Tag: ผู้ป่วย

  • สาวเป็นโรควิตกกังวล เขียนรายละเอียดให้แฟนหนุ่มได้อ่าน เพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่เป็นอยู่…

    สาวเป็นโรควิตกกังวล เขียนรายละเอียดให้แฟนหนุ่มได้อ่าน เพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่เป็นอยู่…

    อาการหรือโรคที่เกี่ยวกับทางด้านจิตใจภายใน เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ยากและยากที่จะเข้าใจได้สำหรับบุคคลที่ไม่ได้เป็น เนื่องจากไม่สามารถคาดเดาอารมณ์หรือความรู้สึกนึกคิดของผู้ป่วยได้ และควรจะรับมืออย่างไร… ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกเผยว่า โรควิตกกังวล เป็นโรคทางจิตที่มีผู้ป่วยมากที่สุดในอัตรา 1 ต่อ 13 คนทั่วทั้งโลก ความวิตกกังวลเหล่านี้ จะทำให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตประจำวันได้ยากมากขึ้น แม้จะเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ก็ตาม   Kelsey Darragh   Kelsey Darragh ได้แชร์ประสบการณ์เผยถึงโรควิตกกังวลของเธอ พร้อมกับเขียนรายละเอียดลงในสมุด เพื่อให้แฟนหนุ่มได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเธอและโรคนี้ เธอได้จดรายการ 15 สิ่งที่ควรทำเพื่อรับมือกับอาการของเธออย่างถูกต้อง   “ฉันเป็นโรคแพนิคกับโรควิตกกังวล แฟนฉันไม่ได้เป็น แต่เขาต้องการที่จะเข้าใจมันเพื่อที่เขาจะช่วยฉันได้ ฉันก็เลยทำลิสต์มาให้ แชร์ให้กับคนที่คุณรักเพื่อเป็นแนวทางนะ”   เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคทางจิตใจ เธอจึงทำลิสต์สิ่งที่ควรปฏิบัติต่อผู้ป่วยให้แฟนหนุ่ม เพื่อที่จะรับมือได้อย่างถูกวิธี   15 สิ่งที่คุณสามารถช่วยให้ฉันก้าวผ่านอาการแพนิควิตกกังวลไปได้ 1) ต้องรู้ก่อนว่าฉันกลัวจริงๆ แต่อธิบายไม่ถูกว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งสติแตกหรือรำคาญกันเลยนะเธอจ๋า 2) หายามาให้ทันทีหากรู้ว่าอยู่ใกล้ๆ และต้องให้มั่นใจด้วยว่าฉันกินจริงๆ 3) การฝึกหายใจอาจจะทำให้รู้สึกหงุดหงิด แต่ก็จำเป็นสำหรับการควบคุมตัวฉันเอง ให้หายใจเป็นจังหวะพร้อมกับเธอ 4) ให้คำแนะนำอย่างอ่อนโยนเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะทำด้วยกันได้ เพื่อเบี่ยงเบนอาการกลัวออกไป (อย่าบอกว่าต้องทำหรือควรทำอย่างนู้นอย่างนี้)…

  • นักศึกษาใช้ทักษะ ‘วิศวะ’ สร้างอุปกรณ์แพทย์ ช่วยชีวิตผู้ป่วยเบาหวาน กลางเวหาได้สำเร็จ!!

    นักศึกษาใช้ทักษะ ‘วิศวะ’ สร้างอุปกรณ์แพทย์ ช่วยชีวิตผู้ป่วยเบาหวาน กลางเวหาได้สำเร็จ!!

    สำหรับผู้มีโรคประจำตัวมักจะรู้สึกเกร็งทุกครั้งที่ต้องขึ้นเครื่อง ซึ่งในกรณีนี้มักจะต้องนำยาประจำตัวติดมาด้วย หากลืมหรือไม่ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยก่อนเข้าเกท คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ๆ หากเที่ยวบินนั้นมีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพโดยสารมาด้วย อาจจะช่วยให้อุ่นใจได้ในระดับหนึ่ง แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานรายนี้ กลับผิดคาดไปจากที่คิด เพราะคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ได้คือ “นักศึกษาวิศวะ”   Karttikeya Mangalam   อาจจะฟังดูแล้วเกิดอาการงง เหตุเกิดในระหว่างเที่ยวบินจากเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สู่เมืองนิวเดลี ประเทศอินเดีย Karttikeya Mangalam นักศึกษาสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าจากสถาบัน IIT Kanpur กำลังเดินทางกลับภูมิลำเนาหลังจากเสร็จสิ้นโปรแกรมแลกเปลี่ยนในประเทศสวิตเซอร์แลนด์     เขาพบว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินถามหาผู้โดยสารที่เป็นแพทย์ เนื่องจากหนึ่งในผู้โดยสารนาม Thomas วัย 30 ปี ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 กำลังเกิดอาการกำเริบ เนื่องจากขาดอินซูลินในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจาก Thomas ลืมเครื่องฉีดอินซูลินไว้ในถาด ระหว่างผ่านเข้าเกทตรวจสอบความปลอดภัยที่สนามบินนานาชาติเชเรเมเตียโว ซึ่งเขารับอินซูลินเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อ 5 ชั่วโมงที่แล้ว จนระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติทำให้เขาเริ่มหน้ามืด   Karttikeya เขียนบอกเล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้น…   แม้จะมีนายแพทย์โดยสารมาด้วย และเขาก็ประสบกับโรคเบาหวานเช่นกัน เขามีอุปกรณ์รักษาติดตัวมาแต่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ Thomas เพราะปริมาณและส่วนประกอบของสารเคมีที่แตกต่างกัน นอกจากนี้เข็มฉีดอินซูลินของ…

  • สาวร้องเรียน.. แฟนเจ็บหูพาไปหาหมอ แต่ถูกแพทย์ไล่พร้อมถามว่า “ใกล้ตายไหม?”

    สาวร้องเรียน.. แฟนเจ็บหูพาไปหาหมอ แต่ถูกแพทย์ไล่พร้อมถามว่า “ใกล้ตายไหม?”

    เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 23 เมษายน 2018 เจ้าหน้าที่ได้และผู้สื่อข่าวท้องถิ่นได้รายงานว่า น.ส. พรธิดา ทุนดี วัย 25 ปี ชาวจังหวัดสุรินทร์ และแฟนหนุ่มวัย 28 ปีชาวอิหร่าน ได้เดินทางมาร้องเรียนเพื่อทวงสิทธิ์ผู้เข้ารับการรักษาพยาบาลกับทางโรงพยาบาลบางละมุง   น.ส. พรธิดา และแฟนของเธอ   น.ส. พรธิดา เล่าว่า ตนเองได้พาแฟนหนุ่มซึ่งมีอาการเจ็บหูไปติดต่อขอเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลดังกล่าว แต่เมื่อได้เข้าพบแพทย์และอธิบายไปว่าแฟนหนุ่มของตัวเองมีอาการเจ็บหู เธอเล่าเหตุการณ์ว่า แทนที่จะได้รักษา แพทย์คนนั้นกลับพูดว่า “ใกล้ตายไหม? ที่นี่ห้องอุบัติเหตุ ถ้าไม่ใกล้ตายก็ไม่ต้องมา มีอินเตอร์เน็ตไหม? ไปเปิดดูว่าห้องอุบัติเหตุใช้ในกรณีใด” หญิงสาวรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดในลักษณะนี้ออกมาจากปากแพทย์ และสุดท้ายแฟนของเธอก็ไม่ได้รับการรักษาแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ต้องนั่งรอคิวอยู่นานถึง 2 ชั่วโมง     หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้สื่อข่าวหลายสำนักก็ได้เดินทางไปสอบถามยังโรงพยาบาลบางละมุงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่ากลับไม่มีใครสามารถให้ข้อมูลได้ เนื่องจากแพทย์คนนั้นออกเวรกลับที่พักไปก่อนแล้วและยังคงไม่สามารถติดต่อได้ โรงพยาบาลจึงไม่อาจชี้แจงเรื่องราวใดๆ ทางด้านแฟนหนุ่มที่มีอาการเจ็บหู ทางโรงพยาบาลได้ทำเอกสารให้เข้ารับการรักษาอีกครั้ง แต่หญิงสาวเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในการรักษาของโรงพยาบาลแห่งนี้ เธอจึงตัดสินใจพาแฟนไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอื่น…

