Tag: นักวิจัย
-
ทีมวิจัยค้นพบ “งูชนิดใหม่” ที่ยังระบุพันธุ์ไม่ได้ แอบซ่อนอยู่ใน ‘ท้อง’ ของงูอีกตัวหนึ่ง
ล่าสุด นักวิจัยได้ค้นพบ งู สายพันธุ์ใหม่อยู่ในท้องของงูด้วยกันเองในเม็กซิโก ทีมนักวิจัยได้พบชิ้นส่วนของงูที่ก่อนหน้านี้ไม่เป็นที่รู้จักมาก่อน หลบซ่อนอยู่ในท้องของงูปะการังอเมริกากลางตัวหนึ่ง โดยชิ้นส่วนที่พบนั้นถูกเก็บรักษาเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์นานถึง 40 ปี กระทั่งวันนี้มีคนสนใจจะศึกษามันอย่างจริงจัง ผู้วิจัยที่ค้นพบมัน เรียกมันว่า Cenaspis aenigma ที่แปลว่า งูอาหารเย็นลึกลับ และเขียนชื่อนี้ลงไปในงานวิจัยตีพิมพ์ที่ชื่อว่า The Curious Case of a Consumed Chiapan Colubroid Jonathan Campbell หัวหน้านักวิจัยพร้อมทีมงานจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสได้พบว่าชิ้นส่วนที่พบนั้นเป็นงูเพศผู้ที่โตเต็มวัย ซึ่งมีความยาวอยู่ที่ 258 มิลลิเมตร (ราว 26 เซนติเมตร) โดยทางทีมนักวิจัยระบุว่า มันน่าจะเป็นงูประเภทที่จะใช้ชีวิตอยู่ใต้ดินหรือ Burrowing Snake แต่กะโหลกของมันจะยาวกว่า และลายของมันก็จะเป็นลายเรียบๆ Campbell กล่าวกับ National Geographic ว่า “นี่คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้พวกเรารู้ว่าสัตว์ประเภทงูมันลึกลับซับซ้อนขนาดไหน” โดยทีมวิจัยกล่าวว่า งูชนิดนี้ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมอีกมาก ที่มา: metro และ nationalgeographic
-
นักวิทย์ญี่ปุ่นออกมาแจ้ง สาเหตุที่อึแมวมีกลิ่นเหม็น แท้จริงแล้วเพราะกำมะถัน
เป็นที่รู้กันดีว่าสัตว์ตระกูลแมวนั้นอึเหม็นอย่างกับอะไรดี อึทีเหม็นไปทั่วบ้าน จะเป็นทรายแมวยี่ห้อไหนก็เอาไม่อยู่ ยิ่งถ้าวันไหนที่แกนึกอะไรไม่รู้ อึแล้วไม่ยอมกลบด้วยนะ โห… แทบจะย้ายบ้านกันไปข้าง ว่าแต่ทำไมมันถึงได้เหม็นโหดร้ายได้ขนาดนั้นกัน เหม็นเสียยิ่งกว่าสุนัขหรือสัตว์ประเภทอื่นๆ เลย บางคนอาจจะบอกว่ามันเป็นเพราะอาหารที่แมวกิน ไม่ก็แบคทีเรียบางชนิด แต่ในตอนนี้นั้น กลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Iwate ในประเทศญี่ปุ่นได้ออกมาบอกแล้วว่า ที่อึแมวมันมีกลิ่นได้ขนาดนั้นไม่ได้เป็นเพราะแบคทีเรีย แต่เป็นเพราะกำมะถันต่างหาก ใช่แล้ว กลิ่นเดียวกับที่มาจากไข่เน่า หรือบ่อน้ำร้อนนั่นล่ะ ผลการวิจัยของพวกเขาได้รับการเผยแพร่ในวารสารนิเวศวิทยาทางเคมี โดยที่หนึ่งในกลุ่มนักวิจัย ศาสตราจารย์ Masao Miyazaki ได้สรุปผลการค้นพบของพวกเขาว่าจะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดกลิ่นเหม็นของอึแมว นักกลุ่มวิจัยของเขาได้พบสารประกอบกำมะถันจำนวนมากในแมวเพศผู้ที่มีการทำเครื่องหมายอาณาเขต และยังพบว่าไม่มีสารกำมะถันที่ว่านี้อยู่ในอุจจาระสุนัขเลย สารประกอบที่มีกำมะถันที่ว่าจะระเหยออกมาจากอุจจาระของแมว ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นแบบสุดๆ ที่เราโดนกันเป็นประจำนั่นเอง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้เสียทีเดียว เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า เจ้าสารที่ว่านี้จะเกาะแน่นกับไอออนของโลหะ ว่าง่ายๆ ว่าหากเราสามารถผสมไอออนของโลหะเข้าไปในอุจจาระของแมวได้ กลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ว่าก็จะลดลงไปได้ แต่การที่จะทำแบบนั้นได้อย่างไรนั้น ยังเป็นสิ่งที่ต้องศึกษากันต่อไป และต่อให้ไม่มีสารประกอบกำมะถันที่ว่านี่ในอึแมวก็ใช่ว่าจะทำให้อึแมวไม่เหม็นเลยอยู่ดี เพราะสารอื่นๆ ในอุจจาระนั้น ก็จะยังคงทำให้อึของแมวมีกลิ่นอยู่ดี แม้ว่ากลิ่นที่ว่าจะลดลงมาจนพอๆ กับสัตว์จำพวกอื่นก็ตาม ที่มา soranews24
-
นักจิตวิทยาใช้เวลา 3 ปี หา ‘โรคจิต’ ในหนังกว่า 400 เรื่อง ที่เหมือนจริงมากที่สุด!!
