Tag: ประวัติศาสตร์
-
20 ภาพเปรียบเทียบ บุคคลจริง VS นักแสดงที่สวมบทบาท ดูซิว่ามีความคล้ายขนาดไหน!?
ภาพยนตร์หลายๆ เรื่องที่อิงจากประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงนั้น ก็จะมีการใช้นักแสดงในยุคนั้นๆ มารับบทบุคคลในประวัติศาสตร์ จึงทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า “ตัวจริง” ของบุคคลในประวัติศาสต์เหล่านี้มีหน้าตาอย่างไรกันแน่? เอาล่ะวันนี้ เรามาชม 20 ภาพเปรียบเทียบ ระหว่างบุคคลในประวัติศาสตร์กับดาราที่รับบทเป็นบุคคลผู้นั้น มาดูกันซิว่าจะมีความคล้ายความเหมือนขนาดไหนกันเชียว! 1. Ray Liotta รับบทเป็น Henry Hill ในเรื่อง Goodfellas 2. Daniel Brühl รับบทเป็น Niki Lauda ในเรื่อง Rush 3. Benedict Cumberbatch รับบทเป็น Alan Turing ในเรื่อง The Imitation Game 4. Charlize Theron รับบทเป็น Aileen Wuornos ในเรื่อง Monster 5. Hugh Jackman รับบทเป็น Phineas Taylor Barnum หรือ P.T. Barnum ในเรื่อง The…
-
พบ “สมุดคณิตฯ” ของเด็กจากศตวรรษที่ 18 พร้อมความอัศจรรย์ที่ J.K. Rowling ยังชม!
แน่นอนว่าในพิพิธภัณฑ์นั้นจะต้องมีสิ่งของเก่าๆ ซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์เก็บไว้มากมาย และก็ต้องยอมรับเลยว่าสิ่งของบางอย่างที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนก็ทำให้คนปัจจุบันอย่างเราถึงกับอึ้งได้เหมือนกัน อย่างเช่นล่าสุดที่ Museum of English Rural Life พิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษได้ค้นพบสมุดบันทึก (สมุดคณิตศาสตร์) จากอดีต 234 ปีที่แล้ว… สมุดเล่มดังกล่าวเป็นของ Richard Beale เด็กชายวัย 13 ปีจากเมื่อกว่าสองร้อยปีที่แล้ว ซึ่งสมุดเล่มดังกล่าวเป็นหนึ่งในบันทึกทั้ง 42 ชิ้นจากครอบครัว Beale ที่ทางพิพิธภัณฑ์ค้นพบ Museum of English Rural Life ได้ทำการจัดเก็บเอกสารและบันทึกเก่าๆ ให้เรียบร้อย ขณะที่พวกเขากำลังจัดการเอกสารและบันทึกเก่าๆ อยู่นั้น พวกเขาก็พบสมุดบันทึกของเด็กคนหนึ่งจากราว 200 กว่าปีที่แล้ว สิ่งที่น่าสนใจของสมุดบันทึกเล่มดังกล่าวก็คือ มันถูกเขียนและวาดด้วยลายเส้นอันงดงามจนเกินจะเชื่อว่าเป็นฝีมือของเด็กหนุ่มวัย 13 ปี นี่คือโฉมหน้าของสมุดบันทึก (การเรียน) จาก 234 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นของเด็กชายวัย 13 ปี ภายในไม่ได้มีแต่การจดตัวเลขคณิตศาสตร์หรือสมการเท่านั้น แต่กลับมีความงดงามแฝงอยู่อย่างน่าอัศจรรย์ นี่คือลายมือของเด็กหนุ่มวัย 13 ปีจากศตวรรษที่…
-
20 ภาพผู้คนที่บังเอิ๊ญ “หน้าเหมือน” บุคคลในประวัติศาสตร์ฝุดๆ ฮายกใหญ่เลยงานนี้!!
เคยไหม เห็นภาพถ่ายหรือภาพวาดบุคคลไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม บางครั้งทำให้เรานึกถึงหน้าคนรู้จักเสียอย่างนั้น? เพราะบางทีบุคคลในรูปเหล่านั้นดันมามีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับคนที่เรารู้จักเสียนี่ มันก็เลยทำให้เราเกิดความรู้สึกฮาจนอดไม่ได้ แต่ความฮามันจะยิ่งยวดมากขึ้นหาก คุณพบว่าบุคคลในภาพศิลปะหรือภาพทางประวัติศาสตร์นั้นดันหน้าเหมือนกับ “ตัวคุณเอง” ลองไปชม 20 ภาพหลักฐาน ของบุคคลซึ่งพบว่าตัวเองดันหน้าไปเหมือนกับบุคคลในภาพประวัติศาสตร์เข้าให้แล้ว… เป๊ะเลย!! ฮ่าๆๆ คนเดียวกันชัดๆ เลยล่ะ บังเอิญอะไรขนาดนั้น… เอ็งเป็นต้นแบบใช่ไหมเจ้าหนู!? อันนี้หน้าโคตรเหมือนเลยแฮะ! ไม่เหมือนตรงไหนเอาปากกามาวง ลงทุนแต่งตัวมาให้เหมือนซะด้วย ฮ่าๆ หน้าตาละม้ายคล้ายคลึง เย้ย…เหมือนเกินไปแล้ว! แหม…นึกว่าแฝด เหมือนมาก ทั้งหน้าและผม มันใช่เลยอะ เจอคนทุ่มเทแต่งตัวมาให้ดูคล้ายอีกแล้ว! คล้ายอยู่ๆ ดวงตากับรูปร่างคล้ายกันมากเลยล่ะ หน้าเหมือนกันเลยแฮะ ฮ่าๆ นี่แอบเป็นญาติกันใช่ไหมเนี่ย!? นี่ถ้าไว้หนวดทรงเดียวกันด้วยนี่คนเดียวกันชัดๆ เลยนะเนี่ย โครงหน้ากับจมูกเหมือนกันสุดๆ…
-
การโกงแห่งประวัติศาสตร์ของไนจีเรีย กับ ‘สนามบิน’ ที่ไม่มีจริง ฟันเงินกว่า 8,000 ล้าน!!
เหตุการณ์ฉ้อโกงที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของไนจีเรีย กับสนามบินปลอมที่ไม่มีอยู่จริง สร้างความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 242 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราวๆ 8,000 ล้านบาท ให้กับแบงก์ชาติ!? เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงปี 1995-1998 นาย Nwude เองก็ทำงานอยู่ในธนาคาร Union Bank of Nigeria เช่นกันในตำแหน่งของผู้อำนวยการ นั่นทำให้เขาสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย และคนที่ตกเป็นเหยื่อของการก่อเหตุฉ้อโกงในครั้งนี้ก็คือนาย Nelson Sakaguchi ที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการแบงก์เช่นกัน นาย Nwude ให้ข้อมูลกับ Nelson ว่าตอนนี้ไนจีเรียกำลังวางแผนที่จะสร้างสนามบินในเมือง Abuja (ซึ่งเป็นเรื่องที่เมคขึ้นมา สนามบินไม่ได้ถูกสร้างจริงๆ) พร้อมกับหลอกล่อเขาว่าเราสามารถสร้างสนามบินด้วยวิธีการที่ถูกกว่างบที่กำหนด นั่นจะทำให้เหลือเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเต็มๆ ถึง 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 330 ล้านบาท เพียงแต่ว่าต้องให้ตนเป็นคนรับผิดชอบเรื่องเงินในการสร้างสนามบินทั้งหมด แน่นอนว่านาย Nelson ก็หลงเชื่อ มอบเงินจำนวนกว่า 191 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (6,200 ล้านบาท) ให้กับนาย Nwude…
-
กล่องไม้ปริศนา ที่ซื้อมาในราคาถูกๆ มันติด “ภาพถ่ายเก่าแก่” อายุกว่า 100 ปีมาด้วย…
ปริศนาไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่กลับเป็นสิ่งที่เราต้องเข้าไปค้นหามันต่างหาก… ผู้ใช้ทวิตเตอร์นามว่า Scott Patrick ได้โพสต์ภาพของ “กล่องไม้เก่า” ลงบนทวิตเตอร์ของตนเอง พร้อมอธิบายว่าเป็นกล่องที่พ่อของเขาไปซื้อมาจากรถขายของเก่า และพ่อของเขาก็ชอบการค้นหาปริศนาในกล่องเสียด้วย กล่องนี้ยังไงล่ะ พอเปิดดูกลับพบเป็นแผ่นฟิล์มเนกาทีฟส์อายุราว 100 ปี แต่ละภาพที่พบมีลักษณะเป็นแบบนี้ (ดูหลอนๆ ชอบกลแฮะ) และแบบนี้… โชคดีที่ Greg Pack วัย 70 ปีผู้เป็นพ่อ อดีตเคยทำงานกับภาพฟิล์มเนกาทีฟส์มาก่อน จึงพอรู้วิธีการเปลี่ยนภาพฟิล์มให้กลายเป็นภาพถ่ายปกติ พวกเขาใช้กล้องจากโทรศัพท์มือถือถ่ายภาพฟิล์มเหล่านี้ แล้วนำไปกลับสีกลับแสงในโปรแกรม โดยความช่วยเหลือจาก Scott ผู้เป็นลูกชาย หลังจากนั้น พวกเขาจึงใช้กล้องถ่ายแล้วนำไปเข้าโปรแกรม Photoshop มันก็เลยกลายเป็นภาพถ่ายเก่าแก่ที่บรรจุเอาไว้ซื่งความทรงจำของใครบางคนในอดีต ลองมาดูผลงานของภาพที่เหลือกัน อาจจะดูหลอน แต่พอกลับเป็นภาพปกติแล้วก็ดูราวกับหนังย้อนยุคเลยทีเดียว จากภาพนี้… กลายเป็นภาพนี้ จากภาพนี้… กลายเป็นภาพนี้… จากกล่องปริศนา ทำให้เห็นภาพของเด็กๆ…
-
14 ภาพการรักษาสุดแปลกในสมัยอดีตกาล ครั้นวิทยาการแพทย์ ยังไม่ก้าวหน้าเหมือนปัจจุบัน
ภาพถ่ายในอดีตช่วยให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ได้ เพราะที่ผ่านมานั้นกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ คนในยุคสมัยเก่าแก่จะต้องพบเจอกับอะไรมาบ้าง มีการลองผิดลองถูกหลายอย่างเพื่อให้ได้วิธีการที่ถูกต้องและดีที่สุด วิทยาการความก้าวหน้าทางการแพทย์ในอดีตคืออีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ อย่างเช่นการใช้เครื่องเอกซเรย์ที่ปลอดภัย Dr. Maxime Menard นายแพทย์ชาวฝรั่งเศส ถึงกับต้องสละนิ้วตัวเอง เนื่องจากเทคโนโลยีรังสีเอกซ์ในสมัยนั้นทำให้เขาได้รับรังสีมากเกินไป การเอกซเรย์ในแผนกรังสีวิทยาของ Dr. Maxime Menard ณ โรงพยาบาล Cochin ประเทศฝรั่งเศส ทั้งนี้กลวิธีในการรักษาแปลกๆ เหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี บางวิธีอาจจะดูแปลกเกินไปหน่อยจนอาจจะเกินเลยทำให้ผู้ป่วยได้รับผลกระทบที่แย่มากกว่าเดิม เมื่อพบว่าไม่ก่อให้เกิดผลดีจึงต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ให้ดีขึ้น Gerald Blackburn เด็กหญิงผู้ป่วยภายในเต้นท์ให้ออกซิเจนของโรงพยาบาล Princess Beatrice Hospital กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ รถพยาบาลในอดีตของออสเตรีย ซ้อนผู้ป่วยเป็นชั้นอยู่ภายในห้องโดยสาร เครื่องนวดเอวของสหรัฐอเมริกาปี 1928 หนึ่งในกรรมวิธีคลอดให้เจ็บปวดน้อยที่สุดด้วยการสูดดมยาแก้ปวด ในปี 1939 การแช่แขนและเท้าในอ่างพร้อมกับปล่อยกระแสไฟฟ้า เพื่อช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ปี 1938 ‘ปอดเหล็ก’ ต้นกำเนิดของเครื่องช่วยหายใจในปัจจุบัน ใช้งานในปี 1938…
-
DC Comics ประกาศเปิดตัว “ซูเปอร์ฮีโร่ข้ามเพศ” คนแรกในประวัติศาสตร์คอมมิก
ซูเปอร์ฮีโร่ คือเรื่องราวของคนและสิ่งมีชีวิตที่คอยช่วยเหลือผู้คนให้พ้นภัยอันตราย ภาพลักษณ์ของซูเปอร์ฮีโร่จึงกลายเป็นต้นแบบบุคคลในอุดมคติที่บางครั้งอาจมีความสามารถหรือพลังพิเศษ ในปัจจุบันผู้สร้างได้พยายามเชื่อมโยงให้ซูเปอร์ฮีโร่นั้นใกล้เคียงกับบุคคลทั่วๆ ไปมากขึ้น จากที่เคยเป็นหนุ่มหล่อรูปงามร่างกายล่ำสันพลังวิเศษเหลือล้น ก็ทำให่ฮีโร่นั้นมีหลากหลายแบบครอบคลุมแทบทุกความแตกต่างของผู้คน เช่น ฮีโร่ที่มีพลังแปลกๆ มีพลังเพียงอย่างเดียว หรือฮีโร่ที่เป็นคนผิวสี เป็นชาวเอเชีย เป็นเด็กน้อย และแม้แต่เป็น สาวข้ามเพศ ก็ตาม ล่าสุดค่ายสร้างซูเปอร์ฮีโร่ชื่อดังอย่าง DC Comics ก็ได้สร้างตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ที่เป็นสาวข้ามเพศคนแรกในประวัติศาสตร์ออกมาเป็นที่เรียบร้อยในงาน Comic Con เมืองซานดิเอโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ตัวละครซูเปอร์ฮีโร่สาวข้ามเพศนี้มีชื่อว่า Nia Nal (นีอา นาล) หรือมีฉายาเท่ๆ ว่า Dreamer (ดรีมเมอร์) ซึ่งเป็นตัวละครที่มีเจตจำนงแน่วแน่ว่าจะช่วยเหลือและปกป้องเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองให้ได้อย่างถึงที่สุด โดยตัวละคร Dreamer นี้จะเข้ามาเป็นตัวละครหนึ่งในซีรีส์เรื่อง Supergirl (Season 4) และแน่นอนว่านักแสดงที่เข้ามารับบทนี้ก็ต้องเป็นสาวข้ามเพศเช่นเดียวกัน ทางค่ายผู้ผลิตซีรีส์จึงเลือก Nicole Maines หญิงข้ามเพศผู้เป็นทั้งนักแสดงฝีมือดีและเป็นนักเคลื่อนไหวทางเพศในสังคมอีกด้วย Nicole Maines ผู้ที่จะเข้ามารับบทซูเปอร์ฮีโร่ข้ามเพศ Dreamer Nicole Maines ผู้ที่จะเข้ามารับบทซูเปอร์ฮีโร่ข้ามเพศ Dreamer…
-
จู่ๆ ก็มี “รูปริศนา” โผล่ในสวนหลังบ้าน ขุดลงไปเจออิฐ? มันคืออะไร? ชาวเน็ตช่วยไขปริศนาที…
เป็นคุณจะงงกันไหมล่ะที่จู่ๆ ในสวนของบ้านคุณกลับมี รูประหลาด เกิดขึ้นมาเฉยๆ? อย่างเช่นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ในสวนหลังบ้านของเขานั้นมีรูประหลาดเกิดขึ้น เขาได้แต่งวยงงว่ามันคือรูอะไรกันแน่ และสิ่งที่เขาเลือกจะทำก็คือ เก็บภาพมันเอามาถามชาวเน็ตว่ามันคือรูอะไรกันแน่ รูอิหยัง!!? ท่าจะลึกน่าดูเลยนะเนี่ย ชายคนนี้โพสต์ภาพลงบนอินเทอร์เน็ตแล้วอธิบายว่า “จู่ๆ มีรูอยู่หลังบ้านผม และพอเข้าไปดูใกล้ๆ ผมเห็นว่ามันมีกำแพงอิฐอยู่ข้างใน ความลึกน่าจะราวๆ 2 เมตรและกว้างราวๆ 1.2 เมตร บ้านผมสร้างในปี 1888 และตั้งอยู่ในชนบทที่ชื่อว่า Suffolk ประเทศอังกฤษ ช่วยบอกทีว่านี้คือรูอะไรและมีไว้ทำไม?” เขาขุดลงไปจนเจอปล่องทรงกระบอกที่มีผนังเป็นอิฐ แถมยังเจอฝาปิดที่เป็นหินอยู่ด้านล่างอีกด้วย ตอนนี้ทุกคนเริ่มจริงจังกับการค้นหาว่าหลุมดังกล่าวมันคืออะไรกันแน่ อีกสิ่งที่เจอภายในหลุมก็คือ “กระดุมโลหะ” ดูแนวการวางของอิฐ และความกว้างประมาณ 1.2 เมตร มันมีไว้ใช้ทำอะไรกันนะ? “มีท่อที่ดูเหมือนเชื่อมจากบ้านมายังบ่อนี้” สุดท้ายพวกเขาก็ขุดจนกระทั่งลงมายังก้นบ่อได้ นี่คือสิ่งที่พบอยู่ด้านล่างของหลุม ท่อหรือหลอดอะไรก็ไม่รู้ . ปริศนานี้เขาคงต้องพึ่งสมองชาวเน็ตให้ช่วยกันแก้ไข…
-
ครั้งหนึ่งเคยมีการปล่อยลูกโป่งกว่า 1.5 ล้านลูกเพื่อทำสถิติโลก แต่มันกลายเป็นหายนะ!!
‘เหตุการณ์ยิ่งใหญ่ระดับโลก’ มีมากมายหลายเหตุการณ์ที่สร้างความน่าจดจำให้กับโลกของเรา… และเรื่องราวที่ #เหมียวหง่าว จะนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังในวันนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความน่าจดจำให้กับโลกของเราในฐานะ ‘ตราบาป’ ย้อนกลับไปในปี 1986 มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้โลกต้องจดจำเพราะเป็นกระกระทำของมนุษย์ที่เรียกได้ว่า ‘คิดน้อย’ เกินไป จนทำให้เกิดปัญหาถึงขั้นมีคนเสียชีวิตตามมา เรื่องมีอยู่ว่าบริษัท United Way ได้ทำการจัดพิธีการการกุศลที่มีชื่อว่า Balloonfest ’86 เพื่อเรี่ยไรเงินบริจาค ด้วยการปล่อยลูกโป่งฮีเลียมลอยฟ้ามากกว่า 1.5 ล้านลูก เพื่อสร้างสถิติโลก!! มีอาสาสมัครมากมายหลายพันชีวิต เข้าร่วมเตรียมงานดังกล่าวนี้ ทำงานตั้งแต่หัวค่ำยันเช้าอีกวันหนึ่งเลยทีเดียว พิธีการถูกจัดขึ้นในเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ลูกโป่งจำนวนเกือบ 1.5 ล้านลูกถูกสูบฮีเลียมเข้าไป แล้วนำมาปล่อยเอาไว้ใต้ตาข่ายเพื่อรอเวลาปล่อย อันที่จริงแล้วบริษัทตั้งใจเอาไว้ว่าจะปล่อย 2 ล้านลูก แต่เนื่องจากสภาพอากาศไม่เป็นใจ มีพายุพัดเข้ามาจากชายฝั่งของเมืองคลีฟแลนด์ พวกเขาจึงตัดสินใจลดจำนวนลงเป็น 1.5 ล้านลูกเพื่อปล่อยก่อนกำหนด เหล่าลูกโป่งจำนวนมากมายมหาศาลก็ถูกปล่อยออกไปบนท้องฟ้า ดูงดงามเป็นที่สุด ทุกคนโดยเฉพาะเด็กๆ ต่างก็ตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้า …
-
รู้จักกับ Ghost Army กองกำลังผีไร้ตัวตน ใช้กลยุทธ์ลวงนาซี ไม่ต้องพึ่งไสยศาสตร์…
ท่ามกลางความสูญเสียในสงครามโลกครั้งที่ 2 การบุกตามตำแหน่งในพื้นที่ต่างๆ ของฝ่ายพันธมิตร จะเจาะเข้าดินแดนศัตรูที่ต้องเน้นจำนวนกำลังพลเข้าสู้ ยิ่งทำให้สูญกำลังและพลังใจในการรบยิ่งกว่าเดิม ในปี 1944 ฝ่ายพันธมิตร ได้จัดตั้งกองกำลัง Ghost Army กองพลทหารไร้ตัวตน ที่มีเพียงแค่รถถังลมและอากาศยานบรรทุกปลอมๆ ใช้ลวงฝ่ายนาซีเยอรมันในภารกิจลาดตระเวน การที่สามารถยกกองกำลังเข้าบุกนอร์มังดีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สำเร็จนั้น จะขาดกองกำลังที่ไม่มีตัวตนนี้ไปไม่ได้ เพราะ Ghost Army ช่วยหลอกล่อฝ่ายเยอรมันให้ย้ายแนวป้องกันไปยังทิศอื่น ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด คือการบุกเข้ายึดนอร์มังดี และต้องใช้กองทหารมากถึง 1 ล้านนายจากทั้งหมด 5 ประเทศพันธมิตร ปฏิบัติการระดับใหญ่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และทางฝ่ายพันธมิตรต่างรู้ดีว่าจะสำเร็จได้ต้องใช้ทั้ง กึ๋น ความกล้าหาญ และการหลอกล่อ… ทางด้าน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้คาดการณ์ถึงการบุกตามแนวชายฝั่งและทางอากาศจากฝั่งประเทศอังกฤษ เลยมอบหน้าที่ให้นายพล แอร์วิน รอมเมิล ทำการตั้งรับไปสร้างป้อมปืน บังเกอร์ แนวอุปสรรคป้องกันรถถัง รวมถึงท่อนไม้โยงสายกว่าล้านท่อนป้องกันพลร่มที่จะเคลื่อนพลสู่ภาคพื้นดิน โชคดี…
-
นักวิทย์ฯ แก้ไขหน้าตา “บุคคลสำคัญ” ในประวัติศาสต์เสียใหม่ เอาซะหน้าไม่คุ้นเลย!!
บุคคลที่มีอยู่จริงซึ่งได้สร้างวีรกรรมอันน่าจดจำในประวัติศาสตร์ หากเป็นยุคที่ยังไม่มีกล้องถ่ายรูป เราก็ไม่ทราบใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาได้เลย เหล่านักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีจึงพากันสันนิษฐานใบหน้าของพวกเขาจากหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ เช่น กะโหลกศีรษะหรือภาพวาด เป็นต้น แต่วันนี้ ในยุคที่มีวิทยาการสร้างภาพสามมิติเสมือนจริง นักวิทยาศาสตร์และศิลปินทั้งหลายได้วาดภาพใบหน้าของคนดังในประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ อาจลบภาพเดิมๆ ที่เราเคยเห็นกันไปเลยทีเดียว 1. พระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส (ครองราชย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1589-1610) โดย Philippe Froesch 2. เอวา (Ava) มนุษย์เพศหญิงในยุคทองแดงเมื่อราวๆ 3,700 ปีก่อน โดย Maya Hoole และ Hew Morrison 3. ชายชาวไอร์แลนด์เมื่อ 500 ปีก่อน 4. โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (คีตกวีและนักออร์แกนชาวเยอรมันยุค 1685-1750) โดย Caroline Wilkinson 5. เมอริทามุน คู่สมรสของฟาโรห์แรเมซีสที่ 2 (2,000 ปีทีแล้ว) โดย University of Melbourne…
-
อีกมุมของประวัติศาสตร์ ชีวิตของ ‘คนผิวสี’ ในเยอรมนี กับยุคที่ ‘นาซี’ เรืองอำนาจ
ในยุคที่นาซีเรืองอำนาจ ‘ชาวยิว’ ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แล้วเพื่อนๆ เคยสงสัยกันมั้ยล่ะว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ‘คนผิวสี’ ในประเทศเยอรมันบ้าง? เหล่านาซีจะทำอย่างไรกับพวกเขาในฐานะที่เป็นพลเมืองชั้นสอง ที่มักจะถูกกดขี่อยู่เสมอสำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว มีข้อมูลมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน จะเป็นอย่างไรไปรับชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… ในช่วงยุค 1930 ประเทศเยอรมนีมีประชากรคนผิวสีไม่มากนัก เพียงแค่หลักไม่กี่พันคนเท่านั้นเอง หรือหากจะเทียบเป็นจำนวนเปอร์เซนต์แล้วล่ะก็พวกเขามีเพียงแค่ 1 เปอร์เซนต์จากประชากรทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นลูกหลานของทหารฝรั่งเศส-แอฟริกันที่ประจำอยู่บริเวณริมแม่น้ำไรน์ ทางตะวันตกของประเทศเยอรมนี เด็กผิวสีเหล่านี้มักจะถูกกดขี่โดยนาซี พวกเขาตั้งชื่อให้กลุ่มคนผิวสีเหล่านี้ว่า ‘Rhineland Bastards’ หรือ ‘ไอ้งั่งที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำไรน์’ กลุ่มคนผิวสีทั้งหลายเหล่านี้จะถูกบังคับให้ทำหมันตั้งแต่อายุยังน้อย รวมไปถึงตั้งกฎหมายขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน โดยที่คนผิวสีจะอยู่ในระดับเดียวกับชาวยิวและชาวโรมาเนีย และเมื่อประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว คนผิวสีถูกกีดกันจากการจ้างงาน การเป็นเจ้าของที่ดิน และการศึกษา เรียกได้ว่าการใช้ชีวิตในประเทศเยอรมนีของพวกเขานั้นคือการตกนรกทั้งเป็นก็ไม่ปาน แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ดิ้นรนจนได้เข้ารับการศึกษาในโรงเรียน แต่ก็จะถูกกลั่นแกล้ง บางส่วนก็ถูกจับไปไว้ในค่ายกักกันเพียงเพราะสีผิวของพวกเขา บ้างก็ถูกจับเข้าคุกเพราะมีผิวสีดำ เป็นต้น เช่นเดียวกันกับชีวิตของนาย Hans Massaquoi ที่เป็นชาวผิวสี เขาเกิดในปี 1926 ที่เมืองฮัมบูร์ก มีพ่อเป็นชาวไลบีเรียและแม่เป็นชาวเยอรมันผิวขาว เขาต้องการที่จะเข้าร่วมกับฮิตเลอร์เช่นเดียวกันกับเด็กเยอรมันคนอื่นๆ…
-
ลูกสาวมีงานเลี้ยงธีมยุคกลาง ไม่อยากเป็นเจ้าหญิง ขอเป็น ‘ไวกิ้ง’ ผ่าทุกภาพลักษณ์ความนิยม!!
ทุกวันนี้เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า เด็กๆ สมัยใหม่ยังคงยึดติดกับภาพลักษณ์เกี่ยวกับเพศอยู่หรือไม่ โดยในแง่ของเจ้าชาย เจ้าหญิง ที่จะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาว่าใคร เพศอะไร มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์อย่างไร… อย่างในเรื่องของลูกสาววัย 7 ขวบของนาย Dan Snow พิธีกรรายการประวัติศาสตร์ ที่กำลังเตรียมแต่งตัวไปร่วมงานเลี้ยงธีมยุคกลางที่โรงเรียน เด็กส่วนใหญ่เลือกจะแต่งตามลักษณะเพศของตัวเอง เช่นเด็กชายเป็นอัศวิน เด็กหญิงจะเป็นเจ้าหญิง… สำหรับลูกสาว Zia แล้ว เธอกลับมีความคิดที่แตกต่างออกไป เธออยากจะแต่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือสแกนดิเนเวียนสุดเจ๋ง หรือ นักรบไวกิ้งหญิง The Red Girl โดยมีการอ้างอิงถึงเหตุกาณ์ในช่วงศตวรรษที่ 12 ช่วงสงครามไอริช Cogad Gáedel re Gallaib – War of the Irish with the Foreigners นักรบไวกิ้งหญิงผู้เกรียงไกร ไม่เพียงแค่เธอแต่งตัวเป็นนักรบไวกิ้งแล้ว เธอยังร่วมแชร์ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ให้กับเพื่อนคนอื่นๆ ด้วย เพราะคุณพ่อได้สอนเธอว่า มีนักรบหญิงมากมายที่เสียสละเข้าร่วมสงครามในศตวรรษที่ 10…
-
เปิดตำนาน ‘ผีกัดอย่ากัดตอบ’… กับคำตอบว่าทำไมผีต้องกระโดดดึ๋งๆ – มีเสียง กอยๆๆ
หากย้อนกลับไปเมื่อช่วงเมื่อ 20 ปีก่อน ต้องขอบอกเลยว่าหนังเรื่อง ‘ผีกัดอย่ากัดตอบ’ เป็นหนังที่สร้างความบันเทิงให้กับเราเป็นอย่างมาก และจุดที่น่าสนใจที่สุดก็คงหนีไม่พ้นตัว ‘ผีดิบ’ ในหนังนี่แหละ ที่เวลาเดินไปไหนมาไหนต้องยกมือตรงยื่นไปข้างหน้า แล้วก็กระโดดดึ๋งๆ พร้อมกับร้องว่า “กอยๆๆๆ” พอเอายันต์แปะที่หน้าก็จะหยุดนิ่งไม่ขยับไปไหน แล้วเพื่อนๆ สงสัยกันไหมว่าทำไมผีจีน ถึงมีท่าทางการเดินแบบนั้น ทำไมไม่เดินเหมือนคนปกติธรรมดา หรือใช้วิธีการลอยไปลอยมา นั่นเพราะว่าจริงๆ แล้วมันมีความเชื่อของประเทศจีนที่อยู่เบื้องหลัง!! ข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก ไม่เชื่อจึงสงสัย ไม่ใช่การลบหลู่ – Resist Credulity & Swindler ระบุเอาไว้ว่าผีดิบดังกล่าวนั้นมีชื่อเรียกเป็นภาษาจียว่า ‘เจียงซือ’ และเรื่องของเจียงซือนี้ก็มีที่มาจากพิธีที่เรียกกันว่า ‘ส่งศพพันลี้’ ซึ่งเป็นพิธีกรรมพาศพคนตายกลับบ้าน เนื่องจากว่าสมัยก่อนนั้นยังไม่มีรถยนต์ ทำให้การเดินทางไกลๆ ยังไม่สะดวกสบายเท่ากับปัจจุบัน ทำให้เมื่อมีคนเสียชีวิตในต่างถิ่น จึงต้องมีการจ้างนักพรตให้ไปนำศพของคนตายกลับมา โดยนักพรตจะนำศพกลับมาในเวลากลางคืน ในระหว่างการเดินทางก็จะมีกระดิ่งสั่นตลอดทางเพื่อให้คนที่ได้ยินรู้ว่ากำลังทำพิธีส่งศพคนตายอยู่ จะได้ไม่ต้องเข้ามาใกล้และเดินไปทางอื่นเสีย เพราะพิธีดังกล่าวนี้ถือเป็นพิธีอัปมงคลสำหรับผู้พบเห็น นอกจากนี้พิธีการส่งศพกลับบ้านยังมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ‘ขนศพในเซียงซี’ เพราะเป็นที่นิยมมากในเมืองเซียงซี เพราะผู้คนมักจะออกไปทำงานต่างถิ่น เมื่อเกิดการเสียชีวิตขึ้นจึงต้องมีพิธีการพากลับมาที่บ้านโดยการจ้างนักพรต วิธีการขนศพกลับมาต้องแบกศพในท่ายืน และให้ศพยื่นมือทั้งสองข้าออกไปข้างหน้า ด้วยการเอาไม้ไผ่ดามเอาไว้ คนแบกจะมีสองคนประกบด้านหน้าและด้านหลัง (แต่จริงๆ แล้วศพจะถูกขนส่งในหลายท่าทาง…
-
สยามผ่านเลนส์ชาวสกอต เผยภาพถ่ายในอดีตในยุคสมัยรัชกาลที่ 4 จากมุมมองของตะวันตก…
เราต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่าประเทศชาติในอดีตนั้นมีความเป็นอยู่อย่างไร จากการได้อ่านผ่านตำราเรียนและแหล่งความรู้ทางประวัติศาสตร์ แต่เชื่อว่าหลายคนยังคงมองไม่ออกว่าแท้จริงแล้ว ‘สยาม’ ในอดีตนั้น จะมีลักษณะหน้าตาเป็นแบบไหน ปัจจุบันประเทศไทยของเราก้าวข้ามผ่านหลายยุคหลายสมัย แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยหลงเหลือภาพถ่ายในอดีตของสยามเอาไว้เลย แต่ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียวเพราะล่าสุดนี้ ก็ได้มีการจัดนิทรรศการภาพถ่ายของช่างภาพชาวสกอตแลนด์ John Thomson ในช่วงปีค.ศ. 1862 – 1872 ในระหว่างที่เขาเดินทางออกสำรวจทวีปเอเชียตะวันออก John Thomson John Thomson เดินทางมายังทวีปเอเชียเป็นครั้งแรกในปี 1862 ทำการเก็บภาพถ่ายเชิงสารคดีเกี่ยวกับเอเชีย โดยเริ่มต้นจากประเทศสิงคโปร์ และค่อยๆ ย้ายไปยังประเทศใกล้เคียงไปจนถึงประเทศจีน ภาพถ่ายของแม่น้ำเจ้าพระยาในปี 1865 เขาต้องใช้พลังและความขยันหมั่นเพียรมากๆ เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างจากบ้านเกิดเมืองนอน และไม่เคยมีชาวตะวันตกคนไหนเคยย่างกรายเข้ามา และ Thomson ก็สามารถบันทึกภาพถ่ายอันล้ำค่าเหล่านี้กลับไปได้ พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ด้วยความหลงใหลในวัฒนธรรมของชาวเอเชีย Thomson ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และถ่ายพระบรมฉายาลักษณ์ พร้อมพระราชวงศ์ และราชพิธีต่างๆ ในปีค.ศ. 1865…
-
รวม 26 ภาพประวัติศาสตร์ในอดีต ที่ผ่านมามนุษยชาติได้เรียนรู้อะไรบ้าง จากสิ่งที่หลงเหลืออยู่
มนุษยชาตินั้นถือกำเนิดมาอย่างยาวนานบนโลกใบนี้ และยังคงสืบทอดวิถีชีวิตจากในอดีต ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน และกำลังมีแนวโน้มที่จะต้องเปลี่ยนแปลงในอนาคตภายภาคหน้าอีกมากมาย แต่เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในอดีตที่ผ่านมา เมื่อได้เห็นภาพถ่ายของคนในยุคเก่าที่เคยพบเจอ มันจะแตกต่างจากชีวิตในยุคปัจจุบันแค่ไหน และความยากลำบากที่เคยเกิดขึ้น ได้สอนให้เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง… กัปตัน Nieves Fernandez กำลังแสดงวิธีที่เธอใช้เชือดทหารญี่ปุ่นอย่างเงียบๆ ให้แก่ทหารอเมริกันในปี 1944 ทางหลวงแห่งความตาย ผลพวงจากกองทัพอเมริกันเลือกใช้วิธีระเบิดปูพรมใส่กองกำลังอิรักในประเทศคูเวต ปี 1991 การเดินอันแสนยาวไกล ของหน่วยเก็บกู้ระเบิดกองทัพอังกฤษ กำลังเดินตรงไปยังรถตู้ต้องสงสัยในไอร์แลนด์เหนือ ช่วงปี 1970 ทหารเยอรมันแบ่งอาหารบางส่วนให้กับคุณแม่ชาวรัสเซีย ปี 1941 สภาพของทหารชาวออสเตรเลีย หลังหลุดพ้นจากการเป็นเชลยศึกจากฝั่งญี่ปุ่นในประเทศสิงคโปร์ ปี 1945 กองกำลังทหารชนเผ่าเมารี กำลังทำพิธีฮากา (การเต้นโบราณของชนเผ่า) ในประเทศอียิปต์ ปี 1941 สภาพบ้านเมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี หลังสิ้นสุดสงคราม ปี 1945 กองกะโหลกควายไบซันสำหรับใช้เป็นปุ๋ยหมัก ปี 1870 Conrad Schumann ทหารฝั่งตะวันออกกำลังก้าวข้ามผ่านไปยังแดนตะวันตกในเบอร์ลิน…
-
10 ความจริงทางประวัติศาสตร์ของชาวกรีกโบราณ ค่านิยมอันน่าเหลือเชื่อ มีอย่างนี้จริงๆ หรือ?!
