Tag: พิธีกรรม
-
ชายคนหนึ่งทำการ “ไล่ผี” บนรถไฟ ขณะที่หญิงอีกคนตะโกนว่า “ปีศาจ” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า…
เรื่องราวในวันนี้อาจทำให้หลายท่านเกิดความกลัว เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการไล่ผีที่เขาสิงคน “บนรถไฟ” ขบวนหนึ่งนั่นเอง คลิปวิดีโอหนึ่งที่กำลังเป็นกระแสโด่งดังบนโลกออนไลน์ในขณะนี้ เผยให้เห็นชายและหญิงคู่หนึ่งกำลังมีปากเสียงกันบนขบวนรถไฟในประเทศเม็กซิโกที่มีผู้โดยสารอยู่มากมาย ชายที่แต่งกายด้วยชุดสูทได้ทำพิธีการ ไล่ผี ขึ้นมาบนรถไฟขบวนดังกล่าว ขณะที่หญิงวัยกลางคนอีกรายก็ตะโกนออกมาว่า “ปีศาจ” ต่อหน้าผู้โดยสารที่กำลังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คลิปวิดีโอเหตุการณ์ “ไล่ผี” บนรถไฟ คลิปวิดีโอดังกล่าวถูกถ่ายมาจากขบวนรถไฟใต้ดินในเม็กซิโกซิตี้ แสดงให้เห็นว่าชายชุดสูทอ้างตัวเป็นร่างทรงของ พระเยซู กำลังทำพิธีการปลดปล่อยวิญญาณร้ายที่เขาเชื่อว่า “สิง” อยู่ในร่างของหญิงด้านหน้าของเขา ชายในชุดสูทพูดว่า “ในนามของพระผู้เป็นเจ้า จงออกไปเสีย!” และ “จงออกไป นี่คือคำสั่งจากพระเจ้า ออกไปได้แล้ว” ส่วนหญิงวัยกลางคนตรงหน้า ดูเหมือนเชื่อว่าตนถูกสิงจริงๆ กล่าวออกมาว่า “ใช่ ออกไปเดี๋ยวนี้ ออกไป” จากนั้นจึงพูดต่อว่า “เลือดของพระเยซูมีอำนาจปลดปล่อยฉันออกไปจากบาปทั้งปวง” หลังจากนั้นไม่นานหญิงวัยกลางคนก็กวัดแกว่งร่มคันโตที่เธอถือ ฟาดเข้าไปที่ชายในชุดสูทขณะที่เขากำลังทำพิธีไล่ผีออกจากตัวเธอ แต่ชายในชุดสูทก็ยังไม่หยุด เขาพูดกับหญิงที่กำลังสับสนต่อหน้าของเขาว่า “เราให้อภัยเจ้า” . จากนั้นหญิงที่ถูกกล่าวว่าถูกวิญญาณเข้าสิงก็ตะโกนออกมาซ้ำๆ ว่า “ปีศาจ” เธอพูดซ้ำอยู่หลายครั้ง จนผู้โดยสารบางคนเริ่มกลัว เก็บข้าวเก็บของและย้ายหนี…
-
ปริศนาหลอน ครอบครัวอินเดีย “ผูกคอตาย” ยกบ้าน 11 ศพ เชื่อเกี่ยวข้องกับลัทธิลึกลับ
ล่าสุดบนทวิตเตอร์ ได้มีการเผยแพร่ข่าวการตายอย่างลึกลับของชาวอินเดีย เมื่อครอบครัวหนึ่งกลายเป็นศพหมดทั้งครอบครัวรวม 11 ชีวิต เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็น การฆาตกรรมและการฆ่าตัวตายหมู่ในครอบครัว หลายสำนักข่าวของอินเดียได้เผยแพร่โศกนาฏกรรมปริศนานี้ออกมาทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ขณะเดียวกันผู้ใช้ทวิตเตอร์ชาวไทยชื่อว่า @washimarou ก็ได้นำเรื่องราวการตายอย่างลึกลับนี้มาเล่าต่อ โพสต์เล่าเรื่องการตายหมู่ของครอบครัว Bhatia ในอินเดีย เริ่มต้นวันที่ 1 กรกฎาคม 2018 รูปภาพศพขณะที่เจ้าหน้าที่พบเจอ ดูได้ที่นี่ (แต่ไม่แนะนำให้เข้าไปดู) ตำรวจสงสัยทั้งครอบครัวกำลังนับถือในลัทธิลึกลับ และได้ประกอบพิธีกรรมล้างบาป . ในบันทึกที่พบ มีการเขียนกล่าวถึงการล้างบาปด้วยพิธี Baar Puja (บูชาต้นไทร) เป็นการแขวนคอ ปิดตา ปิดหู ปิดปาก มือไพล่หลัง ห้อยลงมาในลักษณะเหมือนรากไทร ลูกชายที่ชื่อว่า Lalit ฝันเห็นพ่อผู้ล่วงลับ ทำให้เชื่อว่าประกอบพิธีกรรมนี้แล้ว “พ่อ” จะมาช่วย และเชื่อว่าพิธีกรรมนี้ทำให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากบันทึกที่พบ ทำให้ทราบว่าพิธีกรรมนี้ต้องทำต่อเนื่อง 7 วัน หมายความว่าพวกเขาเริ่มทำพิธีกรรมมาตั้งแต่ วันที่ 23-30 มิถุนายน…
-
พิธีศักดิ์สิทธิ์…กับปลัดขิกอันเขื่อง~ มารู้จักกับพิธีแห่ “องคชาต” ของญี่ปุ่นกันเถอะ!!
