Tag: ยุคสมัย
-
เมื่อนำบทสวดผสมกับเพลงเทคโนและแสงสี เกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เรียกว่า Techno Hoyo
ปัจจุบันนั้น การที่คนรุ่นใหม่ๆ จะหันหน้าเข้าหาวัดหรือเข้าไปฟังบทสวดยาวๆ สักครั้งหนึ่งถือเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะคนรุ่นใหม่จะรู้สึกว่าบทสวดตามวัดมันน่าเบื่อ ฟังแล้วมันง่วง ซึ่งปัญหาดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นเกือบทุกที่ไม่เว้นแม้แต่กับวัดญี่ปุ่น… ยิ่งไปกว่านั้นปัญหาดังกล่าวมันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนทั่วไป แม้แต่ตัวคนที่อาศัยอยู่กับวัดมาตลอดอย่าง Gyosen Asakura ที่ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสรุ่น 17 ของวัดในจังหวัดจังหวัดฟุกุอิ ก็ยังรู้สึกแบบเดียวกัน Gyosen เล่าว่าวัดของเขาอยู่มานานแล้ว และครอบครัวก็เป็นคนสร้างมันขึ้นมาพร้อมกับอยากจะรักษามันไว้ ซึ่งเขาที่เป็นลูกจึงต้องรับช่วงต่อ เพียงแต่ในช่วงวัยรุ่นเขากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เขาอยู่กับมันทุกๆ วันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ เขาจึงตัดสินใจหนีจากมัน หนีเพื่อออกไปเจอกับโลกข้างนอก ในตอนที่เขาหนีออกมานั้น Gyosen วัยหนุ่มได้หันไปศึกษาเกี่ยวกับเพลง การเป็นดีเจและการเป็นช่างจัดไฟ ซึ่งในตอนที่เขากำลังเป็นดีเจอยู่นั้น วันหนึ่งเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเพลงที่เขาทำกับบทสวดที่เขาต้องทนฟังมาตลอด มันมีบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนกัน บางอย่างที่ว่านั่นก็คือ บทเพลงและบทสวดทั้งคู่ล้วนพยายามจะสื่อสารสิ่งดีๆ ให้กับผู้ฟัง นับแต่นั้นเขาก็กลับมาที่วัดที่ครอบครัวตั้งใจปกป้องมันมากว่า 540 ปี และรับหน้าที่สืบทอดมันต่อในฐานะเจ้าอาวาสรุ่นที่ 17 เพียงแต่ปัญหามันอยู่ที่ ตอนที่เขากลับมาและเดินทางทิศทางเดิมมันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย คนกลับน้อยลงๆ ด้วยซ้ำ วินาทีนั้น Gyosen จึงคิดว่ามันจะเป็นอย่างไรถ้าเขานำสิ่งที่เขาออกไปศึกษาช่วงทีหนีจากวัดไปมาผสมเข้ากับบทสวดด้วยการนำทำนองเพลงเทคโนผสมเข้ากับมัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าจากบทสวดอันแสนหน้าเบื่อ เมื่อมันรวมเข้ากับทำนองเพลงอิเล็กทรอนิกส์และผสมเข้ากับแสงสีที่ฉายลงไปบนวัด ซึ่งเดิมทีวัดก็มีการตกแต่งที่สวยงามอยู่แล้ว…
-
ผลการทดสอบจาก 1,000 คน เฉลี่ยแล้วพวกเขาจะจำโลโก้ป๊อปคัลเจอร์กันได้มั้ยนะ?
