Tag: ผู้อพยพ
-
ความดีที่คู่ควร ‘ฮีโร่สไปดี้ฝรั่งเศส’ ปีนตึกช่วยเด็กน้อย ได้บรรจุเป็นเจ้าหน้าที่แล้ว!!
ด้วยความกล้าหาญของชายชาวมาลีคนหนึ่ง จากสถานะผู้อพยพอันต่ำต้อยในสังคมใหญ่ สู่การเป็นฮีโร่ช่วยชีวิตเด็ก ได้รับคำชื่นชมจากประชาชนคนทั่วไป รวมถึงประธานาธิบดีฝรั่งเศส จนได้เลื่อนสถานะตัวเองกลายเป็นพลเมือง และนำไปสู่ตำแหน่งหน้าที่การงานอันมั่นคง ชื่อของเขาคือนาย Mamoudou Gassama ผู้อพยพชาวมาลี เขาได้ทำการปีนตึก 4 ชั้น เพื่อช่วยชีวิตเด็กวัย 4 ขวบ ที่กำลังห้อยอยู่ริมระเบียงได้อย่างรวดเร็วในช่วงเดือนพฤษภาคม การเข้าพบกับประธานาธิบดีฝรั่งเศส แอมานุแอล มาครง จากรายงานที่ผ่านมา เขาได้เข้าพบกับประธานาธิบดีฝรั่งเศส พร้อมรับคำมั่นสัญญาในเรื่องของสถานะการเป็นพลเมืองของฝรั่งเศส และการตอบรับเข้าทำงานกับหน่วยดับเพลิงและกู้ภัย Paris Fire Brigade หลังจากนั้น Mamoudou Gassama ก็ได้เข้าเยี่ยมชมหน่วย Paris Fire Brigade พร้อมกับเข้ารับการฝึกฝนในช่วงที่ผ่านมา หลังจากข่าวคราวเริ่มเงียบหายไป… 24 nouveaux volontaires service civique dont Mamoudou Gassama ont rejoint…
-
เพราะเป็นเด็กต้องช่วย!! หนุ่มปีนไต่ตึกสูง 4 ชั้น ไม่หวั่นตัวเองร่วง จนนายกเทศมนตรีชื่นชม
การจะเป็นฮีโร่ในชีวิตจริงนั้น คุณไม่จำเป็นจะต้องแต่งตัวให้ดูดีมีเอกลักษณ์ ไม่ต้องสวมผ้าคลุมไว้บนบ่า เพราะถ้าหากมัวแต่แต่งตัวอาจจะช่วยชีวิตคนไม่ทันก็เป็นได้!! ใครจะรู้ล่ะว่า ช่วงวินาทีชีวิตของคนที่ตกอยู่ในอันตรายนั้นจะสามารถยื้อเวลาได้นานแค่ไหน… เพราะฉะนั้นแล้วหากใครคนหนึ่งกล้าหาญชาญชัย พร้อมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อช่วยอีกหนึ่งชีวิต ก็ต้องลงมือทันทีไม่ต้องคิดอะไรอื่น เหตุเกิดขึ้นในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ณ บริเวณแฟลตขนาด 4 ชั้น ปรากฎเป็นภาพของเด็กชายวัย 4 ขวบ กำลังห้อยตัวลงมาจากระเบียง โดยที่ไม่มีใครรู้ชะตากรรมว่าเด็กชายจะทนได้อีกนานแค่ไหน . แต่แล้วฮีโร่ในชีวิตจริง ทราบนามว่า Mamoudou Gassama ชาวมาลี ใช้วิชาตัวเบาของตนปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว!! จนกระทั่งสามารถคว้าตัวเด็กชายมาได้สำเร็จ และรอดปลอดภัยทั้งคู่ ท่ามกลางเสียงเชียร์จากประชาชนด้านล่างที่เห็นเหตุการณ์ จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทางด้าน Anne Hidalgo นายกเทศมนตรีปารีส ได้กล่าวยกย่องและทำการขอบคุณเขาเป็นการส่วนตัวด้วย Un grand bravo à Mamoudou Gassama pour son acte de bravoure qui a permis…
