Tag: มนุษย์เงินเดือน
-
สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ ร่วมกันแชร์ความเห็น ใช้ชีวิตอย่างไรกับเงิน 500 บาท
คำว่า ‘สิ้นเดือนก็เหมือนสิ้นใจ’ สำหรับมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายน่าจะรู้ซึ้งถึงคำนี้ดีอย่างแน่นอนว่า เงินเดือนในแต่ละเดือนของเรานั้นมันสำคัญแค่ไหน แต่พอได้มาทีไรก็มีอันต้องจ่ายออกไป พอถึงปลายๆ เดือนก็เริ่มจะอยู่อย่างขัดสนกันแล้ว ยิ่งช่วงไหนถ้าเป็นหน้าเทศกาลงานบุญ ไอ้เงินที่มีก็ต้องแบ่งออกมาใช้ ทำให้เงินที่มีอยู่น้อยนิดนั้นค่อยๆ หายวับไปกับตา มนุษย์เงินเดือนก็ต้องเสาะหาวิธีที่จะมีชีวิตอยู่รอดได้ด้วยเงินที่มี #เหมียวบู้บี้ เห็นมาว่า มีกระทู้พันทิปหนึ่งกระทู้ที่น่าสนใจ ที่ได้มาตั้งโจทย์ปัญหาให้ชาวเว็บไซต์ได้ตอบกันกับโจทย์ มีวิธีอยู่ทั้งเดือนได้ด้วยเงิน 500 บาทไหมคะ? กระทู้นี้ถูกตั้งขึ้นโดย สมาชิกหมายเลข 1177444 ได้มาเล่าเรื่องราวของเธอว่า เดือนหนึ่งของเธอนั้นมีรายจ่ายที่ต้องจ่ายเยอะแยะมากมาย พอหักลบกันแล้วเหลือเงินประมาณ 500 กว่าบาท อยู่หอ ใกล้ที่ทำงาน เลยไม่ต้องเสียค่ารถ เหลือก็เพียงแต่ค่าอาหารในจำนวนเงิน 500 บาท เธอไม่กล้ารบกวนแม่กับแฟน และโจทย์ที่ยากก็คือ ไม่มีเตาแก๊สหรือหม้อไฟฟ้าสำหรับทำครัว จึงมาขอคำปรึกษาชาวพันทิป ซึ่งก็ได้คำตอบหลายๆ คำตอบที่ถือว่า น่าจะเป็นแนวทางให้กับมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายได้ ข้าว ไข่ น้ำพริก ผัก กินวนไปทั้งเดือน ซื้อข้าวมาหุงเอง กินกับไข่ ข้าวต้ม ไข่ ผัก ไม่มีอะไรจะประหยัดไปกว่านี้แล้ว…
-
พนง. โดนขู่หาคนมาแทน เหตุจะไปดูแลเมียป่วย เซย์โนแคร์เพราะ ‘ไม่มีใครแทนที่เมียได้’
เรื่องของการดูแลคู่ชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ แม้ว่าหน้าที่การงานจะต้องมาก่อนเสมอ แต่มองในอีกมุมหนึ่งแล้วคนที่คอยอยู่เคียงข้างนั้นจะอยู่สนับสนุนและกำลังใจในชีวิต ที่ใครก็ไม่อาจแทนที่ได้… และเป็นที่รู้กันว่าสภาพของสังคมการทำงานในญี่ปุ่น เหล่าพนักงานออฟฟิศ มนุษย์เงินเดือนฝ่ายชายส่วนใหญ่ จะต้องทำงานแบบถวายหัว จะมองงานมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยที่ทิ้งความรู้สึกของคนในครอบครัวเป็นอันดับรอง แต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องสำคัญกับคนในครอบครัว มนุษย์เงินเดือนจะแปรเปลี่ยนไปได้หรือไม่? และเรื่องเล่าจาก @Rakshasa_JP ชาวเน็ตญี่ปุ่น ที่ได้แชร์เรื่องราวสามีของเพื่อนตนเองว่า เหล่ามนุษย์ออฟฟิศญี่ปุ่นไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไปหรอก เขาเล่าว่า วันหนึ่งฝ่ายสามีได้พูดคุยกับผู้จัดการว่า ‘ภรรยาของผมป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ เพราะฉะนั้นผมขอกลับบ้านก่อนเวลานะครับ’ ก็เพื่อที่จะได้ไปดูแลภรรยาที่กำลังนอนป่วยอยู่บ้าน แต่ทว่าฝั่งผู้จัดการไม่เห็นด้วยกับเหตุผลที่กล่าวมา พร้อมตอบกลับด้วยความโมโห ‘รู้มั้ยว่า… เราหาคนมาแทนที่แกได้ง่ายมากเลยนะ’ เป็นการพูดในเชิงว่าจะไล่เขาออก ด้วยบทสนทนาที่ดูรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายสามีจึงตอบไป ‘เมียของผมจะหาใครมาแทนไม่ได้ทั้งนั้น ไอ้งั่ง’ ด้วยประโยคคำขาดเขาก็กลับบ้านไปทำหน้าที่สามีดูแลภรรยา และคิดว่างานในบริษัทครั้งนี้คงจบสิ้นแล้ว… ในตอนจบที่แท้จริง คุณ @Rakshasa_JP ได้เผยว่า ฝ่ายสามีไม่ถูกไล่ออก แต่กลับกันคือผู้จัดการคนดังกล่าวตกงานไปเรียบร้อย โดยที่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดว่า ทางบริษัทไล่ผู้จัดการออกด้วยเหตุผลอะไร อาจจะเพราะการใช้อำนาจโดยมิชอบ (ซึ่งที่ญี่ปุ่นกำลังตื่นตัวเรื่องมาตรการในการจัดการกับการคุกคามทางเพศ (Sexual Harassment) และการใช้อำนาจในทางมิชอบ (Power Harassment) ในที่ทำงานอยู่) หรือประสิทธิภาพในการทำงานของตัวผู้จัดการเอง แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม…
-
เมื่อมนุษย์เงินเดือนมาแฉเรื่องฮาๆ ผ่านแฮชแท็ก #แอบเม้าท์ชาวออฟฟิศ มันก็ฮาสิครับ
ในชีวิตการทำงานของเรานั้น ทุกคนต่างก็เจอเรื่องที่ไม่เหมือนกัน บางคนได้ที่ทำงานดีแต่งานไม่ดี แต่บางคนได้งานดีๆ แต่ก็ต้องมาปวดหัวกับเพื่อนร่วมงาน มันเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าชีวิตในการทำงานของเราจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง เมื่อประมาณช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในทวิตเตอร์ได้มีการปลุกกระแสร่วมกันแชร์ประสบการณ์และชีวิตการทำงานของเหล่ามมนุษย์เงินเดือนผ่านทาง #แอบเม้าท์ชาวออฟฟิศ ซึ่งเขาจะแอบเม้าท์อะไรกันบ้างมาดูกัน อย่ามายุ่งกับอาตมานะ การใช้ภาษาไทย ควรใช้ให้ถูกต้องนะคะ มันสำคัญมากสำหรับการสื่อสาร เพื่อนในออฟฟิศดีมีชัยไปกว่าครึ่งนะจ๊ะ แอบเม้าท์ป้าแม่บ้าน ผู้ทุ่มเทในการบริการให้กับพวกเราชาวออฟฟิศ ออฟฟิศไหนที่มีมนุษย์ป้าเยอะ การจับกลุ่มเม้าท์ทุกเรื่องที่เกิดบนโลกนี้คือกิจกรรมหลักรองจากการทำงาน นี่คือตัวอย่างเจ้านายในฝัน เค้าเรียกว่าชิ้นเกรงใจ การตรงต่อเวลาเป็นอีกหนึ่งวินัยที่ควรปฏิบัติ แล้วเราก็จะกลายเป็นเด็กอ้วนในที่สุด คนจริงต้องคนนี้ ฮ่าๆ ป้าแกก็แค่อยากเม้าท์กับเราแค่นั้นเอง พี่ชอบซื้อ แต่พี่ไม่ชอบกิน เลยเอามาฝากให้น้องๆ ได้อิ่มหนำสำราญ แล้วหนูจะตอบไลน์พี่อย่างไรคะ? อยากได้งานด่วนก็มาบอกเองเลยจ้า เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว… เลิกงานก็คือเลิกงาน ไม่มีการทำต่อ ดีสุดๆ พี่คะ หนูแก้งานให้แล้วนะ…
-
ตามติดชีวิตมนุษย์เงินเดือน 4 ล้านบาทแห่งนิวยอร์ก วันๆ ใช้จ่ายไปกับอะไรแค่ไหนบ้าง!?