คำว่า “โรคจิต” หากว่าอธิบายอย่างง่ายๆ ก็คือคนที่มีพฤติกรรมและจิตใจที่ผิดปกติ ส่วนมากจะสังเกตเห็นได้ว่า คนโรคจิตจะจิตใจเย็นชา ชอบใช้ความรุนแรง และมักจะหาความสุขให้ตัวเองในวิธีแปลกๆ การสังเกตคนโรคจิตจะแบ่งได้เป็นสองประเภท ก็คือผู้ที่เป็นโรคจิตที่เห็นได้ชัดเจน (Classic) กับผู้ที่เป็นโรคจิตแบบไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic) ซึ่งบางครั้งอาการโรคจิตก็สังเกตได้ยากเนื่องจาก อาการสามารถถูกกลบฝังไว้ได้ ภายใต้พฤติกรรมที่ดูปกติ ทั้งนี้ในปี 2014 ก็ได้มีนักจิตวิทยาชาวเบลเยี่ยมท่าหนึ่งนามว่า Samuel Leistedt ต้องการจะค้นหาภาพยนตร์ที่ภายในเรื่องมีตัวละครโรคจิตที่เสมือนจริงที่สุด Leistedt จึงรวบรวมพรรคพวก 10 คนมาช่วยกันดูภาพยนตร์จำนวน 400 เรื่อง ซึ่งใช้เวลาไปกว่า 3 ปีด้วยกัน ภาพยนตร์ที่เขาเลือกดูจะอยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1915 จนถึง 2010 ซึ่งหลังจากที่พวกเขาชมภาพยนตร์ทั้ง 400 เรื่องเสร็จเรียบร้อย ทำให้พบตัวละครที่มีความเป็นโรคจิต 126 ตัว และผลลัพธ์ที่พวกเขาค้นพบครั้งนี้หากเรียงตามความสมจริงของอาการโรคจิต จะพบว่า… อันดับที่ 6 นับทศวรรษ ภาพยนตร์ฆาตกรนักเชือดทั้งหลายได้แสดงออกถึงการเป็นโรคจิตที่ ไม่สมจริงสุดๆ ภาพยนตร์อย่างเช่นเรื่อง A Nightmare on Elm Street และ Friday the…
-
ผลจากการศึกษาพบว่าการสูบ ‘กัญชา’ มีส่วนทำร้ายสมองน้อยกว่าการดื่มแอลกอฮอล์
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเปิดเผยผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย University of Colorado Boulder ที่พบว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นั้นจะส่งผลทำร้ายสมอง มากกว่าการสูบกัญชา!! ซึ่งจากการศึกษาเผยว่าการสูบกัญชานั้นไม่ได้ส่งผลเสียต่อสมองในระยะยาว ซึ่งแตกต่างจากดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างเป็นประจำ การศึกษาดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในวารสาร Addiction ซึ่งได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ของระดับสารสีเทาและสีขาวในระหว่างการดื่มแอลกอฮอล์และสูบกัญชา ซึ่งสารดังกล่าวนั้นจะส่งผลต่อการทำงานของสมอง การศึกษาครั้งนี้ได้ทำการทดสอบในกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 55 ปี จำนวน 853 คนที่มีการใช้กัญชาและดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งได้ผลการศึกษาที่น่าสนใจอย่างมาก จากการศึกษาพบว่าในกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่มีการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำนั้นจะมีระดับของสารสีเทาที่มาก ซึ่งสารดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ใหญ่มากกว่ากลุ่มวัยรุ่น โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มเป็นเวลานานหลายปี นอกจากนี้ทีมวิจัยยังพบอีกว่าปริมาณของสารสีขาวนั้น ก็จะส่งผลกระทบต่อสมองกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีการดื่มแอลกอฮอล์เช่นกัน แต่สารดังกล่าวกลับไม่ส่งผลต่อผู้ดื่มที่อยู่ในกลุ่มของวัยรุ่น ส่วนในกลุ่มผู้ใช้กัญชาเป็นระยะเวลา 1 เดือนนั้นพบผลการศึกษาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งพวกเขาพบว่าการสูบกัญชาในระยะเวลาดังกล่าวไม่มีความสัมพันธ์กับปริมาณของสารทั้งสองตัวแต่อย่างใด “ในด้านของผลกระทบเชิงลบนั้น กัญชาแทบไม่ส่งผลกระทบเลยเมื่อเทียบกับแอลกอฮอล์” ดอกเตอร์ Kent Hutchison หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว แต่อย่างไรก็ตามดอกเตอร์ท่านดังกล่าวก็ได้เผยว่าถึงแม้ว่ากัญชาจะไม่ได้ส่งผลเสียต่อสมอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง “เมื่อเราลองดูการศึกษาเก่าๆ เราจะพบผลการศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งระบุว่ากัญชานั้นลดขนาดของ hippocampus ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสมองในการสร้างความทรงจำระยะยาวและการกำหนดทิศทางในที่ว่าง นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาในช่วงเวลาใกล้ๆ กันที่เผยว่ากัญชานั้นมีความสัมพันธ์กับการเปลี่นแปลงของ cerebellum ที่ทำหน้าที่สำคัญในการประมวลการรับรู้และการควบคุมการสั่งการ” ดอกเตอร์ Kent กล่าว ที่มา unilad
-
ทีมสำรวจพบ “หลุมยุบ” ใจกลางทวีปแอนตาร์กติกา ขนาดใหญ่เท่ากับประเทศสกอตแลนด์
