Tag: จิตวิทยา
-
หนุ่มมีแฟนเป็น “โรคตื่นตระหนกและโรควิตกกังวล” จึงออกมาแชร์ 7 วิธีรับมือกับอาการ
ต้องยอมรับว่าความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการรับมือกับผู้ที่มี อาการทางจิต ของคนทั่วๆ ไปยังถือว่าน้อย หากว่าไม่ได้เป็นผู้ที่รับการศึกษาด้านนี้หรือเป็นผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับผู้ป่วยทางจิตมาก่อน ก็อาจรับมือได้ยากทีเดียว และวันนี้หนุ่มคนหนึ่งที่แฟนสาวของเขาเคยมีอาการของ โรคแพนิก และ โรควิตกกังวล ก็จะมาเขียนเล่าถึงวิธีการรับมือกับอาการตื่นตระหนกและวิตกกังวล ที่เขาได้เรียนรู้มาจากแฟนสาว สถิติจาก Anxiety and Depression Association of America เผยว่าในชาวอเมริกันกลุ่มโรควิตกกังวล (รวมโรคแพนิกด้วย) นั่นเป็นความเจ็บป่วยทางจิตที่พบบ่อยที่สุด กระนั้นกลุ่มโรควิตกกังวลนับว่าเป็นกลุ่มโรคที่รักษาได้ง่าย แต่ก็มีผู้ป่วยเพียง 36.9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เข้ารับการรักษา แล้วเราจะทำอย่างไรเมื่อพบว่าตัวเองหรือคนรอบข้างมีอาการของโรคแพนิกและโรควิตกกังวล ลองไปอ่านที่หนุ่มคนดังกล่าวเขียนอธิบายเอาไว้กันเลยดีกว่า… นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาการแพนิกจากแฟนของผม 1. พยายามอย่ากอดบ่อย มันใช้เวลานานมากนะกว่าแฟนผมจะรู้สึกดีขึ้นเวลาที่ถูกกอดให้ใจเย็นลง เพราะการกอดมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้หยุดตื่นตระหนก 2. เวลาที่พวกเขาไม่ตอบคุณไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สนใจคุณนะ แต่บางครั้งเป็นเพราะพวกเขายังไม่พร้อมคุยเท่านั้นเอง อาการแพนิกบางทีก็มาตอนทะเลาะกันนั่นแหละ หลายครั้งผมก็ใช้วิธีการเงียบใส่และมันผิดพลาดมาก อันที่จริงถ้าคุณอยากคุยแต่เขายังไม่อยากคุย ก็แค่ลองใช้นิ้วสะกิดพวกเขาเบาๆ ดู 3. หายใจให้ดังๆ เข้าไว้ คุณเคยได้ยินไหมว่าหากเรากอดหรือคลอเคลียกับใคร เราจะหายใจพร้อมๆ กันโดยอัตโนมัติ หรือหากมีใครมาสูดหายใจลึกๆ ใกล้ๆ คุณมันก็จะทำให้คุณอยากหายใจตามจังหวะของคนๆ นั้น เช่นเดียวกันเลย เมื่อพวกเขาเกิดอาการแพนิกและหายใจแรงแบบควบคุมไม่ได้ ให้คุณหายใจดังๆ ช้าๆ…
-
นักจิตวิทยาแบ่ง ‘ความรัก’ ออกเป็น 7 รูปแบบ แล้วความรักของคุณล่ะเป็นแบบไหน!?
‘ความรัก’ ถือเป็นสิ่งที่แสนสวยงาม ทุกคนบนโลกล้วนแล้วแต่ถูกหล่อเลี้ยงกันด้วยความรัก แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่าความรัก หากมองในมุมจิตวิทยาแล้วมันมีหลากหลายประเภทเลยล่ะ นี่คือ ‘รูปแบบของความรัก’ ที่ถูกจำแนกออกเป็น 7 ประเภทโดยนักจิตวิทยาวิทยาชาวอเมริกันที่มีชื่อว่า Robert Sternberg จะมีอย่างไรบ้างลองไปชมกัน… 1. ความหลงใหล เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องการความเข้าใจซึ่งกันและกัน คู่รักต่างก็ไม่มองหาจุดเหมือนหรือจุดต่าง แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ด้วยกัน อย่างไรก็ตามรูปแบบความรักแบบนี้จะไม่ยั่งยืนและมั่นคง หลายๆ คู่มักจะเลิกกันไปหากมีความรักแบบนี้ให้แก่กัน 2. ความชอบ ในรูปแบบความสัมพันธ์นี้คุณจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ คู่รักจะถูกยึดติดกันด้วยคนสนใจทั่วๆ ไป อย่างเช่น มุมมองต่อชีวิต และความรู้สึกที่ถูกใครคนใดคนหนึ่งเข้าใจ อย่างไรก็ตามหากคู่รักคู่ไหนที่อยู่ในรูปแบบความสัมพันธ์นี้สุดท้ายจะจบลงที่การเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากกว่าที่จะเป็นคนรัก 3. ความรักที่ว่างเปล่า คู่รักที่เคยประสบกับความรักแบบนี้จะอยู่ด้วยกันเพียงเพราะว่ามีข้อผูกมัด โดยที่ไม่มีสนิทใกล้ชิดหรือความใคร่หลงเหลืออยู่เลย ซึ่งบางครั้งมันอาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งสองคนต่างก็รักกันไปจนถึงจุดที่อิ่มตัวมากๆ แต่แล้วจู่ๆ มันก็จะจางหายไป แต่ในทางกลับกัน คู่รักที่เคยประสบกับความรักแบบนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากได้รับการเติมเต็มทางด้านความรู้สึก และความใคร่ให้กันได้ 4. ความรักที่เป็นเพียงภาพลวงตา ความรักแบบนี้จะมีทั้งข้อผูกมัดและความใคร่ต่อกัน เหมือนกันกับความรักที่เกิดขึ้นกับคู่รักทั่วๆ ไป…
-
นักจิตบำบัดใช้ประสบการณ์ของตน เสียดสีพฤติกรรมมนุษย์ด้วย “หน้าปก” หนังสือ
หลายครั้งที่เราเข้าไปยังร้านขายหนังสือ เราก็จะเห็นหนังสือต่างๆ ที่เป็นประเภทสอนให้ใช้ชีวิตหรือแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตด้วยตนเอง หารู้ไม่ว่าเหล่านักจิตบำบัดทั้งหลายยังมองว่าหนังสือประเภทนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าใดนัก เพราะมันทำสำเร็จได้ยาก แต่นักจิตบำบัด Johan Deckmann ทำบางอย่างออกมาได้น่าสนใจยิ่งนัก เขาได้วิเคราะห์พฤติกรรมของมนุษย์และเขียนออกมาเป็น “ชื่อของหนังสือ” เชิงสอนแก้ไขปัญหาและดำเนินชีวิต และมันก็กลายเป็นมุกตลกเสียดสีสังคมมนุษย์ไปเสียอย่างนั้น และแม้ว่าชื่อหนังสือของ Deckmann จะอยู่ระหว่างมุกตลกกับมุกเสียดแทงพฤติกรรมมนุษย์ แต่การเล่นสีและตัวอักษรกลับเรียบง่าย จึงทำให้ผู้อ่านอ่านแล้วสะท้อนภาพของตัวเองออกมาว่ามีพฤติกรรมแบบนั้นจริงหรือไม่ ลองมาดูชื่อหนังสือของ Deckmann กันเลยดีกว่าว่าจะมีหนังสือเรื่องอะไรบ้าง… 1. วิธีการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วด้วยการลดมาตรฐานของคุณลง 2. วิธีใช้ชีวิตคู่กับคนที่ไม่ใช่เพราะดีกว่าต้องเป็นโสดลำพัง 3. ฉันในโลกโซเชียลมีเดีย (เล่มใหญ่) ตัวฉันจริงๆ (เล่มเล็ก) 4. ทำยังไงให้แยกน้ำเปล่ากับว้อดก้าไม่ออก 5. วิธีการใช้ชีวิตของตัวคุณเองให้เป็นไปตามคำนิยามจากผู้อื่นว่าคุณเป็นอย่างไร 6. วิธีการเพิ่มพูนมูลค่างานศิลป์ของคุณด้วยการลาโลก 7. เงียบอย่างไรให้ผู้อื่นคิดว่าคุณฉลาด 8. วิธีการก่อความผิดพลาดแบบเดิมซ้ำๆ แต่ยังคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง 9. วิธีสร้างความพึงพอใจในสิ่งธรรมดา ทั้งที่ทุกสิ่งที่ต้องการมันเกินคำว่าธรรมดาไปเยอะเลย 10. วิธีการสร้างกำแพงกั้นเพื่อไม่ให้คนอื่นเข้ามาทำความรู้จักคุณ…
-
การทดลองวิปริตจากสแตนฟอร์ด ให้อาสาสมัครมาเล่นคุกจำลอง หลงอำนาจจนเกินขอบเขต!!
จากทดลองในอดีตสุดโด่งดังของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ถูกกล่าวขานว่าเป็นการทดลองทางจิตวิทยาที่รุนแรงเกินควบคุมได้ เนื่องจากผู้เข้าร่วมทดลองเกิดอาการ ‘อิน’ ขั้นรุนแรง การทดลองดังกล่าวนั้นเป็นการทดสอบแนวคิดทางด้าน อำนาจ การควบคุม และความสมานฉันท์ โดยเป็นการทดลองของนาย Philip Zimbardo ซึ่งเขาเปิดเผยว่าการทดลองทั้งหมดเป็น ‘การแสดง’ แทบทั้งสิ้น การทดลองคุกจำลองของนาย Zimbardo นั้นเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังสือเรื่องแต่งมานานหลายปี เนื่องจากการทดลองดังกล่าวนั้นกลายมาเป็นสิ่งที่เหนือการควบคุม การทดลองได้นำอาสาสมัคร 24 คน มาจองจำไว้ในคุกจำลองชั้นใต้ดินของอาคารภาควิชาจิตวิทยาในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด อาสาสมัครทั้งหมดได้รับการประเมินสภาพจิตใจมาก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อไม่ให้ผู้มีปัญหาทางจิตหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงและเล่นยามาเข้าร่วม และพวกเขาเหล่านั้นก็ถูกแบ่งฝ่ายให้เป็นนักโทษและผู้คุมขัง ฝ่ายนักโทษก็ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนักโทษจริงๆ ผู้คุมขังปลดทรัพย์สินของฝ่ายนักโทษทั้งหมด และจัดแจงหมายเลขนักโทษให้แต่ละคน นำตัวไปคุมขังไว้ในห้องตลอดทั้งวัน จากการเปิดเผยในเอกสารการทดลอง ฝ่ายผู้คุมขังนั้นได้รับชี้แจงว่า อนุญาตกระทำการใดๆ ก็ตาม ที่มีความจำเป็นเพื่อรักษากฎระเบียบภายในคุก ตลอดการทดลองคุกจำลอง ทั้งสองกลุ่มต่างเข้าถึงบทบาทของตัวเอง ‘มาก’ จนเกินไป ผู้คุมเริ่มกลั่นแกล้ง ทำร้าย ทุบตี ไม่ใยดีฝ่ายนักโทษ และนักโทษก็เริ่มมีอาการบ้าคลั่ง ควบคุมตัวเองไม่อยู่ภายใต้ความกดดันจากผู้คุม …
-
มาดูสาเหตุของ 8 พฤติกรรม “จิตๆ” ของมนุษย์ที่ทำไปเป็นประจำโดยไม่รูตัว
คนเราบางครั้งก็ทำอะไรแปลกๆ เช่น ลานจอดรถตั้งกว้าง ทำไมต้องเลือกไปจอดติดกับรถคันใดคันหนึ่งด้วยนะ? อะไรทำนองนี้เป็นต้น ซึ่งบางครั้งมาคิดดูแล้วก็อธิบายไม่ค่อยได้เหมือนกัน แต่วันนี้ ทุกท่านอาจจะต้องตกใจเพราะว่าคำอธิบายอาการเหล่านี้จะทำให้ทุกคนรู้ว่า ตัวเองก็มีแปลกๆ ที่เกี่ยวกับ อาการทางจิตและสมอง กับเขาเหมือนกัน เราไปดูกันเถอะว่ามีพฤติกรรมแปลกๆ แบบไหนบ้างที่คนเราทำโดยอธิบายไม่ได้ แล้วผู้เชี่ยวชาญเขาอธิบายเหตุผลของพฤติกรรมเหล่านั้นกันว่าอย่างไรบ้าง… 1. ทำไมต้องเบาเพลงหรือปิดเพลงเมื่อกำลังขับรถอยู่บนเส้นทางที่ไม่เคยไป? บางคนก็จะเริ่มเงียบ ลดการพูดคุย เบาเพลง หรือปิดเพลงไปเลย เพื่อโฟกัสกับเส้นทางข้างหน้าไม่ให้หลง ซึ่งไอ้พฤติกรรมแบบนี้ก็มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เรียบร้อยแล้ว Dr. Steven Yantis ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและสมองแห่งมหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ อธิบายว่า ในยามที่เราฟังเพลงหรือฟังเสียงสนทนาต่างๆ สติของเราจะรับข้อมูลภาพและเส้นทางน้อยลง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเราถึงเบาเสียงต่างๆ ลงเพื่อโฟกัสกับเส้นทางที่ไม่คุ้นชิน ที่มา: https://sharpbrains.com/blog/2006/11/11/why-do-you-turn-down-the-radio-when-youre-lost/ 2. ทำไมเวลาพูดคุยเราถึงต้องขยับไม้ขยับมือ? ศาสตราจารย์ Andrew Bass จากมหาวิทยาลัยคอร์เนล พบในงานวิจัยของเขาว่าการโยกไม้โยกมือขณะพูดคุยตามสัญชาติญาณของมนุษย์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการวิวัฒนาการ เมื่อลองสืบย้อนกลับไปถึงเรื่องของสมองพบว่าสัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีการใช้สัญญาณสื่อสารทางร่างกายที่พัฒนามาจากสมองส่วนหลังของปลา จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อพูดคุยสื่อสารจึงมีท่าทางของมือติดไปด้วย ที่มา: https://www.eurekalert.org/pub_releases/2013-07/sfeb-wdw062813.php 3. ทำไมต้องจอดรถใกล้กับคันอื่น ขณะที่ลานจอดรถก็ออกจะโล่ง? อันที่จริงมันเป็นสัญชาติญาณการอยู่รวมกลุ่มและการเข้าสังคมของมนุษย์ Rob Henderson ผู้ช่วยวิจัยจากมหาวิทยาลัยเยล ลองค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วพบหลายสาเหตุที่มนุษย์มักเข้าร่วมกลุ่มสังคม…
-
8 เรื่องน่ารู้ ที่จะทำให้การสนทนาของคุณประสบความสำเร็จมากขึ้น ตามหลักจิตวิทยา
เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาคนบางคนพูด เราถึงได้รู้สึกว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นมันช่างน่าสนใจ หรือเวลาอาจารย์หยุดพูดเสียกลางคัน เสียงในห้องเรียนถึงได้เงียบลงอย่างไม่น่าเชื่อ… เรื่องราวเหล่านั้นเป็นเรื่องที่อธิบายได้ในทางจิตวิทยา และบ่อยหลังที่การกระทำที่เราคิดว่าเราทำไปโดยไม่รู้ตัวนั้นจะมาจากการใช้จิตวิทยาของอีกฝั่งก็เป็นไปได้ อะไรแบบ 8 จิตวิทยาต่อไปนี้ ที่จะทำให้คุณสามารถควบคุมการสนทนาได้ดีขึ้น และนำไปสู่ความสำเร็จในการสื่อสารมากกว่าที่เคยเป็นมาก็เป็นได้ เมื่อกลุ่มคนหัวเราะพร้อมๆ กัน พวกเขาจะมองไปที่คนที่พวกเขาสนิทที่สุด เคล็ดลับนี้สามารถทำให้คุณสังเกตความสัมพันธ์ในกลุ่มได้เป็นอย่างดี คุณจะสามารถบอกได้ว่าสมาชิกในทีมของคุณเชื่อมโยงกันแบบไหน ไม่แน่นะคุณอาจจะจับได้ว่าใครในกลุ่มแอบเดตกันอยู่ หรือใครแอบชอบใครได้เลยด้วย การที่ใครทำอะไรให้คุณ มันจะทำให้เขาชอบคุณมากขึ้น ฟังดูแปลกใช่ไหมล่ะ แต่เวลาที่คุณสามารถโน้มน้าว (ไม่ใช่บังคับนะ) ให้ใครทำอะไรให้คุณได้ พวกเขาจะหาเหตุผลที่พวกเขาทำสิ่งที่คุณขอโดยไม่รู้ตัว อะไรอย่าง ฉันอยากช่วยเขานะ หรือ เขาดูเป็นคนดีคงไม่เป็นคนลืมบุญคุณหรอก ซึ่งนั่นจะทำให้ภาพลักษณ์ของคุณในหัวพวกเขาดูดีขึ้นด้วยนั่นเอง สิ่งสำคัญคือเขาต้องทำมันด้วยความตั้งใจของตัวเอง ดังนั้นการโน้มน้าวที่ว่าจึงต้องไม่ใช่การขู่หรือบังคับเด็ดขาด ความเงียบจะทำให้ได้คำตอบ เมื่อคุณถามคำถามกับคนอื่น และพวกเขาตอบช้ามากๆ แทนที่จะถามซ้ำๆ ลองเงียบดูสิ ช่วงเวลาแห่งความเงียบทำให้คนรู้สึกราวกับว่าพวกเขาควรจะพูดอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเขาถูกถามอะไรสักอย่างอยู่ การผายมือจะสร้างความเชื่อถือได้ เนื่องจากท่าทางการผายมือ แทนที่จะชี้บอกทิศทางด้วยนิ้ว บ่งบอกถึงความไว้วางใจ ทำให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณกำลังพูด และคิดว่าคุณเป็นมิตร ในทางกลับกันการชี้จะถูกเห็นว่าเป็นการก้าวร้าว และไม่สุภาพ การพยักหน้าในระหว่างการพูดคุย จะทำให้อีกฝ่ายเห็นด้วยกับคุณมากขึ้น คนมักจะทำตามภาษากายของคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัว เพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายรู้สึก ดังนั้นเมื่อคุณพยักหน้าศีรษะขณะที่คุณพูด คุณจะแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นเป็นความจริง…
-
มีปากเสียงอย่างไรให้ “จบสวย” กับคำแนะนำ 10 ประการสำหรับรับมือกับ “การทะเลาะ”
การทะเลาะ หรือการมีปากเสียงกัน ย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก เพื่อน หรือแม้แต่คนครอบครัว แต่แน่นอนว่าไม่มีใครอยากทะเลาะกันนานๆ หรอก ดังนั้นเมื่อมีปากเสียงเกิดขึ้นเราก็ควรจะจัดการให้มันจบอย่างสวยงามที่สุด แต่เราจะจบมันอย่างไรให้ออกมาดีที่สุดล่ะ? เราจะรับมือกับอารมณ์โกรธเกรี้ยวที่เกิดขึ้นได้อย่างไร? การศึกษาทางจิตวิทยามีคำตอบ นักจิตวิทยาจึงแนะนำ 10 พฤติกรรมที่ควรทำ เมื่อต้องรับมือกับการทะเลาะ มีปากเสียง หรือความโกรธ บางข้ออาจดูไม่สมเหตุสมผล แต่เชื่อเถอะว่ามันมีประสิทธิภาพ 1. ต้องใจเย็นและคิดให้รอบคอบ จำไว้เลยว่า เมื่อคนใดคนหนึ่งโกรธ นั่นไม่ใช่ความผิดของเขา แต่มันคือความผิดของ สภาวะอารมณ์ ต่างหาก พยายาม ใช้ความใจดีและใจเย็นเข้าสู้ แสดงออกให้เขาเห็นว่าเราอยากช่วยให้เขาผ่านพ้นอารมณ์แย่ๆ นี้ไปได้ แต่!! ห้ามพูดว่า “ฉันอยากช่วยเธอนะ” เป็นอันขาด เพราะมันฟังดูเหมือนคุณอยู่เหนือกว่าเขา ทางที่ดีคือควรลดความสำคัญของตัวคุณเองลง และพยายามทำความเข้าใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น 2. ควบคุมอารมณ์ของตัวคุณเอง อารมณ์ทางลบจะทำอะไรคุณไม่ได้ เว้นแต่คุณจะปล่อยให้ ความโกรธเข้าครอบงำ เวลาเจอคนโกรธหรือโมโห พยายามอย่าคล้อยตาม อย่าโกรธหรือโมโหไปด้วย ทำใจให้เย็นเข้าไว้ 3. ทำความเข้าใจปัญหา …
-
10 แนวคิดจิตวิทยา ที่สามารถนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ใน ‘ชีวิตประจำวัน’ ได้
ว่าด้วยเรื่องของ ‘จิตวิทยา’ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ดูเข้าใจยากสำหรับคนธรรมดาที่ไม่ได้เรียนมาโดยตรง แต่สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมบทความน่าสนใจของเว็บไซต์ Brightside ที่นำแนวคิดทางจิตวิทยาที่สามารถนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตประจำวันของเพื่อนๆ ได้ จะมีอะไรบ้างลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… 1. ความมั่นใจในตัวเองสำคัญกว่ารูปลักษณ์ภายนอก จาก การศึกษา หลายงานแสดงให้เห็นว่าผู้ชายที่มีความมั่นใจ และชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการมีหน้าตาที่หล่อเหลา และสามารถเอาชนะใจสาวๆ ได้มากกว่าด้วยล่ะ นอกจากนี้ยังมี งานวิจัย ระบุเอาไว้อีกว่าคู่รักที่ประกอบไปด้วยผู้หญิงสวย ผู้ชายดูดีน้อยกว่า จะมีแนวโน้มประสบความสำเร็จเรื่องชีวิตคู่มากกว่าคู่ที่ประกอบไปด้วยผู้ชายหล่อกับผู้หญิงที่สวยน้อยกว่า หรือคู่ที่มีหน้าตาดูดีเท่าๆ กัน 2. ผู้ชายจะฟังผู้หญิงพูดเพียงแค่ 6 นาทีเท่านั้น งานวิจัย ได้ระบุเอาไว้ว่าผู้ชายนั้นเป็นคนที่เลือกฟัง พวกเขาจะตั้งใจฟังคู่รักของตัวเองพูดเพียงแค่ 6 นาทีเท่านั้น แต่หากเทียบการพูดคุยกับเพื่อนๆ พวกเขาจะตั้งใจฟังเป็นเวลา 15 นาที แต่ก่อนที่จะไปต่อว่าหนุ่มๆ ทั้งหลาย งานวิจัยก็ได้ระบุเอาไว้ว่าสาวๆ น่ะใช้เวลาตั้งใจฟังเพื่อนของเธอนานกว่ายิ่งกว่านั่งฟังคนรักของตัวเองพูดมากกว่ากรณีของผู้ชายซะอีก 3. การเขียนสิ่งที่คุณกำลังคิดลงไปในกระดาษสามารถระบายความเครียดได้ดีกว่าการกิน มี งานวิจัย มากกว่าหนึ่งงานระบุเอาไว้ว่าการเขียนเรื่องราวที่ทำให้คุณรู้สึกอึดอัดใจ จะช่วยยกระดับอารมณ์ของคุณ แถมยังช่วยลดความกังวล และช่วยให้คุณเป็นอิสระจากอาการซึมเศร้า แต่กลับกันถ้าหากคุณแก้ปัญหาเรื่องความเครียดด้วยการกิน มี การศึกษา ระบุเอาไว้ว่ามันไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย แถมยังแย่ลงด้วยซ้ำ…
-
แนะนำ 10 ภาพยนตร์สำหรับสายจิต ส่วนผสมของความโหดและดิบ ลุ้นระทึกทุกลมหายใจ…
ภาพยนตร์ที่กำลังดังระเบิดในโรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่ จะเป็นแนวที่ผู้ใหญ่ดูได้ และเด็กก็ดูดี สนุกสนานตามประสาสื่อบันเทิงระดับสากล มีฉากแอกชั่นที่สนุก เรื่องราวชวนติดตาม แต่อีกหนึ่งแนวภาพยนตร์ที่เหมาะกับคนเฉพาะกลุ่มสุดๆ นั้น อย่างภาพยนตร์แนวจิตๆ ก็คงเป็นที่น่าสนใจเช่นกัน แต่น้อยคนนักที่จะใจกล้าใจแข็งดูได้จนจบ เนื่องจากมีความน่ากลัว ภาพของเลือด การฆาตกรรม และอื่นๆ ที่เป็นการกระทำอันรบกวนจิตใจ หากใครอยากจะลองเปลี่ยนแนวหนังที่ตัวเองชอบ เปิดใจรับความดิบเถื่อนเข้าสู่สายตา ภาพยนตร์แนวจิตวิทยาระทึกขวัญเหล่านี้ รับรองว่าพวกมันจะสนองต่อความก้าวร้าวในใจของท่านได้อย่างแน่นอน เอาเป็นว่าเรามาดูกันเถอะ แต่ละเรื่องจะบอกเล่าแตกต่างกันอย่างไรบ้าง… Oldboy – เคลียร์บัญชีแค้นจิตโหด (2003) หนังระดับตำนานสัญชาติเกาหลี เมื่อชายคนหนึ่งถูกจับตัวและถูกขังลืมเป็นเวลานานถึง 15 ปี โดยที่ไม่มีเหตุผลใดๆ มารองรับเลย และจะต้องตามหาคำตอบเวลาภายใน 5 วัน เขาออกตามล่าล้างบัญชีแค้นกับผู้ที่พรากชีวิตของเขาไป เพื่อจะได้เรียนรู้ถึงความโหดร้ายอันน่าสยดสยอง ที่ทำลงไปโดยไม่รู้ตัว I Saw The Devil – เกมโหดล่าโหด (2010) ว่าด้วยเรื่องราวปฏิบัติการจองเวรสุดโหดของพระเอก ที่ลางานไปตามล่าฆาตกรโรคจิตหื่นกาม ที่เคยจับคู่หมั้นของเขาไปฆ่าหั่นศพทิ้งอย่างสยดสยอง แต่เมื่อเจอตัวคนร้าย… แทนที่เขาจะจัดการฆ่าล้างแค้นซะให้สิ้นเรื่อง กลับนำตัวมาทรมานด้วยสารพัดวิธีอย่างสาสม …
-
เค้าไม่ได้หยิ่งนะ… รวมเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “คนบุคลิกเก็บตัว (Introvert)” ให้คุณได้รู้มากขึ้น
การเข้าสังคมและสังสรรค์นั้นเป็นเรื่องสนุกสนาน เฮฮา และมีความสุข แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน… เพราะว่าคนเราจะมีบุคลิกภาพในการเข้าสังคมอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ ก็คือ 1. พวกชอบเข้าสังคม (Extrovert) และ 2. พวกชอบเก็บตัว (Introvert) สำหรับผู้คนที่มีบุคลิกภาพชอบเก็บตัว (Introvert) นั้น คงไม่ใช่เรื่องน่าสนุก หากต้องออกไปพบเจอผู้คนเยอะๆ เสียงดังโวยวาย เพราะคนในประเภทนี้จะชอบอยู่กับตัวเอง มีความสุขกับการที่ได้อยู่คนเดียว ทำอะไรอย่างที่ใจตนเองอยากทำ ฉะนั้น คนที่มีบุคลิกแบบเก็บตัวจึงพากันออกมาโพสต์ทวิตเตอร์บอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับบุคลิกของพวกเขา เรามาดูกันดีกว่าว่าคนที่มีบุคลิกแบบเก็บตัว เขาอยากบอกอะไรให้พวกเราเข้าใจกันบ้าง… การไปปาร์ตี้ก็เหมือนกับไปเป็นคณะลูกขุนที่ศาล คุณต้องเสียการงานและเวลา เพื่อไปแสดงตัวที่ศาล โดยไม่รู้ว่ามันจะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นจริงๆ หรือเปล่า หวังว่ามันจะมีนะจะได้คุ้มเวลาที่เสียไปหน่อย เธอ: *พิมพ์อะไรตลกๆ มา* ผม: *กำลังพิมพ์ 5555555555* *ดูอีกที ลบ 5 ออกตัวหนึ่งดีกว่า* เมื่อผมกลับถึงบ้านพร้อมกับคนข้างบ้าน… “ผมจะนั่งฟังเพลงและทำอะไรในรถก่อน จนกว่าคนข้างบ้านจะเดินเข้าบ้านไป ผมถึงเข้าบ้าน” นี่คือรถสำหรับคนเก็บตัว……
-
แบบทดสอบจิตวิทยา ‘คิดว่าเด็กคนไหนเป็นผู้หญิง?’ บ่งบอกบุคลิกภาพตัวคุณเอง
กลับมาอีกครั้ง!! กับแบบทดสอบทางจิตวิทยาที่จะสามารถบ่งบอกได้ว่าคุณมีลักษณะบุคลิกภาพไปในทิศทางใด โดยในครั้งนี้ใช้เพียงโจทย์ที่ง่ายแสนง่าย นั่นก็คือ ตามความคิดของตัวเอง คิดว่าเด็กคนไหนเป็นผู้หญิง?! ถ้าพร้อมแล้วเราเลื่อนไปดูโฉมหน้าของหนูน้อยทั้ง 4 คนกันเลย คิดว่าใครเป็นเด็กผู้หญิง? เมื่อได้คำตอบเอาไว้ในใจแล้วก็ลองไปดูผลลัพธ์กันเลยว่า คำตอบของเราสามารถอธิบายบุคลิกภาพความเป็นตัวเราไว้ว่าอย่างไรบ้าง มันตรงกับเรามากน้อยแค่ไหน เลื่อนไปดูกันตามหมายเลขได้เลยจ้า ถ้าคุณเลือกหมายเลข 1 คุณมีลักษณะเป็นคนที่มีเหตุผล เชื่อในหลักการต่างๆ และมีแนวโน้มที่จะทำตามกฎระเบียบที่มีอยู่ คุณจะวิเคราะห์ก่อนที่จะทำการตัดสินใจ พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้แนวทางการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ในขณะเดียวกันก็จะพยายามไม่ทำร้ายความรู้สึกของผู้อื่น ในการตัดสินใจคุณจะทำมันอย่างชาญฉลาดและมีความเป็นธรรม หลีกเลี่ยงการโต้แย้งและผลักดันความสนใจของผู้อื่นก่อนเป็นอันดับแรก แม้ว่าบางครั้งคุณไม่สมควรที่จะสละเวลาหรือความพยายามไปให้กับคนเหล่านั้นก็ตาม ถึงอย่างนั้นก็ควรที่จะหยุดสนใจผู้อื่นมากจนเกินไป แล้วหันมาหาความสุขให้กับตัวเองบ้างได้แล้ว ถ้าคุณเลือกหมายเลข 2 คุณคือผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์สูง มีไอเดียคิดค้นสิ่งใหม่ๆ เจ๋งๆ อยู่เสมอ กระตือรือร้นและยอมรับกับความท้าทายใหม่ๆ ไม่พลาดโอกาสในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงเพราะเชื่อว่าทุกสิ่งจะเป็นไปในหนทางที่ดีที่สุดของมันเอง ใช้ชีวิตเหมือนว่าทุกวันคือวันสุดท้าย แต่แม้คุณจะเปิดรับทุกคนทว่ากลับแทบไม่สนิทกับใครเลย สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักเรียนรู้วิธีรับมือกับความผิดหวัง ถึงแม้ว่าบางคนอาจเข้ามาเพียงแค่ต้องการผลประโยชน์ แต่ก็ไม่ควรที่จะปฏิเสธทุกคน เพราะยังมีบางคนที่ต้องการจะรู้จักคุณจริงๆ ลองให้โอกาสเขาดูก่อนจะได้รู้ว่าชีวิตเราต้องการคนคนนั้นมั้ย ถ้าคุณเลือกหมายเลข 3 คุณคือคนของสังคมอย่างแท้จริง สิ่งที่มีอยู่ในตัวทำให้สามารถเข้ากับคนรอบข้างได้…
-
21 เรื่องน่ารู้ตามหลักจิตวิทยา เห็นอยู่ทุกวัน แต่ทำไมไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลย!!
