Tag: ความรู้สึก
-
รู้จักกับ 11 รูปแบบของ “การกอด” พร้อมคำอธิบายสั้นๆ ว่าแต่ละแบบสื่อได้ถึงอะไรบ้าง~
การกอด นั้นสำหรับคนไทยส่วนมากอาจมองว่ามันเป็นสิ่งประเจิดประเจ้อ จึงไม่นิยมทำกันในที่สาธารณะเท่าใดนัก แต่หารู้ไม่ว่าการกอดนั้นแท้จริงแล้วมันสื่อความหมายได้หลายอย่าง ชาวตะวันตกนั้นมีวัฒนธรรมการกอดที่หลากหลายรูปแบบ โดยแต่ละแบบก็จะสื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งกอดตัวเอง กอดคนรัก หรือจะกอดเพื่อนก็ได้ วันนี้เราจึงจะแนะนำให้รู้จักกับ การกอด 11 แบบ พร้อมคำอธิบายเบื้องต้นว่าแต่ละแบบนั้น สื่อความหมายอย่างไรบ้าง 1. กอดตัวเอง (Self-hug) การกอดตัวเองนั้นเป็นวิธีการกอดแบบหนึ่งที่จะช่วยส่งผลให้จิตใจได้รับการบำบัด มันจะทำให้คุณรู้สึกสบายใจ ใจเย็น และมีกำลังใจในเวลาเดียวกัน 2. กอดแบบเต้นรำ (Slow dance hug) การกอดแบบนี้จะเกิดขึ้นในงานเต้นรำแบบตะวันตก ท่าทางการกอดรวมกับสายตาที่จ้องมองกันและกันเช่นนี้ เป็นการกอดที่แสดงออกถึงอารมณ์โรแมนติกของคู่เต้นรำ 3. กอดสูงต่ำไม่เท่ากัน (Unequal-height hug) เป็นอีกท่ากอดหนึ่งของคู่รักที่มีส่วนสูงต่างกัน การกอดแบบนี้จะทำให้คู่รักคู่นั้นๆ สร้างความโรแมนติกให้กันได้มากเลยทีเดียว 4. การกอดจากด้านหลัง (A hug from behind) การสวมกอดจากด้านหลังนั้น เป็นวิธีการกอดเพื่อแสดงความรู้สึกที่ลึกซึ้งของผู้กอด แม้ไม่ได้ยินคำว่ารักจากปาก แต่ผู้ถูกกอดก็มั่นใจได้ระดับหนึ่งเลยว่า ผู้กอดนั้นพร้อมจะอยู่ดูแลคนรักไปตลอด 5. กอดแนบกาย (Heart-to-heart…
-
ชม 15 ภาพวาด “สุดหลอน” สะท้อนความกลัวในจิตใจ โดย John Kenn Mortensen
ศิลปะเช่น การวาดภาพ นั้นเป็นสิ่งที่หลายคนชื่นชอบ เพราะนอกจากจะได้แสดงฝีมือแล้ว มันยังทำให้คนเราได้ถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกผ่านผลงานภาพวาดได้อีกด้วย อย่างเช่นศิลปินนามว่า John Kenn Mortensen รายนี้ ที่มักวาดภาพสไตล์ขาวดำเพื่อให้ออกมาเป็นบรรยากาศดูมืดมนและน่ากลัว และนั่นก็สิ่งที่ทำให้ผลงานของเขาเป็นกลายที่จดจำเลยทีเดียว วันนี้เราจะพาทุกท่านไปชม 15 ภาพวาดสุดดาร์กหลอนสะท้อนความกลัวในจิตใจ ฝีมือของศิลปิน John Kenn Mortensen กัน ถ้าพร้อมแล้ว…ไปชมกันเลย #1 #2 #3 #4 #5 #6 #7 #8 #9 #10 #11 #12 #13 #14 #15 หยึยยย…แต่ละภาพล้วนเป็นภาพที่น่ากลัวเสียจนไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเจอแบบนี้ในโลกแห่งความจริงจะหลอนขนาดไหน ที่มา: instagram และ bigcartel
-
วงในลือสายสุดท้ายก่อนจาก ระหว่างอดีตคนรักและเจ้าชาย เต็มไปด้วยความเศร้าเคล้าน้ำตา…
ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนในเชิงรักใคร่นั้น หากเมื่อถึงเวลาต้องจากกันด้วยสถานะความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป ทำให้หวนคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่เคยผ่านมาด้วยกัน และคงเป็นเรื่องที่ยากที่จะทำใจได้ และในก่อนช่วงเวลาวันสำคัญของเจ้าชายแฮร์รี่ประมาณ 1 สัปดาห์ มีข่าวคราวลือกันว่า แฟนเก่าของเจ้าชาย Chelsy Davy ได้ทำการพูดคุยโทรศัพท์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะปรากฏตัวเข้าร่วมพิธีเสกสมรส บทสนทนาดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ Chelsy Davy ในวัย 32 ปี อดีตคนรักของเจ้าชายได้รับเชิญมาร่วมพิธีเสกสมรส ซึ่งการพูดคุยกันในครั้งนั้นก็ยังคงความสนิทสนมอยู่เพียงแต่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทั้งนี้การสนทนาดังกล่าวถูกเปิดเผยผ่านครอบครัวและเพื่อนของเธอให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Vanity Fair ไว้ว่า “เป็นการโทรศัพท์คุยกันครั้งสุดท้าย ก่อนจะแยกทางกันจริงๆ เพราะทั้งคู่ต่างรู้ดีว่า เจ้าชายแฮร์รี่กำลังก้าวไปข้างหน้า Chelsy รู้สึกสะเทือนอารมณ์อยู่ไม่น้อย เธอร้องห่มร้องไห้และเกือบจะไม่ไปร่วมงานเสกสมรสด้วยซ้ำ แต่ท้ายที่สุดเธอก็ไปและให้คำมั่นสัญญากับเจ้าชายว่า จะไม่ทำให้พิธีเสกสมรสวุ่นวาย…” สำหรับ Chelsy นั้นเคยมีช่วงเวลาใกล้ชิดกับเจ้าชายในปี 2003-2010 ระยะเวลารวมทั้งสิ้น 7 ปี และเดินทางมาร่วมพิธีเสกสมรสด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม มีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า เธอมาพร้อมกับ Cressida Bonas อดีตคนรักของเจ้าชายอีกราย และสื่อต่างๆ…
-
ชายออทิสซึ่ม ส่งของขวัญพร้อมโน๊ตขอโทษ รู้สึกผิดกับพฤติกรรมเล็กๆ ที่โมโหร้าย…
การดูแลเอาใจใส่ความรู้สึกของคนรอบข้างเป็นสิ่งที่ดี และคงไม่มีใครคิดว่าบุคคลที่มีอาการป่วย จะสามารถรับรู้และแคร์ความรู้สึกคนอื่นได้เท่าหรือมากกว่าคนทั่วไปเสียอีก… เรื่องราวระหว่าง Ruby King วัย 17 ปี กับเพื่อนบ้าน Christopher ชายออทิสซึ่มไบโพลาร์ในวัย 40 ปี เธอมักจะคอยช่วยเหลือและสนับสนุนในการใช้ชีวิตให้กับเขาอยู่เสมอ โดยช่วงก่อนหน้านั้น Ruby มักจะแบ่งปันอาหารให้กับเขา และพาเขาไปเที่ยวพร้อมกับกลุ่มเพื่อนๆ ด้วย แต่ทว่าอาการออทิสซึ่มและไบโพลาร์ ทำให้เขาไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้มากนัก จนเผลอปล่อยอารมณ์โมโหร้ายออกมาอย่างไม่มีเหตุผล Ruby King หลังจากที่ถูก Christopher กราดด่าโมโหใส่ ทำให้ Ruby รู้สึกแย่พอสมควร แต่เธอก็คิดได้ว่า “Christopher เป็นคนที่น่ารัก และสิ่งที่เขาพูดออกมาเป็นเรื่องส่วนตัวทั้งนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับใครเลย… เขารู้สึกผิดทันทีที่พูดออกมา แต่มันก็ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลใจนิดนึง ฉันไม่ได้โกรธเหมือนอย่างที่เขาคิด ฉันเพียงแค่รู้สึกอัดอั้นในใจก็เท่านั้น” แต่แทนที่จะปล่อยผ่านเลยไป Christopher กลับเลือกที่จะขอโทษเธอด้วยการ์ดคำขออภัย ขนมคุ้กกี้ พร้อมกับดอกไม้ช่อเล็กๆ “ถึง Ruby ผมไม่ชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นและคิดถึงเวลาที่เราได้พูดคุยและเข้าสังคมด้วยกัน บางครั้งผมพูดในสิ่งที่รุนแรงออกไป ผมไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนั้น ผมหวังว่าคุณจะน้อมรับของขวัญแทนคำขอโทษ…
-
สาววัย 26 ปีผู้มีใบหน้าบกพร่องแต่กำเนิด เฉิดฉายทางด้านความงามนิยม สู่นางแบบมืออาชีพ
“ทำให้โลกได้จดจำไว้ว่าทุกคนมีความสวยงามในตัวเอง” ประโยคดังกล่าวเป็นคำพูดของ Ilka Brühl หญิงสาววัย 26 ปี จากประเทศเยอรมนี ผู้ไขว่คว้าโอกาสเพื่อเผยแพร่พลังด้านบวกและความสามารถของเธอ ด้วยการเล่าเรื่องราวของตัวเอง . ตั้งแต่วันที่เธอได้ลืมตาดูโลกใบนี้ Ilka ต้องผ่านชีวิตอันยากลำบาก “ฉันเกิดมาพร้อมกับใบหน้าแหว่งและจมูกผิดรูป นอกจากนี้ดวงตาด้านขวาก็ยังขาดท่อน้ำตา ขาดความชุ่มชื้นของดวงตาข้างขวาตามธรรมชาติอย่างถาวร ไม่มีน้ำตาออกจากดวงตาด้านขวาเลย…” . ปัจจุบัน หลังจากที่เธอผ่านการผ่าตัดนับครั้งไม่ถ้วน Ilka ก็แข็งแกร่งมากขึ้น เป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเอง แบ่งปันเรื่องราวและประสบการณ์ของเธอให้ผู้อื่นได้รับรู้ ด้วยความหวังที่จะเป็นกำลังใจให้ผู้คนรักตัวเองให้มากขึ้น เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เธอเริ่มเป็นนางแบบให้กับหมู่เพื่อนช่างภาพ “มีการตอบรับที่ดีมากๆ เลยล่ะ ยิ่งทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะแสดงตัวตนในแบบที่ฉันเป็น บริสุทธิ์และไร้การตกแต่ง” Ilka ได้แบ่งปันรูปถ่ายของเธอเอง เพื่อกระตุ้นในผู้คนกล้าที่จะออกมาจากความกลัวของตัวเอง และกล้าที่จะแสดงความงามที่แท้จริงออกมา “มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะขี้เหร่ได้ ด้วยการทำตัวให้ดูขี้เหร่ ไม่มีใครต้องหลบซ่อนเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองหรอก” . . . . .…
-
แฟนสาว Avicii เผยความรู้สึก ‘ปวดกายจนถึงขั้วหัวใจ’ หลังการจากไปของ Tim Bergling
