Tag: งานวิจัย
-
“ความเหงา” อาจไม่ได้ฆ่าเรา แต่ผลลัพธ์มันเลวร้าย ไม่ต่างกับดูดบุหรี่วันละ 15 มวน
เราอาจเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ความเหงาไม่เคยฆ่าใคร” แต่ว่ามันก็อาจเป็นสิ่งที่ทำร้ายสุขภาพกายและใจของเราได้เป็นอย่างมาก ยิ่งสำหรับเด็กรุ่นใหม่ในปัจจุบันด้วยแล้ว คำพูดที่ว่ามานั้นได้รับการอธิบายโดยมหาวิทยาลัย California Los Angeles (UCLA) เมื่อพวกเขาจัดทำเกณฑ์การประเมินระดับความเหงาของคน โดยผลสำรวจบอกว่าเด็ก Gen Z (อายุ 18-22 ปีในยุคนี้) ต้องเผชิญกับความเหงามากยิ่งกว่าคนสูงอายุซะอีก การสำรวจโดยบริษัทประกันชีวิต Cigna ชี้ให้เห็นว่า วัยรุ่นในช่วง Gen Z มีคะแนนระดับความเหงาอยู่ที่ 42 คะแนน ในขณะที่ผู้สูงอายุ (อายุมากกว่า 72 ปี) มีเพียง 39 คะแนนเท่านั้น David Cordani ประธานบริษัท Cigna บอกว่าสาเหตุของความเหงาในวัยรุ่นนั้น เกิดจากการที่พวกเขามักจะเล่นโซเชียลมีเดียมากจนเกินไป ซึ่งคนที่เล่นโซเชียลมีเดียมากๆ จะมีความรู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้าง เหมือนกับคนที่แทบไม่ได้เล่นโซเชียลมีเดียเลย เขาอธิบายว่าสิ่งที่จะช่วยทำให้เรารู้สึกหลุดพ้นจากความเหงา คือการที่เราต้องสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคมอย่างมีความหมาย ไม่ใช่การที่เราแค่เลื่อนดูเฟซบุ๊กไปมาหรือเข้าไปเช็กโปรไฟล์ของคนรู้จักอย่างที่เราทำกันในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น การที่เรามีความเหงาและโดดเดี่ยวจะส่งผลเสียไปยังสุขภาพกายและใจของเราได้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความเครียด อาการซึมเศร้า นำไปสู่โรคเรื้อรังหลายต่อหลายอย่าง ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าหากจะเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ…
-
นี่มันกาแฟหรือยาอายุวัฒนะเนี่ย!? 6 คุณสมบัติทางสุขภาพของกาแฟที่มีงานวิจัยพิสูจน์แล้ว
กาแฟเป็นของที่หลายๆ คนเลือกที่จะดื่มในเวลาง่วงๆ แต่ไม่สามารถนอนได้ ไม่ว่าจะขับรถ กำลังทำงาน อ่านหนังสือสอบ หรือเล่นเกม(!?) มันเป็นเครื่องดื่มที่เด็กๆ อาจจะบอกว่าขม แต่ก็ช่วยชีวิตการทำงานของผู้ใหญ่หลายๆ คนได้เป็นอย่างดี แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วกาแฟมีสมบัติมากกว่านั้น โดยเฉพาะในทางสุขภาพ วันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาทุกคนไปรู้จักกับ 6 คุณสมบัติทางสุขภาพของกาแฟมีงานวิจัยพิสูจน์แล้ว และเพื่อนๆ จะรู้ว่า กาแฟที่เราดื่มๆ กันนั้น แท้จริงแล้วมีอะไรมากกว่าที่เราคิด กาแฟจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับแข็งได้ นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิจัย Mario Negri ในอิตาลีพบว่าการบริโภคกาแฟสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นตับแข็งได้มากถึง 50% กาแฟลดโอกาสในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์คินสันได้ นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิจัยโรคอัลไซเมอร์ที่เมืองแทมปา รัฐฟลอริดาได้ทำการศึกษาเพื่อตรวจสอบผลกระทบของการดื่มกาแฟต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ และผลการวิจัยพบว่าการดื่มกาแฟ 3 แก้วต่อวันสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ถึง 65% ส่วนนักวิจัยจาก สหพันธ์มหาวิทยาลัย Santa Catarina ประเทศบราซิลก็กล่าวว่าการดื่มกาแฟเป็นประจำสามารถช่วยป้องกันโรคพาร์คินสันได้ โดยจะทำให้ความเสี่ยงของการเป็นโรคดังกล่าวลดลงได้ถึง 20% กาแฟลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้ แม้จะมีความเชื่อที่ว่าการทานกาแฟอาจจะทำให้เป็นโรคมะเร็งได้แต่จากการวิจัยที่ดำเนินการโดยกรมการศึกษาทางคลินิกเพื่อสุขภาพที่มหาวิทยาลัยมิลาน และภาควิชาโรคระบาดวิทยาของสถาบัน Mario Negri ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการบริโภคกาแฟนั้น แท้จริงแล้วสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากได้…
-
นักวิทยาศาสตร์ชี้.. คนชอบมาสายจะ ‘ประสบความสำเร็จ’ และ ‘อายุยืน’ กว่าชาวบ้านเขา!!
ในช่วงชีวิตของเราอาจต้องเจอกับเพื่อนสนิทหรือเพื่อนร่วมงานที่ชอบมาสาย นัด 10 โมง มา 10.30 ไม่เคยจะตรงเวลา หรืออาจเป็นตัวเราเองที่ชอบทำอย่างนั้น แต่พฤติกรรมที่ทำให้หลายๆ คนไม่ค่อยชอบนี้ ใครจะไปคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถช่วยให้เราประสบความสำเร็จและมีอายุยืนได้ นักพูดเกี่ยวกับเรื่องของการบริหารเวลา Diana Delonzor บอกเอาไว้ในหนังสือ Never be Late Again ของเธอว่า “คนมาสายส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะมองโลกในแง่บวกและรับรู้สิ่งที่ต่างออกไปจากความเป็นจริง โดยเฉพาะเรื่องของเวลา” “พวกเขาเชื่อว่าตัวเองสามารถออกไปทำธุระ แวะส่งผ้าร้านซักรีด ซื้อข้าวของ และพาลูกไปโรงเรียนได้ในเวลาแค่ 1 ชั่วโมง” เธอกล่าว อธิบายให้เห็นภาพคือคนที่ชอบมาสายจะมองเห็นว่าตัวเองมีเวลามากกว่าคนอื่น โดยจากการศึกษาของ Jeff Conte ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาในมหาวิทยาลัย San Diego State สหรัฐอเมริกา จัดว่าคนเหล่านั้นคือบุคคลที่มีบุคลิกภาพแบบ Type B การทดลองของเขาแบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ Type A และ Type B ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้จะประมาณการถึงเวลา 1 นาทีแตกต่างกันออกไป…
-
งานวิจัยเผย.. คนฉลาดมีแนวโน้มที่จะเป็นคน ‘ดื่มเหล้า’ บ่อยและมากกว่าปกติ!!
การดื่มแอลกอฮอล์คือสิ่งที่ใครหลายๆ คนชื่นชอบ เพราะทำให้ได้ออกไปนั่งพูดคุย สังสรรค์กับเพื่อนฝูง ปลดปล่อยความเหนื่อยล้าจากการทำงานออกไปได้อย่างเต็มที่ แต่รู้มั้ยว่านอกจากเหตุผลเหล่านั้นแล้ว การดื่มเหล้ายังอาจแสดงถึงความฉลาดที่มีอยู่ในตัวคุณด้วย จากข้อมูลของสถาบัน National Child Development Study (NCDS) สหราชอาณาจักร พบว่าเรื่องของความฉลาดในวัยเด็กนั้นมีความเชื่อมโยงกับปริมาณแอลกอฮอล์ที่เราดื่มเข้าไปในตอนวัยช่วง 20-40 ปี พวกเขาทำการเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี จัดระดับตั้งแต่ “กลุ่มที่ฉลาดมาก” (ไอคิวสูงกว่า 125) ไปจนถึง “กลุ่มที่หัวทื่อมากๆ” (ไอคิวต่ำกว่า 75) พอเวลาผ่านไป การศึกษานี้ก็พบว่าเด็กใน “กลุ่มที่ฉลาดมาก” เมื่อโตขึ้นพวกเขาจะดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าหรือบ่อยกว่า “กลุ่มที่หัวทื่อมากๆ” โดยกลุ่มแรกนั้นจะเมาอย่างน้อยเดือนละครั้งหรือมากกว่านั้น ในขณะที่อีกกลุ่มแทบจะไม่เคยเมากันเลย เว็บไซต์ Psychology Today ได้อธิบายความเชื่อมโยงดังกล่าวเอาไว้ว่า จุดเริ่มต้นของการดื่มแอลกอฮอล์นั้นเกิดขึ้นมาจากความบังเอิญเมื่อ 10,000 ปีก่อน ลองคิดดูว่าการดื่มสุรานั้นมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องของวัตถุดิบที่ใช้ กรรมวิธีในการทำ หรือแม้แต่ลักษณะการดื่ม จากที่มนุษย์เคยกินอาหารเป็นหลัก สุราเป็นส่วนประกอบ ปัจจุบันเรากลับสามารถออกไปดื่มเหล้าเป็นหลัก โดยที่มีอาหารเป็นเพียงแค่กับแกล้มกันเล่า นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด …
-
งานวิจัยล่าสุดเผย.. คนขี้เกียจมีแนวโน้มจะเป็นอัจฉริยะมากกว่าคนขยัน จริงๆ นะเออ!!
เราอาจเคยคิดกันว่าคนขี้เกียจมักจะต้องเป็นคนที่ไม่ฉลาดตามไปด้วย แต่ความจริงมันอาจเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันเลย เมื่องานวิจัยล่าสุดได้ออกมาบอกว่าความขี้เกียจอาจเป็นสัญญาณของความฉลาด!! งานวิจัยดังกล่าวได้ใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย Florida Gulf Coast สหรัฐอเมริกา โดยผู้วิจัยจะให้นักเรียนเหล่านั้นทำแบบทดสอบเพื่อแบ่งออกเป็นสองกลุ่มได้แก่ “กลุ่มนักคิด” และ “กลุ่มที่ไม่ใช่นักคิด” คำถามที่ใช้ในการทดสอบนั้นบังคับให้นักศึกษาเลือกว่าตัวเองเห็นด้วยกับแต่ละประโยคมากน้อยแค่ไหน อย่างเช่น “ฉันรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้เผชิญกับแนวทางการแก้ปัญหาหรือปัญหาใหม่ๆ” และ “ฉันคิดแค่ว่าแต่ละสิ่งมันยากพอๆ กับที่ฉันต้องลงมือทำ” หลังจากนั้น Todd McElroy ผู้นำการวิจัยในครั้งนี้ก็จะทำการเลือกตัวแทน “กลุ่มนักคิด” และ “กลุ่มที่ไม่ใช่นักคิด” อย่างละ 30 คน เพื่อทำการศึกษาในขั้นตอนต่อไป โดยให้พวกเขาสวมใส่ที่รัดข้อมือ ซึ่งจะบอกได้ว่าแต่ละคนมีระดับการทำกิจกรรมต่างๆ มากน้อยเพียงใด ตลอดระยะเวลากว่า 1 สัปดาห์ ผลที่ได้คือ “กลุ่มนักคิด” จะมีการทำกิจกรรมน้อยกว่า “กลุ่มที่ไม่ใช่นักคิด” แสดงให้เห็นว่าอัจฉริยะมีแนวโน้มที่จะแสดงออกถึงความขี้เกียจมากกว่านั่นเอง ซึ่งผู้วิจัยมองว่ากลุ่มแรกคือคนที่มักจะทำในสิ่งที่สำคัญมากเท่านั้น ในขณะที่กลุ่มสองคือคนที่มีความเอาการเอางาน ถึงอย่างนั้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ลักษณะการทำกิจกรรมของทั้งสองกลุ่มก็ถือว่าไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด โดยในส่วนนี้ผู้วิจัยไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลลัพธ์ นอกจากนั้นเหล่านักวิจัยยังเชื่อว่าผลลัพธ์ในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ช่วยสนับสนุนความคิดที่ว่า คนที่ไม่ใช่นักคิดมักจะเกิดความรู้สึกเบื่อได้ง่ายกว่า ทำให้พวกเขามักจะหากิจกรรมต่างๆ มาทำอยู่เรื่อยๆ…
-
งานวิจัยเผย ‘การแต่งกายดูดี’ ไม่ไช่แค่ความเหมาะสม แต่ช่วยให้ประสบความสำเร็จได้
ตั้งแต่เด็กจนโตเรามักจะได้ยินคำพูดที่ว่า “ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับสถานที่” หรือ “ต้องแต่งกายให้ดูดี” ซึ่งเรื่องของการเลือกเสื้อผ้าใส่ในแต่ละวันนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้มีผลแค่กับเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก แต่มันยังสามารถส่งผลกับการประสบความสำเร็จของคุณได้อีกด้วย นั่นคือผลจากการศึกษาของบริษัท Yale สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2014 พวกเขาใช้ผู้เข้าร่วมเพศชายจำนวน 128 คน มีอายุตั้งแต่ 18-32 ปี โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่แต่งตัวค่อนข้างมอมแมม (กางเกงวอร์มขายาว รองเท้าแตะ) กลุ่มที่แต่งตัวแบบทั่วไป และกลุ่มที่แต่งตัวดี จากนั้นผู้เข้าร่วมทุกคนจะต้องทำหน้าที่มีส่วนร่วมในการเจรจาการซื้อขายสินค้า เพื่อดูว่าคนจากแต่ละกลุ่มนั้นจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของการสร้างรายได้มากน้อยเพียงใด ผลออกมาว่าคนจากกลุ่มแต่งตัวมอมแมมนั้นคำนวณกำไรได้อยู่ที่ประมาณ 21 ล้านบาท คนจากกลุ่มทั่วไปทำได้ประมาณ 49 ล้านบาท และกลุ่มแต่งตัวดีสามารถทำได้สูงถึง 65 ล้านบาท ผู้ช่วยในการศึกษาครั้งนี้จึงบอกว่ามันเป็นการแสดงให้เห็นถึงเรื่องของการแต่งตัว สำหรับคนที่แต่งตัวมอมแมมมักจะถูกคนอื่นๆ มองข้าม ในขณะที่คนที่แต่งตัวดีจะสามารถรับรู้ได้ถึงการได้รับความเคารพจากคนรอบข้างที่มากกว่า ส่วนอีกหนึ่งการศึกษาก็บอกว่าการแต่งตัวดีช่วยเสริมสร้างลักษณะความเป็นนามธรรมของความคิดได้อีกด้วย โดยจะเกิดความคิดแบบมองภาพรวมเหมือนกับคนที่มีความเป็นผู้นำระดับเจ้าของบริษัท ส่วนคนที่แต่งตัวมอมแมมนั้นจะมัวกังวลในเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง Michael L. Slepian ผู้ช่วยการศึกษาในเรื่องนี้ และเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งสถาบัน…
-
งานวิจัยเผย 80 เปอร์เซ็นต์ของมือปืนกราดยิง ไม่ได้มีความสนใจในวิดีโอเกมส์แต่อย่างใด
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2018 เราอาจได้ยินคำพูดของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา Donald Trump ที่พูดเอาไว้ว่า “วิดีเกมส์คือสิ่งที่ส่งผลให้เกิดการกราดยิง” แต่ผลจากงานวิจัยชิ้นล่าสุดนั้นกลับให้ผลออกมาในทิศทางตรงกันข้าม นี่คือการศึกษาของนักจิตวิทยา Patrick Markey เมื่อเขาพยายามหาคำตอบเกี่ยวกับผู้ก่อเหตุกราดยิงและวิดีโอเกมส์ จนกระทั่งพบว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้ก่อเหตุนั้นไม่ได้มีความสนใจในเรื่องของวิดีโอเกมส์เลย ผลลัพธ์ดังกล่าวเรียกว่าเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความคิดและความเข้าใจของใครหลายๆ คนเป็นอย่างมาก Patrick บอกว่างานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ก่อนหน้านี้อาจมีข้อมูลที่ไม่เหมือนกับผลการศึกษาของเขา แต่ถึงอย่างนั้นข้อมูลดังกล่าวก็ไม่อาจบอกได้ว่าเกมส่งผลกับเรื่องนี้จริงๆ ขณะเดียวกันก็ได้มีการพุ่งประเด็นไปที่เรื่องของบริษัทขายปืนในอเมริกาที่ชื่อว่า Remington ซึ่งมีการผลิตปืนตามต้นแบบจากเกมดังอย่าง Call of Duty ก่อนที่จะพยายามขายให้กับวัยรุ่นผู้ชาย จนพวกเขาถูกฟ้องร้องภายหลังเหตุกราดยิงในปี 2012 ที่มีเด็กเสียชีวิตไปมากถึง 26 คน ซึ่งพบว่าผู้ก่อเหตุใช้ปืนของผู้ผลิตรายนี้ ทนายความ Josh Koskoff อธิบายว่าการกระทำของบริษัทนี้ถือว่าเป็นการส่งเสริมและเพิ่มความเสี่ยงให้มีเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นมาอีก Adam Lanza ผู้ก่อเหตุกราดยิงภายในโรงเรียนประถม เมื่อปี 2012 แน่นอนว่าการขายอาวุธที่ใช้ก่อเหตุให้กับคนร้ายถือว่าเป็นสิ่งที่ผิด แต่หากเราลองมองกลับมาที่เรื่องของวิดีโอเกมส์ที่เกริ่นกันไว้ในตอนแรก การที่เราจะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ส่งผลให้มีการก่อเหตุนั้นกลับไม่สามารถพูดได้เต็มปากเหมือนอย่างกรณีการขายปืน ยิ่งมีงานวิจัยชิ้นใหม่เข้ามาเสริมด้วยแล้ว งานวิจัยและการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่ออกมาขัดกับความเข้าใจของเราหรือแม้แต่ประธานาธิบดีของสหรัฐเองก็ตาม และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ Patrick บอกว่างานวิจัยของเขานั้นยังบอกอีกว่า ยิ่งมีเกมรุนแรงถูกปล่อยออกมาเท่าไหร่…
-
7 เหตุผลรองรับทางวิทยาศาสตร์ ช่วยไขกระจ่างว่า ทำไมเราถึงควรดื่ม ‘กาแฟ’ ทุกๆ วัน
กาแฟ คือเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย ด้วยความขมที่เป็นลักษณะเฉพาะและยังมีคาเฟอีนที่ช่วยในเรื่องของความกระปรี้กระเปร่า ทำให้หลายๆ คนเลือกที่จะให้มันกลายเป็นเครื่องดื่มที่ต้องดื่มเป็นประจำในยามเช้า แต่สิ่งที่เราอาจไม่เคยรู้กันมาก่อนก็คือประโยชน์อื่นๆ ของกาแฟ ซึ่งกลายมาเป็นเหตุผลที่ว่า ‘ทำไมเราถึงควรจะดื่มกาแฟทุกวัน’ มันสามารถช่วยอะไรเราได้บ้าง มันจะดีต่อสุขภาพของเรามากขนาดไหน ลองไปดูพร้อมๆ กันเลยยย 1. กาแฟอุดมไปด้วยสารอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ ตามหลักชีวภาพแล้ว กาแฟคือสิ่งที่ดีต่อร่างกายเราในหลากหลายด้าน เพราะมันเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้กลายเป็นเครื่องดื่มอันดับหนึ่งของชาวอเมริกันที่สามารถช่วยในเรื่องนี้ได้ เอสเปรสโซหนึ่งแก้วจะมีโปรตีน 0.3 กรัม , โพแทสเซียม 116 มิลลิกรัม , วิตามินบี 0.2 มิลลิกรัม , วิตามินบี 5 0.6 มิลลิกรัม , แมงกานีส 0.1 มิลลิกรัม , แมกนีเซียม 7.1 มิลลิกรัม และไนอะซิน 0.5 มิลลิกรัม 2. ลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน จากผลการศึกษาหลายชิ้นชี้ชัดว่า กาแฟสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทได้เป็นอย่างดี ความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์จะลดลงได้มากถึง 65%…
-
เสียงครางของแมว อาจไม่ได้หมายถึง ‘ความรู้สึกดีๆ’ ที่ได้เจอเจ้าทาสเสมอไปหรอกนะ!!