ในอดีตก่อนที่จะถึงยุคที่วิทยาศาสตร์สามารถหาคำตอบของสิ่งต่างๆ ได้ คนเราในยุคนั้นก็จะเต็มไปด้วยความเชื่อแปลกๆ ที่เราอาจไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเขาจะทำอย่างนั้นกันจริงๆ วันนี้เราจึงอยากชวนให้เพื่อนๆ ได้ลองมารู้ความจริงสุดประหลาดของชาวกรีกโบราณ กับสิ่งต่างๆ ที่เขาเชื่อหรือค่านิยมต่างๆ ที่ไม่ธรรมดา มันแตกต่างกับเราในยุคนี้มากแค่ไหน ลองไปเปรียบเทียบกันเองเลย 1. แพทย์จะชิมรสชาติขี้หูเพื่อวินิจฉัยโรค จริงๆ แค่อาการทั่วๆ ไปก็สามารถวินิจฉัยอาการป่วยได้แล้ว แต่แพทย์หลายคนในยุคนั้นกลับใช้วิธีการ ชิมขี้หู เสริมด้วย เพราะพวกเขาเชื่อว่าของเสียในร่างกายจะมีรสชาติที่เป็นเฉพาะ ถ้ารสชาติมันเปลี่ยนไปย่อมแสดงถึงความผิดปกติของร่างกาย พวกเขาจึงจะใช้นิ้วแหย่เอาขี้หูคนไข้มาชิม หรืออาจเป็นของเสียอื่นๆ ตามร่างกายเรา 2. น้ำยาเหงื่อไว้สำหรับผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ก่อนการออกกำลังกาย นักกีฬาจะทาน้ำมันมะกอกไปทั่วตัว ซึ่ง น้ำมันดังกล่าว จะมีส่วนผสมของเหงื่อและของเสียที่ถูกขูดออกมาตามผิวหนังโดยใช้อุปกรณ์พิเศษ (เหมือนในรูปขวา) โดยส่วนผสมดังกล่าวพวกเขาเชื่อว่าจะช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ เป็นยาที่มีการวางขายจริงในยุคนั้น 3. สิ่งปฏิกูลมีไว้สำหรับสุขภาพของผู้หญิง ชาวกรีกโบราณเชื่อว่า ผู้หญิงอ่อนแอต่อมลพิษหรือพวกสิ่งเจือปน ทำให้พวกเขาใช้วิธีแปลกๆ ในการรักษาอาการดังกล่าว ยกตัวอย่างเช่นในกรณีหญิงสาวแท้งลูก พวกเธอจะต้องกินไวน์ที่ผสมกับพวกลำไส้และอุจจาระสัตว์ทอดเข้าไป ในขณะเดียวกันกลับไม่มีการบันทึกว่าผู้ชายต้องทำอย่างนั้นเลย 4. การจามช่วยให้ไม่ท้อง เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ หลังจากที่มีอะไรกันเสร็จ ผู้หญิงจำเป็นต้องจามออกมาทันที ซึ่งแน่นอนว่าเป็นวิธีการที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย หรืออีกวิธีของการป้องกันการตั้งครรภ์คือการทายางสนผสมน้ำผึ้งลงไปบนอวัยวะเพศชาย ซึ่งมันก็ไม่เกี่ยวกันอยู่ดี…
-
ไขมูลเหตุ ‘พระเพทราชา’ ชิงอำนาจจากพระนารายณ์ เพื่อ ‘กู้ชาติ’ หรือ ‘ล้มบัลลังก์’ กันแน่!?
ต้องขอบอกเลยว่าเหตุการณ์แย่งชิงอำนาจของพระเพทราชาในละครเรื่อง ‘บุพเพสันนิวาส’ เมื่อคืนที่ผ่านมานั้นถือว่าเข้มข้นและสนุกเอามากๆ เลยล่ะ ต้องขอปรบมือให้ทีมงานเบื้องหลังและนักแสดงที่ทำออกมาได้สุดยอดจริงๆ ก็อย่างที่เพื่อนๆ รู้กันดีอยู่แล้วว่าละครนี้ถูกสร้างโดยอิงมาจาก ‘ประวัติศาตร์’ แล้วเรื่องราวของเหตุการณ์แย่งชิงอำนาจของพระเพทราชาได้กล่าวไว้ว่าอย่างไรบ้าง เราลองไปชมพร้อมๆ กันเลยดีกว่า… ในช่วงปี พ.ศ. 2231 สมเด็จพระนารายณ์มหาราชประทับ ณ ที่นั่งสุทธาสวรรค์ ขณะนั้นพระองค์ทรงประชวรด้วยโรคไอหืด (asthmatic cough) และใกล้สวรรคตเต็มที ด้วยทรงเห็นว่าพระเพทราชานั้นเป็นผู้ใหญ่ จึงได้หมอบหมายให้ว่าราชการแทน ต่อมาในวันที่ 18 พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2231 คณะขุนนาง และทหารนำโดยพระเพทราชาและหลวงสรศักดิ์ ยกขบวนมาที่ตึกพระเจ้าเหา จากนั้นก็ทำการประกาศยึดอำนาจ ระหว่างนั้นพระเพทราชาก็ลวงพระอนุชาทั้งสองพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์ คือเจ้าฟ้าน้อย และเจ้าฟ้าอภัยทศ ว่ามีรับสั่งให้เข้าเฝ้า และเมื่อพระอนุชาทั้งสองพระองค์ออกเดินทางมายังละโว้ (ลพบุรี) เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ ก็ถูกหลวงสรศักดิ์ดักจับตัวระหว่างทางก่อนที่จะได้เข้าเฝ้า แล้วพาไปสำเร็จโทษที่วัดทราก ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของลพบุรี ส่วนทางด้านพระปีย์ พระราชโอรสบุญธรรมก็ถูกพลักตกจากชาลาพระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ก่อนที่จะถูกกุมตัวไปสำเร็จโทษ นอกจากนี้ได้รับสั่งให้เจ้าพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนตอน ฟอลคอน) เข้ามาพบ และเมื่อมาถึงยังศาลาลูกขุน ก็ถูกพาตัวไปประหารชีวิตเมื่อวันที่…
-
รวม 19 ภาพย้อนรอยประวัติศาสตร์สุดสลด กลุ่มนาซีสังหารโหดชาวโปแลนด์
เมื่อเรานึกถึงกลุ่ม Nazi ที่นำโดย Adolf Hitler เราก็คงนึกถึงสิ่งเลวร้ายที่พวกเขาเคยทำกับมวลมนุษยชาติเอาไว้ ซึ่งสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวจำนวนกว่า 6 ล้านชีวิตทั่วยุโรป แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด เนื่องจากโดยรวมแล้วศัตรูที่กลุ่มนาซีได้สังหารลงไปในสนามรบนั้นมีจำนวนประมาณ 11 ล้านคนต่างหาก ซึ่งหนึ่งในกลุ่มผู้โชคร้ายที่ไม่ใช่ชาวยิวนั้นก็คือพลเมืองชาวประเทศโปแลนด์ ในตอนที่กลุ่มนาซีนั้นได้ทำการสังหารและยึดครองโปแลนด์ภายใต้แนวคิดแบบ Lebensraum ซึ่งเป็นนโยบายและแนวทางปฏิบัติของลัทธิล่าอาณานิคมตั้งถิ่นฐาน โดยการที่กลุ่มนาซีรุกรานประเทศโปแลนด์ในปี 1939 นั้นก็เพื่อหวังที่จะกำจัดชาวโปแลนด์และชาวสลาฟจำนวนนับสิบล้านคนที่อาศัยอยู่ในทวีปยุโรปตะวันออก เพื่อที่จะตั้งถิ่นฐานสำหรับคนสายเลือดเยอรมันบริสุทธิ์ รูปภาพอันน่าเศร้าสลดเหล่านี้ถูกถ่ายภายในสลัมของชาวยิวที่สร้างขึ้นโดยพวกนาซีในช่วงสังหารหมู่ ซึ่งเป็นภาพที่ค่อนข้างรุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม พลเมืองชาวโปแลนด์ 6 คนยืนเรียงกันต่อหน้าพลปืนของนาซี ทหารนาซีกำลังจะยิงชายผู้หนึ่งในช่วงสังหารหมู่ Piaśnica Kazimiera Mika เด็กหญิงชาวโปแลนด์วัย 12 ขวบกำลังร่ำไห้กับการสูญเสียพี่สาว Andzia ที่ถูกสังหารระหว่างช่วงที่โดนบุกรุกทางอากาศ ทหารนาซีกำลังล้อเลียนผู้นับถือนิกายคาทอลิกภายในโบสถ์ของชาวโปแลนด์ มือของเหยื่อที่ยื่นออกมาจากเตาเผาในค่ายกักขังที่สร้างมาเพื่อขังและสังหารหมู่ชาวโปแลนด์ Czesława Kwoka เด็กหญิงชาวโปแลนด์ ผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกวัย 14 ขวบที่ถูกส่งไปยังค่าย Auschwitz ภาพนี้ถูกถ่ายเมื่อเธอถึงที่ค่ายและกำลังจะถูกเจ้าหน้าที่ทุบตีด้วยไม้ เธอเสียชีวิตในค่ายเมื่อปี 1943 ทหารนาซีทำการประหารชาวโปแลนด์ที่เป็นสมาชิกองค์กรใต้ดินจำนวน 56…
-
หากออเจ้า ย้อนเวลาไปเมืองนอกเมื่อ 100 ปีก่อน จะเจอกับสภาพแบบไหน มาดูกันหน่อยซิ…
หลังจากที่ได้ชมละคร บุพเพสันนิวาส แล้วมันช่างทิ้งกลิ่นอายแห่งความย้อนยุคเอาไว้มากมายเสียเหลือเกิน แต่เอ…ลองจินตนาการดู หากว่าเราได้ย้อนยุคกลับไปโผล่ในประเทศต่างๆ เมื่อ 100 ปีก่อน เราจะต้องเจอกันสภาพบ้านเมืองแบบไหนกันนะ? วันนี้เราจึงอยากนำเสนอ ภาพถ่ายจากสถานที่ต่างๆ เมื่อ 100 ปีที่แล้ว ลองไปดูกันเลยว่า บ้านเมืองและผู้คนในแต่ละที่จะมีลักษณะเป็นแบบไหน หากเราได้ย้อนยุคไปในสถานที่เหล่านั้น เราจะได้ปรับตัวถูกยังไงล่ะ… 1. แซนตามอนิกา, แคลิฟอร์เนีย (1901) 2. ไคโร, อียิปต์ (1910) 3. ปารีส, ฝรั่งเศส (1902) 4. โตเกียว, ญี่ปุ่น (1880) 5. เบอร์ลิน, เยอรมัน (ราวๆ 1910) 6. จาการ์ตา, อินโดนีเซีย (1885) 7. มุมไบ, อินเดีย (ประมาณ 1890–1910) 8. ปักกิ่ง, จีน…
-
เปรียบเทียบ 8 นักแสดงบุพเพสันนิวาสในละคร vs ตัวจริงในประวัติศาสตร์ ต่างกันแค่ไหน?
หากนับถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าละครบุพเพสันนิวาสได้สร้างกระแสไปต่างๆ นานาแล้วมากมาย ทั้งมีมตลกๆ ในอินเตอร์เน็ต (ซึ่งตอนนี้ลามไปยันสติกเกอร์ไลน์แล้ว) และยังกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจเรียนประวัติศาสตร์กันมากขึ้นด้วย เพราะเนื่องจากตัวละครมีการกล่าวอ้างถึงบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ ทางประวัติศาสตร์ และแม้ว่าเราจะไม่สามารถเปิดคอร์สให้คุณมาลงทะเบียนเรียนวิชาประวัติศาสตร์กับเราได้ แต่เราก็ได้พยายามรวบรวมเอาภาพและข้อมูลของตัวละครต่างๆ ในเรื่องมาเปรียบเทียบกับบุคคลจริงๆ ในประวัติศาสตร์ให้คุณได้ดูกัน ว่าเหมือนหรือแตกต่างกันขนาดไหน? 1. ขุนศรีวิสารวาจาในละคร รับบทโดย ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ ภาพของขุนศรีวิสารวาจาที่ถูกบันทึกเอาไว้ 2. โกษาเหล็กในละคร รับบทโดย สุรศักดิ์ ชัยอรรถ ภาพวาดของโกษาเหล็กตัวจริง 3. โกษาปานในละคร รับบทโดย ชาติชาย งามสรรพ์ ภาพวาดของโกษาปานที่ถูกบันทึกเอาไว้ 4. ตองกีมาร์ หรือ ท้าวทองกีบม้า ในละคร ภาพของตองกีมาร์จากปกหนังสือท้าวทองกีบม้า 5. คอนสแตนติน ฟอลคอนในละคร ภาพวาดของคอนสแตนติน ฟอลคอนจากการวาดของคนในสมัยก่อน 6. สมเด็จพระนารายณ์มหาราชในละคร …
-
ชุดภาพโบราณสถาน เหลือเพียงซากในปัจจุบัน แต่ให้จินตนาการช่วยซ่อมแซม และเติมเต็มได้
ตามสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ด้วยความที่อายุอานามไม่ใช่น้อยๆ แน่นอนว่าสภาพของสถานที่เหล่านั้นคงไม่สมบูรณ์แบบ 100% เหลือเพียงแค่ซากที่ถูกอนุรักษ์ไว้เท่าที่จะทำได้ ส่วนภาพที่สมบูรณ์แบบ ก็คงมีแต่ในภาพจำลอง วิหารพาร์เธนอน, กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ เหล่านักท่องเที่ยวผู้เข้าเยี่ยมชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ จะต้องคอยตามเก็บรายละเอียดความรุ่งเรืองในยุคเก่าแก่เช่น วิหารพาร์เธนอน, พีระมิดแห่งดวงอาทิตย์ และวิหารลักซอร์ ซึ่งโปรเจกต์ NeoMam ก็เกิดมาเพื่อเติมเต็มในส่วนที่คุณอาจจะมองไม่เห็น ให้เกิดเป็นภาพที่เด่นชัดขึ้นมา พีระมิดแห่งดวงอาทิตย์, ประเทศเม็กซิโก Largo di Torre Argentina, กรุงโรม ประเทศอิตาลี พีระมิด Nohoch Mul, ประเทศเม็กซิโก โปรเจกต์นี้ได้ทำการคืนชีพโบราณสถานต่างๆ มากมายในรูปแบบของภาพ Gif ภายในเวลาไม่กี่วินาที ความเสียหายทั้งทางธรรมชาติและฝีมือมนุษย์จะถูกกำจัดออกไป รวมไปถึงความผุพังตามกาลเวลาก็จะหายไปเช่นกัน ทำให้สถานที่เหล่านี้ถือกำเนิดใหม่ ด้วยสถานะที่สิ่งก่อสร้างนั้นเคยมีความรุ่งโรจน์ในอดีตกาล วิหารลักซอร์, เมืองลักซอร์ ประเทศอียิปต์ Temple of Jupiter Optimus Maximus, กรุงโรม ประเทศอิตาลี …
-
13 สิ่งที่คุณอาจเคยคิดว่า ชนชาติอเมริกาเป็นผู้ให้กำเนิด แต่ความจริงแล้วไม่ใช่นะจ๊ะ!?
เมื่อพูดถึงดินแดนเสรี ดินแดนแห่งโอกาสที่ผู้คนมักจะเข้าไปแสวงโชคให้กับตน จนเกิดเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกได้ #เหมียวเลเซอร์ กำลังกล่าวถึง สหรัฐอเมริกา ดินแดนที่เต็มไปด้วยความฝัน และความหวังในการประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ ให้กับโลก (เป็นส่วนใหญ่) ทั้งนี้ เราอาจจะเห็นได้ว่าประเทศนี้มักจะมีนวัตกรรมใหม่มาป้อนให้มนุษยชาติเสมอ ทั้งอาหารการกิน ผลิตภัณฑ์ข้าวของเครื่องใช้ รถยนต์และนวัตกรรมเทคโนโลยีต่างๆ แต่หารู้ไม่ว่า บางสิ่งที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกานะจ๊ะ อันเป็นข้อมูลเปิดเผยจากทางเว็บไซต์ Insider ถ้าอยากจะรู้ว่ามีอะไรบ้าง เอาล่ะ… เลื่อนลงมาอ่านกันได้เลย พายแอปเปิล วลีเปรียบเปรยของหวานชิ้นนี้ ที่เป็นเหมือนดั่งเมนูตำรับของชนชาติอเมริกัน กลับไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากที่นี่ เพราะในอดีตโบราณ ชนชาติกรีกเป็นผู้ให้กำเนิดพายแอปเปิลมาก่อน จนกระทั่งยุคกลางของอังกฤษ เมนูนี้ได้รับความนิยมสูงมากๆ จนมาสู่การตั้งถิ่นฐานในอเมริกา (อ้างอิง) เพลงชาติอเมริการ้องด้วยน้ำเสียงโทนเดียวกันกับเพลงขี้เมาชาวอังกฤษ เมื่อ Francis Scott Key นักกฎหมายชาวอเมริกันเขียนกลอนขึ้นมา จนถูกนำมาใช้เป็นเนื้อเพลงชาติ Star-Spangled Banner เขามีทำนองอยู่ในหัวแล้วแต่มันไม่สละสลวยเท่าไหร่นัก จนกระทั่งได้นำโทนเสียงจากเพลง To Anacreon in Heaven ของอังกฤษมาใช้ ด้วยเนื้อหาที่เชิดชูความเมามายมากกว่าความรักชาติ แต่ก็ถูกนำมาใช้ประกอบกับเพลงชาติอเมริกันจนถึงปัจจุบัน…
-
ไปรู้จัก 8 หมู่บ้านชาวต่างประเทศ สมัยกรุงศรีอยุธยา นี่คือเมืองนานาชาติอย่างแท้จริง!!
“ข้าพเจ้าไม่รู้สึกเบื่อเลยที่จะชมกรุงไกรอันใหญ่โตที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินเสมือนเกาะ มีแม่น้ำกว้างใหญ่ ๓ เท่าแม่น้ำเซนอยู่โดยรอบ ในแม่น้ำเต็มไปด้วยเรือกำปั่นฝรั่งเศส อังกฤษ วิลันดา ญี่ปุ่น ไทย และยังมีเรือใหญ่น้อยอีกเป็นอันมากแทบจะนับมิถ้วน…” บาทหลวงเดอชัวสี อุปทูตชาวฝรั่งเศส หากย้อนกลับไปถึงช่วงยุคสมัยเก่าแก่ของสยามประเทศนั้น ได้มีการติดต่อและค้าขายกับชาวต่างชาติมาเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือที่พำนักหรือบ้านของชาวต่างประเทศในดินแดนสยาม จะรวมตัวแบ่งออกเป็นสัดส่วนที่แตกต่างกันไป แผนที่หมู่บ้านชาวต่างประเทศในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยชาวฝรั่งเศส ข้อมูลชุดนี้อำนวยการโดย อนุสาร อ.ส.ท. โดยเปิดเผยว่า สมัยกรุงศรีอยุธยาชาวต่างประเทศที่เดินทางโดยเรือสำเภา ต้องแล่นเรือเข้าทางปากน้ำสมุทรปราการ ขึ้นไปตามลำน้ำเจ้าพระยา เมื่อถึงชานพระนครด้านใต้ ก็ต้องจอดเรือตรงขนอนหลวงก่อน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ด่านตรวจผู้คนและสิ่งของ พร้อมทั้งเก็บภาษีสินค้าขาเข้าตามที่ตกลงไว้ แล้วจึงผ่านเข้าเขตพระนครได้ เรือสำเภาของต่างชาติได้รับอนุญาตให้จอดทอดสมอในแม่น้ำ คนละฝั่งกับเกาะเมือง ตั้งแต่บริเวณหน้าป้อมเพชร ที่เรียกว่า “บางกระจะ” เป็นแนวลงมาทางใต้ ซึ่งนอกเหนือจากคอนสแตนติน ฟอลคอน และท้าวทองกีบม้า ที่มีหน้าตาเป็นชาวต่างชาติในละครบุพเพสันนิวาสแล้ว ก็ยังมีชาวต่างประเทศชาติอื่น ๆ ที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเช่นกัน สามารถแบ่งออกได้ดังต่อไปนี้… บ้านจีน หมู่บ้านจีน เคยตั้งอยู่ตั้งแต่บริเวณวัดพนัญเชิงลงมาทางใต้ ตามหลักฐานทางเอกสารพบว่าชาวไทยจีนติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระนครินทราธิราช กษัตริย์ลำดับที่ 6 แห่งกรุงศรีอยุธยา…
-
อีกมุมมอง…อ่านบันทึก “ทูตสยาม” เข้าเฝ้า “พระเจ้าหลุยส์ที่ 14” จากเว็บไซต์ฝรั่งเศส
ต้องขอบอกเลยว่ากระแสฟีเวอร์ของละครเรื่อง ‘บุพเพสันนิวาส’ นี้สร้างปรากฎการณ์มากมายให้กับบ้านเราจริงๆ ทั้งในเรื่องของโซเชียล การท่องเที่ยว รวมไปถึงทำให้คนหันมาสนใจทางด้านประวัติศาสตร์กันมากขึ้น ซึ่งหลายๆ คนก็อาจจะได้อ่านหรือฟังเรื่องราวของยุคสมัย ‘พระนารายณ์’ จากบันทึกของบ้านเรากันมาบ้างแล้ว แต่สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะพาเพื่อนๆ ไปอ่านบันทึกและมุมมองจากฝั่งของชาวต่างชาติกันบ้าง เป็นเหตุการณ์ที่ทูตจากสยามเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งหลายๆ จากการตีความของชาวเน็ต และผู้เชี่ยวชาญหลายท่านก็มองว่าบุคคลที่ถูกส่งตัวไปเข้าเฝ้านั้นก็คือคณะของท่านโกษาปานและคุณพี่หมื่นตัวจริงเสียงจริงที่มีชีวิตอยู่ในช่วงนั้นนี่แหละ!! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรลองไปรับชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… ย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1678 (พ.ศ. 2221) หลังจากชัยชนะเหนือประเทศฮอลแลนด์ ก็ทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กลายเป็นบุคคลที่เรียกได้ว่าทรงอำนาจที่สุดในแถบประเทศทางยุโรป เช่นเดียวกันกับสยาม ที่ในช่วงคริสศตวรรษที่ 17 กำลังเป็นประเทศมหาอำนาจทางวัฒธรรมเป็นอย่างมากในทวีปเอเชีย เรียกได้ว่ามีศักยภาพพอๆ กับจีน และอินเดียเลยทีเดียว วัฒนธรรมของประเทศสยามนั้นเป็นแบบพุทธแต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับความหลากหลายจากวัฒนธรรมอื่นๆ นอกจากนี้สยามในยุคนั้นยังมีความหลงใหลในวัฒนธรรมของชาวตะวันตกอีกด้วย ในช่วงยุคที่ปกครองโดยพระนารายณ์ (ช่วงปี 1657-1688 หรือ พ.ศ. 2200-2231) ประเทศทางฝั่งตะวันตกค่อยๆ มีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พระองค์ทรงมองหาพันธมิตรเพื่อช่วยไม่ให้ประเทศสยามถูกรุกราน และประเทศฝรั่งเศสก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากว่าประเทศสยามยังไม่เคยมีส่วนร่วมทางการค้ากับชาวดัทช์ ทำให้การเจรจาประสบความสำเร็จอย่างง่ายดาย…
-
นักวิทย์เพิ่งค้นพบรอยสักที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ทั้งที่มันอยู่ในพิพิธภัณฑ์มาแล้วกว่า 100 ปี!?
บางครั้งการค้นพบก็อาจจะเกิดขึ้นได้จากสิ่งของที่เรามองข้ามไป อย่างเช่นมัมมี่ชาวอียิปต์ที่ถูกค้นพบเมื่อนานมาแล้วและถูกนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์มาแล้วกว่า 100 ปี แต่พวกเขากลับเพิ่งรู้ว่าศพดังกล่าวมีรอยสักที่เก่าแก่ที่สุดติดมาด้วย ถึงจะบอกว่าเพิ่งค้นพบ แต่ใช่ว่านักวิทย์จะไม่รู้มาก่อนว่าศพดังกล่าวนั้นมีร่องรอยที่เป็นเหมือนรอยสักอยู่ เพราะก่อนหน้านี้รอยสีดำๆ ดังกล่าวนั้นยังไม่ได้รับการยืนยันว่ามันคือรอยสักจริงๆ จนล่าสุดก็ได้ยืนยันแล้วว่ามันคือรอยสักรูปควายป่าและแพะแอฟริกัน ทีมวิจัยชี้ว่ารอยสักดังกล่าวนั้นไม่ใช่เพื่อความสวยงาม แต่รอยสักรูปสัตว์ทั้งสองใช้สื่อถึงพลังของความเป็นชาย ทั้งด้านกำลังลังกาย สุขภาพทางเพศและความคิดสร้างสรรค์ ยังไม่หมดเท่านั้น นักวิจัยยังได้อธิบายเพิ่มเติมถึงความหมายที่ว่าทำไมต้องเป็นวัวและแพะอีกว่า กระทิงที่เห็นเป็นกระทิงที่เรียกว่า ‘ออรอซ‘ เป็นกระทิงยักษ์ในยุคเก่า ที่ปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งกระทิงดังกล่าวนั้นมีความหมายถึงความแข็งแกร่ง แถมยังเป็นสัตว์ที่คนในยุคนั้นเกรงกลัวและเคารพอีกด้วย ส่วนแพะนั้นหมายถึงพลังทางเพศ ซึ่งทีมวิจัยบอกว่าในยุคก่อน แพะถือเป็นตัวแทนเทพในเรื่องดังกล่าวและยังมีการยกย่องมากมายในหลากหลายตำนานทั่วโลก นอกจากนี้รอยสักดังกล่าวยังระบุว่าเป็นรอบสักที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เพราะตัวศพนั้นมีอายุมากกว่า 5,200 ปี นับตั้งแต่ยุคสำริด แถมยังมีรูปร่างที่ชัดเจนต่างจากรอยสักของมนุษย์ยุคน้ำแข็งที่เคยมีบันทึกก่อนหน้าว่าเป็นมัมมี่ที่มีรอยสักเก่าแก่ที่สุด เพราะรอยสักของมัมมี่ตัวดังกล่าวนั้นเป็นเพียงแค่ลายจุดตามร่างกาย ต่างจากมัมมี่ตัวนี้ที่มีรูปร่างชัดเจนนั่นเอง ปัจจุบันศพดังกล่าวได้จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์บริติชที่กรุงลอนดอน ถ้าใครสนใจหรือผ่านไปก็อย่าลืมแวะไปเยี่ยมเยือนรอยสักที่เก่าแก่ที่สุดกันดูได้ ที่มา independent
-
เปิดประวัตินาซี เคยฝึกสุนัขให้พูด อ่านและสะกดเป็นภาษามนุษย์ หวังชนะสงครามโลก!?
