Tag: มุสลิม

  • Marvel เผยแผนภาพยนตร์เดี่ยวของ Ms. Marvel ฮีโร่มุสลิมคนแรก ต่อจาก Captain Marvel

    Marvel เผยแผนภาพยนตร์เดี่ยวของ Ms. Marvel ฮีโร่มุสลิมคนแรก ต่อจาก Captain Marvel

    แฟนๆ ภาพยนตร์ได้ทราบกันไปทั่วทั้งจักรวาลแล้วว่า อาณาจักรของ Marvel กำลังแผ่ขยายจากระยะที่ 3 สู่ระยะที่ 4 หลังจากประสบความสำเร็จกับ Infinity Wars ไปแล้ว ก็จะเป็นคิวฉายของ Ant-Man and the Wasp และ Captain Marvel   Captain Marvel มีแผนเข้าฉายช่วงมีนาคม 2019   คำเตือน: เนื้อหาตรงนี้มีการสปอยล์เอนด์เครดิตเล็กน้อย   ฉากท้ายเครดิตของ Infinity Wars เราจะได้เห็น Nick Fury คว้าอุปกรณ์สื่อสารบางอย่างที่มีหน้าตาโบราณคล้ายเพจเจอร์ ทำการขอความช่วยเหลือจากใครบางคน? ซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นคิวของ Captain Marvel ออกมากอบกู้โลกกับเหล่า The Avengers และถัดจาก Captain Marvel เราอาจจะได้ชมภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่หญิงชาวมุสลิมคนแรกของโลก นั่นก็คือ Ms. Marvel นั่นเอง   Ms. Marvel   แล้วในส่วนของ…

  • นางแบบสาวกระโดดหนีจากชั้น 6 โรงแรมดูไบ อ้างหนี “ข่มขืน” แต่เธอโดนจับขังคุก!?

    นางแบบสาวกระโดดหนีจากชั้น 6 โรงแรมดูไบ อ้างหนี “ข่มขืน” แต่เธอโดนจับขังคุก!?

    นางแบบสาววัย 22 ปี จากประเทศรัสเซีย ประสบอุบัติเหตุจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพราะถูกผู้ชายต่างชาติทำร้ายและพยายามข่มขืน จนทำให้เธอต้องหนีเอาตัวรอดจนพลัดตกตึกโรงแรมจากชั้น 6!!     Ekaterina Stetsyuk สาวนางแบบจากเมือง Irkutsk ประเทศรัสเซีย เธอเปิดเผยเรื่องราวนี้ให้กับเพื่อนๆ ว่า เธอปฏิเสธที่จะมีเซ็กส์กับชายชาวต่างชาติในโรงแรมแห่งหนึ่งที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากนั้นเขาก็พยายามที่จะข่มขืนเธอ Inge Stetsyuk คุณแม่ของเธอที่ได้รู้ข่าวจากการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ก็ได้เปิดเผยเรื่องราวกับสำนักข่าวท้องถิ่นว่า “เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา ชายหนุ่มต่างชาติคนนั้นทำร้ายร่างกาย Katya (ชื่อเล่นของลูกสาว) เขาบีบคอเธอแล้วก็เอามีดจ่อที่คอ เพื่อเอาชีวิตรอด ลูกสาวของฉันก็เลยต้องกระโดดหนีออกมาทางระเบียงที่อยู่ชั้น 6 จนได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก” “เธอไม่สามารถเดินได้ จนเมื่อวาน Katya โทรมาบอกว่าเธอกำลังจะถูกจับเข้าคุก ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ผิดอะไร!?”     ตามรายงานระบุเอาไว้ว่าชายคนดังกล่าวเป็นชาวสหรัฐอเมริกา และถูกจับกุมตัวที่สนามบินดูไบขณะที่กำลังจะเดินทางหลบหนี แต่หลังจากถูกเจ้าหน้าที่จับกุมชายคนดังกล่าวก็ให้การกลับกันว่าแท้จริงแล้วเธอต่างหากที่เป็นคนพยายามทำร้ายเขา แถมยังบอกอีกว่าที่จริงแล้วหญิงสาวคู่กรณีน่ะที่แท้จริงแล้วเป็นสาวขายบริการ     ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องทำการควบคุมตัวของ Katya เอาไว้ ทั้งๆ ที่เธอยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล และหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ก็จะทำการสืบสวนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นต่อไป ทางด้านคุณแม่ของ Katya พอได้ทราบเหตุการณ์ก็เลยออกมาโต้ว่าแท้จริงแล้วลูกสาวของเธอไม่ได้เป็นสาวขายบริการ…

  • หนุ่มมุสลิมตัดสินใจแต่งงานกับ 3 สาวพร้อมกัน เพราะมีเงินไม่พอในการจัดงานแยกทีละคน

    หนุ่มมุสลิมตัดสินใจแต่งงานกับ 3 สาวพร้อมกัน เพราะมีเงินไม่พอในการจัดงานแยกทีละคน

    นาย Mohammed Ssemanda หนุ่มใหญ่วัย 50 ปีชาวมุสลิมจากประเทศยูกันดา ตัดสินใจเข้าพิธีวิวาห์กับเจ้าสาวพร้อมกัน 3 คนเมื่อเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากเขาไม่มีเงินพอสำหรับจัดงานแต่งกับเจ้าสาวแยกทีละคน คุณ Ssemanda สร้างความตกใจให้กับผู้คนในหมู่บ้านอย่างมากหลังจากที่เขาปรากฏตัวกลางงานแต่งพร้อมกับเจ้าสาวถึง 3 คน ชายหนุ่มให้สัมภาษณ์ว่าภรรยาทั้ง 3 คนรู้ว่าเขาไม่มีเงิน แต่พวกเธอก็ยอมแต่งานกับเขาด้วยความรัก     “ภรรยาของผมไม่อิจฉากันเลย นั่นถือเป็นเรื่องที่ดีมาก และผมสัญญาว่าจะทำงานอย่างหนักเพื่อดูแลพวกเธอทั้ง 3 คน” ชายวัย 50 ปีกล่าว เจ้าสาวทั้ง 3 คนของคนของเขาประกอบไปด้วยคุณ Salmat Naluwugge วัย 48 ปีที่แต่งงานกับชายหนุ่มเมื่อ 20 ปีที่แล้วพร้อมกับมีลูกด้วยกันถึง 5 คนด้วยกันและนี่คือการแต่งานครั้งที่ 2 ของพวกเขา ส่วนเจ้าสาวอีก 2 คนที่เหลือก็คือ Jameo Nakayiza วัย 27 ปี กับ Mastulah Namwanje วัย 24 ปี “ฉันคิดว่าการแต่งงานพวกเรา 3 คนพร้อมกันนั้น แสดงให้เห็นว่าสามีของพวกเราไม่ได้เลือกใครคนใดคนหนึ่ง เขารักเราทุกๆ คนเท่ากัน” Naluwugge เจ้าสาววัย 48 ปีกล่าว…

