Tag: รับเลี้ยงเด็ก
-
หญิงแกร่งผู้อุทิศตนใช้เวลาร่วม 20 ปี รับเด็กที่ถูกทิ้งมาเลี้ยง แต่โชคชะตากลับตอบแทนด้วยโรคมะเร็ง
ว่ากันว่าชีวิตจริงของคนเรานั้นมันยิ่งกว่าละครซะอีก ทุกเรื่องราวทุกบททดสอบที่ต้องประสบพบเจออาจจะทำให้เรารู้สึกท้อแท้และเหนืิ่อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเราก็ต้องผ่านสิ่งเหล่านี้ไปด้วยดีและมันจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นเพื่อใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ต่อไป ชีวิตของนาง Li Lijuan อดีตเศรษฐินีอายุ 43 ปี ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวชีวิตจริงที่ยิ่งกว่าละครของเธอ เรื่องราวเริ่มต้นมาจาก เธอเป็นนักธุรกิจหญิงไฟแรงที่อาศัยอยู่ที่มณฑลเหอเป่ย ประเทศจีน เธอต่อสู้ชีวิต ตรากตรำทำงานหนักโดยเริ่มจากการค้าขายสินค้าหลากหลายชนิดตั้งแต่เสื้อผ้ายันแผ่นดีวีดี เธอแต่งงานตั้งแต่อายุ 17 ปี และค่อยๆ ตั้งตัวได้จนกลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากๆ เมื่อตอนอายุ 20 ปี แต่ชีวิตของเธอก็ต้องมาประสบกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งใหญ่ที่ทำให้เธอต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน แต่ความบาดเจ็บทางร่างกายของเธอมันเทียบไม่ได้เลยกับความชอกช้ำทางจิตใจเมื่อเธอได้รู้ข่าวหลังจากที่เธอออกจากโรงพยาบาลว่า สามีของเธอขายลูกชายแท้ๆ ของทั้งคู่เพื่อแลกเงินมาซื้อยาเสพติด เธอทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกชายได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ยอมแม้กระทั่งจ่ายเงินจำนวนประมาณ 40,000 บาท เพื่อซื้อลูกกลับมา และตัดสินใจหย่าขาดกับสามีทันที ช่วงชีวิตของเธอหลังจากที่ผ่านเรื่องราวร้ายๆ มา แทนที่จะสิ้นหวังกับความล้มเหลว เธอยืดอกลุกขึ้นสู้ด้วยพลังบวกในตัว เธอก็ได้เริ่มลงทุนทำธุรกิจใหม่ๆ แต่แล้ววันหนึ่งเธอได้ไปพบกับเด็กหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ริมถนนเพื่อขออาหารจากผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนั้น เธอรู้สึกสงสารเจ้าหนูจับใจจึงได้รับเด็กหญิงมาเลี้ยง และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่เธอรับเอาเด็กยากไร้มาเลี้ยงภายในบ้านที่ชื่อว่า บ้านแห่งความเมตตา แต่ในปี 2008 เคราะห์กรรมของเธอก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อความพยายามอย่างหนักในการดูแลเด็กๆ เริ่มส่งผลร้ายให้กับร่างกายของเธอ เธอจำยอมต้องปิดเหมืองของตนเองลง และยังพบว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและส่งผลให้เซลล์คุ้มกันบกพร่องไปด้วย ถึงแม้ว่าเธอจะต้องประสบกับโรคร้ายและภาวะทางการเงินที่ติดลบจนต้องขายบ้านเพื่อรักษาตัวแต่หนทางของเธอก็ยังคงมืดมน…
-
‘เลเบนส์บอร์น’ โครงการลับขยายเผ่าพันธุ์ชาวอารยัน ที่นาซีอยากให้อยู่บนโลกสืบไป!!
