Tag: ทฤษฎี
-
ทฤษฎีใหม่ ‘โลกนี้ไม่มีแรงโน้มถ่วง’ ประกาศกร้าวกลางงานประชุมครั้งแรกของชาวโลกแบน!!
เปิดตัวเปิดใจกันออกมาแล้ว กับกลุ่มผู้ที่มีความเชื่อว่าโลกนั้น “แบนราบ” ในปัจจุบันก็เริ่มมีการรวมตัวรวมกลุ่มกันในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก และเริ่มมีความยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการจัดงานประชุมอย่างเป็นทางการ!! อย่างที่ประเทศอังกฤษ ก็เพิ่งจะมีการจัดงานประชุมของกลุ่มผู้เชื่อในทฤษฎีโลกแบนเป็นครั้งแรก แถมยังมีการเปิดเผยถึงทฤษฎีใหม่ที่พิสูจน์ข้อกังขาที่ว่า โลกนี้ไม่มีแรงโน้มถ่วงอีกต่างหาก… ผู้คนกว่า 200 ชีวิตเข้าร่วมการประชุม Flat Earth UK Convention ในครั้งนี้ โดยจัดงานที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ด้านผู้จัดงานได้ทำการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านโลกแบนมาเป็นผู้พูดหลักภายในงานหลายท่าน และหนึ่งในผู้พูดที่พีคที่สุดก็คือนาย Dave Marsh เพราะเขายืนกรานว่า สามารถหักล้างกฎการเคลื่อนที่ของโลกได้ เพียงแค่ใช้กล้องและแอปพลิเคชั่นเท่านั้น!! “งานวิจัยของผมหักล้างทฤษฎี Big Bang จนสิ้น เพราะทฤษฎีครั้งนี้จะสนับสนุนแนวที่คิดที่ว่าแรงโน้มถ่วงไม่มีอยู่จริง และพลังที่จริงแท้ที่สุดในธรรมชาติก็คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเท่านั้น” Dave Marsh กล่าวเรียกความสนใจจากแขกในงาน เขาได้อธิบายไว้คร่าวๆ ว่า เขาพิสูจน์ด้วยการใช้กล้องส่องดูดวงจันทร์ วัดระยะเวลาการเดินที่จะกลับมาสู่ตำแหน่งเดิมในแต่ละวัน และในแต่ละครั้งจะมีความคลาดเคลื่อนของเวลาอยู่เสมอ ซึ่งอาจจะไม่มีแรงโน้มถ่วงเข้ามาเกี่ยวข้อง… อย่างไรก็ตาม ทางด้าน Tom นักข่าวจาก Ladbible ที่ได้เข้าไปร่วมงานเปิดเผยว่ากลุ่มผู้เชื่อว่าโลกแบนต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และพวกเขาก็เป็นมิตรมากๆ…
-
มารู้จักเด็กๆ ให้มากขึ้นดีกว่ากับ 8 ทฤษฎีที่น่าสนใจของความแตกต่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่
ว่ากันว่าเด็กๆ นั้นมองโลกต่างกับผู้ใหญ่ พวกเขานั้นทำอะไรลงไปโดยที่ยังคิดว่าตัวเองนั้นเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และทุกๆ คนเป็นเหมือนดั่งดวงดาวที่หมุนรอบตัวของพวกเขาอยู่ แต่เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเด็กๆ ถึงเป็นเช่นนั้น นี่คือ 8 ทฤษฎีที่น่าสนใจของความแตกต่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ ที่จะมาตอบคำถามมากมายที่อยู่ในหัวเราเกี่ยวกับเด็กๆ ตั้งแต่การจินตนาการไร้ขอบเขตของพวกเขา เรื่อยไปจนทำไมบางครั้งพวกเขาก็พูดอะไรแปลกๆ ออกมา จินตนาการของเด็กๆ จนกว่าจะโตในระดับหนึ่ง เด็กเล็กจะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างจินตนาการกับความเป็นจริงได้ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขามั่นใจว่าสิ่งที่พวกเขาแต่งขึ้นมาเองในหัวมีอยู่จริง อย่างไรก็ตามหากเด็กได้ยินเรื่องที่ไม่น่าเชื่อจากบุคคลอื่นพวกเขาก็จะไม่เชื่อมันเท่าไหร่นักคล้ายๆ กับผู้ใหญ่ การทดลองแสดงให้เห็นว่าเส้นแบ่งระหว่างความคิดและความเป็นจริงในการรับรู้ของเด็กน้อยนั้น มีอยู่ค่อนข้างน้อย เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจว่าความรู้ใดเป็นความจริงนั่นเอง ขาดความคิดเชิงนามธรรม มีเรื่องที่ว่าเด็กที่อายุน้อยกว่า 11 ปีจะสามารถคิดโดยอิงถึงความเป็นจริงในปัจจุบันเท่านั้น และไม่สามารถคิดแบบนามธรรมได้ นักจิตวิทยา Rudolph Schaffer ได้ทำการทดลอง โดยถามเด็กสองกลุ่มว่าจะวางตาที่สามบนส่วนไหนของร่างกายดี เด็กทั้งหมดในกลุ่มที่อายุ 9 ปี จะชี้ไปที่หน้าผาก เพราะมีสองตาอยู่ที่บริเวณใกล้ๆ ส่วนกลุ่มที่สองที่ประกอบด้วยเด็กที่อายุ 11 ปีซึ่งสามารถคิดได้แบบนามธรรมได้แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มเสนอทางเลือกที่แตกต่างกันไป เช่นการวางตาบนฝ่ามือเพราะจะทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นด้านหลังได้ การเรียนภาษา เด็กๆ จะสามารถเรียนรู้ภาษาได้ง่าย นักภาษาศาสตร์ Noam Chomsky อธิบายว่ามีสิ่งที่คล้ายๆ กล่องเครื่องมือในสมองของมนุษย์ซึ่งเชื่อมต่อกฎไวยากรณ์ของภาษาทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีเซลล์สมองนับล้านที่รับผิดชอบต่อการรับรู้ของเด็กและการทำซ้ำคำพูดที่ก่อให้เกิดระบบการดำเนินการที่ซับซ้อน…