ชีวิตมนุษย์เงินเดือนส่วนมากไม่ได้ฟู่ฟ่าหรูหรานัก เพราะว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะได้เงินเดือนเยอะจนเหลือเก็บได้ ส่วนใหญ่ที่เหลือนั้นบางทีก็เงินน้อยจนใช้กันเดือนชนเดือนเลยทีเดียว ซ้ำร้ายบางคนยังหมุนเงินไม่ทันด้วย แต่ถึงจะเป็นมนุษย์เงินดือนก็ไม่ได้เงินน้อยเสมอไปหรอก ถ้าเกิดขึ้นไปถึงตำแหน่งหัวหน้างานใหญ่ๆ ได้ล่ะก็อาจจะมีเงินเดือนเป็นแสนเป็นล้าน สามารถใช้ชีวิตหรูหราแบบสบายๆ เลยนะ ไม่เชื่อลองไปดูผู้หญิงคนนี้สิ หญิงที่จะมาแบ่งปันไดอารี่ค่าใช้จ่ายของเธอในวันนี้ เป็นหญิงวัย 35 ปีที่ทำงานเป็นหัวหน้าผู้จัดการให้กับ Hedge Fund บริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่ในเมืองนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอมีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 100,000-200,000 ดอลลาร์สหรัฐ หากรวมกับเงินโบนัสที่ได้ทุกเดือนแล้ว รายได้เฉลี่ยของเธอจะอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 48 ล้านบาท) หากนับค่าเฉลี่ยก็จะอยู่ประมาณ 4 ล้านบาทต่อเดือน เยอะกว่าเงินรายเดือนของพนักงานทั่วๆ ไปในบ้านเราเป็นพันเท่าตัวเลยทีเดียว ลองไปดูว่าชีวิตการใช้เงินของเธอจะเป็นยังไงบ้าง วันจันทร์ เธอเริ่มต้นวันแรกของอาทิตย์ด้วยการส่งลูกทั้งสองคนไปโรงเรียน จากนั้นเธอจึงไปเข้าประชุมที่โรงแรม Palace Hotel หลังจากผ่านการประชุมติด 6 ครั้งมาอย่างเหนื่อยล้า ตอนเย็นเธอจึงแวะเติมพลังที่ร้านเสื้อผ้า Zara ด้วยการช็อปชุดเดรสใหม่ 2 ตัวรวมแล้วราคา 150 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4,800 บาท) จากนั้นเธอก็เข้าไปที่ทำงานเพื่อเตรียมงานประชุมของวันรุ่งขึ้น…
-
เรื่องราวของ “มนุษย์เงินเดือน” พบรักกับ “แมวจรจัด” จีบกันเป็นปี กว่าจะยอมให้เลี้ยง!!
