Tag: นาซี
-
รู้จักกับ Ghost Army กองกำลังผีไร้ตัวตน ใช้กลยุทธ์ลวงนาซี ไม่ต้องพึ่งไสยศาสตร์…
ท่ามกลางความสูญเสียในสงครามโลกครั้งที่ 2 การบุกตามตำแหน่งในพื้นที่ต่างๆ ของฝ่ายพันธมิตร จะเจาะเข้าดินแดนศัตรูที่ต้องเน้นจำนวนกำลังพลเข้าสู้ ยิ่งทำให้สูญกำลังและพลังใจในการรบยิ่งกว่าเดิม ในปี 1944 ฝ่ายพันธมิตร ได้จัดตั้งกองกำลัง Ghost Army กองพลทหารไร้ตัวตน ที่มีเพียงแค่รถถังลมและอากาศยานบรรทุกปลอมๆ ใช้ลวงฝ่ายนาซีเยอรมันในภารกิจลาดตระเวน การที่สามารถยกกองกำลังเข้าบุกนอร์มังดีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สำเร็จนั้น จะขาดกองกำลังที่ไม่มีตัวตนนี้ไปไม่ได้ เพราะ Ghost Army ช่วยหลอกล่อฝ่ายเยอรมันให้ย้ายแนวป้องกันไปยังทิศอื่น ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด คือการบุกเข้ายึดนอร์มังดี และต้องใช้กองทหารมากถึง 1 ล้านนายจากทั้งหมด 5 ประเทศพันธมิตร ปฏิบัติการระดับใหญ่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และทางฝ่ายพันธมิตรต่างรู้ดีว่าจะสำเร็จได้ต้องใช้ทั้ง กึ๋น ความกล้าหาญ และการหลอกล่อ… ทางด้าน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้คาดการณ์ถึงการบุกตามแนวชายฝั่งและทางอากาศจากฝั่งประเทศอังกฤษ เลยมอบหน้าที่ให้นายพล แอร์วิน รอมเมิล ทำการตั้งรับไปสร้างป้อมปืน บังเกอร์ แนวอุปสรรคป้องกันรถถัง รวมถึงท่อนไม้โยงสายกว่าล้านท่อนป้องกันพลร่มที่จะเคลื่อนพลสู่ภาคพื้นดิน โชคดี…
-
อีกมุมของประวัติศาสตร์ ชีวิตของ ‘คนผิวสี’ ในเยอรมนี กับยุคที่ ‘นาซี’ เรืองอำนาจ
ในยุคที่นาซีเรืองอำนาจ ‘ชาวยิว’ ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แล้วเพื่อนๆ เคยสงสัยกันมั้ยล่ะว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ‘คนผิวสี’ ในประเทศเยอรมันบ้าง? เหล่านาซีจะทำอย่างไรกับพวกเขาในฐานะที่เป็นพลเมืองชั้นสอง ที่มักจะถูกกดขี่อยู่เสมอสำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว มีข้อมูลมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน จะเป็นอย่างไรไปรับชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… ในช่วงยุค 1930 ประเทศเยอรมนีมีประชากรคนผิวสีไม่มากนัก เพียงแค่หลักไม่กี่พันคนเท่านั้นเอง หรือหากจะเทียบเป็นจำนวนเปอร์เซนต์แล้วล่ะก็พวกเขามีเพียงแค่ 1 เปอร์เซนต์จากประชากรทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นลูกหลานของทหารฝรั่งเศส-แอฟริกันที่ประจำอยู่บริเวณริมแม่น้ำไรน์ ทางตะวันตกของประเทศเยอรมนี เด็กผิวสีเหล่านี้มักจะถูกกดขี่โดยนาซี พวกเขาตั้งชื่อให้กลุ่มคนผิวสีเหล่านี้ว่า ‘Rhineland Bastards’ หรือ ‘ไอ้งั่งที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำไรน์’ กลุ่มคนผิวสีทั้งหลายเหล่านี้จะถูกบังคับให้ทำหมันตั้งแต่อายุยังน้อย รวมไปถึงตั้งกฎหมายขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน โดยที่คนผิวสีจะอยู่ในระดับเดียวกับชาวยิวและชาวโรมาเนีย และเมื่อประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว คนผิวสีถูกกีดกันจากการจ้างงาน การเป็นเจ้าของที่ดิน และการศึกษา เรียกได้ว่าการใช้ชีวิตในประเทศเยอรมนีของพวกเขานั้นคือการตกนรกทั้งเป็นก็ไม่ปาน แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ดิ้นรนจนได้เข้ารับการศึกษาในโรงเรียน แต่ก็จะถูกกลั่นแกล้ง บางส่วนก็ถูกจับไปไว้ในค่ายกักกันเพียงเพราะสีผิวของพวกเขา บ้างก็ถูกจับเข้าคุกเพราะมีผิวสีดำ เป็นต้น เช่นเดียวกันกับชีวิตของนาย Hans Massaquoi ที่เป็นชาวผิวสี เขาเกิดในปี 1926 ที่เมืองฮัมบูร์ก มีพ่อเป็นชาวไลบีเรียและแม่เป็นชาวเยอรมันผิวขาว เขาต้องการที่จะเข้าร่วมกับฮิตเลอร์เช่นเดียวกันกับเด็กเยอรมันคนอื่นๆ…
-
รวม 19 ภาพย้อนรอยประวัติศาสตร์สุดสลด กลุ่มนาซีสังหารโหดชาวโปแลนด์
เมื่อเรานึกถึงกลุ่ม Nazi ที่นำโดย Adolf Hitler เราก็คงนึกถึงสิ่งเลวร้ายที่พวกเขาเคยทำกับมวลมนุษยชาติเอาไว้ ซึ่งสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวจำนวนกว่า 6 ล้านชีวิตทั่วยุโรป แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด เนื่องจากโดยรวมแล้วศัตรูที่กลุ่มนาซีได้สังหารลงไปในสนามรบนั้นมีจำนวนประมาณ 11 ล้านคนต่างหาก ซึ่งหนึ่งในกลุ่มผู้โชคร้ายที่ไม่ใช่ชาวยิวนั้นก็คือพลเมืองชาวประเทศโปแลนด์ ในตอนที่กลุ่มนาซีนั้นได้ทำการสังหารและยึดครองโปแลนด์ภายใต้แนวคิดแบบ Lebensraum ซึ่งเป็นนโยบายและแนวทางปฏิบัติของลัทธิล่าอาณานิคมตั้งถิ่นฐาน โดยการที่กลุ่มนาซีรุกรานประเทศโปแลนด์ในปี 1939 นั้นก็เพื่อหวังที่จะกำจัดชาวโปแลนด์และชาวสลาฟจำนวนนับสิบล้านคนที่อาศัยอยู่ในทวีปยุโรปตะวันออก เพื่อที่จะตั้งถิ่นฐานสำหรับคนสายเลือดเยอรมันบริสุทธิ์ รูปภาพอันน่าเศร้าสลดเหล่านี้ถูกถ่ายภายในสลัมของชาวยิวที่สร้างขึ้นโดยพวกนาซีในช่วงสังหารหมู่ ซึ่งเป็นภาพที่ค่อนข้างรุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม พลเมืองชาวโปแลนด์ 6 คนยืนเรียงกันต่อหน้าพลปืนของนาซี ทหารนาซีกำลังจะยิงชายผู้หนึ่งในช่วงสังหารหมู่ Piaśnica Kazimiera Mika เด็กหญิงชาวโปแลนด์วัย 12 ขวบกำลังร่ำไห้กับการสูญเสียพี่สาว Andzia ที่ถูกสังหารระหว่างช่วงที่โดนบุกรุกทางอากาศ ทหารนาซีกำลังล้อเลียนผู้นับถือนิกายคาทอลิกภายในโบสถ์ของชาวโปแลนด์ มือของเหยื่อที่ยื่นออกมาจากเตาเผาในค่ายกักขังที่สร้างมาเพื่อขังและสังหารหมู่ชาวโปแลนด์ Czesława Kwoka เด็กหญิงชาวโปแลนด์ ผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกวัย 14 ขวบที่ถูกส่งไปยังค่าย Auschwitz ภาพนี้ถูกถ่ายเมื่อเธอถึงที่ค่ายและกำลังจะถูกเจ้าหน้าที่ทุบตีด้วยไม้ เธอเสียชีวิตในค่ายเมื่อปี 1943 ทหารนาซีทำการประหารชาวโปแลนด์ที่เป็นสมาชิกองค์กรใต้ดินจำนวน 56…
-
ศิลปินสร้างสีสันให้ภาพเด็กสาวที่ถูกถ่ายใน ‘ค่ายเอาชวิทซ์’ กับความโหดร้ายที่เธอพบเจอ
ว่ากันว่าภาพเก่าๆ หากนำมาแต่งแต้มให้มีสีสันจะช่วยให้ภาพเหล่านั้น สามารถแสดงให้เห็นถึงความรู้สึก และอารมณ์ของภาพได้มากกว่าเดิม และนี่เองก็เป็นเรื่องราวที่สามารถพิสูจน์ชี้ชัดว่าเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นความจริง!! ศิลปิน Marina Amaral ได้ทำการแต่งแต้มสีสันให้กับรูปภาพของ Czeslawa Kwoka เด็กสาววัย 14 ปี ชาวโปแลนด์ ที่ตกเป็นนักโทษถูกกักขังอยู่ในค่ายกักกันเอาชวิทซ์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่ภาพดังกล่าวถูกแต่งเติมสีสันให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ก็พบว่าภาพนั้นมันช่างดูหดหู่เหลือเกิน เผยให้เห็นถึงความเลวร้ายที่เธอต้องเผชิญมาจากค่ายกักกัน ที่เรียกได้ว่าเป็นนรกบนดินก็ไม่ปาน “มันยากมากที่จะจ้องมองที่ใบหน้าของเธอเป็นเวลานานๆ โดยที่รู้ว่าสิ่งที่เธอพบเจอนั้นมันหนักหนาสาหัสแค่ไหน แม้ว่าการจ้องมองนั้นจะเป็นการมองไปที่ภาพของเธอก็ตาม” Amaral กล่าว “ฉันต้องการให้ Czeslawa ได้รับโอกาสในการบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งอาจจะมีเรื่องราวของผู้คนอีกมากมายที่ตกเป็นเหยื่อในค่ายกักกันเอาชวิทซ์” “ซึ่งมันก็ง่ายมากๆ เพียงแค่เราเปลี่ยนภาพของพวกเขาให้มีสีสันขึ้นมา เราก็รับรู้ได้เลยว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ลองจินตนาการดูว่ายังมีคนอีกมากมายนับล้านคนที่ต้องประสบพบเจอกับความโหดร้ายแบบนี้ แต่ก็ไม่สามารถรอดชีวิตออกมาได้” “จากภาพเราจะเห็นถึงรอยฟกช้ำของเธอ มีรอยตัดอยู่ที่บริเวณปาก และเลือดที่เปื้อนใบหน้า ความโหดร้ายทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพียงเพราะคำพูดที่ชักจูงให้เกิดความเชื่อในทางที่ผิดๆ เท่านั้น” ภาพดั้งเดิมนั้นถ่ายโดยช่างภาพ Wilhelm Brasse เป็นช่างภาพที่มีชื่อเสียงและเขาก็เป็นคนที่ติดตามและเก็บภาพของค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ ตอนที่มีชีวิตอยู่เขาได้เล่าถึงภาพใบนี้ว่า “ผมจำภาพของเด็กหญิงนักโทษคนหนึ่งได้ เพราะเธอดูเด็กมาก แต่ก็มีแววตาที่โกรธเกรี้ยว” “เมื่อเธอเดินทางมาถึงที่ค่าย เธอไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าผู้คนที่นี่พูดอะไรกับเธอบ้าง…
-
เปิดประวัตินาซี เคยฝึกสุนัขให้พูด อ่านและสะกดเป็นภาษามนุษย์ หวังชนะสงครามโลก!?