บ่อยครั้งที่เรามักจะเห็นหลุมบนถนนต่างๆ และสร้างความรำคาญใจให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างมาก แต่เชื่อแน่นอนว่าคงไม่มีใครเคยเห็นหลุมบนถนนที่มีความกว้างพอๆ กับประเทศสกอตแลนด์มาก่อนแน่ๆ ซึ่งเจ้าหลุมขาดใหญ่หรือที่เรียกว่า Polynya นี้เกิดขึ้นในทวีปแอนตาร์กติกา โดยทีมนักฟิสิกส์บรรยากาศจากมหาวิทยาลัย University of Toronto ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า เจ้าหลุมที่ว่านี้มีขนาดใหญ่ถึง 80,000 ตรารางกิโลเมตร และถ้าหากไม่มีเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม พวกเขาคงไม่มีทางรู้แน่ๆ ว่ามันอยู่ตรงนี้ Polynya คือพื้นที่ของน้ำที่ถูกล้อมรอบไปด้วยทะเลน้ำแข็ง โดยในทวีปแอนตาร์กติกานั้นมีการค้นพบพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่ปี 1970 แต่อย่างไรก็ตามเจ้าหลุมที่มีการค้นพบใหม่ครั้งนี้มีขาดใหญ่กว่า 5 เท่าของ Polyny ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังค้นหาสาเหตุของสิ่งที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์นี้ หลุมขนาดใหญ่มากกว่า 50 เท่าของกรุงลอนดอนนี้เกิดขึ้นมาเป็นครั้งที่ 2 แล้ว แต่อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้การศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าวนั้นยังไม่ค่อยได้รับความสนใจมากเท่าไหร่ ศาสตราจารย์ Kent Moore จาก University of Toronto ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “การสำรวจทวีปแอนตาร์กติกาในฤดูหนาวนั้นเป็นเรื่องที่ยาก นั่นจึงทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้มีน้อย” แต่อย่างไรก็ตามหลายๆ ฝ่ายก็ยังมีความกังวลว่าการค้นพบ Polynya ขนาดใหญ่ในครั้งนี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทางศาสตราจารย์ Moore เองก็ได้กล่าวว่าการที่พบหลุมดังกล่าวนี้ถึง 2 ครั้งในรอบหนึ่งปี…
-
ยิ่งนอนน้อย ยิ่งอายุสั้น.. นักวิทย์ฯ เผย “นอนไม่พอ” คือสาเหตุของโรคต่างๆ ที่เราอาจคิดไม่ถึง
การนอนหลับไม่เพียงพออาจจะเป็นเรื่องปรกติสำหรับใครหลายๆ คน แต่รู้หรือไม่ว่ามันกำลังเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณอยู่ แถมยังอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ อย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย!! ศาสตราจารย์ Matthew Walker จากมหาวิทยาลัย University of California และผู้เชี่ยวชาญทางด้านการนอนหลับได้ออกมาเปิดเผยว่าการนอนหลับไม่เพียงพอนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก และเป็นสาเหตุของโรคเสื่อมต่างๆ อย่างเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน และมะเร็ง ศาสตราจารย์ Matthew ได้เปิดเผยว่าการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอหรือประมาณ 8 ชั่วโมงต่อวันนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก “ร่างกายของเรานั้นจะถูกทำลายด้วยการพักผ่อนไม่เพียงพอไปทีละนิด“ เขาได้ทำการศึกษาในเรื่องของการนอนและสิ่งที่จะตามมาจากการนอนหลับไม่เพียงพอมาเป็นเวลานานกว่า 2 ทศวรรษ โดยเขากล่าวว่าการเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุสาหกรรมและการทำงานที่หนักขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้มนุษย์มีระยะเวลาการนอนที่น้อยลง จากการศึกษาพบว่ามีประชากรมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ที่นอนหลับเพียงแค่ 6 ชั่วโมงต่อคืนหรือน้อยกว่านั้นซึ่งมากกว่าในปี 1942 ที่มีเพียงแค่ 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวนี้ส่งผลกระทบต่อการปล่อยกระแสไฟฟ้าเวลานอนหลับ และเป็นผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่าความเครียด ความกังวล และพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระยะเวลาในการนอนหลับของเราสั้นลงเช่นเดียวกัน และท้ายที่สุด ศาสตราจารย์ Matthew ได้ให้คำแนะนำสำหรับทุกคนว่า ควรพักผ่อนอย่างน้อย 8 ชั่วโมงหรือมากกว่า นอกจากนี้การอดนอนเพื่อทำงานหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอีกด้วย ที่มา news-medical, theguardian
-
ผลการวิจัยกว่า 5 ปี พบว่าขับรถนาน 2 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลต่อสมอง ทำให้ระดับ IQ ลดลงได้!!