-
ได้ด้วยหรอ!! Samwell ตีพิมพ์งานวิจัย (ปลอมๆ) อธิบายสภาพอากาศในเรื่อง Game of Thrones
ใครหลายคนที่เป็นแฟนซีรีส์สุดมันส์อย่างเรื่อง Game of Thrones อาจจะเคยได้ยินคำขวัญประจำตระกูลสตาร์ก ที่ว่า “Winter is coming” ซึ่งแปลว่าฤดูหนาวกำลังจะมาถึง และถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าฤดูกาลในภาพยนตร์เรื่องนี้มีความแปลกไปจากฤดูกาลจริงๆ ของโลกเราอยู่พอสมควร ก่อนหน้านี้ได้มีบทความวในารสารจากมหาวิทยาบริสตอล ประเทศอังกฤษ ที่พยายามหาวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายเหตุผลของสำนวนประจำตระกูลสตาร์คที่ว่านี้ และหาสาเหตุว่าทำไมอากาศในซีรีส์เรื่องนี้ถึงได้หนาวกันตลอดทั้งปี แม้ฤดูหนาวที่ว่าของพวกเขายังไม่มาถึงก็ตาม แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้มีงานวิจัย (ปลอมๆ) ที่เขียนโดย Samwell Tarly หนึ่งในตัวละครเอกของเรื่องออกมาเปิดเผยว่า จริงๆ แล้วสภาพอากาศใน Westeros นั้นเป็นอย่างไรกันแน่? ด้วยความมุ่งมั่นที่อยากจะเป็นเมสเตอร์ให้ได้ เขาจึงมุ่งมั่นเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เมสเตอร์ควรจะรู้ เขาจึงได้ทำวิจัยเกี่ยวกับสภาพอากาศออกมา โดยภาษาที่เขาใช้เขียนนั้นเป็นภาษา Dothraki และภาษา High Valyrian ซึ่งงานวิจัยที่เขาเขียนได้สร้างประโยชน์มากมายสำหรับแฟนๆ ซีรีส์เรื่องนี้ เราจึงได้นำงานวิจัยของ Sam มาแปลและวิเคราะห์ข้อมูล โลกจำลองจากข้อมูลการวิจัยของ Samwell ทั้งนี้ทฤษฎีของ Samwell ได้ผ่านการวิเคราะห์จากนักวิจัยได้ให้ข้อสรุปเอาไว้ว่า สภาพอากาศบริเวณนอก The Wall จะมีสภาพอากาศที่เย็นยะเยือกจนแทบจะอยู่ไม่ได้ตลอดทั้งปี และ Casterly Rock…
-
ลองชมงานประชุมครั้งแรกของ ‘กลุ่มคนที่เชื่อว่าโลกแบน’ และปฏิเสธข้อมูลจาก NASA
ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้มนุษย์เราสามารถออกไปนอกอวกาศได้ อีกทั้งยังมีดาวเทียมต่างๆ โคจรอยู่รอบโลก ซึ่งภาพถ่ายของโลกเราที่ใครๆ ต่างก็เคยเห็นก็คือมีลักษณะกลม แต่มีคนจำนวนหนึ่งที่มีความคิดที่ต่างกันออกไป โดยพวกเขาเชื่อว่าโลกของเรานั้นแบนและภาพถ่ายต่างๆ จากองค์การนาซ่านั้นเป็นเรื่องโกหก!! งานประชุมประจำปีครั้งแรกของกลุ่มคนที่เชื่อว่าโลกนี้มีลักษณะแบน จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 9-10 พฤศจิกายนที่ผ่านมาที่รัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยงานนี้มีผู้ที่มีความคิดแบบเดียวกันเข้าร่วมกว่า 400 คน ลักษณะที่พวกเขาเชื่อว่าโลกของเราเป็น โดยการจะเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ได้นั้นจะต้องมีการซื้อตั๋วเพื่อเข้างานด้วย ซึ่งตั๋วที่ขายนั้นก็มีราคาสูงถึง 250 ดอลลาร์สหรัฐ (ราวๆ 8,215 บาท) เลยทีเดียว ซึ่งเนื้อหาใจความหลักๆ ในการประชุมครั้งนี้ก็คือเพื่อจะบอกว่าโลกของเรานั้นมีลักษณะแบนเหมือนจาน และยังบอกอีกด้วยว่า Nasa และองค์การอวกาศอื่นๆ นั้นได้โกหกเรามาตลอดว่าโลกของเรานั้นมีลักษณะกลมอีกทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ นั้นเป็นเรื่องโกหก ทีมงานโลกแบนได้เข้าร่วมจำนวนมาก Mark Sargent มีผู้ติดตามในเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Youtube ถึง 40,000 คนจากทฤษฎีโลกแบนที่เขาคิด ได้บอกไว้ในงานว่า “วงการวิทยาศาสตร์จะต้องออกมาอธิบายเรื่องนี้ พวกเขาหลบเราไม่ได้ตลอดไปหรอก ไม่มีใครชอบความรู้สึกอึดอัดที่จะอยู่ในลูกบอลเล็กๆ อย่างนี้พวกเขาอยากจะบินไปนอกอวกาศจนถึงจุดสิ้นสุดของจักรวาลเลยมากกว่า” พวกเขาเหล่านี้ต่างไม่เชื่อว่าโลกของเรากลมจริงๆ “นานมาแล้วที่เราอยู่ภายใต้ความคิดที่ว่าโลกนั้นกลม ไม่รู้สิผมคิดว่าเรากำลังถูกหลอกมากกว่าแต่อย่าเชื่อคำพูดของผมมากนะ ผมอาจจะเป็นผู้ป่วยทางจิตที่เพิ่งออกมาจากโรงบาลบ้าก็ได้” Mark กล่าว…
-
รวม 5 ทฤษฎีน่าสนใจจากแฟน Star Wars ร่วมค้นหาตัวตนที่แท้จริงของ ‘Rey’ เตรียมกาวให้พร้อม!!
