Tag: ความเชื่อ
-
คู่รักอังกฤษกระโดด ‘ขวางรถไฟ’ เพราะอยาก “อยู่ด้วยกันตลอดไป” หลังชีวิตพบจุดวิกฤติ
คู่รักหนุ่มสาวที่ชีวิตพบจุดวิกฤติตัดสินเลือก “อยู่ด้วยกันตลอดไป” โดยการกอดกันและพากันกระโดดตัดหน้าขบวนรถไฟ จนเสียชีวิตทั้งคู่ Melissa Wood วัย 27 ปีและแฟนหนุ่มของเธอ Christopher Linley วัย 34 ปี ได้ต่อสู้กับภาวะเสพติดเฮโรอีนมาพักใหญ่ ประกอบกับที่ทั้งคู่ถูกไล่ออกจากงานซ้ำยังถูกไล่ออกจากห้องเช่าอีกด้วย ทั้งหมดล้วนส่งผลให้ทั้งคู่ตัดสินใจพากันอำลาโลกไปพร้อมๆ กัน โดยภาพเหตุการณ์ถูกบันทึกไว้ได้โดยกล้องวงจรปิดของสถานีรถไฟดองคัสเตอร์ มณฑลยอร์กเชอร์ ประเทศอังกฤษ ภาพดังกล่าวเผยให้เห็นว่าทั้งคู่โอบกอดและจับมือกันและกันก่อนที่จะพากันกระโดดลงไปยังรางรถไฟและเสียชีวิตในที่สุด หลายวันถัดมาหลังเหตุการณ์เสียชีวิตของทั้งคู่ ก็พบ จดหมาย จากทั้ง Christopher และ Melissa ที่จ่าหน้าซองถึงครอบครัวของพวกเขา โดยเนื้อหาในจดหมายระบุว่า พวกเขาทั้งคู่ก็ต้องการ “อยู่ด้วยกันตลอดไป” และจากนั้นพวกเขาจะฆ่าตัวตายไปพร้อมๆ กัน โดยในวันตัดสินคดีความว่าเป็นการฆ่าตัวตาย Lisa Wood ผู้เป็นแม่ของ Melissa ก็กล่าวว่า “ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะฆ่าตัวตายได้ เธอดูมีความสุขตลอดเวลา ร่าเริง และแทบไม่เคยหยุดหัวเราะ” ส่วน Frances Glynn แม่ของ Christopher ก็กล่าวว่า “ฉันตกใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันหวังมาตลอดว่าเขาจะประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะเขาเป็นคนเก่ง แต่ฉันก็รู้สึกดีขึ้นที่ได้ว่าอย่างน้อยเขากับ Melissa ก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดกาล”…
-
10 วิธีการรักษาทางการแพทย์ “แปลกๆ” ในอดีต โชคดีแล้วที่เราไม่ได้เกิดมาในยุคนั้น…
โรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอกับมนุษย์เรา แต่โชคดีที่มนุษย์นั้นสามารถหาทางรักษาโรคต่างๆ ได้ แต่กว่าจะค้นหาวิธีการรักษาแต่ละโรคได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย ทุกวันนี้ เพียงการรักษาด้วยการฉีดยาหรือผ่าตัดสำหรับบางคนก็อาจจะร้อง “ยี้” แล้ว แต่ลองย้อนกลับไปสมัยก่อนที่การแพทย์กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาล่ะก็ รับรองว่าการรักษาโรคไม่ได้ทำง่ายๆ เพียงแค่ฉีดยาแน่นอน ไปชมกันเลยว่าในสมัยก่อนการรักษาโรคต่างๆ กว่าจะประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้ได้ต้องผ่าน ความเชื่อผิดๆ แบบไหนมาบ้าง…?? 1. รักษาด้วยการ “มีเซ็กส์กับชาย/หญิงบริสุทธิ์” ครั้งหนึ่งเมื่อคุณมีโรคติดต่อทางเพศ มีความเชื่อว่าหากไปมีเพศสัมพันธ์กับชาย/หญิงบริสุทธิ์ โรคจะถูกส่งต่อไปสู่คนผู้นั้น และคุณก็จะหาย (แถมทุกวันนี้บางที่ก็ยังเชื่อแบบนี้อยู่เลย) 2. รักษากามโรคด้วย “โรคมาลาเรีย” ครั้งหนึ่ง แพทย์ส่วนใหญ่เชื่อว่าการฉีดเชื้อโรคมาลาเรียเข้าไปในผู้ที่ป่วยเป็นโรคซิฟิลิสจะทำให้อาการไข้สามารถทำลายเชื้อของทั้งสองโรคได้ แต่ผลสุดท้ายคนไข้ก็ตายด้วยโรคมาลาเรีย 3. หนูตายรักษาได้แทบทุกอย่าง ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณซากหนูที่ตายนั้นจะถูกนำมาใช้รักษาอาการปวดฟัน ส่วนในสมัยเอลิซาเบธ ศพหนูจะถูกผ่าครึ่งแล้วนำมารักษาหูด นอกจากนี้หนูตายตามรายงานยังบอกว่าเคยถูกนำมาใช้รักษาอาการไอกรน โรคหัด ฝีดาษ และการฉี่รดที่นอนอีกด้วย 4. เหล็กแหลมร้อนรักษาริดสีดวง ในสมัยโบราณ นักบวชกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อการใช้เหล็กแหลมร้อนเสียบเข้าไปในรูทวารนั้นสามารถรักษาอาการริดสีดวงทวารได้ 5. การใช้ปรอทเหลว ในสมัยกรีกและเปอร์เซียโบราณมีการใช้ปรอทเหลวเป็นเครื่องทาคล้ายยาขี้ผึ้ง ส่วนชาวจีนโบราณใช้เป็นยาอายุวัฒนะ และมีการใช้เป็นยาวิเศษอีกหลายแห่ง แต่ความจริงแล้วปรอทเหลวมีแต่จะนำความตายมาให้ 6.…
-
พ่อแม่ปล่อยให้ลูก ‘เสียชีวิต’ ทั้งๆ ที่ช่วยเหลือได้ เพราะความเชื่อทางศาสนาผ่านเฟซบุ๊ก
เรื่องของ ‘ความเชื่อ’ เป็นเรื่องส่วนบุคคล และมันสามารถส่งผลกระทบของชีวิตเราได้มากมายเลยทีเดียว เช่นเดียวกันกับเรื่องราวต่อไปนี้ ที่พ่อแม่ยอมปล่อยให้ลูกวัย 10 เดือนเสียชีวิตจากการขาดสารอาหาร และน้ำ เพราะความเชื่อทางศาสนาของตนเอง!! เรื่องมีอยู่ว่านาย Seth Welch และภรรยา Tatiana Fusari ทั้งสองคนอายุ 27 ปี อาศัยอยู่ในเมือง Solon Township เขต Kent County รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานระบุว่าทั้งคู่เป็นคนที่เคร่งครัดในหลักคำสอนของศาสนาคริสต์รูปแบบหนึ่ง ซึ่งพวกเขาติดตามผ่านเฟซบุ๊ก และนั่นเองเป็นเหตุที่ทำให้ลูกของพวกเขาต้องเสียชีวิตอย่างน่าเศร้า เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้หนูน้อย Mary ลูกสาววัย 10 เดือนของพวกเขามีอาการป่วย แทนที่ทั้งคู่จะพาไปหาหมอ แต่กลับไม่ทำอย่างนั้น ทั้งคู่สังเกตเห็นว่าร่างกายของหนู Mary นั้นซูบผอมลง แต่ก็ไม่ยอมพาลูกไปรักษา เพราะกลัวว่าจะมีการติดต่อหน่วยงานคุ้มครองเด็ก นอกจากนี้ทั้งคู่ยังไม่ยอมรับและไม่เชื่อมั่นในการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน สุดท้าย Mary ก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมสองสามีภรรยาในข้อหาทารุณกรรมเด็กจนถึงแก่ความตาย ภาพของหนูน้อย Mary ก่อนหน้านี้ฝ่ายสามีได้ทำการโพสต์เฟซบุ๊กในวันที่ลูกของตัวเองตายว่า…
-
รู้จักกับหมู่บ้าน Bazoule ที่ “มนุษย์และจระเข้” อยู่ร่วมกันอย่างสันติราวกับเป็นญาติพี่น้อง
คนเรามีความเชื่อ ซึ่งในแต่ละพื้นที่ก็เชื่อในสิ่งที่แตกต่างกันไป อย่างในดินแดนบางแห่ง แม้ว่าจะเป็นสัตว์ดุร้ายอย่าง จระเข้ ผู้คนก็เชื่อว่าเป็นสัตว์ที่สามารถปกป้องและอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างเป็นปกติสุข การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสัตว์ดุร้ายอย่างจระเข้นั้นไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในยุคโบราณเท่านั้น ปัจจุบันหมู่บ้านแห่งหนึ่งในประเทศบูร์กินาฟาโซ ผู้คนในหมู่บ้านยังคงสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับจระเข้ได้อย่างสันติ ณ หมู่บ้าน Bazoule ซึ่งห่างจากเมืองหลวงของบูร์กินาฟาโซมาเพียง 30 กิโลเมตร ผู้คนบูชาจระเข้เป็นเทพเจ้าคุ้มครองชีวิตของพวกเขา ด้วยความที่ลักษณะภูมิประเทศเป็นดินแดนที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลจึงทำให้มีสัตว์เลื้อยคลานครึ่งบกครึ่งน้ำนี้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก อาจฟังดูน่ากลัวแต่ผู้คนในหมู่บ้านกลับสามารถเข้าไปเล่นกับจระเข้ได้อย่างสบายใจเฉิบ ชมคลิปวิดีโอหมู่บ้านจระเข้ Bazoule เรื่องราวมีอยู่ว่า ในสมัยศตวรรษที่ 15 ผู้คนเคยยกย่องให้จระเข้เป็นสัตว์ที่ช่วยไถ่บาปให้ผู้คนในหมู่บ้าน เนื่องจากในช่วงเวลาที่หมู่บ้านพบกับความแห้งแล้งอย่างหนักหน่วง กลับมีแหล่งน้ำเกิดขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ แหล่งน้ำดังกล่าวปรากฏขึ้นพร้อมกับเหล่าจระเข้ และก็ได้ทำให้ผู้คนในหมู่บ้านมีชีวิตรอดภาวะแล้งไปได้ จึงเป็นที่มาของการเคารพนับถือจระเข้ของหมู่บ้าน Bazoule คนในหมู่บ้านนับถือจระเข้อย่างมาก พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ใกล้ชิดจระเข้เสมอ เมื่อจระเข้ตายพวกเขาก็จะมีการจัดงานศพและทำการฝังร่าง ราวกับที่พวกเขาทำกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ผู้คนในหมู่บ้านจะมีวันเฉลิมฉลองประจำปี เรียกกันว่า Koom Lakre เป็นวันที่พวกเขาจะรำลึกให้กับบุญคุณที่จระเข้ได้ทำเอาไว้ นอกจากนี้ยังเป็นวันที่พวกเขาสามารถขอพรจากจระเข้ได้อีกด้วย รู้จักกับหมู่บ้าน Bazoule ที่ผู้คนนับถือจระเข้ให้มากขึ้นกันเถอะ หมู่บ้านนี้นับถือจระเข้มามากกว่า 70 ปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครเคยเสียชีวิตเนื่องจากการโจมตีของจระเข้ ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว ผู้คนสามารถลงเล่นน้ำในแหล่งน้ำของหมู่บ้านได้อย่างไม่ต้องกังวล หากใครถูกจระเข้กัดเข้า พวกเขาจะถือว่าเป็นการลงโทษจากเทพเจ้ามากกว่าที่จะมองว่าเป็นสัญชาตญาณอันดุร้ายของสัตว์เลือดเย็นอย่างจระเข้…
-
10 ความเชื่อพื้นบ้านจากรอบโลก ตามตำนาน ‘พระจันทร์สีเลือด’ บ่งบอกถึงลางร้าย
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) เชิญชวนคนไทยชมปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงยาวนานที่สุดในรอบ 100 ปี ตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ 27 กรกฎาคม ถึงเช้ามืดวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 (วันนี้-พรุ่งนี้) ทางสดร. ระบุว่าปรากฏการณ์จันทรุปราคาที่เกิดขึ้นนี้ จะเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปีนี้ ซึ่งจะกินเวลานานถึง 1 ชั่วโมง 43 นาที ถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดในศตวรรษที่ 21 เลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์จันทรุปราคาพระจันทร์สีเลือดในอดีต มักจะถูกเชื่อมโยงกับความเชื่อพื้นฐานทางด้านดวงชะตา-ไสยศาสตร์ ตามตำนานพื้นบ้านในแต่ละท้องถิ่น และทั้ง 10 ความเชื่อจากรอบโลกจะไปในทิศทางไหนได้บ้าง มาดูกัน ชนเผ่าอินคา (ที่มา) ชาวอินคาเชื่อว่าพระจันทร์สีเลือด เป็นผลพวงมาจากปิศาจเสือจากัวร์ผู้ชั่วร้าย ได้ทำการจู่โจมและกลืนกินพระจันทร์เข้าไป ส่งผลทำให้พวกเขาเชื่อว่าปิศาจจากัวร์จะลามมาสู่โลก ชาวอินคาจึงร่วมใจกันตะโกนคำรามและโบกหอกไปมา หวังเพื่อขู่ให้ปิศาจตนนี้เกรงกลัวจนหนีไป ชนเผ่าฮูปา (ที่มา) ชนเผ่าผู้ตั้งรกรากทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย เชื่อว่าพระจันทร์มีบริวารนางสนมถึง 20 นางพร้อมกับสัตว์เลี้ยงอีกนานาชนิด…
-
พบโครงกระดูก “แม่มด” ในโปแลนด์ มีรูเจาะเต็มตัวเพื่อป้องกันเธอ ‘ลุกขึ้น’ จากความตาย
เคยได้ยินไหมว่า ตำนานจากยุคกลาง มนุษย์นั้นเคยหวาดกลัว “แม่มด” เป็นอย่างมาก หากหญิงคนใดถูกสงสัยหรือพบว่าเป็นแม่มดแล้วล่ะก็ คนผู้นั้นต้องย่อยยับอย่างแน่นอน ล่าสุดมีคนพบเจอโครงกระดูกอันน่าสะพรึง เมื่อสำรวจดูร่องรอยต่างๆ ทำให้นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นโครงกระดูกของแม่มดอย่างแน่นอน โครงกระดูกดังกล่าวถูกขุดพบที่สุสานในโปแลนด์โดยนักโบราณคดีที่ชื่อว่า Karol Piasecki สภาพของโครงกระดูกพบก้อนอิฐถมทับและมี “รู” ปรากฏขึ้นหลายจุดของโครงกระดูก ทำให้เกิดความคิดว่าชาวบ้านสมัยก่อนกลัวว่าโครงกระดูกที่เชื่อว่าเป็นแม่มดนี้จะลุกขึ้นจากหลุมศพหากไม่ยึดโครงกระดูกให้ติดกับพื้นพร้อมทั้งถมด้วยก้อนอิฐ ใครครั้งแรกที่พบ คิดว่าโครงกระดูกของบุคคลที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นแวมไพร์ เพราะถูกฝังไกลออกไปจากสุสานใหญ่ แถมมีร่องรอยของพิธีกรรมสะกดวิญญาณอยู่ด้านบนพื้นดินเหนือหลุมศพนี้ แต่เมื่อตรวจ DNA จากกระดูกของศพแล้วพบว่าเป็นร่างของ “ผู้หญิง” ซึ่งน่าจะมีผมสีบลอนด์และตาสีฟ้า แถมยังเป็นผู้ที่ถูกทรมานอีกด้วย สำหรับประเทศโปแลนด์ หญิงที่ถูกกล่าวว่าเป็นแม่มดมักจะเป็นภรรยาหรือคนรักของบุคคลฐานะมั่งคั่งของสังคม และพวกเธอจะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดทันทีหลังจากความสัมพันธ์ของเธอกับสามีย่ำแย่ลง หรือยามที่ผู้คนเกลียดชังพวกเธอมากๆ ร่องรอยที่เป็น “รู” เนื่องจากถูกตอกยึดให้ติดกับพื้น โครงกระดูกนี้เชื่อว่าน่าจะถูกฝังมาตั้งแต่ราวๆ ศตวรรษที่ 16 หรือ 17 Grzegorz Kurka ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่เก็บโครงกระดูกนี้เอาไว้กล่าวว่า “ด้วยเหตุผลบางประการ พวกเขาไม่ได้เผาเธอทั้งเป็น แต่กลับฝังเธอเอาไว้ให้เธอไม่สามารถลุกขึ้นมามีชีวิตได้อีก” นอกจากนี้เขายังบอกว่าภายในสิ้นปีนี้จะพยายามค้นพบให้ได้ว่าเจ้าของร่างโครงกระดูกนี้มีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ โดยใช้เทคโนโลยีการตรวจจับโครงใบหน้าเป็นตัวช่วย ยุคสมัยก่อนมีความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจที่ค่อนข้างรุนแรงและน่ากลัว จึงไม่แปลกหากหญิงคนใดถูกมองว่าเป็น “แม่มด”…
-
ปริศนาหลอน ครอบครัวอินเดีย “ผูกคอตาย” ยกบ้าน 11 ศพ เชื่อเกี่ยวข้องกับลัทธิลึกลับ
ล่าสุดบนทวิตเตอร์ ได้มีการเผยแพร่ข่าวการตายอย่างลึกลับของชาวอินเดีย เมื่อครอบครัวหนึ่งกลายเป็นศพหมดทั้งครอบครัวรวม 11 ชีวิต เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็น การฆาตกรรมและการฆ่าตัวตายหมู่ในครอบครัว หลายสำนักข่าวของอินเดียได้เผยแพร่โศกนาฏกรรมปริศนานี้ออกมาทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ขณะเดียวกันผู้ใช้ทวิตเตอร์ชาวไทยชื่อว่า @washimarou ก็ได้นำเรื่องราวการตายอย่างลึกลับนี้มาเล่าต่อ โพสต์เล่าเรื่องการตายหมู่ของครอบครัว Bhatia ในอินเดีย เริ่มต้นวันที่ 1 กรกฎาคม 2018 รูปภาพศพขณะที่เจ้าหน้าที่พบเจอ ดูได้ที่นี่ (แต่ไม่แนะนำให้เข้าไปดู) ตำรวจสงสัยทั้งครอบครัวกำลังนับถือในลัทธิลึกลับ และได้ประกอบพิธีกรรมล้างบาป . ในบันทึกที่พบ มีการเขียนกล่าวถึงการล้างบาปด้วยพิธี Baar Puja (บูชาต้นไทร) เป็นการแขวนคอ ปิดตา ปิดหู ปิดปาก มือไพล่หลัง ห้อยลงมาในลักษณะเหมือนรากไทร ลูกชายที่ชื่อว่า Lalit ฝันเห็นพ่อผู้ล่วงลับ ทำให้เชื่อว่าประกอบพิธีกรรมนี้แล้ว “พ่อ” จะมาช่วย และเชื่อว่าพิธีกรรมนี้ทำให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากบันทึกที่พบ ทำให้ทราบว่าพิธีกรรมนี้ต้องทำต่อเนื่อง 7 วัน หมายความว่าพวกเขาเริ่มทำพิธีกรรมมาตั้งแต่ วันที่ 23-30 มิถุนายน…
-
10 ความรู้ทาง “ชีววิทยา” ที่โรงเรียนสอนมานับศตวรรษ แต่มันดันผิด!!!
