Tag: ทำไม
-
เมื่อชาวเน็ตสงสัย ทำไมละครไทยถึง “แต่งหน้า” กันแบบจัดเต็มสุดๆ ถึงขั้นตั้งกระทู้ถาม!?
ละครไทย นั้นนับว่าเป็นความบันเทิงที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน กระทั่งปัจจุบัน ละครไทยบ้านเราก็ยังคงเป็นสิ่งที่ให้ความบันเทิงแก่ผู้ชมทุกเพศทุกวัยได้เป็นอย่างดี แม้มันจะมีองค์ประกอบบางอย่างของละครไทยที่ทำให้เราต้องตั้งคำถามขึ้นมาเสมอ อย่างเช่น เครื่องสำอางบนใบหน้าของตัวละคร ทำไมถึงต้องแต่งหน้าแบบจัดหนักจัดเต็ม? บางครั้งเราก็จะสังเกตเห็นได้ว่าตัวละครนั้น หน้าเต็ม มากกก แม้จะเป็นฉากนอนหลับหรือป่วยอยู่ในโรงพยาบาล ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเรื่องนี้มันจะเป็นปัญหาคาใจใครหลายๆ คน กระทั่งวันนี้ได้มีคนมาตั้งกระทู้บนเว็บไซต์ Pantip ว่า “รู้หรือยังคะ ว่าทำไมละครบ้านเราถึงแต่งหน้าจัด” เราไปหาคำตอบจากกระทู้นี้กันเลย กระทู้ “รู้หรือยังคะ ว่าทำไมละครบ้านเราถึงแต่งหน้าจัด” เจ้าของกระทู้ โพสต์พร้อมใส่ความคิดเห็นตัวเองลงไปอย่างเต็มที่ ดูซิว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า? แฟนละครชาวไทย ชอบให้พระเอกนางเอก ต้องหล่อ/สวย จริงมั้ย? ถ้าแฟนละครยังชอบพระนางที่หน้าเป๊ะๆ อยู่ก็คงจะได้เห็นตัวละครแต่งหน้านอนกันต่อไป . เรามาดูคอมเมนต์กันบ้าง ใครมาตอบอะไรกันบ้างน้อ? … เมนต์นี้บอกว่า แต่งหน้าจัดๆ แบบนี้ไม่ได้สวยขึ้นเลย แต่กลับดูไม่เป็นธรรมชาติ เมนต์นี้ กล่าวว่า ผู้กำกับและช่างแต่งหน้าอาจจะยังไม่รู้ว่าสมัยนี้ TV มีสีแล้ว เมนต์นี้ กล่าวว่า การแต่งหน้าจัดในละครไทยได้รับอิทธิพลจากการแสดงพื้นบ้านที่ทุกอย่างต้อง…
-
4 เหตุผลที่จะมาไขข้อข้องใจของทุกคนที่ว่า ทำไมซอมบี้ต้องกินสมองด้วย?
นอกจากคำถามที่ว่า เวลาพวกพระเอกไปเจอคนสามารถพอที่จะรักษาคนอื่นได้ ทำไมคนๆ นั้นถึงมักที่จะเป็นสัตวแพทย์ อีกหนึ่งคำถามที่เชื่อว่าคนที่ดูหนังแนวๆ นี้คงต้องเคยคิดขึ้นมาบ้างสักครั้ง ก็คงจะไม่พ้นทำไมซอมบี้ต้องกินสมองด้วย? เป็นแน่ หลายๆ คนอาจจะคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจของคนแต่งเรื่องเพื่อให้หนังน่ากลัวขึ้นเฉยๆ แต่เชื่อไหมล่ะว่าเหตุผลที่ซอมบี้กินสมอง หรือทำไมต้องกินคนนั้นมีคำอธิบายออกมาจริงๆ ด้วยนะ แม้ว่าจะเป็นเพียงเรื่องที่ไม่ได้จริงจังอะไรนัก แต่ทั้งนักเขียน หมอ หรือแม้แต่นักวิทย์เองก็มีการออกมาให้ความเห็นที่ “สมจริง” และ “เป็นไปได้” เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าทำไมซอมบี้ต้องกินสมอง ซึ่งแบ่งเป็นข้อๆ ได้ดังต่อไปนี้ 1. เพื่อพลังงาน การที่ร่างกายของคนเราขยับได้นั้นต้องมีการเผาผลาญพลังงาน แม้ว่าจะร่างกายจะตายไปแล้วก็ตาม ดังนั้นซอมบี้ โดยเฉพาะซอมบี้ที่มีกำลังเหนือกว่าคนธรรมดานั้นย่อมที่จะต้องหาอะไรมาทดแทนพลังงานที่เสียไป ดังนั้นการล่าจึงเกิดขึ้น ซอมบี้จำพวกนี้จะกินทุกอย่างที่หาได้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ เพื่อให้ได้รับแคลอรีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกซอมบี้จึงมักเล็งที่อวัยวะจำพวกเครื่องในและสมองก่อนนั่นเอง นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่อธิบายว่าทำไมซอมบี้ถึงเดินช้าๆ นั่นก็เพราะพวกมันพยายามรักษาแคลอรีอย่างไรล่ะ ส่วนเหตุผลว่างั้นทำไมซอมบี้ไม่กินผัก น่าจะเกี่ยวข้องกับข้อต่อไปนี่ล่ะ 2. เพื่อขยายพันธุ์ หนังซอมบี้นั้นหลายๆ เรื่องมีกฎหลักๆ อยู่ว่าห้ามโดนกัดเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นซอมบี้ไปด้วย นี่เป็นเหตุผลที่ซอมบี้จะล่าแต่อะไรก็ตามที่เป็นเนื้อเท่านั้น ในซอมบี้จำพวกที่สร้างมาจากอาวุธชีวภาพ หรือไวรัสนั้น เป็นไปได้ว่าเชื้อซอมบี้จะอยู่ในสภาพของปรสิต ซึ่งคล้ายๆ กับปรสิตที่อยู่ในหอยทากบางชนิดมันจะควบคุมร่างกายของเจ้าของเพื่อขยายพันธุ์ การที่ซอมบี้กัดลงไปบนเหยื่อจะเป็นการแพร่กระจายปรสิตลงในร่างเหยื่อ และสถานที่ที่ปรสิตจะควบคุมร่างกายได้ดีที่สุดก็คือที่สมอง ดังนั้นซอมบี้จึงมักจะกัดลงไปที่สมองก่อนนั่นเอง 3. เพื่อให้เหยื่อตายอย่างรวดเร็ว…
-
17 เรื่องที่เรามักเห็นกันใน “หนังผี-สยองขวัญ” แต่คิดดูดีๆ มันไม่สมเหตุสมผลเลยนี่หว่า เฮ๊ย!!!
