้ง Wild Hill Honey ในเมือง Sioux รัฐไอโอวา ประเทศสหรัฐอเมริกา มีเด็กชาย 2 คนอายุ 12 ปีและ 13 ปีบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ของฟาร์มผึ้งแห่งนี้ จากนั้นทั้งคู่ก็ทำลายข้าวของทุกอย่างที่ขวางหน้า รวมไปถึงรวงผึ้งด้วย จากนั้นตำรวจจึงจับกุมเด็กชายทั้งสองคน นาย Engelhardt เจ้าของฟาร์มเล่าว่า “พวกเขาทำลายรวงผึ้งทุกรวงทิ้งราบคาบ ทำให้ผึ้งทุกตัวของเราตาย เหมือนกับว่าพวกเขาทำให้เราหมดตัวเลยทีเดียว” และในเมื่อรวงผึ้งพังทลายลงไปหมด ก็เป็นเหตุให้ผึ้งที่เลี้ยงไว้ไม่มีที่อยู่ด้วย ในหน้าหนาวแบบนี้ผึ้งก็ย่อมจะทนลมหนาวไม่ได้เป็นธรรมดา ผึ้งที่มีอยู่กว่าครึ่งล้านตัวในฟาร์มจึงตายเกลี้ยง นอกจากนี้ข้าวของอุปกรณ์ในฟาร์มก็เสียหายเช่นกัน ดังที่เจ้าของบอกว่า “พวกเขาบุกเข้ามาในห้องเก็บอุปกรณ์ของเรา แล้วก็เอาอุปกรณ์ทุกอย่างโยนทิ้งไว้กลางหิมะ จากนั้นก็ทำลายทุกสิ่งที่เห็น ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาขโมยอะไร แต่ข้าวของทุกอย่างนั้นพังหมดเลย” เมื่อคำนวณมูลค่าความเสียจากการถูกบุกรุกครั้งนี้แล้วรวมเป็นมูลค่ามากถึง 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 2…
-
ชายชาวเมเลย์พุ่งเข้าตบหญิงสาวผู้ไม่สวมฮิญาบ เมื่อเธอบอกว่ามีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ใส่
เมื่อเวลาผ่านไป ความเชื่อและระเบียบวินัยด้านศาสนาก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ยกตัวอย่างเรื่องที่พระสงฆ์ต้องซ้อนรถจักรยานยนตร์เพื่อเดินทางไกลแล้ว แม้ว่าในทางวินัยจะไม่ควรทำ แต่คนอีกส่วนหนึ่งก็เข้าใจว่าต้องปรับให้เข้ากับยุคสมัยตามสมควร อย่างไรก็ตามในสังคมของเราก็ยังมีทั้งกลุ่มคนที่เป็นพวกอนุรักษณ์นิยม ที่เชื่อว่าทุกอย่างควรจะเป็นไปตามกฎดั้งเดิมของศาสนาเท่านั้น และคนอีกกลุ่มที่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงแล้วอาศัยอยู่ร่วมกัน จึงอาจะทำให้เกิดความขัดแย้งกันได้ ชายหนุ่มสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงวอร์ม เข้าไปคุยกับหญิงชุดดำ เหตุการณ์นี้ก็เป็นผลจากความขัดแย้งเรื่องระเบียบของศาสนาเช่นกัน เรื่องเกิดขึ้นที่จุดรอรถประจำทางในประเทศมาเลเซีย โดยมีชายคนหนึ่งเดินเข้าไปต่อว่าและทำร้ายหญิงกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่รอรถอยู่ เนื่องจากพวกเธอไม่ยอมสวมผ้าโพกหัวตามความเชื่อของศาสนาอิสลาม คลิปนี้ถูกถ่ายไว้โดยคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ในคลิปจะเห็นว่าชายซึ่งสวมเสื้อกันหนาวแขนยาวและกางเกงวอร์ม ได้เข้าไปถามหญิงสาวที่แต่งตัวด้วยชุดสีดำว่าเธอนับถือศาสนาใด เมื่อเธอตอบเขาว่านับถือศาสนาอิสลาม เขาจึงถามต่อด้วยท่าทางโมโหว่าทำไมเธอถึงไม่สวมผ้าโพกหัว เขาไม่พอใจที่เธอไม่ยอมสวมผ้าโพกหัวตามความเชื่อดั้งเดิมของศาสนาอิสลาม หญิงสาวก็ตอบเขาว่าเธอไม่สวมผ้าโพกหัวเพราะมันเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะเลือกใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ทว่าคำตอบของเธอทำให้เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แล้วใช้หลังมือตบหน้าเธอทันที ทันทีที่คนรอบข้างเห็นดังนั้น พวกเธอก็ลุกขึ้นมาปกป้องหญิงสาว และต่อว่าชายคนดังกล่าวทันที โดยหญิงที่สวมผ้าโพกหัวและถือโทรศัพท์มือถืออยู่ได้ลุกขึ้นมาเถียงกับผู้ชายคนนี้แทนหญิงที่ถูกตบหน้า และคลิปวิดีโอก็จบลงเพียงเท่านี้ ชายหนุ่มตบหน้าหญิงสาวในที่สาธารณะทันทีที่ได้ยินคำตอบจากเธอ คลิปวิดีโอนี้ถูกเผยแพร่ลงในโซเชียลเน็ตเวิร์กของประเทศมาเลเซีย และได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก โดยคนที่ได้เห็นคลิปนี้แล้ว ส่วนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของชายคนนี้เอาเสียเลย คลิปวิดีโอเหตุการณ์ ประชากรกว่า 30 ล้านคนในเทศมาเลเซียนั้นเป็นคนที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในประเทศเลยทีเดียว และตามความเชื่อดั้งเดิมแล้ว ผู้หญิงอิสลามก็ควรจะสวมผ้าโพกหัวเวลาออกไปข้างนอกบ้านด้วย ไม่เช่นนั้นจะถือว่าแต่งกายไม่มิดชิด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ คนในประเทศมาเลเซียมีความเชื่อเรื่องอนุรักษณ์นิยมของศาสนาอิสลามเพิ่มมากขึ้น ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงใดๆ…
-
ช่างทำผมโพสต์ภาพลูกค้าที่ได้รับภัยใกล้ตัว เมื่อคนที่เราไว้ใจ กลายเป็นคนที่ทำร้ายเราได้มากที่สุด