ข่าวคราวความสูญเสียของบุคคลผู้มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง Avicii หรือ Tim Bergling ดีเจชื่อดังชาวสวีเดน เสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2018 ในประเทศโอมาน แฟนเพลงและเพื่อนร่วมวงการต่างร่วมแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อไม่นานมานี้ทางครอบครัวก็ได้ร่อนจดหมายเปิดผนึกแก่สื่อต่างๆ ไปแล้ว และล่าสุดนี้ก็เป็นคราวของแฟนสาวของ Tim ผู้ซึ่งเก็บงำความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเธอกับเขามาเป็นระยะเวลานาน จนท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา Tereza Kačerová ไม่มีใครรู้เลยว่า Tim นั้นมีสถานะทางความสัมพันธ์อย่างไรกับใครบ้าง ซึ่งหลายๆ คนก็เชื่อว่าเขาโสดในตลอดช่วงเวลาที่ยังมีลมหายใจ แต่ความจริงแล้วเขาคบกับนางแบบสาวชาวเช็ก Tereza Kačerová ผู้เป็นแม่ลูก 1 และเขาก็ยอมรับลูกชายของเธอเป็นเหมือนลูกแท้ๆ ด้วย Tereza Kačerová และลูกชาย Luka Kačerová โพสต์ภาพข้อความจดหมายเปิดผนึกต่อ Tim ผ่านอินสตาแกรมของเธอ ซึ่งเปิดเผยให้ทุกคนรู้ว่าเธอกับเขามีความสัมพันธ์ที่ปิดซ่อนจากสาธารณะมายาวนาน เนื่องจากไม่อยากให้กระทบต่อชื่อเสียงของเขา และทั้งคู่วางแผนจะมีลูกด้วยกัน แต่ท้ายที่สุด Tim ก็จากโลกนี้ไปเสียก่อน… ใจความคร่าวๆ จากโพสต์อินสตาแกรมมีดังต่อไปนี้… …
-
ศิลปินสร้างผลงาน เผยให้เห็นถึง ‘ราคะ’ และ ‘ความงดงามของการสัมผัส’ มันมีอะไรมากกว่าที่เห็น
‘การสัมผัส’ และ ‘ราคะ’ ถือเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน อีกทั้งยังเป็นส่วนประกอบที่นำไปสู่กิจกรรมแห่งความสุขอย่างการมีเซ็กส์ ซึ่งหลายๆ คนอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่หากมองในมุมมองของศิลปะมันก็ดูน่าสนใจไม่เบา สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมผลงานการวาดภาพของศิลปินชาวอิตาลีชื่อว่า Frida Castelli ที่จะมาทำให้เราได้มองเห็นถึงความงดงามของการ ‘สัมผัส’ และความรู้สึก ‘อยาก’ หรือ ‘ต้องการ’ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ โดยผลงานดังกล่าวนั้นมีชื่อว่า #missyoueveryday มีคอนเซ็ปต์ที่ต้องการแสดงให้เห็นถึงการสัมผัสในแต่ละครั้ง ซึ่งมันมีความรู้สึกต่างๆ ซ่อนอยู่ ทั้งความสุข ความสงบ ความเหงา ความเร่าร้อน ความเศร้าเสียใจ และความต้องการ จะเป็นอย่างไรบ้างลองไปชมพร้อมๆ กัน ได้เลยจ้า… อีกกี่เดือนกว่าจะได้เจอกัน 70 วัน ถ้าฉันจะไม่ได้เจอเธออีกเลยล่ะ 45°29’00″ เหนือ, 9°12’00″ ตะวันออก เธอคือทุกสิ่งของฉัน เธอคือคนที่ฉันรัก ฉันควรจะจูบเธอให้มากกว่านี้ เติมเต็มที่ว่างในใจของฉัน ที่นี่แหละคือบ้าน…
-
นักศึกษาถูกจวกหนักหลังปลิดชีพผีเสื้อ เพื่อนำปีกมาสร้างผลงาน ‘สัญญะแห่งการเกิดใหม่’
ศิลปะอยู่รอบตัวเรา ความสุนทรีย์เหล่านี้มักจะถูกหยิบยกขึ้นมา เพื่อสะท้อนเป็นชิ้นงานตามสไตล์ของศิลปินด้วยเช่นกัน อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นในมุมมองไหน… แต่แล้วเมื่อการกระทำของนักศึกษาสาวชาวจีน ได้กลายมาเป็นจุดชนวนแห่งความขัดแย้งบนโลกออนไลน์ หลังจากที่เธอได้นำปีกของผีเสื้อกว่า 500 ตัวมาใช้เพื่อสร้างผลงานสื่อถึง “การเกิดใหม่” Li Zheng นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากมหาวิยาลัย Quanzhou Normal University ได้สร้างชุดงานศิลป์จากการใช้ปีกผีเสื้อเป็นวัสดุหลัก จัดเรียงอย่างพิถีพิถันอันเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์จบของตัวเอง เธอและเพื่อนได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษา ให้สร้างงานศิลปะที่โด่งดังขึ้นมาใหม่ด้วยวัสดุที่แตกต่าง เธอจึงเลือกผลงานของ Vincent Van Gogh แต่ยังไม่รู้ว่าจะใช้วัสดุแบบไหนเพื่อสร้างงานชิ้นดังกล่าว… ระหว่างที่ทำการค้นคว้าวิจัย Li Zheng ได้พบกับศิลปินที่ใช้ปีกผีเสื้อในงานศิลป์ และในวัฒนธรรมส่วนมาก แมลงตัวเล็กๆ เป็นเหมือนดั่งตัวแทนแห่งการเกิดใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับโปรเจกต์จบของเธอเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นเธอจึงทำการรวบรวมผีเสื้อกว่า 500 ตัว ใช้สีสันบนปีกเล็กๆ นำมาร้อยเรียงเป็นภาพชิ้นงานของ Van Gogh รวมไปถึงภาพวาดของตัวเขาเองด้วย . ไม่ต้องสงสัยเลยว่า งานของเธอนั้นดูสวยงามอลังการตามเนื้อผ้า แต่ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่ดีกับการที่เธอใช้ปีกของผีเสื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ นำมาสร้างงานที่สื่อถึงการเกิดใหม่ Li…
-
ลูกชายรู้ตัวว่าเป็นผู้หญิง จึงเปลี่ยนตัวตนตามใจหวัง และคุณแม่ก็เพิ่งรู้ใจตัวเองเช่นกัน…
เรื่องเพศในปัจจุบันนั้นเริ่มเปิดกว้างมากขึ้นจากแต่ก่อน ในเมื่อเพศสภาพที่เกิดมาไม่ตรงกับในสิ่งที่ใจต้องการ ลักษณะทางกายภาพก็สามารถเปลี่ยนแปลงตามมาได้ในภายหลัง… อย่างเช่นเรื่องของ Corey และ Eric Maison อดีตลูกชายและคุณแม่ ที่เพิ่งจะรู้ตัวตนที่หัวใจเรียกร้อง และกลายมาเป็นคุณพ่อกับลูกสาวข้ามเพศคู่แรกของโลก Corey และ Eric Maison ทั้งสองต่างรู้สึกไม่สบายใจกับสภาพร่างกายของตนหลังจากที่ Corey ได้ลืมตาดูโลกมานานหลายปี ซึ่งในช่วงอายุ 11 ปี ก็เริ่มรู้ว่าหัวใจอยากจะเป็นหญิง แต่รู้สึกกลัวที่จะต้องบอกความจริงกับผู้เป็นพ่อและแม่ ทว่าอีกด้านหนึ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน Erica ผู้เป็นแม่ในขณะนั้น ก็รู้สึกว่าใจของเธอต้องการที่จะเป็นผู้ชายมาโดยตลอด จนกระทั่ง 4 ปีให้หลัง ทั้งสองก็กลายมาเป็นคู่หูพ่อลูกสาว ที่พากันเผชิญหน้าและก้าวข้ามอุปสรรคด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งอย่างภาคภูมิ Corey ในขณะที่ยังเป็นลูกชาย Erica (ปัจจุบันคือ Eric) ได้รับความมั่นใจมากขึ้นกับการเปลี่ยนผ่านตัวตน จากผู้หญิงมาเป็นผู้ชายอย่างเต็มตัว หลังจากที่ได้เห็น Corey เจริญเติบโตในฐานะลูกสาวอย่างที่เธอรู้สึกมาโดยตลอด ซึ่งในตอนแรก Eric ก็กลัวว่าสามีและลูกๆ จะรู้สึกอย่างไรกับการตัดสินใจแบบนี้ เมื่อ…
-
ชายผู้วิ่งข้ามประเทศใช้เวลา 409 วัน ระยะ 25,100 กม. ด้วยเหตุผล ‘ก็แค่อยากวิ่งอ่ะครับ’
พูดถึงการวิ่งที่เป็นตำนาน หลายคนคงนึกถึงการวิ่งของ Forrest Gump ในภาพยนตร์ชื่อเดียวกันที่แสดงนำโดย Tom Hanks ซึ่งภายในเนื้อหาภาพยนตร์พี่แกจะออกวิ่งไปเรื่อยๆ ประมาณ 24,500 กิโลเมตร (15,248 ไมล์) หลังถูกหักอกจากหวานใจวัยเด็ก หรือไม่ก็ตำนานของพี่ตูน บอดี้แสลมที่วิ่งจากภาคใต้สู่ภาคเหนือของประเทศไทย เพื่อหาทุนให้กับโรงพยาบาล จนประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ตอนนี้ก็มีชายคนหนึ่งที่ออกวิ่งเหมือนกัน โดยที่เขามีชื่อว่า Rob Pope ชายชาวอังกฤษวัย 39 ปี อดีตทหารผ่านศึกจากเมืองลิเวอร์พูล ได้ลาออกจากงานประจำเพื่อมาสานฝันความท้าทายอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง… ด้วยการวิ่งข้ามประเทศสหรัฐอเมริกา จากฝั่งตะวันตกไปยังฝั่งตะวันออกระยะทางประมาณ 25,100 กิโลเมตร (15,600 ไมล์) และจะแบ่งออกเป็น 4 ระยะด้วยกัน สำหรับ Rob นั้นจะวิ่งเฉลี่ยประมาณ 64 กิโลเมตรต่อวัน สาเหตุที่วิ่งได้เท่านั้น เพราะเขาต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อน ฝนตกหนัก และอากาศหนาวสลับกันไปมาระหว่างทาง… แต่ถึงแม้จะต้องทรมานกับความเจ็บปวดทางสภาพร่างกาย และจะต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวที่เริ่มกัดกินสุขภาพจิต เขาก็ยังยืนยันว่าการเลิกวิ่งไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาเลย… Rob มีความฝันที่จะวิ่งข้ามประเทศสหรัฐอเมริกามาโดยตลอด หลังจากที่ได้ดูภาพยนตร์…
-
ช่างภาพใช้เวลา 4 ปีคลุกคลีอยู่กับคนไร้บ้าน และมันก็เป็นช่วงเวลาอันประทับใจหลังได้คุยกับพวกเขา