หนังสยองขวัญของไทยและเทศ ไม่ว่าจะเป็นหนังผีหรือหนังฆาตกรโรคจิตก็ตาม มันมักจะมี ความไม่สมเหตุสมผล ปะปนมาด้วยเสมอ ขณะที่เราชมอยู่มันก็สนุกและน่ากลัวดีอยู่หรอกนะ แต่พอเทียบกับความเป็นจริงดู กลับรู้สึกว่า “เฮ้ย ทำไมไม่หนี ทำไมไม่ไปทางนั้น ทำไมไม่ใช้โทรศัพท์ บลาๆ” ซึ่งไอ้คำพูดเหล่านี้ มันก็เกิดจากความไม่สมจริง และไม่สมเหตุสมผลของหนังนั่นเอง เอาล่ะ ลองมาคิดกันคร่าวๆ ดูดีกว่าว่า ในหนังสยองขวัญทั่วไปของไทยและต่างประเทศนั้น มีอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลกันบ้าง 1. ประเด็นที่มักจะเจอเหมือนๆ กันแทบทุกเรื่องก็คือ… ตัวละครส่วนใหญ่มีการตัดสินใจที่แย่มาก รู้ทั้งรู้ว่าไปทางนั้นมันต้องมีอะไรแน่ๆ มันน่ากลัวขนาดไหน ก็ยังจะเลือกไปอีก 2. เวลาอยู่ในบ้านทำไมไม่เปิดไฟ!! หรือทำให้บริเวณนั้นสว่าง จะได้เห็นกันจะจะไปเลยว่าเป็นผีชัวร์ไม่ใช่แมว 3. ทำไมต้องหนีไปซ่อนในที่แคบๆ เช่น โอ่ง ใต้เตียง หรือห้องใต้ดิน ทำไมไม่ไปสถานที่แบบ ลานน้ำพุ ตลาดนัดแถวบ้าน อะไรแบบนี้ (เป้านิ่งขนาดนี้ ผีก็สบายเลยสิจ๊ะ) 4. พอเห็นเพื่อนจะถูกฆ่าก็หนีไม่ลง แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปช่วย สรุปคือ ยืนดูเพื่อนถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม (ถ้าไม่ช่วยก็หนีไปเถ๊อะ ยืนดูอย่างนี้มันอำมหิตกว่าฆาตกรอีกนะเนี่ย) …
-
12 เรื่องขัดใจจากหนังดิสนีย์ ตอนแรกก็ไม่คิดอะไรนะ แต่พออ่านปุ๊ปก็เลยขัดใจตามไปเลย
เรื่องราวที่ไม่สมเหตุสมผลนั้นมักจะโผล่มาให้เห็นในหนังกันอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว บางคนนั้นอาจจะบอกว่าที่เป็นแบบนั้นก็เพื่อให้หนังมันดำเนินไปได้ เพราะถ้าไม่มีการตัดสินใจแปลกๆ พวกนั้น เรื่องราวก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกหลายๆ คนที่เชื่อกันว่าในหนังนั้นทุกๆ สิ่งควรที่จะสมเหตุสมผล เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของคนเขียนบทและผู้กำกับ ถึงอย่างนั้นเมื่อหนังมันออกมาแล้วคนเราก็คงจะไปแก้ไขอะไรมากไม่ได้ สุดท้าก็คงทำได้แค่เอาเรื่องเหล่านั้นมาเผาเสียให้สะใจก็เท่านั้นอย่าง 12 เรื่องขัดใจจากหนังดิสนีย์ที่ท่านกำลังจะได้อ่านกัน ทำไมทาร์ซานถึงไม่มีหนวดเคราและขนบนร่างกาย เฮ้ๆ พวกเรารู้กันว่าคนป่าหรือคนที่ไปหลงในป่านั้นส่วนมากจะมีสภาพอย่างไรใช่ไหม ถึงจะมีความเชื่อที่ว่าถ้าไม่ไปโกนหนวดขนก็จะไม่แข็งก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีขนที่อื่นสักหน่อย นี่ Miley เชื่อจริงๆ เหรอว่าคน 300 คนจะรักษาความลับที่ว่าจริงๆ แล้วเธอคือ Hannah Montana เอาจริงๆ นะ โอกาสที่ความลับจะรั่วนั้นแทบจะเป็น 100% ทำไมอลาดินไม่มีหัวนม อะไร? ก็แค่สงสัยเอง อย่ามองอย่างนั้นดิ ใน The Lizzie McGuire Movie ทำไมมีแค่ Ungermeyer เป็นพี่เลี้ยงแค่คนเดียว โรงเรียนเขาไปทัศนศึกษากันในต่างประเทศเลยนะเฮ้ย ทำไม Hades โกรธแล้วไฟต้องเป็นสีส้มด้วย ไฟสีฟ้าที่เกิดจากการเผาไหม้สมบูรณ์นั้นส่วนมากแล้วจะมีอุณหภูมิสูงกว่าไฟสีแดงไม่ใช่รึ ใน Tangled ถ้าน้ำตา Rapunzel ชุบชีวิตคนได้ ป่านนี้คนไม่ตามหาเธอกันทั้งโลกแล้วเรอะ ถ้ารองเท้าแก้วของ Cinderella…
-
ทฤษฎีแห่งการ ‘สบตา’ เผยถึงสาเหตุที่ว่า ทำไมการสบตาในระหว่างสนทนาจึงเป็นเรื่องยาก
