Tag: ผู้ลี้ภัย
-
จากผู้ลี้ภัยปีนตึกช่วยเด็ก ประธานาธิบดีฝรั่งเศสยกให้เป็นพลเมือง พร้อมให้งานกู้ภัย!!
การกระทำอันกล้าหาญเยี่ยงฮีโร่ สมควรได้รับการยกย่องไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อย่างในกรณีของชายชาวมาลี ผู้อพยพในประเทศฝรั่งเศส ได้ทำการช่วยชีวิตเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้ด้วยการปีนตึก 4 ชั้นชีวิตเด็กได้สำเร็จ โดยที่ไม่รีรอใดๆ (ข่าวเก่า: หนุ่มปีนไต่ตึกสูง 4 ชั้น ไม่หวั่นตัวเองร่วง จนนายกเทศมนตรีชื่นชม) Mamoudou Gassama วัย 22 ปี ได้รับคำชื่นชมจากทั้งนายกเทศมนตรีและชาวเมืองปารีสอย่างล้นหลาม จากการกระทำอันเสียสละโดยที่ไม่คำนึงถึงสิ่งใด นอกจากชีวิตของเด็กชายผู้ตกอยู่ในอันตราย ล่าสุดนี้ เขาได้เข้าพบกับ Emmanuel Macron ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เพื่อรับประกาศนียบัตรพร้อมเหรียญทองเชิดชูความกล้าหาญและความเสียสละ ในระหว่างนั้น เขาและประธานาธิบดีได้นั่งพูดคุยอย่างเป็นกันเอง โดยที่เจ้าตัวได้บอกไว้ว่า ‘ผมไม่ทันได้คิดอะไร ผมปีนขึ้นไปทันทีและพระเจ้าก็ช่วยผม’ ทางด้านประธานาธิบดี Macron ได้ทำการขอบคุณเป็นการส่วนตัว และพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการเปลี่ยนสถานะให้ Gassama จากผู้ลี้ภัยกลายมาเป็นพลเมืองของฝรั่งเศสในทันที อีกทั้งประธานาธิบดีจะมอบตำแหน่งหน้าที่การงาน ให้เขาได้เป็นหนึ่งในหน่วยกู้ภัยดับเพลิงประจำกรุงปารีส เพื่อนำทักษะที่เขามีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทางด้านสื่อท้องถิ่นต่างร่วมใจกันทำข่าวยกย่องให้กับวีรบุรษไร้ผ้าคลุมคนนี้ จากวีรกรรมช่วยชีวิตเด็กที่เปลี่ยนชีวิตตัวเขาเองได้ในพริบตา… ที่มา :…
-
เผยสภาพอันย่ำแย่ภายในค่ายลี้ภัย Moria ต้องรองรับผู้ลี้ภัย 7,000 คน สวรรค์ที่ไม่มีจริงอีกต่อไป…
ประเทศซีเรีย ยังคงอยู่ในช่วงของภาวะสงครามมาจนถึงปัจจุบัน จนทำให้ผู้คนจำนวนมากตัดสินใจลี้ภัยออกมา เพื่อหวังจะมาอาศัยอยู่ในค่ายอพยพเพราะเชื่อว่าจะได้พบกับชีวิตที่ดีกว่าเดิม แต่ความเป็นจริงมันกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้นซะทีเดียว หนึ่งในค่ายที่มีผู้อพยพไปเป็นจำนวนมากคือค่ายลี้ภัย Moria ตั้งอยู่บนเกาะเลสบอส ประเทศกรีซ ค่ายแห่งนี้เคยเป็นคุกมาก่อน เคยจุคนได้ 2,000 คน แต่ในปัจจุบันมันได้กลายเป็นค่ายที่มีผู้อพยพอาศัยอยู่มากกว่า 7,000 คน และได้ชื่อว่าเป็น “ค่ายอพยพที่เลวร้ายที่สุดในยุโรป” ค่ายลี้ภัย Moria สถานที่ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้อพยพในยุโรป เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าการใช้ชีวิตกันอย่างแออัดและถูกล้อมด้วยกำแพงรอบด้านของคนเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง เพราะภายในเขตรั้วไม่สามารถนำกล้องเข้าไปได้ สำนักข่าว