เวลาที่เราเล่นกับเจ้าเหมียวเพื่อนรักหรือตอนที่เราพามันขึ้นมานอนตัก เราอาจเคยได้ยินเสียงครวญครางแว่วออกมาจากในลำคอของพวกมัน ทำให้เราเข้าใจว่าเจ้าเหมียวรู้สึกเพลิดเพลินและสุขสบายกับช่วงเวลานั้นอยู่ แต่มันก็อาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไปหรอกนะ Tony Buffington ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแมวและเป็นสัตวแพทย์ในมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา เขาได้ออกมาอธิบายเกี่ยวกับเสียงครางของแมวเอาไว้ว่า “ทุกพฤติกรรมของพวกมันนั้นขึ้นอยู่กับเบื้องหลังความเป็นมา บริบทในตอนนั้น และความคาดหวัง” เขาอธิบายว่ามันก็เหมือนกับการที่เราหัวเราะ แต่ไม่ได้แปลว่าเรากำลังตลกเสมอไป พวกแมวเองก็เช่นกัน การที่มันส่งเสียงร้องไม่ได้แปลว่าต้องมีความสุขเสมอไป อาจเป็นเพราะว่ามันกำลังกลัว หิว รู้สึกเจ็บ หรืออื่นๆ ก็เป็นได้ อย่างถ้าเป็นแม่แมวมันจะส่งเสียงครางออกมา เพื่อนำลูกน้อยที่เพิ่งเกิดมาแล้วยังคงตาบอดกับหูหนวกอยู่ไปยังสถานที่อันอบอุ่นหรือพาไปหาอาหาร ในขณะที่สัตวแพทย์เชื่อว่าลูกแมวส่งเสียงออกมาเพื่อบอกให้รู้ว่าพวกมันยังสบายดี และช่วยสานสัมพันธ์ของมันกับแม่อีกด้วย ผู้เชี่ยวชาญ บอกว่าการร้องครางของแมวจะช่วยให้ปล่อยสารเอ็นดอร์ฟีนที่ทำให้รู้สึกดีออกมา พวกเขาจึงเชื่อว่าการที่มันส่งเสียงแบบนั้นอาจเป็นเพราะว่ามันกำลังกลัวอยู่หรือเจ็บร่างกายอยู่ก็เป็นได้ และต้องการให้สารดังกล่าวมาช่วยเยียวยา อีกทั้งยังมีการศึกษาที่บอกว่าถ้าทั้งร่างกายเราสั่นสะเทือนด้วยความถี่ 35-50 เฮิรตซ์ จะช่วยกระตุ้นรักษาอาการบาดเจ็บของกระดูกได้ และเสียงครางของแมวมีค่าความถี่อยู่ที่ 25-150 เฮิรตซ์ นั่นจึงอาจหมายความว่าพวกมันส่งเสียงแบบนั้นออกมาเพื่อทำให้กระดูกแข็งแรงอยู่เสมอนั่นเอง (วิธีนี้นักบินอวกาศของ NASA เองก็ใช้ เมื่ออยู่ในพื้นที่ไร้แรงโน้มถ่วง) นอกจากนั้นเสียงครางของพวกมันก็มีโอกาสที่จะพุ่งสูงเกิน 150 เฮิรตซ์อยู่เหมือนกัน จาก การศึกษา หนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Current Biology…
-
การศึกษาด้าน DNA ทำให้นักวิทย์ได้รู้ว่า ‘ม้าป่า’ สูญพันธ์ไปจากโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถ้าหากพูดถึงม้า หลายๆ คนก็อาจจะนึกถึงสัตว์ที่มีร่างกายแข็งแรงปราดเปรียวและสง่างามอย่างแน่นอน (หวังว่าคงไม่มีใครนึกถึงอย่างอื่นนะ!!) และเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้มีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับม้าป่าสายพันธุ์ Przewalski หลังจากที่มีการเผยผลการศึกษาของมหาวิทยาลัย Exeter จากประเทศฝรั่งเศส ว่าเจ้าม้าสายพันธุ์นี้อาจจะไม่ใช่ม้าป่าอย่างที่หลายๆ คนคิด!! จากผลการศึกษาด้าน DNA ของมหาวิทยาลัยดังกล่าวในม้าสายพันธ์ Przewalski ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นม้าป่าสายพันธุ์สุดท้ายของโลก พบว่าอันที่จริงแล้วพวกมันเคยเป็นสัตว์เลี้ยงมาก่อน รายงานเผยว่าม้าสายพันธุ์ปัจจุบันนั้นมีต้นกำเนิดมาจากม้า Botai ม้าเลี้ยงที่มีจุดกำเนิดมาจากประเทศคาซัคสถาน เมื่อประมาณ 5,500 ปีที่แล้ว ทีมวิจัยได้ทำการศึกษา DNA ของเจ้าม้าสายพันธุ์นี้ไล่เรียงไปถึง 20 ลำดับและเปรียบเทียบกับสายพันธุ์ของม้าที่พบตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งพวกเขาพบบางอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับม้าสายพันธุ์ Przewalski Sandra Olsen นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัย Kansas หนึ่งในทีมวิจัยให้สัมภาษณ์ว่าพวกเขาค่อนข้างมั่นใจกับผลการศึกษาที่ได้ หลังจากมีการขุดพบซากของม้า Botai ในปี 1993 “เราค้นพบสัตว์เลี้ยงที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เรากำลังพยายามที่จะพิสูจน์มัน โดยใช้ผลของ DNA เป็นตัวยืนยัน ม้าสายพันธุ์ Botai ไม่ได้เป็นต้นกำเนิดของม้าที่เราเห็นในปัจจุบัน แต่มันคือต้นกำเนิดของสายพันธุ์ Przewalski” นักโบราณคดีให้สัมภาษณ์ หากจะสรุปให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ จากผลการศึกษาครั้งนี้ โดยทางเทคนิคแล้วไม่มีม้าป่าสายพันธุ์ไหนในปัจจุบันที่ไม่เคยเป็นสัตว์เลี้ยงมาก่อนนั่นเอง Molly McCue สัตวแพทย์และนักพันธุศาสตร์ม้าจากมหาวิทยาลัย Minnesota ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับงานวิจัยชิ้นนี้ว่า “นี่เป็นการค้นพบที่น่าสนใจและน่าทึ่งมาก มันเป็นความคิดของเราเกี่ยวกับต้นกำเนิดของม้าสายพันธุ์ปัจจุบัน” นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยว่าม้าสายพันธุ์ American Mustang และ Australian…
-
นักวิทย์แนะวิธีการคาดคะเนการเกิด ‘ไมเกรน’ ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ เพื่อรับมือได้ทันท่วงที
อาการปวดหัวไมเกรน คือหนึ่งในสิ่งที่มีคนประสบปัญหานี้กันอยู่ค่อนข้างมาก มันจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน และมีประสาทที่ไวต่อเสียงหรือแสงจนทำให้ต้องนอนพักอยู่บนเตียงแทบจะตลอด หรือหนักกว่านั้นอาจถึงขั้นเข้าห้องฉุกเฉินกันเลย ลักษณะของอาการที่ว่ามานั้นอาจทำให้หลายๆ คนรู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินที่ผิดปกติ แต่ไมเกรนเฉียบพลันบางครั้งไม่ได้เกิดจากสาเหตุเหล่านั้นเสมอไป เมื่อได้มีการศึกษาใหม่ที่บอกว่ามันอาจเกิดจากสาเหตุที่ใกล้ตัวมากกว่านั้น นี่คือ การศึกษา ของดอกเตอร์ Tim Houle จากโรงพยาบาล Massachusettes General ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกตีพิมพ์ในวารสาร Headache เมื่อเขาและผู้วิจัยในทีมพบว่าเมื่อไหร่ที่เรามีความเครียด วันต่อมาเราจะเกิดอาการปวดหัวขึ้น โดยความเครียดที่ว่านั้นไม่ใช่แบบธรรมดาทั่วไป แต่มันคือความเครียดขั้นรุนแรง พวกเขาได้ทำการวิจัยกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 95 คน โดยต้องเป็นคนที่มีอาการปวดหัวเรื้อรังและสามารถเก็บข้อมูลได้ตลอดช่วงเวลากว่า 4,195 วัน โดยจะเก็บข้อมูลระดับความเครียดในแต่ละวันและดูว่ามีวันไหนที่เกิดอาการปวดหัวขึ้นบ้าง จากการบันทึกผลรายงานว่า กลุ่มตัวอย่างต้องเจอกับอาการปวดหัวถึง 1,613 วัน คิดเป็น 38 เปอร์เซ็นต์ของระยะเวลาทั้งหมด ซึ่งโดยรวมแล้วคนเหล่านั้นจะบันทึกผลว่ามีความเครียดอยู่ในระดับน้อยถึงปานกลาง แต่เมื่อไหร่ที่พวกเขารู้สึกว่าตนเองมีความเครียดเพิ่มสูงขึ้น ในวันต่อมาพวกเขาก็จะเกิดอาการปวดหัว ดอกเตอร์ Houle บอกว่า “เราทราบดีว่าบางคนมีความเสี่ยงที่จะถูกอาการดังกล่าวเข้าโจมตีมากกว่าคนอื่นๆ แต่เรายังไม่สามารถคาดเดาความเสี่ยงในแต่ละระดับที่เพิ่มสูงขึ้นภายในตัวบุคคลได้อย่างแม่นยำ การศึกษาในครั้งนี้จึงเป็นตัวสาธิตที่บอกว่ามีความเป็นไปได้ที่เราจะคาดการณ์การโจมตีล่วงหน้าของไมเกรนในคนที่มีอาการปวดหัวในแต่ละราย” หลังจากนี้พวกเขาจะยังคงวิจัยให้มากยิ่งขึ้น…
-
รอดแล้ว!! เผยวิธีการที่จะช่วยให้คุณสามารถหลับได้สนิทอีกครั้ง หลังสะดุ้งตื่นมากลางดึก
เคยเป็นกันบ้างไหมที่ดันทะลึ่งตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วจะนอนยังไงก็นอนไม่หลับ จนทำงานทำการด้วยความอ่อนเพลียตามๆ กันไป เหตุการณ์เช่นนี้ก็อาจจะทำให้ใครหลายคนเกิดความหงุดหงิดตัวเองที่มีพฤติกรรมดังกล่าว แล้วยังแก้ไม่ได้สักที ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ #เหมียวจิวยี่ เข้าใจเป็นอย่างดี และเคยเป็นอยู่บ่อยๆ ในวันนี้เราจึงหาวิธีการแก้ไขมาให้เพื่อนๆ ที่ต้องประสบชะตาเดียวกันนำไปลองใช้กันดู เพราะนี่คือวิธีการจากงานวิจัย ที่จะช่วยให้คุณหลับสนิทได้อีกครั้งหลังจากต้องตื่นมากลางดึก ซึ่งจะมีวิธีใดบ้างนั้นลองตามไปดูกันเลยดีกว่า 1. วางโทรศัพท์มือถือให้อยู่ห่างๆ ตัวเข้าไว้ มีหลายคนที่สะดุ้งตื่นกลางดึกแล้วไม่รู้จะทำอะไร เลยหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ข้างตัวมาเช็คอีเมล เล่นเฟซบุ๊กไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เช้าเข้าไปแล้ว การวางโทรศัพท์ไว้ให้ห่างตัวจึงเป็นวิธีที่ทำให้เรารู้จักการหักห้ามใจตัวเองไปในตัวนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยหลายแห่งบอกอีกด้วยว่า แสงสีฟ้าที่ออกมาจากจอโทรศัพท์มือถือหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็เป็นอีกตัวการหนึ่งที่เป็นอุปสรรคสำหรับการนอนหลับของเรา แต่ถ้าในรายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ควรลดความสว่างของหน้าจอให้ลดน้อยลงเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดแสงสีฟ้าตัวร้ายให้น้อยลงที่สุด 2. ทำห้องนอนของคุณให้มีเสียงที่เงียบและมีแสงไฟให้น้อยที่สุด “การตื่นขึ้นกลางดึกมักจะมีสาเหตุส่วนมากมาจากความเครียด ความกังวล หรือความคิดอันยุ่งเหยิงของเราในเวลานั้น ซึ่งการตื่นกลางดึกนั้นจะไปกระตุ้นอารมณ์เหล่านี้ให้มีมากยิ่งขึ้นไปอีก” Rachel Ross ที่ปรึกษาด้านการนอนหลับที่ได้รับการรับรองจากหลายสถานบันกล่าว ซึ่ง Ross ก็ได้เสนอวิธีแก้ง่ายๆ ให้กับผู้ที่ตื่นกลางดึกบ่อยๆ ว่าควรทำบรรยากาศภายในห้องนอน ให้เหมาะสมกับการพักผ่อนให้มากที่สุด โดยธรรมชาติของคนเรานั้น บรรยากาศที่เหมาะสำหรับการนอนหลับก็คือไม่มีเสียงรบกวน รวมถึงไม่มีแสงรบกวน(มืด) นั่นเอง แต่ถ้าหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ให้ใช้อุปกรณ์อย่าง ที่อุดหู หรือผ้าปิดตาก็ใช้ได้เช่นเดียวกัน 3. ใช้ความเป็นธรรมชาติเข้าช่วยสิ …
-
คุณพระ!! 10 สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย ถ้าหากว่าเราเลิกกินเนื้อสัตว์ไปเลย แหมเพิ่งรู้นะเนี่ย
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบในรสชาติของ ‘เนื้อสัตว์’ ที่มันทั้งเหนียวนุ่มละมุนลิ้น แถมยังเต็มไปด้วยรสชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้หลายคนถึงกับตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ที่ไม่ว่ามื้อไหนๆ ก็ขอให้มีเนื้อสัตว์สักนิดหน่อยก็ยังดี(อย่างน้อยก็ดีต่อใจละกันเนอะ) แต่ถ้าอยู่มาวันหนึ่งเนื้อสัตว์หายไปจากโลก ก็อาจจะเป็นเรื่องที่เศร้ามากๆ สำหรับบุคคลเหล่านี้ แต่รู้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างถ้าหากร่างกายของเราไม่ได้รับเนื้อสัตว์เลย หลายคนอาจจะสงสัยในเรื่องนี้ และในวันนี้เราก็ได้หาคำตอบมาให้แก่ทุกคนแล้ว ว่าถ้าหากไม่ได้กินเนื้ิอสัตว์เลยจะมีผลอย่างไรต่อร่างกายบ้างนะ ว่าแล้วก็อย่าเสียเวลา ไปดูพร้อมๆ กันเลยดีกว่า 10. น้ำหนักตัวของคุณจะลดลง การที่คุณเลิกกินเนื้อสัตว์ไปเลย จะทำให้น้ำหนักตัวของคุณลดลงอย่างแน่นอน แถมยังไม่จำเป็นต้องนับแคลลอรี่ที่เรากินต่อวันเพื่อลดความอ้วนอีกด้วย เพราะสิ่งที่เราจะกินได้ก็มีเพียงพืชผัักที่มีพลังงานแคลลอรี่เพียงน้อยนิดเท่านั้น จากผลงานวิจัยที่ได้กล่าวเอาไว้ 9. แบคทีเรียทำหน้าที่ปกป้องร่างกายในลำไส้จะมีจำนวนมากขึ้น นั่นเป็นเพราะว่าอาหารที่เรากินเข้าไปมีผลต่อการเกิดแบคทีเรียดังกล่าวได้ จากข้อมูลงานวิจัยกล่าวเอาไว้ว่า ในคนที่กินเฉพาะพืชผักจะมีจำนวนแบคทีเรียชนิดดีนี้มากกว่าคนที่กินเนื้อสัตว์ ทว่าหากเป็นคนที่เพิ่งจะเลิกกินเนื้อแล้วล่ะก็ อาจจะต้องเผชิญกับอาการท้องอืดท้องเฟ้อ เนื่องมากจากลำไส้และตับอ่อนของคุณกำลังปรับตัวให้เข้ากับอาหารประเภทพืชผักนั่นเอง 8. ผิวพรรณของคุณจะดูสุขภาพดี เปล่งปลั่งมากขึ้น ในเหล่าผู้คนที่เลิกกินเนื้อสัตว์ จะสามารถสังเกตเห็นได้ทันทีเลยว่า สิวต่างๆ ที่เคยขึ้นอยู่บนใบหน้าของเรานั้นจะหายไปในทันที รวมทั้งผิวพรรณของเราก็จะดูสุขภาพดีมากขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวเอาไว้ว่า ถ้าเราเปลี่ยนจากการกินเนื้อสัตว์ไปกินผักผลไม้แทน ก็เหมือนกับการชะล้างสารพิษที่ติดค้างอยู่ในร่างกาย และการกระทำเช่นนี้จะส่งผลดีต่อผิวพรรณเราด้วย 7. เราจะรู้สึกกระปี้กระเปร่ามากขึ้น หนึ่งในข้อที่สำคัญที่สุดที่คนเลิกกินเนื้อสัตว์ได้สังเกตเห็นก็คือ รู้สึกเหนื่อยน้อยลง “ฉันเคยหมดแรงในตอนเย็นแม้ว่าฉันนั่งอยู่แต่ในสำนักงานตลอดทั้งวันก็ตาม แต่ในตอนนี้ฉันต้องออกกำลังกายเพื่อที่จะให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อยแทน” มังสวิรัติคนหนึ่งกล่าวเอาไว้ ส่วนเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะว่านอกจากการบริโภคแต่พืชผักจะทำให้น้ำหนักตัวของเราลดลง…
-
สาวก “แกงกะหรี่” โปรดทราบ การกินกะหรี่ช่วยคุณให้มีความสุข และความจำดีขึ้นด้วย
แกงกะหรี่เป็นอาหารที่มีต้นกำเนิดจากทางประเทศอินเดีย ด้วยความที่อาหารประเภทนี้ใส่เครื่องเทศปริมาณมากจึงทำให้มันมีกลิ่นหอมถูกใจผู้บริโภค แต่หลายคนก็ยังคงหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้เพราะมันมักจะมีรสจัด แถมพอทานแล้วก็ทำให้กลิ่นตัวแรงด้วย ทว่าตอนนี้นักวิจัยมีข่าวดีเพิ่มเติมมาบอกกับคนชอบทานแกงกะหรี่ มี ผลวิจัย จากเว็บไซต์รวมงานวิจัย American Journal of Geriatric Psychiatry ออกมาแล้วว่า การทานแกงกะหรี่นอกจากจะได้ความอร่อยก็ยังทำให้เรามีความสุขมากกว่าเดิม และก็ช่วยเสริมสร้างความจำที่ดีอีกด้วย โดยพระเอกในงานวิจัยที่ทำให้เราแฮปปี้และไม่ขี้ลืมก็คือ ขมิ้น นั่นเอง เครื่องเทศชนิดนี้มักจะใช้เป็นส่วนผสมของแกงหลากหลายประเภท ในขมิ้นก็จะมีสารตัวหนึ่งที่ชื่อว่า เคอร์คิวมิน อยู่ซึ่งมันมีคุณสมบัติลดการอักเสบ ทั้งยังสามารถต้านทานอนุมูลอิสระได้ดีด้วย แต่นักวิจัยก็คิดว่าสารเคอร์คิวมินน่าจะช่วยให้คนมีความจำดีเช่นกัน เพราะพวกเขาสังเกตเห็นว่าประชาชนในประเทศอินเดียที่บริโภคสารตัวนี้เป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ต่ำกว่าในพื้นที่อื่น Dr.Gray Small เป็นผู้อำนวยการด้านจิตเวชในผู้สูงอายุของศูนย์ศึกษาอายุยืน จากมหาวิทยแคลิฟอร์เนียในรัฐลอสแองเจลิส และยังเป็นผู้นำการวิจัยในครั้งนี้กล่าวถึงการทำงานของเคอร์คิวมินว่า “แม้ว่าเราจะไม่รู้แน่ชัดว่าเคอร์คิวมินทำงานอย่างไร แต่การที่มันช่วยลดการอักเสบในสมองซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งของโรคอัลไซเมอร์และโรคซึมเศร้า น่าจะเป็นสาเหตุที่มันช่วยพัฒนาความจำของผู้บริโภคได้” Small ได้ทำ งานวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่ศึกษาเกี่ยวกับการช่วยเรื่องความจำของเคอร์คิวมิน โดยให้อาสาสมัครผู้ใหญ่ 40 คนในช่วงอายุ 50-90 ปี สุ่มได้รับสารเคอร์คิวมิน 90 กรัม และยาหลอกเป็นเวลานาน 18 เดือน เขาวัดผลโดยการใช้เครื่อง Positron Emission Tomography (PET) อ่านคลื่นสมองของอาสาสมัครทั้งก่อนและหลังจากการได้รับสารเคอร์คิวมิน แล้วให้พวกเขาทำแบบทดสอบความจำก่อนและหลังรับสารที่ว่านี้ด้วย…
-
งานวิจัยเผย ‘วิดีโอเกม’ ไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้เล่นมีพฤติกรรมเกรี้ยวกราด
เราอาจเคยได้ยินหรือเชื่อว่า วิดีโอเกม คือสิ่งที่กระตุ้นเหล่าผู้เล่นให้มีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว และยิ่งเกมมีความสมจริงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้คนเหล่านั้นมีความก้าวร้าวเพิ่มมากขึ้นตามไป แต่จากงานวิจัยในมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษได้ออกมาบอกว่า ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกนะ นี่เป็นงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย York ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Computers in Human Behavior เหล่านักวิจัยได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 3,000 คน เพื่อต้องการทราบว่า เกมเป็นสิ่งสำคัญที่เพิ่มความก้าวร้าวของคนได้จริงหรือไม่ การทดลองของพวกเขากำหนดให้กลุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม และต้องเจอกับเกมที่มีความหลากหลายต่างกันไป โดยในการทดลองแรกแบ่งให้กลุ่มหนึ่งเล่นเกมขับรถที่ต้องคอยหลบสิ่งกีดขวาง ส่วนอีกกลุ่มเล่นเกมที่ได้สวมบทบาทเป็นหนูที่คอยหลบไม่ให้ถูกแมวจับได้ จากนั้นผู้เข้าร่วมจะได้ทำแบบทดสอบที่ให้พวกเขาแยกรูปภาพของสิ่งต่างๆ ว่าจัดอยู่ในประเภทของยานพาหนะหรือว่าสัตว์ ซึ่งหากผู้เข้าร่วมสามารถทำการแยกประเภทได้ไวกว่าปกติ นั่นหมายความว่าเกมที่พวกเขาเล่นสามารถส่งผลกับความคิดของพวกเขาได้จริง แต่ผลการทดลองที่ออกมากลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้เล่นเกมขับรถที่มีบางคนแยกหมวดหมู่ของภาพที่เห็นได้ช้ากว่าปกติมากเลยทีเดียว สำหรับการทดสอบครั้งแรก แสดงให้เห็นว่าเกมไม่ได้ส่งผลต่อตัวผู้เข้ารับการทดสอบ หลังจากนั้นจึงเข้าสู่การทดลองต่อไป ให้คนเหล่านั้นได้มาเล่นเกมที่มีความสมจริงเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์มากยิ่งขึ้น อย่างเกมแนวที่เรียกว่า Ragdoll Physics ที่สมจริงในลักษณะทางกายภาพ เกมที่พวกเขาได้เล่นในครั้งนี้มีความสมจริงทั้งตอนหกล้ม ตกบันได หรือตอนที่ตกลงมาจากตึก ร่างกายของหุ่นในเกมจะตอบสนองเหมือนกับมนุษย์จริงๆ เช่นอาการบาดเจ็บต่างๆ นอกจากนั้นพวกเขายังได้เล่นเกมต่อสู้ หรือเกมการรบอื่นๆ อีกด้วย เกมในรูปแบบ Ragdoll Physics ดอกเตอร์ David…
-
สาธารณสุขอังกฤษเผย บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่จริง 95% ช่วยให้คนเลิกบุหรี่จริงได้!!
เคยมีหลายๆ คนเคยตั้งข้อสงสัยกันว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้านั้นสามารถช่วยให้เลิกบุหรี่ได้จริงรึเปล่า? หรือจะทำให้สูบหนักยิ่งกว่าเดิม และในวันนี้เอง #เหมียวหง่าว ก็มีผลงานการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญจากอังกฤษมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน งานวิจัยของผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย University College London และศูนย์วิจัยโรคมะเร็งของอังกฤษ ได้ทำการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ได้ผลสรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้านั้นช่วยให้คนที่คิดจะเลิกสูบบุหรี่มีแนวโน้มที่จะเลิกสูบบุหรี่สำเร็จมากยิ่งขึ้น บุหรี่ไฟฟ้านั้นได้รับอนุญาตให้วางขายในประเทศอังกฤษมาตั้งแต่ปี 2007 หลังจากนั้นก็ได้รับความนิยมเรื่อยมา โดยปัจจุบันนั้นมีคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าถึง 3 ล้านคนในประเทศอังกฤษ จนกลายมาเป็นอุปกรณ์ยอดฮิตเพื่อใช้ในการเลิกบุหรี่แทนหมากฝรั่งและแผ่นแปะนิโคติน สำนักงานสาธารณสุขของอังกฤษก็ได้ออกมายืนยันแล้วว่า บุหรี่ไฟฟ้านั้นอันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดาถึง 95% เลยทีเดียว มันจึงกลายเป็นที่น่าสนใจว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าน่ะสามารถช่วยให้เลิกบุหรี่ได้จริงรึเปล่า!? เอาล่ะเราลองไปติดตามผลงานการวิจัยกันที่ข้างเล่างนี้พร้อมๆ กันเลยดีกว่า… งานวิจัยชิ้นนี้ก็ถูกนำไปตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ของอังกฤษ (BMJ) โดยวิธีการวิจัยนั้นได้ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาเรื่องการใช้อุปกรณ์ในการสูบบุหรี่ในช่วงปี 2006-2015 ร่วมกับข้อมูลจากหน่วยงานที่ให้บริการเลิกบุหรี่ของสำนักงานสาธารณสุขมาประกอบ และผลการศึกษาก็พบว่า ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ นั้นไม่ได้ทำให้คนอังกฤษเลิกบุหรี่กันมากขึ้น แต่ทำให้คนที่คิดว่าจะเลิกบุหรี่อยู่แล้ว สามารถเลิกบุหรี่ได้สำเร็จได้ประมาณ 18,000 คนเมื่อปีก่อน และข้อมูลที่ได้ก็บอกว่าการที่มีผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น 1% ก็ทำให้มียอดของคนที่สามารถเลิกบุหรี่ได้สำเร็จเพิ่มมากขึ้นอีก 1% ด้วยเช่นกัน เท่านั้นยังไม่พอ ยิ่งมีคนใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากยิ่งขึ้นก็ยิ่งทำให้มีผู้เข้ารับการบำบัดโดยการให้นิโคตินเทียมลดลงไปด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตามแพทย์ได้ออกมาชี้แจงว่า วิธีการเลิกบุหรี่ที่ดีและได้ผลที่สุดนั้นก็คือการบำบัดโดยใช้ยาจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ร่วมกับการช่วยเหลือให้คำแนะนำจากหน่วยงานบริการเลิกบุหรี่ของสาธารณสุข …
-
รู้จักกับเจ้า Chester แมวเหมียววิเชียรมาศ ผู้มีชื่อเป็นผู้ช่วยทำ ‘ปริญญานิพนธ์’ ด้านฟิสิกส์
นอกจากแมวเหมียวจะเป็นสัตว์เลี้ยง เพื่อนรัก หรือพระเจ้าที่น่ารักน่าเอ็นดูของใครหลายคนแล้ว เจ้าสัตว์ขนฟูสี่เท้านี้มันยังเป็นสัตว์ที่ฉลาดมากเสียด้วย ถ้าถามว่าฉลาดมากแค่ไหนล่ะก็ มันเคยมีแมวตัวหนึ่งที่ได้เป็นผู้ร่วมทำปริญญานิพนธ์ทางด้านฟิสิกส์มาแล้วด้วยนะ F.D.C. Willard (เจ้า Chester) เจ้าเหมียวพันธุ์วิเชียรมาศตัวนี้มีชื่อว่า Chester และมีนามปากกาว่า F.D.C. Willard เกิดเมื่อปี 1968 และตายเมื่อปี 1982 ส่วนเจ้าของของมัน เป็นชายชื่อ Jack H. Hetherington เขาเคยเป็นนักฟิสิกส์และนักคณิตศาสตร์อยู่ที่มหาวิทยาลัย Michigan State University แต่เจ้าแมวไม่ได้เขียนหนังสือได้ หรือว่าช่วย Hetherington วิจัยแต่อย่างใดเลย สาเหตุที่มันได้เป็นผู้ร่วมทำปริญญานิพนธ์เริ่มต้นในปี 1975 เจ้าของของมันต้องการตีพิมพ์ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับ Low-Temperature Physics ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับสถานะของสิ่งของในอุณหภูมิต่ำ ปริญญานิพนธ์โดย Jack H. Hetherington และมี F.D.C. Willard เป็นผู้ช่วย แต่ว่าเพื่อนร่วมงานของเขาก็สังเกตเห็นว่า ปริญญานิพนธ์ของเขาใช้สรรพนามพหูพจน์ ซึ่งแปลว่ามันจำเป็นต้องมีคนทำหลายคน ถ้าเขาส่งปริญญานิพนธ์ไปทั้งๆ แบบนี้ มันก็ต้องโดนตีกลับแน่นอน…
-
นักจิตวิทยาเผย 10 เรื่องง่ายๆ ที่บอกว่า “ความสัมพันธ์ในชีวิตคู่” ของคุณยั่งยืนจนน่าอิจฉา
การประคับประคองความสัมพันธ์ของคู่รักนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าในอนาคต แต่ละฝ่ายจะต้องพบเจอปัญหาอะไรในชีวิตบ้าง และปัญหาเหล่านั้นจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่อย่างไร อย่างไรก็ตามดอกเตอร์ Gleb Tsipursky นักจิตวิทยาผู้ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่จัดการกับการคิดและการตัดสินใจที่ดี ได้สรุป 10 เรื่องง่ายๆ ที่เป็นสัญญาณบอกว่าความสัมพันธ์ของคุณมีแนวโน้มจะอยู่ยืนยาวหากมี 10 สิ่งนี้ 1. การช่วยกันรับมือในสถานการณ์กดดัน บางครั้งเราต้องเจอกับสถานการณ์ที่รับมือยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือเป็นเรื่องใหญ่ก็ตาม ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้มักบังคับให้เราต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างในทันที เราจึงควรต้องคอยสนับสนุนคู่รักในส่วนที่เขาขาด เพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้ได้ หากทำดังนั้นได้ ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เราแก้ไขปัญหาอย่างหุนหันพลันแล่น หรือตอบสนองต่อปัญหาช้าได้ดี ยกตัวอย่างเช่น หากคู่รักของคุณมักเกิดอารมณ์ร้อนเมื่อเจอสถานการณ์กดดัน ถ้าคุณเป็นคนใจเย็นและใช้น้ำเย็นเข้าลูบแล้ว มันจะช่วยให้คุณทั้งคู่หาทางแก้ปัญหาได้ดีขึ้น 2. เคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง คุณควรจะคิดไว้เสมอว่า คนทุกคนนั้นมีความคิดไม่เหมือนกัน ทั้งคุณและคู่รักต่างก็มีความคิดเห็น ความชอบ และมุมมองต่อสิ่งต่างๆ เป็นของตนเอง แม้ว่าจะมีความคิดเห็นใกล้เคียงกันขนาดไหน ก็ไม่มีทางที่คู่รักจะมีความคิดเห็นตรงกันทุกกระเบียดนิ้ว ดังนั้นอย่าตัดสินใจอะไรแทนกันโดยเด็ดขาด และอย่าทำเหมือนกับว่าคุณรู้ใจคู่รักเสมอไปด้วย คุณควรจะถามความคิดเห็นของอีกฝ่ายอยู่เสมอและรับฟังมันไว้ จึงจะทำให้ความสัมพันธ์ราบรื่นได้ 3. กล้าที่จะขอ ในเมื่อคนเราไม่รู้ความคิดของกันเสมอไป คุณก็ไม่สามารถจะหวังให้แฟนของคุณตรัสรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่เช่นกัน แทนที่คุณจะรอให้คนรักทำตามที่คาดหวัง คุณควรจะเอ่ยปากบอกด้วยว่าคุณต้องการอะไร พออีกฝ่ายรับรู้จะได้ทำตามความต้องการของคุณได้ อย่างไรก็ตาม คู่รักเองเมื่อได้รับฟังแล้ว ก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ทำตามคำขอของเราด้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพูดคุยกันและเหตุผลของทั้งสองฝ่าย…
-
นักวิทย์วิเคราะห์ “รักระยะไกล” จากงานวิจัย เป็นไปได้ไหม ที่จะไปถึงฝั่งฝัน!?
