Tag: ประเพณี
-
คู่รักตัดสินใจแต่งงานตามขนบธรรมเนียมของ ‘ชาวไวกิ้ง’ ดั้งเดิม เป็นครั้งแรกในรอบ 1,000 ปี!!
งานแต่งงานถือเป็นงานที่ใครหลายคนอาจจะมีโอกาสได้จัดมันเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น นั่นต้องทำให้แน่ใจว่างานนี้จะต้องประทับใจและตราตรึงหัวใจของเราไปตลอดชีวิต เช่นเดียวกันกับคู่รักชาวนอร์เวย์คู่นี้ ที่ตัดสินใจแต่งงานกันตามขนบธรรมเนียมประเพณีของชาว ‘ไวกิ้ง’ แบบดั้งเดิม ที่มีการล่องเรือยาว ใช้นักบวชนอกศาสนา หรือแม้แต่พิธีการสละเลือด!? Elisabeth และ Rune Dalseth สองคู่รักได้ตัดสินใจจัดงานแต่งงานตามธรรมเนียมของชาวไวกิ้งที่เคยทำกันอย่างเป็นปกติเมื่อราวๆ 1,000 ปีก่อน ทั้งคู่ได้ทำการเปลี่ยนรถแต่งงานให้กลายเป็นเรือยาวสองลำแบบโบราณ และแต่งงานกันที่ทำเลสาบ พร้อมกับแต่งกายแบบชาวไวกิ้งดั้งเดิม มีการใช้ประเพณีแบบเดิมแทบจะทุกอย่าง ทั้งการใช้เลือดของหมูมาป้ายที่ใบหน้าของตัวเอง เพราะเลือดนั้นเปรียบเสมือนตัวแทนของพระเจ้าของชาวไวกิ้งนั่นเอง จากนั้นก็จะมีการเต้นรำกันพร้อมกับร้องเพลงของชาวนอร์ส ไปพร้อมกับแขกที่เข้ามาร่วมงาน Elisabeth เล่าว่า “พวกเราเต้นรำกันในเพลงที่บรรพบุรุษของเราเคยเต้นรำกันเมื่อหลายพันปีก่อน” สองคู่รักเป็นหนึ่งในกลุ่มนักฟื้นฟูวัฒนธรรมของชาวไวกิ้ง ที่มีสมาชิกกว่า 6,000 คน ในประเทศนอร์เวย์ พวกเขาตั้งชื่อลูกตามราชาและฮีโร่ที่เป็นตำนานของชาวไวกิ้งอย่าง Ragnar Lothbrok ทางด้าน Elisabeth เจ้าสาวเล่าว่า “Rune เป็นคนที่เปิดโลกใหม่ให้กับฉัน และมันใช้เวลาเพียงไม่นาน ฉันก็เริ่มรู้สึกหลงใหล และวิถีของชาวไวกิ้งก็ซึมลึกเข้าไปในหัวใจของฉัน” เนื่องจากว่า Rune เปิดบริษัทเกี่ยวกับการแปรรูปไม้ ก็เลยทำให้การสร้างเรือยาวสองลำนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไปนัก…
-
ประเพณีล่า ‘วาฬหัวทุย’ ตามวิถีชาวบ้าน ฤดูกาลเพื่ออยู่ความอยู่รอด หรือต้องอดตาย
* ภาพประกอบเนื้อหามีความรุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน * เป็นที่ทราบกันดีว่าการออกล่าปลาชนิดใหญ่นั้นถือเป็นสิ่งที่ไม่ยอมรับในระดับสากล แต่ยังคงไม่สามารถบังคับใช้ในทุกประเทศได้ อันเนื่องมาจากประเพณีและความเชื่อภายในท้องถิ่น ภายในบริเวณเกาะเลิมบาตา ของประเทศอินโดนีเซีย ยังคงสืบสานประเพณีท้องถิ่นตามวิถีชีวิตชาวบ้านบนเกาะ ที่ทำการล่าวาฬหัวทุย (วาฬสเปิร์ม) มานานกว่า 6 ทศวรรษแล้ว ภาพที่เห็นอยู่นี้เป็นภาพถ่ายจาก Claudio Seber ช่างภาพชาวสวิตเซอร์แลนด์ เผยให้เห็นกรรมวิธีของเหล่าพรานวาฬ ใช้หอกปลายแหลมจากทั้งบนผิวน้ำและใต้น้ำในการออกล่าวาฬหัวทุย “เราอยู่ในยุคเครื่องจักรแล้ว แต่จำนวนวาฬที่เราล่าในแต่ละปีไม่ได้มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่นัก แม้จะมีการใช้เรือยนต์มาทดแทนเรือแจวก็ตาม” Yosef Bataona ผู้นำประจำหมู่บ้าน Lamalera กล่าว “ในปีที่แล้วเราล่าวาฬได้ 25 ตัว บางปีเราจับได้ 40 ตัว แต่บางครั้งก็ไม่ได้เลย เฉลี่ยแล้วเราจะล่าวาฬหัวทุย 3 ตัวต่อปี เพื่อนำมาเป็นอาหารหล่อเลี้ยงครอบครัว” “พวกเราเชื่อว่าวาฬเหล่านี้คือสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้ รัฐบาลอินโดนีเซียอนุญาตให้พวกเราสืบสานประเพณีต่อไป ดำรงชีวิตตามวิถีดั้งเดิมของชาวบ้าน” “พวกเขาอาจมีการปรับเปลี่ยนกฎตามขอบเขตการออกล่า เนื่องจากกระทรวงประมงและการเดินเรือต้องการจะอนุรักษ์กระเบนราหูและเต่า แต่เราจะไม่ทำตามกฎเหล่านั้นเพราะมันเป็นเรื่องของการอยู่รอด เราไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ถ้าจะให้ล่าแต่วาฬอย่างเดียว ดังนั้นเราควรจะได้รับข้อยกเว้นและปฏิบัติตามวิถีชีวิตดั้งเดิมของพวกเรา”…
-
ชาวเน็ตจีนอิจฉา… เมื่อสาวแหม่มผมทองชาวยูเครน ตกลงใจแต่งงานหนุ่มจีน ไม่ต้องใช้สินสอด!!