  • โรงบาลมีเครื่องทำคีโมไม่พอ คุณลุงก็เลยไปประมูลซื้อมาจาก eBay แถมได้ราคาถูก

    โรงบาลมีเครื่องทำคีโมไม่พอ คุณลุงก็เลยไปประมูลซื้อมาจาก eBay แถมได้ราคาถูก

    เครื่องมือทางการแพทย์คือสิ่งที่จำเป็นและยังคงมีปัญหาในเรื่องของความขาดแคลนกับหลายๆ โรงพยาบาลทั่วโลก ด้วยงบประมาณที่มีอยู่จำกัดและราคาที่ค่อนข้างสูงของเครื่องมือเหล่านั้น เพราะอย่างนั้นเองผู้ป่วยคนนี้จึงตัดสินใจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าว เขาคนนี้มีชื่อว่า Steve Brewer วัย 62 ปี อาศัยอยู่ในเมือง Peterborough ประเทศอังกฤษ เขาป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้มาตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งเขาต้องเจอกับปัญหาในเรื่องเครื่องมือที่จะใช้ในการรักษาอาการป่วยของเขามาโดยตลอด   Steve ชายผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งมานานกว่า 3 ปี   ทางโรงพยาบาล Peterborough City Hospital บอกกับเขาว่า สถานพยาบาลแห่งนี้ไม่สามารถทำการซื้อเครื่องปั้มสามสูบไว้สำหรับการจ่ายยาให้คนไข้ได้ เพราะราคาของมันแพงจนเกินไป เครื่องหนึ่งมีราคาอยู่ที่ประมาณ 166,000 บาท Steve เล่าว่าในตอนที่เขามาทำคีโมครั้งแรก พยาบาลบอกกับเขาว่าที่นี่ไม่มีเครื่องปั้มที่เพียงพอสำหรับคนไข้ ซึ่งเขารู้ดีว่าเครื่องปั้มสามสูบนั้นจะสามารถส่งตัวยารักษาเข้าสู่ร่างกายคนไข้ได้เร็วกว่าปั้มปกติ ทำให้ใช้เวลาในการรักษาแต่ละครั้งน้อยลงไปประมาณ 30 ถึง 40 นาทีเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นเจ้าเครื่องนี้ก็เปรียบได้กับเครื่องที่จะช่วยต่อชีวิตให้กับคนไข้ได้มากขึ้น 1 ชั่วโมงครึ่งต่อการรักษา นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ทุกคนต้องการอย่างแท้จริง   เครื่องปั้มสามสูบที่ช่วยในเรื่องของการรักษา   เขาบอกว่าได้มาทำคีโมกับทางโรงพยาบาลถึง 25 ครั้ง ซึ่งมันก็ช่วยในการยับยั้งโรคเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง และเจ้าเครื่องปั้มสามสูบก็นับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อทางโรงพยาบาล ต่อเขา และต่อคนไข้คนอื่น…

  • BNK48 คือสิ่งเยียวยาจิตใจ…สองแฟนคลับผู้ป่วยหนัก กับความหวังในการมีชีวิตอยู่

    BNK48 คือสิ่งเยียวยาจิตใจ…สองแฟนคลับผู้ป่วยหนัก กับความหวังในการมีชีวิตอยู่

    ถ้าให้พูดถึงกระแสที่กำลังดังสุดๆ ในช่วงเวลานี้ คงจะปฎิเสธไม่ได้เลยว่า BNK48 นั้นคือที่ 1 ในตอนนี้ ไม่ว่าจะด้วยความน่ารัก ความเป็นเอกลักษณ์และฐานแฟนคลับที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีท่าทีจะหยุด แต่คุณเชื่อไหมว่า BNK48 นั้นไม่ได้นำมาเพียงแค่ความบันเทิงหรือความน่ารักสดใสเท่านั้น แต่ลึกๆ แล้วพวกเขายังเป็นแสงนำทางให้กับคนบางกลุ่มที่กำลังจมอยู่ในความมืด เช่นคุณแบงค์ หนุ่มผู้ป่วยเป็นโรคทูเร็ตต์ซินโดรม ที่ล่าสุดเขาได้ไปออกรายการ Woody World โดยเขาได้เล่าถึงที่มาที่ไปของตัวเอง รวมถึงทำไม BNK48 ถึงเป็นดั่งแสงนำทางให้กับเขา     แบงค์และคุณแม่ของเขาเล่าว่า ตัวแบงค์นั้นป่วยเป็นทูเร็ตต์ซินโดรม ซึ่งเป็นกลุ่มอาการทางระบบปราสาทที่ทำให้คนป่วยเป็นโรคนี้ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ โดยบางครั้งอาจจะมีอาการกระตุก สบถและอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมันส่งผลให้เขาไม่สามารถใช้ชีวิตปกติเหมือนคนอื่นได้ จนตัวเขาถึงกับคิดจะฆ่าตัวตาย จนกระทั่งวันหนึ่ง BNK48 ได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตเขา (โรคทูเร็ตต์ซินโดรมนั้น เป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงมากแต่ก็ส่งผลประทบกับชีวิตประจำวันของผู้ป่วยพอสมควร โดยเฉพาะการเข้าสังคม เพราะปัจจุบันโรคนี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจมากนักนั่นเอง ที่สำคัญยังไม่มีการรักษาที่หายขาดแต่อย่างใด)     แบงค์เล่าว่า “หลังจากที่ผมหายจากการกินยาคลายเครียดหวังฆ่าตัวตายไม่กี่วัน ผมได้ไปงานจับมือที่ JJMall และมีโอกาสได้ไปจับมือพี่ตาหวาน (สมาชิก BNK48) เขาก็บอกผมว่า สู้ๆ นะเป็นกำลังใจให้ ตอนนั้นผมรู้สึกตกใจและดีใจมากว่าทำไมอยู่ดีๆ…

  • หนุ่มแสดงความรักมั่น ขอสาวผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแต่งงานในโรงพยาบาล ก่อนเธอเสียชีวิต

    หนุ่มแสดงความรักมั่น ขอสาวผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแต่งงานในโรงพยาบาล ก่อนเธอเสียชีวิต

    โรคมะเร็งเป็นโรคร้ายชนิดหนึ่ง ผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งจะมีการแบ่งเซลล์ผิดปกติ จนเกิดเป็นเนื้องอกร้ายในร่างกาย และอาจลุกลามไปยังส่วนต่างๆ จึงถือว่าเป็นโรคที่น่ากลัวที่สุดโรคหนึ่ง ที่พรากชีวิตคนจำนวนไม่น้อยไปจากโลกใบนี้ หากป่วยเป็นมะเร็งระยะร้ายแรงแล้ว ผู้ป่วยมักจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนัก แต่ถ้าได้รับกำลังใจที่ดีพอ อาจจะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ป่วยมีชีวิตรอดได้นานราวกับปาฏิหาริย์ก็ได้ เจ้าบ่าวและเจ้าสาวคู่นี้ อาจจะเป็นตัวอย่างที่ดีของเหตุการณ์ดังกล่าว   David และ Heather Mosher   เจ้าสาว Heather Mosher ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมชนิดทริปเปิ้ลเนกาทีฟ แต่เธอมีชีวิตรอดได้ยาวนานกว่าที่หมอคาดการณ์ไว้ เนื่องจากเธอได้รับกำลังใจอันล้นหลามจากคนรัก David Mosher ทั้งคู่พบกันในชั้นเรียนสวิงแดนซ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2015 หลังจากนั้นทั้งสองก็หลงรักกันหัวปักหัวปำ กลายเป็นคู่รักที่ตัวติดกันตลอดเวลาเลยทีเดียว ดังที่ David เล่าว่า “หลังจากเราพบกันแล้ว ก็เหมือนว่าเราแยกจากกันไม่ได้เลย” แต่เรื่องราวรักหวานชื่นของทั้งคู่ก็ดำเนินมาได้ไม่นาน เพราะเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2016 แพทย์ก็ได้แจ้งข่าวร้ายกับพวกเขาว่า แฟนสาวป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านม     ถึงแม้จะรู้ว่าแฟนสาวป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะปล่อยให้เธอต่อสู้กับโรคนี้เพียงลำพัง เขาตัดสินใจขอหมั้นเธอในวันเดียวกันที่เธอรู้ข่าวว่าเป็นมะเร็งเลย เขาเล่าว่า “เธอไม่รู้มาก่อนว่าผมจะขอหมั้นคืนนั้น แต่ผมอยากให้เธอรู้ว่า เธอจะไม่ต้องต่อสู้กับโรคนี้คนเดียว” จากนั้นเขาจึงขอเธอแต่งงานอย่างโรแมนติกบนรถม้าดังที่ชายหนุ่มเล่าว่า “ผมจัดเตรียมรถม้าไว้สำหรับเราสองคนแล้ว ในคืนนั้นระหว่างที่เรากำลังนั่งรถม้าไปในถนนที่มีเพียงแสงไฟ ผมก็ขอเธอหมั้นทันทีเลย” ทว่าข่าวร้ายเรื่องโรคมะเร็งเต้านมยังไม่จบสิ้น ห้าวันหลังจากเขาขอเธอหมั้นแล้ว…

  • รู้จักกับ “Snowflake” ดินแดนสำหรับ “ผู้แพ้ชีวิตสมัยใหม่” ที่ใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันไม่ได้!?