ใครจะเชื่อว่าครั้งหนึ่งชาวเยอรมันจะเคยมีความคิดเรื่องการเอาชนะสงคราม ด้วยสุนัขแสนรู้ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อมีงานวิจัยเผยออกมาว่า ชาวเยอรมันนั้นเชื่อว่าสุนัขเองก็มีสติปัญญาไม่ต่างไปจากมนุษย์ และยังพยายามที่จะสร้างกองกำลัง “สุนัขพูดได้” ที่น่าขนลุกขึ้นมาอีกด้วย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำชาวเยอรมันแห่ง พรรคนาซี เกิดความหวังขึ้นมาสุนัขจะสามารถเรียนรู้การสื่อสารกับทหารผู้ฝึกสอนมันได้ยิ่งไปกว่านั้นเขายังถึงกับสร้างโรงเรียนพิเศษสำหรับสอนสุนัขพูดโดยเฉพาะ จากนั้น เจ้าหน้าที่ของนาซีจึงทำการเฟ้นหาสุนัขแสนรู้ที่ได้รับการฝึกมาแล้ว ทั่วทั้งเยอรมัน และนำมาฝึกสอนการพูดและการสื่อสารโดยใช้อุ้งเท้าของพวกมัน สุนัขพันธุ์ผสมตัวหนึ่ง เมื่อถูกถามว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ คือใคร มันสามารถตอบได้ว่า “Mein Fuhrer” ที่แปลว่า ผู้นำของฉัน ส่วนสุนัขตัวอื่นๆ ก็สามารถใช้อุ้งเท้าแตะตัวอักษรต่างๆ เพื่อสื่อสารได้ และยังเชื่อว่าพวกมันสามารถเรียนรู้ศาสนาและบทกลอนได้อีกด้วย ทั้งนี้ ชาวเยอรมันเองก็มีแผนที่จะใช้สุนัขเหล่านี้ในสงคราม เช่น ทำงานร่วมกับทหารของฮิตเลอร์ และคอยเปลี่ยนเวรกับทหารเฝ้ายาม การทดลอง Wooffan SS ของ Dr. Jan Bondeson นักวิชาการจาก มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับงานวิจัยเกี่ยวสุนัขหลังจากที่เขาทุ่มเททดลองมาแสนนาน และเขาก็ยังมาเยือนกรุงเบอร์ลินเพื่อสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับสุนัขเพื่อเขียนหนังสือโดยเฉพาะอีกด้วย หนังสือที่ Dr. Bondeson เขียนขึ้นมาชื่อว่า Amazing Dogs: A Cabinet of…
-
พบกับ 7 การทดลองอันสยดสยองที่เคยเกิดขึ้นบนโลกในอดีต ช่างน่าหดหู่ใจซะจริงๆ
(บทความนี้อาจมีภาพที่มีเนื้อหารุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม) ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโลกของเราในอดีตนั้น เคยมีความโหดร้ายเกิดขึ้นอย่างมากมายเพียงใด และยิ่งในช่วงที่เกิดสงครามขึ้นแล้ว การบาดเจ็บล้มตายรวมถึงการจับเชลยมาใช้แรงงาน ถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่เราสามารถเห็นได้ในทุกวันในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ แต่ว่าก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่อาจดูรุนแรงและวิปริตในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือการทดลองต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยสงคราม วิธีการทดลองนี้ส่วนมากก็จะใช้เหล่าเชลยศึกเป็นเหยื่อในการทดลอง ซึ่งมันก็ได้สร้างความทรมานใจให้แก่ผู้พบเห็นอย่างเราๆ เป็นอย่างมาก และนี่คือ 7 การทดลองสยองโลก ที่ว่ากันว่ามีความอำมหิตที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งมันจะน่ากลัวขนาดไหน รวมทั้งมีวิธีการอย่างไรบ้าง เชิญชมพร้อมๆ กันได้ ณ บัดนี้ 1. การทดลองเย็บเด็กให้กลายเป็นแฝดตัวติดกัน นี่เป็นหนึ่งในการทดลองของระบบนาซี ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Dr. Josef Mengele เกิดสนใจในการทำฝาแฝดขึ้นมา เขาจึงได้ทำการทดลองโดยใช้เด็กกว่า 1,500 คู่ในการทดลองครั้งนี้ และเมื่อถึงค่ายกักกันก็ปรากฏว่ามีเด็กที่สามารถรอดชีวิตเพียง 200 คู่เท่านั้น วิธีการทดลอง ในการทำแฝดสยามนั้น ทีมการทดลองนี้จะนำเด็กสองคน นำมาควักอวัยวะภายในบางอย่างออก จากนั้นก็จะเย็บให้ตัวติดกัน โดยเด็กๆ ส่วนมากจะเสียชีวิตจากการติดเชื้อ การทดลองนี้จึงสามารถบอกได้ถึงความโหดร้ายของนาซีได้เป็นอย่างดี 2. การทดลองเปลี่ยนสีตา การทดลองเรื่องนี้ก็เป็นของนาซีอีกเช่นเดียวกัน โดยการเปลี่ยนสีตาที่ว่านี้ มักจะใช้ผู้ทดลองเป็นชาวยิวเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าพวกเขาเป็นเชลยศึกที่ถูกจับมานั่นเอง…
-
‘เลเบนส์บอร์น’ โครงการลับขยายเผ่าพันธุ์ชาวอารยัน ที่นาซีอยากให้อยู่บนโลกสืบไป!!