ปัญหาเรื่องความรุนแรงยังมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ในสังคม การกระทำด้วยความรุนแรงนั้นส่งผลกระทบกับหลายๆ ด้าน เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ไม่มีทางแก้ และนับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ Andy Mendoza ช่างทำผมคนหนึ่ง ได้โพสต์รูปภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ดวงตาห้อเลือด และผมสีม่วงของเธอถูกกล้อนจนเห็นหนังศีรษะ ซึ่งดูก็รู้ว่าเธอถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ เธอคนนี้เดินเข้าร้านทำผมของเขาเพื่อจัดการกับทรงผมที่ถูกทำร้ายมาจนไม่มีชิ้นดี สาเหตุที่หญิงสาวคนนี้ต้องมีสภาพแบบนี้ก็เนื่องมาจากการโดนแฟนหนุ่มที่ชื่อว่านาย Michael Truskauskas ซ้อมอย่างหนัก เมื่อกลางเดือนธันวาคมปี 2017 ทางตำรวจได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีหญิงสาวนอนหลับอยู่ที่เบาะหลังของรถ ร่างกายของเธอมีร่องรอยของการถูกทำร้าย ตำรวจเข้าไปช่วยเหลือหญิงสาวรายนั้น หลังจากการสอบปากคำก็รู้ว่าเธอถูกแฟนหนุ่มขี้ยาของเธอซ้อมในอพาร์ตเมนต์ เขาทำร้ายร้ายกายเธอเหมือนกับว่าเธอเป็นตุ๊กตาระบายอารมณ์ ชกเข้าที่ใบหน้า พยายามจะกรีดข้อมือและนิ้วมือของเธอ นอกจากนี้เขายังบีบเข้าที่ลำคอ แล้วจับเธอกล้อนผม จากนั้นก็ผลักเธอให้ตกบันได จนเธอต้องซมซานหนีออกมาด้วยร่างกายที่บอบช้ำ เศษผม เลือด กระดาษซับเลือดของเธอถูกพบในอพาร์ตเมนต์และเก็บไว้เป็นหลักฐานในเวลาต่อมา ภาพของแฟนหนุ่มผู้ลงมือทำร้ายเธอ นาย Micheal แฟนหนุ่มถูกจับกุมตัวในทันทีในข้อหาทำร้ายร่างกาย ในครั้งแรกชายหนุ่มปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาจึงต้องมีการค้นบ้านจนพบหลักฐานทั้งหมด รวมไปถึงการค้นพบว่ามีอุปกรณ์เสพยาจำนวนหนึ่งบนโต๊ะ จึงทำให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนหญิงสาวที่ถูกทำร้ายร่างกายนั้นก็ได้เยียวยาร่างกายตัวเอง โดยทางร้านตัดผมได้จัดการทำทรงผมของเธอให้กลับมาสวย เพื่อเพิ่มความมั่นใจและเป็นกำลังใจให้เธอต่อสู้ชีวิตด้วยความแข็งแก่ง และโพสต์ภาพลงอินสตาแกรม เพื่อรณรงค์การลดใช้ความรุนแรงในสังคมอีกด้วย …
-
ร้าน H&M ในแอฟริกาใต้ถูกถล่มจนเละ หลังจากมีดราม่าเสื้อที่มีคำพูดเชิงเหยียดเชื้อชาติ
หลังจากที่มีข่าวว่า H&M แบรนด์เสื้อผ้าชื่อดัง นำรูปเด็กชายผิวสีสวมเสื้อฮู้ดที่มีสโลกแกน ‘Coolest Monkey in the Jungle’ (ลิงที่เจ๋งที่สุดในป่า) ซึ่งสื่อถึงการเหยียดสีผิว ขึ้นบนเว็บไซต์ ชาวเน็ตก็ได้ออกมาต่อต้านกันมากมาย แม้ว่าล่าสุดทาง H&M จะนำรูปเสื้อตัวนั้นออกจากเว็บไซต์ และมีคำขอโทษออกมาแล้ว แต่การประท้วงต่อการเหยียดคนผิวสีนั้นยังคงดำเนินต่อไป และมทวีความรุนแรงมากขึ้น รูปเด็กชายและเสื้อฮู้ดที่เคยอยู่ในเว็บไซต์ H&M ที่เป็นข่าวดังเรื่องเหยียดสีผิวในขณะนี้ ล่าสุด ผู้ประท้วงกลุ่มหนึ่งในประเทศแอฟริกาใต้ ได้บุกเข้าไปทำลายข้าวของในร้าน H&M ตามห้างสรรพสินค้ากว่า 6 แห่ง เนื่องจากไม่พอใจที่เสื้อตัวใหม่ของ H&M มีข้อความเหยียดสีผิวด้วย เหตุเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 13 มกราคาคมที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าการก่อเหตุรุนแรงขนาดใหญ่นี้ ได้มีการวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว โดยในคลิปวิดีโอหนึ่งที่บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ได้ จะเห็นว่ามีชายคนหนึ่งเข้ามากระโดดเตะราวเสื้อผ้าล้มระนาว จากนั้นก็มีคนอื่นๆ เข้ามาร่วมสมทบอีกด้วย นอกจากร้านค้า H&M ที่ได้รับความเสียหายแล้ว ลูกค้าที่กำลังซื้อของในร้าน และคนที่อยู่ใกล้เคียงก็ได้รับความเดือดร้อนไปด้วยเช่นกัน กลุ่มผู้ประท้วงยังคงทำลายข้าวของในร้านค้าโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แม้ว่าตำรวจจะเข้ามาห้ามปรามไว้แล้วก็ตาม ทำให้ท้ายที่สุด ตำรวจจำเป็นต้องใช้กระสุนยางยิงผู้ประท้วงเหล่านี้ และจับกุมตัวไว้ …
-
ความรุนแรงที่ใกล้ตัว… คุณแม่ลงมือทำร้ายลูกวัยสามขวบ เหตุเพราะหาแท็บเล็ตไม่เจอเลยโทษเด็ก
การใช้ความรุนแรงในครอบครัว เป็นอีกหนึ่งปัญหาร้ายแรงที่ยากเกินกว่าจะควบคุมและหาทางแก้ไขได้เนื่องจากเราไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าจะเกิดเหตุการณ์สุดสะเทือนใจเมื่อไหร่ แล้วยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ใช้ความรุนแรงก็เป็นคนใกล้ตัวมากๆ และปัญหาการใช้ความรุนแรงนี้ก็ส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้ที่ถูกทำร้าย เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2018 ได้มีการเผยแพร่คลิปวิดิโอที่เรียกได้ว่าสะเทือนใจสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่หรือแม้แต่คนทั่วไปนั่นก็คือ คลิปวิดีโอที่หญิงคนหนึ่งกำลังทุบตีเด็กน้อยอย่างรุนแรงพร้อมกับด่าทอจนเด็กนั้นทนความเจ็บปวดไม่ไหวจนร้องไห้ออกมา คลิปวิดีโอมีความรุนแรง โปรดใช้วิจารณญาน จากคลิปวิดีโอจะเห็นได้ว่าหญิงผู้ที่คาดว่าจะเป็นแม่ได้ทำการทุบตีลูกของเธอ โดยเด็กหญิงที่สวมเสื้อสีเขียวที่เป็นพี่คนโตนั้นถูกทุบตี จิกหัว และเตะเข้าที่ลำตัวอย่างหนัก ส่วนคนน้องนั้นถูกตีเข้าที่หลังอย่างแรง สาเหตุที่เด็กโดนทำร้ายร่างกายในครั้งนี้มีเหตุเนื่องมาจากผู้เป็นแม่นั้นหาแท็บเล็ตของเธอไม่เจอและคิดว่าเด็กน้อยนั้นเป็นผู้เอาไป และแม่ก็ยังทุบตีเด็กน้อยไปเรื่อยๆ แล้วพูดว่า “เอาแท็บเล็ตคืนมาให้ฉัน ไม่งั้นฉันจะฆ่าแก!!” เด็กน้อยก็ได้แต่ตอบว่า “ทำไมแม่ไม่จำล่ะว่าเอาไปไว้ที่ไหน” พร้อมกับกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว หลังจากนั้นเด็กน้อยก็ถูกแม่จิกหัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกับทุบตีจนเด็กน้อยอาเจียนออกมา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เมือง Bahia Blanca ประเทศอาร์เจนตินา คลิปวิดีโอนี้ถูกอัปโหลดโดยผู้ไม่ประสงค์ออกนาม หลังจากที่คลิปวิดีโอได้เผยแพร่ออกไปก็ได้มีการแชร์และคอมเมนต์ด่าทอถึงการกระทำของหญิงผู้นี้อย่างหนัก แต่นั่นก็ทำให้เด็กอายุ 3 ขวบและน้องสาวอีก 2 คนได้รับการช่วยเหลือโดยเจ้าหน้าที่และถูกส่งต่อให้ผู้ดูแลต่อไป ส่วนแม่ผู้ใช้ความรุนแรงนั้นถูกสอบสวนและอาจถูกตั้งข้อหาว่ากระทำความผิด การใช้ความรุนแรงในครอบครัวนั้นเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากๆ เพราะมันอาจจะไม่ใช่เพียงแค่การทำร้ายร่างกายแต่มันรวมไปถึงการทำร้ายจิตใจให้เด็กนั้นซึมซับความรุนแรงและอาจจะเป็นปมที่ฝังลึกในใจตลอดไป ที่มา dailymail
-
นักเรียนญี่ปุ่นถีบ-กระชากคอเสื้ออาจารย์ หลังโดนยึดแท็บเลต กลายเป็นประเด็นร้อนแรง!!
สำหรับโรงเรียนในประเทศญี่ปุ่นหลายๆ แห่งแล่ว พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนักเรียนเป็นเรื่องที่ไม่สามารถปล่อยให้เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการแอบงีบหลับหรือการกลั่นแกล้งกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคลิปวิดีโอความรุนแรงที่เกิดขึ้นในห้องเรียนของโรงเรียนมัธยมปลายฟุกุโอะกะ ถึงได้กำลังเป็นกระแสอย่างหนักอยู่ในตอนนี้ เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อโรงเรียนนี้อนุญาตให้นักเรียนใช้แท็บเล็ตเพื่อช่วยในการเรียนรู้ แต่มีเด็กคนหนึ่งกลับใช้มันเปิดหนังดูในห้องซึ่งเป็นสิ่งที่ออกจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เมื่ออาจารย์วัย 23 ปีที่กำลังทำการสอนอยู่เห็นเข้าจึงได้ตักเตือนเด็กคนนั้นอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดเมื่อคำเตือนของเขาใช้ไม่ได้ผล ก็เลยยึดเอาแท็บเล็ตของเด็กคนนั้นมาแทน สิ่งที่เขาทำลงไปสร้างความไม่พอใจให้เด็กหนุ่มคนนั้นอย่างมาก เขาจึงเดินเข้าไปหาคุณครูเพื่อหวังจะเอาแท็บเล็ตคืนมา แต่อาจารย์คนนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรและยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกโมโหมากยิ่งกว่าเดิม ถึงขนาดที่ว่าเขาถีบไปที่หลังครูคนนั้นถึง 4 ครั้งด้วยความแรงที่มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เพื่อนร่วมห้องคนอื่นกลับนั่งหัวราะและให้กำลังใจกับสิ่งที่เขาได้ทำ ปล่อยลูกถีบใส่อาจารย์ขณะที่คนอื่นๆ ก็นั่งหัวเราะกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อครู และอาจจะชกต่อยไปแล้วถ้าหากว่าอาจารย์คนนั้นไม่ได้ส่งเสียงร้องประท้วงออกมาซะก่อน กระชากคอเสื้อจนอาจารย์ต้องส่งเสียงร้องออกมาก่อนที่จะถูกต่อย คลิปวิดีโอนักเรียนถีบอาจารย์ คลิปดังกล่าวมียอดวิวรวมกันกว่า 1.2 ล้านครั้งทั้งในญี่ปุ่นเองและจากหลายๆ ประเทศทั่วโลก ถึงแม้ชื่อคลิปจะเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่เชื่อว่าชาวต่างชาติที่ไม่เข้าใจภาษานี้ก็พอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามเรื่องที่เกิดขึ้นนี้โรงเรียนเลือกที่จะไม่แจ้งความกับตำรวจ เพราะเห็นว่าครูคนนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกายอะไร แต่การตัดสินใจของโรงเรียนและคลิปที่เผยแพร่ออกมาก็สร้างความไม่พอใจให้กับชาวเน็ตอย่างมาก “เป็นความผิดของเด็กลงมือและนักเรียนคนอื่นที่นั่งหัวเราะอยู่ ทางโรงเรียนควรรายงานเรื่องนี้ให้กับตำรวจ” “ผู้ปกครองของเด็กคนนั้นคงจะเป็นยากูซ่า” “นี่ไม่ควรที่จะรายงานตำรวจหรอ? นักเรียนมัธยมควรได้เข้าใจว่าความรุนแรงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ปล่อยให้เด็กถูกจับไปเลย!!” “ลืมเรื่องที่ตำรวจจะมาจับเด็กคนนี้ไปเลย เพราะแม้แต่นักเรียนคนอื่นที่ไม่ลงมือทำอะไรก็สมควรถูกต่อว่าเหมือนกัน มันหมดยุคสมัยที่ลูกศิษย์จะเคารพอาจารย์ไปนานแล้ว” …
-
12 พฤติกรรม “สุดเอือม” ของใจเริง ที่ไม่ควรทำตาม เจอจุดจบแย่ๆ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน!!