    รู้จักกับ “Snowflake” ดินแดนสำหรับ “ผู้แพ้ชีวิตสมัยใหม่” ที่ใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันไม่ได้!?

    ในทุกวันนี้การที่มีเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วได้ทำให้ชีวิตของเรามีความสะดวกเพิ่มมากขึ้น แต่ในเมื่อมีผลดีก็ต้องมีผลเสีย เพราะสารเคมีหรือว่ารังสีบางอย่างอยู่รอบๆ ตัวเรา นั้นอาจทำให้บางคนที่ไวต่อการสัมผัสรู้สึกไม่สบายได้ นั่นจึงเป็นที่มาของหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมือง Snowflake ที่ตั้งอยู่บริเวณขอบของรัฐแอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ที่เจ็บป่วยทรมานต่อสารเคมีต่างๆ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ผู้แพ้ชีวิตสมัยใหม่” ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้เป็นโรคเรื้อรังที่แพ้ต่อสารเคมีและเทคโนโลยีในปัจจุบัน อาการบางอย่างของผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ก็คือ จะรู้สึกไม่สบายตัว ในบางรายอาจมีร่างกายที่ทรุดโทรมไปเลยอย่าง มีอาการคลื่นไส้รุนแรง ไมเกรน เป็นโรคหวาดระแวง และวิงเวียนศีรษะในบางครั้ง     สาเหตุที่ทำให้พวกเขามีอาการเหล่านี้ พวกผู้ป่วยได้บอกไว้ว่าเป็นเพราะสารเคมีและเทคโนโลยีสมัยใหม่ต่างๆ ที่อยู่รอบตัวพวกเขา อย่างเช่น น้ำหอม เส้นใยสังเคราะห์ในเสื้อผ้าหรือหมอนมุ้ง สารกำจัดศัตรูพืชทั้งหลาย รวมถึงอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายหรือ Wi-Fi ด้วย ซึ่งหมอส่วนมากลังเลที่จะประกาศว่าอาการเหล่านี้เป็นโรคชนิดหนึ่ง เพราะว่ามันขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แต่พวกเขาจะเรียกว่า อาการจิตทางสังคมที่ก่อให้เกิดอาการทางกายภาพอย่างฉับพลัน ด้วยเหตุเหล่านี้ ผู้ป่วยเหล่านี้จึงไม่สามารถหาความช่วยเหลือทางการแพทย์สำหรับโรคที่พวกเขาเป็น และต้องหาที่อยู่ใหม่เพื่อเป็นการรักษาตัวเอง เนื่องจากสาเหตุเหล่านี้ทำให้ในปี 1998 ผู้แพ้ชีวิตสมัยใหม่ทั้งหลายจึงได้ตัดสินใจที่จะกำหนดสุขภาพของพวกเขาด้วยมือตนเอง โดยพวกเขาได้ย้ายไปในเมืองทะเลเล็กๆ ในเมือง Snowflake     Bruce McCreary ผู้บุกเบิกที่นี่เป็นอดีตวิศวกรไฟฟ้าได้ตัดสินใจทิ้งบ้านของเขาในเมือง Mesa หลังจากที่เกือบจะพิการจากการสัมผัสสารเคมีในโรงงานผลิตสารเคมีที่เขาทำงาน ต่อมาช่วงต้นๆ ปี 1990 ก็มีผู้ป่วยทางสังคมอีกกว่า 30 คนเข้ามาสมทบกับเขาด้วย และได้เกิดเป็นเมืองๆ หนึ่งในที่สุด ผู้อยู่อาศัยคนอีกคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ชื่อว่า…

  • นี่คือสิ่งที่เหล่าผู้ป่วยมักจะพูดและทำเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะสิ้นลมหายใจ…

    นี่คือสิ่งที่เหล่าผู้ป่วยมักจะพูดและทำเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะสิ้นลมหายใจ…

    วันที่ 11 พฤศจิกายน 2560 เว็บไซต์ Independent ได้เปิดเผยเรื่องราวที่น่าสนใจของเหล่าพยาบาลที่มีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายในโรงพยาบาล Royal Stoke University Hospital ที่ Stoke-on-Trent ประเทศอังกฤษ โดยพวกเขาได้ใช้เวลาทั้งวันอยู่กับบรรดาผู้ป่วยเหล่านั้น พร้อมกันนี้พวกเธอยังได้ออกมาบอกเล่าคำขอและความคิดสุดท้ายของผู้ป่วยก่อนที่พวกเขากำลังจะตายอีกด้วย     “มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่แต่งงานกันแล้วทั้งสองกำลังจะตาย พวกเขาได้ขอให้เราเอาเตียงมาอยู่ใกล้กัน พวกเขาจับมือกัน ร้องเพลง Slow Boat to China ด้วยกัน และ 10 วันหลังจากนั้นทั้งคู่ก็เสียชีวิตพร้อมกัน” นางพยาบาล Angela Beeson กล่าว นอกจากนี้ยังมีการเผยอีกว่า ผู้ป่วยที่ป่วยหนักสามารถคาดเดาได้บ่อยๆ ว่าพวกเขากำลังจะตาย และจะมองเห็นภาพสวรรค์ในขณะที่กำลังนอนอยู่     ก่อนที่พวกเขาจะจากโลกนี้ไป ผู้ป่วยหลายๆ คนมักพูดถึงสิ่งที่พวกเขาชอบ ในขณะที่บางคนก็กล้าที่จะพูดคุยอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องความตายของพวกเขาที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งในบางครั้งพวกเขาก็สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่     ด้านนางพยาบาล Nicki Morgan ได้ออกมากล่าวว่า “มีคนเคยพูดกับเราว่าในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าเขาจะมีอายุครบ 80 ปี และจะจัดงานปาร์ตี้วันเกิด…

  • หญิงสาวผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง เหลือเวลาใช้ชีวิตอีกแค่ 18 เดือน ลั่นระฆังวิวาห์กับชายผู้เป็นที่รัก

    หญิงสาวผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง เหลือเวลาใช้ชีวิตอีกแค่ 18 เดือน ลั่นระฆังวิวาห์กับชายผู้เป็นที่รัก

    การแต่งงานเป็นความฝันของใครหลายคน โดยเฉพาะกับสาวๆ เพราะมันคือวันสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวรักและพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป ซึ่งงานแต่งงานคือความปรารถนาอย่างหนึ่งของเธอคนนี้ แม้ว่าตนเองกำลังป่วยเป็นโรคมะเร็งและมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ไม่เกิน 18 เดือนเท่านั้นก็ตาม หญิงสาวช่างเสริมสวยคนนี้มีชื่อว่า Martine Kilminister เธอป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะที่ 4 ทำให้สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เพียง 6 – 18 เดือนเท่านั้น   Martine ผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งกระดูกสันหลังระยะที่ 4   สาววัย 28 ปีผู้อาศัยอยู่ในเมืองแบรดฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เธอบอกว่าเริ่มรู้สึกมีอาการเจ็บหลังตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2017 ที่ผ่านมาจึงเข้าปรึกษาแพทย์ ตอนนั้นหมอบอกว่าเธออายุยังน้อย ไม่ต้องกังวลอะไร ตัวเธอเองคิดว่าเธออาจมีความผิดปกติที่ระบบประสาท ผ่านไปไม่นานเธอก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหวจึงกลับไปหาหมออีกครั้งในช่วงเดือนสิงหาคม และเธอได้ถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งกระดูกสันหลังระยะที่ 4   ภาพของเธอก่อนที่จะเป็นอัมพาต จนทำให้ไม่สามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง   บริเวณไขสันหลังของเธอมีก้อนเนื้องอกขนาดใหญ่กดทับเอาไว้ นั่นจึงทำให้หลังการถูกวินิจฉัยเพียง 4 สัปดาห์ ร่างกายของเธอตั้งแต่เอวลงไปกลายเป็นอัมพาต และไม่สามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นคือหมอบอกว่าเธอสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เพียงแค่ 6 – 18 เดือน ข่าวร้ายที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนนี้ทำให้เธอและแฟนหนุ่ม Christopher รู้สึกช็อคและเสียใจเป็นอย่างมาก ทั้งสองจึงตัดสินใจที่จะจัดงานแต่งงานขึ้นมาในทันที เพราะแม้ว่าเขาและเธอจะอยู่ด้วยกันมานานถึง…