สิ่งที่ทำให้เราต้องขับรถเป็นเวลานานหลายชั่วโมง อาจจะเกิดจากปัญหาการจราจรติดขัด หรือการเดินทางไกล ซึ่งนอกจากจะทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า การขับรถเป็นเวลานาน 2 ชั่วโมงต่อวัน อาจทำให้ระดับ IQ ของคุณลดลงได้ จากการศึกษาของนักวิจัยมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ ที่ได้ทำการตรวจสอบพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา เพื่อดูว่าการขับรถเป็นระยะเวลานาน ส่งผลอย่างไรต่อระดับความฉลาด ซึ่งก็ได้พบว่ากลุ่มวัยกลางคนที่ขับรถเป็นเวลานานมีระดับ IQ ลดลงจริง ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ ทางด้านนักวิจัยได้ใช้เวลาศึกษานานกว่า 5 ปี โดยได้สำรวจกลุ่มตัวอย่างของชาวอังกฤษที่มีอายุระหว่าง 37-73 ปี ในการทดสอบความฉลาดและความจำ ทางด้าน Kishan Bakrania นักระบาดวิทยาทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ หนึ่งในผู้ร่วมทำการศึกษาได้ออกมากล่าวว่า “ระดับการรับรู้ทางสติปัญญาลดลงในระยะเวลากว่า 5 ปี 5 ปี เพราะมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในกลุ่มผู้สูงวัย และผู้สูงอายุ… นี่เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องในด้านการดำเนินชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ และการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ อีกทั้งเรายังได้ค้นพบว่าการขับรถมากกว่า 2 หรือ 3 ชั่วโมงต่อวันเป็นประจำ จะส่งผลที่ไม่ดีต่อหัวใจของคุณ สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า การขับรถนานๆ…
-
จากผลวิจัยพบว่า “คนชอบอ่านหนังสือ” มีแนวโน้มเป็นคน “มีน้ำใจ” มากกว่าคนไม่อ่าน
เคยคิดบ้างไหมว่าเราจะเป็นคนที่ดีขึ้นได้ยังไง หลายคนอาจจะคิดถึงวิธีการช่วยเหลือคนอื่น การไม่โกงกิน หรือจะต้องมีน้ำใจมากขึ้น อะไรทำนองนี้ แต่พวกคุณรู้กันไหมว่าการอ่านหนังสือก็จะส่งผลอ้อมๆ ให้คุณกลายเป็นคนที่ดีและมีน้ำใจได้ด้วยนะ!!? งงกันแล้วละสิว่ามันเกี่ยวอะไรกัน แต่เรื่องที่ว่ามานี้ไม่ได้มีการพูดกันออกมาส่งๆ หรอกนะ เพราะจากการศึกษาของทางมหาวิทยาลัย Kingston จากกรุงลอนดอนได้ความว่า คนทีอ่านหนังสือจะมีวิธีการแสดงออกทางสังคมที่ดีกว่าคนที่ไม่ได้อ่านหนังสืออีกด้วย ผลวิจัยดังกล่าวถูกทดลองในกลุ่มคน 123 คน จากกลุ่มคนที่อ่านหนังสือ และดูทีวี ซึ่งทั้งหมดจะได้รับการทดสอบเกี่ยวกับทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์รวมถึงความรู้สึกของคนอื่นและเห็นสังเกตว่าพวกเขาทำเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นหรือไม่ จากผลที่ได้คนที่ชอบดูทีวีจะมีท่าทีเป็นมิตรและเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น น้อยกว่าคนที่ชอบอ่านหนังสืออย่างเห็นได้ชัด แต่ใช่ว่าจะเป็นหนังสืออะไรก็ได้ เพราะหนังสือที่เราอ่านกันจะส่งผลต่ออารมณ์และการติดสินใจด้วยเช่นกัน ฉะนั้นจากผลการศึกษาก็ได้ผลว่าหนังสือประเภทนวนิยายจะส่งผลดีในด้านการเข้าสังคมและเป็นมิตรที่สุด ในขณะที่คนอ่านหนังสือแนวดราม่าหรือรักโรแมนติกจะเป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่นเป็นพิเศษ มากกว่าคนที่อ่านแนวอื่นๆ และจากการทดลองคล้ายๆ กันก็จะพบว่า คนที่ชอบอ่านหนังสือจะมีความคิดและความสามารถที่จะมองเห็นมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าคนที่สามารถทำคะแนนทดสอบได้มากที่สุดจะเป็นคนที่ตลกต่างหาก นักวิจัยยังบอกอีกว่านวนิยายจะส่งผลกับความสามารถในการเข้าใจสิ่งต่างๆ พอสมควร และยิ่งเป็นคนที่ชอบนวนิยายกับหนังสือแนวตลกควบคุ่กัน คนพวกนี้จะมีความสามารถในการเข้าถึงคนอื่นและมีน้ำใจมากที่สุด ท้ายที่สุดแล้ว #เหมียวมู่ทู่ อยากจะบอกว่าต่อให้ผลวิจัยว่ายังไง สุดท้ายก็ยังคงอยู่ที่ตัวเราเอง การอ่านหนังสืออาจจะช่วยในบางจุดและนับว่าเป็นส่วนเสริม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความการไม่อ่านหนังสือเราก็ไม่ใช่คนดีหรือไม่มีน้ำใจ แต่การกระทำของเราน้่นแหละจะบ่งบอกว่าเราเป็นคนยังไงนั่นเอง ถึงแม้อาจจะไม่สามารถชี้วัดได้อย่างทันทีทันใด แต่อย่างน้อยการเป็นคนรักการอ่านหนังสือมันดีจริงๆ นะ ที่มา independent
-
นักวิจัยชี้… พฤติกรรม “พูดกับตัวเอง” ไม่ได้เป็นบ้าเสมอไป แต่ช่วยทำให้ฉลาดขึ้นได้จริง!!