ความแตกต่างทางวัฒนธรรมถือว่าเป็นอะไรที่ต้องปรับตัวกันสุดๆ และในช่วงเวลาปัจจุบันที่เริ่มจะมีแนวคิดใหม่ๆ มาแทนที่แนวคิดเดิม เนื่องจากสภาพสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เป็นที่รู้กันว่าขนบธรรมเนียมการแต่งงานของชาวเอเชียในบางประเทศนั้น ฝ่ายชายจะต้องมีสินสอดไปแสดงต่อครอบครัวฝ่ายหญิง เพื่อทำการสู่ขอตามประเพณีดั้งเดิม แต่ถ้าหากเป็นชาวต่างชาติล่ะ? จะต้องทำอย่างไร อย่างที่ผ่านมาไม่นาน ชาวเน็ตจีนโดยเฉพาะหนุ่มๆ คงจะเกิดอาการรู้สึกอิจฉาพ่อหนุ่มรายนี้ เพราะว่าพี่แกได้แต่งงานกับสาวแหม่มผมทองคนงาม ชาวยูเครน ซึ่งเรื่องที่อิจฉาก็ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเธอเป็นฝรั่ง แต่อิจฉาในเรื่องของการเรียกสินสอด เพราะฝ่ายหญิงไม่เรียกเลยแม้แต่แดงเดียว… เรื่องราวความรักระหว่าง Inesa และ He Pingwei เริ่มต้นในช่วงเดือนมกราคม 2016 เมื่อเธอเริ่มทำงานเป็นล่ามในกรุงปักกิ่งและได้พบกับฝ่ายชายเป็นครั้งแรก เธอตกหลุมรักในสเน่ห์ของ He ในทันทีเนื่องจากเขาเป็นผู้ชายที่ใจดี ส่วนฝ่ายชายก็โดนสเน่ห์ความร่าเริงของฝ่ายหญิงเข้ามัดใจเต็มเปา จนในที่สุดก็ตกหลุมรักและไปเที่ยวด้วยกันบ่อยครั้ง และแล้วทั้งสองต่างก็ตกลงปลงใจยกระดับความสัมพันธ์จาก ‘คู่รัก’ ให้กลายมาเป็น ‘คู่ชีวิต’ จดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมายในเดือนตุลาคม 2017 . แต่สิ่งที่ทำให้ชาวเน็ตจีนที่ได้รับรู้เรื่องราวความรักของทั้งสองต้องตะลึงก็คือ ในงานพิธีหมั้นตามประเพณีจีน ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เลย นั่นเป็นเพราะว่าด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรม ทางครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวจึงไม่เรียกร้องค่าสินสอดใดๆ คุณแม่ฝ่ายเจ้าสาวบินมาคุยถึงบ้านฝ่ายชาย …
-
มิติใหม่แห่งการแว๊นซ์ ของแก๊งซิ่งสกู๊ตเตอร์ไม้ หมดปัญหาเสียงท่อคอยกวนใจ
หากใครได้ไปเที่ยวในเขต Banaue ประเทศฟิลิปปินส์ คุณจะได้เจอกับของขึ้นชื่อทั้งสองอย่างของที่นี่ หนึ่งคือลานนาข้าวทอดยาวท่ามกลางวิวทิวทัศน์อันสวยงาม สองคือสกู๊ตเตอร์ไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ สกู๊ตเตอรที่ทำมาจากไม้นี้ เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ชาวบ้านคิดค้นกันขึ้นมาเอง เพื่อช่วยแก้ปัญหาการเดินขึ้นลงดอยไปเก็บผลผลิตหรือตัดฟืนที่ล่าช้าและยากลำบาก แว๊นซ์แบบไร้เสียงท่อ ด้วยสกู๊ตเตอร์ไม้สุดคูล เนินทุ่งนาอันสวยงาม กับวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ปรับตัวให้เข้ากับภูมิประเทศ แน่นอนว่ามันเป็นเพียงแค่สกู๊ตเตอร์ที่ไม่ได้ติดเครื่องยนต์ แต่ด้วยภูมิประเทศของที่นี่ พวกเขาจึงสามารถใช้มันได้อย่างสะดวกสบาย ไหลลงเนินกันอย่างสนุกสนาน ด้วยความเร็วประมาณ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว เจ้าสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งจากชาวบ้านเองและนักท่องเที่ยวจากต่างแดน นั่นจึงทำให้เดือนเมษายนของทุกๆ ปีจะมีการแข่งขันที่เรียกว่าเทศกาล Imbayah ซึ่งจะมีเหล่านักแข่งสกู๊ตเตอร์ไม้จำนวนมากเข้าร่วมการแข่งขันไหลลงเนินสุดมันส์ การแข่งขันประจำปีที่สร้างความสนุกให้ทั้งคนแข่งและคนดู Robert Duyugen ช่างสลักไม้หนึ่งในผู้คลั่งไคล้การขี่สกู๊ตเตอร์ไม้ แชมป์การแข่งสามสมัย เขาบอกว่าเทศกาลดังกล่าวคือสิ่งที่ช่วยแสดงให้ทุกคนได้เห็นรูปแบบวัฒนธรรมและการใช้ชีวิตของคนที่นี่ ทำให้มันเป็นสิ่งที่สร้างความสุขและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เขายังเล่าอีกว่าเขาเป็นคนสร้างสกู๊ตเตอร์ที่ขี่ขึ้นมาเองกับมือ รวมถึงการสลักรูปของเสือลงไป ทำให้รถของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน มีเอกลักษณ์และลวดลายตามจินตนาการของใครของมัน โดยการทำขึ้นมานี้เขาก็ใช้เวลาทั้งหมดแค่ 5 วันเท่านั้นเอง Robert ชาวบ้านผู้คลั่งไคล้ในสิ่งนี้ คลิปเรื่องราวของประเพณีนี้ และการให้สัมภาษณ์ของแชมป์สามสมัย นับว่าเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมจากต่างแดนที่มีความเฟี้ยวและความคิดสร้างสรรค์ที่ดี สามารถสร้างสิ่งที่เติมเต็มทั้งความสะดวกสบายและความสุขให้กับทุกคน แถมยังเป็นการแว๊นซ์โดยที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครด้วยนะ…
-
แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ? เมืองในโปรตุเกส ส่งเสริมให้เด็กสูบบุหรี่ในวันสมโภชพระคริสต์