  • ช่วงเวลาแห่งความประทับใจ เมื่อพยาบาลสาวร้องเพลงโปรดให้คนไข้ฟังในวาระสุดท้าย

    ช่วงเวลาแห่งความประทับใจ เมื่อพยาบาลสาวร้องเพลงโปรดให้คนไข้ฟังในวาระสุดท้าย

    แพทย์หรือพยาบาลหลายๆ คนไม่ได้ดูแลคนไข้ตามหน้าที่หรือตามคำสั่งเท่านั้น แต่พวกเขาใส่ใจคนไข้เสมือนคนในครอบครัวคนหนึ่ง เหมือนกับพยาบาลคนนี้ที่อยู่เคียงข้างคุณยายที่กำลังจะหมดลมหายใจ เพื่อร้องเพลงโปรดให้เธอฟัง และคุณยายยังต้องการให้บรรเลงนี้ในงานศพด้วย     Margaret Smith วัย 63 ปี มีปัญหาเกี่ยวกับตับ แต่เธอป่วยหนักจนไม่สามารถรอการปลูกถ่ายตับได้ นั่นหมายความว่าเธอไม่สามารถรับการผ่าตัดได้ด้วย เพื่อทำให้คุณยายรู้สึกดีขึ้นและไม่กลัวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น พยาบาล Olivia Neufelder จาก Vanderbilt University Medical Center จึงได้อาสามาร้องเพลงโปรดของยายให้ฟังทุกวัน และแล้วช่วงเวลาแห่งการจากลาก็มาถึง เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม คุณหมอบอกว่าคุณยายจะอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่วันข้างหน้า แต่ถึงอย่างนั้น Olivia ก็ยังทำในสิ่งที่เคยทำเสมอมานั่นคือการร้องเพลงให้คุณยายฟัง     แต่นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณยายจะได้ฟังเพลงโปรดจาก Olivia ครอบครัวของคุณยายจึงได้บันทึกวิดีโอขณะที่พยาบาลร้องเพลง Dancing In The Sky พร้อมจับมือคุณยายและพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ตลอด คุณยายฟังเพลงโปรดของตัวเองด้วยรอยยิ้ม บ่งบอกว่าเธอมีความสุขมากแค่ไหน จน Olivia เกือบหลั่งน้ำตาหลายครั้ง แต่เธอพยายามจะกลั้นมันเอาไว้ เพราะนี่คือช่วงเวลาเธออยากให้ผู้ป่วยมีแต่ความสุข     ต่อมา Megan Smith ลูกสาวของ Margaret ได้โพสต์ช่วงเวลาแห่งความประทับใจลงในเฟซบุ๊กพร้อมคำอธิบายว่า “พยาบาลคนนี้นั่งอยู่กับแม่ฉันเป็นเวลาหลายชั่วโมง เธอร้องเพลงโปรดของแม่ให้ฟัง เพื่อทำให้แม่รู้สึกสบายใจ” “เราไม่สามารถหาคำพูดไหนมาอธิบายความรักความห่วงใจของพยาบาล Olivia ที่มีต่อแม่ของฉัน และแม่ยังเรียกเธอว่านางฟ้าด้วย”…

  • สงครามเปลี่ยนคน.. ภาพก่อน-หลังศัลยกรรมใบหน้า ของเหล่าทหารกล้าที่บาดเจ็บใน WW1

    สงครามเปลี่ยนคน.. ภาพก่อน-หลังศัลยกรรมใบหน้า ของเหล่าทหารกล้าที่บาดเจ็บใน WW1

    ขึ้นชื่อว่าสงคราม เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะล้วนแล้วแต่มีความหวาดกลัว ความสูญเสียต่อทั้งสองฝ่ายซึ่งหากนับความเสียหายแล้วน่าจะเป็นความเสียหายต่อด้าน ทรัพย์สิน สมบัติ และสิ่งที่มีค่าที่สุดนั่นคือ ชีวิตของผู้คนในระหว่างสงครามและหลังจากสงครามนั่นเอง ภาพทั้งหมดถ่ายในปี 1918-1919 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 การเยียวยาช่วยเหลือทหารหลังจากผ่านศึกดูจะเป็นสิ่งที่ Anna Coleman Ladd ประติมากรชาวอเมริกันสามารถช่วยเหลือได้ โดยเธอช่วยทหารที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้า โดยการสร้างหน้ากากจากทองแดงเจือจาง ให้คล้ายคลึงกับหน้าเดิมของผู้บาดเจ็บให้ได้มากที่สุด   โดยเธอได้ร่วมกับ Harold Gillies ศัลยแพทย์หนุ่ม ในการนำหน้ากากที่ได้จากการปั้นของเธอไปซ่อมแซมส่วนที่ขาดหายไประหว่างสงครามของทหารผ่านศึกทั้งหลายก่อนที่จะส่งกลับไปที่ภูมิลำเนาของทหารคนนั้นๆ ซึ่งผลงานของเธอก็ช่วยทหารหลายๆคนให้มีความสุขมากกว่าเดิมได้ดังต่อไปนี้   ทหารนายหนึ่งที่สูญเสียดวงตาข้างขวาและใบหน้าที่ผิดรูปไป   Harold Page พลทหารนายหนึ่งที่สูญเสียดวงตา แต่หน้ากากเปลี่ยนให้ดูเหมือนยังมีดวงตาอยู่    Soldier F เป็นผู้ป่วยที่รูปลักษณ์เสียโฉมที่สุดของผู้ป่วยทั้งหมดของ Ladd   ทหารนายหนึ่งที่สูญเสียจมูกทั้งหมดไปก่อนที่จะได้รับการศัลยกรรมโดยหน้ากาก   ทหารสวมชุดเครื่องแบบเกียรติยศที่สูญเสียทั้งจมูกและปากไปและได้รับการศัลยกรรมตกแต่ง   พลทหาร B โพสท่าให้เห็นถึงความสูญเสียที่แสนจะน่ากลัวของเขา   พลทหาร William Thomas สูญเสียใบหน้าส่วนกลางไป ต้องใช้เวลากว่า 6 ปีและ ผ่าตัดกว่า 19 ครั้งเพื่อให้ได้…

  • หญิงสาววอนให้ทุกคนหยุดที่จะตัดสินเธอว่า “โง่” เพียงเพราะหน้าตาที่ไม่เหมือนคนอื่น

    หญิงสาววอนให้ทุกคนหยุดที่จะตัดสินเธอว่า “โง่” เพียงเพราะหน้าตาที่ไม่เหมือนคนอื่น

    สิ่งที่เรามองเห็นแต่เพียงภายนอก ไม่อาจตัดสินได้ว่าภายในแท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ เหมือนกับเธอคนนี้ แม้ว่าใบหน้าจะไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่าภายในของเธอจะมีความผิดปกติตามไปด้วย Katie Whicker หญิงสาววัย 21 ปีผู้เกิดมาพร้อมกับข้อบกพร่องทางกรรมพันธุ์ โครงหน้าของเธอจึงมีความแตกต่างกับคนอื่นๆ ครั้งหนึ่งเธอเคยถูกถามว่าประสบอุบัติเหตุมาหรือเปล่า หน้าตาถึงได้เป็นแบบนี้ การอยู่ในสังคมเลยต้องเจอกับการถูกกลั่นแกล้ง และคนมากมายตัดสินว่าเธอ “โง่” แท้จริงแล้วโรค Treacher Collins จะสร้างผลกระทบให้กับกระดูกกระโหลกและใบหน้าเท่านั้น จึงหมายความว่ามันไม่ได้เกิดผลกระทบต่อความคิดหรือจิตใจแต่อย่างใด     หลายคนมักคิดว่าเธอขาดความสามารถในความคิด ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจที่สิ่งที่ผิด เธอรู้สึกเจ็บปวดกับการถูกผู้คนตัดสินไปในทางที่ไม่ดี ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าทำงานเพราะคิดว่าเธอไม่ฉลาด และสังคมรอบข้างเองก็คิดอย่างนั้น ความผิดปกติที่เกิดขึ้นตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เมื่อคลอดออกมาเธอไม่สามารถหายใจทางจมูกได้ ร่างกายเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเพราะขาดอากาศ แพทย์จึงต้องทำการเจาะคอเพื่อช่วยให้สามารถรอดชีวิตมาได้ นอกจากนั้นเธอยังมีปัญหาในเรื่องของการสื่อสาร เธอต้องใช้ภาษากายในการพูดคุยกับคนอื่นๆ จนถึงอายุสามขวบ ในช่วงนั้นแม้แต่เสียงร้องไห้ก็แผ่วเบาเอามากๆ ทำให้พ่อแม่ของเธอต้องดูจากการแสดงออกทางสีหน้า ว่าเธอร้องไห้หรือหัวเราะอยู่กันแน่ แต่ในที่สุดตอนอายุ 5 ขวบ เธอก็สามารถพูดได้เหมือนคนปกติ     ชีวิตในโรงเรียนที่ต้องเจอนั้นไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ จากการที่ต้องถูกกลั่นแกล้ง และน้อยคนที่จะถามว่าทำไมถึงมีหน้าตาแบบนี้ เพราะส่วนใหญ่ตัดสินว่าเธอไร้สมองตั้งแต่แรกเห็นไปแล้ว เธอจึงกำราบพวกนั้นด้วยการตั้งใจเรียนและทำคะแนนสอบหลายๆ วิชา ให้เหนือกว่าคนพวกนั้นซะเลย ขณะเดียวกันเธอก็มีเพื่อนๆ ดีไม่ทำให้เธอเสียใจ จึงช่วยให้เธอสามารถผ่านเวลานั้นมาจนสำเร็จการศึกษาได้    …