  • ชายหนุ่มถูกตัดสินโทษจำคุก 15 ปี เพราะเอา ‘เบคอน’ ไปวางไว้หน้ามัสยิด

    ชายหนุ่มถูกตัดสินโทษจำคุก 15 ปี เพราะเอา ‘เบคอน’ ไปวางไว้หน้ามัสยิด

    ทุกคนรู้ว่าตามหลักศาสนาอิสลาม ชาวมุสลิมนั้นไม่สามารถบริโภคหมูได้เลย แต่ชายคนนี้กลับทำในสิ่งที่คุกคามผู้นับถือศาสนาดังกล่าว โดยการนำเบคอนไปวางเอาไว้ด้านหน้าทางเข้ามัสยิดที่ตั้งอยู่ในเมือง Titusville รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา เขาคนนี้มีชื่อว่า Michael Wolfe วัย 37 ปี เขาทำสิ่งนั้นลงไปในวันที่ 2 มกราคม 2016 และถูกกล้องวงจรปิดเก็บภาพสิ่งที่ทำเอาไว้ ก่อนที่เขาจะถูกจับกุมตัวเพื่อดำเนินคดีในการก่ออาชญากรรมคุกคามสถานที่เกิดเหตุ และข้อหาการกระทำความผิดที่มีบ่อเกิดมาจากความเกลียดชัง   กล้องวงจรปิดถ่ายภาพขณะที่เขากำลังก่อคดีอาชญากรรมเอาไว้ได้   ภาพชัดๆ จากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นชายคนดังกล่าวนำเบคอนไปวางเอาไว้ที่ประตูหน้าของมัสยิด และใช้มีดเล่มใหญ่ทำลายหน้าต่าง หลอดไฟ และกล้องที่ติดตั้งอยู่บริเวณดังกล่าว ล่าสุดในวันที่ 5 ธันวาคม 2017 หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นกว่า 1 ปี ตัวแทนสำนักงานเขตตุลาการปกครอง Todd Brown ได้ออกมากล่าวว่า ผู้กระทำผิดได้รับการตัดสินโทษจำคุก 15 ปี พร้อมกับคุมความประพฤติหลังจากที่ออกจากคุกมา เพื่อไม่ให้เขาทำแบบนี้อีก     สภาความมั่นคงระหว่างอเมริกันกับอิสลามแห่งรัฐฟลอริด้า เห็นด้วยกับสิ่งที่ศาลตัดสินให้จำคุกนาย Michael แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาบอกว่า “ชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในรัฐต้องเจอกับอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังอยู่นับไม่ถ้วน” ปัจจุบันแนวคิดต่อต้านศาสนาอิสลามกำลังแพร่กระจายไปทั่วสหรัฐอเมริกา จนมีเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน และหลายครั้งเลยเถิดจนเป็นกลายเป็นเหตุอาชญากรรม…

  • หนุ่มอินโด สร้างแอปฯ หาคู่ ที่จะช่วยให้หนุ่มๆ สามารถหาภรรยาคนที่สองหรือสามเพิ่มได้

    หนุ่มอินโด สร้างแอปฯ หาคู่ ที่จะช่วยให้หนุ่มๆ สามารถหาภรรยาคนที่สองหรือสามเพิ่มได้

    เมื่อพูดถึงการมีคู่ครองนั้น เราก็จะมีจิตใต้สำนึกปกติที่ว่าควรจะมีคนรักเพียงแค่คนเดียวเพียงเท่านั้น แต่ทว่าบนโลกนี้ก็ยังมีคู่รักอีกมากมายที่ไม่อยากหยุดที่การมีภรรยาแค่คนเดียว แต่กลับมีคนที่สองหรือสามเพิ่มเข้ามา… ด้วยเหตุนี้ Lindu Pranayama หนุ่มชาวอินโดที่ชื่นชอบท่องเว็บไซต์หาคู่เป็นประจำ ก็พบว่าชาวอินโดมักจะต้องการหาคู่ครองคนที่สองและสามเป็นจำนวนมาก แต่เขาสังเกตเห็นว่ามันไม่มีหมวดการหาคู่ประเภทนี้เป็นกิจลักษณะ     Lindu ก็เลยคิดว่าเขาจะต้องเป็นผู้นำในเรื่องนี้ให้ได้ก่อนใคร เขาจึงจัดการสร้างแอปหาคู่ที่ชูจุดเด่นในด้านการหาคู่ครองคนที่สองสามสี่ โดยเขาใช้ชื่อว่าแอปว่า AyoPoligami หรือให้แปลตรงตัวก็คือ มามีคู่ครองหลายคนกันเถอะ นั่นเอง หลายคนอาจจะมองว่ามันแปลกทำไมต้องมีภรรยาหลายคน หรือมันไม่ผิดเหรอ คำตอบคือมันไม่ผิดเลย เพราะในอินโดนีเซียนั้นนับประชากรกว่า 80% เป็นชาวมุสลิม ซึ่งทำให้การมีคู่ครองหลายคนจึงเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย แต่ก็มีเงื่อนไขที่เยอะพอสมควรเลยนะ     โดยการจะแต่งงานภรรยาคนที่สองจะต้องได้รับการยินยอมจากคู่ครองคนแรกเสียก่อน จากนั้นก็ต้องไปร้องขอต่อศาล ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมาจาภรรยาคนแรกมีสุขภาพที่ไม่ดี พิการหรือไม่สามารถมีบุตรได้ จึงทำให้ต้องมีคนที่สองหรือสามต่อมา ด้วยเหตุนี้ตัวแอป AyoPoligami จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ตอนนี้มีคนดาวน์โหลดมาใช้แล้วมากเกือบ 40,000 ครั้ง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะส่วนใหญ่ที่สมัครเข้ามามักจะเป็นไอดีปลอมๆ ที่โกหกว่าได้รับการยืนยันให้มีคู่ครองเพิ่ม ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วยังไม่ได้การยินยอมเลย     ด้าน Lindu ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ตอนนี้เขาได้ปิดระบบสมัครสมาชิกไว้ชั่วคราวแล้ว และเขาบอกว่าเขากำลังคิดระบบที่จะให้ผู้สมัครหาคู่เพิ่มได้รับการยินยอมจากคู่ครองก่อนจึงจะสมัครได้ ส่วนด้านตัว Lindu เองก็เป็นชายโสดที่พึ่งจะมีภรรยาจากแอปของเขาเองเช่นกัน และด้วยแอปนี้ก็จะทำให้เขาสามารถหาคู่ครองเพิ่มได้ในอนาคต เรียกว่าได้ภรรยาจากแอปนี้ก็เท่ากับได้รับการยินยอมไปแล้วครึ่งหนึ่งสินะเนี่ย     ที่มา odditycentral