Mikaël Theimer ช่างภาพที่ให้ความสนใจกับกลุ่มคนไร้บ้าน กลุ่มคนที่สังคมมักจะมองว่าพวกเขาคือส่วนเกินและล้มเหลวในชีวิต แต่กลับกันช่างภาพคนนี้กลับมาเห็นอะไรบางอย่างในตัวพวกเขาและเริ่มเดินสายเข้าไปคลุกคลีอยู่กับกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยคำพูดง่ายๆ ว่า “สวัสดีครับ เป็นยังไง สบายดีไหม?” ผลลัพธ์จากการกล่าวคำทักทายของ Mikaël นั้นได้เปิดโลกใบใหม่ให้กับเขา เขาได้สัมผัสถึงความสุข ความทุกข์ ความโกรธและอื่นๆ อีกมากมายที่คนไร้บ้านต้องเจอ บางคนไม่ได้มีปัญหาจากยาเสพติดหรือความล้มเหลวที่พวกเขาตั้งใจจะก่อ Mikaël จึงได้ถ่ายภาพของคนที่เขาได้ไปคุยด้วยพร้อมกับบอกเล่าด้วยข้อความสั้นๆ และน่าสนใจมาให้เราได้อ่านกัน… Mario ชายที่ต้องไปอยู่ในคุกหลังฆ่าคนที่ข่มขืนลูกชายของเขา นั่นส่งผลให้เขาต้องเสียทุกอย่างไป ชายคนนี้เมื่อถูกถามว่าเขาอยากบอกอะไรผ่านสื่อ เขาบอกว่า “รัก…ผมรักภรรยาของผมมากๆ” หญิงคนนี้เคยเอาไม้ฟาดลงไปที่ชายใจร้ายคนหนึ่ง หลังเขาทำแบบเดียวกับสุนัขของตัวเอง Fernand ชายไร้บ้านแสนอบอุ่น เขามักจะไปมาไหนกับแมวสีดำของเขาเสมอ Normand ชายไร้บ้านหน่วยก้านดี ซึ่งเขาเพิ่งจะมีคนจ้างไปทำงานก่อสร้างหลังจากที่ Mikaël โพสต์ภาพของเขา Mostafa หนุ่มผิวสีไร้บ้านแต่ไม่ไร้ความสามารถ เขาคนนี้สามารถพูดได้ถึง 8 ภาษา!! แม้ชายคนนี้จะไร้บ้าน แต่เขาไม่หยุดที่จะหัวเราะและมองหามุมดีๆ ให้กับชีวิต เขายังโน้มน้าวให้ Mikaël หัวเราะไปกับเขาด้วย …
-
นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณรู้สึกเสียวจี๊ด เวลาเอานิ้วหรืออะไรเข้าไปแหย่ใน ‘สะดือ’
อย่างที่คนเราทราบกันดีว่า “สะดือ” นั้นคือส่วนเหลือของสายสะดือซึ่งเป็นท่อที่ส่งผ่านทุกสิ่งมายังลูกน้อยขณะที่ยังอยู่ในท้องแม่ แต่หลังจากที่เด็กออกมาสู่โลกภายนอก สะดือก็จะกลายเป็นอวัยวะที่ไม่รู้จะเอาไว้ใช้ประโยชน์อะไร คนเราจะมีลักษณะของสะดือที่แตกต่างกัน สะดือแบบที่บุ๋มเข้าไปด้านใน ภาษาบ้านเราจะเรียกว่า “สะดือโบ๋” ส่วนสะดือที่มีลักษณะเป็นจุกนูนออกมาด้านนอก จะเรียกว่า “สะดือจุ่น” ซึ่งทั้งสองแบบก็ไม่รู้ว่ามีประโยชน์อย่างไรเช่นกัน เราจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของมันก็ต่อเมื่อ หากเราเอามือหรืออะไรไปโดน มันจะรู้สึกแปลกๆ และเสียวแปล๊บๆ ซึ่งมันแปลก เพราะกับส่วนอื่นๆ ของร่างกายเราไม่ยักรู้สึกแบบนั้น นอกจากสะดือจะแปลกแล้ว คนที่ชอบมาเล่นสะดือนั้นแปลกกว่าอีก Dr. Christopher Hollingsworth แห่ง NYC Surgical Associates อธิบายว่า “เมื่อสัมผัสสะดือ คุณไม่ได้กระตุ้นให้ผิวหนังเกิดความรู้สึกเท่านั้น แต่มันไปกระตุ้นเส้นใยของกล้ามเนื้อท้องชั้นในอีกด้วย” “ดังนั้น เมื่อคุนเอานิ้วไปสัมผัสกับสะดือมันจึงส่งสัญญาณจากเส้นใยกล้ามเนื้อท้องไปยังกระดูกสันหลัง” Dr. Christopher กล่าวต่อ “เพราะกระดูกสันหลังในชั้นนั้นก็มีหน้าที่ส่งต่อสัญญาณที่เกิดจากถุงและท่อปัสสาวะอีกด้วย มันจึงรู้สึกคล้ายๆ กับเวลาที่คุณไม่สบายตัวยามต้องการเข้าห้องน้ำ” แต่มันมีอะไรยิ่งกว่านั้น บางที เวลาที่เราหรือคนอื่นก็ตามมาสัมผัสสะดือเรา มันทำให้เกิดความรู้สึก “จั๊กจี้” ที่ไม่เกี่ยวกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย แบบนี้มันหมายความอะไรกัน? แน่นอนว่า Dr. Christopher ก็มีคำตอบให้อีกเช่นเคย…
-
ศิลปินญี่ปุ่นวาดภาพการ์ตูน ถ่ายทอดความรู้สึกที่ทุกคนต้องเคยเจอ แต่ไม่สามารถอธิบายได้
มนุษย์เรามีหลายอารมณ์ หลายความรู้สึก แต่การอยู่ในสังคมที่มีความหลากหลาย ทำให้บางความรู้สึกไม่สามารถแสดงออกได้และมันยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด ด้วยเหตุนี้ศิลปินชาวญี่ปุ่นที่เรียกตัวเองว่า avogado6 จึงได้ถ่ายทอดความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เหล่านั้นออกมาเป็นภาพวาด เมื่อคุณพยายามเก็บสิ่งที่ควรอยู่ในอดีต สำหรับ avogado6 นั้น ไม่ค่อยมีใครรู้อะไรเกี่ยวกับเขามากนัก สิ่งที่ทุกคนรู้คือเขาเป็นคนชอบเคมีมากๆ และรูปโปรไฟล์ที่ใช้ในทวิตเตอร์เป็นภาพของ Avogadro นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีที่มีชื่อเสียง อย่างไรก็ตาม ผลงานของ avogado6 มีความโดดเด่นอยู่ไม่น้อย เพราะเขาชอบวาดภาพความรู้สึกของมนุษย์ให้ออกมาในลักษณะที่เข้าใจง่าย เหมือนอย่างที่เราเห็นอยู่นี้ เมื่อปีกของคุณเหนื่อยที่จะแบกคุณไว้ ความเงียบ บางครั้งคุณอยากละลายเหมือนเนยบนขนมปัง เหนื่อยจนหมดแรง ค่อยๆ เติมเต็มตัวเองทีละชิ้นๆ เวลาไม่เคยปราณีใคร “ฉันโอเคจริงๆ นะ” ความบอบบางไม่คงทนถาวร เมื่อพลังงานคุณหมด บางสถานการณ์ทำให้คุณรู้สึกขยับไม่ได้ เมื่อคุณปิดกั้นหััวใจ กาลเวลา เมื่อคุณต้องรับมือกับคำพูดมากมายที่ถาโถมเข้ามา บางครั้งคุณพบตัวเองอยู่ในโหมดไร้อารมณ์ “ตัวฉันและการบาดเจ็บ” เมื่อคุณได้สบตากับใครสักคน เมื่อคุณรู้สึกว่างานกำลังดูดพลังงานไปจากคุณ…
-
เคสอันแปลกประหลาดของครอบครัวอิตาลี ‘ไม่รับรู้ความเจ็บปวด’ กับการไขความจริงของนักวิทย์ฯ
หลายคนอาจคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย แต่ครอบครัวนี้กลับมีสิ่งที่เรียกว่าใกล้เคียงกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้นั้นมากจริงๆ นี่คือครอบครัวของ Letizia Marsili คุณแม่ชาวอิตาลีวัย 52 ปี ผู้ที่รับรู้ความเจ็บปวดไม่เหมือนคนทั่วไป เพราะเธอแทบจะไม่รู้จักกับคำว่าเจ็บเลยแม้แต่น้อย จนกลายเป็นที่มาของความผิดปกติที่ชื่อว่า The Marsili Syndrome Letizia หญิงสาวที่แทบจะไม่รู้จักกับคำว่าเจ็บมาก่อนเลย เธอเล่าว่า เธอและสมาชิกอีก 5 คนที่เป็นเหมือนกันจะแทบไม่รู้สึกถึงอาการเจ็บกับร่างกายใดๆ เลย ต่อให้กระดูกหัก มีดบาด โดนไฟไหม้ พวกเธอจะรู้สึกเจ็บแค่ไม่กี่วินาที แล้วความเจ็บนั้นจะหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างเช่นลูกชายของเธอ Ludovico วัย 24 ปี ที่แม้จะได้รับอาการบาดเจ็บจากการเล่นฟุตบอลมากขนาดไหน แต่เขาก็สามารถลุกขึ้นมาวิ่งต่อได้ด้วยสีหน้าปกติ ซึ่งหากเอ็กซเรย์ดูจะพบว่าแท้จริงแล้วร่างกายของเขาได้รับการบาดเจ็บหลายจุดเลย Bernardo ลูกชายคนสุดท้องวัย 21 ปี ในตอนที่เขาปั่นจักรยานล้มจนกระดูกข้อศอกแตก เขาก็ยังลุกขึ้นมาปั่นต่อไปได้ไกลถึง 14 กิโลเมตร ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และหมอก็เพิ่งมาพบว่าเขามีอาการบาดเจ็บก็ตอนที่กระดูกเริ่มฟื้นฟูตัวเอง Maria Elena พี่สาวของเธอก็มักจะถูกกาแฟร้อนลวกปากอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร แม้แต่ตัว Letizia เองก็รับรู้ถึงอาการบาดเจ็บของตัวเองได้ยากมาก…
-
ไขความลับกับ “ความรู้สึก” ของสัตว์ต่างๆ ว่าพวกมันจะมีความรู้สึกและอารมณ์ใดกันบ้าง
ความรู้สึกของคนเรานั้นมีมากมายหลายอย่างทั้ง ดีใจ เสียใจ ภูมิใจ เศร้า เหงา และอีกหลายๆ อารมณ์ แต่เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่าสัตว์ต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเราพวกมันมีความรู้สึกกันบ้างไหมนะ?? ใครหลายคนอาจจะคิดว่าสัตว์ต่างๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนกันหากดูจาก บุคลิกที่แตกต่างกันของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเรื่องนี้ก็มีการถกเถียงกันมาหลายทศวรรษด้วยคำถามที่ว่า กิริยาท่าทางต่างๆ ที่สัตว์แสดงออกมามันออกมาจากความรู้สึกภายในของมันใช่หรือไม่ ทดสอบเรื่องของแพะๆ ในศตวรรษที่ 17 ได้มีนักปรัชญาชื่อว่า René Descartes ศึกษาเกี่ยวกับประเด็นความรู้สึกของสัตว์ และได้ออกมายืนยันว่าสัตว์ทั้งหลายต่างไม่มีความรู้สึกอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกทางด้านกายภาพอย่างการเจ็บ การปวด หรือความรู้สึกภายในอย่าง ความเศร้าเสียใจ ดีใจ ความรู้สึกเช่นนี้จะมีแต่ในตัวมนุษย์เท่านั้น แต่การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ได้แสดงให้เห็นว่าความเชื่อเหล่านั้นเป็นความเชื่อที่ผิด โดยพวกเขาใช้แพะซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในการทดลอง การทดลองต่างๆ แสดงให้เห็นว่าแพะนั้นสามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างหลากหลายในสถานการณ์ที่กำหนดให้ วิธีการทดลองก็คือ นักวิจัยจะลองเรียกแพะเข้ามาใกล้ๆ และมันก็เข้ามาหานักวิจัยจริงๆ เพราะว่าพวกมันหวังว่าจะได้อาหารเหมือนที่เคยได้ แต่เมื่อไม่มีรางวัลให้แก่มันแล้ว มันก็ดูเศร้าๆ และผิดหวังเล็กน้อย ซึ่งนอกจากการดูอารมณ์ของมันแล้ว นักวิจัยยังได้ศึกษาเรื่องภาษากายของแพะ การวัดอัตราการเต้นของหัวใจเพื่อเปรียบเทียบกับอารมณ์ในตอนที่เรียกมันเข้ามาหา นอกจากนี้พวกเขายังใช้ความถี่ของเสียงในการวิเคราะห์ด้วย การทดลองความรู้สึกของม้า นอกจากแพะแล้ว ม้าก็เป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่มีอารมณ์หลากหลาย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะว่าม้าเป็นสัตว์ที่ชอบเข้าสังคมอยู่แล้ว โดยพวกมันมักจะมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับตัวอื่นๆ ในฝูง…