หากพูดถึงข้อมูลที่ได้รับมาจากการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับจิตใจหรือพฤติกรรมของคนแล้วล่ะก็ แทบทุกคนคงจะต้องนึกถึง หลักการทางจิตวิทยา หลายๆ อย่างที่เราเคยได้ยินมา เช่นเดียวกับสิ่งที่เรากำลังจะได้รู้ไปพร้อมๆ กันจากบทความนี้ ทั้งหมดนี้คือความจริงทางจิตวิทยาจากงานวิจัยหลากหลายชิ้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราอาจจะเจออยู่ทุกๆ วัน แต่กลับไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร หรือส่งผลกับเราไปในทิศทางไหนบ้าง อย่ารอช้า ตามไปอ่านกันเลยเถอะ คนที่มี ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน อยู่ในระดับสูงมาก จะรู้สึกว่าตัวเองได้รับรางวัลเวลาที่คนอื่นโมโห 2. มี งานวิจัย พิสูจน์แล้วว่ามนุษย์บางคนอาจมีความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด 3. เมื่อไหร่ที่เราได้ ฟังการบรรยาย อันแสนน่าเบื่อหรือประโยคของคนที่พูดเสียงโทนเดียว ดูไม่ค่อยน่าฟัง เมื่อนั้นสมองของเราจะทำการดัดแปลงข้อมูลให้มันมีความน่าสนใจและจดจำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น 4. การร้องเพลง ช่วยลดความวิตกกังวลและต่อสู้กับโรคซึมเศร้าได้ 5. ระบบประสาท ของสมองและลำไส้นั้นเชื่อมกันอยู่ จึงทำให้บางครั้งอารมณ์ของเราสามารถส่งผลให้เกิดภาวะท้องไส้ปั่นป่วนได้ โดยความเครียดเป็นสิ่งที่ส่งผลได้มากที่สุด 6. การไม่มีเพื่อนมีความอันตรายมากพอๆ กับการดูดบุหรี่ เพราะนักวิทยาศาสตร์บอกว่าความรู้สึกโดดเดี่ยวมีความสัมพันธ์กับระดับการแข็งตัวของโปรตีนในร่างกาย ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคหัวใจวายและหลอดเลือดในสมอง 7. พันธุกรรม ของคนบางคนอาจทำให้เขามีความอ่อนไหวจนชอบมองโลกในแง่ร้าย และคนเหล่านั้นก็จะรับรู้เรื่องราวแย่ๆ ในระดับที่รุนแรงกว่าคนอื่นๆ 8. การมองโลกในแง่บวก เป็นสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้ ไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวเรามาแต่กำเนิด …
-
12 เทคนิคตามหลักการทางจิตวิทยา ที่จะทำให้การใช้ชีวิตง่ายและลงตัวมากยิ่งขึ้น
การใช้ชีวิตในแต่ละวันเรามักจะต้องเจอกับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่คอยมากวนใจ แต่เรากลับไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรกับมันดี หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่คิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ เราขอแนะนำให้ได้ลองมาอ่านเทคนิคเหล่านี้กันดู นี่คือเทคนิคตามหลักการทางจิตวิทยาที่จะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเราได้ หากอยากรู้ว่าต้องทำอย่างไรแล้วมันจะช่วยในเรื่องไหน ก็จงเลื่อนเมาส์ลงไปอ่านกันได้เลยยย 1. การลดความตึงเครียด ถ้าหากว่าเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความกังวลใจอย่างเช่นการออกไปพูดหน้าห้อง หรือการกระโดดบันจี้จัมพ์ การเคี้ยวหมากฝรั่งสามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เพราะเมื่อไหร่ที่เรากำลังกินอะไรสักอย่าง สมองเราจะสั่งการว่า “เราคงไม่กินในเวลาที่เราตกอยู่ในอันตราย เพราะฉะนั้นตอนนี้เราจึงไม่ตกอยู่ในอันตราย” นั่นเอง 2. การเผชิญหน้า เวลาที่เราเข้าไปในห้องประชุมแล้วคิดว่ามีคนที่ประสงค์ร้ายกับเราอยู่ ให้เราไปนั่งข้างๆ คนคนนั้นเลย เพราะวิธีการนี้จะทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วน ไม่กล้าที่จะพูดอะไรแย่ๆ หรือทำร้ายจิตใจเราที่นั่งอยู่ใกล้ขนาดนี้ ลองคิดดูว่าคงไม่มีใครที่จะอยากนั่งข้างๆ กับคนที่เรานินทาอยู่หรอกจริงมั้ย 3. การล้วงข้อมูลจากอีกฝ่าย หากเราต้องการให้เพื่อนบอกอะไรบางอย่างมาก ให้ลองถามเพื่อนไปสัก 1 คำถาม ถ้าหากเพื่อนคนนั้นให้คำตอบแค่กับสิ่งที่เราถามไปเพียงอย่างเดียว ให้เราเงียบแล้วจ้องตาเขากลับไปสักไม่กี่วินาที จากนั้นเดี๋ยวเพื่อนเราก็จะพูดอะไรสักอย่างขึ้นมาเอง อาจดูกวนประสาทไปบ้าง แต่มันได้ผลจริงๆ 4. การสร้างแรงดึงดูด ในบ้านเรามักจะไม่ได้ใช้การจับมือทักทาย แต่หากเรามีโอกาสได้จับมือกับใครสักคน เราควรจะต้องทำให้มือของเราอบอุ่นเข้าไว้ดีกว่าการยื่นมือเย็นๆ ไปจับ และหากเราได้เจอกับใครคนหนึ่งเป็นครั้งแรก การที่เราลอกเลียนแบบลักษณะท่าทางของฝ่ายตรงข้ามอย่างแนบเนียน…
-
นักจิตวิทยาร่วมกันแบ่งปันกฎ 9 ข้อที่จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตที่ดีร่วมกับบุตรหลานของคุณได้
ความขัดแย้งกับเด็กย่อมเกิดขึ้นในทุกครอบครัวอยู่แล้ว นักจิตวิทยากล่าวว่าสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของความขัดแย้งดังกล่าวคือ “การละเมิดความเป็นส่วนตัวของเด็ก” นั่นเอง เด็กๆ จะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองโดนก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวที่ว่านี่เมื่ออายุราวๆ 3 ขวบเป็นต้นไป และจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ และเปลี่ยนแปลงได้ยากมาก ทางเดียวที่ผู้ใหญ่จะทำได้นั้นคือการปรับวิธีการเลี้ยงดูลูกให้เป็นไปตามการพัฒนาการของพวกเขา ดังนั้นนักจิตวิทยาจึงออกมาแบ่งปัน กฎระเบียบ 9 ข้อ สำหรับผู้ใหญ่ที่สามารถช่วยคุณใช้ชีวิตที่ดีร่วมกับบุตรหลานของคุณได้ ซึ่งมีเนื้อหา ดังต่อไปนี้ 1. แทนที่จะด่า ให้ค้นหาข้อดีให้ลูกๆ แล้วสอนไปพร้อมๆ กับการชมเด็กๆ ไม่มีใครชอบที่จะโดนด่า หรือวิจารณ์ แม้แต่คนที่นำเอาคำวิจารณ์ไปปรับปรุงการทำงานเอง ก็ใช่ว่าจะชอบที่ตัวเองต้องถูกวิจารณ์สักเท่าไหร่ และแน่นอนว่าเด็กๆ เองก็ไม่ชอบที่จะโดนวิจารณ์เรื่องแย่ๆ เสียทุกครั้ง ประสบการณ์น่าโมโหเหล่านั้น อาจจะทำให้เด็กๆ ไม่สามารถติดต่อพูดคุยกับผู้คนตามปกติ หรือปิดกั้นตัวเองจนไม่ยอมเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ไม่ดีไปเลย คุณควรที่จะลดการวิจารณ์ของคุณลง แม้ว่าบางครั้งจะดูเป็นเรื่องยากมาก ลองใช้การวิจารณ์บวกกับการพูดชม จะทำให้คุณได้รับผลที่ดีกว่าเดิมอย่างสิ้นเชิง! ตัวอย่างจากภาพ: ลูกร้องเพลงได้เพราะมากเลยนะ ไว้ทานข้าวเสร็จแล้วช่วยมาร้องให้แม่ฟังหน่อยสิ เพราะนักแสดงตัวจริง เขาไม่ทานข้าวไป ร้องเพลงไปกันหรอกนะ 2. ให้ทางเลือกแก่ลูก การทำตามคำสั่งหรือการทำหน้าที่ของครอบครัวเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็เพราะมันจำเป็นนั่นเองที่ทำให้เด็กๆ หลายๆ คนไม่ต้องการที่จะทำมัน โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่ต้องทำที่ว่า มาพร้อมกับเสียงดุด่าแล้วด้วย ดังนั้นแทนที่จะบังคับให้เด็กทำอะไร สู้มอบทางเลือกให้แก่พวกเขาจะดีกว่า…
-
นักจิตวิทยาแนะนำ 8 วิธีช่วยให้คุณจัดการกับ “ความเครียด” แบบได้ผลชะงัดนัก!!
ว่ากันด้วยเรื่องของ “ความเครียด” ที่หลายท่านต้องเคยประสบกันมาอย่างแน่นอน การดำเนินชีวิตไม่ว่าจะในช่วงวัยเรียนหรือวัยทำงานก็ตาม ก็จะมีช่วงที่สามารถทำให้เกิดความเครียดได้ทั้งนั้น เมื่อใดที่คนเราประสบปัญหาที่ส่งผลต่อชีวิต เมื่อนั้นก็มักจะมีความเครียดตามมาเสมอ แต่ทราบหรือไม่ว่าศาสตร์แห่งจิตวิทยานั้นได้ศึกษาเรื่องของความรู้สึกและอารมณ์ของมนุษย์ รวมไปถึงความเครียดด้วยเช่นกัน แน่นอนว่ามันทำให้มนุษย์เราทราบว่า ความเครียดนั้นเกิดขึ้นได้มันก็ย่อมหายไปได้ หากถามว่าจะทำอย่างไรให้ความเครียดหายไป ลองไปฟังคำแนะนำดีๆ จากนักจิตวิทยาที่จะเป็นวิธีช่วยให้คุณกำจัดความเครียดออกไปได้กันเลยดีกว่าครับ วิธีที่ 1 เขียนทุกอย่างที่เข้ามาในสมองลงไปในกระดาษ John Duffy นักจิตวิทยาและผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นกล่าวว่า “เพื่อลดความเครียดลง ผมบันทึกสถานการณ์ ความคิด ความสัมพันธ์กับผู้คน และไอเดีย ลงไปในกระดาษ เมื่อเขียนลงไปแล้วลองเชื่อมโยงมันให้เป็นโครงสร้าง วิธีนี้มีประโยชน์มากเพราะมันทำให้เราลืมปัญหาไปขณะหนึ่ง สมองเราจะโล่ง และความตึงเครียดจะลดลง หลังจากนั้นเราจะมองสิ่งต่างๆ ในอีกมุมมองหนึ่งเลย” วิธีที่ 2 ลองทำตัวช่างเลือกเสียหน่อย เวลาซื้อของมาทำอาหาร Jeffrey Sumber นักจิตวิทยาบำบัด ใช้วิธีนี้ลดความเครียด เขากล่าวว่า “เมื่อผมรู้สึกซึมเศร้าผมมักจะหาอาหารทาน แต่มันจะต้องเป็นอาหารเพื่อสุขภาพมากๆ แบบที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ผมใช้เวลาไปกับการเลือกซื้อวัตถุดิบ เมื่อได้มาแล้วนำมาหั่นอย่างบรรจง เตรียมซอส และทานอย่างช้าๆ บ่อยครั้งผมมักจะโพสต์มันลงไปใน Facebook จนทำให้เพื่อนๆ อิจฉาเลยล่ะ” …
-
คนที่ไว้ใจ…ร้ายที่สุด!! รวมวิธีรับมือเมื่อคุณถูกหักหลังจาก ‘เพื่อนสนิท’
แน่นอนว่า เมื่อเรามีเพื่อนที่เราสนิทและไว้วางใจ เราย่อมซื่อสัตย์ต่อกันและช่วยเหลือกันเมื่อมีโอกาส แต่บางครั้ง เพื่อนของเราอาจจะไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาอาจจะมองแค่ประโยชน์ส่วนตนที่อาจจูงใจให้เขาทำพฤติกรรม “หักหลัง” เราก็เป็นได้ โดยเฉพาะเรื่องความรักความใคร่ เรื่องของตัณหานั้นไม่เข้าใครออกใคร สำหรับผู้ที่จิตใจอ่อนแอและควบคุมกามารมณ์ของตนไม่ได้ ก็อาจตอบสนองอารมณ์ตัวเองโดยใช้ “สามี/ภรรยาของเพื่อน” เป็นต้น Diane Barth นักจิตวิทยาบำบัด นักจิตวิเคราะห์ และนักเขียน ผู้ซึ่งมีความสนใจเรื่องเกี่ยวกับการที่ผู้หญิงถูกเพื่อนหักหลัง และเธอก็กำลังเขียนหนังสือเรื่อง I Know How You Feel: The Joy and Heartbreak of Friendship in Women’s Lives Barth จึงได้ทำการสัมภาษณ์ผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวการถูกเพื่อนหักหลัง พร้อมกับขอคำปรึกษาจากนักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน จึงสรุปได้ออกมาเป็น 6 คำแนะนำจากนักจิตวิทยา เกี่ยวกับวิธีการรับมือเมื่อถูกเพื่อนหักหลัง จะมีอะไรนั้น ไปรับชมพร้อมกันเลย 1. ทำให้สถานการณ์ชัดเจน เมื่อการหักหลังเกิดขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคนทำหรือคนที่ถูกกระทำ กรุณาอย่าใจร้อน และอย่าคิดไปเอง ความเจ็บปวดนั้นชั่วคราว แต่ผลลัพธ์ต่อจากนั้นอาจอยู่ตลอดกาล สิ่งที่เราตีความได้จากสถานการณ์จะส่งผลต่อความเจ็บปวดของเรา ทำให้แน่ใจว่า…
-
นี่แหละคือความจริงทั้ง 9 ข้อของ ‘โรคจิตเภท’ ที่คุณอาจเข้าใจผิดมาตลอดชีวิต…
โรคจิตเภท คืออาการทางจิตของมนุษย์เรา ทำให้ผู้ที่เป็นโรคนี้เกิดความคิดและความเชื่อแปลกๆ ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง บางครั้งอาจทำให้เกิดภาพหลอน มองเห็นอะไรที่ไม่เป็นความจริง หลายครั้งมนุษย์เราเรียกคนที่เป็นโรคจิตเภทว่า “คนบ้า” แน่นอนว่า อาการทางจิตทั้งหลายเป็นเรื่องเข้าใจยาก โดยเฉพาะโรคจิตเภททีี่ถือว่าเป็นโรคค่อนข้างรุนแรง ยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นการที่คนเราไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “โรคจิตเภท” นั้นยิ่งทำให้ผู้ที่เป็นโรคนี้ยิ่งใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้ลำบากมาขึ้น วันนี้เราจึงขอเสนอ 9 ความจริงเกี่ยวกับโรคจิตเภทที่หลายคนยังเข้าใจผิดอยู่ ว่าแต่มีความจริงอะไรบ้าง เชิญไปรับชมกันได้เลย… 1. คนเป็นโรคจิตเภทจะมีหลายบุคลิก ถ้าจะพูดให้ถูกจริงๆ แทนที่จะใช้คำว่ามีหลายบุคลิก ควรใช้คำว่า “จิตใจซับซ้อน” มากกว่า เพราะไม่ใช่ผู้ป่วยโรคจิตเภททุกคนจะมีหลายบุคลิกหรือหูแว่ว การมีจิตใจซับซ้อนและหลายรูปแบบนั้นทำให้ผู้ป่วยมีอารมณ์แปรปรวน เช่น เดี๋ยวชอบเดี๋ยวเกลียดสิ่งเดียวกันในเวลาอันสั้น หรืออาจจะเสียใจอย่างหนักกับเรื่องเล็กๆ แต่กลับเฉยชากับความโศกเศร้าที่รุนแรง เป็นต้น 2. โรคจิตเภทเป็นโรคที่หายาก ไม่เชิงเป็นจริงเสียทีเดียว จากประชากรทั้งหมด จะมีผู้เป็นโรคนี้เพียง 1 เปอร์เซ็นต์ซึ่งดูเหมือนน้อยก็จริง แต่มันกลับถูกพบเห็นได้บ่อยกว่าที่คิด ในทุกๆ 1,000 คน จะมีคนเป็นโรคจิตเภทประมาณ 5 คนได้ 3. ผู้คนที่เป็นโรคจิตเภทนั้นคาดเดาไม่ได้…
-
ภาพวาดสไตล์อาร์ต พร้อมแนะวิธีการ ‘ลดความเครียด’ ที่เหมาะสมและสอดคล้องทั้ง 12 ราศี
ทุกวันนี้คนเราจะต้องเจอกับเรื่องราวมากมาย ที่ต้องคอยสรรหาวิธีรับมือให้ได้ แต่ถ้าหากว่าไม่สามารถจัดการปัญหาตรงนั้นให้หมดไป จะกลายมาเป็นความเครียดที่สะสมอยู่ภายในจิตใจแทน… ซึ่งความเครียดที่ได้รับกลับมานั้น เราจะต้องหาวิธีกำจัดมันออกไปโดยเร็ว บางคนอาจจะใช้วิธีง่ายๆ อย่างการนั่งสงบจิตใจ มองต้นไม้ใบหญ้า หาบุคคลที่ไว้ใจปรึกษาหารือ หรือไม่ก็ออกไประบายอารมณ์ด้วยการไปชอปปิง!? แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม หากใช้แล้วไม่ได้ผล ลองมาใช้วิธีการลดความเครียดให้สอดคล้องกับราศีของตัวเองกันเถอะ เผื่อว่าอาจจะดีกว่าวิธีการที่เราใช้อยู่ก็เป็นได้!! โดยผลงานภาพวาดนี้ สร้างสรรค์โดยศิลปินจากกรุงลอนดอน Joey Yu แสดงให้เห็นถึงวิธีการดูแลตัวเอง จัดการกับความเครียด โดยทำการเชื่อมโยงกับหลักโหราศาสตร์ราศี จึงได้ออกมาเป็นชุดภาพดังกล่าวครบทั้ง 12 ราศีเลย ราศีเมษ จงวิ่งไปเรื่อยๆ แต่อย่าไปห่วงให้เป็นเรื่องชิงชัยล่ะ เข้าใจมั้ย? ราศีพฤษภ จงดื่มด่ำไปกับผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เป็นคนรักสวยรักงามนะจ๊ะ ราศีเมถุน หาคนเล่นบอร์ดเกมด้วยสิ ก็เป็นราศีคนคู่นี่เนอะ หรือหาอะไรเล่นเป็นคู่ก็ได้ ราศีกรกฎ เสกอะไรสักอย่างออกมาด้วยฝีมือปลายจวัก ที่สำคัญต้องอร่อยด้วย ฮร่า ราศีสิงห์ เต้นให้สนุกสุดเหวี่ยง เหมือนทุกสายตากำลังจับจ้องเราอยู่!! ราศีกันย์ จดบันทึกรายการอยู่เสมอ แล้วก็หมั่นกลับมาเช็กอีกทีด้วย …
-
นักจิตวิทยาใช้เวลา 3 ปี หา ‘โรคจิต’ ในหนังกว่า 400 เรื่อง ที่เหมือนจริงมากที่สุด!!
