Tag: นักวิทยาศาสตร์
-
ทีมวิจัยค้นพบ “งูชนิดใหม่” ที่ยังระบุพันธุ์ไม่ได้ แอบซ่อนอยู่ใน ‘ท้อง’ ของงูอีกตัวหนึ่ง
ล่าสุด นักวิจัยได้ค้นพบ งู สายพันธุ์ใหม่อยู่ในท้องของงูด้วยกันเองในเม็กซิโก ทีมนักวิจัยได้พบชิ้นส่วนของงูที่ก่อนหน้านี้ไม่เป็นที่รู้จักมาก่อน หลบซ่อนอยู่ในท้องของงูปะการังอเมริกากลางตัวหนึ่ง โดยชิ้นส่วนที่พบนั้นถูกเก็บรักษาเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์นานถึง 40 ปี กระทั่งวันนี้มีคนสนใจจะศึกษามันอย่างจริงจัง ผู้วิจัยที่ค้นพบมัน เรียกมันว่า Cenaspis aenigma ที่แปลว่า งูอาหารเย็นลึกลับ และเขียนชื่อนี้ลงไปในงานวิจัยตีพิมพ์ที่ชื่อว่า The Curious Case of a Consumed Chiapan Colubroid Jonathan Campbell หัวหน้านักวิจัยพร้อมทีมงานจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสได้พบว่าชิ้นส่วนที่พบนั้นเป็นงูเพศผู้ที่โตเต็มวัย ซึ่งมีความยาวอยู่ที่ 258 มิลลิเมตร (ราว 26 เซนติเมตร) โดยทางทีมนักวิจัยระบุว่า มันน่าจะเป็นงูประเภทที่จะใช้ชีวิตอยู่ใต้ดินหรือ Burrowing Snake แต่กะโหลกของมันจะยาวกว่า และลายของมันก็จะเป็นลายเรียบๆ Campbell กล่าวกับ National Geographic ว่า “นี่คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้พวกเรารู้ว่าสัตว์ประเภทงูมันลึกลับซับซ้อนขนาดไหน” โดยทีมวิจัยกล่าวว่า งูชนิดนี้ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมอีกมาก ที่มา: metro และ nationalgeographic
-
ชีวิตในวันสุดท้ายของนักวิทย์ 104 ปี ไม่ลังเล ไม่มีมื้อสุดท้าย ขอเพลงบีโธเฟ่นบรรเลงปิดฉาก…
‘ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือก’ หนึ่งในประโยคที่ใช้กับการเลือกที่จะใช้ เลือกที่จะซื้อ หรือเลือกที่จะกระทำบางสิ่ง และสำหรับนักวิทยาศาสตร์วัย 104 ปี David Goodall เขารู้สึกว่าใช้ชีวิตมามากเกินพอแล้ว และเขาก็เลือกที่จะตาย (ข่าวเก่า) จากที่ทางแคมดัมบ์ได้รายงานไปก่อนหน้านี้ ศาสตราจารย์ David Goodall ได้เดินทางมาถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในวันที่ 10 พฤษภาคม 2018 ตามเวลาท้องถิ่นสวิตเซอร์แลนด์ 10.00 น. หรือ 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย คือเวลาที่เขาจะดับนาฬิกาชีวิตของตัวเองลง ศาสตราจารย์แถลงต่อหน้าสื่อต่างๆ ไว้ว่า ในวาระก่อนจะยุติชีวิตนี้ จะไม่มีอาหารมื้อสุดท้าย ไม่มีความลังเลใดๆ และขอเพียงบรรเลงเพลงซิมโฟนีหมายเลข 9 ของบีโธเฟนเป็นการปิดฉากชีวิต ก่อนหน้านั้นศาสตราจารย์ Goodall ได้ออกมาเยี่ยมชมสวนพฤกษศาสตร์ของมหาวิทยาลัยบาเซิล พร้อมกับลูกหลานที่เดินทางติดตามมาด้วย เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในวาระสุดท้ายของชีวิต . Daniel Goodall วัย 30 ปีกล่าวกับสื่อว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ที่ได้มาร่วมอยู่ตรงนี้…
-
นักวิทยาศาสตร์ชี้.. คนชอบมาสายจะ ‘ประสบความสำเร็จ’ และ ‘อายุยืน’ กว่าชาวบ้านเขา!!
ในช่วงชีวิตของเราอาจต้องเจอกับเพื่อนสนิทหรือเพื่อนร่วมงานที่ชอบมาสาย นัด 10 โมง มา 10.30 ไม่เคยจะตรงเวลา หรืออาจเป็นตัวเราเองที่ชอบทำอย่างนั้น แต่พฤติกรรมที่ทำให้หลายๆ คนไม่ค่อยชอบนี้ ใครจะไปคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถช่วยให้เราประสบความสำเร็จและมีอายุยืนได้ นักพูดเกี่ยวกับเรื่องของการบริหารเวลา Diana Delonzor บอกเอาไว้ในหนังสือ Never be Late Again ของเธอว่า “คนมาสายส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะมองโลกในแง่บวกและรับรู้สิ่งที่ต่างออกไปจากความเป็นจริง โดยเฉพาะเรื่องของเวลา” “พวกเขาเชื่อว่าตัวเองสามารถออกไปทำธุระ แวะส่งผ้าร้านซักรีด ซื้อข้าวของ และพาลูกไปโรงเรียนได้ในเวลาแค่ 1 ชั่วโมง” เธอกล่าว อธิบายให้เห็นภาพคือคนที่ชอบมาสายจะมองเห็นว่าตัวเองมีเวลามากกว่าคนอื่น โดยจากการศึกษาของ Jeff Conte ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาในมหาวิทยาลัย San Diego State สหรัฐอเมริกา จัดว่าคนเหล่านั้นคือบุคคลที่มีบุคลิกภาพแบบ Type B การทดลองของเขาแบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ Type A และ Type B ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้จะประมาณการถึงเวลา 1 นาทีแตกต่างกันออกไป…
-
นักวิทย์ญี่ปุ่นออกมาแจ้ง สาเหตุที่อึแมวมีกลิ่นเหม็น แท้จริงแล้วเพราะกำมะถัน
เป็นที่รู้กันดีว่าสัตว์ตระกูลแมวนั้นอึเหม็นอย่างกับอะไรดี อึทีเหม็นไปทั่วบ้าน จะเป็นทรายแมวยี่ห้อไหนก็เอาไม่อยู่ ยิ่งถ้าวันไหนที่แกนึกอะไรไม่รู้ อึแล้วไม่ยอมกลบด้วยนะ โห… แทบจะย้ายบ้านกันไปข้าง ว่าแต่ทำไมมันถึงได้เหม็นโหดร้ายได้ขนาดนั้นกัน เหม็นเสียยิ่งกว่าสุนัขหรือสัตว์ประเภทอื่นๆ เลย บางคนอาจจะบอกว่ามันเป็นเพราะอาหารที่แมวกิน ไม่ก็แบคทีเรียบางชนิด แต่ในตอนนี้นั้น กลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Iwate ในประเทศญี่ปุ่นได้ออกมาบอกแล้วว่า ที่อึแมวมันมีกลิ่นได้ขนาดนั้นไม่ได้เป็นเพราะแบคทีเรีย แต่เป็นเพราะกำมะถันต่างหาก ใช่แล้ว กลิ่นเดียวกับที่มาจากไข่เน่า หรือบ่อน้ำร้อนนั่นล่ะ ผลการวิจัยของพวกเขาได้รับการเผยแพร่ในวารสารนิเวศวิทยาทางเคมี โดยที่หนึ่งในกลุ่มนักวิจัย ศาสตราจารย์ Masao Miyazaki ได้สรุปผลการค้นพบของพวกเขาว่าจะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดกลิ่นเหม็นของอึแมว นักกลุ่มวิจัยของเขาได้พบสารประกอบกำมะถันจำนวนมากในแมวเพศผู้ที่มีการทำเครื่องหมายอาณาเขต และยังพบว่าไม่มีสารกำมะถันที่ว่านี้อยู่ในอุจจาระสุนัขเลย สารประกอบที่มีกำมะถันที่ว่าจะระเหยออกมาจากอุจจาระของแมว ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นแบบสุดๆ ที่เราโดนกันเป็นประจำนั่นเอง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้เสียทีเดียว เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า เจ้าสารที่ว่านี้จะเกาะแน่นกับไอออนของโลหะ ว่าง่ายๆ ว่าหากเราสามารถผสมไอออนของโลหะเข้าไปในอุจจาระของแมวได้ กลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ว่าก็จะลดลงไปได้ แต่การที่จะทำแบบนั้นได้อย่างไรนั้น ยังเป็นสิ่งที่ต้องศึกษากันต่อไป และต่อให้ไม่มีสารประกอบกำมะถันที่ว่านี่ในอึแมวก็ใช่ว่าจะทำให้อึแมวไม่เหม็นเลยอยู่ดี เพราะสารอื่นๆ ในอุจจาระนั้น ก็จะยังคงทำให้อึของแมวมีกลิ่นอยู่ดี แม้ว่ากลิ่นที่ว่าจะลดลงมาจนพอๆ กับสัตว์จำพวกอื่นก็ตาม ที่มา soranews24
-
8 กิจวัตรยามเช้า ที่คุณควร “หยุดทำได้แล้ว” เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพหรอกนะ!!
นับตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาในเวลาเช้า นั่นเป็นสัญญาณเริ่มการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว และอื่นๆ โดยปกติแล้วกิจวัตรสำหรับแต่ละคนจะเป็นพฤติกรรมที่ทุกๆ คนทำซ้ำๆ ในทุกๆ วันด้วยความเคยชิน แต่หารู้ไม่ว่าช่วงเช้านั้นสำคัญมาก เพราะมันเป็นการเริ่มต้นของทุกอย่างในวันนั้นๆ ฉะนั้น กิจวัตรในยามเช้าของเราบางอย่างที่เราทำซ้ำๆ ด้วยความเคยชินก็ควรเปลี่ยนได้แล้ว เพราะมันอาจส่งผลเสียกับเราได้ อย่างเช่น 8 พฤติกรรมดังต่อไปนี้ ที่ควรเลิกทำในตอนเช้าได้แล้ว เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง 1. การไม่อาบน้ำตอนเช้า บางคนคิดว่าอาบน้ำตอนเช้าทำไม เพิ่งตื่นนอนตัวไม่สกปรกสักหน่อย เดี๋ยวค่อยอาบตอนเย็นก็ได้ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความสะอาดหรอกครับ เพราะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดบอกเอาไว้ว่าการอาบน้ำตอนเช้าจะทำให้สมองของเราตื่นตัวและมีสมาธิ นอกจากนี้การอาบน้ำยังสามารถแก้ปัญหาและตอบคำถามต่างๆ นานาได้ดี และยังทำให้สมองของเราผุดไอเดียใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนอีกด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณไม่ควรมองข้ามการอาบน้ำตอนเช้า 2. การอาบน้ำอุ่น ใช่แล้ว การอาบน้ำอุ่นมันสบายตัวใช่ไหมล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาอากาศหนาว แต่หารู้ไม่ว่า การอาบน้ำอุ่นจะทำให้คุณอยากกลับไปนอนต่อ แต่ถ้าหากว่าคุณอาบน้ำเย็นล่ะก็ คุณจะตื่นตัว สดชื่น และสมองของคุณจะถูกกระตุ้นให้พร้อมสำหรับการทำงานที่หนักขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ น้ำเย็นยังไม่ทำให้ผิวแห้งแบบน้ำอุ่นด้วยนะ ส่วนนักวิทยาศาสตร์ก็พบอีกด้วยว่า ผู้ที่อาบน้ำเย็นเป็นประจำจะมีน้ำหนักลดลงเฉลี่ย 4 กิโลกรัมต่อปี 3.…
-
11 แนวคิดดีๆ จากนักฟิสิกส์ชื่อดัง Stephen Hawking ที่ฝากเอาไว้ในช่วงชีวิตของเขา
ไม่นานมานี้ก็ได้มีข่าวน่าเศร้าที่นักฟิสิกส์ระดับตำนานอย่าง Stephen Hawking ได้เสียชีวิตลงด้วยวัย 76 ปี เขาได้ต่อสู้กับโรค Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) หรือโรค Motor Neurone มาทั้งชีวิตตั้งแต่อายุ 21 ปี ซึ่งในคลาสเรียนหรือจากในหนังสือของเขาก็ได้ฝากแนวคิดดีๆ มากมายให้เป็นบทเรียนกับพวกเรา และนี่คือ 11 แนวคิดดีๆ จาก Stephen Hawking หัวหน้าวิจัยและผู้ก่อตั้งศูนย์ Theoretical Cosmology ที่มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ และผู้แต่งหนังสือ A Brief History of Time ได้ฝากเอาไว้ 1. เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในโรงเรียน “ตอนที่ผมเรียนในโรงเรียน ผมเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งในชั้นเรียนที่มีแต่เด็กหัวดี การบ้านของผมนั้นไม่เรียบร้อยเอามากๆ และลายมือของผมก็สร้างความปวดหัวให้กับครูหลายคน แต่เพื่อนๆ ในชั้นเรียนก็เรียกผมว่าไอน์สไตน์ ผมจึงคิดว่าพวกเขาคงเห็นอะไรดีๆ ในตัวผมแน่ๆ เมื่อผมอายุ 12 ปี เพื่อนของผมคนหนึ่งได้ท้าผมพนันว่าผมคงไม่ประสบความสำเร็จกับอะไรสักอย่างแน่ๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีคนชนะพนันหรือไม่ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นผลของมันเป็นอย่างไรกันนะ” จากหนังสือ My…
-
เปิดประวัติ Stephen Hawking หนึ่งในนักคิดผู้ทรงคุณค่า ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของโลก
เรียกได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่สำหรับวงการนักวิทยาศาสตร์ของโลกกับข่าวเสียชีวิตของยอดอัจฉริยะอย่าง Stephen Hawking หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้จักเขาเท่าไหร่นัก แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงคุณค่าที่ฝากแนวคิดและทฤษฎีสำคัญๆ ไว้กับโลกของเรามากมาย และในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะมาเล่าประวัติของ Stephen Hawking ให้เพื่อนๆ ฟังแบบคร่าวๆ เพื่อให้ทุกคนได้รู้จักกับชายคนนี้มากยิ่งขี้น Stephen Hawking Stephen Hawking เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคมปี 1942 ในเมืองออกซ์ฟอร์ดไชร์ ประเทศอังกฤษ ในวัยเด็กเขาเริ่มต้นเข้าเรียนที่โรงเรียน Byron House ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จากนั้นเรียนต่อระดับมัธยมที่ St Albans High School เมื่อเข้าเรียนได้ไม่กี่เดือนก็ต้องเปลี่ยนโรงเรียน เพราะคุณพ่อของเขาต้องการให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีกว่า เลยส่งให้ไปเรียนที่โรงเรียน Westminster School แทน เมื่อเขาเรียนจบมัธยมและเตรียมเข้ารับการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ในตอนแรกพ่อของเขาต้องการให้เขาเรียนเกี่ยวกับหมอ แต่ Stephen มีความสนใจทางด้านคณิศาสตร์และวิทยาศาสตร์มากกว่า ทำให้เขาตัดสินใจเข้าเรียนในเรียนต่อทางด้านฟิสิกส์และเคมีที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดในปี 1959 หลังจากที่เรียนจบระดับปริญญาตรีในปี 1962 เขาตัดสินใจเรียนต่อในสาขาจักรวาลวิทยา…
-
ศิลปินปล่อยให้สารเคมีทำปฏิกิริยากันเอง ออกมาเป็นศิลปะมาเป็นศิลปะอันงดงาม น่าดูชม
หากขึ้นชื่อว่าศิลปะ เราไม่อาจจะจำกัดความมันได้ว่ามันต้องอยู่บนแผ่นกระดาษและต้องวาดจากดินสอและลงสีโดยเครื่องมือต่างๆ เพียงอย่างเดียว เพราะไม่ว่าอะไรหากคุณมองดูดีๆ แล้ว ทุกสิ่งสามารถเป็นศิลปะได้หมด เหมือนอย่างที่ศิลปินคนนี้ Josie Lewis ที่เธอได้สรรสร้างศิลปะในซีรีส์ ‘Pertified Rainbow‘ ซึ่งเป็นการสร้างศิลปะที่แปลกใหม่จากยางไม้และสารเคมี โดยใช้การทำปฏิกิริยาระหว่างสสารที่ถูกใส่ไปในจานเพาะเชื้อ โดยที่ Josie ได้บอกว่าทุกผลงานที่เธอทำขึ้นมา มันคือการวัดดวง เพราะที่เธอทำก็มีเพียงแค่หยดหมึกและยางไม้ลงในจานเพาะเชื้อ ปิดผนึกมันและกลับด้านจาน จากนั้นก็ให้สารเคมีทำปฏิกิริยากันเองและรอผลเพียงเท่านั้น Josie บอกว่า “ฉันบอกชัดๆ ไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นตอนที่สร้างมันขึ้นมา ฉันเพียงแค่รอ 12 ชั่วโมงและกลับมาดูว่ามันทำปฏิกิริยากันเรียบร้อยและฉันก็นำมันออกจากแม่พิมพ์ ฉันเรียกมันว่าเพาะเชื้อซูเปอร์โนวาเพราะว่าฉันใช้แม่พิมพ์ทรงกลมซึ่งมันดูเหมือนกับจานเพาะเชื้อที่มีเชื้อราอยู่ข้างในมากๆ” ผลงานทั้งหมดมันเหมือนเป็นการผสมผสานระหว่างชีววิทยากับศิลปะ และเมื่อถามว่าเธอมองผลงานของเธอเป็นอย่างไร เธอตอบว่า “มันเหมือนกับผิวของดาวเคราะเอเลี่ยนกับผิวนางเงือกเลย” Josie พูดมาขนาดนี้แล้ว เพื่อนๆ คงอยากที่จะไปชมผลงานของเธอกันแล้วใช่ไหม วันนี้ #เหมียวฝึกหัดหมายเลข20 ก็ได้นำผลงานของเธอมาให้ได้ชมกันแล้ว ไปชมกันเลยครับ . . . . . โอ้โห!! สวยมากๆ เลย ที่มา Gizmodo, Josie…
-
ผลจากการศึกษาพบว่าการสูบ ‘กัญชา’ มีส่วนทำร้ายสมองน้อยกว่าการดื่มแอลกอฮอล์
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเปิดเผยผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย University of Colorado Boulder ที่พบว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นั้นจะส่งผลทำร้ายสมอง มากกว่าการสูบกัญชา!! ซึ่งจากการศึกษาเผยว่าการสูบกัญชานั้นไม่ได้ส่งผลเสียต่อสมองในระยะยาว ซึ่งแตกต่างจากดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างเป็นประจำ การศึกษาดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในวารสาร Addiction ซึ่งได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ของระดับสารสีเทาและสีขาวในระหว่างการดื่มแอลกอฮอล์และสูบกัญชา ซึ่งสารดังกล่าวนั้นจะส่งผลต่อการทำงานของสมอง การศึกษาครั้งนี้ได้ทำการทดสอบในกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 55 ปี จำนวน 853 คนที่มีการใช้กัญชาและดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งได้ผลการศึกษาที่น่าสนใจอย่างมาก จากการศึกษาพบว่าในกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่มีการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำนั้นจะมีระดับของสารสีเทาที่มาก ซึ่งสารดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ใหญ่มากกว่ากลุ่มวัยรุ่น โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มเป็นเวลานานหลายปี นอกจากนี้ทีมวิจัยยังพบอีกว่าปริมาณของสารสีขาวนั้น ก็จะส่งผลกระทบต่อสมองกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีการดื่มแอลกอฮอล์เช่นกัน แต่สารดังกล่าวกลับไม่ส่งผลต่อผู้ดื่มที่อยู่ในกลุ่มของวัยรุ่น ส่วนในกลุ่มผู้ใช้กัญชาเป็นระยะเวลา 1 เดือนนั้นพบผลการศึกษาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งพวกเขาพบว่าการสูบกัญชาในระยะเวลาดังกล่าวไม่มีความสัมพันธ์กับปริมาณของสารทั้งสองตัวแต่อย่างใด “ในด้านของผลกระทบเชิงลบนั้น กัญชาแทบไม่ส่งผลกระทบเลยเมื่อเทียบกับแอลกอฮอล์” ดอกเตอร์ Kent Hutchison หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว แต่อย่างไรก็ตามดอกเตอร์ท่านดังกล่าวก็ได้เผยว่าถึงแม้ว่ากัญชาจะไม่ได้ส่งผลเสียต่อสมอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง “เมื่อเราลองดูการศึกษาเก่าๆ เราจะพบผลการศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งระบุว่ากัญชานั้นลดขนาดของ hippocampus ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสมองในการสร้างความทรงจำระยะยาวและการกำหนดทิศทางในที่ว่าง นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาในช่วงเวลาใกล้ๆ กันที่เผยว่ากัญชานั้นมีความสัมพันธ์กับการเปลี่นแปลงของ cerebellum ที่ทำหน้าที่สำคัญในการประมวลการรับรู้และการควบคุมการสั่งการ” ดอกเตอร์ Kent กล่าว ที่มา unilad