ว่ากันว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นนอกจากจะโดดเด่นเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว วัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นเองยังมีเอกลักษณ์และน่าสนใจอย่างยิ่ง อย่างเช่นในวันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2018 ที่ผ่านที่ ที่เมืองคะวะซะกิ ในจังหวัดคะนะกะวะ ได้มีพิธีเฉลิมฉลองสุดแปลก แถมเป็นพิธีอันยิ่งใหญ่ที่มีผู้เข้าร่วมงานนับหมื่นคนทีเดียว การเฉลิมฉลองดังกล่าวก็คือสิ่งที่เรียกว่า คะนะมะระ มัทสึริ (Kanamara Matsuri) เป็นงานฉลอง “องคชาต” ที่จัดขึ้นทุกปีในวันอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน ณ บริเวณศาลเจ้าคะนะยะมะ มีการเดินขบวนพาเรดแห่งองคชาตสีชมพูที่เรียกว่า มิโคะชิ ไปตามท้องถนน มีการทานอมยิ้มและขนมหวานรูปทรงองคชาต พร้อมทั้งประติมากรรมรูปทรงองชาตอื่นๆ อีกมากมาย นักท่องเที่ยวหรือใครก็ตามที่เข้ามาร่วมขบวนพิธีก็จะมีส่วนร่วม โดยการสวมใส่ “องคชาต” มีทั้งเป็นแบบหมวก หน้ากาก แว่น และจมูก บางคนก็ถือกระเป๋ารูปปลัดขิก หรือขึ้นขึ่ปลัดขิกไม้อันเขื่อง จุดประสงค์ของการเฉลิมฉลององคชาตในครั้งนี้ก็คือเพื่อรณรงค์ให้ผู้คนตระหนักถึงการเพิ่มจำนวนประชากร และการมีเพศสัมพันธ์ที่ถูกต้องและปลอดภัย พร้อมทั้งยังระดมเงินบริจาคให้กับผู้ป่วย HIV อีกด้วย จุดเด่นของงานคือ องคชาตเหล็ก ที่ตั้งอยู่ในศาลเจ้าคะนะยะมะ อันเป็นที่เคารพบูชาของเหล่าสาวขายบริการ ที่มักจะเข้ามาขอพรให้ตนนั้นรอดจากการติดโรค สาวๆ ในงานก็พากันอม…อมยิ้ม ที่จริงพิธีเฉลิมฉลองนี้มีตำนานมากตั้งแต่…
-
หวด…ล้างบาป!! พิธีชำระล้างบาปในเม็กซิโก ผู้คนออกมา “เฆี่ยนแส้” ใส่กันในวันอีสเตอร์
(มีภาพและเนื้อหาที่ควรใช้วิจารณญาณในการรับชม) แต่ละศาสนาหรือแต่ละวัฒนธรรมนั้นก็จะมีพิธีกรรมหรือธรรมเนียมปฏิบัติที่แต่งต่างกันออกไป แม้ว่าจะเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์ด้วยกันเอง แต่พิธีกรรมล้างบาปนั้นกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในประเทศเม็กซิโก ในวันพระเยซูคริสต์ทรงคืนหรือที่เรียกกันว่า วันอีสเตอร์ (Easter) ของศาสนาคริสต์ถือว่าเป็นวันที่สำคัญอย่างยิ่ง ทั้งนี้ผู้นับถือศาสนาคริสต์ในแต่ละภูมิภาคก็จะมีพิธีการเฉลิมฉลองที่แตกต่างกัน โดยที่พบเห็นได้บ่อยและดูเป็นที่นิยมที่สุดก็คือการตกแต่งไข่และการค้นหาไข่ที่เรียกกันว่า “ไข่อีสเตอร์” แต่บางพื้นที่ประเทศเม็กซิโกกลับมีพิธีในวันอีสเตอร์ที่แตกต่างกับการค้นหาไข่ยิ่งนัก นั่นก็คือการ ปิดถนนเฆี่ยนตีกัน โดยผู้คนที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ในเมือง Soltepec แห่งประเทศเม็กซิโก ได้มีการจัดพิธีกรรมนี้ขึ้นในวันอีสเตอร์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพิธีชำระล้างบาปให้กับร่างกาย ธรรมเนียมปฏิบัตินี้เชื่อว่าเริ่มมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เนื่องจากผู้เฒ่าเป็นกังวลว่าวัฒนธรรมและความเชื่อทางคริสต์ศาสนาจะเสื่อมสลายไป พิธีกรรมนี้ถือเป็นการชำระล้างบาปให้ตนเองด้วยการทรมาน นอกจากชาวเม็กซิโกแล้ว ชาวฟิลิปปินส์บางกลุ่มก็ฟาดแส้ใส่กันในวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ในเมือง San Fernando รัฐแคลิฟอร์เนีย บางครั้งพิธีกรรมนี้ถูกเรียกว่า Magdarame พวกเขาเชื่อว่า พิธีกรรมนี้จะเป็น “ฆ่า” ความบาปที่พวกเขาเห็นและพบเจอมา “ปิศาจแห่งความอ่อนแอ ความคิดชั่วร้าย และความศรัทธาอันน้อยนิดที่ครอบงำชีวิตของผู้คนมาเป็นเวลายาวนาน พิธีนี้จะกำจัดมันให้สิ้นซาก” Rev Michael Geisler เขียนเอาไว้ ถึงแม้พิธีเฆี่ยนล้างบาปนี้จะถูกมองว่ารุนแรงเกินไป แต่ก็ยังเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในหลายๆ ประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ที่มา: Thesun
-
คลายข้อสงสัย ทำไมยากูซ่าชอบถูกตัดนิ้ว โดยเฉพาะเวลาจะออกจากแก๊งหรือทำผิด
บ่อยครั้งที่เราดูหนังหรือซีรีส์ที่มียากูซ่ามาเกี่ยวข้อง เรามักจะเห็นวัฒนธรรมสองอย่างของยากูซ่า นั่นก็คือการคว้านท้องและการตัดนิ้วก้อย ซึ่งหลายคนที่ได้ดูก็คงจะเกิดความสงสัยว่าเขาทำกันไปเพื่ออะไร ทำไปทำไม โดยเฉพาะการตัดนิ้ว การนิ้วของยากูซ่านั้นจะเรียกกันว่า ‘ยูบิสึเมะ‘ ซึ่งแปลตรงตัวว่าทำให้นิ้วสั้น โดยการทำแบบนี้จะเป็นพิธีที่ใช้เพื่อชดเชยความผิดที่ทำไปด้วยการตัดนิ้วก้อย ต้นกำเนิดของวัฒนธรรมยากูซ่านี้เริ่มมาจากไหนและเมื่อไหร่นั้นไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่มีการเล่าต่อกันมาว่าเริ่มจากช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงศตวรรษที่ 20 โดยกลุ่มนักพนันที่เรียกตัวเองว่าบาคุโตะและเทคิยะ เริ่มใช้มันเพื่อที่จะให้คนที่แพ้พนันจ่ายนิ้วแทนหนี้ที่ติดไว้ ส่วนสาเหตุที่ต้องเป็นนิ้วก้อยนั่นก็เพราะ ในสมัยก่อนที่ยังใช้ดาบเป็นอาวุธนั้น นิ้วก้อยถือเป็นนิ้วสำคัญที่ทำให้รากฐานในการจับดาบมั่นคง