  • หญิงสาวเป็นโรคทางพันธุกรรม เล่าประสบการณ์ “ป่วยใกล้ตาย” ได้อย่างมีความสุข…

    หญิงสาวเป็นโรคทางพันธุกรรม เล่าประสบการณ์ “ป่วยใกล้ตาย” ได้อย่างมีความสุข…

    ลองคิดดูว่าถ้าคุณเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ต้องพกถังออกซิเจนตลอดเวลา และไม่รู้ว่าคุณจะตายเมื่อไร คุณจะยังมีความสุขแบบนี้หรือไม่.. เรื่องราวของ Claire Wineland หญิงสาววัย 20 ปี ผู้ป่วยเป็นโรคซิสติกไฟโบรซิส (Cystic Fibrosis) โรคเรื้อรังที่่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งจะทำให้ปอดและระบบย่อยอาหารเกิดความสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วผู้ป่วยจะมีอายุเพียงแค่ 37 ปีเท่านั้น     โรคดังกล่าวทำให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเธอต้องเข้ากับการผ่าตัดหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 13 เมษายน ปี 2010 เธอเกิดอาการปอดล้มเหลวถึงขั้นโคม่า และต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน หลังจากผ่านเรื่องร้ายๆ ในวันนั้นมา หญิงสาวตัดสินใจที่จะมอบแรงบันดาลใจและกำลังใจให้กับผู้ป่วยคนอื่นๆ จากการถ่ายทอดประสบการณ์เฉียดตายของเธออย่างมีความสุข     ในคลิปวิดีโอหนึ่ง เธอเล่าถึงวิธีการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขถึงแม้ว่าจะรู้ว่าใกล้ถึงวาระสุดท้ายแล้วก็ตาม Claire เล่าว่า ในแต่ละวันเธอต้องใช้บำบัดการหายใจประมาณ 4-5 ชั่วโมง และต้องทานยาประมาณ 50 เม็ด แต่เธอก็ยังคงออกไปใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ “เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกทรมานกับความเจ็บปวด คุณไม่ควรคิดว่ามันคือจุดจบของชีวิต แต่คุณควรจะคิดว่าจะผ่านมันไปได้อย่างไรต่างหาก ยังมีอะไรอีกมาในโลกภายนอกที่ให้เราได้เจอ” Claire กล่าว     “ในตอนแรกที่ฉันเกิดมา หมอบอกว่าฉันจะมีอายุได้แค่ 10 ปีเท่านั้น…

  • นักวิทย์สร้าง “หัวใจเทียม” จากเครื่องปริ้นท์ 3 มิติ อีกขั้นของความก้าวหน้าทางการแพทย์…

    นักวิทย์สร้าง “หัวใจเทียม” จากเครื่องปริ้นท์ 3 มิติ อีกขั้นของความก้าวหน้าทางการแพทย์…

    นับวันเทคโนโลยีต่างๆ ในโลกล้วนแต่มีการพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นไปมากขึ้น และหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างมากและอาจมีผลต่อการเปลี่ยนโฉมโลกนั่นก็คือ “เครื่องพิมพ์สามมิติ“ นั่นเอง เมื่อไม่นานมานี้ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผู้ป่วย เมื่อมีผู้ที่สามารถผลิตหัวใจเทียมจากเครื่องพิมพ์สามิติที่ว่านี้ได้สำเร็จ โดยทางผู้ผลิตหวังว่าหัวใจเทียมที่ปริ้นออกมาจากเครื่องพิมพ์สามมิตินั้นจะสามารถช่วยชีวิตผู้คนอื่นๆ ได้อีกมากมาย   ภาพต้นแบบของหัวใจเทียมก่อนที่จะถูกปริ้นท์ออกมาด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ   ทีมวิจัยจาก ETH Zurich ได้คิดค้นและออกแบบหัวใจซิลิโคนนี้ออกมา โดยพวกเขาระบุว่าอวัยวะเทียมที่ผลิตออกมานี้มีความยืดหยุ่นและสามารถเต้นได้เหมือนกับหัวใจจริงๆ ในอนาคตพวกเขาหวังว่าจะใช้หัวใจเทียมนี้ กับผู้ป่วยที่กำลังรอการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อหัวใจ เพราะว่าโครงสร้างของซิลิโคนนี้จะไม่เกิดการต่อต้านจากร่างกาย ซึ่งต่างจากหัวใจเทียมแบบเหล็กและพลาสติกที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังจากการผ่าตัดได้   และนี่คือหัวใจเทียมซิลิโคนที่ปริ้นท์ออกมาจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ   ทางทีมวิจัยกล่าวว่า “หัวใจเทียมที่เราผลิตมานี้มีขนาดที่ใกล้เคียงกับหัวใจของผู้ป่วย และสามารถเลียนแบบการทำงานได้ใกล้เคียงกับของจริงมากๆ “ นอกจากนี้ภายในของหัวใจเทียวดังกล่าวยังมีรายละเอียดที่เหมือนกับหัวใจจริงๆ ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้องหัวใจด้านซ้ายและขวา พร้อมกับระบบสูบฉีดเลือดด้วย     ในการทดสอบการทำงานของหัวใจเทียมนี้ ทางผู้คิดค้นได้ทดสอบการเต้นของมันและพบว่ามันสามารถเต้นได้นานกว่า 3,000 ครั้งซึ่งสามารถยื้อชีวิตผู้ป่วยได้ประมาณ 30-45 นาที ซึ่งในจุดนี้อาจจะต้องมีการคัดเลือกวัตถุดิบสำหรับการผลิตให้หัวใจเทียมนี้สามารถใช้งานได้นานขึ้น ตอนนี้หัวใจเทียมกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาและยังไม่พร้อมที่จะนำไปใช้กับผู้ป่วยจริงๆ ทางทีมวิจัยได้ออกมาเปิดเผยว่าในอนาคตอันใกล้นี้ อีกไม่นานพวกเราอาจมีโอกาสได้เห็นหัวใจซิลิโคนนี้แน่นอน และพวกเขาก็หวังว่ามันจะสามารถพัฒนาต่อจนใช้แทนหัวใจจริงได้อย่างใกล้เคียงหรือสมบูรณ์แบบมากที่สุดในอนาคต…     ไปชมขั้นตอนผลิตและการทดลอบหัวใจซิลิโคนได้ที่คลิปวิดีโอด้านล่างนี้เลย   วิทยาศาสตร์การแพทย์นี่ก้าวหน้าไปไกลมากเลยนะเนี่ย สุดยอดจริงๆ ที่มา engadget

  • หมอสหรัฐฯ นิยมสั่งยาแบบใหม่ “หยุดงานแล้วไปเดินป่า” ให้ธรรมชาติเยียวยาสุขภาพผู้ป่วย

    หมอสหรัฐฯ นิยมสั่งยาแบบใหม่ “หยุดงานแล้วไปเดินป่า” ให้ธรรมชาติเยียวยาสุขภาพผู้ป่วย