คำว่า “โรคจิต” หากว่าอธิบายอย่างง่ายๆ ก็คือคนที่มีพฤติกรรมและจิตใจที่ผิดปกติ ส่วนมากจะสังเกตเห็นได้ว่า คนโรคจิตจะจิตใจเย็นชา ชอบใช้ความรุนแรง และมักจะหาความสุขให้ตัวเองในวิธีแปลกๆ การสังเกตคนโรคจิตจะแบ่งได้เป็นสองประเภท ก็คือผู้ที่เป็นโรคจิตที่เห็นได้ชัดเจน (Classic) กับผู้ที่เป็นโรคจิตแบบไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic) ซึ่งบางครั้งอาการโรคจิตก็สังเกตได้ยากเนื่องจาก อาการสามารถถูกกลบฝังไว้ได้ ภายใต้พฤติกรรมที่ดูปกติ ทั้งนี้ในปี 2014 ก็ได้มีนักจิตวิทยาชาวเบลเยี่ยมท่าหนึ่งนามว่า Samuel Leistedt ต้องการจะค้นหาภาพยนตร์ที่ภายในเรื่องมีตัวละครโรคจิตที่เสมือนจริงที่สุด Leistedt จึงรวบรวมพรรคพวก 10 คนมาช่วยกันดูภาพยนตร์จำนวน 400 เรื่อง ซึ่งใช้เวลาไปกว่า 3 ปีด้วยกัน ภาพยนตร์ที่เขาเลือกดูจะอยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1915 จนถึง 2010 ซึ่งหลังจากที่พวกเขาชมภาพยนตร์ทั้ง 400 เรื่องเสร็จเรียบร้อย ทำให้พบตัวละครที่มีความเป็นโรคจิต 126 ตัว และผลลัพธ์ที่พวกเขาค้นพบครั้งนี้หากเรียงตามความสมจริงของอาการโรคจิต จะพบว่า… อันดับที่ 6 นับทศวรรษ ภาพยนตร์ฆาตกรนักเชือดทั้งหลายได้แสดงออกถึงการเป็นโรคจิตที่ ไม่สมจริงสุดๆ ภาพยนตร์อย่างเช่นเรื่อง A Nightmare on Elm Street และ Friday the…
-
10 เหตุการณ์ทางจิตวิทยาที่ส่งผลต่อจิตใจ และมันพยายามจะเล่นสนุกกับเราอยู่เสมอ
จิตใจของเราเป็นสิ่งที่ซับซ้อนอย่างมากเพราะไม่อาจเห็นชัดเป็นรูปธรรมได้อย่างส่วนต่างๆ ของร่างกาย แต่มันกลับเป็นสิ่งสำคัญที่ควบคุมและมีความสัมพันธ์กับแทบทุกอย่างที่เป็นเรา ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม ความคิด หรือบุคลิกภาพ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับจิตใจของตัวเอง แถมบางเรื่องยังอาจสามารถกำหนดชีวิตเราได้อย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน วันนี้เราจึงชวนให้เพื่อนๆ ได้มารับรู้เกี่ยวกับ 10 ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาอันแปลกประหลาด จนทำให้เราแสดงพฤติกรรมบางอย่างออกมาโดยไม่รู้ตัว จะมีอะไรบ้าง เราลองไปดูกันเลย 1. Halo Effect นี่เป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นในตอนที่เราดูโฆษณาผลิตภัณฑ์อะไรบางอย่าง เรามักจะตัดสินว่าตัวสินค้านั้นดีไม่ดีขึ้นอยู่กับดาราหรือคนดังที่เป็นคนนำเสนอสินค้านั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะคิดว่าคนที่มีชื่อสียงคือคนที่ไม่เคยทำอะไรผิดเลย ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบมากๆ เราจึงคิดว่าสินค้าที่พวกเขานำเสนอเองก็คงจะดีไม่แพ้กัน 2. Bystander Effect ปรากฏการณ์ทางสังคมอันน่าเศร้านี้เกิดขึ้นในตอนที่เวลาเราอยู่ท่ามกลางฝูงชน คนเยอะๆ แล้วมีคนต้องการความช่วยเหลือ เรามักจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเขาคนนั้นเพราะลึกๆ แล้วเราคิดว่าเดี๋ยวคนอื่นก็คงมาช่วยเอง ก่อนหน้านี้ได้มีงานวิจัยที่ทำให้เราเข้าใจปรากฏการณ์ดังกล่าวชัดยิ่งขึ้นนั่นคือ เมื่อไหร่ที่มีคนหนึ่งในฝูงชนพร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยแล้ว คนอื่นๆ จะตามไปช่วยด้วยเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่าตัวแปรสำคัญคือคนที่จะลุกออกไปช่วยเป็นคนแรกนั่นเอง 3. Spotlight Effect เราอาจเคยมีความคิดประมาณว่าวันนี้ฉันดูซุ่มซ่ามเกินไปหรือเปล่า? ฉันแต่งตัวเข้ากับงานปาร์ตี้มั้ยนะ? ซึ่งความคิดเหล่านั้นอาจเกิดจากการที่เราคิดว่ามีสปอร์ตไลต์สาดส่องมาที่ตัวเองอยู่เสมอ เหมือนกับถูกทุกคนจับจ้อง คอยจับผิดทุกย่างก้าว มีคนมองและจะตัดสินเราตลอดเวลา แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย 4. Online Disinhibition Effect สื่อในปัจจุบันมีอิทธิพลอย่างมากต่อปรากฏการณ์นี้…
-
นศ. สาวเผยชีวิตที่ต้องต่อสู้ เจอภาพหลอนทางการสัมผัสแทบทุกวัน แต่เอาชนะมันได้ถ้าไม่ยอมแพ้!!
โรคจิตเภท (Schizophrenia) เป็นโรคทางจิตใจของคนที่ทำให้ผู้ที่ป่วยโรคนี้จะมีความเชื่อที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง มีเสียงอยู่ในหัว เกิดภาพหลอน และยากที่จะเข้าใจว่าอะไรคือความเป็นจริง ตัวอย่างของอาการจิตเภท เช่นในภาพยนตร์เรื่อง Shutter Island, A Beautiful Mind, Fight Club และแม้แต่ Lord of the Rings แต่ในความเป็นจริงๆ แล้วผู้ที่ป่วยเป็นโรคจิตเภทนั้นต้องพบเจอกับความน่าสะพรึงกลัว อย่างเช่นนักศึกษาหญิงคนนี้ Cecilia McGough ที่ได้ออกมาเล่าว่าโรคจิตเภทได้ส่งผลกระทบให้เธออย่างไรบ้าง เธอบอกว่าเหมือนกับชีวิตของเธอเป็นฉากที่เราเห็นกันในหนังสยองขวัญยังไงอย่างงั้น หญิงสาววัย 23 ปีกล่าวว่าหลายครั้งที่เธอต้องพบเจอกับ “ผี” ซึ่งปรากฏขึ้นมาต่อหน้าเธอ เช่น ตัวที่เธอเรียกมันว่า Mr. Blob Man เธอบอกว่ามันเป็นตัวที่มาเป็นลักษณะของเงา แต่บางครั้งเธอก็เห็นภาพหลอนที่เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นกันมาในภาพยนตร์ “เป็นช่วงเวลาประมาณปลายๆ มัธยม ที่ฉันเริ่มเห็นภาพหลอนเป็นเจ้าตัวตลกจากหนังเรื่อง It ของ Stephen King มันน่ากลัวมาก และฉันก็ยังเห็นแมงมุมยักษ์อีกด้วย” Cecilia กล่าว “ฉันเห็นเจ้าตัวตลกแทบทุกวัน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเริ่มเห็นเด็กหญิง (เหมือนในหนังเรื่อง The Ring) ภาพนี้มันกลับทำให้ฉันกลัวมากกว่าเดิม ฉันกลัวว่าเด็กคนนั้นจะมาแทงฉัน” เธอกล่าวต่อ “มันคืออาการประสาทหลอนทางการสัมผัส…
-
โรงเรียนที่อเมริกาพยายามให้เด็กเลิกใช้คำว่า “เพื่อนสนิท” เพื่อให้เด็กๆ รักกันมากขึ้น
กฎการแบนคำว่า ‘เพื่อนสนิท’ นั้นถือกฎที่มีการใช้กันมาสักพักแล้วในประเทศอังกฤษ จนตอนนี้การแบนคำดังกล่าวเริ่มขยายอิทธิพลมายังประเทศอเมริกาบ้างแล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องมาแบนการมีเพื่อนสนิทด้วย ใจเย็นๆ แล้วลองฟังเหตุผลจากทาง Dr. Barbara Greenberg นักจิตวิทยามากฝีมือที่เธอได้อธิบายกับทาง CBS ดูก่อน เธอได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “การทดลองการมีเพื่อนสนิทนั้นถือเป็นเรื่องทดสอบที่น่าสนใจมากๆ แน่นอนว่าเราไม่สามารถแบนให้ใครสักคนไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดได้ ซึ่งนั่นก็รวมถึงการมีเพื่อนสนิทที่สุดด้วย แต่กลับกันแล้ว เราอยากให้ในโรงเรียนของเด็กๆ แบนการมีเพื่อนสนิทมากกว่าสังคมใหญ่ๆ เพราะว่าการที่เด็กมีเพื่อนสนิทแค่คนเดียวแล้ววันหนึ่งเพื่อนคนนั้นต้องย้ายไป เด็กคนดังกล่าวก็จะโดดเดี่ยวและมีปัญหา ฉะนั้นเราก็เลยอยากให้พวกเขามีเพื่อนที่ดีมากว่าหนึ่งคน” Dr. Barbara ยังบอกเสริมอีกว่าตอนนี้เธอได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคนมากมายในอเมริกา ทั้งนักจิตวิทยา ครูและคนที่ได้ทำงานร่วมกับเด็ก ซึ่งพวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าควรให้เด็กมีเพื่อนในกลุ่มมากกว่าคนเดียว Dr. Barbara Greenberg (ทางซ้าย) , Jay Jacobs (ทางขวา) Jay Jacobs เจ้าหน้าที่จาก Timber Lake Camp ในนิวยอร์กที่เห็นด้วยก็ออกมาตอกย้ำว่า “ผมไม่เห็นด้วยการที่เด็กๆ มีเพื่อนแค่คนเดียวเพราะมันเหมือนกับหลุมกับดัก เพราะถ้าเกิดเด็กคนนั้นต้องเสียเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวไปเด็กคนนั้นก็จะติดอยู่ในหลุมนั้นไปอีกนาน” เขายังเสริมปิดท้ายอีกว่าการมีเพื่อนที่ดีเยอะๆ ตั้งแต่ยังเด็กจะช่วยให้เด็กคนนั้นประสบความสำเร็จในชีวิตได้อีกด้วย …
-
10 ความรู้สึกบนฐานเกี่ยวเนื่องกับ ‘เวลา’ และคำตอบทางจิตวิทยาที่อธิบายให้กระจ่าง
การควบคุมกาลเวลานั้นคงเป็นพลังพิเศษในความฝันของใครหลายๆ คน เพราะจะได้ย้อนเวลาไปแก้อดีต หรือหยุดเวลาเพื่อทำอะไรให้มันสนองความต้องการ แต่พวกเราเองก็รู้ดีนั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก หรือแทบจะเป็นไม่ได้เลย ในขณะที่พวกเราได้แต่รอให้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบวิธีการท่องเวลาและควบคุมเวลา ปัจจุบัน นักจิตวิทยาได้ออกมาเผยถึงข้อมูลที่จะทำให้รู้เท่าทัน “ความเร็วของเวลา” ราวกับจะสามารถควบคุมเวลาได้เลยทีเดียว แล้วข้อมูลที่ว่านั้นจะมีอะไรบ้างไปดูพร้อมกันเลยดีกว่า 1. เวลาเดินช้าลงเมื่อเรารู้สึกเบื่อ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะเวลาที่เราทำกิจกรรมที่แสนน่าเบื่อ มันทำให้สมองเราเบนความสนใจจากกิจกรรมนั้นๆ มาอยู่ที่ตัวเอง ทำให้เรารับรู้ถึงสิ่งรอบตัวมากเกินไป นั่นจึงทำให้การรับรู้เวลาของเรานานขึ้นด้วยนั่นเอง ตรงกันข้าม หากเรากำลังทำกิจกรรมที่สนุกหรือน่าสนใจล่ะก็ สมองเราจะมุ่งสนใจไปยังกิจกรรมนั้นๆ แทน ทำให้เรารับรู้ถึงเวลาได้น้อย จึงรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเร็ว 2. เวลาเดินช้าลงเมื่อต้องพบเจอกับความไม่แน่นอน เคยไหมเมื่อเราจะต้องออกไปทำงานในอีก 10 นาที แต่เรากลับเพิ่งตื่น ต่อให้เราเร่งรีบแค่ไหนมันก็ยังจะรู้สึกว่า ทำไม 10 นาทีมันช่างผ่านไปรวดเร็วเสียเหลือเกิน แต่ถ้าหากว่าคุณกำลังรอลุ้นผลการตรวจครรภ์ที่จะปรากฏออกมาใน 10 นาทีล่ะก็ คุณจะรู้สึกว่าเป็น 10 นาทีที่นานเหลือเกิน นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อคุณไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต คุณจะคิดมาก และรับรู้รายละเอียดรอบตัวได้มาก สมองจึงรับรู้เวลาอยู่ตลอด และทำให้รู้สึกว่าเวลานานขึ้นนั่นเอง 3. เวลาเดินช้าจนแทบจะไม่เดินเลย หากเราจ้องมองแต่นาฬิกา อาการดังกล่าวเขาเรียกกว่า “Stopped Clock Illusion” ในขณะที่เข็มนาฬิกากระดิกไปเรื่อยๆ หากเรามองมันตลอดมันจะรู้สึกถึงเวลาที่ยาวนานขึ้นนิดหน่อย…
-
ภาพ GIF สุดปั่นที่ดูแล้วจู่ๆ ก็มีเสียงเฉยเลย กับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?
