Tag: บทความ
-
การเปลี่ยนผ่าน “วัฒนธรรมร้านการ์ตูน” ที่กำลังหายไป และเด็กรุ่นใหม่อาจไม่ได้สัมผัสอีกแล้ว
ย้อนกลับไปในสมัยที่เราเรียนประถมหรือมัธยมเมื่อราวๆ สัก 10-20 ปีก่อน สิ่งบันเทิงในยุคนั้นก็มีอยู่หลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการด์เกม เครื่องเล่นเกม รถบังคับ หรือจะเป็นความบันเทิงแบบง่ายๆ อย่างหนังสือการ์ตูน ปัจจุบัน #เหมียวฟิ้น เองอยู่ในช่วง 20 กลางๆ ซึ่งก็เคยสัมผัสสิ่งบันเทิงต่างๆ มาเกือบหมด แต่หนังสือการ์ตูนก็ยังคงเป็นสิ่งที่ให้ความบันเทิงที่ถูกจริตกับเรามากที่สุด และมันไม่ได้เปลี่ยนรูปแบบไปเลย ต่างจากพวกเครื่องเล่นเกมที่มีการพัฒนาหน้าตาและความสวยงาม หรือจะเป็นภาพยนตร์ที่เปลี่ยนแพลตฟอร์มมาแล้วหลายรูปแบบ ก็อย่างว่าล่ะนะ หนังสือมันก็คือหนังสือ ลองนึกย้อนไปในสมัยเรียน (ในช่วงที่อินเตอร์เน็ตยังไม่แพร่หลาย) ทุกครั้งที่เราเลิกเรียน หลายๆ คนจะมุ่งตรงไปยังร้านหนังสือการ์ตูน เพื่อดูว่าหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ที่เราอยากอ่านมันมาหรือยัง? หรือเล่มที่คนอื่นยืมไปจะเอามาคืนแล้วหรือยัง? เพื่อที่เราจะซื้อหรือเช่าไปอ่านกันอย่างสบายอกสบายใจ โดยทิ้งการบ้านไว้ในกระเป๋า (แล้วค่อยไปทำเอาที่โรงเรียน 555+) หลายเรื่องเป็นเรื่องที่เราเองก็ไม่ได้ติดตามอ่านมาก่อน แต่หากเมื่อไหร่ก็ตามที่เพื่อนๆ ในโรงเรียนพูดถึงมากขึ้น เราก็ต้องไปขวนขวายหามาอ่าน เพื่อที่จะได้ไปโม้กับเพื่อนๆ ในวันรุ่งขึ้น หรือหากเรื่องที่เราอยากอ่านยังไม่มีเล่มใหม่ มันก็เป็นโอกาสให้เราลองเขยิบไปดูหนังสือการ์ตูนในชั้นข้างเคียงเพื่อดูว่ามีเล่มไหนน่าสนใจอีกหรือเปล่า จังหวะนั้นแหละที่ช่วยให้เราได้อ่านเรื่องใหม่ๆ ซึ่งเรื่องที่เราได้อ่านในช่วงนั้นก็จะเป็นพวก Bleach เทพมรณะ, Mar อิทธิฤทธิ์พิชิตมายา, Air Gear ขาคู่ทะลุฟ้า (เรื่องนี้บึ้มมาก), Reborn ครูพิเศษจอมป่วน, Conan…
-
วิทยาศาสตร์เผยสาเหตุที่… ‘แมวเหมียวทำเสียงกรน’ มันต้องการจะสื่ออะไรกับเรากันแน่?
สำหรับทาสแมวทั้งหลายแล้ว คงไม่มีสิ่งใดจะทำให้เราเป็นสุขได้มากกว่าเสียงกรนเพลินๆ ของเจ้านายเหนือหัว (คร๊อกก.. คร๊อกก…) หลายคนอาจจะเคยสงสัยว่า เพราะเหตุใดแมวเหมียวผู้น่ารักทั้งหลายชอบทำเสียงกรนใส่ทาสมนุษย์อย่างเราๆ และเพื่อเป็นการไขข้อสงสัย วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบพร้อมๆ กัน นายเหนือหัวเราทำเสียงกรนได้ยังไงกัน? ก่อนอื่นเราต้องรู้จักกลไกการทำงานของเจ้านายเราซะก่อน ซึ่งเสียง ‘คร่อก.. คร่อก..’ ที่เราได้ยินนั้น มันเริ่มต้นมาจากกล้ามเนื้อกล่องเสียงที่เกิดการสั่นสะเทือน และผลักเอาลมจากในช่องท้องออกมา ก่อนที่จะกระทบกันจนเป็นเสียงที่เราได้ยิน กล้ามเนื้อส่วนนั้นสามารถเคลื่อนที่ได้ 20-30 ครั้ง/นาที ซึ่งหลังจากที่เจ้าเหมียวสูดอากาศหายใจเข้าไป ลมหายใจจะเข้าไปสัมผัสกับกล้ามเนื้อที่สั่นสะเทือน จนออกมาเป็นเสียงกรน แมวอาจส่งเสียงกรน/เรียก เฉพาะกับมนุษย์เท่านั้น เรียกว่าเป็นหนึ่งในพรสวรรค์การเอาชีวิตรอดของพวกมันเลยก็ว่าได้ เพราะเสียงกรนของพวกมันสามารถบ่งบอกได้ว่ามันต้องการอาหาร หรือแค่อยากจะอ้อนเราเท่านั้น เสียงกรนของแมวดังกล่าว เราจะเรียกว่า ‘solicitation purr’ (กรนเรียกร้องความสนใจ) บวกกับประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของมนุษย์และแมวเหมียวที่มีมาอย่างยาวนาน ทำให้นักวิจัยสันนิษฐานว่าพวกมันเรียนรู้ที่จะส่งเสียงนี้ให้มนุษย์ เพราะมีความคล้ายคลึงกับเสียงของเด็กทารก และนั่นอาจทำให้พวกมันได้เรียนรู้ว่า ‘เสียงกรน’ เป็นเสียงที่ช่วยทำให้มันสื่อสารกับเราได้ เนื่องจากมีย่านความถี่อยู่ที่ประมาณ 220-520 เฮิรทซ์ ซึ่งใกล้เคียงกับของเด็กทารกที่มีย่านความถี่อยู่ที่ 300-600 เฮิรทซ์ ทาสแมวอย่างเราควรทำยังไงดี? เราต้องยอมรับว่าความอัจฉริยะอย่างหนึ่ง…
-
9 เหตุผลที่ทำให้ Game of Thrones กลายเป็นซีรีส์ยอดนิยม ผู้คนติดงอมแงมไปทั่วโลก!!
ปล่อยให้รอคอยกันมาเกือบปีในที่สุดซีรีส์ที่คนเกือบทั้งโลกรอคอยอย่าง Game Of Thrones ก็กลับมาฉายอีกครั้งแล้ว ซึ่งเรื่องราวก็ดำเนินมาถึงซีซั่นที่ 7 แล้ว เป็นช่วงที่กองทัพของแต่ละฝ่ายกำลังรวบรวมพลและเตรียมที่จะบุกเมือง Kings Landing ในขณะที่เหล่าไวท์วอล์คเกอร์ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนแฟนๆ อย่างเราต้องมาลุ้นจนปัสสาวะเหนียวว่า ใครกันแน่ที่จะได้ครอบครองบัลลังก์!? มาถึงตรงนี้ บางคนคงสงสัยว่าทำไมซีรี่ส์เรื่องนี้ถึงได้โด่งดังและกลายเป็นซีรีส์เบอร์หนึ่งของโลก ณ ตอนนี้ จากที่ได้เห็นกระแสความคลั่งไคล้ตามอินเตอร์เน็ต หรือตามคำบอกเล่าของเพื่อนๆ เพราะฉะนั้นแล้ว #เหมียวฟิ้น จะขอมาแจกแจงคลายข้อสงสัยให้รู้กันไปเลย 1. ซีรี่ส์เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเมือง ซีรีส์เรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นในแบบแฟนตาซีก็จริง แต่มันก็แฝงแนวคิดทางการเมือง การวางแผนการรบ ที่ไม่ยากจนคุณดูไม่รู้เรื่องหรือไม่ง่ายเกินไปจนดูถูกสติปัญญาของคนดู ทำให้คุณต้องคิดตามว่าใครจะเอาชนะใคร ใครจะเป็นมิตรกับใคร และใครจะหักหลังใคร ซึ่งในบางครั้งเหตุการณ์บางอย่างในเรื่องก็อาจจะละม้ายคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงก็ได้ 2. ภูมิทัศน์ต่างๆ ในเรื่องที่สวยงามเกินจะบรรยาย ซีรีส์เรื่องนี้เกิดขึ้นในโลกโบราณสมมติที่คล้ายกับหนังแนวๆ The Lord of The Rings คนดูรู้อยู่แล้วล่ะว่ามันคือ CG แต่แค่เราได้ชมความงามของบ้านเมืองที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ก็ทำให้เราอิ่มกับภาพสวยๆ ได้ตลอดเวลา 3. เต็มไปด้วยเวทย์มนต์ ตำนาน และเรื่องราวลี้ลับหลายแบบ ถึงจะมีความเป็นแฟนตาซี…
-
วิทยาศาสตร์แนะ 10 เหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้อง ‘นอนแก้ผ้า’ บอกเลยว่าประโยชน์เพียบ!!
