Tag: ตัดสิน
-
หนุ่มทำร้ายแฟน ‘รอดคดี’ เพราะศาลมองว่า ฝ่ายหญิงดู “แข็งแรง” เกินจะเป็นเหยื่อ…?
เมื่อหญิงชาวอังกฤษถูกแฟนหนุ่มใช้ความรุนแรงใส่ แต่กลับได้รับการตัดสินจากศาลว่า เธอนั้น “แข็งแรง” เกินกว่าจะตกเป็นเหยื่อ จึงเกิดความไม่พอใจให้กับหลายคนที่ทราบเรื่อง Paul Measor วัย 35 ปี อดีตแฟนหนุ่มของ Lauren Smith วัย 24 ปี ถูกฟ้องในข้อหากดขี่ทางกายเป็นประจำทุกวัน ซ้ำยังสอนลูกชายวัยหนึ่งขวบให้พูดคำว่า “ไสหัวไป” กับสอนให้เรียกแม่ว่า “นางกาก” อีกด้วย Lauren ได้บันทึกเสียงของ Paul มาเป็นหลักฐานถึง 9 ชิ้น ทั้งหมดถูกเปิดในชั้นศาล หนึ่งในหลักฐานพบว่า Paul มีการถ่มน้ำลายใส่ฝ่ายหญิงด้วย Lauren Smith แต่อย่างไรก็ตาม Helen Cousins ผู้พิพากษาเขต กลับตัดสินให้ Paul นั้นพ้นข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยผู้พิพากษากล่าวว่า… “ฉันแน่ใจว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการบงการและบังคับขู่เข็ญ แต่มัน ไม่ได้ส่งผลร้ายแรง กับเหยื่อ อีกอย่างเหยื่อนั้นดูเป็น ผู้หญิงที่แข็งแรง และมีศักยภาพที่จะรับมือกับเรื่องนี้ได้ ฉันจึงไม่อาจพูดได้ว่าการกระทำของเขามีผลร้ายแรงกับเธอในบริบทดังกล่าวมานี้” ส่วนทางฝ่าย Lauren…
-
เคสคดีสุดเศร้า ‘ชาถุงเดียว ติดคุก 10 ปี’ จงใจสร้างหลักฐานเท็จ ใส่ร้ายขนยาข้ามประเทศ!!
เรื่องราวคดีความที่ไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดของ Alexei Novikov ในเดือนกันยายนปี 2015 ชายวัย 34 ปีผู้นี้ กำลังจะออกเดินทางไปพบกับภรรยาและลูกสาวของเขาในเมืองซามารา ประเทศรัสเซีย ด้วยการขับรถยนต์ผ่านเส้นทางลัดตัดเข้าชายแดนคาซัคสถาน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างเดินทางเขาจึงเลือกผ่านด่าน Isikul Road จนกระทั่งมาถึงด่านตรวจ เขาถามเจ้าหน้าที่ว่าสามารถเดินข้ามชายแดนได้หรือไม่ แต่ก่อนที่จะได้รับคำตอบ เขาถูกบังคับให้แสดงสิ่งของในเป้สะพายเพื่อตรวจสอบ และการดิ่งลงเหวของเขาก็เริ่มขึ้น… Alexei Novikov ในระหว่างการตรวจค้นกระเป๋า เจ้าหน้าที่ชายแดนพบกับถุงพลาสติกเขียนกำกับไว้ว่า Diabetisan ประกอบไปด้วยใบของพืชอบแห้งหลายชนิด Alexei พยายามอธิบายว่ามันเป็นชื่อของผลิตภัณฑ์ใบชา อันเป็นใบชาจากธรรมชาติ สำหรับดื่มป้องกันและลดอาการของโรคเบาหวาน บนถุงได้ระบุคำอธิบายไว้เป็นภาษาสเปนอ่านได้ใจความว่า ‘สมุนไพร 6 ชนิดใช้เพื่อป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน’ นอกจากอธิบายแล้ว เขายังชักชวนให้เจ้าหน้าที่ลองต้มและชิมด้วยตัวเอง แต่ข้อเสนอกลับถูกปฏิเสธและเรียกสุนัขดมกลิ่นมาตรวจสอบแทน… ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ทว่าเจ้าหน้าที่ไม่ยอมเขียนรายงานตามนั้น กลับเขียน “พบสารสีเขียวเข้ม มีกลิ่นลักษณะคล้ายกับชามิ้นท์” ลงไปแทน และถุงชานั้นก็ถูกยึดไปทันที แม้ว่าเขาจะพยายามอธิบายถึงความสำคัญ ของชาที่นำเข้ามาจากเปรูเพื่อใช้เป็นยารักษา กลับไม่มีใครสนใจสักคนเดียว แต่ก็ดันปล่อยตัวให้เขาข้ามชายแดนไป ภายหลังจากการเดินทางข้ามชายแดนมา…
-
ถนนบีบแคบ รถสองคันแย่งกันไปก่อน ไม่ยอมกัน เปิดศึก “เป่ายิ้งฉุบ” ตัดสินมันซะเลย!!