ถ้าหากใครที่เป็นแฟนๆ ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ล่ะก็คงจะคุ้นชินกับเรื่องราวของนาซีกันเป็นอย่างดี นอกเนื่องจากแนวคิดแบบชาตินิยมสุดโต่งแล้ว พวกเขายังมีโครงการที่ตั้งเป้าหมายจะผลิตชนชาติในอุดมคติอย่างเชื้อสายอารยันอีกด้วย!! ในช่วงนาซีเรืองอำนาจนั้น คำว่าอารยันถูกใช้เป็นคำเรียกแทนต้นกำเนิดของชาวเยอรมัน ซึ่งผู้นำของพวกเขาเชื่อว่าเป็นเชื้อชาติที่บริสุทธิ์และยิ่งใหญ่กว่าเชื้อชาติอื่นๆ แน่นอนว่าผู้นำมีความคิดแบบนี้ นั่นจึงเป็นที่มาของสมาคมจดทะเบียนเลเบนส์บอร์น โครงการของหน่วย SS ที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาล เพื่อมุ่งเน้นการเพิ่มอัตราการเกิดของเด็กเชื้อสายอารยัน ศูนย์เลเบนส์บอร์นมีหน้าที่ในการคัดเลือกเด็กๆ ที่มีเชื้อสายอารยันบริสุทธิ์เพื่อให้เป็นไปตามการสร้างชาติของพรรคนาซี โดยจะมีการส่งเสริมและมอบสวัสดิการให้กับหญิงสาวที่ไม่ได้แต่งงาน และสนับสนุนให้พวกเธอตั้งท้อง เด็กที่คลอดออกมานั้นจะถูกส่งให้กับคนที่พวกเค้าเชื่อว่าเป็นเชื้อสายบริสุทธิ์อย่างสมาชิกในหน่วย SS ส่วนหญิงคนไหนที่ให้กำเนิดเด็กที่มีเชื้อสายอารยัน ก็จะได้รับเหรียญตรากางเขนแห่งเกรียติยศของแม่เยอรมัน นอกจากนี้ การทำแท้งเด็กที่พิการนั้นก็ยังถือเป็นเรื่องถูกกฎหมายอีกด้วย เพราะพวกเขาไม่อยากให้เด็กอารยันที่เกิดมา มีสภาพไม่สมบูรณ์แบบ ภาพของเหรียญตรากางเขนแห่งเกรียติยศของแม่เยอรมัน สถานรับเลี้ยงเด็กของสมาคมดังกล่าวถูกก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1936 ที่หมู่บ้าน Steinhöring หมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองมิวนิค ก่อนที่จะแพร่ขยายไปทั่วยุโรปในประเทศที่ถูกทหารนาซีรุกราน (สถานรับเลี้ยงเด็กเลเบนส์บอร์นนอกประเทศแห่งแรกนั้นเปิดทำการที่ประเทศนอร์เวย์ในปี 1941) ในช่วงสงคราม มีเด็กหลายคนจำนวนมากถูกลักพาตัวไปจากครอบครัวของพวกเขาและถูกตัดสินเข้าเกณฑ์การเป็นชาวอารยันและถูกเลี้ยงดูในสถานเลี้ยงเด็กเลเบนส์บอร์น โดยการอุปถัมภ์ของครอบครัวเยอรมัน จากข้อมูลระบุว่ามีเด็กมากกว่า 8,000 คนที่เกิดในสถานรับเลี้ยงเด็กในเยอรมนี และมีเด็กอีกมากกว่า 8,000-12,000 คนที่เกิดในสถานรับเลี้ยงเด็กเลเบนส์บอร์นที่ประเทศนอร์เวย์ หลังจากการพ่ายแพ้สงครามของนาซี ศูนย์รับเลี้ยงเด็กเลเบนส์บอร์นถูกกวาดล้าง และเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้ถูกส่งตัวกลับไปหาพ่อแม่ของเขา ในขณะที่บางส่วนกลายเป็นเด็กกำพร้า พวกเขาเหล่านั้นถูกส่งตัวไปดูแลในประเทศชาติต่างๆ ก่อนที่จะได้รับสัญชาติในภายหลัง ซึ่งถือเป็นการปิดตำนานสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนาซีเอาไว้เพียงเท่านี้……
-
ชมภาพประวัติศาสตร์ เผยช่วงเหตุการณ์ตอนชาวเยอรมันเลือก ‘ฮิตเลอร์’ มาเป็นผู้นำ..!!
หนึ่งในเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่กลายเป็นบทเรียนราคาแพงให้ชาวเยอรมันได้มากที่สุด คงหนีไม่พ้นเหตุการณ์หลังจากที่ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ ถูกเลือกให้เป็นผู้นำ หลังมีการประกาศนโยบายสร้างชาติครั้งใหม่..!! แต่ใครเล่าจะรู้ว่าหลังฮิตเลอร์ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำ เขาได้กำจัดคู่แข่งทางการเมืองอย่างโหดเหี้ยม รวมทั้งดำเนินนโยบายทางการทหารอย่างสุดโต่ง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ในเมือง Nuremberg ปี 1928 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้กล่าวคำปราศรัยเพื่อสร้างฐานเสียง พร้อมกลุ่มทหารผู้ติดตาม ‘Brownshirts’ ในช่วงแรกสมาชิกกลุ่ม ‘Brownshirts’ มักจะเข้าไปเจรจาพูดคุยกับชาวเมืองเพื่ออธิบายถึงนโยบายและความดีงามของพรรคนาซี มกราคม 1933 กลุ่มผู้สนับสนุนได้ออกมาเดินขบวนพาเหรด หลังฮิตเลอร์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีประจำเยอรมนี ย้อนกลับไปปี 1925 นี่คือภาพของผู้คนที่เดินทางมาฟังฮิตเลอร์ปราศรัยในโรงเบียร์แห่งหนึ่งในเมืองมิวนิค จากนั้นไม่นานเขาก็กลายเป็นผู้มีอิทธิพลอันสูงส่ง และมีกองกำลังทหารเป็นของตัวเอง ปี 1932 งานเลี้ยงของพรรคนาซีที่เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูง และมีการประดับลูกโป่งด้วยสัญลักษณ์สวัสติกะ เมษายน ปี 1931 มีการเดินขบวนพรรคนาซี และเหล่า ‘Brownshirts’ ต่างก็ยืนฟังคำปราศรัยจากฮิตเลอร์อย่างเป็นระเบียบ ภาพของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และสมาชิกพรรคนาซีในปี 1930 หลังได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์…
-
8 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ ในมุมมองที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนเลย…
น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกับ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” เพราะนอกจากหนวดอันจุ๋มจิ๋มของเขาแล้ว ความโหดร้ายที่เขาได้ทำไว้นั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้คนจดจำเขาได้ แต่นอกเหนือจากเรื่องราวการแบ่งแยกเชื้อชาติ และการกระทำอันโหดร้ายของเขาแล้ว ยังมีบางอย่างที่เกี่ยวกับตัวเขาอีกที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่ทราบ และวันนี้เราก็มีข้อมูลเกี่ยวกับ 8 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ จากเว็บ Brightside ที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยมาฝากกัน 8. อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เคยตกหลุมรักหญิงสาวชาวยิว นี่อาจจะฟังดูเป็นเรื่องแปลก แต่เขาตกหลุมรักสาวชาวยิวผู้นี้ระหว่างที่เรียนอยู่ในโรงเรียน โดยเธอผู้นั้นก็คือ Stephanie Isak ในตอนนั้นเขาอายมากที่จะบอกความรู้สึกกับเธอและเธอเองก็ไม่เคยรู้เลยว่าเขารักเธอ การผิดหวังในความรักครั้งนี้อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาเกลียดชาวยิวก็ได้ 7. เขามีปัญหาด้านระบบการย่อยอาหาร ฮิตเลอร์ประสบปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารอย่างรุนแรงในช่วงชีวิตของเขา เขามักจะปวดท้องและมีกรดในกระเพาะอาหารเกินอยู่เสมอ เขาพยายามใช้ยามากกว่า 29 ชนิด แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้เขาหายจากอาการเจ็บปวดนั้นได้ 6. อดอล์ฟ ฮิตเลอร์มีอัณฑะแค่ลูกเดียว!! หลายๆ คนอาจจะไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่หลังจากที่ได้รับบาทเจ็บระหว่างออกรบในสมรภูมิ Somme ตอนปี 1916 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และทำให้แพทย์ต้องตัดลูกอัณฑะเขาออก 1 ข้างเพื่อช่วยชีวิตเขาเอาไว้ 5. เขาเคยมีความฝันอยากเป็นนักบวช เมื่อตอนอายุ 4 ขวบเขาถูกบาทหลวงช่วยชีวิตไว้หลังจากจมลงไปในบ่อน้ำ เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากเป็นนักบวช…
-
วีรกรรมของนายแพทย์ผู้สร้างโรคระบาดปลอมๆ ช่วยชีวิตชาวยิวกว่า 6,000 คนจากกองทัพนาซี