  • หมอมุสลิมที่อาสาช่วยคนเจ็บในแมนเชสเตอร์ โดนทำร้ายร่างกายปางตาย แต่ยังพร้อมให้อภัย!!

    หมอมุสลิมที่อาสาช่วยคนเจ็บในแมนเชสเตอร์ โดนทำร้ายร่างกายปางตาย แต่ยังพร้อมให้อภัย!!

    ถึงแม้ว่าเรื่องของการเหยียดเชื้อชาติและศาสนาอาจจะดูเป็นเรื่องที่ล้าหลัง แต่ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปนานแค่ไหน ก็ยังมีคนที่รู้สึกเกลียดชังคนอื่นเพียงเพราะว่าเองนับถือคนละศาสนาเท่านั้น   แต่ถึงอย่างไรก็ตามยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่พร้อมจะให้อภัยกับการกระทำเหล่านี้ และกล้าที่จะกล่าวคำว่า “ไม่เป็นไร” ได้อย่างเต็มใจ แม้สิ่งที่พวกเขาถูกกระทำนั้น อาจพรากชีวิตของพวกเขาไป เหมือนอย่างคุณหมอชาวมุสลิมท่านนี้…     คุณหมอ Consultant Nasser Kurdy ศัลยแพทย์ชาวจอร์แดน ได้ออกมากล่าวให้อภัยกับคนร้ายที่เข้ามาแทงเขาด้วยมีด ระหว่างที่กำลังเดินอยู่ในมัสยิด Altrincham ในเมือง Cheshire ประเทศอังกฤษ เมื่อเวลาประมาณ 6 โมงเย็นของวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา ศัลยแพทย์วัย 58 ปีถูกคนร้ายเข้ามาแทงจากทางด้านหลังด้วยมีดลึกถึง 3 เซนติเมตร และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเขาเริ่มหายดีแล้ว และกำลังเตรียมตัวที่จะกลับไปทำงานตามเดิม คุณหมอ Kurdy เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า “ผมต้องขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่เมตตาผม โชคดีที่มีดนั่นไม่ได้โดนเส้นประสาท หรือหลอดเลือดที่คอของผมตอนที่ผมถูกแทงผมล้มลงที่พื้นด้วยความเจ็บปวด ผมเห็นชายคนนั้นกำลังยืนขู่ผมอยู่ด้วยท่าทางที่น่ากลัวมาก“      คุณหมอเล่าว่าเขาจำไม่ได้ว่าคนร้ายพูดอะไรกับเขา แต่เขารู้สึกได้ว่าการทำร้ายร่างกายครั้งนี้มาจากความเกลียดชังชาวมุสลิมของชายคนดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามเขากลับบอกว่าไม่ได้รู้สึกโกรธชายคนดังกล่าวเลยและพร้อมที่จะให้อภัยเขา “ชายคนที่ทำร้ายผมไม่ใช่ตัวแทนของคนทั้งหมดในเมืองนี้ ผมพูดจากใจจริงเลยว่าผมไม่ได้โกรธหรือแค้นเขาเลยแม้แต่น้อย และผมเองก็ให้อภัยกับสิ่งที่เขาทำ“ คุณหมอกล่าว  คุณ Kurdy เติบโตมาในครอบครัวชาวมุสลิม และในแต่ละวันเขาจะเดินทางไปที่มัสยิดเพื่อทำการประกอบพิธีทางศาสนา นอกจากนี้คุณ Kurdy ยังรองประธานของสมาคมอิสลามอย่าง Altrincham and Hale Muslim Association และเคยเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือเหยื่อจากเหตุระเบิดในเมืองแมนเชสเตอร์อีกด้วย     แต่อย่างไรก็ตามคุณหมอท่านนี้ก็ยังคงรู้สึกเกลียดชังต่อการก่อการร้าย และการที่ชาวมุสลิมต้องตกเป็นแพะรับบาปจากเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ อย่างการระเบิดสนามกีฬาหรือการโจมตีที่ Parsons Green  “ทุกวันนี้เหตุก่อการร้ายมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น มันสร้างความกังวลให้กับพวกเรามากๆ และความเกลียดชังที่มีต่อชาวมุสลิมก็มากขึ้นด้วย “ “ผมอยากจะบอกทุกคนว่า ถึงผมจะเป็นมุสลิม แต่ผมก็เหมือนทุกๆ คนนั่นแหละ…

  • ครอบครัวมุสลิมเดือด โดนพนักงานร้านฟาสต์ฟู้ด แอบใส่เบคอนชิ้นเล็กๆ ซ่อนไว้ในแซนด์วิชไก่!!

    ครอบครัวมุสลิมเดือด โดนพนักงานร้านฟาสต์ฟู้ด แอบใส่เบคอนชิ้นเล็กๆ ซ่อนไว้ในแซนด์วิชไก่!!