หลายคนอาจเคยสงสัยว่าเวลาที่เราคุยกับคนอื่นทำไมเขาถึงไม่ชอบมองตาเราตรงๆ แต่เลือกที่จะมองไปทางอื่นตอนที่พูดกับเรา? คำถามนี้ได้มีคำตอบออกมาอธิบายให้เพื่อนๆ เข้าใจกันว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อนักวิทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น โดยพวกเขาได้ทำ การทดสอบ กับอาสาสมัครจำนวน 26 คน แล้วให้เล่นเกมต่อคำศัพท์โดยขณะที่เล่นต้องมองหน้าของคนที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ไปด้วย ผลที่ได้คือการต้องนั่งสบตากับใบหน้าที่หันมามองเราทำให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบใช้เวลาในการคิดคำศัพท์นานกว่าการที่ไม่ต้องสบตา นั่นจึงแสดงให้เห็นว่าการมองตากันจะทำให้ยากต่อการคิดคำพูดของเรา โดยเฉพาะกับคำที่เราไม่คุ้นเคย นักวิจัยได้ออกมาบอกว่า “แม้กระบวนการการพูดและการสบตาจะไม่เกี่ยวกัน แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะไม่สบตาอีกฝ่ายขณะที่พูด และจากการทดสอบนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสองอย่างนั้นมีการรบกวนซึ่งกันและกันอยู่” เมื่อปี 2016 เองก็ได้มี การวิจัยเกี่ยวกับการสบตา ของนักจิตวิทยาชาวอิตาลีที่ชื่อว่า Giovani Caputo เมื่อเขาได้ให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบสบตากับคนคนหนึ่งเป็นเวลานานถึง 10 นาที ผลที่ได้ก็คือผู้ทดสอบหลายๆ คนถึงกับเห็นภาพหลอนว่าใบหน้าอีกฝ่ายเป็นสัตว์ประหลาด เป็นคนรู้จัก หรือแม้แต่เห็นว่าเป็นใบหน้าของตัวเอง ผลลัพธ์ของงานวิจัยนั้นเรียกว่า Neural Adaption หมายถึงการที่สมองเกิดการตอบสนองที่เปลี่ยนไปแม้ว่าสิ่งเร้าตรงหน้าจะยังคงเดิม ยกตัวอย่างการวางมือเอาไว้บนโต๊ะ เราจะรู้สึกทันทีในตอนแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เราก็จะลืมความรู้สึกไปว่าเรากำลังเอามือวางไว้บนโต๊ะอยู่ Neural Adaption ก็อาจเป็นสิ่งที่อธิบายให้กับงานวิจัยในมหาวิทยาลัยเกียวโตครั้งนี้ได้ว่าเป็นการตอบสนองที่ผิดเพี้ยนไปของสมองมนุษย์ ถึงอย่างไรนักวิจัยชุดนี้ก็ตั้งใจว่าจะศึกษาเรื่องของการสบตาต่อไป โดยพวกเขาวางแผนเอาไว้ว่าครั้งต่อไปจะศึกษาในเรื่องของการใช้คำพูดและการใช้ภาษากายหรืออวัจนภาษา ว่าการสบตาทำให้เกิดผลที่แตกต่างกันหรือเปล่า …
-
18 บันไดประหลาด ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนออกแบบ พอเห็นแล้วก็ได้แต่เกาหัวยิกๆ อะไรว๊ะ!?
หลายคนอาจจะลืมไปแล้วว่า ‘บันได’ เป็นหนึ่งในสุดยอดสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยทำให้ชีวิตของเราสบายขึ้นอีกเยอะ ลองนึกดูสิว่าถ้าโลกนี้ไม่มีบันได มันก็คงจะไม่มีตึกที่มากกว่า 2 ชั้นจริงมั้ย? บันไดที่ดีก็มักจะมาคู่กับการออกแบบที่ดี แต่บางทีการออกแบบมั่วๆ ก็ทำให้บันไดหมดประโยชน์ไปได้เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น 18 บันไดประหลาดที่เอามาให้ชมกันนี่แหละ บันไดปีศาจลวงตาแบบนี้ เป็นอันต้องหกล้มกันทุกรายไป บันไดสู่ประตูห้องน้ำคนพิการ ที่ไม่มีคนพิการคนไหนได้เข้าไปใช้เลย!? บันไดที่ไม่รู้ว่าจะมีไอ้เหล็กกั้นนั้นไว้ทำไม เป็นบันไดที่ต้องเสี่ยงตายทุกครั้งที่ใช้งาน เคยเห็นบันไดประหลาดมาก็มาก แต่บอกเลยว่าอันนี้เจ๋งที่สุด ถ้าไปเดินซ้ายคุณก็จะได้เจอกับทางยกระดับ แต่ถ้าขึ้นบันไดข้างขวามันไม่มีทางยกระดับนะ!! จะขึ้นบันไดเลื่อนได้ ก็ต้องเดินขึ้นบันไดก่อน เพื่อ..!? เป็นบันไดที่เหมือนตั้งใจจะวางกับดักไว้ให้คนหกล้ม บันไดที่ไม่รู้ว่าจะสร้างมาทำไม เฮ้อ…. นี่ก็เหมือนกัน… จะทำทางชันลงมาให้ชนกับบันไดทำไมละนั่น ว่ากันว่านี่คือสไตล์การสร้างบันไดแบบรัสเซีย ถ้าลงบันไดเลื่อนแล้วต้องเดินขึ้นบันไดอีก ก็ไม่ต้องสร้างบันไดเลื่อนแล้วก็ได้มั้ง? เป็นบันไดที่เอิ่ม… แบบนี้บ้านจะขายออกมั้ยล่ะเนี่ย บันไดที่ไม่เมคเซ้นส์เอาซะเลย เพราะทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าจะสร้างมาทำไม!? ขอยินดีต้อนรับคุณเข้าสู่…. ที่นี่ที่ไหนว่ะ?…
-
15 เทคนิคมั่วๆ ที่ช่วยทำให้ “ของกินอร่อยขึ้น” ได้จริง 1,000 เท่า มันเป็นไปได้ยังไงเนี่ย!?