-
Lonnie Johnson นักวิทยาศาสตร์จาก NASA ชายผู้อยู่เบื้องหลังปืนฉีดน้ำยี่ห้อดัง
ถ้าหากพูดถึงวันสงกรานต์ สิ่งหนึ่งที่ทุกๆ คนนึกถึงก็คงจะหนีไม่พ้นการได้พบปะสังสรรค์กับเหล่าญาติๆ และกิจกรรมเล่นน้ำนั่นเอง เจ้ากิจกรรมที่ว่านี้สร้างความสนุกสนานให้กับพวกเราได้ไม่น้อยเลยทีเดียวใช่ไหมล่ะ?? และถ้าหากพูดถึงการเล่นสาดน้ำแล้วล่ะก็ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือปืนฉีดน้ำนั่นเอง!! และวันนี้เราจะขอพาทุกคนมารู้จักกับชายผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบปืนฉีดน้ำยี่ห้อดังอย่าง Super Soaker ซึ่งขอบอกไว้ก่อนเลยว่าดีกรีของนักออกแบบผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว พบกับเรื่องราวอันน่าสนใจของคุณ Lonnie Johnson นักวิทยาศาสตร์จาก NASA และกองทัพสหรัฐผู้ให้กำเนิดเจ้าปืนฉีดน้ำยี่ห้อนี้!! ย้อนกลับไปเมื่อปี 1982 คุณ Lonnie Johnson ได้เริ่มต้นการออกแบบปืนฉีดน้ำกระบอกแรกของเขา ซึ่งอันที่จริงแล้วเขาไม่ได้ทำหน้าที่แค่ออกแบบเจ้าปืนฉีดน้ำนี้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงปืน Nerf Gun ตลอดจนเครื่องแปลงพลังงานความร้อนอีกด้วย นอกจากเป็นนักออกแบบของเล่นแล้ว คุณ Johnson ยังทำงานในโครงการยานสำรวจกาลิเลโอของ NASA และโครงการเครื่องบินทิ้งระเบิด Stealth Bomber ของกองทัพสหรัฐอีกด้วย “ผมเริ่มต้นออกแบบ Super Soaker ครั้งแรกโดยใช้เวลาว่างของผม ไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงาน หรือที่บ้าน หรือทุกๆ ที่ ซึ่งในตอนนั้นผมกำลังทำโครงการลับสุดยอดอย่าง Stealth Bomber ของทางกองทัพสหรัฐอยู่ด้วย” คุณ Johnson ให้สัมภาษณ์ นอกจากนี้นักออกแบบมากความสามารถของเรายังได้ให้สัมภาษณ์อีกว่า แต่เดิมนั้นเขาตั้งชื่อให้กับสิ่งประดิษฐ์ของเขาว่า The Drencher ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อมันเนื่องจากปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ ในตอนแรกคุณ Johnson…
-
นักวิทย์ญี่ปุ่นประดิษฐ์ AI ที่อ่านใจคุณได้ ไม่ว่าคุณคิดอะไรในหัว มันก็จะถ่ายทอดออกมาเป็นภาพ
ในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีถือว่าก้าวหน้ากว่าเดิมมากๆ เมื่อเทียบกับสมัยก่อน และยังสามารถพัฒนาต่อไปได้อีกเรื่อยๆ และตอนนี้หากคุณคิดว่า AI ในเกมที่ตบคุณตายได้ง่ายๆ นั้นไม่เจ๋งพอ ตอนนี้มี AI ที่เจ๋งกว่านั้นออกมาแล้ว มันคือ AI ที่สามารถอ่านใจของคุณได้! นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นนั้นได้สร้าง Artificial Intelligence หรือ AI ที่สามารถอ่านคลื่นสมองของคนและก็แสดงมันออกมาเป็นรูปภาพที่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขามองอยู่ในขณะนั้น เช่น ถ้าคนมองไปที่ตัวอักษร A เจ้า AI เนี่ยก็จะพยายามจะสร้างรูปที่คล้ายๆ ตัว A ออกมา แม้ว่ามันก็ยังเบลอๆ ไม่สมบูรณ์ดีนัก แต่ว่าก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการอ่านความคิดของคนได้ในระดับหนึ่งล่ะนะ กว่า 10 สัปดาห์ในการทดสอบ นักวิทยาศาสตร์ได้แสดงผลของการทดสอบเกี่ยวกับการบันทึกคลื่นสมองโดยแบ่งเป็น 2 แบบคือ แบบแรกคือในขณะที่พวกเขามองไปที่รูปภาพ และอีกแบบคือขณะที่เขานึกถึงภาพที่มองไปก่อนหน้านี้ ซึ่งนักวิจัยนั้นใช้การสแกนคลื่นสมองเพื่อพัฒนาระบบ Deep Learning Network เพื่อให้มันสามารถแปลรหัสและแสดงเกี่ยวกับสิ่งที่คนนึกถึงตอนนั้นๆ แต่ด้วยข้อเท็จจริงแล้ว เจ้า AI นี่มันไม่ได้อ่านใจเราจริงๆ หรอก เพียงแต่ว่ามันนั้นสามารถอ่านคลื่นสมองของเราและสามารถแปลความหมายของมันได้ เช่นถึงแม้คุณจะคิดถึงรูปตัวอักษร…
-
ว่าไงนะ? พืชผักใกล้ตัวเรานั้นสามารถ ‘ได้ยิน’ และ ‘รู้สึก’ ว่ามีภัยคุกคามกำลังจะถูกกิน!?
ว่ากันว่าต้นไม้นั้นมีชีวิต มันสามารถได้ยินเสียงของเราและรับรู้ถึงสิ่งรอบๆ ฟังดูโรเมนติกดีใช่ไหมล่ะ ว่าแต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ต้นไม้จะรู้สึกแบบไหนเวลาที่ใบโดนหนอนแทะกันนะ ดูเหมือนว่าพวกนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Missouri (MU) จะสนใจในเรื่องพวกนี้กันมากเลยทีเดียวเพราะดูเหมือนพวกเขาจะค้นพบว่าพืชนั้นสามารถ “ได้ยิน” ถึงสิ่งรอบๆ ตัวของมันรวมถึง “รับรู้” ถึงเสียงที่เป็นอันตรายต่อตัวของมันอีกด้วย ที่จริงแล้วแนวคิดเรื่องพืชได้ยินเสียงนั้นมีอยู่มานานแล้วตั้งแต่โบราณ แถมในสมัยก่อนยังมีความเชื่อที่ว่าการร้องเพลงให้พืชฟังนั้นจะทำให้การเจริญเติบโดของพืชดีขึ้นอีกด้วย “มันเคยมีงานทดลองชิ้นก่อนหน้าของพวกเราที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตอบสนองของต้นไม้ต่อคลื่นเสียง ซึ่งรวมไปถึงเสียงเพลงต่างๆ “ Heidi Appel นักวิทยาศาสตร์อาวุโสฝ่ายวิทยาศาสตร์พืชประจำส่วนวิชาการเกษตรและอาหาร ทรัพยากรธรรมชาติ และศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตพันธบัตรของ MU กล่าว “อย่างไรก็ตามงานของเราเป็นผลงานชิ้นแรก เกี่ยวกับการที่พืชตอบสนองต่อการสั่นสะเทือนของระบบนิเวศน์พืช” พวกเขาพบว่าการ “สั่นสะเทือนของการทานอาหาร” เปลี่ยนการเผาผลาญของเซลล์พืชทำให้มีการหลั่งสารเคมีที่ป้องกันการถูกหนอนผีเสื้อโจมตีออกมามากขึ้น ด้วยความร่วมมือจาก Rex Cocroft ศาสตราจารย์สาขาชีววิทยาศาสตร์ที่ MU ได้นำหนอนผีเสื้อไปวางไว้บนใบ Arabidopsis พืชเล็กๆ ชนิดหนึ่ง ด้วยการใช้เลเซอร์และชิ้นส่วนเล็กๆ ของวัสดุสะท้อนแสงบนใบของพืช พวกเขาสามารถบันทึกการเคลื่อนที่ของใบในการตอบสนองต่อการเคี้ยวของหนอนเอาไว้ได้ จากนั้น Cocroft และ Appel ได้เล่นเทปบันทึกเสียงสั่นสะเทือนจากการเคี้ยวของหนอนผีเสื้อ ให้กับชุดพืชอีกชุดหนึ่ง ส่วนพืชอีกชุด พวกเขาจะเปิดเทปที่ไม่มีเสียงอะไรเลย Heidi Appel (ซ้าย) และ Rex Cocroft…
-
ทำได้ไง!! นักวิทย์พัฒนาแนวคิด ที่ทำให้ ‘พืช’ สามารถส่องแสงสว่างได้ในเวลากลางคืน
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน เรียกได้ว่าก้าวไปเร็วจนตามแทบจะไม่ทัน และดูเหมือนว่าตอนนี้ความเจริญทางด้านวัตถุได้ก้าวไปไกลจนเกินจะเอื้อมถึง เพราะว่าตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ทำให้สิ่งที่อยู่ตามธรรมชาติอย่างต้นไม้เรืองแสงในที่มืดได้แล้ว!! เทคโนโลยีสุดล้ำนี้ได้รับการเปิดเผยเมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยทีมนักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ได้เผยว่าพวกเขาได้พัฒนาวิธีที่จะทำให้พืชสามารถส่องแสงสว่างในที่มืดได้แล้ว ซึ่งพวกเขาได้ตั้งชื่อพืชอันนี้เอาไว้ว่า พืชอนุภาคนาโน เพราะว่าวิศวกรในทีมวิจัยนี้ได้ทดลองฝังอนุภาคนาโนเข้าไปในพืชที่มีชื่อว่า วอเคอร์เครส และผลของอนุภาคนาโนนี้ก็ทำให้พืชทดลองนี้สามารถส่องแสงสลัวๆ ได้ถึง 3 ชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว และเป้าหมายต่อไปของนักวิจัยทีมนี้ก็คือ พวกเขาจะสร้างพืชที่ให้แสงสว่างมากพอพร้อมทั้งมีระยะเวลาที่ยาวนานสำหรับห้องห้องหนึ่ง และถ้าประสบความสำเร็จ พวกเขาก็คาดเอาไว้ว่าจะเปลี่ยนต้นไม้ที่อยู่ตามสองข้างถนนให้สามารถสร้างพลังงานได้ด้วยตัวเองและสามารถส่องแสงสว่างได้มากขึ้นกว่าตัวทดลอง อีกทั้งเป้าหมายสูงสุดของทีมวิจัยนี้ก็คือ พวกเขาจะเปลี่ยนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รวมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ให้มันสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ด้วยตัวเองอีกด้วย มาลองดูความมหัศจรรย์กันดีกว่า “ขั้นแรกของพวกเราคือจะทำให้พืชสามารถส่องสว่างได้เหมือนโคมไฟตั้งโต๊ะ ซึ่งแสงที่ได้นั้นจะมาจากใช้พลังงานที่อยู่ในตัวของมันเองโดยไม่ต้องเสียบปลั๊กแต่อย่างใด” Michael Strano หนึ่งสมาชิกในทีมวิจัยนี้กล่าว ก่อนหน้าที่จะมีการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องพืชเรืองแสง ทีมวิจัยนี้ได้เคยพยายามที่จะออกแบบพืชให้สามารถตรวจจับระเบิดแล้วรายงานผลไปที่อุปกรณ์อัจฉริยะ รวมถึงพืชที่สามารถตรวจสอบความแห้งแล้งได้ และในที่สุดพวกเขาก็ได้หันมาผลิตพืชอนุภาคนาโนนี้แทน สำหรับองค์ประกอบหลักๆ ที่ทำให้พืชชนิดนี้สามารถเรืองแสงได้ก็คือ เอนไซม์ลูซิเฟอเรส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่อยู่ในตัวของหิ่งห้อย ตัวเอนไซม์ลูซิเฟอเรสจะทำการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลของสารลูซิเฟอรินให้กลายเป็นโมเลกุลออกซิลูซิเฟอริน ที่เป็นโมเลกุลที่ทำให้พืชสามารถปล่อยออกมาได้นั่นเอง นอกจากนี้นักวิจัยยังบอกอีกด้วยว่า พวกเขาสามารถกำหนดการเปิด-ปิดไฟในพืชได้ ด้วยการใส่ตัวยับยั้งเอนไซม์ลูซิเฟอเรสลงไป โดยตัวยับยั้งที่ว่านี้จะทำให้พืชตอบสนองต่อสภาวะแวดล้อมอย่าง แสงแดด ซึ่งจะทำให้เอนไซม์นี้ปิดการใช้งานโดยธรรมชาตินั่นเอง ที่มา: odditycentral