การศึกษาใครบอกว่าจะต้องมาจากโรงเรียนเท่านั้น ยิ่งนับวันวิทยาการยิ่งก้าวหน้า การศึกษาสิ่งต่างๆ จึงทำได้มากและลึกยิ่งขึ้น และนั่นทำให้บางครั้งความรู้ที่เราเรียนมาจากโรงเรียนอาจเป็นข้อมูลที่ เก่าและผิด ไปแล้วก็ได้ โดยเฉพาะวิชาชีววิทยาที่หลายคนชื่นชอบ (ยกเว้น #เหมียวโลลิ) ที่เนื้อหาของมันก็เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต เช่น คนเราวิวัฒนาการมาจากลิง เป็นต้น ซึ่งก็เป็นความรู้ที่ผิดเช่นกัน เอาล่ะ งั้นวันนี้เราไปชมกันเลยดีกว่ากับ 10 ความรู้ทางชีววิทยาจากโรงเรียน ที่คนเรายังเชื่อว่ามันถูก… 1. มนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิง ความเชื่อที่ว่ามนุษย์เราวิวัฒนาการมาจากลิงนั้นกลายเป็นข้อมูลที่ผิดไปเสียแล้ว ลิงในปัจจุบันต่อให้เหมือนกับคนเราขนาดไหน แต่ที่จริงแล้วมนุษย์เองก็มีบรรพบุรุษของเราอยู่จริงๆ เมื่อหลายล้านปีที่แล้ว เราเพียงแค่มีบรรพบุรุษร่วมกัน แต่ไม่ได้เปลี่ยนจากลิงเป็นมนุษย์แต่อย่างใด อ้างอิง: www.skeptic.com/downloads/top-10-evolution-myths.pdf 2. มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนยอดห่วงโซ่อาหาร กลุ่มนักวิจัยชาวฝรั่งเศสได้ช่วยกันจัดลำดับห่วงโซ่อาหารใหม่ มนุษย์กลับกลายเป็นว่าไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อีกต่อไปแล้ว เพราะการจะอยู่บนยอดของห่วงโซ่อาหารได้นั้น ต้องกินเฉพาะเนื้อสัตว์ที่อยู่ต่ำกว่าลงไปเท่านั้น แต่พฤติกรรมการกินของมนุษย์ที่กินทั้งเนื้อสัตว์และพืชนั้นถือว่าไม่ได้อยู่บนยอดของห่วงโซ่อาหาร อ้างอิง: http://www.pnas.org/content/110/51/20617 3. หมากับแมวตาบอดสี เป็นความเชื่อกันมายาวนานนับแต่การทดลองในปี 1915 ว่าหมาและแมวนั้นมองเห็นเพียงสีขาว-ดำ แต่ปัจจุบันการทดลองครั้งใหม่ได้ทำให้ทราบว่า พวกมันก็มองเห็นไม่ต่างกับมนุษย์เพียงแค่จะบอดสีแดงหรือไม่ก็เห็นสีแดงได้น้อยที่สุด แต่พวกมันไม่ได้มีปัญหากับสีอื่นเลย อ้างอิง: http://www.todayifoundout.com/index.php/2012/01/both-cats-and-dogs-can-see-color/ 4. มนุษย์มีสัมผัสเพียงแค่ 5…
-
คลิปเสียงจากแฟนเก่า “ร่างทรงเทพสุริยะ 4.0” แฉกินเจไม่จริง ไม่ป่วยก็สร้างกระแส!!
ยังคงไม่ลืมกันใช่ไหม กับแม่หญิงร่างทรงองค์เทพสุริยะ 4.0 ที่กลายเป็นกระแสฮือฮาเมื่อเร็วๆ นี้ ที่เธอกลายเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางเชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะรายการ โหนกระแส เชิญเธอไปพูดคุยและเกิดองค์ลงในรายการ แต่เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กเพจ ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ก็ได้นำคลิปเสียงมาเผยแพร่ ซึ่งเป็นคลิปเสียงสนทนากับชายที่ระบุตนว่าเป็น “อดีตคนรัก” ของร่างทรงหญิงที่เคยคบหากันได้ปีกว่าๆ ชายในคลิปเสียงออกมาเผยเนื้อหาในอีกแง่มุมที่สังคมอาจยังไม่ทราบ เขาบอกว่า ในช่วงแรกที่เขารู้จักเธอ เธอไม่ได้มีท่าทางและอาการตามที่ผู้คนเห็นกัน เธอก็เป็นเหมือนกับคนปกติ ใช้ชีวิตปกติ เมื่อถูกถามว่าสมัยที่รู้จักกับร่างทรงหญิงคนนี้แรกๆ มีอาการและท่าทางแบบที่เห็นในข่าวหรือไม่ เขาก็ตอบว่า “ไม่มีแบบนี้เลย แต่เขาก็บอกว่ามีองค์ เราก็ไม่ได้สนใจคิดว่าเขานับถือเทวดาปกติ” ส่วนในเรื่องที่ว่ากินเจและไม่ฆ่าสัตว์นั้น ชายในคลิปเสียงก็ออกมาเผยว่า ร่างทรงหญิงคนนี้ไม่ได้กินเจตลอดเวลา มีกินเนื้อสัตว์บ้างแต่เป็นเนื้อสัตว์ทะเลไม่ค่อยกินสัตว์บก นอกจากนี้ยังให้ความเห็นว่า ร่างทรงหญิงคนนี้ดูแล้ว น่าจะป่วย เพราะเมื่อก่อนไม่ได้เป็นขนาดนี้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่เพื่อเรียกกระแส ให้ธุรกิจใหม่ด้านร่างทรงของเธอเป็นที่น่าเชื่อถือมากขึ้น คลิปเสียงที่ถูกเผยแพร่ออกมา อย่างไรก็ตามทางเราไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ความเชื่อของผู้ใด เพียงแต่นำเสนอสิ่งที่กำลังเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมและโลกอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ที่มา: ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม
-
พนักงานบอกเจ้านาย ไม่ว่างพอที่จะไปทำงานได้ ติดธุระมาเป็นร่างทรงให้พระวิษณุอยู่…
หลังจากที่นาย Rameshchandra Fefar ได้รับบรรจุเป็นพนักงานแล้ว ทางหน่วยงานกลับต้องมาตั้งคำถามกับเขาว่า ทำไมถึงโผล่มาทำงานแค่ 16 วันตลอดระยะเวลา 8 เดือน!? Rameshchandra Fefar วิศวกรจากรัฐคุชราต ประเทศอินเดีย ตอบกลับไปด้วยความมั่นใจว่า เขาเป็นร่างทรงร่างที่ 10 ในการประสูติใหม่ของพระวิษณุ และยุ่งเกินกว่าจะไปทำงานหลวง เพราะมีงานของพระเจ้าที่ต้องทำเยอะแยะไปหมด… นาย Rameshchandra เป็นวิศวกรของหน่วยงานด้านการย้ายถิ่นฐานและฟื้นฟูประจำรัฐคุชราต (SSPA) เขาอ้างว่าได้รับความยิ่งใหญ่จากพระผู้เป็นเจ้าครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ปี 1999 จากการอ่านคอลัมน์ดูดวงในหนังสือพิมพ์ เขารู้สึกได้ว่างร่างกายเริ่มถอดจิต และถูกเติมเต็มด้วยพลังความสุขของพระเจ้า แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่จนกระทั่งภรรยาอ่านคอลัมน์ดูดวงให้ฟัง กล่าวว่าเขาจะกลายเป็นผู้นำของเหล่ามนุษย์อันชาญฉลาด พระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ แม้จะรู้แล้วว่าได้รับพลังมา ช่วงแรกๆ เขาก็ยังคงไปทำงานตามปกติ แต่แล้วก็เกิดการปลุกพลังเป็นครั้งที่ 2 ในระหว่างเข้าออฟฟิศ!! “ในวันที่ 6 มีนาคม 2010 ผมกำลังทำงานอยู่แล้วก็รู้สึกถึงพลังของพระวิษณุที่เข้ามา ผมได้รับการเชื่อมพลังโดยตรงกับพระผู้เป็นเจ้า วิญญาณของผมกลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณอันสูงสุด” เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อ …
-
ทฤษฎีใหม่ ‘โลกนี้ไม่มีแรงโน้มถ่วง’ ประกาศกร้าวกลางงานประชุมครั้งแรกของชาวโลกแบน!!
เปิดตัวเปิดใจกันออกมาแล้ว กับกลุ่มผู้ที่มีความเชื่อว่าโลกนั้น “แบนราบ” ในปัจจุบันก็เริ่มมีการรวมตัวรวมกลุ่มกันในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก และเริ่มมีความยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการจัดงานประชุมอย่างเป็นทางการ!! อย่างที่ประเทศอังกฤษ ก็เพิ่งจะมีการจัดงานประชุมของกลุ่มผู้เชื่อในทฤษฎีโลกแบนเป็นครั้งแรก แถมยังมีการเปิดเผยถึงทฤษฎีใหม่ที่พิสูจน์ข้อกังขาที่ว่า โลกนี้ไม่มีแรงโน้มถ่วงอีกต่างหาก… ผู้คนกว่า 200 ชีวิตเข้าร่วมการประชุม Flat Earth UK Convention ในครั้งนี้ โดยจัดงานที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ด้านผู้จัดงานได้ทำการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านโลกแบนมาเป็นผู้พูดหลักภายในงานหลายท่าน และหนึ่งในผู้พูดที่พีคที่สุดก็คือนาย Dave Marsh เพราะเขายืนกรานว่า สามารถหักล้างกฎการเคลื่อนที่ของโลกได้ เพียงแค่ใช้กล้องและแอปพลิเคชั่นเท่านั้น!! “งานวิจัยของผมหักล้างทฤษฎี Big Bang จนสิ้น เพราะทฤษฎีครั้งนี้จะสนับสนุนแนวที่คิดที่ว่าแรงโน้มถ่วงไม่มีอยู่จริง และพลังที่จริงแท้ที่สุดในธรรมชาติก็คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเท่านั้น” Dave Marsh กล่าวเรียกความสนใจจากแขกในงาน เขาได้อธิบายไว้คร่าวๆ ว่า เขาพิสูจน์ด้วยการใช้กล้องส่องดูดวงจันทร์ วัดระยะเวลาการเดินที่จะกลับมาสู่ตำแหน่งเดิมในแต่ละวัน และในแต่ละครั้งจะมีความคลาดเคลื่อนของเวลาอยู่เสมอ ซึ่งอาจจะไม่มีแรงโน้มถ่วงเข้ามาเกี่ยวข้อง… อย่างไรก็ตาม ทางด้าน Tom นักข่าวจาก Ladbible ที่ได้เข้าไปร่วมงานเปิดเผยว่ากลุ่มผู้เชื่อว่าโลกแบนต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และพวกเขาก็เป็นมิตรมากๆ…
-
พิธีศักดิ์สิทธิ์ในอินเดีย ลากรถยนต์ไปไกลกว่า 30 เมตร ด้วย “องคชาต” เท่านั้น!!?
ในรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ผู้คนจำนวนมากได้มารวมตัวกันเพื่อรับชมการลากรถด้วย “องคชาต” ที่กระทำโดยนักบวชในศาสนาท่านหนึ่ง (มีคลิปด้านล่าง) นักบวชดังกล่าวได้ฉายาว่า Penis Baba ผู้ที่ลากรถยนต์ได้ด้วยการใช้เชือกผูกระหว่างรถและองคชาต ของเขา เพียงกำลังของอวัยวะเพศ เขาสามารถลากรถได้ไกลกว่า 30 เมตร ภายใต้ผ้าขาวที่เขานุ่งห่ม ปลายเชือกด้านหนึ่งถูกมัดเอาไว้กับของลับ Penis Baba หันหน้าเข้าหารถ พร้อมเดินถอยหลังอย่างช้าๆ เพื่อลากรถให้ค่อยๆ ไหลไป ประชาชนหลายร้อยคนต่างรวมตัวกันเพื่อดูการกระทำที่เกี่ยวกับศาสนานี้ โดยชาวบ้านผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งกล่าวว่า “ตอนเด็กๆ Penis Baba นั้นเคยหายตัวไปบำเพ็ญตบะและฝึกวิชาอยู่หลายปี” แต่ไม่รู้ว่าไปฝึกอะไรมาถึงกลับมาแสดงพลังขององคชาตได้แบบนี้ Penis Baba อธิบายว่า “นี้ไม่ใช่งานศิลปะ นี่เป็นพลังที่พระเจ้าประทานให้กับผู้อุทิศตน” ชมคลิปเหตุการณ์ได้ด้านล่างได้เลย ขณะเดียวกันก็พบว่า ในเมืองอัลลอฮาบาด ทางด้านเหนือของอินเดีย ผู้ที่เรียกตัวเองว่า สาธุ ท่านหนึ่งออกมาลากรถบรรทุกเล็กๆ ด้วยองคชาตเช่นเดียวกัน แต่ที่แตกต่างกับ Penis Baba คือชายที่เรียกตัวเองว่าสาธุนี้เปลือยกาย ใส่เพียงรองเท้าแตะคู่หนึ่งเท่านั้น…
-
หวด…ล้างบาป!! พิธีชำระล้างบาปในเม็กซิโก ผู้คนออกมา “เฆี่ยนแส้” ใส่กันในวันอีสเตอร์
(มีภาพและเนื้อหาที่ควรใช้วิจารณญาณในการรับชม) แต่ละศาสนาหรือแต่ละวัฒนธรรมนั้นก็จะมีพิธีกรรมหรือธรรมเนียมปฏิบัติที่แต่งต่างกันออกไป แม้ว่าจะเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์ด้วยกันเอง แต่พิธีกรรมล้างบาปนั้นกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในประเทศเม็กซิโก ในวันพระเยซูคริสต์ทรงคืนหรือที่เรียกกันว่า วันอีสเตอร์ (Easter) ของศาสนาคริสต์ถือว่าเป็นวันที่สำคัญอย่างยิ่ง ทั้งนี้ผู้นับถือศาสนาคริสต์ในแต่ละภูมิภาคก็จะมีพิธีการเฉลิมฉลองที่แตกต่างกัน โดยที่พบเห็นได้บ่อยและดูเป็นที่นิยมที่สุดก็คือการตกแต่งไข่และการค้นหาไข่ที่เรียกกันว่า “ไข่อีสเตอร์” แต่บางพื้นที่ประเทศเม็กซิโกกลับมีพิธีในวันอีสเตอร์ที่แตกต่างกับการค้นหาไข่ยิ่งนัก นั่นก็คือการ ปิดถนนเฆี่ยนตีกัน โดยผู้คนที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ในเมือง Soltepec แห่งประเทศเม็กซิโก ได้มีการจัดพิธีกรรมนี้ขึ้นในวันอีสเตอร์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพิธีชำระล้างบาปให้กับร่างกาย ธรรมเนียมปฏิบัตินี้เชื่อว่าเริ่มมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เนื่องจากผู้เฒ่าเป็นกังวลว่าวัฒนธรรมและความเชื่อทางคริสต์ศาสนาจะเสื่อมสลายไป พิธีกรรมนี้ถือเป็นการชำระล้างบาปให้ตนเองด้วยการทรมาน นอกจากชาวเม็กซิโกแล้ว ชาวฟิลิปปินส์บางกลุ่มก็ฟาดแส้ใส่กันในวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ในเมือง San Fernando รัฐแคลิฟอร์เนีย บางครั้งพิธีกรรมนี้ถูกเรียกว่า Magdarame พวกเขาเชื่อว่า พิธีกรรมนี้จะเป็น “ฆ่า” ความบาปที่พวกเขาเห็นและพบเจอมา “ปิศาจแห่งความอ่อนแอ ความคิดชั่วร้าย และความศรัทธาอันน้อยนิดที่ครอบงำชีวิตของผู้คนมาเป็นเวลายาวนาน พิธีนี้จะกำจัดมันให้สิ้นซาก” Rev Michael Geisler เขียนเอาไว้ ถึงแม้พิธีเฆี่ยนล้างบาปนี้จะถูกมองว่ารุนแรงเกินไป แต่ก็ยังเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในหลายๆ ประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ที่มา: Thesun
-
อือหือ!? 17 ความเชื่อผิดๆ และอาจอันตราย เกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์ ที่หลายคนยังเข้าใจผิดกันอยู่
เชื่อไหมว่าในโลกนี้นั้น มีความเชื่อที่มีการพิสูจน์ว่าไม่เป็นความจริงอยู่หลายต่อหลายครั้งแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนที่เชื่อในเรื่องพวกนี้อยู่ดี อาจเพราะความเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่ล้มกันได้ยาก มีคนมากมายที่เชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อมันถูกต้องที่สุดอยู่เสมอ ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ขอให้ได้เชื่อก็เป็นพอ แต่ความเชื่อบางอย่างนั้นอาจจะนำมาซึ่งเรื่องอันตรายได้ ดังนั้นผู้คนก็จะยังคงพยายามออกมาบอกให้ผู้คนที่ไม่รู้นั้นเข้าใจเสียให้ได้ ดั่งเช่นความเชื่อ 17 ข้อเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์ต่อไปนี้ ที่ได้รับการยืนยันแล้วยืนยันอีก ว่ามันเป็นเพียงความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ต่อให้เสียบเข้าไปลึกขนาดไหน มันก็ไม่มีทางที่กระจู๋จะทิ่มไปโดนทารกระหว่างมีเซ็กส์ได้ เพราะกระจู๋นั้นไม่ใหญ่พอที่จะทะลวงผ่านคอมดลูก และ Mucus plug (เนื้อเยื่อหรือเมือกที่ปิดปากมดลูกไว้ป้องกันการติดเชื้อจากภายนอก) การมีเซ็กส์ก่อนการแข่งขันใหญ่ไม่ได้มีผลต่อความสามารถของนักกีฬา เซ็กส์ไม่ได้เผาผลาญแคลอรีมากพอที่จะส่งผลต่อสมรรถภาพทางร่างกายของผู้แข่ง แถมถ้ามันจะมีผลต่อนักกีฬาแล้วล่ะก็ มันก็ไม่พ้นการช่วยผ่อนคลายความเครียดนั่นเอง การสอดใส่อย่างเดียวมีโอกาสสูงมากที่ผู้หญิงจะไม่ถึง ตามสถิติแล้ว มีผู้หญิงเพียง 20-30% ที่จะถึงจากการสอดใส่อย่างเดียว ส่วน 70-80% ที่เหลือต้องมีการกระตุ้นปุ่มกระสันร่วมด้วย ออรัลเซ็กส์นั้นไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิด ทั้งการทำให้ และการถูกทำนั้น สามารถทำให้ติดโรคทางเพศสัมพันธ์บางชนิดได้ เป้าตุงไม่ได้แปลว่าน้องชายจะตัวใหญ่เสมอไป งานวิจัยยืนยันแล้วว่าขนาดของน้องชายตอนตัวเล็กไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับความยาวตอนแข็งตัวเลย วัยรุ่นในปัจจุบันไม่ได้มีเซ็กส์มากขึ้น แม้ว่าจะมีพ่อแม่หลายคนเชื่อแบบนั้นก็ตาม จากงานวิจัยหลายชิ้น (ของอเมริกา) พบว่าวัยรุ่นในปัจจุบันมีเซ็กส์กันน้อยกว่ารุ่นก่อนๆ อีก ไม่ได้มีเลือดออกตอนครั้งแรกของผู้หญิงเสมอไป ผู้หญิงที่มีเลือดออกในครั้งแรกนั้น แท้จริงแล้วมีสัดส่วนต่ำกว่าครึ่งของผู้หญิงทั้งหมดด้วยซ้ำ การทำท่ากลับหัวไม่ได้ช่วยให้ตัวอสุจิเข้าไปในไข่ง่ายขึ้นแต่อย่างใด ไม่ยังไงตัวอสุจิก็จะไปหยุดที่…
-
คุณแม่ขับรถพาลูกน้อยสองคน พุ่งชนเสาคอนกรีต อ้างเพื่อพิสูจน์ ‘พระเจ้า’ มีอยู่จริง!?