BuzzFeed เคยพยายามเข้าไปบันทึกภาพภายในสถานที่นี้ แต่ก็ถูกจับกุมตัวโดยเจ้าหน้าที่เสียก่อน ซึ่งให้เหตุผลกับสื่อว่า การเข้ามาถ่ายรูปภายในค่ายอพยพถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย จนกระทั่งผู้อพยพใช้วิธีการส่งต่อภาพภายในนั้นผ่าน WhatsApp ด้วยสัญญาณมือถือ เพื่อให้คนด้านนอกรับรู้ว่าการใช้ชีวิตของพวกเขาเลวร้ายมากขนาดไหน ทางเดินที่เต็มไปด้วยเต็นท์จำนวนมาก (หากดูไม่ได้ ให้กดที่ลิงก์ Twitter) This one taken after a recent rainstorm, shows the pathways of #MoriaCamp lined with ad…
-
ร่วมลิ้มลองอาหารฮาลาล จากฝีมือของผู้ลี้ภัยชาวซีเรียและอัฟกัน ที่พำนักชั่วคราวในไทย…
หลายๆ คนอาจเคยได้ทราบข่าวคราวของสงครามซีเรีย ที่มีความขัดแย้งกันยาวนานมาเกือบ 7 ปี การปะทะกันจากหลายๆ ฝ่ายกลางเมืองซีเรีย ทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่กลายมาเป็นคนไร้บ้าน ต้องอพยพออกจากบ้านเกิดเพื่อลี้ภัยไปยังประเทศอื่นๆ มีชาวซีเรียและชาวอัฟกันส่วนหนึ่งได้เดินทางมาลี้ภัยที่ประเทศไทย โดยได้รับการช่วยเหลือจาก องค์การ The UN Refugee Agency หรือ UNHCR ให้ที่พำนักชั่วคราว เพื่อเตรียมส่งตัวไปยังประเทศที่สามต่อไป และในระหว่างที่ผู้ลี้ภัยบางส่วนที่ได้มาพำนักอยู่ภายในประเทศไทย ก็ได้พยายามทำในสิ่งที่พวกเขาพอจะทำได้เพื่อประทังชีวิต หาเลี้ยงตัวเองด้วยการทำอาหารออกมาขาย โดยที่ไม่รอเงินช่วยเหลือจากองค์กรต่างๆ เพียงอย่างเดียว ทางด้านสมาชิกเว็บพันทิปหมายเลข 1811852 จึงได้ตั้งกระทู้เพื่อประชาสัมพันธ์ได้ชาวเน็ตได้รับรู้ หลังจากที่ได้ไปแวะเวียนเยี่ยมชม และซื้ออาหารที่ศูนย์กลางอิสลามในซอยรามคำแหง 2 โดยอาหารที่นำมาขายล้วนแต่เป็นอาหารที่มาจากฝีมือของผู้ลี้ภัยชาวซีเรียและชาวอัฟกันทั้งสิ้น อาหารที่ทางผู้ลี้ภัยได้นำมาขายแต่ละอย่างนั้น มีความน่ากินมากๆ อย่างแรกคือ Pastry รสชาติกลมกล่อม หอมเครื่องเทศ มีทั้งไส้เนื้อ ไส้ไก้ และไส้ชีส ในราคาเพียงชิ้นละ 20 บาท ส่วนคุณลุงท่านนี้ขายฮัมมัสเป็นอาหารประเภทจิ้ม ไว้ทานกับแป้งนาน ในราคา 50 บาท อีกทั้งยังมีเคบับไก่ในราคา 60 บาทอีกด้วย …
-
Hyeonseo Lee สาวผู้หนีออกจากเกาหลีเหนือนับ 10 ปี เพื่อตามหาอิสรภาพให้เธอและครอบครัว…
ตอนนี้ถ้าหากพูดถึงเกาหลีเหนือ คงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักประเทศนี้แน่ๆ หนึ่งในประเทศที่มีการปกครองแบบเผด็จการประเทศหนึ่งในแถบภูมิภาคเอเชีย เรื่องราวความโหดร้ายและความเป็นอยู่ของวิถีชีวิตแบบชาวเกาหลีเหนือนั้นพวกเราหลายคนคงจะพอทราบกันมาแล้วบ้างตามสื่อหรือหนังสือต่างๆ และวันนี้เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจชีวิตของชาวโสมแดงมากยิ่งขึ้น เราจึงได้นำเรื่องราวของสาวชาวเกาหลีเหนือผู้หนึ่ง ที่ทำการหลบหนีออกมาจากแผ่นดินแม่ของตนเอง