-
รู้หมือไร่?? อาการขี้หลงขี้ลืมนั้นเป็นผลดีต่อสมองและอาจทำให้คุณกลายเป็นอัจฉริยะก็เป็นได้
อาการขี้หลงขี้ลืมเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าคนๆ นั้นมีสมองที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่รู้หรือไม่ว่าอาการขี้ลืมจริงๆ แล้วมันเป็นสัญญาณของคนฉลาดต่างหาก งานวิจัยหนึ่งที่ได้ตีพิมพ์ในนิตยสาร Neuron บอกไว้ว่าคนที่มีสมองสุขภาพแข็งแรงบางครั้งก็มีการทำงานที่หนักหน่วงเกินไปจนกลายเป็นอาการหลงลืมชั่วขณะนั่นเอง ซึ่งงานวิจัยชิ้นนั้นเขียนโดย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโทรอนโต ประเทศแคนาดาโดยได้ทิ้งข้อสรุปไว้ว่า การลืมสิ่งต่างๆ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแต่ว่ามันเป็นการพักสมองหลังจากใช้งานมาอย่างหนักและมันก็กำลังเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่สมองของเราด้วย Paul Frankland และ Blake Richards ได้บอกเอาไว้ว่าหน่วยความจำจริงๆ แล้วนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือจดจำเฉพาะข้อมูลที่มีความสำคัญและอีกส่วนหนึ่งคือสร้างพื้นที่สำหรับพักผ่อนสมองซึ่งนั่นจึงทำให้เราหลงลืมรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันไป การศึกษาหนึ่งของ Frankland พบว่าเมื่อเซลล์สมองใหม่ถูกสร้างขึ้นในสมองส่วนฮิปโปแคมปัส ความทรงจำเก่าๆ จะถูกเขียนทับเหมือนกับข้อมูลในคอมพิวเตอร์เลยล่ะ “มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่สมองของเราจะลืมรายละเอียดสิ่งต่างๆ ที่ไม่สำคัญนักในชีวิตของเราและเพ่งเล็งไปในเรื่องที่สำคัญ เพราะจะทำให้เราสามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญนั้นได้ดีขึ้นและยังสร้างพื้นที่ว่างเพื่อรองรับสิ่งใหม่ๆ อีกด้วย” Richard กล่าว ประโยชน์อย่างหนึ่งของโรคขี้หลงขี้ลืมนี้ก็คือ เมื่อเราลืมรายละเอียดในกิจกรรมต่างๆ ที่ผ่านไปแล้ว แต่ว่ายังคงจำภาพรวมของกิจกรรมนั้นได้ มันจะทำให้เราพยายามนึกย้อนไปในอดีตและทำให้เราสามารถซึมซับบรรยากาศในวันนั้นและให้ความรู้สึกเหมือนกับวันนั้นพึ่งผ่านมาเพียงไม่นาน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไปสำหรับคนที่ลืมสิ่งสำคัญตลอดเวลา เพราะว่าการลืมสิ่งต่างๆ อาจทำให้เราเกิดความกังวลว่าเราลืมอะไรไปบ้างและนั่นอาจทำให้เราเริ่มจะเป็นโรคหวาดระแวง ซึ่งเป็นโรคประสาทชนิดหนึ่งได้ สำหรับวิธีการออกกำลังกายสมองก็มีวิธีการง่ายๆ โดยการพยายามทบทวนว่าวันนี้เราได้ทำอะไรไปบ้างแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้สมองของเรามีสุขภาพที่ดีแล้วล่ะ ที่มา: unilad
-
ทีมวิจัยญี่ปุ่นล้ำหน้าอีก สร้างมาตฐานเครื่องวัดน้ำหนักกิโลกรัม ให้แม่นยำกว่าเดิมในรอบ 130 ปี!!!
เคยเป็นกันบ้างไหมที่เมื่อตอนเราไปชั่งน้ำหนักตามที่ต่างๆ ก็พบว่าเอ๊ะ ทำไมน้ำหนักที่ชั่งแต่ละเครื่องมันไม่เท่ากันนะ แต่ว่าปัญหานี้กำลังจะหมดไปเมื่อตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นได้คิดค้นวิธีการชั่งน้ำหนักแบบใหม่ออกมาได้แล้ว ย้อนกลับไปในปี 1875 มนุษย์ในยุคนั้นได้พยายามเข้าใจโลกให้มากขึ้น พวกเขาจึงได้สร้างมาตรฐานของการชั่งน้ำหนักด้วยความแม่นยำที่สูง โดยเครื่องชั่งน้ำหนักเครื่องแรกของโลกนั้นพวกเขาสร้างมาในรูปทรงกระบอกซึ่งโลหะที่ใช้ในการผลิตก็มีทั้ง แพลตตินั่มและอิลเดียมอัลลอย ซึ่งสิ่งนี้ที่พวกเขาเรียกว่า International Prototype Kilogram (IPK) ซึ่งเป็นต้นแบบของการชั่งน้ำหนักที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ถูกเก็บไว้อย่างดีในกระจกหลายชั้น ซึ่งเจ้า IPK นี้ได้มีการจำลองในหลายประเทศทั่วโลกเพื่อให้ดูเป็นต้นแบบ แต่ว่าของจริงนั้นได้อยู่ที่ International Bureau of Weights and Measurements ซึ่งตั้งอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ขี้ฝุ่นและปัจจัยอื่นๆ ที่นับไม่ได้ทำให้เครื่องชั่งน้ำหนักแบบ IPK ที่แพร่หลายทุกที่บนโลกนี้มีความไม่เที่ยงตรงที่แท้จริง ซึ่งนั่นได้สร้างปัญหาตามมาอย่างเช่น การชั่งน้ำหนักสารกัมมันตรังสีที่ถ้าไม่ได้น้ำหนักที่แท้จริงก็อาจทำให้ค่าเปลี่ยนไป หน้าตาของเครื่องชั่งน้ำหนักแบบใหม่ กลมดิ้กเชียว และด้วยเหตุนี้ National Institute of Advanced Industrial Science and Technology (AIST) หรือสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงในประเทศญี่ปุ่นจึงได้พัฒนาลูกบอลซิลิโคนชั่งน้ำหนักความแม่นยำสูง ซึ่งการทำงานของมันคือจะใช้เลเซอร์ชี้ไปที่ของที่ต้องการจะชั่งน้ำหนักจากนั้นจะคำนวณโดยใช้สูตรต่างๆ และมันได้ผ่านการทดลองมาแล้ว 2 ครั้งปรากฏว่ามันสามารถทำงานได้เป็นอย่างดี ซึ่งคาดว่าเครื่องมือนี้จะใช้ในการชั่งที่ต้องการความเที่ยงตรงจริงๆ อย่างการพัฒนายาปฏิชีวนะต่างๆ ทาง AIST ได้เตรียมที่จะเอาลูกบอลซิลิโคนอันนี้เข้าประชุมนานาชาติในปีหน้า ซึ่งมันอาจเปลี่ยนโฉมการชั่งน้ำหนักหน่วยกิโลกรัมในรอบ 130…
-
นักวิทยศาสตร์คิดค้นสารตัวใหม่ที่ช่วยให้แผลหายไวและลบรอย ‘แผลเป็น’ ได้เร็วขึ้น!!
ปัญหาแผลเป็นบนร่างกายที่เราอยากให้มันหายไปเร็วๆ คงเป็นสิ่งกวนใจให้กับใครหลายคน โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องห่วงเรื่องความสวยความงามเป็นธรรมดา แต่ตอนนี้นักวิทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัย Nanyang Technological ประเทศสิงคโปร์ กำลังคิดค้นแผ่นติดผิวแบบใหม่ที่จะช่วยให้แผลเป็นของคุณหายไปได้เร็วยิ่งขึ้น นอกจากนั้นมันยังสามารถช่วยให้แผลสดหายเร็วขึ้นอีกด้วยเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้ทำได้เพียงรักษาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แผลเป็นนั้นเกิดจากการที่ร่างกายเรามีคอลลาเจนและโปรตีนที่มากเกินและไปสะสมกันอยู่ที่จุดเดียว ดังนั้นการจะลดรอยดังกล่าวลงได้ต้องหาสิ่งที่สามารถควบคุมการผลิตคอลลาเจน เพื่อช่วยแทรกแซงกระบวนการฟื้นฟูให้เร็วยิ่งขึ้น และจากการศึกษา พวกเขาพบว่ามีโปรตีนชนิดหนึ่งชื่อว่า Angiopoietin-like4 (ANGPTL4) สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้จริง เพราะจากการทดลองกับหนูแล้ว สารดังกล่าวสามารถทำให้แผลสดหายเร็วขึ้นถึง 3 เท่าจากปกติ ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือดและการเจริญเติบโตของเซลล์ทำให้ลดรอยแผลเป็นลงได้อีกด้วย โอ้วว พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก ที่สำคัญคือเจ้าสารดังกล่าสามารถสกัดออกมาโดยตรงจากเนื้อเยื่อไขมันที่ถูกตัดทิ้งในผู้ป่วยได้ หมายความว่าเมื่อมีผู้ป่วยมาผ่าตัดเราก็สามารถนำเนื้อเยื่อที่ถูกทิ้งมาสกัดสารตัวนี้เพื่อใช้รักษาแผลต่อให้กับเขาได้กลายเป็นโชคสองชั้น แต่ถึงอย่างนั้นการที่สารตัวนี้มีรูปแบบการรักษาที่เข้าไปหยุดการผลิตคอลลาเจนเอาไว้อาจเกิดผลกระทบตามมาได้ เพราะว่าคอลลาเจนมีความจำเป็นสำหรับกระบวนการซ่อมแซมและฟื้นฟูผิว ดังนั้นการรักษาจึงต้องเป็นไปเฉพาะจุดที่มีการรวมตัวกันมากของคอลลาเจน และต้องหาคำตอบเพิ่มเติมอีกว่าอะไรเป็นตัวที่ทำให้มีการผลิตโปรตีนมากจนเกินไปในตอนที่เกิดแผล จนพวกเขาไปพบกับโปรตีนอีกชนิดที่มีชื่อว่า Scleraxis ซึ่งจะทำงานร่วมกับคอลลาเจนในตอนที่มีแผลเกิดขึ้น แต่ความพิเศษคือเจ้า ANGPTL4 สามารถเข้าไปรบกวนการทำงานของโปรตีนชนิดนี้ ผลลัพธ์ก็คือแผลเป็นที่หายไปเร็วยิ่งขึ้น ในอนาคตเหล่านักวิทยาศาสตร์ในสถาบันหวังว่าจะสามารถผลิตเจ้าตัวยาใหม่นี้ให้ออกมาได้สมบูรณ์แบบ และวางแผนเอาไว้ว่าจะทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำไปใช้ได้ง่ายอย่างเช่นแผ่นเจล ครีม หรือไมโครแคปซูล เวลาที่ผ่านไปความก้าวไกลของวิทยาศาสตร์ก็จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าด้วย ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจไม่มีแผลเป็นให้เห็นอีกแล้วก็ได้ ที่มา: ibtimes
-
ยิ่งนอนน้อย ยิ่งอายุสั้น.. นักวิทย์ฯ เผย “นอนไม่พอ” คือสาเหตุของโรคต่างๆ ที่เราอาจคิดไม่ถึง