    โดยปกติแล้ว ผู้ป่วยมักจะได้รับใบสั่งยาจากแพทย์ โดยจะมีทั้งยาแบบเม็ด แบบน้ำ รวมถึงยาทา และจะต้องมีการกำหนดเวลาไว้ว่าควรทานช่วงไหนบ้าง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติที่เรามักจะเจอกันอยู่เป็นประจำ แต่สำหรับแพทย์ในรัฐเซาท์ดาโคตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดใบสั่งยาแบบใหม่ที่เจ๋งไปกว่านั้น โดยที่ไม่ต้องกินหรือไม่ต้องทา เพียงแค่มีจุดมุ่งหมายให้ผู้ป่วยได้ “ไปเดินป่า” เท่านี้ก็ช่วยเยียวยาได้แล้ว!?     สำหรับใบสั่งยาจากแพทย์ในรัฐเซาท์ดาโคตา ที่เขียนสั่งยาทุกอย่างตั้งแต่ยาแก้ปวดไปจนถึงขี้ผึ้ง แต่ในปีนี้ทางแพทย์ได้มีทางเลือกใหม่ในการเลือกจ่ายยาตัวใหม่นั่นคือ “ParkRx” แทน ใบสั่งยาดังกล่าว จะให้ผู้ป่วยหยุดงาน 1 วัน เพื่อไป “สวนสาธารณะ หรือพื้นที่นันทนาการใดๆ ก็ได้ในรัฐเซาท์ดาโคตา โดยใบสั่งจะมาพร้อมกับสัญลักษณ์ “Rx” บนมุมกระดาษ     โครงการ ParkRx ได้ถูกดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2015 โดย Game Fish & Parks Department และกรมสุขภาพของรัฐเซาท์ดาโคตา ซึ่งเป็นการเชิญชวนแพทย์ของรัฐมาจ่ายยาให้ผู้ป่วยในรูปแบบใหม่ เพื่อเป็นการช่วยฟื้นฟูสุขภาพจิตใจของผู้ป่วย ด้วยการไปสัมผัสกับบรรยากาศอันร่มรื่นที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ทางด้าน Nikki Prosch ผู้ประสานงานโครงการ ได้ออกมากล่าวว่า “เราได้แรงผลักดันมากขึ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยมีการโฆษณา…

  • ภาพถ่ายน่ารักๆ ของ 3 หนูน้อย กลับมาถ่ายภาพร่วมกันอีกครั้ง หลังจากที่หายจากโรคมะเร็ง

    ภาพถ่ายน่ารักๆ ของ 3 หนูน้อย กลับมาถ่ายภาพร่วมกันอีกครั้ง หลังจากที่หายจากโรคมะเร็ง

    ย้อนเวลากลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2557 ช่างภาพนามว่า Lora Scantling ได้บันทึกภาพของเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ 3 คนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่หลังจากนั้นอีก 3 ปีต่อมา พวกเธอได้เติบโตขึ้น แถมยังได้มารวมตัวกันเพื่อถ่ายภาพเซตใหม่อีกครั้ง ซึ่งต้องบอกเลยว่าหนูน้อยทั้ง 3 ดูแข็งแรง และมีสุขภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย     สำหรับ Lora เธอมีคุณพ่อที่กำลังต่อสู้กับโรคมะเร็งปอด ดังนั้น เธอจึงได้ตัดสินใจเพื่อทำอะไรบางอย่าง และนั่นก็ทำให้เธอได้คิดว่าอยากจะถ่ายภาพของเด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง เพราะเพื่อนของเธอได้สูญเสียลูกชายที่เป็นมะเร็งไปก่อนหน้านี้ “ฉันโพสต์ได้ข้อความลงบน Facebook เพื่อหาสาวน้อยที่กำลังต่อสู้กับโรคมะเร็ง และมันจึงเกิดเป็นภาพเหล่านี้” Lora กล่าว   และนี่คือภาพของ Rylie อายุ 3 ขวบ Rheann วัย 6 ขวบ และ Ainsley อายุ 4 ขวบ โดยเด็กๆ ทั้งสามไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันนั้นก็คือ พวกเขาป่วยเป็นโรคมะเร็งนั่นเอง   Lora ได้เริ่มถ่ายภาพของเด็กๆ…

  • 15 คำพูดธรรมดาๆ แต่ไม่ควรนำพูดกับผู้ป่วย “โรคซึมเศร้า” เพราะมันอาจจะทำให้แย่ลงกว่าเดิม

    15 คำพูดธรรมดาๆ แต่ไม่ควรนำพูดกับผู้ป่วย “โรคซึมเศร้า” เพราะมันอาจจะทำให้แย่ลงกว่าเดิม

    “โรคซึมเศร้า” เป็นสิ่งที่หลายๆ คนมักจะมองข้ามไป แต่ที่จริงแล้วใครจะรู้ละว่าโรคนี้ใกล้ตัวกว่าที่เราคิด เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพทางจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก และความคิด ดังนั้น หากใครที่มีเพื่อน หรือคนในครอบครัวที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าว ควรพยายามที่จะเข้าใจคนเหล่านี้ให้มากขึ้น เพราะพวกเขาเป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลการฟื้นฟูจิตใจ ไม่ให้รู้สึกเศร้า หม่นหมอง หงุดหงิด หรือกังวลใจ แต่ถ้าหากไม่ได้รับการรักษา อาการก็จะเริ่มรุนแรงขึ้น จนเป็นเหตุให้ผู้ป่วยถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตายขึ้นมาก็เป็นได้ วันนี้ #เหมียวขี้อ้อน แปลบทความรวบรวม 15 ประโยคที่ไม่ควรพูดกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ที่บางคนอาจคิดว่ามันจะช่วยรักษาพวกเขาได้ แต่จริงๆ แล้วมันกลับเป็นคำพูดที่ฟังใจแทงใจยิ่งกว่าเดิม และเน้นไปที่คำพูดซึ่งช่วยพวกเขาได้มากกว่า   1.มีคนที่แย่กว่าคุณเยอะ สิ่งที่คุณควรจะพูดแทนคำว่ามีคนที่แย่กว่าคุณเยอะ ก็คือ “ฉันขอโทษที่ทำร้ายคุณ ฉันจะช่วยคุณได้อย่างไร” มันน่าจะช่วยให้พวกเขาได้ระบายความรู้สึกมากกว่า     2.พรุ่งนี้คุณจะรู้สึกดีขึ้น แม้คำพูดนี้อาจจะทำให้หลายๆ คนรู้สึกดีขึ้น แต่สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าแล้ว มันไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นเลย ในทางกลับกันหากลองพูดว่า “คุณต้องใช้เวลาหนึ่งวันให้เต็มที่ และผมก็จะอยู่กับคุณจนกว่าจะผ่านวันนั้นไป”   3.ชีวิตมันไม่ยุติธรรมเลย นี่เป็นอีกประโยคหนึ่งที่ไม่ควรพูดกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเป็นอย่างมาก เพราะหากคุณบอกว่าชีวิตมันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย นั่นอาจทำให้พวกเขารู้สึกแย่กว่าเดิม ดังนั้นคุณอาจจะต้องพูดว่า “ฉันขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ แต่เราสามารถที่จะผ่านมันไปได้”   4.เพียงแค่คุณจัดการกับมัน แม้อาจจะเป็นคำธรรมดาๆ…

  • รวม 10 เรื่องจริงที่ “ผู้ป่วยโรคสมองพิการ” อยากให้ทุกคนรู้ไว้ ไม่ใช่อย่างที่คิดเฟร้ย!!

    รวม 10 เรื่องจริงที่ “ผู้ป่วยโรคสมองพิการ” อยากให้ทุกคนรู้ไว้ ไม่ใช่อย่างที่คิดเฟร้ย!!

    หลายคนอาจเคยได้ยิน “โรคสมองพิการ” มาก่อน ซึ่งโรคดังกล่าวเป็นสิ่งที่สร้างความยากลำบากให้กับผู้ที่ป่วยเป็นอย่างมาก โรคสมองพิการ (Cerebral Palsy) เกิดจากความบกพร่องของเนื้อสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดปัญหาในการเคลื่อนไหว ซึ่งแต่ละคนจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกร็ง งุ่มง่าม เคลื่อนไหวช้า ทรงตัวได้ไม่ดี สมองส่วนที่ใช้ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งของเด็กสมองพิการเกิดบกพร่องหรือสูญเสีย ทำให้มีปัญหาในการเคลื่อนไหว แต่แม้จะดูหนักหนาขนาดไหน แต่เหล่าผู้ป่วยโรคสมองพิการก็มี 10 เรื่องจริงที่พวกเขาอยากให้ทุกคนได้รู้เหมือนกัน โดยนักเขียนชื่อดัง Zach Anner จะมีอะไรบ้าง เราลองไปชมกันเลย     1.พวกเราไม่ใช่สุนัข ถึงพวกผมจะนั่งรถเข็น ชอบฉี่แตกนอกบ้านบ้าง แต่อย่าทำเหมือนพวกผมเป็นสุนัข ผมก็ยังเป็นคนที่สถานะเท่าๆ พวกคุณอยู่นะ   2. ออกเสียงให้ถูกเถอะ ชื่อโรคพวกผมอ่านว่า ซี-รี-บรอล พาลซี (Cerebral Palsy) ไม่ใช่ เซเรเบิ้ล (Sereble) นะ     3. นับนิ้วไม่ได้ คนป่วยเป็นโรคสมองพิการจะนับนิ้วไม่ได้ ฉะนั้นอย่ามาขอให้พวกเขาทำ เพราะมันยาก  …

  • เหมียวน้อยถูกทิ้งใกล้ตาย ถูกสาวป่วยเป็นมะเร็งช่วยไว้ ต่างก็ช่วยเติมความสุขให้กันและกัน!!