บางคนเคยบอกว่ารักระยะไกลจะทำให้เราคิดถึงกันมากขึ้น บ้างก็ว่าจะทำให้เราห่างเหินกันไปจนต้องเลิกรา ไม่ว่าเรื่องไหนจะเป็นความจริง นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมาวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรเราลองไปชมกัน… ความความสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนและเพื่อสร้างมันขึ้นมาเราต้องทำอะไรมากมายและการรักษามันให้ดีก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก ส่วนในเรื่องของความสัมพันธ์ระยะไกลยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะส่วนใหญ่มักจะไปไม่รอด หรือถ้ารอดก็มีโอกาสน้อยมากๆ…. แต่ถึงอย่างนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักวิจัยได้พบกับข้อมูลอันน่าตกใจ ที่ไม่ใช่แค่ว่ารักทางไกลนั้นเป็นไปได้แต่มันยังดียิ่งกว่าความรักระยะใกล้เสียด้วยซ้ำ ในปี 2015 นักวิจัยของ Queen’s University ได้ทำการศึกษาคู่รัก 1,142 คู่ทั้งหมดอยู่ในช่วงอายุ 20 ปี ในจำนวนทั้งหมดนี้มี 30 เปอร์เซ็นไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัย และ 77 เปอร์เซ็นเป็นคู่รักทั่วไป ผลการวิจัยพบว่าคู่รักทางไกลมีระดับความใกล้ชิด การสื่อสาร ความมุ่งมั่น ความพอใจทางเพศและความพอใจโดยรวมในระดับที่ไม่แตกต่างกับกลุ่มคู่รักระยะใกล้ “ดูเหมือนว่านี่เป็นการค้นพบครั้งสำคัญเพราะว่าระยะทาง [ความรักระยะไกล] ได้บังคับให้เกิดการสื่อสารกันเพิ่มขึ้นและลึกซึ้งมากขึ้น แต่ถ้าคุณอยู่ในบริเวณเดียวกัน คุณจะสามารถรู้จักกันแค่เพียงผิวเผินและไม่มีโอกาสได้รู้จักกันไปมากกว่านั้นสักเท่าไหร่” ดอกเตอร์ Vinita Mehta ผู้เป็นนักจิตวิทยาทางคลินิกและนักเขียนในวอชิงตัน ดีซีกล่าว โดยธรรมชาติแล้วเมื่อสมองของเราได้รับข้อมูลของคนคนหนึ่งหรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งซ้ำไปซ้ำมาในที่สุดสิ่งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นความเคยตัว และคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่เมื่อเราพบกับสิ่งเร้าใหม่ๆ เราจะตอบสนองต่อเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยปริมาณความรู้สึกที่มากขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่คู่รักใหม่ดูรักกันปานจะกลืนกินนั่นเอง ในความสัมพันธ์ระยะไกลแล้ว คู่รักจะไม่รู้สึกคุ้นเคยกันในระยะเวลาอันสั้น ดั้งนั้นความสัมพันธ์ทั้งหมดจึงค้างอยู่ในสภาพที่คล้ายยังเป็นช่วง ‘ฮันนีมูน’ ก็ว่าได้ แต่นั่นจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคู่รักแต่ล่ะคู่อยู่ดี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการวิจัยใดที่ศึกษาเกี่ยวกับระยะเวลาที่คู่รักระยะไกลจะสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่มั่นคงไว้ได้ แต่ ดอกเตอร์ Mehta…
-
คนมันมีของ!! หากคุณมีบั้นท้ายใหญ่ นักวิทย์เค้าบอกว่าจะฉลาดและสุขภาพดีกว่าคนปกตินะเออ!!
หากจะกล่าวถึงทรวดทรงของผู้หญิงในอุดมคติของใครหลายคน ก็อาจจะหมายถึงผู้หญิงที่มีหน้าตาสะสวย คมคาย มีหน้าอกที่ใหญ่พอประมาณ มีเอวที่คอด รวมถึงการมี ‘ก้น’ ที่ใหญ่โตได้รูปเหมาะกับการจับมาตีเล่น แต่รู้หรือไม่ว่าเรื่องของก้น สามารถบอกอะไรได้หลายอย่าง ซึ่งเคยมีงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่เคยได้เผยว่า ผู้หญิงที่มีก้นใหญ่จะมีสุขภาพที่ดีกว่าผู้หญิงที่มีก้นเล็ก และในตอนนี้ก็มีงานวิจัยใหม่ออกมาบอกอีกด้วยว่า นอกจากผู้หญิงก้นใหญ่จะมีสุขภาพดีแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะมีความฉลาดมากกว่าอีกด้วย!? งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Oxford ประเทศอังกฤษ ที่ได้ศึกษาข้อมูลจากผู้หญิงกว่า 16,000 คน ซึ่งสิ่งที่พวกเขาพบก็คือในผู้หญิงก้นใหญ่ จะมีระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลที่ต่ำมาก อีกทั้งยังมี ระดับกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงขึ้นทำให้ผู้หญิงก้นใหญ่มีโอกาสที่จะเจ็บป่วยเรื้อรังน้อยกว่าผู้หญิงก้นเล็กนั่นเอง นอกจากนี้ ในตัวของผู้หญิงก้นใหญ่ยังมีจำนวนฮอร์โมนที่เรียกว่า Dinopectina ซึ่งมีประโยชน์ในการป้องกันโรคเบาหวาน รวมถึงยังสามารถต้านการอักเสบในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย สำหรับกรดไขมันไขมันโอเมก้า 3 ที่มีอยู่จำนวนมากในตัวของผู้หญิงก้นใหญ่ นักวิจัยบอกว่าเจ้ากรดไขมันโอเมก้านี้ ยังช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพให้ดีขึ้น ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น และยังช่วยดักจับไขมันเลวที่เข้าสู่ร่างกายของเรา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โดยงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Oxford ชิ้นนี้ ยังสอดคล้องกับงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ได้ตีพิมพ์ลงวารสาร Cell Metabolism ที่ได้บอกเอาไว้ว่าช่วงล่างอันใหญ่โตของผู้หญิง จะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่คอยดักจับไขมันไม่ให้สะสมตามอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว แหม มีประโยชน์ขนาดนี้รีบไปฟิตหุ่นให้มีตูดใหญ่ๆ กันดีกว่า ที่มา: unilad
-
ได้ด้วยหรอ!! Samwell ตีพิมพ์งานวิจัย (ปลอมๆ) อธิบายสภาพอากาศในเรื่อง Game of Thrones
ใครหลายคนที่เป็นแฟนซีรีส์สุดมันส์อย่างเรื่อง Game of Thrones อาจจะเคยได้ยินคำขวัญประจำตระกูลสตาร์ก ที่ว่า “Winter is coming” ซึ่งแปลว่าฤดูหนาวกำลังจะมาถึง และถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าฤดูกาลในภาพยนตร์เรื่องนี้มีความแปลกไปจากฤดูกาลจริงๆ ของโลกเราอยู่พอสมควร ก่อนหน้านี้ได้มีบทความวในารสารจากมหาวิทยาบริสตอล ประเทศอังกฤษ ที่พยายามหาวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายเหตุผลของสำนวนประจำตระกูลสตาร์คที่ว่านี้ และหาสาเหตุว่าทำไมอากาศในซีรีส์เรื่องนี้ถึงได้หนาวกันตลอดทั้งปี แม้ฤดูหนาวที่ว่าของพวกเขายังไม่มาถึงก็ตาม แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้มีงานวิจัย (ปลอมๆ) ที่เขียนโดย Samwell Tarly หนึ่งในตัวละครเอกของเรื่องออกมาเปิดเผยว่า จริงๆ แล้วสภาพอากาศใน Westeros นั้นเป็นอย่างไรกันแน่? ด้วยความมุ่งมั่นที่อยากจะเป็นเมสเตอร์ให้ได้ เขาจึงมุ่งมั่นเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เมสเตอร์ควรจะรู้ เขาจึงได้ทำวิจัยเกี่ยวกับสภาพอากาศออกมา โดยภาษาที่เขาใช้เขียนนั้นเป็นภาษา Dothraki และภาษา High Valyrian ซึ่งงานวิจัยที่เขาเขียนได้สร้างประโยชน์มากมายสำหรับแฟนๆ ซีรีส์เรื่องนี้ เราจึงได้นำงานวิจัยของ Sam มาแปลและวิเคราะห์ข้อมูล โลกจำลองจากข้อมูลการวิจัยของ Samwell ทั้งนี้ทฤษฎีของ Samwell ได้ผ่านการวิเคราะห์จากนักวิจัยได้ให้ข้อสรุปเอาไว้ว่า สภาพอากาศบริเวณนอก The Wall จะมีสภาพอากาศที่เย็นยะเยือกจนแทบจะอยู่ไม่ได้ตลอดทั้งปี และ Casterly Rock…
-
นักวิทย์ฯ เผยสาเหตุที่มนุษย์ต้อง ‘ตกหลุมรัก’ ซึ่งกันและกัน เพราะมันเกี่ยวกับวิวัฒนาการเพื่อการอยู่รอด!!
การตกหลุมรักเป็นหนึ่งในความลึกลับอันยิ่งใหญ่ของชีวิต เพราะเราไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้น ที่สำคัญเป็นความรู้สึกมีให้เฉพาะบางคนเท่านั้น แต่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ได้มาให้คำตอบแล้วว่าความรู้สึกของการตกหลุมรักนั้น อาจเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในการวิวัฒนาการของเรา นี่ถือเป็นครั้งแรกที่นักวิจัยค้นพบหลักฐานของ “ความรักที่ส่งเสริมวิวัฒนาการของมนุษย์” เพราะมันจะเพิ่มโอกาสในการมีครอบครัวมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาการศึกษาวิจัยจากชนเผ่า Hadza ในประเทศแทนซาเนีย ที่ไม่ได้ใช้ชีวิตตามแบบยุคสมัยใหม่และพบว่าการมีความรู้สึกรักใคร่กันของคู่ครองนั้นมีความเชื่อมโยงถึงความต้องการในการมีบุตรด้วยกันมากขึ้น ผลดังกล่าวนี้สอดคล้องกับการวิจัยก่อนหน้านี้จากมหาวิทยาลัย University College London เมื่อปี 2013 ที่พบว่าความรักอาจมีพัฒนาการในการยับยั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกลิงหรือ Primate (ในที่นี้รวมถึงมนุษย์ด้วย) จากการฆ่าทารก โดยเฉพาะในกลุ่มของสปีชีส์ที่ฝ่ายเพศผู้และเพศเมียมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก็จะทำให้เพิ่มโอกาสที่ทายาทของพวกเขาจะรอดชีวิต และจะยิ่งดีไปกว่านั้นหากเพศผู้มาช่วยเลี้ยงดูบุตรด้วยตัวเอง ในสังคมสมัยใหม่ ปัจจัยบางอย่างเช่น ความสัมพันธ์ระหว่างความรักกับจำนวนบุตรนั้นมีแนวโน้มที่จะมีความเชื่อมโยงกันน้อยลง จึงเป็นเหตุผลที่นักวิจัยหันไปหาชนเผ่าที่เป็นนักล่าสัตว์และอยู่ห่างไกลความศิวิไลซ์อย่างเผ่า Hadza ชีวิตของคน Hadza มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในช่วงหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ ‘ความรัก’ ในหมู่บรรพบุรุษยุคก่อนประวัติศาสตร์ของเราได้ นักวิจัยเขียนไว้ว่า “การศึกษาของเราอาจทำให้เกิดความกระจ่างในเรื่องความหมายของความรัก และการวิวัฒนาการในอดีต โดยเฉพาะสังคมแบบดั้งเดิมของ Hadza ที่การเลือกคู่ที่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลไม่ใช่พ่อแม่ของพวกเขา” งานวิจัยอ้างอิงว่าชนเผ่า Hadza นั้นมีการเลือกคู่ครองตามใจของแต่ละคน มีชื่อว่า Frontiers in Psychology ทั้งนี้มีงานวิจัยที่นำโดย Dr.…
-
นักวิทย์ถึงกับไปไม่เป็น หลังพบลิงสาวพยายามมีเซ็กส์กับกวาง มันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย!?
ใครที่ได้มีโอกาสได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ก็คงต้องรู้สึกฉงนงงงวยกันแน่ๆ ก็ใครมันจะไปคิดล่ะว่าเราจะได้เห็นลิงเสพสวาทกับกวาง ซ้ำร้ายลิงที่ขึ้นขี่เจ้ากวางก็ดันเป็นตัวเมียอีกต่างหาก ทำไมถึงได้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ขึ้นกันนะ นักวิทยาศาสตร์ที่สนใจเรื่องนี้จึงได้พยายามทำการค้นคว้าถึงพฤติกรรมสุดแปลกนี้ ว่ามันเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่ และมีเหตุผลมาจากอะไร อ้างอิงจาก งานวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเลทบริดจ์ พฤติกรรมการสมสู่ข้ามสายพันธุ์ระหว่างลิงกังตัวเมีย กับกวางซีกาในประเทศญี่ปุ่นนั้น เกิดขึ้นมาสักพักหนึ่งแล้ว นักวิจัย Noëlle Gunst เองก็ระบุว่าคนท้องถิ่นในเมืองมิโน จังหวัดโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นได้พบเห็นพฤติกรรมประหลาดนี้มาตั้งแต่ปี 2014 แล้ว โดยการสมสู่ข้ามสายพันธุ์ระหว่างลิงกับกวางในลักษณะนี้ จะเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ อย่างสม่ำเสมอ ลิงก็จะขึ้นไปขึ้นขี่กวาง ส่วนกวางก็จะปล่อยให้ลิงสมสู่จนสำเร็จความใคร่ แล้วเลียกินน้ำกามที่เลอะอยู่บนหลังของมัน ในงานวิจัยนี้ นักวิทยาศาสตร์เก็บข้อมูลจากฮอร์โมนที่ได้จากอุจจาระของสัตว์ หลังการสมสู่ระหว่างลิงกังญี่ปุ่นและกวางซีกา จำนวน 258 ครั้ง แล้วนำข้อมูลฮอร์โมนจากอุจจาระที่ได้ มาเปรียบเทียบกับฮอร์โมนที่ได้จากอุจจาระของการสมสู่กันระหว่างลิงตัวเมียสองตัว จึงสรุปได้ว่าการสมสู่ของพวกมันเกิดจากความต้องการทางเพศ โดยสังเกตจากทั้งลักษณะของการขึ้น ลักษณะของการกระเด้า และเสียงร้องของมันตอนสมสู่กัน และจาก 5 ตัวอย่างจากการสมสู่กันของลิงและกวาง 14 คู่ ก็พบว่ามันมีลักษณะการสมสู่กันเหมือนกับการผสมพันธุ์กันระหว่างลิงไม่มีผิดเลย นอกจากนี้กวางส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ปฏิเสธลิงตัวเมียที่เข้ามาสมสู่ด้วย มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีท่าทีต่อต้านและสะบัดตัวหนี การวิจัยครั้งนี้นับเป็นการวิจัยรูปแบบใหม่ เพราะถือว่าเป็นครั้งแรก…
-
ผลวิจัยเผย “คนที่ขำกับมุกตลกร้าย” อาจมีแนวโน้มของอัจฉริยะมากกว่าคนปกติ!!
การจะเล่าเรื่องตลกสักเรื่องหนึ่งให้เพื่อนของเราฟัง เราก็ต้องคิดก่อนว่าเมื่อเล่าไปแล้วเพื่อนของเราจะเข้าใจมุกที่เราต้องการจะสื่อออกไปไหมนะ เพราะบางทีเรื่องตลกที่เราอยากจะเล่าอาจจะกลายเป็นเรื่องแป้กที่ทำให้เรากลายเป็นตัวตลกเองเสียก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องตลกบนโลกนี้ก็มีอยู่นับร้อยนับพันเรื่อง แต่ว่าจะมีตลกอยู่ประเภทหนึ่งที่เรียกว่า ‘เรื่องตลกร้าย’ โดยเนื้อหาของตลกร้ายจะเป็นเนื้อหาที่ค่อนข้างรุนแรง และอาจมีการเสียดสีอยู่ทำให้อาจจะทำให้คนทั่วไป ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งออกมาเกี่ยวกับเรื่องตลกร้าย โดยพวกเขาบอกว่าหากใครที่เข้าใจความหมายของมุกตลกร้าย บุคคลเหล่านั้นดูเหมือนมีความเป็นอัจฉริยะแฝงเอาไว้อยู่!! งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร Cognitive Processing โดยทีมนักจิตวิทยาได้ออกมาเปิดเผยว่า ผู้ที่เข้าใจในเรื่องของมุกตลกร้าย (ในที่นี้หมายถึงเรื่องตลกที่ค่อนข้างสื่อไปในทางที่น่ากลัวอย่างเช่นเรื่องความตาย เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ความผิดปกติ โศกนาฏกรรมอันน่าสลดใจรวมถึงสงคราม) มักจะเป็นคนที่ค่อนข้างฉลาดกว่าคนปกติทั่วไป ซึ่งพวกเขาเหล่านี้มักจะมีระดับ IQ ที่สูง มีความก้าวร้าวเพียงน้อยนิด และสามารถต้านทานต่อความรู้สึกในแง่ลบได้ดีเลยทีเดียว โดยวิธีการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์ขันกับสติปัญญาของนักวิจัยทีมนี้ก็คือ พวกเขาได้นำกลุ่มทดลองชายหญิงกว่า 126 ชีวิตให้ลองอ่านการ์ตูนที่มีเนื้อหาสุดเยือกเย็นจากหนังสือเรื่อง The Black Book ของนักเขียนการ์ตูนชาวเยอรมันชื่อว่า Uli Stein และเมื่อผลการทดสอบออกมาก็ปรากฏว่า ผู้ทดสอบที่เข้าใจเนื้อหาของการ์ตูนเรื่องนี้และสนุกไปกับมัน จะมีระดับ IQ ที่สูงกว่า อีกทั้งยังมีความก้าวร้าวน้อยกว่าผู้ที่ไม่เข้าใจมุกตลกเหล่านี้ ซึ่งนักวิจัยวิจัยได้อธิบายถึงเหตุผลเอาไว้ว่า เป็นเพราะว่ามุมมองความคิดนั้นต่างกัน หากเราไม่สามารถรับมือเรื่องร้ายต่างๆ ที่เข้ามาด้วยอารมณ์ขันและมองโลกในแง่ดี เราจะพลอยรู้สึกแย่ตามเรื่องนั้นๆ ที่ได้รับรู้และอาจแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าวออกมามากกว่ากว่าปกติ แต่หากถามว่าเรื่องมุมมองเกี่ยวกับเรื่องของความฉลาดอย่างไร ทีมนักวิจัยก็ได้บอกว่า เป็นเพราะเรื่องตลกร้ายค่อนข้างจะมีเนื้อหาที่ซับซ้อนกว่าเรื่องตลกปกติ และต้องใช้การตีความจึงจะเข้าใจถึงความหมายได้ โดยการตีความคำคำหนึ่งในมุกตลกจะทำให้เราได้ใช้สมองทั้งซีกซ้ายและขวา…
-
จากการศึกษาและงานวิจัยบอกว่า ‘การเสพติดเซลฟี่’ อาจเป็นอาการผิดปกติของจิตใจก็ได้
ในโซเชียลมีเดีย เราอาจได้เห็นเพื่อนๆ เซลฟี่โพสต์ลงในโซเชียลมีเดียกันจนเป็นเรื่องปกติ แต่มันอาจจะไม่ปกติอีกต่อไป เมื่องานวิจัยได้ออกมาเผยว่าการเซลฟี่อาจเป็นความผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่ง ย้อนกลับไปในปี 2014 สมาคมจิตเวชอเมริกัน หรือรู้จักกันในชื่อ APA ได้พูดถึงความผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่งที่ชื่อว่า Selfitis คือคนที่ถูกการเซลฟี่เข้าครอบงำ ต่อมาในปี 2017 จึงได้มีงานวิจัยออกมาเพื่อยืนยันและจำแนกประเภทของอาการชนิดนี้ งานวิจัยดังกล่าวถูกตีพิมพ์ใน วารสารนานาชาติที่เกี่ยวกับสุขภาพจิตและการเสพติด เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน โดยนักวิจัยสองคนจากมหาวิทยาลัย Nottingham Trent University ในอังกฤษ และ Thiagarajar School of Management ในอินเดีย พวกเขาต้องการยืนยันว่าอาการทางจิตดังกล่าวนั้นมีอยู่จริงและต้องการแบ่งระดับความรุนแรงออกมาให้เราเห็นภาพกันได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตามเงื่อนไขต่างๆ ที่ถูกวางเอาไว้ ทั้งสองใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยจำนวนหลายร้อยคน เพื่อทำการสัมภาษณ์แบบกลุ่ม หลังจากนั้นพวกเขาก็แบ่งระดับความรุนแรงของพฤติกรรมการถูกครอบงำจากเซลฟี่ออกมาเป็น 3 ระดับดังนี้ ระดับ 1 ขั้นเริ่มต้น หมายถึงคนที่ถ่ายเซลฟี่อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง แต่ไม่ได้โพสต์รูปเหล่านั้นลงโซเชียล ระดับ 2 ขั้นรุนแรง หมายถึงคนที่ถ่ายเซลฟี่อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง…
-
งานวิจัยเปิดเผยว่า สิ่งที่ช่วยให้คุณ ‘นอนหลับ’ อย่างสบายที่สุดก็คือ ‘การมีเซ็กส์’
คุณผู้อ่านกำลังประสบกับปัญหาการนอนไม่หลับอยู่หรือเปล่าคะ? เจ้าอาการนอนไม่หลับเนี่ยมันช่างน่าหงุดหงิดซะเหลือเกิน พอจะข่มตาหลับได้สักพักก็ต้องตื่นไปทำงานซะแล้ว พอจบวันจะนอนก็ดันนอนไม่หลับอีก วนลูปแบบนี้ไปเรื่อยๆ ร่างกายจะพังเอานะ ซึ่งปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับนี้ก็กลายเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา หรือผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ก็นำประเด็นเรื่องการนอนไม่หลับมาศึกษาเพื่อหาวิธีคลายปัญหา หนึ่งในหัวข้อที่เกี่ยวกับอาการนอนไม่หลับที่ Michele Lastella จากสถาบัน Appleton Institute for Behavioral Science ของมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลียได้ทำการศึกษาในหัวข้อที่ว่า “เมื่อมีเซ็กส์แล้วจะทำให้อาการนอนไม่หลับหายไป” นั่นแน่ อย่าพึ่งคิดลึกไปถึงฉากนั้นนะ จากการสำรวจข้อมูลจากประชากรชาวรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลียที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 70 ปี จำนวน 460 คน พบว่า 2 ใน 3 คนสามารถนอนหลับได้ดีขึ้นหลังจากที่ได้ขึ้นสวรรค์ก่อนนอน หัวข้อการวิจัยนี้อ้างอิงมาจากหลักฐานการวิจัยที่ถูกค้นพบว่า มนุษย์จะหลั่งฮอร์โมน ออกซิโทซิน ออกมาหลังจากที่สำเร็จความใคร่ด้วยการมีเซ็กส์หรือช่วยตัวเองจนถึงจุดสุดยอด ซึ่งเจ้าฮอร์โมนออกซิโทซินนี้เป็นฮอร์โมนแห่งความผ่อนคลาย ออกฤทธิ์คล้ายยาระงับประสาทและช่วยให้สามารถนอนหลับได้ นอกจากนี้ Michelle ก็ได้แนะนำอีกว่าควรจะนำโทรศัพท์มือถือไปไว้ไกลๆ เพื่อที่จะได้ทำกิจกรรมอย่างสะดวกไม่มีสะดุด เมื่อพร้อมแล้วก็สามารถจูงมือกันขึ้นไปสู่ประตูสวรรค์ได้เลย …
-
งานวิจัยเผย ยิ่งคุณมี ‘พี่ชาย’ เยอะมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีแนวโน้มเป็น ‘เกย์’ มากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ในบรรดาเหล่าชายรักชายหรือที่เราเรียกกันว่า เกย์ พวกเขาเหล่านี้มักจะมีจุดเปลี่ยนในชีวิต ที่ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วพฤติกรรมเบี่ยงเบนเหล่านี้มี อาจเกิดขึ้นตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ของแม่แล้ว และที่สำคัญคือมีงานวิจัยหนึ่งเปิดเผยว่าหากยิ่งมีพี่ชายเยอะมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีสิทธิ์เป็นเกย์เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น!! งานวิจัยหนึ่งจากมหาวิทยาลัยโทรอนโต ประเทศแคนาดา ได้ออกมามาเปิดเผยว่าการมีลูกผู้ชายคนหนึ่งจะทำให้ปฏิกิริยาต่างๆ ในร่างกายของผู้เป็นแม่เปลี่ยนไปทั้งภูมิคุ้มกันและปัจจัยอื่นๆ และนั่นให้เด็กผู้ชายที่เกิดหลังจากนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นเกย์มากขึ้น!!! “การศึกษาของเราเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญ ในการทำความเข้าใจถึงต้นกำเนิดของการปรับเปลี่ยนเพศในเพศชาย ซึ่งเราก็พบว่า กลไกการตอบสนองภูมิคุ้มกันโปรตีนของมารดา มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองของทารกเพศชายในครรภ์ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือการมีพี่ชาย” “จากการสำรวจพบว่า โดยปกติแล้วในเพศชายทุกๆ คนจะมีโอกาส 3 เปอร์เซ็นต์ที่จะเบี่ยงเบนไปเป็นเกย์ แต่ในคนที่มีพี่ชายสามคนกลับพบว่าพวกเขามีโอกาสที่จะเป็นเกย์มากขึ้นไปเป็น 6 เปอร์เซ็นต์ หรือมากขึ้นกว่า 2 เท่าเลยทีเดียว” หัวหน้าทีมวิจัยกล่าว นอกจากนี้พวกเขายังได้ให้เหตุผลเอาไว้ว่า ยีนในตัวของแต่ละคนจะเป็นสิ่งที่กำหนดเพศ โดยในเพศหญิงจะมีโครโมโซม X จำนวน 2 ตัว ในขณะเดียวกันเพศชายจะมีโครโมโซมทั้ง X และ Y และเป็นเพราะว่าโครโมโซม Y ที่มีอยู่ในเพศชาย สามารถสร้างความแตกต่างในด้านชีวภาพได้ ทำให้ทารกเพศชายในครรภ์ของมารดาสามารถเปลี่ยนแปลงภูมิคุ้มกันต่างๆ ในร่างกายของผู้เป็นแม่ อีกทั้งเมื่อเกิดการตั้งครรภ์เพศชายขึ้น ร่างกายของแม่จะสร้างแอนติบอดี้ชนิดหนึ่งขึ้นมาเพื่อเป็นการต่อต้านโครโมโซม Y ชื่อว่า anti-NLGN4Y …
-
ความเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง ระหว่างบุคคลอายุ 14 และ 77 ปี จากผลการศึกษานาน 60 ปี…
