Tag: วัฒนธรรม
-
รู้จักกับ 11 รูปแบบของ “การกอด” พร้อมคำอธิบายสั้นๆ ว่าแต่ละแบบสื่อได้ถึงอะไรบ้าง~
การกอด นั้นสำหรับคนไทยส่วนมากอาจมองว่ามันเป็นสิ่งประเจิดประเจ้อ จึงไม่นิยมทำกันในที่สาธารณะเท่าใดนัก แต่หารู้ไม่ว่าการกอดนั้นแท้จริงแล้วมันสื่อความหมายได้หลายอย่าง ชาวตะวันตกนั้นมีวัฒนธรรมการกอดที่หลากหลายรูปแบบ โดยแต่ละแบบก็จะสื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งกอดตัวเอง กอดคนรัก หรือจะกอดเพื่อนก็ได้ วันนี้เราจึงจะแนะนำให้รู้จักกับ การกอด 11 แบบ พร้อมคำอธิบายเบื้องต้นว่าแต่ละแบบนั้น สื่อความหมายอย่างไรบ้าง 1. กอดตัวเอง (Self-hug) การกอดตัวเองนั้นเป็นวิธีการกอดแบบหนึ่งที่จะช่วยส่งผลให้จิตใจได้รับการบำบัด มันจะทำให้คุณรู้สึกสบายใจ ใจเย็น และมีกำลังใจในเวลาเดียวกัน 2. กอดแบบเต้นรำ (Slow dance hug) การกอดแบบนี้จะเกิดขึ้นในงานเต้นรำแบบตะวันตก ท่าทางการกอดรวมกับสายตาที่จ้องมองกันและกันเช่นนี้ เป็นการกอดที่แสดงออกถึงอารมณ์โรแมนติกของคู่เต้นรำ 3. กอดสูงต่ำไม่เท่ากัน (Unequal-height hug) เป็นอีกท่ากอดหนึ่งของคู่รักที่มีส่วนสูงต่างกัน การกอดแบบนี้จะทำให้คู่รักคู่นั้นๆ สร้างความโรแมนติกให้กันได้มากเลยทีเดียว 4. การกอดจากด้านหลัง (A hug from behind) การสวมกอดจากด้านหลังนั้น เป็นวิธีการกอดเพื่อแสดงความรู้สึกที่ลึกซึ้งของผู้กอด แม้ไม่ได้ยินคำว่ารักจากปาก แต่ผู้ถูกกอดก็มั่นใจได้ระดับหนึ่งเลยว่า ผู้กอดนั้นพร้อมจะอยู่ดูแลคนรักไปตลอด 5. กอดแนบกาย (Heart-to-heart…
-
ศิลปินสรรค์สร้างโปรเจกต์ Toy Stories เก็บภาพ ‘ของเล่น’ ของเด็กๆ ที่อยู่ทั่วโลก!!
หากย้อนกลับไปในวัยเด็ก ทุกคนต่างก็ต้องเคยมี ‘ของเล่น’ เป็นของตัวเอง และมันเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยคลายความเหงาได้เป็นอย่างดีในเวลาว่าง แต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่า ในแต่ละประเทศทั่วโลกนั้น เหล่าเด็กๆ จะเล่นของเล่นแบบไหนกันบ้าง? จะเหมือนกับที่เราเคยเล่นเมื่อตอนยังเป็นเด็กๆ หรือไม่ หรือไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนๆ กันไปหมด สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะพาเพื่อนๆ ไปชมผลงานโปรเจกต์ถ่ายภาพของช่างภาพ Gabriele Galimberti จากประเทศอิตาลี ในชื่อว่า Toy Stories ซึ่งเขาจะพาทุกคนไปชมของเล่นของเหล่าเด็กๆ จากทั่วโลก!! “ผมได้ทำการบันทึกสิ่งของต่างๆ ที่สร้างความสนุกสนานให้กับเหล่าเด็กๆ ซึ่งมันสามารถบอกเล่าถึงวัฒนธรรม และเบื้องหลังชีวิตที่พวกเขาได้เติบโตมา แม้มันจะดูไม่มีค่าหรือดูแปลกอะไร แต่ก็เป็นความภาคภูมิใจ ที่มันสามารถสร้างความสนุกสนานและเป็นเพื่อนให้กับพวกเขาได้เป็นอย่างดี” Gabriele กล่าวถึงผลงานของตัวเอง เขาเดินทางไปยัง 50 ประเทศทั่วโลก เพื่อสร้างโปรเจกต์ Toy Stories ขึ้นมา และนี่คือเรื่องราวที่เขาเก็บมาได้ จะเป็นอย่างไรลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… Noel Hawthorne วัย 5 ขวบ จากเมือง South Dallas รัฐ Texas…
-
โบสถ์จ้างครูสอนศิลปะมาบูรณะรูปปั้นที่มีอายุ 500 ปี แต่ไหงออกมาเฟลแบบนี้ล่ะเนี่ย!?