กรุงเทพมหานครฯ ขึ้นชื่อว่าได้เป็นมหานครที่ถือว่ารถติดหนักมากกกกก บางสำนักรายงานว่ารถติดเป็นอันดับหนึ่งเลยด้วยซ้ำไป และด้วยความเคยชินกับรถติดแบบนี้ คนไทยทั้งหลายต้องทราบดีอยู่แล้วว่าไอ้การที่รถติดนี้มันมีผลเสียอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเปลืองน้ำมัน ต้องเผชิญกับมลพิษ และที่สำคัญรถติดแบบนี้มันสร้างความเครียดให้แก่ผู้ใช้รถอีกด้วย จะเห็นได้ว่าข่าวที่มีคนหัวร้อน ทะเลาะกันจากบนท้องถนนอยู่บ่อยๆ แต่วันนี้ลืมเรื่องความเครียด ลืมเรื่องหัวร้อนจากการขับรถไปก่อน เพราะเมื่อคุณเจอชายคนนี้ Marco Sanchez ผู้ซึ่งจะเปลี่ยนความก้าวร้าวบนท้องถนนให้กลายเป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะผ่านการ “เป่า ยิ้ง ฉุบ” เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2018 ที่ผ่านมา นาย Sanchez ได้อัปโหลดวิดีโอลงในลงเฟซบุ๊กของตัวเองพร้อมแคปชั่นว่า “ชายคนนี้อยากที่เลี้ยวเข้ามาในเลนของผม ผมก็เลยตัดสินกับเขาโดยการเป่า ยิ้ง ฉุบกันที่ตรงนั้นเลย” ซึ่งคลิปดังกล่าวมีคนเข้ามาดูถึง 3 ล้านกว่าครั้งรวมถึงอีก 70,000 แชร์ ในวิดีโอจะเห็นได้ว่า Sanchez นั้นได้เลื่อนกระจกรถลง ก่อนที่จะทำสัญญาณมือเป่ายิ้งฉุบและพูดว่า “คุณอยากจะเข้ามาในเลนนี้เหรอ งั้นมาเล่นเป่ายิ้งฉุบกัน ถ้าคุณชนะผมให้คุณเข้าก่อนเลย” ซึ่งเป่ายิ้งฉุบรอบแรกทั้งสองออกกรรไกรเหมือนกัน ก่อนที่จะมาตัดสินกันในรอบที่ 2 ซึ่ง Sanchez ออกกรรไกรเช่นเดิม แต่คู่แข่งของเขานั้นเปลี่ยนมาออกค้อน ก็ชนะไปสิครับ และตามที่ได้ให้สัญญากันไว้ตั้งแต่ต้น เขาก็ได้ให้เพื่อนร่วมถนนคนแทรกเข้ามาในเลนอย่างสบายๆ…
-
หญิงสาวได้รับโน้ตต่อว่าจากคนแปลกหน้าหลังจอดรถที่คนพิการ ซึ่งเขาตัดสินคนแค่ภายนอก
หากพูดคำว่า “พิการ” ขึ้นมา ภาพที่หลายคนคิดนั้นจะต้องเป็นภาพผู้คนที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ เช่น เก้าอี้เข็น ขาเทียม หรือไม้ช่วยพยุงเดิน เป็นต้น เนื่องจากความลำบากของผู้พิการ จึงมีการสงวนพื้นที่และการบริการบางอย่างไว้ให้ เช่น ห้องน้ำ ที่จอดรถ และที่นั่งโดยสาร เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว แน่นอนว่าหากใครเข้าไปแอบใช้พื้นที่อันสงวนไว้ให้คนพิการล่ะก็จะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนชอบเอาเปรียบหรือไม่ก็เป็นคนมักง่าย แต่นั่นไม่ใช่กับเหตุการณ์นี้ เมื่อภรรยาของ Alan Tanner นามว่า Julie พร้อมลูกสาว Paige ได้ขับรถเข้าไปจอดบนที่สำหรับคนที่พิการ ขณะที่พวกเขาลงไปจับจ่ายซื้อของในบริเวณนั้น