ทุกคนรู้ว่าเมื่ออายุของเราเพิ่มมากขึ้นรูปร่างและระบบการทำงานของร่างกายเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่งานวิจัยอันยาวนานนี้ก็ได้บอกเราอีกว่า ไม่ได้มีเพียงแค่สุขภาพร่างกายของเราที่เปลี่ยนไปเพราะมันมีอะไรมากกว่านั้นอีกเยอะ นี่คืองานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน Psychology and Aging ใช้เวลานาน 63 ปีสำหรับการศึกษาในครั้งนี้ ทำให้เรารู้ว่าอายุที่เพิ่มขึ้นของเรา ไม่ได้มีแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป แต่มันรวมถึงเรื่องของลักษณะอุปนิสัยของเราด้วย การศึกษานี้เริ่มขึ้นในปี 1950 ทำการสำรวจเด็กวัย 14 ปีจำนวน 1,208 คนในประเทศสกอตแลนด์ โดยให้คุณครูของเด็กๆ ให้คะแนนในเรื่องของความมั่นใจในตัวเอง ความขยันหมั่นเพียร ความมั่นคงของอารมณ์ ความยุติธรรม ความคิดริเริ่ม และความอยากที่จะเรียนรู้ รวมกันเป็น 6 คำถาม เพื่อดูว่าเด็กแต่ละคนอยู่ในระดับใดบ้าง ทั้ง 6 หัวข้อนั้นสามารถรวมได้เป็นหนึ่งบุคลิกหลักก็คือความน่าไว้วางใจ นักวิจัยได้เก็บผลนั้นไว้ แล้วกลับมาติดตามผลอีกครั้งหลังจากผ่านไปนานถึง 63 ปี เหลือผู้ร่วมการทดลองอยู่เพียง 635 คน และมีผู้เข้ารับการทดสอบครั้งที่สองอีกเพียงแค่ 174 คน นักวิจัยได้ทำการทดสอบด้วยคำถามเดิม ให้ผู้ร่วมการทดลองวัย 77 ปีเป็นคนให้คะแนนตัวเอง รวมถึงญาติสนิทหรือคนใกล้ชิดที่ต้องให้คะแนนพวกเขาด้วยเช่นกัน ผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษาอันยาวนี้ก็ได้สร้างความตกใจให้กับนักวิจัยเป็นอย่างมาก เพราะคะแนนที่ได้ต่างจากคะแนนในตอนที่พวกเขายังเป็นเด็กอย่างชัดเจน…
-
เหตุผลทางวิทย์ฯ ที่คุณควรจะโต้เถียงด้วยการ ‘พูด’ เพราะมีน้ำหนักมากกว่าสื่อผ่าน ‘ตัวอักษร’
ปัจจุบันหลายๆ คนเลือกที่จะส่งข้อความตัวอักษรมากกว่าการโทรคุยกัน หรือการไปคุยกันต่อหน้า เพราะเชื่อว่ามันสามารถแทนกันได้ แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป หลังจากที่งานวิจัยได้ออกมาบอกแล้วว่าการพูดคุยกันด้วยเสียงสามารถโน้มน้าวและฟังดูมีน้ำหนักมากกว่าการใช้ตัวอักษร นี่เป็นงานวิจัยทางจิตวิทยาของ Juliana Schroeder จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ผู้ที่ได้ทำการทดลองมาเป็นจำนวนมาก และ งานวิจัยในครั้งนี้ ของเธอก็ได้ถูกตีพิมพ์ในวันที่ 25 ตุลาคม 2017 เธอได้ให้อาสาสมัครจำนวน 300 คนแบ่งออกเป็นกลุ่มที่ได้อ่าน และกลุ่มที่ได้ฟังข้อโต้แย้งในเรื่องของสงคราม การทำแท้ง และความแตกต่างกันของแนวดนตรี จากนั้นจึงให้ทุกคนลองประเมินและตัดสินจากสิ่งที่ตัวเองได้ยินว่ารู้สึกอย่างไรกับคนที่พูดหรือคนที่เขียนข้อความนั้นๆ ผลออกมาคือกลุ่มที่ฟังข้อโต้แย้งผ่านคลิปวิดีโอหรือคลิปเสียงจะมีความรู้สึกสนใจและให้คุณค่ากับคำพูดเหล่านั้นมากกว่ากลุ่มที่ได้อ่านผ่านตัวอักษร ผลลัพธ์ดังกล่าวทำให้นักวิจัยเชื่อว่าการสื่อสารด้วยเสียงจะทำให้ผู้พูดดูเป็นคนมีเหตุผล และมีความเท่าเทียมกันมากกว่าการสื่อสารกันด้วยตัวอักษร และเธอยังมีการทดลองที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติม อย่างเช่นการทดลองหนึ่งที่เธอให้คน 600 คน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของนักการเมืองสองคนในปี 2016 โดยให้ผู้รับการทดลองให้คะแนนนักการเมืองเหล่านั้นหลังจากที่ได้ฟังหรืออ่านการหาเสียงของพวกเขา ในตอนแรกอาสาสมัครเหล่านั้นรู้สึกเกลียดและไม่ชอบผู้หาเสียงอีกฝั่งนึงมาก แต่เมื่อพวกเขาได้มาฟังหรือเห็นบทสัมภาษณ์ของนักการเมืองคนนั้นแล้ว ความรู้สึกไม่ชอบก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่การอ่านก็ช่วยได้ในระดับหนึ่งแต่น้อยกว่าการฟัง ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เราให้น้ำหนักกับการได้ยินคำพูดมากกว่าการอ่านผ่านตัวอักษร และสิ่งนี้จะยิ่งมีความสำคัญในเวลาที่เราเกิดการโต้เถียงกับอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ ลองคิดถึงการอ่านหนังสือพิมพ์ เวลาเราเห็นพาดหัวข่าวข่าวหนึ่ง ความรู้สึกที่ได้รับแตกต่างกับการที่เราได้ฟังข่าวหรือเห็นข่าวผ่านโทรทัศน์ แม้จะเป็นข่าวเดียวกันก็ตาม และถึงแม้ว่าจิตใจคนเราไม่อาจที่จะคาดเดาได้ แต่งานวิจัยเหล่านี้ก็อาจช่วยบอกกับเราได้ว่าเวลาที่เราทะเลาะหรือโต้เถียงกับใคร การพูดคุยกันด้วยเสียง…
-
เจ้านายเหมียวจะคิดถึงเหล่าทาสอย่างเรามั้ยเวลาที่เราไม่อยู่บ้าน? คำตอบนั้นอยู่ที่นี่แล้ว
เหล่าทาสแมวทั้งหลายอาจเคยสงสัยว่าเจ้านายเหมียวของเรานั้นรู้สึกอย่างไรกับเรา ยิ่งเวลาที่เราต้องออกจากบ้านหรือห่างมันไปนานๆ แล้วมันคิดถึงเรามากเหมือนกับที่เราคิดถึงมันหรือเปล่านะ? ด้วยคำถามนี้จึงได้มีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับความรู้สึกของน้องเหมียวออกมาหาคำตอบกัน ดอกเตอร์ Elizabeth Stelow คือหัวหน้าทีมผู้ศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ในมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และเป็นผู้ที่มาให้คำตอบกับคำถามที่ว่านั้นกัน โดยเธอได้พูดถึงข้อสังเกตที่ทำให้เราพอจะทราบได้ว่าเจ้าเหมียวคิดถึงเราหรือเปล่า? ข้อสงสัยนี่เป็นสิ่งที่ยังคงมีการถกเถียงอยู่ในปัจจุบันเกี่ยวกับความรู้สึกของน้องแมว Elizabeth เล่าว่าได้มีการศึกษาหนึ่งพูดถึงข้อสังเกตง่ายๆ ว่าแมวรู้สึกหดหู่หรือเป็นกังวลอยู่หรือเปล่า โดยถ้าพวกมันรู้สึกอย่างนั้น ส่วนใหญ่ก็จะฉี่นอกกระบะทรายหรืออาจมีพฤติกรรมทำลายข้าวของ นั่นคือถ้าเรากลับบ้านไปแล้วเห็นรอยฉี่ของน้องเหมียวตามพื้นบ้านหรือมีของเสียหายไปบ้าง นั่นอาจหมายความว่ามันรู้สึกหดหู่ในตอนที่เราหายไปก็เป็นได้ อย่างการพังโน่นพังนี่ก็อาจเป็นการแก้แค้นเราที่ทิ้งมันไว้อยู่บ้านคนเดียว แต่อีกการศึกษาหนึ่งที่เธอพูดถึงกลับแสดงให้เห็นว่าแมวไม่ได้มีความผูกพันกับเจ้าของ เพราะว่าพวกมันมีท่าทีตอบสนองกับทั้งเจ้าของและคนแปลกหน้าเหมือนๆ กันหมด แม้ว่าการศึกษาทั้งสองงานขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัด แต่ Elizabeth ก็ได้บอกว่าความเป็นจริงเราสามารถรู้ได้เลยว่าเจ้าเหมียวนั้นให้ความสนิทสนมกับแต่ละคนไม่เหมือนกันจริงๆ อย่างเช่นเรามีแมวบ้านอยู่ 3 ตัวก็ไม่จำเป็นที่เจ้าเหมียวทั้งหมดนั้นจะต้องสนิทกับเราทุกตัวก็ได้หรอกนะ และถ้าหากคุณรู้สึกว่าตัวเองมีความผูกพันกับมันขึ้นมาเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่ามันก็คิดเหมือนกับคุณเช่นเดียวกัน สังเกตได้จากพฤติกรรมชอบเดินเข้ามาในห้องน้ำที่เรากำลังปลดทุกข์อยู่ หรือไม่ก็ขึ้นมานอนด้วยกันบนเตียงอะไรแบบนี้ ทำขนาดนี้แล้วถ้าคุณยังคิดว่ามันไม่รักเราจริงๆ ก็แปลกแล้วล่ะจริงมั้ย อย่างไรก็ตามการจะวัดความรู้สึกหรืออารมณ์ที่แท้จริงของเจ้าเหมียวนั้นก็เป็นไปได้ยากมาก เพราะมันพูดภาษาคนไม่ได้และก็ไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนน้องหมาที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าต้องการอะไร หรือรู้สึกประมาณไหนกับเรา ทั้งหมดนี้จึงเป็นข้อสังเกตที่สามารถใช้ได้จริงในระดับหนึ่ง แต่ถึงแม้เราจะไม่รู้ใจมันทั้งหมดแต่เราก็ต้องอย่าลืมที่จะแสดงความรักให้กับมันด้วยนะ เพราะถึงอย่างไรเราก็ได้ตกไปเป็นทาสของมันแล้วนี่นาจริงมั้ย ที่มา: thedodo
-
นักวิทย์ฯ คอนเฟิร์ม ‘ผู้หญิง’ ขับรถดีกว่าผู้ชาย มีแนวโน้มผิดพลาดน้อยเพราะไม่วอกแวก
ความเชื่อที่ว่าผู้ชายขับรถได้ดีกว่าผู้หญิง แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเพราะนักวิทยาศาสตร์ชาวนอร์เวย์ได้ออกมายืนยันแล้วว่าผู้หญิงสามารถขับรถได้ดีกว่าผู้ชายบางคนซะอีก งานวิจัยของพวกเขาเกิดขึ้นมาจากสถิติขององค์กรอนามัยโลก ได้ออกมาบอกว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนั่นก็คือการเสียสมาธิและความใจลอย นักวิทยาศาสตร์จึงทำการศึกษาว่าช่วงอายุ เพศ และบุคลิกภาพแบบไหนบ้างที่ส่งผลให้เกิดอาการใจลอยหรือถูกดึงดูดความสนใจจากสิ่งอื่นๆ ได้ง่าย การขาดสมาธิขณะขับขี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน กลุ่มตัวอย่างแรกของการศึกษานี้คือเด็กมัธยมปลายจำนวน 1,100 คน ซึ่งในจำนวนนั้นมีอยู่ 208 คนที่มีใบขับขี่แล้ว และอีกกลุ่มตัวอย่างเป็นเหล่าผู้ใช้รถใช้ถนนทั่วๆ ไป 414 คน จากนั้นได้มีการสอบถามเกี่ยวกับความถี่และรูปแบบที่ทำให้กลุ่มตัวอย่างเสียสมาธิในขณะขับรถว่ามีอะไรบ้าง รวมถึงทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อการเสียสมาธิหรือใจลอยในตอนขับรถ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการฟังวิทยุคือสิ่งที่ทำให้เสียสมาธิขณะขับรถมากที่สุด และเมื่อดูในเรื่องของเพศ ช่วงอายุ กับบุคลิกภาพแล้วพบว่า วัยรุ่นชายคือกลุ่มที่มีอาการเสียสมาธิและใจลอยตอนขับรถมากที่สุด กลุ่มอื่นๆ ที่มีแนวโน้มขาดสติขณะขับรถก็คือ คนที่ขับรถบ่อยๆ คนที่ใจร้อนหงุดหงิดง่าย และคนที่มีบุคลิกภาพชอบสนใจในสิ่งรอบข้าง ขับรถก็ต้องมองถนน จะมามองกล้องแบบนี้มันก็ไม่ได้ ผู้วิจัย Ole Johansson จากสถาบันเศรษฐศาสตร์การขนส่งอธิบายว่า “คนที่อยู่ในกลุ่มขาดสติระหว่างขับรถคือคนที่เชื่อว่าอาการใจลอยเป็นสิ่งที่ทุกคนในสังคมก็เป็นเหมือนๆ กัน อยู่นอกเหนือการควบคุมและคิดว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมสติของตัวเองเอาไว้ได้ ทำให้พวกเขามุ่งความสนใจไปกับสิ่งอื่นขณะขับรถนอกเหนือจากถนนด้านหน้า” ในขณะเดียวกันจากการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ใน Frontiers in Psychology บอกว่ากลุ่มผู้หญิงที่มีอายุนั้นให้ผลในทางตรงกันข้าม เพราะพวกเธอสามารถควบคุมสติของตัวเองไว้ได้อย่างดี ทำให้มีอาการเสียสมาธิและใจลอยที่น้อยมาก บางทีเราก็อาจกดดันสาวๆ มากเกินไปจนทำให้เธอขาดความมั่นใจในการขับรถ…
-
นักวิทย์คอนเฟิร์ม การเลี้ยงลูกสุนัขช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคต่างๆ ของลูกท่านได้!?
หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่าเหล่าสัตว์เลี้ยงนั้นนอกจากจะเป็นเพื่อนที่แสนดีของพวกเราแล้ว บางครั้งพวกมันยังสามารถช่วยบำบัดโรค อย่างเช่นโรคซึมเศร้าได้อีกด้วย และเมื่อเร็วๆ นี้ผลการศึกษาที่ถูกนำเสนอที่สถาบันวิจัยโรคภูมิแพ้แห่งสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยว่าการเลี้ยงลูกสุนัขนั้นสามารถช่วยป้องกันอาการภูมิแพ้และโรคผิวหนังในเด็กได้ “ถึงแม้ว่าโรคผื่นแพ้จะเป็นอีกหนึ่งโรคที่พบได้มากในเด็ก แต่หลายๆ คนยังไม่ทราบโรคดังกล่าวนั้นสามารถพัฒนากลายเป็นโรคแพ้อาหาร โรคภูมิแพ้ และถึงขั้นเป็นโรคหอบหืดได้” ดอกเตอร์ Gagandeep Cheema ผู้เชี่ยวชาญทางด้านหอบหืด หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว การศึกษาก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่าเด็กที่เติบโตมาพร้อมกับเจ้าตูบนั้น มีความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้และโรคอ้วนต่ำกว่าเด็กทั่วๆ ไป เนื่องจากว่าพวกเขาจะได้รับแบคทีเรียชนิดดีจากการคลุกคลีกับพวกสุนัข นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอื่นๆ ที่ชี้ให้เห็นว่าสุนัขนั้นสามารถช่วยป้องกันพวกเด็กๆ จากโรคหวัดและอาการติดเชื้อในหูได้ และยังมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าสุนัขนั้นมีส่วนช่วยในพัฒนาการการมองเห็นของเด็กทารก ซึ่งช่วยให้พวกเขาแยกระหว่างใบหน้าของคนกับสัตว์ได้ จากการวิจัยของดอกเตอร์ Gagandeep Cheema ที่ทำการศึกษาในกลุ่มแม่และเด็กถึง 782 คนที่เลี้ยงสุนัขไว้ในบ้านอย่างน้อย 1 ตัวและอยู่กับพวกมันอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมงระหว่างที่พวกเธอตั้งครรภ์พบว่า เมื่ออายุ 2 ขวบเด็กที่เกิดมานั้นมีความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ลดลง แต่เมื่ออายุ 10 ขวบภูมิคุ้มกันเหล่านั้นกลับลดลง นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้ทำการศึกษาถึงผลกระทบของสุนัขกับโรคหอบหืดในเด็กอีก 180 คน ผลการศึกษาโดยการแบ่งเด็กออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะได้รับแบคทีเรียบนสุนัขที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ และกลุ่มที่สองจะได้รับแบคทีเรียบนสุนัขที่ไม่เก่ียวกับโรคภูมิแพ้ ผลปรากฏว่าเด็กกลุ่มแรกมีอาการแย่ลง ส่วนกลุ่มที่สองนั้นกลับมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ทางนักวิจัยยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัดของการป้องกันโรคภูมิแพ้ในเด็กจากแบคทีเรียที่มาจากสุนัข และตอนนี้พวกเขากำลังศึกษาถึงกลไกลในการป้องกันโรคดังกล่าวจากแบคทีเรียของสุนัขอยู่…
-
งานวิจัยยืนยันแล้วว่า การดู “หนังสยองขวัญ” สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริงๆ นะเออ!?
การดูหนังสยองขวัญไม่ใช่สิ่งที่หลายๆ คนชื่นชอบ แต่งานวิจัยนี้อาจช่วยให้เปลี่ยนความคิดนั้นได้ เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่าการดูหนังแนวนั้นเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง!! งานวิจัยดังกล่าวเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย Westminster ตั้งอยู่ใจกลางกรุงลอนดอน โดยนักวิจัยได้บอกว่าการดูหนังสยองขวัญเป็นเวลา 90 นาที สามารถเบิร์นแคลอรี่ได้มากถึง 113 แคลฯ เทียบเท่ากับการเดินเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ดอกเตอร์ Richard Mackenzie วิทยากรอาวุโสผู้เชี่ยวชาญด้านการเผาผลาญและสรีระวิทยาของมหาวิทยาลัย ได้ออกมาอธิบายถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเอาไว้ว่า “การดูหนังสยองขวัญช่วยเบิร์นแคลอรี่ของเราจากการสะดุ้งตกใจของเราในขณะที่รับชม” เขาอธิบายต่อว่า “การสะดุ้งจะทำให้ชีพจรและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงขึ้น เลือดลมในร่างกายสูบฉีดเร็วขึ้น จนทำให้ร่างกายปล่อยอะดรีนาลีนออกมาเอง ซึ่งอะดรีนาลีนดังกล่าวจะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ ตอนที่เราเครียดหรือหวาดกลัว ลดความอยากอาหารของเราไป เพิ่มอัตราการเผาผลาญขั้นพื้นฐานและช่วยเบิร์นแคลอรี่ในระดับสูงมากยิ่งขึ้น” นอกจากนั้นได้มีการศึกษาจากบริษัทเช่าหนังออนไลน์ที่ชื่อว่า LoveFilm ทำการวัดอัตรการเต้นของหัวใจ การรับออกซิเจนและการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของเราออกมา ผลลัพธ์ที่ออกมาคือหนังสยองขวัญสามารถช่วยเบิร์นแคลอรี่ได้มากกว่าค่าเฉลี่ยปกติถึง 3 เท่า ถ้าหากเพื่อนๆ คิดว่า 113 แคลฯ มันน้อยไปแล้วล่ะก็ เรามีวิธีที่มันแอดวานซ์ขึ้นไปอีก เพราะจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Westminster บอกว่าการดูหนังจำนวน 6 จาก 10 เรื่องดังต่อไปนี้ สามารถเบิร์นแคลอรี่ได้มากกว่านั้นเยอะ โดยได้จัดอันดับเอาไว้ตามนี้…
-
นักวิจัย Oxford เผยวิธีที่ดีที่สุด สำหรับการ “เลิกบุหรี่” จากการทดสอบกับคน 700 คน
หลายคนที่อยากเลิกบุหรี่ อาจกำลังคิดไม่ออกว่าจะใช้วิธีไหนดี ที่จะทำให้ตัวเองไม่กลับมาติดเหมือนตอนแรกอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้หาคำตอบมาให้คุณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากงานวิจัยของ Nicola Lindson-Hawley ผู้วิจัยแห่งมหาวิทยาลัย Oxford ได้บอกไว้ว่า วิธีการเลิกบุหรี่ที่ดีที่สุด คือให้เลิกแบบทันทีทันใด หรือที่เรียกว่าหักดิบไปเลย แม้ว่ามันจะฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่จากผลลัพธ์ของการศึกษาที่เขาได้รับ บอกได้เลยว่าวิธีการนี้จะทำให้คุณสามารถหายขาดจากอาการติดบุหรี่ได้ดีกว่าการค่อยๆ ลดจำนวนบุหรี่ที่สูบ โดยเธอทำการศึกษากับสิงห์อมควันจำนวน 700 คน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นเป็นคนที่สูบอย่างต่ำ 15 มวนต่อวัน และเธอได้ท้าให้พวกเขาลองเลิกสูบบุหรี่ดู จึงมีการกำหนดวันสุดท้ายที่จะสูบเอาไว้ในสองสัปดาห์ข้างหน้า และได้มีการแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเท่ากันอย่างชัดเจน คือกลุ่มหนึ่งที่จะสูบตามปกติแล้วค่อยไปหักดิบเอาทีเดียว กับอีกกลุ่มที่จะค่อยๆ ลดจำนวนลงในแต่ละวัน ก่อนที่จะไปหยุดตอนวันสุดท้าย หลังจากนั้นจึงทำการเก็บข้อมูลของทั้งสองกลุ่มพบว่า เมื่อผ่านไป 4 สัปดาห์ที่พวกเขาเลิกบุหรี่ กลุ่มที่หักดิบมีผลลัพธ์ที่ดีกว่ากลุ่มที่ค่อยๆ เลิก เมื่อดูจากสถิติ 49 เปอร์เซนต์ของคนในกลุ่มแรก สามารถหยุดสูบบุหรี่ได้สำเร็จ ในขณะที่กลุ่มสองทำได้เพียง 39 เปอร์เซนต์ และเมื่อผ่านไป 6 เดือน เหล่าผู้ที่หักดิบ 22 เปอร์เซนต์จากทั้งหมดไม่กลับมาสูบอีก ส่วนกลุ่มที่ค่อยๆ ลดจำนวนลง…
-
ห๊ะ… รายงาน EU ระบุว่า การดาวน์โหลดไฟล์ผิดกฎหมาย ไม่ได้ทำให้ยอดขายลดลง
หลายๆ ครั้งเราอาจจะเคยได้ยินกันว่า พวกไฟล์เถื่อนหรือละเมิดลิขสิทธิ์นั้นอาจจะทำให้ยอดขายของซีดี วิดีโอเกม หรือหนังเหล่านั้นลดลง แต่แท้จริงแล้วอาจไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อทางสหภาพยุโรปได้เปิดเผยผลการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้!! สหภาพยุโรปได้ทุ่มงบกว่า 360,000 ยูโรหรือประมาณ 14 ล้านบาทในการศึกษาถึงผลกระทบของการดาวน์โหลดไฟล์เถื่อนที่มีผลต่อยอดขายของสินค้าที่ถูกลิขสิทธิ์อย่าง เพลง หนัง หนังสือ และวิดีโอเกม ซึ่งผลการศึกษาพบว่าปัจจัยดังกล่าวไม่ใช่สาเหตุหลักที่ส่งผลต่อการลดลงของยอดขายสินค้าเหล่านี้ บริษัท Ecory ผู้รับผิดชอบในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้รายงานผลการศึกษาครั้งนี้ออกมาเป็นหนังสือเล่มหนาถึง 304 หน้าซึ่งสรุปได้ว่า “โดยทั่วไปแล้วไม่มีหลักฐานทางสถิติที่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าการละเมิดลิขสิทธิ์นั้นส่งผลต่อยอดขาย แต่ในความจริงแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่เราแค่ยืนยันไม่ได้จากผลวิเคราะห์ทางสถิติเท่านั้นเอง” นอกจากนี้พวกเขายังพบว่าการจำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และระบบสตรีมมิ่ง จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าที่ถูกลิขสิทธิ์อีกด้วย ตามรายงานพบว่าการละเมิดลิขสิทธิ์นั่นส่งผลแค่ในสินค้าประเภทภาพยนตร์เท่านั้น โดยจากการงานกล่าวว่า “ในภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมพบว่า มี 4 ใน 10 เรื่องที่มีการเข้าชมอย่างถูกกฏหมาย” งานวิจัยดังกล่าวถูกเผยแพร่โดยคุณ Julia Reda สมาชิกสภายุโรปซึ่งเป็นตัวแทนจากประเทศเยอรมนี ได้เปิดเผยเอกสารฉบับเต็มในบล็อกส่วนตัวของเธอ หลังจากที่เธอได้สิทธิในการเข้าถึงเอกสารดังกล่าวจากสหภาพยุโรป แต่อย่างไรก็ตามทางองค์กรด้านสิทธิ์ทางดิจิตอลของยุโรปได้ออกมากล่าวว่าเอกสารฉบับเต็มของรายงานดังกล่าวถูกระงับไปแล้ว พร้อมกับกล่าวว่ารายงานเล่มดังกล่าวเป็นบทความของเจ้าหน้าที่ 2 ท่านที่พูดถึงเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์และการลดลงของยอดขายในยุโรป ซึ่งไม่ใช่การศึกษาของ Ecory แต่อย่างใด ที่มา gizmodo
-
นักวิทยาศาสตร์ทำการศึกษา อธิบายว่า “การถูกบอกเลิก” แบบไหนที่ทำให้เราเจ็บที่สุด
ในตอนที่เราอกหักครั้งแรกตอนนั้นรู้สึกอย่างไรกันบ้าง กินไม่ได้นอนไม่หลับ รู้สึกทรมาน มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างยากลำบาก ประมาณนั้นหรือเปล่า? แล้วครั้งนั้นเป็นครั้งที่เจ็บที่สุดมั้ย? เราสามารถถูกบอกเลิกได้หลากหลายเหตุผล ทว่าแล้วเหตุผลไหนที่เจ็บที่สุดล่ะ? นี่จึงกลายเป็นคำถามให้กับนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Cornell ได้ออกมาหาคำตอบกัน การถูกบอกเลิกก็คือการที่ถูกอีกฝ่ายบอกปฏิเสธนั่นเอง ผู้วิจัยจึงได้ทำการทดลองกับคน 600 คน โดยการทดลองแรกนั้นจะมีหน้าม้าเป็นผู้หญิงสองคน และผู้ชายอีกคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรอยู่รวมกัน จากนั้นพวกเขาจะมอบหมายงานบางอย่างให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง และเธอคนนั้นต้องเลือกว่าจะทำงานกับผู้หญิงอีกคน ทำงานกับผู้ชาย หรือว่าทำคนเดียว ซึ่งเธอเลือกที่จะทำกับผู้หญิงอีกคนหรือทำคนเดียวเท่านั้น และเมื่อผู้ชายไม่ได้อยู่ในการตัดสินใจของเธอเลย นั่นจะทำให้พวกเขาสามารถรับรู้ความรู้สึกของการถูกปฏิเสธได้ ส่วนการทดลองอื่นจะให้ผู้เข้าร่วมอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ใช้เวลาร่วมกันและกระตุ้นให้พวกเขาเหล่านั้นแสดงความรู้สึกออกมาว่า รู้สึกอย่างไรกันบ้างเมื่อตนเองต้องถูกปฏิเสธด้วยสาเหตุต่างๆ ในขณะที่ผู้วิจัยจะทำการสังเกตร่วมด้วย การศึกษาทั้งสองนี้เผยให้เห็นว่าการที่ต้องถูกปฏิเสธและไปเลือกคนอื่น สร้างความรุนแรงได้มากกว่าปฏิเสธด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่มีบุคคลที่สามมาเกี่ยวข้อง ดังนั้นหากว่าอกหักเพราะอีกฝ่ายไปกับอีกคน จะยิ่งสร้างความทรมานใจได้มากกว่าสิ่งอื่นใด นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “การถูกปฏิเสธจากการเปรียบเทียบ” เหตุผลที่มันมีความรุนแรงมากที่สุดก็เพราะ การปฏิเสธคือการทำให้รู้สึกถูกตัดทิ้งออกไปและลดความเป็นเจ้าของลง นั่นยิ่งทำให้รู้สึกแย่เมื่อพบว่าตนเองเป็นตัวเลือกที่แย่กว่า จากการสังเกตอื่นๆ ของผู้วิจัยพบว่า หากคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองถูกปฏิเสธเพราะอะไร ก็จะพยายามหาคำตอบให้ได้ แม้ว่าสิ่งที่ได้อาจทำให้เจ็บกว่าเดิมก็ตาม แต่ถ้าหากหาเหตุผลไม่ได้จริงๆ พวกเขาจะตีความไปเองว่าคนใหม่ที่โผล่มาในรูปของเธอคนนั้นคือคนที่เธอเลือก นักวิทยาศาสตร์เสริมให้อีกว่า มันเป็นเรื่องดีที่จะบอกให้ผู้ที่ถูกปฏิเสธรับรู้ว่าคุณไม่ได้เลิกกับเขาเพื่อไปมีคนอื่น ซึ่งจะทำให้เขาเหล่านั้นรู้สึกดีขึ้น แต่หากว่าไปมีคนอื่นจริงๆ การแสดงออกว่าคนๆ นั้นดีกว่าคนเดิมก็ควรจะเก็บเอาไว้เป็นความลับให้มากที่สุด…
-
ผลวิจัยชี้… หนุ่มที่มีหนวดเคราสวยงาม จะมีความดึงดูดเพศตรงข้าม ที่มากกว่าหนุ่มหน้าใส!?