-
ชายรำคาญเพื่อนร่วมชั้นมาทั้งเทอม แต่ต้องเปลี่ยนไปเมื่อรู้ว่าเขาแค่พยายามเป็นเพื่อนด้วย
“อย่าตัดสินคนจากภายนอก” คงเป็นประโยคที่เพื่อนๆ สามารถได้ยินบ่อยๆ ซึ่งมีไว้ให้เราตระหนักถึงการไม่รีบตัดสินคนอื่น เพียงแค่รู้จักกันเผินๆ หรือไปได้ยินจากที่อื่นมา ควรต้องรู้จักเขาถ่องแท้เสียก่อนถึงจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นคนอย่างไร เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Thomas Mcfall นักศึกษาคนหนึ่งได้แชร์ประสบการณ์สุดซึ้งที่จะทำให้หัวใจหลายๆ คนอบอุ่นจากการที่เขาเคยตัดสินคนอื่นเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น นี่คือ Tomas Mcfall เจ้าของเรื่องที่เราจะนำมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันวันนี้ “เฮ้ ทุกคน ผมรู้ว่าปกติผมชอบโพสต์มุขกากๆ ลงในทวิตเตอร์ แต่ตอนนี้มีบางอย่างเกิดขึ้นกับผม ผมอยากจะแชร์มัน เรื่องมันคือหนึ่งในคลาสเรียนการจัดการ ผมจะนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิมทุกๆ วัน และตอนนี้ก็มีนักเรียนต่างชาติมานั่งอยู่ข้างๆ ที่นั่งของผม” “เขาแทบจะพูดอังกฤษไม่ได้ด้วยซ้ำ ประโยคที่ซับซ้อนที่สุดที่ผมเคยได้ยินเขาพูดคือ ‘ว้าว มัฟฟินของฉันนี่มันอร่อยจริงๆ’ ชายคนนี้ยังมีงานอดิเรกคือชอบกองของทุกอย่างของเขาเข้ามาในพื้นที่ที่ผมนั่งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า อาหารของเขา หนังสือและโทรศัพท์ ที่มักจะมาอยู่ในพื้นที่โต๊ะของผมตลอด” “ตอนนี้ ทุกครั้งที่ผมเดินเข้ามาในห้อง ชายคนนี้จะพูดว่า ‘อ่า Tom นายมาแล้ว โอเค’ และก็จะเริ่มเก็บกวาดของของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะผมไป จากนั้นก็จะพูดกับผมว่า ‘พร้อมสำหรับคลาสเรียนแล้วใช่มะ?’ แล้วก็จะทำไฮไฟว์กับ ซึ่งทุกๆ วันเขาก็จะทำไฮไฟว์กับผมเสมอ” “ผมเคยรำคาญชายคนนี้ตลอดมา…
-
4 หนุ่มลักลอบข้ามชายแดนสเปน แม้กระโปรงหน้ารถจะมีเครื่องยนต์ ก็ยังอุตส่าห์ยัดไปได้!?