    ใครมีเพื่อนเป็นชาวมุสลิมกันบ้างเอ่ย แต่ถึงไม่มียังไงสิ่งที่เราแทบทุกคนจะรู้กันก็คือศาสนาอิสลามนั้นไม่กินเนื้อหมูตามความเชื่อทางศาสนา แล้วถ้าพวกเขาต้องมาพบว่าตัวเองได้กินไปโดยไม่ตั้งใจไปแล้วล่ะ? เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจากร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดังอย่าง McDonald’s ที่ซึ่งชาวมุสลิมได้เข้าไปสั่งอาหารอย่างที่พวกเขาสามารถทานตามปกติ แต่เมื่อกินเข้าไปก็ต้องพบกับกลิ่นรมควันอันน่าสงสัยในเมนูขึ้นมา     และแล้วก็เซอร์ไพรส์ทันทีกับการได้เห็นชิ้นเบคอนแผ่นเล็กๆ ซ่อนอยู่ในแซนด์วิชไก่ของพวกเขา หลังจากนั้นลูกค้าก็ได้ถ่ายคลิปไว้เพื่อเผยแพร่ให้ทุกคนได้เห็นของแถมที่พวกเขาไม่ได้ต้องการเลย จนกระทั่งเรื่องดังกล่าวก็ถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์     กรรมการบริหารองค์กรศาสนาอิสลามในประเทศอเมริกาได้ออกมาพูดว่า “มันไม่น่าจะเป็นความผิดพลาด เพราะนี่มันเกิดขึ้นกับแซนด์วิชจำนวนถึง 14 ชิ้น อยู่บนไก่บ้าง ซ่อนอยู่ใต้แซนด์วิชบ้าง ในจุดที่ลูกค้าจะมองเห็นได้ยาก นั่นจึงเหมือนเป็นการตั้งใจซ่อนเอาไว้”     โดยก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น แซนด์วิชไก่จำนวนมากที่ถูกจำหน่ายออกไป ไม่อาจทราบได้เลยว่าจะมีเบคอนชิ้นเล็กๆ อยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า… ทางร้านก็ได้ออกมาพูดว่า “เรารับประกันได้เลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากความตั้งใจของพนักงาน เราเอาใจใส่กับลูกค้าทุกคน และพยายามทำให้มั่นใจทุกครั้งกับรายการอาหารที่ถูกต้องครบถ้วน ซึ่งหลังจากนี้เราจะหาสาเหตุกันต่อไป”   คลิปวิดีโอสั้นๆ ที่ลูกค้าชาวมุสลิมได้ถ่ายเอาไว้   ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนี้ก็คงจะทำให้หลายคนต้องตรวจสอบอาหารที่เราจะนำเข้าปากกันให้ดีซะแล้ว เพราะหากมีอะไรที่เรากินไม่ได้โผล่ขึ้นมาในนั้นละก็คงจะเป็นเรื่องที่ลำบากกันไปเลยทีเดียว ที่มา: metro

  • กลุ่มชาวเน็ตนอร์เวย์โพสต์ภาพเบาะ เหมือนกลุ่มสาวอิสลาม สู่มหกรรมวิ่งเข้าทุ่งครั้งยิ่งใหญ่..!!

    กลุ่มชาวเน็ตนอร์เวย์โพสต์ภาพเบาะ เหมือนกลุ่มสาวอิสลาม สู่มหกรรมวิ่งเข้าทุ่งครั้งยิ่งใหญ่..!!

    เรียกได้ว่ากำลังเป็นกระแสโด่งดังไปทั่วโลกออนไลน์ หลังจากเกิดเรื่องแดงขึ้นในกลุ่มเฟสบุ๊คต่อต้านผู้อพยพของประเทศนอร์เวย์ ได้ออกมาโพสต์ภาพที่นำไปสู่มหกรรมการดักควายครั้งยิ่งใหญ่     “ออกไปจากประเทศนี้นะ”, “น่ากลัวขยะแขยง” หรือ “นั่นมันพวกผู้ก่อการร้าย” ทั้งหมดนี้คือความเห็นส่วนหนึ่งจากชาวเน็ต หลังจากที่มีการโพสต์ภาพดังกล่าวลงไปในกลุ่ม Fedrelandet viktigst (Fatherland first) เพื่อเรียกคอมเมนท์จากกลุ่มสมาชิกที่มีแนวคิดต่อต้านผู้อพยพ ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม   ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่ภาพเบาะนั่งในรถบัสเท่านั้น   “เราควรเอาพวกมันออกไปจากประเทศนี้ซะ พวกมันคลุมผ้าไว้ทั้งตัวแบบนี้เราไม่รู้เลยว่าเป็นใคร และพวกมันอาจเป็นพวกผู้ก่อการร้ายก็เป็นไปได้” – ความเห็นจากชาวเน็ตส่วนหนึ่ง ซึ่งภาพนี้ถูกโพสต์โดยนาย Johan Slåttavik โดยเจ้าตัวทราบดีว่าเป็นภาพของเบาะที่นั่งบนรถบัส แต่ด้วยความเกรียนผสมกับความอยากปั่นกระแสดราม่า เจ้าตัวจึงนำภาพดังกล่าวไปโพสต์ลงบนเพจเพื่อสังเกตปฏิกริยาท่าทีของชาวเน็ตที่มีต่อภาพ     แน่นอนว่ากระแสจากภาพที่นั่งบนรถบัส เต็มไปด้วยคำด่า คำสาปแช่ง คำพูดในเชิงเหยียดชาติพันธุ์ศาสนา และถูกแชร์ต่อไปอีกมากกว่าหลายพันครั้ง Sindre Beyer ชาวเน็ตกลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับ Hate Speech ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “มันช็อคมากที่เราได้เห็นปรากฎการณ์ของกลุ่มคนนอร์เวย์ดังกล่าวบนโลกเฟซบุ๊ก แม้ว่าจะเป็นแค่ภาพเบาะที่นั่งธรรมดา แต่มันก็สะท้อนได้ดีว่าอคติที่มีอยู่ในใจเรานั้นบดบังความจริงข้างหน้าไปมากขนาดไหน”   จะเรียกว่าเป็นมหกรรมเชิญชาวเน็ตนอร์เวย์เข้าสู่ทุ่งหญ้าครั้งใหญ่ก็คงจะไม่ผิดนักกระมั้ง.. ที่มา: Dailymail, washingtonpost

  • ฮีโร่ชาวมุสลิม เข้าห้ามปรามกลุ่มวัยรุ่นมุสลิม 3 ราย ที่จ้องทำร้ายร่างกายชาวคริสต์ได้สำเร็จ!!