ประสาทสัมผัสของคนเรานั้นมีอยู่หลายด้าน ทั้งการมองเห็น การสัมผัส การดมกลิ่น รวมทั้งการได้ยิน ซึ่งบางคนก็อาจจะมีประสาทสัมผัสด้านการได้ยินที่ดีเกินไปจนเรียกว่าเกิดอาการ ‘หูแว่ว’ หรือว่าได้ยินสิ่งที่คนอื่นมักไม่ได้ยิน แต่มีภาพเคลื่อนไหวบางภาพ ที่หลายคนต่างยืนยันว่ามีเสียงออกมาจากภาพเหล่านั้นจริงๆ แม้ว่าจะมีการปิดเสียงไว้ก็ตาม ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่พวกเขาได้ยินกันมานั้นมันเป็นเสียงที่อยู่ในภาพหรือว่าเป็นเสียงที่พวกเขาคิดกันอยู่ในหัวกันแน่ ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ชื่อว่า @Lisa DeBruine ได้แชร์ภาพเคลื่อนไหวอันหนึ่ง ที่ไม่ว่าใครได้มาชมต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันมีเสียงออกมาภาพจริงๆ นะ และหากใครอยากทดสอบว่ามันจริงไหมนะ ก็ลองไปทดสอบกันได้เลย ภาพเคลื่อนไหวที่ว่ากันว่ามีเสียงออกมาจากภาพ Does anyone in visual perception know why you can hear this gif? pic.twitter.com/mcT22Lzfkp — @debruine@tech🐘lgbt (@LisaDeBruine) December 2, 2017 ภาพเคลื่อนไหวดังกล่าว เป็นภาพของเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่เล่นกระโดดเชือกกัน โดยสิ่งที่คนส่วนใหญ่ได้ยินเป็นเสียงดังที่มาจากการสั่นสะเทือนของพื้นดินระหว่างที่เสาไฟฟ้านั้นกระโดดข้ามเชือกนั่นเอง มีผู้คนกว่า 67% จาก 300,000 คนบอกว่าได้ยินเสียงดังกล่าว บางคนก็บอกว่าได้ยินเสียง ดึ๋งๆ ในภาพหลังเธอได้ออกมาอธิบายถึงสาเหตุที่คนส่วนใหญ่ได้ยินเสียงดังมาจากภาพเคลื่อนไหวดังกล่าว โดยเธอบอกว่ามันเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า…
-
แบบทดสอบรูปภาพ หากคุณมองเห็น ‘สิ่งแรก’ ช่วยอธิบายได้ว่า คนอื่นมองคุณเป็นคนยังไง
มาอีกแล้วกับภาพที่ช่วยสะท้อนหลายๆ อย่างในความเป็นคุณได้ สำหรับหลายๆ คนที่ชื่นชอบการศึกษาความเป็นตัวเองจากสิ่งรอบๆ ตัว เราขอแนะนำให้ลองไปดูภาพนี้กัน ภาพที่เรานำมาขอให้ทุกคนลองดูกันว่า “เห็นอะไรเป็นสิ่งแรก” เพราะมันสามารถสะท้อนให้คุณทราบได้ว่า คนอื่นๆ เขามองว่าคุณเป็นคนยังไง? หรือคุณแสดงออกมาในลักษณะไหนเวลาที่อยู่ในสังคม อย่ารอช้าไปลองทดสอบกันได้เลยยย เห็นอะไรเป็นอย่างแรกกันเอ่ย? คราวนี้เราก็ไปอ่านผลลัพธ์ดูว่ามันตรงกับสิ่งที่เป็น หรือตรงกับที่หลายๆ คนพูดถึงคุณมากน้อยขนาดไหน.. หากคุณเห็นว่าเป็นใบหน้าของผู้ชายเป็นอันดับแรก คนอื่นๆ มองว่าคุณเป็นคนขึงขังและแข็งแกร่ง เพราะคุณจะไม่แสดงความเศร้าเสียใจหรือมุมอ่อนแอของตัวเองให้คนอื่นเห็น รวมถึงความคิด ความรู้สึกของตัวเองที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้ความไม่สนโลกหรือการทำให้ตัวเองดูมีความสุข เมื่ออยู่ในกลุ่มคุณจะดูมีความฮึกเหิมอยู่เสมอและมีทักษะการเป็นผู้นำที่มั่นคง อาจดูเหมือนเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่คุณเป็นคนที่สามารถตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างเด็ดขาด รอบคอบ และหนักแน่น ไม่คล้อยตามคนอื่นง่ายๆ และไม่ชอบพึ่งพาอาศัยใคร คนรอบข้างต่างก็รู้สึกมีความสุขเวลาที่ได้อยู่ด้วย คุณพยายามดูแลพวกเขาเหล่านั้นให้ดีกว่าการดูแลตัวเอง เป็นคนที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและพูดสิ่งต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ในบางครั้งคุณรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงอาจมีการไปขอความช่วยเหลือจากคนสนิทในบางครั้ง ถ้าคุณเห็นเป็นเรือนร่างผู้หญิงก่อนเป็นอันดับแรก คุณคือคนที่มีแรงจูงใจและทุ่มเททำสิ่งต่างๆ อย่างสุดความสามารถเพื่อก้าวไปให้ถึงเป้าหมายหรือความฝันของตัวเอง คนอื่นๆ มองว่าคุณเป็นคนใจกว้าง มองโลกในแง่บวก เมื่ออยู่ในกลุ่มคุณสามารถทำได้ดีทั้งการวางแผน การดำเนินการ จนได้ผลลัพธ์ที่ออกมามีประสิทธิภาพ คุณเก่งในการสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว…
-
เซ็ทภาพอธิบายความคิด สิ่งที่คุณเห็นเป็นอย่างแรก จะช่วยอธิบายสถานการณ์ของคุณได้
การทำแบบทดสอบเกี่ยวกับบุคลิกภาพของตัวเองเป็นสิ่งที่ใครหลายคนชื่นชอบ เพราะมันทำให้เราได้รู้จักตัวเองจากหลายมุมมองที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่ถึงจะทำไปมากหลายร้อยการทดสอบขนาดไหนก็ไม่สามารถอธิบายเราได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นมาลองทำอีกซักอันก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอกจริงมั้ย? นี่จึงเป็นการทดสอบง่ายๆ ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่ขอให้คุณได้ลองมองเข้าไปในภาพว่า “เห็นสิ่งใดเป็นอันดับแรก” ไปดูกันว่าเรานั้นแอบมีด้านอะไรซ่อนอยู่ ตอนนี้เราต้องเจอกับอะไร และมันตรงกับความเป็นเรามากแค่ไหนกัน รถยนต์ หากสิ่งแรกที่เห็นคือรถแสดงว่าคุณเป็นคนรักอิสระ สนุกไปกับหนทางและวิธีการของตัวเอง คุณมักจะตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งอย่างรวดเร็วเพื่อให้สิ่งๆ นั้นเป็นไปตามความต้องการของตัวเองที่ได้วาดฝันเอาไว้ ผู้ชายถือกล้องส่องทางไกล คุณมองชีวิตของตัวเองในวงกว้างและไม่รู้สึกกังวลกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเรื่องที่มีความเฉพาะเจาะจง คุณซึมซับเรื่องราวต่างๆ อย่างรวดเร็วและจะรู้สึกไม่ชอบใจเวลาที่ต้องกลั่นกรองเรื่องบางเรื่องในเชิงลึก หรือต้องอยู่กับมันซ้ำๆ ตัวอักษร A นี่เป็นสิ่งที่น้อยคนเห็นเป็นอย่างแรก นั่นหมายความว่าคุณเป็นคนที่มักมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็นหรือไม่เคยคาดคิดกันมาก่อน นั่นจึงช่วยทำให้คุณมีการหยั่งรู้เรื่องต่างๆ ได้ก่อน รวมถึงมีเหตุผลเชิงอนุมาน มีความเป็นตรรกศาสตร์ มีเหตุมีผล ผู้หญิง หากว่าเห็นผู้หญิงเป็นอันดับแรก นั่นหมายความว่าหลายๆ ประสบการณ์ของคุณอาจเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เพราะว่าการมองโลกในแง่บวกของคุณช่วยทำให้ตัวเองและคนรอบข้างมีความสุขอยู่เสมอ อีกทั้งยังมีความมั่นใจและความอิสระที่มากกว่าใครๆ ผู้ชาย ถ้าคุณเป็นผู้หญิงแล้วเห็นผู้ชายในรูปก่อนแสดงว่าคุณอาจอยากได้คนคู่ใจเป็นคนโรแมนติกหวานแหวว หรือถ้ามีแฟนอยู่แล้วคุณก็มีความสัมพันธ์กับเขาไปในทางที่ดีอยู่ และมันจะดีขึ้นในอนาคต แต่ถ้าคุณเป็นผู้ชาย นั่นอาจหมายความว่าคุณกำลังกังวลกับคนรอบข้างที่เป็นผู้ชายอยู่ ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นเกย์หรอกนะ แต่ก็ไปลองหาคำตอบดูว่าเรากังวลเรื่องใครอยู่ ไม่อย่างนั้นปัญหานี้อาจทำให้คุณก้าวเดินต่อไปไม่ได้เลย …
-
13 การทดลองทางจิตวิทยาแบบแปลกๆ ที่ทำขึ้นเพื่อให้เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์
จิตวิทยาคือศาสตร์อย่างหนึ่งในการพยายามทำความเข้าใจมนุษย์ ว่าภายในจิตใจของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือมีขั้นตอน รูปแบบต่างๆ อย่างไรกันบ้าง ซึ่งหนึ่งในวิธีที่สามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นได้ดีก็คือการทดลอง หลายคนอาจเคยเห็นการทดลองทางจิตวิทยากันมาบ้างแล้ว แต่วันนี้เรามาพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับการทดลองแปลกๆ เจ๋งๆ ที่อาจไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ไปดูกันเลยว่าเป็นการทดลองแบบไหนและผลลัพธ์ที่ได้ช่วยให้สามารถเข้าใจมนุษย์ได้มากขึ้นจริงๆ หรือเปล่า? 1. The Piano Stairs Experiment นี่เป็นการทดลองแฝงโฆษณาของบริษัท Volkswagen เรียกว่า “ทฤษฎีแห่งความสนุก” โดยเปลี่ยนบันไดในเมือง Stockholm ประเทศสวีเดน ให้กลายเป็นรูปเปียโน เพื่อพิสูจน์ว่ามนุษย์จะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองเมื่อถูกดึงดูดด้วยความสนุกสนานได้หรือไม่? ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ 66 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ต้องขึ้นลงทางนั้น เลือกใช้บันไดแทนการขึ้นบันไดเลื่อน แถมพวกเขายังมีความสุขกับการได้ขึ้นบันไดอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าความสนุกสนานสามารถเปลี่ยนแปลงคนได้จริงๆ 2. The Smoky Room Experiment การทดลองนี้กำหนดให้คนที่เข้าไปทำแบบสอบถามอยู่ในห้องที่มีควันลอยออกมาเต็มไปหมดและจะสังเกตดูว่าผู้เข้ารับการทดลองมีท่าทีอย่างไรบ้าง ทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่ คนกลุ่มแรกต้องเข้าไปนั่งในห้องคนเดียว กลุ่มสองต้องเข้าไปนั่งในห้องพร้อมกัน 3 คน และกลุ่มที่สามเข้าไปคนเดียวแต่จะมีหน้าม้าเข้าไปด้วยอีก 2 คน ซึ่งทั้งสองทำเป็นไม่สนใจกับควันภายในห้อง ผลลัพธ์ออกมาว่าคนกลุ่มแรกจำนวน 75…
-
นักจิตวิทยาแนะนำ 12 เทคนิคแก้ปัญหา Impostor Syndrome โรคที่ “คิดว่าตัวเองด้อยค่า”
บางคนที่ทำงานมาอย่างหนักและประสบความสำเร็จมาโดยตลอด แต่กลับไม่รู้สึกยินดีกับสิ่งนั้น มองว่าตัวเองไม่คู่ควรกับสิ่งที่ได้มา คิดว่าตัวเองไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย หากว่าเป็นอย่างนั้นหมายความว่าคุณอาจกำลังมีอาการของ Imposter Syndrome อยู่ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่มองตัวเองในแง่ลบและรู้สึกด้อยค่า จนบางครั้งมันอาจกระทบเข้ากับการทำงาน การเรียน หรือการใช้ชีวิตของคุณได้ ดังนั้นวันนี้เราจึงจะมาพูดถึงแนวทางการแก้ไข เพื่อให้ทุกคนที่ป่วยเป็นอาการนี้สามารถกลับมาดีขึ้นได้อีกครั้ง เราลองไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง เขียนบันทึกไดอารี่สำหรับงานหรือสิ่งที่ได้ทำลงไป เขียนสิ่งที่ได้ทำสำเร็จและเป้าหมายที่เราสามารถก้าวไปถึงแล้วลงไปในสมุดซักเล่ม เพราะบางครั้งคุณอาจปล่อยให้ความรู้สึกแง่ลบในตัวครอบงำ จนไม่สามารถรับรู้ได้ว่าในวันนั้นคุณทำสิ่งดีๆ อะไรลงไปบ้าง พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องงาน พยายามหาโอกาสที่เหมาะสมพูดคุยกับเพื่อนในที่ทำงานเดียวกันในเรื่องงานที่ได้ทำ เพราะการพูดอย่างตรงไปตรงมาถึงข้อบกพร่อง ความท้าทาย หรือความสำเร็จของแต่ละคน อาจทำให้รับรู้ได้เองว่าความสามารถและสิ่งที่ต้องเจอของคุณ ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนทั่วไปเลย วางเป้าหมายที่ต้องการจะเป็นในอนาคต การวางแผนเอาไว้ว่าในอนาคต 2 ปี, 5 ปี และ 10 ปีข้างหน้าตัวคุณอยากให้มันเป็นอย่างไร จะช่วยบรรเทาความวิตกกังวลได้ สามารถรู้ได้แล้วว่าสิ่งที่ต้องทำเพื่อไปให้ถึงแผนที่วางไว้ในอนาคตอันใกล้ต้องทำอะไรบ้าง แผนอีก 10 ปีข้างหน้าที่คุณต้องค่อยเป็นค่อยไปก็จะทำให้คุณไม่รู้สึกว่าตัวเองตกต่ำ ในเมื่อมันต้องใช้เวลาและคุณก็ยังไม่สามารถทำอะไรกับมันได้มากนัก จงพยายามและประสบความสำเร็จไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน อย่าคิดว่าไม่สามารถเปลี่ยนแผนที่วางไว้ได้ เพราะจะกลายเป็นการทรมานตัวเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่าแผนที่วางเอาไว้และดำเนินการอยู่ไม่สามารถทำให้ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการได้ ก็จงกล้าตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงมันใหม่ เพราะสิ่งนั้นแสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนมีวุฒิภาวะ การวางแผนสำหรับมาทดแทนอันเดิมจะช่วยให้การตัดสินใจของคุณนั้นง่ายขึ้น ถามหาคำติชม ความรู้สึกไม่แน่ใจกล้าๆ…
-
ผู้เชี่ยวชาญแนะ 8 เหตุผลทางจิตวิทยา ที่อาจทำให้ใครซักคนตกหลุมรักคุณได้