เมื่อพูดถึงสิ่งสำคัญในการสร้างสินค้าหรือแบรนด์ นอกจากตัวสินค้าที่เราอยากนำเสนอแล้ว โลโก้ของสิ่งๆ นั้นหรือแบรนด์ของเรานับว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะทำให้ผู้คนสามารถจดจำมันได้ ยิ่งโดดเด่นและจำง่ายยิ่งสำคัญ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทางเว็บไซต์ signs.com จึงได้จัดการทำผลสำรวจคน 1,000 คน โดยให้พวกเขาบอกว่าพวกเขาจำโลโก้ของสิ่งต่างๆ ที่เป็นป๊อปคัลเจอร์จากยุคสมัยต่างๆ ทั้งสินค้า หนัง หรือเกมได้หรือไม่ ทีมงาน Signs ได้บอกว่า “พวกเรานั้นเป็นนักออกแบบตัวยง ฉะนั้นถ้ามีคนสร้างบริษัทขึ้นมาแล้วมันทำให้เราจำ 80% ของสิ่งที่เราเห็น 20% ของสิ่งที่เราอ่าน หรือ 10% จากสิ่งที่เราได้ฟังจากคนอื่นได้ นั่นถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาพของแบรนด์ประสบความสำเร็จและเกิดเป็นเรื่องราวขึ้นมา” เริ่มกันที่สัญลักษณ์ของซูเปอร์ฮีโร่แต่ละคนในคอมมิคกันก่อน โดยทุกคนจะจำโลโก้ของแบทแมนและซูเปอร์แมนกันได้ทุกคน เพราะมันเป็นป๊อปคัลเจอร์ที่เราเจอได้บ่อยๆ ส่วนตัวอื่นๆ ก็จะไล่เรียงลงมาซึ่งน่าแปลกใจที่ สไปเดอร์แมนมีคนจดจำได้น้อย ถัดมาเป็นคิวของตราสัญลักษณ์ของแต่ละบ้านจากแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งส่วนใหญ่คนจะจำตราประจำบ้านแต่ละหลังไม่ได้ เพราะในหนังนั้นไม่ค่อยจะมีการโชว์ตราพวกนี้อย่างจริงจังนัก ต่างจากตราของโรงเรียนฮอกวอตส์ที่รวมทุกบ้านด้วยกันผู้คนจะจำได้ แต่ที่เด่นรองลงมาก็คงเป็น ชานชาลาที่ 9 3/4 ที่พูดถึงบ่อยๆ และจำได้ง่าย มาต่อกันที่สัญลักษณ์ในเกมออฟโทรนกันบ้าง ซึ่งสัญลักษณ์ประจำตระกูลในเรื่องนี้มีเยอะแยะมากมายจึงยากมากๆ ที่จะจดจำถ้าไม่ใช่ตระกูลหลักๆ แต่ใช่ว่าคนจะไม่จำสิ่งต่างๆ ในเรื่องนะ เพราะว่าตัวละครในเรื่องนั้นเป็นที่ถูกพูดถึงกันหนักหน่วงมากกว่าสัญลักษณ์ตระกูลนั่นเอง โลโก้ของหนังต่างๆ นั้น โกสบัสเตอร์ถือเป็นโลโก้ที่ทุกคนในผลสำรวจจดจำได้…
-
นี่คือหลักฐาน 15 ชิ้นที่จะมาแสดงให้เห็นว่า…แฟชั่นเป็นสิ่งที่วนเวียนไปมาอยู่เสมอ
จริงอยู่ที่ในปัจจุบันวงการแฟชั่นจะล้ำหน้าไปไกลมาก แต่ก็เป็นที่ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่า แฟชั่นเป็นอะไรที่วนไปวนมาอยู่เสมอ เช่น ของเก่าไปของใหม่มา หรือของใหม่ไปของเก่าก็หวนกลับคืนมาฮอตฮิตอีกครั้ง และในครั้งนี้ #เหมียวขี้อ้อน ก็ได้รวบรวม 15 แฟชั่นในอดีตที่กลับมาฮิตใหม่ในปัจจุบัน และเราก็เชื่อนะว่าคุณจะต้องเคยสวมใส่มันมาแล้วอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นมารับชมกันเลย 15.