เป็นที่ทราบกันดีกว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพนาซีได้สร้างค่ายกักกันชาวยิวและชนกลุ่มน้อยอันแสนโหดเหี้ยมขึ้นมาทั่วยุโรป จนมีผู้เสียชีวิตนับล้านคนจากค่ายกักกันเหล่านั้น แต่ท่ามกลางความโหดร้ายที่เกิดขึ้นโลกได้รู้จักฮีโร่ผู้ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ไม่ว่าจะเป็น ออสการ์ ชินด์เลอร์ นายทหารนาซีผู้แอบช่วยชาวยิวนับพันให้รอดชีวิตจากค่ายกักกัน หรือ ชิอุเนะ ซุงิฮะระ เจ้าหน้าที่กงศุลญี่ปุ่นผู้ออกวีซ่าช่วยชาวยิวหลายพันคนให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของนาซี และวันนี้ #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับนายแพทย์อีกท่านที่ช่วยชีวิตชาวยิวกว่า 6,000 คนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยการสร้างโรคระบาดปลอมๆ ขึ้นมา เรื่องราวจะเป็นอย่างไรเราไปติดตามพร้อมๆ กันเลยดีกว่า คุณหมอคนนี้มีชื่อว่า ยูจีน ลาซอฟสกี้ เขาเป็นนายทหารเสนารักษ์ประจำกองทัพโปแลนด์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาและเพื่อนทหารเสนารักษ์อีกคนชื่อว่า สแตนิสลอว์ มาตูเลวิช ค้นพบว่าหากพวกเขาฉีดแบคทีเรียที่ตายแล้วเข้าไปในตัวคนไข้ คนไข้จะมีผลเลือดเหมือนคนเป็นโรคไข้รากสาดใหญ่ โดยตอนแรกเขาใช้วัคซีนนั้นกับเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่อยากกลับเข้าไปทำงานในแคมป์นรกของพวกนาซี ซึ่งเมื่อกองทัพนาซีได้ทำการตรวจเลือดของเพื่อนคนดังกล่าว เขาก็ถูกสั่งห้ามไม่เข้าให้มาทำงานในแคมป์อีกต่อไปเพราะหวั่นเกรงว่านำโรคระบาดไปแพร่สู่แรงงานและทหารคนอื่นๆ หลังจากนั้นเขาก็ฉีดวัคซีนโรคปลอมให้กับคนไข้ทุกคนที่เข้ามารักษากับเขา ทำให้พวกเขาไม่ต้องกลับเข้าไปในค่ายนรก ซึ่งสถานการณ์โรคระบาดดังกล่าวสร้างความหวาดกลัวให้กับกองทัพนาซีเป็นอย่างมาก จนเมื่อจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” เพิ่มสูงขึ้น ทางกองทัพนาซีก็สั่งปิดเมืองดังกล่าวทันทีทำให้ชาวเมืองไม่ต้องไปค่ายกักกันหรือเข้าแคมป์ทำงานอีก และกองทัพนาซีก็ไม่กล้าเข้ามายุ่งกับเมืองดังกล่าวอีกด้วย แม้ภายหลังกองทัพนาซีจะส่งทีมแพทย์เข้ามาตรวจสอบอีกครั้ง แต่ด้วยฝีมือการแสดงละครอันแสนแนบเนียนของคุณหมอทำให้แผนการนี้สามารถดำเนินไปได้เรื่อยๆ นอกจากนี้เขายังฝ่าฝืนคำสั่งของกองทัพนาซีที่ห้ามให้ความช่วยเหลือแก่ชาวยิว ด้วยการทำการรักษาชาวยิวที่ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เขาเกือบตายหลายต่อหลายครั้ง แต่ด้วยความดีที่เขาทำ ทำให้มีคนคอยช่วยเหลือเขาโดยตลอดแม้กระทั่งทหารนาซีเองก็ตาม ว่ากันว่าเขาสามารถช่วยชีวิตชาวยิวได้มากกว่า 6,000 คนในช่วงที่มีการสู้รบ หลังสงครามจบลงเขาได้อพยพไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต…
-
ต้นกำเนิดของ “แฟนต้า” ที่ไม่อาจผลิตโคล่าในเยอรมันได้ จากวิกฤตนาซียึดครองประเทศ…
แฟนต้า (Fanta) เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มน้ำอัดลมประเภทแต่งกลิ่นและสีเป็นน้ำผลไม้ ที่มีมากกว่า 100 รสชาติทั่วโลก แถมยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก หลายคนอาจจะพอทราบกันมาบ้างแล้วว่าปัจจุบัน บริษัท โคลา-โคล่า (Coca-Cola) นั้น เป็นเจ้าของแฟนต้า แต่ความจริงแล้วน้อยคนที่จะรู้ว่าจุดกำเนิดของแฟนต้า ได้เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อพรรคนาซีเยอรมันถูกคว่ำบาตรจากกลุ่มพันธมิตร ทำให้น้ำอัดลมโคคาโคล่าที่ผลิตและขายในเยอรมันได้รับผลกระทบอย่างหนักตามไปด้วย และนั่นก็ทำให้ทางบริษัทผู้ผลิตโคคา-โคล่าในเยอรมันต้องพบกับวิกฤตครั้งใหญ่ โดยไม่สามารถนำเข้าไซรัปซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตมาจากอเมริกาได้ ถึงขนาดที่ในตอนนั้นไม่มีโคคา-โคล่าออกวางจำหน่ายเลยแม้แต่ขวดเดียว ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ Max Keith หัวเรือใหญ่ของโคคา-โคล่าในเยอรมัน จึงได้ปิ๊งไอเดียสุดบรรเจิดที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดได้ โดยมีเพียงทางเลือกเดียวก็คือ การคิดค้นเครื่องดื่มใหม่ขึ้นมาทดแทน Max ได้ทำการผลิตหัวเชื้อน้ำหวานจากน้ำตาล ผสมกับกากผลไม้ขึ้นมาเอง พร้อมกันนี้เขายังได้ทำการประกวดตั้งชื่อเครื่องดื่มใหม่นี้จากพนักงาน ซึ่งสอดคล้องกับการประกวดในครั้งนี้ที่ว่า ‘ต้องใช้จินตานาการ’ ในการตั้งชื่อ และคำว่าจินตนาการในภาษาเยอรมันคือคำว่า “fantasie” จนกลายมาเป็นชื่อว่า “แฟนต้า” ที่เราได้ยินมาจนถึงทุกวันนี้ แน่นอนว่าเครื่องดื่มแฟนต้าที่เพิ่งออกใหม่ล่าสุด ก็ได้รับความนิยมจากผู้คนเยอรมันเป็นอย่างมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ชาวเยอรมันไม่อาจหาเครื่องดื่มโคคา-โคล่า มาดับกระหายได้ นอกจากจะได้รับความนิยมอย่างล้นหลามภายในเยอรมันแล้ว เครื่องดื่มแฟนต้าก็กลายเป็นที่นิยมของชาวยุโรปอย่างรวดเร็ว ถึงกับขนาดที่ว่าใช้ปรุงอาหารแทนน้ำตาลกันเลยล่ะ… …
-
7 นักล่าเสียชีวิตหลังพยายามตามหา “ขุมสมบัตินาซีในตำนาน” ที่ยังเป็นปริศนาไร้คำตอบ!?
วันนี้เรามีเรื่องแปลกๆ จะมาเล่าให้อ่านกันเล่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพรรค ‘นาซี’ ที่มีผู้นำเป็นอดอล์ฟ ฮิตเลอร์และขุมสมบัติที่พวกเขานำไปซ่อนไว้หลังพ่ายแพ้สงคราม เอาเป็นว่าเริ่มเรื่องเลยดีกว่า… ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 1945 เป็นวันที่ฝ่ายพันธมิตรสามารถเอาชนะกองทัพนาซีได้สำเร็จ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่เหล่าทหารชั้นผู้นำทั้งหลายต่างหนีเอาตัวรอดพร้อมสมบัติ และเชื่อว่าส่วนหนึ่งถูกทิ้งลงทะเลสาป Toplitz ในประเทศออสเตรีย เป็นเวลายาวนานกว่า 60 ปีที่มีนักล่าสมบัติมากมาย พยายามจะดมน้ำหาสมบัติที่นี่แต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งปี 2005 บริษัท Bundesforste AG ได้เข้ามาถือสัมปานเป็นผู้ดูแลทะเลสาบทั้งหมด และได้เซ็นสัญญากับ Norman Scott นักล่าสมบัติชื่อดังชาวอเมริกันในยุคนั้น โดยพวกเขาหวังว่าจะสามารถแก้ปมปริศนานี้ได้ ทว่าระหว่างการค้นหาก็ได้เกิดอุบัติเหตุบางอย่าง ทำให้นักล่าสมบัติชาวอเมริกันคนนี้เสียชีวิต เช่นเดียวกับทหารอเมริกันที่เคยเข้ามาดำน้ำหาสมบัติและเสียชีวิต ณ ทะเลสาปแห่งนี้เมื่อปี 1947 จากคำบอกเล่าของ Albrecht Syen ผู้เปิดร้านอาหารในพื้นที่ดังกล่าว ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ‘มีตำนานและเรื่องเล่าเกี่ยวกับสมบัติทองของนาซีมานานแล้ว และทุกๆ ปีก็มักจะมีคนมาค้นหาสมบัติแต่น่าเสียดายที่พวกเขากลับต้องแลกด้วยชีวิตคนแล้วคนเล่า’ ตลอดภารกิจค้นหาที่พยายามกันมาอย่างยาวนาน ในที่สุดแคมเปญที่เกิดจากการระดมทุนของนิตยสารรายใหญ่อย่าง Stern ในเยอรมัน ก็ได้สามารถทำให้ปริศนานี้คลี่คลายได้ในที่สุด พันธบัตรกว่า 72…
-
ค้นพบวัตถุนาซีโบราณจำนวนมาก ถูกเก็บซ่อนอยู่ภายในบ้าน ของนักสะสมงานศิลปะ!!