แต่เมื่อพวกเขากลับมายังรถ พวกเขาก็พบว่ามีใครบางคนทิ้งโน้ตเอาไว้ให้ โดยเขียนประมาณว่า การจอดรถในพื้นสำหรับคนพิการของพวกเขาจะถูกรายงานกับตำรวจ เนื้อหาในโน้ตดังกล่าวเขียนว่า… “พวกคุณจะถูกแจ้งตำรวจในการที่เข้าไปใช้พื้นที่สงวนอย่างผิดกฎหมาย ฉันเป็นพยานได้ว่าเห็นพวกคุณและลูกสาวที่ร่างกายปกติ จอดรถตรงนี้เวลา 13.10 น. ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2018 และเดินไปซื้อของอย่างสบายใจโดยไม่มีลักษณะของความพิการเลยสักนิด พฤติกรรมเห็นแก่ตัวแบบนี้ ถือเป็นการกีดกันไม่ให้ผู้พิการสามารถหาที่จอดได้” ทั้งนี้ Alan ก็ได้นำโน้ตที่ได้มาถ่ายรูปและโพสต์ลงเฟซบุ๊กของเขาว่า “ผมต้องโพสต์สิ่งนี้ให้ได้ นี่คือโน้ตที่ภรรยาผมได้รับมาจากรถของเธอในวันนี้ ขณะที่ไปย่าน Woodley กับ Paige ภรรยาของผมขับรถไปจอดในที่คนพิการ ซึ่ง Paige…
-
ช่างภาพกับโปรเจกต์สะท้อนสังคม แอบถ่ายภาพปฎิกิริยาของผู้คนที่มีต่อ ‘คนอ้วน’
บางครั้ง “ความอ้วน” อาจกลายเป็นสิ่งแปลกตาสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ เนื่องจากผู้คนมักถูกดึงดูดความสนใจจากสิ่งใดก็ตามที่มีความแตกต่างไปจากตนเอง แต่หารู้ไม่ว่า การเป็นผู้ที่ต้องถูกมองด้วยสายตาอันแฝงไปด้วยหลายๆ นัยยะ นั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีเลยแม้แต่น้อย ช่างภาพหญิงนามว่า Haley Morris-Cafiero เธอมีน้ำหนักเกินและมีรูปร่าง “อ้วน” เนื่องจากในอดีตเธอเป็นโรคเกี่ยวกับการกิน อีกทั้งยังมีภาวะขาดไทรอยด์ซึ่งทำให้ระบบการเผาผลาญทำงานได้ช้า ครั้งหนึ่งใน ปี 2010 ช่างภาพนายหนึ่งที่กำลังถ่ายภาพให้ Haley บังเอิญมองไปเห็นชายที่มองมายังเธอด้วยสีหน้าที่เหมือนจะตัดสินตัวเธอ ทำให้เธอรู้ว่าผู้คนมักมีคำวิจารณ์เกี่ยวกับรูปร่างและน้ำหนักของเธอ เธอจึงคิดโปรเจกต์นี้ขึ้นมา โปรเจกต์นี้มีชื่อว่า Wait Watchers ที่เธอนำกล้องไปตั้งไว้ยังจุดต่างๆ แล้วถ่ายตัวเธอขณะทำกิจกรรมตามปกติ เช่น เดินเล่น กินไอศกรีม หรือลองเสื้อผ้า ขณะที่เธอเองก็แต่งกายด้วยชุดแสนธรรมดาที่ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่ปฏิกิริยาของผู้คนที่มีต่อเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าความอ้วนทำให้เธอเป็นจุดสนใจ เมื่อภาพถ่ายในโปรเจกต์ของ Haley ได้ถูกเผยแพร่ออกไปบนโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างก็เข้ามาให้กำลังใจพร้อมทั้งพยายามแนะนำให้เธอหันมาดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย เลือกเสื้อผ้าและการแต่งกายที่ดีขึ้น