ใครจะเชื่อว่าครั้งหนึ่งชาวเยอรมันจะเคยมีความคิดเรื่องการเอาชนะสงคราม ด้วยสุนัขแสนรู้ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อมีงานวิจัยเผยออกมาว่า ชาวเยอรมันนั้นเชื่อว่าสุนัขเองก็มีสติปัญญาไม่ต่างไปจากมนุษย์ และยังพยายามที่จะสร้างกองกำลัง “สุนัขพูดได้” ที่น่าขนลุกขึ้นมาอีกด้วย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำชาวเยอรมันแห่ง พรรคนาซี เกิดความหวังขึ้นมาสุนัขจะสามารถเรียนรู้การสื่อสารกับทหารผู้ฝึกสอนมันได้ยิ่งไปกว่านั้นเขายังถึงกับสร้างโรงเรียนพิเศษสำหรับสอนสุนัขพูดโดยเฉพาะ จากนั้น เจ้าหน้าที่ของนาซีจึงทำการเฟ้นหาสุนัขแสนรู้ที่ได้รับการฝึกมาแล้ว ทั่วทั้งเยอรมัน และนำมาฝึกสอนการพูดและการสื่อสารโดยใช้อุ้งเท้าของพวกมัน สุนัขพันธุ์ผสมตัวหนึ่ง เมื่อถูกถามว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ คือใคร มันสามารถตอบได้ว่า “Mein Fuhrer” ที่แปลว่า ผู้นำของฉัน ส่วนสุนัขตัวอื่นๆ ก็สามารถใช้อุ้งเท้าแตะตัวอักษรต่างๆ เพื่อสื่อสารได้ และยังเชื่อว่าพวกมันสามารถเรียนรู้ศาสนาและบทกลอนได้อีกด้วย ทั้งนี้ ชาวเยอรมันเองก็มีแผนที่จะใช้สุนัขเหล่านี้ในสงคราม เช่น ทำงานร่วมกับทหารของฮิตเลอร์ และคอยเปลี่ยนเวรกับทหารเฝ้ายาม การทดลอง Wooffan SS ของ Dr. Jan Bondeson นักวิชาการจาก มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับงานวิจัยเกี่ยวสุนัขหลังจากที่เขาทุ่มเททดลองมาแสนนาน และเขาก็ยังมาเยือนกรุงเบอร์ลินเพื่อสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับสุนัขเพื่อเขียนหนังสือโดยเฉพาะอีกด้วย หนังสือที่ Dr. Bondeson เขียนขึ้นมาชื่อว่า Amazing Dogs: A Cabinet of…
-
ชายผู้พยายามชูโรงว่า ‘ผู้หญิงดีกว่าทุกด้าน’ แต่ดันถูกตอกหน้ากลับโดยเหล่าผู้หญิงเอง…
เป็นเรื่องแล้วคราวนี้ เมื่อ Michael Moore ผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อดังได้ออกมาโพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ของเขาถึงการยกย่องเพศหญิงว่าเป็นเพศที่ “ดีกว่า” เพศชาย ซึ่งมันก็ฟังดูเหมือนจะดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มสตรีนิยม แต่ผลกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะได้มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่า Jessica Ellis ได้ออกมาโพสต์ทวิตเตอร์แย้ง Moore ว่าที่เขากล่าวมามันไม่จริง พร้อมกับยกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้หญิงมาตอกหน้า Moore เข้าอย่างจัง ลองไปฟังเรื่องราวจริงๆ แบบละเอียดกันเลยดีกว่า… Moore โพสต์ว่า “ไม่มีผู้หญิงคนไหน สร้างระเบิดปรมาณู สร้างโรงงานอุตสาหกรรม ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย และก่อการฆาตกรรมในโรงเรียน เสียหน่อย” และสาว Ellis คนนี้ก็เข้ามาตอบ “เห็นได้ชัดว่า ที่เขาพูดมามันไม่จริง” นี่คือ Elizabeth Graves ที่ทำงานในแมนฮัตตัน ในโครงการหนึ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ Elizabeth Graves และนี่ก็คือ Mary Walton เธอจดทะเบียนเป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมสองแห่ง Mary Walton …
-
ย้อนรอย 5 เหตุการณ์ ‘โกง’ สุดอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในการแข่งขันกีฬา ‘โอลิมปิก’
กีฬาโอลิมปิกเป็นมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับมวลมนุษยชาติ เพราะว่าเป็นการแข่งขันระดับโลกที่นำนักกีฬาจากทั่วทุกๆ ประเทศมาไว้รวมกัน กีฬาโอลิมปิกจึงเป็นเป้าหมายสูงสุดสำหรับนักกีฬาทุกคนที่ฝึกซ้อมกันมาอย่างหนัก เพื่อหมายจะคว้าเหรียญรางวัลสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศตัวเองเลยก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นในเทศกาลกีฬานี้ เพราะว่ามีเหตุการณ์บางอย่างที่ถูกจับได้ว่ามีการ ‘โกง’ เกิดขึ้นทั้งๆ ที่กีฬาระดับใหญ่ขนาดนี้ไม่น่าจะมีการเกิดขึ้นได้ และในวันนี้เราจะพาทุกท่านย้อนอดีตไปดูการโกงที่เคยเกิดขึ้น ว่ามีเหตุการณ์ใดที่ได้จารึกลงในประวัติศาสตร์โอลิมปิกบ้าง อีกทั้งเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าหากพร้อมจะเรียนรู้ความผิดพลาดนี้แล้วก็เลื่อนลงดูพร้อมกันได้เลย 1. Jim Thorpe ถูกยึดเหรียญรางวัลเพราะว่าเป็นมืออาชีพ?? ย้อนกลับไปในปี 1912 การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในเวลานั้นได้มีกฏที่เข้มงวดข้อหนึ่งเอาไว้ว่า อนุญาตให้เฉพาะนักกีฬาสมัครเล่นลงแข่งขันเท่านั้น ซึ่งในปีนั้นเอง Jim Thorpe ก็ได้ลงแข่งกีฬาโอลิมปิกที่จัดขึ้นในเมืองสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ซึ่งก็ปรากฏว่าเขาชนะเลิศรางวัลถึง 2 เหรียญทองในการแข่งขันปัญจกีฬาสมัยใหม่และการกรีฑาสิบประเภท แต่เขาก็โดนยึดเหรียญรางวัลคืนไป เนื่องมาจากมีการพบว่าเขาเคยเป็นผู้เล่นเบสบอลระดับกึ่งอาชีพมาก่อนถึง 2 ฤดูกาล ต่อมาในปี 1983 ที่เป็นเวลา 30 ปีหลังจากเขาเสียชีวิต เขาก็ได้รับเหรียญรางวัลคืน แต่ว่าก็ยังคงไม่ได้รับการบันทึกในสถิติโอลิมปิกอยู่ดี 2. การตรวจพบสารสเตอรอยด์ของ Ben Johnson การแข่งขันวิ่ง 100 เมตรชายในปี 1988 ที่ทางประเทศเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ ถือได้ว่าเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งของกีฬาโอลิมปิก เมื่อ…
-
ผู้เชี่ยวชาญร่วมไขรหัสลับ ของพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 จดหมาย 4 ฉบับต้องใช้เวลาร่วม 6 เดือน
เป็นเวลากว่า 500 ปีมาแล้วที่จดหมาย 4 ฉบับของ พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งอารากอนและหนึ่งในผู้บัญชาการทหารของเขา กอนซาโล เฟร์นันเดซ เดอ กอร์โดบา ได้ทำให้นักประวัติศาสตร์ถึงกับงงงัน เนื่องจากในจดหมายมีการใช้ “รหัสลับ” ที่มีความเฉพาะ และอักษรมากกว่า 200 ตัว ที่ใช้เพื่อติดต่อสื่อสาร ซึ่งยังไม่มีใครสามารถถอดความเนื้อหาในจดหมายได้กระทั่งทุกวันนี้ แต่สุดท้าย หน่วยสืบราชการลับของสเปนก็ได้ไขปัญหารหัสลับนี้ให้กระจ่างได้ และได้เผยถึงเนื้อหาภายในจดหมายว่ามีการตอบโต้สนทนากันระหว่างผู้สูงศักดิ์สองคน จดหมายนี้อยู่ในยุคสงครามเนเปิลส์ในอิตาลี ช่วง 1-2 ปีแรกของปี 1500 ขณะที่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศส กำลังต่อสู้กับพระเจ้าเฟร์นันโดและ สมเด็จพระราชินีนาถอีซาเบลที่ 1 แห่งคาสตีล เพื่อแย่งชิงการปกครองทางใต้ของอิตาลี Jesús Ansón Soro เลขาธิการของพิพิธภัณฑ์กองทัพ Toledo ซึ่งเป็นที่จัดเก็บจดหมายทั้ง 4 ฉบับ ได้กล่าวว่า “ในสถานการณ์สมัยนั้น ช่วงสงครามเนเปิลส์ที่ส่งผลกระทบหลักๆ กับฝรั่งเศสและสเปน รวมไปถึงจักรวรรดิเยอรมัน รัฐสันตะปาปา จักรวรรดิออตโตมัน และนครรัฐอิตาลี มันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในการรักษาความลับยามติดต่อสื่อสารเรื่องกลยุทธ์การรบและเรื่องการกบฏ เพราะเพียงแค่ละเลยในบางจุดก็อาจทำให้เสียกลยุทธ์ได้” กอร์โดบามีฉายาว่ากัปตันผู้ยิ่งใหญ่ที่นำทัพสเปนให้เคลื่อนไหว ดังนั้น เขาและพระราชาจึงมีการติดต่อกันบ่อยครั้ง…
-
ภาพเก่าเล่าใหม่ ศิลปินทำภาพเก่าแก่อายุ 100 ปีให้กลับมามีสีสัน ย้ำเตือนถึงเหตุการณ์ประท้วงเรียกร้องสิทธิสตรี
เนื่องจากวันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านมานั้น เป็นเครื่องย้ำเตือนให้นึกถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นในวันเดียวกันนี้แต่เป็นในปี 1918 ที่สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ได้ยินยอมให้หญิงที่มีอายุเกิน 30 ปี มีสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง Tom Marshall ช่างภาพคนหนึ่งที่ชื่นชอบในประวัติศาสตร์จึงต้องการแสดงให้เห็นถึงความพยายามและความยากลำบากของสตรีในการเรียกร้องสิทธิของตนท่ามกลางสังคมที่มีการแบ่งแยกเพศ Tom ได้นำภาพเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์กว่า 100 ปีเหล่านั้นมาเติมสีสันให้มีชีวิตชีวามากขึ้น เพื่อเตือนใจคนยุคปัจจุบันและทำให้สังคมปัจจุบันไม่มีการแบ่งแยกเพศหรือชนชั้นอีก Millicent Fawcett (1847-1929) – ผู้รณรงค์ด้วยสันติภาพ Millicent Fawcett เป็นผู้ที่รณรงค์ให้สตรีมีสิทธิเข้าถึงการศึกษา เธอก่อตั้งสมาคมสิทธิสตรี (NUWSS) ขึ้นมาเพื่อทำการรวบรวมกำลังสตรีให้ดำเนินการรณรงค์ด้วยวิธีสันติเช่น การเขียนจดหมาย แจกจ่ายใบปลิว และนิตยสาร ที่มีเนื้อหาเป็นการเรียกร้องสิทธิของสตรี แต่ก็มีสมาชิกของกลุ่มบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีที่อ่อนโยนของ Fawcett ในปี 1903 Emmeline Pankhurst จึงแยกตัวจากกลุ่ม NUWSS แล้วก่อตั้งสหพันกฎหมายและสังคมของสตรี (WSPU) โดยมีคติประจำกลุ่มก็คือ “สิ่งที่สำคัญคือการกระทำ ไม่ใช่คำพูด” Emmeline Pankhurst ถูกจับกุมขณะพยายามที่จะแสดงตนร้องทุกข์กับพระเจ้าจอร์จที่ 5 ในเดือนพฤษภาคม ปี…
-
ผลงานภาพถ่ายขาวดำจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เผยให้เห็นอีกด้านหนึ่งของสงคราม
ภาพของเหล่าทหารเยอรมันที่กำลังพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล และภาพของเด็กๆ ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ เป็นภาพถ่ายสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 จากฝีมือของ Käthe Buchler ช่างภาพสาวชาวเยอรมัน ช่างภาพของเราได้บันทึกภาพต่างๆ ในช่วงเวลานั้น พร้อมกับให้ความหมายของภาพถ่ายเธอว่า “นี่คือความดื้อรั้นของพลเรือนชั้นกลาง” ตามมาด้วยภาพของเหล่าทหารที่กำลังดื่มชา หรือพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเหล่าที่ช่วยย้ำเตือนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี โดยผลงานของช่างภาพสาวรายนี้ ถูกถ่ายด้วยฟิล์มแบบขาวดำทั้งหมด ซึ่งเธอตั้งชื่อผลงานชุดนี้ว่า Beyond the Battlefields และถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ภาพถ่ายในเมืองเบราน์ชไวก์ ประเทศเยอรมัน ชุดภาพถ่ายดังกล่าวถูกแสดงในนิทรรศการการท่องเที่ยว ที่พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ Birmingham ประเทศอังกฤษระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2017 ถึง 14 มกราคม 2018 ที่ผ่านมา ภาพของพยาบาลสาวและทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสงครามโลกครั้งที่ 1 . . เด็กๆ ในสถานพยาบาล ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ภาพถ่ายของ Käthe Buchler ที่เผยให้เห็นอีกมุมหนึ่งของสงครามได้เป็นอย่างดี . . ภาพของเด็กชายชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่…
-
Phorusrhacidae ตระกูลนกสุดโหดในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มวลมนุษยชาติจะถือกำเนิดขึ้น!!
เคยมีใครบางคนกล่าวเอาไว้ว่าหากจะศึกษาอะไรสักอย่างให้เริ่มต้นที่ตัวเองก่อน โรงเรียนต่างๆ จึงได้เกิดวิชาประวัติศาสตร์ขึ้นมาเพื่อให้เรารู้พื้นเพความเป็นมาของตัวเรา รวมถึงในยุคก่อนที่เราจะถือกำเนิดขึ้นมาด้วย ก่อนที่มนุษยชาติอย่างเราๆ จะถือกำเนิดขึ้น เชื่อกันว่าครั้งหนึ่งโลกของเราเคยถูกปกครองโดยสัตว์อย่าง ไดโนเสาร์ รวมถึงสัตว์แปลกๆ อย่างอื่นอีกจำนวนมากที่เราไม่รู้จัก ดังนั้นเพื่อให้รู้ประวัติความเป็นมาของโลกที่เราอาศัยอยู่ให้ดียิ่งขึ้น วันนี้เราจึงจะพาทุกท่านไปรู้จักกับตระกูลนกยักษ์ตระกูลหนึ่งที่มีความโหดเหี้ยมถึงขั้นมีผู้ขนานนามให้ว่า “นกแห่งความสยองขวัญ” เลยทีเดียว Phorusrhacidae คือชื่อเรียกของนกตระกูลที่กล่าวไว้ข้างต้น พวกมันเป็นกลุ่มนกที่มีขนาดใหญ่แต่ไม่สามารถบินได้ โดยเจ้านกชนิดนี้สามารถพบเห็นได้ทุกพื้นที่ของโลกใบนี้ในเมื่อเวลาประมาณ 60 ล้านปีก่อน ซึ่งมีความเชื่อกันว่ามันน่าจะถือกำเนิดขึ้นในยุคครีเทเชียสช่วงต้นๆ และเมื่อเวลาผ่านไปพวกมันก็มีวิวัฒนาการแบ่งออกเป็น 25 สายพันธุ์ที่แตกต่างกันออกไป บางสายพันธุ์ก็จะกินแต่เฉพาะซากสัตว์ที่ตายแล้วเท่านั้น ขณะเดียวกันบางตัวก็มีสัณชาตญาณนักล่าที่โหดเหี้ยมจนถึงขั้นกระหายเลือดเลยทีเดียว โดยข้อมูลเหล่านี้ได้มาจากซากฟอสซิลที่เผยให้เห็นถึงลักษณะทางกายภาพของพวกมันนั่นเอง ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นนักล่า ทั้งกรงเล็บที่แหลมคมเหมาะสำหรับการทิ่มแทง จงอยปากที่พร้อมจะฉีกเนื้อของเหยื่อผู้โชคร้ายให้หลุดออกจากกระดูกได้อย่างง่ายดาย รวมถึงขาของพวกมันที่มีความแข็งแรงพอที่จะทำให้กระดูกของสัตว์ตัวอื่นแตกได้เลยทีเดียว จากคุณสมบัติทั้งหมดที่ได้กล่าวมา จึงทำให้มันเป็นนักล่าที่น่าเกรงกลัวสำหรับสัตว์น้อยใหญ่มากมายในสมัยนั้น จากคำบอกกล่าวของผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ นอกจากร่างกายของมันจะทำให้สัตว์ตัวอื่นๆ หวาดหวั่นแล้ว วิธีการฆ่าเหยื่อของพวกมันยังถือว่าเป็นวิธีที่ซาดิสม์แบบสุดๆ อีกด้วย เพราะว่าพวกมันจะใช้ปากคาบเหยื่อขึ้นมาแล้วจับทุ่มลงพื้นไปเรื่อยๆ จนกว่าเหยื่อจะแน่นิ่งไปในที่สุด สำหรับหนึ่งในสัตว์ที่มีรูปร่างใหญ่ที่สุดในตระกูลนกตระกูลนี้มีชื่อว่า Titanis walleri โดยพวกมันมีแหล่งที่อยู่อาศัยอยู่บริเวณที่ราบชายฝั่งของรัฐเท็กซัสและฟลอริด้า ของประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันนั่นเอง ส่วนสาเหตุที่ทำให้มันสูญพันธฺุ์ยังไม่เป็นที่แน่ชัดนัก แต่ผู้เชี่ยวชาญได้สันนิษฐานเอาไว้ว่า น่าจะมาจากอุณหภูมิในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกมันไม่สามารถปรับตัวได้และล้มตายไปในที่สุด วิดีโอของเจ้านกตระกูลนี้ที่จะมาบอกเรื่องราวความเป็นมาต่างๆ ที่มา: mentalfloss
-
ทำความรู้จักกับยุค Wild West ต้นกำเนิดวิถีคาวบอย จากยุคสงครามกลางเมืองอเมริกา
สำหรับใครที่เป็นแฟนหนังฮอลลีวูด อาจจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับหนังแนว Western หรือแนวคาวบอยนั่นเอง และด้วยอิทธิพลของหนังแนวนี้ ก็ยังส่งผลไปถึงการแต่งตัวและวิถีชีวิตแบบคาวบอยที่หลายๆ คนชื่นชอบอีกด้วย แต่เพื่อนๆ รู้กันบ้างหรือเปล่าว่าอันที่จริงแล้ววิถีชีวิตแบบคาวบอยนี้มีจุดกำเนิดมาหลังจากยุคสงครามกลางเมืองของอเมริกาเมื่อช่วงประมาณปี 1865-1895 นั่นเอง ยุคของคาวบอยหรือที่รู้จักกันว่า Wild West หรือ American Frontier นั้นมีต้นกำเนิดมาจากทางทิศตะวันออกของแม่น้ำมิสซิสซิปปีรวมไปถึงดินแดนดาโคตา รัฐเนวาดา ออริกอน ยูทาห์ โคโลราโด นิวเม็กซิโก และแคลิฟอร์เนีย ในดินแดนต่างๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของคาวบอยนั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นดินแดนที่ไม่มีกฎหมายเข้มงวดมากเท่าไหร่ หรือเรียกง่ายๆ ก็บ้านป่าเมืองเถื่อนนั่นเอง และบ่อยครั้งที่เรื่องราวจากดินแดนเหล่านี้มักจะถูกเผยแพร่ไปตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยครั้ง และเมื่อถึงวัฒนธรรมของยุคอนานิคมมาถึงก็ทำให้วัฒนธรรมแบบ Wild West ได้รับความนิยมมากขึ้น และมันก็กลายเป็นสิ่งที่ฝั่งลึกลงไปในจิตวิญญาณของผู้คน คาวบอยหนุ่มบนหลังม้าประมาณปี 1887 สัญลักษณ์ในยุค Wild West อย่างที่เราเคยเห็นบทบาทของคาวบอยในหนังฮอลลีวูดกันมามากมายแล้ว คำว่า “คาวบอย” นั้นยังถูกใช้เรียกแทนคนที่ทำงานเกี่ยวกับปศุสัตว์อีกด้วย และในความเป็นจริงแล้วเหล่าคาวบอยนั้นมักจะไม่ได้สวมหมวกปีกกว้างอย่างที่เราเห็นกันหรอก เพราะมันทำให้ทำงานได้ไม่สะดวก แถมยังมีราคาแพงอีกด้วย หนึ่งเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นที่จดจำที่สุดของยุค Wild West และเป็นแรงบันดาลใจให้กับฉากดวลปืนในหนังหลายๆ เรื่องเลยนั่นก็คือการดวลที่คอกโอเค บริเวณใจกลางเมืองทูมบ์สโตน (Tombstone) รัฐอริโซน่า การดวลดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างพี่น้องตระกูล Earp ทั้งหมด 4 คนและกลุ่มคาวบอยจากตระกูล…
-
เครือข่ายหมู่บ้านถ้ำจีน Yaodongs เป็นที่อยู่ของชาวถ้ำกว่า 3,000 คน มาตั้งแต่โบราณกาล
เป็นที่เชื่อกันว่าลึกลงไปใต้ดินของเมือง ซานเหมินเซียะ แห่งมณฑลเหอหนานนั้น เป็นที่อาศัยของผู้คนเกือบ 10,000 ครัวเรือน และหมู่บ้านอีกนับร้อยแห่ง ลักษณะของการสร้างที่อยู่อาศัยใต้ดินโดยแบ่งออกเป็นย่านๆ ตามหมู่บ้านหรือลานกว้างนั้น เป็นภูมิปัญญาที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล โดยหนึ่งหมู่บ้านนั้นสามารถมีผู้อาศัยได้ถึง 3,000 ชีวิต ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีให้พบเห็นกันในเมืืองซานเหมินเซียะนี่เอง . ปัจจุบัน หน่วยงานของรัฐบาลกำลังพยายามสำรวจไปตามอุโมงค์และสถาปัตยกรรมสุดล้ำที่อยู่ใต้ดินแห่งนี้ โดยลักษณะที่อยู่อาศัยใต้ดินที่เชื่อมกันเป็นถ้ำและอุงโมงค์แบบนี้ถูกเรียกว่า “Yaodongs” ซึ่งที่แห่งนี้ได้มีผู้คนอาศัยผ่านไปแล้วราว 6 รุ่น หรือมากกว่า 200 ปีด้วยกัน พวกเขาสร้างที่พักอาศัยใต้ดินแบบนี้ก็เพื่อรักษาความอุ่นเมื่ออากาศหนาว และรักษาความเย็นเมื่ออากาศร้อน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก Easy Tour China กล่าวว่า “มันมีคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และศิลปะ” . พวกเขาบอกว่าต้องใช้เวลาถึง 3 ปี กว่าที่จะขุดดินลงมาราว 7 เมตร เพื่อสร้างที่บ้านในถ้ำแบบนี้ ซึ่งผลงานที่พูดได้ว่าดีที่สุดนั้นถูกสร้างอยู่ในหมู่บ้าน Renma และ Miaoshang ในเมือง Shanxian มันเป็นบ้านที่มีสไตล์เรียบง่าย ฝุ่นเขลอะ แต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบชาวตะวันตกยุคสมัยใหม่ เช่น…
-
10 งานศิลป์ชิ้นเอกระดับโลก พร้อมกับความลับเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในและยากที่จะมองเห็น…
วันนี้เรามาชมเรื่องราวที่เกี่ยวกับศิลปะกันบ้างดีกว่า โดยเฉพาะภาพวาด ที่เป็นชิ้นเอกระดับโลกในยุคสมัยก่อน เมื่อหลายร้อยปีก่อน นักวาดที่มีชื่อเสียงก็อย่างเช่น Michelangelo, Leonardo Da Vinci และ Vincent Van Gogh เป็นต้น หลายท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อเหล่านี้มาก่อน และก็อาจจะเคยเห็นภาพเขียนของพวกเขามาบ้างแล้ว ซึ่งวันนี้เราก็ไม่ได้แค่จะพาไปชมภาพเขียนต่างๆ ในยุคสมัยหลายร้อยปีก่อนเท่านั้น เรายังจะพาทุกท่านเจาะลึกลงไปถึง “ความลับ” ที่เหล่าศิลปินได้แฝงมันเอาไว้ในภาพ ในยุคสมัยปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น มันจึงถูกใช้เพื่อค้นหาความลับเล็กๆ น้อยๆ ที่แฝงมากับภาพเขียนในประวัติศาสตร์นั่นเอง ว่าแต่จะมีภาพไหน และมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันบ้าง ไปรับชมกันเลยดีกว่า 1. The Ambassadors (1533) โดย Hans Holbein ภาพที่เห็นด้านบนนี้ถึงจะดูเป็นภาพสมจริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะมองเห็นวัตถุแปลกประหลาดด้านล่างตรงกลางๆ ของภาพ ที่อยู่ระหว่างคน 2 คนในภาพ หากมองดีๆ ก็คงจะพอดูรู้ว่าเป็นภาพของ “หัวกะโหลก” ที่ถูกทำให้บิดเบี้ยว ใช่แล้ว มันคือรูปหัวกะโหลกจริงๆ ว่าแต่มันถูกนำมาใส่ในภาพแบบนั้นเพื่ออะไรกัน? บางคนสันนิษฐานว่า หัวกะโหลกในภาพจะหมายถึงคำพูดในภาษาละตินว่า “Memento Mori” ที่แปลว่า “อย่าลืมว่า วันหนึ่งคนเราก็ต้องตาย” โดยว่ากันว่าคำกล่าวที่ว่านั้นเป็นคติประจำใจของผู้ที่ว่าจ้างให้เขียนภาพนี้ขึ้นมา ชื่อว่า Jean de Dinteville ซึ่งเขาก็คือคนที่ยืนอยู่ด้านซ้ายของภาพนั่นเอง…
-
เปิดตำนาน Food Taster อาชีพสุดเสี่ยงในอดีต ที่สามารถคร่าชีวิตของคุณได้เลย
เชื่อหรือไม่ว่า ครั้งหนึ่ง ยาพิษ นั้นเป็นอาวุธสังหารที่มีประสิทธิภาพสูงที่คร่าชีวิตผู้คนได้อย่างแยบยล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ทรงอำนาจที่ล้วนมีผู้คุ้มกันอันตรายอยู่รอบตัว ยาพิษนั้นจึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักลอบสังหาร ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเพียงแค่นำยาพิษไปผสมกับอาหารหรือเครื่องดื่มของเป้าหมายก่อนที่เขาจะกินหรือดื่มเข้าไป เพียงเท่านั้น บุคคลที่ต้องการกำจัดก็เป็นอันสิ้นใจ ดังนั้นในยุคสมัยก่อน ความกลัวยาพิษที่ปนเปื้อนมาในอาหารและเครื่องดื่มนั้นได้แพร่กระจายไปทั่ว ผู้สูงศักดิ์และเศรษฐีต่างพากันจ้าง “คนชิมอาหาร” ไว้ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น และความกลัวเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ในยุคสมัยปัจจุบัน… ดังนั้น CatDumb จึงขอพาทุกท่านมาอ่านเรื่องราวอันเป็นตำนานของคนชิมอาหาร ว่าลองได้รับตำแหน่งนี้เข้าแล้ว ชีวิตของคนชิมอาหารจะเป็นอย่างไรกันบ้าง เฮโลตุส (Halotus) – นักวางยาต้องสงสัย เฮโลตุสเป็นคนที่มีชื่อเสียงเนื่องจากเขานั้นเป็นถึงคนชิมอาหารของจักรพรรดิคลอดิอุสแห่งโรมัน (Claudius) เขานั้นทำหน้าที่ชิมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อทดสอบว่ามียาพิษปนเปื้อนมาหรือไม่ ก่อนนำไปถวายให้แก่องค์จักรพรรดิ แต่วันหนึ่งหนึ่งจักรพรรดิคลอดิอุสก็สิ้นใจจากยาพิษที่ติดมากับเห็ดที่เฮโลตุสนำมาถวาย เขาจึงถูกขังในข้อหาปลงพระชนม์โดยความจริงแล้วเป็นฝีมือของพระมเหสีนั่นเอง แต่ต่อมาไม่นานขณะที่จักรพรรดิเนโร (Nero) ขึ้นครองราชย์ เขาก็กลับมาเป็นคนชิมอาหารอีกครั้ง และเมื่อเปลี่ยนยุคสมัยเป็นจักรพรรดิกัลบา (Galba) ผู้ที่ตั้งใจจะฆ่าบ่าวรับใช้ของ อดีตจักรพรรดิเนโรทุกคน แต่เฮโลตุสกลับได้รับการไว้ชีวิต จากนั้นชื่อของเฮโลตุสก็ถูกลืมเลือน คนชิมผู้โชคร้ายของ มาร์ก แอนโทนี (Mark Antony) ไม่ใช่ผู้ชิมทุกคนจะโชคดีอย่างเฮโลตุส…
-
ชมปกนิตยสาร National Geographic ประวัติศาสตร์ยาวนาน 130 ปี ย่อมาให้ดูใน 2 นาที!!
เพื่อนๆ รู้จัก National Geographic กันรึเปล่า? National Geographic นั้นเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และการศึกษาแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งได้ทำสื่อให้ความรู้ทั้งนิตยสารและช่องสารคดี ซึ่งผู้เขียนนั้นชอบดูช่องสารคดีของเค้ามากเลยล่ะ National Geographic เป็นนิตยสารที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับข่าวสารและเรื่องราวของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม พิมพ์ฉบับแรกเมื่อปี 1888 หน้าปกของ National Geographic ฉบับแรก ตอนนี้ในปี 2018 นิตยสารที่คุ้มค่าแก่การอ่านเล่มนี้ก็ได้มีอายุครบ 130 ปีเป็นที่เรียบร้อย ที่ผ่านมาก็ได้นำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจมาโดยตลอด ซึ่งทางทีมงานก็ได้ทำวิดีโอรวบรวมน่าปกของนิตยสารตั้งแต่ฉบับแรกที่ตีพิมพ์ในปี 1888 จนถึงฉบับปัจจุบันมาให้พวกเราได้รับชม ซึ่งในวิดีโอจะมีความยาวประมาณ 2 นาที และจากวิดีโอเราจะเห็นถึงการพัฒนาของหน้าปกนิตยสารไปในตัว หน้าปก National Geographic ปี 1915 ในยุคแรกๆ นั้นเทคโนโลยีการพิมพ์การตัดต่อยังไม่ดีเท่าไหร่ หน้าปกก็จะมีเพียงแค่ข้อความ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เทคโนโลยีที่มากขึ้นก็ทำให้ปกเริ่มมีรูปภาพขึ้นมาจนพัฒนามาถึงหน้าปกอย่างทุกวันนี้ ปก National Geographic…
-
เปิดตำนาน “คนอังกฤษ” กับ “การดื่มชา” ทำไมชอบดื่มกันนัก ล้อมวงมาสิจะเล่าให้ฟัง…
หลายครั้งเรามักจะได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับชาวอังกฤษที่ชื่นชอบในการดื่มชามากๆ มากขนาดที่มีความคิดว่าชาวอังกฤษนั้นมีช่วงเวลาสำหรับดื่มชาโดยเฉพาะเลยทีเดียว แต่เราเคยสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงชอบดื่มชากัน แล้วทำไมต้องเป็นชาวอังกฤษกันนะ ทั้งที่ตามที่เรารู้กัน ชาชั้นดีมักจะมาจากจีนหรือไม่ก็ญี่ปุ่นเสียมากกว่า…เออ นั่นสิเนอะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้เรามาหาคำตอบไปด้วยเลยกันดีกว่า!! เรื่องราวการเข้ามาของชาในอังกฤษนั้น มันจะต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัย 1662 นู๊นนน โดยคนที่เผยแพร่การดื่มชาก็ไม่ใช่ชาวอังกฤษโดยตรงนะ แต่ดันเป็นเจ้าหญิงชาวโปรตุเกสนามว่า Catherine of Braganza ไปซะได้ เจ้าหญิง Catherine นั้นได้แต่งงานกับพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ ตอนที่เธอเดินทางมายังอังกฤษนอกจากทรัพย์สมบัติแล้วเธอยังได้พกกล่องพัสดุที่ชุดหนึ่งมาด้วย เจ้าพัสดุนี้มันมีชื่อว่า Transporte de Ervas Aromaticas และภายในเจ้าพัสดุชุดนี้ก็บรรจุของที่เป็นคำตอบของเราไว้อยู่ มันก็คือชานั่นเอง หลายคนอาจจะสงสัยว่า ‘เอ้า!! เป็นแค่พัสดุใส่ชาแล้วทำไมต้องมีชื่อด้วย มันสำคัญขนาดนั้นเลย?’ ซึ่งคำตอบที่ว่ามันสำคัญมากไหมอันนี้เราไม่ทราบ แต่ก็มีข่าวลือหนาหูเช่นกันว่า ไอ้คำว่า TEA เนี่ยมันก็ย่อมาจากชื่อกล่องพัสดุดังกล่าวโดยใช้ตัวอักษรข้างหน้าสามตัวมาประกอบเข้าด้วยกัน และนับจากนั้น เจ้าหญิง Catherine ก็เริ่มดื่มชาซึ่งเป็นเครื่องดื่มอันแสนโปรดปรานของเธออย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเหล่าท่านหญิงและหญิงสาวชาวบ้านคนอื่นๆ รู้ว่าเจ้าหญิงชาวโปรตุเกสคนนี้มีรสนิยมชอบดื่มชามากๆ พวกเธอจึงอยากลองทำตามนั่นเอง แต่ว่าในช่วงยุคสมัยแรกนั้นชาถือเป็นของที่คนทั่วไปไม่สามารถจะหาได้ง่ายนัก การจะหาชามาได้จำเป็นจะต้องนำเข้าจากโปรตุเกสและจากชาติอื่นอย่างจีนหรือญี่ปุ่น งานนี้สาวชาวบ้านทั่วไปก็เลยอดก๊อปปี้สไตล์ของเจ้าหญิงไป นอกจากการดื่มชาธรรมดาแล้ว เจ้าหญิง…
-
ที่มาของ “เฮนน่า” ศิลปะบนเรือนร่างจากยุคโบราณ ที่ยังมีศิลปินอนุรักษ์ไว้จนถึงทุกวันนี้
สำหรับใครที่ชื่นชอบงานศิลปะบนเรือนร่าง ไม่ว่าจะเป็นการสักหรือการเพนต์ร่างกาย คงจะคุ้นเคยหรือได้ยินชื่อการสักด้วยหมึกที่สามารถจางออกเองได้อย่างการสัก “เฮนน่า” กันมาบ้างแน่ๆ อันที่จริงแล้วการสักแบบนี้ไม่ใช่ศิลปะที่เพิ่งเกิดขึ้นมาบนโลกนี้หรอกนะ แต่มันถือว่าเป็นหนึ่งในศิลปะจากยุคโบราณเลยทีเดียว และวันนี้เราจะขอพาทุกคนไปรู้จักกับต้นกำเนิดของงานศิลปะชิ้นนี้กัน!! เฮนน่ามาจากไหนกันนะ!? อันที่จริงนั้นเฮนน่าคือชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ในพื้นที่ของทวีปแอฟริกาและทางตอนเหนือของทวีปเอเชีย โดยดอกของเจ้าพันธุ์ไม้ชนิดนี้มักนิยมนำมาใช้ในการทำน้ำหอม ส่วนใบของมันนั้นมักจะนำมาใช้สกัดเป็นสารเรียกว่า Lawsome ที่มีลักษณะเป็นสีส้มหรือแดงเข้ม โดยคุณประโยชน์ของเจ้าสารสกัดที่ว่านี้ก็มีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการใช้สำหรับลดไข้ ทำให้หลับสบาย รักษาอาการปวดหัว รวมถึงย้อมสีผมและผิวได้อีกด้วย ประวัติของการสักเฮนน่า เมื่อประมาณ 1,000 ปีที่แล้ว ศิลปะการสักเฮนน่านั้นเริ่มต้นขึ้นในแถบประเทศอินเดีย แอฟริกาและทางเอเชียตะวันออก แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานที่ระบุว่าประเทศใดเป็นผู้เริ่มต้นการใช้หมึกจากต้นไม้นี้สำหรับการทำงานศิลปะบนเรือนร่าง แต่มีหนึ่งข้อสันนิฐานที่น่าสนใจเผยว่าการใช้หมึกดังกล่าวนั้นน่าจะมีการพัฒนามาจากแถบทะเลทราย เนื่องจากการสักเฮนน่าที่ผิวหนังนั้นจะช่วยทำให้รู้สึกเย็นขึ้น การสักด้วยหมึกดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมาก ในหมู่ของชาวฮินดูและมุสลิมเองก็มีการทำศิลปะบนเรือนร่างนี้สำหรับในงานฉลองหรือวันสำคัญทางศาสนาต่างๆ ในประเทศอินเดียนั้นพวกเขาจะเรียกวันก่อนจัดพิธีแต่งานว่า “Night of Henna” ซึ่งในวันดังกล่าวนั้นเพื่อเจ้าสาว และฝ่ายหญิงในครอบครัวของเธอจะมีการสักเฮนน่าตามร่างกาย ตามความเชื่อว่าจะเป็นการมอบความโชคดีให้กับคู่บ่าวสาว นอกจากในประเทศอินเดียแล้ว เฮนน่ายังถูกนำไปผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมอื่นๆ และมีการออกแบบลวดลายที่สื่อความหมายแตกต่างกันออกไปอีกด้วย อย่างเช่นในแอฟริกานั้นรูปแบบของรอยสักดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นรูปทรงเรขาคณิตและมีความหนา ส่วนการออกแบบของชาวอาหรับนั้นจะเน้นลวดลายที่ละเอียดอ่อนและมีลวดลายที่สื่อถึงผู้หญิง การสักเฮนน่าที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ . ที่มา mymodernmet