ฉะนั้่นถ้าเกิดว่าใครที่ถูกตัดนิ้วออกไปก็จะถูกลดความสามารถในการใช้อาวุธไปตลอดชีวิตจนรู้สึกว่าจะต้องพึ่งเจ้านายมากขึ้นนั่นเอง ขั้นตอนการตัดนิ้วนั้นจำเป็นจะต้องเอามือวางไว้บนผ้าขาว จากนั้นใช้มีด Tantō ในการตัดนิ้ว ก่อนจะส่งนิ้วดังกล่าวให้กับโอะยาบุง (หัวหน้า) ส่วนเหตุผลหลักของการใช้นิ้วข้างซ้ายนั้นมาจากการที่มือซ้ายในวัฒนธรรมเอเชียถือเป็นเรื่องไม่ดี นอกจากนั้นจำนวนประชากรที่เกิดมาและถนัดซ้ายนั้นก็มีอยู่น้อยมากๆ เรียกว่ามีจำนวนน้อยสุดๆ โดยคิดเป็นอัตราร้อยละ 0.7 ของเด็กญี่ปุ่นที่กินข้าวด้วยมือซ้ายและ 1.7 ที่เขียนหนังสือด้วยมือซ้าย การลงโทษด้วยวิธียูบิสึเมะ เป็นวิธีที่สามารถทำได้ตลอดแม้ว่านิ้วก้อยจะไม่เหลือแล้วก็ตาม เพราะถ้าสมาชิกคนๆ นั้นยังคงทำผิดเรื่อยๆ พิธีกรรมดังกล่าวก็จะยังคงดำเนินต่อไป และถ้าเกิดใครที่หลบหนีหรือปฎิเสธการลงโทษก็จะถูกขับไล่ออกจากแก๊งหรืออาจจะต้องถูกสั่งเก็บ… ที่มา ladbible
-
“หมู่บ้านผีดิบ” ที่ชาวบ้านขุดศพคนในครอบครัวขึ้นมาใช้ชีวิตอยู่ด้วย เพราะเชื่อว่ายังไม่ตาย…
[คำเตือน: มีภาพและเนื้อหาที่กระทบกระเทือนจิตใจ ควรใช้วิจารณญาณในการรับชม] ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง บนเกาะซูลาเวซี ประเทศอินโดนีเซีย ถูกเรียกว่าเป็น “หมู่บ้านผีดิบ” เพราะที่นั่น มีพิธีกรรมสุดประหลาดอย่างหนึ่ง ที่มีการขุดญาติหรือสมาชิกในครอบครัวที่ “ตาย” ไปแล้ว ขึ้นมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีกครั้ง พิธีกรรมดังกล่าว เป็นพิธีกรรมของชาว Torojan ซึ่งเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ชาวบ้านจะมีการขุดศพของญาติและสมาชิกในครอบครัวที่ตายไปแล้ว ขึ้นมาชะล้างทำความสะอาดและแต่งองค์ทรงเครื่อง เพื่ออาศัยอยู่ในบ้านอีกครั้ง ขุดขึ้นมา อาบน้ำ แต่งตัว สูบบุหรี่ และใช้ชีวิตร่วมกัน . . ศพนั้นถูกขุดขึ้นมานำมาไว้ในบ้านนานนับทศวรรษ และทางครอบครัวก็จะใช้ชีวิตร่วมกับศพคนรักของพวกเขา โดยมองว่าเขายังไม่ได้ตาย แต่เขาแค่ “ป่วย” จนกว่าทางครอบครัวจะสามารถจัดพิิธีศพตามความเชื่อได้อย่างสมเกียรติที่ชื่อว่า Rambu Solo จึงจะสามารถยอมรับได้จริงๆ ว่าศพนั้นได้ตายไปแล้ว ชาว Torojan ทำกับคนรักที่พวกเขาขุดขึ้นมาเหมือนกับว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว (ที่ยังมีชีวิต) พวกเขาพูดคุย ให้น้ำ ให้อาหาร และแน่นอนว่า ยามเข้านอน ก็นอนด้วยกัน ไม่ว่าจะศพผู้ใหญหรือเด็ก ก็ถูกนำขึ้นมาแต่งตัว และใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว…
-
ชาวไร่อินเดีย ปักภาพนางเอกหนังโป๊แทนหุ่นไล่กา ปกป้องผลผลิตได้ดีกว่าวิธีเดิมเย๊อะ!!
บางครั้งเพียงแค่ความรู้ทางด้านการเกษตรอาจจะไม่พียงพอสำหรับการทำให้ได้กำไรจากการทำไร่ทำสวน และแน่นอนว่าในแถบเอเชียอย่างพวกเรานั้นก็จะต้องมีการใช้เรื่องของความเชื่อเพื่อทำให้การปลูกพืชนั้นได้ผลดียิ่งขึ้น อย่างที่เราเคยเห็นกัน และชาวนาหลายๆ ท่านก็อาจจะมีวิธีการใช้หลักความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการทำขวัญข้าวหรือการหาหุ่นที่เปรียบเหมือนเทพมาว่างไว้ที่ท้องไร่ท้องนาเพื่อปัดเป่าความชั่วร้าย คุณ Chenchu Reddy ชาวไร่จากประเทศอินเดียผู้นี้ก็เป็นชาวไร่อีกหนึ่งคน ที่เลือกใช้ไสยศาสตร์ในการช่วยให้ได้ผลกำไรจากการปลูกพืชที่ดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่าวิธีการที่เขาใช้นั้นจะแหวกแนวไปหน่อนนะ!! คุณ Chenchu Reddy ชาวไร่จากประเทศอินเดีย เจ้าของไอเดียการบูชาเทพแห่งท้องทุ่งแบบใหม่ คุณ Chenchu เองก็เป็นหนึ่งในชาวไร่ที่ได้รับความเดือนร้อนเนื่องจากผลผลิตในไร่ของเขาขายไม่ได้ราคาดีสักเท่าไหร่ แต่แทนที่เลือกบูชาเทพแห่งท้องทุ่งเหมือนกับชาวไร่คนอื่นๆ ชายคนนี้กลับเลือกที่จะใช้ภาพของดาราหนังผู้ใหญ่อย่าง Sunny Leone (ห้ามก๊อปชื่อไปค้นหานะ!!) แทน และดูเหมือนว่างานนนี้ดาราหนังโป๊ชื่อดังจะทำหน้าที่ของเธอได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว คุณ Chenchu ให้สัมภาษณ์ว่าตั้งแต่มีภาพของ Sunny ที่ใส่บิกินี่สีแดงมาตั้งที่ไร่ของเขา ผลผลิตทางการเกษตรก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยทีเดียว!! “ใช่แล้ว มันเริ่มต้นหลังจากที่ผมขาดทุนจากการทำไร่ ทั้งๆ ที่ผลผลิตของผมก็สวยงามและสมบูรณ์ดี ไร่ของผมอยู่ติดกับถนน และในปีนี้ผมเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกอีกกว่า 25 ไร่ และเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ผมเริ่มใช้ภาพของ Sunny เพื่อปัดเป่าความชั่วร้าย” ชายเจ้าของไร่กะหล่ำปลี พริก และกระเจี๊ยบให้สัมภาษณ์ การมีภาพของดาราหนังผู้ใหญ่ ทำให้ “ดวงตาปิศาจ” เลิกสนใจผลผลิตในไร่ของคุณ Chenchu และเอาแต่จ้องมองภาพของเธอ ซึ่งเขาให้สัมภาษณ์ว่าตั้งแต่ที่มีภาพของ Sunny นั้นทุกๆ อย่างก็เริ่มดีขึ้น …
-
11 พิธีกรรมการ ‘พรากชีวิตคน’ เมื่อบุคคลเหล่านั้นไม่ได้มองเห็นคนข้างๆ เป็นมนุษย์เหมือนกัน…