เป็นโอกาสอันดีที่คุณสมาชิกหมายเลข 1182411 ได้ให้ทางแคทดั๊มบ์เผยแพร่เป็นเรื่องราวสุดน่ารักของเขากับ “เหมียว” เจ้าแมวจรจัดที่เขาใช้เวลาจีบมันนานถึง 1 ปีเต็มกว่าจะได้ตกลงปลงใจ… เรื่องมันเริ่มจากเดือนมิถุนายน 2015 โดยตัวเขาได้งานใหม่แถวๆ ราชปรารภซึ่งมันอยู่ใกล้ๆ กับประตูน้ำ ทำให้เขาไปเช่าหอพักอยู่แถวนั้นเพื่อสะดวกต่อการเดินทาง และด้วยความที่เขาคนนี้เป็นคนที่ชอบออกสำรวจร้านค้าต่างๆ รอบบริเวณที่เขาอยู่ทำให้เขาได้ไปเจอกับแมวจรจัดตัวหนึ่ง ที่กลายมาเป็นตัวแสดงหลักของเรื่องนี้ ด้วยความที่เขาไม่เคยเลี้ยงแมว เขาจึงไม่รู้วิธีการที่จะรับมือกับมัน ในช่วงแรกเขาได้พยามที่จะให้อาหารชนิดต่างๆ กับมันแต่สิ่งเดียวที่มันกินในตอนนั้นคือหมูปิ้ง แถมเจ้าเหมียวยังขี้กลัวสุดๆ ไม่ยอมให้เข้าใกล้เลย มันกลัวขนาดว่าแค่ลมพัดอะไรมาโดนตัวมันยังกลัวเลย แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้หรอกนะ!!! เขาเปลี่ยนจากการให้หมูปิ้งมาเป็นการไปซื้ออาหารเปียกจากร้านสะดวกซื้อมาแทน ทว่าบางวันเขามาแล้วกลับไม่เจอเจ้าเหมียว ซึ่งเขาก็เกิดความสงสัยจนไปถามป้าแม่ค้าที่ขายของแถวนั้นเป็นประจำ จนสุดท้าย เขาได้รู้ความลับว่าเจ้าเหมียวตัวนี้มันจะออกมาเฉพาะช่วงเวลาเย็นๆ แถมคนแถวนี้เขาก็ไม่ชอบแมวสักเท่าไหร่ ถ้าป้าเขาไม่มาขายของวันไหนแมวตัวนี้ก็จะอด นอกจากนั้นเขายังได้รู้ต้นเหตุความกลัวของเจ้าเหมียวแล้วว่า ที่มันกลัวคนมากขนาดนี้ก็เพราะคนชอบไล่และทำร้ายมันมาเป็นเวลานาน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ลดความตั้งใจซื้อน้ำและอาหารมาให้มันอย่างสม่ำเสมอ เขาบอกว่าแมวตัวนี้เนี่ยมันไม่เหมือนแมวจรจัดตัวอื่นๆ เพราะมันเรียบร้อยมาก และไม่ตะกละด้วย เวลารออาหารมันก็จะนั่งรออย่างเรียบร้อย มาถึงจุดนี้ก็ดูเหมือนเขาจะเริ่มตกหลุมรักมันเข้าแล้ว เขาเริ่มศึกษาและตัดสินใจที่จะนำมันมาเลี้ยง แต่ทว่าปัญหาใหญ่ก็คือ แมวยังไม่ยอมให้เขาจับทั้งๆ ที่เขาให้อาหารมันมาเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว แถมช่วงนั้นก็เป็นหน้าฝนเขาเกิดความเป็นห่วงว่ามันจะป่วย เขาจึงเริ่มคิดหาวิธีต่างๆ เพื่อจะได้นำมันกลับไปเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด แต่แล้วไม่ว่าจะวิธีการไหนๆ มันก็ไม่ได้ผลหรือไม่น่าจะใช้งานได้เลย ทั้งการคิดจะยิงยาสลบ หรือการให้ขนมแมวเเพื่อล่อมันเข้ากระเป๋า ก็ล้วนแต่ไม่สำเร็จทั้งสิ้น…
-
ชีวิตดี๊ดี 11 เมืองจากรอบโลก ที่เหล่ามนุษย์เงินเดือนได้รับวันหยุดแบบ ‘จ่ายเงินให้’ มากที่สุด!!!