การนอนหลับไม่เพียงพออาจจะเป็นเรื่องปรกติสำหรับใครหลายๆ คน แต่รู้หรือไม่ว่ามันกำลังเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณอยู่ แถมยังอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ อย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย!! ศาสตราจารย์ Matthew Walker จากมหาวิทยาลัย University of California และผู้เชี่ยวชาญทางด้านการนอนหลับได้ออกมาเปิดเผยว่าการนอนหลับไม่เพียงพอนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก และเป็นสาเหตุของโรคเสื่อมต่างๆ อย่างเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน และมะเร็ง ศาสตราจารย์ Matthew ได้เปิดเผยว่าการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอหรือประมาณ 8 ชั่วโมงต่อวันนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก “ร่างกายของเรานั้นจะถูกทำลายด้วยการพักผ่อนไม่เพียงพอไปทีละนิด“ เขาได้ทำการศึกษาในเรื่องของการนอนและสิ่งที่จะตามมาจากการนอนหลับไม่เพียงพอมาเป็นเวลานานกว่า 2 ทศวรรษ โดยเขากล่าวว่าการเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุสาหกรรมและการทำงานที่หนักขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้มนุษย์มีระยะเวลาการนอนที่น้อยลง จากการศึกษาพบว่ามีประชากรมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ที่นอนหลับเพียงแค่ 6 ชั่วโมงต่อคืนหรือน้อยกว่านั้นซึ่งมากกว่าในปี 1942 ที่มีเพียงแค่ 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวนี้ส่งผลกระทบต่อการปล่อยกระแสไฟฟ้าเวลานอนหลับ และเป็นผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่าความเครียด ความกังวล และพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระยะเวลาในการนอนหลับของเราสั้นลงเช่นเดียวกัน และท้ายที่สุด ศาสตราจารย์ Matthew ได้ให้คำแนะนำสำหรับทุกคนว่า ควรพักผ่อนอย่างน้อย 8 ชั่วโมงหรือมากกว่า นอกจากนี้การอดนอนเพื่อทำงานหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอีกด้วย ที่มา news-medical, theguardian
-
ทำความรู้จักกับ ‘Bhupathy’s purple frog’ กบสีม่วงสายพันธุ์ใหม่ ที่เพิ่งถูกค้นพบในอินเดีย
กลายเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่มากๆ เมื่อนักสัตววิทยาได้ค้นพบกบสีม่วงสายพันธุ์ใหม่ ในพื้นที่เทือกเขา Western Ghats ของประเทศอินเดีย โดยเจ้ากบสีม่วงสายพันธุ์นี้ มีลักษณะพิเศษคือ ผิวหนังสีม่วงระยิบระยับ และมีวงแหวนสีฟ้ารอบๆ ดวงตา พร้อมกับจมูกที่คล้ายกับหมู นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งชื่อให้สายพันธุ์ใหม่ที่ค้นพบนี้ว่า Bhupathy’s purple frog (Nasikabatrachus bhupathi) เพื่อเป็นเกียรติให้กับ Dr. Subramaniam Bhupathy นักสัตววิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ที่เสียชีวิตในเทือกเขาที่ค้นพบเจ้ากบตัวนี้เมื่อปี 2014 ทางด้านคุณ Elizabeth Prendini นักสัตววิทยาด้านสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ คลานจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติของอเมริกากล่าว… “กบสายพันธุ์นี้ มีความเก่าแก่และความหลากหลายทางสายพันธุ์ที่ต่ำมาก ดังนั้นการได้ค้นพบสายพันธุ์ใหม่จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งและเป็นเรื่องที่พิเศษมาก” โดยส่วนมากแล้วกบสายพันธุ์นี้จะหากินอยู่ใต้ดิน โดยการใช้ลิ้นของพวกมันตวัดกินพวกมดปลวกที่อาศัยอยู่ในนั้น นอกจากนี้ในแต่ละปี พวกมันจะขึ้นมาบนดินช่วงฤดูฝนแค่เพียงปีละ 2 สัปดาห์เพื่อสืบพันธุ์เท่านั้น กบตัวเมียที่ได้รับการผสมพันธุ์แล้วจะทำการวางไข่ใกล้ๆ กับลำธาร หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 หรือ 2 วัน ลูกอ๊อดตัวน้อยก็จะลืมตาออกมาดูโลก พวกมันจะมีการพัฒนาส่วนที่ปากคล้ายกับปลาซักเกอร์ จากนั้นจึงอาศัยอยู่รอบๆ ก้อนหินเพื่อกินพวกสาหร่ายเล็กๆ และจะใช้เวลาประมาณ 120 วันเพื่อพัฒนาเป็นตัวโตเต็มวัย ก่อนจะกลับไปอาศัยอยู่ใต้ดิน …
-
นักวิทย์เผย สาเหตุที่แท้จริงของโรค ‘Trypophobia’ อาการกลัวรู ไม่แน่นะคุณอาจเป็นหนึ่งในนั้น
หนึ่งในอาการกลัวหรือการวิตกกังวลต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่เรามักเรียกว่าอาการ “โฟเบีย” ต่างๆ นั้น อาจมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ที่มากระทบจิตใจของผู้ป่วยตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก จนทำให้เกิดความกลัว อย่างเช่นอาการ Thalassophobia หรือโรคกลัวทะเล (อ่านข่าวเก่า พาไปรู้จักกับโรค Thalassophobia หรือ ‘อาการกลัวทะเล’ แล้วคุณเป็นหนึ่งในนั้นด้วยรึเปล่า!!?) และนอกจากนี้ยังมีอาการกลัวที่หลายๆ คนรู้จักกันเป็นอย่างดี อย่างเช่นอาการกลัวรู (Trypophobia) ถึงแม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการดังกล่าว แต่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์เริ่มค้นพบทฤษฎีที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรคที่ว่านี้แล้ว การศึกษาของ Geoff Cole และ Arnold Wilkins ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Psychological Science บอกว่าผู้ที่มีอาการกลัวรูนั้น อาจจะไม่ได้รู้สึกกลัวรู แต่มีสาเหตุมาจากการกลัวสิ่งแปลกปลอมที่อาศัยอยู่ในรูเหล่านั้น ผู้ป่วยอาจเกิดอาการสั่นและรู้สึกกลัวเมื่อเห็นภาพของรังผึ้ง ฟองน้ำ หรือปะการัง นอกจากนี้ทั้งคู่ยังได้วิเคราะห์ภาพถ่ายของรูปหลุมต่างๆ และเขียนอธิบายไว้ในเว็บไซต์ Trypophobia.com โดยการศึกษาดังกล่าวพูดถึงความแตกต่างของรูต่างๆ ในภาพถ่าย มีผลต่อความกลัวของผู้ป่วย คุณ Cole ได้ทดลองให้ผู้ป่วยดูภาพของหมึกสายวงน้ำเงินซึ่งมีจุดวงกลมต่างๆ ที่ชัดเจน แต่เค้ากลับพบว่าพวกเขาก็กลัวภาพถ่ายรูปรูภาพอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ทั้งสองสรุปผลการศึกษาว่าอาการ Trypophobia นั้นเกิดจากการเห็นภาพของหลุมหรือรูต่างๆ เป็นตัวกระตุ้น “ประสบการณ์ที่ฝังอยู่ในสมองของพวกเขา จะเชื่อมโยงกับภาพที่เห็น และทำให้รู้สึกว่ากำลังจะได้รับอันตรายเมื่อมองไปที่ภาพที่เป็นตัวกระตุ้น” คุณ Cole กล่าวกับทาง NPR’s Shots blog …
-
ผลวิจัยชี้ ‘การนอนหลับไม่เพียงพอ’ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็น ‘โรคสมองเสื่อม’ มากขึ้น!!
อย่างที่รู้ๆ กันดีว่า การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการมีสุขภาพแข็งแรง แต่ในขณะเดียวกันถ้าหากว่าละเลยเรื่องนี้ไป ก็อาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน!! เรื่องต่อไปนี้อาจจเป็นข่าวร้ายสำหรับบุคคลที่นอนดึกตื่นเช้า หรือนอนหลับในระยะเวลาที่น้อยเกินไป เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีรายงานว่าการนอนหลับไม่เพียงพอนั้นจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคความจำเสื่อม การนอนหลับไม่เพียงพอหรือการนอนไม่เต็มอิ่มนั้น อาจทำลายความจำระยะสั้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ อีกหลายชนิด ซึ่งการศึกษาดังกล่าวนั้นถูกตีพิมพ์ในวารสาร Neurology โดยนักวิจัยได้ทำการศึกษาและพบว่า ผู้ใหญ่ในช่วงวัยกลางคนส่วนมากที่มีการนอนหลับไม่เพียงพอ มักจะมีอาการโรคของความจำเสื่อมในส่วนของ Cerebrospinal fluid จากการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใหญ่อายุเฉลี่ยไม่เกิน 63 ปี จำนวน 101 คน โดยการนำเนื้อเยื่อในส่วนของไขสันหลังมาทำการตรวจหาการสะสมของโปรตีน อาการอักเสบ และเซลล์ที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคความจำเสื่อม โดยผู้เข้าร่วมการศึกษาทุกคนจัดอยู่ในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงทั้งปัจจัยทางด้านกรรมพันธุ์ และประวัติครอบครัว แต่ไม่มีปัญหาทางด้านสุขภาพเลย นักวิจัยพบว่าปัจจัยทางด้านอายุนั้นไม่มีผลต่อการสะสมของก้อนโปรตีนดังกล่าว แต่กลับพบว่าการนอนหลับไม่เพียงพอนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอาการสะสมของโรคนี้แทน การนอนหลับที่ดีนั้นจะช่วยในการซ่อมแซมเซลล์สมอง ด้วยการขจัดสิ่งที่เรียกว่า neurotoxins ออกไป โดยสารพิษพวกนี้ จะมีส่วนที่จะทำให้เกิดการสะสมของโปรตีน ที่นำไปสู่อาการโรคความจำเสื่อมนั่นเอง งานวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าการนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอนั้นทำเกิดการสะสมของ แอมีลอยด์ บีตา หนึ่งในสารที่พบในผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมนั่นเอง รู้แบบนี้แล้วก็อย่าลืมนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอกันด้วยนะครับ… ที่มา businessinsider
-
เรื่องราวของ “Chang” ชายผู้ยับยั้งการสร้างนิวเคลียร์ในไต้หวัน และถูกตราหน้าเป็นกบฎ!!