ขึ้นชื่อว่าเรื่องของกินแล้ว.. ใครๆ ก็ต้องมีเทคนิคพิเศษเฉพาะตัวในการกินกันทั้งนั้นแหละ ถึงแม้บางทีอาจจะดูเหมือนเป็นตรรกะเพี้ยนๆ บ้างก็เถอะ แต่มันก็ช่วยทำให้ของกินอร่อยขึ้นจริงๆ และเพื่อเป็นการตอกย้ำพฤติกรรมการบริโภคอันแสนจะมุ้งมิ้งของมนุษย์ผู้ไม่รู้จักโต เราขอพาไปชม 15 เทคนิคการกินอาหารที่ใครๆ ก็ทำกัน เพราะทำแล้วมันอาาหร๊อยยยอย่างแรงนิ!! 1. เฟรนช์ฟรายชิ้นที่อร่อยที่สุด คือชิ้นที่เราเจอมันตกอยู่ที่ก้นถุง 2. เวลาเจอของกินรูปทรงสัตว์ เราก็มักจะกินขา แขน หัว และตามด้วยลำตัวทู๊กกที 3. ขนมอะไรที่เป็นสีรุ้งๆ แบบนี้นะ พอแยกสีแล้วรู้สึกว่าความอร่อยเพิ่มขึ้นมาอีก 20% 4. ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม.. น้ำอัดลมใส่แก้วยังไงก็อร่อยกว่าที่บรรจุในขวดพลาสติค 5. สำหรับบางคนไม่มีน้ำอัดลมไหนจะอร่อยไปกว่าน้ำอัดลมผสมกัน 6. ไม่รู้ว่าตรรกะนี้มาจากไหน แต่ของทอดที่เป็นรูปไดโนเสาร์จะอร่อยกว่าของทอดทั่วไป จริงๆ นะ..!! 7. เอ็มแอนด์เอ็มก็เหมือนกัน ไม่มีสีไหนจะให้รสชาติความเป็นช็อคโกแลตได้ดีเท่าสีน้ำตาลอีกแล้ว (แต่มันก็ช็อคโกแลตหมดไม่ใช่เหรอ?) 8. แอปเปิ้ลอร่อยที่สุด คือแอปเปิ้ลที่มีคนปอกไว้ให้แล้ว ผ่างงง!! 9. แซนด์วิชจะดูเหมือนเยอะทันทีเพียงแค่เราหั่นครึ่ง…
-
ผู้เชี่ยวชาญเผยสาเหตุ ทำไมเจ้าหญิงดิสนี่ย์จึงต้องสวมชุด “โทนสีฟ้า” แทบทุกคน…
เชื่อว่าหลายๆ คนต้องเคยดูและชื่นชอบเจ้าหญิงดิสนี่ย์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น Elsa (Frozen), Belle (Beauty and the Beast), หรือกระทั่ง Jasmine (Aladdin) แต่มีใครเคยสังเกตหรือไม่ว่า เจ้าหญิงของดิสนี่ย์แทบทุกตัว จะต้องมีสีฟ้าบนเครื่องแต่งกาย (พอมาสังเกตดีๆ แล้วเจ้าหญิงแทบทุกคนมีสีฟ้าอยู่บนร่างกายทั้งนั้นเลยนะเนี่ย) ซึ่งเรื่องดังกล่าวทาง Leatrice Eiseman จากสถาบันสีแพนโทน (Pantone Colour Institute) อธิบายปรากฎการณ์ดังกล่าวว่า สีฟ้าหรือสีโทนน้ำเงินจะช่วยส่งเสริมพลังให้กับตัวละครผู้หญิง “คุณสามารถเพิ่มพลังให้กับตัวละครหญิงได้ด้วยการใส่สีฟ้าเข้าไปให้กับตัวละคร อาจจะฟังดูไร้สาระ แต่มันเป็นเรื่องจริงนะ ทั้งหญิงสาว ทั้งเด็กสาว เมื่อมีสีฟ้าแล้วพวกเขาจะดูเข้มแข็งขึ้น” Eiseman กล่าว “อย่างที่เราเห็นว่าชุดสีฟ้าของ Belle ได้นำพาเธอไปพบกับการผจญภัยครั้งใหม่นอกหมู่บ้านเล็กๆ ของเธอ ส่วน Jasmine ก็รอดชีวิตได้เพราะชุดสีฟ้าของตนเอง และ Cinderella พอสวมชุดสีฟ้าก็มีชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้สีฟ้ายังแสดงถึงความสดใสของท้องฟ้าอีกด้วย” “ฉะนั้นที่บอกว่าสีฟ้าเป็นของเด็กผู้ชาย ส่วนสีชมพูเป็นของเด็กผู้หญิงคงต้องตกไปแล้วล่ะ” (Belle ในเวอร์ชั่นหนังโรงล่าสุดก็สวมชุดสีฟ้าเช่นกัน) …
-
ไขข้อข้องใจ… ทำไมเสียงของระบบ AI ผู้ช่วยเหลือ ถึงต้องเป็นเสียงของผู้หญิงมาก่อน!?
ในปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่ ‘หุ่นยนต์’ หรือระบบ AI ต่างๆ ถูกพัฒนาจนสามารถนำมาใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น Siri (Apple), Cortana (Microsoft), S Voice (Samsung) หรือระบบให้ความช่วยเหลือในรถยนต์ เป็นต้น ซึ่งระบบ Assistant ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ใช้งานเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีเสียงโต้ตอบเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น!? เออแฮะ ทำไมต้องเป็นเสียงผู้หญิงกันนะ มันมีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่? วันนี้ #เหมียวหง่าว จะมาไขข้อข้องใจนี้ให้กระจ่างเอง!! ก็เพราะว่าทางบริษัทผู้สร้างเหล่านี้ได้ทำการวิจัยกันออกมาเรียบร้อยแล้ว โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ ศาสตราจารย์ Karl F. MacDorman และทีมงานจากมหาวิทยาลัย Indiana University ได้ดำเนินงานวิจัยด้วยการเปิดคลิปเสียงผู้ชายและผู้หญิงให้กับกลุ่มตัวอย่างที่มีทั้งเพศชายและหญิงฟัง จากนั้นก็ตั้งคำถามว่าพวกเขาชอบเสียงแบบไหนมากกว่ากัน ผลปรากฏว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบว่า ‘ผู้หญิง’ และไม่ใช่เพียงแค่การตอบคำถามเท่านั้นเหล่าทีมงานนักวิจัยยังสังเกตปฏิกิริยาและการตอบสนองต่อคลิปเสียงของกลุ่มตัวอย่างด้วย ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาสามารถตอบสนองต่อเสียงของผู้หญิงได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า นอกจากนี้จากผลงานการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร ศาสตราจารย์ Clifford Nass จากมหาวิทยาลัย Stanford ก็ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “สมองของมนุษย์เรานั้นจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงของผู้หญิงมากกว่าเสียงของผู้ชาย” …
-
ชาวเน็ตสงสัย Google Maps ต้องเบลอหน้า ‘เจ้าวัว’ กลางถนนด้วย… มีคนช่วยตอบ เอาซะฮากระจาย!!!
ก็กลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างเฮฮาเลยทีเดียวในเว็บไวรัลของต่างประเทศ เกี่ยวกับ Street View หนึ่งในฟังก์ชั่นการใช้งานของ Google Maps ที่จะพาคุณเดินไปตามท้องถนนของพื้นที่ต่างๆ ราวกับย่างเท้าลงไปเองยังไงยังงั้น เทคโนโลยีนี้เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2007 แต่กระนั้นหลายๆ คนที่ดันไปมีใบหน้าโชว์บน Google Street View พอดีก็ไม่ค่อยจะพอใจที่หน้าของพวกเขาโชว์หราอยู่แบบนั้น ถีดมาในปี 2008 เลยมีระบบการเซ็นเซอร์ใบหน้าของพวกเขาขึ้นมา เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของเหล่าคนที่ติดมาในภาพ แต่ก็นั่นแหละ… ปัญหาในวันนี้เกิดขึ้นเพราะมีผู้ใช้ทวิตเตอร์ David Shariatmadari ได้ตั้งคภถามกับชาวเน็ตว่า ทำไม Google ถึงเบลอหน้าของเจ้าวัวตัวนี้ล่ะ!? ชาวเน็ตก็เข้ามาตอบข้อสงสัยกันแบบฮากระจายเลยทีเดียว ‘ดีใจจริงๆ ที่เห็น Google ใส่ใจความเป็นส่วนตัวของเจ้าวัวนี้อย่างจริงจัง’ เรื่องราวมันเริ่มต้นที่โพสต์นี้ แต่ก็ถูกรีทวิตไปเกือบ 10,000 ครั้ง แถมด้วยการกดถูกใจกว่า 13,000 ครั้ง กลายเป็นกระแสทั่วโลกออนไลน์ จนกระทั่งชาวเน็ตก็มาตอบข้อสงสัยของเขากันใหญ่เลยล่ะ… ก็วัวกำลังโป๊อยู่กลางถนน Google เลยเบลอหน้าซะเลย แย่หน่อยนะที่ไม่เบลอเต้านมให้วัวด้วย เบลอหน้าไปเถอะ จำตูดได้แม่นเลยล่ะ ไม่อยากกินเบอร์เกอร์แล้วล่ะ เพราะมันก็ทำมาจากวัวที่เดินตามท้องถนนนี่แหละ…
-
ข้อมูลของคำถามที่ว่า… ทำไม๊ทำไม นักกีฬาโอลิมปิก ต้องถ่ายรูป ‘กัดเหรียญ’ กันด้วย!??
ช่วงนี้ก็คงไม่มีการแข่งขันกีฬาใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าอีเว้นท์โอลิมปิกที่ริโอ ประเทศบราซิลอีกแล้วล่ะ วันนี้ #จ่าสิบเหมียว ก็มีเกร็ดความรู้น่าสนใจมาฝากกัน ในประเด็นที่ว่า ‘ทำไมเหล่านักกีฬาที่ได้รับเหรียญมานั้น ต้องกัดเหรียญของตัวเองด้วยล่ะ!?’ ว่าแล้วเรามาถกประเด็นนี้กันเลยดีกว่า!!! ประเพณีการกัดเหรียญ… (แหม๊ นึกถึงขนมช็อกโกแลตเหรียญเลยนะเนี่ย ฮ่าๆๆๆ) แถมการกัดเหรียญนั้นก็ไม่ได้พึ่งจะมีในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ ภาพนี้มาจากโอลิมปิกปี 1991 นักกีฬาวิ่งชาวอังกฤษก็กัดเหรียญเช่นกัน!! สาเหตุที่ว่าทำไมทุกๆ คนต้องกัดเหรียญกันแบบนั้นล่ะ!? หนึ่งในปัจจัยเหล่านั้น…ใครจะไปนึกว่าคือ ‘เหล่าช่างภาพ’ !!! ‘ราวกับว่าเป็นความลุ่มหลงของเหล่าช่างภาพเลยทีเดียว’ David Wallechinsky หัวหน้าสมาคมนักประวัติศาสตร์โอลิมปิกกล่าวกับทาง CNN ‘เพราะเหล่าช่างภาพคิดว่าการกัดเหรียญนั้นเหมือนเป็นจุดขายของเหล่านักกีฬาที่จะทำให้ภาพดูน่าสนใจ เอาจริงๆ นะ ผมไม่คิดว่าเหล่านักกีฬานึกอยากจะกัดเหรียญกันขึ้นมาเองหรอก’ เพราะว่าเป็นภาพที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการแข่งขัน แถมยังสามารถขายได้อีกด้วย!!! และตามประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ผ่านๆ มา การกัดทองนั้นถือว่าเป็นการพิสูจน์ความ ‘แท้’ ของพวกมันล่ะ!!! เพราะทองแท้นั้นอ่อน และสามารถกัดได้ และจะทิ้งรอยฟันไว้บนเนื้อของมัน แต่ประเด็นคือเหรียญทองส่วนใหญ่ที่ใช้ในโอลิมปิกนั้นมีส่วนผสมของเงินอยู่เป็นส่วนมาก และโอลิมปิกที่ริโอในครั้งนี้ก็เหมือนกับครั้งก่อนๆ ตั้งแต่ปี 1912 ที่ไม่ได้ทำมาจากทอง 100…
-
ผู้เชี่ยวชาญออกมาชี้แจงเบื้องหลัง กรณี ‘สังหาร’ เจ้ากอริลล่า แทนที่จะใช้ยาสลบ!!?