แม้ว่าตัวอย่างใหม่ล่าสุดของ Star Wars: The Last Jedi จะถูกปล่อยออกมาแล้ว แต่กระแสการพูดถึงตัวละครหลักอย่าง Rey ก็ยังเป็นที่พูดถึงไม่เปลี่ยนแปลง แฟนๆ ต่างไม่ลดละที่จะค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเธอ และด้วยเหตุนั้น ทาง This is Insider เลยรวบรวมทฤษฎีน่าสนใจมากมายจากแฟนๆ Star War เกี่ยวกับความน่าจะเป็นของ Rey มาให้เราได้อ่านกัน ซึ่งขอย้ำว่าเป็นเพียงการเดาและเป็นทฤษฎีที่แฟนๆ คิด ฉะนั้นมันไม่มีอะไรแน่นอน ที่สำคัญอย่าซีเรียสกับมันล่ะ ฉะนั้นถ้าคุณพร้อมแล้วก็ยกถุงกาวขึ้นมาสูดลึกๆ แล้วก็เชิญเสพความกาวกันให้เต็มที่… Rey เป็นลูกของ Luke Skywalker เริ่มกันที่ทฤษฎีสุดฮิตที่คนพูดถึงกันมากที่สุดกันก่อน โดยเรื่องนี้นั้นเริ่มมาจากการที่ตัว Luke นั้นได้หายหัวไปนานถึง 30 ปี ซึ่งโอเคว่าเราอาจจะเห็นพี่แกในคอมมิกส์บ้าง แต่ในฉบับหนังระหว่าง 6 ไป 7 เราไม่รู้เลยว่าพี่แกหายไปไหนทำอะไรที่ไหน นอกเหนือจากฝึกเบน โซโลไม่สำเร็จ แล้วทำไมทฤษฎีนี้ถึงน่าจะเป็นไปได้? คำตอบนั้นก็คือเธอมีอะไรหลายอย่างคล้ายกับพวก Skywalker เช่นมีพลังที่แข็งแกร่ง เป็นนักบินแต่กำเนิด ไลท์เซเบอร์ของ Luke…
-
รวมทฤษฎีที่น่าสนใจ กับตอนจบของ Game of Thrones จะดีหรือร้ายแค่ไหนกัน!? (สปอยล์)
(เนื้อหาอาจจะมีการสปอยล์ ซึ่งอาจจะจริงและไม่จริง ถ้าหากกลัวจะเสียอรรถรส แนะนำให้ข้ามเลยครับ) เมื่อพูดถึงซีรีย์ยอดฮิตหลายๆ เรื่อง เมื่อมันฮิตมากๆ แล้วมีซีซั่นต่อหรือภาคต่อแถมยังทิ้งปมไว้ เรื่องที่มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งคือการคาดเดาตอนต่อหรือความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นเสมอๆ ซึ่งหลายครั้งมันก็น่าสนใจมากเลยล่ะ… สำหรับซีรีย์สุดฮิตอย่าง Game of Thrones แฟนๆ ก็ไม่พลาดที่จะมีทฤษฎีแปลกๆ และน่าเป็นไปได้มานำเสนอเช่นกัน ถ้าใครจำได้ว่าก่อนหน้านี้เคยมีทฤษฎีจากแฟนๆ ที่ใช้ชื่อทฤษฎีว่า R+L = J ซึ่งเนื้อหามันน่าสนใจมากๆ แต่ที่มันสุดยอดกว่าคือมันเป็นแบบนั้นจริงๆ (ยอมใจแฟนๆ ที่คิดมันขึ้นมาเลย) ทว่าเมื่อการคาดเดาดังกล่าวเกิดขึ้นจริงไปแล้ว ถ้าเราลองมาคาดเดาตอนจบดูบ้างล่ะ? มันคงจะน่าสนใจไม่น้อยเลยใช่มั้ย? เพราะแม้แต่แบบฉบับนิยายก็ยังเขียนไม่จบเลยด้วยซ้ำ ฉะนั้นแฟนๆ ก็เลยตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับตอนจบไว้เพียบเลย ฉะนั้นในครั้งนี้เราจะมาดูกันว่า แฟนๆ คาดว่าตอนจบซีรีย์เรื่องโปรดของพวกเขาจะเป็นยังไงกัน Jon Snow จะเป็นผู้ปกครองดินแดนทั้งหมด จากตอนล่าสุดเราจะเห็นว่า Melisandre บอกกับ Daenerys ถึงคำทำนายว่า “เจ้าชายแห่งคำสัญญาจะนำรุ่งอรุณกลับมาอีกครั้ง” ทำให้เรื่องที่ว่า Jon อาจจะเป็น Azor Ahai กลับมาเกิดใหม่และจะถือดาบ Lightbringer เข้าต่อสู้กับ White Walker และคืนความสุขให้ประชาชนก็อาจจะเป็นจริงก็ได้นะ…
-
นี่คือ 3 ทฤษฎีสุดมุ้งมิ้ง ที่คนหาคำตอบว่า ทำไมมะหมาชอบขึ้นไป ‘นั่งทับแมวเหมียว’ ซะเหลือเกิน