ถ้าเพื่อนๆ คนไหนชอบทำงาน บ้างาน งานคือเงิน เงินคืองานล่ะก็ เหมียวแนะนำให้ย้ายไปยังฮ่องกงเลยล่ะ ที่ฮ่องกงเพื่อนๆ จะได้ทำงานราวๆ 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เลยทีเดียว แถมปีหนึ่งได้หยุดราวๆ 17 วันเท่านั้น…ฟังดูดีมากๆ สำหรับคนชอบทำงาน -*- แต่ถ้าเพื่อนๆ ไม่ชอบทำงาน อยากได้วันหยุดมากๆ ประเทศฝรั่งเศสเป็นตัวเลือกที่ดีเลยล่ะ เพราะประชากรที่นี่ ทำงานกันสัปดาห์ละ 35 ชั่วโมงเท่านั้น แถมปีหนึ่งได้หยุดแบบจ่ายเงินให้ถึง 29 วันเลยล่ะ เมืองที่เหล่าพนักงานได้รับวันหยุดแบบจ่ายเงินมากที่สุด!!! จากการสำรวจของทาง UBS การที่เรามีชั่วโมงทำงานน้อย รายได้มาก และวันหยุดมาก ถือเป็นตัวชี้วัดค่าความมี ‘ชีวิตดี๊ดี’ โดยทั่วทั้งโลกจะมีค่าเฉลี่ยการทำงานอยู่ที่คนละ 40 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ และได้รับวันหยุดแบบจ่ายเงินให้ราวๆ 4 สัปดาห์ต่อปี ยกเว้นบางเมือง เช่นในเซี่ยงไฮ้ ที่พนักงานได้วันหยุดเพียง 7 วันเท่านั้น (ไม่รวมวันหยุดราชการ) และในกรุงเทพฯ จากการสำรวจที่ได้รับวันหยุดจ่ายเงินราวๆ 9 วันเท่านั้น แต่จะได้รับวันหยุดราชการให้อีกราวๆ 16 วัน…
-
ญี่ปุ่นจัดแข่ง ‘วิ่งเก้าอี้ทำงาน’ ควบไถไปตามถนน เพื่อแย่งกันเข้าเส้นชัย มนุษย์เงินเดือนมาเล่นเพียบ!!
นอกจากจะเป็นประเทศที่ชอบคิดค้นสิ่งแปลกใหม่แล้ว ‘ญี่ปุ่น’ ยังเป็นประเทศมีความครีเอท และสร้างสรรค์อีกด้วย เพราะเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2558 ทางสำนักข่าวต่างประเทศ ได้เผยภาพการแข่งขันกีฬาของมนุษย์เงินเดือน ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าหลายๆ ออฟฟิศนั้น ก็มีการจัดแข่งขันกีฬากันอยู่แล้ว และที่เห็นอยู่บ่อยๆ ก็คงจะเป็นการแข่งฟุตบอล หรือบาสเกตบอลกันใช่ไหมละ แต่สำหรับสำนักงานในเขตเคียวบาชิ ของกรุงโตเกียว เรียกได้ว่าทำการจัดแข่งกีฬาได้แปลกว่าบริษัทอื่นๆ เพราะการแข่งขันที่จัดขึ้นก็คือ ‘Isu-one Gand Prix’ หรือ ‘วิ่งเก้าอี้ทำงาน’ นั่นเอง และการแข่งขันในครั้งนี้ มีพนักงานออฟฟิศลงแข่งขันถึง 33 ทีม ซึ่งสมาชิกในทีมทั้งหมด 3 คน จะต้องช่วยกันวิ่งเก้าอี้ให้ได้อึดที่สุดภายในเวลาถึง 2 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว ดูน่าสนุกจัง ทำงานอย่างเดียวมันอาจจะดูน่าเบื่อเกินไป เลยจัดแข่งขันวิ่งเก้าอี้ทำงานซะเลย แม้เก้าอี้จะหัก และพังไปบ้าง แต่ทั้งผู้เข้าแข่งขัน และกองเชียร์ ก็ดูมีความสุข และมีแต่รอยยิ้ม เรียกได้ว่างานนี้หายเครียดจากการทำงานไปเยอะเลยทีเดียว ว่าแล้วก็…เหมียวต้องลองเสนอกิจกรรมสนุกๆ…
-
ศิลปินถ่ายภาพจินตนาการว่า Stormtroopers จะทำอะไรในวันหยุด สบายๆ สไตล์มนุษย์เงินเดือน
วันนี้เราก็มีไอเดียเจ๋งๆ ของศิลปินต่างชาติอย่าง Jorge Pérez Higuera นักถ่ายภาพที่มีจินตนาการสูงส่ง โดยเขาหันมาสนใจในเรื่องของตัวละครสามัญอย่างเหล่า Stormtroopers ใน Star Wars แหละ เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะว่าเหล่าทหารหาญเหล่านี้ถือว่าเป็นชนชั้นแรงงานของจักรวรรดิกาแลคติกในเลยก็ว่าได้ แน่นอนนอกจากการสู้รบแล้ว วันธรรมดาๆ พวกเขาทำอะไรกันล่ะ!!? นั่งทานอาหารเช้าเหรอ?? หรือว่าไปเข้าคลาสดี ถือว่าเป็นอีกหนึ่งมุมมองที่น่าคิดเหมือนกันนะเนี่ย มุมมองของคนทำงานธรรมดาๆ สามัญ หลากหลายอารมณ์ Higuera กล่าวว่าเหตุผลที่เลือกเหล่า Stormtroopers เพราะว่าบุคลิกของพวกเขานั่นเอง เพราะหลายๆ คนมองเจ้า Stormtroopers เป็นป็อบไอคอน และนำมาเปรียบเทียบกับตัวเอง เหมือนพนักงานกินเงินเดือนที่ต้องสวมชุดยูนิฟอรืมเหมือนๆ กันไปทำงาน แต่แน่ละนอกจากทำงานแล้ว พวกเขาก็ต้องมีชีวิตในด้านอื่นๆ กันบ้าง มาชมผลงานกันต่อได้เลย วันสบายๆ เออ…
-
โพยผู้ดีชี้ กว่าร้อยละ 37 ของมนุษย์เงินเดือนพบว่างานของตนเองนั้น ‘ช่างไร้ความหมาย’ !!!