-
วิทยาศาสตร์แห่ง ‘ความกลัว’ ที่บ่งบอกว่าความรู้สึกนี้มันดีต่อสุขภาพของคุณ
ทุกๆ คนมีความกลัวแตกต่างกันไปและเรามักจะคิดว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นมานี้ไม่ได้มีผลดีกับตัวเราเลย มันเหมือนกับทำให้เสียสุขภาพจิตอยู่เสมอเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรากลัว แต่ความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาบอกว่าความกลัวมันก็ดีต่อสุขภาพเราอยู่เหมือนกัน วันนี้ #เหมียวตะปู จึงชวนให้เพื่อนๆ มาเข้าใจเกี่ยวกับ 6 เหตุผลที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าความกลัวมันส่งผลให้กับสุขภาพของเราในทางที่ดียังไง มีอะไรบ้างเราไปดูกันเลย 1. ปลดปล่อยความกลัวของคุณออกมา ความรู้สึกกลัวเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่แรกไม่ต่างกับความเศร้า ความสุข หรือความโกรธ ซึ่งนักจิตวิทยาที่ชื่อ Steve Orma บอกว่า ”การมีความรู้สึกกลัวก็คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เรามีชีวิตรอดต่อไปได้” เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีที่เราจะมีความรู้สึกแบบนี้ 2. ความกลัวทำให้เรารับรู้ถึงอันตราย ความรู้สึกในลักษณะนี้จะส่งผลไปถึงร่างกายของเราในรูปแบบที่เรียกว่า “การตอบสนองแบบสู้หรือหนี” ซึ่งหากเราขาดความกลัวไป เราก็จะไม่สนใจกับอันตรายที่เข้ามาหาและร่างกายเราก็จะไม่ตอบสนองต่อสิ่งนั้นๆ ยกตัวอย่างเวลาที่มีรถวิ่งเข้ามาหาเราด้วยความเร็ว ความกลัวจะทำให้ร่างกายเราตอบสนองและสามารถโดดหลบออกมาได้ในเสี้ยววินาที เราจึงควรต้องขอบคุณมันที่ทำให้เรารอดจากอันตรายมาได้ในหลายๆ ครั้ง 3. ความกลัวคือการเติมเต็มชีวิต เวลาที่เรากลัวเราก็อาจจะหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นไปหรืออาจจะเผชิญหน้าและก้าวผ่านมันไปได้ ซึ่งหากเป็นแบบนั้นก็เท่ากับว่าเราได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่ให้กับชีวิตของเราเอง เหมือนเวลาที่เรากลัวการบินอยู่บนท้องฟ้า แต่วันหนึ่งเราสามารถก้าวขึ้นเครื่องบินได้เป็นครั้งแรก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือเราสามารถออกไปเที่ยวเจอสิ่งใหม่ๆ ได้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น รวมถึงความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเราประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ก้าวผ่านความกลัวของตัวเองไปได้ 4. เป็นประโยชน์ต่อหน้าที่การงาน อย่างคำพูดที่ว่า “กลัวงานไม่เสร็จ” หรือ…
-
เจ้านายเหมียวจะคิดถึงเหล่าทาสอย่างเรามั้ยเวลาที่เราไม่อยู่บ้าน? คำตอบนั้นอยู่ที่นี่แล้ว
เหล่าทาสแมวทั้งหลายอาจเคยสงสัยว่าเจ้านายเหมียวของเรานั้นรู้สึกอย่างไรกับเรา ยิ่งเวลาที่เราต้องออกจากบ้านหรือห่างมันไปนานๆ แล้วมันคิดถึงเรามากเหมือนกับที่เราคิดถึงมันหรือเปล่านะ? ด้วยคำถามนี้จึงได้มีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับความรู้สึกของน้องเหมียวออกมาหาคำตอบกัน ดอกเตอร์ Elizabeth Stelow คือหัวหน้าทีมผู้ศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ในมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และเป็นผู้ที่มาให้คำตอบกับคำถามที่ว่านั้นกัน โดยเธอได้พูดถึงข้อสังเกตที่ทำให้เราพอจะทราบได้ว่าเจ้าเหมียวคิดถึงเราหรือเปล่า? ข้อสงสัยนี่เป็นสิ่งที่ยังคงมีการถกเถียงอยู่ในปัจจุบันเกี่ยวกับความรู้สึกของน้องแมว Elizabeth เล่าว่าได้มีการศึกษาหนึ่งพูดถึงข้อสังเกตง่ายๆ ว่าแมวรู้สึกหดหู่หรือเป็นกังวลอยู่หรือเปล่า โดยถ้าพวกมันรู้สึกอย่างนั้น ส่วนใหญ่ก็จะฉี่นอกกระบะทรายหรืออาจมีพฤติกรรมทำลายข้าวของ นั่นคือถ้าเรากลับบ้านไปแล้วเห็นรอยฉี่ของน้องเหมียวตามพื้นบ้านหรือมีของเสียหายไปบ้าง นั่นอาจหมายความว่ามันรู้สึกหดหู่ในตอนที่เราหายไปก็เป็นได้ อย่างการพังโน่นพังนี่ก็อาจเป็นการแก้แค้นเราที่ทิ้งมันไว้อยู่บ้านคนเดียว แต่อีกการศึกษาหนึ่งที่เธอพูดถึงกลับแสดงให้เห็นว่าแมวไม่ได้มีความผูกพันกับเจ้าของ เพราะว่าพวกมันมีท่าทีตอบสนองกับทั้งเจ้าของและคนแปลกหน้าเหมือนๆ กันหมด แม้ว่าการศึกษาทั้งสองงานขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัด แต่ Elizabeth ก็ได้บอกว่าความเป็นจริงเราสามารถรู้ได้เลยว่าเจ้าเหมียวนั้นให้ความสนิทสนมกับแต่ละคนไม่เหมือนกันจริงๆ อย่างเช่นเรามีแมวบ้านอยู่ 3 ตัวก็ไม่จำเป็นที่เจ้าเหมียวทั้งหมดนั้นจะต้องสนิทกับเราทุกตัวก็ได้หรอกนะ และถ้าหากคุณรู้สึกว่าตัวเองมีความผูกพันกับมันขึ้นมาเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่ามันก็คิดเหมือนกับคุณเช่นเดียวกัน สังเกตได้จากพฤติกรรมชอบเดินเข้ามาในห้องน้ำที่เรากำลังปลดทุกข์อยู่ หรือไม่ก็ขึ้นมานอนด้วยกันบนเตียงอะไรแบบนี้ ทำขนาดนี้แล้วถ้าคุณยังคิดว่ามันไม่รักเราจริงๆ ก็แปลกแล้วล่ะจริงมั้ย อย่างไรก็ตามการจะวัดความรู้สึกหรืออารมณ์ที่แท้จริงของเจ้าเหมียวนั้นก็เป็นไปได้ยากมาก เพราะมันพูดภาษาคนไม่ได้และก็ไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนน้องหมาที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าต้องการอะไร หรือรู้สึกประมาณไหนกับเรา ทั้งหมดนี้จึงเป็นข้อสังเกตที่สามารถใช้ได้จริงในระดับหนึ่ง แต่ถึงแม้เราจะไม่รู้ใจมันทั้งหมดแต่เราก็ต้องอย่าลืมที่จะแสดงความรักให้กับมันด้วยนะ เพราะถึงอย่างไรเราก็ได้ตกไปเป็นทาสของมันแล้วนี่นาจริงมั้ย ที่มา: thedodo
-
16 ภาพที่บ่งบอกถึงความรู้สึกสุดฮา มันช่างเป็นอะไรที่อธิบายไม่ถูกจริงๆ
คงจะดีหากว่ามนุษย์สามารถบ่งบอกความรู้สึกของตัวเองได้ทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรออกมา เพียงแค่แสดงอาการทางสีหน้าแล้วก็สามารถเข้าใจกันได้เป็นอย่างดี ในแต่ละสถานการณ์ในชีวิตประจำวันที่เราต้องเจอ บางทีเราก็ไม่สามารถบรรยายได้ทุกอย่าง มีเพียงแค่บางสิ่งบางอย่างเท่านั้นที่สามารถบรรยายความรู้สึกของคุณได้เป็นอย่างดี อย่างเช่นรูปภาพเหล่านี้ 1. นี่คือความรู้สึกของคุณเมื่อคุณสามารถเปิดฝาขวดได้ ขณะที่คนอื่นทำไม่ได้ 2. เมื่อคุณฝืนสังขารมาเรียน ทั้งๆที่ยังป่วยอยู่ 3. เมื่อแม่ซื้อหมวกใบใหม่มาให้แล้วบอกว่าคุณดูเหมาะกับหมวกใบนี้นะ 4. เมื่อคุณตื่นมาตอนเช้า สิ่งที่คุณคิด VS สิ่งที่เป็นจริง 5. เมื่อบอกให้แม่เลือกชุดไปปาร์ตี้ให้ 6. เมื่อแฟนของคุณเรียกคุณว่า เจ้าเสือ 7. เมื่อคุณเจอเพื่อนขับรถสวนกันกลางถนน 8. เมื่อคุณเถียงกับเพื่อน และไม่ว่ายังไงคุณก็เป็นฝ่ายถูก 9. เมื่อสุดที่รักของคุณชมว่าคุณสวย 10. เมื่อคุณไม่มีอะไรจะพูดและปล่อยให้ทุกสิ่งอยู่ในความเงียบ 11. เมื่อแฟนของคุณจุ๊บคุณต่อหน้าพ่อของเธอ 12. เมื่อคุณแฟนคุณงอน แต่คุณไม่รู้ว่าเธองอนเรื่องอะไร 13. เมื่ออ่อยใครแล้วเขาไม่สนใจ 14. เฟรนด์โซน……
-
คุณแม่มีปัญหา “นมโตไม่หยุด” จนต้องหาทางรักษา เพราะมันทำชีวิตลำบากเหลือเกิน!!