หนึ่งในความน่าสะพรึงกลัวของประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง คงจะหนีไม่พ้นเรื่องราวของ Adolph Hitler ผู้นำเผด็จการนาซีเยอรมนี ที่ได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวมากกว่า 3 ล้านคน และถึงแม้ว่าจะมีขบวนการต่อต้านฮิตเลอร์จอมโหดเกิดขึ้น แต่ก็เป็นที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีบางคนที่ชื่นชอบ และต้องการระลึกถึงพวกนาซีอยู่เสมอ บางคนถึงขั้นเก็บรวบรวมสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของนาซีเอาไว้ เพราะด้วยความเลื่อมใสศรัทธา แต่ถึงกระนั้นก็ต้องคอยหลบหลีกการจับกุมของตำรวจ เนื่องจากสิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีการรายงานว่า ทางตำรวจสหพันธรัฐในอาร์เจนตินา ได้ค้นพบสิ่งของที่ผิดกฎหมายของนาซีที่ซ่อนอยู่หลังห้องสมุดภายในบ้านของนักสะสมงานศิลปะในกรุงบัวโนสไอเรส ซึ่งมีจำนวนมากถึง 75 ชิ้นเลยทีเดียว โดยสิ่งของที่ถูกค้นพบภายในบ้านหลังนี้ เป็นของพวกนาซีทั้งหมด โดยมีตั้งแต่กล่องมีด อุปกรณ์ทางการแพทย์ อาวุธ รวมไปถึงภาพลับๆ ของ Adolph Hitler จากการรายงานระบุว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าไปยังบ้านดังกล่าวที่มีคลังสิ่งของผิดกฎหมาย เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2017 หลังจากที่ได้รับแจ้งถึงเบาะแสการมีสิ่งของผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง และเมื่อทางตำรวจได้เข้าไปภายในบ้านพวกเขาก็พบกับชั้นวางหนังสือลึกลับ และได้พบกับสิ่งประดิษฐ์และวัตถุโบราณหลายอย่างของพรรคนาซี ใครจะไปรู้ล่ะว่าด้านหลังตู้หนังสือภายในบ้านหลังนี้ ความจริงแล้วเป็นห้องเก็บของลับ ที่เจ้าของบ้านได้เก็บรักษาของที่ระลึกของนาซีเอาไว้ทั้งหมด ทางด้านนักวิจัย และทีมผู้เชี่ยวชาญได้ทำการตรวจสอบแล้วว่า ของทั้งหมดที่ถูกค้นพบนี้ล้วนเป็นของจริงทั้งหมด…
-
โปแลนด์เผยภาพทหารนาซีในค่าย “เอาชวิทซ์” คร่าชีวิตชาวยิวไปกว่า 1.1 ล้านคน…
ถ้าถามว่าเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งไหนเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ เชื่อว่าเหตุการณ์แรกๆ ที่หลายๆ คนนึกถึง จะต้องเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวโดยกลุ่มทหารนาซีเยอรมัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองอย่างแน่นอน โดยในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้ มีผู้เสียชีวิตกว่า 6 ล้านคนเลยทีเดียว ชุดนอนลายขวางอันคุ้นเคย ล่าสุดทางการโปแลนด์ได้เผยชื่อเหล่าทหารนาซีผู้ที่ประจำการในค่ายกักกันเอาชวิตซ์จำนวน 9,686 นายออกมา ซึ่งค่ายดังกล่าวเป็นหนึ่งในค่ายกักกันที่สังหารชาวยิวและชนเผ่าเล็กๆ ในยุโรปไปกว่า 1.1 ล้านคน โดยในการเปิดเผยครั้งนี้ มีการเผยภาพของเหล่าทหารนับร้อยนายออกมาด้วย ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการเผยภาพของทหารเหล่านี้ออกสู่สาธารณะชน ค่ายเอาชวิตซ์ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1940 หลังจากกองทัพนาซีได้บุกยึดประเทศโปแลนด์ ช่วงแรกกองทัพนาซีได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นคุกสำหรับขังนักโทษทางการเมืองเท่านั้น แต่ภายหลังก็ได้เปลี่ยนเป็นห้องทดลองและสถานที่สังหารหมู่ชาวยิว เมื่อสงครามจบลง ทางกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ายึดค่ายกักกันแห่งนี้ และได้ตัดสินโทษประหารชีวิตเหล่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงในค่ายแห่งนี้กว่า 40 คน ส่วนนายทหารที่เหลือถูกสินจำคุกและได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา ซึ่งส่วนใหญ่ก็กลับไปใช้ชีวิตในประเทศเยอรมัน และนี่คือทหารนาซีทั้งหมดผู้ทำการปลิดชีวิตชาวยิวในค่ายดังกล่าว… ที่มา dailymail
-
ครูใหญ่โรงเรียนไต้หวันขอลาออก หลังนักเรียนใส่ชุดนาซีเดินพาเหรด จนถูกวิจารณ์ไปทั่ว
เรียกว่ากลายเป็นประเด็นร้อนระดับชาติเลยทีเดียว หลังจากมีภาพนักเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งในประเทศไต้หวัน ได้เดินพาเหรดวันคริสต์มาสด้วยธีมชุดนาซี จนถูกทูตจากประเทศอิสราเอลตำหนิผ่านสื่อสาธารณะ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในนครซินจู๋ ประเทศไต้หวัน เมื่อนักเรียนของโรงเรียนได้แต่งตัวด้วยชุดนาซี พร้อมด้วยธงสวัสดิกะ และรถถังจำลอง เดินขบวนแฟนซีในช่วงวันคริสต์มาสที่ผ่านมา จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากชาวโลก ทางนาย Asher Yarden ผู้แทนประเทศอิสราเอลได้กล่าวตำหนิเหตุการ์ดังกล่าวผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า “มันน่าละอายและน่าตกใจมากที่ 70 ปี หลังเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว โรงเรียนมัธยมปลายในไต้หวันได้แสดงออกสนับสนุนการกระทำอันโหดเหี้ยมดังกล่าว เราขอประณามการกระทำอันไร้ซึ่งรสนิยมเหล่านี้ และขอเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจของไต้หวัน ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาพร้อมสอนให้เด็กๆ ได้รู้ว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หมายถึงอะไรและมันโหดร้ายขนาดไหน” หลังเหตุการณ์ดังกล่าว Cheng Hsiao-ming อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนมัธยมดังกล่าวได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง “ในฐานะผู้มอบความรู้ เราควรสอนให้พวกเขารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง พวกเราจะเรียนรู้จากความผิดพลาด และเหล่านักเรียนก็ต้องเรียนรู้เช่นกัน” หนังสือพิมพ์ The Taipei Times รายงานว่า จริงๆ แล้วทางครูได้เสนอให้เดินพาเหรดในธีมวัฒนธรรมอาราบิก แต่สุดท้ายนักเรียนก็ได้โหวตเลือกธีมนาซีเยอรมันแทน ก็ถือว่าเป็นการแสดงความรับผิดชอบกันไป ว่าแต่ประเทศเขาไม่มีสั่งย้ายบ้างเหรอ ไม่เหมือนประเทศแถวนี้เบยเนอะ อิอิ ที่มา bbc
-
7 เหตุการณ์ วีรกรรมโต้กลับของ ‘ชาวยิว’ ที่เอาคืนพรรคนาซี ในสงครามโลกครั้งที่ 2
ในประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลก เราทุกคนจะรู้ดีว่า ‘ชาวยิว’ ทั้งหลายนั้นเป็นฝ่ายที่ถูกเหล่า ‘นาซี’ ที่เป็นชื่อของทหารเยอรมันฆ่าล้างจนทำให้พวกเขาเกือบจะหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ และทำให้เราเข้าใจผิดว่าทางฝั่งยิวนั้นเป็นผู้ถูกกระทำแต่เพียงอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วยังมีชาวยิวจำนวนไม่น้อยที่ลุกขึ้นมาต่อต้าน และสามารถเอาคืนเหล่าทหารนาซีได้แบบชนิดที่ว่าเจ็บแสบพอดูเลยล่ะ 1. นาย William Cohen ที่ให้การช่วยเหลือในการรวมกลุ่มชาวยิวในอเมริกาเพื่อต่อต้าน Hitler ย้อนกลับไปในปี 1933 ขณะที่นักการเมืองชาวอเมริกันหลายคนพยายามหลอกตัวเองให้เชื่อว่าเหล่านาซีทั้งหลายนั้นไม่ได้ทำอะไรที่ผิด ที่พวกเขาทำก็เพียงแค่ชูแขนขวาเฉียงขึ้นไปด้านหน้าเพื่อทำความเคารพต่อท่านผู้นำเท่านั้น แต่นาย Cohen ที่เป็นชาวยิว และเป็นสมาชิกสภาคองเกรสจากนิวยอร์คได้ทำการออกมารณรงค์ไม่ให้ทำการซื้อขาย และเลิกสนับสนุนสินค้าอันจะส่งผลดีต่อเยอรมัน โดยเขียนโคว้ทข้อความที่เป็นประโยคเด็ดไว้ว่า “ชาวยิวคนใดที่ใช้เงินแม้แต่ 1 เพนนีในการซื้อของที่มาจากชาวเยอรมัน จะถือว่าเขาผู้นั้นคือผู้ทรยศต่อชาวยิวด้วยกัน” ถึงแม้ว่ามันจะไม่ส่งผลอะไรมากมายต่อเหล่านาซีมากนัก แต่มันก็ทำให้ผู้คนกลับมาให้ความสำคัญกับการกระทำของเหล่านาซีอีกครั้ง และเกิดการถกเกถียงกันว่าสิ่งที่นาซีทำนั้นมันผิดศีลธรรม!! 2. นาง Danuta Danielsson ที่เอากระเป๋าถือไปฟาดกลุ่มนีโอนาซีที่กำลังเดินขบวนเพื่อรณรงค์รับสมัครพรรคพวกขึ้นมาใหม่ จนทำให้พวกเขาหมดความน่าเชื่อถือ Danuta Danielsson เป็นลูกครึ่งระหว่างยิวและโปแลนด์ แม่ของเธอเป็นผู้รอดชีวิตมาจากค่ายกักกัน Auschwitz ซึ่งทำให้เธอรับรู้ถึงความโหดร้ายที่ชาวนาซีได้ทำกับคุณแม่ของเธอ ในช่วงปี 1985 ที่ประเทศสวีเดนได้มีการเดินขบวนของกลุ่มที่เรียกว่า Neo-Nazi โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูลัทธินาซีขึ้นมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกทำลายความน่าเชื่อถือลงไปหลังจากที่ Danuta…
-
ชาวรัสเซียพบหีบเก่านาซี บรรจุหัวกะโหลกแปลกๆ อาจโยงได้ว่า มีความเกี่ยวข้องกับเอเลี่ยน!!