โดยปกติแล้วการนอนนั้นถือเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ เพราะหากเราไม่นอนหลับ ก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายมากมาย จนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียวล่ะ แต่กลับกันหากเรานอนหลับอย่างเป็นประจำทุกวัน เข้านอนให้เป็นเวลา ก็จะส่งผลดีต่อร่างกาย และชีวิตประจำวันในวันต่อไปของเราได้ด้วยเช่นกัน แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่า เราสามารถทำให้การนอนของเรามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยการ ‘นอนแก้ผ้า’!? ต้องขอออกตัวไว้ก่อนเลยนะว่า #เหมียวหง่าว ไม่ได้ลามก การันตีด้วยผลการศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญมาแล้วมากมายทั่วโลก ที่ช่วยยืนยัน นอนยัน และนั่งยันว่าการนอนแก้ผ้านั้นมันดีจริงๆ นะเออ!! 1. ช่วยในเรื่องการเจริญพันธุ์ของเพศชาย จากการศึกษาจากสถาบัน Child Health ร่วมกันกับมหาวิทยาลัย Stanford University พบว่าผู้ชายที่นอนหลับโดยไม่ใส่อะไรเลยจะมีสร้างความเสียหายให้กับ DNA ในน้ำอสุจิ น้อยกว่าคนที่ใส่บ็อกเซอร์หรือกางเกงในตอนนอนถึง 25% ซึ่งสาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะความแตกต่างของอุณหภูมินั่นเอง 2. ช่วยให้ผิวพรรณของเราดีขึ้น เมื่อเราสวมใส่เสื้อผ้าขณะนอนหลับ จะทำให้ผิวหนังส่วนต่างๆ ไม่สามารถระบายความร้อนออกไปได้เท่าที่ควร ซึ่งอาจก่อให้เกิดการอับชื้นขึ้นและยิ่งเป็นช่วงฤดูร้อนก็อาจจะก่อให้เกิดโรคผิวหนังได้เลยทีเดียวล่ะ 3. ช่วยควบคุมฮอร์โมน Cortisol ที่มีความเชื่อมโยงกับความเครียดไม่ให้เพิ่มสูงจนเกินไป Cortisol นั้นเป็นฮอร์โมนที่มีความเชื่อมโยงกับความกังวล และความเครียด ซึ่งโดยปกติแล้วมันมักจะเพิ่มขึ้นตอนที่เราหลับอยู่ อันเนื่องมาจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นของร่างกาย แต่ถ้าเรานอนแก้ผ้ามันจะช่วยให้ร่างกายของเราสามารถควบคุมอุณหภูมิของร่างกายเราได้ง่ายกว่า…
-
นักจิตวิทยาฮาร์วาร์ดเผย ผู้คนตัดสินคุณจากการเจอครั้งแรก ด้วยหลักการ 2 ข้อเท่านั้น!!
ว่ากันว่าผู้คนจะตัดสินคุณจากการพบเจอกันในครั้งแรก แต่คุณเคยรู้จริงๆ หรือไม่ว่า “สิ่ง” ที่พวกเขาตัดสินนั้นมันคืออะไร? บทความต่อไปนี้เป็นผลมาจากการศึกษาของศาสตราจารย์ Amy Cuddy นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับ First Impressions (ความประทับใจแรกพบ) ร่วมกับ Susan Fiske และ Peter Glick มานานกว่า 15 ปี จนพวกเขาค้นพบรูปแบบบางอย่างที่น่าสนใจเข้าให้ ศาสตราจารย์ Amy ได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า Presence โดยกล่าวว่าผู้คนมักจะมองเพียง 2 อย่างให้ครั้งแรกที่เจอกัน คือ 1. ฉันสามารถไว้ใจคนนี้ได้ไหม? 2. คนๆ นี้น่าเคารพหรือเปล่า? ทั้ง 2 อย่างที่กล่าวมานี้มีความสำคัญกับกลุ่มคนหลายๆ กลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำงานกับคนเยอะๆ หรือคนที่ต้องติดต่อธุรกิจสำคัญๆ เพื่อให้มีความมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถมากพอที่จะรับมือกับการเจรจาหรือธุรกิจของคุณนั่นเอง “จากมุมมองของการวิวัฒนาการ มันมีความสำคัญต่อการอยู่รอดของพวกเรามากที่จะรู้ว่าใครเหมาะสมที่จะไว้เนื้อเชื่อใจ” ศาสตราจารย์ Amy กล่าว หากคิดดีๆ แล้วสิ่งที่ศาสตราจารย์ Amy…
-
รวม 18 สถานที่ซ่อนเงิน สำหรับพ่อบ้านใจกล้า ไม่ได้อยากท้าทาย… แต่เพื่อความอยู่รอด
เมื่อคน 2 คนตกลงปลงใจกันใช้ชีวิตคู่แล้ว ไม่ว่าอะไรก็ต้องแบ่งปันกัน ไม่ว่าจะบ้าน ข้าวของเครื่องใช้ หรือเงิน เพราะถือว่าเป็นคนๆ เดียวกันแล้ว แต่บางครั้งแม่กวางน้อยก็ออกจะโหดกับพ่อบ้านไปสักนิด เพราะพวกเธอจะไม่ค่อยยอมให้หนุ่มๆ เอาเงินไปซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเขาอยากได้ ด้วยเหตุผลว่าอาจจะเปลืองเงิน หรือควรจะเก็บเงินไว้ทำอย่างอื่นมากกว่า ในบทความนี้#เหมียวฟิ้นเลยรวบรวมและหาสถานที่เหมาะๆ ที่เหล่าพ่อบ้านพอจะใช้เป็นแหล่งพักเงินชั่วคราวของพวกเขาได้ มีที่ไหนน่าสนใจและไม่เคยเห็นบ้าง เราจะมาแฉ เอ้ย เราจะมาแนะนำกันนะ… 1. กล่องใส่รองเท้าเก่าๆ แต่ควรเก็บกล่องไว้ในที่ปลอดภัยๆ นิดนึงนะ เพราะแม่กวางน้อยอาจจะเอาไปทิ้งวันไหนก็ไม่รู้ 2. เจาะช่องใต้พรมให้พอดีแล้ววางเงินลงไป (แต่ควรเจาะในที่ที่ห่างจากทางเดินนิดนึงนะ ไม่งั้นอาจจะหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว) 3. ซ่อนไว้ในตุ๊กตาของลูกๆ (จำแม่นๆ หน่อยนะว่าอยู่ในตัวไหน) 4. ซ่อนไว้ในแจกัน 5. ซ่อนไว้ในเข็มขัด ติดตัวเราไปตลอดเวลา แทบไม่เหลือร่องรอย 6. บ้านใครมีคอม ลองแงะออกมาแล้วยัดเงินลงไปเลย 7. ถ้านาฬิกาแขวนของคุณสามารถเปิดออกได้ ก็ใส่เงินลงไปเลย …
-
ดักแก่… ย้อนรำลึกไปกับ 10 รายการโปรดในอดีต ทำให้รู้สึกอยากนั่งไทม์แมทชีนไปดูอีกครั้ง
ย้อนกลับไปในสมัยที่เราๆ ยังเป็นเด็ก สมัยที่อินเตอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายเท่าในปัจจุบัน เราทุกคนล้วนเติบโตมากับทีวีและรายการต่างๆ มากมาย หลายๆ รายการสนุกและสามารถเรียกเรทติ้งได้ดีจนอยู่ต่อมาอีกหลายปี แต่มันคงไม่มีอะไรยั่งยืนถาวร รายการต่างๆ ก็ค่อยๆ ปิดตัวลงไป วันนี้ #เหมียวฟิ้นก็เลยจะมาดักแก่ เอ้ย! พาย้อนความหลังไปดูรายการดังๆ ในอดีตกัน ดูว่ามีรายการไหนเป็นรายการโปรดของคุณบ้าง หรือมีรายการไหนที่คลับคล้ายคลับคลาว่าอยู่ในความทรงจำของคุณบ้าง? 1. เบ๊น-โบ๊ท Love English รายการทีวีโชว์สำหรับเด็ก ที่จะมีคนมาสวมชุดมาสคอตเป็นเบ๊น โบ๊ท ป็อปและแนน (อารมณ์กคล้ายๆ กล้วยหอมจอมซน) ที่มักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กและการเรียน รวมไปถึงเรื่องซนๆ ที่พวกเขาไปทำเอาไว้ มีทั้งแบบที่เป็นคนแสดงและเวอร์ชั่นที่เป็นการ์ตูนด้วย ในสมัยก่อนมีการนำเอาตัวละครเหล่านี้ไปออกงานตามโรงเรียนด้วยนะ มีใครได้เจอพวกเขาบ้างหรือเปล่า? 2. ผึ้งน้อย Super Game รายการนี้ถ้า#เหมียวฟิ้นจำไม่ผิด จะมีคุณตี๋อ้วนเป็นพิธีกร และเปิดโอกาสให้เด็กๆ สมัครเข้าไปเพื่อเล่นเกมแข่งขันตะลุยด่าน ออกอากาศช่วงเช้าวันเสาร์ก่อนการ์ตูนจะมา 3. Jukebox Game เกมโชว์รายการนี้อยู่ในความทรงจำของ#เหมียวฟิ้นมาจนทุกวันนี้ จะออกอากาศทุกคืนวันจันทร์หลังละครจบ มีพิธีกรเป็นคุณตุ๊ก ญาณี และไก่…
-
เข้าสู่ด้านมืด… 8 เอกลักษณ์ของ Darth Vader มหาวายร้าย ที่คนทั้งจักรวาลควรเกรงกลัว!!
หากพูดถึงตัวร้ายที่ร้ายที่สุดในโลกภาพยนตร์ เชื่อว่าชื่อของ Darth Vader แห่งจักรวาลของ Star Wars จะต้องติดโผมาเป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน และเนื่องในโอกาสที่ Rogue One เข้าฉายอยู่ในโรงขณะนี้ #เหมียวฟิ้น เลยลองนำเอาตัวละครนี้มาวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นตัวร้ายอันทรงพลัง ที่เราและคนทั้งกาแล็กซี่ควรเกรงกลัว 1. เสียงหายใจดูน่าเกรงขาม เมื่ออยู่ใกล้ (เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากปากของ Diego Luna ผู้รับบทเป็น Cassian Andor ใน Rogue One โดยเขาเล่าขณะไปออกรายการทีวีว่า “ผมเข้าไปคุยกับผู้กำกับ แล้วก็ได้ยินเสียงหายใจ ผมหันไปแล้วก็เจอ Lord Vader ตัวจริงเสียงจริง เขามีกล่องตรงหน้าอก เป็นลำโพงแล้วก็มีเสียงหายใจดังออกมา ผมนี่ตัวสั่นเลย”) เรามีคลิปเวอร์ชั่น 10 ชั่วโมงมาให้ฟัง…เผื่อใครอยากฟังแบบยาวๆ… 2. เครื่องแต่งกาย ชุดของ Darth Vader นั้นมีสีดำทะมึน มีแผงวงจรและหมวกที่ช่วยปิดบังใบหน้า สีดำของชุดแสดงถึงความน่ากลัวและลึกลับ ไลท์เซเบอร์สีแดงแห่งความชั่วร้าย เมื่อใส่รวมกันแล้วทำให้คุณรู้สึกไม่ไว้วางใจเพราะไม่รู้ว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังตัวละครนี้กันแน่ …
-
เปิดเรื่องราว Mary Cotton ฆาตกรต่อเนื่องสาวคนแรกของอังกฤษ จนถูกนำไปทำเป็นหนัง
เราคงเคยได้ยินคำว่า “ฆาตกรต่อเนื่อง” กันมาจนชินหู แต่ไม่มีใครเคยรู้ว่าคำนี้เกิดมาได้ยังไง และใครคือฆาตกรต่อเนื่องคนแรกกันแน่? หากคุณสงสัยเหมือนกับ #เหมียวฟิ้น ล่ะก็ วันนี้เราจะขอชวนทุกๆ คนมาเปิดเรื่องจริงชวนขนลุกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อราวๆ 150 ปีที่แล้วกัน นี่คือเรื่องราวของหญิงสาวชาวอังกฤษยุควิคตอเรียเมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้ว ที่ชื่อว่า Mary Ann Cotton เธอเป็นทั้งหญิงสาว เป็นภรรยา เป็นแม่คน และเป็นฆาตกรเลือดเย็นเช่นกัน จากการศึกษาเรื่องราวของเธอที่เคยมีการบันทึกเอาไว้ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าในระหว่างปี 1860 ถึงปี 1872 เธอได้ฆ่าสามีของตัวเองไป 3 คน และลูกๆ อีกกว่า 11 คน จนกลายเป็นที่โจษจันของคนทั่วสหราชอาณาจักรว่าเธอคือฆาตกรต่อเนื่อง ตามการจดบันทึกบอกว่านาง Mary Cotton ได้ใช้สารหนูในการวางยากับเหยื่อของเธอทุกๆ คน ซึ่งทำให้เกิดอาการอาเจียน ท้องเสียอย่างรุนแรง ร่างกายขาดน้ำและเสียชีวิตในที่สุด เพื่อให้คนอื่นๆ เข้าใจว่าพวกเขาตายเพราะอาการป่วยไข้แทนที่จะเป็นการฆาตกรรม นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่ายอดผู้เสียชีวิตจากน้ำมือของเธอจริงๆ แล้วน่าจะสูงถึง 21 คนด้วยซ้ำ Ian Smyth Herdman นักวิจัยที่ใช้เวลาในการศึกษาเรื่องราวของเธอนานกว่า 30…
-
กลุ้มใจ!! 10 ปัญหาของที่สาว “อกใหญ่” ต้องเจอ ใครไม่ใหญ่จริง ไม่เข้าใจพวกเธอหร๊อก