เมื่อพูดถึงแมวกับหมา หลายคนมองว่าเจ้าสัตว์สองสายพันธุ์นี้มันไม่ค่อยจะถูกกันสักเท่าไหร่ เพราะเวลาที่เจอหน้ากันทีไร ก็เป็นอันกัดกันทู๊กที แต่บางครั้งพวกมันก็ญาติดีต่อกัน กลายมาเป็นเพื่อนกัน แถมสนิทกันมากถึงขั้นไปไหนมาไหนด้วยกัน กิน นอนด้วยกัน หรือแม้กระทั่งนั่งทับกันก็มีนะจ๊ะ หลายคนอาจจะเคยสงสัยว่า การที่เจ้าหมาชอบนั่งทับตัวแมวเหมียวนั้น เป็นเพราะอะไร? ทำไมมันถึงทำ? มันอาจจะแค่อยากนั่งทับเฉยๆ หรือบังเอิญไปนั่งทับกัน แต่จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลมากกว่านั้นนะ และหลังจากการศึกษาหาข้อมูล รวมถึงการตั้งทฤษฎีความน่าจะเป็นของหลายๆ คน ทางเว็บไซต์ AwesomeDaily ได้ลองสรุป และมาเปิดเผย 3 ทฤษฎีที่ถูกวิเคราะห์ขึ้นมาว่านี่แหละคือเหตุผลที่ “เจ้าหมาชอบนั่งทับตัวแมวเหมียว” 1.หมาผู้ต้องการแสดงความเป็นใหญ่เหนือแมว ถ้าหากน้องหมาพูดได้ มันคงอยากจะบอกให้รู้ว่า “ฉันเหนื่อยกับแกแล้วนะไอ้แมวบ้า ฉันจะนั่งทับแกจนกว่าแกจะหยุดปฏิบัติต่อฉันเหมือนคนบ๊อง” และดูท่ามันจะได้ผลด้วยนะ 2.เป็นสัญลักษณ์แห่งการแสดงความรักต่อเจ้าเหมียว การนั่งทับลงบนตัวของแมวเหมียว อาจจะเป็นวิธีเดียวที่พี่หมาจะสามารถแสดงความรักที่มีต่อเจ้าเหมียวได้ โดยที่มันไม่ต้องถูกข่วนจมูก หรือถูกทำร้ายร่างกาย โดยการนั่งทับไปนี่แหละ เหมือนเรากระโดดกอดใครสักคนอย่างนั้น 3.เจ้าหมาอาจจะกำลังป้องกันตัวเอง และอยากแก้แค้น โดยปกติแล้ว สุนัขเป็นสัตว์ที่น่ารัก และบางตัวก็ไม่มีท่าทางที่จะทำร้ายใครก่อน แต่ที่มันต้องนั่งทับเจ้าเหมียว เป็นเพราะมันคงอยากจะปกป้องตัวเอง และแกล้งทำเป็นอยู่ในสภาพวะทิ้งตัว จากนั้นก็รีบนั่งทับลงไปบนตัวของแมวเหมียว แทนการทำร้ายร่างกาย เพื่อจะได้ไม่ต้องมีฝ่ายไหนเจ็บตัว…
-
(สปอย) รวมทฤษฎีของชาวเน็ตจาก #HateLoveSeries บอกเลยว่า โคนันยังต้องยอมแพ้!!
กลายเป็นกระแสในช่วงข้ามคืนไปซะแล้วสำหรับซีรีส์เรื่องใหม่ “I HATE YOU I LOVE YOU” จากผู้กำกับ ย้ง ทรงยศ ผู้เคยกำกับซีรีส์ฮอร์โมนที่เมื่อก่อนก็โด่งดังมากเช่นเดียวกัน สาเหตุที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นที่พูดถึงก็เพราะว่ามันมีการหักมุมที่ใครๆ ต่างก็คิดไม่ถึง เพราะดูจากตัวอย่างแล้ว หลายคนก็คงคิดว่าจะเป็นเรื่องราววัยรุ่นแย่งแฟนกัน ตบตีกัน ที่ไหนได้ มันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ และเนื้อหาต่อไปนี้จะมีการ *สปอย* เกิดขึ้น ถ้าใครได้ดูแล้วก็คงต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า งง และ งง เกิดอะไรขึ้น ทำไมนานะตาย ตายได้ยังไง และฉากบางฉากก็ซ่อนปริศนาไว้อีกเยอะแยะมากมาย จนทำให้บางคนถึงมีโคนันเข้าสิง วิเคราะห์เรื่องราวพร้อมกับตั้งทฤษฎีต่างๆ มากมาย เราไปดูกันว่าแต่ละคนจะสันนิษฐานเรื่องราวต่อไปว่าอย่างไรกันบ้าง และนี่คือทฤษฎีต่างๆ ที่ชาวเน็ตต่างเดา ซึ่งบางอันก็น่าคิดมากๆ เราไปตามพร้อมๆ กันเลย (ข้อมูลต่างๆ ก็ #เหมียวสามสี ก็รวมมาจากกระทู้พันทิปหลายๆ อัน ที่นั่งเปิดหามาหลังจากได้ดูตอนแรกจบไป พร้อมกับทวิตเตอร์ในแฮชแท็กที่เป็นกระแส) อันนี้ชอบการวิเคราะห์ฉากสระน้ำมาก ลืมคิดตอนไอ่อยู่ในห้องไปเลย อันนี้วิเคราะห์ทีละคนเลย ทฤษฎีแม่ซอลมาเยอะจริงๆ …
-
แฟนแฮร์รี่คิดทฤษฎี เกี่ยวกับ “จำนวนนักเรียนในฮอกวอตส์” ว่าทำไมถึงมีน้อยเป็นพิเศษ..!!