เสื้อโค้ตทหาร ปี 1940 ในปี 1901 เป็นปีที่คำว่า “Trench” (เครื่องแบบทหาร) ปรากฏตัวครั้งแรกในโลกแฟชั่น โดยทางกองทัพอังกฤษได้อนุมัติให้เป็นเสื้อผ้าสำหรับทหารภายหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 จากนั้นมันก็เริ่มได้รับความนิยมในหมู่พลเรือน และกลายเป็นแฟชั่นที่คนทั่วโลกชื่นชอบ 14.แฟชั่นเสื้อนอน ปี 1990 ถือเป็นอีกหนึ่งแฟชั่นสุดเซ็กซี่ ที่ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของคนรักแฟชั่นในยุคปัจจุบัน และเมื่อ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา 13.Choker แฟชั่นสร้อยติดคอสุดจี๊ด จากยุค 2000 Choker เป็นแฟชั่นไอเท็มที่ได้รับความนิยมมากในช่วงยุค 90-2000 และในช่วงปี 2016-2017 นี้ ดูเหมือนว่าแฟชั่นดังกล่าวได้กลับมาอยู่ในเทรนด์อีกครั้ง ซึ่งเราจะเห็นบรรดาเซเลบคนดังนิยมสวมใส่กันมากมายจนกลายเป็นแฟชั่นที่ฮอตฮิตมากๆ เลยก็ว่าได้ 12.แฟชั่น Frills จากศตวรรษที่ 19…
-
ย้อนอดีตดู กว่าจะมาเป็น “ผู้ชายในอุดมคติ” แบบทุกวันนี้ สมัยก่อนเขาฮิตผู้ชายแบบไหนกันนะ?
ในยุค 2017 นี้ ผู้ชายในอุดมคตินั้น มักจะเป็นผู้ชายที่รักสุขภาพหุ่นดี มีซิ๊กแพคเบาๆ กล้ามแขนกำลังดี ไม่ต้องใหญ่มากจนเกินไป หรือเรียกว่าหุ่นนายแบบอะไรทำนองนี้ แต่เรารู้กันไหมว่าสมัยก่อนการเป็นผู้ชายในอุดมคติต้องมีหุ่นแบบไหนกัน? ถ้าลองมองย้อนกลับไป สักช่วงปี 1930s เราจะเห็นว่าผู้ชายนั้นจะไม่อ้วนและก็ไม่ผอม แต่จะเริ่มนำพาไปสู่ค่านิยมของการฟิตหุ่นขึ้นมานั่นเอง ฉะนั้นวันนี้เราจะลองมาดูตัวอย่างผู้ชายในอุดมคติของแต่ละยุคสมัยจากทั้ง 5 ยุคกันว่าพวกเขาฮิตแบบไหนกันนะในยุคนั้น… ช่วงปี 1870s ปีของคนอ้วนดูมีจะกิน… ในยุคนั้นเป็นยุคที่ผู้คนต้องอยู่กันอย่างยากลำบาก ฉะนั้นจึงมีร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงกันสักเท่ไหร่ หรือออกจะไปทางคนผอมนั้นเอง ทว่าคนที่มีร่างกายอ้วนๆ จะเป็นเครื่องช่วยยืนยันตัวชายคนนั้นว่าเป็นคนมีอันจะกินนั่นเอง . 1930s จุดเริ่มต้นของคนมีกล้ามเบาๆ ในยุคนี้เป็นยุคที่ผู้คนเริ่มเข้าถึงร่างกายที่ดี ไม่อ้วนและไม่ผอมจนเกินไป แต่การจะเป็นผู้ชายในอุดมคติได้นั้นก็จะต้องเป็นคนมีกล้ามเบาๆ พอดีๆ และมีขนาดตัวที่ใหญ่นิดหน่อย Clark Gable John Wayne Charles Atlas 1960s ปีทองของเหล่านักร้อง ในช่วงปีนี้ผู้ชายในอุดมคตินั้นจะไม่ได้เป็นคนที่กล้ามโตอีกต่อไป แต่จะเป็นคนที่ผอมๆ หุ่นดูเพรียวลม ที่สำคัญถ้าเป็นนักร้องซุปเปอร์สตาร์ด้วยก็จะยิ่งฮอตฮิตไปใหญ่ Mick Jagger…