    เหมียวน้อยถูกทิ้งใกล้ตาย ถูกสาวป่วยเป็นมะเร็งช่วยไว้ ต่างก็ช่วยเติมความสุขให้กันและกัน!!

    เรื่องราวของหญิงสาวผู้ป่วยเป็นมะเร็งและได้ทำการต่อสู้กับมันมายาวนานกว่า 7 ปี ได้ทำการช่วยเหลือด้วยการรับเจ้าเหมียวกำพร้าแม่ตัวน้อยมาเลี้ยงไว้ และทั้งคู่ต่างก็ช่วยเหลือกันด้วยการมอบความสุขให้แก่กัน   มารู้จักกับเจ้าเหมียว Kesha   “มันเป็นแมวที่ถูกช่วยเหลือมา แม่และพี่น้องของมันได้ทำการทิ้งพวกมันไปแล้ว และฉันก็กลายมาเป็นคุณแม่จำเป็นของมัน” คุณ Laramie Evans กล่าว (จะเรียกให้ถูกก็คือเป็นทาสรับใช้ดีกว่านะ ฮร่า) “ฉันเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งสมอง และทำการต่อสู้กับมันด้วยการทำคีโมมามากกว่า 6 ครั้งแล้ว และเจ้า Kesha นั้นก็เป็นตัวช่วยเยียวยารักษาใจของฉันได้เป็นอย่าดีเลยล่ะ และอะไรหลายๆ อย่างก็เหมือนจะไปได้สวยเลยทีเดียว” เธอเล่าเสริม เจ้าเหมียวสามสีตัวน้อยถูกพบเจอใกล้ๆ กับคลินิคของคุณ Laramie (เธอทำงานเป็นนางพยาบาล) ในสภาพที่ใกล้ตายแต่เจตนารมย์ที่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อของมันนั้นช่างกล้าแข็งซะเหลือเกิน     คุณ Laramie ได้ทำการดูแลรักษามันจนกลับมามีร่างกายที่แข็งแรงอีกครั้ง และตอนนี้เธอก็กลายเป็นทาสที่ซื่อสัตย์คอยปรนนิบัติรับใช้มันเป็นอย่างดี   เช่นเดียวกันกับเจ้าเหมียว Kesha คุณ Laramie เองก็เป็นนักสู้ที่ต่อสู้กับโรคร้ายอย่างมะเร็งด้วยเช่นกัน   เธอต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งร้ายมานานกว่า 7 ปีด้วย หลายๆ ครั้งเธอยอมรับว่าก็ท้อบ้าง แต่ตอนนี้เธอก็ไม่คิดจะยอมแพ้แล้วล่ะ เพราะตอนนี้เหมือนเธอกำลังมีเป้าหมายในชีวิตใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว “เจ้า Kesha…

  • เรื่องราวดีๆ หนุ่มน้อยทุ่มเทเวลาและความตั้งใจ เย็บตุ๊กตา แจกให้ผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่างๆ

    เรื่องราวดีๆ หนุ่มน้อยทุ่มเทเวลาและความตั้งใจ เย็บตุ๊กตา แจกให้ผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่างๆ

    เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้เห็นเรื่องราวของใครซักคน ยอมสละเวลาส่วนตัว เพื่อนำไปช่วยเหลือส่วนรวม ก็มักจะทำให้เราเกิดอาการชื่นอกชื่นใจ รู้สึกว่าโลกนี้ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวดีๆ ที่ถึงแม้จะมีแต่ข่าวคราวความวุ่นวายรายวันก็ตาม และนี่ก็เป็นอีกเรื่องราวดีๆของหนุ่มน้อยชาวเมืองโฮบาร์ต ประเทศออสเตรเลีย Campbell Remess หนุ่มใจดีวัย 12 ปี ที่ตั้งใจเย็บตุ๊กตาหมีทุกตัวอย่างบรรจงด้วยมือของเค้าเอง เพื่อที่จะนำไปแจกจ่ายให้แก่ผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่างๆ     หนุ่มน้อยกลายเป็นที่พูดถึง และได้รับความสนใจอย่างมาก หลังจากที่ได้มีวิดีโอเบื้องหลังการเย็บตุ๊กตาของเขา แพร่สะพัดไปทั่วโลกออนไลน์ จนสำนักข่าว ABC News ต้องเข้ามาสัมภาษณ์ และถ่ายทอดเรื่องราวของเขา เชื่อไหมล่ะว่า Remess เขาทำแบบนี้มานานกว่า 3 ปีแล้ว แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่อาจจำได้ว่ามีจำนวนตุ๊กตาหมีกี่ตัวที่เขาเคยเย็บ และส่งไปถึงมือผู้ป่วย แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะยังไงซะเขาก็จะยังคงตั้งใจส่งต่อความรู้สึกดีๆให้กับสังคมต่อไป     “มันเป็นอะไรที่เจ๋งมากเลยครับ ถ้าสิ่งที่ผมทำมันกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ยังต้องทำสิ่งนี้ต่อไป เพื่อมอบความรู้สึกดีๆให้คนป่วยครับ” เขากล่าว และหลังจากที่เรื่องราวของเขากลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ทำให้ความต้องการมีเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน และปัจจุบันมีสำนักข่าวทางโทรทัศน์มากมาย ที่กำลังรอคิวสัมภาษณ์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เค้าก็ยังตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือ และผลิตตุ๊กตาหมีต่อไป     ทางด้านของคุณแม่ Sonya Whittaker…

  • 7 คำขอสุดท้ายของผู้ป่วยใกล้ตาย ที่ถูกทำให้สมหวังเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนพวกเขาจากไป…

    7 คำขอสุดท้ายของผู้ป่วยใกล้ตาย ที่ถูกทำให้สมหวังเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนพวกเขาจากไป…

    จุดที่เราไม่อยากเผชิญมากที่สุดในชีวิต ก็น่าจะเป็นความตาย แต่หากเราต้องตายจริงๆ และมีโอกาสได้ขออะไรก็ได้ก่อนตาย เราจะขออะไร!?   1. ขอชื่นชมความงดงามของโลกใบนี้ แล้วนั่งจดจำมันไว้  Ambulance Wish Foundation เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ที่ช่วยเหลือผู้คนมากมายเพื่อให้สมหวังในคำขอครั้งสุดท้ายของชีวิต โดยในปี 2006 Kees Veldboer ชาวเนเธอร์แลนด์ หนึ่งในสมาชิกขององค์กรนี้ ได้ขับรถพาผู้ป่วยใกล้ตายคนหนึ่งที่อยู่ได้อีกไม่เกิน 3 เดือน ย้ายไปอีกโรงพยาบาลหนึ่ง แต่ระหว่างทางนั้น ผู้ป่วยคนนี้ก็บอก Kees ว่า เขาอยากเห็นคลอง Vlaardingen และต้องการนั่งชมพระอาทิตย์ตกที่นั่น ต้องการสัมผัสบรรยากาศที่นั่นก่อนที่ต้องกลับไปอยู่ในโรงพยาบาลอีกครั้ง   2. ขอพบยีราฟเพื่อนรัก ก่อนต้องจากกันตลอดกาล Mario ชายวัย 54 ปี ผู้ทำงานเป็นคนดูแลสวนสัตว์ Rotterdam ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นเวลา 25 ปี แต่เขาป่วยด้วยโรคมะเร็งสมองและอยู่ในระยะสุดท้าย เมื่อรู้ตัวว่าเขาต้องจากไปในอีกไม่นานนี้ เขาจึงได้ขอให้พาไปหายีราฟตัวโปรดของเขาเพื่อบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย…   (เมื่อชายคนนี้ได้สมหวังกับคำขอ น้ำตาเขาของเขาก็ไหลอาบแก้มด้วยความดีใจ และนี่คือจุดเริ่มต้นขององค์กร Ambulance Wish Foundation ปัจจุบันมีอาสาสมัคร 230 คน…