ต่างคนต่างมีความเชื่อเป็นของตัวเอง แต่สิ่งที่สำคัญคือเราต้องมีสติรับรู้ถึงความเป็นจริง และไม่ควรพาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายโดยที่ไม่จำเป็นเหมือนอย่างที่คุณแม่คนนี้ได้ทำ เมื่อเธอต้องการจะแสดงให้ลูกๆ ของเธอเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อของตัวเอง วันที่ 26 มีนาคม 2018 เว็บไซต์ Oddity Central ได้รายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนถนนในเขต Gwinnett รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา เมื่อคุณแม่วัย 25 ปีที่ชื่อ Bakari Warren ตัดสินใจขับรถพาลูกน้อยทั้งสองคนของเธอพุ่งเข้าชนกับเสาคอนกรีตบริเวณสี่แยก ภาพตอนที่รถวิ่งเข้าไปชนอย่างจัง เจ้าหน้าที่ที่เห็นเหตุการณ์ผ่านกล้องวงจรปิดจึงรีบเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุในทันที พร้อมกับสอบถามถึงเหตุผลที่เธอขับเปลี่ยนเลนเข้าไปชนเสาคอนกรีตข้างทางอย่างจัง แล้ว Bakari ก็บอกกับตำรวจทุกคนว่า เธอขับรถพุ่งชนเสาเพราะต้องการจะแสดงให้ลูกๆ เห็นว่าพระเจ้ามีอยู่จริง และพระองค์จะปกป้องเราถ้าหากเรามีความเชื่อแบบนั้น คำให้การของเธออาจดูเหมือนคำแก้ตัวที่ไม่น่าเกิดขึ้นจริง แต่ลูกๆ ทั้งสองอายุ 5 ขวบและ 7 ขวบที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังก็ยืนยันว่า นั่นเป็นเหตุผลจริงๆ ที่ทำให้แม่ของพวกเขาขับรถไปชน Bakari คุณแม่ที่ขับรถพาลูกน้อยสองคนพุ่งชนเสาคอนกรีต ลูกคนหนึ่งของเธอบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า “นั่นคือเหตุผลของแม่จริงๆ เพราะเธอตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปหาเสาเอง ในตอนนั้นเธอปิดตาพร้อมกับพูดอะไรสักอย่าง บลาๆๆ และสิ้นสุดด้วยคำว่า ‘ฉันรักพระเจ้า’” โชคดีที่คุณแม่บอกให้เด็กๆ รัดเข็มขัดเอาไว้ก่อนตั้งแต่แรกจึงทำให้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด…
-
10 นิสัยผิดๆ ที่พวกเราอาจจะคิดว่าทำแล้วดี แต่ที่จริงแล้วมันกลับไม่ได้ดีอย่างที่คิด
ในโลกใบนี้มีความเชื่อผิดๆ อยู่มากมายกว่าที่คิด บางสิ่งบางอย่างเป็นอะไรที่เราได้ยินมาตั้งแต่เมื่อสมัยยังเด็ก และหลายๆ อย่างที่เราเชื่อกันมาเพราะมันฟังดูสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ไม่ถูกต้องนั้นสักวันก็จะถูกพิสูจน์ และนำมาซึ่งความจริงที่ถูกต้องกว่า ดั่งเช่น 10 นิสัยผิดๆ ที่พวกเราอาจจะคิดว่าทำแล้วดี แต่ที่จริงแล้วมันกลับไม่ได้ดีอย่างที่คิด ต่อไปนี้ การทำความสะอาดหู เป็นสิ่งที่ควรจะทำเป็นประจำ เรื่องแรกนี้ต้องทำความเข้าใจกันเล็กน้อย การทำความสะอาดหูนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แต่แคะหูด้วยตัวเองต่างหาก ที่อาจจะเป็นอันตรายได้ ขี้หูนั้นจะเคลือบด้านในของหู และปกป้องหูจากเชื้อแบคทีเรียเชื้อรา และแมลงได้ แถมร่างกายของคนเรานั้นมีกลไกที่จะกำจัดขี้หูออกไป โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่หากคุณทำความสะอาดหูด้วยตัวคุณเอง คุณอาจจะได้รับผลตรงข้าม เมื่อคุณทำการแคะหูคุณเองด้วยคอตตอนบัด ขนของคอตตอนบัดที่ตกค้างจะทำให้เกิดการผลิตขี้หูมากขึ้น สิ่งที่คุณควรทำคือการทำความสะอาดหูของคุณออกเบาๆ ด้วยผ้าเปียกหลังอาบน้ำก็เพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตามในบางกรณีร่างกายของคนเราอาจจะไม่สามารถกำจัดขี้หูออกไปได้หมด ในกรณีนั้นแนะนำให้ไปพบผู้เชียวชาญเฉพาะทางเลยจะดีกว่า ให้ยืนห่างๆ ไมโครเวฟเวลาเครื่องกำลังทำงาน เตาอบไมโครเวฟนั้น ไม่ได้เป็นอันตรายอย่างที่หลายคนคิด มันต่างจากรังสีเอกซ์ที่ใช้ในการเอ็กซเรย์มาก ไมโครเวฟไม่ได้ผลิตสารเคมีหรือรังสีที่เป็นไอออนไนซ์ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อดีเอ็นเอหรือการกลายพันธุ์ของยีน ในความเป็นจริงไมโครเวฟทำขึ้นเพื่อให้รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ผลิตได้ไม่หลุดออกมาข้างนอกอยู่แล้วด้วย ดังนั้นตราบใดที่คุณไม่กอดไมโครเวฟที่เปิดอยู่ การใช้ไมโครเวฟจะไม่มีความเสี่ยงใดๆ ต่อสุขภาพ กดน้ำทันทีที่ทำธุระเสร็จโดยไม่ปิดฝาชักโครก ทุกคนรู้ดีว่าควรกดน้ำทันทีที่ทำธุระเสร็จ มันไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำอย่างถูกต้อง ถ้าฝาชักโครกน้ำทิ้งไว้ก่อนกดน้ำ อนุภาคเล็กๆ ของแบคทีเรียจะสามารถพ่นขึ้นจากการกดน้ำได้สูงถึง 2 เมตร…
-
6 ความเชื่อในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแบบผิดๆ ที่อาจทำให้ผู้ป่วยมีอันตรายยิ่งขึ้นไปอีก
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ในบางครั้งอาจจะเป็นตัวกำหนดโชคชะตาของคนๆ หนึ่งว่าจะอยู่หรือจะตาย ดังนั้นเรื่องเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะยังมีความเชื่อบางอย่างที่คนเราเชื่อกันผิดๆ เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นกันอยู่ โดยที่มีตัวอย่างดังต่อไปนี้ เวลามีแผลให้รีบห้ามเลือดให้แน่นในทุกกรณี จริงอยู่ว่าการไม่ห้ามเลือดนั้น อาจทำให้มีการเสียเลือดมากจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่หากรัดแน่นจนเกินไปก็อาจจะทำให้เสียอวัยวะส่วนนั้นๆ ไปเพราะการขาดเลือดไปเลี้ยงได้เช่นกัน การห้ามเลือดที่ถูกต้องนั้นไม่ควรรัดลงไปที่ตัวแผลเลย แต่ควรรัดที่ด้านบนของแผลเล็กน้อย และไม่ควรทำการห้ามเลือดทิ้งไว้เป็นเวลานาน หากเป็นไปได้ควรมีการคล้ายการรัดทุกๆ 20-60 นาที เวลามีคนบาดเจ็บบนถนนให้รีบพาออกมาข้างทางในทันที แม้ว่าการทิ้งผู้บาดเจ็บไว้กลางถนนเลยนั้นอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ แต่การที่จู่ๆ ไปเคลื่อนย้ายคนเจ็บเลยนั้นก็เป็นเรื่องที่อันตรายเช่นเดียวกัน ผู้ที่บาดเจ็บจากทางท้องถนนนั้นมีโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บที่ไขสันหลัง ซึ่งการที่จู่ๆ ไปเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บอาจนำไปสู่การเป็นอัมพาตครึ่งล่าง หรือถึงแก่ความตายได้ เวลามีคนเป็นลมชักให้รีบหาอะไรมาใส่ปากทันที การหาอะไรมาใส่ปากคนที่เป็นลมชักนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะหากหากเลือกไม่ดีอาจจะทำให้ฟันของผู้ชักเสียหายได้ แล้วฟันที่หักมีโอกาสสูงที่จะลงไปอุดหลอดลม วิธีที่ดีของการปฐมพยาบาลคนเป็นลมชักนั้น ทำได้โดยการหาอะไรมาหนุนที่ศีรษะผู้ป่วย เช่นเสื้อผ้า หรือหมอน และเรียกรถพยาบาล ใช้ยาสีฟัน หรือน้ำมันทาแผลไฟลวก การใช้ยาสีฟัน หรือน้ำมันทาแผลไฟลวกนั้นจะทำให้ตัวยาสีฟันไปคลุมแผลไว้ แต่ไม่ได้ไล่ความร้อนออกไปแต่อย่างไร วิธีที่ดีที่สุดในการรปฐมพยาบาลแผลไฟลวก ทำได้โดยการนำจุดที่โดนลวกแช่ในน้ำเย็นราวๆ 15-20 นาที และปล่อยให้แผลแห้ง หากจะทายาอะไรเพิ่มให้เว้นระยะเวลาอีกสักพักก่อน เวลามีคนเป็นลม ให้หาวิธีปลุกให้เร็วที่สุด อันนี้เป็นความคิดที่ผิดเป็นอย่างมาก โชคดีที่จำนวนคนที่คิดแบบนี้มีอยู่ไม่มากนัก…
-
“หมู่บ้านผีดิบ” ที่ชาวบ้านขุดศพคนในครอบครัวขึ้นมาใช้ชีวิตอยู่ด้วย เพราะเชื่อว่ายังไม่ตาย…
[คำเตือน: มีภาพและเนื้อหาที่กระทบกระเทือนจิตใจ ควรใช้วิจารณญาณในการรับชม] ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง บนเกาะซูลาเวซี ประเทศอินโดนีเซีย ถูกเรียกว่าเป็น “หมู่บ้านผีดิบ” เพราะที่นั่น มีพิธีกรรมสุดประหลาดอย่างหนึ่ง ที่มีการขุดญาติหรือสมาชิกในครอบครัวที่ “ตาย” ไปแล้ว ขึ้นมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีกครั้ง พิธีกรรมดังกล่าว เป็นพิธีกรรมของชาว Torojan ซึ่งเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ชาวบ้านจะมีการขุดศพของญาติและสมาชิกในครอบครัวที่ตายไปแล้ว ขึ้นมาชะล้างทำความสะอาดและแต่งองค์ทรงเครื่อง เพื่ออาศัยอยู่ในบ้านอีกครั้ง ขุดขึ้นมา อาบน้ำ แต่งตัว สูบบุหรี่ และใช้ชีวิตร่วมกัน . . ศพนั้นถูกขุดขึ้นมานำมาไว้ในบ้านนานนับทศวรรษ และทางครอบครัวก็จะใช้ชีวิตร่วมกับศพคนรักของพวกเขา โดยมองว่าเขายังไม่ได้ตาย แต่เขาแค่ “ป่วย” จนกว่าทางครอบครัวจะสามารถจัดพิิธีศพตามความเชื่อได้อย่างสมเกียรติที่ชื่อว่า Rambu Solo จึงจะสามารถยอมรับได้จริงๆ ว่าศพนั้นได้ตายไปแล้ว ชาว Torojan ทำกับคนรักที่พวกเขาขุดขึ้นมาเหมือนกับว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว (ที่ยังมีชีวิต) พวกเขาพูดคุย ให้น้ำ ให้อาหาร และแน่นอนว่า ยามเข้านอน ก็นอนด้วยกัน ไม่ว่าจะศพผู้ใหญหรือเด็ก ก็ถูกนำขึ้นมาแต่งตัว และใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว…
-
ชายผู้พยายามชูโรงว่า ‘ผู้หญิงดีกว่าทุกด้าน’ แต่ดันถูกตอกหน้ากลับโดยเหล่าผู้หญิงเอง…
เป็นเรื่องแล้วคราวนี้ เมื่อ Michael Moore ผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อดังได้ออกมาโพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ของเขาถึงการยกย่องเพศหญิงว่าเป็นเพศที่ “ดีกว่า” เพศชาย ซึ่งมันก็ฟังดูเหมือนจะดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มสตรีนิยม แต่ผลกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะได้มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่า Jessica Ellis ได้ออกมาโพสต์ทวิตเตอร์แย้ง Moore ว่าที่เขากล่าวมามันไม่จริง พร้อมกับยกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้หญิงมาตอกหน้า Moore เข้าอย่างจัง ลองไปฟังเรื่องราวจริงๆ แบบละเอียดกันเลยดีกว่า… Moore โพสต์ว่า “ไม่มีผู้หญิงคนไหน สร้างระเบิดปรมาณู สร้างโรงงานอุตสาหกรรม ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย และก่อการฆาตกรรมในโรงเรียน เสียหน่อย” และสาว Ellis คนนี้ก็เข้ามาตอบ “เห็นได้ชัดว่า ที่เขาพูดมามันไม่จริง” นี่คือ Elizabeth Graves ที่ทำงานในแมนฮัตตัน ในโครงการหนึ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ Elizabeth Graves และนี่ก็คือ Mary Walton เธอจดทะเบียนเป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมสองแห่ง Mary Walton …
-
10 ความเชื่อแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นใน ‘ยุคมืด’ เมื่อวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายความจริงได้!?
ยุคมืด คือยุคสมัยที่ศาสนจักรได้เข้าครอบงำสังคมในยุโรป จนทำให้เกิดความถดถอยทางด้านวิทยาศาสตร์และความคิดเป็นอย่างมาก และในช่วงนี้เอง ก็มีความเชื่อแปลกๆ ถือกำเนิดขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน ความเชื่อเหล่านั้นคงเป็นเรื่องเพ้อเจ้อสำหรับคนในยุคปัจจุบัน แต่ว่าถ้าเราจะลองไปเรียนรู้มันซักหน่อยก็ไม่ได้เสียหายอะไร วันนี้ #เหมียวตะปู เลยอยากชวนเพื่อนๆ ไปรู้เกี่ยวกับ 10 ความเชื่ออันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในยุคมืด มันจะพิสดารสักแค่ไหน เราไปติดตามอ่านกันเลย 1. วัฒนธรรมการล่าตัวบีเวอร์ ในช่วงนั้นเหล่านักล่าจะออกไปคร่าชีวิตเจ้าตัวบีเวอร์เพราะต้องการลูกอัณฑะของมันมาใช้ในทางการแพทย์ จนเกิดเป็นเรื่องเล่าในปี 1188 เมื่อชายที่ชื่อว่า Gerald จากประเทศเวลส์ บอกว่าเวลาที่ตัวบีเวอร์เจอนักล่า มันจะกัดอวัยวะเพศของตัวเองเพื่อร้องขอชีวิต ทำให้ทุกคนเชื่อมาตลอดว่าพวกมันทำอย่างนั้นจริงๆ 2. การรักษาด้วยไก่ ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ในสมัยนั้นไม่รู้จะรักษาโรคระบาดด้วยวิธีการใดดี พวกเขาจึงคิดหาวิธีแปลกๆ ออกมามากมาย หนึ่งในนั้นคือการเอาไก่มาถูบริเวณที่มีแผลพุพอง ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะ 3. วิธีการรักษาโรคซิฟิลิส การเป็นโรคซิฟิลิสในยุคนั้นคงถือว่าเป็นเรื่องที่โชคร้ายอย่างมาก เพราะพวกเขาอาจต้องเจอกับหมอบางคนที่แนะนำให้คนไข้ดื่มปรอทซึ่งเป็นสารเคมีอันตรายเข้าไปเป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะกังวลว่าแผลจะหายหรือเปล่า คงต้องกังวลก่อนว่าเขาจะรอดหรือเปล่าดีกว่า 4. เจาะรูที่กะโหลกศีรษะ ความเชื่อที่ว่ามีวิญญาณร้ายอยู่ในหัวของคุณ ทำให้เหล่าคุณหมอในยุคนั้นเกิดความคิดที่จะใช้เครื่องเจาะขนาดเล็กที่เรียกว่า Trephine เจาะรูลงไปในกะโหลกศีรษะซะเลย รับรองว่าจะหายขาดกลับมาเป็นคนปกติดังเดิม 5. สูบใบยาสูบเพื่อการรักษา ช่วงยุค…
-
ถึงกับดราม่า นักเขียนออกมาขอโทษ หลังวาด ‘กระจ๊วย’ บนหน้าเจงกิสข่านในการ์ตูนสำหรับเด็ก
กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตทีเดียวหลังจาก ภาพใบหน้าของ เจงกิสข่าน ในหนังสือการ์ตูนสำหรับเด็ก ได้มีการแต่งเติมด้วยการวาดรูป “อวัยวะเพศชาย” ลงไปบริเวณหน้าผาก ซึ่งทำให้ผู้วาดต้องออกมาขอโทษขอโพย CoroCoro Comic คือสำนักพิมพ์หนังสือการ์ตูนรายเดือนสำหรับเด็กประถม โดยส่วนมากการ์ตูนของสำนักพิมพ์จะสอดแทรกไปด้วยมุกตลก ที่ทำให้เนื้อเรื่องมีสีสันและเกิดความบันเทิง อย่างเช่นหนังสือการ์ตูนเรื่อง Yarisugi!!! Itazura-kun ที่เขียนโดย Asumi Yoshino โดยในเนื้อเรื่อง มีฉากหนึ่งที่ตัวละครจะต้องตอบคำถามในชั้นเรียน ถึงการเติมช่องว่างที่หายไปเพื่อเติมเต็มชื่อของ เจงกิส ข่าน หรือที่ภาษาญี่ปุ่นจะออกเสียงว่า จิงกิซุ ฮัง ในคำถามมีการเว่นช่องว่างไว้ ประมาณว่า “จิ_ _ง” ขณะที่กำลังคิดหาคำตอบที่เป็นไปได้ เช่น จิบะ เคน (แปลว่าจังหวัดชิบะ) หรือ ชา ฮัง (แปลว่า ข้าวผัด) สุดท้าย คำตอบที่ตัวละครตอบกลับเป็น จิง จิง ที่แปลว่า “กระจู๋” และเพื่อพิสูจน์ว่าคำตอบของเขาถูกต้อง เขาก็ได้วาดรูปจู๋ลงบนหน้าผากของ เจงกิส ข่าน ซึ่งเขาเรียกมันว่า “หมวกนักรบโรมัน” แต่มุกตลกในหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้ได้เผยแพร่ไปเข้าหูของ Asashoryu…
-
ผู้เชี่ยวชาญอธิบาย ทลาย ‘เยื่อพรหมจรรย์’ เลือดไม่ออกเสมอไป และแม้ขาดก็ไม่ได้หายไปเลย
เพศศึกษานั้นเป็นเรื่องยากที่จะสอนให้กระจ่างได้ ผู้สอนนั้นต้องมานั่งกังวลถึงปริมาณความรู้ที่จะใส่เข้าไปในการสอนแต่ละครั้ง เพื่อที่จะไม่ให้มันมากจนเกินไป หรือว่าน้อยจนการสอนไร้ประสิทธิภาพ บวกกับความลึกลับของร่างกายมนุษย์ของเราอีกด้วย ดังนั้นจึงมีหลายกรณีเหมือนกันที่คนเราจะต้องพยว่าความรู้บางเรื่องที่เราเชื่อมั่นมานานแสนนานนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสองคนคือ Nina Brochmann และ Ellen Støkken Dahl นักเขียนหนังสือชื่อดัง The Wonder from Down Under ได้ปฏิเสธความเชื่ออันยาวนานเกี่ยวกับเยื่อพรหมจรรย์ในงาน TEDx Oslo และพวกเขาต้องการให้ทุกคนจดจำเรื่องนี้ไว้ให้ดี ความเชื่อที่หนึ่ง: เยื่อพรหมจรรย์จะฉีกขาดและมีเลือดออกเมื่อมีเซ็กส์ครั้งแรก คนเรานั้นเชื่อว่าเยื่อพรหมจรรย์นั้นคล้ายๆ กับพลาสติกแรปที่เมื่อถูก “ทะลวง” จนเป็นรูแล้วจะไม่สามารถซ่อมให้กลับมาเป็นแทนเดิมได้และเห็นความเสียหายได้อย่างชัดเจน แต่แท้จริงแล้วนั้น เยื่อพรหมจรรย์จะมีสภาพเป็นขอบของเนื้อเยื่อที่บริเวณด้านนอกส่วนทางเข้าของช่องคลอด โดยที่มักจะมีรูปร่างเหมือนโดนัดไม่ก็พระจันทร์เสี้ยวแต่มันก็ไม่แน่เสมอไปเพราะรูปร่างของเยื่อพรหมจรรย์นั้น แตกต่างกันไปในแต่ละคน นั่นทำให้การตรวจสอบเยื่อพรหมจรรย์นั้นเป็นไปได้อย่างยากลำบากมาก เพราะถ้าหากว่าคุณมีเยื่อพรหมจรรย์ที่ยืดยุ่นได้มาก คุณจะแทบไม่มีโอกาสที่จะมีเลือดออกตอนที่มีเซ็กส์เลย ไม่ว่าคุณจะยังบริสุทธิ์หรือไม่ โดยที่โอกาสเกิดเรื่องที่ว่านี้เกิดขึ้นในกว่าครึ่งของผู้หญิงทั้งหมด สาวบริสุทธิ์บางคนก็มีเลือดออก บางคนก็ไม่มีเลือดออก ความเชื่อที่สอง: เยื่อพรหมจรรย์จะหายไปตลอดกาล หลังจากมีเซ็กส์ครั้งแรก เยื่อพรหมจรรย์ก็เหมือนกับ ‘โดนัทรัดผม’ ทั้งในแง่การทำงานและลักษณะ ในความเป็นจริงแล้ว เยื่อพรหมจรรย์สามารถยืดได้ และสำหรับสาวๆ หลายคน เยื่อพรหมจรรย์ยังเหนียวมากพอที่จะรองรับการสอดใส่ทางช่องคลอดได้โดยที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ส่วนสำหรับคนที่เยื่อพรหมจรรย์ไม่ได้ทนทานขนาดนั้น มันจะฉีกออกเล็กน้อยเพื่อรับอวัยวะเพศชาย แต่ก็ใช่ว่ามันจะหายไปเลยอย่างที่เราเชื่อกัน Nina…
-
ชายหนุ่มลักลอบเข้าไปขโมย “นิ้วโป้ง” ของรูปปั้นทหารโบราณมูลค่ากว่า 140 ล้านบาท!!