เศรษฐกิจในยุคปัจจุบันนั้นอาจจะเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ การย้ายถิ่นที่อยู่จึงอาจเป็นทางเลือกสุดท้ายของพวกเขาเหล่านี้ แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะข้ามชายแดน จึงได้มีการคิดค้นวีธีใหม่ๆ เพื่อหลบหลีกด่านรักษาความปลอดภัยให้ได้ เว็บไซต์ต่างประเทศได้รายงานถึงผู้ต้องหาลักลอบเข้าชายแดนจำนวน 4 คน ที่ถูกจับขณะที่หลบซ่อนอยู่ภายในรถยนต์ กำลังลักลอบเข้ามาในดินแดนแอฟริกาเหนือของเมืองเมลียา โดยพบ 2 คน ซ่อนตัวอยู่ในท้ายรถยนต์ ส่วนอีกคนถูกพบในกระโปรงหน้ารถ และคนที่ 4 รายงานบอกว่าพบอยู่ใต้หน้าปัดของรถยนต์ คนขับและผู้โดยสารก็ถูกคุมขังด้วยเช่นกัน ตำรวจทั้ง 2 คนที่มีส่วนร่วมในการจับกุมผู้ต้องหาลักลอบนั้นได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากโดนตีเข้าที่หัวเข่า และอีกคนโดนตีเข้าที่มือ ผู้ต้องหานั้นถูกรายงานว่า ลักลอบเข้าสู่ดินแดนของสเปนที่ชายแดน Beni-Enzar ระหว่าง เมลียาและโมร็อกโก รถที่ขับมานั้น ได้เร่งความเร็วและฝ่าด่านรักษาความปลอดภัย ก่อนที่คนขับและผู้โดยสารจะทิ้งรถและได้หลบหนีไป ถึงแม้ว่าจะมีการหลบหนีแต่ก็ไม่พ้นเงื้อมมือตำรวจ ถูกจับได้ในที่สุด และภายหลังก็ได้พบกับผู้ต้องหาลักลอบเข้าชายแดนซ่อนอยู่ในรถในเวลาถัดมา เมลียาและเซลตา ที่อยู่ห่างจากเขตเหนือของแอฟริกาประมาณ 250 ไมล์ มักจะเป็นจุดที่ผู้อพยพลักลอบเข้ามา โดยมีแค่ 2 ชายแดนเท่านั้น ระหว่างแอฟริกากับสหภาพยุโรป หลายปีที่ผ่านมา มีผู้อพยพจำนวนกว่าพันคน ที่พยายามข้ามขายแดน 7.5 ไมล์ ระหว่างเมลียากับโมร็อกโก…
-
นักท่องเที่ยวถึงกับงง เมื่อเรือผู้อพยพเข้าเทียบชายหาดสเปน ก่อนแห่วิ่งเข้าเมืองจ้าละหวั่น!?
เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2017 ทางสำนักข่าวเดลีเมล์ได้เผยภาพพร้อมคลิปวีดีโอ ขณะที่เรือบรรทุกผู้อพยพชาวแอฟริกันหลายสิบคนได้เข้าเทียบฝั่งที่ชายหาด ณ เมืองกาดิซ ประเทศสเปน งานนี้บอกเลยว่าสร้างความงุนงงให้กับบรรดานักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก จากการรายงานระบุว่า เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 10 สิงหาคม 2017 โดยในวันนั้นมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากกำลังเที่ยวพักผ่อนอยู่ที่ชายหาดกันแบบชิวๆ แต่จู่ๆ ก็มีเรือยางสีดำลำหนึ่งที่บรรจุผู้คนมาเต็มลำเข้าเทียบฝั่ง ซึ่งนาทีนั้นเองผู้คนบนเรือต่างก็พากันกระโจนขึ้นบก พร้อมพากันวิ่งจ้าละหวั่นก่อนหายตัวไปในเวลาเพียงไม่กี่นาที สำหรับคลิปวีดีโอดังกล่าว ถูกบันทึกเอาไว้ได้โดย Carlos Sanz หนึ่งในนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปพักผ่อนยังชายหาดแห่งนี้ ซึ่งเขาก็ได้ออกมาเผยว่า กลุ่มผู้อพยพได้หายตัวไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงยังที่เกิดเหตุ ก็ไม่พบใครแล้ว ขณะที่ทางองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานได้ออกมาเผยว่า ในปีนี้จำนวนผู้อพยพเข้ามาในประเทศสเปนโดยเฉพาะทางทะเลโดยใช้เรือ หรือแม้กระทั่งเจ็ตสกี จะมีมากกว่าในประเทศกรีซ โดยตามตัวเลขล่าสุดใน IOM ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 6 สิงหาคม 2017 มีผู้คนอพยพมาในสเปนปีนี้มากถึง 8,200 คนแล้ว Joel Millman โฆษกของ IOM ได้ออกมากล่าวว่า “นี่อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่…
-
Hyeonseo Lee สาวผู้หนีออกจากเกาหลีเหนือนับ 10 ปี เพื่อตามหาอิสรภาพให้เธอและครอบครัว…
ตอนนี้ถ้าหากพูดถึงเกาหลีเหนือ คงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักประเทศนี้แน่ๆ หนึ่งในประเทศที่มีการปกครองแบบเผด็จการประเทศหนึ่งในแถบภูมิภาคเอเชีย เรื่องราวความโหดร้ายและความเป็นอยู่ของวิถีชีวิตแบบชาวเกาหลีเหนือนั้นพวกเราหลายคนคงจะพอทราบกันมาแล้วบ้างตามสื่อหรือหนังสือต่างๆ และวันนี้เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจชีวิตของชาวโสมแดงมากยิ่งขึ้น เราจึงได้นำเรื่องราวของสาวชาวเกาหลีเหนือผู้หนึ่ง ที่ทำการหลบหนีออกมาจากแผ่นดินแม่ของตนเอง และนำเรื่องราวความยากลำบากของเธอมาเปิดเผยบนเวที Ted Talks Hyeonseo Lee หญิงสาวชาวเกาหลีเหนือที่เติบโตมาในดินแดนเผด็จการ เธอบอกว่าในตอนเด็กๆ เธอคิดว่าเกาหลีเหนือคือประเทศที่ดีที่สุดในโลก จากข่าวและข้อมูลที่รัฐบาลคอยป้อนให้เธอตั้งแต่อายุยังน้อย วันหนึ่งหลังจากที่ประเทศของเธอถูกภัยแล้งเข้าเล่นงาน ความอดอยากและความตายเริ่มมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 1995 แม่ของเธอได้รับจดหมายจากน้องสาวของเพื่อนร่วมงานเล่าถึงความอดอยากที่พวกเขากำลังประสบอยู่ และหลังจากนั้นไม่นานสาวน้อยจึงถูกส่งตัวไปอยู่กับญาติห่างๆ ที่ประเทศจีน Hyeonseo Lee ได้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของผู้ลี้ภัยชาวกาหลีเหนือในประเทศจีน เธอเล่าถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ ในแผ่นดินใหญ่ เนื่องจากหากถูกจับได้ Hyeonseo จะต้องถูกส่งตัวกลับประเทศและได้รับโทษอย่างหนัก หลังจากที่หลบซ่อนตัวนานกว่า 10 ปีเธอกลับไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่เกาหลีใต้ แต่แล้ว Hyeonseo ก็ได้รับข่าวร้ายว่าทางการเกาหลีเหนือจับได้ว่าเธอแอบบติดต่อกับทางครอบครัว และพวกเขากำลังจะถูกลงโทษ Hyeonseo ตัดสินใจเดินทางไปช่วยครอบครัว พวกเขาต้องเดินทางกว่า 3,000 กิโลเมตร ผ่านชายแดนจีนมายังประเทศลาวและเจออุปสรรคมากมาย เธอบอกว่าการได้รับอิสรภาพของเธอและครอบครัวนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังมีครอบครัวชาวเกาหลีเหนืออีกจำนวนหนึ่งที่เลือกเส้นทางเหมือนกับเธอ พวกเขายังคอยส่งข่าวสารให้กับครอบครัวที่อยู่ในเกาหลีเหนือ เธอและผู้อพยพคนอื่นๆ หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นได้ เรื่องราวของ Hyeonseo สร้างแรงบันดาลและให้ข้อคิดกับคนดูได้อย่างมากการหนีเพื่ออิสรภาพของเธอทำให้ผู้คนทั่วโลกได้เข้าใจถึงความยากลำบากและวิถีชีวิตของคนเกาหลีเหนือ…