-
ย้อนเวลาไปชม 20 ความเชื่อของสาวงามในอดีต ซึ่งอาจจะดูแปลกกับคนสมัยนี้
เรื่องความสวยความงามเป็นเรื่องที่อยู่คู่กับผู้หญิงมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นหรือเครื่องสำอางก็มีการพัฒนาอยู่เสมอตั้งในสมัยอดีตจนกระทั่งปัจจุบัน เรียกได้ว่าผู้หญิงนั้นเป็นผู้ที่สร้างความสวยงามให้แก่โลกเลยทีเดียว ซึ่งความงามของสาวๆ นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามแต่ละยุคสมัย เราจึงจะพาทุกคนย้อนเวลาไปดูแฟชั่นความงามในอดีตของสาวๆ ในยุคนั้น ว่าพวกเธอก็มีแฟชั่นความอยู่มากมายไม่ต่างจากปัจจุบัน ความงามตามอุดมคติในอดีตจะเป็นอย่างไร ไปดูกัน ศตวรรษที่ 18 : ผิวขาวซีด ในศตวรรษที่ 18 ผู้หญิงนิยมมีผิวที่ขาวซีด เพราะถ้าหากมีผิวสีแทนจะหมายความว่าเป็นคนชั้นต่ำที่เอาแต่ทำงานอย่างหนัก สีผิวที่ซีดนั้นแสดงถึงการเป็นชั้นสูง สุภาพสตรีในสมัยก่อนได้สร้างน้ำบำรุงผิวจากสตรอเบอร์รี่และไวน์ โดยเทลงบนผิวของพวกเขาเพื่อช่วยให้ผิวของพวกเขาซีดลง ศตวรรษที่ 18: บำรุงผิวหน้าด้วยตะกั่วผสมกับคาร์บอเนต สารนี้มีชื่อว่า Ceruse แม้จะมีการเตือนโดยแพทย์ว่ามันมีสารพิษอยู่สูงมาก แต่วงการเครื่องสำอางก็ถูกนำไปใช้กับใบหน้าเพื่อให้ได้ผิวขาวอย่างเป็นธรรมชาติ ศตวรรษที่ 18 : สติกเกอร์ติดหน้า สติกเกอร์ชิ้นเล็กๆ น่ารักแบบนี้เรียกว่า “Beauty Patches” ซึ่งมันมีรูปร่างหลากหลายแบบไม่ว่าจะเป็นดวงจันทร์ ดาว หรือหัวใจ การใช้งานก็คือการติดมันไปที่บนบริเวณใบหน้าจุดไหนก็ได้ ก็จะได้ความน่ารักและแฟนซีขึ้นมาทันที ศตวรรษที่ 18: วิกผมสีขาว การผมสีขาวโพลนนั้นเป็นที่นิยมสุดๆ ในยุคนั้น แต่เป็นสิ่งของที่หายากและมีราคาแพง ศตวรรษที่ 18 : ผมสีขาว ในเมื่อวิกสีขาวนั้นเป็นที่นิยมสุดๆ ซึ่งเป็นของที่หายาก…
-
ชมวิวัฒนาการชุดชั้นในของผู้หญิงแต่ละยุคสมัย ในรอบ 100 ปี เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะเนี่ย
ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นเสื้อผ้า รองเท้า ทรงผม รวมไปถึงชุดชั้นใน มักจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยอยู่เสมอ และเราจะเห็นได้แฟชั่นแต่ละยุค ได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังทำให้เห็นถึงความโดดเด่น และความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละยุคได้อย่างชัดเจน และในวันนี้เราจะพาคุณไปชมวิวัฒนาการชุดชั้นในของผู้หญิงในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ว่าชุดชั้นในในแต่ละยุคนั้น เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน ทศวรรษ 1900 ในยุคนี้ชุดชั้นจะมาในแบบชุดรัดรูป ปกปิดอย่างเรือนร่างได้มิดชิด และดูอึดอัดไม่น้อย แต่ผู้หญิงในสมัยนั้นก็ยังยอมใส่ เพื่อความสวยงาม ทศวรรษ 1910 ต่อมาในทศวรรษที่ 1910 เรียกได้ว่าเป็นแฟชั่นชุดชั้นในที่ได้รับความนิยมไปนานกว่า 10 ปีเลยทีเดียว เนื่องจากเป็นชุดชึ้นในที่เริ่มเปิดเผยเรือนร่างมากขึ้น และเน้นบริเวณช่วงเอวให้ดูเล็กลง ทศวรรษ 1920 เป็นแฟชั่นที่ดูเรียบง่าย ใส่สบาย ซึ่งหากสังเกตดูแล้วแฟชั่นชุดชั้นในสมัยนี้ จะดูแตกต่างจากทศวรรษก่อนๆ ไปมากเลยทีเดียว ทศวรรษ 1930 แฟชั่นชุดชั้นในที่เริ่มมีการใช้ผ้าบางๆ เผยให้เห็นเรือนร่างของผู้หญิงมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นชุดชั้นในที่ใส่แล้วทำให้รู้สึกสบายตัว และดูเซ็กซี่เย้ายวนใจมากๆ อีกด้วย ทศวรรษ 1940 ในทศวรรษที่ 1940 แฟชั่นชุดชั้นในยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากทศวรรษที่แล้วสักเท่าไหร่…
-
ชมภาพพัฒนาการ และความเปลี่ยนแปลงของแฟชั่น “การแต่งเล็บ” ตลอดระยะเวลา 100 ปีที่ผ่านมา
ตั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน เราจะเห็นได้ว่าเทรนด์แฟชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า หน้าผม มักจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาอยู่เสมอ เช่นเดียวกับเทรนด์แฟชั่นการแต่งเล็บ ก็มีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาไปตามยุคสมัยเช่นกัน และในครั้งนี้เหมียวขี้อ้อนก็ได้นำภาพ 100 ปีพัฒนาการของศิลปะการแต่งเล็บตั้งแต่ปี 1916 จนถึงปี 2016 ที่จัดทำขึ้นโดยช่องยูทูป Mode มาให้ได้ชมกัน โดยเริ่มจาก… ปี 1916 เป็นเทรนด์การแต่งเล็บที่ตัดให้สั้น ดูสะอาดตา และปราศจากน้ำยาทาเล็บ ต่อมาในปี 1936 บริษัท Revlon ได้เริ่มทำการผลิตน้ำยาทาเล็บสีสันสดใสออกมา และนั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเทรนด์การทำเล็บ โดยลักษณะการแต่งเล็บที่ได้รับความนิยมในสมัยนั้นคือ การแต่งเล็บแบบพระจันทร์เสี้ยว การทาเล็บสีแดงเข้ม และตัดแต่งให้เป็นรูปทรงอัลมอนด์ ถือเป็นเทรนด์การทำเล็บที่สวยที่สุดในปี 1940-1950 แฟชั่นสไตล์ “mod” และการแต่งเล็บสีชมพูสไตล์บางแบบสาวทวิกกี้ เริ่มเป็นที่นิยมอย่างมากในยุค 60s เล็บสไตล์ดิสโก ที่มีลักษณะยาว ดูมีประกายสวยงาม ถือเป็นแฟชั่นเล็บที่สวยเก๋ที่สุดในปี 1976 ในยุค 1980 แฟชั่นการทำเล็บเริ่มมีการพัฒนาขึ้น…