สำหรับคนที่อ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ หรือดูหนังมา มักจะมีหลายสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นหลายคนคิดเป็นทฤษฎีออกมามากมาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่หลายคนไม่ได้เอะใจเท่าไหร่ นั่นก็คือจำนวนนักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนฮอกวอตส์นั่นเอง ก่อนหน้านี้ เจ.เค. โรว์ลิ่งเคยออกมาเผยว่าที่ฮอกวอตส์นั้นมีนักเรียนประมาณ 1,000 คน และถ้าคำนวนเป็นอย่างดีแล้วก็จะพบว่าในแต่ละปีนั้น บ้านทั้ง 4 หลังจะมีนักเรียนใหม่มาอยู่ 35 คนต่อปี แต่ทำไมปีที่แฮร์รี่มาอยู่นั้นถึงมีนักเรียนเข้าบ้านกริฟฟินดอร์แค่ 18 คนเท่านั้นเอง ได้มีผู้ใช้เว็บไซต์ Tumblr ชื่อว่า marauders4evr ได้คิดทฤษฎีเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ขึ้นมาในโพสต์นี้ http://marauders4evr.tumblr.com/post/140524900827/oh-my-god-i-just-realized-something-for-years ใจความประมาณว่า ในปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่แฮร์รี่เข้าฮอกวอตส์เป็นครั้งแรกนั้นมีเด็กนักเรียนน้อยก็เพราะว่าในช่วงปี 1979-1981 นั้นเป็นช่วงที่จอมมาร(โวลเดอร์มอร์) เถลิงอำนาจ ได้มีการเขียนบอกว่ามีผู้ใหญ่หลายคนที่เข้าร่วมกับภาคี หลายคนถูกฆ่าด้วยผู้คุมวิญญาณ อีกหลายคนไม่อยากให้ลูกเข้าสู่โลกเวทมนตร์ นั่นก็เลยอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ฮอกวอตส์ในปีนั้นมีนักเรียนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ถือเป็นทฤษฎีที่มีความสมเหตุสมผลอย่างมาก ทุกอย่างมันดูเชื่อมโยงกันอย่างลงตัว ถ้ามันเป็นจริงแสดงว่าเจ.เค. วางแผนมาอย่างดีในเรื่องนี้ มองทุกอย่างขาดมากๆ พออ่านแล้วก็นึกเรื่องราวออกเลย เท่าที่จำได้ก็คือพ่อแม่ของเนวิลก็ถูกทำให้เสียสติ รวมไปถึงพ่อแม่ของแฮร์รี่ก็ถูกฆ่าด้วยเช่นกัน เพราะว่าอยู่ในภาค T T ที่มา distractify
-
[โคตรสปอย] ระ ระ ระ หรือว่าทฤษฎีทั้งหมดที่เราคิดกัน จะถูกเฉลยในตอนหน้าของ Game of Thrones!!?
ก็เรียกได้ว่าเคร่งเครียดและเข้มข้นขึ้นเรื่องๆ จริงๆ สำหรับซีรีย์ดังค่า HBO อย่าง Game of Thrones ซึ่งล่าสุดหลายๆ คนที่พึ่งดูซีซั่น 6 ตอนที่ 2 ไปก็คงรู้สึกขนลุกไปตามๆ กัน ก่อนอื่นเลย #จ่าสิบเหมียว ต้องเตือนก่อนเลยนะจ๊ะว่าคอนเท้นท์นี้จะสปอยหนักมาก ชั้นเตือนพวกนายแล้วน้าาา ฮร่าาาา สปอยหนักมากกกกกกก ก่อนอื่นเลยเรามาชมเทรลเลอร์ของ Season 6 ep.3 ที่จะฉายอาทิตย์หน้ากันก่อนเลย ตู้วหูววววว รอคอนเฟิร์มเท่านั้นแหละว่านี่คือ Ned Stark ตอนวัยหนุ่ม และอีกคนก็คือ Arthur Dayne ที่กำลังจะต่อสู้กันใต้ Tower of Joy http://bericdondarrion.tumblr.com/post/143718183324 และสำหรับแฟนๆ หลายๆ คนที่คิดว่าทฤษฎี R+L = J เป็นจริงล่ะก็ จะได้รับการคอนเฟิร์มตอนหน้านี่แหละ!!! และใน ep.2 ถ้าไม่นับถึงเรื่องการคืนชีพ Jon Snow แล้วล่ะก็…
-
Fan Theory ทฤษฎีลางสังหรณ์ความตายของ Dumbledore ที่จริงมีมาตั้งแต่ภาค 3 แล้วล่ะ!!!