สาวๆ หลายคนอาจจะไม่พอใจที่ตัวเองเกิดมามีขนาดหน้าอกเล็ก นั่นจึงทำให้พวกเธอต้องหาวิธีที่จะเพิ่มขนาดด้วยการทำศัลยกรรมอัพไซส์ จากคัพ A ให้กลายเป็นคัพ D เอาแบบที่ว่าวางระเบิดลงตู้มมมมเดียวจอด!! แต่สำหรับ Sheridan Larkman คุณแม่วัย 23 ปี จาก Trafalgar ในรัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลียคนนี้ เธอกลับรู้สึกไม่พอใจขนาดหน้าอกคัพ K ของตัวเอง จนต้องไปหาทางในการรักษา เนื่องจากมันส่งผลให้เธอใช้ชีวิตลำบากนั่นเอง . วันที่ 27 ตุลาคม 2560 สำนักข่าวเดลีเมล์ได้เผยว่า หน้าอกของ Sheridan ได้เริ่มขยายใหญ่ขึ้นเมื่อตอนที่เธออายุเพียงแค่ 8 ขวบ และพออายุได้ 10 ขวบหน้าอกก็ขยายใหญ่ขึ้นอีก (ซึ่งหากเทียบเป็นไซส์หน้าอกก็จะอยู่ที่ประมาณคัพ D) ที่สำคัญดูเหมือนว่ามันจะไม่หยุดเพียงเท่านั้น เพราะหน้าอกเจ้ากรรมดันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นทำให้ Sheridan แทบจะไม่สามารถหาชุดชั้นในที่พอดีกับขนาดหน้าอกมาใส่ได้เลย ทางด้าน Sheridan ได้ออกมาเผยว่า เธออยากจะวิ่งเล่นกับลูกๆ โดยที่ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดและไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้อีกต่อไปแล้ว ซึ่งตอนนี้เธอกำลังวางแผนที่จะบินไปต่างประเทศ เพื่อเข้ารับการผ่าตัดลดขนาดหน้าอก…
-
นักชีววิทยาเผย พืชสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวมันเอง แต่ไม่อาจรู้สึกเจ็บปวดได้
เมื่อเร็วๆ นี้ทางศาสตราจารย์ Daniel Chamovitz นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัย Tel Aviv University ประเทศอิสราเอลผู้แต่งหนังสือ What a Plant Knows ได้ออกมาเปิดเผยว่าอันที่จริงแล้วพวกต้นไม้ใบหญ้าเองนั้นก็มีความรู้สึกเหมือนกันนะเออ!! โดยศาสตราจารย์ Chamovitz ได้เปิดเผยว่า จริงๆ แล้วพืชนั้นมีความรู้สึก แต่อย่างไรก็ตามความรู้สึกของพวกมันนั้นเป็นเพียงแค่การรับรู้และไม่มีอะไรที่ซับซ้อนเหมือนกับมนุษย์ “พวกไมยราบและว่านกราบหอยแครงนั้น มีอวัยวะพิเศษที่เรียกว่า pulvinus ที่จะทำหน้าที่ตอบสนองต่อการสัมผัส ซึ่งพืชชนิดอื่นๆ นั้นจะไม่มีอวัยวะที่ว่านี้” นักชีววิทยากล่าว แต่นอกจากพืชทั้งสองชนิดแล้ว ศาสตรจารย์ Chamovitz ยังได้กล่าวว่าพืชชนิดอื่นๆ ก็มีการรับรู้ได้ด้วยเช่นกัน โดยเขาได้อธิบายว่า เมื่อมีแมลงหรือศัตรูพืชที่พยายามจะกัดกินใบของพืชนั้น พวกมันจะรับรู้ได้ว่ากำลังมีบางอย่างที่ทำร้ายมันอยู่และจะส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและเริ่มสร้างกลไกลขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามพืชนั้นไม่ได้มีระบบประสาทเหมือนกับมนุษย์ และพวกมันก็ไม่มีโนซิเซ็ปเตอร์ หรือเซลล์ประสาทรับความรู้สึกที่จะตอบสนองต่อความเสียหายและแสดงความรู้สึกเจ็บปวดออกมาเหมือนกับมนุษย์ นั่นหมายความว่าเวลาที่เราตัดกิ่งต้นไม้พวกมันจะไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่พวกมันสามารถรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่!! ถึงแม้ว่าจะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด แต่อย่างไรก็ตามพวกมันยังคงมีวิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอด ซึ่งเป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั่วๆ ไป “สิ่งมีชีวิตทุกชนิดพยายามที่จะดำรงเผาพันธุ์ให้อยู่รอดให้ได้ ไม่ว่าพวกมันจะรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่ก็ตาม เหมือนกับต้นไม้ที่อยู่บนยอดเขาก็จะมีกิ่งก้านและใบที่น้อยกว่าต้นไม้ต้นอื่นๆ เพื่อลดแรงต้านของลงนั่นเอง” ศาสตราจารย์ Chamovitz กล่าว ที่มา vice
-
ทำไมการได้ยินคำว่า ‘ใจเย็น’ ยิ่งทำให้คุณรู้สึกโมโหมากขึ้น ในระหว่างการพูดคุยโต้เถียงกัน
เวลาที่เราโต้เถียงหรือพูดคุยด้วยอารมณ์ที่โกรธอยู่หลายคนต้องเคยได้ยินคำว่า “ใจเย็นๆ ก่อน” อย่างแน่นอน แต่ทำไมคำพูดที่เหมือนจะทำให้เราดีขึ้นมันถึงกลับทำให้รู้สึกแย่ยิ่งกว่าเก่าละ? นักจิตวิทยาคลินิกที่ชื่อ Amanda Tadrous ได้ทำการอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุและแนวทางแก้ไขของเรื่องนี้เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอได้อธิบายว่าสาเหตุที่ทำให้คำว่า “ใจเย็น” ทำให้เรามีความรู้สึกในด้านลบมากกว่าเดิมก็เพราะว่า การที่มีคนมาพูดอย่างนั้นมันเหมือนกับว่าเขาคนนั้นไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องที่เราเป็นอยู่หรือเล่าให้ฟัง การที่คนฟังเมินเฉยต่อเรื่องที่เรากำลังพูดหรือเล่าให้ฟังหลายคนจะต้องเจอกับสถานการณ์เหล่านี้มาก่อนตั้งแต่เด็ก เช่น เรานำเรื่องไม่สบายใจในตอนนั้นไปเล่าให้ผู้ปกครองฟัง แต่พวกเขากลับมองว่ามันเป็นเรื่องเด็กๆ และมีท่าทีไม่สนใจกับเรื่องของเราซะอย่างนั้น ดังนั้นคำว่า “ใจเย็นก่อน” ก็จะเหมือนกับปล่อยเรื่องของเราไปโดยที่ไม่ได้สนใจ ปฏิเสธที่จะรับฟังและทำให้เรามีความรู้สึกเหมือนกับที่เคยเป็นในครั้งอดีตจนทำให้ยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม โดยเฉพาะหากใครที่มีประสบการณ์แย่ๆ ต่อการถูกมองข้ามแบบหนักหน่วงด้วยแล้วจะยิ่งทำให้สิ่งนั้นย้อนกลับมาและเราก็จะมีอารมณ์ฉุนเฉียวมากยิ่งขึ้น การแก้ไขคือหากได้ยินคำๆ นี้เมื่อไหร่เราก็ควรพูดกับคนที่เราคุยด้วยอยู่ตรงๆ ว่า “การได้ยินคำนี้มันยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่มากกว่าเดิม” เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและหาวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ แน่นอนว่าแต่ละคนย่อมมีวิธีการปรับและวิธีที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแตกต่างกัน เช่น เลิกคุยแล้วรอให้อารมณ์สงบก่อน ในตอนที่ถอยออกมาเราก็สามารถมองหาสิ่งอื่นรอบตัวที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นก่อนที่กลับไปพูดคุยกันใหม่อีกครั้ง แต่หากว่าผู้ฟังหรือคู่กรณีของเรายังไม่สนใจกับสิ่งที่เราพูด และตอบมาแต่คำว่า “ใจเย็นๆ ก่อนนะ” หรือ “สงบสติอารมณ์ก่อน” บางทีการหันไปพูดคุยกับคนอื่นแทนก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะพูดแบบนั้น ก็เปลี่ยนมาเป็นการใส่ใจรับฟังและโต้ตอบดีกว่า เพราะคงไม่มีใครชอบเวลาต้องถูกเมินเฉยในเรื่องที่เราต้องการพูดด้วยหรอก ที่มา: metro
-
สาวเปิดเผยถึงโรคย้ำคิดย้ำทำของตัวเอง เป็นหนักซะจนต้องสระผมถึง 72 ครั้งภายในวันเดียว!!
หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ โรคย้ำคิดย้ำทำ กันมาก่อน โดยโรคดังกล่าวเป็นอาการทางจิตของผู้ป่วยที่ชอบทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำๆ มากจนเกินไป แต่ในความเป็นจริงเราจะไม่ค่อยได้พบเห็นผู้ที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าวนี้จริงๆ และคนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยรู้ว่าทำไมพวกเขาจึงมีอาการเช่นนั้น จนเมื่อ Serin Rayer Davies วัย 23 ปีผู้ที่มีอาการของโรคนี้ขั้นรุนแรงได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการทีวีประเทศอังกฤษ ชื่อว่า This Morning เพื่อเล่าถึงประสบการณ์ที่เธอต้องเจอมาตลอด หญิงสาวผู้ป่วยเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำขั้นรุนแรง อาการของโรคเริ่มต้นขึ้นเมื่อตอนเธออายุได้เพียง 7 ขวบ เธอใช้เวลานานมากกว่าจะออกจากบ้านไปโรงเรียนเพราะเธอมีความคิดขึ้นมาว่าพ่อแม่เธอจะตาย ทำให้เธอเปิดเข้าเปิดออกประตูบ้านเพื่อเช็คดูอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ กระทั่งในตอนนั้น Deny พ่อของเธอก็เข้ามาช่วยอธิบายให้ฟังว่าสิ่งเหล่านั้นมันจะไม่เกิดขึ้นจนอาการเหล่านั้นหายไป ก่อนที่จะกลับมาเป็นอีกครั้งในตอนที่เธออายุ 18 ปี เธอบอกว่า “อาการเหล่านั้นเกิดขึ้นจากความเครียด บางคนที่มีความวิตกกังวลอยู่ก่อนแล้วหากต้องไปเจอเรื่องเครียดหรือเรื่องแย่ๆ ผลลัพธ์ที่ได้คือจะต้องพยายามรับมือกับมันอยู่ตลอดเวลา” พ่อของเธอผู้คอยอยู่เคียงข้างเธอมาตลอด หลังจากนั้นเธอก็มีอาการของโรคที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอต้องซักผ้าวนไปมาอยู่ถึง 15 ครั้งหรือสระผมตัวเองมากถึง 72 ครั้งภายในวันเดียว เพราะเธอคิดว่าสิ่งรอบตัวมันไม่สะอาดและเต็มไปด้วยเชื้อโรคซึ่งเกิดจากจินตนาการของเธอเองทั้งหมด และทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างยากลำบาก การแต่งงานกับชายในฝัน อย่างไรก็ตามตอนนี้เธอได้เข้ารับการรักษาอาการดังกล่าวทำให้เธอสามารถใช้ชีวิตได้ดียิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังได้แต่งงานกับชายในฝันของเธออีกด้วย และถึงแม้ว่าสามีของเธอจะช่วยอะไรเธอไม่ได้เลยแต่อย่างน้อยเขาก็ยอมรับและคอยดูแล จัดการเรื่องต่างๆ เพื่อให้เธอมีอาการของโรคแสดงออกมาน้อยที่สุด…
-
13 ภาพการ์ตูนบอกเล่าชีวิตคนเลี้ยงหมาแมว ที่จะเข้าถึงหัวอกหัวใจได้เป็นอย่างดี
จะว่าไปชีวิตของคนเลี้ยงสัตว์อย่างหมาแมวนี่มันช่างมีรสชาติจริงๆ เพราะคุณจะได้พบกับความสุข ความวุ่นวาย บางครั้งพวกมันก็สร้างปัญหาให้เราได้กุมขมับอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างไรสุดท้ายก็ต้องยอมให้อภัยลูกรักของเราอยู่ดี และนี่คือ 13 ภาพวาดการ์ตูนน่ารักๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์จริงของคนเลี้ยงสัตว์ บอกเลยว่ายิ่งดูก็ยิ่งตรงกับชีวิตซะเหลือเกิน ต้องเสียสละพื้นที่ส่วนตัวให้พวกมัน โทรศัพท์ก็เต็มไปด้วยรูปของสัตว์เลี้ยงแสนรัก ชอบพับหูของมันไปข้างหลัง บางครั้งก็ให้ใส่แว่นตา เวลาหาวนี่แหละน่าแกล้งที่สุด รู้สึกอิจฉาที่มันชอบคนอื่นมากกว่าเรา เมื่อมันเจ็บ เราเจ็บยิ่งกว่า ถึงจะปากเหม็น แต่เราก็ทนได้ สัตว์เลี้ยงนี่แหละที่เป็นหมอนดีๆ ของเรา ถ้าพวกมันทำอะไรแปลกๆ เราต้องเรียกคนทั้งบ้านมาดู ชอบพาไปส่องกระจกทู๊กกกที ทำเป็นแกล้งเจ็บเพื่อดูว่าสัตว์เลี้ยงสุดรักจะเป็นห่วงเราไหมน้า แกล้งพวกมันด้วยความหมั่นไส้ ที่มา : brightside
-
ครอบครัวส่งต่อ “ชุดโรงเรียนอนุบาล” ที่ถูกใส่ตั้งแต่ยุค 1950 มาจนถึงรุ่นลูกหลานในปัจจุบัน
“เสื้อผ้า” ถือเป็นอีกหนึ่งสีสันแห่งความสุข ที่นอกจากจะมีความสวยงามแล้ว ในบางครั้งก็เต็มไปด้วยความหมายและความรู้สึกดีๆ มากมายได้เช่นกัน การที่คนรักได้เลือกเสื้อผ้าสวยๆ ให้กับเรา หรือการส่งต่อเสื้อผ้าให้กับคนในครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น ก็ถือเป็นการสร้างสตอรี่ดีๆ ที่อบอวลไปด้วยความรัก และความทรงจำเก่าๆ ที่ไม่เคยจางหาย สำหรับการเปิดเทอมวันแรก พ่อแม่ส่วนใหญ่อาจจะมองหาเครื่องแต่งกายที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้แก่ลูกๆ ของพวกเขา แต่สำหรับ Jenny Hirt แล้ว เธอกลับไม่ทำเช่นนั้น เพราะเมื่อ Caroline ลูกสาววัย 4 ขวบของเธอได้เข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลเป็นวันแรก เธอจึงเลือกที่จะให้ลูกสวมใส่ชุดเดรสสีเหลืองที่ประดับด้วยลวดลายสีม่วงแสนน่ารักชุดนี้… สำหรับชุดดังกล่าวบอกเลยว่าไม่ใช่ชุดเดรสธรรมดาๆ ทั่วไป แต่มันเป็นชุดที่ถูกส่งต่อกันมาหลายทศวรรษ จากรุ่นย่า-ยาย มาสู่รุ่นแม่ จนถึงรุ่นหลาน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว Jenny ก็เคยใส่ชุดนี้มาแล้วเช่นกันในวันแรกของการเรียน ครอบครัวของ Jenny ได้สวมใส่ชุดเดรสสีเหลืองชุดนี้มาแล้วกว่า 3 ชั่วอายุคน และ Caroline ก็เป็นคนที่ 18 ที่ได้สวมชุดนี้ ขณะที่ Ally วัย 6 ปี ซึ่งเป็นพี่สาวได้สวมชุดนี้เป็นคนที่ 17…
-
คุณปู่อดีตทหารวัย 94 ผู้รอดชีวิตจากสมรภูมิ Dunkirk เล่าถึงความรู้สึกสุดเศร้า หลังได้ดูหนังเรื่องนี้!!