หนึ่งในเรื่องเศร้าสลดใจที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ก็คงไม่มีเรื่องไหนที่จะน่าเศร้าไปกว่าเรื่องของเจ้ากอริลล่า ที่ตกเป็นเหยื่อถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ เพราะดันมีเจ้าหนูวัย 4 ขวบตกลงไปและเกรงว่ามันจะทำอันตรายเจ้าหนู จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในด้านการทำงาม รวมถึงความรับผิดชอบของพ่อแม่ไปทั่วโลก!!! มาถึงจุดๆ นี้หลายๆ คนอาจจะคิดว่า เอ…ทำไมทางเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ไม่ยิงลูกดอกยาสลบหรือใช้วิธีอื่นจัดการล่ะ? แทนที่จะมาฆ่าแกงสัตว์ในสวนแบบนี้ ล่าสุดผู้เชี่ยวชาญอย่าง Dr. Sharon Redrobe ก็ได้ออกมาอธิบายถึงเรื่องนี้แล้วล่ะ!!! Dr. Sharon Redrobe หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของ Twycross Zoo ใน Leicestershire กล่าวว่า ‘การสูญเสียเจ้า Harambe กอริลล่าวัย 17 ปีถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง แต่มันเป็นสิ่งที่จำเป็น!!!’ เจ้า Harambe กอริลล่าวัย 17 ปี ทางผู้เชี่ยวชาญของเราก็ได้กล่าวต่อไปอีกว่า ‘อีกเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจกันนั่นก็คือ เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ก็ต้องจัดการกับอุบัติเหตุนี้ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตาย และคงไม่มีใครรู้จักพฤติกรรมของสัตว์ตัวนั้นๆ เท่ากับเหล่าเจ้าหน้าที่อีกแล้วล่ะ’ ‘ในความเป็นจริงก็คือ ก่อนจะยิงสังหารเจ้ากอริลล่านั้นทางเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ได้ดูสถานการณ์กว่า 10 นาทีเลยทีเดียว นั่นหมายความว่าพวกเขาได้พยายามแทบทุกอย่างแล้วที่จะไล่เจ้ากอริลล่าตัวนี้ไปให้ไกลจากเจ้าหนู’ เธอกล่าวต่อ ข้อความจากทวิตเตอร์ของผู้เชี่ยวชาญ และนี่คือข้อความจากทวิตเตอร์ของเธอ ‘มันเป็นเรื่องเศร้า แต่กอริลล่าเป็นสัตว์ใหญ่ และลูกดอกยาสลบต้องใช้เวลาถึง…
-
George R. R. Martin สัมภาษณ์แบบเปิดใจ ทำไมชอบฆ่าตัวละครหลักใน Game of Thrones!?