และแต่งหน้า Haley เองก็ยอมรับข้อแนะนำเหล่านั้นพร้อมทั้งทำการเก็บภาพปฏิกิริยาของผู้คนที่มองมาขณะที่เธอกำลังพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเอง แต่ผลลัพธ์กลับออกมาว่า สีหน้าและแววตาในปฏิกิริยาของผู้คนที่มามาเหล่านั้นก็ยังคงออกมาเหมือนเดิม Haley อธิบายว่าเธอไม่ได้ทำโปรเจกต์นี้ขึ้นมาเพื่อทำให้ใครรู้สึกแย่ ด้วยตัวของเธอเองแล้วเธอไม่ได้สนใจเลยว่าใครจะมองเธออย่างไร “ฉันไม่ได้ทำมันด้วยความโมโหนะ ฉันว่ามันเหมือนกับการทดลองเชิงสังคม มันไม่ใช่การจับผิดผู้คน แต่มันเป็นการสะท้อนภาพใบหน้าและแววตาที่พวกเขามองฉัน…
-
เรื่องราวของชายผิวสีได้รับการพิสูจน์ DNA ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ หลังถูกตัดสินจำคุก 25 ปี ในข้อหาข่มขืน!!
เรื่องราวอันน่าสะเทือนใจเกี่ยวกับการถูกกล่าวหาในสิ่งที่ตนเองไม่ได้กระทำนั้นยังมีให้เห็นอยู่เสมอ โดยทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากระบบการตัดสินที่ผิดพลาดและไม่ยุติธรรมอย่างที่ควรจะเป็น Darryl Pinkins ชายผิวสีวัย 63 ปี ถูกศาลตัดสินสั่งจำคุกเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1991 หลังจากมีการกล่าวหาจากผู้เสียหายว่าถูกเขาลากไปในรถเพื่อทำร้ายร่างกายและข่มขืน เมื่อปี ค.ศ 1989 แม้ว่าเขาจะพยายามแสดงความบริสุทธิ์ใจมากแค่ไหน คณะลูกขุนก็ไม่มีทีท่าจะยอมรับฟัง เมื่อเวลาผ่านไป ได้มีการเรียกร้องให้ทำการตรวจสอบอีกครั้ง โดยในครั้งนี้อยู่ในการตรวจสอบหลักฐานของ Indian Innocence Project ใช้เทคโนโลยีร่วมสมัยในการตรวจสอบ DNA ผลสุดท้ายไม่มีสารอะไรที่เกี่ยวข้องอย่างที่ผู้เสียหายกล่าวอ้าง ในช่วงเวลาที่เขาถูกจองจำอยู่ในคุก เขาทุกข์ทรมานกับโรคเบาหวานและโรคต่อมไทรอยด์ด้วย จนกระทั่งวันที่เขารอคอยก็มาถึง ได้พบหน้าครอบครัวอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้พบหน้าลูกชายวัย 24 ปีเป็นครั้งแรก เพราะลูกชายของเขาเพิ่งเกิดหลังที่เขาถูกจำคุก ในปีค.ศ. 2007 ได้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่โดยคณะอาจารย์จาก University Law School ใช้วิธีตรวจสอบ DNA ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า TrueAllele ที่มักถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ตามหาคนหายหรือช่วยระบุหน้าของผู้ต้องสงสัยในคดีต่างๆ จนกระทั่งมีการรื้อคดีมาหลายรอบ…
-
Otto Warmbier หนุ่มมะกันที่เดินทางไปเที่ยวเกาหลีเหนือ ถูกตัดสินจำคุกและทำงานอย่างหนัก 15 ปีเต็ม!!?