อะแฮ่ม… วันนี้เราจะขอทำตัวมีสาระกันบ้าง โดยเราจะพาไปรู้จักกับเบื้องหลังเรื่องราวของ Chang Hsien-yi นักวิทยาศาสตร์ชาวไต้หวัน ผู้ยับยั้งการสร้างนิวเคลียร์ในประเทศไต้หวันได้สำเร็จ แต่ทว่าเขากลับถูกทางการตราหน้าว่าเป็นกบฎ!! ย้อนกลับไปเมื่อปี 1949 ได้เกิดเหตุที่ทำให้ไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่ ต้องแยกตัวออกจากกัน แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาก็คือการแข่งขันทั้งทางการทหารและเศรษฐกิจ Chang Hsien-yi จนกระทั่งในช่วงปี 1960 จีนแผ่นดินใหญ่มีโครงการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลทำให้รัฐบาลไต้หวันตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก และเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ Hau Pei-tsun ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำแห่งเกาะไต้หวัน ทำให้ไต้หวันมีโครงการที่จะสร้างอาวุธนิวเคลียร์ด้วยเช่นกัน ท่ามกลางยุคสงครามเย็นเช่นนี้ มีหลายฝ่ายที่เห็นด้วยกับการสร้างนิวเคลียร์ ทว่ากลับมี Chang Hsien-yi นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้านหัวชนฝา และเชื่อว่านิวเคลียร์ไม่อาจนำมาซึ่งสันติภาพที่แท้จริงได้อย่างที่หลายคนคิด โรงงาน 221 เชื่อว่าเป็นสถานที่ทำการวิจัย และทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของจีน Chang เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าประจำสถาบันศูนย์วิจัยพลังงานนิวเคลียร์แห่งไต้หวัน ในช่วงแรกเขามีความสุขกับการได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าที่ได้รับการคัดเลือกจากทางการไต้หวัน ทว่าต่อมา… เจ้าตัวก็เริ่มตั้งคำถามว่า แท้จริงแล้วเกาะไต้หวันต้องการนิวเคลียร์จริงๆ หรือ? บวกกับเหตุการณ์ระเบิดหายนะที่เชอร์โนบิล ประเทศรัสเซีย ก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่า การไม่มีนิวเคลียร์จะเป็นผลดีต่อทั้งจีนแผ่นดินใหญ่ และไต้หวัน มากกว่า ด้วยอุดมการณ์ที่ค้านอย่างหัวชนฝา ทำให้ Chang…
-
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ “เพรียงเรือยักษ์” ที่มีความยาวถึง 1 เมตร ในประเทศฟิลิปปินส์
เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2560 ทางเว็บไซต์เดลีเมล์มีรายงานว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Northeastern สหรัฐอเมริกา ได้ทำการค้นพบเพรียงเรือขนาดความยาวไม่เกิน 5 ฟุต หรือราวๆ 1.52 เมตร (ถือว่ามีนาดใหญ่ที่สุด) โดยเพรียงเรือดังกล่าวอยู่ ณ บริเวณอ่าวของเกาะมินดาเนา ทางตอนใต้ของประเทศฟิลิปปินส์ จากการรายงานระบุว่า ข้อมูลในการค้นพบเพรียงเรือยักษ์ในครั้งนี้ ถูกนำไปเผยแพร่ลงในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) โดยได้ระบุว่า… เพรียงเรือดังกล่าว มีชื่อเรียกในทางวิทยาศาสตร์ว่า Kuphus polythalamia เป็นญาติใกล้เคียงกับเพรียงเรือชนิดที่เจาะไชไม้ท้องเรือกินเป็นอาหาร เพียงแต่ว่ามันจะมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่ามาก โดยจะอาศัยอยู่ในเปลือกที่มีลักษณะแข็ง มีรูปร่างคล้ายกับงาช้าง ในส่วนการดำรงชีวิตของมันนั้น ฟังดูแล้วแปลกหูเป็นอย่างมาก เพราะเจ้าเพรียงเรือยักษ์นี้จะเอาส่วนหัวของมันปักลงไปในพื้นของโคลนทะเล เพื่อดูดกินก๊าซไข่เน่าหรือไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่เกิดจากซากเน่าเปื่อยในตะกอนโคลนเลนเป็นอาหารนั่นเอง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเพรียงเรือที่ถูกค้นพบนี้ จะมีลักษณะคล้ายกับหนอนขนาดยักษ์ แต่ในความจริงแล้วมันเป็นสัตว์ตระกูลหอย เนื่องจากตัวของมันมีลักษณะที่อ่อนนุ่มมาก เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดยาวถึง 1.5 เมตรเลยทีเดียว …
-
ชีวิตต้องเดินตามหาความฝัน… นักวิทยาศาสตร์ NASA ลาออกจากงาน เพื่อเป็น “ศิลปินพับกระดาษ”
เชื่อว่าหลายๆคนคงจะมีความฝันในตอนเด็ก และอยากที่จะทำความฝันเหล่านั้นให้เป็นจริง วันนี้ #เหมียวเวจจี้ จะพามารู้จักกับนักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่ง ที่ยอมลาออกจากองค์กรวิทยาศาสตร์ระดับโลกอย่างนาซ่า เพื่อมาทำตามความฝันของตัวเอง เรื่องราวของเค้าจะเป็นอย่างไร ไปชมกันเลย…. นักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าที่ลาออกมาเพื่อทำในสิ่งที่เขาหลงใหล Robert Lang นักฟิสิกส์ของนาซ่าผู้มีส่วนร่วมในการคิดค้นนวตกรรมต่างๆ ได้ลาออกจากองค์กรวิทยาศาตร์ระดับโลกเพื่อมาเป็นศิลปินพับกระดาษ การพับกระดาษที่เขาสนใจนั้นไม่ใช่แค่การพับกระดาษแบบบ้านๆ ธรรมดานแต่เป็นศิลปะการพับกระดาษของญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า Origami คือการพับกระดาษ 1 แผ่นให้เป็นรูปต่างๆ โดยไม่การตัดหรือฉีกกระดาษเลย ในรูปแบบดั้งเดิมนั้น Origami มีขั้นตอนในการพับ ถึง 20-30 ครั้ง แต่ปัจจุบันนั้นมีการพัฒนาการพับให้ซับซ้อนขึ้นไปอีก มากกว่า 100 ครั้ง เขาให้สัมภาษณ์ว่า “ผมหลงรักศิลปะการพับกระดาษนี้ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กแล้ว และผมมักจะใช้เวลาว่างระหว่างการทำงานในการคิดค้นและออกแบบงานศิลปะของผม จนกระทั่งในปี 2001ผมออกจากงานที่นาซ่า เพื่อมาเป็นศิลปินพับกระดาษอย่างที่ผมรัก และผมมีแผนว่าจะจัดแสดงงานศิลปะนี้ทั่วโลก” และนี่ก็คือส่วนหนึ่งในงานศิลปะของเขา พับออกมาเป็นรูปแมลง ปลาทอง หรือกระทั่งแรดก็ยังทำได้ . . เป็นอย่างไรกันบ้างละครับ กับงานศิลปะการพับกระดาษของ อตีตนักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าผู้นี้ แต่ละชิ้นสวยงามทั้งนั้นเลย ส่วนเพื่อนคนไหนสนใจอยากเขาไปชมผลงานเพิ่มเติมก็สามารถเข้าชมได้ เว็บไซด์ langorigami ได้เลยครับผม ที่มา thisiscolossal
-
นักวิทยาศาสตร์เผย สามารถฝึก “ผึ้ง” ให้ทำตามคำสั่งมนุษย์ และสอนกันเองได้เป็นครั้งแรก
การฝึกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอาจเป็นเรื่องที่เราพบเห็นกันได้ทั่วไปทั่วโลก เพราะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนมากมักมีมันสมองขนาดใหญ่ ทำให้มันสามารถเรียนการคำสั่งที่ซับซ้อนได้ ผิดกับเหล่าแมลงที่มีสมองขนาดเล็ก จนทำให้หลายๆ คนคิดว่า มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ แต่ล่าสุด นักวิจัยจากอังกฤษได้เผยคลิปสุดน่าทึ่งออกมา เมื่อพวกเขาแสดงให้เห็นว่า สามารถฝึก “ผึ้ง” ให้สามารถทำตามคำสั่งได้เป็นครั้งแรก งานวิจัยดังกล่าวถูกตีพิมพ์ลงวารสาร Science โดยทีมวิจัยรายงานว่า พวกเขาสามารถฝึกฝนให้ “ผึ้ง” กลิ้งลูกบอลเข้าไปอยู่ในวงกลมได้สำเร็จ Olli Loukola หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า “งานวิจัยก่อนๆ บอกว่า เราสามารถฝึกผึ้งได้หากเราให้พวกมันทำสิ่งที่คล้ายๆ กับพฤติกรรมตามธรรมชาติของพวกมัน แต่ล่าสุดเราได้แสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่า พวกเขาสามารถทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติอย่างกลิ้งลูกบอลได้” ในส่วนการทดลองนั้น พวกเขาได้บังคับให้ผึ้ง 10 ตัวดูการสอนกลิ้งบอลไปที่เป้าหมายซ้ำๆ จากนั้นพวกเขาก็ทดลองให้พวกมันลองทำ ผลคือ 9 ใน 10 ตัวทำได้สำเร็จ ขณะที่ผึ้งอีก 10 ตัว ที่ไม่ได้ดูการสอนมาก่อน ไม่สามารถทำได้สำเร็จแม้แต่ตัวเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ผึ้งตัวที่ทำเสร็จ เมื่อให้ทำใหม่อีกหลายๆ ครั้ง พวกมันก็ทำได้เร็วขึ้นกว่าเดิม ภายหลังพวกเขาได้ทำการทดลองอีกครั้ง ด้วยการจับผึ้งตัวที่ทำสำเร็จมาสอนผึ้งตัวอื่นๆ เหมือนกับเป็นคุณครูสอนลูกศิษย์ ผลปรากฎว่าอัตราความสำเร็จเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ …
-
นักวิจัยเผย ถ้าหากอยู่กับพ่อแม่นานๆ พวกเขาจะอายุยืนมากขึ้น ช่วยขจัดความเหงา…
บ่อยครั้งที่นักวิทยาศาสตร์มักจะค้นพบสิ่งใหม่ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจขึ้นมาอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (ลิงค์) ได้ค้นพบวิธีที่จะทำให้พ่อแม่ และผู้สูงวัยมีอายุที่ยืนยาว และทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น ซึ่งพวกเขาได้พบว่า ความเหงาเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คนเราแก่ไว และมีส่วนช่วยทำให้เสียชีวิตเร็วยิ่งขึ้น โดยทางนักวิทยาศาสตร์ได้พบว่า ผู้สูงวัยกว่า 1,600 รายในรัฐเดียวกัน จะมีอายุเฉลี่ยโดยประมาณ 71 ปี ซึ่งไม่ได้เกิดจากปัญหาสุขภาพ สถานะทางสังคม หรือเศรษฐกิจ แต่เกิดจากความเหงาต่างหากละ!! จากผลการวิจัยที่ได้ทำการค้นคว้ามามากกว่า 6 ปี พบว่า มีเพียงแค่ 14% ของผู้สูงอายุที่ญาติได้เดินทางไปเยี่ยมอยู่ตลอดเวลา จะมีอัตราการเสียชีวิตเพราะความเหงาน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้สูงอายุอีกกว่า 23% ที่ไม่มีญาติไปเยี่ยมเลย นอกจากนี้ ผู้สูงอายุอยากจะพูดคุยกับสมาชิกในครอบครัวของพวกเขามากขึ้น ในขณะที่ลูกหลานกลับพูดคุย หรือสื่อสารกับพวกเขาน้อยลง โดยทั่วไปแล้ว ผู้สูงอายุมักจะมีความอดทนกับข้อเสียของเพื่อน และญาติ พวกเขาพร้อมเสมอที่จะแบ่งบันประสบการณ์ และความรู้ให้กับคนรุ่นหลัง ตลอดจนมักจะบอกว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนควรหรือไม่ควรทำ ดังนั้น เราจึงต้องรีบเข้าไปขอคำแนะนำ รวมถึงพูดคุยกับพ่อแม่ และปู่ย่าตายายของเราให้มากขึ้น เพราะพวกเขาต้องการความรัก ความดูแล…
-
นักวิทย์วัย 102 ปี ผู้ขยันทำงานวิจัยทุกวัน จนมหาวิทยาลัยต้องสั่งห้าม ไม่ให้ไปทำงานที่ออฟฟิศ!!