สำหรับใครที่ชอบพูดคุยอยู่กับตัวเองบ่อยๆ จนทำให้คนรอบข้างรู้สึกว่าตัวเองเป็นบ้า ไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะเป็นคนสติไม่สมประกอบ เพราะหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุดได้ชี้ให้เราเห็นแล้วว่า มันเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งของอัจฉริยะ และมีส่วนช่วยทำให้เราฉลาดขึ้นจริงๆ ทีมนักวิจัยจาก Bangor University ในสหราชอาณาจักร ได้ทำการทดลองกับอาสาสมัครจำนวน 28 คน เพื่อดูความแตกต่างของสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการพูดกับตัวเองแบบออกเสียง และการพูดกับตัวเองแบบไม่ออกเสียง ขั้นตอนของการทดสอบนั้น ทีมวิจัยทำการทดสอบโดยให้อาสาสมัครทั้ง 28 คน อ่านหนังสือออกมาเป็นเสียงดังฟังชัด สลับกับการอ่านหนังสือแบบเงียบๆ ผลปรากฎว่าทั้งสมาธิ และความสามารถ ของอาสาสมัครทั้ง 28 คน จะทำงานได้ดีขึ้นจริง จากการอ่านหนังสือแบบเสียงดังฟังชัด มากกว่าการอ่านหนังสือแบบเงียบๆ Ms. Mari-Beffa หนึ่งในผู้ดำเนินการวิจัยได้กล่าวถึงการค้นพบว่า… ‘จากผลทดสอบของเราชี้ให้เห็นว่า มนุษย์เราทุกคนจะมีระดับสมาธิ ความตั้งใจ และขีดความสามารถเพิ่มมากขึ้น เมื่อคนๆ นั้นพูดออกเสียงดังฟังชัดกับตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นกรณีของนักกีฬาเทนนิส ในระหว่างการแข่งขันเรามักจะสังเกตเห็นนักกีฬาพูดกับตัวเองด้วยเสียงดังฟังชัด โดยเฉพาะในช่วงที่การแข่งขันเป็นไปอย่างสูสี แ ละพฤติกรรมแบบนี้มันก็ช่วยทำให้เขามีสมาธิจดจ่อกับการทำสิ่งนั้นๆ เพิ่มมากขึ้นจริง’ นอกจากนักวิจัยจะค้นพบว่า พฤติกรรมดังกล่าวช่วยทำให้เรามีประสิทธิภาพในการจดจ่อสิ่งนั้นๆ มากขึ้นแล้ว พวกเขายังค้นพบว่า แม้แต่การพูดคุยกับตัวเองในระดับที่ไม่ได้เปล่งเสียงออกมา (พูดในหัว) ก็เป็นอีกคุณสมบัติสำคัญของมนุษย์…
-
เอ้าเฮเลย!! ผลวิจัยชี้ การมองหน้าอกผู้หญิง และการมีเซ็ก ช่วยยืดอายุหนุ่มๆ ให้ยืนยาวได้
หากลองถามคุณผู้ชายทั้งหลายว่า ส่วนไหนของผู้หญิงที่น่าดึงดูด และเย้ายวนใจที่สุด เชื่อว่าหลายคนต้องตอบว่า “หน้าอก” อย่างแน่นอน และหนุ่มๆ รู้หรือไม่ว่าหน้าอกของผู้หญิง ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้พวกเธอดูเซ็กซี่เพียงอย่างเดียว แต่มันยังมีประโยชน์ต่อผู้ชายทั้งหลายด้วยนะ นั่นแน่!! อยากรู้กันแล้วล่ะสิ๊ ว่ามีประโยชน์อย่างไร ถ้าอย่างนั้นมาดูพร้อมกันเลย เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2560 ทางเว็บไซต์ Metro มีรายงานว่า ความลับที่ทำให้หนุ่มๆ มีชีวิตที่ยืนยาวนานสูงสุดถึง 100 ปี และมีความสุขมากที่สุด ก็คือ การมองหน้าอกของสุภาพสตรี และ การมีเพศสัมพันธ์ โดยการมองหน้าอกจะทำให้หนุ่มๆ ทั้งหลายมีความสุขมากที่สุดเป็นอันดับแรก และอย่างที่สองก็คือการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งจะส่งผลทำให้อายุขัยของคุณเพิ่มขึ้นอีก 3-8 ปีเลยทีเดียว เมื่อได้มองสิ่งที่เย้ายวนใจของเพศตรงข้าม จะทำให้อัตราการเสี่ยงเสียชีวิตของผู้ชายลดลงมากถึง 50% อีกทั้งยังสามารถช่วยลดความเครียด และช่วยลดโอกาสในการเจ็บป่วยได้อีกด้วย โดยการมองหน้าอกของผู้หญิงหรือการมองเห็นสัตว์น่ารักๆ นั้น จะส่งผลดีต่อสภาพจิตใจ ก่อให้เกิดความคิดด้านบวกมากขึ้น และด้วยความรู้สึกพึงพอใจเหล่านี้จะช่วยทำให้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงมีการตัดสินใจทางด้านสุขภาพที่ดีขึ้น ดั่งเช่นงานวิจัยของ Teachers College ที่กล่าวถึงการมีความคิดด้านบวกส่งผลดีต่อผู้ป่วย อันดับต่อไปคือ…
-
นักวิทยาศาสตร์เผย สามารถฝึก “ผึ้ง” ให้ทำตามคำสั่งมนุษย์ และสอนกันเองได้เป็นครั้งแรก
การฝึกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอาจเป็นเรื่องที่เราพบเห็นกันได้ทั่วไปทั่วโลก เพราะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนมากมักมีมันสมองขนาดใหญ่ ทำให้มันสามารถเรียนการคำสั่งที่ซับซ้อนได้ ผิดกับเหล่าแมลงที่มีสมองขนาดเล็ก จนทำให้หลายๆ คนคิดว่า มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ แต่ล่าสุด นักวิจัยจากอังกฤษได้เผยคลิปสุดน่าทึ่งออกมา เมื่อพวกเขาแสดงให้เห็นว่า สามารถฝึก “ผึ้ง” ให้สามารถทำตามคำสั่งได้เป็นครั้งแรก งานวิจัยดังกล่าวถูกตีพิมพ์ลงวารสาร Science โดยทีมวิจัยรายงานว่า พวกเขาสามารถฝึกฝนให้ “ผึ้ง” กลิ้งลูกบอลเข้าไปอยู่ในวงกลมได้สำเร็จ Olli Loukola หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า “งานวิจัยก่อนๆ บอกว่า เราสามารถฝึกผึ้งได้หากเราให้พวกมันทำสิ่งที่คล้ายๆ กับพฤติกรรมตามธรรมชาติของพวกมัน แต่ล่าสุดเราได้แสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่า พวกเขาสามารถทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติอย่างกลิ้งลูกบอลได้” ในส่วนการทดลองนั้น พวกเขาได้บังคับให้ผึ้ง 10 ตัวดูการสอนกลิ้งบอลไปที่เป้าหมายซ้ำๆ จากนั้นพวกเขาก็ทดลองให้พวกมันลองทำ ผลคือ 9 ใน 10 ตัวทำได้สำเร็จ ขณะที่ผึ้งอีก 10 ตัว ที่ไม่ได้ดูการสอนมาก่อน ไม่สามารถทำได้สำเร็จแม้แต่ตัวเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ผึ้งตัวที่ทำเสร็จ เมื่อให้ทำใหม่อีกหลายๆ ครั้ง พวกมันก็ทำได้เร็วขึ้นกว่าเดิม ภายหลังพวกเขาได้ทำการทดลองอีกครั้ง ด้วยการจับผึ้งตัวที่ทำสำเร็จมาสอนผึ้งตัวอื่นๆ เหมือนกับเป็นคุณครูสอนลูกศิษย์ ผลปรากฎว่าอัตราความสำเร็จเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ …
-
เลี้ยงลูกตามหลักวิทยาศาสตร์… 7 นิสัยของ ‘พ่อแม่’ ที่ทำให้ลูกๆ ล้มเหลวในการใช้ชีวิต
สำหรับคนที่มีลูกนั้นจะรู้กันดีว่าจะการเลี้ยงพวกเขาให้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากๆ พ่อแม่จะต้องมีการวางแผนมากมายในการเลี้ยงดูลูกๆ แน่นอนว่ามันเป็นงานที่ไม่ง่ายเลย สำหรับในวันนี้ #เหมียวหง่าว ก็อยากจะหยิบยกบทความดีๆ มาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน เผื่อไว้ว่าวันหน้าหากมีลูก จะได้นำไปเป็นแนวทางเพื่อปรับใช้ในการเลี้ยงลูกของเพื่อนกันนะจ๊ะ นั่นก็คือ 7 พฤติกรรมที่พ่อแม่ไม่ควรทำเพราะจะทำให้ลูกๆ ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต โดยด็อกเตอร์ Tim Elmore ผู้เชี่ยวชาญในด้านการเลี้ยงดูเด็กและนักเขียน แถมยังเป็นผู้ก่อตั้งองค์กร Growing Leaders เพื่อช่วยให้คำปรึกษากับพ่อแม่ในการเลี้ยงดูลูกๆ ให้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต 1. ไม่ปล่อยให้ลูกได้มีประสบการณ์เสี่ยงๆ บางครั้งการโอ๋มากเกินไปโดยหวังให้ลูกรู้สึกปลอดภัยกลับส่งผลร้ายต่อลูกเอง นักจิตวิทยาในยุโรประบุว่า “การไม่ปล่อยให้ลูกเล่นนอกบ้านเลย หรือการที่เขาไม่เคยเจอกับแผลหัวเข่าถลอก จะทำให้เกิดอาการโฟเบียในตอนเป็นผู้ใหญ่ นอกจากนี้ การให้ลูกได้ลิ้มรสชาติอกหักสักครั้งก็จะส่งผลดีต่อเขาเช่นกัน” 2. ช่วยเหลือพวกเขาเร็วเกินไป เด็กๆ ในยุคปัจจุบันมีการพัฒนาการเกี่ยวกับการใช้ชีวิตน้อยลงกว่าเด็กเมื่อ 30 ปีก่อนมาก เพราะผู้ใหญ่ในปัจจุบันนี้เข้ามาจัดการและก้าวก่ายในการแก้ไขปัญหาในชีวิตของพวกเขามากเกินไป เมื่อผู้ใหญ่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเร็วเกินไป หรือนำความช่วยเหลือไปมอบให้ถึงที่ จะทำให้เราลบความสามารถในการเผชิญกับความยากลำบากและความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองออกไป 3. ปล่อยให้ความรู้สึกผิดเข้ามาครอบงำมากเกินไป ลูกๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องรักเราตลอดเวลา พวกเขาจะต้องก้าวผ่านความผิดหวังไปให้ได้ แต่เขาจะไม่ได้รับผลร้ายที่มาจากการตามใจของพ่อแม่ เพราะฉะนั้นพ่อแม่ทั้งหลายจะต้องหัดพูดคำว่า…