และนำเรื่องราวความยากลำบากของเธอมาเปิดเผยบนเวที Ted Talks Hyeonseo Lee หญิงสาวชาวเกาหลีเหนือที่เติบโตมาในดินแดนเผด็จการ เธอบอกว่าในตอนเด็กๆ เธอคิดว่าเกาหลีเหนือคือประเทศที่ดีที่สุดในโลก จากข่าวและข้อมูลที่รัฐบาลคอยป้อนให้เธอตั้งแต่อายุยังน้อย วันหนึ่งหลังจากที่ประเทศของเธอถูกภัยแล้งเข้าเล่นงาน ความอดอยากและความตายเริ่มมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 1995 แม่ของเธอได้รับจดหมายจากน้องสาวของเพื่อนร่วมงานเล่าถึงความอดอยากที่พวกเขากำลังประสบอยู่ และหลังจากนั้นไม่นานสาวน้อยจึงถูกส่งตัวไปอยู่กับญาติห่างๆ ที่ประเทศจีน Hyeonseo Lee ได้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของผู้ลี้ภัยชาวกาหลีเหนือในประเทศจีน เธอเล่าถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ ในแผ่นดินใหญ่ เนื่องจากหากถูกจับได้ Hyeonseo จะต้องถูกส่งตัวกลับประเทศและได้รับโทษอย่างหนัก หลังจากที่หลบซ่อนตัวนานกว่า 10 ปีเธอกลับไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่เกาหลีใต้ แต่แล้ว Hyeonseo ก็ได้รับข่าวร้ายว่าทางการเกาหลีเหนือจับได้ว่าเธอแอบบติดต่อกับทางครอบครัว และพวกเขากำลังจะถูกลงโทษ Hyeonseo ตัดสินใจเดินทางไปช่วยครอบครัว พวกเขาต้องเดินทางกว่า 3,000 กิโลเมตร ผ่านชายแดนจีนมายังประเทศลาวและเจออุปสรรคมากมาย เธอบอกว่าการได้รับอิสรภาพของเธอและครอบครัวนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังมีครอบครัวชาวเกาหลีเหนืออีกจำนวนหนึ่งที่เลือกเส้นทางเหมือนกับเธอ พวกเขายังคอยส่งข่าวสารให้กับครอบครัวที่อยู่ในเกาหลีเหนือ เธอและผู้อพยพคนอื่นๆ หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นได้ เรื่องราวของ Hyeonseo สร้างแรงบันดาลและให้ข้อคิดกับคนดูได้อย่างมากการหนีเพื่ออิสรภาพของเธอทำให้ผู้คนทั่วโลกได้เข้าใจถึงความยากลำบากและวิถีชีวิตของคนเกาหลีเหนือ…
-
ทัวร์ภายใน “เรือนจำ” ที่ปิดตัวของเนเธอร์แลนด์ วันนี้ถูกเปลี่ยนเป็นบ้านผู้ลี้ภัยแล้ว…
ก่อนหน้านี้เราคงได้เห็นข่าวคราวเรื่องของเรือนจำ จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ต้องถูกปิดตัวลงไปหลายแห่งอันเนื่องมาจากอัตราการก่อเหตุอาชญกรรมของชาวเมืองที่นั่น ลดลงอย่างน่าใจหาย และปัจจุบันสถานที่เรือนจำเหล่านั้นถูกเปลี่ยนให้เป็นบ้านพักสำหรับผู้ลี้ภัย พวกเขายินดีต้อนรับคนจากทุกเชื้อชาติไม่ว่าจะเป็น ซีเรีย อิรัก หรือลิเบีย ที่ต้องการจะหลบหนีสงคราม และเริ่มต้นสร้างชีวิตใหม่ เราตามไปดูกันเลยว่าปัจจุบันเรือนจำเหล่านั้นจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน ในปี 2015 เนเธอร์แลนด์คาดว่ามีผู้ลี้ภัยเข้ามามากถึง 60,000 คน นี่คือตัวอย่างของเรือนจำจากเมือง Haarlem ที่ถูกเปลี่ยนมาเป็นที่พักอาศัยของผู้ลี้ภัย ทางรัฐบาลได้จัดแบ่งโซนไว้ชัดเจนสำหรับชายหญิง เพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ‘ความปลอดภัยของพวกเขา เป็นเหมือนภารกิจหนึ่งของเรา ประเทศเราอาจใหม่สำหรับพวกเขา และนั่นก็เป็นหน้าที่เราที่ต้องคอยดูแลทุกคน’ Menno Schot ผู้ดูแลเรือนจำกล่าว อ้างอิงจากสื่อ AP ผู้ลี้ภัยหลายคนบอกว่าชีวิตของพวกเขาดีขึ้นเยอะ ไม่ว่าจะเรื่องอาหาร และการอยู่อาศัย ประตูที่เหล็กที่เคยใช้คุมขังนักโทษ ตอนนี้ก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นประตูที่มอบความปลอดภัยให้ผู้ลี้ภัยทุกคน ‘ผมไม่รู้สึกว่าเราอยู่ในคุกเลยแม้แต่น้อย เพราะที่นี่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยมากกว่าบ้านเกิดเราซะอีก’ ผู้ลี้ภัยวัย 16 ปี คนหนึ่งให้สัมภาษณ์ ผู้ลี้ภัยหลายคนยังเป็นวัยรุ่น บ้างก็อพยพมากับครอบครัว บ้างก็ต้องหลบหนีมาตัวคนเดียว อย่างเช่น Shazia Lutfi สาววัย 19 จากอัฟกานิสถานคนนี้ …
-
ชายหนุ่มอพยพ บุกไปช่วยชีวิตเด็กในบ้านไฟไหม้ ลงเอยด้วยการถูกส่งกลับประเทศเดิม!?
เรื่องราวที่กำลังเป็นดราม่าและถกเถียงกันแบบเบาๆ ในโลกออนไลน์ของต่างประเทศ จากเหตุการณ์ที่ชายคนหนึ่งได้สร้างวีรกรรมสุดกล้าหาญด้วยการเข้าไปช่วยเด็กสาวสองคนออกมาจากบ้านที่กำลังไหม้ แต่ทว่ารางวัลที่เขาได้กลับมา กับเป็นรางวัลส่งตัวเขาเองกลับไปยังประเทศบ้านเกิดซะงั้น… Robert Chilowa 46 ปี ได้รับการยกย่องจากวีรกรรมที่เขาเข้าไปช่วยเด็กๆ ในบ้านของพื่อนบ้านที่กำลังไฟไหม้ในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ หนุ่มชาวซิมบับเวคนนี้เข้าไปช่วยเด็กน้อย 2 คนจากจากบ้านที่กำลังลุกไหม้ พร้อมบอกให้เด็กทั้งสองเกาะเขาไว้จนหนีออกมาได้สำเร็จ แต่ทว่าเรื่องกลับไม่ได้แฮปปี้เอนดิ้ง เพราะกลายเป็นว่าจากเหตุนี้ทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นมาในละแวก และยังต้องเป็นพยานให้กรณีที่บ้านไฟไหม้ มันก็ดูปกติเว้นแต่ว่า… เขาเป็นคนเข้าเมืองที่ผิดกฎหมายนั่นเอง สุดท้ายเขาก็เลยถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองทำเรื่องส่งตัวเขากลับไปที่ประเทศซิมบับเวบ้านเกิดของเขาซะงั้น แถมเขายังไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เลย เขาบอกว่าเขามาอยู่ที่นี้มาตั้งแต่ 2001 แล้วแต่ผลตอบแทนที่เขาได้รับมันเหมือนการตบเข้าที่หน้าของเขาแรงๆ ถึงแม้เขาจะได้รับการยกย่องจากทั้งตำรวจท้องถื่นและเจ้าหน้าที่ดับเพลิง แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย “หัวใจผมถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อผมรู้ถึงเรื่องที่ผมต้องเผชิญต่อจากนี้ ไม่ได้ทำอะไรผิด ผมไม่มีแม้แต่ประวัติอาชญากรรมอะไรเลยแท้ๆ ใครก็ได้ช่วยเห็นใจผมที” ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องถูกส่งกลับไปประเทศซิมบับเวภายในเดือนมีนาคมที่จะนี้อยู่ดี สุดท้ายชายคนนี้ก็ไม่ได้พูดถึงสาเหตุของของการไม่อยากกลับไปที่ประเทศบ้านเกิดของเขา เขาถูกตัดรายได้ทั้งหมด และถูกบีบบังคับให้ต้องออกจากบ้าน เพื่อที่จะได้ส่งเขากลับประเทศบ้านเกิด จากเพลิงไหม้ในครั้งนั้นทำให้ Mohammed Awad วัย 56 และ Hasma Awad วัย 47 ซึ่งเป็นคุณปู่และคุณย่าของเด็กทั้งสองที่ Robert ได้ช่วยไว้ ต้องตายจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น…