การนำสัตว์หรือมนุษย์ไปใช้เป็นเครื่องบูชายัญเป็นสิ่งที่เราสามารถพบเห็นได้จากประวัติศาสตร์เก่าแก่ ซึ่งในปัจจุบันวิธีการทำนองนี้ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่เราสามารถยอมรับได้ ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ที่ช่วยแก้ปัญหาหลายๆ อย่างได้ บวกกับความโหดร้ายป่าเถื่อน พิธีกรรมเหล่านั้นจึงเริ่มหายสาบสูญไปจนหมด วันนี้เราจะชวนให้ทุกคนลองย้อนกลับไปดูว่า ในสมัยอดีตกาลเคยมีพิธีกรรมหรือวิธีการฆ่ามนุษย์แบบไหนบ้าง และมันเลวร้ายมากขนาดไหน ว่าแล้วก็ลองไปอ่านเรื่องราวทั้งหมดนั้นกันเลย 1. จากคำบอกเล่าของนักคิดชาวโรมันในสมัยก่อนที่ชื่อ Strabo เขาบอกว่าชาวเซลติกโบราณที่อาศัยอยู่บนเกาะอังกฤษ ใช้วิธีการจับสัตว์และมนุษย์มาผูกไว้กับหุ่นฟางแล้วเผาทั้งเป็น โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นเครื่องบรรณาการบูชาพระเจ้า ซึ่งนักโบราณคดีในปัจจุบันยังไม่สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้ เพราะมันอาจเป็นการเป่าหูทำให้ชาวเซลติกกลายเป็นคนเถื่อนเท่านั้นเอง 2. ชาวโรมันสมัยก่อนได้คิดวิธีการลงโทษผู้คนอย่างโหดร้ายและพยายามทำให้มันเหมือนเป็นเรื่องตลก โดยจะจำลองให้คนเหล่านั้นตายเหมือนเทพที่อยู่ในตำนานปรัมปรา อย่างการเผาทั้งเป็นให้เหมือนกับ Hercules บางคนถูกล่ามโซ่แล้วฉีกเอาอวัยวะภายในออกมาเหมือนอย่างที่เทพ Prometheus ต้องเจอ ผู้หญิงบางคนถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์กับกระทิง เหมือนอย่างเทพผู้เป็นมารดาของกระทิงทั้งปวง Pasiphae ซึ่งหากผู้หญิงคนนั้นสามารถรอดชีวิตมาได้ เธอก็จะถูกฆ่าอยู่ดี 3. ชาวกรีกโบราณมีเครื่องประหารชนิดหนึ่งชื่อว่า The Brazen Bull ทำจากทองแดงและมีลักษณะรูปร่างเหมือนกระทิง วิธีการใช้งานก็คือให้คนโดนลงโทษเข้าไปอยู่ข้างใน แล้วจึงจุดไฟเผาจากด้านนอกจนถึงแก่ความตาย ระหว่างนั้นเสียงที่ร้องโหยหวนออกมาจะเหมือนกับเสียงร้องไห้ของกระทิง 4. ในประเทศญี่ปุ่นจะมีความเชื่อที่เรียกว่า Hitobashira โดยจะฝังคนเป็นๆ ลงไปข้างใต้พื้นหรือในกำแพงของสิ่งปลูกสร้าง เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นสำเร็จลงได้ด้วยดี ซึ่งคนที่ถูกฝังส่วนใหญ่จะเป็นอาสาสมัคร อย่างเช่นเหล่าซามูไรที่ต้องการใช้จิตวิญญาณ อยู่เฝ้ารักษาปราสาทหรือวัดต่างๆ 5. ในหลายๆ…
-
พิธีกรรม “ขุดศพคนตาย” ของชาวอินโดนีเซีย ชำระล้างแต่งตัวให้ แล้วพาเดินแห่รอบหมู่บ้าน…
ในทั่วทุกพื้นที่บนโลกใบนี้ ล้วนเต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลาย และมีการสืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน ยกตัวอย่างเช่น พิธีกรรมทำศพก็มีความแตกต่างกันไปตามความเชื่อ และตามแต่ละพื้นที่ แต่หากว่าใครได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับพิธีทำศพของชาวบ้านแห่งหนึ่งในประเทศอินโดนีเซีย รับรองว่าคุณจะต้องรู้สึกขนลุกอย่างแน่นอน เพราะพิธีกรรมที่ว่ากันนี้เป็นการปลุกศพขึ้นมาจากหลุมนั่นเอง เว็บไซต์เดลีเมล์ของอังกฤษ ได้เปิดเผยภาพพร้อมเรื่องราวพิธีกรรมชวนขนลุกของชนเผ่าพื้นเมือง โทราจา (Torajan) ทางตอนใต้เกาะสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย โดยพิธีกรรมดังกล่าว มีชื่อเรียกว่า Ma’nene หรือ พิธีกรรมทำความสะอาดศพ ซึ่งชาวโทราจา จะทำการขุดศพญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้วขึ้นมาจากหลุม ก่อนที่พวกเขาจะทำการชำระล้างทำความสะอาด และจับแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ จากนั้นก็พาศพเดินแห่ไปรอบๆ หมู่บ้าน และหลังจากเสร็จสิ้นพิธีก็จะนำกลับไปฝังในหลุมศพดังเดิม ทั้งนี้ หากผู้ตายได้เสียชีวิตในระหว่างการเดินทาง ครอบครัวก็จะต้องพาศพกลับไปยังสถานที่เดิม และเดินทางกลับหมู่บ้านไปพร้อมๆ กัน เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าเป็นการนำดวงวิญญาณกลับไปสิงสถิตยังบ้านเกิด อย่างไรก็ตาม ทางชาวบ้านได้ออกมาอธิบายว่า การที่มีพิธีกรรมเหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงความรัก และความผูกพันที่ชาวโทราจามีต่อบรรพบุรุษ นอกจากนี้ การทำพิธีกรรมดังกล่าวยังทำให้พวกเขาคาดหวังว่าพืชผลทางการเกษตรจะได้ผลผลิตที่งอกงาม เพราะได้รับความคุ้มครองจากวิญญาณของบรรพบุรุษอีกด้วย . “นี่เป็นวิธีเคารพคนตายของเรา ไม่มีช่วงแห่งการไว้ทุกข์ใดๆ ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสำหรับเราเสียมากกว่า เพราะมันจะทำให้เราได้กลับมาอยู่กับคนในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้วอีกครั้ง เราพยายามที่จะให้เกียรติพวกเขา และในทางกลับกันเราก็ได้ขอพรจากพวกเขา เพื่อให้พืชผลทางการเกษตรเจริญงอกงาม”…
-
รวมพลังมนต์ดำ พ่อมดกว่าร้อยชีวิตรวมตัวร่ายคาถาป้องกันสิ่งไม่ดีจาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’