มีสาวๆ บนโลกใบนี้จำนวนมาก ที่เกิดมาพร้อมกับหน้าอกเล็กๆ หน้าอกปานกลาง แต่มีความคิดที่อยากจะไปเสริมให้มันใหญ่ขึ้น นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือแปลกอะไรหรอกนะ เพราะมันทำให้เราดูดีดูเซ็กซี่มากขึ้น แต่คุณรู้ไหมว่าการเป็นสาวอกใหญ่นั้นต้องเจอกับปัญหาอะไรบ้าง? ในชีวิตประจำวันของพวกเธอต้องเจอกับเรื่องแย่ๆ ร้อยแปด แม้จะมีหุ่นที่เซ็กซี่กว่าคนทั่วไปก็ตาม และวันนี้#เหมียวฟิ้นได้รวบรวมเอาส่วนหนึ่งของปัญหาเหล่านั้นมาเล่าให้ทุกๆ คนได้ฟังกัน ก่อนที่จะตัดสินใจไปเสริมอึ๋มล่ะ 1. คุณไม่สามารถใส่เสื้อเชิ้ตแบบปกติได้ เพราะเมื่อใส่แล้ว หน้าอกของคุณจะไปดันกระดุมให้อ้าออก มันจะทำให้คุณดูโป๊ทันที 2. หาชุดชั้นในที่พอดีๆ ใส่ยาก บราส่วนใหญ่จะมีขนาดพอดีกับหน้าอกไซส์ทั่วๆ ไป และหน้าอกแบบเล็กๆ แต่หากใหญ่เกินไปจะหาบรายากมาก 3. ผู้คนรอบข้างมักจะวิจารณ์ขนาดหน้าอกของคุณ คนรอบข้างทั้งที่สนิทและไม่สนิท มักจะวิจารณ์เรื่องขนาดหน้าอกของคุณแบบไม่สุภาพและไม่ให้เกียรติ โดยที่พวกเขาไม่เคยรู้ตัว 4. ผู้คนมักถามว่าคุณเจ็บหลังหรือเปล่า? อันที่จริงมันก็เป็นการแสดงความเป็นห่วงเป็นใยดีอยู่หรอกนะ แต่มันคล้ายๆ กับการที่คุณถามว่า “คุณไม่หนักนมบ้างเหรอ?” 5. การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ยากสำหรับบางคน การที่คุณมีหน้าอกใหญ่มากๆ ทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร เช่นการวิ่ง …กระเพื่อมจนเจ็บเลยล่ะ… 6. ใส่เสื้อผ้าไซส์พอดีตัวมากไม่ได้ แน่นอนว่าพอหน้าอกของคุณใหญ่แล้ว มันจะทำให้คุณดูเซ็กซี่มากกว่าคนอื่น การเลือกใส่เสื้อผ้าพอดีตัวจะเป็นการโชว์สัดส่วนที่มากเกินไป 7.…
-
เคยเป็นไหม!? “L’appel Du Vide” อาการของคนอยากโดดจากที่สูง แตกต่างจากฆ่าตัวตาย
คุณเคยไปอยู่ในที่สูงๆ แล้วเกิดความรู้สึกแปลกๆ ว่าอยากจะลองกระโดดลงไปบ้างไหม? ถ้าคุณเคยแต่หาคำอธิบายเกี่ยวกับความรู้สึกนั้นไม่ได้ล่ะก็ วันนี้#เหมียวฟิ้นจะมาอธิบายเอง ไอ้เจ้าอาการที่ว่านี้ดูจะไม่มีคำอธิบายหรือถูกบัญญัติไว้ในภาษาอื่นแบบชัดๆ แต่ในภาษาฝรั่งเศสมีคำเฉพาะเลย นั่นคือ “L’appel Du Vide” (ลาปเปล ดูวีด) แปลเป็นไทยแบบตรงๆ ว่า “เสียงเรียกจากช่องว่าง” อาการที่ว่านี้เป็นอาการของคนที่อยากกระโดดลงจากที่สูงๆ เช่นบนตึกหรือบนยอดเขา ทุกครั้งที่ไปอยู่ตามสถานที่เหล่านี้จิตใต้สำนึกจะสั่งเราว่าให้โดดลงไปเพราะอยากรู้ว่าเมื่อลงไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น!? แต่จะแตกต่างจากความรู้สึกของคนที่อยากกระโดดลงไปเพราะอยากฆ่าตัวตาย เรื่องนี้ได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรัฐฟลอริดา และกลายเป็นบทความที่ชื่อว่า Journal of Affective Disorders ถูกตีพิมพ์เมื่อปี 2011 ในการค้นคว้าของเขาพบว่ามีผู้คนประมาณ 30% ที่ทำแบบสอบถามยอมรับว่า พวกเขาเคยมีอาการเหล่านี้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง อาการแปลกประหลาดนี้อาจมีผลชั่วคราวต่ออการรับรู้ของสมอง นักวิจัยสงสัยว่าระบบที่ว่านี้อาจเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็วทำให้เราไม่สามารถควบคุมสติได้ในชั่วเวลาหนึ่งจนมีความคิดอยากกระโดดแล่นเข้ามาในสมอง ในขณะที่คนอื่นๆ เกิดความรู้สึกแบบนี้ได้ช้ากว่า จนสามารถควบคุมความรู้สึกอยากกระโดดเอาไว้ได้ ใครที่เคยเกิดอาการแบบนี้ก็ไม่ต้องตกใจไปว่าคุณจะกลายเป็นโรคจิตหรืออยากฆ่าตัวตายนะ เพราะมีคนที่มีอาการแบบนี้อยู่ทั่วโลกเลย แต่มันก็เป็นแค่ชั่วคราว และสมองของเราจะสั่งการโดยอัตโนมัติเองว่า “อันตราย ถอยออกมาหน่อย” แล้วตัวคุณล่ะ… เคยมีอาการแบบที่ว่าบ้างรึเปล่า!? เรียบเรียงโดย…
-
จริงหรือไม่? ว่ากันว่า ผู้หญิงถึงขับรถได้แย่กว่าผู้ชาย แต่กลับประสบอุบัติเหตุน้อยกว่า?
คุณเคยรู้สึกไหมว่าทุกครั้งที่เจอคนขับรถยนต์ที่มีพฤติกรรมแย่ๆ บนท้องถนน คุณจะต้องคาดคะเนไปก่อนแล้วว่าคนขับรถคันนั้นจะต้องเป็นผู้หญิงไว้ก่อน (แม้แต่ผู้หญิงบางคนก็มีความคิดแบบนี้เช่นกัน) จนมันกลายเป็นอุปทานหมู่ไปแล้วว่าผู้หญิงขับรถแย่กว่าผู้ชาย ทั้งที่ความจริงแล้วอาจจะเป็นผู้ชายหรือเพศอื่นๆ ก็ได้ เรื่องนี้มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน ถึงขนาดคู่รักหรือสามีภรรยาหลายคู่ต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องการขับรถเลยก็มี แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของ “ความรู้สึก” เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีผลสำรวจและงานวิจัยออกมาชี้ชัดอยู่หลายชิ้นทีเดียว อย่างเช่นเมื่อปี 2014-2015 ทางรัฐบาลอังกฤษได้จัดทำสถิติออกมา ผลที่ได้คือผู้หญิงอายุราวๆ 17 – 50 ปี มีโอกาสสอบใบขับขี่ผ่านในครั้งแรกน้อยกว่าผู้ชาย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้หญิงกลับมีความตระหนักเรื่องอุบัติเหตุมากกว่าผู้ชาย เพราะพวกเธอมักจะคาดเข็มขัดนิรภัยมากกว่าผู้ชาย ผลสำรวจบอกว่าวัยรุ่นสาวอายุ 17 ปี มีโอกาสสอบใบขับขี่ผ่านในครั้งแรกเพียง 7% เท่านั้น เมื่อเทียบกับวัยรุ่นผู้ชายในวัยเดียวกัน ส่วนสาวๆ ที่สอบไม่ผ่านหลายคนกลับมองว่าการที่พวกเธอสอบไม่ผ่านนั้น อาจเป็นเพราะผู้คุมสอบมีอคติต่อพวกเธอก็เป็นได้ เช่นเดียวกับหญิงสาวชาวอังกฤษที่ชื่อว่า Angela Clarke วัย 35 ปี Angela เริ่มสอบใบขับขี่ครั้งแรกตอนที่เธออายุได้ 18 ปี แต่ก็สอบไม่ผ่าน จนมาสอบอีกครั้งตอนที่เธออายุ 35 เป็นครั้งที่ 3 ถึงจะผ่าน…
-
ชีวิตแค่โดนทำร้าย… นี่คือ 14 กิจกรรม ที่คุณควรทำ เมื่ออกหักเลิกรากับแฟน!!!