ไม่แน่นะว่า นี่อาจเป็นเบาะแสของสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกเลยก็เป็นได้… ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เทคโนโลยีของกองทัพนาซีนั้นถือว่าล้ำหน้ากว่าทุกๆ กองทัพในโลกเลยก็ว่าได้ ทำให้ไม่ว่าจะเป็นศึกไหนพวกเขาก็สามารถเอาชนะได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้ดูราวกับว่าเป็นกองทัพของปีศาจเลยทีเดียว รัสเซียก็ถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกโจมตีโดยเยอรมนีเช่นกัน ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งใน Kamennomostsky ก็ได้มีชายคนหนึ่งพบหีบลึกลับโบราณของนาซี และนี่อาจเป็นหลักฐานความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดของพวกเขา และความเกี่ยวข้องกับเอเลี่ยน หรือสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก!? หัวกะโหลกรูปร่างแปลกๆ ที่บรรจุอยู่ในกล่อง โดยหีบดังกล่าวเป็นของนาซีกลุ่มองค์กร Ahnenerbe ที่ได้รับมอบหมายให้สืบเสาะประวัติศาสตร์และที่มาของชนชาติอารยัน ซึ่งทางนักประวัติศาสตร์ Igor Ogay ได้ออกมากล่าวว่า ‘สิ่งที่เชื่อมโยงหัวกะโหลกแปลกๆ นี้กับกิจกรรมที่กลุ่ม Ahnenerbe ทำนั้น เป็นเรื่องที่คาดเดาและคิดได้ยาก แต่เรื่องที่พวกเขาเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ และพลังวิเศษต่างๆ นั้น ดูเหมือนหลักฐานชิ้นนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เลยทีเดียว’ ไม่ใช่กะโหลกศีรษะของมนุษย์อย่างแน่นอน ชมคลิปวิดีโอกันได้ที่นี่ ไม่แน่นะนี่อาจเป็นคำตอบของการพัฒนาเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดของพวกเขาในยุคนั้นเลยก็เป็นได้… ที่มา: Metro
-
ภาพถ่ายจากประวัติศาสตร์เยอรมนี เผยให้เห็นวิถีชีวิตของฝั่ง ‘นาซี’ ที่ถูกปิดไว้มานาน
สำหรับเรื่องราวของ ‘นาซี’ ในอดีตแล้ว อาจจะไม่เป็นที่น่าจดจำของคนเยอรมันในปัจจุบันมากนัก แต่ครั้งนึงกองทัพของ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ เคยยิ่งใหญ่ถึงขนาดที่ว่าเกือบจะครองโลกได้สำเร็จ ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นซะก่อน จากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะได้เห็นภาพความโหดร้ายที่กลุ่มทหารนาซี กระทำกับชาวยิว จนเกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ว่าแต่มีใครเคยเห็นภาพถ่ายทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของฝั่งนาซีบ้างมั้ยเอ่ย? เราตามไปดูภาพถ่ายสะท้อนเรื่องราวความยิ่งใหญ่ของทหาร และประชาชนชาวเยอรมันในยุคนาซีกันเลย… ฮิตเลอร์ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ให้กับราชสภาเยอรมัน ในวันที่ 6 ตุลาคม ปี 1939 ทำให้ต่อมาหลายคนคล้อยตาม และยอมเป็นส่วนหนึ่งของการกอบกู้ชาติในครั้งนี้ ชาวเมืองเยอรมันตะวันออก เริ่มเดินทางไปตั้งถิ่นฐานใหม่ โดยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลของฮิตเลอร์ ปี 1939 ช่วงที่สงครามยังไม่รุนแรงมากนัก มีการแข่งขันฟุตบอลลีคในเยอรมัน โดยปีนี้ได้ทีมชาลเก้ ขึ้นนำเป็นแชมเปี้ยนประจำลีก เหตุการณ์ในเเชคโกสโลวาเกีย ปี 1939 ที่ดูเหมือนจะค่อยๆ รุนแรงมากขึ้น เมื่อร้านค้า หรือบ้านเรือนของชาวยิว ต่างถูกโจมตีอย่างหนัก และไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ การประกาศยอมแพ้ต่อทหารเยอรมันของชาวโปแลนด์ ฮิตเลอร์เข้าไปเยี่ยมเยียนฐานทัพอากาศ ‘Luftwaffe’ ซึ่งมีทหารนายหนึ่งได้นำนกอินทรีย์ที่แกะสลักจากไม้ นำมามอบให้เป็นของขวัญ ปี 1939…
-
ชมอดีตโรงเรียนของกองทัพนาซี สถานที่ที่ใช้ปลูกปั่นสร้างความเกลียดชังในอดีต…
เมื่อเรามองย้อนกลับไปในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่ชาวโลกไม่อยากจดจำ โดยเฉพาะชาวเยอรมัน ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องราวของ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ ผู้นำเผด็จการทหารที่จงเกลียดจงชังชาวยิว จนกลายมาเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันแสนโหดร้ายมาแล้ว และวันนี้ #เหมียวบ็อบ จะขอพาเพื่อนๆกลับไปย้อนชม สภาพโรงเรียนร้างที่อดีตมันเคยถูกใช้สำหรับเป็นโรงเรียนของเด็กๆที่อยู่ในกองทัพนาซี แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่เขาปลูกฝัง นั่นก็คืออุดมการณ์การเหยียดเชื้อชาติที่มีต่อชาวยิว ซึ่งภาพถ่ายทั้งหมดนี้ถูกนำมาเปิดเผยผ่านเว็บไซต์ Dailymail โดยช่างภาพชาวเยอรมณี Jan Bommes วัย 41 จากเมือง Kiel เราตามไปดูกันเลยว่า อดีตสถานที่ๆใช้เพื่อปลูกฝังความเกลียดชัง ปัจจุบันจะมีสภาพเป็นเช่นไร นี่คือห้องเรียนที่ในอดีตเมื่อช่วงปี 1930 – 1940 เด็กๆทุกคนจะเข้ามานั่งอย่างพร้อมเพรียงกัน พร้อมกับฟังการบรรยายจากอาจารย์ที่ปลุกปั่นให้พวกเขาเกลียดชังชาวยิว โรงเรียนแห่งนี้ถือว่าเป็นอีกสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่ของพรรคนาซี หลังจากที่สงครามจบลง โรงเรียนแห่งนี้ยังคงถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสถานที่ประชุมสำหรับกลุ่มคอมมิวนิสต์ของเยอรมันตะวันออก และปัจจุบัน ถึงแม้ว่ามันจะถูกทิ้งให้ร้างมาอย่างยาวนาน แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาจัดการกับมัน สิ่งของทุกอย่างยังคงอยู่เหมือนเดิม ทิ้งร่องรอยการใช้งานในอดีตไว้ ในยุคนั้น พรรคนาซีได้สร้างโรงเรียนขึ้นมาทั้งหมด 38 แห่ง และที่แห่งนี้คือโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุด ปัจจุบันมีเพียงแค่โรงอาหารเก่าเท่านั้น ที่ถูกนำมาใช้เป็นโรงยิม และสถานที่สำหรับออกกำลังกาย …
-
อะไรนะ!? เข็มขัดนาซีในยุคสงครามโลกที่มีดีมากกว่านั้น เพราะมันเอามาใช้เป็นปืนได้ด้วย
ในช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่สอง จากเหตุการณ์ที่คนทั้งโลกอยากจะลืมกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวอันโหดร้ายของพรรคนาซีภายใต้คำสั่งของ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ แล้ว ก็ยังมีเรื่องอันเป็นที่กล่าวขานของนาซีอีกมากมาย ย้อนกลับไปในยุคสมัยนั้นพรรคนาซีเคยยิ่งใหญ่ถึงขนาดที่ว่า ทำการทดลองทางการแพทย์ และผลิตอาวุธหรือเครื่องมือทันสมัยต่างๆ ขึ้นมาใช้ได้ด้วยตนเอง เช่นเดียวกับหัวเข็มขัดของพลทหารนาซีอันนี้ ที่ดูๆแล้วเหมือนกับว่าหลุดมาจากหนังเรื่อง อินเดียน่า โจนส์ หรือบรรดาภาพยนตร์สายลับเลยล่ะ… ดูภายนอกมันก็ธรรมดาอยู่หรอก.. แต่ความลับที่ซ่อนเอาไว้ช่างน่าอันตรายยิ่งนัก ชื่อของมันคือ ‘Belt Castle Gun’ แน่นอนว่านอกจากจะเป็นหัวเข็มขัดแล้ว มันยังเป็นปืนได้อีกต่างหาก!!! ซึ่งไอเดียปืนบนหัวเข็มขัดนี้ ออกแบบโดย Louis Marquis แต่ทว่ามันไม่เคยผ่านการทดสอบเพื่อเป็นต้นแบบในการผลิตได้เลยซักครั้ง ไอเดียก็เริ่มมาจากความคิดที่ว่า หากทหารนาซีถูกจับเป็นเชลยศึก นั่นก็หมายความว่าหมดโอกาสหนีแล้ว และนี่คือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพียงแค่ปั้งเดียวเท่านั้น!! . ทั้งหมดถูกผลิตมาอยู่สองรุ่น แบบ 2 ลำกล้องใช้กับลูกปืนขนาด 5.6 มม. และแบบ 4 ลำกล้องใช้กับลูกปืนขนาด 7.5 มม. เข็มขัดปืนเหล่านี้ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไหร่ เพราะลูกกระสุนปืนมักจะอยู่ไม่ตรงตำแหน่ง และทำให้ยากต่อการเล็ง อีกทั้งปืนมักจะขัดลำกล้องอยู่เป็นประจำ …
-
รีสอร์ตร้างที่ “นาซี” เคยสร้างไว้เมื่อสงครามโลก กำลังจะเปลี่ยนเป็นที่พักสุดหรูแล้ว!!