    ฮีโร่ชาวมุสลิม เข้าห้ามปรามกลุ่มวัยรุ่นมุสลิม 3 ราย ที่จ้องทำร้ายร่างกายชาวคริสต์ได้สำเร็จ!!

    ฮีโร่ในการ์ตูน ในหนัง หรือในจินตนาการของเราสิ่งเหล่านั้นคงเป็นภาพของฮีโร่ที่เคยชินในการนิยามเอาไว้ แต่ไม่ได้แปลว่าในชีวิตจริงนั้นเราจะไม่ได้มีโอกาสเจอเลย เมื่อชายคนนี้ได้กลายเป็นฮีโร่ของใครหลายๆ คน Edris Nosrati หนุ่มมุสลิมวัย 35 ปี เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ฟังดูเหมือนเป็นคนทั่วไป แต่ความไม่ธรรมดาเกิดจากที่เขาจัดการกับกลุ่มวัยรุ่นชาวมุสลิมที่คอยรังควานชาวคริสต์ เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืนขณะที่เขากำลังเดินกลับบ้าน ก็เจอกับกลุ่มวัยรุ่นในอาการเมามายเข้าไปรังควานด้วยภาษาอิสลามกับชายผิวขาวกับแฟนสาว และจ้องจะทำร้ายร่างกายชาวคริสต์ โดยที่เขาคิดว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก     เมื่อเขาได้เข้าไปห้ามก็ถูกรังควานถามเช่นเดียวกัน หลังจากที่เขาตอบด้วยประโยคภาษาอารบิคก็ถูกต่อว่าอย่ามายุ่งกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งในตอนนั้นเขารู้สึกกลัวคนกลุ่มนี้เพราะไม่รู้ว่าจะเป็นผู้ก่อการร้าย ISIS หรือไม่ แต่เขาก็เลือกที่จะแอบตามคนเหล่านั้นไป และเพราะกลุ่มวัยรุ่นอิสลามจ้องที่จะทำร้ายผู้ร่างกายผู้อื่นอีก ระหว่างนั้นก็ได้โทรแจ้งตำรวจถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น จนมือถือแบตฯ หมด แต่ก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่ว่าสามคนนั้นได้มีการทำร้ายร่างกาย และถ่ายคลิปเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือของพวกเขาเองด้วย จนเมื่อตำรวจมาถึงสามคนนั้นกลับไหวตัวทัน ทำตัวเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น ในขณะที่ Faruq หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นพยายามจะลบคลิป Edris ก็ได้สังเกตเห็นและพยายามเข้าไปแย่งมือถือมา ในจังหวะนั้นเขาก็โดนต่อยเข้าที่หน้าไปอย่างจัง     สุดท้ายเขาจึงทำการล็อคคอ Faruq กดลงพื้นและแย่งมือถือมาได้ เมื่อตำรวจได้เห็นคลิปวิดีโอดังกล่าวก็ได้ทำการจับกุมชายทั้งสามทันที ผู้ต้องหา Mohmed และ Mohammed โดนตั้งข้อหาโจมตีสร้างความแตกแยกในเรื่องศาสนาจนทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายผู้อื่น ถูกจำคุก 3 ปีครึ่ง…

  • ชายหนุ่มโพสต์ภาพเหยียด ชายชาวซิกข์บนเครื่องบิน และตั้งแง่ให้เขาเป็น ‘ผู้ก่อการร้าย’

    ชายหนุ่มโพสต์ภาพเหยียด ชายชาวซิกข์บนเครื่องบิน และตั้งแง่ให้เขาเป็น ‘ผู้ก่อการร้าย’

    กลายเป็นเรื่องที่สร้างกระแสความเกลียดชังบนโลกออนไลน์อีกครั้ง เมื่อหนุ่มชาวเน็ตรายหนึ่งได้โพสต์รูปของชายผู้นับศาสนาซิกข์ พร้อมกับข้อความที่ดูถูกและกล่าวหาว่าชายคนนี้เป็นผู้ก่อการร้าย… ผู้ใช้ Snapchat คนดังกล่าวได้โพสต์ภาพของเขาระหว่างอยู่บนเครื่องบิน ซึ่งในภาพเหล่านั้นมีรูปของชายชาวซิกข์ท่านหนึ่งปรากฏอยู่ด้วย แต่ด้วยเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการหรืออย่างไร พี่แกกลับใส่แคปชั่นแบบไม่คิดหน้าคิดหลังตลอดการเดินทาง       แต่เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อชายชาวซิกข์คนดังกล่าวมานั่งที่เบาะหลังของเขา ชายหนุ่มก็ยังคงถ่ายรูปพร้อมกับข้อความที่บอกว่า “ผมยังมีชีวิตอยู่ ”  และในภาพต่อมาเขายังคงไม่หยุดการกระทำดังกล่าว ชายหนุ่มจับภาพของชายชาวซิกข์ท่านเดิมพร้อมกับแคปชั่นว่า “ได้โปรดพระเจ้า ปล่อยให้เขาหลับเถอะ” ก่อนที่ภาพสุดท้ายชายคนดังกล่าวจะลาไปด้วยภาพของตัวเองและบอกว่า “เมื่อกี้ เขาเดินไปที่ท้ายเครื่องแล้วก็วนไปที่หน้าเครื่อง ก่อนที่จะกลับมานั่งที่เดิม” และปิดประโยคนี้ด้วยรูปใบหน้าแสดงความตกใจ   ภาพจากแอพฯ Snapchat ที่ถูกเผยแพร่ออกมา .   ภาพชุดดังกล่าวเชื่อว่ามีการโพสต์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และหลังจากนั้นนาย Simran Jeet Singh นักวิชาการเกี่ยวกับศาสนาจากมหาวิทยาลัย Trinity ซึ่งนับถือศาสนาซิกซ์เช่นกัน ได้โพสต์ภาพชุดดังกล่าวลงบนทวิตเตอร์ของเขา พร้อมกับข้อความที่เปรียบเทียบกับความคิดของคนทั่วไปที่มักจะคิดแบบนี้ชาวมุสลิมเช่นกัน หลังจากนั้นข้อความของคุณ Singh ก็ได้รับความสนใจจากชาวเน็ตอย่างมาก มีผู้เข้ามารีทวีตถึง 6,800 ครั้งและแสดงความคิดเห็นอย่างล้นหลาม บางคนบอกว่า “ฉันหวังว่าพวกเราควรจะได้รับการเดินทางอย่างอิสระ โดยไม่ต้องกังวลว่าใครจะคิดอย่างไร” หรือบางคนก็บอกว่าการกระทำของชายคนดังกล่าวนั้นไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก     จากเหตุการณ์ 9/11…