ถ้าจะบอกว่าประเทศไทยเชื่อเรื่องเวทมนตร์ดำ คาถาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับต้นๆ ของโลกแล้วก็ละก็ ลองมาดูข่าวนี้กันก่อน เมื่อแม่มดนามว่า Vicky Adams จากเมืองฮอลลีวูดเรียกรวมตัวเหล่าพ่อมดแม่มดเพื่อร่ายคาถาป้องกัน ‘โดนัลด์ ทรัมป์’!! ฟังแล้วงงใช่ไหมล่ะ Vicky Adams นั้นเปิดร้านขายของเกี่ยวกับไสยศาสตร์อยู่ในเมืองฮอลลีวูด โดยเธอได้ส่งคำเชิญไปยังเหล่าผู้เชื่อว่าตัวเองเป็นพ่อมดแม่มดในโลกแห่งความจริง ให้เดินทางมาซื้อวัตถุดิบที่ร้านของเธอ จากนั้นก็มาร่วมกันร่ายคาถาผูกมัด เธอบอกว่าคาถาและพิธีที่เธอจะทำนั้นไม่ใช่คำสาปชั่วร้ายหรืออะไรที่ไม่ดี แต่มันเป็นคาถาผูกมัดที่จะป้องกันสิ่งไม่ดีที่โดนัลด์ ทรัมป์สร้างขึ้น และส่งผลเสียแก่ทั้งสังคม ผู้คน สัตว์ต่างๆ และสิ่งแวดล้อม เธอยังบอกอีกว่าการร่ายคาถานี้จะทำกันทุกๆ ช่วงข้างแรมของทุกเดือน และการทำพิธีกรรมก็ไม่ได้ส่งคำเชิญไปแค่ในประเทศอเมริกาเท่านั้น แต่ส่งไปทั่วโลกอีกต่างหาก แน่นอนว่าก็มีพ่อมดแม่มดสนใจและเดินทางมากันเพียบ!! เราอาจจะมองว่ายังไงก็งมงาย แต่ Vicky ยังเคลมว่าไสยศาสตร์นั้นมีมานานแล้ว และมันก็อยู่ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติมาโดยตลอด อย่างที่อังกฤษสามารถป้องกันการรุกรานของเยอรมนีได้ ก็เพราะมีแม่มดชาวอังกฤษช่วยยังไงล่ะ เธอยังบอกอีกว่าสมัยนาซีรุกรานก็มีการร่ายเวทมนตร์เพื่อป้องกัน ฉะนั้นโดนัลด์ ทรัมป์ที่ถือเป็นภัยก็จะต้องถูกร่ายเวทมนตร์ใส่เช่นกัน เธอบอกว่า ในพิธีกรรมจำเป็นจะต้องใช้ไพ่หอคอยเพื่อป้องกันไม่ให้ทรัมป์สามารถทวีตข้อความอะไรได้ในช่วงตี 3 และใช้เทียนไขสีส้มหรือแครอทจิ๋วเพื่อเป็นตัวแทนของเขา ตามด้วยภาพที่ไม่มีการยกยออะไรในตัวทรัมป์ จากนั้นพวกเขาก็จะร่ายคาถาเพื่อให้ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์นั่นเอง สุดท้ายแล้ว Vicky บอกว่าคนอื่นอาจจะไม่เชื่อ…
-
ชาวบ้านจีนทำพิธี ‘แห่สุนัข’ ขอความอุดมสมบูรณ์ ฉลองความเท่าเทียมแห่งชีวิต
ความเชื่อนั้นถือเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์กันมาอย่างช้านาน โดยเฉพาะกับสังคมที่เกิดร่างฐานมาจากความเชื่อ อย่างหมู่บ้านในละแวกพื้นที่อันห่างไกลนั้น ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มกำลังใจในการใช้ชีวิตของพวกเขา ล่าสุดชาวจีนชนเผ่าแม้ว ที่ตั้งอยู่ทางภาคใต้ตอนกลางของประเทศจีน ก็ได้จัดพิธีแห่สุนัขขึ้นมา แต่อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นแห่เพื่อกินหรืออะไรนะ อย่าพึ่งคิดว่าคนจีนจะกินสุนัขไปเสียทั้งหมด… เพราะสุนัขในงานแห่นี้ถือเป็นตัวแทนแห่งความสุขของพวกเขา โดยพวกเขาจะดูแลเอาใจใส่เจ้าตูบที่พวกเขาเอามาแห่กันเป็นอย่างดี โดยพิธีนี้มีชื่อว่าพิธี taigoujie (抬狗节) หรือในชื่อภาษาไทยว่า ‘พิธีแห่สุนัข’ ฟังดูแล้วเหมือนพิธีแห่นางแมวขอฝนในบ้านเราเลย โดยจะมีจุดประสงค์ที่คล้ายกันนิดหน่อย เพราะพิธีแห่สุนัขนั้นทำเพื่อขอลม ขอความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผลผลิตของพวกเขา รวมถึงขอบคุณที่มอบชีวิตที่เท่าเทียมและความสุขให้กับชาวบ้านนั่นเอง ขั้นตอนในการทำพิธีกรรมก็ง่ายมาก พวกเขาจะนำเสื้อผ้าทอและเครื่องเงินมาสวมให้กับสุนัข จากนั้นก็ให้พ่อหมอของหมู่บ้านมานำพิธี โดยให้เจ้าตูบนั่งเก้าอี้และแห่ไปตามหมู่บ้าน พร้อมกับเสียงดนตรีที่แสดงถึงความสุขของชาวบ้าน นอกจากนั้นพวกเขายังปาโคลนใส่กันเพื่อแสดงถึงความสงบสุข และความสุขที่พวกเขาได้รับตลอดมา ช่วงทำพิธีก็ดูจะเป็นห่วงเจ้าตูบกันสุดๆ เจ้าตูบก็คงรู้สึกว่า ได้เที่ยวรอบหมู่บ้านแบบ VVIP ดูๆ ไปก็น่ารักดีนะ ส่วนสาเหตที่ทำไมต้องเป็นสุนัขนั้น ก็เล่าขานกันมาตามความเชื่อดั้งเดิมที่ว่า สุนัขเป็นสัตว์ที่นำพาชาวบ้านไปเจอกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทำให้ชาวบ้านรอดพ้นจากความแห้งแล้งนั่นเอง สุนัขสบายดี ชาวบ้านแฮปปี้ ที่มา shanghaiist
-
ภาพที่หาดูยาก ของ “ร่างทรงคนสุดท้าย” ในคาซัคสถานและพิธีล้างบาปให้กับสาวก
พิธีกรรมต่างๆ ที่มีขึ้นแตกต่างกันไปในทั่วโลกก็คงจะสร้างความประหลาดใจให้กับคนต่างถิ่นที่ได้เข้ามาสัมผัสหรือพบเห็น ไม่ต่างกับช่างภาพคนนี้ที่มีชื่อว่า Denis Vejas ที่เข้าไปเก็บภาพพิธีกรรมที่ไม่ธรรมดาในคาซัคสถาน เขาได้ใช้ช่วงฤดูหนาวเก็บเอาเรื่องราวต่างๆ จากการเดินทางของร่างทรงที่เปรียบได้กับผู้นำทางศาสนาของ Sufism นับเป็นแขนงหนึ่งในศาสนาอิสลาม กับหน้าที่ในการออกเดินทางไปเรื่อยเพื่อการรวมศาสนาลึกลับต่างๆ และวัฒนธรรมพเนจรเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ . เธอคนนั้นมีชื่อว่า Bifatima Dualetova เรียกได้ว่าเธอนั้นเป็นหนึ่งในร่างทรงที่เหลืออยู่เป็นกลุ่มสุดท้ายในประเทศนี้ และหาได้ยากยิ่งมาก แม้ว่าภาพที่ได้มาอาจดูน่าตกใจอยู่บ้าง แต่นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกที่ผูกขาดให้เกิดความเคารพและยำเกรงอย่างมากในพื้นที่นั้นๆ . การนับถือความยากจนทำให้เธอใช้วิธีการเดินไปหมู่บ้าน Scared ท่ามกลางความหนาว เพื่อการประกอบพิธีชำระบาปให้กับเหล่าผู้ติดตาม พิธีดังกล่าวต้องทำการตัดหัวแกะออกและอาบเลือดของมันในห้วยน้ำที่เย็นยะเยือก จากข้อมูลที่เธอให้มาก็ได้มีพิธีกรรมที่เลียนแบบเกิดขึ้น เมื่อมาถึงก็ถูกปลกคลุมไปด้วยเลือดและจึงจะล้างตัวด้วยน้ำ . . ช่างภาพที่ติดตามเธอไปได้บอกว่า “มันก็เหมือนกับการเดินทาง แต่มันคือการเดินทางที่ต้องเจอกับคนที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับหลักปรัชญาที่เป็นแกนหลักของชีวิตชุมชน” เขาบอกอีกว่าผู้ติดตามบางคนก็จะมาอยู่กับเธอเพียงไม่กี่วัน แต่บางคนที่มองว่าเธอเป็นผู้รอบรู้ก็จะมาอยู่กับเธอนานเป็นปี มันเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์อย่างแท้จริงทำให้เขาต้องตกอยู่กับความอัศจรรย์ และเกือบที่จะบังคับให้จิตใจตัวเองเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ เธอและผู้ติดตาม . . . . . . . . . .…