-
15 เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ กับการมีประจำเดือนและความขมขื่น ที่ผู้หญิงในอดีตยากจะหลีกเลี่ยง
ในอดีตกาล วิทยาศาสตร์หรือความรอบรู้ยังไม่เจริญก้าวหน้าเท่ากับปัจจุบัน จึงทำให้เกิดความเชื่อหลายๆ อย่างที่ผิดไปจากความเป็นจริง อย่างเช่นความเชื่อในเรื่องประจำเดือนของผู้หญิง ช่วงก่อนศตวรรษที่ 19 แพทย์ในยุคนั้นเชื่อว่าผู้หญิงหลั่งเลือดออกมาเพื่อระบายความร้อน อารมณ์และความรู้สึกที่ผิดปกติ ซึ่งมันผิดไปจากความเป็นจริงที่เกี่ยวข้องกับการตกไข่ แต่คนในยุคนั้นไม่เคยรับรู้ถึงเรื่องนี้มาก่อน นอกจากความเชื่อแบบนี้แล้ว ยังมีความเชื่อหรือตำนานแปลกๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของประจำเดือน เราลองไปรับรู้พร้อมๆ กันเลยยย 1. ชาวโรมันโบราณเชื่อว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนคือแม่มดมนต์ดำ นักปรัชญาชาวโรมัน Pliny The Elder บอกว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนจะสามารถบังคับพายุฝนฟ้าคะนอง ลมบ้าหมู ฟ้าผ่า และความแห้งแล้งอุดมสมบูรณ์ได้ รวมถึงเวทมนตร์ที่ใช้ป้องกันตัวอย่างการฆ่าสัตว์ที่จะเข้ามาทำร้ายเพื่อแค่การมอง เลือดเมนส์ที่ไหลออกมาก็ยังเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดหมาบ้าขึ้นมาอีกต่างหาก 2. ชาวอียิปต์โบราณนำกระดาษพาไพรัสแบบอ่อนมาใช้เป็นผ้าอนามัยแบบสอด ชาวอียิปต์ใช้กระดาษดังกล่าวพันรอบๆ แท่งไม้เพื่อใช้เป็นผ้าอนามัยแบบสอดและช่วยในเรื่องของการคุมกำเนิด ในขณะที่ชาวโรมันใช้ขนสัตว์ในการทำผ้าอนามัยแบบเดียวกัน 3. ชาวยุโรปในยุคกลางจะเผาคางคกเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดียิ่งขึ้น นักประวัติศาสตร์ Amy License บอกถึงวิธีการที่ง่ายมากๆ เพียงแค่จับคางคกมาเผาในหม้อ แล้วนำขี้เถ้าของมันไปใส่ถุงเอาไว้ โดยพกพาถุงที่ใส่ขี้เถ้านั้นให้มันอยู่ใกล้ๆ กับช่องคลอด เท่านี้เลือดลมก็ไหลเวียนดีขึ้นแล้ว 4. ชาวฝรั่งเศสเชื่อว่าการมีเพศสัมพันธ์ตอนที่เมนส์มาจะทำให้มีสัตว์ประหลาดคลอดออกมา ตามข้อมูลจาก The Curse: A Cultural…
-
วิทยาศาสตร์พิสูจน์ความจริงของชาว ‘ไวกิ้ง’ กับการพา ‘แมวเหมียว’ ขึ้นเรือทุกครั้งที่ออกไปพิชิตโลก
พวกเราเคยได้ยินคำพูดที่ว่าแมวคิดจะครองโลกกันใช่ไหม แน่นอนว่าบางคนอาจจะคิดว่ามันก็แค่เรื่องล้อเล่น แต่หลังจากอ่านบทความนี้แล้วเพื่อนๆ อาจจะต้องเปลี่ยนความคิดก็ได้ เพราะแมวมันคิดจะครองโลกจริงๆ นะ มันถึงกับขึ้นเรือตาม “ไวกิ้ง” ไปปล้นสะดมเลยทีเดียว จากการศึกษา DNA ของแมวโบราณนักวิทยาศาสตร์สามารถตรวจสอบได้ว่า มีการเลี้ยงแมวอยู่ในเขตตะวันออกและอียิปต์ตั้งแต่ประมาณ 1 แสน 5 หมื่นปีก่อน เมื่อตามรอยการเลี้ยงแมวบ้านไปเรื่อยๆ พวกเขาก็พบว่าแม้แต่พวกไวกิ้งก็มีการเลี้ยงแมวไว้ในบ้านด้วยเช่นกัน ซึ่ง DNA ของสายพันธุ์ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยนั้น ถูกพบในกว่าสามสิบแหล่งโบราณคดีทั่วทั้ง ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา น่าเสียดายที่เราไม่มีหลักฐาน ที่บอกว่าแมวในสมัยก่อนหน้าตาต่างจากปัจจุบันอย่างไร นักวิจัยตรวจสอบโดยมุ่งเน้นไปที่ DNA ที่ส่งผ่านจากแม่สู่ลูกเท่านั้น พวกเขาพบว่าแมวป่าที่มาจากตะวันออกกลาง และแมวป่าที่อยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันออก มี DNA mitochondrial ที่คล้ายกัน หรือก็คืออาจจะมาจากเชื้อสายเดียวกันก็เป็นได้ จากการวิจัยยังพบอีกว่า การเพิ่มจำนวนอย่างมหาศาลของแมวเลี้ยงนั้นน่าจะเกิดขึ้นถึงสองครั้งในประวัติศาสตร์ ครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเพราะสิ่งที่คุ้นเคยกันดี แมวป่าได้เข้ามาในพื้นที่เกษตรกรรมเพราะไปล่าพวกหนูที่กัดกินเมล็ดพืชในแถบนั้น พวกเกษตรกรที่เห็นความมีประโยชน์เหล่านั้นจึงได้เริ่มเลี้ยงพวกแมวที่เข้ามาในพื้นที่ มาล่าหนูอยู่ดีๆ ได้ทาสเฉยเลย สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือหลังจากนั้นหลายพันปี ก็มีการเกิดการเพิ่มจำนวนของแมวเลี้ยงขึ้นมาอีกครั้ง สาเหตุของครั้งที่สองมาจาก คนเดินทะเลในสมัยโบราณเช่นชาวเรือและชาวไวกิ้งรับเอาแมวมาเลี้ยงบนเรือของพวกเขา เป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก ทำไมพวกคนเหล่านี้ถึงต้องการแมวบนเรือของพวกเขาที่ต้องใช้ในการเดินทางระยะยาวแบบนั้น? ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมากในการพาแมวขึ้นมาบนเรือ เนื่องจากแมวสามารถกำจัดพวกหนูในเรือได้ ทำให้หนูไม่ขยายพันธุ์จนล้นเรือ และเรือจะได้ไม่โดนพวกหนูเหล่านั้นแทะจนเป็นรูรั่ว…
-
เรื่องราวของ Blind Tom ชายผู้เกิดเป็นทาส สู่นักเปียโนที่มีค่าจ้างสูงที่สุดในยุคศตวรรษที่ 19
ชีวิตของคนเรามักเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และบางครั้งการเปลี่ยนแปลงที่ว่าอาจจะยิ่งใหญ่จนเปลี่ยนชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็เป็นได้ ดั่งเช่นเรื่องราวของชายคนนี้ ‘Blind Tom’ หรือ Thomas Wiggins ชายผู้เกิดเป็นทาส สู่หนทางการเป็นนักเปียโน “Blind Tom” (อันนี้คือฉายาใช่มั้ย ชื่อจริงๆ เขาคือ Thomas Wiggins ใช่ไหม) เป็นนักดนตรีที่เกิดมาเป็นทาสในปี 1850 ในรัฐจอร์เจีย เขาเป็นอัจฉริยะที่อยู่ร่วมในสมัยของ Liszt กับ Rubinstein สุดยอดนักดนตรีทั้งสอง แต่เขากลับไม่สามารถรับรู้ได้ถึงทั้งชื่อเสียง สีผิว หรือแม้แต่ความสำเร็จของเขาเลยแม้แต่อย่างเดียว สิ่งที่เขาสามารถรับรู้นั้นมีเพียงแค่บทเพลงของเขาเท่านั้น เขาอาจทิ้งบทเพลงไว้น้อยมาก แต่ Thomas Wiggins คนนี้ก็เป็นหนึ่งในสุดยอดของสุดยอดแห่งศตวรรษที่ 19 เขาคือชายปริศนาผู้ได้เล่นดนตรีต่อหน้าประธานาธิบดี James Buchanan ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 15 ในธรรมเนียบขาวมาแล้ว ตอนที่ Thomas เกิด เขาถูกขายให้นายพล James Neil Bethune ผู้เป็นทนายจากจอร์เจีย และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ในทันที เด็กชายคนนี้ตาบอดและมีพฤติกรรมที่แปลกประหลาด เขาสนใจในเสียง พิสมัยในเสียงเพลง และต้องการที่จะแยกแยะมันให้เข้าใจ เขาสามารถแยกเสียงสัตว์อย่างแม่นยำและสามารถจำบทสนทนาที่ยาวถึงสิบนาทีได้ จากแหล่งที่มาบางส่วน เมื่อ Thomas จับเปียโนเป็นครั้งแรกเขาสามารถเล่นเพลงที่เขาเคยได้ฟังจากลูกสาวของ Bethune…
-
8 เรื่องจริงอันน่าประหลาดเกี่ยวกับ ‘ผู้หญิง’ ในประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยได้ยินในห้องเรียนมาก่อน
ในตำราประวัติศาสตร์โลกที่พวกเราเคยร่ำเรียนกันในโรงเรียนนนั้น นอกจากจะพูดถึงการค้าในเส้นทางสายไหม การปฏิวัติอุสาหกรรม และมนุษย์ยุดหินแล้ว เรื่องราวและชื่อของเหล่าสตรีในประวัติศาสตร์ก็อาจจะเคยผ่านหูเพื่อนๆ กันมาบ้างแน่ๆ แต่ทว่าในตำราที่เราเคยท่องจำกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อคะแนนมิดเทอมหรือคะแนนสอบไฟนอลนั้น อาจจะไม่เคยพูดถึง 8 เรื่องจริงอันน่าประหลาดเกี่ยวกับ ‘ผู้หญิง’ ในประวัติศาสตร์ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้อย่างแน่นอน!! 1. ในยุคโบราณนั้นผู้หญิงมีสิทธิ์ในราชบัลลังก์เท่าเทียมกับผู้ชาย การเมืองการปกครองของอียิปต์โบราณนั้นถือได้ว่ามีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่าอาณาจักรโบราณอื่นๆ เพราะไม่ว่าผู้สืบราชสมบัตินั้นจะเป็นเพศใดก็ตาม พวกเขามีสิทธิ์ที่จะสืบราชบัลลังก์อย่างเท่าเทียมกัน 2. พวกเธอมีสิทธิในการหย่าร้าง ในสมัยกรีกโบราณ สิทธิของสตรีนั้นค่อนข้างที่จะจำกัดแต่อย่างไรก็ตามพวกเธอยังมีสิทธิที่จะสามารถขอหย่าได้ ซึ่งพวกเธอจะต้องหาชายอีกคนเพื่อมายืนยันการหย่าของเธอ ส่วนถ้าหากฝ่ายชายอยากหย่าน่ะหรือ?? ก็แค่โยนพวกเธอออกนอกบ้านเท่านั้นเอง 3. ผู้หญิงในยุคโบราณสามารถมีตำแหน่งที่สำคัญทางศาสนาได้ ย้อนกลับไปที่สมัยอียิปต์โบราณอีกครั้ง ในขณะที่ปัจจุบันเราอาจจะเห็นผู้หญิงนั้นเป็นเพียงแค่นักบวชในศาสนาเท่านั้น แต่ในสมัยอียิปต์พวกเขามีตำแหน่ง God’s Wife Amun ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตำแหน่งทางศาสนาที่สูงสุดอีกตำแหน่งหนึ่งในลัทธินับถือเทพ AMUN เลยทีเดียว 4. และการศึกษาของพวกเธอนั้นก็ไม่ใช่ธรรมดาเลยนะ!! ระดับการศึกษาของผู้หญิงในโรมยุคโบราณนั้นถือเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก ซึ่งโดยส่วนมากแล้วพวกเธอมักจะได้ร่ำเรียนเพียงแค่การอ่านเขียนธรรมดาเท่านั้น แต่บางครอบครัวกลับไม่เห็นด้วยและพยายามที่จะมอบการศึกษาที่สูงๆ ให้กับลูกสาวพวกเขา 5. ถึงแม้จะเป็นสาวยุคโบราณ แต่เราก็มีชุดบิกินีใส่เหมือนกันนะ แน่นอนว่าถ้าหากพูดถึงบิกินี่ล่ะก็ หลายๆ คนอาจจะนึกถึงสาวๆ จากซีกโลกตะวันตกใช่ไหมล่ะ แต่เชื่อหรือไม่จริงๆ แล้วชุดชั้นในแบบบิกินี่นั้นมีต้นกำเนิดมาจากหญิงสาวชาวโรมในยุคโบราณต่างหาก ถึงแม้ว่าในสมัยนั้นมันอาจจะไม่ได้เรียกว่าชุดบิกินี่ แต่สิ่งที่พวกเธอสวมใส่นั้นก็มีลักษณะคล้ายๆ กัน …
-
เทียบอดีตและปัจจุบันของ “อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์” ย้อนรำรึกเหตุการณ์ความสูญเสียที่ไม่อาจลืมเลือน
ในเช้าวันที่ 7 ธันวาคมปี 1941 เหตุการณ์โจมตีอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเป็นเหตุให้มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาตัดสินใจเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านไปแล้วกว่า 76 ปี เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของเหล่าทหารที่ประจำการอยู่ ณ อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ บนเกาะฮาวาย กันได้เป็นอย่างดี ซึ่งความสูญเสียเหล่านั้นก็คงเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน และภาพถ่ายเหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์ที่มีทหารบาดเจ็บและเสียชีวิตมากกว่า 2,403 คนนี้ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับภาพปัจจุบันก็อาจจะให้ข้อคิดบางอย่างกับพวกเราได้… ภาพของเหล่าทหารที่กำลังอยู่ในแนวป้องกัน เพื่อเฝ้าระวังการโจมตีของเครื่องบิน . ภาพของเรือรบ USS California ที่กำลังลุกไหม้ ส่วนด้านหลังคือเรือรบ USS Arizona ที่กำลังลุกไหม้เช่นกัน เศษซากของเครื่องบินที่เกิดจากการโจมตีของฝ่ายกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ภาพหอคอยแห่งประวัติศาสตร์ ที่รอดจากการโจมตี ปัจจุบันมันถูกใช้เป็นหอบังคับการบิน ภาพการระเบิดของเรือ USS Shaw อีกหนึ่งมุมมองจากเกาะ Ford ระหว่างที่เรือ USS Arizona กำลังถูกโจมตี ซากปรักหักพังของโรงเก็บเครื่องบินที่ 6 บนเกาะ Ford การมองภาพต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่จะคอยย้ำเตือนให้เรารู้ถึงความสูญเสียของเหตุการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ที่มา businessinsider
-
ตำนานพลซุ่มยิงแห่งฟินแลนด์ ‘ยมทูตสีขาว’ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปลิดชีพมากถึง 25 รายในวันเดียว
ในช่วงระหว่างปี 1939-1940 ได้เกิดสงครามที่ชื่อว่า ‘สงครามฤดูหนาว’ ขึ้น โดยเป็นการสู้กับกันระหว่างประเทศรัสเซีย-ฟินแลนด์ และในสงครามครั้งนั้นก็ได้มีผู้คนล้มตายมากมาย และส่วนหนึ่งได้มาจากน้ำมือของพลซุ่มยิงคนหนึ่งที่อ้างว่าเขาเคยฆ่าคนถึง 25 คนในวันเดียว!! ชายคนดังกล่าวมีชื่อว่า Simo Häyhä ชาวฟินแลนด์ที่มีความสูงเพียงแค่ 152 เซนติเมตรเท่านั้น เขาเกิดในวันที่ 17 ธันวาคม ปี 1905 และได้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารสำหรับประเทศฟินแลนด์ ที่ในตอนนั้นกำลังสู้รบกับสหภาพโซเวียต โดยจำนวนผู้คนที่เขาฆ่าไปทั้งหมดระหว่างสงครามนี้มีถึง 505 คนเลยทีเดียว และนั่นได้ทำให้สหภาพโซเวียตตั้งฉายาให้เขาว่า ‘มัจจุราชสีขาว’ เนื่องจากเขามักจะซ่อนตัวอยู่ภายใต้หิมะได้อย่างแนบเนียน ทำให้ไม่มีใครสามารถหาตำแหน่งที่แน่นอนของเขาได้นั่นเอง อาชีพดั้งเดิมของ Simo ก่อนจะมาเป็นพลซุ่มยิงก็คือชาวนา แต่ด้วยความที่เขามีทักษะในการใช้สกีหิมะ การล่าและการยิงที่แม่นยำที่มาจากงานอดิเรกของเขา ทำให้เขาเป็นมือสไนเปอร์ที่ครบเครื่องที่สุดคนหนึ่งในโลก อีกทั้งเขายังใช้ฤดูหนาวที่เป็นอุปสรรคสำหรับใครหลายๆ คนมาเป็นจุดแข็งของตัวเอง ทำให้ Simo เป็นคนที่ทหารรัสเซียรับมือได้ยากที่สุดก็ว่าได้ ระหว่างที่สงครามกำลังลุกโชน มัจจุราชสีขาวได้ฆ่าทหารรัสเซียหลายคนด้วยความแม่นยำจากการใช้ปืน M/28-30 ยิงในระยะไกลถึง 275 เมตร โดยไม่ใช้สโคปช่วยแต่อย่างใด นั่นจึงได้เป็นเครื่องพิสูจน์ในความเป็นสัญชาตญาณความเป็นนักฆ่าในตัวเขาได้เป็นอย่างดี หลังจาก 98 วันที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในสมรภูมิรบ ก็มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นกับ Simo โดยเขาถูกยิงเข้าที่ขากรรไกรในวันที่ 6 มีนาคม 1940…
-
พบจดหมายลับที่เขียนด้วยลายมือจากปี 1777 ซ่อนอยู่ในบั้นท้ายของรูปสลักพระเยซู
ปฏิมากรรมหรืองานศิลปะอื่นๆ อย่างภาพเขียน หรือภาพพิมพ์ในยุคสมัยโบราณนั้น นอกจากจะบ่งบอกถึงความสวยงามของศิลปะในยุคนั้นแล้ว บางครั้งตัวผลงานเองก็อาจจะมีความลับบางอย่างอยู่ในนั้นก็เป็นได้ เหมือนกับรูปสลักพระเยซูอายุกว่า 240 ปีชิ้นนี้ที่มีจดหมายลับซ่อนอยู่!! จดหมายที่เขียนด้วยลายมือจากปี 1777 ฉบับนี้ถูกพบซ่อนอยู่ในรูปสลักพระเยซูโบราณจากประเทศสเปน จดหมายดังกล่าวอยู่ในสถาพสมบูรณ์มากและคาดว่าน่าจะถูกซ่อนไว้โดยนักบวชในสมัยนั้น บริเวณส่วนก้นของรูปสลักที่มีการพบจดหมายฉบับดังกล่าว จดหมายฉบับดังกล่าวถูกเขียนขึ้นโดย Joaquin Minguez และถูกค้นพบโดยทีมซ่อมแซมงานศิลปะจากบริษัท Da Vinci Restauro เนื้อความในจดหมายฉบับดังกล่าวบอกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 อย่างเช่นงานอดิเรกของผู้คน สภาพเศรษฐกิจ การเมืองและศาสนาในสมัยนั้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องเกี่ยวกับอาหารการกินอีกด้วย ส่วนก้นของรูปสลักที่ทีมซ่อมแซมงานศิลปะพบกับช่องลับที่บรรจุจดหมายฉบับนี้อยู่ ขณะนี้รูปสลักโบราณชิ้นนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่โบสถ์ Santa Agueda ในเมือง Sotillo de la Ribera ประเทศสเปน “การค้นพบจดหมายที่เขียนด้วยลายมือฉบับนี้ เป็นการค้นพบที่น่าทึ่งมากๆ ” คุณ Efren Arroyo นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกล่าว จดหมายจากลายมือของนักบวชฉบับนี้ถือเป็นหนึ่งในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งจะทำให้นักวิชาการได้เข้าใจถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต และนอกจากนี้ยังมีส่วนหนึ่งของจดหมายที่เขียนเล่าถึงโรคระบาดที่พบได้บ่อยในเมือง รวมถึงนักสู้วัวชื่อดังในสมัยนั้นอีกด้วย จดหมายโบราณฉบับนี้ถือเป็นหนึ่งในข้อความที่คนรุ่นหลังต้องการที่จะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ กับพวกเรา และนอกจากจดหมายฉบับนี้แล้ว เชื่อแน่ว่ายังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์อีกจำนวนมากที่กำลังรอให้พวกเราค้นพบ ที่มา unilad
-
รู้จักกับเกาะ Khinu ในประเทศเอสโตเนีย ที่มีแต่ ‘ผู้หญิง’ และยังทำหน้าที่ปกครองเกาะด้วย!!
ห่างออกไปไม่ไกลนักจากชายฝั่งประเทศเอสโตเนีย มีเกาะลึกลับแห่งหนึ่งที่ถูก UNESCO ยกขึ้นเป็นมรดกทางวัฒนธรรม โดยเกาะที่ว่านั้นเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ประเพณี และที่สำคัญก็คือ “ผู้หญิง” Khinu เป็นเกาะขนาดไม่ใหญ่มากนักและยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเอสโตเนีย เกาะแห่งนี้มีประชากรอาศัยอยู่ไม่มาก ซึ่งมีอยู่ราวๆ 400 ครัวเรือนเท่านั้น อ่านแล้วก็คงจะรู้สึกว่าเกาะดังกล่าวคงไม่มีอะไรพิเศษเท่าไหร่ แต่กลับกันมันพิเศษกว่าที่คุณคิดมากๆ เพราะเกาะแห่งนี้ถูกปกครองโดยผู้หญิง!? . คุณอ่านไม่ผิดหรอก เกาะแห่งนี้ถูกปกครองโดยผู้หญิงจริงๆ โดยจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีต เวลาที่เหล่าชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านต้องออกไปหาปลา พวกเขาต้องออกทะเลเป็นเวลาหลายเดือน ด้วยเหตุนี้เหล่าผู้หญิงที่รออยู่ที่ฝั่ง ก็ต้องปกครองและใช้ชีวิตกันเองโดยที่ไม่มีผู้ชาย การตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่าง จึงต้องให้ผู้หญิงเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด ตั้งแต่การค้าขาย การตั้งข้อกฎหมาย ขับรถนักเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย ชาวเกาะ Khinu กล่าวว่า ทุกวันนี้วิถีชีวิตของพวกเขาแตกต่างจากคนที่อยู่ในเมืองเป็นอย่างมาก พวกเธอเลือกจะรักษาขนบธรรมเนียมแบบเก่าของเกาะเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเพลงพื้นบ้าน เสื้อผ้า ประเพณีทุกอย่างล้วนยังอยู่เหมือนเดิม อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่า ตกลงแล้วเกาะนี้ไม่มีผู้ชายอยู่เหรอ ความจริงแล้วบนเกาะก็ยังมีผู้ชายอยู่ แต่พบเห็นได้น้อยมาก เพราะส่วนใหญ่พวกเขาจะออกไปทำงานหรือล่องเรือหาปลากันหมด สุดท้ายแล้ว Mare Matas หัวหน้าชุมชนก็บอกว่า เธอตระหนักทุกวันว่าหากพวกเธอไม่รักษาและดูแลวัฒนธรรมประเพณีให้ดี มันอาจสูญหายไปได้สักวันหนึ่ง แต่การที่มันยังอยู่นั้นก็นับว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ แล้วราวกับเป็นปาฏิหาริย์เลยล่ะ …
-
ช่างภาพผู้อยู่เบื้องหลังจอ Window XP ออกเดินทางสร้างตำนานอีกครั้ง กับ 3 วอลเปเปอร์ใหม่!!
หากจะพูดถึงภาพที่ถูกเห็นมากที่สุดในโลกนั่นก็คงหมายถึงภาพที่ชื่อว่า Bliss ที่ถูกตั้งค่าเป็นภาพพื้นหลังใน Windows XP ที่มีมาตั้งแต่ปี 2001 จึงไม่แปลกที่มันเป็นภาพที่ถูกเห็นบ่อยมากที่สุดเพราะหากคุณเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเป็นครั้งแรกก็ต้องได้เห็นภาพนี้ก่อนอย่างแน่นอน แล้วเราเคยสงสัยกันมั้ยว่าภาพนี้ใครเป็นคนถ่าย? ถ้าอยากรู้ก็เดี๋ยวจะบอกให้ ภาพนี้ถูกถ่ายโดยช่างภาพที่ชื่อ Charles O’Rear โดยเขาเก็บภาพอันสวยงามนี้ได้เมื่อปี 1996 ในเขต Sonoma County รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งในตอนนั้นเขาใช้เพียงแค่กล้องธรรมดาๆ ถ่ายไว้ระหว่างที่ตัวเองกำลังเดินทางไปหาแฟนสาว หลังจากนั้นภาพนี้ก็ได้ถูกส่งไปในบริษัทสื่อกลางขายภาพ Corbis จนกระทั่ง Microsoft ได้มาขอซื้อไปในปี 2000 และนำมันมาใช้เป็นภาพพื้นหลัง Windows XP ในปีต่อมา จากตอนนั้นก็ผ่านมาได้ 21 ปี ช่างภาพวัย 76 ปีคนนี้ก็ได้เริ่มโปรเจกต์ใหม่ที่ถูกจ้างวานโดยสายการบิน Lufthansa กับชื่อหัวข้อว่า New Angles of America กับการให้ช่างภาพคนนี้ออกไปเก็บความสวยงามต่างๆ มาใช้เป็นภาพพื้นหลังสมาร์ทโฟน Charles บอกว่า “Bliss คือภาพที่มีความหมายกับชีวิตของผมและยังคงจดจำความสวยงามที่ได้ถ่ายกลับมาได้เป็นอย่างดี ในครั้งนี้เป็นความต้องการให้สิ่งสวยงามในลักษณะนั้นได้เข้ามาอยู่บนหน้าจอสมาร์ทโฟน และผมก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของการได้สร้างภาพอันน่าประทับใจเหล่านั้น”…
-
“Bagel House” อาคารทรงแปลกอายุเกือบ 50 ปีที่ยังคงใช้งานอยู่ในประเทศรัสเซีย
การอนุรักษ์อาคารต่างๆ ในสมัยก่อนไว้นั้นนอกจากจะทำให้เห็นถึงผลงานการออกแบบในยุคสมัยก่อนแล้ว ความสวยงามของตัวอาคารนั้นก็ยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เช่นกัน และอาคาร Bagel House ในประเทศรัสเซียเองนี้ก็เช่นกัน อาคารอายุเกือบๆ 50 ปี หลังนี้เป็นผลงานการออกแบบของนาย Evgeny Stamo กับนาย Alexander Markelov สถาปนิกและวิศวกรชาวรัสเซีย โดยอาคารดังกล่าวนั้นได้เริ่มก่อสร้างในช่วงปี 1970 และแล้วเสร็จภายในปี 1972 ซึ่งนอกจากรูปทรงอาคารแบบวงแหวนขนาดรัศมีกว่า 150 เมตรที่มีต้นแบบมาจากขนมปัง Bagel แล้ว ในส่วนตรงกลางนั้นยังเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวและสนามเด็กเล่นอีกด้วย และนี่คือโฉมหน้าของอาคาร Bagel House จากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย โดยอาคารหลังนี้ถูกใช้เป็นที่พักอาศัย ซึ่งภายในนั้นประกอบไปด้วยอพาร์ทเม้นท์มากถึง 913 ห้อง และสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นร้านซักรีด ร้านค้า ร้านขายยา รวมถึงที่ทำการไปรษณีย์อีกด้วย ในปี 1980 ขณะที่สหภาพโซเวียตได้รับคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ทางการได้มีการสร้างอาคารคล้ายๆ กันเพิ่มขึ้นอีก 4 แห่ง เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของการแข่งขันโอลิมปิก แต่อย่างไรก็ตามกลับมีเพียงอาคารแค่หลังเดียวเท่านั้นที่สร้างแล้วเสร็จ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตที่กำลังตกต่ำอยู่ในขณะนั้น อาคารที่สร้างเพิ่มขึ้นมานั้นก็ตั้งห่างจากกันมากจนทำให้มันดูไม่เหมือนสัญลักษณ์ของกีฬาโอลิมปิกเลย แต่อย่างไรก็ตามยังมีการเปิดใช้อาคารทั้ง 2 แห่งนี้เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยอยู่ในปัจจุบัน อาคารแต่ละหลังนั้นมีความสูงมากถึง 9…
-
ภาพสีจากยุค 1890s สุดคลาสสิก การบอกเล่าชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้น
เราเคยสงสัยกันไหมว่าวิถีชีวิตของคนในอดีต เขามีความเป็นอยู่กันอย่างไรในยุคที่ไม่มีเทคโนโลยีให้พึ่งพาในทุกๆ ด้านแบบนี้ ซึ่งสิ่งที่สามารถบันทึกวิถีชีวิตของคนเหล่านั้นนั้นก็คงมีแต่เพียงคำบอกเล่ากับรูปภาพใบเก่าๆ ที่บ่งบอกความเป็นมา รูปภาพที่ถูกบันทึกไว้สามารถใช้เป็นหลักฐานชั้นดี ทำให้เราได้รู้ว่าในรุ่นก่อนๆ เขามีความเป็นอยู่กันอย่างไร แต่ทว่าด้วยเทคโนโลยีในสมันนั้น การถ่ายภาพยังไม่เป็นที่แพร่หลายและไม่มีความสวยเหมือนอย่างรูปภาพที่ถ่ายในยุคนี้ ดังนั้นจึงต้องมีการนำรูปภาพในอดีตที่มาเติมสีให้เหมือนจริง กระบวนการนี้เรียกว่า Photochromes เป็นการนำฟิล์มรูปขาวดำมาทำเป็นสีเนกาทีฟ แล้วเติมสีสันเข้าไป ทำให้ภาพออกมาสวยสมจริงเหมือนดังต้นฉบับ วิธีนี้ถูกคิดค้นโดย Hans Jakob Schmid นักเคมีชาวสวิตเซอร์แลนด์ ภาพที่ได้ก็จะดูเหมือนกับว่าเป็นภาพวาดแต่ก็มีความสวยงามและทำให้เห็นบรรยากาศในยุคนั้นจริงๆ ผู้หญิงในแอลจีเรีย ปี 1899 The Praca da Ribeira ประเทศโปรตุเกส ในปี 1903 น้ำตก Staubbach สวิตเซอร์แลนด์ ปี 1900 ตูเนเซีย ปี 1896 แม่น้ำไรน์ สวิตเซอร์แลนด์ ปี 1890 เกษตรกร ประเทศจอร์เจีย ปี 1904 ชายฝั่งของแอลจีเรีย…
-
เปิดภาพประวัติศาสตร์แห่งรัสเซียช่วงยุค 90s หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
รัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ยิ่งใหญ่นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง อีกทั้งยังเป็นประเทศที่ผ่านยุคแห่งความโหดร้าย ความขัดแย้ง และการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ภายหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียด จนได้กลายมาเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก และในครั้งนี้เราจะขอพาเพื่อนๆ ทุกคนมาย้อนชมภาพประวัติศาสตร์แห่งรัสเซียในช่วงยุค 90 ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจมากมายในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ว่าแล้วก็มารับชมกันเลย ชาวมุสลิมหลายพันคนพากันเดินขบวนถือธงรัสเซียไปยังจัตุรัสแดงในกรุงมอสโก เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 1991 เพื่อฉลองให้แก่อดีตสหภาพโซเวียตที่มีชัยชนะเหนือกองทัพนาซี-เยอรมัน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเดือนมีนาคม 1993 นักการตลาดอิสระสองคนพากันโชว์สินค้าของตัวเองกลางตลาดใน Petropavlovsk ซึ่งเป็นเมืองเพียงแห่งเดียวบนคาบสมุทรคัมชัตคาของรัสเซีย เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 1993 เกิดความขัดแย้งระหว่างเยลซิน (ประธานาธิบดีคนแรกของรัสเซีย) กับทางรัฐสภา ซึ่งส่งผลให้เกิดการใช้กำลังความรุนแรงขึ้น… โดยเยลซินได้สั่งให้กองกำลังหน่วยรบพิเศษเข้าบุกยึดรัฐสภาฝ่ายตรงข้าม ในภาพด้านล่างแสดงให้เห็นว่ารถถังของรัสเซียกำลังเดินทางไปยังทำเนียบขาวในมอสโก ทหารม้าของรัสเซียในเดือนมีนาคม 1994 ขณะกำลังรับขวดวอดก้า หลังจากที่ได้ปฏิบัติภารกิจในขบวนพาเหรดเซนต์แพททริค ณ กรุงมอสโก ทหารผ่านศึกชาวรัสเซียขณะกำลังหยุดพูดคุยอยู่กับลูกเรือ ใจกลางกรุงมอสโกในโรงละคร Bolshoi ในวันแห่งชัยชนะสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 1994 ทหารรัสเซียขณะออกกำลังกายอยู่ในเมือง Plesetsk…
-
‘โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ’ ชายคนที่สอง ผู้รวบรวมประเทศญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่งเดียว
เวลาพูดถึงผู้นำที่ยิ่งใหญ่ในอดีตของญี่ปุ่นนั้น เราก็คงจะนึกชื่อออกมาได้กันอยู่ไม่กี่คน โดยคนแรกก็คงจะหนีไม่พ้น โอดะ โนบูนางะ และถ้าพูดถึงอีกหนึ่งบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ก็ต้องเป็นอีกชื่อหนึ่งที่คนนึกถึงแน่นอน โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ แรกเริ่มเดิมทีนั้นเขาเป็นคนธรรมดาที่มาจากครอบครัวของชาวนา เกิดในช่วงระหว่างปี 1536 ถึง 1539 โดยในตอนแรกเขามีชื่อว่า ฮิโยชิมารุ ซึ่งหลังจากที่พ่อของเขาตายไปแม่ก็ได้แต่งงานใหม่กับคนจากตระกูลโอดะ ส่วนตัวเขาในวัยเด็กก็ถูกส่งไปร่ำเรียนหนังสือที่วัดแห่งหนึ่ง ทว่าการใช้ชีวิตแบบนั้นมันไม่เหมาะกับเขาสักเท่าไหร่ เขาจึงตัดสินใจหนีออกมาแล้วออกผจญภัยไปในโลกกว้าง โดยเริ่มแรกเขาได้รับใช้ มะสึชิตะ ยุกิสึนะ คนจากตระกูลอิมากาวะ ซึ่งเขาก็ได้รับใช้อยู่เป็นเวลาหลายปีจนกระทั่งเขาตัดสินใจที่จะกลับบ้านเกิด… ที่นั่นเขาได้เจอกับตระกูลโอดะที่แม่ของเขารับใช้อยู่ เขาได้เสนอตัวเข้าเป็นเบี้ยล่างให้กับโอดะ โนบูนางะ โดยมีตำแหน่งเป็นคนดูแลรองเท้า และได้รับฉายาจากโอดะว่า “เจ้าหน้าลิง” เพราะหน้าตาของเขาคล้ายๆ กับลิง ต่อมาระหว่างที่เขาได้ติดตามโอดะไปทำศึก ฮิเดโยชิก็ได้สร้างผลงานที่ใครหลายคนก็คาดไม่ถึง เมื่อเขาได้ค้นพบเส้นทางลับช่วยให้โอดะสามารถชนะในศึกที่ปราสาทกิฟุบนยอดเขาอินาบะได้สำเร็จ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียง หลังจากรับใช้โอดะมาหลายปี ประจวบกับตระกูลอาซาอิแห่งแคว้นโอมิได้ล่มสลาย ฮิเดโยชิก็ได้รับดินแดน 3 เขตทางตอนเหนือของแคว้นเป็นของรางวัลตอบแทน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรับใช้ตระกูลโอดะในฐานะนายพลต่อมา ต่อมาในปี 1582 โอดะ ได้ถูก มิสึฮิเดะ นายทหารชั้นสูงคนหนึ่งหักหลังเข้า ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้โอดะต้องเสียชีวิตที่วัดฮนโนจิ แต่หลังจากการตายในครั้งนี้ฮิเดโยชิก็ไม่รอนาน เขาได้แก้แค้นให้กับนายของเขาโดยเป็นคนสังหารมิสึฮิเดะในศึกยามาซากิ…
-
ชมภาพประวัติศาสตร์ เผยช่วงเหตุการณ์ตอนชาวเยอรมันเลือก ‘ฮิตเลอร์’ มาเป็นผู้นำ..!!