จริงอยู่ที่คุณอาจจะเห็นใครซักคนมีหนุ่มๆ สาวๆ มารุมล้อมตกหลุมรักให้เห็นบ่อยๆ ทว่าบางทีแม้แต่ตัวพวกเขาเองก็แทบจะไม่รู้เลยว่า… อะไรคือสาเหตุที่ทำให้มีคนอื่นมาสนใจได้มากขนาดนี้ บ้างก็อาจจะมองว่าเป็นเรื่องของหน้าตา หรือบ้างก็อาจจะโบ้ยว่าเป็นเรื่องของเงินในกระเป๋า แต่คราวนี้เรามาลองดูเหตุผลทางจิตวิทยากันดีกว่า ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า 8 เหตุผลนี้แหละที่อาจเป็นตัวสร้างเสน่ห์ให้คุณได้โดยไม่รู้ตัว 1. ผู้คนมีแนวโน้มที่จะตกหลุมรักคนที่มีความคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกิจกรรมที่สนใจ ทัศนคติการมองโลก การวางตัว รวมไปถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่เคยผ่านมาในชีวิต สิ่งเหล่านี้อาจเป็นตัวเชื่อมทำให้คุณมีเสน่ห์ดึงดูดต่อฝ่ายตรงข้ามได้โดยไม่รู้ตัว 2. บุคลิกภาพที่อาจคล้ายคลึงกับบุพการีเพศตรงข้ามของคนๆ นั้น บุคลิกภาพโดยรวมของเราที่อาจมีส่วนคล้ายคลึงกับบุพการี หรือผู้ปกครองเพศตรงข้ามของคนๆ นั้น เช่น.. เราอาจมีลักษณะคำพูดคำจาที่คล้ายคลึงกับบิดาของฝ่ายตรงข้าม และนั่นก็ส่งผลทำให้เรามีเสน่ห์ดึงดูดต่ออีกฝ่ายมากขึ้นจริง 3. กลิ่นมีผลต่อการดึงดูดเพศตรงข้ามมากกว่าที่คุณคิด มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายสำนักชี้ชัดแล้วว่า ‘กลิ่น’ มีผลอย่างมากต่อการดึงดูดเพศตรงข้าม เช่น ผู้หญิงจะชอบกลิ่นตัวของผู้ชายที่มีเทสโทสเตอโรนมากกว่า เช่นเดียวกับการที่ผู้ชายรู้สึกว่ากลิ่น (จากต่อมฮอร์โมน) ของผู้หญิงในช่วงที่เป็นประจำเดือน มีเสน่ห์และน่าดึงดูดมากที่สุด 4. ท่าทางการวางตัวของคุณ นักจิตวิทยาแนะว่า ปฏิกริยาท่าทางการวางตัวของคุณระหว่างอยู่ในพื้นที่ทางสังคม ส่งผลต่อการดึงดูดเพศตรงข้ามรอบตัวคุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ แน่นอนว่าคนที่มีปฏิกริยาบุคลิกภาพหรือท่าทางที่ดูเก็บตัว ปิดกั้น ไม่ค่อยแสดงออก จะดึงดูดเพศตรงข้ามได้น้อยกว่ากลุ่มคนที่มีบุคลิกภาพแบบเปิดเผย 5. ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าความสูงมีผลต่อความรักจริง..!!…
-
ชวนตีความจากสิ่งที่เห็นในภาพ ว่าแท้จริงแล้วมีอะไรซ่อนอยู่ในบุคลิกภาพของคุณกันแน่
การตีความภาพกำกวม กำลังได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้คนในโลกโซเชียล และนั่นก็ทำให้นักจิตวิทยาดึงเรื่องนี้มาให้เราทดสอบกันบ่อยๆ หลักการของมันก็ง่ายมาก ขอเพียงแค่คุณให้ความสนใจกับสิ่งที่เห็นในตอนแรกก็พอ และที่คุณจะได้เห็นต่อไปนี้ก็ใช้วิธีเดียวกัน มันจะช่วยให้รับรู้ได้ว่าในบุคลิกภาพของคุณมันมีอะไรซ่อนอยู่ด้านใน หมายความว่ามันก็ไม่ได้บอกทุกอย่างที่เป็นคุณ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง อย่าลืมว่าให้ยึดมั่นกับสิ่งที่เห็นในตอนแรกเท่านั้นนะ! ว่าแล้วก็ลองไปดูกันเลย สิงโต แสดงว่าคุณชอบที่จะมองเข้าไปถึงเบื้องลึกหรือรอจุดเริ่มต้นของสิ่งต่างๆ กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเอง นี่แหละคนจริง! นกแปลกๆ คุณเป็นคนที่เวิ่นเว้อ ชิลล์ๆ ซะจนบางทีก็ขาดความรับผิดชอบในบางเรื่อง ขณะเดียวกันคุณเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ และคอยตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงโลกของเราให้มันดีขึ้น เป็ด เป็นไปได้ว่าชีวิตของคุณจะเต็มไปด้วยแรงกระตุ้นทางอารมณ์ ทำให้รู้สึกว่ามันขึ้นๆ ลงๆ หรือว่าแปรปรวนอยู่บ่อยครั้ง และมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจเรื่องต่างๆ อย่างรวดเร็วในทันที กระต่าย คุณชอบที่จะพิจารณาถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในทุกๆ การกระทำ เหตุและผลคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเป็นคนที่เย็นชาหรือว่าตายด้านหรอกนะ จระเข้ 2 ตัว ชอบที่จะพุ่งเข้าใส่ในทุกเรื่องและพยายามให้สถานการณ์ต่างๆ อยู่ภายใต้การควบคุมของคุณ อย่างไรก็ตามคุณก็ไม่ใชคนเผด็จการอะไร แต่เป็นผู้นำที่เอาใจใส่กับสิ่งรอบข้าง นก คุณไม่แคร์ว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคหรือความเหน็ดเหนื่อยเพื่อไปให้ถึงฝั่งฝัน บ่อยครั้งที่จะอ่อนข้อและสร้างความประนีประนอมกับคนรอบข้าง แต่ไม่ได้แปลว่าคุณเป็นคนที่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง นั่นจึงทำให้มีความตรงไปตรงมาและเข้าสังคมได้เก่ง ใบหน้าสุนัข แสดงว่าคุณวิเคราะห์รูปภาพตามปกติจากซ้ายไปขวา ไม่ใช่ว่าคุณเป็นคนธรรมดา…
-
นักจิตวิทยาเผย 25 พฤติกรรมทั่วไป ที่นำพาเราไปสู่ ‘ความสุขง่ายๆ’ ที่คุณก็สร้างเองได้
เราทุกคนต่างโหยหาชีวิตที่เป็นความสุข ไม่ว่าจะสุขด้านร่างกาย ด้านเงินทอง หรือแม้กระทั่งด้านความฝันที่อยากจะทำ ทว่าบางทีกลไกทางสังคมก็ไม่ได้เอื้อให้อะไรๆ ในชีวิตเราเป็นไปตามที่คาดหมายมากนัก นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมนักจิตวิทยาถึงออกมาเผย 25 พฤติกรรมง่ายๆ ที่เราเริ่มต้นได้ที่ตัวเรา และมันก็ส่งผลต่อระดับปริมาณความสุขในสมองเรามากขึ้นจริง จะมีอะไรบ้างตามไปชมกันเลย 1. เขียน 3 สิ่งที่เรารู้สึกว่าปลื้มปิติมากที่สุดในชีวิต เพราะสิ่งเหล่านี้จะยังทำให้คุณเห็นคุณค่าในตัวเองอยู่บ้าง 2. ไปเดินขึ้นเขา หรือไปนอนดูดาวกลางป่าซักคืน ไม่ต้องเชื่อก็ต้องเชื่อแหละว่าจักรวาลมีผลต่อตัวมนุษย์เราจริงๆ 3. ย้ายไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์ ต้องบอกก่อนว่า.. สวิตเซอร์แลนด์อาจไม่ใช่ที่ๆ ทำให้คุณมีความสุข แต่คนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นั่นเป็นคนมีความสุขมากที่สุดในโลกต่างหากล่ะ 4. ดื่มกาแฟร้อนๆ ชาร้อนๆ ซักวันละนิด (ไม่ต้องร้อนเกินนะ แค่พอดีๆ ก็พอแล้ว) 5. ทำสมาธิ… อันที่จริงคุณไม่ต้องเข้าชานถึงขั้นระดับพระโพธิ์สัตว์หรอก แต่แค่ทำเพื่อเป็นการฝึกสมาธิตัวเองวันละนิดๆ หน่อยๆ ก็โอเคแล้ว 6. อ่านเรื่องราวการผจญภัยของคนอื่น มีงานวิจัยยืนยันแล้วว่าการได้รับรู้เรื่องน่าตื่นเต้นของคนอื่น ช่วยทำให้เรามีความสุขขึ้นจริง 7. ออกไปข้างนอกซะบ้าง อย่าลืมว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะ อย่าเอาแต่หมกตัวไว้ในห้องมืดๆ…
-
จิตแพทย์เผย 10 วิธีในการสร้าง “ความสุข” ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ โดยเริ่มจากตัวเราเอง…
ความสุขคือสิ่งที่ใครก็อยากจะมี และแต่ละคนก็จะเกิดความสุขได้จากหลายสิ่งที่แตกต่างกันไป แต่แน่นอนว่าสิ่งกระตุ้นเหล่านั้น ไม่ใช่เพียงเหตุผลเดียวที่จะสร้างความสุขให้กับเราได้ เพราะเรื่องเล็กน้อยบางอย่างที่เราสามารถสร้างขึ้นได้จากตัวเราเองก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งได้เหมือนกัน เมื่อ Max Pemberton จิตแพทย์จากบริการด้านสุขภาพแห่งชาติของประเทศอังกฤษ ได้ออกมาเผยความลับ 10 วิธีสู่การมีความสุขของตัวเราเอง ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ยุ่งยากทุกคนสามารถทำได้ และเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้นกันไปในการใช้ชีวิตแต่ละวัน เราลองมาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง 1.ลดความกังวล คุณหมอ Max นึกถึงคนไข้ที่มีอาการวิตกกังวลและเขียนเป็นรายชื่อสิ่งที่เธอรู้สึกกังวลใจว่ามีอะไรบ้าง แม้ว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นก็ตาม แต่ด้วยวิธีการเดียวกัน เขาก็อยากให้ทุกคนได้ลองทำบ้าง จากนั้นก็ค่อยกลับมาอ่านรายชื่อเหล่านี้ ในอีกเดือนหรือปีผ่านไป ก็จะรู้ได้เลยว่ามันไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นเลย 2.ตระหนักว่า อะไรกันแน่ที่รบกวนจิตใจคุณ เมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งโมโหสามีอย่างมากที่ไม่ได้ซักผ้า นั่นคือการแสดงออกอย่างชัดเจนถึงเรื่องสามีที่ไม่สนใจภรรยา ดังนั้นการที่เราสามารถรับรู้ได้ว่า อะไรกันแน่ที่เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของเรา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ควรระบุได้ขณะต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ๆ 3.ปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความเมตตา คนไข้ของเขานั้นมักจะตัดสินตัวพวกเขาเองอย่างหนักหน่วงและรุนแรง มากกว่าตอนที่ตัดสินคนอื่น เขาจึงแนะนำว่า “ถ้าสิ่งเหล่านั้นคุณไม่ได้ใช้พูดกับคนที่คุณรัก คุณก็ไม่ควรที่จะนำมันมาพูดกับตัวเองเเช่นเดียวกัน” 4.มั่นใจว่าคุณดีต่อผู้อื่นอีกเช่นเดียวกัน เขาต้องการให้ทุกคนได้พิจารณาถึงสิ่งที่คนอื่นจัดการกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตของพวกเขาเหล่านั้น และต้องให้แน่ใจว่าคุณได้ให้พวกเขาเห็นถึงประโยชน์ของการมีข้อสงสัยกับเรื่องราวเหล่านั้น 5.งานของคุณ อาจก่อให้เกิดความทุกข์ เราต้องลองถอยหลังมาก้าวหนึ่ง…
-
ร่วมทายลักษณะบุคลิก ด้วยภาพซ้อนของเหล่าสรรพสัตว์ สิ่งแรกที่เห็นบ่งบอกตัวตนของคุณ…
พวกเราส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นก็จะใช้ชีวิตกันอยู่ในเมือง รายล้อมไปด้วยสิ่งปลูกสร้างมากมายที่อำนวยความสะดวกให้กับเราทุกคน แต่แท้จริงแล้วนั้นมนุษย์ก็ยังคงมีความผูกพันอยู่กับธรรมชาติอย่างน่าประหลาด แม้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในผืนคอนกรีต แต่ก็ยังคงโหยหากลิ่นอายของความเป็นธรรมชาติอยู่เสมอ และด้วยความผูกพันอันซับซ้อนเหล่านั้น ก็อาจจะบอกตัวตนของเราได้จากภาพของเหล่าสัตว์ป่า เพียงแค่เมื่อเราเห็นภาพด้านล่างปุ๊ปแล้วเราเห็นสัตว์ชนิดไหนก่อนเป็นตัวแรก ก็จะสามารถเผยความเป็นคุณที่ซ่อนอยู่ออกมาได้… เห็นสัตว์อะไรเป็นตัวแรกกันเอ่ย? หลังจากที่มองเห็นสัตว์ที่ขึ้นมาในใจคุณเป็นตัวแรกแล้ว จะมีการทำนายบุคลิกของเราที่สอดคล้องกับสัตว์ชนิดนั้นออกมา อาจจะมีความเป็นไปได้สูงว่าจะตรงกับตัวตนของคุณจริงๆ ก็เป็นได้!! นกพิราบ คือตัวแทนของสันติภาพ ความหวัง และความกลมเกลียว หากคุณเห็นนกพิราบก่อนสัตว์ชนิดอื่น นั่นแสดงถึงจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์และไม่ชอบการโต้แย้ง มีแนวโน้มที่จะเข้าหาสิ่งที่ดีกว่าโดยปราศจากการแสวงหาส่วนประกอบ คุณมุ่งความสนใจไปที่มนุษย์ที่มีความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง มากกว่าการวิ่งตามสิ่งต่างๆ บนโลก หรือความรักในความสงบนั่นเอง ผีเสื้อ ผีเสื้อแสดงให้เห็นถึงความสวยงามและความสุข ใบ้ให้ได้เลยว่าคุณเป็นคนที่แสวงหาความสุขในชีวิตอยู่เสมอโดยไม่กังวลเรื่องของอดีตหรืออนาคตแต่อย่างใด คุณเชื่อว่าชีวิตมันสั้นเกินกว่าที่จะมาคิดจุกจิก เกลียดการพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะ และรู้สึกเบื่อเวลาที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับประสบการณ์ชีวิตอย่างเต็มที่ เพราะว่าชีวิตนี้เกิดมาแค่ครั้งเดียว ก็จงเต็มที่กับมันซะ เหยี่ยว สัญลักษณ์แห่งอิสระ หากคุณเห็นเหยี่ยวก่อน คุณคือคนที่มองหาการผจญภัยอยู่ คุณมีแนวโน้มที่จะบินไปได้สูงกว่าคนอื่นๆ และคุณก็เชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น มีความภาคภูมิใจและนับถือในตัวเองสูง สิ่งที่คุณไม่ชอบนั้นจะไม่เกิดขึ้น หากว่าคุณได้ใช้ชีวิตไปตามเงื่อนไขของตัวคุณเอง สุนัข สุนัขกับความจงรักภักดีนั้นเป็นของคู่กัน คุณเป็นผู้ให้ที่ยอดเยี่ยมโดยไม่สนใจถึงตัวคุณเองเลย…
-
ข้อคิดที่เราควรตระหนัก จากคลิปเด็กถือมีดขู่คุณปู่ตัวเอง หลังรู้ข่าว “พ่อแม่หย่ากัน”!?