สามปีก่อนที่เยอรมนีจะบุกเจ้าไปที่โปแลนด์ในปี 1939 อะดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำของนาซีได้สั่งให้สร้างรีสอร์ตสำหรับนักท่องเที่ยวให้ตั้งอยู่ที่ชายหาดบนเกาะ Rügen แล้วตั้งชื่อให้ว่า Prora ที่แห่งนี้รองรับได้กว่า 20,000 ครัวเรือนในเวลาเดียวกัน ซึ่งมันเหมาะสำหรับคนเยอรมันที่อยากจะมาพักผ่อนในที่สบายๆ แห่งนี้ แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองอุบัตขึ้น ที่แห่งนี้จำเป็นต้องหยุดสร้างชั่วคราว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้สร้างต่อ.. ในปี 1936 เยอรมนียังมีคอนเซ็ปต์ที่ให้ผู้คนได้มารวมตัวกันอยู่ หรือที่เรียกว่า “volksgemeinschaft” จากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เยอรมันรวมตัวกันได้ ในระหว่างที่กำลังพัฒนาเรื่องรัฐตำรวจนาซี พวกเขาต้องการที่จะรวมผู้คนได้ และ Prora ก็คือสิ่งนั้น ที่แห่งนี้ใช้เวลากว่า 3 ปีในการสร้าง โดยมีคนงานกว่า 9,000 คนช่วยกันตลอดความยาวหาด 3 กิโลเมตรกว่าๆ ดูแค่ภาพอาจจะตัดสินอะไรไม่ได้ เพราะของจริงมันใหญ่มากๆ เป็นสิ่งก่อสร้างที่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ แต่เมื่อจักรวรรดิไรซ์ที่ 3 ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากในยุโรป ทำให้คนงานกลับไปที่โรงงานเดิม ทิ้ง Prora ไว้ทั้งๆ ที่ยังไม่เสร็จ ความฝันของนาซีก็หยุดชะงักลง จากหนึ่งปีก็เป็นหลายสิบปี.. จนกระทั่งเมื่อปี 2013…
-
‘Klara Markus’ คุณยายที่รอดตายจากค่ายกักกันของนาซี เพราะแก๊สหมด วันนี้เธออายุ 101 ปี
คุณยายชาวยิว Klara Markus วัย 100 ปี และกำลังจะฉลองอายุ 101 ปี ในเร็วๆ นี้ ฟังดูแล้วก็คงจะเหมือนคนชราทั่วไป แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ คุณยายได้ผ่านเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะรอดมาได้ ย้อนกลับไปเมื่อปี 1944 เป็นที่รู้กันดีว่าพรรคนาซีมีค่าย Auschwitz ซึ่งเอาไว้สังหารนักโทษยิวโดยการใช้แก๊สรม และคุณยาย Markus คือหนึ่งในนักโทษเหล่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่า เธอหนีออกมาได้ก่อนการสังหาร ก่อนที่จะถูกจับตัวไป คุณยายเคยทำงานที่โรงงานผลิตร่มในประเทศฮังการี แต่ต่อมา นาซีประกาศฆ่าล้างชาวยิว เธอจึงถูกจับไปด้วย คุณยายเล่าให้ฟังว่า “แม่และพี่สาวของฉันถูกจับตัวไปก่อนหน้าฉัน และถูกนำตัวไปที่ค่าย Auschwitz ฉันจึงไม่ได้เจอพวกเขาอีกเลย เมื่อฉันถามเหล่าทหารว่า ‘เห็นแม่กับพี่สาวฉันไหม’ พวกเขากลับหัวเราะเยาะและบอกว่า ‘ลองไปคุ้ยขี้เถ้าดูสิ เผื่อจะเจอ’ “ Markus ถูกจับและถูกขังที่ค่ายกักกัน Dachau และ Ravensbruck เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 1944 ก่อนที่จะถูกนำตัวไปที่ Auschwitz ในปีเดียวกัน คุณยายเล่าให้ฟังว่า “ฉันได้เห็นค่ายของนาซีแทบจะทุกค่าย ตอนนั้นฉันพยายามข่มตานอนทั้งน้ำตา เพราะฉันคิดถึงแม่และพี่สาวมาก มันทำให้ฉันกินอะไรไม่ลงหลายวัน…
-
เผยภาพหายาก บรรยากากาศ ‘งานฉลองคริสต์มาสของนาซี’ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อพูดถึงนาซีแล้ว คงไม่มีใครไม่รู้จัก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จอมเผด็จการในช่วงส่งครามโลกครั้งที่ 2 กับการกระทำกวาดล้างชาวยิวเป็นจำนวนมาก แต่เรื่องที่เราจะนำเสนอในวันนี้ ไม่ได้จะพาไปดูสงครามนะ แต่เป็นช่วงพักสงคราม ซึ่งเป็นภาพงานฉลองคริสต์มาสของนาซี ช่วงประมาณปี 1941 ถ่ายโดย Hugo Jaeger ผู้เป็นหนึ่งในช่างภาพส่วนตัวของฮิตเลอร์ เมื่อสงครามสิ้นสุด Jaeger ได้เก็บรูปพวกนี้ไว้ในโหลแก้วแล้วฝังเอาไว้ในดิน จนกระทั่งปี 1955 หรือผ่านไปประมาณ 10 ปี เขาก็ได้นำรูปที่ซ่อนไว้ระหว่างทำงานกับฮิตเลอร์จำนวน 2000 รูป ส่งไปเก็บที่ตู้เซฟของธนาคารแห่งหนึ่ง ฮิตเลอร์ นั่งอยู่หัวโต๊ะ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางทหารหลายพันนาย จนในที่สุด เขาก็ขายรูปเหล่านี้ให้กับนิตยสารไลฟ์ ในปี 1965 แต่ก็ไม่ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะจนกระทั่งในปี 2009 ภาพถ่ายดังกล่าวถูกโพสต์ไว้ในแกลอรี่ออนไลน์ เพื่อเป็นการระลึกถึงการครบรอบ 65 ปี วันดีเดย์ งานฉลองนี้มีขึ้นในวันที่ 18 ธันวาคม 1941 ที่เมืองมิวนิค ลักษณะคล้ายกับการเฉลิมฉลองคริสต์มาส แต่เนื่องจากเยอรมันไม่มีศาสนา ดังนั้นพวกเขาจึงถือว่านี่เป็นงานสักการะเทพโอดิน และได้เรียกร้องให้ชาวเยอรมันใช้เวลาที่ฉลองคริสต์มาสนั้นมาเป็นการฉลองช่วง ‘อายันฤดูหนาว’ แทน …
-
อย่างเซ็ง!! ไปถ่ายรูปเพื่อทำหนังสือเดินทาง แต่รูปที่ได้ออกมาในเล่มดันคล้าย ‘ฮิตเลอร์’
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการเดินทางออกนอกประเทศ เราจะต้องมีหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ไว้แสดงหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ประเทศนั้นๆ ว่าเราเป็นใคร มาจากประเทศไหน ซึ่งปัจจุบันใครๆ ก็มีติดตัวกันทั้งนั้น Stuart Boyd วัย 50 ปีก็เช่นเดียวกัน เขาวางแผนจะเดินทางไปเที่ยวกรีกในช่วงเดือนกรกฎาคมกับเพื่อนๆ ก็เลยต้องไปทำหนังสือเดินทางเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา จนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ต่อมาหนังสือเดินทางก็เสร็จเรียบร้อยส่งถึงมือเขา แต่พอเปิดดูข้างในภาพถ่ายของเขาเองทำให้หัวเสียขึ้นมาทันที ภาพถ่ายที่พิมพ์ติดอยู่ในหนังสือเดินทางกับภาพจริงที่ถ่ายในวันนั้น นั่นเป็นเพราะว่ารูปถ่ายของเขาที่ติดอยู่ในหนังสือเดินทาง มีจุดแปลกๆ ติดที่บริเวณหนวดพอดิบพอดี ลักษณะคล้ายคลึงกับผู้นำนาซี ‘ฮิตเลอร์’ แบบไม่มีผิด ทั้งๆ ที่ตอนที่เขาไปถ่ายรูปทำหนังสือเดินทางนั้นก็โกนให้เกลี้ยงเกลาพอประมาณแต่ลักษณะไม่เหมือนอิตเลอร์ขนาดนี้ พอเพื่อนๆ เขาได้เห็นก็บอกว่าไม่ต้องคิดมากหรอก มองให้เป็นเรื่องตลกขำขันไป แต่เขาก็ไม่อยากให้เกิดปัญหาที่อาจจะตามมาในภายหลัง ติดต่อเจ้าหน้าที่ให้ออกหนังสือเดินทางเล่มใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะ ฮร่าาา ที่มา : manchestereveningnews, theladbible
-
เผยภาพเบื้องหลังการซ้อมพูด ของ Adolf Hitler ผู้นำนาซี ที่น้อยคนนักจะได้เห็นมุมนี้….