ความรักกับความเจ็บปวดมันเป็นของคู่กันอยู่แล้ว ในเมืองมีพบก็ต้องมีจากลาเป็นของคู่กัน แต่คนทุกคนใช่ว่าจะมีภูมิต้านทานความเจ็บเหมือนๆ กันนะ บางคนเลิกรากันไปแล้วยังสามารถลุกเดินต่อได้ แต่บางคนก็เจ็บเจียนตายประหนึ่งว่าชีวิตนี้จะหาความสุขไม่ได้อีกแล้ว #เหมียวฟิ้น เลยนำเสนอ 14 กิจกรรมตัวช่วย ที่คุณควรทำหลังจากเพิ่งเลิกรากับแฟนเก่า เชื่อเถอะว่าไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง ที่คุณทำแล้วมีความสุขได้แน่ๆ 1. เปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ ฟังดูไม่ค่อยเมคเซ๊นส์เท่าไรไหม แต่… คุณอาจจะเคยอาศัยนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน หรืออาจจะทำกิจกรรม…(นั่นแหละ) ด้วยกันมาก่อน ทั้งนี้มันเหมือนการเริ่มต้นใหม่ๆ เพื่อสลัดภาพความทรงจำนั้นออกไป เปลี่ยนผ้าปูที่นอนซะนะ 2. บอกลาโซเชียล บางคนไม่เข้มแข็งพอ เห็นทวีตเห็นสเตตัสของเขาก็กระวนกระวายใจ พักเสียบ้าง หยุดเดินตามเขาแล้วอยู่กับตัวเองเยอะๆ 3. สร้างเพลย์ลิสต์ใหม่ เอาให้ตี๊ดๆ อาจจะมีเพลงบางเพลงที่เขามอบให้คุณ หรือพวกคุณเคยฟังด้วยกัน พอฟังทีไรก็นึกเจ็บปวดรวดร้าวทุกที ลบมันออกไป แล้วหาเพลงใหม่ๆ ใส่ลงไปซะนะ 4. ร้องไห้ ร้องมันออกมา!! การร้องไห้ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะนี่แหละคือการระบายที่ดีที่สุด ร้องมันออกมาค่ะลูก ระบายมันออกมาให้หมด!! 5. เปลี่ยนลุคใหม่ ไฉไลกว่าเดิม มันแน่นอนอยู่แล้วที่เมื่อคุณเลิกรากันไป จะต้องเปลี่ยนลุคให้ดูดีขึ้น บางคนอาจจะเปลี่ยนเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกเสียดายคุณ…
-
นักวิจัยต่างประเทศกล่าว… ครอบครัวที่เข้มงวดกับลูกมากไป อาจทำให้เด็กเป็นคนขี้โกหก
ในวัยเด็กของเราทุกคนคงจะเคยถูกเลี้ยงดูมาโดยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป พ่อแม่บางคนอาจจะเลี้ยงลูกแบบถนุถนอม บางคนเลี้ยงด้วยเหตุผล บางคนเลี้ยงด้วยไม้เรียว บางคนอาจจะสร้างกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการเลี้ยงลูกแบบเข้มงวดมากๆ นั้น จะส่งผลเสียกับพฤติกรรมของลูกในระยะยาวได้นะ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลีเมล์ได้เปิดเผยบทสัมภาษณ์ของนักจิตอายุรเวทและนักเขียนหนังสือชื่อดังชาวอังกฤษ Philippa Perry บอกว่าการที่พ่อแม่เข้มงวดกับลูกมากเกินไปนั้น จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่อยากบอกความจริงกับพวกคุณ Philippa บอกว่าทุกๆ คำโกหก ล้วนก่อตัวมาจากสถานการณ์ที่บังคับให้พวกเขาไม่สามารถพูดความจริงทั้งหมดได้ หากลูกๆ ของพวกเขากลายเป็นคนขี้โกหกล่ะก็ พ่อแม่ควรจะโทษการเลี้ยงดูของพวกเขาเอง การให้ความเห็นของเธอไม่ได้เป็นการกล่าวขึ้นมาลอยๆ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีงานวิจัยของนักจิตวิทยาชาวแคนาดา Dr. Victoria Talwar ที่วัดและทำการทดลองกับเด็กโกหกมาแล้ว Dr. Talwar ได้ทำการทดลองกับเด็กๆ ในโรงเรียนสองแห่งในประเทศแอฟริกาตะวันตก โดยในโรงเรียนแรกจะไม่มีการตั้งกฎเกณฑ์ใดๆ ปล่อยสบายๆ ส่วนอีกโรงเรียนจะตั้งกฎไว้อย่างเข้มงวดและมีบทลงโทษด้วย การทดสอบนี้ก็ง่ายๆ แค่ให้เด็กๆ เดาว่าวัตถุอะไรที่ทำให้เกิดเสียง โดยห้ามมองวัตถุนั้น เธอเรียกการทดลองนี้ว่า Peeping Game เมื่อการทดลองเริ่มขึ้น พวกเขาให้เด็กๆ เข้าไปในห้อง แล้วผู้ทำการทดลองก็โยนบอลพลาสติกลงกับพื้น (ซึ่งมีเสียงแตกต่างจากบอลจริงๆ จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะคาดเดา) จากนั้นผู้ทำการทดลองก็ทำทีเป็นเดินออกไปข้างนอก แล้วกลับเข้ามาถามว่าเสียงที่ว่านั้นคืออะไร Dr.…
-
ชวนรู้จัก ซอสหม่าล่า “แมวคาบพริก” กับการตั้งชื่อแบรนด์สุดแนว และผลิตภัณฑ์สุดคูล!!
เมื่อไม่นานมานี้#เหมียวฟิ้นได้มีโอกาสไปเจอเข้ากับผลิตภัณฑ์ซอสหน้าตาแปลกๆ พร้อมกับชื่อแบรนด์สุดฮา ที่ทำให้เราต้องหันกลับมาดูอีกทีเลยว่า “นี่มันใช่ชื่อแบรนด์จริงๆ ใช่ไหม?” ซอสที่ว่านี้คือซอสหม่าล่า ตราแมวคาบพริก นั่นแหละคุณอ่านไม่ผิด เขาใช้ชื่อแบรนด์ว่าแมวคาบพริกจริงๆ… ด้วยความแนวของชื่อนี้เอง ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะกลับมาหาข้อมูลว่าผู้ผลิตไปใคร? ทำไมถึงได้ตั้งชื่อแบรนด์ได้แหวกแนวจากผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันขนาดนี้? วันนี้เราก็เลยจะพาคุณไปคุยกับคุณคม ชัยบดินทร์ ชัยชมภู (คนกลาง) หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์แมวคาบพริกร่วมกับพี่ๆ หุ่นส่วนอีก 2 คนคือคุณเอกพรรดิ์ สายันตนะ และคุณสราวุธ ศรีวิชัย มาดูซิว่าเขามีแนวคิดเรื่องการตั้งชื่อ และความยากง่ายในการทำธุระกิจยังไงบ้าง? เหมียวฟิ้น: อยากถามเรื่องแบรนด์หน่อยครับ มีที่มาที่ไปยังไง? คุณคม: พอดีผมเลี้ยงแมวครับ แล้วมันเป็นแมวที่ตลกๆ ฮาๆ ปนโหดๆ มันจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เลยทำแบรนด์นี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึง โดยดึงความสนุกสนานฮาๆ เอามาออกแบบแบรนด์ครับ แล้วที่คาบพริกนี้คือซอสมันเผ็ดครับ เหมียวฟิ้น: แมวตัวนั้นชื่ออะไรเหรอครับ? คุณคม: ชื่อกอลั่มครับ เพราะตอนได้มาไม่มีขนเลย เหมือนกอลั่มใน The Lord of The Ring เหมียวฟิ้น: ทำไมถึงกล้าตั้งชื่อแปลกแหวกแนวขนาดนี้ครับ? คุณคม: เพราะอยากให้ลูกค้าจำแบรนด์ของเราได้ครับ ฮาๆ ไว้ก่อนครับผม เหมียวฟิ้น: ทำไมถึงอยากทำซอสขายเหรอครับ? หรือปกติแล้วเป็นคนชอบทำอาหารหรือเปล่า?…
-
รวม 21 ประโยคน่าเบื่อที่ ‘สาวชอบซื้อเครื่องสำอาง’ ได้ยินบ๊อยบ่อย จนเหนื่อยใจเหลือเกิน!!