  • 16 ภาพวาดศิลปะจาก ‘ผู้ป่วยจิตเภท’ เผยให้เราเห็นเบื้องลึกภายในจิตใจพวกเขา

    16 ภาพวาดศิลปะจาก ‘ผู้ป่วยจิตเภท’ เผยให้เราเห็นเบื้องลึกภายในจิตใจพวกเขา

    Schizophrenia หรือ โรคจิตเภท ถือเป็นอาการโรคทางจิตแบบเรื้อรังซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการแปลกประหลาดออกไปจากพฤติกรรมของคนทั่วไปเช่น ได้ยินเสียงแว่วหลอน เห็นภาพหลอน ไปจนถึงมีพฤติกรรมต่อต้านสังคมเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียว หรืออาจส่งผลให้เกิดความคิดต้องการฆ่าตัวตายได้เลยทีเดียว เรื่องของอาการป่วยถ้าหากใครไม่ได้เป็นก็คงมิอาจรับรู้ถึงจิตใจภายในของคนที่ป่วยได้ ด้วยรูปภาพที่ถูกวาดโดยผู้ป่วยเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจในอาการของพวกเขาและสิ่งที่อยู่ในหัวพวกเขาได้ดีทีเดียว   1. “ไฟฟ้าทำให้ลอย” วาดโดย Karen Blair หญิงสาวผู้ต้องอาศัยอยู่กับโรคจิตเภท   2. หลากหลายอารมณ์และความรู้สึกที่วนเวียนอยู่ในหัวชายคนนี้ช่วยอธิบายให้เห็นภาพความสับสนของผู้ป่วยได้ดีเลยทีเดียว   3. สองภาพที่พยายามอธิบายถึงฝันร้ายของผู้ป่วยจิตเภทรายหนึ่ง .   4. ภาพวาดโดย Edmund Monsiel  ศิลปินในช่วงยุคศตวรรษที่ 19  ที่คาดว่าเค้าอาจจะป่วยเป็นโรคจิตเภทด้วยเช่นกัน   5. ภาพวาดที่ถูกค้นพบในสถานสงเคราะห์เก่าแห่งนึง คาดว่าศิลปินคนวาดน่าจะเป็นโรคจิตเภทแบบหวาดระแวง   6. ภาพที่พยายามอธิบายถึงความชั่วช้าของความทุกข์วาดโดย Erik Baumann   7. เมื่อปี 1950  ศิลปิน Charles Steffen เริ่มวาดภาพที่พยายามอธิบายถึงอาการของตนเองลงบนกระดาษแผ่นนี้ ซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้เราเข้าใจผู้ป่วยได้อย่างชัดเจนขึ้นมากๆ   8. ภาพวาดของผู้ป่วยโรคจิตเภทแบบหวาดระแวงที่เป็นเคสหายากรายนึงซึ่งมีอาการเห็นภาพหลอน และนี่คือหนึ่งในภาพที่เขาเห็นอยู่บ่อยๆมันมีชื่อว่า ‘Wither’  …

  • ผู้ป่วยทางสภาพจิตในอินโดนีเซียนับพัน ถูกจับขังในหมู่บ้านอันห่างไกลสภาพไม่ต่างจากคุก

    ผู้ป่วยทางสภาพจิตในอินโดนีเซียนับพัน ถูกจับขังในหมู่บ้านอันห่างไกลสภาพไม่ต่างจากคุก

    ผู้ป่วยไม่ว่าจะทั้งสภาพร่างกายหรือจิตใจ ต่างก็ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม ทว่าหากผู้ป่วยทางสภาพจิตนั้นไม่ได้รับการดูแลที่ดีเท่ากับผู้ป่วยทางสภาพร่างกาย และมักจะถูกเลือกปฏิบัติอยู่บ่อยครั้ง จะส่งผลทำให้ป่วยหนักทั้งร่างกายและจิตใจได้     ภาพอันน่าเศร้าของผู้ป่วยทางจิตในประเทศอินโดนีเซียเหล่านี้ถูกเปิดเผยโดยองค์กรสิทธิมนุษยชน Human Right Watch พร้อมกับรายงานยาวเหยียดถึง 74 หน้า มาในชื่อ ‘Living in Hell: Abuses against People with Psychosocial Disabilities in Indonesia’     สะท้อนให้เห็นถึงการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของประเทศอินโดนีเซีย โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยทางจิตนั้นมีคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่ ครอบครัวไม่อาจดูแลได้     ซึ่งทางรัฐบาลเองก็ไม่ได้ใส่ใจคุณภาพชีวิตประชาชนหรือชาวบ้านตัวเล็กๆ เลยแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งยังโทษว่าเป็นความผิดของการผิดประเพณีมีลูกด้วยกันระหว่างพี่กับน้องและการขาดสารไอโอดีนที่ทำให้เกิดความบกพร่องดังกล่าว     ตามรายงานกล่าวว่ามีผู้ป่วยทางจิตถูกกักขังในสภาพที่ไม่ต่างจากคุกมากกว่า 19,000 ราย จากยอดผู้ป่วยทางสภาพจิต 57,000 รายจากทั่วประเทศอินโดนีเซีย โดยหนึ่งในผู้ป่วยที่ถูกกักขังนานที่สุดคือ 15 ปี แล้วก็พบว่าปัญหาที่ทำให้เกิดเรื่องดังกล่าวนั้นคือขาดสวัสดิการทางด้านการรักษาสุขภาพจิต ขาดบุคลากรจิตแพทย์ และการให้ข้อมูลที่ถูกต้องในการดูแลรักษาผู้ป่วย     ถ้าหากปล่อยไว้เป็นแบบนี้ต่อไป อัตราผู้ป่วยทางจิตก็จะมีเพิ่มมากขึ้น ต้องเร่งทำการแก้ไขโดยด่วยที่สุด…

  • หนุ่มสาวรวมตัวเปลือยบนโป๊ล่างนั่งรถไฟเหาะ เพื่อระดมเงินบริจาคให้มูลนิธิเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง

    หนุ่มสาวรวมตัวเปลือยบนโป๊ล่างนั่งรถไฟเหาะ เพื่อระดมเงินบริจาคให้มูลนิธิเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง

    เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2558 ทางสำนักข่าวต่างประเทศได้เผยภาพของกลุ่มหนุ่มสาว  ที่กำลังเปลือยกายนั่งรถไฟเหาะ ในสวนสนุกแอดเวนเจอร์ ประเทศไอซ์แลนด์ โดยสาเหตุที่พวกเขาได้รวมตัวกันเปลือยกายโป๊ล่อนจ้อนทั้งบน และล่างแบบนี้ ก็เพราะว่า พวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มอาสาสมัครใจบุญ ที่มาระดมเงินบริจาคเงินให้กับมูลนิธิผู้ป่วยมะเร็ง ของโรงพยาบาล Southend ในเอสเซก ประเทศอังกฤษยังไงละเหมียว     ซึ่งภายในงานมีผู้ที่มาร่วมเปลือยนั่งรถไฟเหาะด้วยกันถึง 57 คน แถมไม่ได้มีเพียงแค่การรวมตัวของหนุ่มสาวเท่านั้นนะจ๊ะ แต่ยังมีคุณลุงคุณป้าอีกหลายๆ ท่านมาร่วมสร้างสีสัน เปลือยท่อนล่างและบนอีกด้วย     ‘นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้คนเปลือยกายนั่งรถไฟเหาะ เพราะในปี 2553 ก็เคยมีคนมาร่วมโป๊นั่งรถไฟเหาะ แถมยังมีมากถึง 102 คน ซึ่งถือเป็นการทำสถิติ Guinness World Record ที่มีคนมาร่วมสนุกกับกิจกรรมนี้มากที่สุดในโลกอีกด้วย’ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของสวนสนุกกล่าว     ส่วนการระดมเงินบริจาคให้กับมูลนิธิในครั้งนี้ สามารถระดมเงินได้ถึงได้ถึง 535,000 บาทกันเลยทีเดียว     นอกจากจะยอมเปลือยกายต่อหน้าผู้คนมากมายแล้ว พวกเขายังมีน้ำใจ คอยช่วยเหลือเพื่อมนุษย์ร่วมโลกอีกหลายๆ คน โดยที่ไม่ได้หวังสิ่งใดๆ ตอบแทน…