ณ เวลานี้คงไม่มีใครพูดถึง “ใจเริง” (รับบทโดย เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ) จากละครรีเมคเรื่อง “เพลิงบุญ” ตัวละครที่มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง โมโหร้าย ชอบตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ อีกทั้ง เธอยังหักหลังเพื่อนรักที่มีเพียงคนเดียวในชีวิตอย่างเจ็บแสบ โดยที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย และเราก็เชื่อว่านะว่า ในชีวิตจริงหลายคนคงมีเพื่อน หรือบางคนก็อาจมีนิสัยเช่นเดียวกับใจเริง แต่เราจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าคนเหล่านั้นมีนิสัยเหมือนตัวละครดังกล่าว ดังนั้น เราจึงได้มาเผย 12 พฤติกรรมของสุดเอือมของใจเริง ซึ่งถ้าหากใครมีเพื่อน หรือเริ่มรู้ตัวเองว่ามีนิสัยแบบนี้ก็ควรเลิกซะ และอย่าทำเด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้นคุณอาจจะมีจุดจบที่ไม่แฮปปี้เหมือนใจเริงก็เป็นได้ 1.เอาแต่ใจ ด้วยความที่ใจเริงถูกพ่อแม่เลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก จึงส่งผลให้เธอกลายเป็นคนที่เอาแต่ใจ เที่ยวเตร่ไปวันๆ อยากได้อะไรก็ต้องได้ แม้กระทั่ง “สามี” ของเพื่อนก็จะแย่งมาเป็นของตัวเอง 2.โมโหร้าย ชอบใช้อารมณ์ ใจเริง เป็นผู้หญิงที่มีบุคลิกภาพที่แปรปรวนอย่างมาก ชอบใช้อารมณ์ ไม่มีเหตุผล ไม่รู้จักเก็บอารมณ์ของตัวเอง ใครพูดจาไม่เข้าหูก็จะตอกกลับอย่างรุนแรงทันที 3.หลงตัวเอง เพราะเป็นผู้หญิงหน้าตาดี มีเสน่ห์ เลยทำให้ใจเริงคิดว่าตัวเองมีคนสนใจอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะผู้ชาย แต่สุดท้ายความหลงตัวเองก็ทำให้เธอได้พบกับความจริงอันแสนเจ็บปวด …
-
สาวเหยื่อถูก “น้ำกรด” สาดจนเสียโฉม พบรักแท้ อยู่กับชายผู้รับทุกอย่างที่เป็นเธอได้
เชื่อว่ารักแท้คงเปรียบได้ดั่งความฝันของใครหลายคน เพราะท้ายที่สุดแล้วในชีวิตเราต่างก็อยากจะมีใครซักคนที่คอยดูแลซึ่งกันและกัน แม้แต่ Turia Pitt วัย 30 ปี เอง ก็เคยเชื่อว่าครั้งหนึ่งเธอได้เจอกับรักที่ดี กระทั่งวันหนึ่งเธอกลับถูกน้ำกรดสาดจนเสียโฉมทั้งใบหน้า ซึ่งในตอนนั้นเธอก็แทบจะไม่เชื่อตัวเองว่า จะมีโอกาสได้รับความรักจากคนอื่นอีกครั้ง Turia Pitt 6 ปีก่อนเธอต้องประสบปัญหาจากการถูกน้ำกรดสาด ทำให้ผิวหนังกว่า 65% ของเธอเต็มไปด้วยบาดแผลพุพอง และเธอก็มักจะถ่ายภาพตัวเองลงอินสตาแกรม เพื่อทำให้โลกได้รู้ว่า เธอไม่เคยมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองต้องเผชิญ “ลึกๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่เราพยายามจะลืมมัน ถึงแม้มันจะผ่านมา 6 ปีแล้วก็ตาม แต่ทุกความรู้สึกและความทรงจำแห่งความเจ็บปวดยังคงอยู่ในใจเราเสมอ” เรื่องราวของเธอก็ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้สาวๆ ทั่วโลก หลังจากที่เธอประกาศพบชายผู้เป็นรักแท้ เธอแทบไม่เชื่อมาก่อนว่าเธอจะมีโอกาสได้เจอรักแท้ และได้พบกับชายผู้มีหัวใจที่อยากจะดูแลเอาใจใส่เธอจริงๆ ซึ่งหลังจากที่เธอแต่งงานกับ Michael Hoskin ทั้งคู่ก็ได้มีทายาทตัวน้อยถือกำเนิดขึ้นมาในท้องคุณแม่ “มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก เราสูญเสียทุกอย่างทั้งความเป็นตัวเองและสภาพจิตใจ แต่ขอฝากสาวๆ ทุกคนว่า เราจงอย่าได้เอาตัวเองไปจมอยู่กับอะไรที่มันแย่ และอย่าสูญสิ้นความหวังให้กับอนาคต” ทันทีที่คุณแม่มือใหม่โพสต์ภาพลูกน้อย เรื่องราวของเธอก็ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้หญิงสาวอีกหลายคนที่กำลังถูกกดขี่อยู่ ตอนนี้ทั้ง Turia และ Michael…
-
18 ภาพที่จะเผยให้เห็นว่า “พายุเฮอร์ริเคนเออร์มา” สร้างหายนะให้กับมนุษย์ได้มากแค่ไหน…
พายุเฮอร์ริเคนเออร์มา ถือเป็นอีกหนึ่งภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อมนุษย์ โดยพายุดังกล่าวเป็นพายุลูกใหญ่ และมีความร้ายแรงกว่าพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์หลายเท่าตัว!! และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทางสื่อต่างประเทศมีรายงานว่า พายุเฮอร์ริเคนเออร์มา ได้มุ่งหน้าไปยังทะเลแคริบเบียน เข้าสู่เกาะประเทศแอนติกา บาร์บูดา ในมหาสมุทรแอตแลนติก และหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน ที่มีกำลังแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ผู้คนนับล้านกลายเป็นคนเร่รอน และไร้ที่อยู่อาศัย เนื่องจากพายุลูกนี้ได้สร้างความเสียหายอย่างหนัก จนทำให้ผู้คนไม่มีน้ำ ไม่มีไฟใช้ โดยล่าสุดมีรายงานว่า พบผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วอย่างน้อย 10 ราย วันนี้เราได้รวมภาพถ่ายความเสียหายที่เกิดขึ้นจาก “พายุเฮอร์ริเคนเออร์มา” มาให้ได้รับชมกัน ว่าแล้วก็มารับชมกันเลย 1.ผู้คนได้พากันอพยพสัตว์เลี้ยงของพวกเขา 2.ภาพก่อนและหลังการเกิดเหตุพายุลูกใหญ่ในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน 3.อ่าว Paraquita ก่อนและหลังเกิดเหตุ 4.บรรดาน้องหมาที่มาหลบภัยอยู่ใต้ต้นไม้ ที่รัฐโดมินิกัน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา 5.แนวชายฝั่งของเกาะเซนต์มาร์ติน ที่ได้รับความเสียหายจากพายุดังกล่าว หลังคาบ้านที่ปลิวออกจากตัวบ้าน และถูกพัดออกไปอยู่บนถนน 6.Beach Plaza Hotel บนเกาะเซนต์มาร์ติน ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน 7.ภาพความเสียหายของร้าน Popular Honky Tonk ในเมือง…