ไม่มีใครแก่เกินทำงาน… เรื่องราวของคุณตา David Goodall สามารถพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าคำกล่าวที่ว่ามานี้เป็นความจริง คุณตา David Goodall วัย 102 ปี ที่มีความชื่นชอบในการทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมากและยังคงไม่หยุดทำงานแม้จะมีอายุล่วงเลยเข้าสู่หลักร้อยแล้วก็ตาม… คุณตา David ได้ทำงานวิจัยทางด้านนิวเวศวิทยามาแล้วมากกว่า 100 ชิ้น ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันเขาก็ยังคงทำงานให้กับทางมหาวิทยาลัยอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้รับเงินเดือนเลยก็ตาม ซึ่งคุณตาจะเดินทางไปยังมหาวิทยาลัย 4 วันต่อสัปดาห์ เพื่อไปตรวจสอบเอกสารทางวิชาการ และเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา คอยให้คำแนะนำแก่นักศึกษาระดับปริญญาเอก และสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดเป็นสิ่งที่เขารัก ก็เพื่อการทำงานวิจัยและการศึกษาหาองค์ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติมนั่นเอง Dr. David Goodall นั้นจบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากราชวิทยาลัย Imperial College ที่อยู่ในกรุงลอนดอน ปี 1941 จากนั้นก็เริ่มชีวิตในการเป็นนักวิจัยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งในปัจจุบันคุณตา David นั้นทำงานเป็นผู้ช่วยนักวิจัยกิตติมศักดิ์อยู่ที่มหาวิทยาลัย Edith Cowan University และทำงานอยู่ที่นี่มานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ภายหลังด้วยอายุที่มากแล้วและการเดินทางจากบ้านไปยังมหาวิทยาลัยนั้นก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 90 นาที…
-
เพิ่มความยากเข้าไปอีก!! IUPAC ประกาศชื่อธาตุใหม่ ‘Nihonium’ ค้นพบโดยชาวญี่ปุ่น
สำหรับเด็กสายวิทย์แล้วจะรู้กันดีว่าสิ่งที่หินที่สุดตอนเรียนก็คือการท่องจำ ‘ตารางธาตุ’ นี่แหละ ก็เล่นมีเป็นร้อยกว่าธาตุแถมแต่ละธาตุยังมีคุณสมบัติไม่เหมือนกันอีกใครจำได้หมดขอบอกเลยว่าเป็นยอดมนุษย์แล้วล่ะ ฮร่า และล่าสุด IUPAC (ที่เป็นระบบการเรียกชื่อสารประกอบที่นักเคมีได้จัดขึ้นและใช้กันแพร่หลายทั่วโลก) ได้ทำการประกาศธาตุใหม่ในลำดับที่ 113 อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!! เจ้าธาตุในลำดับที่ 113 นี้ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ทีมวิจัยของนาย Kosuke Morita จากสถาบันวิจัยแห่งชาติ Raiken ได้ตั้งชื่อมันว่า Nihonium หรือ นิโฮเนียม พร้อมอักษรย่อคือ Nh ซึ่งชื่อและอักษรย่อที่เพิ่งจะประกาศออกมานี้ทาง IUPAC ต้องใช้เวลาพิจารณานานถึง 5 เดือนเลยทีเดียว โดยสาเหตุที่ตั้งชื่อนี้ก็เพราะว่าตั้งใจให้มีกลิ่นอายของความเป็นเอเชียอยู่ด้วย ทางด้านคุณ Morita นั้นก็ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เขาและทีมวิจัยรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากที่มีธาตุเคมีที่ถูกค้นพบโดยคนเอเชียไปปรากฏอยู่บนตารางธาตุ ถือเป็นการแสดงให้เห็นว่าชาวเอเชียก็ทำได้เช่นกัน เจ้าธาตุ Nihonium หรือมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า Ununtrium นี้เป็นธาตุหนักที่สุดในตารางธาตุ มีช่วงครึ่งชีวิตที่สั้นมากเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น และจะแปรสภาพไปเป็นธาตุชนิดอื่น นอกจากนี้เองก็มีการเพิ่มลำดับธาตุใหม่เมื่อช่วงปี 2558 ที่ผ่านมา คือลำดับที่ 113, 115,…
-
ซี๊ดอาห์…นักวิทย์ฯ ค้นพบ “ต้นกัญชา” ในหลุมศพมนุษย์โบราณ ช่วยยืนยันว่าเราคุ้นเคยกับมันดี
ยังคงมีเรื่องราวในอดีตอีกมากมายที่ไม่มีการค้นพบหรือไม่ถูกหยิบยกมานำเสนอ ซึ่งแต่ละเรื่องนั้นก็ชวนให้คนในยุคปัจจุบันได้เรียนรู้ว่าในสมัยก่อนเกิดเรื่องอะไรกันบ้าง หรือมีความเป็นอยู่อย่างไร เมื่อไม่นานมานี้ได้มีรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศว่านักโบราณคดีชาวจีน Hongen Jiang และทีมงานได้ค้นพบหลุมศพของชายผิวขาวในเมืองโบราณเต๋อป่าน เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ในหลุมศพนั่นพวกเขาพบโครงกระดูกมนุษย์นอนอยู่ในนั้นบนเตียงไม้และหมอน แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ มีต้นกัญชาขนาดยาวเกือบ 1 เมตรถูกฝังไว้กับเขาด้วยถึง 13 ต้น การค้นพบครั้งนี้จึงเป็นการยืนยันถึงทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์เคยตั้งเอาไว้ว่า กัญชาเป็นสิ่งที่มอบความบันเทิงให้แก่ชาวยูเรเซียมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนทวีปยูเรเซีย ที่เกิดจากทวีปยุโรปและเอเชียอยู่ติดกันเมื่อสมัยหลายล้านปี) มีการวิจัยและการศึกษามานานแล้วว่ากัญชานั้นช่วยในเรื่องของระบบประสาทและสามารถเป็นยารักษาโรคได้ นี่จึงพออนุมาณได้ว่ามนุษย์เราเริ่มรู้จักและใช้กัญชามาตั้งแต่สมัยอดีตแล้วนั่นเอง เพื่อนกัญ เพื่อนตายตลอดไปปปปป ที่มา distractify
-
ลองไหมล่ะ!? นักวิทย์ค้นพบ “นมแมลงสาบ” สุดยอดอาหาร ที่มีประโยชน์กว่านมวัว 4 เท่า!?
แค่พาดหัวมาก็สยองจนขนลุกแล้วใช่ไหมล่ะ แต่เราขอยืนยันว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีนักวิทยาศาสตร์จากอินเดียทำการวิจัยเกี่ยวกับแมลงสาบ ยังไม่พอนะ… การวิจัยดันค้นพบว่ามีแมลงสาบบางสายพันธุ์ที่มีนมและให้คุณประโยชน์มากโขเลย!? เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Dailymail ได้เปิดเผยว่ากลุ่มนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยจากสถาบันชีววิทยาสเตมเซลและการปฏิรูปทางการแพทย์ในอินเดีย ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับนมแมลงสาบสายพันธุ์ Diploptera แม้ว่ามันจะไม่ใช่นมสีขาวๆ แบบที่เราคุ้นเคย แต่มันก็ถือเป็นนมที่แมลงสาบผลิตขึ้นเพื่อใช้เลี้ยงลูกล่ะนะ มันจะสร้างผลึกโปรตีนขึ้นมาเพื่อให้อาหารกับลูกน้อยตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง เมื่อศึกษาเจ้านมตัวนี้ดีๆ แล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ามันให้คุณประโยชน์มากกว่านมทั่วๆ ไปถึง 4 เท่า!! หนึ่งในผู้ร่วมโครงการวิจัยครั้งนี้อย่าง Sanchari Banerjee ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “ผลึกนั่นให้สารอาหารที่ครบถ้วน มันมีโปรตีน ไขมันและน้ำตาลครบเลย ถ้าคุณมองลึกลงไปในโปรตีน คุณจะพบว่ามันมีกรดอะมิโนอยู่ด้วย” ในอนาคตเราอาจจะต้องพึ่งพาแหล่งโปรตีนใหม่ๆ แบบนี้ก็ได้ เพราะพวกมันเป็นก็เป็นแมลงที่มีความทนทานสูงมากชนิดหนึ่งเลย ปัญหาอยู่ที่ว่า…คุณพร้อมจะลองกินดูไหมล่ะ? ที่มา dailymail
-
นักวิทยาศาสตร์เผยสภาพโลกอีก 30 ปีข้างหน้า สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตผู้คน น่าจะเป็นแบบนี้แหละ
