Tag: ความเจ็บปวด
-
คุณแม่ยอมเสียสละชีวิตตัวเอง ไม่เข้ารับการรักษาโรคมะเร็ง เพื่อให้กำเนิดลูกน้อย
วันที่ 29 สิงหาคม 2560 ทางเว็บไซต์ต่างประเทศได้เผยเรื่องราวสุดเศร้าของ Tasha Trafford วัย 33 ปี คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ได้ 16 สัปดาห์ ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งกระดูกอีวิงซาร์โคมา (Ewing’s sarcoma) ภายหลังจากที่เธอแต่งงานในปี 2012 ได้เพียงไม่นาน Tasha ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดหลัง ซึ่งเธอต้องไปพบแพทย์ และเข้ารับการทำเคมีบำบัดและฉายรังสีที่โรงพยาบาล Singleton อยู่เป็นประจำ จนให้เธอหายจากการเป็นโรคมะเร็งในอีก 2 ปีต่อมา แต่ทั้งนี้ ทางแพทย์ไม่สามารถบอกได้ว่ามะเร็งจะกลับมาอีกครั้งหรือไม่ ซึ่งทาง Tasha ก็พยายามที่จะใช้ชีวิตอย่างปกติให้ได้มากที่สุด ด้วยความหวังว่าจะมีลูก Tasha เคยใช้วิธีการแช่แข็งตัวอ่อนถึง 3 ครั้ง หลังจากหายจากการเป็นโรคมะเร็งแต่ทว่า 16 สัปดาห์ที่เธอตั้งครรภ์ Tasha ก็ได้รับข่าวที่น่าปวดใจว่ามะเร็งของเธอได้กลับมาอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้เธอต้องเผชิญกับทางเลือกว่า จะต้องยอมเสียลูกไปเพื่อเริ่มรักษาด้วยเคมีบำบัดอีกครั้ง หรือจะเก็บลูกเอาไว้ แต่ตัวเธอเองจะต้องเสียชีวิต ด้วยหัวอกของความเป็นแม่ Tasha ก็ได้ตัดสินใจที่จะรักษาลูกของเธอเอาไว้ ซึ่งเธอได้ออกมาเผยว่า “การทำอะไรที่อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ของฉัน ฉันไม่สามารถจินตนาการได้จริงๆ”…
-
งานวิจัยเผย “ปลา” เป็นสัตว์ที่ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกันกับมนุษย์!?
“ปลาไม่มีความเจ็บปวดเหมือนมนุษย์” นี่คือหนึ่งในข้อสรุปจากงานวิจัยวิจัยที่ประกอบไปด้วยนักประสาทวิทยา นักพฤติกรรม และผู้เชี่ยวชาญทางด้านปะมง ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ที่ชื่นชอบการตกปลารู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อยก็ได้ การศึกษาครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญจากยุโรป แคนาดา ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งผลศึกษาในขั้นต้นนั้นบอกว่าปลาไม่ได้มีระบบประสาทและสรีระร่างกายที่สามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดได้เหมือนกับมนุษย์ อาการความเจ็บปวดโดยทั่วไปของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นจากกระตุ้น Nociceptor หรือเซลล์ประสาทรับรู้ความรู้สึก โดยเมื่อมันได้รับการกระตุ้นแล้วจะทำการส่งสัญญาณประสาทไปยังสมองและกระดูกสันหลัง จากนั้นจึงแปลงเป็นความรู้สึกเจ็บออกมา และในระดับความรู้สึกทางด้านอารมณ์ ความเจ็บปวดจะรุนแรงขึ้นจากความหวาดกลัวและสามารถสร้างอาการทางจิตใจได้ถึงแม้ว่าความเจ็บปวดนั้นจะไม่ได้สร้างบาดแผลให้เราเลยก็ตาม