เอ๊ะ หรือว่าเรื่องนี้จะเป็นแค่บังเอิญ แต่จากหลายๆ เหตุการณ์ก็ทำให้รู้สึกว่าไม่เป็นเรื่องบังเอิญเหมือนกันนะเนี่ย ว่าแล้วเราลองมาดูกันสักหน่อยดีกว่า เมื่อมีแฟนคลับของหนังสือ Harry Potter คนหนึ่งได้กลับย้อนไปอ่านเล่มเก่าๆ ก็อย่างที่รู้กันว่า Dumbledore ตายในภาค 6 The Half-Blood Prince… แต่ที่จริงแล้ว เรื่องนี้ได้ถูกทำนายไว้ก่อนตั้งแต่ภาค 3 The Prisoner Of Azkaban ก่อนแล้วล่ะ!!? ทฤษฎีของแฟนคลับคนนี้เกี่ยวกับการตายของศาสตราจารย์ Dumbledore ในการทานอาหารเย็นคืนคริสมาสต์ มีคน 12 คนนั่งทานอาหารที่โต๊ะ พอศาสตราจารย์ Trelawny เดินมาถึง ศาสตราจารย์ Dumbledore ก็ลุกให้และเตรียมจะลากเก้าอี้ให้เธอนั่ง แต่เธอปฏิเสธแล้วพูดว่า ถ้าคนนั่งทานอาหารโต๊ะเดียวกัน 13 คน ใครที่ลุกก่อนจะเสียชีวิต… แต่ที่จริงแล้วตอนนั้นในโต๊ะมีคน 13 คนทานอาหารร่วมกันแล้วล่ะ นั่นก็คือหนูของ Ron หรือเจ้า Scabbers นั่นเอง ที่ซ่อนตัวอยู่ในกระเป๋าของเขา!!!? และจากการที่ศาสตราจารย์ Dumbledore ลุกเพื่อจัดเก้าอี้ให้เธอนั่ง นั่นหมายความว่าชะตากรรมนี้ได้ติดตัวเขาไปแล้วล่ะ… และถ้าทฤษฎีนี้ได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริงล่ะก็…
-
อ๊ะ ตอผุด!? คลิปสัมภาษณ์ Stanley Kubrick ยอมรับว่าการไปเหยียบดวงจันทร์มันไม่มีจริง
ย้อนไปกลับใปในช่วงยุคสมัยที่มนุษย์ริเริ่มและพยายามอย่างมากกับการที่จะออกไปสำรวจนอกโลก โดยมีจุดหมายเริ่มต้นเป็นที่ใกล้ๆ นั่นก็คือดวงจันทร์ บริวารที่มีระยะใกล้โลกมากที่สุด จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาก็ได้พิสูจน์ให้คนทั้งโลกได้เห็นว่าสามารถไปเหยียบบนดวงจันทร์ได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้มีคนเชื่อไปซะทุกคน มีทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ เกิดขึ้นเยอะมาก พร้อมกับตั้งคำถามและข้อสังเกตของคลิปวิดีโอก้าวแรกของมนุษย์ที่ไปเหยียบบนดวงจันทร์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของแสงและเงา ความผิดปกติของธงที่นำไปปักบนดวงจันทร์ และอื่นๆ อีกมากมาย และบุคคลที่ได้ชื่อเสียงมากที่สุดจากการไปเหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรกก็คือ Neil Armstrong ซึ่งภายหลังจากการเสียชีวิตของเขาประมาณ 15 ปี คลิปวิดีโอนี้ก็ถูกปล่อยออกมาเพื่อเปิดเผยเบื้องหลังว่าที่แท้จริงแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นถูกกำกับโดยรัฐบาลสหรัฐฯ และ NASA โดยที่ทางด้าน Stanley Kubrick ก็ออกมายอมรับว่านักทฤษฎีสมคบคิดนั้นถูกต้องแล้ว โดยภาพที่เห็นนั้นเป็นผลงานของผู้กำกับสารคดีชื่อดัง T. Patrick Murray อีกทั้งยังบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นถูกจัดฉากเพื่อสนองคำพูดของประธาณาธิบดี John F Kennedy ที่ต้องการจะแสดงให้ทั้งโลกได้เห็นพลังของสหรัฐอเมริกาภายใต้การปกครองของตน แต่สำหรับ T. Patrick Murray แล้วการสร้างภาพในการลงจอดบนดวงจันทร์นั้นถือว่าเป็นผลงานชื้นเอกของเขาเลยก็ว่าได้ อีกทั้ง Kubrick ยังกล่าวเสริมไว้ด้วยว่า ก่อนที่จะถ่ายทำนั้นเขาถูกยัดเยียดข้อมูลที่ผิดๆ…
-
เด็กหนุ่มวัย 18 ปี ผู้ชนะการประกวดคลิปวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจง่าย คว้าเงินรางวัลกว่า 14 ล้านบาท!!