อื้อหืออออ มันเป็นแบบนี้นี่เอง ทั้งหมดทั้งมวลที่ผ่านมา ที่ทำร้ายแฟนๆ และผู้ชมอยู่ตลอด และวันนี้ George R. R. Martin ผู้เขียนหนังสือชื่อดัง Song of Ice and Fire ต้นฉบับของซีรีย์ชื่อดังอย่าง Game of Thrones ได้ออกมาสารภาพแล้วล่ะว่าทำไมเขาชอบฆ่าตัวละครโปรดของแฟนๆ มากขนาดนั้น… ล่าสุดจากการให้สัมภาษณ์กับทาง Galaxy’s Edge เขาก็ได้กล่าวว่า ‘พวกเราเหล่านักเขียน แน่นอน ถึงแม้ว่าจะเป็นนักเขียนนวนิยายแนวแฟนตาซี พวกเราก็ต้องสื่อถึงความจริง แลัความจริงก็คือเหมือนที่เราพูดกันบ่อยๆ ใน Game of Thrones ว่า ‘All men must die’ ยังไงล่ะ’ ซีรีย์ชื่อดัง Game of Thrones George R. R. Martin ‘ก็อย่างที่เราทราบกันแล้วว่าโลกของเรานั้นเต็มไปด้วยนวนิยายแฟนตาซีมากมาย ที่มีทั้งพระเอก นางเอก เพื่อนพระเอก…
-
เคยสงสัยมั้ย!? มนุษย์สร้างเซลล์ผิวหนังใหม่อยู่ตลอดเวลา แต่ทำไมรอยสักจึงไม่ยักจางหรือหลุดลอกออกไป
มาเข้าเรื่องสาระน่ารู้ของวันนี้กันบ้าง ว่าด้วยเรื่องของ ‘รอยสัก’ ที่แน่นอนว่าหลายๆ คนปรารถนาที่จะมีกัน ก็เรียกได้ว่าฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมต่างๆ ของมนุษย์มานับพันๆ ปีเลยทีเดียว แต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันมั้ยว่า ผิวหนังของมนุษย์นั้นหลุดลอกและสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทนที่ตลอด แต่ทำไมรอยสักถึงไม่หลุดลอกหรือจางหายไป วันนี้ #จ่าสิบเหมียว ก็มีคำตอบของเรื่องนี้มาฝากกันล่ะ!!! ทำไมรอยสักจึงไม่หลุดลอก!? ซึ่งจะว่าไปแล้วรอยสักยังคงอยู่หลังจากที่เราตายไปด้วยนะเออ เพราะมีหลักฐานชี้ชัดทางวิทยาศาสตร์ว่า มีมัมมี่อายุกว่า 5,300 ปีที่ยังมีรอยสักติดอยู่บนตัวด้วย!!! น่าแปลกประหลาดจริงๆ ก็อย่างที่เราเห็นจากภาพสโลโมชั่นของการสักจากด้านบน หัวใจหลักของเรื่องนี้เลยก็คือแรงกระทำจากปลายเข็ม ที่ผลักหมึกให้ทะลุผิวหนังกำพร้าชั้นนอกสุด (Epidermis) ทะลุเข้าไปยังผิวหนังชั้นใน (Dermis) นั่นเอง ผิวหนังชั้นในนั้นจะไม่มีการหลุดลอกและสร้างเซลล์ใหม่เหมือนหนังกำพร้า รอยสักจึงไม่หลุดลอกออกมาล่ะ และนั่นก็อธิบายถึงความเจ็บได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว และเมื่อเข็มเจาะและผลักหมึกให้ทะลุชั้นหนังกำพร้าลงไป นั่นราวกับว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกายและจะไปกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวออกมาจัดการกับหมึก แต่เพราะโมเลกุลของหมึกที่ใหญ่เกินไปทำให้ไม่สามารถจัดการได้ เพราะฉะนั้นการลบรอยสักโดยการใช้เลเซอร์ก็คือการสลายโมเลกุลของหมึกเพื่อให้เม็ดเลือดขาวมาจัดการมันล่ะ และนี่ก็คือเคล็ดลับของการสักและการลบรอยสักนะจ๊ะ เป็นการเปิดหูเปิดตาให้กับเพื่อนๆ ที่ยังไม่รู้กันเนาะ ไหนใครอยากได้รอยสักสวยๆ กันบ้างเอ่ยยยย?? อิอิ ที่มา: Aplus
-
สงสัยหรือไม่..ทำไมสายการบินต้องบังคับให้เราเปิดหน้าต่างทุกครั้ง เวลานำเครื่องขึ้นและลง?
เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนคงสงสัยว่า ทุกครั้งเวลาเรานั่งเครื่องบิน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะมาบอกให้เราเปิดหน้าต่างด้านข้างเสมอเวลานำเครื่องขึ้นหรือนำเครื่องลง ไม่ว่าแดดจะแรงขนาดไหน รู้หรือไม่ว่าทำไมต้องทำแบบนั้น? แน่นอน ไม่ใช่เพราะเขาอยากให้เราเห็นวิวด้านข้างหรอกนะ แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันล่ะ? ไปตามหาความจริงกันเลยดีกว่า!! เหตุผลแรกเลยคือ การเปิดหน้าต่างไว้ จะทำให้พนักงานสามารถสังเกตุสถานการณ์ด้านนอกได้ดีขึ้นยามเกิดเหตุฉุกเฉิน เพราะพวกเขามีเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ในการตัดสินใจทำอะไรซักอย่าง และเวลาหน่วยกู้ภัยมาถึง พวกเขาก็จะสามารถเห็นสถานการณ์ภายในได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น การที่เปิดหน้าต่างไว้ จะทำให้ผู้โดยสารสามารถช่วยลูกเรือสังเกตเหตุการณ์ผิดปกติ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสภาพอากาศ ตัวเครื่องบิน หรืออื่นๆ ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น “ผู้โดยสารหลายคนนั้นขี้สงสัย และมักมีสายตาที่ยอดเยี่ยม ถ้ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น พวกเขามักจะรายงานลูกเรือในทันที” Saran Udayakumar เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางด้านการบินกล่าว หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่น แต่เหตุการณ์ที่ผู้โดยสารสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเครื่องยนต์ แล้วแจ้งไปยังลูกเรือจนสามารถช่วยชีวิตคนนับร้อยได้นั้น เคยเกิดขึ้นจริงๆ หลายต่อหลายครั้งแล้วในหลายๆ ประเทศ ได้ยินแบบนี้ เวลาลูกเรือบนเครื่องบินบอกให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะนะ เพราะทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารทั้งนั้น เข้าใจมั้ยเพื่อนๆ อิอิ ที่มา Metro
-
ไขข้อข้องใจ เพราะเหตุใด “ราคาน้ำมัน” จึงดิ่งลงเรื่อยๆ และอีก 50 ปี น้ำมันจะหมดโลกจริงหรือ?