แน่นอนว่าสถานที่แต่ละแห่ง ประเทศแต่ละประเทศ หรือแม้แต่หมู่บ้านเอง ก็มีขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นของตัวเอง โดยแต่ละที่ก็อาจจะเหมือน คล้าย หรือแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง วันนี้สิ่งที่จะนำเสนอก็คือ ประเพณีหนึ่งของประเทศ โปรตุเกส ที่อนุญาตและส่งเสริมให้เด็กๆ ‘สูบบุหรี่’ ในวันที่ 6 มกราคม 2017 หมู่บ้าน Vale de Salgueiro ในประเทศโปรตุเกส มีประเพณีเฉลิมฉลองอย่างหนึ่งที่เรียกว่า วันสมโภชพระคริสต์ โดยในวันนั้นเองจะมีการรับประทานเค้กและร้องเพลงร่วมกัน ซึ่งเป็นประเพณีหนึ่งที่ครึกครื้นมากเลยทีเดียว แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือ ในวันแห่งการเฉลิมฉลองนี้ เด็กๆ จะได้รับการอนุญาตและสนับสนุนให้สูบบุหรี่ แม้นักวิจารณ์และผู้คนภายนอกจะไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ชาวพื้นเมืองที่นั่นรักษาธรรมเนียมปฏิบัตินี้มาเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาหลายศตวรรษ แต่ก็ยังไม่มีใครทราบได้ถึงที่มาของธรรมเนียมดังกล่าวว่าหมายความถึงสิ่งใด ขณะที่กฎหมายของโปรตุเกสจะอนุญาตให้ซื้อบุหรี่ได้ก็ต่อเมื่อบุคคลผู้นั้นมีอายุครบ 18 ปี ประเพณีดังกล่าวก็ยังคงส่งเสริมให้เด็กๆ สูบบุหรี่ โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่อาจเข้ามาแทรกแซง เจ้าของร้านกาแฟ นามว่า Guilhermina Mateus ให้สัมภาษณ์กับ The Associated Press ว่า “ฉันไม่เห็นว่ามันจะอันตรายตรงไหน เด็กๆ ไม่ได้สูบเข้าไปจริงๆ เสียหน่อย แค่สูดเข้าไปและพ่นออกมาทันที อีกอย่าง มันก็แค่วันนี้กับพรุ่งนี้เท่านั้น หลังจากนั้น เด็กๆ ก็ไม่ได้สูบบุหรี่อีก” ผู้ปกครองของเด็กๆ…
-
12 ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของเหล่าโจรสลัด ที่ไม่อาจได้เห็นในหนังสือเรียน…
โจรสลัดผู้ออกเดินทางไปทั่วผืนสมุทรเพื่อล่าขุมสมบัตินั้น หากมองดูผิวเผินแล้ววิถีชีวิตของพวกเขาอาจจะดูเข้าใจง่าย เพราะในภาพยนตร์หรือการ์ตูนแทบทุกเรื่องนั้น โจรสลัดก็แค่ล่องเรือ ดื่มเหล้า ร้องรำทำเพลง แล้วก็ปล้นทรัพย์จากเรือลำอื่นๆ แต่จริงๆ แล้วนั่นเป็นเพียงภาพรวมของชีวิตโจรสลัดเท่านั้น หากมองให้ลึกลงไปถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในวิถีแห่งโจรสลัดแล้ว มีวัฒนธรรมหลายอย่างเกี่ยวกับพวกเขาที่คุณยังไม่รู้ และมันก็จะทำให้คุณต้องตะลึงว่ามีวัฒนธรรมแบบนี้อยู่จริงเหรอ 1. ถ้าอยากตายดี อย่าทำต่างหูหาย หากโจรสลัดเสียชีวิตโดยบังเอิญ ต่างหูที่ติดตัวนั้นจะช่วยใช้เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีคนจัดพิธีศพอย่างเหมาะสมได้ ไม่อย่างนั้นก็ตายอย่างศพไร้ญาติไปซะ 2. จงระวังเมื่อเห็นธงสีแดง แน่นอนว่าเมื่อต้องสู้รบกับเรือลำอื่นๆ ไม่ว่าเมื่อไรก็อันตรายทั้งนั้น แต่หากเห็นธงสีแดงอยู่ด้วย มันแปลว่าการสู้รบครั้งนี้อันตรายถึงชีวิต เพราะว่าเรือที่ชูธงดีแดงเหล่านั้นจะไม่จับแบบเป็นๆ แต่จะจับตายเท่านั้น 3. โจรสลัดนี่แหละคือสุดยอดคนชงเหล้า ในเมื่อพวกเขาชอบดื่มเป็นชีวิตจิตใจ แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องชงเหล้ารสเยี่ยมได้เช่นกัน ขอแค่มีเหล้า น้ำ และมะนาว จะแก้วไหนๆ ก็อร่อยได้ 4. น้อยคนนักที่จะฝังสมบัติ ถึงเราจะเข้าใจไปเองว่าโจรสลัดมักมีสมบัติฝังอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขามักจะขโมยอาหาร เหล้า หรืออาวุธจากเรือลำอื่นแทน ถึงจะเอาไปฝังมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรหรอก 5. โจรสลัดไม่ได้มีแต่ผู้ชาย จริงๆ แล้วท่ามกลางเหล่าโจรสลัดก็มีผู้หญิงอยู่มากมาย แถมพวกเธอยังต่อสู้เก่งเหมือนกับโจรสลัดชายด้วย 6. โจรสลัดหนวดดำมีอยู่จริง…
-
พิธี Quinceañera การฉลองวันเกิดสาวชาวละตินวัย 15 ปี ที่ครอบครัวต้องเสียสละกับความฟุ่มเฟือย
บนโลกของเรามีวัฒนธรรมประเพณีแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ซึ่งทำให้มีวัฒนธรรมอีกเป็นร้อยๆ แบบที่เราอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน เช่น Quinceañera หรืออีกชื่อคือ Fiesta de quince años ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวละตินอเมริกัน ประเพณีดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้กับเด็กสาวในวันเกิดอายุครบ 15 ปีของพวกเธอ โดยในงานเธอจะได้แต่งตัวราวกับเจ้าหญิงท่ามกลางคนจำนวนมาก ได้เต้นรำกับหนุ่มๆ และมีอาหารมากมายพร้อมกับเค้กก้อนโต แต่งานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นก็ต้องแลกมาด้วยเงินจำนวนมหาศาล ทว่าแทบทุกครอบครัวก็พยายามจัดงานนี้ให้ได้แม้จะต้องทำงานหนักเพื่อเก็บเงินนานเป็นปีก็ตาม ประเพณีที่ว่านี้มีความสำคัญต่อครอบครัวและเด็กสาวมากขนาดนั้นเลยหรือ? คำถามนี้ทำให้ช่างภาพสาวชื่อ Delphine Blast ออกเดินทางไปถึงโคลัมเบีย เพื่อหาคำตอบ นั่นจึงทำให้เธอนำเสนอผลงานที่ให้ทุกคนเห็นระหว่างการจัดงานที่ดูฟุ่มเฟือยกับครอบครัวที่มีฐานะยากจนว่าทั้งสองอย่างนั้นมันขัดแย้งกันมากเพียงใด เธอได้ถ่ายรูปเด็กสาวจำนวน 15 คนในชุดราตรีที่พวกเธอใส่กันภายในงาน เราลองไปดูเรื่องราวส่วนหนึ่งของพวกเธอเหล่านั้นกัน Laura Cristina Zarta เธอเป็นคนที่ชอบเล่นฟุตบอลมากจนได้ไปอยู่ในทีมเยาวชนทีมชาติ และเมื่อโตขึ้น เธออยากเป็นตำรวจสืบสวน พ่อของเธอขายผลไม้ซึ่งเป็นรายรับเดียวภายในบ้าน ทำให้พวกเขาต้องเก็บเงินเป็นเวลาถึง 6 เดือนเพื่อจัดงานนี้ให้กับเธอและผู้คนในงานอีก 200 คน Luna Valentina Arias Beltrán หญิงสาวผู้ฝันจะเป็นนางเอกละครคนนี้ พ่อของเธอเป็นช่างทำรองเท้า ส่วนแม่เป็นคนเก็บขยะมารีไซเคิล…
-
ภาพที่หาดูยาก ของ “ร่างทรงคนสุดท้าย” ในคาซัคสถานและพิธีล้างบาปให้กับสาวก
พิธีกรรมต่างๆ ที่มีขึ้นแตกต่างกันไปในทั่วโลกก็คงจะสร้างความประหลาดใจให้กับคนต่างถิ่นที่ได้เข้ามาสัมผัสหรือพบเห็น ไม่ต่างกับช่างภาพคนนี้ที่มีชื่อว่า Denis Vejas ที่เข้าไปเก็บภาพพิธีกรรมที่ไม่ธรรมดาในคาซัคสถาน เขาได้ใช้ช่วงฤดูหนาวเก็บเอาเรื่องราวต่างๆ จากการเดินทางของร่างทรงที่เปรียบได้กับผู้นำทางศาสนาของ Sufism นับเป็นแขนงหนึ่งในศาสนาอิสลาม กับหน้าที่ในการออกเดินทางไปเรื่อยเพื่อการรวมศาสนาลึกลับต่างๆ และวัฒนธรรมพเนจรเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ . เธอคนนั้นมีชื่อว่า Bifatima Dualetova เรียกได้ว่าเธอนั้นเป็นหนึ่งในร่างทรงที่เหลืออยู่เป็นกลุ่มสุดท้ายในประเทศนี้ และหาได้ยากยิ่งมาก แม้ว่าภาพที่ได้มาอาจดูน่าตกใจอยู่บ้าง แต่นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกที่ผูกขาดให้เกิดความเคารพและยำเกรงอย่างมากในพื้นที่นั้นๆ . การนับถือความยากจนทำให้เธอใช้วิธีการเดินไปหมู่บ้าน Scared ท่ามกลางความหนาว เพื่อการประกอบพิธีชำระบาปให้กับเหล่าผู้ติดตาม พิธีดังกล่าวต้องทำการตัดหัวแกะออกและอาบเลือดของมันในห้วยน้ำที่เย็นยะเยือก จากข้อมูลที่เธอให้มาก็ได้มีพิธีกรรมที่เลียนแบบเกิดขึ้น เมื่อมาถึงก็ถูกปลกคลุมไปด้วยเลือดและจึงจะล้างตัวด้วยน้ำ . . ช่างภาพที่ติดตามเธอไปได้บอกว่า “มันก็เหมือนกับการเดินทาง แต่มันคือการเดินทางที่ต้องเจอกับคนที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับหลักปรัชญาที่เป็นแกนหลักของชีวิตชุมชน” เขาบอกอีกว่าผู้ติดตามบางคนก็จะมาอยู่กับเธอเพียงไม่กี่วัน แต่บางคนที่มองว่าเธอเป็นผู้รอบรู้ก็จะมาอยู่กับเธอนานเป็นปี มันเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์อย่างแท้จริงทำให้เขาต้องตกอยู่กับความอัศจรรย์ และเกือบที่จะบังคับให้จิตใจตัวเองเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ เธอและผู้ติดตาม . . . . . . . . . .…
-
ความเชื่อดั้งเดิมของชาวจีน กับประเพณี ‘เท้าดอกบัว’ ที่ใกล้จะหายไปจากโลกนี้แล้ว!!
บนโลกของเรานั้นมันช่างกว้างใหญ่ซะเหลือเกิน ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ผู้คนทั้งโลกดำเนินชีวิตเหมือนกันไปซะทั้งหมด สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันก็ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนมีความหลากหลาย สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมวัฒธนธรรมความเชื่อในเรื่องของความงามของหญิงจีนแบบโบราณ ต้องขอบอกเลยว่ามันเป็นอะไรที่แปลกมากๆ เลยล่ะ ตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวจีนโบราณจะมีประเพณีที่ชื่อว่า ‘Lotus Feet’ หรือ เท้าดอกบัว ผู้หญิงจีนจะต้องนำผ้ามามัดเท้าของตัวเองอย่างหนาแน่นตั้งแต่ช่วงวัยเจริญเติบโต คือ 4-9 ขวบ เพื่อให้เท้าของพวกเธอมีขนาดเล็ก เพราะเชื่อว่ามันคือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความงดงาม และฐานะทางสังคม ประเพณีนี้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในประเทศจีนเมื่อช่วงยุคก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่ภายได้ถูกยกเลิกออกไป และรัฐบาลจีนก็ได้ทำประกาศว่ามันผิดกฎหมายในปี 1911 ปัจจุบันยังคงหลงเหลือชาวบ้านที่ยังคงดำเนินตามแบบแผนของวัฒนธรรมโบราณนี้อยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น และเท้าของพวกเธอแต่ละคนก็จะมีรูปร่างที่แปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด นิ้วเท้าจะงอม้วนเข้าหาตัว และกระดูกมีรูปร่างที่แปลกประหลาด เพราะถูกรัดเอาไว้จนทำให้เจริญเติบโตผิดรูปร่าง และนี่ก็คือภาพถ่ายของคุณยายทั้งหลายในเมือง Biejie ที่เป็นกลุ่มสุดท้าย ที่ยังคงรักษาประเพณีความเชื่อดั้งเดิมนี้อยู่ . . . . . . . ที่มา : dailymail
-
พาไปชมบรรยากาศเทศกาล ‘ปาขี้วัว’ ในอินเดีย ที่เชื่อว่าจะนำมาซึ่งความมั่งคั่ง และสุขภาพดี
ในทุกๆ ปีชาวบ้านในหมู่บ้าน Kairuppala ที่ตั้งอยู่ในรัฐอานธรประเทศจะมีการจัดงานเทศกาลปา ‘ก้อนอึ๊วัว’ ใส่กัน จนทำให้มีผู้บาดเจ็บมากมายนับ 10 คนเลยทีเดียว แต่แม้จะมีการบาดเจ็บไปบ้าง แต่ก็ยังจัดต่อไปโดยมีความเชื่อว่าประเพณีจะนำมาซึ่งความมั่งคั่งและสุขภาพที่ดี ตามเรื่องราวในตำนานเมื่อขุนนางวีรภัทร ร่างอวตารของพระศิวะ ที่เป็นเทพเจ้าในศาสนาฮินดู และเทพีพระนางภัทรกาลี ได้ตกหลุมรักซึ่งกันและกันจึงตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน แต่ฝ่ายเจ้าบ่าวดันนึกครึ้มอยากแกล้งเจ้าสาวจึงบอกไปว่าเขาไม่ต้องการที่จะแต่งงาน ทำให้พระนางภัทรกาลีโกรธ จึงรวบรวมทหารมาเพื่อทำการสั่งสอนเจ้าบ่าวด้วยการโยนก้อนอึ๊วัวใส่ และอีกฝั่งก็ตอบโต้ไปด้วยเช่นกัน จนผลสุดท้ายทั้งคู่ก็ปรับความเข้าใจกัน และแต่งงานด้วยกันในที่สุด ทำให้ชาวบ้าน Kairuppala ดำเนินตามประเพณีตามตำนานนี้มาอย่างยาวนาน กองอึ๊วัวแห้งขนาดใหญ่ที่มีเป็นนับพันก้อน จะถูกกองเอาไว้บริเวณกลางหมู่บ้าน