หนึ่งในเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่กลายเป็นบทเรียนราคาแพงให้ชาวเยอรมันได้มากที่สุด คงหนีไม่พ้นเหตุการณ์หลังจากที่ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ ถูกเลือกให้เป็นผู้นำ หลังมีการประกาศนโยบายสร้างชาติครั้งใหม่..!! แต่ใครเล่าจะรู้ว่าหลังฮิตเลอร์ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำ เขาได้กำจัดคู่แข่งทางการเมืองอย่างโหดเหี้ยม รวมทั้งดำเนินนโยบายทางการทหารอย่างสุดโต่ง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ในเมือง Nuremberg ปี 1928 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้กล่าวคำปราศรัยเพื่อสร้างฐานเสียง พร้อมกลุ่มทหารผู้ติดตาม ‘Brownshirts’ ในช่วงแรกสมาชิกกลุ่ม ‘Brownshirts’ มักจะเข้าไปเจรจาพูดคุยกับชาวเมืองเพื่ออธิบายถึงนโยบายและความดีงามของพรรคนาซี มกราคม 1933 กลุ่มผู้สนับสนุนได้ออกมาเดินขบวนพาเหรด หลังฮิตเลอร์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีประจำเยอรมนี ย้อนกลับไปปี 1925 นี่คือภาพของผู้คนที่เดินทางมาฟังฮิตเลอร์ปราศรัยในโรงเบียร์แห่งหนึ่งในเมืองมิวนิค จากนั้นไม่นานเขาก็กลายเป็นผู้มีอิทธิพลอันสูงส่ง และมีกองกำลังทหารเป็นของตัวเอง ปี 1932 งานเลี้ยงของพรรคนาซีที่เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูง และมีการประดับลูกโป่งด้วยสัญลักษณ์สวัสติกะ เมษายน ปี 1931 มีการเดินขบวนพรรคนาซี และเหล่า ‘Brownshirts’ ต่างก็ยืนฟังคำปราศรัยจากฮิตเลอร์อย่างเป็นระเบียบ ภาพของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และสมาชิกพรรคนาซีในปี 1930 หลังได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์…
-
19 ภาพประวัติศาสตร์แห่ง “โตเกียว” ก่อนจะกลายมาเป็นเมืองหลวงแห่งประเทศญี่ปุ่น
กว่าที่ ‘โตเกียว’ จะถูกพัฒนาให้กลายเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก น้อยคนนักที่จะรู้ถึงที่มาที่ไปของเมืองหลวงแห่งนี้ ด้วยเหตุนี้เองเราจึงอยากจะพาไปชม 19 ภาพพร้อมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ ‘โตเกียว’ ก่อนที่จะกลายมาเป็นเมืองหลวงแห่งประเทศญี่ปุ่น… พื้นที่ทั้งหมดของโตเกียว ในช่วงศตวรรษที่ 12 จะถูกเรียกว่า ‘เอโดะ’ ภายใต้การปกครองของตระกูลเอโดะ เดิมที ‘เอโดะ’ เป็นหมู่บ้านคนหาปลาขนาดเล็ก จนถึงปี 1630s จำนวนประชากรก็เพิ่มมากขึ้นเป็น 150,000 คน จากศตวรรษสู่ศตวรรษ… ปี 1721 มีการบันทึกว่าหมู่บ้านหาปลาขนาดเล็กแห่งนี้ ได้พัฒนาเป็นมหานครแห่งหนึ่งที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกในช่วงนั้น ต่อมาช่วงศตวรรษที่ 18 เมืองเอโดะ ได้กลายเป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น ชาวเมืองอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ในปี 1853 ก็ได้เกิดการประท้วงและความขัดแย้งเล็กๆ ขึ้น เมื่อพลเรือชาวอเมริกัน Matthew C. Perry ได้เข้ามาเทียบท่าบนดินแดนอาทิตย์อุทัยเป็นครั้งแรก การเข้ามาเจรจาเพื่อเปิดท่าเรือการค้ากับรัฐบาลญี่ปุ่น ทำให้เกิดปัญหาค่าเงินเฟ้อมากขึ้นในยุคนั้น และสิ่งที่ตามมาก็คือการลุกฮือขึ้นมาประท้วงของประชาชน โตกุงาวะ โยชิโนบุ คือโชกุนคนสุดท้ายของญี่ปุ่น…
-
คุณยายนักเต้นวัย 102 ปี ได้เห็นการเต้นของตัวเองผ่านจอภาพยนตร์เป็นครั้งแรก
วินาทีอันน่าประทับใจของคุณย่าอดีตนักเต้นวัย 102 ปี ที่ได้มีโอกาสเห็นภาพเคลื่อนไหวจากการแสดงของตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต!! คุณย่า Alice Barker กำลังมีความสุขอย่างมากหลังจากที่ได้มีโอกาสเห็นการแสดงของเธอในช่วงปี 1930 ที่ Harlem Renaissance คลับชื่อดังในยุคนั้น เธอเคยปรากฏตัวในภาพยนตร์โฆาณาและรายการทีวีในสมัยนั้น แต่โดยส่วนตัวแล้วเธอเองไม่เคยมีภาพหรือของที่ระลึกจากการแสดงของเธอเลย นั่นจึงทำให้คุณย่าท่านนี้ไม่เคยได้เห็นภาพการแสดงของเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่หลังจากที่ได้พบกับ David Shuff เมื่อประมาณปีก่อนและได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวของเธอ ก็ทำให้คุณย่าท่านนี้ได้มีโอกาสเห็นภาพเคลื่อนไหวของตัวเอง หลังจากใช้เวลาค้นคว้าอยู่นานคุณ Shuff ก็ได้พบกับคุณ Mark Cantor นักสะสมภาพถ่ายเกี่ยวกับดนตรีแจ๊สเจ้าของเว็บไซต์ Jazz on Film ทั้งสองพบว่าคลิปวิดีโอของการเต้นของคุณย่านั้นก็ได้มีการบันทึกไว้เช่นเดียวกัน แต่ทว่ามีการสะกดตัวอักษรผิดทำให้ไม่สามารถค้นเจอได้ คุณ Barker มีความสุขอย่างมากระหว่างที่เธอกำลังชมคลิปวิดีโอดังกล่าว คุณย่าอายุกว่า 100 ปียังจำเพลงที่เธอเต้นวันนั้นได้เป็นอย่างดีเธอร้องเพลงตามด้วยในระหว่างที่ชมวิดีโอนั้น และนอกจากนี้เธอยังบอกอีกว่า วิดีโอนี้ทำให้เธอรู้สึกอยากจะลุกออกจาเตียงและออกไปเต้นอีกครั้งเลยทีเดียว Barker บอกว่าเธอมีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นนักเต้นมาตั้งแต่วัยเด็กแล้ว เธอเล่าว่าวันหนึ่งระหว่างที่แม่ของเธอออกไปด้านนอกเพื่อหาของบางอย่าง ในตอนนั้นเธอได้ยินเสียงวงดนตรีอยู่ใกล้ๆ และจึงตัดสินใจออกไปเต้นกับพวกเขา “เมื่อแม่ของฉันกลับมา เขาก็ไม่พบฉันแล้ว ในตอนนั้นฉันออกไปเต้นด้านนอกทั้งๆ ที่เปลือยกายเลย ฉันอยากจะเต้นต่อทั้งๆ ที่วงเล่นเสร็จไปแล้ว” คุณย่ากล่าว Shuff ได้แชร์เรื่องราวของคุณยายท่านนี้ลงบนโลกอินเตอร์เน็ต เขาบอกว่าเมื่อคุณย่าได้ดูแล้วมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นดาราดังเลยทีเดียว นอกจากนี้เขายังได้กล่าวอีกว่า คุณย่ารู้สึกดีมากๆ…
-
21 ภาพประวัติศาสตร์ไม่มีในห้องเรียน ที่ทำให้เห็นว่าโลกของเรา เคยผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มาด้วย!?
โลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน เทคโนโลยีใหม่ๆ ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่มนุษย์ โดยนำปัญหาที่เกิดขึ้นมาหาวิธีแก้ไข เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้ชีวิตแบบสะดวกสบาย ซึ่งกว่าที่มนุษย์โลกจะมาอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าก็ต้องผ่านยุคสมัยต่างๆ มาหลายยุคทั้งยุคแห่งประวัติศาสตร์ ยุคแห่งการคิดค้นและพัฒนามานานพอสมควร เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตก็สามารถนำมาเป็นบทเรียนให้กับมนุษย์ยุคปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม มาดูกันดีกว่าว่ามนุษย์ในอดีตนั้นเขาต้องประสบพบเจออะไรกันบ้าง แต่ละเรื่องนั้นอาจจะดูแปลกๆ แต่มันก็สามารถทำให้มนุษย์ในยุคปัจจุบันอยู่ได้อย่างสบาย ผู้กำกับภาพยนตร์ในตำนาน Alfred Hitchock เข้าร่วมดื่มน้ำชากับสิงโตที่ Metro Goldwyn Mayer Studio ในปี 1942 ผู้หญิงนิยมเพ้นท์ขาให้ดูเหมือนว่าสวมถุงน่อง ตำรวจตระเวนชายแดน ยื้อแย่งฉุดลากผู้ลี้ภัยที่พยายามที่จะข้ามฝั่ง บริเวณชายแดนสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก โดยไม่มีข้อมูลยืนยันว่าทำไมทั้งสองฝ่ายจึงต้องเกิดการฉุดแย่งแบบนี้ มีการคาดว่าทั้งสองต่างต้องการผู้หลบหนีเพื่อใช้ในการดำเนินคดีของฝั่งตน นักบินฝึกหัด George Aird ดีดตัวเองออกจากเครื่องบินที่สูญเสียการควบคุม ช่วงพักกลางวันของกองถ่ายภาพยนตร์ Star Wars ต้นแบบของโทรทัศน์แบบพกพาที่ถูกคิดค้นในปี 1967 การแข่งขันการกินสปาเก็ตตี้ของผู้หญิง รถตำรวจที่ออกแบบในปี 1920 ให้มีกันชนป้องกันคนบาดเจ็บ โรงงานผลิตเบียร์ของอังกฤษส่งเบียร์มาให้กองทัพทหารที่กำลังต่อสู้ในนอร์มังดี เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 1944…
-
รู้หรือไม่? ครั้งหนึ่งรัสเซียเคยขาย ‘อลาสก้า’ ให้สหรัฐฯ ด้วยราคาแค่ 300 ล้านบาท!!
ปัจจุบันรัฐอลาสก้านับว่าเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เพราะแม้แต่พระเอกหนังดังขวัญใจฮิปสเตอร์อย่างเรื่อง ‘Into the Wild’ ก็ยังไปตายที่นั่น… แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าครั้งหนึ่งพื้นที่ทั้งหมดของอลาสก้าเคยเป็นของรัสเซีย ก่อนที่จะขายให้สหรัฐฯ ในปี 1867 ด้วยราคา 7.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 300 ล้านบาท) และสร้างมูลค่าอย่างมหาศาลให้กับสหรัฐฯ ในเวลาต่อมา อลาสก้ายุคก่อนเป็นของสหรัฐฯ ย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 19 อาณาเขตของอลาสก้าที่อยู่ใต้การปกครองของรัสเซีย ถือเป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจสำคัญของโลก ในยุคนั้นมีเมืองหลวงที่ชื่อ Novoarkhangelsk (Sitka) ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ใช้ในการรับซื้อสินค้าจากจีน เช่นผ้า ถ่านหิน แร่ธาตุ ชา ธัญพืช หรือแม้แต่ทองคำ นอกจากนั้นยังเป็นช่วงเวลาที่กลุ่มพ่อค้าชาวรัสเซียจำนวนมากต่างหลั่งไหลเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมการส่งออกงาของตัววอลรัส ซึ่งมีราคาสูงพอๆ กับงาช้าง โดยหลักๆ ในช่วงนั้นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีส่วนแบ่งในตลาดมากที่สุดตกเป็นของ Russian-American Company ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทที่ผูกขาดการค้ามากซะจนสามารถต่อรองกับรัฐบาลได้ จนช่วงเวลาต่อมาเขตอลาสก้าก็ถูกพัฒนาให้มีการใช้ธงและสกุลเงินเป็นของตัวเอง ตัวอย่างเหรียญทองส่วนหนึ่งจากอลาสก้าที่ถูกใช้แลกเปลี่ยนในยุคนั้น RAC ท่อน้ำเลี้ยงสำคัญของอลาสก้า Alexander Baranov พ่อค้าหัวใสชาวรัสเซีย ได้เปลี่ยนจากเมืองอลาสก้าที่มีแต่อุตสาหกรรมและเครื่องจักร ให้เพรียบพร้อมไปด้วยสถานศึกษา สถานพยาบาลให้แก่กลุ่มแรงงาน และถ่ายทอดความรู้ด้านการเพาะปลูกให้คนพื้นเมือง ภายใต้การบริหารงานของเขาทำให้กำไรของบริษัท…
-
15 เรื่องจริงเกี่ยวกับ “เซ็กส์” ในประวัติศาสตร์ ที่ครูคงไม่ยอมสอนคุณในโรงเรียนแน่ๆ!!
ดูเหมือนว่าเรื่องเพศสัมพันธ์ จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างถูกปิดกั้นพอสมควรในบ้านเรา และมันก็มีข้อมูลอยู่ไม่กี่อย่างเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ที่เราได้เรียนรู้มาจากห้องเรียน และครั้งนี้เราจะขอทำตัวเป็นกูรูผู้มีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เซ็กส์กันบ้าง และทั้งหมดนี้คือ 15 Facts ที่เคยเกิดขึ้นจริงเกี่ยวกับมนุษยชาติของเรา ซึ่งเรามั่นใจเลยว่า… เรื่องพวกนี้เค้าไม่สอนกันในห้องเรียนแน่ๆ 1. ศตวรรษที่ 18 จักรพรรดินี Catherine แห่งรัสเซีย ต้องจ้างคนเกาเท้าเพื่อบำเรอกาม ไม่ใช่แค่จักรพรรดินีเท่านั้น แต่เป็นเทรนด์ของชนชั้นสูงในยุคนั้นเลยก็ว่าได้ ที่มักจะมีการจ้างตำแหน่ง ‘คนเกาเท้า’ ที่มักจะเป็นเพศตรงข้ามให้มาบำเรอความสุขด้วยการ… เกาเท้าให้เกิดอาการจักกะจี้ สร้างเสียงหัวเราะ และระบายเรื่องในใจให้แก่กัน (ซึ่งจะมีเซ็กส์มั้ยก็แล้วแต่จะตกลงกันอีกที) 2. ห่วงรัดกระปู๋ในยุคแรกถูกทำมาจากขนตาของแพะ เป็นหนึ่งในนวัตกรรมท่านชายที่ได้รับความนิยมสูงในช่วงราชวงศ์ชิง ซึ่งเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านชายทั้งหลายสามารถร่วมรักได้นานขึ้นนั่นเอง 3. ดิลโด้ยุคแรกถูกทำมาจากหิน..!! ภาพของดิลโด้หินที่คุณเห็นอยู่นี้ เป็นภาพของดิลโด้ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมา มันถูกพบทีถ้ำ Hohle Fels ในประเทศเยอรมนี และมีอายุอานามนานกว่า 28,000 ปี เห็นแค่นี้ก็ไม่อยากจะนึกเลยว่าคนสมัยก่อนต้องแข็งแกร่งกันขนาดไหน 4. ‘Petting Parties’ หรืองานชุมนุมนัดหนุ่มสาวมาคลอเคลียกัน ได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงปี 1920s นับว่าเป็นอีกหนึ่งช่วงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในยุคนั้น เมื่อคนรุ่นใหม่เริ่มไม่เชื่อฟังขนบธรรมเนียมเดิมของผู้ใหญ่หัวโบราณ การจัดงานชุมนุมประเภท ‘Petting…
-
15 ภาพประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แม้จะเอาไปจีบสาวไม่ได้ แต่อ่านเป็นความรู้ก็ดีนะ
เรื่องราวในอดีตประวัติศาสตร์ที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อนมากมายบนโลกนี้ แม้ว่ามันจะดูเหมือนไม่มีความหมายอะไรกับชีวิตเราในปัจจุบัน แต่สิ่งที่ได้เห็นบางครั้งมันอาจสร้างอะไรบางอย่างให้กับเราก็ได้ ดังนั้นถ้าเราจะมารู้ให้มันมากขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนี่จริงมั้ย? วันนี้ #เหมียวตะปู เลยนำภาพสุดหาดูได้ยากของประวัติศาสตร์ที่จะทำให้ทุกคนได้เห็นภาพในสมัยก่อนเพิ่มมากขึ้น ว่าโลกของเรามีอะไรเกิดขึ้นไปบ้างแล้ว ไปดูกันเลยว่าจะมีภาพอะไรกันบ้างและบางภาพมันดูน่าเหลือเชื่อขนาดไหน ตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย ในช่วง 1920s ในตอนต้นของช่วง 1920s บริเวณนั้นเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีความรกร้างมากที่สุด เหยื่อจากน้ำกรด Somayeh Mehri และลูกสาวของเธอ Rana คือผู้รอดชีวิตจากการโดนน้ำกรดสาดด้วยฝีมือของสามีที่รับไม่ได้กับการที่เธอต้องการจะหย่า เขาจึงนำน้ำกรดมาเทใส่พวกเธอขณะนอนหลับ การเปลี่ยนแปลง ช่างภาพจาก National Geographic ได้ไปเก็บภาพของสาวสวยผู้มีดวงตาอันสดใสเอาไว้ในค่ายอพยพชาวอัฟกานิสถานและปากีสถานตอนปี 1984 เวลาผ่านไปเขาก็ตัดสินใจกลับไปที่เดิมเพื่อตามถ่ายภาพเธออีกครั้ง ฮิตเลอร์ในปารีส ในปี 1941 ภายหลังการบุกโจมตีกรุงปารีสเพียงไม่นานเขาก็ได้เดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้นและพูดว่า “นี่เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม” Audrey Hepburn นางแบบสาว ดารา และผู้ที่เป็นสัญลักษณ์ในเรื่องเพศตั้งแต่ช่วง 1950s ถึง 60s เธอคนนี้ถูกเก็บภาพไว้ได้ตอนที่ซื้อของอยู่ในร้านค้ากับกวางที่เธอเลี้ยงชื่อว่า Ip ในเมืองเบเวอร์ลีฮิลส์…
-
ภาพโฆษณาชวนเชื่อจากเกาหลีเหนือ บอกเล่าความโหดร้ายของทหารอเมริกันในช่วง ‘สงครามเกาหลี’
ช่วงนี้ถ้าพูดถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศนั้น คงไม่มีประเทศไหนที่จะดุเดือดเท่าอเมริกาและเกาหลีเหนืออีกแล้ว เรียกว่าออกมาจิกกัดโจมตีกันอย่างต่อเนื่องเลยก็ว่าได้ จนหลายคนคิดว่าจะเกิดการสู้กันเป็นสงครามครั้งใหม่ได้ทุกเมื่อ… จนกระทั่งล่าสุดได้มีการปล่อยภาพโฆษณาชวนเชื่อจากเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นภาพวาดที่คาดว่ามาจากช่วงปี 2005 โดยเป็นภาพที่เล่าย้อนไปถึงสมัยหลายสิบปีก่อน ว่าด้วยเรื่องราวของทหารอเมริกาที่ทรมานชาวเกาหลีเหนืออย่างโหดเหี้ยมในช่วงสงครามเกาหลี นอกจากนี้ยังมีการคาดว่า ภาพส่วนใหญ่ได้จัดโชว์ในพิพิธภัณฑ์ Sinchon Museum of American War Atrocities ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองเปียงยาง 110 กิโลเมตร นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ระลึกถึงการเสียชีวิตของผู้คนกว่า 35,000 คนในการสังหารหมู่เหตุการณ์ Sinchon ปี1950 ซึ่งเป็นการฆาตกรรมพลเรือนที่โหดเหี้ยมโดยทหารชาวอเมริกัน และยังมีรายงานว่าผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง-อึน เคยพาลูกสาวไปเยี่ยมชมเมื่อช่วงปี 2014 พร้อมกับพูดถึงภาพเหตุการณ์เหล่านี้ว่า ทหารชาวอเมริกานั้นมีความสุขจากการฆ่าอย่างโหดเหี้ยม… ภาพนี้เป็นภาพที่ดูโหดจริงๆ นะ ภาพการทรมาน และทหารอเมริกันที่ยิ้มอย่างมีความสุข ก็ไม่รู้ว่าภาพนี้มันเกินจริงหรือเปล่า แต่ที่รู้แน่นอนคือเป็นภาพที่ทำออกมาได้โหดสุดๆ ภาพของทหารที่พรากเด็กไปจากแม่ และยังทำร้ายผู้หญิงคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ในภาพหลายภาพ ก็จะเป็นการทำร้ายเด็กและผู้หญิงเป็นหลัก . ภาพของชายที่ถูกเผาทั้งเป็นพร้อมสายตาอันมุ่งมั่น กับยิงสาวที่ถูกมัดแน่นและมีปืนจี้ข้างลำตัวเพื่อให้เธอทำตามคำสั่ง…
-
รู้หรือไม่!? ในยุคโรมัน ‘เกลือ’ มีค่ามากกว่า ‘ทองคำ’ ซะอีก แถมยังใช้จ่ายกันแทนเงินตราด้วยนะ!!
ก็อย่างที่รู้กันดีว่าในปัจจุบันนี้ ‘ทองคำ’ เป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและร่ำรวย นอกจากจะเป็นเครื่องประดับที่มีความหรูหราเป็นเอกลักษณ์แล้วยังเป็นหลักประกันของแทบทุกสกุลเงินบนโลก แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ เครื่องปรุงรสราคาถูกหาซื้อที่ไหนก็ได้อย่าง ‘เกลือ’ นั้นเคยมีค่ามากกว่า ‘ทองคำ’ ซะอีก… เกลือล้ำค่ายิ่งกว่าทองในยุคโรมัน… เราได้เล่าเรียนกันมาในตำราว่าสมัยโบราณกาลมีการใช้สิ่งต่างๆ ในการแลกเปลี่ยน อย่างเช่นเปลือกหอย พืชหายาก หรือแร่ แตกต่างกับปัจจุบันที่ใช้เงินกระดาษหรือเหรียญ ย้อนกลับไปในยุคสมัยที่อาณาจักรโรมันรุ่งเรือง ‘เกลือ’ ถูกนำมาจับจ่ายใช้สอยแลกเปลี่ยนกับสิ่งของต่างๆ ราวกับว่าเป็นเงินตรากันเลยทีเดียว นั่นเป็นเพราะความหายากของมันจึงทำให้ต้องมีการขุดเหมืองลงไปเอาเกลือขึ้นมา อีกทั้งยังมีกระบวนการขนส่งที่ยุ่งยากที่ต้องทำกันในช่วงหน้าแล้งเท่านั้นเพราะความชื้นจะทำให้เกลือมีเชื้อรา แถมยังต้องคอยระวังเหล่าขโมยขโจรกันอีก นอกจากนี้เกลือยังเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันของผู้คนในยุคโบราณอีกมากมาย ทั้งถนอมอาหาร ปรุงรสอาหาร และทำยารักษาโรค จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงได้มีค่ามากมายขนาดนี้ เท่านั้นยังไม่พอ ‘เกลือ’ ยังถูกนำมาใช้เป็นสิ่งตอบแทนค่าแรงให้กับเหล่าทหาร เวลาที่พวกเขากลับมาจากการทำสงคราม ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาศาสตร์จึงได้ตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้ว่ารากศัพท์ของคำว่า Salary (เงินเดือน, สินจ้าง) ก็น่าจะมาจากการจ่ายค่าแรงด้วยเกลือ (Salt) ของอาณาจักรโรมันนี่แหละ ในอดีตที่ผ่านมาต้องขอบอกเลยว่า ‘เกลือ’ นั้นเป็นแร่ที่มีความสำคัญมากจริงๆ มันเป็นตัวการที่ทำให้เกิดสงคราม อีกทั้งยังเป็นตัวชี้วัดถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจของอาณาจักรมากยิ่งกว่าทองคำ แต่ในปัจจุบันเราสามารถผลิตเกลือออกมาใช้งานกันได้อย่างแพร่หลายด้วยการทำนาเกลือ จึงทำให้การขุดเหมืองเกลือถูกยกเลิก และถูกทิ้งร้างไปมากมาย…
-
พบซากเรือไวกิ้งโบราณพร้อมสมบัติอายุ 1,000 ปี ซ่อนอยู่ใต้ตลาดเล็กๆ ของประเทศนอร์เวย์
หลายครั้งที่การค้นพบวัตถุโบราณทำให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ภายใต้สิ่งของชิ้นนั้น และอาจทำให้เราค้นพบความลับอะไรบางอย่างด้วยเช่นกัน เหมือนกับการค้นพบซากเรือโบราณที่เพิ่งเจอล่าสุด เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา ทางเว็บไซต์สื่อต่างประเทศ ได้รายงานว่ามีการขุดค้นพบซากเรือไวกิ้งอายุ 1,000 ปีที่มีขนาดยาวกว่ากว่า 4 เมตรในประเทศนอร์เวย์ พร้อมกับพบซากกระดูกและแผ่นโลหะทองแดงจำนวนมากด้วยกัน ซากเรือที่ถูกขุดพบในครั้งนี้ ซากเรือดังกล่าวคือเรือสำหรับฝังศพของชาวไวกิ้ง ซึ่งถูกค้นพบระหว่างการรื้อถอนตลาดในเมือง Trondheim จากการตรวจสอบเบื้องต้น คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 7 ถึง 10 สภาพทั่วไปของเรือและศพที่ถูกฝังด้วยกันนั้นยังคงมีความสมบูรณ์ เรือถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาวไวกิ้ง และการฝังศพพร้อมๆ กับเรือนั้นก็มีความสำคัญและถือเป็นพิธีที่ศักสิทธิ์ ผู้ที่จะได้รับการประกอบพิธีนี้จะเป็นชนชั้นสูงอย่างหัวหน้าเผ่าหรือนักรบเท่านั้น ศพของพวกเขาจะถูฏฝังไปพร้อมกับอาวุธและข้าวของเครื่องใช้ อย่างเครื่องปั้นดินเผา และเหล้านั่นเอง ภาพของไซท์ก่อสร้าง ที่ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นไซท์ขุดค้นไปแล้ว ซากเรือที่มีการค้นพบในครั้งนี้ มีวางตัวของเรือในแนวทิศเหนือ-ใต้ และโครงกระดูกดังกล่าวก็มีการวางเอาไว้ในทิศเดียวกัน ซึ่งผลพิสูจน์ดีเอ็นเอจากผู้เชี่ยวชาญนั้นยืนยันว่าเป็นโครงกระดูกของมนุษย์อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีการค้นพบแผ่นทองแดงเล็กๆ และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ตายที่ถูกฝังไปพร้อมกันด้วย “เราพบกุญแจและกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งในหลุมศพดังกล่าว ถ้าหากว่ามันถูกฝังไปพร้อมๆ กับศพนั้น มันจะยืนยันได้ว่าหลุมศพดังกล่าวน่าจะถูกสร้างราวๆ ปี ค.ศ. 600 ถึง 900 ” คุณ Julian Cadamarteri หนึ่งในทีมสำรวจจากสถาบันการศึกษาด้านวัฒนธรรมแห่งชาติของนอร์เวย์กล่าว สถานที่ฝังศพดังกล่าวตั้งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือของเมือง Trondheim ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันอาจอยู่ในช่วงยุคเหล็กหรือในยุคอนารยชน…
-
นักโบราณคดี ค้นพบรถบรรทุกสินค้าอายุกว่า 100 ปี จมอยู่ใต้ทะเลสาบดีทรอยต์
บางครั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศก็มักจะเผยให้เห็นสิ่งต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ อย่างเช่นเมืองที่จมอยู่ใต้ทะเล หรืออารยธรรมโบราณที่ซ่อนอยู่ในหุบเขา ซึ่งนอกจากจะเผยให้ความสวยงามทางประวัติศาสตร์แล้ว บางครั้งยังมีโบราณวัตถุและเรื่องราวต่างๆ ให้พวกเราได้เรียนรู้อีกด้วย เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปี 2015 หลังจากที่ระดับน้ำในทะเลสาบดีทรอยต์ได้ลดลง มันได้เผยให้เห็นซากของเมืองโบราณที่จมอยู่ในนั้นมาเป็นเวลานาน เมืองเก่าแห่งนี้ถูกจมลงได้ทะเลสาบ หลังจากที่มีการสร้างเขื่อนดีทรอยต์ เมื่อช่วงปี 1880 ซากของรถขนส่งสินค้าที่จมอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้ “ผมถือโอกาสมาที่ในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากที่ระดับน้ำลดลง การได้เห็นข้าวของต่างๆ ที่จมอยู่มันเหมือนกับได้เห็นขุมทรัพย์เลยทีเดียว ผมเห็นวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งที่บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ได้ดีเลย” คุณ Dave Zahn รองนายอำเภอของเมือง Marion County กล่าว ผู้คนกว่า 200 คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ถูกอพยพออกไประหว่างปี 1880 ถึง 1952 ทิ้งไว้แต่เพียงเครื่องมือและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ และการสร้างเขื่อนในครั้งนั้นก็ทำให้ที่นี่กลายเป็นทะเลสาบดีทรอยต์ ในทุกๆ ช่วฤดูหนาวจะมีการระบายน้ำในเขื่อน ซึ่งจะเผยให้เห็นซากของเมืองเก่าที่จมอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้ ปริมาณของออกซิเจนที่ต่ำช่วยรักษาสภาพของวัตถุต่างๆ ที่จมอยู่ใต้ทะเลสาบได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตามรถบรรทุกสินค้าที่พบในครั้งนี้ไม่มีบันทึกว่าเคยถูกค้นพบมาก่อนหน้านี้หรือไม่ ซึ่งระดับน้ำที่ลดต่ำนี้ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1969 เลยทีเดียว สภาพของเมืองเก่าที่ถูกทิ้งไว้ใต้ทะเลสาบ ก่อนจะมีการสร้างเขื่อน “เท่าที่ผมรู้รถบรรทุกสินค้าคันนี้ยังไม่ถูกค้นพบมาก่อน น้ำในทะเลสาบไม่เคยลดลงมาเยอะขนาดนี้มาก่อน คงไม่มีใครเคยเห็น หรือย้ายเอามันมาทิ้งไว้ที่นี่แน่ๆ ” คุณ Cara Kelly นักโบราณคดีชาวสหรัฐกล่าว…
-
หมู่บ้านอายุ 250 ปีที่ยังคงสวยงามไร้การเปลี่ยนแปลง แม้จะอยู่มานานและถูกทิ้งร้างไว้
เมืองที่มีมาอย่างยาวนานและถูกทิ้งร้างไป มักจะเต็มไปด้วยสภาพที่ทรุดโทรม ไม่น่าเข้าไปใกล้หรืออยู่อาศัยกันในละแวกนั้นซักเท่าไหร่ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดกับหมู่บ้าน Batsto เพราะถึงแม้ว่าจะถูกสร้างมานานมากแล้ว ตั้งแต่ในปี 1766 ยาวนานมาจนถึงผู้อยู่อาศัยคนสุดท้ายที่ออกไปจากที่นี่ในปี 1989 ทว่ามันก็ยังคงความสวยงามและเก่าแก่อยู่เสมอ ตึกรามบ้านช่องต่างๆ นอกจากจะยังคงดูพร้อมใช้งานเหมือนกับมีคนอยู่อาศัยมาตลอดแล้ว ทุกสิ่งก่อสร้างยังคงมีความคลาสสิค ไม่มีความร่วมสมัยเหมือนกับตึกในสมัยนี้เลยแม้แต่น้อย เหมือนกับที่หมู่บ้านนี้เป็นมาตั้งแต่แรก อาคารนอกประจำหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา เป็นส่วนหนึ่งของเขตอนุรักษ์แห่งชาติเมือง Pinelands และได้รับการปกป้องโดยกรมคุ้มครองสิ่งแวดล้อม สวนสาธารณะและป่าไม้ของรัฐ จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เมืองนี้ยังคงน่าอยู่เสมอ ปราศจากคนเข้ามารุกราน ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของสถานที่นี้เริ่มต้นมาจาก Charles Read ช่างตีเหล็กผู้โด่งดัง เข้ามาสร้างโรงงานเป็นของตัวเองใกล้กับแม่น้ำ Batsto ในเวลานั้นพื้นที่โดยรอบถูกเต็มไปด้วยแร่หินต่างๆ ตามธรรมชาติมากมาย แม่น้ำ Batsto ที่ตัดผ่านหมู่บ้าน นอกจากนั้นทรัพยากรที่จำเป็นก็หาได้ง่ายมาก ใช้น้ำจากแม่น้ำหรือตามบึงรอบๆ ไม้เยออะแยะที่มีอยู่ในป่าใหญ่ และสิ่งจำเป็นสำหรับการตีเหล็กมีอยู่ที่นี่ทั้งหมด ทำให้โรงงานเติบโตได้ดีจนต้องมีลูกจ้างเข้ามาช่วย สิ่งปลูกสร้างเป็นอันดับแรกนอกเหนือจากที่ทำงาน จึงเป็นบ้านพักอาศัยของคนเหล่านั้น และเป็นจุดเริ่มต้นให้กลายเป็นหมู่บ้านที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ จากตอนแรกที่สร้างเพียงแค่ของใช้ภายในบ้าน แต่โรงงานแห่งนี้ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น จน John Cox ได้เข้าซื้อโรงงาน และเปลี่ยนให้เป็นโรงงานผลิตยุทโธปกรณ์ทั้งหลายให้กับกองทัพภาคพื้นทวีป ในช่วงปฏิวัติอเมริกา…
-
จ่า John Clem ทหารหนุ่มวัย 10 ปี ผู้เป็นฮีโร่ในสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกา
ขึ้นชื่อว่าสงครามแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมานั้นต้องไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจแน่ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ชนะหรือว่าผู้แพ้นั้นก็ย่อมต้องสูญเสียด้วยกันทั้งนั้น และหนึ่งในสงครามที่มีเป็นอีกหนึ่งความสูญเสียของชาวอเมริกันนั่นก็คือสงครามกลางเมืองนั่นเอง ในสงครามครั้งนี้สงผลกระทบต่อพลเมืองชาวอเมริกันทุกๆ คน ไม่เว้นแม้แต่พวกเด็กๆ วัยรุ่นนับพันคนถูกเกณฑ์เข้าร่วมรบในสงคราม หลายคนมีอายุไม่ถึง 18 ปีและหนึ่งในนั้นก็คือเจ้าหนู John Clem ทหารหนุ่มที่มีอายุเพียงแค่ 10 ขวบเท่านั้น!! และนี่ก็คือโฉมหน้าของหนูน้อยผู้นี้ เมื่อตอนอายุได้เพียง 9 ขวบเจ้าหนู Johnny ได้แอบหนีออกจากบ้านเพื่อมาสมัครเข้ากับกองทัพเพื่อร่วมรบในสงครามกลางเมือง ถึงแม้ว่าในตอนแรกความต้องการของเจ้าหนูจะถูกปฏิเสธ แต่ด้วยความพยายามอยู่หลายครั้งในที่สุดเด็กน้อยก็ได้เข้าร่วมกับกองทหารราบที่ 22 ของมิชิแกน จนกระทั่งเมื่อปี 1862 เจ้าหนูได้เข้าสังกัดในกองดุริยางค์ทหาร เขาทำหน้าที่เป็นพลลั่นกองและได้รับเงินเดือนครั้งแรกประมาณ 450 บาท จากนั้นจึงได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมกองทัพอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1863 สมรภูมิแรกที่เขาได้มีส่วนร่วมคือสมรภูมิไชโลห์ เขาได้เข้าไปอยู่ในจุดที่มีการปะทะดุเดือนที่สุด และทันใดนั้นเอง บังเอิญมีกระสุนลูกหนึ่งพุ่งมาตกใกล้ๆ เขา แม้เขาจะไม่ได้ถูกโจมตีโดยตรง แต่สะเก็ดกระสุนก็พุ่งทะลุกลองและปะทะเข้ากับตัวเขาจนสลบเหมือดไป โชคดีเขาถูกช่วยเหลือได้ทันเวลาและถูกนำตัวออกนอกสมรภูมิไป นับแต่นั้นมาเขาก็ถูกตั้งฉายาว่า จอห์นนี่แห่งไชโลห์ (Johnny Shiloh) แต่การต่อสู้ของเจ้าหนูน้อยคนนี้ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ หนึ่งในวีรกรรมอันกล้าหารของเจ้าหนูก็คือการไม่ยอมจำนนต่อคำสั่งของฝ่ายศัตรู ครั้งหนึ่งในสมรภูมิแห่งชิคามัวกา เขาได้เข้าไปอยู่ในกองทหารปืนคาบศิลาแทนการถือกลอง ในระหว่างการสู้รบ…
-
เหล่านักเดินทางข้ามกาลเวลา เพราะหน้าตาดันไปเหมือนภาพในพิพิธภัณฑ์อันเก่าแก่
ในบางครั้งเวลาที่เราเดินไปไหนมาไหน ก็อาจเจอเข้ากับคนที่หน้าเหมือนเราหรือเพื่อนเราเอามากๆ ชวนให้คิดกันว่านั่นเป็นฝาแฝดที่พลัดพรากจากกันมานานหรือเปล่านะ บางทีไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เดินสวนไปมาก็ได้ แต่เรากลับสามารถเห็นหน้าตัวเองผ่านภาพอันเก่าแก่ ภายในพิพิธภัณฑ์ที่มีอายุมามากกว่า 10 ปี หรือ 100 ปี เหมือนกับพวกเขาเหล่านี้ ที่ไม่แน่ว่าความจริงแล้วเขาอาจเดินทางข้ามกาลเวลามาก็ได้นะ เพราะว่ามันช่างเหมือนกันซะเหลือเกิ๊นนน เธอเองไงในวัยเด็ก เมื่อ 100 ปีที่แล้วอ่ะนะ หันมามองที ต้องขยี้ตากันเลย นี่เบลอไปเองป่ะเนี่ย การแตกตัวที่แตกต่างคนละยุคสมัย ก็คิดว่าแฝดสอง แท้จริงมีแฝดพี่ สีกางเกงคืออยู่ไกลไป 1 กิโล ก็ยังเห็น “ภาพของตัวข้าเมื่อครั้งยังหนุ่ม 111 ปีที่แล้ว ออกรบในคราบซามูไร ปัจจุบันจึงกลายมาเป็นนักสะสมของเหล่านี้” ประจวบเหมาะเกิ๊นนน เชิดได้อีก เชิดเลยลุง เชิดเข้าไว้ ผ่านกาลเวลามานาน สีผมก็ต้องมีซีดลงบ้าง นี่ภาพคุณย่าทวด ของคุณย่าทวด ของฉันแน่ๆ เลย ผมสลวยได้ เพราะข้าใช้ซันซิลค์มากว่า 100…
-
เปิดแฟ้มภาพสหภาพโซเวียตใน “ยุคที่สตาลินรุ่งเรือง” ถ่ายโดยสายลับอเมริกา
ถ้าพูดถึง USSR หลายคนอาจจะไม่รู้จักแต่ถ้าพูดถึงสหภาพโซเวียตหรือรัสเซียในปัจจุบันนั้น หลายคนคงร้องอ๋ออย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อพูดถึงประเทศนี้เราก็จะนึกถึงประเทศสุดโต่ง ประเทศที่มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครกันใช่ไหมล่ะ แต่เรารู้หรือไม่ว่ากว่าจะมาเป็นรัสเซียนั้น สหภาพโซเวียตเคยผ่านอะไรมาบ้าง และสภาพบ้านเมืองสมัยที่ยังเป็นสหภาพโซเวียตโดยมี โจเซฟ สตาลิน เป็นผู้นำนั้นเป็นยังไง เราอาจไม่เคยเห็นมาก่อน กรุงมอสโคว์ในยุคสมัยโซเวียต ซึ่งสาเหตุนั้นก็ง่ายมากๆ เพราะว่าหลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โซเวียตก็เข้าสู่ช่วงสงครามเย็นและกลายเป็นศัตรูกับสหรัฐอเมริกา ทำให้การเผยแพร่ภาพของประเทศนั้นจึงเป็นไปได้ยากเลยทีเดียว (เทียบง่ายๆ ก็เกาหลีเหนือปัจจุบัน) แต่ใช่ว่าเราจะไม่สามารถหาดูได้นะ เพราะ Martin Manhoff สายลับอเมริกาที่เข้าไปเป็นสปายได้แอบเก็บภาพมาและเก็บใส่กล่องไว้เป็นความลับมาจนปัจจุบัน จนกระทั่งเขาเสียชีวิต Douglas Smith นักประวัติศาสตร์จึงได้เปิดภาพลับดังกล่าวออกสู่สายตาประชาชนและนั่นก็คือภาพที่เราจะได้ดูนั่นเอง เมืองชนบทที่ถูกถ่ายระหว่าง Martin กำลังนั่งรถไฟ ภาพขบวนพิธีศพของสตาลินในปี 1953 จากงานเดียวกัน โดยเป็นภาพที่กำลังลำเลียงโรงศพของสตาลิน สระว่ายน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบสถานที่แน่นอน ภาพคุณป้าสองคนกำลังแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างกันอยู่ ที่ถูกถ่ายผ่านหน้าต่างเช่นเคย ภาพข้างทางจากนอกหน้าต่างรถไฟ ภาพตลาดแห่งหนึ่งในแหลมไครเมีย ก่อนที่จะกลายเป็นประเทศยูเครนในภายหลัง Novospassky Monastery ในกรุงมอสโคว์ ถนนในเมืองเคียฟ ที่ดูแล้วคล้ายกับอยู่ปารีสเลยนะ …
-
รู้จักกับ ‘วัดเสียนคง’ อายุกว่า 1,500 ปี ถูกสร้างไว้บนหน้าผา ด้วยฝีมือของพระสงฆ์เพียงรูปเดียว…
หลังจากที่ก่อนหน้านี้เราได้พาคุณไปพบกับความหวาดเสียวกับทางเดินริมหน้าผาหัวซาน (อ่านข่าวเก่า ปลุกความกล้าในตัวคุณ สัมผัสทางเดินสุดหวาดเสียวบน “หน้าผาหัวซาน” ประเทศจีน) และครั้งนี้เรากลับมาอีกครั้ง พร้อมกับวัดโบราณจากประเทศจีนที่น่าหวาดเสียวไม่แพ้กัน!! วัดดังกล่าวมีชื่อว่า “วัดเสียนคง” วัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาของหุบเขาเหิงซาน ในมณฑลซานซี ซึ่งอยู่สูงจากพื้นดินเกือบ 100 เมตรเลยทีเดียว ความน่าทึ่งของวัดยังไม่หมดแค่เพียงเท่านี้ เพราะวัดอันแสนเก่าแก่นี้ ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในปีคริสต์ศักราชที่ 491 หรือเมื่อกว่า 1,500 ปีที่แล้ว และตามตำนานเล่าว่าวัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากพระสงฆ์เพียงรูปเดียวที่ชื่อว่า เล่าเหลียน ในช่วงสมัยของราชวงศ์เว่ย วัดเก่าแก่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 15 ศตวรรษ เสาค้ำยันอาคารที่ถูกเพิ่มเข้ามาไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมา เพราะเหตุผลในเรื่องของความปลอดภัย ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปมาก แต่การจะสร้างสิ่งก่อสร้างที่เหมือนกับวัดเสียนคง ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายอยู่ดี ส่วนสาเหตุหลักของการสร้างวัดแห่งนี้ก็คือ การหลีกเลี่ยงปัญหาน้ำท่วม และการใช้ประโยชน์จากหน้าผาเหิงซาน เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติอื่นๆ อย่างเช่นฝนและหิมะ และนอกจากความน่าทึ่งทางด้านวิศวกรรมแล้ว วัดแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงในด้านของมรดกโลกที่สำคัญอีกด้วย ซึ่งวัดเสียนคง นั้นเหมือนเป็นตัวแทนของหลักความเชื่อจากทั้ง 3 ศาสนาได้แก่ พุทธ ขงจื้อ และลัทธิเต๋า ในวิหารแขวนที่ยาวกว่า 300 เมตรนี้ ประกอบไปด้วยห้องโถงกว่า 40 ห้อง…
-
นักศึกษาชาวแคนาดา ค้นพบหมู่บ้านเก่าแก่ที่หายไป อายุมากกว่าปิรามิดอียิปต์ถึง 10,000 ปี..!!