ปกติในทุกๆ ปี พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา จะมีงานเลี้ยงที่เรียกว่า Ugly Sweater Party เพื่อให้ทุกๆ คนได้มาสนุกสนานกันภายใต้ชุดเสื้อถักเก๋ๆ สไตล์ใครสไตล์มัน แต่แล้วมันก็ได้เกิดเหตุโจรกรรมขึ้นท่ามกลางงานรื่นเริงในปี 2017 ที่ผ่านมา เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคม 2017 ระหว่างที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินไปกับงานเลี้ยง Michael Rohana หนุ่มวัย 24 ปี ก็หาจังหวะแอบเข้าไปในพื้นที่จัดแสดงชั่วคราว รูปปั้นทหารแห่งองค์จักรพรรดิที่หนึ่ง ซึ่งเป็นชุดผลงานศิลปะที่ถูกยืมมาจากประเทศจีน พื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะรูปปั้นดินเผาอันเก่าแก่ ภายในพื้นที่จัดแสดงเต็มไปด้วยรูปปั้นนักรบรวมมูลค่ากว่าหลายร้อยล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มทหารที่ถูกปั้นขึ้นมาไว้สำหรับคุ้มครององค์จักรพรรดิคนแรกของจีน Qin Shi Huang (จิ๋นซีฮ่องเต้) หลังจากที่เขาจากโลกนี้ไป แต่อาจจะเป็นเพราะความชะล่าใจ จึงทำให้ทางพิพิธภัณฑ์ยังคงป้องกันพื้นที่ที่ถูกปิดเอาไว้ไม่เพียงพอ Michael เลยสามารถแอบเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ลอดผ่านเชือกสีดำที่ถูกผูกเอาไว้กับเสาสองต้นเท่านั้นเอง หลังจากที่เขาเข้าไปในเขตหวงห้าม ชายหนุ่มก็ควักสมาร์ตโฟนขึ้นมาเซลฟี่ภาพของตัวเองที่กำลังโอบไหล่รูปปั้นทหารเอาไว้หนึ่งรูป ก่อนที่เขาจะตัดสินใจขโมยนิ้วโป้งมือด้านซ้ายของรูปปั้นดินเผาชิ้นนั้นกลับบ้าน ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 140 ล้านบาท นิ้วโป้งซ้ายของรูปปั้นที่ชายหนุ่มขโมยไป การโจรกรรมของเขาถูกบันทึกเอาไว้ผ่านกล้องวงจรปิดของทางพิพิธภัณฑ์ พร้อมด้วยหลักฐานอีกชิ้นใน Snapchat (แอปพลิเคชั่นโซเชียลเน็ตเวิร์กรูปแบบหนึ่ง)…
-
นักท่องเที่ยวแห่ทำตามความเชื่อ นำเงินยัดใส่เสาศาลเจ้า “อิสึกุชิมะ” หวั่นทำให้พังในเร็ววัน…
ประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นหนึ่งในประเทศที่ผู้คนนิยมไปเที่ยวกันมากที่สุดอย่างปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจากความโดดเด่นด้านองค์ประกอบทางทัศนียภาพ อาหาร และศิลปะวัฒนธรรม ตัวอย่างก็เช่น ย่านอะกิฮะบะระ หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบการ์ตูนญี่ปุ่น หรือจะเป็น เมืองฮะโกะเนะ สำหรับผู้ที่สนใจในน้ำพุร้อนและการแช่ออนเซ็น เกาะมิยาจิมะ ในเมืองฮิโรชิมานั้นเองก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเช่นกัน เพราะเป็นเกาะที่ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาอันเต็มไปด้วยผืนป่าเขียวชอุ่มและศาลเจ้าเก่าแก่กว่าร้อยปี ที่นั่น นอกจากจะมีกวางออกมาเดินให้เห็นในเมืองกันแล้ว ยังมีสิ่งที่ถือว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของเกาะ นั่นก็คือ ซุ้มประตูโทะริอิ แห่งศาลเจ้าอิสีกุชิมะ ที่โผล่ขึ้นมากลางน้ำ เมื่อยามน้ำลดลงคุณสามารถเดินไปยังบริเวณขาตั้งของซุ้มประตูได้ เสาซุ้มประตูสีส้มนี้เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆ . และด้วยความที่ช่วงล่างของซุ้มประตูนั้นต้องอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน เสาไม้ก็เริ่มแตกและโก่งงอ แถมนักท่องเที่ยวบางกลุ่มมีความเชื่อในการนำ “เหรียญ” เข้าไปยัดในรอยแตกร้าวของเสา ซึ่งทำให้เกิดภาพที่ไม่สวยงามและส่งผลเสียต่อซุ้มโทะริอิอีกด้วย ทั้งนี้ผู้ใช้ Twitter ชาวญี่ปุ่นที่ใช้ชื่อว่า @riyusuisuiriyu ได้เผยแพร่ภาพสภาพปัจจุบันของเสาโทะริอิ พร้อมกับคำวิงวอนให้หยุดความเชื่อการยัดเหรียญดังกล่าว ในโพสต์ของเธอมีใจความว่า “หากยังทำเช่นนี้ต่อไป เสาโทะริอิจะต้องพังแน่ๆ ดูที่เหรียญเหล่านั้นสิ ผู้คนนำมันไปยัดไว้ในรอยแตกซึ่งมันก็จะยิ่งแตกมากขึ้นกว่าเดิม ฉันไม่อยากให้เสาโทะริอินี้กลายเป็นเพียงอดีตมรดกของโลกหรอกนะ จงจำไว้ นี่คือศาลเจ้า ไม่ใช่ของเล่นในสวนสนุก” ความเชื่อของชาวญี่ปุ่นที่เชื่อว่าการบริจาคเหรียญด้วยวิธีการโยนหรือใส่เข้าไปในกล่องนั้นจะนำมาซึ่งโชคลาภ สุขภาพ และพรต่างๆ คงไร้ค่า และศาลเจ้าอายุนับศตวรรษก็คงจะสูญสลาย หากความเชื่อผิดๆ ที่ว่าการนำเหรียญไปยัดในเสาไม้โทะริอิที่แตกจะนำมาซึ่งสิ่งเดียวกันนั้นยังคงแพร่หลายต่อไป การไปเที่ยวในสถานหนึ่งๆ…
-
คุณพ่อชาวจีนหัวเก่า สนับสนุนให้ลูกคบกับคนผิวขาว แทนที่จะคบกับคนผิวสี
เรื่องของเชื้อชาติหรือสีผิวยังคงเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันอยู่ตลอด ไม่ใช่เพียงเพราะความแตกต่างในเรื่องของภาษาหรือวัฒนธรรม หากแต่ยังมีคนบางกลุ่มที่มองว่า เชื้อชาตินี้ดีกว่าอีกเชื้อชาติหนึ่ง เหมือนอย่างความคิดของคุณพ่อชาวจีนคนนี้ ที่อยากให้ลูกสาวของตัวเองคบกับคนผิวขาว และไม่ให้คบกับคนผิวสี แนวคิดของคุณพ่อคนนี้ถูกนำเสนอออกมาผ่านการพูดคุยกับลูกสาวของตัวเอง และเธอก็ทำการถ่ายคลิปแบบให้ได้ยินแต่เสียง ไม่เห็นหน้า ก่อนที่จะนำมาโพสต์ใน Reddit เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2018 ภายในคลิปหญิงสาวถามพ่อของเธอว่า “ถ้าน้องสาวคบกับคนผิวสีพ่อจะโกรธใช่มั้ย แต่ถ้าเป็นคนผิวขาว-” แล้วพ่อเธอก็ตอบแทรกมาว่า “ใช่ เพราะปกติแล้วคนจีนไม่ชอบคนผิวสี” ลูกสาวยังถามพ่ออีกว่า “ไม่ใช่แค่ผิวสี แต่รวมถึงคนแขกฝั่งอินเดียด้วยหรือเปล่า” พ่อเธอก็ตอบว่า “ใช่ พ่อไม่ชอบพวกเขาเหล่านั้นเลย” เธอจึงถามหาเหตุผลว่าทำไมพ่อของเธอถึงคิดเช่นนั้น เขาจึงตอบกลับมาแบบคลุมเครือว่า “พ่อจะอธิบายว่ายังไงดี คนพวกนั้นทำให้พ่อรู้สึกไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่” หญิงสาวจึงมุ่งประเด็นไปว่าทำไมพ่อของเธอถึงคิดว่าคู่รักชาวจีนกับคนผิวขาว ถึงดีกว่าคู่รักชาวจีนกับคนผิวสี แล้วคุณพ่อจึงอธิบายว่า “พ่อไม่ได้บอกว่าคนขาวดีกว่าคนจีน แต่คู่รักคนจีนกับคนผิวขาวยังไงก็ดีกว่าคนจีนที่คบกับคนผิวสีหรือคนแขก” จากนั้นลูกสาวจึงถามประโยคสุดท้ายว่า “พ่อคิดว่าลูกครึ่งชาวจีนกับผิวขาวดูสวยงามมากที่สุดแล้วใช่มั้ย?” พ่อเธอจึงยกตัวอย่างถึงคนคนหนึ่งที่ชื่อว่า Gabby และบอกว่าคนคนนั้นมีใบหน้าที่ขี้เหร่เมื่อตอนเป็นเด็ก แต่พอโตขึ้นมากลับน่ารัก ซึ่งคาดว่าคนที่พ่อของเธอพูดถึงจะเป็นลูกครึ่งชาวจีนกับคนผิวขาว วิดีโอดังกล่าวได้กลายเป็นที่พูดถึงเกี่ยวกับความคิดที่หลายๆ คนมองว่าเป็นการถูกปลูกฝังของคนในยุคเก่า ที่มองว่าเชื้อชาติหนึ่งดีกว่าอีกเชื้อชาติหนึ่ง ซึ่งในที่นี้หมายถึงคนขาวดีกว่าคนผิวสี แน่นอนว่าเชื้อชาติที่ต่างกัน…
-
ชายชาวเมเลย์พุ่งเข้าตบหญิงสาวผู้ไม่สวมฮิญาบ เมื่อเธอบอกว่ามีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ใส่
เมื่อเวลาผ่านไป ความเชื่อและระเบียบวินัยด้านศาสนาก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ยกตัวอย่างเรื่องที่พระสงฆ์ต้องซ้อนรถจักรยานยนตร์เพื่อเดินทางไกลแล้ว แม้ว่าในทางวินัยจะไม่ควรทำ แต่คนอีกส่วนหนึ่งก็เข้าใจว่าต้องปรับให้เข้ากับยุคสมัยตามสมควร อย่างไรก็ตามในสังคมของเราก็ยังมีทั้งกลุ่มคนที่เป็นพวกอนุรักษณ์นิยม ที่เชื่อว่าทุกอย่างควรจะเป็นไปตามกฎดั้งเดิมของศาสนาเท่านั้น และคนอีกกลุ่มที่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงแล้วอาศัยอยู่ร่วมกัน จึงอาจะทำให้เกิดความขัดแย้งกันได้ ชายหนุ่มสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงวอร์ม เข้าไปคุยกับหญิงชุดดำ เหตุการณ์นี้ก็เป็นผลจากความขัดแย้งเรื่องระเบียบของศาสนาเช่นกัน เรื่องเกิดขึ้นที่จุดรอรถประจำทางในประเทศมาเลเซีย โดยมีชายคนหนึ่งเดินเข้าไปต่อว่าและทำร้ายหญิงกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่รอรถอยู่ เนื่องจากพวกเธอไม่ยอมสวมผ้าโพกหัวตามความเชื่อของศาสนาอิสลาม คลิปนี้ถูกถ่ายไว้โดยคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ในคลิปจะเห็นว่าชายซึ่งสวมเสื้อกันหนาวแขนยาวและกางเกงวอร์ม ได้เข้าไปถามหญิงสาวที่แต่งตัวด้วยชุดสีดำว่าเธอนับถือศาสนาใด เมื่อเธอตอบเขาว่านับถือศาสนาอิสลาม เขาจึงถามต่อด้วยท่าทางโมโหว่าทำไมเธอถึงไม่สวมผ้าโพกหัว เขาไม่พอใจที่เธอไม่ยอมสวมผ้าโพกหัวตามความเชื่อดั้งเดิมของศาสนาอิสลาม หญิงสาวก็ตอบเขาว่าเธอไม่สวมผ้าโพกหัวเพราะมันเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะเลือกใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ทว่าคำตอบของเธอทำให้เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แล้วใช้หลังมือตบหน้าเธอทันที ทันทีที่คนรอบข้างเห็นดังนั้น พวกเธอก็ลุกขึ้นมาปกป้องหญิงสาว และต่อว่าชายคนดังกล่าวทันที โดยหญิงที่สวมผ้าโพกหัวและถือโทรศัพท์มือถืออยู่ได้ลุกขึ้นมาเถียงกับผู้ชายคนนี้แทนหญิงที่ถูกตบหน้า และคลิปวิดีโอก็จบลงเพียงเท่านี้ ชายหนุ่มตบหน้าหญิงสาวในที่สาธารณะทันทีที่ได้ยินคำตอบจากเธอ คลิปวิดีโอนี้ถูกเผยแพร่ลงในโซเชียลเน็ตเวิร์กของประเทศมาเลเซีย และได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก โดยคนที่ได้เห็นคลิปนี้แล้ว ส่วนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของชายคนนี้เอาเสียเลย คลิปวิดีโอเหตุการณ์ ประชากรกว่า 30 ล้านคนในเทศมาเลเซียนั้นเป็นคนที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในประเทศเลยทีเดียว และตามความเชื่อดั้งเดิมแล้ว ผู้หญิงอิสลามก็ควรจะสวมผ้าโพกหัวเวลาออกไปข้างนอกบ้านด้วย ไม่เช่นนั้นจะถือว่าแต่งกายไม่มิดชิด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ คนในประเทศมาเลเซียมีความเชื่อเรื่องอนุรักษณ์นิยมของศาสนาอิสลามเพิ่มมากขึ้น ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงใดๆ…
-
กลุ่มหญิงชาวจีนผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘แม่มด’ ต้องรวมตัวกัน จากความเชื่อผิดเพี้ยนที่ยังคงอยู่…
แม้ว่าปัจจุบันโลกของเราจะมีวิทยาการล้ำยุคขนาดไหน แต่ความเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์หรือว่ามนต์ดำ ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ในประเทศต่างๆ ตลอดเวลา ซึ่งความเชื่อในเรื่องเหล่านี้ ก็ทำให้บางคนต้องได้รับความเดือดร้อนจากการถูกกล่าวหา อย่างเช่น ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ปิศาจ ต่างๆ นานา จนทำให้ชีวิตของพวกเขาเหล่านี้พังพินาศกันเลยก็เคยมีให้เห็นเช่นเดียวกัน และนี่ก็คืออีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ เมื่อมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งถูกหมางเมินจากคนในหมู่บ้าน จากการถูกตราหน้าว่าเป็นแม่มด ทำให้พวกเขาต้องรวมตัวกันเพื่อเอาชีวิตรอด… จากรายงานที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Nature Human Behavior เมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ทีมนักวิจัยที่ศึกษาในเรื่องนี้ได้ออกมาเปิดเผยถึงข้อมูลอันโหดร้ายบนโลกใบนี้ว่า ณ หมู่บ้านเกษตรกรรมแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของประเทศจีน มีคนจำนวนถึง 13.7% ของจำนวนชาวบ้านทั้งหมดถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มมนตร์ดำ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ชาวบ้านเรียกพวกเขาว่า Zhu หรือแปลได้ว่าแม่มดนั่นเอง “เหล่า Zhu มักถูกกล่าวหาว่า พวกเขาสามารถบังคับงูได้ หรือสามารถวางยาพิษในจานอาหารของผู้อื่นได้ โดยเพียงแค่ใช้ตาเปล่าเท่านั้น” Ting Ji นักมานุษยวิทยาแห่งสถาบันวิทยาศาสตร์จีนหนึ่งในทีมวิจัยนี้ กล่าว ซึ่งพวกชาวบ้านเชื่อกันว่ากลุ่มแม่มดที่ว่านี้ จะสามารถส่งผ่านเชื้อแม่มดของพวกเขาได้ ผ่านสิ่งของมีค่าต่างๆ อย่างเช่น ผ้าไหม ทองคำ หรือเครื่องเงิน จึงทำให้การแพร่ระบาดของการเป็นแม่มดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อครอบครัวไหนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นพวก Zhu แล้ว พวกเขาเหล่านี้ก็จะมีผู้คบค้าสมาคมที่ลดน้อยลง รวมถึงก็จะถูกรังเกียจจากชาวบ้านทั่วไปมากขึ้นอีกด้วย…
-
15 เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ กับการมีประจำเดือนและความขมขื่น ที่ผู้หญิงในอดีตยากจะหลีกเลี่ยง
ในอดีตกาล วิทยาศาสตร์หรือความรอบรู้ยังไม่เจริญก้าวหน้าเท่ากับปัจจุบัน จึงทำให้เกิดความเชื่อหลายๆ อย่างที่ผิดไปจากความเป็นจริง อย่างเช่นความเชื่อในเรื่องประจำเดือนของผู้หญิง ช่วงก่อนศตวรรษที่ 19 แพทย์ในยุคนั้นเชื่อว่าผู้หญิงหลั่งเลือดออกมาเพื่อระบายความร้อน อารมณ์และความรู้สึกที่ผิดปกติ ซึ่งมันผิดไปจากความเป็นจริงที่เกี่ยวข้องกับการตกไข่ แต่คนในยุคนั้นไม่เคยรับรู้ถึงเรื่องนี้มาก่อน นอกจากความเชื่อแบบนี้แล้ว ยังมีความเชื่อหรือตำนานแปลกๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของประจำเดือน เราลองไปรับรู้พร้อมๆ กันเลยยย 1. ชาวโรมันโบราณเชื่อว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนคือแม่มดมนต์ดำ นักปรัชญาชาวโรมัน Pliny The Elder บอกว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนจะสามารถบังคับพายุฝนฟ้าคะนอง ลมบ้าหมู ฟ้าผ่า และความแห้งแล้งอุดมสมบูรณ์ได้ รวมถึงเวทมนตร์ที่ใช้ป้องกันตัวอย่างการฆ่าสัตว์ที่จะเข้ามาทำร้ายเพื่อแค่การมอง เลือดเมนส์ที่ไหลออกมาก็ยังเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดหมาบ้าขึ้นมาอีกต่างหาก 2. ชาวอียิปต์โบราณนำกระดาษพาไพรัสแบบอ่อนมาใช้เป็นผ้าอนามัยแบบสอด ชาวอียิปต์ใช้กระดาษดังกล่าวพันรอบๆ แท่งไม้เพื่อใช้เป็นผ้าอนามัยแบบสอดและช่วยในเรื่องของการคุมกำเนิด ในขณะที่ชาวโรมันใช้ขนสัตว์ในการทำผ้าอนามัยแบบเดียวกัน 3. ชาวยุโรปในยุคกลางจะเผาคางคกเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดียิ่งขึ้น นักประวัติศาสตร์ Amy License บอกถึงวิธีการที่ง่ายมากๆ เพียงแค่จับคางคกมาเผาในหม้อ แล้วนำขี้เถ้าของมันไปใส่ถุงเอาไว้ โดยพกพาถุงที่ใส่ขี้เถ้านั้นให้มันอยู่ใกล้ๆ กับช่องคลอด เท่านี้เลือดลมก็ไหลเวียนดีขึ้นแล้ว 4. ชาวฝรั่งเศสเชื่อว่าการมีเพศสัมพันธ์ตอนที่เมนส์มาจะทำให้มีสัตว์ประหลาดคลอดออกมา ตามข้อมูลจาก The Curse: A Cultural…
-
20 ความจริงทางวิทยาศาสตร์ ที่เราเคยเชื่อว่ามันจริงมาตลอด แต่นั่นมันไม่ใช่เลยจ้า!!