-
เด็กผู้อพยพชาวซีเรียนั่งเฝ้าสุนัขที่ได้รับบาดเจ็บ รอคอยอยู่เคียงข้างจนเจ้าหน้าที่มาถึง…
แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากจากภัยสงครามจนต้องกลายเป็นผู้อพยพลี้ภัยยังประเทศอื่นๆ แต่ดูเหมือนว่าปัญหาเหล่านี้จะไม่ทำให้เด็กชายชาวซีเรียคนนี้สูญเสียจิตใจอันเมตตาไปแม้แต่น้อย เรื่องราวอันน่าประทับใจนี้เกิดขึ้นที่เมืองคิลิส ประเทศตุรกี เมื่อ Hüseyin el-Hasan เด็กชายผู้ลี้ภัยชาวซีเรียวัย 8 ขวบ สังเกตุเห็นสุนัขตัวหนึ่งถูกรถจักรยานยนต์ชน และกระเสือกกระสนไปนอนอยู่บริเวณเกาะกลางถนน เขาอาจจะทำเป็นไม่เห็นแล้วปล่อยมันตายไปอย่างนั้นก็ได้ แต่เปล่า เขากลับเข้าไปดูอาการเจ้าหมาตัวนั้น แม้เขาจะไม่สามารถบรรเทาอาการบาดเจ็บของเจ้าหมาผู้โชคร้ายตัวนี้ได้ แต่เขาก็พยายามช่วยเหลือมันให้ได้มากที่สุด ด้วยการกลับไปที่บ้านของเขา และหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างของมัน และส่งสัญญาณให้คนที่ผ่านไปผ่านมา ช่วยโทรขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ ระหว่างนั้นเขาก็พยายามช่วยให้เจ้าหมาผู้โชคร้ายสบายใจ และทำให้มันรู้ว่า เขาจะอยู่เป็นเพื่อนมันจนความช่วยเหลือจะมาถึง ในที่สุด เจ้าหน้าที่จากสถานดูแลสัตว์ก็ได้เข้าถึงที่เกิดเหตุ และนำตัวเจ้าสุนัขตัวดังกล่าวไปเข้ารับการรักษาจากสัตว์แพทย์ โชคร้าย บาดแผลของเจ้าสุนัขจรจัดตัวนี้หนักหนาเกินไป ทำให้มันจากโลกนี้ไปในเวลาต่อมา เมื่อ Hüseyin ทราบข่าวอย่างนั้น เขาก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็เข้าใจได้ว่า โอกาสรอดของมันมีน้อยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ต่อมานายกเทศมนตรีของเมือง Cuma Özdemir ได้เข้าพบเด็กชาย Hüseyin ซึ่งเขาบอกว่า แม้หลายคนจะมองว่าการกระทำของเด็กชายเป็นเรื่องไร้สาระ แต่นั่นก็แสดงให้เห็นด้านที่ดีงามที่สุดของมนุษชาติ ตอนนี้เด็กชาย Hüseyin มีสัตว์เลี้ยงใหม่แล้ว เป็นลูกแมวตัวน้อยแสนน่ารักตัวนี้ ขอให้รักษาความดีงามอย่างนี้เอาไว้นานๆ…
-
ชีวิตของ Najat Belkacem จากฐานะผู้ลี้ภัย สู่ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาฯ ฝรั่งเศส