นับเป็นเวลานานหลายสิบปีที่กลุ่มโบราณคดี Heiltsuk Nation ได้พยายามศึกษาและค้นคว้าวัตถุโบราณในแถบรัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา และล่าสุดนับว่าเป็นการค้นพบระดับโลกเลยก็ว่าได้ เมื่อทีมนักศึกษาชาวแคนาดา สามารถค้นพบหมู่บ้านที่มีอายุเก่าแก่มากกว่าปิรามิดอียิปต์โบราณถึง 10,000 ปีเลยล่ะ โดย Alisha Gauvreau ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีและนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยวิคตอเรีย ได้นำทีมนักศึกษาเข้าไปสำรวจยังบริเวณเกาะ Triquet ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปลายปี 2016 ทีมสำรวจได้ขุดพบชิ้นส่วนหลักฐานทางโบราณคดี ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์ที่ทำจากไม้ ถ่านหิน และหลักฐานทุกชนิดที่เชื่อมโยงไปถึงวัฒนธรรมชุมชนอันเก่าแก่ ณ ที่แห่งนี้ Triquet Island เมื่อทีมสำรวจได้เก็บตัวอย่างถ่านหิน และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ขุดพบ เพื่อไปศึกษาหาอายุขัยของมันก็พบว่า ทั้งหมดล้วนเป็นวัตถุที่มีอายุเฉลี่ยมาแล้ว 13,613 – 14,086 ปี ซึ่งก็นับว่าเป็นช่วงเวลาก่อนการเกิดขึ้นของอารยธรรมอียิปต์โบราณเสียอีก แล้วการค้นพบดังกล่าวมันสำคัญอย่างไร? เพราะแค่อ่านเผินๆ เราอาจจะรู้สึกว่าเป็นการค้นพบที่ค่อนข้างไกลตัว แต่อันที่จริงในการค้นพบครั้งนี้ช่วยให้นักโบราณคดีรู้และเข้าใจความเป็นมาของวัฒนธรรมในแถบทวีปอเมริกาเหนือมากยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้เคยมีการแบ่งทฤษฏีที่พูดถึงการย้ายถิ่นฐานเข้ามาของมนุษย์ในแถบทวีปอเมริกาเหนือ ส่วนหนึ่งเชื่อว่ามาจากการเดินทางหลังยุคน้ำแข็ง และอีกส่วนหนึ่งกลับเชื่อว่ามาจากเรือค้าขายในครั้งสมัยโบราณ “การค้นพบครั้งนี้นับว่ามีความสำคัญมากๆ เพราะมันจะช่วยพาเราย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ในหลายๆ ส่วนที่เราอาจเคยตกหล่นไปในอดีต ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นปัญหาที่เราพยายามหาคำตอบมานานนับ 1,000…
-
5 เรื่องจริงในประวัติศาสตร์ ที่มนุษย์ “ใช้สุนัขเป็นอาวุธ” ก่อโศกนาฏกรรมอันโหดร้าย
ในปัจจุบันถ้าเราพูดถึงเพื่อนสี่ขาของเรา เราก็จะคิดถึงภาพสุนัขน่ารักๆ ขี้เล่น ใจดี ซุกซน และซื่อสัตย์อย่างแน่นอน แต่ในความจริงเราก็จะเห็นว่านอกจากเรื่องดังกล่าวสุนัขมันมีอะไรมากกว่านั้น… ถ้ามองในชีวิตปัจจุบัน นอกจากสุนัขที่เลี้ยงไว้ในบ้าน เราก็จะเห็นว่าสุนัขสามารถล่าโจร ดมระเบิด หรือช่วยเหลือมนุษย์ได้มากกว่าที่มันเป็นแค่เพื่อนแก้เหงา แต่ยังมีความจริงสุดมืดมนอีกอย่างที่เราก็คงจะรู้ดีแก่ใจนั่นก็คือ สุนัขเคยถูกใช้เป็นเครื่องมือสังหารและเป็นอาวุธสำหรับมนุษย์มาก่อน… และถ้าถามว่าเรารู้ได้ไง ฉะนั้นลองมาย้อนดู 5 เหตุการณ์ที่จะยืนยันว่าสุนัขเคยเป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก่อนกัน ทหารสเปนเคยใช้สุนัขพันธุ์มาสทิฟฟ์ที่โตเต็มวัย เข้าบุกขยี้เมือง Moors ในประเทศ Grenada โดยให้สุนัขทั้งขยี้และฉีกเนื้อหนังของคนออกมาทั้งเป็น Christopher Columbus เคยใช้สุนัขในการต่อสู้ ซึ่งใช้สุนัขพันธุ์มาสทิฟฟ์เป็นสายพันธุ์หลัก และเมื่อตอนที่เขาเดินทางไปยังทวีปใหม่เขาใช้สุนัขเป็นเครื่องมือลับสุดยอดในการจัดการกับชนพื้นเมืองที่เขาไปเยือน กองกิสตาดอร์ (Conquistadors) เคยใช้สุนัขเกรย์ฮาวน์ในการรักษาอนาเขตจากศัตรู แต่ว่าบางครั้งพวกเขาก็จะทำการจงใจปล่อยพวกมันออกไปข้างนอก เพื่อให้สุนัขล่าชนพื้นเมืองรอบๆ ซึ่งถือเป็นกีฬาอย่างหนึ่งของพวกเขา Juan Ponce de León มีสุนัขตัวหนึ่งโดยตั้งชื่อสายพันธุ์ให้ว่า Becerrillo ซึ่งได้ชื่อให้กับมันหลังจากที่มันได้จัดการสังหารคนไปมากกว่า 33 คน ด้วยเวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมง Leoncico…
-
21 ภาพหาดูยากของ “หญิงสาวในยุควิคตอเรีย” กับแฟชั่นทรงผมราวกับเจ้าหญิงราพันเซล
ในปัจจุบันหญิงสาวหลายๆ คนชื่นชอบการเลี้ยงผมของตัวเองให้ดูยาวราวกับเป็นราพันเซล และเพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าในยุคสมัยวิคตอเรีย การไว้ผมยาวลงมาถึงเท้านั้นก็เป็นที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ซึ่งผู้หญิงในสมัยวิคตอเรียหลายๆ คนมักจะไม่ตัดผมของตัวเอง เนื่องจากในยุคนั้นการไว้ผมยาวจะทำให้ดูเป็นคนทันสมัยยังไงละ และนี่คือภาพของหญิงสาวสมัยวิคตอเรีย ในช่วงปี 1920 ที่พากันไว้ผมยาวราวกับเป็นราพันเซล บอกเลยว่ามันเป็นถ่ายที่หาดูยากมากๆ เลยนะเนี่ย . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . โอ้ววว!! ได้เห็นภาพเหล่านี้แล้ว #เหมียวขี้อ้อน ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า พวกเธอจะใช้ชีวิตในแต่ละวันลำบากมากขนาดไหน เพราะไหนจะต้องหมั่นดูแลเส้นผมให้ดูสลวยสวยงามอยู่ตลอดเวลา บางครั้งอากาศร้อนๆ ก็ทำให้ผมเปียก และอับชื้นได้ เห็นแล้วก็รู้สึกลำบากแทน แต่ก็นะ!! ถึงจะลำบาก แต่พวกเธอก็ยังชื่นชอบ และต้องการไว้ผมให้ยาวอยู่ดี ที่มา : dangerousminds
-
12 ภาพประวัติศาสตร์ บอกเล่าเรื่องราวน่าจดจำ และคุณควรได้รับรู้สิ่งเหล่านี้
เรื่องราวในประวัติศาสตร์นั้นสามารถส่งต่อกันมาในยุคปัจจุยันผ่านลายลักษณ์อักษรต่างๆ หรือการเล่าปากต่อปากให้สืบทอดต่อกันมา และแม้แต่ภาพที่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคนั้นๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ภาพเหล่านี้คือสิ่งที่จะช่วยทำให้เห็นประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำและน้อยคนที่จะเคยเห็นหรือรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ 1. ภาพถ่ายที่ติดมนุษย์คนแรก ในปี 1838 นี่คือภาพถ่ายที่เกิดขึ้นจากกระบวนการดาแกโรไทป์ ถูกถ่ายโดย Louis Daguerre ผู้คิดค้นกระบวนการดังกล่าว ภาพนี้ถูกถ่ายในปารีสเมื่อปี 1838 ซึ่งในภาพควรจะได้เห็นผู้คนมากกว่านี้ แต่ด้วยการเปิดรับแสงเป็นเวลานาน จึงทำให้เห็นเพียงแค่ช่างขัดรองเท้ากับลูกค้าของเขาเพียงแค่นั้น 2. ภาพถ่ายท่าทางที่หยาบคายภาพแรก ในปี 1886 นี่คือภาพถ่ายนักกีฬาเบสบอลซึ่งเมื่อซึ่งเมื่อสังเกตในวงกลมสีแดง นั่นคือมือของนักเบสบอลที่มีชื่อว่า Charles Redbourne ที่แสดงให้เห็นว่าเขาโชว์นิ้วกลางให้กับกล้องโดยไม่ทราบสาเหตุ จนเป็นภาพแรกของโลกที่แสดงให้เห็นท่าทางที่เราทุกคนสมัยนี้รู้จักกันดี 3. นักเรียนเล่นปาหิมะ ในปี 1893 นี่คือภาพของนักเรียนสามคนหลังจากที่พวกเขาได้ไปเล่นปาหิมะกันแบบน่ารักใสๆ แต่สงสัยการปาหิมะในยุคนั้นจะโหดกว่ายุคนี้มาก จนสามารถทำให้เข้าใจผิดคิดว่าไปออกสนามรบมาหรือไม่ก็คงโดนผึ้งต่อยซะจนบวมเป่งขนาดนั้น 4. ประติมากรทำการกลบรอยแผลให้กับทหารผ่านศึก ในปี 1917 ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 การศัลยกรรมในสงครามยังห่างไกลกับคำว่าทำให้สมบูรณ์แบบได้ แต่มันก็ยังคงมีวิธีการบางอย่างที่สามารถมาแทนที่ โดยให้ประติมากรมืออาชีพเติมเต็มส่วนที่เป็นบาดแผลให้กับเหล่าทหาร ซึ่งถึงแม้ว่าอาจไม่ได้ทำให้เหมือนกับตอนยังปกติ แต่นั่นก็ช่วยทำให้เขาสามารถมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่นและไม่คิดฆ่าตัวตาย . 5.…
-
เมื่อ 10 ภาพประวัติศาสตร์ ‘สมรภูมิดันเคิร์ก’ ถูกชุบชีวิตให้เป็นภาพสี ควรค่าแค่การรับชม!!
เมื่อไม่นานมานี้หลายๆ คนคงจะได้มีโอกาสเข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องดันเคิร์ก จากฝีมือสุดยอดผู้กำกับอย่างคริสโตเฟอร์ โนแลน กันมาแล้ว ส่วนฝีมือการกำกับและอรรถรสของหนังนั้นคงไม่ต้องพูดถึงให้เสียเวลา… และเมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเปิดเผยภาพสีของการอพยพทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนี้ โดยภาพชุดดังกล่าวเป็นการนำภาพขาวดำนั้นมาเติมสีสันให้ดูมีชีวิตชีวาและความสวยสมจริงมากยิ่งขึ้น ภาพรอยยิ้มแห่งความดีใจของเหล่าทหารฝ่ายสัมพันธมิตรที่กำลังเดินทางไปยังเกาะอังกฤษ ภาพที่บันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งการเดินเรือของฝ่ายอังกฤษและภาพของช่วยเหลือเหล่าพลทหารในช่วงปี 1940 ถูกนำมาเติมสีสันโดยฝีมือของคุณ Royston Leonard “ผมได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างในภาพชุดนี้ ในตอนนั้นไม่มีใครคิดหรอกว่า เราจะพร้อมสำหรับสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาพชุดนี้ทำให้ผมเห็นถึงการทำงานร่วมกันเพื่อไปให้ถึงชัยชนะ” คุณ Leonard กล่าว ภาพของเหล่าพลทหารระว่างการอพยพ ในยุทธการดันเคิร์ก การอพยพครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในการอพยพครั้งใหญ่ที่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยทีเดียว มีพลทหารกว่า 338,000 นายที่ถูกช่วยในปฏิบัติการครั้งนี้ พลทหารกำลังเดินลงไปในทะเล เพื่อขึ้นไปยังเรืออพยพ นายทหารหลายแสนนายได้รับการช่วยเหลือจากปฏิบัติการไดนาโม ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการเข้าช่วยเหลือพลทหารฝ่ายสัมพันธมิตร ที่ถูกปิดล้อมไว้ในหาดดันเคิร์กจากทหารของเยอรมัน ซึ่งการตั้งฐานที่มั่นในชายหาดแห่งนี้ เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างมาก การช่วยเหลือกันระหว่างการอพยพของเหล่าพลทหาร หลังจากการอพยพ ข้าวของและยุธโทรปกรณ์ต่างๆ ถูกทิ้งไว้ที่ชายหาดดันเคิร์ก ประกอบไปด้วย ปืนถึง 2,472 กระบอก รถยนต์…
-
ค้นพบวัตถุนาซีโบราณจำนวนมาก ถูกเก็บซ่อนอยู่ภายในบ้าน ของนักสะสมงานศิลปะ!!
หนึ่งในความน่าสะพรึงกลัวของประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง คงจะหนีไม่พ้นเรื่องราวของ Adolph Hitler ผู้นำเผด็จการนาซีเยอรมนี ที่ได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวมากกว่า 3 ล้านคน และถึงแม้ว่าจะมีขบวนการต่อต้านฮิตเลอร์จอมโหดเกิดขึ้น แต่ก็เป็นที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีบางคนที่ชื่นชอบ และต้องการระลึกถึงพวกนาซีอยู่เสมอ บางคนถึงขั้นเก็บรวบรวมสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของนาซีเอาไว้ เพราะด้วยความเลื่อมใสศรัทธา แต่ถึงกระนั้นก็ต้องคอยหลบหลีกการจับกุมของตำรวจ เนื่องจากสิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีการรายงานว่า ทางตำรวจสหพันธรัฐในอาร์เจนตินา ได้ค้นพบสิ่งของที่ผิดกฎหมายของนาซีที่ซ่อนอยู่หลังห้องสมุดภายในบ้านของนักสะสมงานศิลปะในกรุงบัวโนสไอเรส ซึ่งมีจำนวนมากถึง 75 ชิ้นเลยทีเดียว โดยสิ่งของที่ถูกค้นพบภายในบ้านหลังนี้ เป็นของพวกนาซีทั้งหมด โดยมีตั้งแต่กล่องมีด อุปกรณ์ทางการแพทย์ อาวุธ รวมไปถึงภาพลับๆ ของ Adolph Hitler จากการรายงานระบุว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าไปยังบ้านดังกล่าวที่มีคลังสิ่งของผิดกฎหมาย เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2017 หลังจากที่ได้รับแจ้งถึงเบาะแสการมีสิ่งของผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง และเมื่อทางตำรวจได้เข้าไปภายในบ้านพวกเขาก็พบกับชั้นวางหนังสือลึกลับ และได้พบกับสิ่งประดิษฐ์และวัตถุโบราณหลายอย่างของพรรคนาซี ใครจะไปรู้ล่ะว่าด้านหลังตู้หนังสือภายในบ้านหลังนี้ ความจริงแล้วเป็นห้องเก็บของลับ ที่เจ้าของบ้านได้เก็บรักษาของที่ระลึกของนาซีเอาไว้ทั้งหมด ทางด้านนักวิจัย และทีมผู้เชี่ยวชาญได้ทำการตรวจสอบแล้วว่า ของทั้งหมดที่ถูกค้นพบนี้ล้วนเป็นของจริงทั้งหมด…
-
นายหน้าค้าอสังหาฯ ค้นพบห้องสมุดโบราณอายุกว่า 200 ปี ซ่อนอยู่ในบ้านที่ถูกนำมาประมูล!!
ห้องสมุดสุดเก่าแก่ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในสมบัติอันล้ำค่านี้ ถูกค้นพบในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในประเทศเบลเยียม คุณ Henri Godts นายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์ ผู้พบห้องสมุดเก่าแก่แห่งนี้ที่ซ่อนอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่เจ้าของนำมาประมูลขาย!! ซึ่งเจ้าของคนเดิมนั้นเป็นปัญญาชนชาวฝรั่งเศส ที่ได้ทำการลี้ภัยจากการปฏิวัติฝรั่งเศสมายังเมือง Bouillon ประเทศเบลเยียม โดยที่ห้องสมุดดังกล่าวถูกรักษาเป็นอย่างดีและไม่เคยถูกแตะต้องมาเป็นเวลานานถึง 200 ปีแล้ว ภายในนั้นเต็มไปด้วยหนังสือเก่าแก่มากมายที่ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ “มันเป็นเรื่องยากมากที่จะเจอห้องสมุดเก่าแก่ที่สมบูรณ์มากถึงขนาดนี้ มันเหมือนกับการย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 18 เพราะหนังสือทุกเล่มที่นี่สภาพดีมากๆ ” คุณ Godts กล่าว ภายในห้องสมุดดังกล่าวมีหนังสือในระหว่างช่วงศตวรรษที่ 18 ถึงศตวรรษที่ 19 อันเป็นหนังสือหายากมากถึง 182 เล่ม รวมถึงอุปกรณ์แต่งห้องและเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อีกมากมาย โดยส่วนมากแล้วจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการสำรวจและอารยธรรมในพื้นที่ใหม่ๆ บนโลกในยุคก่อน แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและถือว่าเป็นสิ่งล้ำค่ามากที่สุดนั่นก็คือแผนที่ของ Abraham Ortelius ยอดนักสำรวจชาวเบลเยียม Abraham Ortelius ถือว่าเป็นหนึ่งในนักเขียนแผนที่ที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น แผนที่ที่ถูกพบในห้องสมุดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1575 ถือว่าเป็นหนึ่งในแผนที่ที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น และตีพิมพ์ออกมาแค่ 100 ฉบับเท่านั้น ราคาของแผนที่นี้อยู่ที่ประมาณ 1,700,000 แสนบาท แต่ในแง่ของความสำคัญทางประวัติศาสตร์นั้นมูลค่าของแผนที่ดังกล่าวไม่สามารถประเมินค่าได้เลย ตอนนี้ตัวห้องสมุดดังกล่าวกำลังเปิดให้ประมูลอยู่จนถึงวันที่ 20…
-
ชมผลงาน ‘ภาพถ่ายสีเก่าแก่’ อายุร่วม 100 ปี เผยให้เห็นว่าโลกในอดีตนั้น สดใสเพียงใด…
หากย้อนกลับไปในอดีตเมื่อราวๆ 100 ปีก่อน ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาแต่ก็ไม่ทันสมัยเท่าปัจจุบัน เทคโนโลยีการถ่ายภาพเองก็มีมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว มีภาพถ่ายมากมายที่ถูกเก็บบันทึกเอาไว้แต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นภาพขาวดำ แต่เอาเข้าจริงๆ การภาพถ่ายสีนั้นก็มีมาตั้งแต่ยุคอดีตแล้วนะ!! ภาพถ่ายเหล่านี้เป็นฝีมือของช่างกล้องศิลปินชาวฝรั่งเศสสองพี่น้อง Auguste และ Louis Lumière ได้ทำการถ่ายภาพต่างๆ ขึ้นมาตั้งแต่ยุค 1907 และได้ใช้วิธีการแต่งเติมให้มีสีสันด้วยเทคนิค Autochrome Lumière ซึ่งใช้แป้งมันฝรั่ง และสารเคมีที่ทำปฏิกิริยากับความเข้มของแสง 1. Christina ในชุดสีแดง ถ่ายเมื่อปี 1913 2. สองพี่น้อง Heinz และ Eva กับวิวภูเขา ถ่ายเมื่อปี 1925 3. รถเข็นขายดอกไม้ใน Paris ถ่ายเมื่อปี 1914 4. สองพี่น้องกำลังนั่งตกแต่งช่อดอกกุหลาบของตัวเองในสวน ถ่ายเมื่อปี 1911 5. หอไอเฟล กรุง Paris ถ่ายเมื่อปี 1914 6. เด็กหญิงกำลังกอดตุ๊กตานั่งอยู่ข้างอุปกรณ์ของทหาร ถ่ายเมื่อปี…
-
ฮาร์วาร์ดเตรียมเปิดคลาสในธีม “Game Of Thrones” เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ จากยุคกลาง!!
ถ้าหากพูดถึงซีรีย์เรื่องดังชื่อของ Game Of Thrones คงจะเป็นซีรีย์เรื่องแรกๆ ที่หลายคนนึกถึงอย่างแน่นอน กระแสความนิยมของซีรีย์เรื่องนี้คงไม่ต้องพูดถึงกันให้ยืดยาว และล่าสุดทางฮาร์วาร์ดหนึ่งในมหาลัยชื่อดังระดับโลกก็ขอตามกระแสเรื่องนี้ด้วยคน เมื่อพวกเขากำลังพิจารณาจะเปิดคอร์สเรียนเกี่ยวกับซีรีย์เรื่องนี้!! นิตยสาร Time รายงานว่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กำลังพิจารณาจะเปิดคอร์ดสอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และพงศวดาลในซีรีย์ Game Of Thrones แต่อย่าคิดว่าคุณจะได้นั่งดูซีรีย์เรื่องนี้แบบสบายๆ ในห้องเรียนล่ะ เพราะนี่คือการสอนอย่างจริงจังเลยทีเดียว โดยในคลาสจะเป็นการเรียนเกี่ยวประวัติศาสตร์ของทวีป Eurasia ในช่วงยุคกลางประมาณคริสตคริสต์ศักราช 400-1500 ปี ก่อนที่จะถูกถ่ายทอดออกมาจากซีรีย์เรื่องนี้ โดยผู้ที่จะมาสอนคุณในคอร์สนี้ก็คือ Sean Gilsdorf และ Racha Kirakosian ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในยุคกลาง และอาจารย์ผู้ช่วยจากภาควิชาภูมิภาคศึกษา โดยภายในคลาส จะนำซีรีย์ดังกล่าวมาเป็นส่วนประกอบในการศึกษาอย่างละเอียด ทั้งเรื่องของเชื้อสาย ศาสนา การปกครอง และฉากต่างๆ ที่สำคัญ อาจารย์ Kirakosian เล่าถึงที่มาของการเปิดคอร์สเรียนนี้ว่า “เมื่อฉันอ่านงานเขียนเกี่ยวกับยุคกลางร่วมกับนักศึกษา พวกเขาก็บอกว่ามันคล้ายกับ Game Of Thrones เลย นั่นจึงทำให้ฉันหันมาสนใจและคิดว่าน่าจะทำการศึกษาลงลึกไปได้ “ พวกเขาหวังว่าคอร์สเรียนี้จะทำให้นักศึกษาหันมาสนใจเกี่ยวประวัติศาสตร์ในยุคกลางได้มากขึ้น แบบนี้ถ้าใครอยากจะดูซีรีย์เรื่องนี้ให้ได้อารมณ์และเข้าถึงมากขึ้น จะลองศึกษาเกี่ยวประวัติศาสตร์ในยุคกลางบ้างก็ได้นะ…
-
‘เรือรบยามาโตะ’ สุดยอดเรือประจัญบานแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ที่ยังเป็นตำนานเล่าขานมาจนทุกวันนี้!!
ถ้าพูดถึงสุดยอดเรือรบรับรองว่า ยามาโตะ จะต้องเป็นชื่อแรกๆ ที่ลอยมาให้หัวของใครหลายๆ คน และเชื่อว่าหลายคนก็อาจจะรู้จักแค่ชื่อ หรือรู้แค่ว่าเรือลำนี้เป็นเรือที่เทพที่สุดในประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมา ฉะนั้นเราจะมาดูประวัติและข้อมูลของเรือลำนี้แบบคร่าวๆ กัน… เรือรบยามาโตะ เป็นเรือชั้นประจัญบานหรือที่เรียกกันว่าแบทเทิลชิพ (Battle Ship) โดยตัวเรือจะมีขนาดความยาว 263 เมตร กว้าง 36.9 เมตร เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในโลกแล้วล่ะ ถ้าจะหาเรือที่รองลงมาก็จะเป็นเรือไอโอว่า มิซซูรี่ ของอเมริกา เรือรบยามาโตะถูกตั้งชื่อตามจังหวัดโบราณของญี่ปุ่นที่ชื่อว่า ยามะโตะ และถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1930 เป็นช่วงที่รัฐบาลญี่ปุ่นมีความเป็นชาตินิยมอย่างเข้มข้น ด้วยทรรศนะสู่จักรวรรดิญี่ปุ่นอันยิ่งใหญ่ จากเหตุข้างต้น ทางการญี่ปุ่นจึงเริ่มแผนการสร้างเรือประจัญบานลำใหม่ ที่จะออกมาแสดงแสงยานุภาพของประเทศ และด้วยความที่ยามาโตะเป็นเรือที่ใหญ่มากๆ จึงต้องใช้ความพยายามอย่างสูงเพื่อปกปิดความลับของเรือจากสายลับชาติอื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเรือยามาโตะถึงถูกสร้างออกมาให้สุดยอดขนาดนี้ เนื่องจากทางญี่ปุ่นเห็นต้องพ้องกันว่า พวกเขาไม่สามารถที่จะสร้างเรือจำนวนมากๆ แข่งกับกองทัพสหรัฐได้ ฉะนั้นการสร้างเรือลำเดียวแต่สามารถต่อกรกับเรือทั้งกองได้ จึงเป็นอะไรที่คุ้มค่ายิ่งกว่า อันเป็นจุดกำเนิดของเรือรบยามาโตะ!! ว่าด้วยเรื่องของอาวุธที่ติดตั้งไว้บนเรือกันบ้าง สำหรับเรือรบยามาโตะนั้นมีอาวุธติดตั้งอยู่มากมาย เริ่มต้นกับที่อาวุธหลักอย่างปืนใหญ่ขนาด 46 ซม. 9 กระบอก ซึ่งถือเป็นปืนที่ใหญ่ที่สุดที่เคยติดตังบนเรือรบ ตามด้วยปืนใหญ่ขนาด 155…
-
บรรยากาศ The Shambles ตรอกยุคกลางของอังกฤษ ที่ยังคงถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี…
สำหรับใครที่เคยดูหนังเรื่อง Pirate of the Caribbean คงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับถนนหรือตรอกต่างๆ ในยุคกลาง ที่มักจะเป็นที่พบปะกันของผู้ที่ชื่นชอบการดื่มเหล้า หรือถ้ายังนึกไม่ออกก็ลองนึกถึงตรอกไดแอกอน ที่พ่อมดน้อยแฮร์รี่เดินทางไปซื้ออุปกรณ์การเรียนเพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนที่ฮอกวอตส์นั่นแหละ และวันนี้เราก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่แสนจะสวยงามและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน ที่น่าไปเก็บภาพมาอัพเดทลงอินสตาแกรมไว้อวดเพื่อนๆ นั่นก็คือ ตรอก Shambles ถนนสายเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ยุคกลาง จะสวยงามและน่าไปแค่ไหนไปชมกันเลย… สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง York เมืองที่มีอายุกว่า 2,000 ปีและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษเป็นอย่างมาก Shambles เป็นถนนที่ยังคงถูกอนุรักษ์เอาไว้ เต็มไปด้วยอาคารและสิ่งก่อสร้างอันเก่าแก่ บางหลังเริ่มสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 กันเลยทีเดียว!! ชื่อของถนนเส้นนี้ มาจากภาษาในยุคกลางที่แปลว่า “โรงฆ่าสัตว์” หรือที่นี่อาจรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “The Great Flesh Shambles” ซึ่งอาจจะมาจากภาษาของชาวแองเกิลส์ กลุ่มคนที่เดินทางมาตั้งถิ่นฐานในประเทศอังกฤษ หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน แต่เดิมในปี ค.ศ. 1862 มีร้านขายเนื้อตั้งอยู่บนถนนสายนี้กว่า 26 ร้าน ซึ่งในที่แห่งนี้คุณจะสังเกตเห็นร่องน้ำที่หน้าอาคารในตลอดถนนเส้นนี้ นั่นมีไว้เพื่อให้ร้านขายเนื้อได้ทำการล้างสิ่งปฏิกูลอย่างเศษเนื้อหรือเลือดลงไปนั่นเอง และตอนนี้ถึงแม้ว่าร้านขายเนื้อจะหายไปจากถนนสายนี้แล้ว แต่ก็ร้านค้าต่างๆ ก็ยังคงอนุรักษ์รูปแบบของร้านขายเนื้อแบบเดิมอยู่ อย่างเช่นตะขอและตู้กระจกสำหรับแขวนเนื้อ ร่องน้ำที่อยู่หน้าร้านค้า ใช้ในการระบายสิ่งปฏิกูลอย่างเช่นเลือดและเศษเนื้อ โครงสร้างบางส่วนของอาคารยังคงเป็นวัสดุแบบเดิมในสมัยก่อน .…
-
เปิดภาพหายาก “คอนสแตนติโนเปิล” ยุคปี 1890 ที่ตอนนั้นเป็นเมืองหรูหราที่สุดแห่งยุโรป!!