-
ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียบอกเล่าประสบการณ์เสี่ยงตาย ว่ายน้ำข้ามทะเลกว่าเจ็ดชั่วโมงเพื่อเริ่มชีวิตใหม่
เราต่างก็ได้รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับความยากลำบากของชาวซีเรียที่สูญเสียทุกอย่างไป ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน เงินทอง รวมไปถึงชีวิต ซึ่งชาวซีเรียก็ได้กลายมาเป็นผู้ลี้ภัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสาเหตุของสงครามกลางเมืองอันวุ่นวาย ทำให้บ้านที่เคยอยู่กลายเป็นแดนสงคราม สงครามกลางเมืองในซีเรีย ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียต่างรู้ดีว่าชะตาชีวิตของพวกเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย หากยืดหยัดอยู่ในซีเรียก็คงมีค่าไม่ต่างไปจากการรอความตาย เพราะฉะนั้นหลายคนจึงเลือกที่จะทิ้งดินแดนเดิมของตนและลี้ภัยไปต่างประเทศ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางที่เฝ้าฝันเอาไว้ Ameer Mehtr ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่ว่ายน้ำข้ามทะเลจากตุรกีไปยังกรีซ แต่สำหรับ Ameer Mehtr ผู้ลี้ภัยที่เสี่ยงตายเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน จากการตัดสินใจวิ่งหนีสุดชีวิตไม่คิดหันหลังกลับ พึ่งพาร่างกายของตนเองเพื่อตามหาชีวิตใหม่ เนื่องจากเขาไม่มีเงินเพียงพอที่จะว่าจ้างคนพาข้ามประเทศได้ เขาได้รับการฝึกฝนการว่ายน้ำมาจากทีมชาติซีเรีย และด้วยการฝึกฝนที่ได้รับมาเขาจึงวางแผนที่จะว่ายน้ำข้ามทะเลเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในยุโรป ข้ามฝั่งจากประเทศตุรกีผ่านทะเลอีเจียนไปยังเกาะ Samos ประเทศกรีซ ก่อนที่จะว่ายน้ำข้ามทะเลด้วยระยะทางเพียงแค่ 4 ไมล์ (6.4 กิโลเมตร) นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาต้องเตรียมความพร้อมให้ร่างกายเสียก่อน ด้วยการฝึกว่ายน้ำในทะเลริมชายฝั่งในเมืองเบรุต ประเทศเลบานอน ซึ่งก็ได้ลี้ภัยมาอยู่ที่นี่ได้ซักระยะแล้ว ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียเดินทางข้ามละเทด้วยเรือยาง หลังจากนั้นในเดือนกันยายน เขารู้สึกว่าตอนนี้ร่างกายและจิตใจพร้อมที่จะไปแล้ว ก็ได้ทำการศึกษาแผนที่อย่างเคร่งครัดเพื่อที่จะค้นหาเส้นทางที่สั้นที่สุด จนกระทั่งถึงคืนที่ต้องไป เขาก็ได้ลักลอบเข้าเมือง Güzelçamlı ของประเทศตุรกี วิ่งหนีอย่างสุดชีวิตเพื่อหลบหนีการจับกุมของตำรวจตุรกี…