ปัจจุบันกระแสการแต่งตัวแนววินเทจกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก และหนึ่งแฟชั่นที่มาพร้อมกับการแต่งตัวแบบย้อนยุคนั่นก็คือการไว้หนวดและเคราของท่านชายนั่นเอง!! และเมื่อไม่นานมานี้ได้มีผลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ เกี่ยวกับผมบนหน้าของคุณผู้ชายนั่นก็คือ ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัย University of Queensland จากประเทศออสเตรเลียชี้ว่า การไว้หนวดนั้นมีผลต่อการดึงดูดเพศตรงข้าม แถมมันก็มีผลต่อความสัมพันธ์ในแบบชั่วคราวและระยะยาวอีกด้วย!! โดยในการศึกษาครั้งนี้ได้ทำการเก็บข้อมูลจากผู้หญิงถึง 8,520 คน ผู้ทดสอบจะได้ดูภาพของหนวดเคราแบบต่างๆ ก็ได้ผลการศึกษาที่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มนั้นมีความชอบในหนวดของผู้ชายที่แตกต่างกันออกไป และความยาวกับความแข็งของหนวดก็มีผลต่อแรงดึงดูดทางเพศอีกด้วย!! ซึ่งผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Evolutionary Biology กล่าวว่า ผู้หญิงส่วนมากนั้นชื่นชอบผู้ชายที่มีหนวดแข็งๆ มากที่สุด ถัดมาก็เป็นผู้ชายที่มีหนวดเป็นตอๆ คล้ายกับเพิ่งโกนเสร็จใหม่ ส่วนพ่อหนุ่มเคราดกและคนที่หนวดเครายาวเฟื้อยนั้นกลับได้รับความนิยมน้อยที่สุด นอกจากนี้หนวดเครายังมีความเกี่ยวข้องกับระดับความสัมพันธ์ จากการศึกษาพบว่าผู้หญิงส่วนมากมักจะมองหาความสนุกจากผู้ชายที่มีหนวดเคราบางๆ และตามมาด้วยผู้ชายที่มีหนวดเครารุงรังดูไม่เรียบร้อย แต่จะไม่ค่อยอยากสานสัมพันธ์ต่อสักเท่าไหร่ ในขณะที่ชายหนุ่มที่มีเคราดกและรู้จักการดูแลผมบนใบหน้าของตัวเองนั้น จะเป็นพวกที่ได้รับความมั่นใจจากฝ่ายหญิงและทำให้พวกเธออยากจะฝากชีวิตไว้ด้วยมากกว่า ศาสตราจารย์ Barnaby Dixson หนึ่งในทีมวิจัยอธิบายเพิ่มเติมว่า ชายที่ไว้หนวดนั้นจะดูเป็นคนที่มีประสบการณ์ มีความเป็นผู้ชาย ตั้งใจจริงและมีความมั่นใจในตัวเองมากกว่า รู้แบบนี้แล้ว สงสัยต้องลองหาน้ำยาปลูกหนวด มาลองใช้บ้างแล้วล่ะ!! ที่มา nytimes
-
นักวิจัยเผย… ผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์ในระยะยาว จะมีความสนใจเรื่อง ‘เซ็กส์’ ลดน้อยลง
สำหรับใครที่คบกันมานานและเริ่มรู้สึกว่ารสชาติแห่งความรักนั้นเริ่มจะจืดจางลงไปทุกที หลายๆ ครั้งเรื่องบนเตียงก็ไม่ได้รู้สึกสนุกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ถ้าหากว่าคุณกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ล่ะก็ วันนี้เรามีคำตอบดีๆ จากงานวิจัยมาฝากกัน เมื่อไม่นานมานี้ได้มีผลการศึกษาที่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง เผยว่าหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กันมาอย่างยาวนานแล้ว ฝ่ายผู้หญิงจะมีความสนใจในเรื่องบนเตียงลดลงมากกว่าฝ่ายชาย!! ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการอย่าง BMJ Open ที่ได้ทำการสำรวจจากประชากรชาวอังกฤษในช่วงอายุ 16-74 ปี โดยแบ่งเป็นชาย 4,839 คน และหญิง 6,669 คน โดยพบว่าผู้ชายมากกว่า 15 เปอร์เซ็นต์และผู้หญิงอีกกว่า 34.2 เปอร์เซ็นต์ มีความสนใจทางเพศลดลงเมื่อผ่านไปแล้ว 3 เดือนหรือหลังจากคบกันในปีแรกๆ ซึ่งสาเหตุในดังกล่าวนั้นเป็นผลมาจากเรื่องของอายุ สุขภาพ และสภาพจิตใจของกลุ่มตัวอย่าง นอกจากนี้นักวิจัยยังพบว่าผู้หญิงส่วนมาก จะหมดความสนใจเรื่องเพศหลังจากที่คบหาฝ่ายชายมาได้ประมาณ 1 ปี แต่อย่างไรก็ตามนักวิจัยแนะนำว่าปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ โดยการหันหน้าเข้าหากัน ซึ่งพวกเขาพบว่าการพูดคุยเรื่องกิจกรรมเข้าจังหวะระหว่างคู่รักนั้น จะช่วยให้ปัญหาดังกล่าวลดลงได้ ทางด้านคุณ Cynthia Graham หนึ่งในทีมวิจัยจากศูนย์วิจัยสุขภาพทางเพศของ University of Southampton ได้ออกมาอธิบายถึงปัจจัย ที่มีผลต่อความสนใจเรื่องเพศของชายและหญิงว่า “สำหรับผู้หญิงแล้วสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เรื่องเพศนั้นยังคงเป็นที่สนใจอยู่นั้นก็คือคุณภาพและความความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังรวมถึงการพูดคุยกับคู่รักอีกด้วย และอีกสิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันก็คือ การแก้ปัญหาเรื่องความสนใจทางเพศ โดยคู่รักนั้นจะต้องมองหลายๆ…
-
8 วิธีทางวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยให้คุณ ‘มีเสน่ห์’ สามารถดึงดูดใจคนรอบข้างได้มากยิ่งขึ้น
ความมีเสน่ห์และดึงดูดใจคนรอบข้าง คงเป็นสิ่งที่หลายๆ คนอยากมี ทำให้ดูน่าคบหาทั้งกับเพื่อนและเพศตรงข้าม ซึ่งแน่นอนว่าการแต่งกายก็เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถช่วยได้ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาบอกแนวทางที่จะพัฒนาเรื่องนี้ได้มากยิ่งขึ้นไปอีก ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องความแตกต่างในตัวบุคคล เพราะวิธีการเหล่านี้ทุกคนสามารถทำได้ไม่แตกต่างกัน จะมีอะไรกันบ้างก็ลองไปดูกันได้เลย มีอารมณ์ขัน ทุกคนคงทราบกันแล้วว่าหากคุณเป็นคนตลกก็จะสามารถดึงดูดคนรอบข้างได้ดี ซึ่งหากคุณมีอารมณ์ขันในเรื่องที่ตัวเองสร้างขึ้น ไม่ใช่ตลกในเรื่องของคนอื่นจะเป็นการเพิ่มความน่าสนใจให้กับตัวเองอย่างมาก จากการศึกษาพบว่าผู้หญิงจะชอบผู้ชายที่สามารถทำให้เธอหัวเราะได้ ส่วนผู้ชายไม่ได้มองเรื่องนั้นเพราะเพียงแค่รอยยิ่มของเธอแค่นั้นก็เกินพอ สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบว่าผู้คนจะดูน่าสนใจมากขึ้นเมื่ออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เหตุผลเพราะว่าการทำงานของสมองจะรวมหน้าตาของคนในกลุ่มไว้ด้วยกัน ทำให้แต่ละคนดูเฉลี่ยพอๆ กันหมดผลลัพธ์ก็คือ คุณจะดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น กริยาท่าทาง จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การแสดงท่าทางที่เปิดเผยและมั่นใจจะช่วยให้คุณดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นกับคนที่เจอกันครั้งแรก อย่างการโอบกอดคนที่เจอกันทุกคนด้วยความอบอุ่นก็อาจเป็นวิธีการที่ไม่เลวเลยทีเดียว การสื่อสาร การศึกษาจากฮาร์วาร์ดพูดว่าเมื่อเวลาที่คุณพูดถึงแต่ตัวเองเพียงอย่างเดียว คนที่ฟังจะรู้สึกไม่มีความสุขและไม่สนใจในเรื่องเหล่านั้น บางครั้งคุณก็ต้องถามแปลกๆ หรือในเชิงลึกของพวกเขาดูบ้าง คุณจะรู้ได้เลยว่าพวกเขารู้สึกโอเคมากขึ้นขนาดไหน ความเป็นผู้นำ เป็นธรรมชาติของเราที่จะมองว่าผู้นำมีแรงดึงดูดความสนใจ การศึกษาบอกว่าคนที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มจะรู้สึกว่าคนที่เป็นผู้นำในกลุ่มของตัวเองมีเสน่ห์ที่มากกว่าที่จะสร้างแรงดึงดูดให้กับคนนอกกลุ่ม เหมือนกับที่ CEO จะทำให้พนักงานในบริษัทเห็นถึงเสน่ห์ได้มากกว่าคนภายนอก การแสดงออกทางสีหน้า นักวิจัยชาวสวิสทำการศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างเสน่ห์กับรอยยิ้ม สิ่งที่พบคือใบหน้าที่ยิ้มแย้มออกมาอย่างจริงใจจะสามารถดึงดูดคนรอบข้างได้มากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่สังเกตได้หากเราเป็นคนที่แสดงออกถึงความสุขได้ง่าย จะทำให้คลี่คลายเรื่องต่างๆ…
-
7 ข้อสังเกตสุดอัศจรรย์ที่บอกได้ว่าแท้จริงแล้วคุณอาจเป็น “คนฉลาด” อยู่ลึกๆ
เราอาจเคยเห็นแบบทดสอบวัดผลระดับสติปัญญามาหลายแบบ บางอันแค่ต้องการให้เราตอบคำถาม บางอันอาจให้เราแก้ปัญหารูปภาพ บางอันอาจถามปัญหาเชาว์ แต่มันจะดีขนาดไหน หากเรามีหลักการณ์ง่ายๆ ที่ช่วยให้เรารู้ได้ทันทีว่าใครเป็นอัจฉริยะตัวจริง ล่าสุดเว็บไซต์ต่างประเทศได้รวบรวม 7 ข้อสังเกตสุดอัศจรรย์ ที่จะทำให้คุณรู้ทันทีว่านี่แหละคืออัจฉริยะที่โลกตามหามานาน จะมีอะไรบ้าง ลองไปชมกันเลย เป็นคนใช้ยาเสพติด คุณคงเคยได้ยินพ่อแม่หรือพวกผู้ใหญ่พูดว่าการเล่นยาในช่วงมหาลัยเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ แต่อ้างอิงจากงานวิจัยของ James White และ David Batty เรื่องนั้นอาจไม่จริงเท่าไหร่ พวกเขากล่าวว่า คนที่เล่นยามักเป็นคนที่เปิดกว้างพร้อมรับประสบการณ์ใหม่ๆ และเป็นพวกขี้เบื่อ แต่อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ใช้ได้กับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ฉะนั้น หนุ่มๆ ควรเชื่อฟังที่พ่อแม่ผู้ปกครองบอกหน่อยล่ะนะ เป็นพวกลิเบอร่อล มีการบอกว่าพวกลิเบอร่อลจะมี IQ สูงกว่าคนที่เป็นอนุรักษ์นิยม เพราะว่าความเชื่อเสรีนิยมจะเป็นการสวนกระแสสัญชาตญาณวิวัฒนาการของพวกเรา ด้วยความรู้ที่มากกว่า นั่นหมายความว่าคุณมีโอกาสมากกว่าที่จะเอาชนะพวกเขาเหล่านั้นได้ เป็นคนสันโดษ คนส่วนใหญ่มองว่าความสุขเกิดจากการเข้าสังคม พบปะเพื่อนฝูง ใช้ชีวิตร่วมกัน หัวเราะไปด้วยกัน แต่สำหรับคนอัจฉริยะแล้ว การเข้าสังคมอาจทำให้พวกเขาเป็นทุกข์ยิ่งขึ้น งานวิจัยพบว่ายิ่งคนเหล่านั้นอยู่ในสังคมกลุ่มเพื่อนมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ความสุขในชีวิตของพวกเขาลดน้อยลงมากเท่านั้น ดังนั้นอัจฉริยะจึงชอบอยู่อย่างสันโดษมากกว่า เป็นคนนอนดึก สำหรับพนักงานบริษัทแล้ว การตื่นสายอาจไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ แต่สำหรับอัจฉริยะแล้ว…
-
ผลวิจัยเผย “การเล่นเกมส์ในโหมด Easy” สามารถสร้างผลเสียให้กับสมองส่วนความจำได้
หลายคนคงชื่นชอบในการเล่นเกมส์และชื่นชอบในความท้าท้ายกับความยากของเกมส์นั้นๆ เพื่อให้ผ่านอุปสรรคไปก็ต้องพยายามกันหน่อย หรือบางคนก็อาจชอบที่จะเล่นเพื่อให้สนุกสนานตรงที่สามารถผ่านด่านไปได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าการเล่นเกมส์ในรูปแบบนั้นจะสร้างผลกระทบให้กับสมองของคุณได้ เมื่อนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาลัย Montreal ได้ทำการศึกษาและเชื่อว่าการเล่นเกมส์ที่ไม่มีแผนที่นำทางในเกมส์ให้นั้น จะทำให้สมองสามารถอยู่เล่นเกมส์ต่อไปได้อีกเป็นชั่วโมง แต่หากว่าทุกสิ่งทุกอย่างสิ่งนำทางให้เห็นจนหมดก็จะทำให้ทุกอย่างมันกลายเป็นง่ายเกิน การศึกษานั้นเผยว่าเหล่าสาวกเกมส์ยิงปืนมุมมองบุคคลที่หนึ่งหรือที่เรียกกันว่า FPS โดยเฉพาะแนวกองกำลังติดอาวุธจะจะมีระบบนำทางบ่อยๆ และนั่นจะสร้างความเสี่ยงเป็นอย่างมาก การวิจัยนี้ได้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Molecular Psychiatry โดยผู้เขียนคือ Greg West ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยา เขาได้บอกเอาไว้ว่าผู้ที่เล่นเกมส์แนวแอคชั่นจนติดเป็นนิสัยนั้นจะทำให้เกิดเนื้อเทาในสมองส่วนฮิปโปแคมปัสได้น้อยลง หากจะอธิบายเกี่ยวกับฮิปโปแคมปัสแบบคร่าวๆ ก็คือส่วนที่ช่วยในเรื่องของความทรงจำในอดีตและความทรงจำเชิงพื้นที่ แกนกลางของนิวเคลียสก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องช่วยในการเตือนว่าเรากิน ดื่ม หรือนอนในเวลาไหน และเนื้อเทาจะมีความสัมพันธ์กับความสามารถในการจำเรื่องเหล่านี้ เขากล่าวว่า “วิดีโอเกมส์แสดงให้เห็นถึงข้อดีที่ช่วยระบบความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้สิ่งรอบตัวและความจำระยะสั้น แต่มันก็ได้มีหลักฐานทางพฤติกรรมว่าจะต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่าง ในแง่ของผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสมองส่วนฮิปโปแคมปัส” และทั้งหมดนั้นคือเหตุผลในการศึกษาการสร้างภาพประสาทด้วยการสแกนสมองของคนที่เล่นเกมส์อยู่เสมอกับคนที่ไม่ได้เล่นเกมจนเห็นความแตกต่างในเรื่องของเนื้อเทาที่น้อยกว่าในกลุ่มคนเล่นเกมส์ นั่นจึงทำให้พวกเขาทำการศึกษาระยะยาวตามมาเพื่อหาความเป็นเหตุเป็นผล จนพบได้ว่าเกมส์มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงของสมอง เมื่อผลการศึกษาออกมาเป็นอย่างนี้ก็คงต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะสนับสนุนเด็กๆ หรือแม้แต่วัยรุ่นในการเล่นเกมส์เพื่อเสริมสร้างความจำระยะสั้นและการสังเกตสิ่งรอบตัวให้กับพวกเขากันบ้างแล้ว เพราะหากเล่นมากไปก็อาจทำให้เกิดผลกระทบตามมาอีกได้ด้วย สิ่งต่างๆ มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ขอแค่ให้ได้ใช้มันอย่างเหมาะสมก็จะสามารถสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับตัวเรา ที่มา: comicbook
-
นักวิทย์เผย สาเหตุที่แท้จริงของโรค ‘Trypophobia’ อาการกลัวรู ไม่แน่นะคุณอาจเป็นหนึ่งในนั้น
หนึ่งในอาการกลัวหรือการวิตกกังวลต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่เรามักเรียกว่าอาการ “โฟเบีย” ต่างๆ นั้น อาจมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ที่มากระทบจิตใจของผู้ป่วยตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก จนทำให้เกิดความกลัว อย่างเช่นอาการ Thalassophobia หรือโรคกลัวทะเล (อ่านข่าวเก่า พาไปรู้จักกับโรค Thalassophobia หรือ ‘อาการกลัวทะเล’ แล้วคุณเป็นหนึ่งในนั้นด้วยรึเปล่า!!?) และนอกจากนี้ยังมีอาการกลัวที่หลายๆ คนรู้จักกันเป็นอย่างดี อย่างเช่นอาการกลัวรู (Trypophobia) ถึงแม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการดังกล่าว แต่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์เริ่มค้นพบทฤษฎีที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรคที่ว่านี้แล้ว การศึกษาของ Geoff Cole และ Arnold Wilkins ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Psychological Science บอกว่าผู้ที่มีอาการกลัวรูนั้น อาจจะไม่ได้รู้สึกกลัวรู แต่มีสาเหตุมาจากการกลัวสิ่งแปลกปลอมที่อาศัยอยู่ในรูเหล่านั้น ผู้ป่วยอาจเกิดอาการสั่นและรู้สึกกลัวเมื่อเห็นภาพของรังผึ้ง ฟองน้ำ หรือปะการัง นอกจากนี้ทั้งคู่ยังได้วิเคราะห์ภาพถ่ายของรูปหลุมต่างๆ และเขียนอธิบายไว้ในเว็บไซต์ Trypophobia.com โดยการศึกษาดังกล่าวพูดถึงความแตกต่างของรูต่างๆ ในภาพถ่าย มีผลต่อความกลัวของผู้ป่วย คุณ Cole ได้ทดลองให้ผู้ป่วยดูภาพของหมึกสายวงน้ำเงินซึ่งมีจุดวงกลมต่างๆ ที่ชัดเจน แต่เค้ากลับพบว่าพวกเขาก็กลัวภาพถ่ายรูปรูภาพอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ทั้งสองสรุปผลการศึกษาว่าอาการ Trypophobia นั้นเกิดจากการเห็นภาพของหลุมหรือรูต่างๆ เป็นตัวกระตุ้น “ประสบการณ์ที่ฝังอยู่ในสมองของพวกเขา จะเชื่อมโยงกับภาพที่เห็น และทำให้รู้สึกว่ากำลังจะได้รับอันตรายเมื่อมองไปที่ภาพที่เป็นตัวกระตุ้น” คุณ Cole กล่าวกับทาง NPR’s Shots blog …
-
คนนอนดึกต้องผวา งานวิจัยเผยการนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงอาจทำให้ “รอบเอว” เพิ่มได้
การดูแลรูปร่างและการควบคุมน้ำหนักนั้น นอกจากจะต้องอาศัยการทานอาหารอย่างถูกหลักและการออกกำลังกายแล้ว ยังมีอีกปัจจัยที่ละเลยไม่ได้เลยนั่นก็คือ การพักผ่อนที่เพียงพอนั่นเอง เมื่อเร็วๆ นี้ มีงานวิจัยชิ้นใหม่ได้เผยให้เห็นว่าการนอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่วโมงนั้นอาจทำให้รอบเอวของคุณเพิ่มขึ้นได้ หรือเรียกง่ายๆ ก็อ้วนนั่นแหละ!! จากการศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง 1,615 คน พบว่าผู้ที่นอนหลับไม่เพียงพอมีความเสี่ยงต่ออาการดังกล่าวมากกว่าผู้ที่นอนหลับในช่วง 7-9 ชั่วโมงต่อวัน อันที่จริงแล้วความต้องการการนอนหลับให้เพียงพอสำหรับแต่ละคนนั้นอาจจะแตกต่างกัน แต่เวลาในการนอนที่เหมาะสมของผู้ใหญ่แต่ละคนนั้นอยู่ประมาณ 7-9 ชั่วโมงนั่นเอง ด็อกเตอร์ Laura Hardie หัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย University of Leeds กล่าวว่า “เราพบว่าผู้ใหญ่ที่มีการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอนั้นจะมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการลดน้ำหนักด้วย” นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยชิ้นก่อนหน้าที่เผยให้เห็นว่าการนอนหลับน้อยนั้นจะเพิ่มความอยากทานอาหารฟาสต์ฟู้ดหรือพวกอาหารขยะเพิ่มขึ้นอีกด้วย รู้แบบนี้แล้ว ใครที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ก็อย่าลืมใส่ใจเรื่องการพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะเหมียว ที่มา unilad
-
ผลการวิจัยออกมาแล้วว่า “อีกา” ไม่ได้โง่ แต่มีสติปัญญามากกว่าเด็กมนุษย์ซะอีก
คุณอาจเคยได้เห็นการทดลองทางจิตวิทยาที่จะให้เด็กเลือกว่าจะกินมาร์ชแมลโลว์หนึ่งชิ้นทันที หรือจะยังไม่กินและรออีกไม่กี่นาทีเพื่อให้ได้กินสองชิ้น ซึ่งเด็กส่วนใหญ่นั้นจะไม่สามารถอดทนรอได้ แต่สำหรับ อีกา แล้วผลออกมาไม่ได้เป็นอย่างนั้น Can Kabadayi นักวิทยาศาสตร์ทางด้านความรู้ความเข้าใจจากมหาวิทยาลัย Sweden’s Lund กล่าวว่า “เด็กๆ หรือผู้ใหญ่บางคนอาจจะมีปัญหาในการควบคุมตนเอง” โดยงานวิจัยของเขานั้นได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Science โดยมีการชี้แจ้งเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของอีกากับความสามารถในการรู้คิด ผ่านการทดสอบที่เข้มงวด การทดสอบประเภทนี้จะต้องใช้ทักษการเรียนรู้ในการทำงานผสานกัน และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสัตว์เหล่านี้ โดยเขาได้ยกตัวอย่าง ลิงกอริลลาหรือลิงชิมแปนซี จะเก่งในเรื่องของการใช้เครื่องมือแก้ปัญหา แต่ก็จะผิดพลาดในการวางแผนเพื่อแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการทดลองนี้ อีกาจำเป็นต้องใช้เครื่องมือในการได้รับอาหารจากกล่องที่ถูกปิดไว้ หลังจากนั้นก็จะได้เจอกับกล่องเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีเครื่องมือให้ และด่านสุดท้ายก็คือมีเครื่องมือในการเปิดกล่อง พร้อมกับเครื่องมืออื่นๆ แต่จะไม่ได้เห็นกล่อง จากการทดลองพบว่า 86% ของอีกาทั้งหมดสามารถเลือกเครื่องมือได้ถูกต้อง ทำให้มันมีโอกาสได้ลองเปิดกล่อง สำหรับการทดลองสุดท้าย อีกากว่า 76% เปอร์เซ็นต์ สามารถที่จะแลกเปลี่ยนเครื่องมือกับอาหารที่อยู่ภายในกล่องออกมาได้ และอีก 73% เลือกที่จะรับสิ่งที่มากกว่าของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถเอาได้เลยในตอนนั้น Kabadayi พูดว่า “กุญแจสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ จะเอาชนะความชั่งใจ (รางวัลเล็กๆ) ที่เกิดขึ้นในชั่วเสี้ยววินาที เพื่อที่จะได้รับรางวัลที่มากกว่าถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม” …
-
ผลวิจัยชี้ ‘การนอนหลับไม่เพียงพอ’ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็น ‘โรคสมองเสื่อม’ มากขึ้น!!