จากนั้นชาวบ้านก็จะแบ่งออกเป็นสองฝั่ง คือฝั่งของพระนางภัทรกาลี กับฝั่งของขุนนางวีรภัทร ส่วนผู้ชมก็จะขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคาบ้าน หรือไม่ก็บนต้นไม้ เพื่ออยู่ให้ห่างจากการต่อสู้ที่เดือดระอุอบอวลไปด้วยกลิ่นอึ๊วัว เมื่อมีการส่งสัญญาณให้การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นทั้งสองฝั่งก็จะเริ่มโยนก้อนอึ๊วัวแห้งเข้าหากัน และทำไปเรื่อยๆ นานกว่าครึ่งชั่วโมง ทำให้มีผู้บาดเจ็บจากการถูกก้อนอึ๊วัวแข็งๆ กระทบเข้าใส่ และในปีล่าสุดก็มีรายงานว่ามีผู้บาดเจ็บมากกว่า 50 รายเลยทีเดียว!! แต่หลังจากที่ประเพณีจบลง ทุกคนในหมู่บ้านที่เข้าร่วมต่างก็แสดงท่าทีแห่งความสุขออกมา ทั้งสองฝั่งร่วมกันเฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุขแม้ว่าเพิ่งจะต่อสู้กันด้วยก้อนอึ๊วัวอย่างหนักหน่วงมาก่อนหน้านี้ก็ตาม… ลองไปชมคลิปบรรยากาศในงานเทศกาลกันแบบเต็มๆ ที่ข้างล่างนี้ได้เลยจ้า… มีต่ออีกคลิปจ้า… นี่ยังดีนะที่เอาแบบแห้งๆ มาปากัน…
-
บรรยากาศงานเทศกาล Up Helly Aa สืบสานตำนานไวกิ้งจนเมือง Lerwick ลุกเป็นไฟ!!
เมื่อกล่าวถึงประเทศสก็อตแลนด์ เพื่อนๆ หลายคนก็คงจะถึงถึงเรื่องราวของเหล่านักรบไวกิ้ง ที่เป็นเลือกเนื้อเชื้อไขของชาวสก็อต ในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมเทศกาลสุดเจ๋งที่จัดขึ้นในประเทศ Scotland เป็นประจำทุกปี!! โดยจะจัดขึ้นหลังจากวันคริสต์มาสผ่านพ้นไปแล้ว 24 วัน และเมื่อวันอังคารล่าสุดของเดือนมกราคามที่ผ่านมา บรรยากาศในเมือง Lerwick นั้นดูครึกครื้นเป็นอย่างมาก เทศกาล Up Helly Aa จะทำให้เมืองทั้งเมืองลุกเป็นไฟ ด้วยขบวนของเหล่านักรบไวกิ้งที่ออกมาเดินขบวนกันเพื่อสืบสานตำนานของยอดนักรบที่อยู่ในประวัติศาสตร์ของชาว Shetland ผู้เข้าร่วมงานจะทำการสวมชุดเป็นนักรบไวกิ้งออกมาทานอาหารที่ร้านใกล้บ้านเพื่อเตรียมพร้อมก่อนที่จะเริ่มงานเทศกาล Guizer Jarl และลูกทีม ที่เป็นผู้นำเหล่านักรบในการเดินขบวนพาเหรด กำลังเตรียมตัวก่อนจะเริ่มออกขบวน พวกเขาเป็นตัวหลักในการเดินขบวนในทุกๆ ปี อาหารเช้าดีๆ นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ เด็กหนุ่มกำลังนั่งรอเวลาขบวนเริ่ม ขบวนเริ่มต้นแล้ว!! Guizer Jarl และลูกทีมของเขาจะเป็นคนที่ถูกคัดสรรโดยคณะกรรมการที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเมื่อ 15 ปี ก่อน พวกเขามีหน้าที่ในการเลือกคนที่จะมาเป็น Guizer Jarl ในทุกๆ ปี …
-
‘พิธีศพแห่งท้องฟ้า’ กับความเชื่อว่า ‘อีแร้ง’ จะช่วยพาร่างกายของผู้ตายไปสู่สวรรค์…
บนโลกที่แสนกว้างใหญ่ใบนี้มีความแตกต่างกันอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็น ชาติพันธุ์ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เกิด ประเพณี ความเชื่อ ที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งมันก็ส่งผลไปถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่อยู่อาศัยในแต่ละพื้นที่ด้วย ในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับพิธีกรรมงานศพของชาวธิเบตกัน ที่ช่างแตกต่างกับเมืองไทยซะเหลือเกิน จะเป็นอย่างไรบ้างลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… พิธีศพแห่งท้องฟ้าเป็นพิธีศพที่ทำกันอย่างแพร่หลายในประเทศทิเบต ศพของผู้ตายจะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปวางบนยอดเขาเพื่อให้อีแร้งบินลงมากิน พิธีกรรมนี้ชาวธิเบตเรียกว่า Jhator หมายความว่า ‘การมอบทานให้แก่นก’ ชาวธิเบตส่วนใหญ่นั้นนับถือศาสนาพุทธ ทำให้พวกเขาเชื่อในเรื่องของ ‘โลกหน้า’ ร่างกายอันไร้วิญญาณของเราเป็นเพียงแค่ภาชนะอันว่างเปล่าเท่านั้น ฉะนั้นการที่นกจะมาจิกกิน หรือให้มันย่อยสลายไปตามธรรมชาติ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดต่อหลักจริยธรรมแต่อย่างใด แต่เนื่องจากพื้นดินในประเทศธิเบตนั้นมีความแข็ง ทำให้การขุดหลุมฝังศพนั้นกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก จึงทำให้รูปแบบงานศพออกมาเป็นพิธีศพแห่งท้องฟ้า ในช่วงพิธีศพก็จะมีการประดับประดาธงรูปแบบอย่างที่เห็นนี้เอาไว้ เพื่อเป็นการสวดภาวนาขอให้ผู้ตายไปสู่สุขติ สัปเหร่อจะเป็นผู้ทำพิธีผ่าศพ และจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับศพ (ในภาพเขากำลังลับมีดอยู่) พิธีศพของชาวธิเบตนั้นเริ่มต้นเมื่อช่วงศตวรรษที่ 7 เมื่อพิธีกรรมเริ่มขึ้นพื้นที่ที่ถูกจัดพิธีกรรมจะอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของธูปและกำยาน เพื่อเป็นการนำดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่สวรรค์ ศพของผู้ตายจะถูกวางเอาไว้ในสถานทำพิธี จากนั้นสัปเหร่อจะทำการหั่นศพให้เป็นชิ้นๆ ให้กับเหล่าอีแร้งที่ถูกเรียกว่า ‘เหยี่ยวศักดิ์สิทธิ์’ ชาวธิเบตเชื่อว่าอีแร้งเหล่านั้นจะช่วยพาร่างของผู้ตายขึ้นไปสู่สวรรค์ และสัปเหร่อก็จะได้รับค่าจ้างประมาณ 100…
-
ใกล้ปีใหม่เข้ามาทุกที… รู้จักกับ 13 ประเพณีฉลองวันปีใหม่ แบบแปลกๆ จากหลากประเทศ!?