วิยาศาสตร์นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเล่นแง่ แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ จริงๆ แล้วมันควรจะมีวัตถุประสงค์ แต่ก็มีข้อมูลผิดๆ มากมาย ซึ่งอาจจะใช้เวลายาวนานถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเลยทีเดียว กว่าจะคิดได้ว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้นมันผิด ยกตัวอย่างเมื่อสมัยก่อน ผู้คนนั้นปฏิเสธที่จะเชื่อว่าจริงๆ แล้วโลกของเรา และดาวทั้งหลายนั้น ต่างโคจรรอบดวงอาทิตย์ จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง กาลิเลโอ ได้พิสูจน์ แต่ถึงแม้ว่าวิทยาศาสตร์จะมาไกลขนาดไหน ก็ยังจะมีคนเชื่อข้อมูลแบบผิดๆ อยู่อีก นี่คือ 20 ตัวอย่างข้อเท็จจริง ที่ผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ออกมาแล้วว่าไม่เป็นจริง 1. ผมหรือขนของคุณ จะไม่หนาขึ้นเมื่อโกนบ่อยๆ บางครั้งการโกนหนวดอาจจะทำให้ดูเหมือนว่าหนวดที่งอกขึ้นมานั้นดูหนาขึ้น แต่ในความจริงแล้วมันก็หนาเท่าเดิม 2. ผมและเล็บจะไม่ยาวขึ้นหลังจากคุณตายแล้ว เมื่อคุณตายเซลล์ต่างๆจะหยุดทำงาน ผมและเล็บจึงหยุดการเจริญเติบโต นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมคนตายถึงไม่มีเล็บเพราะว่าผิวหนังจะหดตัวลงหลังจากที่ตายแล้วนั่นเอง 3. ผมของคุณจะไม่หงอกเร็วถ้าคุณย้อมมัน จริงๆ แล้วสีผมของเราเป็นผลมาจากเซลล์เม็ดสีซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ การไม่ดูแลสุขภาพ หรือความเครียด ดังนั้นการย้อมผมไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย 4. แม่นกจะทิ้งลูกตัวเองหากถูกสมุษย์สัมผัสตัวลูก ความจริงแล้วนกนั้นมีต่อมการรับกลิ่นที่เล็กมากทำให้ความสามารถการดมกลิ่นนั้นไม่ดีนัก แม่นกจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำถ้าเราไปสัมผัสลูกของมัน 5. Daddy Longlegs ไม่ใช่แมงมุมที่พิษร้ายแรงที่สุดในโลก…
-
นักวิชาการตุรกีเถียงหูดับ อ้างว่า ‘Noah’ ใช้มือถือโทรเรียกลูกชาย ให้มาขึ้นเรือก่อนน้ำท่วมครั้งใหญ่
กลายเป็นกระแสฮือฮามากๆ ในประเทศตุรกี เมื่อนักวิชาการท่านหนึ่งได้ออกมานั่งยันนอนยันว่า เมื่อสมัยก่อนตอนที่น้ำจะท่วมโลก Noah นั้นได้ใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อติดต่อกับลูกชายของเขา…งงละสิ! Dr. Yavuz Örnek จากมหาวิทยาลัยในอิสตันบูล ประเทศตุรกี ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการทีวี TRT 1 ของประเทศตุรกี ซึ่งเขาได้ยืนยันว่า เมื่อยุค 10,000 ปี มนุษย์มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าตอนนี้มากๆ Dr. Yavuz บอกว่า Noah นั้นมีเทคโนโลยีระดับสูงอยู่ในมือ โดยเขาไม่ได้ใช้ไม้ต่อเรือแต่อย่างใด แต่เขาใช้เหล็กมาต่อเรือ นอกจากนั้นยังใช้พลังงานนิวเคลียร์เป็นตัวขับเคลื่อน ไม่หมดเท่านั้น Noah ยังใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อติดต่อลูกและภรรยาเพื่อบอกให้เขาเตรียมการรับมือน้ำท่วมโลกด้วย จากนั้น Noah ก็ได้เก็บรวบรวมสัตว์สายพันธุ์ต่างๆ โดยเป็นตัวผู้และตัวเมียอย่างละตัว ส่วนสัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่ ก็จะถูกเก็บไข่มาพักไว้ในเครื่องฝักไข่นั่นเอง แน่นอนว่าพิธีกรของรายการที่เชื่อเช่นเดียวกับใครหลายคนว่าพระเจ้าเป็นคนบอกให้ Noah สร้างเรือก็จะต้องสงสัยและถามว่าทำไม Dr. Yavuz จึงคิดแบบนั้น Dr. Yavuz จึงบอกว่า “เพราะผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ คุณลองคิดดูสิ Noah และลูกๆ ของเขาอยู่ห่างกันหลายกิโลเมตร แล้วเขาจะติดต่อกันได้ยังไง แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องใช้โทรศัพท์โทรหากันนั่นเอง” หลังจากรายการดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ออกไป กระแสด้านลบก็หลั่งไหลและโจมตีเข้าที่ตัว Dr.…
-
ความเชื่อที่ยังคงอยู่.. การล่าแม่มดในอินเดีย จับผู้หญิงผูกไว้กับต้นไม้และทุบตีอย่างรุนแรง
ความเชื่อโบร่ำโบราณของหลายพื้นที่ยังคงมีอยู่สืบต่อกันมา จนอาจปลูกฝังเข้าไปในความคิดและเกิดออกมาเป็นพฤติกรรมความรุนแรงเช่นเดียวกับเหตุการณ์นี้ กับการล่าแม่มดในประเทศอินเดีย วันที่ 6 พฤศจิกายน 2017 เว็บไซต์ Dailymail ได้เผยคลิปวิดีโอหญิงสาว 5 คนถูกมัดติดกับต้นไม้ จากนั้นคนอื่นที่อยู่รอบๆ ก็เข้ามาทุบตีพวกเธออย่างรุนแรง โดยไม่มีการห้ามหรือเข้ามาช่วยเหลือแต่อย่างใด แม้แต่จากสามีของพวกเธอเอง พวกเธอถูกมัดติดกับต้นไม้เอาไว้อย่างไร้ทางสู้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในหมู่บ้าน Madhupur รัฐโอริศา ประเทศอินเดีย โดยคนในหมู่บ้านเชื่อว่าหญิงสาวเหล่านั้นเป็นแม่มด แอบทำพิธีกรรมหรือมีเวทมนต์ จึงถูกตราหน้าว่าเป็นตัวกาลกิณี พวกเธอและสามีถูกลงโทษด้วยพฤติกรรมอันป่าเถื่อน และไม่สามารถป้องกันตัวหรือหนีออกมาจากสถานการณ์นี้ได้เลย ภายในคลิปแสดงให้เห็นว่ามีคนถือกิ่งไม้ฟาดใส่พวกเธออยู่ตลอด อีกทั้งยังมีคนวิ่งเข้ามาตบซ้ำเข้าไปอีก หญิงชาวอินเดียถูกทุบตีอย่างหนัก เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด เหยื่อทั้ง 5 คนกล่าวอีกว่าเรื่องทั้งหมดไม่เคยมีเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมดูแลเลย จนกระทั่งมีคลิปนี้ออกมาถึงได้ยอมเข้ามาตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะอย่างนั้นจึงทำให้ 2 ปีที่ผ่านมาในเขต Mayurbhanj นั้น มีหลายเหตุการณ์ที่กลุ่มคนตัดสินคนอื่นๆ และลงโทษพวกเขากันเองโดยไม่มีการควบคุม ในเดือนตุลาคมปี 2017 ที่ผ่านมามีคน 3 คนถูกทุบตีอย่างทารุณ ไร้ความปรานีในหมู่บ้าน Gangraj หรือเหตุการณ์ที่หญิงสาวรายหนึ่งถูกตีจนตายเพราะมีอาการทางจิตและพยายามขโมยเด็กในหมู่บ้าน Domuhani ความรุนแรงที่มาจากความเกลียดชัง เพียงเพราะความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมา ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าความเชื่อของคนสามารถกำหนดพฤติกรรมที่ออกมาได้มากกว่าการใช้เหตุผลในปัจจุบัน และบางครั้งความเมตตาหรือความผิดชอบชั่วดีก็ไม่อาจหยุดสิ่งนี้เอาไว้ได้เลย…
-
ผลงานสุดล้ำ!!! หากสมมุติว่าความเชื่อแบบไทยไปอยู่ในยุคกรีก-โรมัน ก็คงจะเป็นแนวๆ นี้
ภาพของการถวายขนม น้ำแดง มีธูปเทียน ตุ๊กตาช้างม้าวัวควาย หรือมีผ้าเจ็ดสีพันอยู่รอบๆ คงเป็นเรื่องปกติที่เราสามารถพบเห็นได้ในสังคมไทย จากสื่อต่างๆ ไมว่าจะเป็นข่าวในทีวีหรือหนังสือพิมพ์ รวมถึงโซเชียล โลกออนไลน์เองก็ด้วย ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใหญ่แถวบ้าน จอมปลวก หลักกิโล หมาสามขา วัวสองหัว ทุกอย่างล้วนแล้วแต่สามารถเป็นสิ่งศักดิ์สิทธื์ได้ทั้งสิ้น เพราะมันเกิดจากการผสานกันระหว่างความเชื่อและศาสนาของคน โดยที่บางครั้งก็ไม่สามารถรับรู้เหตุผลได้ว่า ทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงต้องเป็นที่เคารพกันด้วยนะ . “แต่เอ๊ะ เรื่องที่เราเห็นจนชินตาเหล่านี้ มันเกิดขึ้นแค่เพียงภายในประเทศเราหรือเปล่านะ? ประเทศอื่นเขาก็ไม่ได้มีอะไรแบบนี้กันนี่นา ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นเรื่องที่เจ๋งมากเลยน่ะสิ” นี่คือความคิดของหนุ่มวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ใช้ชื่อเฟซบุ๊กว่า Sakkarin Suttisarn เขาจึงได้สร้างผลงานที่มีชื่อว่า Transformation of Object to Worshiping จากความสงสัยที่ว่า ถ้าหากนำความเชื่อไทยสไตล์เหล่านี้ไปรวมเข้ากับ รูปปั้นชื่อดังในโรม อิตาลี หรือที่อื่นๆ แล้ว มันจะออกมาเป็นอย่างไร . ที่เราได้เห็นกันนี้คือการใช้โปรแกรมตัดต่อภาพของวัตถุที่มีผู้คนสักการะ รวมเข้ากับประติมากรรมที่เลือกมาจำนวน 9 แห่ง ในตอนแรกเขาเพียงโพสต์ภาพทั้งหมดลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ก่อนที่มันจะกลายเป็นการจัดแสดงนิทรรศการในรอบ 5 ปีของเขา ร่วมกับศิลปิน Apiwat Singharach ในงานที่มีชื่อว่า…
-
นักวิจัยเผย “ทำไมคนนับถือศาสนาถึงยึดติดอยู่กับความเชื่อ ทั้งที่ขัดแย้งกับความจริง?”
ศาสนาเป็นเรื่องของความศรัทธา เมื่อเราเชื่อสิ่งใด เราก็จะปฏิบัติตามวิถีของความเชื่อนั้นๆ ที่สำคัญคือความเชื่อเป็นสิ่งที่เปลี่ยนได้ยากที่สุด แม้จะมีเหตุผลหรือข้อพิสูจน์มาหักล้างก็ตาม สอดคล้องกับการศึกษาล่าสุดที่พบว่า คนที่นับถือศาสนาจะ “ยึดมั่น” กับความเชื่อบางอย่างที่มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับมุมมองทางศีลธรรมของพวกเขา นักวิจัยกล่าวว่า “บุคคลที่ดันทุรังยืดมั่นในความศรัทธาของตัวเองแม้สิ่งนั้นจะขัดแย้งกับหลักความเป็นจริงก็ตาม นั่นเป็นเพราะความเชื่อเหล่านั้นสื่ออารมณ์ ความรู้สึก” ในทางตรงข้าม นักวิทยาศาตร์พบว่า คนที่พยายามต่อสู้หรือเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จะมีมุมมองด้านบวกเกี่ยวกับศาสนา เพราะสมองของพวกเขาถูกครอบงำโดยการคิดวิเคราะห์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Case Western Reserve University ในโอไฮโอ ได้สัมภาษณ์คนที่นับถือศาสนากับคนไม่มีศาสนา จำนวน 900 คน ซึ่งทั้งสองกลุ่มต่างถือความคิดตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ทั้งนี้ในทั้งสองกลุ่มนี้ คนที่มีทักษะในการให้เหตุผล จะเป็นคนที่มีความเชื่อน้อยกว่า แต่พวกเขาจะแตกต่างกันในเรื่องความกังวลทางศีลธรรมมีอิทธิพลต่อความคิดของพวกเขา Anthony Jack รองศาสตราจารย์ด้านปรัชญาและผู้ร่วมวิจัย กล่าวว่า “อารมณ์ความรู้สึกจะช่วยให้คนที่นับถือศาสนามีความมั่นใจมากขึ้น เห็นความถูกต้องทางศีลธรรมในบางอย่างมากขึ้น และช่วยยืนยันความคิดของพวกเขามากขึ้นด้วย” “ในทางตรงข้าม ความกังวลทางศีลธรรมจะทำให้คนที่ไม่นับถือศาสนารู้สึกไม่มั่นใจ” Anthony กล่าว ในขณะที่ Jared Friedman นักศึกษาปริญญาเอกและผู้ร่วมวิจัย กล่าวว่า “มันแสดงให้เห็นคนที่นับถือศาสนาจะยืดติดอยู่กับความเชื่อบางอย่าง โดยเฉพาะสิ่งที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกับเหตุผลเชิงวิเคราะห์ นั่นเป็นเพราะความเชื่อเหล่านั้นสอดคล้องกับความรู้สึกทางศีลธรรมของพวกเขา” …
-
รวมพลังมนต์ดำ พ่อมดกว่าร้อยชีวิตรวมตัวร่ายคาถาป้องกันสิ่งไม่ดีจาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’
ถ้าจะบอกว่าประเทศไทยเชื่อเรื่องเวทมนตร์ดำ คาถาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับต้นๆ ของโลกแล้วก็ละก็ ลองมาดูข่าวนี้กันก่อน เมื่อแม่มดนามว่า Vicky Adams จากเมืองฮอลลีวูดเรียกรวมตัวเหล่าพ่อมดแม่มดเพื่อร่ายคาถาป้องกัน ‘โดนัลด์ ทรัมป์’!! ฟังแล้วงงใช่ไหมล่ะ Vicky Adams นั้นเปิดร้านขายของเกี่ยวกับไสยศาสตร์อยู่ในเมืองฮอลลีวูด โดยเธอได้ส่งคำเชิญไปยังเหล่าผู้เชื่อว่าตัวเองเป็นพ่อมดแม่มดในโลกแห่งความจริง ให้เดินทางมาซื้อวัตถุดิบที่ร้านของเธอ จากนั้นก็มาร่วมกันร่ายคาถาผูกมัด เธอบอกว่าคาถาและพิธีที่เธอจะทำนั้นไม่ใช่คำสาปชั่วร้ายหรืออะไรที่ไม่ดี แต่มันเป็นคาถาผูกมัดที่จะป้องกันสิ่งไม่ดีที่โดนัลด์ ทรัมป์สร้างขึ้น และส่งผลเสียแก่ทั้งสังคม ผู้คน สัตว์ต่างๆ และสิ่งแวดล้อม เธอยังบอกอีกว่าการร่ายคาถานี้จะทำกันทุกๆ ช่วงข้างแรมของทุกเดือน และการทำพิธีกรรมก็ไม่ได้ส่งคำเชิญไปแค่ในประเทศอเมริกาเท่านั้น แต่ส่งไปทั่วโลกอีกต่างหาก แน่นอนว่าก็มีพ่อมดแม่มดสนใจและเดินทางมากันเพียบ!! เราอาจจะมองว่ายังไงก็งมงาย แต่ Vicky ยังเคลมว่าไสยศาสตร์นั้นมีมานานแล้ว และมันก็อยู่ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติมาโดยตลอด อย่างที่อังกฤษสามารถป้องกันการรุกรานของเยอรมนีได้ ก็เพราะมีแม่มดชาวอังกฤษช่วยยังไงล่ะ เธอยังบอกอีกว่าสมัยนาซีรุกรานก็มีการร่ายเวทมนตร์เพื่อป้องกัน ฉะนั้นโดนัลด์ ทรัมป์ที่ถือเป็นภัยก็จะต้องถูกร่ายเวทมนตร์ใส่เช่นกัน เธอบอกว่า ในพิธีกรรมจำเป็นจะต้องใช้ไพ่หอคอยเพื่อป้องกันไม่ให้ทรัมป์สามารถทวีตข้อความอะไรได้ในช่วงตี 3 และใช้เทียนไขสีส้มหรือแครอทจิ๋วเพื่อเป็นตัวแทนของเขา ตามด้วยภาพที่ไม่มีการยกยออะไรในตัวทรัมป์ จากนั้นพวกเขาก็จะร่ายคาถาเพื่อให้ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์นั่นเอง สุดท้ายแล้ว Vicky บอกว่าคนอื่นอาจจะไม่เชื่อ…
-
ชาวบ้านจีนทำพิธี ‘แห่สุนัข’ ขอความอุดมสมบูรณ์ ฉลองความเท่าเทียมแห่งชีวิต
ความเชื่อนั้นถือเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์กันมาอย่างช้านาน โดยเฉพาะกับสังคมที่เกิดร่างฐานมาจากความเชื่อ อย่างหมู่บ้านในละแวกพื้นที่อันห่างไกลนั้น ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มกำลังใจในการใช้ชีวิตของพวกเขา ล่าสุดชาวจีนชนเผ่าแม้ว ที่ตั้งอยู่ทางภาคใต้ตอนกลางของประเทศจีน ก็ได้จัดพิธีแห่สุนัขขึ้นมา แต่อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นแห่เพื่อกินหรืออะไรนะ อย่าพึ่งคิดว่าคนจีนจะกินสุนัขไปเสียทั้งหมด… เพราะสุนัขในงานแห่นี้ถือเป็นตัวแทนแห่งความสุขของพวกเขา โดยพวกเขาจะดูแลเอาใจใส่เจ้าตูบที่พวกเขาเอามาแห่กันเป็นอย่างดี โดยพิธีนี้มีชื่อว่าพิธี taigoujie (抬狗节) หรือในชื่อภาษาไทยว่า ‘พิธีแห่สุนัข’ ฟังดูแล้วเหมือนพิธีแห่นางแมวขอฝนในบ้านเราเลย โดยจะมีจุดประสงค์ที่คล้ายกันนิดหน่อย เพราะพิธีแห่สุนัขนั้นทำเพื่อขอลม ขอความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผลผลิตของพวกเขา รวมถึงขอบคุณที่มอบชีวิตที่เท่าเทียมและความสุขให้กับชาวบ้านนั่นเอง ขั้นตอนในการทำพิธีกรรมก็ง่ายมาก พวกเขาจะนำเสื้อผ้าทอและเครื่องเงินมาสวมให้กับสุนัข จากนั้นก็ให้พ่อหมอของหมู่บ้านมานำพิธี โดยให้เจ้าตูบนั่งเก้าอี้และแห่ไปตามหมู่บ้าน พร้อมกับเสียงดนตรีที่แสดงถึงความสุขของชาวบ้าน นอกจากนั้นพวกเขายังปาโคลนใส่กันเพื่อแสดงถึงความสงบสุข และความสุขที่พวกเขาได้รับตลอดมา ช่วงทำพิธีก็ดูจะเป็นห่วงเจ้าตูบกันสุดๆ เจ้าตูบก็คงรู้สึกว่า ได้เที่ยวรอบหมู่บ้านแบบ VVIP ดูๆ ไปก็น่ารักดีนะ ส่วนสาเหตที่ทำไมต้องเป็นสุนัขนั้น ก็เล่าขานกันมาตามความเชื่อดั้งเดิมที่ว่า สุนัขเป็นสัตว์ที่นำพาชาวบ้านไปเจอกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทำให้ชาวบ้านรอดพ้นจากความแห้งแล้งนั่นเอง สุนัขสบายดี ชาวบ้านแฮปปี้ ที่มา shanghaiist
-
13 ความเชื่อโบราณเกี่ยวกับ “เซ็กส์” บางอันฟังดูโคตรแปลก แต่ก็มีคนเชื่อจริงๆ
ในยุคที่ทุกวันนี้เราเริ่มตระหนักถึงความเสมอภาคทางเพศมากขึ้น หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ในยุคอดีตกาลมนุษย์เราเคยมีความเชื่อที่แตกต่างไปจากสมัยนี้มากขนาดไหน และครั้งนี้เราจะพาไปรู้จักกับ 13 ความเชื่่อโบราณแปลกๆ จากหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลกที่มีต่อ ‘เซ็กส์’ เมื่อครั้งอดีตกาล บางทีก็แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า.. ครั้งหนึ่งมนุษย์เราเคยเชื่ออะไรแบบนี้จริงๆ จังๆ ด้วยเหรอเนี่ย!? 1. การแข็งตัวของอวัยวะเพศเกิดจากท้องอืด (ห๊ะ!?) ย้อนกลับไปในยุคจักรวรรดิโรมัน เราก็ไม่รู้หรอกว่าคนยุคนั้นเขามีเซ็กส์กันที่ไหน หรือคุมกำเนิดอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เราพอจะรู้คือ นักฟิสิกส์ชาวโรมัน Galen ได้ให้สมมุติฐานถึงอาการแข็งตัวของเจ้าโลกว่า ไม่ได้เกิดจากเลือดไปเลี้ยงแบบปัจจุบัน แต่เกิดจากกรดในกระเพาะที่มากเกินไป… แค่เนี๊ยะ!? 2. ชายหนุ่มจะเสียชีวิตจากการถูกดูดเลือด หากมีเซ็กส์กับผู้หญิงในช่วงประจำเดือน เป็นทฤษฏีที่หลายชั่วอายุคนได้พิสูจน์มาแล้วว่ามันไม่จริง ก็แหม่.. ถึงช่วงติดไฟแดงเมื่อไหร่พี่แกเล่นฝ่ากันตลอด แถมดูเหมือนยิ่งฝ่ายิ่งได้ใจซะด้วยสิ 3. ปาไข่ใส่เมียแล้วเธอจะให้กำเนิดลูกที่ร่างกายแข็งแรง อ้างอิงจากหนังสือของ Edvard Westermarck (Early Beliefs and Their Social Influence) ได้บันทึกประเพณีของชาวยิวที่เขาไปเจอมาในเมืองโมร็อคโคไว้ว่า เขามักจะเห็นสามีปาไข่ใส่ภรรยาหลายต่อหลายครั้ง ด้วยความเชื่อที่ว่า เธอจะให้กำเนิดลูกที่ดีและร่างกายแข็งแรง 4. ถึงจะแต่งงานแล้ว แต่คุณก็ยังต้องตกนรกอยู่ถ้ามีเซ็กส์!! (แล้วตูจะแต่งเพื่อ?)…
-
เรื่องราวของ Heaven’s Gate ลัทธิหลอกคนมา “ฆ่าตัวตาย” เพื่อมุ่งไปพบเอเลี่ยน!?