“ไม่มีชัยชนะที่แท้จริงในสงคราม” หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินคำพูดแบบนี้มาบ้าง เพราะไม่ว่าผู้แพ้หรือผู้ชนะต่างก็ต้องสูญเสียด้วยกันทั้งนั้น เหมือนอย่างเช่นจักรวรรดิออตโตมัน ที่เกิดการล่มสลายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ในช่วงปลายปี 1918 จักรวรรดิออตโตมันนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่และร่ำรวยที่สุดในยุโรป มีพื้นที่กว้างใหญ่และมีสถาปัตย์กรมที่สวยงามมากมาย โดยก่อนการล่มสลายได้มีการบันทึกภาพความสวยงามเหล่านั้นไว้อยู่มากมาย แต่น่าเสียดายที่มันถูกถ่ายเป็นภาพขาวดำ จนทำให้ยากต่อการจินตนาการว่าบ้านเมืองในสมัยนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร? ในบทความนี้#เหมียวเวจจี้ก็เลยจะพาไปชมภาพถ่ายที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนั้น แต่เป็นในเวอร์ชั่นที่ถูกศิลปินนำมาแต่งเติมสีสันให้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น อยากรู้ว่าเป็นไงลองมาดูกันนะ เริ่มต้นกันที่ภาพแรก ภาพของมัสยิตและถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนของเมือง Scutari ในกรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตประจำวันของผู้คน ภาพของสะพาน Galata ในมุมต่างๆ ที่นอกจากจะเป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างสองเมืองแล้วยังเป็นจุดที่ใช้ขนส่งสินค้าที่สำคัญของยุโรปอีกด้วย และที่สำคัญสะพานแห่งนี้ก็ยังคงเปิดใช้งานอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้!! ภาพพระอาทิตย์ตกดินสุดแสนจะโรแมนติก ณ เมืองเฟเนบาร์เช่ซึ่งตั้งอยู่ในทะเล Marmara ในกรุงคอนสแตนติโนเปิล ภาพของเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณของช่องแคบ Bosphorus ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่และร่ำรวยที่สุดในยุปโรป ก่อนที่จะถูกเข้าครอบคองโดยจักวรรดิออตโตมัน นักเขียนชาวฝรั่งเศษ Pierre Gilles ในศตวรรษที่ 16 เคยกล่าวถึงกรุงคอนสแตนติโนเปิลเอาไว้ว่า “นครแห่งนี้จะมีอายุยืนยาวและเป็นอัมตะ” แต่แล้วจักรวรรดิออตโตมันที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1299 ก็ล่มลายในเดือนพฤษจิกายน ปี 1922 ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากภัยของสงครามโลกครั้งที่ 1 และการรุกรานของจักวรรดิอังกฤษ ที่เข้ายึดครองกรุงแบกแดดและเยรูซาเลม ภาพด้านซ้ายคือภาพของสุลต่าน Pertevniyal Valide ในเมือง Aksaray ในยุคก่อนล่มสลายของ จักวรรดิออตโตมัน ส่วนภาพทางด้านขวาเป็นภาพหลังจากที่ถูกเผา บางคนอาจสงสัยว่าทำไมภาพเหล่านี้ถึงมีสีสันขึ้นมาได้? นั่นก็เพราะว่าภาพทุกภาพถูกนำเอาไปผ่านกระบวนการ Photochrom…
-
23 ภาพในประวัติศาสตร์ ที่เดินทางผ่านกาลเวลามา เพื่อให้เราได้ชมกันในปัจจุบัน…
และนี่ก็เป็นครั้งที่เอ่อ…. 954 ได้มั้ง ที่เราได้ไปเจอกับภาพหาชมยากจากประวัติศาสตร์ ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าภาพเหล่านี้มันเดินทางมายังไง? มาจากทางไหน? แล้วใครเป็นคนถ่ายมา? เอาเป็นว่าเลื่อนลงไปดูกันเลยจ้า 1. พนักงานสายการบินจาก Scandinavian Airlines กำลังเสิร์ฟอาหารแบบบุฟเฟ่ต์เมื่อปี 1969 2. กระเบนยักษ์มีขนาดกว้าง 6 เมตร หนัก 227 กิโลฯ พบบนชายฝั่งของรัฐนิวเจอร์ซี่ย์ เมื่อปี 1933 3. การกอบกู้ยาน Apollo 13 หลังกลับมาจากการสำรวจอวกาศ 4. ประธานาธิบดี John F. Kennedy เยี่ยมชมการปฏิบัติงานด้านการสำรวจอวกาศ ในปี 1962 5. ปี 1972 ที่รัฐฟิลาเดลเฟีย มีขบวนพาเหรดของกลุ่มชายรักชายเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่นี่ 6. ควีนอลิซาเบธที่ 2 ก่อนจะขึ้นครองราชย์ เมื่อปี 1940 7.…
-
19 ภาพทรงพลังจากประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ที่ตอกย้ำว่าเราผ่านอะไรมากมายจริงๆ
โลกของเราล้วนเต็มไปด้วยผู้คน วัฒนะธรรม และสงครามมากมาย เมื่อวันเวลาผ่านไปเหตุการณ์เหล่านั้นก็ยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทับถมกันกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษากัน ในบทความนี้เอง#เหมียวฟิ้นจะขอชวนทุกๆ คนไปชมภาพประวัติศาสตร์ที่หาดูยาก ที่แม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบกับเราโดยตรง แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหลายนะเออ 1. Moonstruck นักบินอวกาศ Charles Duke ถ่ายภาพครอบครัวของเขาบนดวงจันทร์ ระหว่างปฏิบัติภารกิจเมื่อปี 1972 2. Hear Me Roar ช่วงเวลาที่น่าอัศจรรย์ของค่ายหนัง MGM เมื่อครั้งก่อตั้งใหม่ๆ โดยตอนนั้นพวกเขาตั้งใจจะใช้ภาพของสิงโตคำรามเป็นสัญลักษณ์ประจำบริษัท แต่เนื่องจากวิทยาการทางคอมพิวเตอร์ยังไม่ก้าวหน้ามาก พวกเขาจึงใช้สิงโตจริงๆ มาถ่ายทำและบันทึกเสียง 3. Walk This Way ภาพนี้เป็นภาพที่โด่งดังมากๆ ของวง the Beetles ในอดีต ที่เป็นภาพของสมาชิกวงทั้ง 4 คนกำลังเดินไปในทิศทางเดียวกัน และถูกนำมาใช้เป็นหน้าปกอัลบั้ม Abby Road และกลายเป็นภาพที่ถูกนำเอาไปล้อกันจนถึงทุกวันนี้ 4. The Sky’s The Limit ภาพของกลุ่มคนงานที่ขึ้นไปต่อเติมและทาสีให้กับหอไอเฟลเมื่อปี 1932 ที่กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ก็เพราะว่ามันคือสิ่งปลูกสร้างที่มีความสูงที่สุดในขณะนั้นเลย 5.…
-
22 ภาพเล่าชีวิตการเล่นของเด็กในอดีต สะท้อนเทคโนโลยีเปลี่ยนวัยเด็กไปมากแค่ไหน…
หากย้อนกลับไปในช่วงที่อินเตอร์เน็ต หรือเทคโนโลยีเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ยังไม่พัฒนาเท่ายุคปัจจุบัน เพื่อนๆ เคยสงสัยหรือไม่ว่าเด็กๆ แต่ละคนเขามีกิจกรรมอะไรให้ทำแก้เบื่อกันบ้างนะ? สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมภาพประวัติศาสตร์ชีวิตการละเล่นของเด็กๆ ต่างประเทศ ทำให้เห็นว่าในยุคที่เทคโนโลยียังไม่พัฒนาแตกต่างกับปัจจุบันแค่ไหน 1. สาวน้อยกำลังเล่นกีต้าร์ให้เจ้าหมาฟัง 2. เด็กน้อยกำลังเต้นรำอยู่ด้านหน้าของตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ ที่เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในปี 1961 3. พ่อบ้าน Paul Ramos กำลังอุ้มลูกชายด้วยมือเดียวเพื่อป้อนอาหารให้ยีราฟ ในสวนสัตว์ลอนดอน ช่วงปี 1950 4. เด็กสองคนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน บนถนนกลางกรุงนิวยอร์คซิตี้ ช่วงปี 1940 5. เด็กๆ กับเล่นเกม ‘แข่งดันถั่ว’ บนถนน King’s Cross Street ในกรุงลอนดอน เมื่อปี 1938 6. เพื่อนรัก 7. แม้แต่หมาก็มาเล่นม้ากระดกด้วย 8.…
-
ชม 23 ภาพ ‘ชนเผ่าอินเดียนแดง’ ที่ถ่ายเมื่อ 100 ปีก่อน เผยวัฒนธรรมและเรื่องราวที่เราไม่รู้…
ก็อย่างที่รู้กันว่าในอดีตนั้นประเทศอเมริกามีชนพื้นเมืองที่ชื่อว่า ‘อินเดียนแดง’ อยู่ แต่ปัจจุบันพวกเขาเหลือจำนวนอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น หรือเท่าที่เหลืออยู่ก็แทบจะรับวัฒนธรรมใหม่ๆ ไปหมดแล้ว ซึ่งการที่เราจะได้เห็นวิถีชีวิตของเผ่าอินเดียนแดงแบบถ่องแท้นั้นเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร แต่ในวันนี้ #เหมียวหง่าว มีชุดภาพ วิถีชีวิตของชาวอินเดียนแดงเมื่อ 100 ปี ที่แล้วมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน J.P. Morgan นายธนาคารที่มีทรัพย์สินมากมายได้ทำการลงทุนเป็นเงินจำนวนกว่า 2.6 ล้านบาท (เงินเมื่อ 100 ปีก่อน) เพื่อถ่ายทำสารคดีความเป็นอยู่ของชาวอินเดียนแดงขึ้นมา ได้เป็นรูปภาพกว่า 40,000 รูปภาพในบริบทต่างๆ ทำให้เห็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวอินเดียนแดงในอดีต ถือเป็นผลงานที่คุ้มค่าและน่าอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างยิ่ง และนี่ก็คือรูปภาพบางส่วนที่จะหยิบยกมาให้เพื่อนๆ ได้รับชมกัน 1. หัวหน้าเผ่า Klamath กำลังยืนอยู่บนเนินเขาเหนือทะเลสาบ Crater ใน Oregon ถ่ายเมื่อ 1923 2. หญิงสาวจากเผ่า Qagyuhl สวมใส่ชุด Fringed Chilkat Blanket และหน้ากากที่บ่งบอกว่าเธอเป็นคนทรง ถ่ายเมื่อ 1914 3. ชนเผ่า Koskimo…
-
7 เหตุการณ์ วีรกรรมโต้กลับของ ‘ชาวยิว’ ที่เอาคืนพรรคนาซี ในสงครามโลกครั้งที่ 2
ในประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลก เราทุกคนจะรู้ดีว่า ‘ชาวยิว’ ทั้งหลายนั้นเป็นฝ่ายที่ถูกเหล่า ‘นาซี’ ที่เป็นชื่อของทหารเยอรมันฆ่าล้างจนทำให้พวกเขาเกือบจะหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ และทำให้เราเข้าใจผิดว่าทางฝั่งยิวนั้นเป็นผู้ถูกกระทำแต่เพียงอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วยังมีชาวยิวจำนวนไม่น้อยที่ลุกขึ้นมาต่อต้าน และสามารถเอาคืนเหล่าทหารนาซีได้แบบชนิดที่ว่าเจ็บแสบพอดูเลยล่ะ 1. นาย William Cohen ที่ให้การช่วยเหลือในการรวมกลุ่มชาวยิวในอเมริกาเพื่อต่อต้าน Hitler ย้อนกลับไปในปี 1933 ขณะที่นักการเมืองชาวอเมริกันหลายคนพยายามหลอกตัวเองให้เชื่อว่าเหล่านาซีทั้งหลายนั้นไม่ได้ทำอะไรที่ผิด ที่พวกเขาทำก็เพียงแค่ชูแขนขวาเฉียงขึ้นไปด้านหน้าเพื่อทำความเคารพต่อท่านผู้นำเท่านั้น แต่นาย Cohen ที่เป็นชาวยิว และเป็นสมาชิกสภาคองเกรสจากนิวยอร์คได้ทำการออกมารณรงค์ไม่ให้ทำการซื้อขาย และเลิกสนับสนุนสินค้าอันจะส่งผลดีต่อเยอรมัน โดยเขียนโคว้ทข้อความที่เป็นประโยคเด็ดไว้ว่า “ชาวยิวคนใดที่ใช้เงินแม้แต่ 1 เพนนีในการซื้อของที่มาจากชาวเยอรมัน จะถือว่าเขาผู้นั้นคือผู้ทรยศต่อชาวยิวด้วยกัน” ถึงแม้ว่ามันจะไม่ส่งผลอะไรมากมายต่อเหล่านาซีมากนัก แต่มันก็ทำให้ผู้คนกลับมาให้ความสำคัญกับการกระทำของเหล่านาซีอีกครั้ง และเกิดการถกเกถียงกันว่าสิ่งที่นาซีทำนั้นมันผิดศีลธรรม!! 2. นาง Danuta Danielsson ที่เอากระเป๋าถือไปฟาดกลุ่มนีโอนาซีที่กำลังเดินขบวนเพื่อรณรงค์รับสมัครพรรคพวกขึ้นมาใหม่ จนทำให้พวกเขาหมดความน่าเชื่อถือ Danuta Danielsson เป็นลูกครึ่งระหว่างยิวและโปแลนด์ แม่ของเธอเป็นผู้รอดชีวิตมาจากค่ายกักกัน Auschwitz ซึ่งทำให้เธอรับรู้ถึงความโหดร้ายที่ชาวนาซีได้ทำกับคุณแม่ของเธอ ในช่วงปี 1985 ที่ประเทศสวีเดนได้มีการเดินขบวนของกลุ่มที่เรียกว่า Neo-Nazi โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูลัทธินาซีขึ้นมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกทำลายความน่าเชื่อถือลงไปหลังจากที่ Danuta…
-
รวม 17 ความรู้ทางประวัติศาสตร์และเวลาแบบเจ๋งๆ ที่เปลี่ยนมุมมองของเราไปเลย!!
มนุษย์ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้เมื่อราวๆ 500,000 ปีก่อน แต่มนุษย์เริ่มมีการบันทึกประวัติศาสตร์จริงๆ จังๆ เมื่อราวๆ 6,000 ปีก่อนเท่านั้น ซึ่งต้องขอยกความดีความชอบให้กับชาวสุเมเรียนที่คิดค้นอักษรคูนิฟอร์มขึ้นมาเป็นอักษรแรกของโลก แต่รู้หรือไม่ ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 6,000 ปี หลายๆ ครั้งคนเราก็สับสนกับช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ บางทีเราอาจคิดว่าเหตุการณ์สองเหตุการณ์เกิดขึ้นใกล้ๆ กัน แต่ความจริงอาจไม่ได้เป็นแบบนั้น งั้นวันนี้ #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปดู 17 ความรู้ทางประวัติศาสตร์เจ๋งๆ ที่อาจเปลี่ยนความเข้าใจของเราไปตลอดกาล จะมีอะไรบ้าง เราไปชมกันเลย! 1.พระนางคลีโอพัตรากับมหาปีระมิดกีซ่า หลายคนอาจคิดว่าพระนางคลีโอพัตรากับปีระมิดกีซ่าเกิดขึ้นในยุคเดียวกัน แต่เปล่าเลย เอาจริงๆ พระนางใกล้กับพวกเรา ( พระนางเสียชีวิต 30 ปีก่อนคริสตกาล) มากกว่าการก่อสร้างมหาปีระมิดกีซ่าซะอีก (ปีระมิดก่อสร้างเสร็จ 2,560 ก่อนคริสตกาล) ซึ่งจริงแล้วๆ แม้แต่จักรวรรดิโรมันก็มีลักษณะทำนองเดียวกันเรื่องราวข้างบน 2.สเตโกซอรัสกับทีเร็กส์ไม่ได้อยู่ในยุคเดียวกัน แถมอายุห่างกันประมาณ 74 ล้านปีเลยทีเดียว (ไดโนเสาร์สองพันธุ์นี้ห่างเรา มากกว่ามนุษย์เราห่างจากพวกไดโนเสาร์ซะอีก) 3. คนที่แก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาตอนนี้(117 ปี) เกิดใกล้กับการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกที่สุด (ค.ศ. 1899)…
-
ชุดภาพ ‘เกอิชา & ไมโกะ’ ในชุดว่ายน้ำ จากประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นศตวรรษที่ 18 !!
สำหรับเรื่องราวประวัติศาสตร์ของแดนอาทิตย์อุทัย สิ่งหนึ่งที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน ก็คือ ‘เกอิชา’ อาชีพของหญิงสาวในญี่ปุ่นสมัยอดีต และแน่นอนว่าพวกเธอไม่ใช่ ‘โสเภณี’ อย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะกว่าไต่เต้าขึ้นมาเป็น ‘เกอิชา’ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อ่านเนื้อหาเพิ่มเติม: เติมสาระกันสักนิด…. 10 เกร็ดความรู้ ที่คุณอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับ ‘เกอิชา’ !! ปกติแล้วเรามักเห็นพวกเธอในชุดกิโมโนะประจำชาติของญี่ปุ่น แต่คราวนี้เราจะพาไปชมภาพถ่ายของสาวๆ เกอิชา และไมโกะ โพสท่าพร้อมชุดว่ายน้ำในยุคสมัยราชวงศ์เมจิ ซึ่ งภาพถ่ายหายากจากช่วง 1868 – 1912 ถูกนำมาบูรณะโดยช่างภาพชาวญี่ปุ่น Okinawa Soba เราตามไปชมความงามของพวกเธอในอดีตกันเลย… สำหรับเกอิชาแล้ว พวกเธอเปรียบเสมือนผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ และให้ความบันเทิงใจแก่ผู้คนรอบข้าง ในช่วงศตวรรษที่ 18 – 19 ในญี่ปุ่นมีเกอิชามากถึง 80,000 คนเลยทีเดียว และสำหรับเกอิชาฝึกหัด จะมีคำศัพท์ใช้เรียกว่า ‘ไมโกะ’ เดิมทีพวกเธอจะต้องได้รับการฝึกฝน อบรมมาตั้งแต่วัยเด็ก โดยสำนักเกอิชาต่างๆ เบื้องต้นพวกเธอจะต้องสามารถเล่นดนตรี…
-
อีกมุมหนึ่งของ 10 บุคคลดังผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ กับด้านมืดที่เราไม่เคยรู้มาก่อน…
เมื่อกล่าวถึงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ เรามักจะจดจำพวกเขาในด้านคุณงามความดีต่างๆ ที่เคยสร้างไว้ แต่ในขณะเดียวกัน บางครั้งก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ ก็ย่อมมีทั้งด้านสว่าง และด้านมืดซุกซ่อนอยู่ภายในใจของตนเอง 10 บุคคลดังในประวัติศาสตร์เหล่านี้ก็เช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะเคยสร้างคุณงามความดี หรือสร้างสิ่งที่น่าทึ่งเอาไว้มากมาย แต่ก็มีด้านมืดที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเช่นกัน ว่าแต่เหรียญอีกด้านหนึ่งของพวกเขาจะเป็นอย่างไรนั้น มารับรู้ไปพร้อมๆ กันเลย 1.Thomas Jefferson ครั้งหนึ่ง Thomas Jefferson อดีตประธานาธิบดีคนที่ 3 แห่งสหรัฐอเมริกา เคยเขียนคำประกาศอิสรภาพอเมริกันเอาไว้ว่า “All men are created equal (มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาให้เท่าเทียมกันหมด)” ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่น่ายกย่องมากที่สุด แต่ในอีกด้านหนึ่งของเขา กลับไม่ได้สวยงามในสายตาของใครหลายๆ คน เพราะ Thomas กลับมีทาสรับใช้นับร้อยคนเก็บไว้ที่บ้าน อีกทั้งลูก 6 คนของเขาก็เกิดจากทาสหญิงที่ชื่อว่า Sally Hemings โดยในภายหลังเขาปล่อยให้ลูกๆ ได้รับอิสรภาพ แต่ก็ยังเก็บทาสสาว Sally เอาไว้ครอบครอง จนกระทั่งปี 1862 เขาก็ได้เสียชีวิตลง 2.Winston Churchill…
-
เปิดตำนาน “ยาสึเกะ” ซามูไรผิวสีคนแรกและคนเดียว แห่งหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น!!
เมื่อกล่าวถึง ‘ซามูไร’ แล้ว เพื่อนๆ หลายคนคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นนักรบถือดาบคาตานะเล่มยาวที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น แน่นอนว่าภาพในจินตนาการของเรานั้นเหล่าซามูไรทั้งหลายก็จะเป็นชายชาวญี่ปุ่นที่สวมชุดเกราะ ถือดาบเล่มยาวกวัดแกว่งไปมาคอยฟาดฟันศัตรู แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่!? ว่าในประวัติศาสตร์ของชาวญี่ปุ่นนั้นเองก็มีเรื่องราวของ ‘ซามูไรผิวดำ’ อยู่ด้วยเช่นกัน และมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น และในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับเขากัน โดยปกติแล้วเหล่าซามูไรทั้งหลายนั้นจะมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง และการจะได้เป็นซามูไรนั้นก็ไม่ได้เป็นกันได้ง่ายๆ เพราะตามความเชื่อแล้วการที่ใครจะได้เป็นซามูไรนั้นจะมีฐานะที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด กล่าวคือต้องมีเชื้อสายซามูไรมาก่อนนั่นเอง แต่ในประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นเองก็ได้มีการบันทึกเรื่องราวของคนที่เป็นซามูไรแต่ไม่ได้มาจากตระกูลซามูไรอยู่หลายคนด้วยกัน ทั้งนี้ก็อาจจะเป็นเพราะการได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์หรือโชกุนโดยตรง และชายผิวดำคนนี้เองก็ถูกแต่งตั้งให้กลายมาเป็นซามูไรผิวสีคนแรกและเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น เขาผู้นั้นมีนามว่า ‘ยาสึเกะ’ (Yasuke) แรกเริ่มเดิมทีแล้วยาสึเกะนั้นเป็นทาสชาว Mozambique ที่ทำหน้าที่รับใช้นักบวชนิกายโรมันคาทอลิคชื่อว่าคุณพ่อ Alessandro Valignano ที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 1579 ซึ่งในขณะนั้นการที่คนผิวดำได้เข้าไปเยือนในแผ่นดินอาทิตย์อุทัยนั้นเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะไม่ว่าจะเดินไปไหนมาไหนผู้คนต่างก็หวาดหวั่นกับความน่าเกรงขาม ความกำยำและสูงใหญ่ของร่างกาย ซึ่งความสูงของเขานั้นถูกบันทึกไว้มากกว่า 2 เมตรเลยทีเดียว และไม่ว่าจะคณะเผยแพร่ศาสนาของคุณพ่อ Valignano จะเดินทางไปไหนก็จะพายาสึเกะไปด้วย ทำให้ผู้คนต่างก็เข้ามามุงดูความแปลกนั้นและก็กลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่วว่าคณะนักบวชได้เลี้ยง ‘ยักษ์สีดำ’ ไว้ …
-
21 ภาพชุดฮัลโลวีนในอดีต ที่แม้จะไม่ฟู่ฟ่าเท่าปัจจุบัน แต่กลับดูหลอนและน่ากลัวแบบแปลกๆ
หลายคนคงจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าในวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกๆ ปี คือ “วันฮัลโลวีน” ซึ่งเป็นวันที่ชาวตะวันตกนิยมแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจ เพื่อออกไปงานเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ หรือครอบครัว และในครั้งนี้เราจะพาคุณมารัยชมภาพการแต่งกายชุดฮัลโลวีนในอดีต ซึ่งต้องบอกเลยว่าการแต่งชุดฮัลโลวีนของคนในสมัยนั้น ไม่ได้มีรายละเอียดซับซ้อนอะไรมาก แต่น่าแปลกที่มันดูหลอน และน่ากลัวกว่ากันหลายเท่า นั่นอาจจะเป็นเพราะบรรยากาศที่น่าขนลุก บวกกับการการถ่ายภาพขาวดำ ทำให้ภาพที่ออกมาดูสยดสยองและน่ากลัวกว่าในปัจจุบันเป็นไหนๆ ว่าแล้วก็มารับชมภาพไปพร้อมๆ กันเลย ต้องยอมรับเลยว่า ถึงชุดฮัลโลวีนในอดีตอาจจะไม่ได้ดูเว่อร์วังอลังการเหมือนในปัจจุบัน แต่ถ้าพูดในเรื่องของความหลอน และความน่ากลัวนั้น บอกเลยว่ามาเต็ม!! ที่มา : canyouactually
-
25 ภาพถ่ายหาชมยาก บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ ในมุมมองที่เราไม่เคยเห็น…
ดูเหมือนว่ายิ่งเรากำลังเข้าสู่ยุคสมัยใหม่มากเท่าไหร่ อะไรๆก็ดูผ่านไปไวมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเราลองนึกย้อนไปเพียงแค่ 10 ปีก่อน มาเทียบกับปัจจุบัน จะพบว่าสังคมและวิถีชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากๆ และภาพถ่ายทั้ง 25 รูปนี้ ซึ่งเป็นที่หาชมได้ยากทางประวัติศาสตร์ จะทำให้เพื่อนๆได้อินกับความรู้สึกที่ผูกติดอยู่กับเวลามากยิ่งขึ้นไปอีก หลายๆภาพยิ่งทำให้เราไม่อยากจะเชื่อเข้าไปอีก ว่ามันเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริงๆเหรอเนี่ย!! 1. ภาพการท่องเที่ยวในอดีต ที่ครั้งหนึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยว กำลังอาบแดดอยู่บนยอดปิรามิด เมืองกิซ่า 2. Walter Elias Disney และรอยยิ้มของเขา ในวันเปิดตัว Disneyland ครั้งแรก เมื่อปี 1955 3. หลายคนคงยังไม่เคยเห็น ห้องทานอาหารค่ำสุดหรูบนเรือ Titanic 4. ภาพของโครงเหล็ก และการก่อสร้างหอไอเฟลในช่วงแรก เมื่อปี 1888 ก่อนจะมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในปัจจุบัน 5. ร่างเงาของผู้เสียชีวิตโดยไม่ทันตั้งตัว จากเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่า 6. ป้าย Hollywood เมื่อถูกมองมาจากในตัวเมือง ลอส แองเจลิส เมื่อปี…
-
20 ภาพถ่ายทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เปิดหูเปิดตา และให้ความรู้ใหม่ๆ อีกด้วย!!
เป็นสิ่งสำคัญที่เราควรจะเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ เพื่อที่จะได้รู้ว่า เราเป็นใคร มาจากไหน จุดเริ่มต้นของสังคมที่เราเคยอยู่มันมีที่ไปที่มาอย่างไร และการที่จะศึกษาประวัติศาสตร์ได้ดีอีกทางหนึ่ง ก็คงจะหนีไม่พ้น การดูภาพถ่ายจากประวัติศาสตร์นั่นเอง เพราะภาพถ่ายคือสิ่งที่สะท้อนความจริง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นได้ดีที่่สุด 1. นักบินอวกาศ John W. Young กำลังกระโดดอยู่บนดวงจันทร์ข้างยาน LM Orion ในภารกิจ Apollo 16 และเขายังเป็นคนที่ 9 ที่ได้ขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์ ในปี 197200 2. Ham ลิงแชมแปนซีตัวแรกที่ถูกส่งขึ้นไปบนอวกาศ พร้อมกับชุดอวกาศ และหมวก ก่อนที่จะออกเดินทางด้วยยาน Mercury-Redstone 2 ภาพนี้ถูกถ่ายเมื่อ 31 มกราคม 1961 3. เมื่อกองทัพของฝั่งโซเวียต และสหรัฐ มาประจันหน้ากัน ในยุทธการปิดกั้นกรุงเบอร์ลิน ปี 1961 4. Elvis Presley กำลังกล่าวคำปฏิญาน เพื่อเข้าเป็นทหารรับใช้กองอัพอเมริกา ในปี…
-
25 ภาพหาชมยาก บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ ในมุมที่เราอาจยังไม่เคยเห็น!!