เชื่อว่าสาวๆ แทบทุกคนนั้นมีปัญหาคล้ายกัน นั่นก็คือเวลาที่พวกเธอเดินผ่านไปตามร้านขายเครื่องสำอางจะต้องขอแวะเข้าไปดูคอลเล็คชั่นตลับแป้งใหม่ๆ ลิปสติกแท่งใหม่ๆ แม้ว่าโต๊ะเครื่องแป้งของพวกเธอจะไม่มีที่เหลือพอสำหรับวางสิ่งใดแลวก็ตาม และสาวๆ หลายคนก็จะถูกคนรอบข้างบ่นอยู่ตลอดว่าทำไมต้องซื้อเครื่องสำอางเยอะแยะ บ่นด้วยประโยคซ้ำๆ เดิมๆ จนพวกเธอเองก็เหนื่อยหน่ายใจที่จะตอบโต้คำพูดเหล่านั้น วันนี้พวกเธอจึงฝากคำตอบให้#เหมียวฟิ้นมาบอกคนเหล่านั้นหน่อย ดูซิว่ามีประโยคไหนที่พวกเธอเอือมและเบื่อสุดๆ กันบ้าง? 1. “ซื้อทำไมนักหนาเงินมีก็เก็บบ้าง” (ก็ไม่ได้ขอเงินใครมาซื้อนะยะ) 2. “ปากมีปากเดียวซื้อทำไมหลายแท่ง” (เธอยังมีหน้าอกคู่เดียวเลย ทำไมต้องซื้อชั้นในหลายตัวห่ะ!!) 3. “แต่งไปก็ไม่สวยขึ้นหรอก” (โหย นี่ถ้าไม่แต่งก็ผีละจ่ะ!!) 4. “ใช้รองพื้นก็ไม่ถูกเบอร์ หน้าลอยหมดละ” (ก็เรียนรู้กันไป บางทีก็อยากอินดี้มะ) 5. “เขียนคิ้วไม่เท่ากันว่ะแก” (บางทีมันก็เล็งยาก เดี๋ยวขอตัวเข้าห้องน้ำแป็บ) 6. “นั่นขนตาหรือกันสาด” (แกไม่เข้าใจอะไร นี่นมันงานอาร์ต มันต้องเด่นไว้ก่อน) 7. “ปัดแก้มขนาดนี้จะไปเล่นละครลิงเหรอ?” (เออ เรื่องของฉัน) 8. “หน้าละลายหมดแล้วแก” (ฮือออ ไปเติมหน้าแป็บ) …
-
รวม 8 ประโยคปริศนา ที่แฟนพูดขึ้นมา โปรดเลือกคำตอบให้ดีๆ ไม่งั้นมีดราม่าแน่!!
สำหรับคนมีแฟนแล้ว การที่จะคบกันไปเรื่อยๆ ให้ความสัมพันธ์ยังคงแฮปปี้ตลอดเวลา โดยไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเลยนี่ มันช่างเหมือนกับการถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเลยนะ เพราะแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเห็นพ้องต้องกันไปซะหมด มันจะต้องมีบางเรื่องที่เรากับเขาเห็นต่างกัน ด้วยเหตุนี้เอง#เหมียวฟิ้นก็เลยลองมาคิดเล่นๆ ว่ามีประโยคหรือคำพูดแบบไหนบ้าง ที่อาจก่อให้เกิดการทะเลาะกัน? หรือคำถามใดบ้างที่คุณควรระมัดระวังคำตอบเป็นพิเศษ เราลองมาดูกัน 1. “ตัวเองว่าเค้าแต่งชุดนี้สวยไหม?” หากคุณเป็นคนไม่ค่อยมีความรู้เรื่องแฟชั่นเท่าไหร่ คำถามนี้อาจจะยากสำหรับคุณ แต่ลองสักตั้ง ใช้สีสันเข้ามาช่วยประกอบการตัดสินใจ ถ้าสีที่เธอใส่ไม่เลวร้ายจนเกินไป ให้บอกไปว่า “สีนี้ดูเข้ากับเธอมากเลย 2. “กินอะไรก็ได้” หากเธอพูดประโยคนี้ออกมา นั่นไม่ได้หมายความว่าเธออยากกินอะไรก็ได้จริงๆ แต่เธออยากจะกินอะไรก็ได้ที่เธออยากกิน ไม่ว่าคุณจะพูดชื่อเมนูอะไรก็ตาม ถ้าเธอปฏิเสธและหงุดหงิดมาอย่าเพิ่งท้อ ให้ลองทะล่อมถามเธอว่ามีอะไรที่เธออยากกินไหม? นั่นแหละทางแก้ปัญหาของคุณ 3. “ไปไหนก็ได้” นี่ก็เหมือนกับประโยคบน คือพวกเธอไม่ได้อยากไปไหนก็ได้ แต่อยากไปที่ไหนสักที่ที่เธออยากไป ลองใช้สมองเล็กๆ ของพวกเราประมวลผลดูซิว่าเธอเคยไปที่ไหนแล้วถูกใจเป็นพิเศษ นั่นอาจจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องก็ได้นะ 4. “เค้าแต่งหน้าดียังตัวเอง?” แน่นอนว่าตัวผู้แบบพวกเรามันจะไปเข้าใจศาสตร์การแต่งหน้าแบบพวกเธอได้อย่างไร แต่ก็ลองสังเกตดูตาของเธอว่าเลอะไปไหม ลิปสีเหมือนกับที่เคยทาหรือเปล่า เท่านี้ก็น่าจะช่วยให้คุณเอาตัวรอดจากการโดนด่าว่าไม่เอาใจใส่ได้แล้ว 5. “แล้วแต่” ถ้าคุณบอกเธอว่าจะออกไปไหนสักที่ หรือทำอะไรสักอย่าง แล้วเธอตอบเป็นประโยคนี้กลับมา…
-
[เหมียวรีวิว] ทดสอบชิม ‘ไอศกรีมหนองโพ’ 8 รสชาติ มาดูว่า… รสไหนเด็ดรสไหนแจ่มสุด!!
หากใครที่ตามอ่านเพจเหมียวมาตลอดก็จะเห็นว่า เมื่อหลายวันก่อน #เหมียวฟิ้นได้ซื้อไอศกรีมหนองโพรสทุเรียนมาลองชิม ปรากฏว่ารสชาติอร่อยถูกใจเป็นยิ่งนัก เราก็เลยกลับไปเหมามาทุกรส เพื่อลองชิมว่ารสไหนอร่อยกว่ากัน แต่การชิมครั้งนี้ไม่ได้มี#เหมียวฟิ้นเพียงตัวเดียว แต่ยังฟีทเจอริ่งกับ #เหมียวหง่าว #เหมียวขี้อ้อน #เหมียวอ๊อดโด้ และ #เหมียวสามสี มาร่วมให้คะแนนความอร่อยด้วย ดูซิว่ารสไหนถูกใจชาวเหมียวมากที่สุด? ไอศกรีมที่เราเลือกมาในวันนี้มีด้วยกันทั้งหมด 8 รสชาติ กล้วย ชาเขียว ช็อคโกแลต สตรอเบอร์รี่ ชาไทย บลูเบอร์รี่ วานิลลา และทุเรียน (เสียดายที่หาซื้อรสนมไม่ได้) 1. รสวานิลลา กลิ่นหอมวานิลลา ไม่แรงมาก มีกลิ่นนมชัด สัมผัสนุ่มลิ้น เหมาะกับคนที่ชอบกินอะไรกลางๆ 2. รสชาไทย รสนี้จะมีกลิ่นแบบชาเย็นที่เราซื้อกันตามรถเข็น ถือว่าแปลกใหม่ดีสำหรับไอศกรีมที่วางตลาดทั่วๆ ไป (อันที่จริงแล้วก็เคยมีไอศกรีมรสนี้วางขายมาก่อน แต่ไม่ได้อยู่ในระดับแมสเท่าไหร่ ถือว่าหนองโพทำได้เข้มอร่อยทีเดียว) 3. ทุเรียน รสนี้บางคนอาจจะกังวลว่ากินแล้วจะเหม็น แต่#เหมียวฟิ้นจะบอกว่ามันไม่ได้เหม็นอย่างที่คิดนะ เพราะโดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่กินบ้างไม่กินบ้าง แต่พอทำมาในรูปแบบไอศกรีมก็ถือว่าอร่อยใช้ได้มาก กลิ่นทุเรียนกับนมผสมกันได้ลงตัว แต่มีข้อควรระวังเล็กน้อยคือ ต้องกินตอนเย็นจัดๆ ถ้าเริ่มละลายลงสักหน่อย…
-
15 ภาพยนตร์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘บทความนิตยสาร’ และ ‘พาดหัวหนังสือพิมพ์’ !!