-
จัดอันดับ 20 เมืองที่ใช้ความรุนแรงมากที่สุดในโลก คงไม่มีใครอยากจะลองไปแน่ๆ
สภาประชาชนเม็กซิโกได้มีการจัดอันดับเมืองที่มีการใช้ความรุนแรงมากที่สุดในโลกขึ้นมาในปีล่าสุด ซึ่งปัจจัยที่จะใช้ในการวัดนั้นก็คือ ความรุนแรงส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องของยาเสพติด ความเสถียรภาพทางการเมือง และความยากจนที่มีผลมาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดยประเทศที่ติดมาส่วนมากจะอยู่ในแถบละตินอเมริกา จากลิสต์ของเมืองที่มีประชากรเกินกว่า 300,000 คนทั่วโลก และนี่คือ 20 อันดับเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีความรุนแรงมากที่สุดค่ะ… 20. Salvador ประเทศบราซิล 19. Campos dos Goytacazes ประเทศบราซิล 18. Cumana ประเทศเวเนซูเอล่า มีการค้ายาเสพติดเป็นจำนวนมาก จากภาพเป็นการจับถุงโคเคนที่บ้านในเมือง Cumana 17. Barquisimeto ประเทศเวเนซูเอล่า เหตุการณ์การก่อจลาจลที่เรือนจำ Centro Occidental เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2013 16. Vitória da Conquista ประเทศบราซิล มีผู้ถูกฆาตรกรรมในอัตรา 60 คนต่อประชากร 100,000 คน 15. Feira de Santana ประเทศบราซิล เมืองนี้ถูกจัดในอันดับ 15 จากอัตราถูกฆาตกรรม 60.23…
-
ศิลปินใช้เวลา 2 ปี สร้างรูปปั้นเทวดาจากมีด 100,000 เล่ม เพื่อตระหนักถึงปัญหาความรุนแรง
ผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะศิลปินมักจะคิดและทำอะไรนอกกรอบอยู่เสมอ จนเกิดเป็นงานศิลปะแปลกใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ อย่างเช่น Knife Angel ผลงานประติมากรรมในสหราชอาณาจักรตัวนี้ มีความสูงถึง 7 เมตร และสร้างขึ้นด้วยมีดบริจาคทั้งหมดกว่า 100,000 เล่ม นอกจากเป็นผลงานที่มีความตื่นตาตื่นใจแล้ว Knife Angel ยังเป็นประติมากรรมที่ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อระลึกถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงจากมีด ที่มีอัตราเพิ่มมากขึ้นในสหราชอาณาจักร จนกลายเป็นปัญหาหลักที่ไม่อาจละเลยได้ Alfie Radley ประติมากรผู้สร้าง Knife Angel ได้ใช้เวลากว่า 2 ปี ในการออกแบบและสร้าง… ส่วนมีดนำมาใช้ประกอบเป็นรูปปั้นเหล่านี้ได้รับมาจากตำรวจ ซึ่งเป็นมีดที่ใช้ในการก่ออาชญากรรมความรุนแรงทั่วอังกฤษและเวลส์ โดยมีดบางเล่มมีชื่อของเหยื่อถูกสลักไว้ในนั้นด้วย นอกจากนี้ยังมีมีดอีกจำนวนหนึ่งที่ได้รับความช่วยเหลือจาก British Ironwork Centre ซึ่งได้ริเริ่มโครงการนิรโทษกรรม Save a Life, Surrender Your Knife ที่ให้คนมาบริจาคมีดโดยไม่จำเป็นต้องออกนาม ก่อนที่จะนำมาสร้างผลงานสถาปัตยกรรม Radley ได้นำมีดทุกเล่นมาทำความสะอาด ฆ่าเชื้อ และทำให้แน่ใจว่ามีดเหล่านี้ไม่มีความคมพอที่จะเป็นอันตรายอีกแล้ว ตอนนี้ Radley กำลังยื่นเรื่องนำ Knife…
-
ตำรวจสาวได้พบกับฮีโร่ ผู้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตเธออีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนานถึง 20 ปี
นี่คือเรื่องราวของ Sally Zheng หญิงสาวที่ไม่เคยได้รับความสุขจากครอบครัวของตัวเองเลย โดยเมื่อตอนที่เธออายุ 14 ปี ในเวลานั้นเรียกได้ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเธอต้องทนอยู่กับผู้เป็นพ่อแม่ที่ชอบทำร้ายเธอ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ได้รับความช่วยเหลือจาก Ralph Torres เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีจิตใจเมตตา ที่ได้พา Sally ออกมาจากขุมนรกแห่งนั้น และพาเธอไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสถานสงเคราะห์ โดยที่ทั้งคู่ได้เจอหน้ากันเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปทั้งสองเริ่มขาดการติดต่อกัน ซึ่งภายหลังจากที่ Sally จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับวิทยาลัย เธอก็ปรารถนาที่จะได้เห็นหน้าของผู้ที่เคยช่วยชีวิตของเธออีกครั้ง ในตอนนี้ Sally ได้เข้ามาทำงานในกรมตำรวจนครนิวยอร์ก โดยมี Ralph เป็นแรงบันดาลใจในการทำสิ่งดีๆ ให้กับผู้อื่น และด้วยความหวังว่าจะได้เจอกับ Ralph อีกครั้ง ซึ่งภายหลังจากที่เธอได้งานแล้ว เธอก็ได้สอบถามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นๆ ว่ารู้จักเจ้าหน้าที่ Ralph Torres หรือไม่ แต่กลับไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดเลย Sally พยายามติดต่อไปหา Ralph ซึ่งก็เป็นเวลานานกว่า 20 ปีแล้วที่ทั้งคู่ไม่ได้พบกัน และในวันที่ 25…
-
เรื่องราวชีวิตของ Evan สะท้อนปัญหาความรุนแรง-กลั่นแกล้งในโรงเรียน นำไปสู่เหตุสะเทือนขวัญ
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา มูลนิธิ Sandy Hook Promise ได้ปล่อยหนังสั้นเรื่อง Evan เล่าถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่า อีวาน ที่ใช้ชีวิตเหมือนกับเด็กมัธยมปลายคนอื่นทั่วไป ทุกๆ วันต้องไปโรงเรียน เรียนหนังสือ แล้วก็กลับบ้าน วันหนึ่ง ขณะที่เขานั่งอยู่ในห้องสมุด เขาก็เขียนอะไรบางอย่างลงไปบนโต๊ะของห้องสมุด แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงกิจกรรมแก้เบื่อของเขาเท่านั้น แต่นั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์บางอย่าง หลายวันต่อมาเขากลับมาห้องสมุดอีกครั้ง และพบว่ามีคนตอบข้อความที่เขาเขียนบนโต๊ะนั้นด้วย หลังจากนั้น เขากับคนปริศนาก็เขียนข้อความตอบโต้กันไปมาอยู่เสมอ เขาไม่รู้ว่าเธอหรือเขาคือใคร แต่นั่นกลายเป็นความตื่นเต้นครั้งใหม่ในชีวิตของเขา แต่แล้วความสนุกก็อยู่ได้ไม่นาน วันปิดเทอมก็มาถึง ห้องสมุดถูกปิด นั่นหมายความว่าเขาอาจไม่ได้คุยกับคนปริศนาคนนั้นอีกต่อไปแล้ว แต่ขณะที่เขากำลังจะกลับบ้านนั่นเอง เขาก็ได้พบกับคนปริศนาคนนั้น และดูเหมือนว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่สวยซะด้วยสิ แต่เรื่องราวมันจะจบสวยๆ ง่ายๆ แบบนี้เหรอ? อยากให้ชมเรื่องราวชีวิตของ Evan แล้วคุณอาจจะตระหนักถึงปัญหาความเครียดที่สะสมอยู่ในโรงเรียนมากขึ้น… เอาล่ะ ดูจบแล้วเรามาคุยกันดีกว่า ใครที่ยังไม่ได้ดูคลิปด้านบนก็ไปดูให้จบก่อนนะ อย่างที่เราทราบกันดีว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นประเทศที่มีการซื้อขายและพกปืนได้อย่างอิสระเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แม้ผู้สนับสนุนการอนุญาตพกปืนเหล่านี้จะให้เหตุผลเรื่องการป้องกันตัวเอง แต่สหรัฐอเมริกาก็มีก็มีผู้เคราะห์ร้ายจากอาวุธปืนมากติดอันดับโลกเลยทีเดียว โดยเว็บไซต์ Smart Gun…
-
แชร์คลิปหนุ่มจีน ‘ตบสาว ยัดใส่ท้ายรถ’ กลางปั๊มน้ำมัน คนมุงเยอะ แต่ช่วยอะไรไม่ได้ด้วย…
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา เว็บไซต์ Shanhaiist ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอของชายหนุ่มวัยกลางคนรายหนึ่ง ขณะที่กำลังตบตีหญิงสาวที่อยู่ในกระโปรงท้ายรถเก๋ง แม้จะมีคนยืนดูอยู่หลายคนก็ไม่ทำให้เจ้าตัวหยุดการกระทำสุดโหดร้ายได้เลย ตามรายงานบอกว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในมณฑลเหอเป่ย ประเทศจีน โดยชายหนุ่มเชื่อว่าหญิงสาวได้นอกใจตนเอง จึงได้ลงมือทำร้ายเธอกลางปั๊มน้ำมัน แม้จะมีคนในบริเวณนั้นตะโกนว่า “อย่าตีเธอ” แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ฟัง แม้ชายหนุ่มจะไม่หยุดลงมือกับเธอ แต่ก็ไม่มีใครเข้าไปห้ามปรามใดๆ จนสุดท้ายชายหนุ่มได้ผลักหญิงสาวลงไปในกระโปรงท้ายรถและปิดล็อคไม่ให้เธอออกมาได้ จากนั้นก็ขับรถออกไปจากปั๊มน้ำมันหน้าตาเฉย รองกรรมการจากสำนักรักษาความปลอดภัยสาธารณะของมณฑลเหอเป่ย ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ว่าหลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เห็นคลิปดังกล่าว พวกเขาก็ออกสืบสวนเรื่องนี้ทันที ภายหลังพวกเขาพบตัวหญิงสาวในเมืองฉางโจว เธอยืนยันว่าชายหนุ่มที่ปรากฏในคลิปนั้นเป็นสามีของเธอ แต่ไม่ได้รับบาดแผลจากการทำร้ายร่างกายในครั้งนั้น และแทนที่จะแจ้งดำเนินคดีกับสามี เธอกลับนิ่งเฉยและยังบอกอีกว่าเธอพยายามจะแกไขความสัมพันธ์ของพวกเขาอยู่ หลังจากที่เรื่องนี้ถูกเผยแพร่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ของจีน ก็มีความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้จากชาวเน็ตในจีนผุดขึ้นมามากมาย เช่น “ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ได้ความเคารพเลยในประเทศจีน ผู้ชายคนนั้นตบเธออย่างแรงมาก แม้เธอจะมีภรรยาของเขาแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำแบบนั้น” “ทำไมพวกเขามีเวลามาถ่ายวิดีโอ แต่ไม่มีเวลาที่จะไปหยุดผู้ชายคนนั้นหรือโทรศัพท์หาตำรวจล่ะ? ใครก็ตามที่ถ่านคลิปนี้มันช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน” “มันน่ากลัวมาก ไม่มีใครแสดงตัวที่จะปกป้องเธอเลยเหรอ?? ชมคลิปได้ที่ด้านล่างเลย (ใครดูไม่ได้กดที่นี่นะ) This video showing a woman being slapped and stuffed inside the…
-
Emilia Clark รู้สึกแย่ที่แฟนๆ คิดว่า Game of Thrones ขายแต่เซ็กส์และความรุนแรง…