เรื่องของวิทยาศาสตร์นั้นหลายคนคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไกลตัวซะเหลือเกิน ยิ่งให้ไปนั่งฟังคนอธิบายทฤษฎีต่างๆ ที่มีมากมาย ก็ยิ่งทำให้ไม่เข้าใจไปใหญ่ ทำให้คิดเพียงแต่ว่าคงจะมีแต่นักวิทยาศาสตร์กันเองนี่แหละที่จะเข้าใจ แต่เชื่อหรือไม่ว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทำให้เรื่องซับซ้อนทางวิทยาศาสตร์กลายมาเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย แถมยังได้เงินรางวัลมากถึง 12 ล้านบาทไปด้วย (400,000 ดอลลาร์) เขาคนนั้นก็คือพ่อหนุ่ม Ryan Chester วัย 18 ปีผู้นี้!! โดยที่เขานั้นได้เข้าร่วมแข่งขัน Breakthrough Junior Challenge ประกวดแข่งขันวิดีโอคลิปทางวิทยาศาสตร์ จัดการแข่งขันโดยมูลนิธิ Silicon Valley ของ Mark Zuckerberg ร่วมกับมูลนิธิ Milner Global วิธีการที่ทำให้เขาชนะการประกวดนั้นก็ด้วยคลิปการอธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพที่ยากจะเข้าถึงของ Einstein เอาไว้อย่างเรียบง่าย วิธีการนำเสนอก็เช่นการใช้สิ่งของภายในบ้าน การทดลองในรถตู้เล็กๆ และการวาดภาพประกอบแบบหยาบๆ แต่เข้าใจง่าย แม้ว่าเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพจะเป็นอะไรที่เข้าใจยาก แต่การนำเสนอที่ดีแบบนี้ ทำให้วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่สนุกมากๆ เลยล่ะ ที่มา : breakthroughjuniorchallenge, fooyoh
-
ดึงสติหน่อยน่า!! พบกับ 12 ทฤษฎีสุดแหวกของแฟนๆ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” แต่ละอันคิดได้ไงเนี่ย?
“แฮร์รี่ พอตเตอร์” ถือเป็นนวนิยายและภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะโลกเวทมนตร์ที่นักเขียนเจ.เค. โรว์ลิ่งสร้างขึ้นมานั้นมันช่างน่าหลงไหล จนใครหลายคนก็อยากให้มันมีโลกแบบนั้นอยู่จริงๆ ด้วยความที่หนังและหนังสือได้ทิ้งปริศนาเอาไว้มากมายในตอนจบของแต่ละภาค จึงทำให้เหล่าบรรดาแฟนๆต่างก็คิดทฎษฎีต่างๆออกมา ซึ่งแต่ละอันเห็นแล้วกุมขมับเลยทีเดียว แต่บางอันก็เข้าท่าดีนะ เราไปดูกันเลยว่าแฟนๆจะจินตนาการได้ล้ำแค่ไหน แฟนๆหลายคนเชื่อว่าสเนปคือพ่อจริงๆของแฮร์รี่ เพราะว่าสนิทกับลิลลี่ แม่ของแฮร์รี่มากกว่า ซึ่งก็ฟังดูไม่เวอร์อะไรเท่าไหร่ เพราะก็พอมีคำใบ้อยู่ในหนังสือพอสมควร อีกทั้งแฟนๆก็ยังเชื่อว่าครอบครัวเดอร์สลีย์แท้จริงแล้วเป็นคนดีมาตลอด แต่เนื่องจากโวลเดอร์มอร์บังเอิญทำแฮร์รี่ให้กลายเป็นฮอร์ครักซ์ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าใครที่อยู่กับฮอร์ครักซ์นานๆจะเปลี่ยนเป็นคนที่โมโหร้ายขึ้น ดังนั้นพวกเขาเลยเลี้ยงแฮร์รี่มาแบบไม่ดีไม่งามเท่าไหร่ อันนี้เหมียวชอบมาก มีแฟนคนหนึ่งเชื่อว่าเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นมาจากเทเลทับบี้ ดูจากเขาลาล่าสิ เหมือนแผลเป็นรู้สายฟ้าไหมล่ะ อีกทั้งสัญลักษณ์เครื่องรางยมทูตยังไปเหมือนกับเขาของทิงกี้วิงกี้ ทิปซี่ แล้วก็โพอีกด้วย เงิบ!! แฟนๆหลายคนก็ยังบอกว่าแฮร์รี่น่าจะได้กับเดรโกอีกด้วยนะ ได้ใจสาววายไปเต็มๆ อันนี้ออกจะไม่มีที่มาไปนิด แฟนๆเชื่อว่าคนที่อยู่บ้านฮัฟเฟิลพัฟฟ์เป็นพวกขี้ยา แฟนบางคนเชื่อว่า เจ.เค. โรว์ลิ่ง ผู้แต่งหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นคือ ริต้า สกีตเตอร์ นักข่าวที่ใครๆหลายคนเกลียด เพราะเธอชอบเผือกเรื่องชาวบ้าน แฮร์รี่สร้างโลกเวทมนตร์ของตัวเองขึ้นมา เนื่องจากถูกครอบครัวเดอร์ลีย์กลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำ เลยทำให้มีปัญหาทางจิต และตอนนี้เขาก็ยังอาศัยอยู่ที่ห้องใต้บันได (ภาค1) อยู่เลย…
-
ทฤษฎีสลายฝันในวัยเด็ก ที่จริงแล้ว Winnie The Pooh นั้น เป็นผู้หญิง!!?