อย่างที่รู้ๆ กันดีว่า การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการมีสุขภาพแข็งแรง แต่ในขณะเดียวกันถ้าหากว่าละเลยเรื่องนี้ไป ก็อาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน!! เรื่องต่อไปนี้อาจจเป็นข่าวร้ายสำหรับบุคคลที่นอนดึกตื่นเช้า หรือนอนหลับในระยะเวลาที่น้อยเกินไป เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีรายงานว่าการนอนหลับไม่เพียงพอนั้นจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคความจำเสื่อม การนอนหลับไม่เพียงพอหรือการนอนไม่เต็มอิ่มนั้น อาจทำลายความจำระยะสั้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ อีกหลายชนิด ซึ่งการศึกษาดังกล่าวนั้นถูกตีพิมพ์ในวารสาร Neurology โดยนักวิจัยได้ทำการศึกษาและพบว่า ผู้ใหญ่ในช่วงวัยกลางคนส่วนมากที่มีการนอนหลับไม่เพียงพอ มักจะมีอาการโรคของความจำเสื่อมในส่วนของ Cerebrospinal fluid จากการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใหญ่อายุเฉลี่ยไม่เกิน 63 ปี จำนวน 101 คน โดยการนำเนื้อเยื่อในส่วนของไขสันหลังมาทำการตรวจหาการสะสมของโปรตีน อาการอักเสบ และเซลล์ที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคความจำเสื่อม โดยผู้เข้าร่วมการศึกษาทุกคนจัดอยู่ในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงทั้งปัจจัยทางด้านกรรมพันธุ์ และประวัติครอบครัว แต่ไม่มีปัญหาทางด้านสุขภาพเลย นักวิจัยพบว่าปัจจัยทางด้านอายุนั้นไม่มีผลต่อการสะสมของก้อนโปรตีนดังกล่าว แต่กลับพบว่าการนอนหลับไม่เพียงพอนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอาการสะสมของโรคนี้แทน การนอนหลับที่ดีนั้นจะช่วยในการซ่อมแซมเซลล์สมอง ด้วยการขจัดสิ่งที่เรียกว่า neurotoxins ออกไป โดยสารพิษพวกนี้ จะมีส่วนที่จะทำให้เกิดการสะสมของโปรตีน ที่นำไปสู่อาการโรคความจำเสื่อมนั่นเอง งานวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าการนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอนั้นทำเกิดการสะสมของ แอมีลอยด์ บีตา หนึ่งในสารที่พบในผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมนั่นเอง รู้แบบนี้แล้วก็อย่าลืมนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอกันด้วยนะครับ… ที่มา businessinsider
-
งานวิจัยชี้ ผู้ใช้กัญชามีแนวโน้มประสบความสำเร็จ และพึงพอใจในชีวิตมากกว่า…!?
ปกติแล้วถ้าพูดถึงคนเสพกัญชาเราคงเห็นภาพของคนที่มีลักษณะนิสัยขี้เกียจ บางคนอาจจะลามไปถึงขั้นมองว่าคนๆ นั้นล้มเหลว และไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ทว่างานวิจัยเชิงการตลาดจาก BDS Analytics (บริษัทวิจัยกัญชา) ได้ทำการสำรวจกลุ่มผู้ใช้กัญชาจากหลายเงื่อนไของค์ประกอบในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสุขในชีวิต คุณภาพทางจิตใจ การเข้าสังคม และรวมไปถึงปัจจัยทางการเงิน โดยข้อมูลทั้งหมดเก็บรวบรวมมาจากกลุ่มผู้ใช้กัญชาในรัฐแคลิฟอร์เนีย และโคโลราโด ซึ่งเป็นรัฐที่การซื้อขายกัญชาเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย ผลสำรวจจากรัฐแคลิฟอร์เนียก็ยิ่งชวนให้ทึ่งเข้าไปอีก เมื่อพบว่า 20% ของผู้ใช้กัญชาเรียนจบถึงระดับปริญญาโท นอกจากนั้นในเรื่องของรายได้เฉลี่ยพบว่า ผู้ใช้กัญชาจะมีรายได้เฉลี่ย 93,800 เหรียญ/ปี ในขณะที่กลุ่มผู้ปฏิเสธกัญชามีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 70,000 เหรียญ/ปี เท่านั้น เช่นเดียวกับรัฐโคโลราโดผลสำรวจทางการตลาดพบว่า 64% ของกลุ่มผู้ใช้กัญชามีงานฟูลไทม์ประจำทำ ในขณะที่กลุ่มผู้ปฏิเสธการใช้กัญชามีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าอยู่ที่ 54% ในส่วนของความพึงพอใจในชีวิต จากการสำรวจพบว่ากว่า 5 ใน 10 ของกลุ่มผู้ใช้กัญชารู้สึกมีความพึงพอใจในชีวิตมากกว่าที่เคยเป็นอยู่ ตรงกันข้ามกับกลุ่มคนไม่ใช้กัญชามีความพึงพอใจในชีวิตเพียง 4 ใน 10 เท่านั้น และปัจจัยทางสังคมผลสถิติจากรัฐโคโลราโดชี้แจงว่า 36% ของกลุ่มคนใช้กัญชาอธิบายตนเองว่ามีลักษณะนิสัยเข้าสังคมง่าย ในขณะที่กลุ่มผู้ไม่ใช้กัญชามีเพียง 28% เท่านั้น …
-
งานวิจัยเผย ‘ลูกคนเดียว’ มีพัฒนาการทางด้านลักษณะนิสัย แตกต่างไปจาก ‘เด็กที่มีพี่น้อง’
เราคงจะเข้าใจกันดีว่าอุปนิสัยของลูกๆ นั้นจะเกิดขึ้นจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ และสภาพแวดล้อม ที่เป็นปัจจัยให้พวกเขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่จากผลงานวิจัยล่าสุดก็พบว่า จริงๆ แล้วการเป็นลูกคนเดียว หรือมีพี่น้อง ก็อาจจะส่งผลกับสมองที่เป็นส่วนสำคัญในการกำหนดอุปนิสัย และบุคลิกของเด็กด้วยเช่นเดียวกันนะ!? งานวิจัยชิ้นนี้มาจากมหาวิทยาลัยซีหนาน ที่ตั้งอยู่ในเมืองฉงชิ่ง ประเทศจีน โดยนักวิจัยได้ทำการศึกษาจากอาสาสมัครที่อยู่ในวัยนักศึกษาทั้งหมด 250 คน ซึ่งแบ่งออกเป็นคนที่เป็นลูกคนเดียว 50% และอีก 50% ก็เป็นเด็กที่เกิดมามีพี่น้อง โดยศึกษาถึงในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการเข้าสังคม และบุคลิกภาพ ด้วยวิธีการสแกนสมองและให้เข้าร่วมตอบบทสัมภาษณ์ จากการศึกษาก็พบว่ามันมีความแตกต่างกันที่เห็นได้อย่างชัดเจนระหว่างเด็กที่เป็นลูกคนเดียวกับเด็กที่มีพี่น้อง… เด็กที่เป็นลูกคนเดียวจะมีความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นเลิศกว่า แต่พวกเขาจะมีลักษณะทางบุคลิกภาพที่น่าพอใจน้อยกว่า หรือกล่าวคือพวกเขาแสดงให้เห็นว่ามีความเห็นแก่ตัว ต้องการที่พึ่งพิง และเข้าสังคมได้ยากกว่า เท่านั้นยังไม่พอนักวิจัยยังเปิดเผยอีกว่า ความแตกต่างของพวกเขาไม่ได้แสดงให้เห็นผ่านการตอบคำถามในการสัมภาษณ์เท่านั้น แต่สมองของพวกเขาก็ยังมีการพัฒนาการที่แตกต่างกันด้วย นักวิจัยพบว่าเด็กที่เป็นลูกคนเดียวนั้น จะมีส่วนที่เป็นสีเทาอยู่ในสมองส่วนข้างมากกว่าเด็กที่เกิดมามีพี่น้อง ซึ่งส่วนนี้จะมีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับเรื่องของจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) กลับมีส่วนสีเทาน้อยกว่า และส่วนนี้เองก็เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ช่วยในเรื่องของการทำความเข้าใจกับตนเอง และการปฏิบัติต่อผู้อื่น ที่มา :…
-
เผยงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Yale หากใช้ Facebook มากเกินไป อาจทำให้ความสุขลดลง
คงเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธว่าทุกวันนี้เรามีความสุขดีกับการใช้ Facebook ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะออกไปที่ไหนหรือทำอะไรพอไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คหน้านิวส์ฟีดแล้วมันรู้สึกโหวงๆ แปลกๆ ไม่สบายใจเลย ซึ่งจากงานวิจัยชิ้นล่าสุดจากมหาวิทยาลัย Yale University และมหาวิทยาลัย University of California ได้ข้อสรุปออกมาว่าการใช้งาน Facebook มากเกินไปจะทำให้สุขภาพทางจิตใจถดถอยและความสุขลดน้อยลงไปด้วย การศึกษาในครั้งนี้ทำโดยการติดตามนิสัยการใช้ Facebook ของผู้คนมากกว่า 5,000 คนอย่างใกล้ชิดเป็นระยะเวลานานกว่า 2 ปี พร้อมกับทำการตรวจเช็คสุขภาพและระดับความสุขของพวกเขาเป็นระยะๆ ผลที่ได้ก็พบว่ามีผู้ใช้เฟซบุ๊คเป็นจำนวนมากกว่า 5-8% ที่มีความพึงพอใจในชีวิต และสุขภาพทางจิตใจที่น้อยกว่า “เป็นเรื่องที่น่าตกใจมากกับการวิจัยนี้ ที่นักวิจัยจะได้ตามติดและสามารถเข้าถึงข้อมูลเฟซบุ๊คของเหล่าผู้เข้าร่วมตลอดระยะเวลา 2 ปี ทำให้เราสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกเศร้าใจ มีสุขภาพแย่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นกับคนที่ใช้เฟซบุ๊คมากกว่า” ทางด้าน Nicholas Christakis หนึ่งในทีมงานนักวิจัยจาก Human Nature Lab สังกัดมหาวิทยาลัย Yale University ได้บอกถึงกุญแจสำคัญในการสร้างความพึงพอใจในชีวิตและสุขภาพจิต ซึ่งมันสามารถทำได้โดยการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ผ่านทางออนไลน์ หรือจะให้ดีที่สุดก็คือการออกไปพบปะซึ่งหน้ากันและกัน ที่มา : 9to5mac
-
นักวิจัยทดสอบสารในกัญชา ทดลองกับหนูแล้วพบว่า “ฟื้นฟูการทำงานของสมอง” ได้ดีขึ้นจริง!!
ต้องบอกก่อนนะว่านี่เป็นงานวิจัยชิ้นล่าสุดที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Nature Medicine ซึ่งเป็นการทดลองใช้สาร THC ที่พบได้ในกัญชากับสมองของหนูทดลอง เป็นการวิจัยร่วมกันของทีมผู้เชี่ยวชาญจาก Harvard Medical School และทีมวิจัยจาก University of Bonn โดยพวกเขาได้ให้สาร THC แก่หนูทดลอง แบ่งเป็นวัยเด็ก (2 เดือน) วัยโตเต็มที่ (12 เดือน) และวัยแก่ (18 เดือน) หลังจากที่ได้ใช้สาร THC กับหนูทดลองครบ 5 วันแล้ว ทางทีมวิจัยก็ได้นำหนูทั้ง 3 ช่วงอายุไปทำการทดสอบทางพฤติกรรม เพื่อสังเกตว่าพวกมันสามารถจดจำสภาพแวดล้อมรอบข้างได้ดีขึ้นหรือไม่ ทีมวิจัยพบว่าหนูวัยแก่ที่ได้รับสาร THC มีปฏิกริยาตอบสนองจากสมองเทียบเท่ากับหนูโตเต็มวัยที่ไม่ได้รับสาร THC นั่นหมายความว่าสารดังกล่าวสามารถช่วยฟื้นฟูการทำงานในสมองของหนูวัยแก่ได้มากขึ้นจริง Onder Albayram หนึ่งในทีมวิจัยให้สัมภาษณ์ว่า ‘ในสมองของหนูที่เด็กกว่า จะมีสารเอ็นโดแคนนาบินอยด์ในสมองมากกว่าหนูที่แก่กว่า เมื่อเราเพิ่มสารดังกล่าวที่ได้จากกัญชาลงไปในสมองหนูทั้งสองช่วงวัย เราพบว่ามันให้ผลดีกับสมองของหนูที่มีอายุมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด’ นักวิจัยยังให้กล่าวเสริมว่า การทำงานของสมองในระบบเอ็นโดแคนนาบินอยด์ มีความใกล้เคียงกันอย่างมาก แต่เราต้องขอย้ำอีกครั้งนะว่า… การทดลองครั้งนี้เป็นคนละเรื่องกับการนำมาสูบอย่างที่เราเข้าใจกัน เพียงแค่สกัดสาร THC…
-
“ฉลาดเหมือนแม่” นักวิจัยพิสูจน์แล้วว่า ลูกจะสืบทอดสติปัญญาจากแม่ได้มากกว่าพ่อ!!
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบมานานแล้วว่า ยีนส์ความฉลาดของมนุษย์เรา จะอยู่ในโครโมโซม X ซึ่งเป็นโครโมโซมที่ผู้หญิงจะมีสอง ส่วนผู้ชายจะมีแค่โครโมโซมเดียว ทำให้อาจได้ข้อสรุปว่าระดับสติปัญญาจากแม่ จะตกทอดสู่รุ่นลูกได้มากกว่าจากพ่อ ซึ่งงานวิจัยชิ้นล่าสุดของมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ ก็ได้ออกมาช่วยยืนยันแล้วว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องจริง! โดยทีมนักวิจัยได้ทำการสำรวจจากกลุ่มคนอายุ 14 – 22 ปี จำนวน 30,000 คน เป็นประจำทุกปีมาตั้งแต่ปี 1994 โดยจะมีการทดแบบทดสอบ และการสัมภาษณ์ต่างๆ ระหว่างลูก แม่ และพ่อของผู้เข้าร่วมวิจัย ซึ่งพวกเขาก็ได้คำตอบว่าสติปัญญาของลูกจะได้จากแม่ มากกว่าพ่อเป็นเรื่องจริง แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือ การเข้าไปศึกษาเกี่ยวกับยีนสติปัญญาของหนูทดลอง โดยทีมวิจัยได้ค้นพบว่าหนูที่มียีนตกทอดจากแม่มากกว่า จะมีขนาดสมองที่ใหญ่กว่า แต่ลำตัวจะเล็กกว่า ตรงกันข้ามกับหนูที่มียีนจากพ่อมากกว่า ซึ่งจะมีขนาดสมองที่เล็กกว่า แต่ลำตัวจะใหญ่กว่า และยีนความฉลาดที่ตกทอดจากแม่มาสู่ลูกจะพบได้มากในบริเวณ Cerebral Cortex (เปลือกสมอง) ซึ่งเป็นส่วนที่คอยสั่งการใช้ความคิดเชิงตรรกะ เช่น การเรียนรู้ภาษาหรือการวางแผน และเมื่อเปรียบเทียบกับ ยีนที่ตกทอดมาจากรุ่นพ่อแล้ว นักวิจัยพบว่ายีนชนิดนี้จะพบได้มากในบริเวณระบบลิมบิค (Lymbic System) ซึ่งเป็นส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับกลไกการสืบพันธุ์ อาหาร และความโกรธเกรี้ยว จากการค้นพบดังกล่าวทำให้ทฤษฏีที่ว่า…
-
ผลวิจัยเผย การให้เด็กอายุ 6-11 เดือน เล่นทัชสกรีน อาจส่งผลให้พวกเขานอนหลับน้อยลง
วัยเด็ก เป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโต โดยนอกจากอาหารจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขาแล้ว “การนอนหลับ” ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากเช่นกัน เพราะเมื่อเด็กๆ ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะทำให้เซลล์สมองของพวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่เด็กสมัยใหม่ที่เกิดมาลืมตาดูโลกในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเจริญก้าวไกล เช่น คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นหน้าจอทัชสกรีน ก็อาจจะทำให้พวกเขาได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้มากขึ้น ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่เป็นพ่อแม่ทั้งหลายรู้หรือไม่ว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่นี่แหละ ที่เป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลให้พวกเขานอนหลับได้น้อยลง มีผลวิจัยจากมหาวิทยาลัย Birbeck University of London ได้ออกมาเผยว่า เด็กที่มีอายุ 6-11 เดือน ที่เล่นสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ที่เป็นทัชสกรีน จะนอนหลับพักผ่อนได้น้อยกว่าเด็กที่ไม่ได้เล่นเลย โดยงานวิจัยดังกล่าว ได้ทำการศึกษาจากกลุ่มผู้ปกครองมากถึง 715 ครอบครัว เมื่อเฉลี่ยแล้วผลของการการเล่นสมาร์ทโฟนทุกหนึ่งชั่วโมงต่อคืน จะส่งผลให้เด็กนอนน้อยลงไป 15.6 นาทีเลยทีเดียว ทางด้านผู้ร่วมเขียนงานวิจัยอย่าง Dr. Tim Smith ได้ออกมาเผยว่า “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลยหากผู้ใหญ่อย่างเรานอนน้อย แต่สำหรับเด็กแล้วทุกวินาทีคือการสร้างเซลล์สมอง และมันก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ที่พวกเขาควรจะได้รับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ” แม้ว่างานวิจัยจะชี้ให้เห็นว่า สมาร์ทโฟนและแทบเล็ต ส่งผลกระทบต่อการนอนของเด็ก แต่ทางด้านนักวิจัยก็คิดว่า มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกนักที่เราจะต้องไปห้ามปรามไม่ให้พวกเขาเล่นอุปกรณ์เหล่านี้…
-
ชายผู้เป็นอัมพาต กลับมาขยับได้อีกครั้ง ด้วยนวัตกรรมเครื่องช่วยสั่งการจากคลื่นสมอง!!
นี่อาจจะเป็นข่าวดีสำหรับวงการแพทย์ทั่วโลกเลยก็ว่าได้ เป็นเรื่องราวของ Bill Kochever ชายผู้ประสบอุบัติเหตุจากการถูกรถบรรทุกชนขณะปั่นจักรยาน ทำให้ร่างกายของเขาต้องเป็นอัมพาตมานานกว่า 8 ปี แต่งานวิจัยจากสถาบัน Case Western Reserve School of Medicine กำลังจะทำให้เขากลับมาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้อีกครั้ง เราไปทำความรู้จักกับเรื่องราวของเขากันเลย Bill Kochever Bill เล่าประสบการณ์ของตัวเองว่า ‘ก่อนหน้านี้ผมก็เป็นคนปกติเหมือนคนอื่นทั่วไป วันหนึ่งผมออกไปปั่นจักรยานแล้วฝนตกหนัก ผมถูกรถบรรทุกชน จากนั้นต้องตื่นมาพบว่าตัวเองเป็นอัมพาตขยับอวัยวะตั้งแต่หัวไหล่ลงไปไม่ได้ ผมรู้สึกแย่มาก… เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องคอยให้คนอื่นช่วยเหลืออยู่ตลอด จะกินข้าว ดื่มน้ำ หรือเข้าห้องน้ำ ผมกลายเป็นภาระของคนอื่นไปโดยปริยาย’ ทว่าหลังจากที่เขามีโอกาสได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยด้านประสาทสัมผัส และการฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพาตของศูนย์วิจัยแห่งนี้ ดูเหมือนว่าผลสำเร็จของมันก็ใกล้ความเป็นจริงเข้ามาทุกที Bolu Ajiboye ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากทีมวิจัย A. Bolu เล่าว่าจากขั้นตอนการวิจัยทั้งหมด ตอนนี้พวกเขาสามารถสร้างเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ป่วยอัมพาตดูแลตัวเองได้ง่ายขึ้น โดยเครื่องดังกล่าวจะสามารถรับการสั่งการจากสมองของ Bill และส่งไปยังตัวเครื่องเพื่อช่วยให้เขาสามารถขยับอวัยวะส่วนนั้นๆ ได้ เช่น ถ้าเขาต้องการที่จะขยับแขน เครื่องจะส่งข้อมูลที่เชื่อมกับสมองของเขา และช่วยทำให้เขาขยับแขนได้เองจริงๆ ‘ผมยินดีที่จะเอาตัวเองเข้าสู่งานวิจัย มันต้องมีการวิจัยเพื่อการพัฒนา ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีอะไรก้าวหน้า’…
-
งานวิจัยเผย ‘พืชผัก’ สามารถรับรู้ได้ว่าตัวเองกำลังถูกกัดกิน และมีปฏิกิริยาต่อต้าน!!