หลังจากที่หนังเรื่อง Dunkirk ได้เข้าฉายในบ้านเรากันไปแล้ว ก็มีกระแสตอบรับมากมายกลับมา ซึ่งส่วนใหญ่ก็ให้คะแนนรีวิวที่ดีมากๆ เลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นสื่อไทยหรือสื่อนอก แน่นอนว่าเราที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ก็จะให้ความรู้สึกเหมือนกับได้ไปอยู่ในสมรภูมิแห่งนั้นจริงๆ และเราก็รู้ว่า Dunkirk เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่จะเป็นยังไงถ้าให้นายทหารที่ผ่านสมรภูมิดังกล่าวในชีวิตจริง มาดูหนังเรื่องนี้บ้าง? Ken Sturdy นายทหารวัย 94 ปี ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ใน Dunkirk ก็ได้เดินทางมาเพื่อชมหนังเรื่องนี้เช่นกัน ในตอนนั้นคุณปู่ Ken ยังเป็นเพียงหนุ่มในช่วงวัยยี่สิบต้นๆ เท่านั้น และยังเป็นทหารสังกัด Royal Navy ของอังกฤษ หลังจากที่ดูจบเขาถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่รู้ตัวพร้อมกับเล่าถึงความรู้สึกของตัวเองออกมา “หลังจากที่ผมดู ผมรู้สึกเหมือนได้ดูเพื่อนเก่าของผมอีกครั้ง ส่วนใหญ่ก็ตายในสงคราม ซึ่งระหว่างที่ผมเดินทางไปที่ แอตแลนตกเหนือเพื่อลำเลียงกำลังพลกลับ ผมก็สูญเสียสหายร่วมรบไปมากมายเลยทีเดียว” “ผมไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นเหตุการณ์ที่เคยประสบอีกครั้ง มันทำให้ผมรู้สึกว่าได้กลับไปอยู่ตรงจุดๆ นั้น” ไม่หมดเท่านั้นคุณปู่ยังปิดท้ายอีกว่า “ผมร้องไห้กับเรื่องราวในครั้งนี้เพราะ สงครามของมนุษย์ไม่เคยจบสิ้น มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาด พวกเราสามารถจะท่องอวกาศ สามารถจะบินไปดวงจันทร์ได้ พวกเราทำอะไรได้มากมาย แต่ท้ายที่สุดมนุษย์ก็ยังทำเรื่องโง่ๆ อย่างเช่น “สงคราม” อยู่ดี” …
-
นักวิทย์ฯเผยความรู้สึกของสุนัข เมื่อเห็นเจ้านายที่เป็นคู่รัก ได้เลิกราจากกันไป….
จะว่าไปแล้วเรื่องของความรัก บางทีก็เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้เหมือนกัน ช่วงที่ยังรักกันหวานแหววหลายคู่ก็เลือกที่จะรับสุนัขมาเลี้ยง เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจพยานรักของทั้งคู่ แต่ทว่าวันหนึ่งถ้าคนสองคนมีเหตุจำเป็นต้องเลิกรากันไป แน่นอนว่าต้องมีฝ่ายหนึ่งต้องเดินออกจากประตูบ้านหลังนั้นไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา แล้วสิ่งที่สุนัขผู้เป็นตัวกลางของความรักละ ลึกๆ แล้วพวกมันจะรู้อย่างไรบ้างนะ? Angie Johnson หนึ่งในทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเยล ได้ศึกษาและค้นพบแล้วว่า หลังจากที่คู่รักเลิกรากันไปสุนัขส่วนใหญ่มักจะเกิดอาการสับสน งุนงง และบางตัวก็อาจจะมีนิสัยขี้โมโหมากยิ่งขึ้น ‘เพราะสุนัขเป็นสัตว์สังคมที่ผูกพันธ์กับมนุษย์มากที่สุด เมื่อคู่รักต้องแยกทางกัน พวกมันอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอกับเจ้านายคนนั้นๆ อีก พวกมันจะรู้สึกได้ถึงกลิ่น บรรยากาศ และความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปของคนในบ้าน’ Angie กล่าว นอกจากนั้นทีมวิจัยยังได้ค้นพบเพิ่มเติมอีกว่า ความสัมพันธ์ที่ต้องจบลงของคนสองคน ทำให้พวกมันรู้สึกกังวล สับสน และบางตัวอาจจะรู้สึกเศร้าใจ เพราะพวกมันรู้ว่าตัวเองอาจจะไม่ได้พบเจ้านายคนนั้นอีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกันด้วยความที่มันเป็นสัตว์สังคม Julie Hecht ก็ได้ค้นพบว่า สิ่งที่พวกมันจะสนใจ และรู้สึกเป็นห่วงมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ของคนสองคน แต่เป็นความรู้สึกของเจ้านายที่ยังอยู่เคียงข้างมัน ซึ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกมันก็พร้อมจะอยู่เป็นเพื่อนซี้เคียงข้างเราเสมอ สรุปได้ว่า… ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกมันก็ยังคงรักเราเสมอนั่นแหละ ขอแค่เราไม่ลืมที่จะดูแลมันก็พอ ที่มา: Nymag
-
สัมภาษณ์แนวคิดดีๆ จาก “คุณทากะ” หนุ่มญี่ปุ่นผู้ศรัทธาพุทธศาสนา จึงมาบวชในประเทศไทย
ปกติแล้วในประเทศไทยเราจะได้เห็นว่าพระส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนไทย ส่วนน้อยมากๆ ที่จะมีชาวต่างชาติมาบวชเป็นพระเพื่อศึกษาพระธรรมอย่างจริงจัง #เหมียวเลเซอร์ เองได้มีโอกาสสัมภาษณ์ชาวต่างชาติท่านหนึ่ง อันเป็นผู้ศรัทธาพระพุทธศาสนาและรักประเทศไทยมากๆ คนหนึ่ง เขาก็คือ คุณทากะ จากเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นท่านนี้นั่นเอง คุณทากะ เพิ่งจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของการเป็นพระในประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันลาสิกขาและกลับภูมิลำเนาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เราจะมาเรียนรู้มุมมองของชาวต่างชาติต่อการบวชเป็นพระในไทยกันสักหน่อย ว่าเขาจะมีความคิดและความรู้สึกอย่างไรบ้างกับการบวชในครั้งนั้น (บทสัมภาษณ์ดังกล่าวได้รับการอนุญาตให้เผยแพร่แล้ว) ก่อนอื่นเลยต้องกล่าวถึงคุณทากะสักนิดหน่อย เขาเป็นชาวญี่ปุ่นจากเมืองโอซาก้า เลือกเรียนเอกภาษาไทยจากมหาวิทยาลัยโอซาก้า อันเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินทางมาประเทศไทยของเขา เหมียวเลเซอร์: สวัสดีครับ #เหมียวเลเซอร์ จากเว็บไซต์แคทดั๊มบ์ ตามที่คุยไว้ว่าอยากจะนำเรื่องราวและแนวคิดของคุณทากะ ไปเผยแพร่ลงในเว็บไซต์ของเราครับ คุณทากะ: สวัสดีครับ ผมชื่อทากะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ เหมียวเลเซอร์: ยินดีที่รู้จักครับ ขออนุญาตคุณทากะ ช่วยแนะนำตัวให้ฟังหน่อยจะได้มั้ยครับผม คุณทากะ: ได้ครับ บ้านเกิดอยู่โอซาก้าใกล้ๆ สนามบินคันไซครับ ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยผมเริ่มเรียนภาษาไทยเป็นวิชาเอกที่มหาวิทยาลัยโอซาก้าครับ เหมียวเลเซอร์: โอ้ ตั้งใจเรียนภาษาไทยมาเลยเหรอครับ คุณทากะ: จริงๆ แล้ว ตอนแรกไม่ได้สนใจเรียนภาษาไทยครับ เเต่ผมเลือกภาษาไทยก็เพราะว่าคะแนนสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยไม่ดี คิดว่าการเรียนเอกภาษาไทยคงมีอัตราแข่งขันต่ำกว่าภาษาอื่นๆ ก็เลยสมัครไปครับ …
-
และนี่คือภาพเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงปี 2016 เหมือนเพิ่งผ่านมาไม่นาน
เมื่อช่วงปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ซึ่งหลายๆ เหตุการณ์ก็ถึงกับทำให้ชาวโลกทั้งโลกต้องหันไปจับตามอง… และในวันนี้เอง #เหมียวหง่าว ก็จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมเรื่องราวที่เกิดขึ้นผ่านภาพถ่ายที่ได้รับรางวัล World Press Photo Contest ทั้ง 25 รางวัล จะมีเหตุการณ์ใดบ้างลองไปชมพร้อมๆ กันที่ข้างล่างได้เลยจ้า… มือปืน Mevlüt Mert Altıntaş ชูนิ้วขึ้นฟ้าพร้อมกับตะโกน หลังจากที่ทำการสังหารเอกอัครราชทูตรัสเซียที่ตุรกี Andrey Karlov ณ ห้องแสดงงานศิลปะในเมือง Ankara Usane Bolt นักวิ่งลมกรดจากจาไมก้า กำลังยิ้มพร้อมกับหันไปมองเหล่าคู่แข่งที่วิ่งกวดมาข้างหลัง ในการแข่งขันวิ่ง 100 เมตรชาย รอบรองชนะเลิศโอลิมปิค ที่กรุง Rio de Janeiro ประเทศบราซิล นักกิจกรรมเพียงคนเดียว Ieshia Evans กำลังยื่นมือออกไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ในฐานะผู้ก่อจลาจลเพราะเธอไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงของตำรวจที่กระทำในเมือง Baton Rouge รัฐ Louisiana เจ้าช้างแอฟริกันที่ยืนอยู่ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสุกสะกาว งานศพของ…
-
หมั่นเขี้ยว!! คลายข้อสงสัยที่ว่า ทำไมคุณถึงเกิดอาการ “อยากบีบ” เวลาดูอะไรน่ารักๆ
คุณเคยรู้สึกอยาก “บีบ” อะไรที่มันน่ารักๆ บ้างไหม? เช่นเห็นแมวน่ารักๆ ก็อยากจะเข้าไปขย้ำ เห็นเด็กทารกก็อยากเข้าไปกอดแรงๆ สักที? อาการเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งผิดปกตินะ และคุณไม่ได้เป็นอยู่คนเดียวแน่ๆ งานวิจัย ในปี 2015 นักจิตวิทยา Oriana Aragon จากมหาวิทยาลัย Yale University ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วพบว่าคนที่มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงกับภาพเด็กน่ารักๆ จะมีการแสดงอารมณ์ความก้าวร้าวอย่างรุนแรงด้วย อย่างเช่นความอยากหยิกแก้มเด็กๆ เหล่านั้น เมื่อพูดถึงการ “หยิก” เมื่อไม่นานมานี้ทีมวิจัยได้มีการศึกษากับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง โดยการจับกลุ่มผู้เข้าร่วมมาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกนั้งดูวิดีโอลูกสัตว์น่ารักๆ ส่วนกลุ่มที่สองดูสัตว์แก่ๆ จากนั้นก็ให้ผู้เข้าร่วมถือแผ่นกันกระแทก (Bubble Wrap) เอาไว้ในมือ ผลปรากฎว่ากลุ่มคนที่ดูวิดีโอลูกสัตว์น่ารักๆ จะบีบแผ่นกันกระแทกมากกว่ากลุ่มคนที่ดูวิดีโอสัตว์แก่ๆ การผลการทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าถ้าพวกเขามีโอกาสที่จะบีบบางสิ่งบางอย่างขณะดูภาพน่ารักๆ ได้ พวกเขาก็จะทำ แต่ก็ไม่ได้หวังจะทำอันตรายให้สิ่งมีชีวิตจริงๆ ข้อดี ข้อเสีย และความน่ารัก แล้วอะไรล่ะที่มันจะสามารถอธิบายแรงกระตุ้นความอยาก “บีบ” สัตว์หรือเด็กน่ารักๆ ได้? Aragon กล่าวว่า…
-
17 งานภาพศิลปะ ทดแทนอารมณ์ ความรู้สึกภายในใจ ที่ไม่สามารถบอกเป็นคำพูดได้…
ตลอดชีวิตของเรามีหลายๆ ครั้งที่เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในจิตใจ บางครั้งอาจเป็นความรู้สึกอึดอัด บางครั้งก็เป็นความเศร้า บางครั้งก็เป็นความสุข แต่สิ่งที่เหมือนกันคือเราไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูด สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยมันไว้ภายในใจจนกระทั่งความรู้สึกเหล่านั้นหายไปเอง ด้วยเหตุนี้ Ahmed Awad ศิลปินวัย 22 ปี จึงวาดภาพเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อบอกเล่าอารมณ์ที่เธอไม่อาจบรรยายด้วยความพูด เราไปชมพร้อมๆ กันเลยดีกว่า อย่าทิ้งฉันไป พื้นที่ส่วนตัว คิดมาก ค่ำคืนที่น่าจดจำ เธอคือยาเสพติดของผม ปัญหาที่ทุกคนต้องเจอ อีกค่ำคืนที่ต้องจดจำ ฉันไม่สน ภาพลวงตา ความโศกเศร้า ฟังเสียงหัวใจ คุกที่เรียกว่าบ้าน โลกนี้ไม่มีอะไรน่าดูซักนิด รอยจูบของหัวใจ ภาพความทรงจำ เล่นกับความรู้สึก ความห่างไกล เป็นภาพที่เต็มไปด้วยอารมณ์จริงๆ เพื่อนๆ ล่ะคิดเหมือนกันรึเปล่า ที่มา…
-
รวม 19 ความรู้สึกที่ “มนุษย์เหล็กดัดฟัน” ต้องเคยประสบพบเจอมาในชีวิต บอกเลยว่าจริงๆ สุดๆ!!