บนโลกของเรานั้นเต็มไปด้วยความเชื่อหรือลัทธิที่มีอยู่มากมายแตกต่างกันไปทั่วทุกมุมโลก ซึ่งคนส่วนใหญ่จะนำมาเป็นการนำทาง ยึดเหนี่ยวจิตใจให้กับตัวเอง แต่ถ้าหนักไปก็อาจจะพบกับจุดจบอย่างลัทธินี้ก็เป็นได้ Heaven’s Gate คือลัทธิของชาวอเมริกันที่มีความเชื่อและศรัทธาในสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลก หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าเอเลี่ยน โดยกลุ่มนี้นั้นได้มีรากฐานที่ตั้งอยู่ในเมือง San Diego รัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.1974 ต่อมาในวันที่ 26 มีนาคม 1997 ตำรวจได้พบศพจำนวน 39 ศพซึ่งทั้งหมดเป็นสมาชิกในลัทธินี้และเป็นผู้ร่วมกระทำการฆ่าตัวตายหมู่ ตามคำสั่งของความเชื่อที่จะขึ้นยานอวกาศตามไปกับดาวหางเฮลล์-บอพพ์ สมาชิกของ Heaven’s Gate นั้นจะมีความเชื่อที่ว่าโลกนั้นถึงเวลาที่จะหมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง โดยที่ทางเดียวที่จะรอดจากเหตุการณ์นี้นั้นก็คือการออกไปในทันที โดยที่พวกเขานั้นมองว่าร่างกายเป็นเพียงพาหนะนำสู่การก้าวไปยังขั้นต่อไป โดยจะต้องละทิ้งทุกสิ่งที่แสดงถึงความเป็นมนุษย์ เช่น ครอบครัว เพื่อน เรื่องเพศ หน้าที่การงาน ทรัพย์สินเงินทอง และสิ่งที่ตนเองครอบครองทั้งหมด เพื่อก้าวสู่ The Evolutionary Level Above Human ซึ่งเป็นดาวอีกดวงหนึ่งที่ไม่มีความตาย เรื่องเพศ การกิน หรือสิ่งที่ทำให้เราเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ทั้ง 39 ศพนั้นจะมีการกินยาที่ตนผสมขึ้นเองและนำถุงพลาสติกครอบศีรษะไว้ทับด้วยผ้าคลุมหน้าสีม่วง…
-
คุณยายชาวกัมพูชาวัย 74 ปี เชื่อว่าสามีที่เสียชีวิตไป ได้กลับชาติมาเกิดเป็น ‘วัว’
วันที่ 21 กรกฎาคม 2560 ทางเว็บไซต์ Odditycentral มีรายงานว่า Khim Hang หญิงวัย 74 ปี จากจังหวัดกระแจะ ทางตะวันออกของประเทศกัมพูชา ผู้ที่อาศัยอยู่กับลูกวัววัย 5 เดือน เพราะเชื่อว่าวัวตัวนี้คือสามีเก่าของเธอกลับชาติมาเกิด หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว… จากการรายงานระบุว่า Tol Khut ผู้เป็นสามี ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันไปเมื่อปีที่ผ่านมา โดยหลังจากที่ลูกวัวตัวนี้ได้เกิดมาลืมตัวดูโลกในเดือนมีนาคม เธอก็เชื่อว่าต้องเป็นสามีกลับชาติมาเกิดในร่างของลูกวัวตัวนี้อย่างแน่นอน เพราะในขณะที่เธอกำลังนั่งสมาธิ เธอก็รู้สึกว่ามันเข้ามาเลียมือของเธอ ซึ่งมันเป็นลักษณะนิสัยที่คล้ายกับสามีของเธอในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ “ฉันเชื่อว่าลูกวัวตัวนี้คือสามีของฉัน เพราะสิ่งที่มันทำมีลักษณะคล้ายกับสามีของฉันเมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ และเมื่อฉันกำลังนั่งสมาธิเข้าฌาน วิญญาณของเขาก็แอบมากระซิบข้างหูของฉันว่า ผมคือสามีของคุณ… และพอฉันลืมตาขึ้น ก็พบว่าวัวเข้ามาเลียผม เลียคอ จากนั้นก็เข้ามาจูบฉัน ซึ่งมันทำให้ฉันเชื่อว่าเขาเป็นสามีของฉันอย่างแน่นอน” นาง Khim กล่าว สำหรับลูกวัววัย 5 เดือนตัวนี้ ได้อาศัยอยู่ภายในบ้านกับนาง Khim และลูกๆ ของเธอ ซึ่งมันก็ชื่นชอบที่จะเข้าไปอยู่ในห้องนอนห้องเก่า แถมยังชอบมองออกไปนอกหน้าต่าง…
-
ได้ด้วยเหรอ? หนุ่มอาศัยอยู่กับผึ้งทั้งรัง มานานกว่า 12 ปี จนกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน!!
ใครที่เคยโดนผึ้งต่อยมาแล้วครั้งหนึ่ง คงจะจำได้ดีกับความรู้สึกเจ็บปวดจากเหล็กในของผึ้งที่ทำให้เรารู้สึกไม่อยากอยู่ใกล้พวกมันอีกเลย แต่สำหรับหนุ่มจีนผู้มีนามว่า Yongfu Li กลับแตกต่างออกไป เพราะเขาเป็นชายผู้หลงใหลผึ้งและมีความสุขที่ได้อยู่ร่วมใต้ชายคาเดียวกับผึ้งมานานกว่า 12 ปี!! ฟาร์มผึ้งที่อื่นอาจจะต้องเลี้ยงผึ้งอย่างระมัดระวัง แต่สำหรับบ้านหลังนี้พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างเสรี เรื่องราวทั้งหมดกลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลกโซเชียลจีน หลังจากที่แชนแนล PearVideo ได้นำเสนอเรื่องราวของหนุ่มจีน ผู้ปล่อยให้ผึ้งทำรังในบ้านของตัวเองจนกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน หากมองอีกแง่หนึ่งอาจเป็นความเชื่อเรื่องโชคลางก็ว่าได้ เพราะวันที่ฝูงผึ้งเหล่านี้ได้เดินทางมาทำรังในบ้านของเขา เป็นวันเดียวกับที่เขาจัดงานแต่งงานนั่นเอง “วันที่ผึ้งมาทำรังนับว่าเป็นวันดี และผมว่าพวกมันก็รู้ตัวเหมือนกัน อาจารย์ฮวงจุ้ยผมบอกว่าผึ้งเหล่านี้เดินทางมาทำงานให้ผม” นาย Li เล่า จากคำแนะนำของซินแสฮวงจุ้ย Yongfu Li จึงได้ปล่อยให้ฝูงผึ้งทำรังอยู่ในห้องนั่งเล่นของตัวเองมานับตั้งแต่วันนั้น และดูเหมือนคำทำนายจะกลายเป็นเรื่องจริง… เพราะในรอบหนึ่งปีเขาสามารถเก็บน้ำผึ้งสดๆ จากรังของพวกมันได้ถึง 3 ครั้ง ครั้งละ 5 กิโลกรัม ก่อนจะนำไปขายในท้องตลาดและสร้างรายได้เสริมให้เขาปีละ 3,045 หยวน (ราว 15,000 บาท) และที่สำคัญเจ้าตัวยังเคลมว่า ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยถูกผึ้งต่อยเลยแม้แต่ครั้งเดียวอีกด้วย!! …
-
11 ความเชื่อในอดีตเกี่ยวกับ ‘แมว’ จากทั่วโลก กว่าจะล้างสมองคนสำเร็จ ก็ต้องใช้เวลาหน่อย
เมื่อกล่าวถึงเรื่องราวของวัฒนธรรมความเชื่อตามพื้นที่ต่างๆ ก็จะรู้กันว่ามันช่างแตกต่างกันซะเหลือเกิน เพราะความแตกต่างทางสภาพแวดล้อม ทั้งภูมิประเทศ และอากาศของที่อยู่อาศัย เช่นเดียวกันกับเรื่องของ ‘แมวเหมียว’ ที่อยู่คู่กับเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติมาแสนยาวนาน และแน่นอนว่าความเชื่อที่มีต่อมันก็ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ด้วย สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมเรื่องราวความเชื่อแปลกๆ เกี่ยวกับเหล่าแมวเหมียวจากรอบโลกกัน จะเป็นอย่างไรบ้างลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… 1. แมวจะขโมยลมหายใจของเด็กทารก หลายร้อยปีก่อน ในประเทศอังกฤษมีความเชื่อว่าแมวจะกระโดดเข้าไปใกล้ๆ กับเด็กทารกแล้วก็สูบลมหายใจจนทำให้เด็กสำลักและตายไปในที่สุด นั่นเพราะว่าแมวเกิดอิจฉาเด็กทารกเกิดใหม่ ที่มาทำให้ความสำคัญของมันลดลงไป 2. แมวจะกินคนเป็นอาหารเย็นในช่วงคริสต์มาส ในช่วงคริสต์มาสของชาวไอซ์แลนด์จะมีความเชื่อในเรื่องของเจ้าแมวปิศาจขนาดยักษ์ชื่อว่า Yule Cat ที่มักจะออกมาเที่ยวเดินด้อมๆ มองๆ ตามเขตชนบทที่มีหิมะปกคลุม เพื่อหาจับเหยื่อมนุษย์กินในช่วงคริสต์มาส 3. แมวเป็นตัวหายนะที่นำมาซึ่งความตาย ในช่วงยุคกลางสำหรับชาวยุโรปแมวจะถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของปิศาจที่น่ากลัว และมีพลังด้านมืดเหมือนกับเหล่าพ่อมดแม่มด บ้างก็เชื่อว่ามีพลังของซาตาน หากโดนมันกัดขึ้นมาแล้วล่ะก็ คุณจะติดเชื้อคำสาป จนนำมาซึ่งความตายในที่สุด 4. แมวเป็นสัตว์ที่จะนำมาซึ่งความโชคดี ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าแมวนั้นคือตัวการที่ทำให้เกิดความโชคดี จึงกลายมาเป็นความเชื่อเรื่องของ ‘แมวกวัก’ ที่ตั้งเอาไว้หน้าร้านขายของเพื่อเรียกลูกค้า และความมั่งคั่ง…
-
คู่สามีภรรยาทานอาหารสัปดาห์ละ 3 มื้อ กินน้อยแค่นี้ก็พอ เพราะได้รับพลังงานจากจักรวาล!?
เราไม่อาจจะตัดสินความเชื่อของคนอื่นได้ แต่เราสามารถที่จะเรียนรู้ และศึกษาถึงสิ่งที่พวกเค้าศรัทธาได้ Akahi Ricardo วัย 36 ปี และ Camila Castello วัย 34 ปี คู่สามีภรรยาลูกสองชาวเมืองแคลิฟอร์เนีย ผู้เคลมว่าพวกเขาสามารถตัดความรู้สึกหิวออกไปได้ ทานอาหารเพียงสัปดาห์ละ 3 ครั้ง และอ้างว่าได้รับพลังงานจากจักรวาล!! ครอบครัวของสามีภรรยา ทั้งคู่ให้เหตุผลว่า พวกเค้าสามารถจัดการกับความรู้สึกหิวในตัวมนุษย์ได้ และพวกเค้าก็เชื่อว่ามนุษย์เราสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยพลังงานที่มีอยู่ในจักรวาล และในตัวของมนุษย์เอง “มนุษย์สามารถที่จะอยู่รอดโดยไม่มีอาหารได้ ตราบใดที่พวกเขายังสามารถเชื่อมต่อกับพลังงานที่ปรากฎอยู่ทั่วจักรวาลผ่านลมหายใจของเราเอง” ภรรยากล่าว ตลอดระยะเวลาในช่วงสามปีที่ผ่านมา ทั้งคู่เล่าว่าพวกเค้าไม่รู้สึกถึงความหิวโหย และกิเลศที่อยากจะกินอาหารเหมือนคนทั่วไป อย่างมากก็รับประทานเพียงแค่ผลไม้ในยามเข้าสังคมเท่านั้น และน่าแปลกใจที่ตลอดช่วงเวลาของการตั้งครรภ์ ภรรยาก็ยังคงยึดมั่นในศรัทธาความเชื่อของเธอเอง โดยเธออ้างว่าได้ฝึกวิธีการตั้งครรภ์แบบ ‘Breatharian Pregnancy’ “ความหิวเป็นเพียงความรู้สึกภายนอกของฉัน ทุกครั้งที่ตรวจเลือดระหว่างตั้งครรภ์ทุกอย่างเป็นปกติ และฉันก็ได้ให้กำเนิดลูกชายตัวน้อยที่มีสุขภาพแข็งแรงค่ะ” ภรรยาเล่าเสริม ในฐานะที่ทั้งคู่เป็นอาจารย์สอนลัทธิ Breatharianism พวกเขาอ้างว่าด้วยไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง ช่วยให้พวกเค้าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าครอบครัวอื่นหลายเท่า “มันทำให้เราตระหนักได้ว่าอะไรคือเป้าหมายแห่งชีวิต เราเชื่อว่าทุกคนสามารถใช้ชีวิตอย่าง Breatharianism ได้ทุกคน และประเด็นของมันก็ไม่ได้อยู่ที่การทานอาหาร แต่มันหมายการเสริมสร้างพลังงานจากจักรวาลที่ไม่ใช่แค่ด้านกายภาพเท่านั้น”…
-
พาไปชมบรรยากาศเทศกาล ‘ปาขี้วัว’ ในอินเดีย ที่เชื่อว่าจะนำมาซึ่งความมั่งคั่ง และสุขภาพดี
ในทุกๆ ปีชาวบ้านในหมู่บ้าน Kairuppala ที่ตั้งอยู่ในรัฐอานธรประเทศจะมีการจัดงานเทศกาลปา ‘ก้อนอึ๊วัว’ ใส่กัน จนทำให้มีผู้บาดเจ็บมากมายนับ 10 คนเลยทีเดียว แต่แม้จะมีการบาดเจ็บไปบ้าง แต่ก็ยังจัดต่อไปโดยมีความเชื่อว่าประเพณีจะนำมาซึ่งความมั่งคั่งและสุขภาพที่ดี ตามเรื่องราวในตำนานเมื่อขุนนางวีรภัทร ร่างอวตารของพระศิวะ ที่เป็นเทพเจ้าในศาสนาฮินดู และเทพีพระนางภัทรกาลี ได้ตกหลุมรักซึ่งกันและกันจึงตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน แต่ฝ่ายเจ้าบ่าวดันนึกครึ้มอยากแกล้งเจ้าสาวจึงบอกไปว่าเขาไม่ต้องการที่จะแต่งงาน ทำให้พระนางภัทรกาลีโกรธ จึงรวบรวมทหารมาเพื่อทำการสั่งสอนเจ้าบ่าวด้วยการโยนก้อนอึ๊วัวใส่ และอีกฝั่งก็ตอบโต้ไปด้วยเช่นกัน จนผลสุดท้ายทั้งคู่ก็ปรับความเข้าใจกัน และแต่งงานด้วยกันในที่สุด ทำให้ชาวบ้าน Kairuppala ดำเนินตามประเพณีตามตำนานนี้มาอย่างยาวนาน กองอึ๊วัวแห้งขนาดใหญ่ที่มีเป็นนับพันก้อน จะถูกกองเอาไว้บริเวณกลางหมู่บ้าน จากนั้นชาวบ้านก็จะแบ่งออกเป็นสองฝั่ง คือฝั่งของพระนางภัทรกาลี กับฝั่งของขุนนางวีรภัทร ส่วนผู้ชมก็จะขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคาบ้าน หรือไม่ก็บนต้นไม้ เพื่ออยู่ให้ห่างจากการต่อสู้ที่เดือดระอุอบอวลไปด้วยกลิ่นอึ๊วัว เมื่อมีการส่งสัญญาณให้การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นทั้งสองฝั่งก็จะเริ่มโยนก้อนอึ๊วัวแห้งเข้าหากัน และทำไปเรื่อยๆ นานกว่าครึ่งชั่วโมง ทำให้มีผู้บาดเจ็บจากการถูกก้อนอึ๊วัวแข็งๆ กระทบเข้าใส่ และในปีล่าสุดก็มีรายงานว่ามีผู้บาดเจ็บมากกว่า 50 รายเลยทีเดียว!! แต่หลังจากที่ประเพณีจบลง ทุกคนในหมู่บ้านที่เข้าร่วมต่างก็แสดงท่าทีแห่งความสุขออกมา ทั้งสองฝั่งร่วมกันเฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุขแม้ว่าเพิ่งจะต่อสู้กันด้วยก้อนอึ๊วัวอย่างหนักหน่วงมาก่อนหน้านี้ก็ตาม… ลองไปชมคลิปบรรยากาศในงานเทศกาลกันแบบเต็มๆ ที่ข้างล่างนี้ได้เลยจ้า… มีต่ออีกคลิปจ้า… นี่ยังดีนะที่เอาแบบแห้งๆ มาปากัน…
-
ความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยกับการก่อสร้างอาคาร โชคลางเป็นหลัก ความสวยงามเป็นผลพลอยได้…
หลักฮวงจุ้ย ความเชื่อในการออกแบบของสถาปัตยกรรมแบบจีน ที่เชื่อว่าโลกของเรามีการไหลเวียนของพลังงานอยู่ ดังนั้นสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่อยู่บนพื้นโลกก็เช่นกัน ย่อมได้รับผลของการไหลเวียนพลังงานนั้น ถ้าหากมีการก่อสร้างที่เป็นการขวางพลังงานที่ดี ก็อาจจะส่งผลเสียต่ออาคารนั้นรวมไปถึงผู้อยู่อาศัยภายในได้ หลักฮวงจุ้ยนี้ได้รับความนิยมในการนำไปปรับใช้กับการสร้างอาคารต่างๆ ในปัจจุบันอย่างมาก เพื่อให้ผู้ที่อยู่อาศัยประสบกับความโชคดีและร่มเย็นเป็นสุข นอกจากเรื่องของความโชคดีแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นผลพลอยได้จากการทำตามหลักฮวงจุ้ยนั่นก็คือ รูปแบบของอาคารและสิ่งก่อสร้างที่สวยงามและแปลกตา ทำไมถึงต้องออกแบบตึกให้มีรูกลางอาคารด้วย!? ประเทศฮ่องกง ได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีตึกระฟ้าที่สวยงามอยู่มากมาย การออกแบบและก่อสร้างอาคารสูงเหล่านั้นถูกออกแบบและก่อสร้างโดยคำนึงถึงหลัก “ฮวงจุ้ย”เป็นสำคัญ การจัดตำแหน่งของทางเข้าอาคารและเฟอร์นิเจอร์ภายในตามหลักของฮวงจุย มีความเกี่ยวข้องกับความเจริญรุ่งเรืองของเจ้าของอาคาร ความเชื่อนี้ถูกพิจารณาเป็นอันดับแรกๆ ในการสร้างบ้านหรือซื้อขายอาคารส่วนมากในเกาะฮ่องกง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความเชื่อไม่มีหลักการทางวิทยาศาตร์ยืนยันได้ หลักฮวงจุุ้ยเคยถูกปราบปรามครั้งใหญ่ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมของประเทศจีนช่วงปี 1960 แต่กลับมาได้รับความนิยม อย่างมากในช่วงที่ผ่านมา มีหลายบริษัทถึงขั้นจัดสรรงบเพื่อไว้สำหรับปรึกษาเกี่ยวกับฮวงจุ้ย โดยคำแนะนำของการวางฮวงจุ้ยก็มีตั้งแต่ การจัดวางตำแหน่งของโต๊ะผู้บริหาร การเอาเหรียญมาวางไว้ใต้พรม หรือแม้กระทั่งการวางรูปแบบของอาคารใหม่เลยทีเดียว ตัวอย่างของความเชื่อนี้ที่ถูกนำไปประยุกต์ใช้กับการจัดวางอาคารต่างๆ เช่น ตึกสำนักงานใหญ่ของธนาคารระดับโลกอย่าง HSBC ได้นำรูปหล่อของสิงห์โตสองตัวมาตั้งที่หน้าสำนักงาน มีการปรับทิศทางของบันไดเลื่อนเพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายจากจากอ่าว Victoria เข้าสู่ออฟฟิส และสร้างสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะคล้ายกับปืนใหญ่ไว้ด้านบนสุดของอาคารเพื่อเป็นการยิงส่งชั่วร้ายที่มาจากอาคารตรงข้ามอีกด้วย อาจเป็นเพราะการแก้ฮวงจุ้ยนี้เองที่ยังคงทำให้ธนาคาร HSBC ยังคงดำเนินกิจการได้ถึงจนทุกวันนี้ เพราะอาคารที่อยู่บริเวณเดียวกันที่ละเลยการวางฮวงจุ้ยต่างก็ต้องพบกับโชคร้าย อย่างเช่น ธนาคารพาณิชย์ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ อย่าง Bank of China ก็มีผลประกอบการที่ไม่ดี หรือ…
-
ชาวเกาะ Foula อันห่างไกล ฉลองคริสต์มาสช้ากว่าชาวโลก 2 สัปดาห์ ตามปฏิทินเก่าแก่…
ประชาชนผู้อาศัยอยู่บนเกาะ Foula เป็นหนึ่งในหมู่เกาะ Shetland ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเขตสกอตแลนด์ มีประชากรทั้งหมดประมาณ 30 คน และพวกเขากำลังจะฉลองวันคริสต์มาสกันในวันที่ 6 มกราคม ตามวันเวลาท้องถิ่น และงานเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ ก็จะถูกจัดขึ้นในอาทิตย์ถัดไปซึ่งก็คือวันที่ 13 มกราคมนั่นเอง ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าประชาชนของที่นี่นั้นยึดวันที่ตามปฏิทินเก่าแก่จูเลียนเป็นหลัก โดยจะจัดงานเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสต์ (Yule) ในวันที่ 6 และวันปีใหม่ (Newerday) ในวันที่ 13 ของเดือนมกราคมในทุกๆ ปี โดยชุมชนนี้มีความเชื่อและปฏิบัติตามวัฒนธรรมของชาว Norse อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นงานเทศกาลต่างๆ ดนตรี และในด้านคติชน (ตำนาน นิทาน นิยายประจำถิ่น เพลง สำนวนภาษิต คำพังเพย ยาพื้นบ้าน อาหารการกิน ประเพณี และพิธีกรรม) พวกเขาจะทำการกำหนดบ้านไว้ 1 หลัง เพื่อที่จะใช้จัดงานเฉลิมฉลอง และชาวบ้านทุกคนก็จะไปร่วมงานกันที่นั่น มีทั้งการแลกของขวัญกันในตอนกลางวันจากนั้นก็จะแยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อไปเปิดของขวัญที่ได้มา พอตกดึกก็จะมีงานเลี้ยงที่บ้านหลังเดิม …
-
และนี่ก็คือ ‘ความจริง’ ของเหล่าสัตว์โลกทั้งหลาย ที่พวกเราอาจจะเข้าใจผิดมาโดยตลอด!!