รู้สึกกันมั้ยว่าทำไมช่วงเวลา 365 วัน มันถึงผ่านไปไวเหลือเกิน เผลอแป๊ปเดียวไม่ทันได้ตั้งตัว เราก็ใกล้จะเข้าสู่ปี 2017 เข้ามาทุกทีแล้วสินะ ในคืนวันปีใหม่ คนส่วนใหญ่มักจะออกไปปาร์ตี้ บ้างก็อยู่กับครอบครัว เราบางคนก็เลือกที่จะเข้าหาศาสนพิธีตามความเชื่อของตนเอง คราวนี้ #เหมียวบ็อบ จะพาไปรู้จักกับ 13 ประเพณีการเฉลิมฉลองที่แปลกได้อีก จากทั่วโลก เห็นแล้วจะรู้สึกว่า แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ? 1. เผารูปจำลอง (ปานามา) เมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่ ชาวเมืองปานามามักจะเอาหุ่นจำลองของใครก็ได้ อาจจะเป็นคนดัง คนที่เรารัก หรือคนที่เราเกลียด มาเผาให้มอดไหม้ เพราะเชื่อว่าเป็นการชะล้างเรื่องไม่ดีที่ผ่านมา และเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความโชคดีตลอดทั้งปี 2. ก้าวเข้าบ้านครั้งแรก (สก็อตแลนด์) ในสก็อตแลนด์เมื่อถึงช่วงวันปีใหม่ จะมีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่อย่างหนึ่งคือ คนที่ก้าวข้ามรั้วที่ติดไว้ตรงประตูบ้านคนแรก จะต้องนำของขวัญมาด้วย เพราะจะนำความโชคดีมาให้แก่บ้านหลังนั้น 3. ทำลายเฟอร์นิเจอร์เก่า (แอฟริกาใต้) ในบางพื้นที่ของแอฟริกาใต้ ก็มีธรรมเนียมแปลกๆ เช่นกัน เมื่อถึงวันปีใหม่ พวกเขาจะทำลายเก้าอี้ หรือเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ เสร็จแล้วก็นำไปทิ้งนอกบ้าน ด้วยความเชื่อว่าเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่ดีกว่า 4. คุยกับวัว…
-
ชาวเน็ตนอกแชร์ภาพแปลกของครอบครัวสิงคโปร์ ลูกชายจะต้องมี ‘เซ็กส์’ ครั้งแรก ต่อหน้าคนอื่นๆ!?
หลายๆ คนจะเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่า ‘เซ็กส์’ นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แต่ถึงอย่างไรก็ตามหากเราพูดถึงมันแล้วจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องทำกันอย่างลับๆ ไม่ควรนำเอาออกมาเปิดเผย แต่ในโลกโซเชียลของสิงคโปร์ได้ชาวเน็ตทำการโพสท์รูปภาพของผู้หญิงและผู้ชายในลักษณะเปลือยล่อนจ้อนกำลังบะบะโอ๊บะบะ กันอยู่ โดยมีผู้คนรายล้อมรอบ คนที่โพสท์ภาพนั้นเป็นลุงของชายหนุ่มที่กำลังปฏิบัติภาระกิจอยู่ข้างบน ซึ่งการทำแบบนี้นั้นเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาภายในครอบครัวของพวกเขาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่าแล้ว ทายาทของคนในตระกูลนี้ที่เป็นผู้ชาย การมีเซ็กส์กับภรรยาในครั้งแรกนั้นจะต้องทำกันท่ามกลางคนในครอบครัวทั้งญาติๆ และพ่อแม่พี่น้อง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองถึงการเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว ทั้งนี้ญาติคนอื่นๆ ที่มีประสบการณ์ก็จะมาสอนให้อีกด้วย เมื่อภาพนี้ถูกเผยแพร่ออกไปก็ทำให้มีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ชาวเน็ตคนหนึ่งบอกว่า “มันเป็นเรื่องที่น่าเกลียดเป็นอย่างมากกับการไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น” นอกจากนี้ยังมีคนแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกว่า “มันไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นประเพณีหรืออะไรก็ตาม แต่การทำแบบนี้มันเป็นอะไรที่แปลกมากๆ เซ็กส์ควรเป็นเรื่องที่ควรทำกันอย่างลับๆ โดยที่ไม่มีคนในครอบครัว พี่น้อง หรือ ใครมาคอยสังเกต” แหม่เอาจริงๆ หาก #เหมียวหง่าว เจอแบบนี้เข้าคงต้องขอลาออกจากการเป็นผู้ชายด่วนจี๋เลยจ้า ใครมันจะไปทำได้ลงคอกันฟร๊ะ!! ฮร่า ที่มา : worldofbuzz
-
วิถีชีวิต “พรานล่าน้ำผึ้ง” แบบโบราณของชาวเนปาล โรยตัวจากหน้าผาสูง เพื่อน้ำผึ้งอันหอมหวาน