ภาพยนตร์จอเงินมากมายนั้นส่วนใหญ่แล้วมักจะมาจากจินตนาการภายในความคิด สร้างสรรค์พล็อตเรื่องที่น่าสนใจขึ้นมา แต่ก็ยังมีบางส่วนที่นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงมาเป็นแรงบันดาลใจประกอบจนกลายมาเป็นเรื่องราวที่สามารถถ่ายทอดไปถึงผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยม และทั้งหมด 15 เรื่องดังต่อไปนี้ เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทความในนิตยสารและพาดหัวจากหนังสือพิมพ์แทบทั้งสิ้น จะมีเรื่องอะไรบ้าง และมีที่มาที่ไปจากไหน ตามมาอ่านกันได้เลย!! A Nightmare on Elm Street ภาพยนตร์สยองขวัญที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากพาดหัวของหนังสือพิมพ์ Los Angeles Times ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เสียชีวิตอย่างต่อเนื่องในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อมีผู้คนเสียชีวิตจากฝันร้ายสุดสะเทือนขวัญเป็นจำนวนมาก The Perfect Storm ภาพยนตร์การต่อสู้เอาชีวิตรอดของมนุษย์ท่ามกลางพายุเฮอร์ริเคน ได้รับแรงบันดาลใจมากจากบทความ The Storm ที่ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร Outside ในปี ค.ศ. 1994 จนกระทั่งได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสือ American Gangster ผู้เขียนบท Steve Zaillian และผู้กำกับ Ridley Scott ดัดแปลงเรื่องราวมาจากบทความ The Return of Superfly ตีพิมพ์ในนิตยสาร New York Magazine เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับขาขึ้นและขาลงของเจ้าพ่อค้ายา…
-
ถ้าใครกำลังอยู่ในช่วงขาลงของชีวิต ลองอ่านบทความนี้ดู รับรองว่าทำให้มีแรงขึ้นอีกเยอะ!!
ชีวิตก็เหมือนกับรถไฟเหาะ บางครั้งก็ขึ้นสูงจนน่าตกใจ และบางครั้งก็ลงต่ำจนน่าใจหาย สิ่งเดียวที่เราทำได้คือการเตรียมตัวและเตรียมใจให้พร้อมรับในทุกสถานการณ์ และวันนี้เหมียวอ๊อดโด้ มีข้อความเตือนใจดีๆ ที่ถ้าใครคนไหนกำลังอยู่ในช่วงขาลงของชีวิต ลองอ่านข้อความเหล่านี้ดู รับรองว่าจะทำให้รู้สึกดีขึ้นมากอย่างแน่นอน จะมีอะไรบ้าง ไปชมกันเลย คุณมีความหมายสำหรับใครบางคนบนโลกนี้เสมอ รอยยิ้มของคุณสามารถทำให้คนที่ไม่ชอบคุณมีความสุขได้ ทุกๆ คืน มีคนที่คิดถึงคุณทุกครั้งก่อนที่เขาจะนอน ถ้ามีใครซักคนเกลียดคุณ ส่วนมากเพราะพวกเขาอยากจะเป็นเหมือนคุณทั้งนั้นแหละ อย่างน้อยๆ ก็มีคนสองคนบนโลก ที่พร้อมจะให้คุณพักพิงเสมอ โดยทั่วไปแล้ว มีคนอย่างน้อยๆ 12 คนบนโลกนี้ ที่รักคุณในแบบของพวกเขา ชีวิตของเราสั้นเกินกว่าที่จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเสียใจ รักคนที่ทำดีกับคุณ และลืมคนที่ทำไม่ดีกับคุณไปซะ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นมาอย่างมีเหตุมีผลเสมอ แม้กระทั่งในความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต ก็ยังมีเรื่องดีๆ ออกมาให้คุณได้ชื่นชม เวลาคุณรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นใจให้คุณเลย ลองมองจากมุมอื่นดูสิ แล้วจะรู้ว่ามันไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่เลย จำไว้เสมอว่า เวลาคุณได้โอกาสในการแก้ตัวอีกครั้ง บอกตัวเองเสมอว่าครั้งนี้เราต้องทำสำเร็จ หากโอกาสครั้งใหม่ปรากฏขึ้นมา และชีวิตของคุณต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเพราะโอกาสนั้น จงปล่อยให้มันเป็นไป หลายคนบอกชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เชื่อเถอะ ทุกอย่างที่ทำไปนั้นคุ้มค่าแน่นอน…
-
ทำเองได้ไม่ต้องไปร้านพิซซ่า!! เหมียวเข้าครัวชวนทำ “พิซซ่าถ้วยยย” อร่อยง่ายๆ แบบถ้วยๆ
หากใครเป็นคนที่ชื่นชอบในรสชาติของพิซซ่า แต่ไม่อยากจะออกไปนั่งกินที่ร้านหรือสั่งมากินที่บ้านบ่อยๆ เพราะว่าแพงหรือขี้เกียจออกจากบ้าน วันนี้#เหมียวฟิ้นมีวิธีการทำพิซซ่าแบบง่ายๆ มาฝากกัน ซึ่งวัตถุดิบแต่ละอย่างนั้นหาได้ง่ายๆ ตามร้านสะดวกซื้อเลย เมนูที่เหมียวจะมาแนะนำนั่นก็คือ พิซซ่าถ้วย นั้นเอง โดยเมนูนี้เป็นสูตรของสมาชิกเว็บไซต์พันทิปที่ใช้ชื่อว่าคุณ anyabaggyHome วัตถุดิบและขั้นตอนจะเป็นยังไงนั้นไปชมพร้อมๆ กันเลย วัตถุดิบที่ต้องใช้ 1. เบคอน / แฮม 2. มอสซาเรล่าชี 3. ซอสมะเขือเทศ 4. ผงออริกาโน่ (หาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต) 5. ขนมปังแผ่น 6. เนยสด เรามาเริ่มต้นทำกันเลย ขั้นแรก นำขนมปังไปตัดขอบให้เรียบร้อย แล้วทาเนยลงไปบางๆ จากนั้นนำไปจัดวางลงในถ้วยให้สวยงามแบบนี้ จากนั้นทาซอสมะเขือเทศลงไปบนขนมปัง และนำเอาเบคอนลงไปวางเรียงกันแล้วโรยผงออริกาโน่ลงไป นำชีสที่เตรียมไว้ลงไปวาง และราดซอสมะเขือเทศลงไปอีกเล็กน้อย . หรือใครที่ไม่อยากกินแบบถ้วย แต่อยากกินแบบเป็นแผ่นๆ ก็ซื้อขนมปังแผ่นหนาแบบนี้มาทำ ขั้นตอนก็เหมือนกับทำพิซซ่าถ้วยทุกอย่างเลย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็นำเข้าตู้อบได้ ใช้อุณหภูมิที่ 260 องศา ประมาณ 12 นาที …
-