เมื่อกล่าวถึงสัตว์โลกทั้งหลายแล้วเพื่อนๆ หลายคนคงจะรู้จักกันมากมายหลายชนิด และคงจะมีความรู้เกี่ยวกับความสามารถของพวกมันมาบ้างแล้ว แต่บางครั้งเรื่องที่เรารู้มาก็ไม่ได้เป็นความจริงเสมอไป บางอย่างเราก็อาจจะเข้าใจผิดมาตลอดเลยก็เป็นได้ และในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับสัตว์โลกกันใหม่ ว่าจริงๆ แล้วพวกมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราเข้าใจกันมาตลอดหรอกนะ จะมีอะไรบ้างลองไปชมกันได้เลยจ้า… ความเชื่อ : หมาสามารถมองเห็นได้เฉพาะสีขาว-ดำ เท่านั้น ความจริง : หมาสามารถเห็นสีสันได้หลากสี แต่ก็ยังไม่มากเท่ากับมนุษย์ ความเชื่อ : กระทิงมักจะโกรธเวลาเห็นสีแดง ความจริง : ที่มันอยากโจมตีก็เพราะมีบางอย่างขยับไปมาด้านหน้าของมันเท่านั้นเอง ความเชื่อ : นกกระจอกเทศจะเอาหัวมุดเข้าไปในทรายเมื่อมันกลัว ความจริง : ในสถานการณ์นั้นพวกมันก็แค่หนีออกไปจากตรงนั้นก็เท่านั้นเอง ความเชื่อ : การสัมผัสคางคก จะทำให้มือของเราเป็นตะปุ่มตะป่ำ ความจริง : การแตะต้องคากคกไม่ได้ทำให้เกิดอาการแบบนั้น ความเชื่อ : กิ้งก่าคาเมเลี่ยนนั้น จะเปลี่ยนสีเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ความจริง : พวกมันเปลี่ยนสีไปตามอารมณ์ ความเชื่อ : ช้างเป็นสัตว์ตัวใหญ่…
-
ประเพณี Ma’nene ขุดศพญาติผู้ใหญ่ขึ้นมาตกแต่งให้สวยงาม เป็นประจำทุกๆ 3 ปี
ความเชื่อที่มีอย่างยาวนานและยังคงสืบต่อกันมาเป็นประจำของชนเผ่า Toraja แห่งประเทศอินโดนีเซียอาจจะเป็นเรื่องแปลกในสายตาของคนนอก แต่สำหรับพวกเขาแล้วมันคือสิ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นการแสดงความเคารพให้กับญาติผู้ใหญ่ที่เสียชีวิตไปแล้ว เป็นเวลาประจำทุกๆ 3 ปี บนเกาะซูลาเวซี ชนเผ่า Toraja ก็จะทำการขุดหลุมฝังศพญาติผู้ใหญ่ของพวกเขาขึ้นมา ทำการสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ พร้อมกับการตกแต่งศพเพื่อให้ดูสวยงาม นอกจากนี้ยังมีการร่วมถ่ายรูปกับครอบครัวอันเป็นประเพณีที่ชื่อว่า Ma’nene หรือแปลได้ว่า พิธีการทำความสะอาดศพ ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องหลายศตวรรษแล้ว หลานชายกำลังหวีผมให้กับร่างของคุณปู่คุณย่าในระหว่างการทำพิธี ประเพณีนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งพิธีการที่สำคัญเป็นอย่างมากสำหรับชนเผ่า Toraja ซึ่งถ้าหากว่ามีคนในครอบครัวเสียชีวิต พวกเขาก็จะทำการห่อผ้าหลายชั้นเพื่อป้องกันการย่อยสลายของศพ ลักษณะคล้ายกับการห่อมัมมี่ และร่างของผู้เสียชีวิตจะถูกนำไปฝังตามวิธีที่ทำกันมาอย่างยาวนาน เมื่อผ่านพ้นระยะเวลาไปได้ 3 ปี ทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตก็จะทำการขุดหลุมฝังศพและนำร่างของผู้เสียชีวิตขึ้นมาตกแต่งใหม่ สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ ซึ่งสิ่งที่สำคัญอีกเช่นกันก็คือการเปลี่ยนหรือซ่อมแซมโลงฝังศพให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ เหล่าญาติค่อยๆ พยุงและสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับร่างของบรรพบุรุษ ตามความเชื่อของพวกเขานั้น วิญญาณของผู้ตายจะกลับมาสู่บ้านเกิดของตน หลังจากการเดินทางอันแสนยาวนานตามเส้นทางของจิตวิญญาณ โดยที่ไม่สามารถพาร่างของตนเองเดินทางตามไปด้วยได้ และถ้าหากว่ามีคนในชนเผ่าเสียชีวิตภายนอกหมู่บ้าน ทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตก็จะตามไปถึงสถานที่เหล่านั้น และพาร่างของผู้เสียชีวิตกลับมาฝังที่บ้านเกิด สภาพร่างของอดีตทหารผ่านศึกผู้เสียชีวิตมานานกว่า 10 ปีแล้ว L Sarungu อดีตทหารผ่านศึกผู้เสียชีวิตมานานกว่า 10 ปี…
-
มาดู 12 ความเชื่อ ที่คุณมัก “เข้าใจผิด” เกี่ยวกับในหนัง มันช่างต่างกับชีวิตจริงเหลือเกิน
เวลาเราดูภาพยนตร์ หรือดูละคร เรามักจะจำเหตุการณ์หรือพฤติกรรมแบบนั้นเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งบางครั้งมันอาจจะเป็นการเข้าใจที่ผิดๆ เพราะว่าในชีวิตจริงเราไม่สามารถจะทำแบบในภาพยนตร์หรือละครได้ งั้นวันนี้เรามาดู 12 ความเชื่อที่ผิดๆ ที่เรามักจะเห็นบ่อยๆ ในหนังกันเลยว่ามีอะไรบ้าง 1.เครื่องกระตุ้นหัวใจ ในหนัง : เครื่องปั้มหัวใจ สามารถกระตุ้นหัวใจที่หยุดเต้น ให้กลับมาได้ ชีวิตจริง : ไม่สามารถช่วยปั้มหัวใจที่หยุดเต้นไปแล้วได้ เป็นแค่วิธีการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเท่านั้น 2.โปะยาสลบ (คลอโรฟอร์ม) ในหนัง : เมื่อสูดดมเข้าไปจะสลบทันที และมีผลนานหลายชั่วโมง ชีวิตจริง : ต้องใช้เวลาถึง 5 นาที และสลบไปเพียงไม่นาน 3. ตามรอยสัญญาณโทรศัพท์ ในหนัง : ตำรวจสามารถแกะรอยสัญญาณโทรศัพท์ได้ภายในนาทีเดียว ชีวิตจริง : การแกะรอยสัญญาณโทรศัพท์ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง 4. กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ ในหนัง : กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ สามารถตอบทุกคำถามและแก้ไขคดีอาชญากรรมได้ ชีวิตจริง : กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ เพียงแค่ช่วยรวบรวมหลักฐานเท่านั้น 5. การแจ้งคนหาย ในหนัง : ต้องรอ…
-
7 ความเชื่อแปลกๆ ของชนเผ่าจากทั่วโลก ที่เปลี่ยน ‘ร่างกาย’ ของตัวเองให้ดูประหลาดไป
บนโลกของเราเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย และแน่นอนว่าในแต่ละพื้นที่ก็มีวัฒนธรรมและความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย และในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมประเพณีของชนเผ่าจากทั่วโลกที่มีการทำให้ร่างกายของตัวเองให้มีรูปร่างแปลกๆ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ลองไปชมกันได้ที่ข้างล่างนี้ได้เลย… 1. การเจาะและขยายริมฝีปากด้วยสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายจาน ที่พบในได้ในบางพื้นที่ของประเทศในแถบ แอฟริกา และ อเมริกาใต้ ความเชื่อนี้มีมาตั้งแต่ 8,700 ปีก่อนคริสตกาล และตอนนี้ก็ยังมีให้เห็นอยู่ในชนเผ่า Mursi ในประเทศ เอธิโอเปีย ด้วยการเจาะริมฝีปากข้างบนแล้วค่อยๆ ขยายด้วยการใส่จานแบนๆ เข้าไป ซึ่งก่อนหน้านั้นก็จะต้องถอนฟัน 2 ซี่หน้าออกไปด้วย โดยเจ้าจานนี้จะบ่งบอกถึงสถานะทางสังคมของบุคคลผู้นั้น 2. กระโหลกที่ยื่นออกมา อาจจะฟังดูน่ากลัวแต่ใช้เวลาทำเพียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น พิธีกรรมนี้สามารถพบได้ใน เปรู อิรัก และอียิปต์ เป็นพิธีกรรมที่พบเมื่อ 1,000 ปีก่อน โดยเริ่มทำตั้งแต่ยังเป็นทารกขณะที่กระโหลกยังไม่แข็งแรง ด้วยการนำเชือกมามัดที่หัวให้แน่น เพื่อบ่งบอกถึงสถานะทางสังคม 3. การรัดเต้านมในแคเมอรูน การหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเต้านมนี้ ทำให้ดูไม่เหมือนผู้หญิง และทำให้ผู้หญิงไม่ตกเป็นที่สนใจของเหล่าผู้ชายทั้งหลาย ซึ่งวิธีการทำของมันนี่ต้องขอบอกไว้เลยว่าน่ากลัวมากๆ พวกเขาใช้ไม้พายร้อนๆ และครกเพื่อละลายไขมันที่หน้าอกและทำให้มันแบน ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพมากมาย ทั้งมะเร็งเต้านม ซีสต์ และปัญหาในการให้นมเด็กทารก…
-
กล้าไหมถามใจดู…กิจกรรมสุดแปลกของนักศึกษาสก็อตแลนด์ แก้ผ้าเล่นน้ำเชื่อว่าจะช่วยให้สอบได้คะแนนดี
เมื่อพูดถึง ‘การสอบ’ ในช่วงชีวิตการเรียนของเพื่อนๆ แล้ว หลายๆ คนคงเคยใช้วิธีต่างๆ นาๆ เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจในการทำคะแนนสอบออกมาได้ดี ยกตัวอย่างเช่นอย่างการบนบานสศาลกล่าว เพื่อสวดมนต์ขอพร หรืออธิษฐานกับดาวตก เป็นต้น วันนี้ #เหมียวหง่าว ขอพาเพื่อนๆ ไปชมกิจกรรมกรรมสุดแปลก ของนักศึกษาชาวสก็อตแลนด์ ที่พวกเขาเชื่อว่าถ้าทำแล้วจะทำให้คะแนนสอบออกมาดี นักศึกษาหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัย St Andrews University ในประเทศสก็อตแลนด์มีกิจกรรมสุดแปลกที่เรียกว่า The May Day ซึ่งเป็นการแก้ผ้าวิ่งลงไปเล่นน้ำใน ทะเล North Sea อันหนาวเหน็บ กิจกรรมจะเริ่มในยามเช้าของวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี นักศึกษาที่จะเข้าร่วมกิจกรรมนี้จะต้องอดหลับอดนอนและแก้ผ้าลงเล่นน้ำทะเลอันหนาวเหน็บ และต้องเป็นในช่วงที่กลุ่มนักร้องประสานเสียงของทางมหาวิทยาลัยกำลังขับร้องเพลงอยู่ด้วย โดยมีความเชื่อว่าถ้าทำแบบนี้แล้ว จะนำพาความโชคดีมาให้ในการสอบที่จะมาถึงในสิ้นปี แหม่…เห็นแบบนี้แล้ว #เหมียวหง่าว อยากจะสมัครไปเป็นแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ซะจริงเชียว >< ที่มา : dailystar
-
นักวิทย์คาดการณ์สัตว์ในตำนานอย่าง ‘ม้ายูนิคอร์น’ อาจมีต้นกำเนิดมาจาก ‘แรดไซบีเรีย’
ตามตำนานเทพปกรณัมต่างๆ มักจะมีพ่วงมาด้วยความเชื่อในความเป็นไปของมนุษย์ในอดีต อีกทั้งยังพ่วงเต็มไปด้วยสัตว์ในตำนานต่างๆ ที่มีลักษณะรูปร่างที่แปลกออกไป แต่การที่สัตว์พวกนี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้ต้องมาจากความคิดของมนุษย์เช่นเดียวกัน และสัตว์ในตำนานที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ ก็คือ ‘ม้ายูนิคอร์น’ เป็นม้าที่มีเขาเกลียวแหลมขนาดใหญ่อยู่บนหน้าผาก นักวิทย์ฯ จึงพยายามหาหลักฐานข้อเท็จจริงเพื่อนำมาพิสูจน์ให้รู้ว่ามันน่าจะมีต้นแบบมาจากไหน แล้วก็พบความคล้ายคลึงอย่างหนึ่งกับ ‘แรดไซบีเรีย’ ทั้งนี้เจ้าแรดไซบีเรีย (ชื่อวิทยาศาสตร์ Elasmotherium Sibiricum) นั้นมีถิ่นอาศัยอยู่ในบริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ของไซบีเรียเมื่อประมาณ 26,000 ปีก่อน โดยนักวิทย์ฯ ทำการตรวจสอบจากซากฟอสซิลที่ถูกค้นพบในเมืองปัฟโลดาร์ ประเทศคาซัคสถาน (วิจัยที่เกี่ยวข้องกับการย้ายถิ่นฐานของแรดไซบีเรีย) Dr. Andrei Shpanski จาก Tomsk University ได้กล่าวเกี่ยวกับรูปพรรณของแรดไซบีเรียเอาไว้ว่า ‘ส่วนใหญ่แล้วแรดพวกนี้จะเป็นเพศชาย มีขนาดตัวที่ใหญ่มากเป็นปกติ ซึ่งจะเป็นลักษณะที่แตกต่างไปจากที่วรรณกรรมเทพปกรณัมได้เขียนบรรยายรูปพรรณเอาไว้’ แต่ดูจากลักษณะเขาบนหน้าผากแล้วก็น่าจะมีเค้าโครงเป็นต้นแบบของม้ายูนิคอร์นในตำนานได้อยู่เหมือนกันนะเนี่ย เพียงแต่ว่าลดสัดส่วนลงมาให้ดูดีมีสง่าราศีตามจินตนาการนั่นเอง ที่มา : unilad
-
ได้ยินแล้วขมคอ!! ชายอ้างดื่มปัสสาวะประจำดีต่อสุขภาพ กล่าวอ้างว่าหมอไม่เคยบอก
เคยได้ยินแว่วๆ หูมาบ่อยครั้งกับเรื่องของ ‘ปัสสาวะ’ ที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันเหลือเกินว่าของเสียเหลวสีเหลืองที่ถูกขับออกมาจากร่างกาย เมื่อนำมาดื่มมันจะส่งผลดีต่อสุขภาพจริงๆ หรือ!? ทั้งนี้ก็มีฝ่ายที่เชื่อว่าปัสสาวะช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้นจริงๆ ดื่มบ่อยจนรู้สึกว่ารสชาติคล้าย ‘น้ำชา’ (หื้มมมม) แบบว่าดื่มเป็นประจำ จนทำให้คิดไปว่ามันดีจริงๆ นะ จึงเกิดการบอกต่อไปเป็นทอดๆ ซึ่งต้นเรื่องเองก็เป็นผู้ที่ดูมีความน่าเชื่อถือ ทีนี้คนก็เลยตามน้ำ ทั้งดื่ม ทั้งทา ทั้งอาบ หยอดตา ทาแผล สารพัดอย่าง!? แถมมีการเชื่อมโยงความรังเกียจกับความเชื่อทางศาสนาอีกแหนะ เมื่อเรื่องมันชักจะไปกันใหญ่ เพจ ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน คุณหมอเจ้าเก่าเจ้าเดิม เพิ่มเติมเอาไว้ว่า ทางต้นทางกล่าวว่า ปัสสาวะเนี่ยเป็นยา แต่หมอไม่ยอมบอกความจริงว่ามันดีขนาดไหน ซึ่งเอาความจริงเลยก็คือ ‘ปัสสาวะเป็นของเสีย สกปรก และไม่ได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพแต่อย่างใด’ ไปกันใหญ่แล้ว “คนกินเยี่ยว”มีชายคนนึงครับ กินปัสสาวะของตนเองเป็นประจำ กินจนบอกได้ว่ามันอร่อยเหมือนน้ำชา แล้วอ้างว่ามีสุ… Posted by ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน on Tuesday, March 15, 2016 …
-
หมอดูโพสต์ “อย่าใช้รูปป่ารกร้างเป็นพื้นหลังในเฟซบุ๊ก” เจอเจ้าของภาพโวยใช้ภาพก่อนขออนุญาต!?