ประวัติศาสตร์อันโหดร้ายที่โลกไม่มีทางลืมจากสงครามโลกที่ลุกลามไปทั่ว ชนวนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดจากการบุกโปแลนด์ของผู้นำสูงสุดของเยอรมนีอย่างฮิตเลอร์ ที่สามารถชักนำทหารให้ฮึกเหิมและเข้าร่วมสงครามได้ด้วยคำพูดปลุกใจ เราจะได้เห็นแต่ภาพอันน่าเกรงขามของฮิตเลอร์ยามที่เขาออกมาพูดจาปราศรัยต่อหน้ากองทัพ แต่เราไม่เคยเห็นภาพเบื้องหลังของเขาเลย เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้ใครเห็น และการที่จะออกมาพูดปลุกใจได้ทรงพลังขนาดนั้น จะต้องมีการซ้อมเสียก่อน ซึ่งฮิตเลอร์เองก็มักจะซ้อมพูดเป็นประจำ และอยากที่จะเห็นลักษณะท่าทางของตัวเองในขณะที่พูด ก็เลยขอให้ช่างภาพส่วนตัว Heinrich Hoffmann ถ่ายเอาไว้ เพื่อดูว่าตัวเขาเองในจังหวะนั้นดูน่าเกรงขามแค่ไหน ฮิตเลอร์เป็นคนจำพวกที่มีความประหม่าในตัวเองสูงมาก และหลังจากที่ได้เห็นภาพตัวเองแล้ว เขาก็บอกว่าให้ลบภาพชุดนี้ออกไป เนื่องจากมันดูไม่ค่อยมีราศีซักเท่าไหร่ แต่ Hoffmann ก็ไม่ได้ลบนะ เขายังคงเก็บเอาไว้และเผยแพร่ในภายหลังโดยตั้งชื่อภาพชุดนี้ว่า ‘Hilter Was My Friend’ ที่มา : huffingtonpost, theladbible, ilyke
-
หนุ่มโดนตำรวจรวบ หลังอัดคลิปสอนเจ้าตูบทำท่า ‘เชิดชูนาซี’ เวลาได้ฟังคลิปของฮิตเลอร์
สำหรับบ้านเราแล้วเรื่องนี้อาจจะดูไม่รุนแรงมากนัก (ถ้าใครยังจำกันได้มีหนุ่มคะนองคนหนึ่งอัดคลิปพร้อมข้อความ ‘เชิดชูนาซี’ ขึ้นมาจนโด่งดังไปทั่วโลกโซเชียลด้วยนะ -*-) แต่ถ้ากล่าวถึงในส่วนของโลกตะวันตกแล้วล่ะก็ เป็นเรื่องที่ซีเรียสมากๆ เพราะถือเป็นค่านิยมที่ผิด รุนแรง และโหดร้ายสุดๆ ก็อย่างที่เรารู้ๆ กันว่านาซีภายใต้การนำของฮิตเลอร์นั้นฆ่าคนอย่างโหดร้ายไปหลายล้านคนเลยทีเดียว!!! ซึ่งล่าสุดก็มีเรื่องราวของ Markus Meechan หนุ่มวัย 28 ปีแห่ง Coatbridge, North Lanarkshire ที่ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ เพราะปล่อยคลิปวิดีโอการสอนสุนัขพันธุ์ปั๊กของเขาให้ชูมือทำสัญลักษณ์เชิดชูฮิตเลอร์เวลาได้ดูคลิปการพูดสุนทรพจน์ของเขา เจ้าหมาปั๊กจะทำท่าทางสัญลักษณ์เชิดชูนาซีทันทีถ้าได้ยินคำว่า ‘Sieg Heil’ หรือ “ชัยชนะ จงเจริญ” หนักไปกว่านั้น คลิปวิดีโอนี้ (แน่นอนว่าถูกลบไปแล้ว) เจ้าตูบได้แสดงความดีอกดีใจสุดๆ ด้วยล่ะเมื่อได้ยินคำว่า ‘Gas the Jews’ หรือ ‘รมแก๊สชาวยิวซะ’ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ตลกเลย -*- และนี่ก็ไม่ใช่คลิปแรกที่เขาได้ทำการบันทึกไว้ ยังมีอีกหลายคลิปที่มีเนื้อหาไปในทิศทางเดียวกันแบบนี้ด้วย… สุนัขพันธุ์ปั๊กตัวนี้เป็นของแฟนสาวของเขา Suzanne ในวัย 28 ปีเช่นกัน ทางด้านสารวัตร David Cockburn ผู้ดำเนินการการจับกุมได้กล่าวว่า ‘การจับกุมชายคนนี้เป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังโลกออนไลน์ว่าการทำคลิปแบบนี้น่ะไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แถมคลิปนี้ยังถูกแชร์ไปในโลกออนไลน์เป็นจำนวนมาก และมีผู้รับชมไปแล้วกว่า 1 ล้านราย’ ‘แถมลักษณะของข้อความที่ต้องการจะสื่อผ่านคลิปนี้นั้นยังรุนแรง…
-
สื่อนอกเผยภาพกะโหลกรูปร่างประหลาด ในสมัยสงครามโลก ชี้นาซีอาจเคยติดต่อกับมนุษ์ต่างดาวมาแล้ว!?
เป็นที่ถกเถียงกันมานานว่าเอเลี่ยน หรือมนุษย์ต่างดาวมีจริงไหม แต่ไม่ว่ายังไงก็เถียงกันไม่จบสักที เพราะว่าหาข้อพิสูจน์ไม่ได้นั่นเอง แต่ล่าสุดเว็บไซต์ต่างประเทศได้เผยภาพและข้อมูลออกมาว่า จริงๆ แล้วเอเลี่ยนอาจจะเคยมาที่โลกมนุษย์ของเราในช่วงนาซีก็เป็นได้!? เมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Viralnova ได้เปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า มีการค้นพบกระโหลกประหลาดบนภูเขา Bolshoi Tjach ในประเทศรัสเซียเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้นักสำรวจเชื่อว่ามันอาจเป็นเบาะแสหนึ่งของมนุษย์ต่างดาวก็เป็นได้ ตามรายงานบอกว่ากระโหลกรูปร่างประหลาดนี้ถูกพบโดยนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อว่า ladimir Melikov เมื่อสองปีที่แล้ว เมื่อดูจากขากรรไกรแล้วมีความใกล้เคียงกับกะโหลกของมนุษย์มาก แต่ดูยังไงก็ไม่น่าใช่ นอกจากกระโหลกแล้ว นาย ladimir ยังพบว่ามันตกอยู่ใกล้กับกระเป๋าเอกสารและแผนที่ของพวกนาซีด้วย คาดกันว่าน่าจะอยู่ในช่วงปี 1940 อีกทั้งบนตัวกระเป๋ายังมีสัญลักษณ์แปลกๆ คล้ายกับลัทธิอะไรสักอย่าง ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปยังสิ่งลี้ลับจากต่างดาวด้วย มีนักทฤษฎีสมคบคิดพยายามจะผูกเรื่องนาซีและมนุษย์ต่างดาวเข้าด้วยกันจึงทราบว่าสัญลักษณ์นั่นเป็นสัญลักษณ์ของสถาบัน Ahnenerbe ที่ก่อตั้งโดยทหารนาซีที่ชื่อนาย Heinrich Himmler สถาบันนี้ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อพิสูจน์ว่าชนเผ่าอารยันนั้นครั้งหนึ่งเคยปกครองโลกของเรา จากหลักฐานต่างๆ ที่ค้นพบ บ่งชี้ว่าสถาบัน Ahnenerbe ของนาย Himmler มีการศึกษาและวิจัยแบบลับๆ ในอดีต และอาจเคยติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมาแล้ว!? …
-
สื่อนอกเผยภาพที่กำบังสุดท้ายของ Adolf Hitler ผู้นำนาซีก่อนเสียชีวิต
เชื่อว่าในโลกนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อ Adolf Hitler เขาคือผู้ก่อตั้งทัพนาซี ที่เป็นเหมือนหัวใจสำคัญของสงครามโลกครั้งที่ 2 ล่าสุดเว็บไซต์ต่างประเทศได้มีการเผยแพร่ภาพที่กำบังสุดท้ายของ Hitler ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตมาให้พวกเราได้ชมกัน เมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Metro ได้เปิดเผยภาพถ่ายของช่างภาพชาวปารีสอย่างนาย Marc Askat เขาได้เดินทางไปถ่ายภาพสถานที่กำบังและฐานทัพลับของ Hitler ในประเทศฝรั่งเศส อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ยังถูกใช้เป็นที่วางแผนเพื่อรุกรานเกาะอังกฤษอีกด้วย ทั้งนี้ไม่มีการเปิดเผยว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ในเขตไหนกันแน่ เพราะปัจจุบันเหล่าทหารของฝรั่งเศสยังคงใช้สถานที่ดังกล่าวในการซ้อมอยู่นั่นเอง อนึ่ง Adolph Hitler ถือกำเนิดในประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1889 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ระหว่าง ค.ศ. 1933 ถึง 1945 และเสียชีวิตในวันที่…