สำหรับหลายๆ คนที่ชื่นชอบทานอาหารจำพวกพืชผัก จะรู้กันดีว่าพวกมันมีความกรอบ มีความกรุบ และการทานผักนั้นส่วนใหญ่เราก็จะมักทานกันแบบสดๆ ทุกครั้งที่กัดกร้วมเข้าไปเราก็มักจะไม่ได้คิดถึงอะไรเลยเพราะเชื่อว่ามันไม่ได้มีความรู้สึกอะไร แต่ล่าสุดมีงานวิจัยออกมาแล้วว่าเหล่าพืชผักทั้งหลายนั้นสามารถได้ยิน และรับรับรู้ ว่าตัวเองกำลังถูกกินอยู่!? จากงานวิจัยชิ้นล่าสุดจากมหาวิทยาลัย University of Missouri ได้ค้นพบว่าต้นไม้สามารถแยกแยะเสียงที่อยู่ใกล้ๆ ได้ อย่างเช่นเสียงของการกิน จากนั้นมันก็จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อภัยคุกคามที่กำลังเกิดขึ้น “พวกเราค้นพบว่าสัญญาณการสั่นสะเทือนของเสียงในการกิน จะทำให้เซลล์ของระบบเมตาบอลิซึมของต้นไม้เปลี่ยนแปลงไป มีการสร้างสารเคมีเพื่อป้องกันตัวเองมากยิ่งขึ้น เพื่อขับไล่หนอนผีเสื้อที่กำลังกัดกินร่างกายของมันออกไป” Heidi Appel นักวิจัยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ต้นไม้จากมหาวิทยาลัย University of Missouri กล่าว ในการศึกษานั้นนักวิจัยได้นำเหล่าหนอนผีเสื้อไปวางไว้บนใบของต้น Arabidopsis เพื่อทำการเก็บเสียงตอนที่เจ้าหนอนผีเสื้อที่กำลังค่อยๆ กัดใบไม้เอาไว้ด้วย จากนั้นก็นำเสียงที่บันททึกเอาไว้ไปเปิดในกล่องที่มีต้น Arabidopsis อยู่ ส่วนอีกกล่องไม่ได้เปิดอะไรให้ฟัง ซึ่งที่ใบก็ได้มีการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงเอาไว้ ผลปรากฎว่าใบของต้น Arabidopsis ที่ได้ยินเสียงกัดใบไม้มีการปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า Mustard Oil ออกมา ซึ่งเหล่าหนอนผีเสื้อไม่ชอบสารเคมีชนิดนี้เท่าไหร่นัก นอกจากนี้เหล่านักวิจัยก็ได้ทำการทดลองนำเสียงอื่นๆ มาเปิดให้ฟังเช่น เสียงของแมลงชนิดอื่น เสียงลมพัด เสียงฝนตก เป็นต้น แต่ก็พบว่าเสียงเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ใบไม้ปล่อยสารเคมีออกมาได้มากเท่าเสียงกัดกินของหนอนผีเสื้อ ทำให้สรุปได้ว่าเหล่าพืชทั้งหลายเองก็มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อปัจจัยภายนอก อย่างการถูกกระทำโดยสัตว์ต่างๆ แถมยังใช้วิธีที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วยนะ!!…
-
งานวิจัยล่าสุดชี้ คนที่ชอบพูดคุยกับสัตว์เลี้ยงบ่อยๆ มีแนวโน้มที่จะฉลาดมากกว่า!?
เป็นกิจวัตรประจำวันเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าเราจะไปทำธุระอะไรมาก็ตาม เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วเจอหน้าเจ้าสัตว์เลี้ยงตัวน้อย เราก็มักจะพูดคุยกับมันเสมอ ไม่ว่าจะเป็น ‘สบายดีมั้ยลูก?’ หรือ ‘โอ๊ยย…คิดถึงจังเลย’ ก็ไม่ต้องแปลกใจไป คุณไม่ได้บ้าหรอก!! เพราะล่าสุดงานวิจัยจาก ศาสตราจารย์ Nicholas Epsey แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก ได้ออกมายืนยันถึงพฤติกรรมดังกล่าวแล้วว่า มันไม่ใช่เรื่องของคนบ้า หรือความผิดปกติแต่อย่างใด นักวิจัยกล่าวว่าพฤติกรรมดังกล่าว มันก็มีลักษณะเหมือนพฤติกรรมที่เรามักจะเผลอคุยกับของเล่น ตอนที่เราเป็นเด็กๆ นั่นแหละ โดยพฤติกรรมนี้มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า ‘anthropomorphizing’ (แอนโธรโพมอไฟซิ่ง จะอ่านยากไปไหน) ‘เป็นปกติที่เรามักจะตั้งชื่อให้กับสิ่งของที่เรารู้สึกผูกพันธ์เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นรถ เครื่องดนตรี กล้อง หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยง ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถสะท้อนความเป็นตัวตนของเราได้ ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพชัดๆ ก็คือ ตอนที่คุณคุยกับเจ้าหมา หรือเจ้าแมวที่บ้าน สมองของคุณได้สร้างจินตนาการที่เชื่อมโยงกับสิ่งนั้นๆ ขึ้นมา เช่นการที่เราคุยกับแมว แล้วเราก็คิดว่ามันรู้สึกรำคาญ หรือหิวข้าว จากการสังเกตพฤติกรรม ซึ่งทำให้สมองของเรามีการกระตือรือร้น ในการทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัว มากยิ่งขึ้น’ Nicholas Epsey กล่าว เพราะฉะนั้นเวลาที่เราคุยกับสัตว์เลี้ยง สมองของเราก็จะเกิดการเรียนรู้ และรับรู้ สิ่งใหม่ๆ…
-
งานวิจัยเผย คนที่เคยนอกใจคนรักมาแล้ว ยังไงก็ไม่ซื่อสัตย์กับคนรักอย่างแน่นอน…
เป็นปัญหาใหญ่สุดที่ทำให้คนรักต้องเลิกรากันไปเลยก็ว่าได้ เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งคิดไม่ซื่อแอบไปมีกิ๊ก (ชู้) พอโดนจับได้ส่วนใหญ่ก็มักจะอ้างไปว่า ‘เค้าจะไม่ทำอีกแล้วว T^T’ หรือไม่จริง!? และล่าสุดเว็บไซต์ Nature ได้รายงานเรื่องงานวิจัยที่ยืนยันถึงพฤติกรรมดังกล่าวแล้วว่า ของแบบนี้ถ้ามีครั้งแรกแล้ว เดี๋ยวมันก็จะมีครั้งที่ 2… 3… 4… 5… ตามมาอีกนั่นแหละ จากงานวิจัยที่ชื่อว่า ‘The Brain Adapts To Dishonesty’ ของ Neil Garret และทีมงาน จากสถาบันวิจัยและทดลองด้านจิตวิทยาแห่งกรุงลอนดอน พวกเขาได้มีขั้นตอนการวิจัยดังนี้… ทีมงานได้นำอาสาสมัครที่เป็นคู่รักกันมาแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งมองเห็นภาพไม่ชัดจะต้องคอยเดาว่ามีเหรียญในขวดโหลอยู่กี่เหรียญ ส่วนอีกฝั่งที่มองเห็นภาพชัดจะต้องคอยช่วยเหลือคนรักที่เป็นคนเดาจำนวนเหรียญ แต่นักวิจัยได้ตั้งข้อแม้ไว้ว่า ถ้าหากอาสาสมัครฝั่งที่ต้องเดาจำนวนเหรียญทายผิด อีกฝั่งหนึ่งจะได้รางวัลเยอะกว่า แน่นอนว่าอาสาสมัครส่วนใหญ่เลือกที่จะพูดโกหกคนรักของตัวเองมากกว่า อีกทั้งพฤติกรรมดังกล่าวยังเกิดขึ้นได้กับทั้งผู้ปกครอง และเพื่อนฝูงด้วย จากการทดลองกับอาสาสมัครกลุ่มดังกล่าว และการเฝ้าสังเกตผลการทำงานของสมองส่วน Amygdala ทำให้ทีมวิจัยได้คำอธิบายถึงพฤติกรรมของคนที่มีนิสัยขี้โกหกคู่รักว่า… ‘เมื่อคนเรารู้จักที่จะโกหกครั้งแรกแล้ว ครั้งต่อไปเมื่อพวกเขาโกหกจะรู้สึกผิดน้อยลง ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานในสมองของส่วนที่เรียกว่า Amygdala ซึ่งเป็นส่วนที่คอยตอบสนองต่อปฏิกริยา และพฤติกรรมในเชิงลบของมนุษย์ แต่เมื่อทุกครั้งที่เราพูดโกหก งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าบริเวณส่วนนี้ของสมองจะมีปฏิกริยาตอบสนองที่ด้อยลงเรื่อยๆ’ สรุปได้ว่าถ้าคนเรามันได้นอกใจครั้งหนึ่งแล้ว…
-
งานวิจัยเผย…’การถึงจุดสุดยอด’ อย่างน้อยวันละครั้ง จะช่วยให้ชีวิตการทำงานดียิ่งขึ้น!!
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเว็บไซต์ Catdumb ของเราได้นำเสนอเรื่องราวของนักการเมืองสวีเดนที่ออกมาสนับสนุนนโยบายให้พนักงานได้พักกลับบ้านไปปั่มปั๊ม เพื่อลดความเครียดจากงาน ไปแล้ว หลายๆ คนก็อาจจะสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้จริงๆ เหรอ? อาจจะเหนื่อยจนไม่สามารถมีแรงมาทำงานต่อในช่วงบ่ายได้หรือไม่? สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปอ่านบทความงานวิจัยจากนักวิจัยในมหาวิทยาลัย Oregon State University เกี่ยวกับเรื่องการมีเซ็กส์ระหว่างทำงานกันว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่? ลองไปติดตามชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า จากงานวิจัยของรองศาสตราจารย์ Keith Leavit จากมหาวิทยาลัย Oregon State University ได้ผลว่า คนที่ถึงจุดสุดยอดอย่างน้อย 1 ครั้ง ใน 1 วัน จะมีแนวโน้มที่จะมีความสุขกับงาน สู้งาน และมีความก้าวหน้ามากกว่า แถมยังมีสุขภาพที่แข็งแรงอีกด้วย การมีชีวิตเซ็กส์ที่ดีจะช่วยส่งเสริมให้พนักงานสามารถทำงานกันได้อย่างมีความสุข ซึ่งมันส่งผลดีต่อทั้งพนักงานและองค์กรที่พวกเขาทำงานให้ เพราะการมีเพศสัมพันธุ์จะทำให้เกิดการปลดปล่อยสารโดพามีน (Dopamine) ออกมา ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่เป็นตัวช่วยให้เรารู้สึกมีความพึงพอใจ เกิดความรักใคร่ชอบพอ นอกจากนี้เมื่อโดพามีนหลั่งออกมามากๆ จะช่วยให้เรารู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง และไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ รอบตัวมากขึ้นอีกด้วย เพื่อความเข้าใจถึงผลกระทบของเซ็กส์ที่มีต่อการทำงานนักวิจัยได้ดำเนินการเก็บข้อมูลจากพนักงานที่แต่งงานแล้วกว่า 159 คู่ เป็นระยะเวลากว่า 2…
-
งานวิจัยเผย… เจ้าหมาจะเกลียดหน้าคนที่ไม่เป็นมิตร หรือคนที่คิดร้ายกับเจ้าของ
หลายๆ คนอาจจะคิดว่าเหล่ามะหมาทั้งหลายนั้นเป็นพวก ‘เห็นแก่กิน’ เมื่อใครก็ตามที่เอาอาหารให้มันมันก็จะส่ายหางดุ๊กๆ ดิ๊กๆ ญาติดีกับคนๆ นั้น แต่ขอบอกเลยว่าทุกคนกำลังเข้าใจผิด!! เพราะจากการศึกษาล่าสุดจากทางนักวิจัยในประเทศญี่ปุ่นได้พบว่าเหล่าสัตว์เลี้ยงนั้นจะปฏิเสธอาหารจากคนที่ไม่ถูกกับเจ้าของของพวกมัน ทีมงานวิจัยนำโดย Kazuo Fujita จากมหาวิทยาลัย Kyoto University ได้ทำการทดสอบกับหมาทั้งหมด 18 ตัว โดยที่เหล่ามะหมาจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหมด 3 แบบ พวกมันจะได้เห็นเจ้าของของมันที่ติดอยู่ในกล่องและร้องขอความช่วยเหลือ เจ้าหมากลุ่มแรก จะได้เห็นเจ้าของของมันร้องขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า ซึ่งคนแปลกหน้าจะปฏิเสธ ในกลุ่มที่สอง เจ้าของจะขอความช่วยเหลือ และคนแปลกหน้าก็จะให้ความช่วยเหลือ และในกลุ่มที่สาม ไม่มีคนแปลกหน้าคนไหนสนใจในเสียงเรียกของเจ้าของเลยแม้แต่คนเดียว หลังจากที่ได้ชมเหตุการณ์แล้วเหล่าคนแปลกหน้าทั้งหลายจะต้องเดินเข้าไปให้อาหารกับเหล่ามะหมา และผลปรากฏว่าเจ้าหมาจะมีทีท่าที่จะปฏิเสธรับอาหารจากคนที่ไม่ยอมให้การช่วยเหลือกับเจ้าของของมัน นาย Fujita ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อ Thegurdian ว่า “เป็นการค้นพบครั้งแรกว่าเหล่าสุนัขทั้งหลายนั้นจะมีการสร้างความสัมพันธ์และประมวลผลทางอารมณ์ต่อผู้คนโดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์โดยตรงที่มันจะได้รับ” “เพราะถ้าเหล่าสุนัขมีการประมวลผลทางอารมณ์โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเอง ก็จะไม่สร้างความแตกต่างอะไรในกลุ่มสุนัขทั้งสามกลุ่มเลย” “ซึ่งความสามารถนี้เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม และการศึกษาในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าเหล่ามะหมานั้นใช้ความสามารถนั้นกับมนุษย์ด้วย” แหม่ ถ้าเป็นเจ้าเหมียวล่ะก็คงจะตรงกันข้ามเลยล่ะนะ ฮร่าๆๆ ที่มา : theguardian, metro
-
ไขข้อข้องใจ… ทำไมเสียงของระบบ AI ผู้ช่วยเหลือ ถึงต้องเป็นเสียงของผู้หญิงมาก่อน!?
ในปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่ ‘หุ่นยนต์’ หรือระบบ AI ต่างๆ ถูกพัฒนาจนสามารถนำมาใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น Siri (Apple), Cortana (Microsoft), S Voice (Samsung) หรือระบบให้ความช่วยเหลือในรถยนต์ เป็นต้น ซึ่งระบบ Assistant ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ใช้งานเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีเสียงโต้ตอบเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น!? เออแฮะ ทำไมต้องเป็นเสียงผู้หญิงกันนะ มันมีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่? วันนี้ #เหมียวหง่าว จะมาไขข้อข้องใจนี้ให้กระจ่างเอง!! ก็เพราะว่าทางบริษัทผู้สร้างเหล่านี้ได้ทำการวิจัยกันออกมาเรียบร้อยแล้ว โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ ศาสตราจารย์ Karl F. MacDorman และทีมงานจากมหาวิทยาลัย Indiana University ได้ดำเนินงานวิจัยด้วยการเปิดคลิปเสียงผู้ชายและผู้หญิงให้กับกลุ่มตัวอย่างที่มีทั้งเพศชายและหญิงฟัง จากนั้นก็ตั้งคำถามว่าพวกเขาชอบเสียงแบบไหนมากกว่ากัน ผลปรากฏว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบว่า ‘ผู้หญิง’ และไม่ใช่เพียงแค่การตอบคำถามเท่านั้นเหล่าทีมงานนักวิจัยยังสังเกตปฏิกิริยาและการตอบสนองต่อคลิปเสียงของกลุ่มตัวอย่างด้วย ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาสามารถตอบสนองต่อเสียงของผู้หญิงได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า นอกจากนี้จากผลงานการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร ศาสตราจารย์ Clifford Nass จากมหาวิทยาลัย Stanford ก็ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “สมองของมนุษย์เรานั้นจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงของผู้หญิงมากกว่าเสียงของผู้ชาย” …
-
นักวิจัยค้นพบชีวิตซ่อนเร้นของต้นไม้ มีความรู้สึก มีความทรงจำ และสามารถดูแลต้นอื่นๆ ได้!!
สิ่งสำคัญที่ช่วยทำให้ทุกสรรพสิ่ง และทุกชีวิตในโลกสามารถดำเนินต่อไปได้ก็คือ ‘ต้นไม้’ ไม่ว่าจะเป็นไม้พันธุ์ไหนก็แล้วแต่ เพราะอย่างที่เรารู้กันดีจากวิชาวิทยาศาสตร์สมัยเด็กๆ ว่าพวกมันล้วนเป็นผู้ผลิตออกซิเจน ที่ช่วยต่อลมหายใจให้กับทุกชีวิตบนโลกใบนี้ และล่าสุดกลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ได้ออกมาเผยแพร่งานวิจัยที่พวกเขาได้ค้นพบแล้วว่า ต้นไม้ทุกต้นมีความรู้สึก มีความทรงจำ อีกทั้งพวกมันยังช่วยดูแลต้นไม้กันและกันอีกด้วย ภายใต้ชื่อโครงการว่า ‘The Hidden Life of Trees’ หนึ่งในทีมวิจัย Peter Wohlleben Peter Wohlleben ได้อธิบายไว้ว่า ‘ความสัมพันธ์ของต้นไม้นั้น เรียกได้ว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมอาศัยกันเป็นกลุ่มสังคม ต้นตัวแม่จะมีการดูแลทายาทของมัน ไม่ต่างจากคนเราเลยครับ’ ‘ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเข้าใจว่า สิ่งสำคัญของต้นไม้ก็คือสิ่งที่โผล่ขึ้นมาบนดิน แต่ความเป็นจริงแล้วรากที่อยู่ใต้ดินของพวกมันนั้นสำคัญกว่ามากครับ เพียงดินแค่ 1 ช้อนชา ก็สามารถทำให้รากเจริญเติบโตไปได้ไกลหลายกิโลเมตร’ Dr. Suzanne Simard ผู้วิจัยด้านการทำงานของระบบราก ‘จากการศึกษาค้นคว้ามาอย่างยาวนาน ฉันได้ค้นพบว่า ต้นไม้ทุกต้นในบริเวณเดียวกัน ถึงแม้จะต่างสายพันธุ์กัน แต่ในช่วงเวลาเติบโตพวกมันจะผูกรากเข้าไว้ด้วยกัน อาจกล่าวได้ว่าต้นไม้ทุกต้นในผืนป่าเดียวกัน ได้เชื่อมต่อกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว เพื่อที่พวกมันจะได้ดูแลกันอย่างทั่วถึง’ Dr. Suzanne กล่าว …
-
งานวิจัยเผย… คนที่อายุเยอะ มีแนวโน้มติด ‘สื่อโซเชียล’ มากกว่าวัยหนุ่มสาวซะอีก!!
ในทุกวันนี้ผู้คนเริ่มหันมาสนใจโซเชียลมีเดียกันมากยิ่งขึ้นทุกวันๆ และหากเพื่อนๆ คิดว่าคนที่หันมาเล่นโซเชียลมีเดียจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นหรือวัยเด็กล่ะก็ขอบอกเลยว่าคิดผิด!! เพราะจากรายงานของ Nielsen ที่เพิ่งประกาศออกมาเมื่อสัปดาห์ก่อนพบว่า ชาวอเมริกันช่วงอายุ 18 ถึง 34 ปี นั้นมีแนวโน้มที่จะสนใจโซเชียลมีเดียน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นที่แก่กว่า จากการศึกษาพบว่าผู้คนที่มีอายุช่วง 35 ถึง 49 จะใช้เวลา 6 ชั่วโมง 58 นาที ต่อสัปดาห์ในการท่องโลกโซเชียล ขณะเดียวกันกับกลุ่มของคนที่มีอายุ 18 ถึง 34 ปี จะใช้เวลาท่องโลกโซเชียล 6 ชั่วโมง 19 นาที ต่อสัปดาห์ ข้อมูลดังกล่าวนั้นเก็บมาจากผู้ใช้สมาร์ทโฟน 9,000 คน และผู้ใช้แท็ปเล็ตอีกว่า 1,300 คน ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน นอกจากนี้ผลการเก็บข้อมูลก็ทำให้ทราบว่าโซเชียลเน็ตเวิร์คนั้นจะนิยมใช้งานบนสมาร์ทโฟนมากกว่า โดย Facebook นั้นเป็นโซเชียลมีเดียที่มีผู้คนใช้งานมากที่สุด เป็นจำนวนกว่า 178.2 ล้านคนที่มีบัญชีใช้งานในช่วงเดือนกันยายนเพียงอย่างเดียว รองลงมาก็คือ Instagram 91.5 ล้านบัญชีผู้ใช้ ตามมาด้วย…
-
ขยับเข้าไปอีกขั้น!! งานวิจัยใหม่ค้นพบแล้วว่า ‘แมว’ มีความฉลาดเท่าๆ กันกับ ‘หมา’
เป็นคำถามที่ค้างคาใจเหล่าคนรักสัตว์มานานนับหลายพันปี กับคำถามที่ว่า “หมากับแมวอันไหนฉลาดกว่ากัน?” บางคนก็บอกว่าแมวเพียงแต่พวกมันแค่หยิ่งเฉยๆ บางคนก็บอกว่าหมาสังเกตได้จากปฏิกริยาตอบรับเวลาที่เราเล่นด้วย แต่ล่าสุดมีนักวิจัยจากญี่ปุ่นได้ค้นพบแล้วว่า จากผลการทดสอบในหลายๆด้าน ยิ่งชี้ให้เห็นชัดขึ้นว่า ‘แมว’ มีความทรงจำเท่ากันกับ ‘หมา’ แล้วนะพวกเธอทั้งหลาย งานวิจัยดังกล่าวได้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการ ‘Behavourial Processes’ โดยทีมวิจัยได้นำแมวที่ถูกเลี้ยงโดยมนุษย์ทั้งหมด 49 ตัว เพื่อทำการทดสอบ และพบว่าพวกมันสามารถจดจำประสบการณ์ต่างๆที่ชื่นชอบได้ดี เช่นอาหารที่โปรดปราณ หรือสิ่งที่มนุษย์ทำให้มันรู้สึกชอบ เป็นต้น จากการทดสอบทีมวิจัยได้สังเกตเห็นว่า พวกมันสามารถจดจำได้ว่าชามใดที่ใส่อาหารที่เพิ่งกินเข้าไป และชามใดที่ใส่อาหารที่ยังไม่ได้กิน หลังจากเวลาผ่านไปได้เพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเจ้าแมวเหมียวสามารถจำข้อมูลเกี่ยวกับชามอาหารว่าสิ่งนั้นคืออะไร? และที่ไหน? ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นแล้วการทดสอบดังกล่าวยังพบว่า ‘แมว’ มีความสามารถในการตอบสนองกริยาท่าทางของมนุษย์ สีหน้า หรือแม้แต่อารมณ์ ได้ดีไม่แพ้ ‘หมา’ เลยล่ะ Saho Takagi หนึ่งในทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้อธิบายว่า “เราค้นพบแล้วว่าทั้งแมว และสุนัข ต่างก็ใช้ความทรงจำแบบเจาะจงเกี่ยวกับประสบการณ์เดี่ยวๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต นั่นอาจหมายความว่า พวกมันมีความจำโดยอาศัยเหตุการณ์คล้ายคลึงกับมนุษย์ และอีกสิ่งที่น่าสนใจก็คือ… แมวเหมียวอาจจะชอบนึกถึงประสบการณ์ในอดีต เหมือนมนุษย์เราก็เป็นได้” …
-
นักวิจัยเผยการนอนดึกเป็นสัญญาณของคนฉลาด มีแนวโน้มประสบความสำเร็จมากกว่า…
เมื่อพูดถึง ‘การเข้านอนดึกตื่นสาย’ เพื่อนๆ หลายคนคงจะเข้าใจกันดีว่ามันเป็นนิสัยของคนขี้เกียจ แต่จริงๆ แล้วมันอาจไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป เพราะการที่เรานอนดึกนั้นมันบ่งบอกสัญญาณบางอย่าง จากงานวิจัยล่าสุดบ่งบอกว่าคนที่นอนดึกจะมีความฉลาดและประสบความสำเร็จมากกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไป งานวิจัยชิ้นนี้มีชื่อว่า Why Night Owls Are More Intelligent จากการศึกษาพบว่าคนที่เข้านอนช้ากว่าปกติ มีแนวโน้มว่าจะมีความเฉลียวฉลาดมากกว่าคนที่ชอบเข้านอนเร็ว เท่านั้นยังไม่พอยังพบอีกว่าเด็กๆ ที่เข้านอนดึกจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความฉลาดมากกว่าเด็กปกติทั่วไป ผลสรุปในงานวิจัยจะพบว่าความฉลาดของผู้คนนั้นมีการวิวัฒนาการขึ้นมาเรื่อยๆ จากที่บรรพบุรุษของเราจะมีวัฒนธรรมการเข้านอนเร็วแล้วตื่นเช้าเป็นปกติ ซึ่งปัจจุบันมันได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เพราะต้องรับกับความเจริญที่เข้ามาในสังคม เท่านั้นยังไม่พอการนอนดึกก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับความฉลาดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งร่ำรวยอีกด้วย ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย University of Madrid ได้ทำการเก็บข้อมูล จากวัยรุ่นเป็นจำนวน 1,000 คน และพบว่าคนที่มีนิสัยชอบนอนดึกจะมีความเกี่ยวข้องกับความฉลาด ส่งผลให้แต่ละคนมีหน้าที่การงานที่ดีกว่า และมีรายได้มากกว่าคนที่นอนเร็ว ถึงแม้ว่าคนนอนเช้าจะมีผลการสอบ หรือผลการเรียนที่ดีกว่า แต่บางทีอาจเป็นเพราะว่าระบบการเรียนการสอนนั้นเอื้อให้กับเหล่าคนนอนเช้ามากกว่า หากลองเปลี่ยนหลักสูตรมาเป็นตอนกลางคืน อาจทำให้คนที่นอนดึกมีผลคะแนนที่มากกว่าก็เป็นได้ บางทีการนอนดึกตื่นสายก็เป็นอะไรที่ไม่เลวเหมือนกันนะเนี่ย… ที่มา : dailymail
-
ผลการวิจัยค้นพบ การโกน “ขนหมออ้อย” เพิ่มความเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
เคยไหม!? ที่บางทีจู่ๆ ก็นึกรำคาญขนที่ขึ้นบริเวณที่ลับ จนหลายคนคิดอยากจะถอนรากถอนโคนมันออกไปให้หมดสิ้น แต่ถ้าหากคุณได้อ่านเรื่องราวดังต่อไปนี้ เชื่อว่าจะต้องตัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปทันทีแน่นอน เพราะล่าสุดผลวิจัยได้เผยออกมาแล้วว่า การโกนขนในที่ลับ ถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์มากขึ้น ทางบทความที่ตีพิมพ์จากทางสารสาร Journal of Sexually Transmitted ได้เผยคำสัมภาษณ์ของผู้คนอเมริกาเกี่ยวกับพฤติกรรมการตัดแต่งขนพวกพวกเขาพบว่า ผู้คนร้อยละ 80 มักจะมีการโกนขน ซึ่งจะมีโอกาสเป็นโรค STI มากกว่าผู้ที่ไม่ได้โกนขนเลย สำหรับ STI เป็นกามโรคที่เกิดจากการติดเชื้อโรคจากการมีเพศสัมพันธ์ทั้งทางปาก ทวารหนัก หรือช่องคลอดกับคนที่ติดเชื้อ ซึ่งมีหลายชนิดของเชื้อโรค โดยมีทั้งหมด 3 ชนิดที่พบบ่อยที่สุดคือ หนองในเทียม, เริมที่อวัยวะเพศ และหนองในแท้ นอกจากนี้ยังพบอีกว่า พวกเขามักจะทำการโกนขนในที่ลับของตัวเองมากกว่า 11 ครั้งต่อปี บางคนก็โกนเป็นรายวัน-รายสัปดาห์ ซึ่งมันอาจจะมีความเสี่ยงเป็นโรคดังกล่าวมากขึ้นกว่าเดิม หากสังเกตไปรอบๆ ตัว เราจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันผู้ชายมักจะกันมาดูแลตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดูแลรูปร่าง รักความสะอาด หันมาออกกำลังกาย เพื่อเรียกกระแสกันอยู่ในโลกโซเชียล จนถูกเรียกเป็นคำนิยามใหม่ว่า “Spornosexual” ขึ้นมา และถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี ความจริงแล้วมันอาจจะมีด้านมืดซ่อนอยู่ก็เป็นได้ จากผลการวิจัยพบว่า…
-
งานวิจัยเผย ‘หมาน้อย’ เข้าใจเสียงพูดงุ้งงิ้งแบบที่พูดกับเด็ก มากกว่าเสียงพูดในโทนปกติ
หลายๆ ครั้งที่เวลาเราเล่นกับเหล่าหมาน้อยแล้วมักจะพูดกับมันไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าพวกมันจะเข้าใจในสิ่งที่เราพูดไปหรือไม่ แต่จากงานวิจัยชิ้นใหม่ได้เผยว่าเหล่าหมาน้อยน่ารักนั้นจะสามารถเข้าใจในสิ่งที่เด็กๆ พูดได้มากกว่าคำพูดของผู้ใหญ่อย่างเราๆ… ผลการศึกษาวิจัยชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์ Proceedings of Royal Society B ได้แสดงผลลัพธ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลกระทบของการพูดในโทนเสียงต่างๆ กับเหล่ามะหมาที่มีอายุแตกต่างกันออกไป การศึกษาได้ดำเนินการโดยให้อาสาสมัครผู้หญิงหลายคนมาทำการอัดเสียงเป็นคำพูดไว้ว่า “สวัสดี, ว่าไงเจ้าหมาน้อย, ใครเป็นเด็กดีเอ่ย?, มานี่เร้ววว, เก่งมากกก, มานี่เร็วเด็กน้อยน่ารัก, เก่งมากเลยนะเนี่ยเจ้าหมา” กับรูปภาพหมาที่อยู่ในวัยเด็ก หมาวัยรุ่น และหมาแก่ และกับมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งโทนเสียงก็ได้มีการเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อพูดคุยกับคนปกติ ส่วนกับเหล่ามะหมาในช่วงวัยที่แตกต่างกันเองก็จะมีความแตกต่างกันด้วยเช่นกัน ซึ่งแต่ละคนก็จะมีค่าเฉลี่ยของระดับเสียงที่สูงขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์ดังนี้ 13 % สำหรับภาพหมาแก่, 11 % สำหรับภาพหมาวัยรุ่น, และกระโดดขึ้นไปเป็น 21 % กับภาพหมาเด็ก จากนั้นทีมงานนักวิจัยก็จะนำเสียงเหล่านี้ไปเปิดผ่านเครื่องกระจายเสียงในสถานสงเคราะห์สัตว์ใน New York City ผลปรากฎว่าหลังจากเปิดเสียงไปแล้วลูกหมาเป็นจำนวนมากจะวิ่งตรงดิ่มาที่ลำโพงและนั่งอยู่แถวนั้นต่อเป็นระยะเวลาประมาณหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นปฏิกิริยาตอบโต้ต่อเสียงที่บันทึกให้กับลูกหมา มีผลมากกว่าเสียงที่บันทึกให้กับคนด้วยกัน เพราะเหล่าลูกหมาจะนั่งอยู่บริเวณลำโพงนานกว่า หมาวัยรุ่นนั้นจะมีปฏิกิริยาเหมือนกันกับเสียงบันทึกให้กับหมาวัยรุ่น และกับคน ก็คือถูกเมิน พวกมันจะหันมามองยังลำโพงจากนั้นก็กลับไปทำกิจกรรมที่มันกำลังทำอยู่ก่อนหน้านี้ต่อ…
-
งานวิจัยเผย สำหรับเด็กๆ ที่ชื่นชอบ Harry Potter มีแนวโน้มที่จะเติบโตเป็นคนมีจิตใจดี!!
สำหรับคนที่ชื่นชอบนิยายเรื่อง ‘Harry Potter’ แล้วจะรู้กันดีว่าด้วยเนื้อเรื่องที่มีเสน่ห์ และตัวละครแต่ละตัวที่เป็นเอกลักษณ์แถมยังได้ข้อคิดอะไรดีๆ อีกมากมาย จึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดถึงถูกยกเป็นนวนิยายเยี่ยมยอดตลอดกาล เท่านั้นยังไม่พอยังมี งานวิจัย ทางด้านจิตวิทยาประยุกต์ออกมายืนยันอีกว่าสำหรับเด็กๆ ที่อ่านนวนิยาย Harry Potter นั้นจะช่วยให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเป็นคนที่มีจิตใจดี งานวิจัยได้เปิดเผยว่าเด็กๆ ที่อ่านนวนิยายเรื่อง Harry Potter นั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นคนที่ใจกว้างพร้อมเปิดใจรับสิ่งต่างๆ และมีอคติกับเหล่าเหล่าชนกลุ่มน้อยน้อยมาก ในงานวิจัยได้ทำการศึกษาจากกลุ่ม เด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่ค่อนๆ ไปทางหนุ่มหน่อย ที่เป็นนักเรียนอยู่ในชั้นมัธยมต้น มัธยมปลาย และนักศึกษามหาวิทยาลัย โดยให้ทำการตอบคำถามเกี่ยวกับมุมมองของพวกเขาที่มีต่อผู้อพยพ และในระหว่างการศึกษาเป็นเวลากว่า 6 สัปดาห์พวกเขาก็จะถูกชักชวนให้พูดคุยถึงเรื่องราวที่อยู่ในนิยายอีกด้วย ผลปรากฏว่านักเรียนที่มีความชื่นชอบในตัวละครหลักอย่าง ‘Harry Potter’ นั้นจะมีมุมมองที่ดีต่อเหล่าผู้อพยพ และเปิดใจยอมรับพวกเขา นั่นเป็นเพราะว่าจากเนื้อเรื่อง มุมมองของ Harry ที่มีต่อทุกคนและทุกสิ่งมีชีวิตที่เขาพบเจอในระหว่างการเดินทาง จะถูกเขาเปิดใจยอมรับ อีกทั้งยังมีความแน่วแน่ในความคิดของตนเอง จึงทำให้ผู้คนที่ชื่นชอบตัวละคร Harry นั้นมีแนวโน้มที่จะมีมุมมองและทัศนคติไปในทิศทางเดียวกัน และไม่ได้เพียงแต่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เท่านั้น แต่จากการศึกษายังสามารถสรุปรวมไปถึงกลุ่มความหลากหลายทางเพศอีกด้วย นอกจากนี้งานวิจัยยังเผยข้อมูลที่น่าสนใจถึงกลุ่มคนเป็นผู้ใหญ่ หากพวกเขาไม่ชอบ Voldermort…
-
สาวๆ ยิ้มเลย งานวิจัยต่างประเทศชี้ “สาวก้นใหญ่” มักจะมีสุขภาพที่ดีกว่า “สาวก้นเล็ก”
สาวๆ หลายคนเกิดมาพร้อมกับสัดส่วนช่วงล่างที่ออกจะใหญ่กว่าผู้หญิงทั่วไปสักหน่อย (เอ่อ #เหมียวฟิ้นหมายถึงก้นอะนะ) ทำให้ตกเป็นเป้าสายตา หรือหากางเกงใส่ได้พอดีตัวยากกว่าคนอื่นๆ แต่หลังจากนี้คุณจะภูมิใจได้แล้วนะ เพราะมีงานวิจัยออกมาว่าสาวก้นใหญ่มักมีสุขภาพที่ดีกว่าสาวก้นเล็กล่ะ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2016 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ Indy100 ได้นำเสนอผลงานของ Konstantinos Manolopoulos นักวิจัยและวิทยาศาสตร์จากศูนย์บำบัดรักษาโรคอ๊อกซ์ฟอร์ด ของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดและโรงพยาบาลเชอร์ชิล ที่ได้ทำการวิจัยค้นคว้า และพบว่าผู้หญิงที่มีก้นใหญ่มีความเป็นไปได้ว่าจะมีความฉลาดและมีภูมิค้มกันโรคเรื้อรังที่มากกว่าผู้หญิงก้นเล็ก เบื้องหลังการวิจัย การศึกษากลุ่มประชากรที่ถูกอ้างอิงในงานวิจัย พบว่าผู้หญิงที่ก้นใหญ่ มีระดับโคเลสเตอรอลที่ต่ำกว่าปกติ และสร้างฮอร์โมนที่เผาผลาญน้ำตาลได้มากกว่า มากกว่านั้น เนื้อเยื่อในไขมันที่ก้นและต้นขายังดักจับไขมันที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ด้วย ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด การที่เรามีก้นใหญ่นั้น มีส่วนช่วยฮอร์โมนในการควบคุมควบน้ำหนักและป้องกันอาการอักเสบของหลอดเลือด และป้องกันโรคเบาหวานได้ คุณสมบัติต่างๆ ของก้น จะส่งผลต่อกรดไขมันในระยะยาว ก้นใหญ่มีส่วนช่วยทำให้สติปัญญาดีขึ้น!? สำหรับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้นนั้น อันเนื่องมากจากไขมันโอเมก้า 3 ที่สะสมภายในบั้นท้ายนั่นเอง ซึ่งมีความจำเป็นต่อร่างกายตั้งแต่แรก ไขมันโอเมก้า 3 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีส่วนช่วยในการกระตุ้นพัฒนาการของสมอง งานวิจัยยังแสดงให้เห็นอีกว่าเด็กที่เติบโตมาพร้อมกับสะโพกที่ใหญ่นั้นจะมีความเฉลียวฉลาดมากกว่า และถ้าว่ากันแบบง่ายๆ มันก็ยังช่วยให้สาวๆ คลอดลูกได้ง่ายกว่าด้วย วารสารเกี่ยวกับโรคอ้วนที่ถูกเผยแพร่ในปี 2010 มีข้อสรุปว่า…
-
งานวิจัยจากญี่ปุ่นเผย ‘หมา & แมว’ มีอายุยืนขึ้นกว่าเดิม และจะมากขึ้นอีกในอนาคต!!
ก็อย่างที่เรารู้กันอยู่ว่าอายุขัยของเหล่าสัตว์เลี้ยงของเรานั้นจะอยู่ที่ประมาณ 10-20 ปี แต่จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นได้ค้นพบว่าในปัจจุบันอายุขัยของเหล่าสัตว์เลี้ยงทั้งหลายนั้นเพิ่มมากยิ่งขึ้น และ…. มีแนวโน้มว่าจะมากยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต จากงานวิจัยของ คณะการเกษตรและเทคโนโลยีมหาวิทยาลัย Tokyo University ได้คาดว่าอายุขัยโดยเฉลี่ยของเจ้าหมาและแมวเหมียวนั้นกำลังอยู่ในช่วงที่สูงที่สุด ซึ่งผลจากการสำรวจอายุขัยของเจ้าหมาในญี่ปุ่นนั้นจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 13.2 ปี มากกว่าอายุขัยเฉลี่ยของพวกมันเมื่อ 25 ปีก่อน ถึง 1.5 เท่า ส่วนเจ้าเหมียวนั้นก็สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงฉายา 9 ชีวิตของมันได้เป็นอย่างดีโดยมีค่าเฉลี่ยมากกว่าเมื่อ 25 ปีก่อนถึง 2.3 เท่า ด้วยค่าเฉลี่ย 11.9 ปี จากผลการสำรวจก็พบว่าเหล่าสัตว์เลี้ยงทั้งหลายนั้นมีชีวิตยืนยาวมากขึ้นเนื่องมาจากการเลี้ยงสัตว์ในบ้านกลายเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตของพวกมันดียิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องของอาหาร และการดูแลรักษาสุขภาพ อีกทั้งการฉีดวัคซีนเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกมันสามารถทนทานต่อโรคและการป่วย อันเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้พวกมันเสียชีวิตได้ และดูเหมือนว่าการฉีดวัคซีนนี้มันจะมีการพัฒนาการไปเรื่อยๆ อีกในอนาคต นอกเหนือไปจากนี้ จากการศึกษาวิจัยในปี 2014 พบว่า สัตว์เลี้ยงมากกว่าครึ่งในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะมีอายุอยู่ประมาณ 7 ปี หรือสูงกว่านั้น ที่เทียบได้กับคนอายุ 40 ปีเลยทีเดียว (ซึ่งตัวเลขนี้เองก็ไม่ห่างไกลจากค่าอายุเฉลี่ยของประชากรญี่ปุ่น คือ 46.5…
-
ทีมวิจัยจากฮังการีเผย เจ้าหมาน้อยสามารถเข้าใจในสิ่งที่เราพูดใส่มันได้จริงๆ!!!
เป็นปกติที่มนุษย์เราชื่นชอบที่จะคุยกับสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเวลาเสียใจ ดีใจ อกหัก หรือถูกหวย โดยที่เราก็ไม่รู้ว่ามันจะฟังคำพูดของเรารู้เรื่องรึเปล่า? เพราะคุยด้วยทีไรเจ้าสัตว์เลี้ยงก็มักจะทำหน้าตาเหลอหลา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทู๊กกที แต่คราวนี้วิทยาศาสตร์ได้ทำการวิจัย วิเคราะห์ วินิจฉัย และพิสูจน์ออกมาแล้วว่า เวลาที่เราคุยกับเจ้าหมานั้น..มันสามารถเข้าใจเราอยู่นะจ๊ะ!! เพราะตอนนี้กลุ่มนักวิจัยชาวฮังการี เพิ่งออกมาแถลงเมื่อไม่นานนี้ว่า จากการวิเคราะห์ผลการศึกษาแล้วพวกเขาพบว่า เจ้าสุนัขที่ถูกเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดกับมนุษย์มาตั้งแต่เด็กๆ สามารถประมวลผลในเรื่องของคำและเสียงได้ ในระดับเดียวกันกับมนุษย์เราเลย หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วเค้าทำการพิสูจน์อย่างไรล่ะ? วิธีการทดลองของทีมวิจัยในครั้งนี้ก็แสนจะง่ายดาย ขั้นแรกพวกเขานำลูกสุนัขจำนวนหนึ่งเข้ามาฝึกให้มันนั่งได้นิ่งๆ เป็นเวลา 7 นาทีในเครื่องสแกน MRI เพื่อตรวจดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับสมองของมัน เมื่อส่งเจ้าหมาน้อยเข้าสู่เครื่องสแกนสมองแล้ว ทีมวิจัยก็ลองทดสอบโดยการใช้คำพูดแบบเดียวกับที่เจ้าของมักจะพูดใส่มันบ่อยๆ ผลจากเครื่องสแกนยิ่งชี้ให้เห็นว่า สมองของสุนัขมีการตอบสนองแบบเดียวกับสมองของคน เมื่อได้ยินเสียงของคำที่มันมักจะได้ยินอยู่บ่อยๆ ซึ่งในภาพผลสแกนทำให้เราเห็นถึงการทำงานของสมองเจ้าตูบ สีเขียว คือบริเวณส่วนกลางของสมองซึ่งจะทำงานเมื่อมันได้ยินคำชมด้วยโทนเสียงของการกล่าวชมเชย และส่วนสีแดง คือบริเวณการทำงานในสมองของเจ้าตูบ ที่ชี้ให้เห็นว่ามันเข้าใจ และสามารถตอบสนองต่อคำพูดนั้นๆได้ด้วย ในเวลาที่เจ้าหมาได้รางวัลเป็นขนม หรือการลูบหัว สมองส่วนกลางจะตอบสนองแบบเดียวกับช่วงเวลาที่มันได้ทานอาหาร ได้ผสมพันธุ์ และการได้ยินคำพูดในเชิงบวกจากเจ้าของ “มันแสดงให้เราได้เห็นว่า สำหรับเจ้าหมาแล้ว การพูดชมเชยเป็นเหมือนดั่งรางวัลที่ดีอย่างหนึ่งของมัน และพวกสุนัขจะยิ่งรับรู้ได้ดีขึ้น…
-
งานวิจัย Harvard นานที่สุดในโลกเพื่อหา ‘ความสุข’ ที่แท้จริงของมนุษย์ ใช้เวลาทั้งสิ้น 75 ปี!!
พูดกันถึงเรื่องศึกษาค้นคว้างานวิจัยต่างๆ นั้นจะใช้เวลาค้นคว้ายาวนานซักแค่ไหนกัน? อาจจะเป็นซัก 10 ปี หรือ 20 ปี ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นจำนวนเวลาที่ยาวนานมากๆ สำหรับงานวิจัยซัก 1 ชิ้น แต่เชื่อมั้ยว่ามีงานวิจัยที่ใช้เวลาเยอะกว่านั้นเสียอีกแหนะ!! งานวิจัยที่ว่านี้คือ Harvard Study of Adult Development การศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาของผู้ใหญ่จากมหาวิทยาลัย Harvard ที่ใช้ระยะเวลาในการศึกษาค้นคว้าทั้งสิ้น 75 ปีเต็ม เปลี่ยนผ่านผู้ควบคุมงานวิจัยมาถึง 4 รุ่น!! โดยงานวิจัยชิ้นนี้ริเริ่มจากการติตามศึกษาชีวิตของวัยรุ่นชาย 2 กลุ่มคือนักศึกษาชายชั้นปีที่ 2 ของมหาวิทยาลัย Harvard 268 คน และวัยรุ่นชายอายุ 12 – 16 ปี เติบโตแบบตามมีตามเกิดในเมือง Boston ทั้งหมด 456 คนด้วยกัน ทุกๆ 2 ปี ทีมวิจัยจะให้ทั้ง…
-
ผลการศึกษาบอกว่า… เหล่าคน 10 ประเภทดังต่อไปนี้นี้ มักจะมีนิสัย ‘ชอบนอกใจ’ มากที่สุด!?
ในปัจจุบันมีงานวิจัยและการศึกษามากมายที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมขิงมนุษย์ โดยใช้วิธีการศึกษาด้วยการเก็บสถิติและสังเกตุการณ์ การศึกษานั้นครอบคลุมไปทั้งเรื่องของความรัก การใช้เงิน หรือแม้แต่การนอกใจ วันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปดูผลการศึกษาเกี่ยวกับคนที่มีแนวโน้มที่จะนอกใจมากที่สุด จะมีอะไรบ้างนั้นลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้าา… 1. คนที่เคยนอกใจมาก่อน (อ่ะแหนะ) จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย University of Alabama ในประเทศอังกฤษได้ผลลัพธ์ว่าคนที่เคยมีประวัติการนอกใจมาก่อนมักจะทำซ้ำอีกเป็นครั้งที่สองหรือสามสี่ หรือทำไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นรู้สินะว่าถ้าจับได้ครั้งแรกควรทำยังไง!?? 2. แฟนเพลง Rock-N-Roll เว็บไซต์อื่นๆ มากมายได้สรุปผลการศึกษาอย่างไม่เป็นทางการออกมาว่า 41% ของคนที่นอกใจมักจะเป็นแฟนเพลง Rock-N-Roll ส่วนแฟนเพลง Rap เป็นกลุ่มคนที่ซื่อสัตย์ที่สุด 3. คนที่มีอาชีพครู-ติวเตอร์ ถึงจะฟังดูแปลก แต่ก็มีการศึกษาออกมาจริงจากเว็บไซต์หาคู่ชื่อดังอย่าง Ashley Madison ได้ผลการศึกษาออกมาว่าคุณครู (โดยเฉพาะครูผู้หญิง) มีโอกาสที่จะนอกใจคู่รักมากกว่า 4. มีเงินเยอะ ชายที่ร่ำรวยมักจะมีแนวโน้มที่จะนอกใจมากกว่าปกติ 5. ผู้หญิงยากจน ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงยากจนมีโอกาสที่จะนอกใจคู่รักของตัวเอง นักชีววิทยาวิวัฒนาการชี้ว่ามันเกี่ยวข้องกับระบบพันธุกรรม และโอกาสในการก้าวหน้าทางสถานะทางการเงิน 6. ชาวฝรั่งเศส แบรนด์ของเล่นเซ็กส์ทอยชื่อดังอย่าง LELO ชี้ให้เห็นถึงผลการศึกษาว่า 75% ของชาวฝรั่งเศสยอมรับว่านอกใจคู่รักของตนเอง …
-
พาเบิกเนตร ข้อสังเกตง่ายๆ จากงานวิจัยสมัยใหม่ ว่าใครกำลังพยายาม ‘โกหก’ คุณ!!?
หนึ่งในเรื่องที่เราเซ็งสุดๆ ในชีวิต ในเหตุการณ์ต่างๆ ก็คงไม่พ้นเรื่องการถูก ‘โกหก’ นี่แหละ เพราะบางทีเสียเวลาไม่เท่าไหร่ เสียความรู้สึกนี่แหละเฟลสุดๆ ไปเลย ไม่ต้องกลัวกันละวันนี้ เพราะเหมียวจะพาเพื่อนๆ มาเบิกเนตร ข้อสังเกตง่ายๆ สำหรับคนที่กำลังพยายามจะโกหกคุณอยู่ ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์!!! ใครที่โดนบ่อยๆ มาลองอ่านกันดูนะจ๊ะ ข้อสังเกตว่าคนกำลังโกหกคุณอยู่ สำหรับในอดีต ที่หนังสือแล้วหนังสือเล่าอ้างอิงมา และรู้กันเกือบทุกคนนั่นก็คือ คนที่โกหกนั้นจะไม่กล้าสบสายตากับคุณตรงๆ แต่เรื่องนั้นมันเป็นอะไรที่ยูนเวอร์แซลมากๆ ใครๆ ก็รู้ ดีไม่ดีคนที่พยายามโกหกคุณจะจ้องตาคุณมากกว่าปกติซะอีก!!! นักวิจัยของทาง University of Michigan เลยได้ทำการทดลอง สังเกตพฤติกรรมจากกว่า 188 คลิปวิดีโอ ของเหล่าบรรดาเซียนโกหก ที่กำลังกระทำการหลอกลวงผู้อื่นอยู่ และแน่นอนทางมหาวิทยาลัยได้ทำงานร่วมกับ Innocence Project ด้วย (องค์กรไม่แสวงหากำไร ที่ช่วยเหลือผู้ที่ถูกจับเป็นแพะรับบาปเข้าคุกในคดีที่ไม่ได้ก่อ) โดยสังเกตพฤติกรรมของคนทั้งสองด้าน ที่พยายามโกหก และพยายามชี้แจงเรื่องจริงว่าพวกเขาไม่ได้โกหก!!! ผลออกมาว่าเหล่าผู้ที่พยายามที่จะโกหกให้แนบเนียนนั้น กลับจ้องตาเหยื่อมากกว่าปกติ แถมยังมีการใช้ไม้มือประกอบการพูด และอาการสุดท้ายที่สังเกตได้จากหลายๆ คนก็คือ การพยายามผงกหัวมากกว่าปกติ!!! จ้องตา…
-
งานวิจัยใหม่เบื้องต้นเผย ‘กัญชา’ ช่วยให้เด็กทารกในครรภ์มีสายตาที่ดีขึ้น!!?
ก็ถือว่าเป็นการค้นพบที่ค่อข้างขัดใจหลายๆ ฝ่ายเล็กน้อย เมื่อผลวิจัยใหม่พบว่า กัญชาสามารถทำให้ทารกในครรภ์ มีสายตาที่ดีขึ้นได้!!? นักวิจัยแห่ง University of Waterloo ได้ออกมาเผยให้รู้ถึงเรื่องราวนี้ แต่ไม่ใช่ว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องจะสูบกัญชากันเพื่อให้ลูกที่อยู่ในครรภ์สายตาดีนะจ๊ะ เพราะนั่นจะทำให้มีผลกระทบต่อการทำลายเซลล์สมองของเด็กโดยตรงเลยล่ะ กัญชาช่วยให้เด็กมีสายตาที่ดีขึ้น!!? ศาสตราจารย์ Ben Thompson แห่ง University of Waterloo กล่าวว่า ‘พวกเราค่อนข้างตกใจมากๆ เลยสำหรับผลวิจัยในเบื้องต้นนี้ เพราะผลวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่า กัญชาและแอลกอฮอล์ มีผลให้สมองเราสามารถประมวลภาพเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น’ ‘แต่กระนั้นนี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีงานวิจัยอื่นๆ เช่นกันที่ได้บอกว่า กัญชาจะทำให้สมองของเด็กเสียหายเสียมากกว่า’ เขากล่าวเสริม สรุปได้ก็คือกัญชาสำหรับเด็กทารกในครรภ์นั้น เป็นเหรียญที่มีสองด้าน เพราะถ้าแม่ที่ตั้งครรภ์สูบกัญชา จะทำให้เซลล์สมองของเด็กมีปัญหา แต่ว่าจะมีข้อดีคือทำให้สายตาของเด็กดีขึ้น จับภาพเคลื่อนไหวได้แม่นยำขึ้น ก็ถือว่าเป็นการค้นพบเบื้องต้นที่น่าสนใจเช่นกัน ในอนาคตอาจจะมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อกำจัดผลเสียของการใช้ และกลายมาเป็นสิ่งที่ใช้กันแพร่หลายในที่สุดอ่ะเนาะ ^^ ที่มา: Metro