ดูเหมือนว่าในช่วงนี้จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อและโหราศาสตร์ให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กเห็นกันอยู่บ่อยครั้งทีเดียว ซึ่งล่าสุดมีการแชร์ภาพๆ หนึ่งที่ทำเอา#เหมียวฟิ้นอึ้งไปเหมือนกัน ภาพที่ว่านี้เป็นภาพที่มีการแชร์มาจากเฟซบุ๊กเพจ หมอจุ๊บ ดูดวง โหราศาสตร์ออนไลน์ เป็นภาพของหญิงสาวที่มีข้อความเตือนให้ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “อย่าใช้รูปโปรไฟล์ที่มีพื้นหลังเป็นป่ารถร้าง ผู้ใหญ่จะเจ็บป่วย มีการรอคอย ครอบครัวเครียด มีปัญหาทางการเงิน” พร้อมกันนี้ยังให้เหตุผลด้วยว่า ภาพป่ารกร้างนั้นมีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับอดีตและบรรพบุรุษของเรา หากถ่ายภาพที่เห็นป่ารกร้างอาจส่งผลกระทบต่ออดีต เช่นพ่อ แม่ พี่น้อง และญาติของเรา หากตะถ่ายพรีเว้ดดิ้งควรถ่ายภาพที่มีชีวิตชีวาเช่นที่ที่มีหญ้าเขียวๆ อุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อภาพดังกล่าวเริ่มกลายเป็นที่พูดถึงและโด่งดังในโลกออนไลน์ กลับกลายเป็นปัญหาซะอย่างงั้น เพราะภาพที่นำเอามาใช้นั้น เป็นภาพที่ช่างภาพที่ชื่อนาย Jason Lavengood ได้ถ่ายเอาไว้ ซึ่งไม่ได้มีการขออนุญาตกันก่อน เนื่องจากข้อความที่แปะอยู่บนภาพของเขามีลักษณะไปในด้านลบ ทำให้นาย Lavengood รู้สึกไม่พอใจและเข้ามาต่อว่าหมอดูรายนี้ทันที แต่หลังจากที่มีการขอโทษขอโพยและพูดคุยกันเจ้าของภาพก็ยินยอมให้นำภาพดังกล่าวไปใช้ได้ นอกจากนี้หมอจุ๊บ ยังได้แนะนำอีกว่า หากอยากจะเสริมดวง ให้ลองใช้ภาพสิงโสสีรุ้งรูปนี้เป็นพื้นหลังของมือถือหรือหน้าจอคอม จะทำให้เจอเนื้อคู่เป็นชาวต่างชาติ หรือหากใครทำธุรกิจต่างชาติอยู่ก็จะรุ่งขึ้นอีกด้วย!? อันที่จริงเรื่องที่หมอดูพูดก็มีส่วนถูกนะ เพราะเราไม่ควรถ่ายภาพที่มีพื้นหลังเป็นป่ารกร้าง… เพราะบางทีมันอาจจะมีงูหรือแมลงมีพิษอยู่แถวๆ นั้นก็เป็นได้ ที่มา หมอจุ๊บ ดูดวง โหราศาสตร์ออนไลน์
-
รวมเกร็ดความรู้กับ 10 เทพเจ้าแห่งความรัก ต้อนรับฤดูกาลวันวาเลนไทน์อันหอมหวาน
ใกล้เข้ามาแล้วกับเทศกาลแห่งความรักที่ทั้งคนในต่างประเทศและประเทศไทยเองต่างก็เฝ้ารอกันมานาน เพื่อที่จะได้แสดงความรัก ความห่วงใยให้แก่กันและกัน (ปกติก็ทำทุกวันอยู่แล้วใช่มั้ย ใช่มั้ย?) และด้วยโอกาสอันดี #เหมียวเลเซอร์ ก็อยากจะหยิบยกประเด็นในเรื่องของเทพเจ้าแห่งความรักมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังกันซักหน่อย ถ้าพูดถึงแล้ว จะนึกถึงเทพเจ้าองค์ไหนกันบ้าง? หลายคนก็คงจะคุ้นกับเทพเจ้า Venus จากโรมันกันแน่ๆ แต่ยังมีตัวแทนความรักอีกเยอะมากเลย มาทำความรู้จักกันเถอะ #1 Xochiquetzal Xochiquetzal เป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความงาม ตัวแทนเพศหญิง จาก Aztec เธอจะคอยปกป้องผู้หญิงที่ตั้งท้องและคุณแม่มือใหม่ และเธอมักจะเป็นหญิงสาวสวยที่ถูกรายล้อมไปด้วยต้นไม้, ดอกไม้และผีเสื้อ #2 Áine เทพเจ้าแห่งความรักและความอุดมสมบูรณ์จากไอร์แลนด์ เธอมีพลังวิเศษที่สามารถควบคุมพลังของแสงอาทิตย์ได้ อีกทั้งยังสามารถอนุญาตให้มนุษย์มีพลังในการปกครอง รวมถึงถอดถอนพลังนั้นออกไปได้เช่นกัน #3 Oshun เธอเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา Ifá และ Yoruba ในแอฟริกาตะวันตก Oshun มาในร่างของ Orisha หรือดวงวิญญาณที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความรัก ความอุดมสมบูรณ์ และเป็นตัวแทนของเพศหญิง อีกทั้งเธอเป็นเทพที่มาพร้อมกับน้ำสะอาด #4…
-
ไปให้สุดทาง!! มิติใหม่แห่งการกิน “บุฟเฟ่ต์ลูกเทพ อิ่มไม่อั้น!!” คิดค่าบริการเท่าอัตราเด็กเล็ก
กำลังได้รับความนิยมจากชาวไทยหลายๆ คนเลยทีเดียว สำหรับตุ๊กตาแนวใหม่ที่เรียกกันว่า “ตุ๊กตาลูกเทพ” ที่นำเอาตุ๊กตาธรรมดาๆ ไปปลุกเสกเพื่อเรียกเทวดาให้มาสิงอยู่ในร่างของตุ๊กตา ซึ่งหากใครที่นำเอาตุ๊กตาตัวนี้มาเลี้ยง จะต้องปฏิบัติกับตุ๊กตาประหนึ่งว่าเป็นเด็กคนนึงเลยทีเดียว จนเมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมามีข่าวออกมาว่าสายการบินไทยสมายล์ เปิดให้ประชาชนจองตั๋วเครื่องบินสำหรับตุ๊กตาลูกเทพได้แล้ว ซึ่งก็ทำเอาชาวไทยหลายๆ คนถึงกับอึ้งเลย เพราะแค่ตุ๊กตาตัวเล็กๆ ตัวเดียวถึงกับต้องซื้อที่นั่งอีกหนึ่งที่ให้นั่งเลยหรือ? และหากคุณคิดว่าการที่ตุ๊กตาลูกเทพมีที่นั่งบนเครื่องบินเป็นอะไรที่แปลกแล้ว วันนี้แอดเหมียวจะพาไปดูอะไรที่แปลกแหวกแนว อเมซิ่งไทยแลนด์ยิ่งกว่า เพราะตอนนี้มีร้านบุฟเฟ่ต์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เสนอโปรโมชั่นใหม่ ที่ให้คุณสามารถนำลูกเทพไปนั่งกินอาหารได้อย่างสบายใจแล้ว!! ร้านบุฟเฟ่ต์ที่แอดเหมียวพูดถึงนี้มีชื่อว่าร้าน Neta Grill ทางร้านได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กเพจ โดยระบุว่าตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา มีคนนำตุ๊กตาลูกเทพไปนั่งทานอาหารแล้วกว่า 30 ราย ทางร้านจึงเสนอให้นำลูกเทพมานั่งทานอาหารในร้านได้ โดยทางร้านจะคิดค่าบริการเท่าเด็กเล็ก 1 คน แต่มีข้อแม้ว่าต้องทานให้หมด หลังจากที่ภาพโปรโมชั่นของทางร้าน Neta Grill ถูกแชร์ออกไป ก็มีเสียงตอบรับหลากหลายรูปแบบตามมา โดยมีชาวเน็ตบางส่วนที่เชื่อและเลี้ยงตุ๊กตาลูกเทพเอาไว้ แสดงความเห็นว่าโปรโมชั่นนี้น่าสนใจและจะพาตุ๊กตาลูกเทพของตนเองไปนั่งทานอาหารแน่นอน ในขณะที่ชาวเน็ตอีกส่วนหนึ่งมองว่าการทำโปรโมชั่นครั้งนี้ของทางร้าน ไม่ได้เป็นการส่งเสริมหรือเห็นด้วยกับการเลี้ยงตุ๊กตาลูกเทพแต่อย่างใด…
-
สืบเนื่องจากลูกเทพเต็มบ้านเต็มเมือง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับลูกเทพก็ผุดตามมาเช่นกัน!!
ความเชื่อในเรื่องของลูกเทพที่จะมาช่วยทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้นหรืออะไรก็แล้วแต่ มีผู้คนให้ความสนใจกันมากมาย ทั้งกระแสที่น้อมรับและปฏิบัติตาม และกระแสต่อต้านความเชื่อเหล่านี้ก็มีมากเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อลูกเทพโผล่ออกมาเต็มบ้านเต็มเมืองขนาดนี้ ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษให้เป็นเหมือนดั่ง InwZa007 กันซักหน่อย ในวงการลูกเทพนี้ ถือว่ากระจายไปทั่วทุกสารทิศในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน ก็จะเห็นมีคนอุ้มลูกเทพ พาลูกเทพไปกินข้าว หรือไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผุดตามมาเพื่อตอบสนองวงการลูกเทพก็คือธุรกิจสุดแสนจะเทพเพื่อลูกเทพ ไม่ว่าจะเป็น… อาบน้ำ สระผมลูกเทพ พี่เลี้ยงลูกเทพรายชั่วโมง ป้อนน้ำ ป้อนข้าว สอนหนังสือ!! เนิร์สเซอรีลูกเทพ ดูแลให้ครบวงจร พ่วงคอร์สเสริมวิชาการความรู้คู่คุณธรรม และที่พีคไปกว่านั้นก็คือ เปิดรับสอนดนตรีให้กับเหล่าลูกเทพ (อันนี้แอบเอาฮา) ทั้งนี้ ธุรกิจทั้งหลายที่โผล่มานั้นมีทั้งเปิดแบบจริงจังและแบบเอาฮา การที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ส่วนตัวเหมียวเองก็ได้แต่มองเฉยๆ อยู่ห่างๆ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวละกัน ฮร่าาาาา ที่มา : kapook, dodeden, petkanya
-
หมอปลาย กระซิบบอกสรรพคุณ ‘สบู่น้ำมนต์ปลุกเสก’ ใช้ได้ทุกที่ไม่เว้นแม้แต่จุดซ่อนเร้น!!
เป็นธรรมดาเมื่อมีการผลิตสินค้าออกมาใหม่และจัดจำหน่ายเพื่อการค้า ก็จะต้องมีการโฆษณาสรรพคุณของสินค้าให้กลุ่มเป้าหมายได้ทราบถึงความพิเศษของสินค้าว่าสามารทำอะไรได้บ้าง มีความเจ๋งอยู่ตรงไหน!? และเมื่อไม่นานมานี้เอง เหมียวก็สัมผัสได้ถึงสินค้าชนิดหนึ่งที่ทำการผลิตและปลุกเสกโดย หมอปลาย พรายกระซิบ เจ้าเก่า นั่นก็คือ สบู่น้ำมนต์ โดยตัวหมอเองก็ได้ออกมาเล่าถึงสรรพคุณความศักดิ์สิทธิ์ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้ ซึ่งตามหลักแล้วสบู่ก็มีไว้ชำระล้างร่างกายนั่นแหละ แต่ทว่าด้วยความเชื่อทางไสยศาสตร์ หมอก็บอกไว้ว่าหากใครจะซื้อไปไว้บูชาก็สามารถวางไว้ได้ทุกที่ และสามารถใช้ทำความสะอาดได้ทุกส่วนของร่างกาย ไม่เว้นแม้แต่จุดซ่อนเร้นลับๆ ของท่านทั้งหลายด้วย แต่ก่อนจะใช้ก็ควรอ่านวิธีการใช้ซะก่อน (ต้องท่องคาถาตอนถูสบู่ด้วยแน่นอน) ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมด้วยนะจ๊ะ ลองมาอ่านความคิดเห็นของชาวเน็ทที่แสดงไว้ใต้คลิปในยูทูบกันบ้าง เอ่อ เหมียวไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆ เพิ่มเติมก็แล้วกันนะ แฮะๆ ที่มา : Oji Oji
-
คำพูดและภาพที่สะท้อนทัศนคติของสังคมไทย เสียดสีแค่ไหน ลองถามใจตัวเองดู!?
ช่วงนี้บ้านเมืองของเราดูเหมือนจะสงบเรียบร้อยเป็นพิเศษ ต่อก็ยังมีคลื่นใต้น้ำที่คอยสร้างความสั่นคลอนได้อยู่เรื่อยๆ ดูไม่มีทีท่าว่าจะสงบกันได้ง่ายๆ แต่ว่าปัจจุบันนี้ในสังคมไทยเองก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย (รึเปล่า) ทั้งในเรื่องของความเชื่อและความคิดต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว ทั้งนี้ ชุดรูปภาพที่จะได้รับชมต่อไปนี้ คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยจริงหรือไม่ ลองมาพิจารณากันดีกว่า ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมายเกี่ยวกับแง่คิดของสังคมไทย หากใครอยากจะลองวิเคราะห์และพิจารณาแนวทางของสังคมสามารถไปติดตามได้ที่เพจ พุทธยาศาสตร์ เลยจ้า
-
รวม 7 ความเข้าใจผิดๆที่ส่งต่อกันมาเนิ่นนาน วันนี้ต้องถูกแก้ไข!!!
บนโลกอินเตอร์เน็ตที่ข่าวสารและความรู้ต่างๆสามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็มีข้อมูลเท็จหลุดออกไปบ้าง ทำให้หลายๆคน ทึกทักเอาเองว่า เรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง วันนี้เหมียวจึงพาไปดู 7 ความเชื่อผิดๆที่เชื่อกันมาอย่างเนิ่นนาน พร้อมกับข้อเท็จจริง ว่าที่จริงแล้ว เรื่องเหล่านั้น เป็นอย่างไรกันแน่ ว่าแล้วก็ไปชมกันเลย ความเชื่อ : ชาวไวกิ้งต้องสวมหมวกเขาสัตว์ ความจริง : ภาพชาวไวกิ้งสวมเขาสัตว์เพิ่งโผล่มาช่วงยุคปลายศตวรรษที่ 18 ในละครโอเปร่าของ Richard Wegner ความเชื่อ : ร่างกายจะใช้เวลาย่อยหมากฝรั่ง 7 ปี ความจริง : แม้ว่าส่วนประกอบมันจะไม่ได้เปลี่ยนไป แต่มันไม่มีทางอยู่ในร่างกายได้ถึง 7 ปีแน่นอน ความเชื่อ : ฉี่สามารถล้างพิษแมงกระพรุนได้ ความจริง : เอาน้ำเกลือหรือน้ำร้อนมาล้างน่าจะดีกว่าเยอะ ความเชื่อ : ในภาวะปกติ สมองเราทำงานแค่ 10 เปอร์เซ็นเท่านั้น ความจริง : ถ้า 90 เปอร์เซ็นของสมองไม่ได้ทำงานล่ะก็ เราจะนอนเอ๋อน้ำลายยืดอยู่แน่ๆ ความเชื่อ : น้ำโคล่าหนึ่งกระป๋องสามารถละลายตะปูทั้งอันได้…
-
10 ความเชื่อประหลาดๆเกี่ยวกับ ‘ร่างกายมนุษย์’ ที่พวกเราเข้าใจผิดมาตลอด!?
บางทีคนเราก็จะมีความเชื่อที่ถูกปลูกฝังยึดติดและปฏิบัติต่อๆกันมา โดยเรามันจะเลือกเชื่อตามความคิดของคนส่วนใหญ่โดยไม่ทันยั้งคิดเลยว่า ไอUสิ่งที่เราคิดและเชื่อมาตลอดชีวิตน่ะมันผิดอยู่บ้างนะฮ๊า แล้วสิ่งเหล่านั้นมันมีอะไรบ้างล่ะ เราลองมาดูสาระดีๆ 10 ความเชื่อประหลาดๆ เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ กันได้เลย… 10. ไม่ควรปลุกคนที่กำลังเดินละเมอ การที่เราปลุกคนที่กำลังเดินละเมออยู่นั้นอาจทำให้พวกเข้ามีอาการตกใจและมึนงงหลังจากที่ถูกปลุก แต่เหมียวว่าเราปลุกให้เค้ารู้ตัวและกลับไปนอนดีกว่าปล่อยให้พวกเค้าเดินละเมอตกบันใดนะ 9. คุณจะเป็นหวัด ถ้าคุณตัวเปียกหรือออกไปในที่ที่มีอากาศหนาว ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับความเชื่อนี้ แต่ไวรัสจะมีอยู่มากในเวลาที่ความชื้นต่ำอย่างในฤดูหนาว และแน่นอนว่าเราใช้เวลาอยู่ร่วมกันในบ้านมากขึ้น นั้นทำให้มีโอกาสติดหวัดมากขึ้นเมื่ออยู่ในบ้านตัวเองอีกด้วย 8. เล็บและผมยังสามารถยาวได้อีกถึงแม้ว่าเราจะตายไปแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของมนุษย์หลังจากความตายก็แค่ผิวหนังชั้นนอกเกิดการหดตัวแล้วแห้งไปในที่สุดเท่านั้นเอง 7. ถ้าเราโกนหนวดเส้นขนที่ขึ้นมาใหม่จะสีเข้มและหนามากขึ้นกว่าเดิม จริงๆแล้วเส้นขนที่ขึ้นมาใหม่หลังจากถูกโกนไปนั้นไม่ได้หนาหรือสีเข้มขึ้นเลย เพียงแต่เส้นขนจะมีหน้าตัดที่เกิดจากการโกนเวลากระทบกับแสงจึงสามารถมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ทำดูเหมือนว่ามันมีสีเข้มขึ้นนั่นเอง 6. แชมพูและครีมนวดสามารถรักษาผมแตกปลายได้ ความจริงแล้วเราไม่สามารถรักษาผมแตกปลายให้กลับมานุ่มสลวยได้เหมือนเดิม ทั้งแชมพูและครีมนวดนั้นอาจจะช่วยป้องกันการเกิดผมแตกปลายได้แต่ก็ไม่สามารถรักษาได้จริง เพียงแค่เคลือบเส้นผมให้นุ่มขึ้นเท่านั้น 5. ผู้ชายคิดแต่เรื่องทะลึ่งทุก 7 วินาที มันคงจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากไม่น้อยในการใช้ชีวิตถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่ก็เป็นโชคดีนะที่มันเป็นแค่เรื่องที่พูดกันไปเรื่อยยังไม่มีนักวิจัยคนไหนวิจัยหรือพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง 4. ต่อมรับรสบนลิ้น เราคงเคยได้เรียนกันในสมัยเด็กๆ…
-
ดิสนีย์เวิลด์ยอมเปลี่ยนนโยบาย จากการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานไปรษณีย์ของบริษัท!!
เรื่องของการเลือกปฏิบัติ ตามนโยบายทางด้านรูปลักษณ์ของดิสนีย์เวิลด์นั้น ทำให้นายเกอร์ดิท ซิงห์ พนักงานไปรษณีย์ซึ่งนับถือศาสนาซิกข์ที่จะต้องโพกผ้าพันหัวและไว้หนวดเครานั้น ต้องทำงานในส่วนที่ลับตาผู้คน กีดกันทุกทางในสวนสนุกดิสนีย์ในฟลอริดาตั้งแต่พ.ศ. 2551 ย้อนกลับไปเมื่อปีพ.ศ. 2548 เขาเคยมาสมัครงานกับดีสนีย์ และต้องทำงานในส่วนการเงิน ทำความสะอาดลานจอดรถและในครัวตลอดเวลา โดยไม่อาจเปิดเผยตัวตนของเขาให้กับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมสวนสนุกได้ ในที่สุดทางดิสนีย์ก็ได้ออกมาแถลงการณ์ว่า นายซิงห์นั้นสามารถออกมาส่งเอกสารได้ในทุกเส้นทาง สามารถให้ผู้คนพบเห็นได้ตามปกติ โดยที่ทางดีสนีย์นั้นยอมรับในความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติและความเชื่อทางศาสนาแล้ว และจะไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานอีกต่อไป ทางด้านนายซิงห์เองก็ได้ขอบคุณที่ทางบริษัทยอมเปลี่ยนโยบาย ให้ความเป็นธรรมกับเขา เนื่องจากผ้าโพกหัวและหนวดเครานั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาในศาสนาของเขานั่นเอง ที่มา : บีบีซีไทย – BBC Thai