เชื่อว่าสมัยเด็กๆ หลายๆ คนต้องเคยมีความรู้สึกอิจฉาเวลาเห็นเพื่อนคนอื่นๆ ใส่เหล็กดัดฟัน เพราะมันดูเก๋ดูเท่ซะไม่มี สมัยนั้นใครได้ใส่เหล็กดัดฟันคือที่สุดของความเฟี้ยวเงาะ บางคนนี่สาวติดตรึมก็มี (อันนี้เรื่องจริงจากประสบการณ์ของเพื่อน #เหมียวอ๊อดโด้ เอง) แต่เชื่อหรือไม่ สำหรับคนที่ได้ใส่เหล็ดดัดฟันจริงๆ แล้ว มันไม่ได้เป็นเรื่องสนุกอย่างที่คิดเลย ไม่เชื่อลองชม 19 ความรู้สึกที่ “มนุษย์เหล็กดัดฟัน” ต้องเคยประสบพบเจอมาในชีวิต บอกเลยว่าจริงๆ สุดๆ!! ตอนที่คุณกำลังจะเป็นวัยรุ่น มันจะต้องมีใครซักคนบอกคุณว่า “ไปใส่เหล็กดัดฟันซะเถอะ” ก่อนจะใส่นะ คุณคิดว่ามันจะต้องออกมาเท่ฝุดๆ แน่ๆ คุณต้องพยายามอดทนตอนที่หมอพิมพ์ฟัน (พ่อจับง้างซะ) ความเจ็บปวดตอนที่หมอพยายามดึงฟันคุณทุกๆ เดือน บางทีก็แทบจะร้องไห้เลยล่ะ ตอนที่ได้ตกแต่งเหล็กดัดฟันนะ โครตสนุกเลย ยิ่งถ้าเรืองแสงได้นะ โครตเฟี้ยว ตอนที่ได้ยินว่ามีเหล็กดัดแบบใส ฟังดูดีนะ แต่พอได้จริงๆ แล้วแทบไม่อยากโชว์ฟันให้คนอื่น เวลากินข้าวทีไร ต้องมีอะไรติดฟันตลอด นอกจากติดฟันแล้ว เลิกคิดถึงหมากฝรั่งหรือลูกอมเหนียวๆ ไปได้เลย เพราะจะไม่ได้กินไปหลายเดือน…
-
สองศรีพี่น้องร่างกายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง ให้กำลังใจแก่กันเพื่อเติมเต็มจนกลายเป็นผู้หญิง!!
ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้ ยังคงเป็นประโยคที่พูดถึงความจริงเสมอ แต่ในเมื่อเราเกิดมาแล้วเราก็สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นอย่างไร อยู่ที่ความตั้งใจและความแน่วแน่ของตัวเราเอง เพศทางเลือกก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุด แม้ในปัจจุบันจะมีการออกมายอมรับกันแล้ว แต่ก็ยังคงมีบางส่วนที่ยังไม่เปิดใจ ซึ่งก็เป็นปัญหาหลักที่ทำให้หลายคนที่มีความรู้สึกอัดอั้นอยู่ในใจไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้ หรือแม้แต่คนใกล้ตัวของเราเองที่เป็นพี่น้องก็ไม่สามารถบอกความในใจถึงตัวตนของเราได้ และสองศรีพี่น้อง O’Herlihy คู่นี้ก็เช่นกัน ทั้งสองเกิดมาเป็นผู้ชายแต่จิตใจเป็นผู้หญิงอย่างเต็มตัว คอยเก็บความลับตลอดมา จนกระทั่งเปิดใจให้แก่กันและกัน Jamie วัย 23 ปี (ซ้าย) และ Chloe วัย 20 ปี (ขวา) Jamie วัย 23 ปีและ Chloe วัย 20 ปี (ชื่อเดิม Daniel) ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันมาสภาพของพี่ชายและน้องชาย โดยที่ต่างก็รู้กันดีว่าจิตใจของตัวเองนั้นไม่ใช่ผู้ชาย แต่ก็ไม่เคยบอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้เลย ซึ่ง Jamie เองก็รู้ตัวมาตลอดว่าใจของตัวเองนั้นต้องการเป็นแบบไหน อย่างเช่นในตอนเด็กชอบเอาเสื้อมาสวมหัวคล้ายกับเป็นผมยาวสลวย หรือไม่ก็นำเสื้อยืดมาใส่เป็นกระโปรง จนกระทั่ง Jamie ผู้เป็นพี่ได้เผยตัวตนของตัวเองก่อนในช่วงอายุ…
-
‘เราจะไม่กลับไปประเทศไทยอีก’ ความรู้สึกของครอบครัวชาวอังกฤษถูกวัยรุ่นทำร้ายที่หัวหินช่วงสงกรานต์
ประเทศไทยของเราถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มักจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ใฝ่ฝันอยากจะมาเยี่ยมเยือนทั้งในช่วงเทศกาลและฤดูกาลท่องเที่ยว ด้วยธรรมชาติและเอกลักษณ์วัฒนธรรมประเพณีต่างๆ ที่เป็นแรงจูงใจในการมาเที่ยว คุณพ่อ Owen และคุณแม่ Rosemary ชาวอังกฤษวัย 68 ปี แต่บ่อยครั้งที่มักจะมีข่าวคราวไม่ค่อยดีที่ส่งผลทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหายอย่างหนัก อย่างในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ครอบครัวชาวอังกฤษได้มาเที่ยวช่วงเทศกาลดังกล่าวแต่กลับถูกกลุ่มวัยรุ่นไม่ต่ำกว่า 6 คน ที่มีอาการเมามายสุราและถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส นาย Lewis Owen วัย 43 ปี (ขวา) Lewis Owen นักออกแบบกราฟฟิคชาวอังกฤษ วัย 43 ปี คุณพ่อ Lewis ในชื่อเดียวกัน และคุณแม่ Rosemary วัย 68 ปี ได้มาเที่ยวที่ประเทศไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 13 เมษายน 2559 ซึ่งในระหว่างที่ทั้งสามคนกำลังเดินอยู่บนถนนย่านหนึ่งในหัวหิน เขาถูกวัยรุ่นคนหนึ่งผลักจนล้ม โดยที่ผู้เป็นแม่พยายามเจรจาแต่ก็ไม่เป็นผล จนสุดท้ายเหตุการณ์ก็บานปลาย จู่ๆ ก็มีวัยรุ่นอีกคนเข้ามาชกหน้าคุณพ่อ Lewis…
-
หญิงอ้วนออกไปยืนกลางที่สาธารณะ ค้นพบท่าทีและความรู้สึกตลกขบขันของผู้คนที่มีต่อคนอ้วน!!
ในเรื่องของรูปร่างส่งผลต่อภาพลักษณ์ของตัวบุคคลได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ความนิยมชมชอบของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น แต่ถ้าจะให้พูดถึงความนิยมรูปร่างในแบบสากลแล้วมักจะเป็นในส่วนของร่างกายที่มีความผอมแบบพอดี ไม่ปล่อยอ้วนท้วมจ้ำม่ำจนเกินไป แต่ก็ยังมีผู้คนที่ประสบกับความอ้วนอยู่มากมายเช่นกัน ทั้งนี้อาจจะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ใครจะรู้ล่ะว่าผู้คนจะมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรต่อคนอ้วน Haley Morris-Cafiero วัย 40 ปี จึงอยากจะเห็นภาพเหล่านี้ ด้วยการพาตัวเองออกไปยืนกลางที่สาธารณะ โดยความคิดนี้ย้อนกลับเมื่อ 4 ปีก่อน หลังจากที่เธอได้ถ่ายรูปตัวเองกลางย่านไทมส์สแควร์ สังเกตพบว่ามีผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลัง จ้องมองมาด้วยสายตาเยาะเย้ยเธอ จากนั้นด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าเนื้อแท้ของคนเราจะมีความรู้สึกต่อคนอ้วนอย่างไรบ้าง เธอก็เลยอยากจะลองเก็บภาพการแสดงออกของผู้คนในที่สาธารณะที่มีต่อคนอ้วนมาเพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ จะเห็นได้ว่าการแสดงออกทั้งท่าทางและสีหน้าของแต่ละคน จะออกไปแนวเยาะเย้ยและตลกขบขัน สะท้อนให้เห็นว่าสังคมในปัจจุบันมีกระแสความคิดต่อความอ้วนเป็นอย่างไร หากจะมองแบบไม่คิดอะไร ทุกคนก็ว่าเธออาจจะดูตลกขบขันไปเสียหน่อย เพราะด้วยหุ่นอ้วนท้วมสมบูรณ์ แต่ท่าจะมองในแง่ซีเรียสก็คือ ผู้คนไม่ค่อยจะให้คุณค่ากับคนอ้วนซักเท่าไหร่ ที่มา : haleymorriscafiero, designyoutrust
-
ฝูงวัวยืนล้อมและร่วมไว้อาลัยเพื่อนวัวที่จากไปจากการถูกรถชนในฮ่องกง น่าสงสารเหลือเกิน!!