ในช่วงหนึ่งปีกว่าๆ ที่ผ่านมา สำหรับผู้ที่ใช้รถส่วนตัวแล้ว ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสันต์กันเลยทีเดียว เพราะว่าราคาน้ำมันในประเทศ ค่อยๆ ปรับตัวลดลงจากราคาลิตรละเกือบ 40 บาท เหลือเพียง 20 บาทเท่านั้น เรียกว่าสบายกระเป๋ากันขึ้นเยอะ และเมื่อน้ำมันลด หลายท่านสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมของที่เคยมีราคาแพงอยู่ดีๆ ก็ปรับราคาลงมาอย่างรวดเร็วที่เพียงนี้ บางคนบอกเพราะพิษเศรษฐกิจโลกซบเซา บางคนก็บอกว่าเพราะตุ๊กตาลูกเทพ (?) บางคนก็บอกเพราะว่าลุงตู่ (?!?!) แล้วสาเหตุที่แท้จริงเป็นอย่างไรกันแน่ เราไปติดตามชมกันเลยดีกว่า เหตุการณ์นี้เราต้องเริ่มที่สาเหตุแรกเลยคือ วิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป หลังจากการล้มละลายของประเทศกรีซ ทำให้เศรษฐกิจในยุโรปประสบปัญหาอย่างหนัก รวมถึงภาวะฟองสบู่ที่เกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ทั้งสองอย่างได้ส่งผลไปเศรษฐกิจทั่วโลก แน่นอน เมื่อเศรษฐกิจถดถอย ความต้องการใช้น้ำมันก็ต้องลดลง เมื่อความต้องการน้อยลง สิ่งที่ผู้ผลิตควรทำคืออะไร? ใช่แล้ว มันคือลดการผลิตลง เพื่อให้สินค้าที่ออกมามีปริมาณพอใช้ ไม่ล้นตลาดเกินไปจนน้ำมันราคาตก แล้วกลุ่ม OPEC ที่เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ได้ลดกำลังการผลิตน้ำมันลงรึเปล่า….? คำตอบคือไม่ เพราะการมาของหินน้ำมันหรือ Shale Oil ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจน้ำมันแบบดั้งเดิมของกลุ่ม OPEC ซึ่งถ้าพวกเขาลดกำลังการผลิตลง แปลว่าประเทศที่ส่งออกน้ำมันที่ผลิตจาก Shale Oil…
-
23 ภาพที่เป็นเหตุผลหลักๆ ว่าทำไมผู้หญิง ถึงมีอายุยืนกว่าเหล่าผู้ชาย!!!
ในบางครั้งนั้น การที่เหล่าผู้ชายพูดว่าผู้หญิงนั้น แก่ง่าย แต่ตายยาก อาจจะไม่เป็นความจริงเสมอไป แต่อาจเป็นเพราะปัจจัยอื่นหรือเปล่า วันนี้เราก็เลยนำพฤติกรรมห่ามๆ ของเหล่าผู้ชายทั้ง 23 ภาพ ที่จะมาเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมคุณผู้หญิงถึงมีอายุยืนกว่าคุณผู้ชาย เพราะใช้ชีวิตแบบนี้น่ะสิ มาดูกันเลย!!! ปลอดภัยมากๆ ครีเอทดีนะ ถึงว่าทำไมอายุยืนน้อยกว่า -*- ชัดเจน เอิ่มมมมมมมมมม ไม่ไหวนะ ความปลอดภัยน่ะมีมั้ยยยยย ขอหน่อยเถอะ ไม่กลัวเลยเหรอ คนอื่นเค้าใส่ชุดป้องกัน -*- สุดยอด โอเค… ปลอดภัย หายห่วง เอาละนะ เตรียม… ขนาดไวไฟนะนั่น เพื่อร่มเงา อ่ามมมมมมมม มีทีมเวิร์ค …
-
‘ทำไมต้องเรียนหนังสือ?’ ที่ปรึกษาด้านการศึกษาของญี่ปุ่น ตอบได้อย่างลึกซึ้งและคมคาย!!
การศึกษาถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อเสริมสร้างความรู้และเปิดโลกให้กว้างได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งในสังคมญี่ปุ่นก็ให้ความสำคัญกับการศึกษามาก แต่ก็ใช่ว่าเด็กทุกคนจะรักการเรียนเสมอไป จนกระทั่งกลายมาเป็นคำถามว่า ‘ทำไมต้องเรียนหนังสือ?’ ผู้เชี่ยวชาญและเป็นที่ปรึกษาทางด้านการศึกษาของญี่ปุ่น คุณ Nobufumi Matsunaga ก็ได้ให้ความสำคัญกับคำถามที่ว่านี้ และการจะตอบคำถามนั้นจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ต้องขัดเกลาคำตอบให้กระจ่างแจ้ง เพื่อทำให้เด็กๆ เข้าใจว่าทำไมการศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มจากคำตอบในทางด้านบวกกันก่อน ‘การศึกษาจะสะท้อนได้ดีที่สุดนั้นก็ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยและพัฒนาการของเด็ก โดยทั่วๆ ไปแล้วการศึกษาจะช่วยให้คุณพัฒนาตัวเอง ส่งผลให้คุณสามารถไปประกอบอาชีพที่คุณชอบและสามารถหาเงินเลี้ยงชีพในอนาคตได้ ทั้งนี้เรียนหนังสือก็เพื่ออิสรภาพนั่นเอง’ แต่ที่เราเรียนหนังสือกันนั้นก็ใช่ว่าจะเรียนเพื่อพัฒนาตัวเองเสมอไป เขากล่าวเสริมเอาไว้ว่า ‘นอกจากนี้ โลกของเราเต็มไปด้วยการโกหกและการหลอกลวง และด้วยเหตุผลนี้ทำให้เราต้องการที่จะเติบโตขึ้นเพื่อให้รู้ทันคน เราสามารถสามารถตรวจจับการโกหกด้วยการเรียนหนังสือ แต่ถ้าเราไม่พัฒนาทักษะทางด้านตรรกะความคิดจากการเรียนหนังสือเลย คุณก็จะมารู้สึกเสียใจในภายหลัง’ ทั้งนี้เขากล่าวปิดท้ายไว้อย่างคมคายว่า ‘เด็กๆ จะมีความอ่อนไหวต่อแนวคิดของการได้มาและการสูญเสีย เพราะฉะนั้นการอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขาเข้าใจ ก็จะทำให้พวกเขาเห็นภาพอนาคตของตัวเองหลังจากให้ความสำคัญกับการศึกษา’ ที่มา : rocketnews24