นี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวช็อควงการบันเทิงของโลกเลยก็ว่าได้เลยนะเนี่ย กับทฤษฎีที่ว่า เจ้าหมีสีเหลือง ที่มีชื่อว่าพูห์นั้น ที่จริงแล้ว เป็นผู้หญิงแหละ!!? ถ้าเพื่อนๆ ยังจำกันได้ เจ้าหมีที่ดูเป็นมิตร ไม่ใส่กางเกง และติดน้ำผึ้งงอมแงม ถ้าทั้งหมดที่เรารู้เกี่ยวกับเจ้าหมีตัวนี้…เป็นเรื่องโกหกล่ะ!!? กล่าวอ้างจากหนังสือ Finding Winnie: The True Story of the World’s Most Famous Bear แล้วล่ะก็… หมีพูห์ของเรานั้นเป็นตัวเมีย และแน่นอนไม่ได้มีสัญชาติอังกฤษ แต่มีสัญชาติแคนาดาต่างหาก!!! ซึ่งเรื่องราวของ Pooh นั้น ได้รับแรงบันดาลใจจากลูกหมี ที่สัตวแพทย์ชาวแคนาดาได้ดูแลหลังจากที่มันถูกนักลอบล่าสัตว์ป่าทำร้ายในปี 1914 และนายแพทย์ก็ได้ตั้งชื่อมันว่า Winnie ตาม Winnipeg และเขาได้นำมันไปประเทศอังกฤษด้วย เพื่อเป็นมาสคอตให้กับกองทัพ สุดท้ายนายแพทย์ก็ได้ตัดสินใจมอบมันให้กับสวนสัตว์ลอนดอน แล้วทายสิว่าใครชอบไปเยี่ยมมันที่สวนสัตว์? เจ้าหนูที่มีชื่อว่า Christopher Robin ชอบเจ้าหมีตัวนี้เอาซะมากๆ และพ่อของเขา A.A. Milne ถ้าเพื่อนๆ…
-
สาระน่ารู้กับ 10 เรื่องราวอันน่าสนใจทางวิทยาศาสตร์ในรอบเดือนตุลาคม 2558
เหมียวเองถึงแม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องทางวิทยาศาสตร์มากมายซักเท่าไหร่ แม้จะเรียนวิทยาศาสตร์ได้เกรด 1 มาบ่อยๆ ก็ตาม แต่ก็ชอบที่จะเรียนรู้ว่าตอนนี้วิทยาศาสตร์มันพาเราไปไกลถึงไหนแล้ว อิอิ ซึ่งในช่วงเดือนตุลาคม 2558 ที่ผ่านมานี้ มีทฤษฎีใหม่ที่น่าสนใจเกิดขึ้นเยอะแยะเลย 15 ตุลาคม – ดวงดาวที่มีระยะห่างไกลกว่า 1,500 ปีแสง มีการส่องแสงสว่างระยิบระยับเป็นช่วงๆ ซึ่งอาจจะมีวัตถุขนาดมหึมาโคจรรอบๆ มันอยู่ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่ ซึ่งกำลังทำการวิจัยสำหรับคลื่นวิทยุจากสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาในอวกาศอันไกลโพ้นอยู่ 2 ตุลาคม – จากผลการศึกษาใหม่ สามารถสนับสนุนสาเหตุการสูญพันธ์ุของไดโนเสาร์นั้นมาจากการรวมตัวกันของภูเขาไฟขนาดใหญ่ และได้รับผลกระทบจากดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งชนโลก 5 ตุลาคม – นักวิทยาศาสตร์จาก NASA ยืนยันแล้วว่ามีของเหลวที่ลักษณะคล้ายกับน้ำอยู่บนดาวอังคาร จากการสังเกตการณ์อยู่เป็นระยะๆ จากแนวลาดชันบนดางอังคาร 8 ตุลาคม – จากผลการสำรวจพื้นผิวดาวอังคาร NASA ยืนยันว่า Gale Crater บนดาวอังคารนั้นเคยเป็นทะเลสาปเมื่อ 3,800,000,000…
-
ทฤษฎีใหม่สุดระห่ำของแฟนหนัง GOT หลังเหตุการณ์ Jon Snow ตาย ที่ดูเป็นไปได้สุดๆ !!!
ในช่วงก่อนของปรากฏการณ์แห่งซีรีย์ต่างประเทศ คงไม่มีเรื่องไหนที่โด่งดังเท่ากับการฆ่าเหล่าตัวละครโปรดของแฟนๆ อย่างโหดเหี้ยมของ George R.R. Martin แห่ง Game of Thrones อีกแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นใครยังดูซีซั่น 5 ไม่จบ โปรดปิดไปก่อนนะจ๊ะ สปอยล์หนักมาก เพราะด้วยความไม่แน่นอนของซีรีย์ เหล่าแฟนๆ จึงชอบที่จะคาดเดาผลลัพธ์ต่างๆ นานา จนเกิดเป็นทฤษฎีใหม่เต็มไปหมด แต่การตายของตัวละครหลักขวัญใจแฟนๆ อย่าง Jon Snow (Kit Harrington) ทำให้แฟนๆ หลายๆ ท่านคิดต่างออกไป จนเกิดเป็นทฤษฏีใหม่เลยทีเดียว… โดยทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับที่สุดนั่นก็คือ Jon Snow ไม่ได้เป็นลูกนอกสมรสของ Ned Stark แต่เป็นลูกของ Lyanna น้องสาวของ Ned กับเจ้าชายมังกร Rhaegar Targaryen ต่างหาก และนั่นคือทฤษฎี R + L = J ที่มีคนคิดว่าเป็นไปได้มากที่สุด แต่ทฤษฎีนี้จะเป็นจริง ก็ต่อเมื่อตัวละครขวัญใจอย่าง Jon Snow…