-
ตามไปชม “การต่อสู้เพื่อหาเมีย” ของชนเผ่าซูริ ที่ต้องดื่มเลือดวัว และถึงขั้นแลกมาด้วยชีวิต!!
The Donga หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า การต่อสู้ด้วยกระบองไม้ (Stick Fight) เป็นพิธีกรรมการต่อสู้แบบดั่งเดิมของชนเผ่าซูริ ชนเผ่าดั่งเดิมในประเทศเอธิโอเปีย ซึ่งสืบต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นมายาวนาน ส่วนสาเหตุที่ต้องทำพิธีกรรมนี้ นั่นก็เพื่อที่ผู้ชายในเผ่าได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเอง รวมถึงเพื่อชิงสิทธิได้ครองคู่กับสาวในเผ่าที่ตัวเองชอบเมื่อได้รับชัยชนะในพิธีกรรม แต่ว่าก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น นักสู้ทั้งหมดจะต้องเข้ารับพิธีการดื่มเลือดวัวเสียก่อน ส่วนสาเหตุที่ต้องทำแบบนั้นก็เพราะว่าพวกเขาเชื่อว่าในเลือดวัวมีวิตามินสูงและมันจะช่วยมอบกำลังวังชาให้กับพวกเขา พวกเขาจะใช้ธนูเล็กๆ ทิ่มเข้าไปให้เกิดแผลกับตัววัวของแต่ละคนโดยไม่ฆ่ามัน และใช้ภาชนะมารองรับ ลิ้มรสเลือดสดเหล่านั้น พวกเขาล้วนมีวัวในครอบครอง เพราะวัวเปรียบเสมือนสมบัติของแต่ละคนนั่นเอง ส่วนกติกาก็ง่ายมากๆ การต่อสู้จะเป็นแบบ 1 ต่อ 1 โดยแต่ละหมู่บ้านจะต้องส่งนักสู้ของตัวเองเข้าร่วมตั้งแต่ 20 ถึง 30 คน กฏแพ้ชนะก็แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้หรือตายกันไปข้างหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นผู้ตัดสินก็สามารถที่จะตัดสินได้ว่าฝ่ายไหนแพ้ชนะได้ตามแต่สมควรโดยที่ทั้งคู่ไม่ต้องยินยอมก็ได้ กติกาอย่างหลังนี้มีขึ้นมาเพื่อปกป้องการตายที่เกิดขึ้นทุกครั้งในสมัยก่อน แม้จะมีผู้ตัดสินมา บางคนก็ยังเสียชีวิตจากบาดแผลอยู่เช่นเดิม ทางด้านฝ่ายหญิงนั้น พวกเธอสามารถที่จะปฏิเสธการขอเป็นคู่กับนักรบคนไหนก็ได้ แต่การได้รับคำขอจากแชมป์เปี้ยนจะถือว่าเป็นเกียรติอย่างมากต่อตัวเธอเองและครอบครัว นอกจากนั้นตัวผู้หญิงเองยังมีการเจาะปากรวมถึงวางชิ้นส่วนของสัตว์ต่างไว้บนหัว ซึ่งการทำแบบนี้สำหรับผู้ชายในเผ่าแล้วมันถือว่าเป็นตัวบ่งบอกความงามของพวกเธอนั่นเอง สำหรับผู้ชนะจะมีการเฉลิมฉลองและแสดงความยินดีก่อนที่จะทำการเลือกคู่ครอง นักรบที่แข็งแกร่งมักจะไม่สวมเครื่องป้องกันใดๆ ในการต่อสู้เสมอ ส่วนวิธีการเลือกคู่ครองนั้น พวกเขาจะทำการยื่นไม้กระบองไปที่หญิงสาวคนที่เขาถูกใจ และถ้าหญิงสาวเอาสร้อยคอแขวนกลับมาก็ถือว่าเป็นอันตกลง …
-
‘พิธีศพแห่งท้องฟ้า’ กับความเชื่อว่า ‘อีแร้ง’ จะช่วยพาร่างกายของผู้ตายไปสู่สวรรค์…
บนโลกที่แสนกว้างใหญ่ใบนี้มีความแตกต่างกันอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็น ชาติพันธุ์ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เกิด ประเพณี ความเชื่อ ที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งมันก็ส่งผลไปถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่อยู่อาศัยในแต่ละพื้นที่ด้วย ในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับพิธีกรรมงานศพของชาวธิเบตกัน ที่ช่างแตกต่างกับเมืองไทยซะเหลือเกิน จะเป็นอย่างไรบ้างลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… พิธีศพแห่งท้องฟ้าเป็นพิธีศพที่ทำกันอย่างแพร่หลายในประเทศทิเบต ศพของผู้ตายจะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปวางบนยอดเขาเพื่อให้อีแร้งบินลงมากิน พิธีกรรมนี้ชาวธิเบตเรียกว่า Jhator หมายความว่า ‘การมอบทานให้แก่นก’ ชาวธิเบตส่วนใหญ่นั้นนับถือศาสนาพุทธ ทำให้พวกเขาเชื่อในเรื่องของ ‘โลกหน้า’ ร่างกายอันไร้วิญญาณของเราเป็นเพียงแค่ภาชนะอันว่างเปล่าเท่านั้น ฉะนั้นการที่นกจะมาจิกกิน หรือให้มันย่อยสลายไปตามธรรมชาติ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดต่อหลักจริยธรรมแต่อย่างใด แต่เนื่องจากพื้นดินในประเทศธิเบตนั้นมีความแข็ง ทำให้การขุดหลุมฝังศพนั้นกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก จึงทำให้รูปแบบงานศพออกมาเป็นพิธีศพแห่งท้องฟ้า ในช่วงพิธีศพก็จะมีการประดับประดาธงรูปแบบอย่างที่เห็นนี้เอาไว้ เพื่อเป็นการสวดภาวนาขอให้ผู้ตายไปสู่สุขติ สัปเหร่อจะเป็นผู้ทำพิธีผ่าศพ และจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับศพ (ในภาพเขากำลังลับมีดอยู่) พิธีศพของชาวธิเบตนั้นเริ่มต้นเมื่อช่วงศตวรรษที่ 7 เมื่อพิธีกรรมเริ่มขึ้นพื้นที่ที่ถูกจัดพิธีกรรมจะอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของธูปและกำยาน เพื่อเป็นการนำดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่สวรรค์ ศพของผู้ตายจะถูกวางเอาไว้ในสถานทำพิธี จากนั้นสัปเหร่อจะทำการหั่นศพให้เป็นชิ้นๆ ให้กับเหล่าอีแร้งที่ถูกเรียกว่า ‘เหยี่ยวศักดิ์สิทธิ์’ ชาวธิเบตเชื่อว่าอีแร้งเหล่านั้นจะช่วยพาร่างของผู้ตายขึ้นไปสู่สวรรค์ และสัปเหร่อก็จะได้รับค่าจ้างประมาณ 100…