ถ้าหากใครที่เป็นแฟนๆ ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ล่ะก็คงจะคุ้นชินกับเรื่องราวของนาซีกันเป็นอย่างดี นอกเนื่องจากแนวคิดแบบชาตินิยมสุดโต่งแล้ว พวกเขายังมีโครงการที่ตั้งเป้าหมายจะผลิตชนชาติในอุดมคติอย่างเชื้อสายอารยันอีกด้วย!! ในช่วงนาซีเรืองอำนาจนั้น คำว่าอารยันถูกใช้เป็นคำเรียกแทนต้นกำเนิดของชาวเยอรมัน ซึ่งผู้นำของพวกเขาเชื่อว่าเป็นเชื้อชาติที่บริสุทธิ์และยิ่งใหญ่กว่าเชื้อชาติอื่นๆ แน่นอนว่าผู้นำมีความคิดแบบนี้ นั่นจึงเป็นที่มาของสมาคมจดทะเบียนเลเบนส์บอร์น โครงการของหน่วย SS ที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาล เพื่อมุ่งเน้นการเพิ่มอัตราการเกิดของเด็กเชื้อสายอารยัน ศูนย์เลเบนส์บอร์นมีหน้าที่ในการคัดเลือกเด็กๆ ที่มีเชื้อสายอารยันบริสุทธิ์เพื่อให้เป็นไปตามการสร้างชาติของพรรคนาซี โดยจะมีการส่งเสริมและมอบสวัสดิการให้กับหญิงสาวที่ไม่ได้แต่งงาน และสนับสนุนให้พวกเธอตั้งท้อง เด็กที่คลอดออกมานั้นจะถูกส่งให้กับคนที่พวกเค้าเชื่อว่าเป็นเชื้อสายบริสุทธิ์อย่างสมาชิกในหน่วย SS ส่วนหญิงคนไหนที่ให้กำเนิดเด็กที่มีเชื้อสายอารยัน ก็จะได้รับเหรียญตรากางเขนแห่งเกรียติยศของแม่เยอรมัน นอกจากนี้ การทำแท้งเด็กที่พิการนั้นก็ยังถือเป็นเรื่องถูกกฎหมายอีกด้วย เพราะพวกเขาไม่อยากให้เด็กอารยันที่เกิดมา มีสภาพไม่สมบูรณ์แบบ ภาพของเหรียญตรากางเขนแห่งเกรียติยศของแม่เยอรมัน สถานรับเลี้ยงเด็กของสมาคมดังกล่าวถูกก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1936 ที่หมู่บ้าน Steinhöring หมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองมิวนิค ก่อนที่จะแพร่ขยายไปทั่วยุโรปในประเทศที่ถูกทหารนาซีรุกราน (สถานรับเลี้ยงเด็กเลเบนส์บอร์นนอกประเทศแห่งแรกนั้นเปิดทำการที่ประเทศนอร์เวย์ในปี 1941) ในช่วงสงคราม มีเด็กหลายคนจำนวนมากถูกลักพาตัวไปจากครอบครัวของพวกเขาและถูกตัดสินเข้าเกณฑ์การเป็นชาวอารยันและถูกเลี้ยงดูในสถานเลี้ยงเด็กเลเบนส์บอร์น โดยการอุปถัมภ์ของครอบครัวเยอรมัน จากข้อมูลระบุว่ามีเด็กมากกว่า 8,000 คนที่เกิดในสถานรับเลี้ยงเด็กในเยอรมนี และมีเด็กอีกมากกว่า 8,000-12,000 คนที่เกิดในสถานรับเลี้ยงเด็กเลเบนส์บอร์นที่ประเทศนอร์เวย์ หลังจากการพ่ายแพ้สงครามของนาซี ศูนย์รับเลี้ยงเด็กเลเบนส์บอร์นถูกกวาดล้าง และเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้ถูกส่งตัวกลับไปหาพ่อแม่ของเขา ในขณะที่บางส่วนกลายเป็นเด็กกำพร้า พวกเขาเหล่านั้นถูกส่งตัวไปดูแลในประเทศชาติต่างๆ ก่อนที่จะได้รับสัญชาติในภายหลัง ซึ่งถือเป็นการปิดตำนานสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนาซีเอาไว้เพียงเท่านี้……
-
หนุ่มโสดถูกยกให้เป็นยอดคุณพ่อ หลังรับเลี้ยงเด็กผู้พิการเป็นลูกถึง 4 คนด้วยกัน
การเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากต้องทุ่มเทดูแลพวกเขาตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งเข้านอนแล้ว คุณยังต้องมีเงินจำนวนหนึ่งสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละวันด้วย เลี้ยงลูกคนเดียวว่าเหนื่อยแล้ว แต่หนุ่มโสดคนนี้กลับรับเด็กมาเป็นลูกถึง 4 ยิ่งไปกว่านั้นคือทั้งหมดนี้เป็นเด็กพิการ ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ Ben Carpenter วัย 33 ปี ได้รับเลี้ยง Jack วัย 10 ขวบ Ruby 7 ขวบ Lily 5 ขวบ และ Joseph วัย 2 ขวบ ทั้งหมดนี้เป็นเด็กพิการ จนทำให้เขาได้รับรางวัลสุดยอดผู้รับเลี้ยงแห่งปี Ben เริ่มรับเลี้ยงเด็กคนแรกเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน เมื่อเขากลายเป็นเกย์ที่อายุน้อยที่สุดในยอร์กเชียร์ที่รับเลี้ยงเด็ก แต่การที่ชายโสดจะรับเลี้ยงเด็กนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาต้องใช้เวลาถึง 3 ปี ในการโน้มน้าวเจ้าหน้าที่ว่าเขามีความจริงใจที่จะรับเลี้ยงเด็กจริงๆ ที่สำคัญไปกว่านั้นเขามีทักษะในการเลี้ยงและพร้อมที่จะเป็นพ่อที่ดี ก่อนที่ตัดสินใจรับเลี้ยงเด็ก Ben เคยทำงานกับหน่วยงานที่ให้การดูแลผู้ใหญ่และเด็กหลายรูปแบบ เขาบอกว่า “ครั้งแรกผมตั้งใจรับเลี้ยงแค่คนเดียว ผมเป็นคนที่เชื่อในโชคชะตา และนี่คือสิ่งที่ผมต้องการ” หลังจากที่มุ่งมั่นต่อสู้มาเป็นเวลาหลายปี ในที่สุด ไม่เพียงแต่จะได้รับเลี้ยงเด็กคนเดียวตามที่ตั้งแต่ใจแต่แรก แต่ตอนนี้เขาได้กลายเป็นพ่อของเด็กๆ ถึง 4 คน…
-
บทความเปิดใจ… แม่ผู้ทอดทิ้งลูก เขียนเหตุผลว่าทำไม ถึงยอมยกลูกตัวเองให้คนอื่นเลี้ยง
เมื่อพูดถึงการรับเลี้ยงเด็ก จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ซึ่งในบางประเทศนั้นก็ไม่อนุญาตให้ทำแบบนี้เพราะผิดกฎหมาย จนทำให้หลายๆ คนที่ไม่สามารถดูแลหรือไม่พร้อมที่จะมีลูกถึงกับต้องพยายามทิ้งและฆ่าเพื่อตัดปัญหาไป วันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปฟังในมุมของฝั่งคนที่เป็นแม่เด็กที่ไม่พร้อมสำหรับการเลี้ยงเด็กกันบ้าง ( จะเป็นอย่างไรไปชมพร้อมๆ กันได้เลย… เรื่องมีอยู่ว่ามีชาวเน็ตได้โพสท์เรื่องราวของเธอลงบนเว็บไซต์ Imgur โดยมีเนื้อหาว่าเธอได้อธิบายว่าเหตุใดเธอจึงรักลูกของเธอมากๆ ทั้งๆ ที่เป็นลูกที่เธอรับเลี้ยงมา และเธอก็บอกอีกว่าการรับเลี้ยงเด็กก็เป็นเรื่องดีอีกด้วย เมื่อคุณแม่ยังสาวทั้งหลายที่ตัดสินใจจะนำลูกของตัวเองไปให้ผู้อื่นรับเลี้ยง ย่อมทำให้เกิดทั้งคำถามและคำวิจารณ์ต่างๆ มากมาย บ้างก็ว่าอ่อนแอ บ้างก็ว่าเห็นแก่ตัว บุคคลในรูปคือคนรับเด็กมาเลี้ยงนะจ๊ะ และแน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องสถานะทางการเงิน มันมีอะไรที่มากกว่านั้น นั่นก็คือการมอบความสุขให้กับเด็กๆ ทั้งการศึกษา เวลา การเล่นสนุก จนทำให้คุณภาพชีวิตของเด็กๆ นั้นแย่ มีเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ตัดสินใจนำลูกของเธอไปให้กับคนอื่นรับเลี้ยง โดยที่เธอไม่ได้คิดว่ามันเป็นหนทางสุดท้ายที่ต้องทำ แต่เป็นการกระทำที่เป็นเกียรติ และเธอก็ยินดีที่จะมาเล่าเรื่องราวของเธอให้กับพวกเราฟัง ในช่วงเริ่มต้นของการตั้งครรภ์นั้น ทุกอย่างดูแย่ไปหมด เธออยู่เพียงคนเดียว และการรับเลี้ยงนั้นดูเหมือนจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดของเธอ ในปีที่ผ่านมา เธอต้องต่อสู้กับโรคเครียด และโรคติดแอลกอฮอล์ (เธอไม่อยากลงรายละเอียดตรงจุดนี้มากนัก รู้แค่ว่ามันเป็นเรื่องที่แย่มากๆ) และสุดท้ายเธอก็ตั้งท้อง แต่ปรากฎว่าฝ่ายชายกลับทิ้งเธอไปอย่างไม่ใยดี เธอก็เลยคิดว่าจะนำลูกของเธอไปให้ผู้อื่นรับเลี้ยง หลังจากนั้นทุกอย่างก็ดูแย่ลงไปอีก… …