  • นักธุรกิจอเมริกัน เตะพนักงานสาวมุสลิม และตะโกน “ทรัมป์จะจัดการพวกแกทั้งหมด” อาจโดนคุก 4 ปี

    นักธุรกิจอเมริกัน เตะพนักงานสาวมุสลิม และตะโกน “ทรัมป์จะจัดการพวกแกทั้งหมด” อาจโดนคุก 4 ปี

    เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2017 ที่ผ่านมา อัยการรัฐบาลกลางแห่งควีนส์ เปิดเผยว่า โรบิน โรดส์ นักธุรกิจวัย 57 ปี ได้ก่อเหตุทำร้ายร่างกาย ราบีย่า ข่าน พนักงานสาวมุสลิมของสายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ ที่สนามบินเจเอฟเค พร้อมตะโกนว่า “ทรัมป์จะจัดการพวกแกทั้งหมด”     โดยเหตุเกิดขึ้นที่อาหารผู้โดยสาร 2 เมื่อนายโรบินเดินทางกลับมาจากเกาะอารุบา และได้พักเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินเจเอฟเค ในนิวยอร์ค เพื่อจะเดินทางต่อไปยังรัฐแมสซาชูเซตส์ ระหว่างที่รอเปลี่ยนเครื่องนั้น เขาก็ได้ไปรอที่ห้องรับรองของสายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ เมื่อเขาเข้าไปถึง เขาก็พบข่านกำลังนั่งอยู่ที่เคาท์เตอร์พนักงานสวมผ้าคลุมฮิญาบแบบมุสลิมอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปเตะขาของเธอ พร้อมถามว่า “แกกำลังหลับเหรอ? หรือกำลังสวดภาวนา? ทำอะไรห๊ะ?”     ด้วยความตกใจ ข่านจึงถามกลับไปว่า เธอไปทำอะไรให้เขาโกรธหรือเปล่า โรบินตอบกลับมาว่า “แกไม่ได้ทำอะไร แต่ข้าจะเตะแก” จนพนักงานคนอื่นๆ พยายามเข้ามาห้ามนายโรบิน ข่านจึงอาศัยจังหวะนั้นวิ่งหนีออกมา ซึ่งนายโรบินก็วิ่งตามมา พร้อมทำท่าล้อเลียนการละหมาดของชาวมุสลิมและตะโกนว่า “ทรัมป์จะจัดการพวกแกทั้งหมด แกลองถามชาวเยอรมัน เบลเยี่ยม ฝรั่งเศสดูได้ ว่าพวกเขาต้องเจอะไรบ้าง!”   ภายหลังทางอัยการเปิดเผยว่าราบีย่า…

  • แม้ “ทรัมป์” จะมีคำสั่งแบนผู้อพยพ แต่ Google เตรียมต่อต้านด้วยการบริจาค 140 ล้านให้ผู้ลี้ภัย

    แม้ “ทรัมป์” จะมีคำสั่งแบนผู้อพยพ แต่ Google เตรียมต่อต้านด้วยการบริจาค 140 ล้านให้ผู้ลี้ภัย

    กลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางไปทั่วโลกเลยทีเดียว สำหรับนโยบายของประธานาธิบดีคนล่าสุดของสหรัฐอเมริกา โดนัดล์ ทรัมป์  เมื่อเขาได้ลงนามคำสั่งห้ามผู้อพยพเข้าประเทศชั่วคราว รวมทั้งแบนไม่ให้ชาวมุสลิมจาก 7 ประเทศเข้าสหรัฐอเมริกา แม้พวกเขาเหล่านั้นจะมีกรีนการ์ดก็ตาม โดยช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมาทรัมป์ได้ลงออกคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้อพยพเข้าสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาอย่างน้อย 120 วัน และในอีกสามเดือนข้างหน้า พวกเขาจะแบนวีซ่าจาก 7 ประเทศมุสลิม ประเทศในลิสต์ได้แก่ อิรัก อิหร่าน ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน ซีเรีย และเยเมน เพื่อคัดกรองและลดความเสี่ยงที่จะมีผู้ก่อการร้ายแฝงตัวเข้ามาในประเทศ     คำสั่งดังกล่างสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก เพราะคำสั่งแบนผู้อพยพดูจะขัดกับอุดมการณ์ของสหรัฐอเมริกาที่เป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ รวมทั้งการแบนวีซ่า 7 ประเทศมุสลิมไม่เพียงส่งผลเฉพาะนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ผู้ที่เข้ามาพักอาศัยและทำงานในสหรัฐอเมริกาด้วยวีซ่าทำงานก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน   แต่ล่าสุด ซันดาร์ พิชัย ซีอีโอของบริษัท Google คนปัจจุบัน เตรียมบริจาคเงินกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (70 ล้านบาท) เพื่อช่วยเหลือเหล่าผู้อพยพ และเขาเชื่อว่าพนักงานของบริษัท ก็จะช่วยบริจาคกันอีกราวๆ 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พิชัยได้กล่าวอีกว่าจะมีพนักงานของ Google ราวๆ 200 คน ได้รับผลกระทบจากคำสั่งแบนวีซ่ามุสลิมครั้งนี้ ซึ่งพวกเขาได้สั่งให้พนักงานเหล่านั้น กลับมาในสหรัฐอเมริกาทันทีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…

  • เป็นเรื่อง!! 2 หนุ่มอังกฤษถูกศาลตัดสินจำคุกทันที โทษฐาน ‘รุมโยนเบค่อน’ ใส่ชาวมุสลิม