-
นักวิจัยชี้ สาวๆ ชอบหนุ่มกระปู๋ใหญ่ แค่คืนเดียวพอ ส่วน ‘ขนาด’ มีความสำคัญกว่า ‘ความยาว’
ผู้หญิงชอบผู้ชายที่ ‘จู๋ใหญ่’ เฉพาะความสัมพันธ์แบบ One-night stand เท่านั้นนะจ๊ะ นักวิจัยพึ่งค้นพบกันสดๆ ร้อนๆ เลย!! หลายๆ คนอาจจะคิดว่าขนาดที่ ใหญ่ ยักษ์ ยาว และอวบอ้วนนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่นี่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องจริงเสมอไปนะจ๊ะ Dr. Nicole Prause ศาสตราจารย์หญิงผู้เชี่ยวชาญในด้านของแรงขับเคลื่อนทางเพศ แห่ง UCLA ได้สร้างรูปแบบของกระปู๋ของเพศชายที่เป็นไปได้ออกมา 100 รูปแบบ สำหรับแรงบันดาลใจในการทำวิจัยในเรื่องนี้ก็คือเธอมีความสนใจในด้านความเจ็บของสาวๆ ระหว่างการมีเซ็กส์ เธอจึงตัดสินใจร่วมงานกับ Geoffrey Miller นักวิจัยเกี่ยวกับระบบสมองและระบบประสาท สร้างรูปแบบกระปู๋ที่เป็นไปได้ออกมา 100 แบบ!! เธอและทีมวิจัยได้ทำการตัดตัวเลือก 100 รูปแบบออกให้เหลือเพียง 33 รูปแบบเท่านั้น และสร้างเซ็กส์ทอยกระปู๋เทียมออกมาจริงๆ ตามทั้ง 33 รูปแบบ แล้วนำทั้งหมดมาใส่ไว้ในตะกร้า หลังจากนั้นเธอก็ได้นำอาสาสมัครหญิงทั้ง 75 รายมาเลือกกระปู๋ดังกล่าว โดยการมีตัวเลือกให้เลือกได้คนละ 2 ชิ้น ชิ้นแรกสำหรับความสัมพันธ์แบบ One-night และอีกชิ้นสำหรับความสัมพันธ์ในระยะยาว โดยขนาดของตะกร้าที่มีขนาดใหญ่นั้นจะอยู่ที่…
-
นักวิจัยพบ “สาหร่ายรสเบคอน” ถึงจะดูแปลก แต่มีคุณค่ามากกว่าคะน้าถึง 2 เท่า!!
ถ้าลองเอาผ้าปิดตา แล้วชิมรสชาติของเจ้าสาหร่ายพันธุ์สีแดงสุดแปลกนี้ หลายคนอาจจะคิดว่านี่มันเบคอนแน่นอน แต่ถ้าหากเปิดผ้าออกมาแล้ว กลับพบว่า อ้าว!! นี่มันไม่ใช่เบคอน แต่เป็นสาหร่ายนี่หว่า เชื่อว่าคุณจะต้องรู้สึกสับสน และมีความกังวลว่าต่อมรับรสมันต้องผิดเพี้ยนไปแน่ๆ แต่นั่นแหละถูกแล้ว ต่อมรับรสของคุณยังปกติดี เพียงแต่เจ้าสาหร่ายที่เห็นนี้กลับแปลกยิ่งกว่า เพราะแทนที่มันจะมีรสชาติเหมือนสาหร่ายทั่วๆ ไป แต่กลับให้รสชาติคล้ายกับเบคอนซะอย่างนั้น เอ้อ…แบบนี้ก็มีด้วย สำหรับสาหร่ายพันธุ์สีแดงนี้ถูกเรียกว่า Dulse ค้นพบโดยกลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Oregon State มันเป็นสาหร่ายพันธุ์ใหม่ที่มีรูปร่างโปร่งแสง มีหน้าตาคล้ายผักกาดหอม แถมยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และโปรตีนมากมาย อีกทั้งยังสามารถเจริญเติบโตไว้รวดเร็วมากๆ อีกด้วย Chuck Toombs หนึ่งในทีมงานนักวิจัยได้กล่าวว่า “Dulse เป็นสุดยอดอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าผักคะน้าถึง 2 เท่า อีกทั้งมันก็จะได้กลายเป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารใน Oregon” ทางด้าน Chris Langdon หัวหน้านักวิจัยได้เผยว่า “นี่มันเป็นสาหร่ายที่มหัศจรรย์มาก เมื่อคุณได้ลองนำไปทอด มันจะให้รสสัมผัสที่เหมือนกับเบคอนเป๊ะๆ โดยที่ไม่เหมือนสาหร่ายเลยสักนิดเดียว” ด้วยเหตุนี้ ทางทีมนักวิจัยพร้อมผู้เชี่ยวชาญ จึงได้จดสิทธิบัตรการค้นพบสาหร่ายสายพันธุ์ใหม่นี้ขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังได้คาดว่าในอนาคต เจ้าสาหร่ายสุดแปลกนี้อาจถูกนำไปปรุงอาหาร…
-
นักวิจัยชี้แจงเหตุผล ที่ว่า ‘มนุษย์ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำทุกวัน’ ก็ได้ เข้าทางเราเลยสินะ!?