เรื่องราวชีวิตของคนเราบางครั้งก็เป็นอะไรที่ไม่แน่นอน อาจจะเกิดเรื่องดีหรือร้ายขึ้นกับเราก็ไม่มีอาจคาดเดาได้ สิ่งที่ต้องทำก็คือก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตกันต่อไปหวังเพียงแค่ ‘โอกาส’ ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตของเรา เช่นเดียวกับเรื่องราวชีวิตของรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของประเทศฝรั่งเศสคนปัจจุบัน Najat Belkacem ที่อดีตเคยเป็นผู้ลี้ภัยมาก่อน คุณ Najat เกิดในปี 1977 ที่หมู่บ้าน Nador ที่ตั้งอยู่ในเขตชนบทของประเทศโมร็อกโก พ่อของเธอทำงานเป็นคนงานก่อสร้าง และอาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส และภายหลังก็ได้ตัดสินใจที่จะพา Najat และครอบครัวคนอื่นๆ อพยพเข้ามายังประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี 1982 ครอบครัวของเธออาศัยอยู่ในเขตรอบนอกของเมือง Amiens Najat ตั้งใจเรียนด้วยความมานะบากบั่น จนในที่สุดก็จบการศึกษาด้านรัฐศาสตร์จากสถาบัน Paris Institute of Political Studies เมื่อปี 2002 จากภูมิหลังของเธอที่เคยเป็นผู้แพยพมาก่อนจึงทำให้เข้าใจถึงหัวอกของพวกเขาได้เป็นอย่างดี หลังจากที่จบการศึกษาแล้ว Najat ก็เข้าร่วมกับพรรคสังคมนิยมเพื่อต่อสู้เรียกร้องสิทธิให้กับประชาชน ต่อต้านการแบ่งแยก และอุทิศตนเพื่อสังคมมากมาย หลังจากที่ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงช่วยเหลือผู้คนมากมายในสังคมได้ไม่นาน ต่อมาก็ได้เข้ามาทำงานให้กับสภาของแคว้น Rhône-Alpes เมื่อปี 2008 เป็นการนั่งทำงานในออฟฟิศ และในปีนั้นเอง Najat…
-
นายทหารอังกฤษ ลักลอบพาหนูน้อยอัฟกันหนีเข้าประเทศ หวังให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้น..!!
ปัจจุบันโลกของเรานั้นกำลังอยู่ในยุคที่ไม่ว่าอะไรก็รวดเร็วไปหมด ต้องทำงานแข่งกับเวลา แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันไม่สนว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไรเอาตัวเองให้รอดไว้ก่อน ทำให้คนเห็นแก่ตัว และใส่ในความรู้สึกของคนอื่นน้อยลง แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นไปซะทั้งหมดหรอกนะ…และนี่ก็คือเรื่องราวสุดประทับใจที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจ และคอยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่กัน คุณ Rob Lawrie นายทหารชาวอังกฤษวัย 49 ปี ได้อาสาสมัครไปช่วยเหลือสร้างค่ายอพยพให้กับผู้คนที่อพยพมาจากประเทศอัฟกานิสถาน ในเมือง Calais ประเทศฝรั่งเศส ก็อย่างที่บอกว่าเป็นค่ายอพยพ สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นแร้นแค้นเป็นอย่างมาก ด้วยงบของรัฐบาลที่มีจำกัด และด้วยความที่ผู้คนที่ทำการอพยพนั้นเป็นบุคคลที่ไม่มีสัญชาติ ไม่ว่าจะทำการทำงานอะไรหรือจะเดินทางเข้าไปในประเทศไหนก็ไม่สามารถทำได้ เพราะฉะนั้นทำให้เหล่าผู้อพยพทั้งหลายต้องอดทนใช้ชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้นรอวันตายอยู่ในศูนย์อพยพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในระหว่างที่ปฏิบัติภารกิจคุณ Rob Lawrie ก็ได้สนิทสนมกับเหล่าผู้อพยพทั้งหลายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคุณ Reza และลูกสาวตัวน้อยน้อย Bahar และในตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันคุณ Reza ก็ได้คะยั้นคะยอขอให้คุณ Rob พาลูกสาวไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษด้วย แต่ก็ถูกปฏิเสธทุกๆ ครั้ง ก็แหงล่ะ เพราะการลักลอบพาคนเข้าเมืองนั้นจะต้องโทษหนัก ทั้งติดคุกและถูกปรับเป็นเงินหลักล้านบาทเลยทีเดียว… รูปของคุณ Reza และหนูน้อย Bahar แต่ในคืนหนึ่งฝนได้ตกลงมาหนักมากหนูน้อย Bahar ได้นอนหนุนตักของคุณ Rob และนั่นเองก็ทำให้เขาใจอ่อนตกลงรับปากที่จะพาเธอกลับไปที่อังกฤษด้วย…
-
สาวน้อยชาวซีเรีย ที่ต้องว่ายน้ำข้ามทะเลหนีสงคราม สู่การเป็นนักว่ายน้ำโอลิมปิกไร้สัญชาติ
ขึ้นชื่อว่าสงคราม แน่นอนว่าต้องเกิดความสูญเสียกับทั้งสองฝ่าย แล้วใครที่ดือดร้อนที่สุดล่ะ?? ก็เหล่าประชาชนตาดำๆ ยังไงล่ะที่พลอยซวยไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย หนึ่งปีก่อนผู้อพยพชาวซีเรียคนหนึ่งที่มีชื่อว่า Yusra Mardini ต้องหนีตายออกจากเมือง Damascus ในซีเรียพร้อมๆ กับพี่สาวของเธอ…แต่วันนี้ เธอกลับได้กลายเป็นหนึ่งในนักกีฬาว่ายน้ำที่กำลังจะเข้าแข่งขันในโอลิมปิกที่ริโอแล้วล่ะ เบ็ดเสร็จแล้วเธอแข่งถึง 3 กีฬาเลยทีเดียว!!! ซึ่งในปีนี้เป็นครั้งแรกที่โอลิมปิกจะมี Refugee Olympic Team (ROT) จำนวน 10 คน เป็นตัวแทนของผู้ลี้ภัย 65 ล้านคนทั่วโลก มาจากทั้งประเทศซูดาน เอธิโอเปีย คองโก และแน่นอนประเทศซีเรีย ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่เกิดเหตุการณืความไม่สงบขึ้นภายในประเทศทั้งสิ้น ระหว่างพิธีเปิดของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ริโอ Mardini เดินท่ามกลางตัวแทนนักกีฬาของทีผู้อพยพ แต่ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่ใช่นักกีฬาโนเนมนะจ๊ะ เพราะทั้งเธอและน้องสาวถือว่าเป็นสตาร์รุ่นเยาว์ของคลับว่ายน้ำในประเทศซีเรียเลยทีเดียว ก่อนที่สงครามจะปะทุขึ้นและทำให้การฝึกฝนของเธอต้องจบลง พ่อแม่ของเธอก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแม้แต่น้อย พยายามย้ายครอบครัวของพวกเขาไปยังโซนปลอดภัยอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ไฟสงครามก็ลุกลามตามพวกเขามาทุกๆ ครั้ง โดยเฉพาะเมื่อบ้านหลังล่าสุดถูกทำลายลงไป Mardini และพี่สาวของเธอออกจากดามัสกัส เธอลอยข้ามทะเลมาด้วยเรือ ไปยังเกาะ Lesbos ของประเทศกรีซ พร้อมกันกับผู้อพยพชาวซีเรียอีกกว่า 20 ชีวิตด้วยกัน ตอนนั้นเองที่เครื่องยนต์ของเรือยางได้เสียไป เธอและพี่สาวด้วยความที่เป็นนักว่ายน้ำอยู่แล้ว…
-
โหดสัส!! ผู้อพยพซ่าผิดที่ ลวนลามสาวรัสเซียในผับ สุดท้ายโดนตำรวจรัสเซียตื๊บอ่วม!!