-
หนูน้อยชาวเยอรมัน ต้อนรับหนูน้อยผู้ลี้ภัยอย่างอบอุ่น โดยการให้ขนม เห็นแล้วน่าประทับใจจริงๆ
นี่คือคลิปวีดีโอสุดประทับใจ ที่ถูกบันทึกไว้ได้โดยผู้สื่อข่าวจากเอ็นบีซีนิวส์ในลอนดอนนามว่า Cassandra Vinograd ที่ได้ลงพื้นที่ติดตามการมาถึงของกลุ่มผู้ลี้ภัยในประเทศเยอรมนีและออสเตรีย โดยในคลิปวีดีโอนี้แสดงให้เห็นถึงความน่ารักของหนูน้อยชาวเยอรมันวัยราว 2-3 ขวบ กำลังยื่นขนมให้กับหนูน้อยลี้ภัยรุ่นราวคราวเดียวกันคนหนึ่ง ที่เพิ่งเดินทางมาถึงประเทศ งานนี้ทำเอาผู้ที่ได้พบเห็นต้องอมยิ้มไปตามๆ กันเลยทีเดียว ช่างเป็นโมเม้นต์ที่น่ารักเสียจริง มาชมคลิปความน่ารักของหนูน้อยกันเลย นอกจากนี้ทางเว็บไซต์ต่างประเทศได้รายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน ที่ผ่านมา ชาวเยอรมันจำนวนมากได้ไปรอต้อนรับ และให้ความช่วยเหลือบรรดาผู้ลี้ภัย ที่เพิ่งเดินทางมาถึงสถานีรถไฟถึง 10,000 คน แถมยังมีการร้องเพลง ให้ขนม และของเล่นอีกด้วย ถือเป็นการต้อนรับที่อบอุ่นจริงๆ ที่มา : metro
-
คุณพ่อผู้ลี้ภัยชาวซีเรียต้องขายปากกาประทังชีวิต น้ำใจจากทั่วโลกจึงร่วมเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เขา!!
นับตั้งแต่เกิดสงครามภายในประเทศซีเรียตั้งแต่ปีค.ศ. 2011 ทำให้ชาวซีเรียต้องอพยพหนีออกนอกประเทศ ทิ้งบ้านเกิดของตัวเพื่อหาที่ปลอดภัย แต่ทว่าการหลบอยู่ในค่ายลี้ภัยนี้มีผู้คนเป็นจำนวนมาก จึงไม่เพียงพอต่อการอยู่อาศัย นำไปสู่การลี้ภัยเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน หนึ่งในความโศกเศร้าที่ทั่วโลกได้รับรู้ก็คือผู้ลี้ภัยชาวซีเรียเป็นจำนวนมากต้องพยายามหาทางเอาชีวิตรอดในแต่ละวันด้วยความยากลำบาก เนื่องจากเป็นผู้ลี้ภัยจึงไม่สามารถทำอะไรได้มากนอกจากเสียว่าขายของเล็กๆ น้อยๆ ประทังชีวิตอย่างเช่นคุณพ่อผู้ลี้ภัยชาวซีเรียรายนี้ ที่ขายปากกาอยู่ริมถนนในประเทศเลบานอน ต้องมีใครซักคนช่วยเหลือเขาเป็นการด่วน และด้วยเหตุนี้เอง Gissur Simonarson นักเคลื่อนไหวจากประเทศนอร์เวย์ได้ถ่ายทอดเรื่องราวอันน่าเศร้านี้ให้ชาวโลกได้รับรู้และรวบรวมเงินบริจาคสบทบโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 5,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 179,000 บาท) เวลาผ่านไปเพียง 3 วัน ยอดบริจาคจากทั่วโลกได้ทะลุไปถึง 142,038 ดอลลาร์แล้ว (ประมาณ 5,000,000 บาท) ทราบชื่อภายหลังก็คือนาย Abdul เขามีลูกสาววัย 4 ขวบ Reem ลูกชายวัย 9 ขวบ Abdelillah ยอดการบริจาคทั้งหมดที่ได้รับนั้นจะนำมาช่วยเหลือครอบครัวของเขา นำมาเป็นค่าเล่าเรียนให้กับลูกๆ และจะนำไปช่วยเหลือผู้ลี้ภัยรายอื่นๆ ด้วย จากภาพที่สะเทือนใจผู้คนทั่วโลกนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของชีวิตเขาไปตลอดกาล ไม่น่าเชื่อเลยว่าน้ำใจจากทั่วโลกจะหลั่งไหลได้มากมายถึงขนาดนี้…