เป็นอีกหนึ่งกรณีที่น่าสนใจเหมือนกัน ก็อย่างที่เราทราบกันอย่างดีว่าสาวๆ ใน Game of Thrones นั้น ต้องบอกกันตามตรงเลยล่ะว่าเร่าร้อนสุดขั้วหัวใจไปเลยทีเดียวเชียว แต่เหมือนว่า Emilia Clarke ผู้รับบท Daenerys Targaryen หรือ Khaleesi หรือ มารดาแห่งมังกร หรือรู้จักในชื่ออื่นๆ อีกมากมายจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ล่ะ… ซึ่งจะว่าไปแล้ว 5 ซีซั่นที่ผ่านมาของเธอก็ต้องบอกว่าสุดยอดจริงๆ กับทั้งความเหมาะสม รูปร่างหน้าตาอันสวยสดงดงาม และการแสดงที่เก่งฉกาจ ทำให้เธอเข้ามาอยู่ในใจของแฟนๆ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ของเรื่องนี้ก็คือความรุนแรงและเรื่องเพศนั่นแหละ ซึ่งเราก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน แต่วันนี้เราก็มีการมองที่แตกต่างออกไปของ Emilia Clarke ที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้มาให้ได้อ่านกัน… Emilia Clarke จากการให้สัมภาษณ์กับ Entertainment Weekly เธอได้กล่าวว่า ‘เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องเพศและความรุนแรงเป็นเสน่ห์ของซีรีย์ชุดนี้ แต่เหมือนผู้ชมออกจะมองกันในมุมแคบไป ลองถอยออกมาอีกนิดแล้วสังเกตกันดีๆ สิ’ ‘เพราะเราได้เห็นการพัฒนาการของเหล่าตัวละครหญิงในเรื่องนี้มากมายเลยทีเดียว ทั้งผู้หญิงที่ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงแม่แต่น้อย ผู้หญิงที่เป็นภรรยาที่ดี และแม้กระทั่งผู้หญิงที่ทรงอำนาจสุดๆ และไม่มีใครที่จะสามารถหยุดเธอได้’ เธอกล่าวเสริม ‘ฉันรู้สึกเจ็บปวดมากที่ผู้คนโฟกัสเฉพาะในเรื่องเพศและการกระทำต่อเพศหญิง แต่ถึงกระนั้นในกรณีของซีรีย์ชุดนี้ ถึงพวกเธอจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงหรือแม้แต่ความเท่าเทียม พวกเธอก็แข็งแกร่งขึ้นมาได้เช่นกัน’ Emilia กล่าว …
-
อุ๊ยตาย !! นักการเมืองผู้ต่อต้านความรุนแรงจากเกมถูกจับ ด้วยข้อหา ‘ค้าอาวุธ’ ในโลกแห่งความเป็นจริง!!
หลายๆคนคงรู้จักเกม GTA เป็นอย่างดี เนื่องจากเนื้อหาเกมที่มีความรุนแรง ทั้งค้ายา ค้าอาวุธเถื่อน ปล้น ฆ่า สารพัดสิ่งผิดกฎหมายรวบรวมอยู่ในนั้น จึงเป็นเหตุผลให้หลายๆ พื้นที่ในโลกนี้ชี้ว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่จะก่อให้เกิดอาชญากรรมและทำการต่อต้านความรุนแรงจากเกมทุกรูปแบบ (แต่เอาจริงๆแล้วเหมียวว่ามันอยู่ที่ตัวคนมากกว่านะ) เกม Grand Theft Auto (GTA) ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ออกตัวประนามความรุนแรงจากเกมก็คือ Leland Yee ส.ว. จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเคยกล่าวว่าเกมที่มีเนื้อหารุนแรงอย่าง GTA และเกมอื่นๆ เป็นสิ่งที่ชี้นำก่อให้เกิดเหตุอาชญกรรม เนื่องจากช่วงนั้นเหตุยิงกราดที่โรงเรียน Sandy Hook ที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 30 ราย… Leland Yee และล่าสุดนี้นาย Leland Yee ถูกจับกุมในข้อหาเกี่ยวกับการค้าอาวุธปืนและการฉ้อโกงเกี่ยวกับการรณรงค์เลือกตั้ง โดยรายงานกล่าวว่าสาเหตุของการกระทำก็คือเพื่ออำนาจและเงิน ซึ่งก็ดันมาพลาดท่าตรงที่เขาได้ติดต่อสัญญาซื้ออาวุธปืนกับแก๊งชาวอิตาเลียน ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการล่อซื้อจาก FBI ส่งผลทำให้นาย Yee และพรรคพวกถูกศาลสั่งจำคุก 5 ปีเต็ม พร้อมกับค่าปรับอีกประมาณ 8.9 ล้านบาท!!…
-
สภาพโรงพักภูเก็ตหลังเกิดจลาจลเผารถหน้าโรงพัก ไม่พอใจตำรวจกรณีชนวัยรุ่นเสียชีวิต 2 ราย
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ปิดล้อมสถานีตำรวจถลาง จ.ภูเก็ต เนื่องจากชาวบ้านและญาติของวัยรุ่น 2 รายที่เสียชีวิตจากกรณีรถยนต์ตำรวจขับไล่ติดตามและเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์โดยอ้างว่าเป็นผู้ต้องสงสัยมียาเสพติด และต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงเนื่องจากเป็นกระทำที่เกินกว่าเหตุ ทางด้านนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผวจ.ภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.พินิจ ศิริชัย รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต ได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาประชุมสรุปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และสัญญาว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย แต่ทางญาติผู้เสียชีวิตไม่พอใจต้องการให้เจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้ขับรถยนต์ออกมาแสดงตัว แต่เหตุการณ์กลับปานปลายไปมากกว่าเดิม เวลาประมาณ 22.30 น. เมื่อเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวไม่ยอมปฏิบัติตาม เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัยในชีวิต เพราะมีชาวบ้านเป็นจำนวนมากกว่า 1,000 คน รอคอยอยู่รวมตัวกันปิดล้อมสถานีตำรวจและปิดถนนหน้าโรงพัก รวมไปถึงการตะโกนยุยงให้เกิดความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลา 23.00 น. ได้มีการก่อเหตุจลาจลเผาและทำลายรถยนต์หน้าโรงพักถลาง จ.ภูเก็ต รวมไปถึงการขีดเขียนและพ่นสีหน้าป้ายโรงพัก มีการจุดประทัดและขว้างก้อนหินเข้าไปภายในโรงพักด้วย เผารถแล้ว 3 คันหน้า สภ. ถลาง ภูเก็ต ชาวบ้านยังปักหลัก…
-
ต้องสั่งสอน!! ลุงสุดโหดตบสาวจีนบนรถเมล์ไม่ยั้ง เหตุเพราะเอากระเป๋าวางเกะกะคนอื่น!?