สิ่งที่เราจะต้องรับรู้มาตั้งแต่สัยเด็กนั้นจะสามารถจดจำและติดตัวมาจนถึงวัยผู้ใหญ่ได้ นั่นจึงทำให้ผู้ปกครองหลายๆ คนเลือกที่จะดูแลลูกๆ ของตนเองอย่างใกล้ชิด หรือในบางครั้งด้วยเหตุผลบางอย่างก็อาจทำให้ไม่สามารถดูแลเด็กได้อย่างเต็มที่ นี่อาจเป็นเรื่องๆ หนึ่งที่เกิดจากสิ่งเหล่านั้นก็ได้ เมื่อได้มีคลิปวิดีโอเผยแพร่ออกมาทำให้เห็นถึงการแสดงออกของเด็กชายคนหนึ่งที่ถือมีดข่มขู่คุณปู่ของตัวเองพร้อมพูดจาก้าวร้าวว่าจะเอาชีวิตของปู่ นั่นจึงทำให้คุณปู่ภายในคลิปต้องถือไม้ไผ่ยาวไว้ป้องกันตัวเอง จากการรายงานเพิ่มเติมของเว็บไซต์ hk.on.cc จึงได้ทราบว่าเหตุการณ์นี้นั้นเกิดขึ้นในมณฑลอานฮุย ประเทศจีน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่พ่อแม่ของเด็กได้หย่าร้างกัน นั่นได้สร้างบาดแผลและความสะเทือนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับตัวเด็กนั่นเอง คลิปวิดีโอเด็กชายถือมีดขู่จะเอาชีวิตคุณปู่ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นสามารถอธิบายได้ตามหลักจิตวิทยาคร่าวๆ ว่าด้วยความไวในการเจริญเติบโตและการเรียนรู้อันรวดเร็วของสมองที่มากกว่าวัยอื่นๆ ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ นั่นจึงทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงวัยนี้นั้นจะเป็นการวางรากฐานสู่อนาคต การดูแลอย่างใกล้ชิดของผู้ปกครองจึงเป็นสิ่งสำคัญ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจึงสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ สิ่งที่อาจเกิดจากการบกพร่องในเรื่องของการเลี้ยงดู ทำให้เด็กได้รับการเรียนรู้จากสื่อหรือสิ่งรอบตัวที่ขาดการควบคุมดูแล เด็กจึงได้รับสิ่งนั้นมาและเกิดพฤติกรรมการเลียนแบบจนออกมาเป็นพฤติกรรมที่ตัวเด็กเองคิดว่าสามารถใช้วิธีดังกล่าวแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ พฤติกรรมง่ายๆ ที่เรามักจะพบเห็นได้ทั่วไปก็คือการลงไปนอนร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจให้พ่อแม่ยอมซื้อของที่ตัวเองต้องการ หากว่าเด็กรับรู้ได้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวได้ผล ก็จะทำให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบหรือการทำซ้ำของเด็กบ่อยครั้งขึ้น และการถือมีดขู่จากความไม่พอใจนี้ก็คล้ายกับพฤติกรรมลงไปนอนร้องไห้ เพียงแต่แสดงออกมาในแบบที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าจากสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กทุกคน ดังนั้นการดูแลเอาใจใส่ให้กับเด็กนั้นจึงสำคัญเพราะในช่วงแรกนั้นพวกเขาจะไม่สามารถแยกได้ว่าสิ่งไหนเหมาะสมหรือไม่ การนำทางให้กับชีวิตของเด็กๆ ให้ไปในทางที่ดีก็คือหน้าที่หนึ่งของผู้ปกครองทุกคนนะครับ ที่มา: hk
-
สังเกต 10 สัญญาณเตือน ที่ช่วยบ่งบอกได้ว่า คุณเสี่ยงจะเป็นโรคอารมณ์สองขั้วหรือไม่…
ป่วยกายยังรับรู้ได้ง่ายกว่าการป่วยใจ เพราะสังเกตได้จากอาการภายนอก แต่สำหรับอาการจิตใจที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นจะสังเกตได้ยากมากๆ ด้วยความซับซ้อนของความคิดหรือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวเรา จึงทำให้อาการป่วยทางจิตใจนั้นมีมากมายหลายรูปแบบ แต่ถึงอย่างนั้นในความเป็นจริงแล้ว การที่จะชี้ว่าเป็นอะไรได้อย่างชัดเจนนั้นมันเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโรค Bipolar หรือ โรคอารมณ์สองขั้ว “ความแปรปรวนของอารมณ์กลุ้มอกกลุ้มใจกับการทำงาน หรือว่าความรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรงนั้น คือเรื่องปกติที่เกิดขึ้น แต่ในความผิดปกตินั้นจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและแตกต่างกันไป” นี่คือคำพูดของ Dr. Carrie Bearden ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาจิตเวช พฤติกรรมศาสตร์และจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย UCLA ในแคลิฟอร์เนีย โรค Bipolar หรืออารมณ์สองขั้วนั้นคือความผิดปกติทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ที่ผู้ป่วยจะมีลักษะอารมณ์สลับช่วงไปมาระหว่างอารมณ์ซึมเศร้า สลับกับช่วงที่อารมณ์ดีมากกว่าปกติ โดยแต่ละช่วงอาจอยู่เป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนๆ งั้นเราลองมาดู 10 สัญญาณที่สามารถสังเกตได้ว่าคุณมีความใกล้เคียงกับความเสี่ยงที่อาจเป็นโรคนี้หรือไม่ 1. อารมณ์ดี อย่าเพิ่งคิดกันว่าทำไมอารมณ์ดีก็เป็นอาการหนึ่ง แต่อย่างที่บอกคือโรคนี้คือการสลับช่วงกันจากเศร้าไปเป็นอารมณ์ดี ในช่วงอารมณ์ดีนั่นแหละที่ผู้ป่วยบางคนอาจเป็นมากจนเกินไปถึงขั้นทำลายความเป็นจริงไปเลย แต่นอกจากนั้นก็ยังมีช่วงที่เรียกว่า Hypomania ที่จะทำให้คุณรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานและความคิดสร้างสรรค์ทำให้มีความรู้สึกสบายผ่อนคลาย รู้สึกสนุกไปจนจบช่วงนั้นๆ 2. ไร้ความสามารถในการทำภาระหน้าที่ให้สำเร็จ เป็นอีกหนึ่งสัญญาณสังเกตได้จากการที่ไม่สามารถทำงานหนึ่งต่อไปอีกงานหนึ่ง วางแผนไว้อย่างยิ่งใหญ่หรือโปรเจคในหัวที่ไม่มีความเป็นไปได้ และเมื่อคิดเอาไว้ก็ไม่สามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้สำเร็จซักอย่าง แต่ก็ยังจะก้าวไปทำเรื่องอื่นต่อไป เริ่มเป็นล้านสิ่งแต่ไม่สำเร็จสักอย่างนั่นเอง …
-
สำรวจตัวตนของคุณ ด้วยแบบวัดเชิงจิตวิทยา ‘Myer-Briggs’ จากทั้งหมด 16 บุคลิกภาพ…
เคยสงสัยเรื่องบุคลิกภาพเรากันบ้างไหมว่ามันออกมาเป็นแบบไหนทั้งในมุมมองของเราและของคนอื่น เราคิดว่าเราเป็นอย่างไร จะประมาณไหนนะ ลองมาดูผลสรุปบุคลิกภาพในแบบต่างๆ กันได้เลย Myer-Briggs Type Indicator หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า MBTI เป็นแบบวัดบุคลิกภาพที่ถูกสร้างขึ้นโดยแนวทฤษฎีของนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียง Carl Jung Carl Gustav Jung นักจิตวิทยาชาวสวิส ซึ่งแบบวัดนี้จะแบ่งออกเป็นด้านตรงข้าม 4 ด้านได้แก่ Extravert (E) เข้าสังคม – Introvert (I) เก็บตัว , Sensing (S) ใช้ประสาทสัมผัส – Intuition (N) หยั่งรู้ , Thinking (T) ใช้ความคิด – Feeling (F) ใช้ความรู้สึก และสุดท้ายคือ Judgement (J) ตัดสิน – Perception (P) รับรู้ เมื่อนำแต่ละด้านมาเรียงกันได้เป็นอักษรภาษาอังกฤษ 4…
-
9 แนวคิดทางจิตวิทยาที่ทำให้คุณเป็นคนมีเสน่ห์ และสามารถดึงดูดคนอื่นได้มากยิ่งขึ้น
ในสังคมของเราจะมีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่ไม่ว่าจะทำอะไรหรืออยู่ที่ไหนก็จะได้รับความสนใจจากผู้อื่นอยู่เสมอ หลายคนอาจบอกว่าที่คนเหล่านั้นมีแต่คนสนใจเพราะพวกเขาหน้าตาดี ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วมันไม่เกี่ยวเสมอไป เพราะการจะเป็นคนที่น่าสนใจต้องมีอะไรที่มากกว่าความสวย/หล่อ และถ้าใครอยากเป็นคนแบบนั้นล่ะก็ นี่คือ 9 แนวคิดทางจิตวิทยาจากเว็บไซต์ BrightSide ที่คุณควรรู้เอาไว้ หากอยากมีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้อื่นมากยิ่งขึ้น ภาพลักษณ์ส่วนบุคคล คุณต้องมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร และต้องทำให้จุดๆ นั้นเป็นที่จดจำของผู้อื่น มันอาจไม่ใช่ความสวยงามหรือความหล่อเหลา แต่อาจเป็นอะไรก็ได้ อย่างเช่นเวลาเราพูดถึง ชาร์ลี แชปลิน เราจะนึกถึงหนวดของเขา เหมือนกับที่เรานึกถึง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เราก็นึกถึงภาพลักษณ์ดุๆ กับหนวดของเขา ฝันให้ใหญ่ จะทำให้คนจดจำคุณได้ คุณต้องมีความทะเยอทะยาน มีความฝันอันยิ่งใหญ่ ไม่อย่างนั้นคุณก็เป็นเหมือนหนังสือที่ปกสวย แต่ข้างในกลับว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ใครจะอยากสนใจล่ะจริงมั้ย มั่นใจ จนมั่นใจในตัวเอง ทั้งเรื่องความคิด การตัดสินใจ และการกระทำ อย่ารอให้ใครมาถามความเห็น คุณจงมั่นใจที่จะออกความเห็นของตัวเองออกไป และพยายามอย่าใช้คำว่า “ฉันคิดว่า” “ฉันหวังว่า” เพราะมันแสดงถึงความไม่มั่นใจของตนเอง เลิกบ่น คุณชอบคนที่บ่นโน่นบ่นนี่ตลอดเวลาหรือเปล่า? แน่นอนว่าไม่ คนที่เป็นที่รักของผู้อื่นจะมีความคิดด้านบวกเสมอ และเขาจะปล่อยพลังด้านบวกนั้นออกมาให้คนรอบข้าง เลิกบ่น เลิกวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องดีๆ…
-
ผู้เชี่ยวชาญเผย 11 ทริคทางจิตวิทยา เพื่อโน้มน้าวให้คนอื่นทำตามในสิ่งที่เราขอ!?