โลกนี้มีเรื่องราวมากมายที่ยังไม่ได้ถูกเปิดเผย หรือบางครั้งมันก็ซ่อนอยู่ รอวันที่คนจะไปค้นพบวัน ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้เหมือนกับเป็นจิ๊กซอว์ที่จะทำให้ประวัติศาสตร์ของเราเชื่อมโยงกันได้ และครั้งนี้ #เหมียวสามสี ขออาสาเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ผ่านภาพจากในอดีต ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดเล็กๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องราวมันจะน่าสนใจได้ถึงเพียงนี้…. ภาพแกะสลักดวงตาที่ภูเขารัชมอร์ เป็นรูปประธานาธิบดีในยุค 1930 ทหารของโซเวียตขีดเขียนตามผนังต่างๆ ในอาคาร Reichstag หลังเข้ายึดเบอร์ลินได้สำเร็จในปี 1945 ขั้นสุดท้ายของระเบิดปรมาณู “แฟตแมน” ที่จะถูกทิ้งลงในนางาซากิในวันที่ 9 สิงหาคม ปี 1945 เราจะได้เห็นตรงหัวที่สลักเป็นตัวย่อว่า “JANCFU” ซึ่งย่อมาจาก Joint Army-Navy-Civilian F*ck Up Bolaji Badejo สูง 213 ซม. นักเรียนออกแบบชาวไนจีเรีย และครั้งหนึ่งเคยเป็นนักแสดงกำลังสวมใส่ชุดที่เขาออกแบบมาสำหรับหนังไซไฟทริลเลอร์ Alien ที่เข้าฉายในปี 1978 ภาพของหัวหน้าใหญ่แก๊งมาเฟีย Joe Masseria นอนตายในร้านอาหารเมืองบรูคลิน พร้อมกับถือไพ่เอซโพดำอยู่ในมือ ปี 1931 Dorothy Counts หญิงผิวสีคนแรกที่เข้าเรียนในโรงเรียนคนขาวในสหรัฐฯ เธอถูกล้ออยู่บ่อยครั้งโดยนักเรียนขาวที่โรงเรียน Charlotte’s Harry Harding…
-
30 ภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ‘สหรัฐอเมริกา’ ที่คนทั่วทั่งโลก สมควรรับชมและเรียนรู้…
เว็บไซต์ Viralnova รวบรวมภาพเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ที่เรียกได้ว่าหาดูยากสุดๆ ถึง 30 ภาพ รับรองดูสนุก ดูเพลิน แถมได้ความรู้ด้วยนะเออ ว่าแล้วเรามาชมกันเลยดีกว่า!!! John W. Young กระโดดด้วยความดีอกดีใจ หลังจากกลายเป็นมนุษย์คนที่ 9 ในฐานะผู้บังคับการโครงการ Apollo 16 ในปี 1972 ภาพนี้ถูกถ่ายไว้โดยเพื่อนของเขา Charles M. Duke Jr. ห้องทำข่าวของทางหนังสือพิมพ์ New York Times ปี 1942 คนด้านหลังกำลังรับโทรศัพท์จากเหยี่ยวข่าวในพื้นที่ ส่วนนักเขียนข่าวก็กำลังรอข้อมูลที่ส่งมาอยู่ John F. Kennedy ได้รับไก่งวงจากสมาคมไก่งวงแห่งชาติ เพื่อนำไปกินในวันของคุณพระเจ้า เพียง 3 วันก่อนที่เขาจะถูกสังหาร… Ham เจ้าลิงที่ได้กลายมาเป็นลิงตัวแรกที่ขึ้นไปสู่อวกาศ กับยานแคปซูล Mercury-Redstone ในวันที่ 31 มกราคม 1961 รถถังของทั้งโซเวียตและอเมริกากำลังคุมเชิงกันอยู่ ในเหตุการณ์วิกฤติเบอร์ลินปี…
-
ไนจีเรียยกเลิก “วิชาประวัติศาสตร์” ในห้องเรียน แล้วให้นักเรียนอ่าน “หนังสือการ์ตูน” แทน
วิชาประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นอีกวิชาพื้นฐานที่พบได้ในหลักสูตรการศึกษาของแทบทุกประเทศบนโลก การเรียนรู้ประวัติศาสตร์คือการทำความรู้จักกับรากเหง้าของตนเอง เพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งหลายคนอาจชอบ หลายคนอาจไม่ชอบ แต่ดูเหมือนว่าทางการไนจีเรียจะไม่ได้คิดว่าวิชาประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่สำคัญเท่าไหร่นัก เพราะล่าสุดพวกเขาเตรียมยกเลิกการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในการศึกษาภาคบังคับแล้ว!! พวกเขาบอกว่า พวกเขายกเลิกวิชาประวัติศาสตร์ในหลักสูตรการศึกษาของชาตินั้นก็เพราะ ต้องการที่จะเน้นการศึกษาด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อชาติในโลกยุคโลกาภิวัตน์เช่นนี้มากกว่าวิชาประวัติศาสตร์ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเด็กไนจีเรียถูกห้ามเรียนประวัติศาสตร์แต่อย่างใด หากใครต้องการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ยังมีคลาสเรียนประวัติศาสตร์เจ๋งๆ มากมายให้ลงเรียนตอนอยู่มหาวิทยาลัย ส่วนวิชาประวัติศาสตร์ที่หายไป จะถูกแทนที่ด้วยวิชาการอ่านการ์ตูนแทน วิชาการอ่านการ์ตูนที่ว่า ไม่ได้อนุญาติให้นักเรียนอ่านสไปเดอร์แมนหรือซุปเปอร์แมนแต่อย่างใด แต่พวกเขาได้สร้างหนังสือการ์ตูนเรื่อง Okiojo’s Chronicles ขึ้นมา เพื่อนำเสนอถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของชาวไนจีเรียกว่า 40 ชนเผ่า ประเทศไนจีเรียประสบปัญหาเฉกเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในแอฟริกา นั่นคือความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ซึ่งพวกเขามีชนเผ่าเล็กๆ ใหญ่ๆ รวมกันกว่า 250 ชนเผ่าเลยทีเดียว และนั่นก่อให้เกิดความไม่เข้าใจและขัดแย้งทางวัฒนธรรมของประชาชนในชาติ “เด็กที่อ่านเรื่อง Okiojo’s Chronicles จนจบ จะได้อ่านเรื่องราวที่แตกต่างกันของชนเผ่าต่างๆ ในไนจีเรียกว่า 40 เผ่า ซึ่งพวกเขาจะเข้าใจผู้คนรอบกายของพวกเขายิ่งขึ้น รวมถึงเข้าใจความเป็น “ไนจีเรีย” ยิ่งกว่าเดิม” Anjorin ผู้ให้กำเนิดสำนักพิมพ์ Panaramic Entertainment ผู้สร้างหนังสือการ์ตูนดังกล่าวกล่าว…
-
16 ภาพแมวที่ชอบป่วนประสาทมนุษย์ได้ไม่เว้นแต่ละวัน เห็นแล้วน่าจับมาตีก้นซะให้เข็ด
ใครที่เลี้ยงแมวจะเข้าใจดีว่า มันเป็นสัตว์ที่อยู่ไม่กับที่กับทางจริงๆ บางวันก็มัวแต่สร้างวีรกรรมแสบๆ ให้ทาสต้องปวดหัวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น… แอบเข้าไปในอนใต้ผ้าปูที่นอนบ้างละ หรือบางทีก้ทำหน้าเหม่อลอยโดยไม่รู้สาเหตุ รังแกพวกทาสก็ยังมี หรือจะเป็นทำลายข้าวของภายในบ้าน หลักฐานคาตา ชอบทำอะไรเสียหาย แล้วทำหน้าแบบว่าเค้าไม่ได้ทำนะ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งหลักฐานชั้นดี มักจะแอบทำร้ายร่างกาย ด้วยใบหน้าใสซื่อ ที่นอนดีๆ ก็ไม่นอน บางวันก็แสดงพฤติกรรมแปลกๆ มันคือตัวทำลายล้างภายในบ้าน ยากที่จะให้อภัยเหลือเกิน อย่ามายุ่งกับเรานะพวกทาส เป็นไงละ!! ซนดีนัก สุดท้ายก็อย่างที่เห็น ง่วงงงง ของีบแปบ ลากันไปด้วยภาพอุ้งเท้าน้อยๆ ก็แล้วกัน มีแต่เรื่องแสบๆ ได้ไม่เว้นแต่ละวันจริงๆ เจ้าแมวพวกนี้ เดี๋ยวก็จับมาตีก้นซะให้เข็ดเลยนี่ ที่มา : buzzfeed
-
ชม 16 ภาพถ่ายอันทรงพลังในประวัติศาสตร์ ที่เห็นแล้วจะไม่มีวันลืมลง…
ภาพถ่ายคือสิ่งที่เก็บความทรงจำและช่วงเวลาต่างๆ อันน่าจดจำเอาไว้ แม้การเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ ความทรงจำเหล่านั้นก็ ยังคงแจ่มชัดในจิตใจ และวันนี้ เหมียวจะพาเพื่อนๆ ไปชม 16 ภาพประวัติศาสตร์อันทรงพลัง ที่เพื่อนๆ เห็นแล้วจะต้องทึ่ง ว่าเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นด้วยหรือ จะเป็นยังไง ไปชมกันเลย ภาพการรณรงค์ Provo ในประเทศเนเธอร์แลนด์ช่วงปี 1960 เป็นการกระตุ้นให้ทุกคนเห็นว่า ความเหนื่อยหน่ายและความวิกลจริต คือพลังที่สามารถขับเคลื่อนสังคมได้ ภาพการยื้อแย่งขึ้นเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ของชาวอเมริกัน ในช่วงสงครามเวียดนาม ภาพของทหารออสเตรเลียที่ถูกยิงเข้าที่หน้าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่น่านับถือคือ เขาต้องเดินตัวเปล่าๆมาเกือบ 10 กิโลเมตร ก่อนจะได้รับการรักษาดังภาพ ภาพของเสือทาสเมเนียนตัวสุดท้ายของโลก (คนละตัวกับทาสเมเนียนเดวิลนะ) โดยเสือทาสเมเนียนเป็นสัตวพื้นเมืองของทวีปออสเตรเลีย ก่อนจะสูญพันธุ์จากการล่าของมนุษย์ในช่วงศตวรรษที่ 20 ภาพระหว่างการถ่ายทำโลโก้บริษัท MGM ของเจ้า Leo สิงโตที่น่าจะมีคนรู้จักมากที่สุดในโลก ภาพการพักผ่อนระหว่างภารกิจการสำรวจทวีปแอนตาร์กติกาครั้งแรก ของทีมสำรวจจากประเทศฝรั่งเศส เด็กชาวรัสเซียกำลังยืนล้อมหลอดไฟ UV เพื่อเสริมสร้างวิตตามินดีในร่างกาย ภาพของไร่กัญชากลางเมืองนิวยอร์คในช่วงปี…
-
ย้อนรอยเมืองแห่งประวัติศาสตร์ยุโรป “ทาลินน์” ความงามยามค่ำคืน ที่ทุกคนควรไปสัมผัสกันสักครั้ง…!!
หลายคนเวลาไปเที่ยวโซนยุโรปอาจจะคิดถึงการไปเดินชมพระราชวังอังกฤษ หรือไปหอคอยปารีส ถ่ายรูปตามสะพานชื่อดังของยุโรป วันนี้ #เหมียวฮานะ อยากจะมาแนะนำสถานที่ประวัติศาสตร์ที่นึงนั้นคือเมืองทาลินน์ ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองหลวงและเมืองท่าหลักของประเทศเอสโตเนีย ต้องบอกก่อนว่าทาลินน์นั้นเป็นเมืองหลวงที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปตอนเหนือ เป็นเมืองที่ได้รับการสถาปนาเป็น European Capital of Culture และยังเป็นเมืองมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 อีกซะด้วยยย ในเมืองทาลินน์นี้จะมีป้อมปราการและหอคอยรวมกันราว 66 ป้อม ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่เมืองหลวงของเอสโตเนียยังใช้ชื่อว่าเมือง Reval ที่นี่ยังมี Toompea Castle ที่ถูกสร้างขึ้นโดยชาวเดนมาร์คในปี ค.ศ. 1219 บอกได้เลยว่าที่นี้มีความงดงามของสถาปัตยกรรมในช่วงกลางของยุโรปได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว St. Catherine’ Passage เป็นเส้นทางเดินเล็กๆที่มีเสน่ห์อย่างมากและมีอายุเก่าแก่ เส้นทางเดินนี้จะเชื่อมต่อกับถนน Vane และ Muurivahe มุมร้านค้าในเมืองเล็กๆ แค่เห็นก็รู้สึกอบอุ่นละล่ะ ร้านเล็กๆที่ชื่อว่า Josephine ถูกสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1937 การตกแต่งร้านจะเป็นสไตล์ยุโรปกลาง ที่เห็นอยู่นี่คือซอยในเมืองทาลินน์และที่เห็นเปนหอคอยแหลมๆนั้นคือโบสถ์ที่ชื่อว่า St.…
-
เผยภาพประวัติศาสตร์แหล่งท่องเที่ยวญี่ปุ่นในอดีตผ่านโปสการ์ดที่มีอายุร่วมกว่า 100 ปี
หนึ่งในประเทศอันเป็นที่รักและชื่นชอบของนักท่องเที่ยวต่างชาติมากที่สุดในเอเชีย ดินแดนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ ความสวยงาม วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ที่คอยหล่อเลี้ยงให้นักท่องเที่ยวกลับมาเยี่ยมเยือนได้ตลอด นั่นก็คือ ประเทศญี่ปุ่น Nihonbashi Dori Tokyo (1992) สะพานข้ามแม่น้ำญี่ปุ่นที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน แต่ตอนนี้อยู่ใต้ทางด่วนแล้ว ญี่ปุ่นมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย พร้อมกับวิวทิวทัศน์ที่สวยงามไม่ว่าจะเป็นทั้งในเมืองและธรรมชาตินอกเมือง ซึ่งในอดีตนั้นน้อยคนที่จะได้เห็นกับตา เนื่องจากการเดินทางที่ลำบาก รวมไปถึงหลักฐานภาพถ่ายที่มีไม่มาก แต่ก็ยังมีอยู่บ้าง ดอกซากุระบานสะพรั่งในสวน Mukojima, Tokyo (1907-1918) อย่างในคอลเลคชั่นโปสการ์ดช่วงปี 1900 เผยให้เห็นภาพของเมืองโตเกียวและโยโกฮามา ก่อนภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1923 ย่าน Yoshiwara, Tokyo ที่ยังคงเต็มไปด้วยหญิงขายบริการ สวนสนุกที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น Hanayashiki – ฮานายาชิกิ กรุงโตเกียว เริ่มก่อตั้งในปีค.ศ. 1853 ภาพนี้ถ่ายในช่วง 1907-1918 ปัจจุบันยังเปิดให้บริการอยู่ ย่านบันเทิงแหล่งใหญ่ของโตเกียว Asakusa – อะซากุซะ (1922) อัดแน่นไปด้วยโรงภาพยนตร์หลายโรง…
-
เรื่องจริงเบื้องหลังวินาทีประวัติศาสตร์ของ Martin Luther King Jr. กับสุนทรพจน์ ‘I have a dream…’
เหมียวคิดว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักสุดยอดสุนทรพจน์นี้ “I have a dream … “ ของ Martin Luther King Jr. ที่พยายามยกระดับความเท่าทียมในการเป็นพลเมืองให้กับเหล่าคนผิวสี ซึ่งก็ต้องบอกเลยล่ะว่าเป็นหนึ่งในสุนทรพจน์ที่ดี และโด่งดังไปทั่วโลก!!! แต่เหตุการณ์วินาทีสำคัญนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าขาดขาดเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขาอีก 5 คน และการเดินขบวนของมวลมหาประชาชนคนผิวดำ และผิวขาวบางส่วน จำนวนกว่า 250,000 คน ไปยังวอชิงตันในวันที่ 28 สิงหาคม 1963…และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดเบื้องหลังของวินาทีนั้น… เรื่องราวย้อนกลับไปในปี 1963 1963 ที่รัฐอลาบาม่า ได้มีเหตุการณ์ระเบิดโบสถ์ของกลุ่มเหยียดผิว KKK ทำให้เด็กผิวสีทั้ง 4 ราย เสียชีวิต เรียงจากทางด้านซ้ายมือ…Denise McNair, 11; Carole Robertson, 14; Addie Mae Collins, 14 และ Cynthia Wesley, 14 นั่นทำให้ Martin Luther King, Jr. หันมาใส่ใจในด้านนี้ จัดตั้งองค์กรและกิจกรรมการต่อต้านการเหยียดผิวมากมาย…
-
เมื่อผมสอนวิชาประวัติศาสตร์…คุณครูเผยภาพสมุดของนักเรียน อธิบายประวัติศาสตร์ได้เข้าใจง่ายม๊าก!!
หากจะพูดถึงวิชาที่น่าเบื่อ ที่ไม่ว่าใครได้เรียนก็หลับกันเป็นแถว เห็นจะหนีไม่พ้นวิชาประวัติศาสตร์ละนะ เพราะมีรายละเอียดที่เยอะมากกก ใครทำอะไร เมื่อไหร่ ที่ไหน แถมยังเป็นเหตุการณ์ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว การจะให้มานั่งท่องจำ อาจจะต้องใช้เวลานานสักหน่อย และด้วยความยากของวิชานี้เอง ทำให้เด็กๆ ต้องการวิธีในการจดจำ เช่นการจดโน๊ตเล็กๆ ไว้ในกระดาษ การใช้ปากกาไฮไลท์เพิ่มสีสัน หรือแม้แต่การวาดรูปก็ช่วยให้เนื้อหาในตำรานั้นน่าจดจำได้เหมือนกัน อย่างเช่นเรื่องราวที่เหมียวจะให้ดูต่อไปนี้ เมื่อไม่นานมานี้เหมียวได้ไปเจอเข้ากับภาพชุดหนึ่งจากเฟซบุ๊กของคุณ Chonlapoom Banharn ซึ่งเป็นคุณครูท่านหนึ่งจากโรงเรียนสาธิตมศว. ปทุมวัน เป็นภาพสมุดวิชาเรียนประวัติศาสตร์ของเด็กนักเรียนคนหนึ่ง ที่จดได้ละเอียด เข้าใจง่าย พร้อมกับวาดภาพน่ารักๆ ประกอบไปด้วย ทำให้วิชาที่น่าเบื่อ กลายเป็นวิชาที่ง่ายต่อการเข้าใจมาก . . . . . . . . . . . . . . . . . ทั้งนี้คุณครูยังได้บอกผ่านเฟซบุ๊กด้วยว่า อยากให้มีสำนักพิมพ์สักแห่งจ้างนักเรียนคนนี้ไปวาดรูปให้เหลือเกิน…
-
Jack Churchill บรุษทหารอังกฤษ ผู้ใช้ดาบและธนูสู้ศึกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ในอดีตยุคโบราณยังไม่มีการผลิตอาวุธปืนขึ้นมาใช้งาน การออกรบของนักรบนั้นก็จะต้องพึ่งพาดาบและธนูในการปรามข้าศึก แต่พอมาถึงยุคสมัยที่การรบเริ่มเปลี่ยนแปลง อาวุธปืนก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่มีทหารผู้หนึ่งเลือกที่จะไม่ใช้ปืน เขากลับเลือกใช้ดาบและธนูแทน!! การนำหน่วยในระหว่างฝึกด้วยการพกดาบและภาพการยิงธนูในการแข่งขันยิงธนู ทหารผู้นั้นมีนามว่า Jack Churchill หรือในนาม Fighting Jack Churchill และ Mad Jack เขาเกิดที่เมือง Surrey ประเทศอังกฤษ จบการศึกษาจากโรงเรียนนายทหาร Sandhurst Military Academy ในปีค.ศ. 1926 ดาบยาวของ Jack Churchill ที่พกติดตัว โดยหลังจากที่เขาจบการศึกษาก็ได้เข้าประจำการในกองทัพอังกฤษ ปฏิบัติหน้าที่ในประเทศพม่า ภายหลังในปีค.ศ. 1936 เขาก็ปลดประจำการและเข้าทำงานในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์แทน แต่แล้วเขาก็กลับเข้ามารับใช้กองทัพอังกฤษอีกครั้งในปีค.ศ. 1940 หลังจากที่หลังโปเเลนด์ถูกเยอรมันรุกราน และสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วก็คือ การที่เขาเลือกจะพกดาบยาวและธนูเข้าสู้ศึก!! Jack Churchill เป็นทหารเพียงคนเดียวที่ใช้ดาบกับธนู ในช่วงที่หน่วยของเขาซุ่มโจมตีหน่วยลาดตระเวนของเยอรมัน เขาใช้สัญญาณการโจมตีด้วยลูกธนูพิฆาตปักที่หน้าอกของศัตรู แทนที่จะใช้เสียงจากนกหวีดหรือการตะโกน …
-
ภาพประวัติศาสตร์ เรื่องราวของสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตสมัยก่อน ทำกิจกรรมกับจระเข้!!
ปัจจุบันนี้โลกเรามีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้คนได้เลือก ไม่ว่าจะเป็นทะเล ป่า หรือแม้กระทั่งในเมืองใหญ่ก็ยังเที่ยวได้เลย ถ้าคนอยากจะเที่ยว แต่วันนี้เหมียวจะพาทุกท่านย้อนไปในช่วงปี 1907-1953 ที่ลอส แองเจิลลีส มีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่เป็นที่นิยมกันมาก เหมียวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนสมัยก่อนเขาฮิตอะไรกันบ้าง แต่สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้เปิดให้นักเดินทางได้สนุกไปกับกิจกรรมต่างๆที่ต้องทำร่วมกับเหล่าอัลลิเกเตอร์มากมาย “ฟาร์มอัลลิเกเตอร์” นี้ ก่อตั้งโดย Francis Earnest และคู่หูของเขา Joe Campbell ซึ่งในฟาร์มนั้นประกอบไปด้วยเกเตอร์กว่า 1,000 ชีวิต ซึ่งทางฟาร์มก็อนุญาตให้คนได้ป้อนอาหารกับมันแบบแนบชิดสนิทเหมือนป้อนอาหารหมาเลย อีกทั้งยังมีการแสดงต่างๆกับพวกมันอีกด้วย ดูเหมือนจะน่าเหลือเชื่อ แต่เรามีภาพมาพิสูจน์ นี่คือภาพของโปสการ์ดจากสวนแห่งนี้ เหมือนกับว่าจะบอกให้เราสามารถเอาลูกมาเล่นกับเหล่าเกเตอร์พวกนี้ได้ชิวๆเลยเนอะ หรือบางทีจะให้มันลากรถให้ก็ได้ จูงเป็นหมาเลยก็ดี ภาพโปสการ์ดอาจดูเหมือนแต่ง อ่ะนี่ภาพจริงเลย ใกล้ชิดกันแบบสุดๆ ที่สวนแห่งนี้มักจะให้ผู้คนได้ใกล้ชิดกับเหล่าเกเตอร์แบบมือถึงมือให้มากที่สุด ภาพนี้คือสยองมาก สาวๆได้ชมการป้อนอาหารเกเตอร์แบบอยู่ในบ่อกันเลย ช่วงเวลาให้อาหาร ถือเป็นสิ่งที่สนุกสุดๆ เอิ่ม.. คุณสามารถปล่อยให้ลูกไปเล่นกับเกเตอร์ตัวใหญ่ๆในบ่อได้ด้วยนะ ทำไมเขาไม่กลัวกันเลยล่ะ และที่ประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ ไม่พบสถิติการถูกกัดเลยแม้แต่คนเดียว แต่เหมียวว่าเขาคงแค่ไม่ได้บันทึกลงไปมากกว่าล่ะมั้ง คุณยังสามารถพาหมามาเล่นได้ด้วย …
-
ประวัติศาสตร์ 5,000 ปี แห่งการ “แต่งหน้า” สะท้อนสังคมของผู้หญิงในอดีตถึงปัจจุบัน!!
ถ้าใครอยากหัดแต่งหน้า เพียงแค่คุณเข้าไปในยูทูบ ก็จะมีคลิปวิธีสอนแต่งหน้าอยู่หลากหลายรูปแบบ เป็นพันๆคลิปเลยก็ว่าได้ บางคนก็แต่งหน้าเป็นอาชีพหลัก ว่าแต่การแต่งน้านี่มันเริ่มมาตั้งแต่ตอนไหนกันนะ แล้วทำไมมันต้องเป็นของที่คู่กับ “ผู้หญิง” มาตลอดด้วย Lisa Eldridge เธอเป็นช่างแต่งหน้ามืออาชีพ และเป็นนักเขียนเจ้าของหนังสือ Face Paint: The Story of Makeup ที่ได้เขียนอธิบายประวัติศาสตร์การแต่งหน้าที่มีมานานกว่า 5,000 ปี อีกทั้งยังมีคลิปนี้ที่สรุปใจความสำคัญของการแต่งหน้าแต่ละยุค เริ่มจาก… ยุคอียิปต์โบราณ ถือเป็นยุคบุกเบิกในการแต่งหน้าเลย แต่การแต่งหน้าในสมัยนั้นแต่งทั้งชายและหญิงทุกชนชั้น ยุคกรีกโบราณ ในยุคนั้นเป็นยุคที่ผู้ชายเป็นใหญ่ มีหน้าที่ออกไปทำงานหาเลี้ยง และผู้หญิงอยู่บ้าน ในยุคนั้นจะแต่งหน้าบางๆ เน้นทาหน้าขาว ส่วนแก้มและริมฝีปากจะใช้พืชหรือผลไม้ในการแต่งแต้มสี ยุคกลาง(ยุโรป) ในตอนนั้นมีคริสเตียนที่ได้ออกมาบอกกล่าวเรื่องราวที่ว่าการแต่งหน้าถือเป็นการหลอกลวง ดังการการแต่งหน้าถือเป็นเรื่องน่ารังเกียจและบาป ศตวรรษที่ 16 ถ้าอยู่ในสังคมชนชั้นสูงในเวนิส ถือว่ามีอะไรให้แต่งเยอะเลย เพราะที่นั่นถือเป็นเมืองแฟชั่นแห่งการแต่งหน้าของคนรวยเลยก็ว่าได้ แต่สิ่งที่เขาเอามานั้นล้วนแต่เป็นของที่มีผลร้ายต่อใบหน้าเป็นอย่างมาก ศตวรรษที่ 18 การแต่งหน้าในสมัยนี้เหมือนเป็นการบอกสถานะทางสังคม โดยเฉพาะที่ประเทศฝรั่งเศสที่เหมือนเป็นศูนย์กลางการแต่งหน้าทั่วยุโรป การแต่งหน้ากลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการแต่งสีฉูดฉาดด้วยการปัดแก้มแดงๆ …
-
เจ.เค. โรว์ลิ่ง เผย 16 สิ่งที่เกี่ยวกับครอบครัว “แฮร์รี่ พอตเตอร์” ที่ไม่เคยปรากฏในหนังสือ
ถ้าคุณเป็นแฟนคลับของหนังสือชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ ก็คงหลงใหลในโลกเวทมนตร์ ท่องคาถาได้ทุกคาถา รู้หมดว่าใครเป็นอะไรที่ไหนเมื่อไหร่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้วนอยู่ในหนังสือที่เราอ่านกันจนจำขึ้นใจไปแล้ว แต่สำหรับแฟนพันธุ์แท้ขั้นกว่า ก็คงเข้าไปเล่นในเว็บ Pottermore ที่ J.K. Rowling ได้เปิดให้เหล่าพ่อมดแม่มดหน้าใหม่เข้าไปผจญภัยในโลกเวทมนตร์ พร้อมทั้งยังซ่อนความลับต่างๆมากมายไว้ในนั้นด้วย ตอนนี้ J.K. Rowling ยังได้เปิดเผยถึงภูมิหลังของครอบครัว Potter ย้อนไปถึงศตวรรษที่ 12 กันเลยทีเดียว ถือว่าได้ใจแฟนๆแฮร์รี่ได้อย่างสุดยอด ซึ่งวันนี้เหมียวก็เอาความลับเหล่านั้นมาเปิดเผยให้กับทุกคนได้รู้ จะมีอะไรบ้าง เราไปดูกันเลย เริ่มท้าวความกันก่อนว่าครอบครัว Potter ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในรายชื่อ “ยี่สิบแปดสกุลศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งเป็นรายชื่อครอบครัวที่มีเลือกบริสุทธิ์ถูกสร้างขึ้นอย่างลับๆ เมื่อยุค 1930 ครอบครัวที่อยู่ในรายชื่อนี้มีทั้งหมด 28 ตระกูล อย่างเช่น แบล็ก และ มัลฟอย ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี เจ.เค. ได้กล่าวว่า “คนที่สร้างรายชื่อสกุลศักดิ์สิทธิ์นี้ที่ประกอบไปด้วยตระกูลเลือดบริสุทธิ์ ซึ่งพวกเขาได้เอารายชื่อของครอบครัวพอตเตอร์ออกไป เพราะพวกเขาได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่ามีสายเลือดเสียเจือปนอยู่” อีกทั้งประวัติศาสตร์ของครอบครัวพอตเตอร์ยังคง “รุ่งโรจน์” อย่งต่อเนื่อง เพราะได้ไปเกี่ยวข้องกับ “เครื่องรางยมทูต” สามสิ่งของเวทมนตร์ที่ใครได้ครอบครองแล้วจะเป็นนายเหนือความตาย จากข้อมูลที่ลึกที่สุด สมาชิกรุ่นแรกๆในครอบครัวพอตเตอร์คือ “ลินเฟรดแห่งสตินช์คอมบ์” ซึ่งเจ.เค.…
-
16 ภาพแปลกๆ และหาดูยากจากประวัติศาสตร์ คุณอาจไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน!!! (ภาคที่เท่าไรแล้วไม่รู้)
ในประวัติศาสตร์ของโลกเรานี้ ก็เรียกได้ว่ามีอะไรแปลกๆ มากมายเหมือนกันเลยนะเนี่ย และแน่นอนมีบางสิ่งที่เราก็อธิบายไม่ได้จริงๆ ว่าทำไปทำไมกัน ลองมาดูกันเนาะว่าจะมีอะไรบ้าง ภาพ Al Pacino ในปี 1972 ที่เขาพยายามยิ้มให้กล้อง ภาพของนายพล Wood ในปี 1932 ที่กำลังจะไปตีกอล์ฟ การสร้าง Godzilla ในปี 1947 ในงานปั่นจักรยานที่เดนมาร์ก พระเจ้าคริสเตียนที่ 10 ได้ขี่ม้าท่ามกลางฝูงชนแทนจักรยาน ชิคาโก้ในปี 1956 ที่คนกำลังตื่นตาตื่นใจ ในสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่เรียกกันว่า ‘ถนน’ ภาพของ Nicolas Ray ที่ให้อาหารหมี ซึ่งภายหลังได้กลายมาเป็นภาพโฆษณาของ Coca-Cola พระราชินิอลิซาเบ็ธในวัยเยาว์ ก่อนที่จะได้รับเลือกให้เป็นราชินิแห่งอังกฤษ ภาพวันแต่งงานของ John F. Kennedy ชายตาบอด John Wilson และม้าของเขา …
-
ประวัติศาสตร์ 80 ปีของประเทศสิงคโปร์ ย่อสู่ฉบับการ์ตูนน่ารักเพียง 16 นาที!!
ประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้มากๆ เลยล่ะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมักจะมีเรื่องราวอยู่เสมอ แต่สำหรับบางคนอาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับประวัติศาสตร์ซะเหลือเกิน แต่เหมียวรับรองว่าคราวนี้ไม่น่าเบื่ออย่างที่คิดเลยล่ะ!! การ์ตูนน่ารักๆ ความยาว 16 นาทีนี้จะบอกเล่าประวัติศาสตร์ของประเทศสิงคโปร์ได้อย่างเต็มอิ่ม จะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ตลอดระยะเวลา 80 ปีกว่าจะมาเป็นประเทศสิงคโปร์ในปัจจุบันนั้นจะต้องผ่านอะไรมาบ้าง การ์ตูนชุดนี้มีชื่อว่า The Violin ผลงานกำกับโดย Ervin Han และทีมงาน จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันชาติของสิงคโปร์ครั้งที่ 50 นั่นเอง เอาเป็นว่าบรรยากาศที่เหลือติดตามชมกันในคลิปเลยดีกว่า!! ที่มา : rocketnews24
-
รูปปั้นของ ‘ซะกะโมะโตะ เรียวมะ’ แท้จริงแล้วไม่ใช่มนุษย์อย่างที่ใครหลายคนคิด!?
หนึ่งในบุคคลสำคัญของประเทศญี่ปุ่น ซะกะโมะโตะ เรียวมะ คือซามูไรผู้มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวล้มล้างระบอบการปกครองของรัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะ เพื่อสร้างความเสมอภาคในสังคมญี่ปุ่น และปฏิรูปประเทศให้ไปสู่ความทันสมัยให้เหมือนกับชาติยุโรป ทางการญี่ปุ่นก็ได้สร้างรูปปั้นของเขาไว้เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณงามความดีของเขา แต่ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ชาวเน็ตญี่ปุ่นก็ถึงกับตะลึง เมื่อพบกับความจริงที่ว่าตัวตนของเขาไม่ใช่มนุษย์!! これが竜馬像か pic.twitter.com/44ykPydKUS — とこ (@toko_ssks) 20 กรกฎาคม 2015 เมื่อมีชาวเน็ตรายหนึ่งได้เดินผ่านป้ายรูปปั้นของซะกะโมะโตะแล้วมันดันชี้ไปหาเจ้าแมวตัวอ้วนสีส้มตัวนี้ ก็เลยกลายมาเป็นกระแสเรียกความฮาได้ซะงั้น บางคนถึงกับบอกว่า “ประวัติศาสตร์ได้เปลี่ยนไปแล้ว” “ซะกะโมะโตะฟื้นคืนชีพเป็นแมว!!” ที่มา : rocketnews24
-
20 ภาพประวัติศาสตร์หาดูยาก ที่อาจทำให้คุณรู้จัก ‘โลกของเรา’ มากกว่าที่เป็นอยู่!!!
วันนี้เหมียวก็ขอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ 20 ภาพจากประวัติศาสตร์ ที่เรียกได้ว่าเพื่อนๆ หลายๆ คนอาจไม่เคยเห็นกันมาก่อนเลยทีเดียว เราลองมาชมกันเลยนะจ๊ะ รับรองมุมมองที่เรามีต่อโลกอาจจะเปลี่ยนไปเลยล่ะ…. Osama Bin Laden กับเพื่อนร่วมคลาสยูโดของเขาในวัยหนุ่ม Charles Duke นักบินอวกาศทิ้งรูปของเขาและครอบครัวที่พื้นผิวดวงจันทร์ ระหว่างปฏิบัติภารกิจ Apollo 16 ปี 1972 การประกวด Miss Atomic Bomb ในปี 1950 Bill Gates ถูกจับในปี 1977 ข้อหาขับขี่รถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ไอน์สไตน์ นั่งชิวๆ อยู่ริมหาด ก่อนลงหาดในสมัยก่อน ผู้หญิงต้องถูกวัดความยาวของกระโปรง ว่าเหมาะสมแล้ว ในปี 1940 เด็กๆ ต้องสวมชุดกันแก๊ส ระหว่างที่เมืองลอนดอนถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดอย่างหนัก ในสงครามโลกครั้งที่ 2 William Harley และ…
-
เหมียวพาทัวร์อดีต ดำดิ่งย้อนดูประวัติศาสตร์แห่งการถ่ายภาพเซลฟี่ ที่มีมานานร่วม 200 ปี!!!
เพื่อนๆ เคยรู้กันไหม ว่าเทรนด์การถ่ายภาพเซลฟี่น่ะ มีมาตั้งแต่เมื่อไร ใครเป็นคนริเริ่ม!!? แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือ มันเป็นการถ่ายรูปยอดฮิตของโลกสังคมออนไลน์แบบปัจจุบันมากๆ ใช่มั้ยล่ะ วันนี้เหมียวก็จะพาเพื่อนๆ ไปย้อนดูประวัติศาสตร์ตั้งแต่ภาพแรกกันเลย ภาพที่เชื่อว่าเป็นการถ่ายเซลฟี่ภาพแรก ในปี 1839 โดย Robert Cornelius Robert Cornelius เป็นช่างภาพ และแน่นอน นี่คือภาพเซลฟี่ภาพแรกในประวัติศาสตร์!!! โดยเขาได้ตั้งกล้องไว้ในโต๊ะบนร้านขายของ เซ็ตฉากเตรียมไว้และถ่ายภาพของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าตอนนั้นเขาคงไม่ได้คิดว่าเป็นภาพเซลฟี่หรอกเนาะ การถ่ายภาพเซลฟี่แบบ 360 องศา ในปี 1866 Félix Nadar นักถ่ายภาพชาวฝรั่งเศส ที่ควบตำแหน่งนักข่าว นักเขียนนิยาย และนักบอลลูนวิทยา เกิดสงสัยว่า มุมไหนของใบหน้าเขากันหนอ ที่ดูดีที่สุด เขาเลยถ่ายภาพตัวเองทั้ง 360 องศาซะเลย อาจจะฟังดูเพี้ยนๆ แต่ก็ฮาอยู่นะ ฮ่าๆๆ เลยเอามาลองทำเป็นภาพ Gif แบบนี้ซะเลย -*- มุมไหนดูดีสุด อิอิ …
-
ประวัติศาสตร์อาวุธของมนุษยชาติ ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบัน!!! [มีคลิป]
วันนี้เหมียวก็มีสาระดีๆ มาฝากเพื่อนๆ กันอีกแล้วจ้า ซึ่งวันนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การใช้อาวุธของมนุษยชาติของเรา ในสงคราม หรือการต่อสู้ต่างๆ ตั้งแต่ขวานยันโดรนกันไปเลยทีเดียว ลองมาชมกันได้เลย ตั้งแต่การเริ่มใช้ธนู ราวๆ 40,000 ปีก่อนคริสตศักราช ตอนนั้นเรียกได้ว่าทันสมัยสุดๆ และการใช้ดาบ ที่นิยมแพร่หลายในราวๆ 14,000 ปีก่อนคริสตศักราช ไฟแห่งกรีก ในปี 672 ที่เรียกได้ว่าเผาเรือศัตรูได้เป็นกองทัพเลยทีเดียว ขอตัวกระโดดมาในช่วงยุคศตวรรษที่ 14 ที่เจ้าหอกลูกผสมชนิดนี้ สามารถสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับศัตรู ทั้งจากการฟัน และแทง ปี 1411 ที่เริ่มมีการใช้ปืนไฟ เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของปืนยุคบุกเบิกเลยทีเดียว จนกระทั่งปัจจุบันก็รบกันบนโลกไซเบอร์ไปเลย -*- และโดรน ที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยไม่ต้องเอาชีวิตของมนุษย์ไปเสี่ยง ว่าแล้วเราลองมาชมวิดีโอกันแบบเต็มๆ ได้ที่นี่เลยจ้า เรียกว่าเป็นประวัติศาสตร์การฟาดฟันกันมาอย่างยาวนานของมนุษย์จริงๆ สรุปมาให้ดูกันสั้นๆ แล้วนะจ๊ะ ไว้วันหลังเราจะหาสาระดีๆ แบบนี้มาฝากกันใหม่น้า ติดตามมาชมได้กับเหมียวทุกๆ วันเลย ที่มา: Buzzfeed