-
ประเพณีโบราณของชาวฟิลิปปินส์ บรรจุศพในโลง แล้วนำไปแขวนไว้ข้างหุบเขา…
ในปัจจุบันแล้วส่วนใหญ่ถ้าหากบ้านไหน หรือครอบครัวไหนเกิดการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ถ้าหากไม่ทำพิธีตามแบบชาวตะวันตกที่ต้องฝังลึกไป 6 ฟุตใต้ดินแล้ว ส่วนใหญ่ในไทยเราก็จะใช้วิธีการเผาศพ ซึ่งคล้ายกับหลายๆประเทศทั่วโลก แต่ลึกลงไปท่ามกลางหุบเขา Sagada แห่งฟิลิปปินส์ ชาวเผ่า Igorot ชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแถบบริเวณนั้นมาอย่างยาวนาน พวกเขาเลือกที่จะไว้อาลัยแด่บุคคลผู้จากไปด้วยการแขวนไว้กับหุบเขา แทนที่จะฝังลึกลงไปในดิน ชาวเผ่าที่อาศัยอยู่ในแถบหุบเขา Sagada พวกเขาจะใช้วิธีการไว้อาลัยผู้ที่จากไปด้วยการแขวนโลงศพไว้ตามข้างหุบเขานานนับพันปี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วโลงศพจะถูกแขวนไว้สูงขึ้นไปมากกว่าหลายร้อยฟุต จากพื้นดิน ชนพื้นเมืองแถบนี้เชื่อว่า การแขวนโลงศพไว้จะช่วยทำให้คนที่จากไป ได้ย้อนไปหาบรรพบุรุษในอดีต ซึ่งถือว่าเป็นพรที่วิเศษที่สุด อีกทั้งยังเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามายุ่งกับร่างของผู้ที่จากไปอีกด้วย โลงศพจะถูกแขวนติดไว้กับคานเหล็ก ซึ่งถูกฝังเจาะฝังเข้าไปในหินของภูเขา เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีอุบัติเหตุใดๆเกิดขึ้น ตามประเพณีศพจะถูกหักกระดูก และทำให้อยู่ในท่าเหมือนเด็กทารกที่เกิดใหม่ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่า วิธีการนี้จะทำให้ผู้ที่จากไป ได้เริ่มต้นชีวิตหลังความตาย เหมือนกับการเกิดครั้งใหม่บนโลก อีกทั้งด้านข้างของโลงศพ จะมีการเขียนชื่อผู้ตายไว้ เพื่อเป็นการระลึกถึงอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะหาชมประเพณีแบบนี้ได้ยากกว่าในอดีต แต่ก็ยังคงมีชนพื้นเมืองอีกจำนวนมากที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมแบบดั้งเดิมไว้ ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลยนะเนี่ย!! ที่มา: ViralNova
-
ประเพณี Ma’nene ขุดศพญาติผู้ใหญ่ขึ้นมาตกแต่งให้สวยงาม เป็นประจำทุกๆ 3 ปี
ความเชื่อที่มีอย่างยาวนานและยังคงสืบต่อกันมาเป็นประจำของชนเผ่า Toraja แห่งประเทศอินโดนีเซียอาจจะเป็นเรื่องแปลกในสายตาของคนนอก แต่สำหรับพวกเขาแล้วมันคือสิ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นการแสดงความเคารพให้กับญาติผู้ใหญ่ที่เสียชีวิตไปแล้ว เป็นเวลาประจำทุกๆ 3 ปี บนเกาะซูลาเวซี ชนเผ่า Toraja ก็จะทำการขุดหลุมฝังศพญาติผู้ใหญ่ของพวกเขาขึ้นมา ทำการสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ พร้อมกับการตกแต่งศพเพื่อให้ดูสวยงาม นอกจากนี้ยังมีการร่วมถ่ายรูปกับครอบครัวอันเป็นประเพณีที่ชื่อว่า Ma’nene หรือแปลได้ว่า พิธีการทำความสะอาดศพ ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องหลายศตวรรษแล้ว หลานชายกำลังหวีผมให้กับร่างของคุณปู่คุณย่าในระหว่างการทำพิธี ประเพณีนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งพิธีการที่สำคัญเป็นอย่างมากสำหรับชนเผ่า Toraja ซึ่งถ้าหากว่ามีคนในครอบครัวเสียชีวิต พวกเขาก็จะทำการห่อผ้าหลายชั้นเพื่อป้องกันการย่อยสลายของศพ ลักษณะคล้ายกับการห่อมัมมี่ และร่างของผู้เสียชีวิตจะถูกนำไปฝังตามวิธีที่ทำกันมาอย่างยาวนาน เมื่อผ่านพ้นระยะเวลาไปได้ 3 ปี ทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตก็จะทำการขุดหลุมฝังศพและนำร่างของผู้เสียชีวิตขึ้นมาตกแต่งใหม่ สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ ซึ่งสิ่งที่สำคัญอีกเช่นกันก็คือการเปลี่ยนหรือซ่อมแซมโลงฝังศพให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ เหล่าญาติค่อยๆ พยุงและสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับร่างของบรรพบุรุษ ตามความเชื่อของพวกเขานั้น วิญญาณของผู้ตายจะกลับมาสู่บ้านเกิดของตน หลังจากการเดินทางอันแสนยาวนานตามเส้นทางของจิตวิญญาณ โดยที่ไม่สามารถพาร่างของตนเองเดินทางตามไปด้วยได้ และถ้าหากว่ามีคนในชนเผ่าเสียชีวิตภายนอกหมู่บ้าน ทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตก็จะตามไปถึงสถานที่เหล่านั้น และพาร่างของผู้เสียชีวิตกลับมาฝังที่บ้านเกิด สภาพร่างของอดีตทหารผ่านศึกผู้เสียชีวิตมานานกว่า 10 ปีแล้ว L Sarungu อดีตทหารผ่านศึกผู้เสียชีวิตมานานกว่า 10 ปี…
-
ลองมาดูกันดีกว่าว่า ‘งานศพแบบไทยๆ’ จากมุมมองของซีรีย์เกาหลี จะออกมาเป็นแบบไหน!?