หนุ่มๆ ศึกษาไว้!! รวม 15 ของขวัญที่สาวๆ อยากจะได้ที่สุดในวันวาเลนไทน์ ใครให้นะรักตายเลย
ใกล้จะถึงวันวาเลนไทน์เข้าไปทุกทีๆ แล้ว สำหรับใครที่โสดก็ขออย่าได้ซีเรียสหรือโกรธเคืองอะไรกับคนมีคู่เลย เหล่าคนมีคู่ต่างหากล่ะ ที่กลุ้มหนักเพราะต้องคิดหาของขวัญมาเซอร์ไพรซ์คนรัก เพราะไม่รู้จะเอาอะไรให้พวกเขาดี หนุ่มๆ บางคนคิดยังไงก็คิดไม่ออก จนปล่อยให้ใกล้วันวาเลนไทน์ บางคนเลยตัดสินใจซื้อช็อคโกแลตหรือดอกไม้ตามสูตรเพื่อมอบให้เขา/เธอ ขอบอกเลยว่าบางทีมันอาจจะไม่เวิร์คก็ได้นะ ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวฟิ้น เลยออกสำรวจกับสาวๆ รอบๆ ตัวว่าพวกเธออยากจะได้อะไรเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์บ้าง? ซึ่งคำตอบที่ได้มานั้นหลากหลายมาก บางคำตอบทำเอาอึ้งไปก็มี หนุ่มๆ ลองมาศึกษาไว้ เผื่อจะได้ไอเดียดีๆ กลับไปนะ 1. หนังสือดีๆ สักเล่ม คุณอาจจะต้องศึกษาหน่อยว่าเขาเป็นคนยังไง มีบุคคลิกยังไง ชอบอ่านหนังสือแนวไหน แล้วเลือกเล่มที่คิดว่าเขายังไม่เคยอ่านแน่ๆ อันนี้ก็อาจจะใช้วิธีเนียนๆ ถามเจ้าตัว หรือถ้าไม่กล้า ลองถามคนใกล้ตัวเขาดูนะ 2. การ์ดบอกความในใจ ลองเขียนเรื่องราวดีๆ ที่คุณกับเธอเคยทำร่วมกันมา หรือช่วงเวลาฮาๆ ที่เธอแสดงให้คุณเห็น รับรองว่าเธอจะต้องประทับใจที่คุณเป็นคนช่างสังเกตแน่นอน 3. อะไรก็ได้ที่เกิดจากการประดิษฐ์หรือทำขึ้นมาเอง การที่หนุ่มๆ ลงมือทำอะไรสักอย่าง นั่นแปลว่าพวกเขาตั้งใจทำมันขึ้นมาจากความคิดสร้างสรรค์และความพยายาม ไม่ใช่การควักเงินในกระเป๋าจ่ายเพียงอย่างเดียว 4. ทานอาหารรสชาติอร่อยๆ ที่ร้านน่ารักๆ สักแห่ง ลองหาร้านที่คุณคิดว่าเด็ดพอจะมัดใจเธอมาสักร้านนึงซิ…
-
เพลงเศร้าไม่ได้หดหู่เสมอไป เพราะงานวิจัยชิ้นใหม่ชี้ “เพลงเศร้า” สามารถเพิ่มสุขภาพจิตที่ดีได้
หากจะพูดถึงเพลงที่ช่วยให้เรารู้สึกสดชื่น รู้สึกกระปรี้กระเปร่า อย่างเช่นเพลง Happy ของ Pharrell Williams ที่ไม่ว่าได้ยินตอนไหนคุณก็รู้สึกอยากขยับแข้งขยับขาและแหกปากร้องตาม แต่จากงานวิจัยชิ้นใหม่จากต่างประเทศชี้ว่า “เพลงเศร้า” ก็สามารถเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีได้ไม่แพ้เพลงให้กำลังใจหรือเพลงสนุกๆ เลยนะ ย้อนไปในปี 2014 มีนักวิจัยที่ชื่อว่า Liila Taruffi และ Stefan Koelsch จากมหาวิทยาลัย Freie ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน ได้ทำการศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับเพลงเศร้าและเหตุผลที่พวกเราชอบฟังมันจากกลุ่มคนกว่า 770 คนทั่วโลก และเมื่อทั้งคู่หาข้อสรุปได้แล้ว พวกเขาก็นำมันไปตีพิมพ์ลงในนิตยสาร PLOS ONE ทั้งนี้พวกเขาค้นพบว่าโดยรวมแล้วเพลงเศร้าสามารถทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกในเชิงบวกได้ เช่นความสงบ ความสามัคคี ความเมตตา นอกจากนี้งานวิจัยยังพบอีกว่าเพลงเศร้าทำให้คนเรารู้สึกเห็นอกเห็นใจมากขึ้น นั่นก็เพราะว่าเนื้อเพลงทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับศิลปินได้มากขึ้นนั่นเอง เราจึงสามารถที่จะได้สัมผัสกับความโศกเศร้าในจิตใจโดยไม่ต้องมี “ประสบการณ์ในชีวิตจริง” เช่นการจากลากับคนรัก หรือการตายจากกันไปก็ได้ การบริหารสุขภาพจิตดังกล่าวทำให้เราสามารถเข้าถึงตัวเราเองและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้ในเวลาที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเพลง, คำพูด, หรือศิลปะ เราก็สามารถเชื่อมต่อกับมันได้หากมันมีความเกี่ยวข้องกับเรา มันเกือบจะเหมือนกับการเข้าร่วมกลุ่มแลกเปลี่ยนปรับทุกข์กัน เพราะแต่ละคนจะมีประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันและแบ่งปันมันให้กับคนอื่นๆ ในกลุ่ม ทุกๆ คนจะได้อะไรดีๆ…
-
พวกเราไม่ใช่เด็กนะ!! รวม 20 คำพูดเบื่อๆ ที่คนสะสม “ของเล่น” ได้ยินแล้วปวดใจสุดๆ
ทุกวันนี้ เหมียวเห็นหลายๆ คนเริ่มหันมาสะสมของเล่น ฟิกเกอร์ โมเดลต่างๆ กันมากขึ้น อาจจะเพราะอานิสงจากภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่หลังแอนิเมชั่นต่างๆ ที่พากันออกของเล่นตามมาให้ให้แก่แฟนๆ ที่อยากจะมีโมเดลเหล่านั้นไว้ในครอบครองบ้าง แต่แน่นอนว่าการเป็น “ของเล่น” ทำให้ใครหลายๆ คนที่ไม่ได้ชื่นชอบมัน ไม่เข้าใจหัวอกของคนสะสม และเอาแต่ต่อว่าคนสะสมของเล่นต่างๆ นานา ทำให้เหล่านักสะสมพากันเอือมไปตามๆ กัน หากคุณเป็นนักสะสมแล้วล่ะก็ คุณอาจจะเคยได้ยิน 20 ประโยคเหล่านี้ จากปากของคนที่บ้านหรือแฟนของคุณแน่ๆ ไม่เชื่อไปดูซิ 1. “โตแล้วเขาไม่เล่นกันหรอกของเล่นน่ะ” (คือบางทีก็ซื้อมาไว้โชว์เฉยๆแมะ) 2. “ซื้อมาทำไมเยอะแยะ ไร้สาระ” (ทีสาวๆ ยังซื้อลิปสติกได้เป็น 10 แท่ง ทั้งทีหน้าตามันเหมือนๆ กัน) 3. “ซื้ออีกแล้ว เปลืองเงิน” (ถ้าเป็นเงินเรา ยังไงเราก็มีสิทธิ์ใช้จ่ายเพื่อความสุขของตัวเองจริงไหม) 4. “จะเก็บยังไงหมด” (มันมีที่เก็บก็แล้วกันน่า) 5. “เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่าไหม” (ก็อยากเอาเวลาไปสะสมของเล่นไง…