    เป็นเรื่อง!! 2 หนุ่มอังกฤษถูกศาลตัดสินจำคุกทันที โทษฐาน ‘รุมโยนเบค่อน’ ใส่ชาวมุสลิม

    โลกของเราเต็มไปด้วยความเชื่อของผู้คนที่หลากหลาย วิธีคิด ทัศนคติ และอุดมการณ์ที่แตกต่างกันออกไป แต่อาจจะเป็นเพราะมนุษย์ไม่เคยเรียนรู้ที่จะเปิดใจ และอยู่ร่วมกันบนความแตกต่าง จึงทำให้เกิดปัญหาระหว่างศาสนา เชื้อชาติ หรือแม้แต่สีผิว มาโดยตลอด และสำหรับบทความนี้ #เหมียวบ็อบ ไม่ได้ต้องการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งกันหรอกนะจ๊ะ เพียงแต่จะนำเรื่องราวตัวอย่างที่ไม่ดี ที่เกิดขึ้นในอังกฤษ มาบอกเล่าสู่กันฟัง เพื่อไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่างเนาะ ^ ^   เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 สื่อเว็บไซต์ Metro ได้รายงานเรื่องราวของ 2 หนุ่มวัยรุ่นจากเกาะอังกฤษ ถูกศาลพิพากษาสั่งจำคุก เนื่องจากก่อความไม่สงบ นำเบค่อนไปรุมโยนใส่ประชาชนชาวมุสลิมขณะกำลังอยู่ในพิธีทางศาสนา   Piotr Czak-Zukowski   โดยเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเหตุจากชาวบ้านในละแวกนั้นว่า เมื่อช่วงตุลาคมที่ผ่านมาว่ามีวัยรุ่นสองคน มาป้วนเปี้ยนอยู่แถว มัสยิด Ah-Rahman ทางตอนเหนือของลอนดอน และมักจะโยนเบค่อนเข้ามาเป็นประจำ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องชาวมุสลิมเป็นอย่างมาก ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้สืบสวน และพบว่าเป็นฝีมือของนาย Piotr Czak-Zukowski และ Mateusz Pawlikowski ต่อมาจึงได้เข้าจับกุมทั้งสองโดยทันที งานนี้ตำรวจก็ได้พบของกลางเป็นซองบรรจุเบค่อนที่ถูกใช้แล้ว ซึ่งคาดว่าเป็นของกลางที่วัยรุ่นทั้งสองคนนำไปปาใส่ชาวมุสลิม   Mateusz Pawlikowski  …

  • หญิงสาวมุสลิม เล่าเรื่องผู้โดยสารที่กลัวจนไม่อยากนั่งข้างเธอ แต่แล้วทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนกัน….

    หญิงสาวมุสลิม เล่าเรื่องผู้โดยสารที่กลัวจนไม่อยากนั่งข้างเธอ แต่แล้วทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนกัน….

    Jiva Akbor หญิงสาวชาวมุสลิมที่ได้แชร์เรื่องราวของตัวเองลงบน Facebook ซึ่งเชื่อว่าเรื่องราวของเธอนี้จะทำให้เรารู้สึกมีความหวังกับการได้เห็นมนุษย์ที่ต่างชาติพันธุ์ ศาสนา และ ความเชื่อ อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข…   เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ Akbor ได้ส่งข้อความหาเพื่อนของเธอเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจที่เพื่อนของเธอที่รถเสียว่า “ขอให้อัลเลาะห์จงอยู่กับคุณและผ่านวันร้ายๆนี้ไปได้” แต่เมื่อผู้โดยสารที่นั่งข้างๆเธอได้เห็นข้อความที่ส่งไปทำให้เธอเกิดอาการตื่นตระหนกและกลัวจนไม่อยากจะนั่งที่ตรงนั้นอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นก็ไม่ทำให้เธอต้องเสียความมั่นใจไปเพียงเพราะเธอเป็นมุสลิม เธอเริ่มตั้งสติและเข้าไปอธิบายด้วยความอ่อนน้อมและใจเย็นว่าข้อความที่ส่งไปเป็นเพียงภาษาอารบิกและมีความหมายถึงพระเจ้าเฉกเช่นเดียวกันกับศาสนาอื่นๆเธอไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ   ภาพถ่ายเซลฟี่ที่ทำให้เราได้เห็นว่าถึงแม้จะต่างศาสนาแต่มิตรภาพดีๆก็เกิดขึ้นได้เสมอ   ทั้งสองจึงได้เรียนรู้ความแตกต่างและทำความเข้าใจซึ่งกันและกันซึ่งนั่นก็นำพาให้เกิดมิตรภาพใหม่ๆขึ้นระหว่างการเดินทางแถมทั้งสองยังสัญญาต่อกันอีกด้วยว่าจะพยายามติดต่อและช่วยเหลือกันและกันหลังจากนี้   ข้อความที่ทั้งสองส่งให้กันแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อกันและยังติดต่อกันอยู่เสมอ   หลังจากที่ Akbor ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊คของตัวเองเรื่องราวนี้ก็ถูกแชร์ไปมากกว่า 8,000 ครั้ง เราไปดูปฏิกริยาของชาวเน็ตทั่วโลกกันดีกว่าว่าจะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้กันบ้าง “ยอดเยี่ยมมาก เป็นเรื่องดีที่เราควรจะสอนให้เรียนรู้มากกว่าการมานั่งตัดสินกัน จริงอยู่การทำความเข้าใจในความต่างบางทีอาจทำให้เราโมโหได้ง่ายๆแต่นั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่ทุกคนควรทำเพื่อให้โลกนี้น่าอยู่สำหรับคนรุ่นหลังต่อไป”   “เป็นเรื่องราวที่วิเศษสุดๆ หวังว่าทุกคนจะสามารถคุยกันได้แบบนี้ดีกว่าโหมกระหน่ำความบ้าคลั่งใส่กันอย่างที่เป็นอยู่”   “นับว่าเป็นเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจดีๆและทำลายสิ่งที่ขวางกั้นเราไว้ระหว่างความแตกต่าง คงจะดีถ้าสื่อหันมานำเสนอเรื่องราวเหล่านี้มากขึ้นและสนใจไปที่การทำให้ผู้คนรวมเป็นหนึ่งเดียวแน่นอนว่าต้องดีกว่าการแบ่งแยกกันอย่างที่เป็นอยู่แน่นอน”    ถึงแม้ว่าปัจจุบันสื่อใหญ่ๆทั่วโลกมักจะกล่าวถึงชาวมุสลิมในเหตุการณ์ก่อการร้ายจนทำให้หลายๆคนต่างเกิดอาการกลัวอย่างเหตุการณ์ข้างต้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนมีความเชื่อและทัศนคติที่แตกต่างจากเราจะเป็นคนไม่ดี เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าใจกันและเรียนรู้ที่จะอยู่บนความแตกต่างซึ่งกันและกันต่างหากล่ะ  

  • โหดสัส!! ผู้อพยพซ่าผิดที่ ลวนลามสาวรัสเซียในผับ สุดท้ายโดนตำรวจรัสเซียตื๊บอ่วม!!