ไม่รู้ว่าผลวิจัยนี้เป็นจริงในประเทศเรารึเปล่า!!? แต่ก็น่าสนใจเลยทีเดียว เมื่อทางเว็บไซต์ YouGov ของทางเมืองผู้ดีได้สำรวจเกี่ยวกับความพึงพอใจในงานของตนในกลุ่มเหล่ามนุษย์เงินเดือนและลูกจ้าง ซึ่งผลออกมาน่าสนใจเลยทีเดียวล่ะ เพราะว่ามีลูกจ้างจำนวนร้อยละ 37 เลยทีเดียว ที่ให้ความเห็นว่า งานที่พวกเขาทำอยู่นั้น ‘ช่างไร้ค่า’ และไม่ได้ทำประโยชน์อันใดให้กับโลกและชีวิตของพวกเขาเลย… แถมยังมีความคิดเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า กำลังหางานใหม่ที่ท้าทาย และมีความหมายกว่านี้ และกลุ่มมนุษย์เงินเดือนเพศชาย จะมีเปอร์เซ็นต์เห็นว่างานของพวกเขานั้น ‘ช่างไร้ค่า’ มากกว่าเหล่าสาวๆ เสียอีก หากจะมองว่าการทำงานในเมืองหลวงนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร และเป็นคนสำคัญแล้วล่ะก็ อาจจะต้องคิดใหม่ เพราะพบว่าชาวลอนดอนนั้น เป็นผู้ที่ให้ความคิดเห็นว่างานของตัวเองช่างไร้ความหมายสิ้นดี มากที่สุด!!! ส่วนในพื้นที่อื่นโดยเฉพาะแถบชนบทกลับเห็นว่างานของพวกเขาน่ะ มีความหมายมากกว่าผู้คนในโซนเมืองใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าชาวเมืองจะกลายเป็นซอมบี้ที่ทำงานกันแบบขอไปที เพราะผลสำรวจยังบอกว่าอีก 67% ของผู้ตอบแบบสำรวจ คิดว่างานของพวกเขามีความหมายอยู่เหมือนกันนะเออ อีกเหตุผลที่เหล่าพนักงานหลายคนเชื่อว่างานของพวกเขาไร้ความหมายนั้น เพราะในอนาคตอันใกล้นี้ เครื่องจักรอาจเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ และอาจเกิดการจ้างงานคนจริงๆ น้อยลง นั่นอาจเป็นสาเหตุให้คนเริ่มคิดว่างานของตนนั้นไร้ความหมายมากขึ้นก็เป็นได้… เออ…เหมียวว่ามันก็น่าคิดเหมือนกันนะในกรณีนี้ เพื่อนๆ ล่ะคิดว่าไงกันบ้าง…กับงานที่ตนเองทำอยู่ ลองมาคอมเม้นต์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์ให้เหมียวและเพื่อนๆ ดูกันได้นะจ๊ะ และอย่าลืม บล็อคนายจ้างด้วยล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ ที่มา: Metro