เพื่อนๆ เคยนึกกันบ้างไหมว่าในอนาคตอันใกล้นี้โลกของเราจะเป็นอย่างไร?? สำหรับวันนี้เราก็มีการคาดเดาของหนึ่งในนักอนาคตวิทยาที่มีเปอร์เซ็นต์การทายอย่างแม่นยำมาตลอดถึง 85% อย่าง Ian Pearson มาฝากกันแหละ และนี่คือเรื่องราวในโลกอนาคตจากมุมมองของเขาล่ะ!!! โลกในปี 2045 สำหรับการวิจัยและค้นคว้านี้จัดทำขึ้นโดย Pearson กับ Hewden บริษัทให้เช่าอุปกรณ์เครื่องยนต์สำหรับก่อสร้างขนาดใหญ่ และนี่คือโลกของเราในอนาคต 30 ปีหลังจากนี้ที่พวกเค้าคาดคะเนไว้… สิ่งก่อสร้างต่างๆ จะมีระบบตอบรับเหมือน Siri เป็นของตัวเอง ที่สามารถมีปฏิสัมพันธ์และช่วยเหลือผู้อยู่อาศัยได้ (ถ้าใครนึกภาพไม่ออกให้นึกถึงโปรแกรม Red Queen ในผีชีวะนั่นแหละ) เพราะความต้องการพื้นที่อยู่อาศัยที่มากขึ้น ตึกในแต่ละตึกนั้นจะสูงชะลูดจนเสียดฟ้า และทำหน้าที่เหมือนเมืองๆ หนึ่งเลยทีเดียว ทุกๆ อย่างจะมีครบภายในตึกเดียวทั้งร้านอาหาร สำนักงานต่างๆ แน่นอนว่าการที่มีตึกสูงชะลูดวิวทิวทัศน์ต่างๆ ก็จะหายไปหมด ในส่วนของหน้าต่างก็จะถูกแทนที่ด้วยโปรแกรมภาพเสมือนแทน โลกจะพึ่งพาพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น จนสามารถมีสเปรย์สำหรับพ่นใส่สิ่งของต่างๆ ให้มีความสามารถในการดูดกลืนแสงอาทิตย์เพื่อนำมาสร้างพลังงานกันได้เลยทีเดียว สถานที่ต่างๆ ในตึกนั้นจะปรับแสงและอุณหภูมิให้แบบออโต้ในทุกพื้นที่ๆ เราเดินไป ที่สำคัญจะปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับร่างกายของคุณขณะนั้นๆ ด้วย เหล่าคนงานก่อสร้างจะมีอุปกรณ์เสริมแรงที่สามารถป้องกันและทำให้พวกเขายกของหนักๆ ได้ ส่วนงานที่มีความอันตรายสูงนั้น จะถูกตัดออกและส่งงานไปให้หุ่นยนต์ทั้งหมด…
-
การทำงานของทีมนักวิทยาศาสตร์ NASA ปี 1961 คำนวณด้วย ‘มือ’ ยุคที่ยังไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้
มาย้อนยุคกันหน่อยดีกว่า อิอิ ในสัมยก่อนที่การใช้คอมพิวเตอร์ยังไม่แพร่หลายมากนักหรือยังไม่มีนั้น แน่นอนว่าคงไม่มี Microsoft Powerpoint ไว้นำเสนอเรื่องราวต่าวๆ ให้คนได้เข้าใจกันง่ายๆ หรอกใช่มั้ยล่ะ ฮ่าๆๆ ยิ่งองค์กรใหญ่ๆ อย่าง NASA ที่ต้องส่งคนขึ้นไปบนอวกาศหรือปล่อยยานอวกาศนั้น แน่นอนว่าการนำเสนอต้องยิ่งใหญ่กว่าเป็นธรรมดา กระนั้น พวกเขาก็มีเพียงสมอง สองมือ หยาดเหงื่อ ชอล์ก และกระดานดำเท่านั้นล่ะในการทำงานของพวกเขา กับโจทย์คณิตศาสตร์และการคำนวนสุดหยั่งถึงที่ยากและยาวสุดๆ ภาพเหล่านี้ถูกถ่ายไว้เมื่อราวๆ ปี 1961 ที่อะไรต่อมิอะไรยังไม่สามารถหาได้โดยการค้นจาก Google อยากทราบอะไรก็ต้องริเริ่ม คำนวนกันเอาเองทั้งหมด สมัยก่อนคำว่า ‘Computer’ นั้น ไม่ได้แปลว่าคอมพิวเตอร์อย่างที่เรารู้กันในทุกๆ วันนี้หรอกนะจ๊ะ แต่เป็นชื่อของตำแหน่งที่คนจริงๆ เข้าไปทำ นั่นก็คือหน้าที่คิดคำนวณสมการต่างๆ ด้วยมือ และแน่นอนต้องทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อให้เกิดความรอบคอบมากที่สุด แถมภายในช่วงนั้นที่ไล่เลี่ยกัน พวกเขายังสามารถส่งนักบินอวกาศคนแรกขึ้นไปยังอวกาศได้ด้วยล่ะ!!! เห็นแบบนี้แล้วนับถือในความพยายามของพวกเขาจริงๆ เพราะแค่สมการแรก #จ่าสิบเหมียว ก็ตายสนิทแล้ววว T^T ที่มา: Boredpanda, rarehistory
-
ผลสำรวจทางวิทย์ฯ ระบุ การใช้กัญชาไม่ทำให้ IQ และผลการเรียนลด แต่บุหรี่ทำ!!!
งานวิจัยใหม่อีกแล้วล่ะครับผ๊มมมมมม สำหรับงานนี้ ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าไม่ได้โม้มาคุยนะเออ มีการเก็บข้อมูลและสถิติตามระบบวิทยาศาสตร์มาแล้วล่ะ ลองมาฟังดูกัน งานวิจัยใหม่ชี้ว่า การสูบกัญชานั้น ไม่ได้ทำให้ไอคิวของผู้สูบลดลงแต่อย่างใด แต่ในทางตรงกันข้าม การสูบบุหรี่กลับทำให้ไอคิวลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ!!! ไอคิวลด!!? สำหรับงานวิจัยนี้ก็เก็บข้อมูลจากประชากรของเด็กจำนวนทั้งหมด 2,235 คน ที่ใช้ทั้งกัญชาและบุหรี่ในวัย 15 ทำการเก็บข้อมูลไว้ และมาเก็บผลการทดสอบไอคิวอีกครั้งในอายุ 16 ปี ในวารสารวิทยาศาสตร์ Psycopharmacology นักวิจัยกล่าวว่า ‘จากการทดลองและเก็บข้อมูลทั้งหมดพบว่า ผู้ที่ใช้กัญชามีโอกาสน้อยกว่าถึง 50 เท่าจากบุหรี่เลยทีเดียว คือแทบจะไม่ต่างจากผู้ไม่สูบเลยล่ะ’ แต่ในขณะที่การสูบบุหรี่ ทำให้ไอคิว และความสามารถในการเรียนลดลง… กัญชา vs. บุหรี่ แต่จะว่าไปแล้วเหมียวคิดว่าไม่ใช้นะจ๊ะ ดีที่สุดแล้วล่ะ เพราะเสียสุขภาพทั้งสองอันเลย หันมาออกกำลังกาย ทานอาหารที่ดี รับรองสุขภาพของเราจะดี และเรียนได้อย่างเต็มที่แน่นอนจ้าาา ที่มา: Metro
-
นักวิทย์ฯ เผย การตัดชิ้นพิซซ่าของเราทุกวันนี้ เป็นการทำแบบ ‘ผิดวิธี’ มาโดยตลอด!!!
ห๊ะ!!! อะไรนะ!!? จะบอกว่าเราทำสิ่งนี้ สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นความสุขอย่างนึงของชีวิตมนุษย์ผิดมาตลอดเลยเหรอเนี่ย กับการตัดชิ้นพิซซ่ากินกันเนี่ย!!! อื้มมมม ถูกต้องแล้วล่ะ เพราะวันนี้เหมียวจะมาบอกว่า พวกมนุษย์น่ะ ทำผิดมาตลอดเลยทีเดียวเชียว!!! ตามหลักการคำนวนทางคณิตศาสตร์จาก University of Liverpool ประเทศอังกฤษ… นี่เราตัดพิซซ่าแบบผิดวิธีมาตลอดเลยเหรอเนี่ย!!? การที่จะทำให้เพื่อนๆ ทุกคนพึงพอใจในการรับประทานพิซซ่าโดยพร้อมเพรียงกันนั้น แน่นอนว่าต้องหั่นให้เป็นชิ้นเท่าๆ กันแบบเพอร์เฟ็คต์ จะได้ไม่รู้สึกน้อยใจกัน แต่ประเด็นคือ ไม่มีครั้งไหนเลยที่เราจะหั่นได้แบบนั้น!!! ความสุขในการกิน อื้มมมมมมม… เพราะอะไรน่ะเหรอ?? ก็เพราะว่าเราหั่นแบบผิดวิธี ผิดรูปแบบ ผิดรูปร่างกันอยู่น่ะสิ!!! ตามหลักที่นักคณิตศาสตร์เค้าคำนวนกันมาอ่ะนะ เพราะที่จริงแล้วการจะตัดชิ้นพิซซ่าให้ได้เท่ากันนั้น เราต้องตัดกันในรูปทรงนี้… ในรูปทรงที่ค่อนข้างจะแปลกตาไปหน่อย แต่การันตีได้เลยว่าทุกคนจะได้ชิ้นพิซซ่าที่เท่ากัน ไม่ได้มาอ้างเฉยๆ นะจ๊ะ เพราะเรื่องนี้เป็นงานวิจัยทางคณิตศาสตร์ของ Joel Haddley และ Stephen Worsley ที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร ‘Infinite families of monohedral disk tilings.’ เลยล่ะ และถ้ามีคนกินด้วยมากขึ้นก็ใช้รูปแบบนี้… …
-
จริงดิ!? นักวิทยาศาสตร์เผย การคุยกับตัวเอง เป็นนิสัยของคนอัจฉริยะ ช่วยให้ความจำดีกว่าปกติ!?
เชื่อว่าหลายคนคงจะเคยพูดกับตัวเองอยู่บ่อยๆ พูดในเวลาที่อยู่คนเดียว จนบางครั้งบางคนเริ่มสงสัยว่าตัวเองบเพี้ยนไปหรือเปล่า แต่คุณวางใจได้นะ เพราะล่าสุดมีการเผยงานวิจัยของนักวิทยาศาตร์ต่างประเทศ ที่บอกว่าการคุยกับตัวเองบ่อยๆ นั้นเป็นนิสัยส่วนหนึ่งของอัจฉริยะล่ะ งานวิจัยที่ว่านี้เป็นของนักจิตวิทยาที่ชื่อนาย Gary Lupyan เขาได้เชิญอาสาสมัคร 20 คน มาทำการทดลอง โดยการโชว์สินค้าต่างๆ จากซุปเปอร์มาร์เก็ตให้พวกเขาดู โดยกลุ่มอาสาสมัครครึ่งหนึ่งอ่านทวนชื่อสินค้าต่างๆ กับตนเอง แต่อีกครึ่งหนึ่งไม่ได้ทำ ผลการทดลองพบว่ากลุ่มที่ท่องจำออกเสียงนั้นสามารถบอกได้ว่าสินค้าไหนเป็นอะไร ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งบอกไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าการพูดกับตัวเองช่วยให้เราจดจำและหาของได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้นาย Gary กล่าวว่าเขามักจะชอบพูดคุยกับตัวเองเป็นประจำ เวลาที่ทำกิจกรรมต่างๆ มันทำให้สมองปลอดโปร่งมากขึ้น ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์และทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม แม้แต่ในขณะที่เขาเขียนบทความนี้ขึ้น เขาก็ยังพึมพำกับตัวเองอยู่เลย งานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่าเมื่อคุณพูดคุยกับตัวเอง มันจะทำให้กลไกในร่างกายถูกปลุกขึ้น ทำให้จดจำสิ่งต่างๆ ได้ง่ายกว่าเดิม ทำให้คุณเห็นภาพและนึกออก นอกจากนี้การคุยกับตัวเองยังช่วยให้มีสมาธิมากขึ้นด้วย เพราะเมื่อคุณตามหาสิ่งของอย่างเช่น กล้วย เมื่อคุณพูดชื่อหรือลักษณะมันออกมา มันจะทำให้คุณเห็นภาพและรู้ว่ากล้วยมีลักษณะเป็นอย่างไร ทำให้คุณจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นตลอดเวลา นอกจากนี้นาย Gary ยังแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังมีความโกรธจนอยากจะฆ่าใครสักคนว่า ให้ลองขังตัวเองอยู่ในห้องและพูดคุยกับตัวเองให้มากๆ โดยการระบายความโกรธในจิตใจของคุณออกมา มันจะทำให้จิตใจของคุณสงบลงและคิดได้ว่าการคิดฆ่าใครสักคนเป็นเรื่องที่งี่เง่ามาก …