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ต่างๆ สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตนั้นมีความรู้สึกเหมือนกัน ทั้งมีความสุขหรือโศกเศร้าเสียใจ เช่นเดียวกันกับฝูงวัวเหล่านี้ ที่ยืนล้อมและร่วมไว้อาลัยแก่การจากไปของเพื่อนวัวตัวหนึ่งที่ถูกรถชน เหตุการณ์อันน่าเศร้านี้เกิดขึ้นที่ฮ่องกง เวลาประมาณ 7.30 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น เกิดเหตุรถชนวัวตัวหนึ่งทำให้มันได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ขาขวาด้านหน้า และมีเลือดไหลออกจากทางปาก ซึ่งหลังจากนั้นผู้ที่ขับรถชนก็ได้หยุดรถและโทรเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมายังที่เกิดเหตุ ภายหลังไม่นานนัก วัวตัวหนึ่งก็ได้ร้องโหยหวนและเรียกเพื่อนๆ ที่เหลือออกมาช่วยกันใช้หัวดันเพื่อนที่จากไปออกไปจากถนน แต่ก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ พวกมันจึงยืนล้อมและร่วมไว้อาลัยแก่การจากไปของเพื่อนที่ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งเล่าว่า ‘พวกมันพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว พวกมันก็ยังยืนอยู่รอบๆ บริเวณ พยายามปลุกเพื่อนให้ลุกขึ้น แม้จะนานแค่ไหนก็ตาม’ ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยายามไล่ต้อนฝูงวัวให้ออกไปจากที่เกิดเหตุและได้ทำการเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว แต่ภาพโศกนาฏกรรมที่เห็นนั้นช่างน่าเศร้า แม้แต่สัตว์ก็ยังมีความสึกเช่นเดียวเหมือนกับมนุษย์ 大黃牛遭四驅車撞死 同伴不離不棄 目擊者阿Ben見到時,牛牛仲企喺度苦苦掙扎到我哋同事趕到時牛牛終於支持唔住佢嘅同伴亦唔忍心離去……R.I.P【大黃牛遭四驅車撞死 同伴不離不棄】http://bit.ly/1MpjzGN====================跟實我哋【 現場 - 蘋果突發】就知更多社會事#牛牛 #萬物皆有情 Posted by 現場 - 蘋果突發 on Sunday, November 1, 2015 ที่มา…
-
ชมการ์ตูนให้แง่คิด ชีวิตหลังเลิกกันไปของ ผู้หญิง vs ผู้ชาย ที่อ่านแล้วต้องสะเทือนใจ…
ความสัมพันธ์ของคนเราบางครั้งก็ยากที่จะทำความเข้าใจและอธิบาย แม้จะรักกันขนาดไหน แต่ในความไม่เข้าใจ สุดท้ายบางทีพวกเขาก็ต้องจากกัน ความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้ในใจ อาจไม่มีวันได้พูดออกมาอีกเลย และวันนี้เหมียวจะพาเพื่อนๆไปชมการ์ตูนให้แง่คิด เกี่ยวกับชีวิตหลังเลิกกันไปของ ผู้หญิง vs ผู้ชาย ที่เหมือนเชี่อว่า ถ้าคนเคยมีประสบการณ์มาอ่านจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน จะเป็นอย่างไร ไปชมกันเลย ชาย : ผมเสียเธอไป.. หญิง : ฉันยังรักเขา ชาย : เธอดูดีกว่าเมื่อก่อนมาก ผมถามเธอว่าเธอเป็นไงบ้าง หญิง : ฉันหยุดจ้องหน้าเขาไม่ได้เลย ฉันถามเรื่องแฟนใหม่ของเขา ชาย : ผมกลัวจะเสียเธอไปตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้รู้จักกัน และผมก็เสียเธอไปจริงๆ ตอนนี้ผมไม่กล้ามองหน้าเธอด้วยซ้ำ เพราะกลัวจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หญิง : เขาคงจะมีความสุขดีแล้วล่ะ เขาไม่มองหน้าฉันด้วยซ้ำไป ชาย : ผมเจอเธอวันนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเลย หญิง : ฉันเจอเขาวันนี้ เขาจะยังคิดถึงฉันอยู่รึเปล่านะ.. ชาย : ผมบอกเธอว่าผมคิดถึงเธอ…
-
15 คำหวานละมุนบอกแทน “ความรัก” ในรูปแบบภาษาต่างๆ ที่ยังไม่มีนิยามในภาษาอังกฤษ
ความรู้สึกดีๆ ในเรื่องของความรัก หากจะพูดออกมาเป็นภาษาสากลที่ใช้กันทั่วโลกก็คือคำว่า Love ในภาษาอังกฤษนั่นแหละ แต่จะว่าไปแล้วความรู้ดีๆ แบบนี้บางครั้งก็ไม่อาจจะบอกได้ตรงๆ ว่ามันคือความรักแบบ Love รึเปล่า เพราะความรู้สึกดีๆ ที่มีให้นั้นมันมีเยอะแยะมาก ซึ่งในภาษาอังกฤษเองก็ยังไม่มีคำนิยามเลย แต่ในภาษาอื่นๆ นั้นกลับมีความหมายที่หวานละมุนสุดๆ โดยภาพวาดชุดนี้เป็นผลการของ Emma Block ร่วมกับเว็บไซต์ vashi ในภาพชุด คำหวานละมุนจากภาษาอื่นๆ ทั่วโลก (ที่ไม่มีนิยามตรงตัวในภาษาอังกฤษ) 1. Dor จากภาษาโรมาเนีย ความรู้สึกห่วงหาเมื่อห่างจากคนรักเป็นเวลานาน 2. Merak จากภาษาเซอร์เบีย ความรู้สึกพึงพอใจที่สร้างได้ง่ายๆ เมื่อได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา 3. Cafune จากภาษาโปรตุเกส ความรู้สึกของการได้ลูบบนเส้นผมนุ่มๆ ของผู้เป็นที่รัก 4. Firgun ภาษาฮิบรู ความสุขอันเรียบง่ายเมื่อเห็นสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับผู้อื่น 5. Koi No Yokan จากภาษาญี่ปุ่น…
-
ไปชม 12 ภาพที่แสดง “ความรู้สึก” ของคนที่กำลัง “สัก” เห็นแล้วเจ็บแทนเลย!!
พูดถึงการสัก สำหรับหลายๆคนการสักคืองานศิลปะอย่างหนึ่งที่สามารถนำติดตัวไปที่ไหนก็ได้ บางคนก็สักเพื่อระลึกถึงอะไรบางอย่างที่สำคัญสำหรับเขา การสักย่อมหมายถึงการเอาเข็มผสมหมึกแทงเข้าไปในผิวหนัง เพื่อให้เกิดลวดลายต่างๆ แน่นอน สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยคือความเจ็บปวด ซึ่งคนที่ไม่เคยสัก รับรองว่าจินตนาการไม่ออกแน่นอน ว่ามันจะเจ็บปวดขนาดไหน วันนี้เหมียวจะพาไปชม 12 ภาพที่สามารถแสดงความรู้สึกระหว่างการสักได้อย่างดีเยี่ยม จะเจ๋งขนาดไหน ไปชมกันเลย อื้อหือ ท่าทางจะเจ็บจริงๆ อ๊ากกกก ถึงกับตายด้าน รู้สึกได้ถึงความ “อดกลั้น” ของเขา ใจกล้ามากๆ เพราะเนื้อตรงนั้นไวต่อความรู้สึกสุดๆ เห็นแค่กล้ามแขนก็รู้ว่ารู้สึกยังไง ชิวๆ มีเจ็บกว่านี้มั้ย? บอกเลยว่าชินแล้ว อูยยยยย จริงๆเหมียวก็อยากลองสักบ้างนะ แต่พอนึกถึงความเจ็บที่จะต้องเจอแล้ว เหมียวขอบายดีกว่า ฮาาา ที่มา Wittyfeed
-
ผู้สร้างเกม Minecraft ระบายความในใจผ่านทวิตเตอร์ รู้สึกผิดที่ขายบริษัทให้กับ Microsoft
หลังจากที่เปิดตัวเกม Minecraft เกมแนว Sandbox สร้างสรรค์ได้ทุกสิ่งจากบล็อกตัวต่อคล้ายๆ กับเลโก้ ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม จนเข้าตาบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ขอติดต่อซื้อบริษัท Mojang AB เพื่อนำ Minecraft ไปพัฒนาต่อ ซึ่งทางด้านผู้ให้กำเนิดเกม Minecraft และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Mojang AB นาย Markus Persson หรือ “Notch” ได้ทำการขายบริษัทและตัวเกมไปเมื่อเดือนกันยายน ปีค.ศ. 2014 ในราคา 2,500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 89,000 ล้านบาท) แต่แล้วเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่าน Markus เริ่มระบายความรู้สึกในใจหลังจากที่ตัดสินใจขายสิ่งที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นมา The problem with getting everything is you run out of reasons to keep…
-
น่ารัก….ชมปฏิกิริยาของเด็กชายคนนี้ เมื่อได้ “กอด” ผู้หญิงเป็นครั้งแรกในชีวิต!!!
วัยเด็กเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ทุกๆสิ่ง พวกเขาจะได้รับรู้ถึงความแตกต่างและเอกลักษณ์ของสิ่งต่างๆบนโลกนี้ และหนึ่งในนั้นคือการที่พวกเขาต้องรู้ว่า มนุษย์เรานั้นมีอยู่ 2 เพศ คุณจำความรู้สึกตอนที่คุณได้รู้ว่าโลกนี้ มี “เพศตรงข้าม” อยู่ได้หรือไม่ แล้วคุณจำความรู้สึกตอนที่คุณได้สัมผัสกับเพศตรงข้ามครั้งแรกได้หรือเปล่า.. ถ้าคุณจำไม่ได้ ลองดูปฏิกิริยาของเด็กชายคนนี้ก่อนสิ รับรองว่าคุณต้องยิ้มไม่หุบกับปฏิกิริยาของเขาแน่นอน ไม่เชื่อไปชมกันเลย ขอกอดหน่อยยยย น่ารักจรุงเบย ฮ่ะๆ ท่าทางเขาจะตื่นเต้นสุดๆไปเลย แหม ก็ได้กอดสาวครั้งแรกนี่น่า แล้วเพื่อนๆละ จำได้หรือเปล่า ว่าตอนที่ได้กอดเพศตรงข้ามครั้งแรก รู้สึกยังไง ลองมาเล่าให้กันฟังบ้างนะ ที่มา Rumble
-
การให้สัมภาษณ์ของ “มนุษย์ฝรั่ง” กับความประทับใจในเมืองไทย แบบว่าพูดไทยได้นิดหน่อย
หลายๆ ครั้งที่มีชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวที่ประเทศไทยของเรา ได้รับรู้ถึงวิถีชีวิตและความสวยงามของประเทศไทย ก็มักจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าชอบประเทศไทยมากๆ และอยากจะกลับมาเที่ยวอีกครั้งถ้ามีโอกาส แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนหนึ่งในฐานะนักท่องเที่ยวเท่านั้น แล้วถ้าให้ชาวต่างชาติ (ฝรั่ง) ที่ได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยบอกความรู้สึกเกี่ยวกับประสบการณ์ในประเทศไทยบ้างล่ะ จะประทับใจส่วนไหน อะไรยังไงบ้าง? ซึ่งในครั้งนี้มนุษย์ฝรั่ง “ดัฟฟี่” จะมาบอกให้เราฟังกัน เธอพูดภาษาไทยได้นิดหน่อย แต่ขอบอกเลยว่าชัดถ้อยชัดคำมากเลยนะ ฮ่าฮ่า ที่มา : กันชน ไม่ชนกัน