นอกจากนี้ยังมีอาการเจ็บปวดที่สามารถเกิดขึ้นได้เองอย่างเช่นอาการชาอีกด้วย และจากการศึกษาพบว่าพวกปลานั้นไม่ได้มีระบบการรับรู้ความเจ็บปวดที่เหมือนกับมนุษย์ โดยเส้นประสาท c-nociceptors ที่มีส่วนต่อระดับความรุนแรงของความเจ็บปวดที่พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไปนั้น ไม่พบในพวกปลาชนิดต่างๆ ตั้งแต่ปลากระดูกอ่อนอย่างพวกฉลาม กระเบน ไปจนถึงปลากระดูกแข็งอย่างพวกปลาคาร์ฟและปลาเทราท์ ดังนั้นในทางสรีระวิทยาแล้วพวกปลาแทบจะไม่สามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้เลย แต่อย่างไรก็ตามพวกปลากระดูกอ่อนนั้นมีเซล์ประสาทรับความรู้สึก ซึ่งจะทำให้พวกมันสามารถตอบสนองต่อความเจ็บปวดและสิ่งที่มากระทบกับตัวมันได้ แต่ก็ไม่อาจจะยืนยันได้ว่าพวกมันสามารถรับรู้ถึงความเจ็บนั้นได้เช่นกัน การศึกษาครั้งนี้เป็นเพียงการศึกษาความเจ็บปวดของปลาที่ได้รับจากการกระตุ้นอย่างเช่นการถูที่รอยแผลบนตัวปลา หรือการอดอาหารพวกมันเท่านั้นอย่างไรก็ตามการทดลองนี้ไม่ได้ศึกษาถึงความรู็สึกเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับระบบเซลประสาทรับรู้ความรู้สึกของพวกมัน และการแสดงความรู้สึกทางด้านอารมณ์ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่การศึกษานี้ไม่ได้กล่าวถึง โดยสรุปแล้วงานวิจัยชิ้นนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าปลาไม่มีการรับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่เหมือนกับมนุษย์ ซึ่งจริงๆ แล้วเราไม่สามารถตีความพฤติกรรมของพวกปลาโดยใช้มนุษย์เป็นเกณฑ์ได้ ถึงแม้ว่าผลศึกษาจะออกมาอย่างไร แต่การเบียดเบียนสัตว์ ก็เป็นการผิดศีลข้อแรกนะโยม ที่มา sciencedaily
-
ไปชม 12 ภาพที่แสดง “ความรู้สึก” ของคนที่กำลัง “สัก” เห็นแล้วเจ็บแทนเลย!!
พูดถึงการสัก สำหรับหลายๆคนการสักคืองานศิลปะอย่างหนึ่งที่สามารถนำติดตัวไปที่ไหนก็ได้ บางคนก็สักเพื่อระลึกถึงอะไรบางอย่างที่สำคัญสำหรับเขา การสักย่อมหมายถึงการเอาเข็มผสมหมึกแทงเข้าไปในผิวหนัง เพื่อให้เกิดลวดลายต่างๆ แน่นอน สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยคือความเจ็บปวด ซึ่งคนที่ไม่เคยสัก รับรองว่าจินตนาการไม่ออกแน่นอน ว่ามันจะเจ็บปวดขนาดไหน วันนี้เหมียวจะพาไปชม 12 ภาพที่สามารถแสดงความรู้สึกระหว่างการสักได้อย่างดีเยี่ยม จะเจ๋งขนาดไหน ไปชมกันเลย อื้อหือ ท่าทางจะเจ็บจริงๆ อ๊ากกกก ถึงกับตายด้าน รู้สึกได้ถึงความ “อดกลั้น” ของเขา ใจกล้ามากๆ เพราะเนื้อตรงนั้นไวต่อความรู้สึกสุดๆ เห็นแค่กล้ามแขนก็รู้ว่ารู้สึกยังไง ชิวๆ มีเจ็บกว่านี้มั้ย? บอกเลยว่าชินแล้ว อูยยยยย จริงๆเหมียวก็อยากลองสักบ้างนะ แต่พอนึกถึงความเจ็บที่จะต้องเจอแล้ว เหมียวขอบายดีกว่า ฮาาา ที่มา Wittyfeed