ก็อย่างที่เราๆ รู้กันว่าประเทศเกาหลีเหนือ เป็นหนึ่งในประเทศที่เข้าถึงค่อนข้างยาก แถมยังมีข้อกำหนดต่างๆ มากมายสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากจะเข้าไปอีกด้วย จนนับไม่ไหวกันเลยทีเดียวถ้าจะมานั่งนับกัน แถมยังมีข่าวการตัดสินคดีของชาวต่างชาติล่าสุดที่ทำเอาต้องสยองกันไปเลยทีเดียว เมื่อ Otto Warmbier หนึ่งในนักศึกษาชาวอเมริกันผู้ที่ไปท่องเที่ยวในประเทศเกาหลีเหนือ ถูกตัดสินจำคุก และให้ทำงานอย่างหนักถึง 15 ปี!!! Otto Warmbier ถูกตัดสินให้รับโทษจำคุกและต้องทำงานอย่างหนัก 15 ปีเต็ม โดยการไต่สวนคดีที่ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น จากข้อหาพยายามล้มล้างสถาบัน หลังถูกจับเมื่อวันที่ 2 มกราคม ที่ผ่านมา ขณะพยายามหลบหนีออกนอกประเทศ Otto Warmbier นักศึกษาวัย 21 ปี Warmbier เป็นหนุ่มนักศึกษาชาวอเมริกัน เรียนอยู่ที่ University of Virginia และได้เดินทางไปยังประเทศเกาหลีเหนือในฐานะนักท่องเที่ยวผ่านบริษัททัวร์ในประเทศจีน พอเขาถูกจับกุมตัวทางสำนักข่าวของประเทศเกาหลีเหนือ Korea Central News Agency (KCNA) ได้รายงานว่า เขาปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวเข้ามาและได้กระทำการอุกอาจต่อประเทศเกาหลีเหนือของเรา คลิปของเจ้าหนุ่มผู้โชคร้าย ในการแถลงข่าวของเขาเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้น เจ้าหนุ่มได้กล่าวคำขอโทษที่เตรียมมาอย่างเป็นทางการและมีท่าทีเศร้าสร้อย สำหรับตอนนี้ทางประเทศของเขาก็ยังคงวิ่งเต้นเพื่อทำเรื่องให้ประเทศเกาหลีเหนือปล่อยเขาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ถูกจับกุมตัวไป ก็อย่างที่เราเห็นกันอยู่บ่อยๆ…
-
โกงดีนัก จับเข้าคุกให้เข็ด!! สองนักศึกษาโดนจับเข้าคุก 1 ปีเต็ม เนื่องจากสลับตัวไปสอบแทน
ตามปกติแล้วการจัดสอบเพื่อวัดผลทางการเรียน ก็มักจะมีนักเรียนนักศึกษางัดวิชากลยุทธ์ต่างๆ มาใช้ในห้องสอบทั้งด้านมืดและด้านสว่าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นด้านมืดเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นทั้งทำโพยเล็กๆ ซ่อนไว้ในเครื่องเขียนหรือตามตัว และอื่นๆ สารพัดเท่าที่จะทำได้ การโกงสอบเกิดขึ้นทั่วโลก ที่สเปนก็เช่นกัน เหตุเกิดที่เมือง Almeria ทางตอนใต้ของสเปน เมื่อมีนักศึกษาคนหนึ่งถูกกรรมการคุมสอบจับได้ว่า ทำการเข้าสอบแทนนักศึกษาอีกคน โดยพบพิรุธจากบัตรประจำตัวที่นำมาเข้าสอบ มีการปลอมแปลง โดยทั่วไปแล้วโทษสูงสุดก็น่าจะเป็นการปรับติด F พักการเรียนและหนักสุดก็คือลบรายชื่อจากเป็นนักศึกษา (โทษทางวินัยการศึกษา) แต่เนื่องจากเป็นการปลอมแปลงเอกสาร เรื่องนี้ต้องถึงขึ้นศาลกันเลยล่ะ และอัยการก็ได้ตัดสินความผิดให้นักศึกษาทั้งสองราย จำคุก 1 ปี เพื่อทดแทนการจ่ายค่าปรับมูลค่า 6 ยูโร (240 บาท) ต่อวันจากทั้งหมด 1,699 ยูโร (67,000 บาท) อย่างไรก็ตาม José Carlos Segura ทนายของนักศึกษาผู้เป็นจำเลยบอกว่าโทษตัดสินแบบนี้ถือว่าเป็นความป่าเถื่อนและเกินกว่าเหตุ เนื่องจากว่าบัตรประจำตัวนักเรียนไม่อาจถือเป็นเอกสารทางราชการได้ น่าจะให้อำนาจตัดสินอยู่ภายในสถานศึกษาเสียมากกว่า (รับโทษทางวินัยการศึกษาแทน) เพราะจะทำให้เยาวชนทั้งสองหมดอนาคต กลายเป็นอาชญกรที่มีประวัติติดตัวไปตลอดชีวิต ซึ่งผลของคดีนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด ที่มา…
-
John Liddicoat ชายคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกแบนไม่ให้ขี่หรือเข้าใกล้จักรยานตลอดชีวิต!!!
ข่าวนี้จะว่าไปเขาคือชายคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักรเลยล่ะ ที่ถูก ‘แบน’ ตลอดชีวิตไม่ให้ขี่จักรยานตลอดไปเลยทีเดียว!!! John Liddicoat ชายอังกฤษวัย 47 ปี ถูกห้ามไม่ให้ขี่จักรยานตลอดชีวิต และจะเข้าใกล้ในรัศมี 5 เมตรก็ไม่ได้ เพื่อป้องกันแนวโน้มที่เขาอาจจะขโมยมันนั่นเอง!!! John Liddicoat ล่าสุดเขาก็โดนจับจากการขโมยจักรยาน โดยโทษนั้นคือจำคุก 3 ปีครึ่ง และพึ่งพ้นโทษออกมา และถ้าเขาปั่นจักรยานหรือเข้าใกล้จักรยานในรัศมีราวๆ 5 เมตรและมีการแจ้งตำรวจ เขาจะถูกจับกลับมาไต่สวนที่ศาลทันที และจะได้รับโทษจำคุก 5 ปีเลยทีเดียว ถ้าทำผิดกฎที่ศาลตั้งไว้…มาถึงจุดนี้หลายๆ คนอาจจะคิดว่าโทษหนักไปรึเปล่าอะไรยังไงแค่ขโมยจักรยาน… แต่ในอดีตที่ผ่านมานั้น เขาถูกตัดสินว่าผิดจริงถึง 48 ครั้ง จากการถูกฟ้องร้องกว่า 142 ครั้ง ทั้งการขโมยจักรยาน ขโมยของ และย่องเบาอีกหลายครั้ง ถูกแบนตลอดชีพ… ผู้พิพากษา Lawrie ผู้ตัดสินคดีได้กล่าวว่า ‘เขามีแนวโน้มที่จะเปิดและขโมยของทุกอย่างที่ไม่ได้ปิดไว้อย่างมิดชิด ถึงเขาจะมีประวัติและถูกเรียกมาปรับปรุงความประพฤติ เขาก็ไม่สามารถหยุดตัวเองได้ และไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย’ และนอกจากนี้เขายังถูกแบนเพิ่มเติมในการเข้ามหาวิทยาลัย Plymouth และโรงเรียน หรือสถาบันทางการศึกษาทุกๆ…