    โหดสัส!! ผู้อพยพซ่าผิดที่ ลวนลามสาวรัสเซียในผับ สุดท้ายโดนตำรวจรัสเซียตื๊บอ่วม!!

    อย่างที่เราทราบข่าวกันดีว่า ในช่วงปีที่ผ่าน สงครามในซีเรียทำให้มีผู้อพยพชาวมุสลิมหลั่งไหลเข้าไปในทวีปยุโรปเป็นจำนวนมาก และบางส่วนของผู้อพยพก็เข้าไปสร้างปัญหาให้กับประเทศที่รับไปอีกด้วย อย่างเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศเยอรมันในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ผู้อพยพชาวมุสลิมนับพันคน บุกเข้าไปกลางงานเคาท์ดาวน์ในเมืองโคโลญจน์ แล้วก่อเหตุลวนลามทางเพศหญิงสาวจำนวนมาก     หลังจากนั้น ทางตำรวจเยอรมันก็จับตามกุมผู้กระทำผิด และไล่ออกประเทศไปตามระเบียบ หลังจากเหตุการณ์นั้นก็เกิดกระแสต่อต้านผู้อพยพชาวมุสลิมไปทั่วประเทศและทั่วยุโรป และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เยอรมันประเทศเดียว ที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ แม้แต่ประเทศสุดโหดอย่างรัสเซีย ก็ต้องประสบกับเหตุการณ์แบบนี้เช่นกัน     เรื่องราวมีอยู่ว่า กลุ่มผู้อพยพชาวมุสลิมราว 50 คนที่เพิ่งถูกเนรเทศมาจากประเทศนอร์เวย์ ได้มาแวะพักที่เมือง Murmansk และพวกเขาได้เข้าไปเที่ยวในไนท์คลับแห่งหนึ่งในเมือง ด้วยความครึ้มอกครึ้มใจอะไรไม่รู้ พวกเขาได้ก่อเหตุลวนลามหญิงสาวในไนท์คลับอีกครั้ง จนผู้อยู่ในเหตุการณ์ต้องแจ้งตำรวจให้เข้ามาช่วยจัดการหน่อย     หลายคนอาจคิดว่าเรื่องราวคงจบเหมือนที่เยอรมัน ที่ตำรวจจับแล้วก็เนรเทศออกประเทศไป แต่เปล่าเลย ต้องบอกว่า พวกเอ็งซ่าผิดที่แล้วล่ะ เพราะทันทีเหล่าผู้อพยพกำลังจะหลบหนี ก็มีกลุ่มชายฉจกรรจ์ชุดดำโผล่มาจากไหนไม่รู้ เข้ามาจับตัวเหล่าผู้อพยพไว้ แล้วซ้อมจนน่วม ก่อนที่ตำรวจจะมาถึงแล้วก็ซ้อมต่ออีกหน่อย และจับเข้าซังเตไปตามระเบียบ       แหม ไปเล่นกับใครไม่เล่น เจอพี่ปูตินเข้าไป โหดสัสรัสเซียมั้ยละเอ็ง บอกได้คำเดียวว่าซ่าผิดที่แล้ววววว ที่มา Russian Insider

  • โลกออนไลน์ร่วมปกป้องชาวมุสลิม ‘ผู้ก่อการร้ายไม่มีศาสนา’ จากการถูกเหมารวมในด้านลบ

    โลกออนไลน์ร่วมปกป้องชาวมุสลิม ‘ผู้ก่อการร้ายไม่มีศาสนา’ จากการถูกเหมารวมในด้านลบ

    ไม่ว่าจะเกิดการก่อการร้ายที่ใดบนโลก สิ่งแรกที่จะถูกประณามเลยก็คือ ชาวมุสลิม รวมไปจนถึงศาสนาอิสลามทันที เพราะภาพลักษณ์ที่สื่อต่างๆ เปิดเผยให้ได้รับรู้นั้น จะถูกเชื่อมโยงกับศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมทันที แต่ที่จริงแล้วชาวมุสลิมก็ไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายไปซะหมด     ชาวมุสลิมนั้นมักจะถูกมองในแง่ร้ายเสมอมา ทั้งนี้ในความจริงคือการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นส่วนมาก มักจะนำศาสนามาเป็นสิ่งบังหน้า อ้างศรัทธาต่างๆ ในอีกแง่มุมหนึ่ง #TerrorismHasNoReligion ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อปกป้องชาวมุสลิมผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายเลย   มองในอีกแง่หนึ่งคือ ผู้ก่อการร้ายเป็นพวกไม่มีศาสนา     ‘ใครก็ตามที่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ผู้นั้นก็เท่ากับเข่นฆ่ามวลมนุษยชาติ’   ทางด้านชาวมุสลิมที่ไม่เกี่ยวข้อง ต่างก็ต้องการความสันติ   การใช้ศาสนาและอุดมการณ์ความเชื่อมาเป็นข้ออ้างในการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์นั้น เป็นยิ่งกว่าพวกขี้ขลาด     แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนที่เห็นต่างและเหมารวมว่าชาวมุสลิมทั้งหมดคือผู้ก่อการร้าย   ชาวมุสลิมต่างต้องปกป้องในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้กระทำ   อย่างไรก็ตามขอให้ทุกท่านแสดงความคิดเห็นที่สุภาพไม่กระทบกระทั่งกันนะจ๊ะ เพราะยังไงเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ที่มา : unilad