การเป็นคนมีน้ำใจต่อสังคมนั้น ถือเป็นเรื่งที่ดีนะ เพราะมันทำให้สังคมของเราน่าอยู่ขึ้น แต่หากคุณจะเป็นคนเห็นแก่ตัวก็คงจะไม่ส่งผลกระทบอะไรมากมาย เพียงแต่อาจจะถูกสังคมขัดเกลาคุณทางอ้อม เหมือนอย่างคลิปที่เหมียวจะให้ดูต่อไปนี้ คลิปนี้ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ Liveleak เมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา เป็นคลิปของหญิงสาวชาวจีนที่สวมเสื้อยืดสีเขียว ขณะกำลังถูกคุณลุงรายหนึ่งกระหน่ำตบเข้าไปที่ใบหน้าของเธอแบบไม่ยั้ง เหตุเพราะเธอวางกระเป๋าเกะกะจนทำให้คนอื่นไม่สามารถนั่งได้ แต่ถึงแม้จะโดนคุณลุงตบหน้าสักกี่ครั้ง แต่หญิงสาวรายนี้ก็ดูจะไม่ยอมถอยและไม่ยอมเคลื่อนย้ายสิ่งของออกจากที่นั่ง จนสุดท้ายมีชายหนุ่มยื่นมือเข้ามาช่วยห้าม ก่อนที่หญิงสาวจะถูกตบจะเสียโฉมนั่นเอง ชมคลิปได้ที่ด้านล่างเลย เหมียวว่าการกระทำของคุณลุงอาจจะดูรุนแรงไปหน่อยนะ แต่มันก็ทำให้หญิงสาวรายนี้ได้จดจำล่ะ ว่าการไม่มีน้ำใจของเธอนั้นอาจส่งผลอย่างไรกับเธอบ้าง ที่มา Chao Hola , liveleak
-
เกรียนมา ฮากลับ!! ชมแฟนๆเซลติกโพสสุดฮาตอบโต้แฟนเฟเนฯ หลังมีรูปถือมีดขู่ออกมา
หลังจากสโมสรฟุตบอลกลาสโกว์เซลติกจากประเทศสก็อตแลนด์ถูกจับสลากมาอยู่ร่วมกลุ่มเดียวกับสโมสรเฟเนร์บาห์เช่จากประเทศตุรกีในการแข่งขับฟุตบอลยูโรป้าลีค แฟนๆเฟเนร์บาห์เช่ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความโหดก็ทำการรับน้องด้วยการโพสรูปถือมีดขู่ ประมาณว่าพวกเอ็งตายแน่ และเมื่อแฟนๆเซลติกเห็นภาพเหล่านั้น พวกจึงทำการตอบโต้แบบสุดฮากลับไป นี่คือภาพที่มาจากแฟนๆของเฟเนร์บาห์เช่ เมื่อแฟนๆเซลติกเห็น ก็ต้องออกมาตอบโต้หน่อยแล้วละ แต่ไม่เอาความรุนแรงนะ เน้นฮาอย่างเดียว สู้มั้ยละ!! จะทัพพีพิฆาตหน่อยแล้ว เครื่องดูดฝุ่นก็มา จับฉีดซะเลย หัวม้าก็มา หรือจะไฟว์กับเจ้าตัวนี้ มีพรรคพวกเป็นอาจารย์เจไดแบบนี้ ยอมเหอะ ส่วนแฟนๆเฟเนร์บาห์เช่ที่ไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงก็ออกมาร่วมสนุกด้วยเช่นกัน แข่งเสร็จต้องมีดื่มฉลอง น้ำยาล้างห้องน้ำมั้ยละ กีฬาสอนให้เรารู้จักการรู้แพ้รู้ชนะ อย่าให้มันกลายเป็นความรุนแรงเลยเนอะ เชียร์กันสนุกๆดีกว่าเยอะ ^^ ที่มา Independent, Mirror
-
ช็อตเดียวก็เกินพอ!! สื่ออิตาลีจับมือยูนิเซฟคลอดแคมเปญแห่งปี รณรงค์ยุติความรุนแรงในโรงเรียน!!
แน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้ความรุนแรงทุกรูปแบบ เกิดขึ้นกับตนเองหรือคนที่เรารัก ซึ่งวิธีที่จะหยุดยั้งความรุนแรงได้ ก็คงต้องเริ่มจากทัศนคติของตัวเราก่อนที่จะพัฒนาเป็นสังคมวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ และถ้าพูดถึงวิธีการหยุดยั้งความรุนแรงในวงกว้าง เหมียวการออกแคมเปญเจ๋งๆ และใช้สื่อเป็นตัวช่วยในการเผยแพร่ก็ถือเป็นวิธีที่ดีเลยหละ ว่าแล้วมาดูตัวอย่างเจ๋งๆ ของการร่วมมือของยูนิเซฟและสื่อมวลชนอิตาลีกันเลยดีกว่า!! นี่คือ ‘One shot is enough’ หรือ ภาพเดียวก็เกินพอ ที่เราจะเรียกว่าเป็นแคมเปญแห่งปีที่ควรส่งต่อก็ว่าได้ เพราะพวกเค้าทำเพื่อยุติความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามโรงเรียนกับเยาวชนให้ได้ผล เริ่มจากที่องค์การยูนิเซฟอิตาลีหาข้อมูล สอบประวัติ และผลพิสูจน์ต่างๆ จากตำรวจ เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ แล้วพบว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้จะส่งผลกระทบอย่างมหาศาล เมื่อเด็กผู้ถูกกลั่นแกล้งโดนนำคลิปวิดีโอ หรือภาพไปเผยแพร่ประจานให้ยิ่งอับอายและหาทางออกไม่ได้ จนเด็กบางคนไม่ยอมกลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน ย้ายที่เรียน ถึงขั้นว่าให้พ่อแม่สอนหนังสือที่บ้านไปเลยก็มี โดยส่วนที่หนักและน่าเห็นใจที่สุดก็คือ ถ้าปมในใจของเด็กๆ ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้มันยากเกินจะเยียวยาแก้ไข ก็จะทำให้พวกเขาต้องกลายเป็นโรคซึมเศร้าและทำร้ายตัวเองอีกด้วย… T_T ที่มา UNICEF, postjung