คงจะไม่แปลกอะไรหรอกกับการเก็บน้ำผึ้งที่เราก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่า น้ำผึ้งส่วนใหญ่ที่ผลิตออกมานั้นมาจากผึ้งเลี้ยงในฟาร์ม มีความเสี่ยงเล็กน้อยหากไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่ดี เพราะอาจจะถูกผึ้งต่อยได้ แต่ในประเทศเนปาลนั้น ยังคงมีการเก็บน้ำผึ้งแบบโบราณอยู่ เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาจากธรรมชาติแท้ๆ อีกทั้งยังต้องเสี่ยงตายจากเหล่าผึ้งและความสูงชันของหน้าผาด้วย!! ผลงานภาพถ่ายของ Andrew Newey ช่างภาพจากประเทศอังกฤษ ได้ทำการเก็บบรรยากาศการล่าน้ำผึ้งของชนเผ่าโบราณ Gurung จากประเทศเนปาล ซึ่งเป็นหนึ่งในประเพณีที่ยังคงอยู่ของชนเผ่านี้ โดยการล่าน้ำผึ้งนั้นก็เกิดขึ้น 2 ครั้งต่อปี นักล่าน้ำผึ้งทั้งหลายจะต้องปีนขึ้นไปบนหน้าผาอันสูงชัน ณ ใจกลางของประเทศเนปาล อันเป็นแหล่งของรังผึ้ง อุปกรณ์ที่ใช้ก็จะมีเพียงแค่เชือกบันไดในการโรยตัวจากหน้าผา พร้อมกับพกไม้ไผ่ก้านยาวปลายแหลมเพื่อใช้ตัดรังผึ้งให้ขาด และมีตะกร้าคอยรอรับอยู่ด้านล่าง ประเพณีการล่าน้ำผึ้งนี้ถือว่าเป็นอีกกิจกรรมโบราณชนิดหนึ่งที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน โดยมีหลักฐานประกอบจากภาพวาดบนผนังถ้ำอายุประมาณ 8,000 ปี ในประเทศสเปน แสดงให้เห็นว่ามนุษย์กำลังปีนป่ายเถาวัลย์เพื่อเก็บน้ำผึ้ง แม้จะต้องเสี่ยงอันตรายมากมายซักแค่ไหน แต่เพื่อน้ำผึ้งอันหอมหวาน มนุษย์ก็ยังคงดำเนินประเพณีนี้สืบต่อไป ที่มา : designyoutrust
-
“ฆ่าคนชรา” ประเพณีสุดสะเทือนใจจากอินเดีย สาเหตุเพียงเพราะ “ความจน”
เราอาจเคยได้ยินประเพณีแปลกๆ จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก แต่เชื่อว่าไม่มีประเพณีไหนน่าสะเทือนใจเท่าประเพณีจากประเทศอินเดียนี้อีกแล้ว เพราะพวกเขามีประเพณี “ฆ่าคนชรา” นั่นเอง ประเพณีฆ่าคนชรา หรือ Thalaikoothal เป็นประเพณีที่มีอยู่จริงในเขตรัฐทมิษนาฑู ในทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย โดยเมื่อถึงวันหนึ่ง เหล่าลูกหลานจะลงมือฆ่าผู้เฒ่าผู้แก่ของบ้านด้วยตัวเอง เหตุผลเพราะ “ความยากจน” โดยลูกหลานจะอาบน้ำมันให้กับคนชราเหล่านั้น และนำน้ำมันมะพร้าวมาให้ดื่ม ตามด้วยน้ำกะเพรา (Tulsi) และตามด้วยนม เมื่อคนชราได้ดื่มเข้าไป พวกเขาจะเกิดอาการป่วยไข้ขึ้นอย่างหนัก และจะเสียชีวิตในวันสองวันต่อมา แม้การฆ่าคนจะเป็นเรื่องผิด (ทางนิตินัย) แต่ประเพณีนี้ก็เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันสำหรับผู้คนในแถบนี้ เพราะผู้คนในเขตรัฐทมิษนาฑู ต่างเป็นเพียงเกษตรกรยากจน พวกเขาไม่มีทั้งเงินและเวลาที่จะมาดูแลคนแก่ที่เหลือชีวิตอีกไม่นาน ซึ่งคนชราเหล่านั้นก็เข้าใจเหตุผลและยินยอมที่จะตายด้วยน้ำมือของลูกหลานของตนเอง เพราะพวกเขารู้ว่า นั่นเป็นการกระทำที่เต็มไปด้วยความปราถนาดี และการตายของพวกเขาจะทำให้ชีวิตของลูกหลานสบายยิ่งขึ้น ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวว่า “พวกเราไม่ได้อยากฆ่าพวกเขา พวกเราไม่ได้ทำเพื่อความสะใจ แต่พวกเขามีชีวิตเหลืออีกไม่นานแล้ว ทำไมพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากความยากจนด้วย” อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันประเพณีค่อยๆ เลือนหายไปจากสังคมทมิษนาฑูแล้ว อาจเป็นเพราะความเจริญที่เริ่มเข้าไปถึงพื้นที่ชนบทต่างๆ พวกเขาเริ่มมีเงิน พวกเขาจึงสามารถดูแลคนแก่คนเฒ่าได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น “ทุกวันนี้ผมดูแลคนแก่สองคนในบ้าน และผมก็จะดูแลไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่พวกเขาอยากจะมีชีวิตอยู่ หรือโชคชะตาจะพาเขาไป” ชายคนหนึ่งกล่าว …
-
10 ประเพณีสุดโหดร้ายและพิสดาร ของเหล่าแก๊งอาชญากรชื่อกระฉ่อนระดับโลก!!!