อย่างที่เราทราบข่าวกันดีว่า ในช่วงปีที่ผ่าน สงครามในซีเรียทำให้มีผู้อพยพชาวมุสลิมหลั่งไหลเข้าไปในทวีปยุโรปเป็นจำนวนมาก และบางส่วนของผู้อพยพก็เข้าไปสร้างปัญหาให้กับประเทศที่รับไปอีกด้วย อย่างเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศเยอรมันในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ผู้อพยพชาวมุสลิมนับพันคน บุกเข้าไปกลางงานเคาท์ดาวน์ในเมืองโคโลญจน์ แล้วก่อเหตุลวนลามทางเพศหญิงสาวจำนวนมาก หลังจากนั้น ทางตำรวจเยอรมันก็จับตามกุมผู้กระทำผิด และไล่ออกประเทศไปตามระเบียบ หลังจากเหตุการณ์นั้นก็เกิดกระแสต่อต้านผู้อพยพชาวมุสลิมไปทั่วประเทศและทั่วยุโรป และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เยอรมันประเทศเดียว ที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ แม้แต่ประเทศสุดโหดอย่างรัสเซีย ก็ต้องประสบกับเหตุการณ์แบบนี้เช่นกัน เรื่องราวมีอยู่ว่า กลุ่มผู้อพยพชาวมุสลิมราว 50 คนที่เพิ่งถูกเนรเทศมาจากประเทศนอร์เวย์ ได้มาแวะพักที่เมือง Murmansk และพวกเขาได้เข้าไปเที่ยวในไนท์คลับแห่งหนึ่งในเมือง ด้วยความครึ้มอกครึ้มใจอะไรไม่รู้ พวกเขาได้ก่อเหตุลวนลามหญิงสาวในไนท์คลับอีกครั้ง จนผู้อยู่ในเหตุการณ์ต้องแจ้งตำรวจให้เข้ามาช่วยจัดการหน่อย หลายคนอาจคิดว่าเรื่องราวคงจบเหมือนที่เยอรมัน ที่ตำรวจจับแล้วก็เนรเทศออกประเทศไป แต่เปล่าเลย ต้องบอกว่า พวกเอ็งซ่าผิดที่แล้วล่ะ เพราะทันทีเหล่าผู้อพยพกำลังจะหลบหนี ก็มีกลุ่มชายฉจกรรจ์ชุดดำโผล่มาจากไหนไม่รู้ เข้ามาจับตัวเหล่าผู้อพยพไว้ แล้วซ้อมจนน่วม ก่อนที่ตำรวจจะมาถึงแล้วก็ซ้อมต่ออีกหน่อย และจับเข้าซังเตไปตามระเบียบ แหม ไปเล่นกับใครไม่เล่น เจอพี่ปูตินเข้าไป โหดสัสรัสเซียมั้ยละเอ็ง บอกได้คำเดียวว่าซ่าผิดที่แล้ววววว ที่มา Russian Insider
-
จำได้ไหม? พ่อชาวซีเรียเร่ขายปากกาเลี้ยงลูก วันนี้กลายเป็นเจ้าของ 3 ธุรกิจไปแล้ว!!
หากใครยังจำกันได้ เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เคยมีข่าวเกี่ยวกับคุณพ่อชาวซีเรีย ที่อุ้มลูกน้อยไปตามท้องถนนเพื่อขายปากกา จนกลายเป็นภาพที่น่าหดหู่และข่าวดังไปทั่วโลก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชีวิตของคุณพ่อรายนี้ก็ค่อยๆ ดีขึ้น จนปัจจุบันกลายเป็นเจ้าของกิจการไปเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นเรื่องราวของนาย Abdul Halim al-Attar ชาวปาเลสไตน์ที่อพยพมาจากประเทศซีเรียในช่วงที่เกิดสงคราม และมาทำอาชีพขายปากกาในเมืองเบรุต ประเทศเลบานอน หลังจากที่เรื่องของเขากลายเป็นข่าวดัง เขาก็นำภาพของเขาเองมาตั้งแคมเปญในเว็บไซต์ Crowndfunding เพื่อระดมทุนมาทำธุรกิจ และด้วยชื่อเสียงอันโด่งดัง ทำให้เขาสามารถระดมทุนได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้เขาสามารถเปิดธุรกิจได้ 3 ธุรกิจ นั่นก็คือ ร้านเบเกอรี่ ร้านเคบับ และร้านอาหารเล็กๆ โดย 3 ธุรกิจนี้สามารถสร้างรายได้ให้เขามากถึง 191,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 6.8 ล้านบาททีเดียว!! นาย Abdul ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าธุรกิจทั้ง 3 ของเขากำลังไปได้ดี จนตอนนี้เขามีลูกจ้างแล้วกว่า 16 คน จากที่ตอนแรกชีวิตของเขาแทบไม่มีอะไร แต่ตอนนี้เขาดีขึ้นมาก มีบ้านให้ลูกและตัวเองได้อาศัย แถมยังส่งลูกสาวเรียนหนังสืออีกด้วย นาย Al-Attar ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า…