ช่วงนี้มันหนาว ใครจะอยากอาบน้ำทุกวันบ้างละเนอะ สำหรับการอาบน้ำ ก็เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ทุกๆ คนทำกันเป็นประจำวันอยู่แล้ว เพราะเป็นการชำระร่างกายให้สะอาด ห่างไกลจากการสะสมของแบคทีเรียตามผิวหนังที่อาจก่อให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ได้ แต่งานวิจัยล่าสุดก็ทำให้เรารู้ได้ว่า ที่จริงแล้วมนุษย์ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำทุกๆ วันหรอกนะเออ!!! สมใจสาวกแก้งค์ขี้เกียจกันเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ ส่วนเหตุผลคืออะไร #จ่าสิบเหมียว จะเล่าให้ฟัง… ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำทุกๆ วันหรอก Dr. Elaine Larson ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Columbia University ได้ออกมาเผยว่า แท้จริงแล้วมนุษย์ต้องการการชำระร่างกายเพียงอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งเท่านั้น!!? งานวิจัย เธอได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ‘การอาบน้ำนั้นเป็นการขจัดกลิ่นเหงื่อไคลที่ติดอยู่ตามร่างกายเท่านั้น แต่ถ้าในด้านการปกป้องจากเชื้อโรคล่ะก็ การล้างมือบ่อยๆ ดูจะตรงประเด็นมากกว่านะ’ อาบน้ำเพื่อขจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ซึ่งจะว่าไปแล้วการอาบน้ำถี่เกินไปนั้น อาจนำไปสู่ปัญหาทางด้านสุขภาพได้ เพราะการอาบน้ำได้ชำระล้างไขมันและแบคทีเรียชนิดดีที่อยู่ตามผิวหนัง เปิดช่องทางให้เหล่าเชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น Dr. C. Brandon Mitchell ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่ง George Washington University ก็ได้ออกมาบอกว่า ‘การอาบน้ำนั้นที่จริงลวกๆ เฉพาะส่วนก็พอแล้ว เช่นตรงข้อพับ…
-
ผลวิจัยชี้ วินาทีก่อนตาย เหล่าคนไข้มักจะเห็นภาพเพื่อนๆ ญาติๆ หรือคนรักที่ตายไปแล้วมาเยี่ยม!!!
เป็นอีกหนึ่งงานวิจัยที่น่าสนใจเลยทีเดียว แต่ไม่ใช่เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายหรอกนะจ๊ะ แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต ‘ก่อนที่จะตาย’ มากกว่า เหล่านักวิทยาศาสตร์แห่ง Canisius College นิวยอร์ก ได้ทำการวิจัยในเรื่องนี้ โดยการสัมภาษณ์อย่างใกล้ชิด กับคนป่วยที่แพทย์ฟันธงแล้วว่าใกล้ตาย และจะตายแน่นอนกว่า 66 ราย โดยพวกเขาตอบเป็นเสียเดียวกันเลยล่ะว่า… ยิ่งความตายใกล้เข้ามามากเท่าไหร่ พวกเขามักจะเห็นภาพเพื่อนๆ ญาติ หรือคนที่พวกเขาห่วงใยและรัก ที่ตายไปแล้ว มาเยี่ยมพวกเขาในช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิต… ซึ่งเหล่าผู้ทดลองได้พบว่า คนไข้จะเห็นภาพเหล่านี้อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และพวกเขาแทบจะแยกแยะไม่ออกว่ามันเป็นภาพลวงตา เพราะมันรู้สึกเหมือนจริงมากๆ ส่วนความบ่อยอาจจะอยู่ที่ อาทิตย์ละครัง วันละครั้ง หรือแม้กระทั่งชั่วโมงละครั้งก็มี!!! แต่การที่เหล่าคนไข้เห็นภาพเหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะทำให้อาการกลัวความตายของพวกเขาลดน้อยลง และทำให้จากไปได้อย่างสงบ… อื้อหือออ ยิ่งมีงานวิจัยออกมาแบบนี้เหมียวนี่เห็นภาพเลย ถึงว่าเวลาในภาพยนตร์ตัวละครใกล้ตายมักจะเห็นภาพคนที่รักลอยมาลางๆ อาจเป็นแบบนี้นี่เองเนาะ >< ที่มา: Metro