ในเรื่องของความเชื่อ วัฒนธรรม และพิธีกรรมต่างๆ ในแต่ละประเทศ แต่ละพื้นที่ก็จะมีวิธีการจัดงานที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็เพื่อความเหมาะสมกับผู้คนในท้องถิ่น สร้างความศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย แล้วถ้าหากว่าให้คนต่างถิ่น ต่างประเทศมาจัดบ้างล่ะ? คงจะคิดภาพไม่ออกกันแน่ๆ อย่างในเรื่องของ พิธีงานศพตามประเพณีของไทย แต่ดันไปโผล่อยู่ในสื่อซีรีย์ของเกาหลี เค้าจะจัดได้เหมือนมากน้อยแค่ไหนกันนะ ภาพดังกล่าวมาจากซีรีย์ Goodbye Mr. Black เทพบุตรหัวใจสุดแค้น ที่ถ่ายทำในประเทศไทยหลายฉาก ในฉากนี้เป็นฉากจัดงานศพแบบไทยๆ เป็นงานศพที่ดูโล่งมาก อย่างน้อยก็ใกล้เคียงอยู่นะ ถ้าให้เปรียบเทียบกับในละครไทยแล้ว การจัดฉากงานศพนั้นเข้าถึงพิธีของคนไทยมากกว่าแน่นอน แต่เมื่อสื่อชาติอื่นทำได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าใกล้เคียงอยู่ไม่น้อยเลย เปิดมุมมองพิธีกรรมของไทยจากต่างชาติบ้าง (แม้รายละเอียดบางส่วนจะไม่ถูกต้องก็ตามทีเถอะ) ที่มา : teerex
-
เหมียวชวนชมภาพหาดูยาก ของพิธีไล่วิญญาณในโคลอมเบีย ที่ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน
ในหลายๆ ครั้งเรามักจะได้เห็นพิธีกรรมการไล่ผีและวิญญาณออกจากร่างในภาพยนตร์สยองขวัญหลายๆ เรื่อง แต่ในปัจจุบันพิธีกรรมเหล่านี้ก็มีให้เห็นน้อยลงทกทีๆ เพราะเนื่องจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ผู้คนเข้าใจในอาการแปลกๆ ของมนุษย์ได้มากขึ้นนั่นเอง ในสมัยก่อนนั้น พิธีขับไล่วิญญาณได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากผู้คนยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคต่างๆ และเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้เพราะวิญญาณและปีศาจเป็นผู้ดลบันดาลให้เกิดขึ้น แต่ยิ่งนานวันพิธีกรรมเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา แต่ยังคงมีบางพื้นที่ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา อย่างเช่นที่ประเทศโคลอมเบียที่อยู่ในทวีปอเมริกาใต้เองก็ยังมีให้เห็นเช่นกัน วันนี้เหมียวเลยจะพาไปชมภาพพิธีกรรมเก่าแก่ที่ยังหลงเหลืออยู่กัน ภาพที่เห็นนี้คือ Diana R. เธอเชื่อว่าตนเองถูกวิญญาณร้ายสิงสู่ จึงมาเข้าร่วมพิธีดังกล่าวเพื่อกำจัดมันออกไป พิธีกรรมสุดซับซ้อนนี้ดำเนินการโดยหมอผีที่ชื่อว่า Hermes วัย 52 ปี เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าตนเองทำพิธีกรรมแบบนี้มานานกว่า 20 ปีแล้ว ซึ่งในพิธีกรรมของเขาจะประกอบไปด้วย ไฟ, ดิน, เทียน, ไข่, ดอกไม้ และสิ่งของจากธรรมชาติต่างๆ มาประกอบพิธี และให้ชาวคริสเตียนมาร่วมร่ายคาถาให้พิธีกรรมนี้ด้วย แปลกดีเหมือนกันนะเนี๊ยะ ปกติแล้วเหมียวจะเห็นแต่ในหนัง ไม่คิดว่าของจริงจะดูขนลุกขนาดนี้ ที่มา viralnova
-
เยี่ยมชมตลาดแม่มดและหมอผีสุดสะพรึง สถานที่ที่มีอยู่จริงในประเทศโบลิเวีย!!
ในโลกปัจจุบันที่ทุกคนต่างหันหน้าเข้าสู่ยุคดิจิตอลอย่างเต็มตัว ความก้าวหน้าที่วิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์จากความเชื่อให้กลายมาเป็นความจริง แต่ก็ยังคงมีอีกหลายพื้นที่ที่ยังคงความเชื่อและพิธีกรรมโบราณอยู่ อย่างเช่นในเมืองลาปาซ เมืองหลวงของประเทศโบลิเวียจากอเมริกาใต้ ที่ยังคงมีความเชื่อแบบหมอผีและแม่มดอยู่ จนถึงขั้นมีตลาดที่แปลกที่สุด และไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่จริงบนโลก!! ตลาดแห่งนี้มีชื่อว่า Calle Linares เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยพ่อมด แม่มด หมอผี หมอพื้นบ้าน โหร หมอดู รวมตัวอยู่กันที่นี่ ทั้งพักอาศัยและทำงาน ของซื้อของขายในตลาดแห่งนี้จะเกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์และของประกอบทางพิธีกรรมแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวอ่อนลามะ ลามไปจนถึงเครื่องรางจากคางคก ขนนกฮูก เครื่องรางของขลังต่างๆ มากมายหลายสิ่ง จะว่าไปบรรยากาศในตลาดก็ทำให้รู้สึกขนลุกได้เหมือนกันนะ เดินเล่นแถวนี้อาจจะทำให้รู้สึกตะหงิดๆ ขึ้นมาเล็กน้อย จะมีคนเล่นของใส่เรารึเปล่าเนี่ย!? ที่มา : atlasobscura