ไม่ว่าจะประเทศไหนในโลก ทุกพื้นที่ย่อมมีอาชญากรรมเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ สักเพียงใด และแน่นอนว่าเบื้องหลังของการกระทำเหล่านั้นก็เกิดจากพวกแก๊งนอกกฎหมายทั้งนั้น และวันนี้เหมียวจะพาเพื่อนๆ ไปพบกับ 10 ประเพณีสุดโหดของแก๊งใต้ดินขนาดใหญ่จากทั่วโลก ที่ต้องบอกเลยว่าแปลกและพิสดารสุดๆ ไปเลยทีเดียว… กลุ่ม Hell’s Angels หนึ่งในแก๊งที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในโลก มีชื่อเสียงในเหตุการณ์รุนแรงและอาชญากรรมอีกมากมายนับไม่ถ้วน ถึงขั้นมีนักวิจัยอาชญากรยอมแฝงตัวไปเป็นปีๆ เพื่อล้วงความลับ และประเพณีหนึ่งที่โหดร้ายสุดคือการรับน้องใหม่ โดยจะโดนเหล่ารุ่นพี่รุมกระทืบจนสาแก่ใจและไร้สาเหตุอยู่บ่อยครั้ง แต่ประเพณีที่รับไม่ได้ที่สุดก็คือระหว่างที่ประชุมใหญ่ๆ รุ่นพี่จะอึและฉี่ใส่ถัง เก็บไว้ และให้รุ่นน้องหน้าใหม่เดินผ่านซุ้ม ซึ่งพวกเขาจะเทสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นลงมา แถมยังห้ามไม่ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าหรือซักอีกด้วย!!! Chinese Triads อิทธิพลคับแดนมังกร กลุ่มใต้ดินนี้ครอบครองพื้นที่ทั้งฮ่องกงและมาเก๊า สำหรับแก๊งนี้ก็มีของศักดิ์สิทธิ์มากมายที่คนในแก๊งค์ต้องนับถือ และประเพณีแรกเข้าก็คือการกรีดเลือดเพื่อดื่มสาบานเป็นพี่น้องกัน ออกจะแปลกตาในสายตาของชาวตะวันตก Aryan Brotherhood จากอดีตกลุ่มเคลื่อนไหวทางสิทธิสังคมช่วงปี 1960 สุดท้ายพวกเขาถูกจับกุมเสียเกือบหมด กลายเป็นกลุ่มแก๊งที่ควบคุมสถานเรือนจำต่างๆ เกือบทั้งหมด โดยเริ่มจากที่ San Quentin คุกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในปี 1964 ภายในเรือนจำต่างๆ ธุรกิจของกลุ่มนี้รวมหมดทั้งค้าประเวณี (ชาย-ชาย) การลักลอบนำเข้ายาเสพติด และทำร้ายร่างกาย…
-
Academic Fencing ประเพณีสุดเดือดของชาวเยอรมันในอดีต กินเหล้าแล้วดวลดาบให้ได้แผล!!!
ถ้าพูดถึงเรื่องประเพณีดังๆ ของทางประเทศเยอรมนีล่ะก็ หลายๆ คนคงนึกถึงเทศกาล Oktoberfest หรือเทศกาลดื่มเบียร์อันดับ 1 ของโลกกันใช่มั้ยล่ะ?? แต่ในอดีตยังมีประเพณีสุดโหดร้ายประเภทหนึ่งอยู่ และวันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกัน Academic Fencing หรือการดวลดาบทางวิชาการระหว่างนักศึกษา เป็นที่นิยมในเหล่านักศึกษาชาวเยอรมันและออสเตรีย ถึงขั้นเลือดตกยางออกกันเลยทีเดียว แม้กระทั่งในปัจจุบันเราก็ยังสามารถเห็นรอยแผลบนใบหน้าของผู้ใหญ่บางคนอยู่!!! สำหรับประเพณีนี้เป็นที่นิยมมากๆ ในศตวรรษที่ 19 และถึงประเพณีนี้จะไม่โหดร้ายเท่ากับการดวลดาบในอดีตจริงๆ ซึ่งนั่นหมายถึงชีวิตของผู้แพ้ แต่การดวลดาบทางวิชาการนี้จะมีเครื่องป้องกันที่น้อยกว่า!!! กิจกรรมนี้จะเริ่มจากการที่นักศึกษามาร่วมกินและดื่มด้วยกัน และในที่สุดก็ตัดสินใจดวลดาบกัน!!! และส่วนมากมักจบลงด้วยการที่มีบาดแผลกันตามใบหน้าและลำคอ และบาดแผลยังถือเป็นรอยแห่งศักดิ์ศรีด้วยนะเออ การมีรอยบาดแผลตามใบหน้าหรือลำคอเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ และเป็นเรื่องปกติในสังคมวิชาการ เครื่องป้องกันน้อยชิ้น และมักจบลงด้วยการมีบาดแผลตามใบหน้าและลำคอ และแม้กระทั่งในปัจจุบันก็ยังสามารถเห็นผู้ใหญ่บางคนที่มีบาดแผลเหล่านี้อยู่!!! อย่างไรก็ดีตอนนี้ประเพณีนี้ไม่ได้รับความนิยมเท่าสมัยก่อนแล้วนะจ๊ะ สบายใจกันได้สำหรับคนที่อยากไปเรียนประเทศนี้กัน ไม่ต้องกลัวเสียโฉมแล้ววว อิอิ แต่ถ้าในมุมมองของเหมียว เหมียวว่าก็คงเริ่มเรื่องจากการดื่มและกินด้วยกันนั่นแหละ และอาจจะเกิดผิดใจกันขึ้น ถึงจะดูโหดร้าย แต่ก็คงเป็นวิธีการเคลียปัญหาแบบแมนๆ ในยุคนั้นแหละเนาะ >< ที่มา: Viralnova
-
แบบนี้ก็มี? นักเรียนเกาหลีคุกเข่ากราบหน้าสนามสอบ ให้กำลังใจรุ่นพี่ที่กำลังสอบ!?
เมื่อช่วงดึกของวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สำนักข่าว CCTVNews ได้เผยแพร่ภาพของนักเรียนชาวเกาหลีกลุ่มหนึ่ง ขณะคุกเข่าลงกับพื้นหน้าสนามใกล้กับอาคารสอบแอดมิชชั่นของรุ่นพี่ เพื่อกราบและให้กำลังใจแก่รุ่นพี่ที่กำลังสอบอยู่ ตามรายงานบอกว่าในขณะที่นักเรียนชาวเกาหลีชั้นม.6 กำลังสอบแอดมิชชั่นเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยนั้นเอง มีกลุ่มนักเรียนรุ่นน้องมาออกันที่หน้าประตูทางเข้า เพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และมีการบูมเพื่อส่งกำลังใจให้แก่รุ่นพี่ ทั้งนี้ในวันสอบแอดมิชชั่นของเด็กนักเรียนชั้นม.6 ของเกาหลี ทางบริษัทหรือห้างร้านต่างๆ ได้มีการเลื่อนเวลาการเข้างานออกไปเป็นช่วง 10 โมงเช้า เพื่อให้เด็กๆ สามารถเดินทางไปสอบได้ทันเวลา แถมยังเพิ่มรอบให้กับระบบขนส่งมวลชนอีกด้วย แม้ว่าประเพณีของชาวเกาหลีอาจจะดูแปลกไปสักหน่อยสำหรับชาวไทยอย่างเรา แต่เมื่อหันมามองดูประเพณีของเหล่านักศึกษาบ้านเราแล้ว ชาวต่างชาติเองก็อาจจะมองว่าแปลกเหมือนกันนะ ที่มา CCTVNews