เชื่อไหมว่าไม่จำเป็นต้องเป็นถึงระดับ CEO เราก็สามารถทำให้คำพูดเรามีน้ำหนักพอที่จะจูงใจคนฟังได้!! เพราะล่าสุดผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาได้ออกมาเผยถึง 11 ทริคไม่ลับ ที่จะช่วยทำให้เราสามารถสื่อสารกับฝ่ายตรงข้ามให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้ง่ายขึ้น โดยที่บางทีพวกเขาอาจจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ 1. ใช้ตัวล่อช่วยทำให้คนหันมาซื้อสินค้าเรามากขึ้น นักเศรษฐศาสตร์ ‘Dan Ariely’ เคยกล่าวบนเวที Ted Talk ถึงเทคนิคการขายของสองสิ่งที่อาจจะมีราคาสูงใกล้เคียงกัน ให้ผู้ขายใช้สินค้าตัวที่ 3 เข้ามาเป็นตัวล่อ ยกตัวอย่างเช่น ร้านแห่งหนึ่งขายเค้กช็อคโกแลตปอนด์ละ 500 บาท เค้กกล้วยปอนด์ละ 1,000 บาท แต่ถ้าเอาทั้งเค้กกล้วย และเค้กช็อคโกแลต ราคาก็จะยังคงอยู่ที่ 1,000 บาท จะทำให้ดูเหมือนว่าตัวเลือกที่ 3 น่าสนใจมากที่สุด และดูคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งเขาได้อธิบายเพิ่มว่านั่นก็คือการสร้างตัวเลือกที่ 3 โดยให้กลุ่มคนซื้อรู้สึกว่าคุ้มค่าที่สุด 2. เปลี่ยนบรรยากาศการพูดคุยให้อยู่ในที่ๆ คนรู้สึกเห็นแก่ตัวน้อยลง บรรยากาศคือสิ่งสำคัญในการต่อรอง ถ้าหากเราต้องต่อรองกับเพื่อนร่วมงานละก็ บางทีอาจจะเปลี่ยนจากห้องประชุมที่แสนจะน่าเบื่อ ย้ายมาคุยกันที่บรรยากาศร้านกาแฟสุดแสนจะร่มรื่นย์ หรือสวนสาธารณะ สถานที่ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมความก้าวร้าวของมนุษย์ได้น้อยกว่า 3. ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่นก่อน Robert Cialdini นักจิตวิทยาได้กล่าวว่า อีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้คนๆ…
-
บอกมาคุณเห็นอะไร!? ภาพแรกที่สมองสั่งให้คุณเห็นสามารถบ่งบอกได้ว่าคุณเป็นคนยังไง
วันนี้ #เหมียวเลเซอร์ มีอะไรสนุกๆ ทดสอบสมองกันซักหน่อย ไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไรมากมาย เป็นเพียงแค่ภาพหนึ่งภาพ แต่สามารถบอกได้ว่าความคิดของคุณเป็นแบบไหนกัน เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็เลื่อนลงมาดูกันโลด!! ปิ๊งงงงง!! เอาล่ะ ทีนี้ ลองบอกมาซิว่าแวบแรกที่เห็น คุณนึกถึงอะไรเอ่ย? นกใช่มั้ย? ใช่กระต่ายรึเปล่า? เอ หรือว่าจะเป็น เป็ด? ไม่ว่าคุณจะเห็นเป็นอะไร มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ตอนแรกคุณเห็นเป็นเป็ด แต่ลองดูอีกที อ๊ะ!! มันกลายเป็นกระต่ายไปแล้ว งงล่ะสิ? สำหรับภาพดังกล่าวนั้นเป็นภาพลวงตา (ลักษณะคล้ายๆ กับสีเสื้อทอง – น้ำเงิน ที่เถียงกันในเน็ตไม่รู้จบนั่นแหละ) และสิ่งแรกที่คุณมองเห็นจะสามารถบ่งบอกได้ว่าสมองของคุณมีความคิดสร้างสรรค์มากแค่ไหน โดยภาพนี้ถูกวาดขึ้นมาโดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกันนามว่า Joseph Jastrow เป็นการทดสอบการประมวลผลของสมองที่จะสามารถมองเห็นสัตว์ตัวที่สองได้รวดเร็วแค่ไหน ซึ่งถ้าหากว่าคุณสามารถสังเกตเห็นสัตว์ตัวที่สองได้เร็วมากๆ นั่นก็หมายความว่าคุณเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าปกติ ที่มา : ist-socrates.berkeley.du, mathworld.wolfram, theladbible
-
‘หมาป่า’ กับบทบาทนักล่าที่กลายมาเป็นผู้เยียวยาให้กับทหารผ่านศึกผู้บอบช้ำให้กลับมาหายดี
ถ้าหากให้พูดถึงสัตว์นักล่าผู้น่าเกรงขามในป่าลึก ก็คงจะหนีไม่พ้น ‘หมาป่า’ นี่แหละ ด้วยความที่ไม่เหมือนหมาบ้านหรือสุนัขเลี้ยงที่คุ้นเคยกับมนุษย์ พวกมันมีสัญชาตญาณความเป็นนักล่าสูง ดุร้าย พร้อมที่จะจู่โจมได้ทุกเมื่อ แต่กลับกลายเป็นว่าหมาป่าที่ศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าสงวนจากแคลิฟอร์เนีย ได้สลัดคราบนักล่าออกไปจนหมดสิ้น ได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ในการเยียวยาจิตใจของเหล่าทหารผ่านศึกที่ประสบกับโรคความผิดปกติทางด้านความเครียด น้องหมาป่าจากศูนย์อนุรักษ์ Lockwood รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมทำหน้าที่ใหม่กับทีมสัตวแพทย์ ที่ก่อตั้งโดยอดีตทหารเรือแห่งกองทัพสหรัฐฯ Matt Simmons กับนักจิตวิทยา Dr Lorin Lindner โดย Dr Lorin Lindner นั้นได้กล่าวเอาไว้ว่าการที่นำหมาป่าที่ได้รับการช่วยเหลือมาจับคู่กับทหารผ่านศึก จะช่วยทำให้ทั้งสองสามารถปรับความเข้าใจกันได้ เพราะเป็นอาการที่ขาดความเชื่อใจ ยากที่จะสร้างความสัมพันธ์ใหม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่ปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน จะทำให้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น นอกจากจะช่วยบรรเทาอาการความเครียดของทหารผ่านศึกแล้ว ยังช่วยให้เหล่าหมาป่าได้รับการรักษาทางจิตใจเช่นเดียวกัน อย่างเช่น Jim Minick ได้กล่าวเอาไว้ว่า ‘พวกมันไม่ตัดสินคุณจากภายนอก ทำอะไรมาก่อน พวกมันแคร์เพียงแค่ว่าตอนนี้คุณเป็นแบบไหน และมันจะช่วยสานสัมพันธ์แบบพิเศษขึ้นมา’ ที่มา : unilad
-
นักวิจัยเผยวิธีเอาชนะโรคกลัวแมงมุมได้ภายในสองนาที ‘ถ้ากลัวมัน ก็เข้าไปอยู่กับมันซะเลยสิ’
สัตว์โลกที่ทำให้หลายๆ คนถึงกับขนลุกขนพองผยองเดชมานักต่อนัก มันก็คือ ‘แมงมุม’ นั่นเอง ด้วยจำนวนขาที่มีมากว่าสี่ บางตัวก็ขายาวเป็นก้าง มีหนวด บางตัวก็อ้วนตุ๊บขาเป็นปล้อง แถมยังมีขนตามตัวอีก อี๋!! แค่นึกภาพก็สยองจะแย่แล้วววววว แล้วความกลัวแมวมุมเหล่านี้ คุณเคยคิดที่จะเอาชนะมันบ้างรึเปล่า? ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นซะเหลือเกิน ทั้งนี้นักวิจัยจากภาควิชาจิตวิทยาคลินิก มหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม ได้เสนอทางเลือกอันสุดแสนจะวิเศษที่จะทำให้คุณสามารถเอาชนะความกลัวแมงมุมได้ภายในสองนาทีเท่านั้น แต่การที่จะเอาชนะมันในระยะเวลาอันแสนสั้นนี้ กลับกลายเป็นวิธีการที่ดูเหมือนจะทรมานเสียมากกว่า ดั่งสุภาษิต ‘หนามยอกเอาหนามบ่ง’ กลัวแมงมุม ก็ต้องไปอยู่กับแมงมุมภายในห้องเดียวกัน ซึ่งนักวิจัยก็เชื่อว่าการกระทำแบบนี้ภายในเวลาสองนาที กับการนำตัวกระตุ้นความกลัวเข้าไปด้วย จะช่วยทำให้เกิดการต่อสู้กับความกลัว โดยที่สองนักวิจัย Marieke Soeter และ Merel Kindt ได้ทำการทดลองกับผู้ที่มีอาการกลัวแมงมุม 45 ราย ไปขังเดี่ยวพร้อมกับแมงมุมทารันทูล่า พร้อมกับให้ยา Propranolol หรือ Placebo เพื่อลดความเครียดและกดดันของผู้ทดสอบ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือบางคนอาการกลัวแมงมุมหายไปในทันที ในขณะบางส่วนก็ยังคงมีอาการกลัวแมงมุมอยู่ โดยอาศัยระยะเวลาผ่านไปประมาณปีกว่าๆ ความกลัวแมงมุมก็เริ่มหายไป …
-
ชายคนนี้ใช้หลักการทาง “จิตวิทยา” ทำให้สุนัขของเขาสามารถกินยาเองได้
ถือเป็นปัญหาสำหรับคนเลี้ยงสัตวืเลี้ยงเลยก็ว่าได้สำหรับการให้ยาพวกมัน ซึ่งก็เหมือนกันตอนที่เราเด็กๆนั่นแหละ พอรู้ว่าอะไรเป็นยาแล้ว เราจะไม่อยากกินและต่อต้านขึ้นมาทันที แต่ชายคนนี้กลับทำให้สุนัขกินยาได้อย่างง่ายได้ โดยใช้หลักการ Reverse Psychology หรือถ้าแปลเป็นไทยตรงๆก็คือจิตวิทยาย้อนกลับ เพื่อทำให้สุนัขของเขากินยา ในคลิป เขาได้สาธิตวิธีการทำก็คือ ตอนแรกหมาแทบไม่สนใจสิ่งที่เขาทำอยู่เลย จนกระทั่งเขาพูดว่า “no” (ไม่) ซึ่งเป็นการห้าม การพูดว่า “no” นั้นจะทำให้หมาสนใจว่า เอ๊ะ มีอะไรที่เราชอบรึเปล่านะ เจ้านายถึงได้ห้าม เหมือนอย่างเรากำลังจะกินของโปรด แล้วสุนัขก็จะมาตามและขอกินด้วย เราก็จะพูดว่า “no” เช่นกัน และมันก็จะตามเซ้าซี้เอง เพราะมันรู้ว่าของที่เรากินมันต้องอร่อยมากแน่ๆ เขาก็พยายามพูดว่า “no” อยู่หลายๆครั้งเพื่อยั่วหมาให้อยาก เราไปดูวิธีสุดแสนฉลาดของเขากันเลยดีกว่า ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะได้ผลขนาดนี้ ถ้าใครเลี้ยงสุนัขแล้วกำลังจะเอายาให้มัน แนะนำให้ลองใช้วิธีนี้ดูนะ แต่ถ้าเราเคยให้แบบบังคับมันไปแล้ว เหมียวว่าคงจะเป็นเรื่องยากแล้วล่ะ เพราะมันจำได้ว่าใส่ที่คุณแกะให้มันนั่นคือยา แต่ละลองดูก็ไม่เสียหายนะ ที่มา distractify
-
การที่น้องหมาเอียงหัวในขณะที่เราพูดหรืออธิบายอยู่ มันกำลังตั้งใจฟังเราอยู่รึเปล่านะ!?
หากใครเป็นผู้ที่เลี้ยงสุนัขแล้ว การที่จะทำความเข้าใจระหว่างมนุษย์กับเจ้าตูบสี่ขานั้นมีหลากหลายวิธีมาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้เสียงออกคำสั่ง การใช้ภาษากายต่างๆ แต่เคยสังเกตกันบ้างมั้ยว่าเวลาที่เราจ้องหน้าน้องหมาแล้วพูดอะไรบางอย่าง ทำไมน้องหมาถึงต้องเอียงหัวด้วย? หรือว่ามันกำลังตั้งใจฟังเราอยู่? ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญก็ได้ออกมาเปิดเผยเอาไว้ว่า การแสดงออกเหล่านี้ของสุนัขเป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่ง และเป็นการตอบรับทางอารมณ์ของมนุษย์ผ่านการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ของมนุษย์ตั้งแต่อารมณ์บนใบหน้ารวมไปถึงท่าทางต่างๆ และเสียงพูดของเราด้วย ไม่ว่าเราจะพูดอย่างไร แสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าหรือท่าทางแบบไหน เจ้าตูบสี่ขาอันเป็นที่รักก็จะพยายามรับรู้ถึงอารมณ์ของคุณด้วยการเอียงหัว หมายความว่าฉันก็รู้นะว่าเธอหมายถึงอะไร อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญก็ได้กล่าวในอีกแง่หนึ่งก็คือการที่น้องหมาเอียงหัวอาจจะมีเหตุผลอื่นๆ อีกด้วย เช่น เป็นการปรับประสาทการรับรู้เสียงผ่านหูให้ได้องศาที่ตรงกับแหล่งของเสียงนั่นเอง แต่ถึงแม้จะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม เวลาที่จ้องหน้ากันแล้วน้องหมาเอียงหัวทำเหมือนว่าฟังเราอยู่มันก็น่ารักจริงๆ อ่ะเนอะ อิอิ ที่มา : unilad, psychologytoday, mentalfloss
-
ระวังตัวเอาไว้ให้ดี!! เผย 8 กลยุทธ์ในการจับโกหก จากอดีตเจ้าหน้าที่ FBI
ความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่ซับซ้อนมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่กระทำความผิด ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นผู้กระทำแต่ไม่อยากเปิดเผยให้ใครได้รับรู้ กลายมาเป็นบ่อเกิดแห่งการโกหกและหลอกลวงเพื่อให้พ้นผิด โดยที่อดีตเจ้าหน้าที่ FBI นามว่า LaRae Quy ผู้ที่ร่วมฝึกฝนและปฏิบัติหน้าที่ในการอ่านจิตใจของผู้คน เพื่อที่จะเค้นความจริงที่ปกปิดอยู่ภายใน ได้ออกมาเปิดเผยและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจับโกหก ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตจริงได้ 1. สร้างบรรยากาศที่ดีในการเปิดอกพูดคุย โดยทั่วไปแล้วการสืบสวนเพื่อเค้นหาความจริง บทบาทของตำรวจที่ดีมักจะได้ผลดีกว่าตำรวจที่แย่เสมอ (ความเคร่งขรึมและทำร้ายร่างกายผู้ต้องหา) เพราะฉะนั้นแล้วการเห็นอกเห็นใจในระหว่างบทสนทนา จะช่วยสร้างความไว้ใจให้กับฝ่ายตรงข้าม จนยอมเปิดเผยความจริงให้เราได้รับรู้ 2. สร้างความประหลาดใจกับคำถามที่คาดไม่ถึง คนที่โกหกจะพยายามคาดเดาคำถามของฝ่ายตรงข้ามอยู่เสมอ ซึ่งคำตอบที่ออกมานั้นจะไหลลื่นและเป็นธรรมชาติ รวมไปถึงอาจจะมีการฝึกซ้อมตอบคำถามมาก่อนด้วย ดังนั้นการถามคำถามที่พวกเขาคาดไม่ถึงจะทำให้การตอบคำถามชะงักไปในทันที จนเริ่มไม่มั่นใจที่จะตอบ 3. ให้ฟังมากกว่าพูด (สังเกตอาการของคู่สนทนา) คนโกหกมักจะพูดมากกว่าคนที่พูดแต่ความจริง (มีแต่น้ำไม่มีเนื้อ) เพื่อพยายามโน้มน้าวและหลีกเลี่ยงประเด็นให้คนฟังรู้สึกคล้อยตามด้วยประโยคที่สลับซับซ้อนเพื่อซ่อนความจริง ลองสังเกตพฤติกรรมในระหว่างที่พูดอยู่ดังต่อไปนี้ 3.1 หากรู้สึกมีความตึงเครียด จะพูดเร็วกว่าปกติ 3.2 ยิ่งเครียดก็จะยิ่งพูดเสียงดังมากขึ้น 3.3 น้ำเสียงเริ่มไม่เป็นธรรมชาติ เปลี่ยนไปจากเดิมในตอนแรกที่เริ่มพูด 3.4 มักจะไอและล้างลำคอบ่อยๆ เวลาที่พูดแล้วรู้สึกเครียด…
-
9 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทางด้านจิตวิทยา จิตใจของมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง เอ๊ะ!?
จิตใจและความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ เลยล่ะ เพราะแม้แต่ตัวมนุษย์เองก็ยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่แน่ชัดเกี่ยวกับตัวเองได้ว่าทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ แล้วทำไมต้องทำแบบนั้น อ้าว!? ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องมีเหตุผลสิ นักจิตวิทยาจึงขอแถลงไขเรื่องของจิตใจมนุษย์เล็กๆ น้อยๆ ให้ได้รู้กัน 1. เมื่อรู้สึกเศร้าหรือกลัว แบรนด์และโลโก้ต่างๆ ก็จะมีผลต่อจิตใจเรามากยิ่งขึ้น 2. สมองของมนุษย์ไม่มีระบบจัดเก็บแบบฮาร์ดดิกส์ แต่จะเป็นการสร้างความทรงจำขึ้นมาใหม่ นั่นก็หมายความว่าความทรงจำสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา 3. ถ้าคุณเป็นพวกนอนหลับฝันกลางวันบ่อยๆ จะส่งผลดีต่อความคิดสร้างสรรค์และสามารถจัดการปัญหาต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น 4. ลักษณะนิสัยนั้นๆ จะใช้เวลาในการก่อตัวประมาณ 66 วัน 5. มนุษย์ไม่สามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน เพราะสมองไม่สามารถจดจ่อกับการทำงานหลายๆ สิ่งที่มีความซับซ้อนสูงได้ 6. มนุษย์มักจะคาดเดาความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ล่วงหน้าอยู่เสมอ เช่นถ้าถูกหวยก็จะรู้สึกดีใจสุดๆ แต่ถ้าเกิดว่าตกงานขึ้นมาก็คิดเอาไว้เลยว่าจะต้องเศร้ามากแน่ๆ ถึงอย่างไรก็ตามสมองก็จะพยายามรักษาความรู้สึกให้เท่ากันอยู่เสมอ 7. มนุษย์จะจดจำข้อมูลระยะสั้นๆ ได้ประมาณ 5 – 9 อย่างเท่านั้น …