การบูรณะงานศิลปะโบราณที่มีอายุนับร้อยปีให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งนับเป็นงานที่ยากมากๆ ฉะนั้นคนที่จะทำหน้าที่นี้ได้ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีทั้งความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และศิลปะ เพราะหากเราแค่ทาสีใหม่เพียงอย่างเดียวก็อาจจะทำให้มันกลายเป็นผลงานสุดเฟลแบบเรื่องราวต่อไปนี้ก็เป็นได้… เรื่องมีอยู่ว่าทางโบสถ์ San Miguel de Estella ที่ตั้งอยู่ในเมือง Navarre ประเทศสเปน ได้ทำการจ้างช่างฝีมือเพื่อมาทำการบูรณะรูปปั้นเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 500 ปี เป็นรูปปั้นของนักบุญ George ที่กำลังขี่ม้าและต่อสู้กับมังกร ในอดีตมันเป็นงานศิลป์ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับพระคัมภีร์ไบเบิล ของดั้งเดิมก่อนจะบูรณะนั้นมีสภาพที่เก่าเพราะผ่านกาลเวลามานานกว่า 500 ปีแล้ว แทนที่จะจ้างช่างฝีมือระดับมืออาชีพ ที่มีความรู้เกี่ยวกับการผสมสี และประวัติศาสตร์ทางด้านศิลป์ ทางโบสถ์ได้ตัดสินใจจ้าง ‘ครูสอนวิชาศิลปะ’ จากโรงเรียนในพื้นที่แทน และนี่คือผลที่ได้!! หน้าตาของรูปปั้นนักบุญ George กลายเป็นหุ่นที่อยู่ในสนามเด็กเล่นไปซะแล้ว คาวาอี้เดสสุดๆ ด้วยเหตุนี้เองทางด้านนายกเทศมนตรี Koldo Leoz ได้ออกมาพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ว่า “การบูรณะงานศิลป์ชิ้นนี้ทำให้เรารู้ว่า ควรจะให้ทางการประกาศหาผู้เชี่ยวชาญ และช่างมีฝีมือเพื่อมารับหน้าที่นี้ เพราะการบูรณะรูปปั้นงานศิลป์จากยุคศตวรรษที่ 16 คุณจะต้องระมัดระวังอย่างมากในการเลือกวัสดุต่างๆ ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะสูญเสียความเป็นดั้งเดิมไปหมดเลยก็ได้” “ในมุมมองของวัฒนธรรม ประวติศาสตร์ และงานศิลปะ มันคือความฉิบหายวายป่วง ในความคิดเห็นของผมโบสถ์ถือเป็นสถานที่ที่รวบรวมไว้ซึ่งประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมและงานศิลป์ต่างๆ ซึ่งมันการจะเปลี่ยนแปลงหรือทำอะไรเกี่ยวกับมัน ควรจะเป็นหน้าที่ของรัฐมากกว่า”…
-
ชมภาพ ‘ห้องนอน’ ของสาวๆ แต่ละประเทศรอบโลก เพราะมันเป็นอะไรที่มากกว่าที่สำหรับนอน!!
เมื่อกล่าวถึง ‘ห้องนอน’ สำหรับสาวๆ แล้วถือเป็นเรื่องส่วนตั๊วส่วนตัว ที่ถ้าหากว่าคุณไม่สนิทกับเธอจริงๆ ล่ะก็ จะไม่มีโอกาสได้เห็นมันเลยทีเดียว เพราะมันสามารถบ่งบอกถึงความเป็นตัวเองของพวกเธอได้เลยทีเดียว ทั้งนิสัย รสนิยม หรือความชอบต่างๆ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอีกด้วย สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมห้องนอนของสาวๆ จากทั่วโลกกัน จากผลงานที่มีชื่อว่า Riverboom Riverboom เป็นผลงานภาพสะสมของสองศิลปิน Gabriele Galimberti และ Edoardo Delille ที่ได้เดินทางไปทั่วโลก และถ่ายภาพห้องนอนของสาวๆ ที่มีอายุอยู่ในช่วง 18-30 ปี ทำให้เห็นว่า ‘ห้องนอน’ ไม่ใช่เพียงแค่ห้องที่เอาไว้นอนหลับเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่เอาไว้ เล่น, อ่าน, เขียน, ทำงาน, รัก, และฝัน อีกด้วย นอกจากนี้ห้องนอนยังทำหน้าที่เป็นเสมือนกับกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึง ประวัติศาสตร์ ตัวตน อุปนิสัย วัฒนธรรม ที่อยู่เบื้องหลังพวกเธอ เป็นกระจกที่มีความเป็นเอกลักษณ์ซึ่งแต่ละคนมีความแตกต่างกัน Aisha อายุ 25 ปี จากอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์…
-
เมื่อ ‘คนญี่ปุ่น’ ได้ลองชิม ‘ซูชิ’ แบบต่างประเทศ จะเป็นอย่างไรกันบ้างนะ!?
‘ซูชิ’ ถือเป็นหนึ่งในอาหารที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก แน่นอนว่าในต่างประเทศนั้นก็ต้องมีการ ‘เปลี่ยนแปลง’ รสชาติ หรือวิธีการทำซูชิให้เข้ากับวัฒนธรรมการกินของแต่ละที่อีกด้วย แล้วจะเป็นอย่างไรเมื่อ ‘คนญี่ปุ่น’ ที่เป็นเจ้าของต้นตำรับซูชิแบบดั้งเดิม ได้ลองมาชิมซูชิของต่างประเทศ ที่มีการเปลี่ยนสูตรให้ต่างจากซูชิแบบดั้งเดิม ลองไปชมความเห็นของพวกเขาไปพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… เรื่องมีอยู่ว่าแชแนลยูทูบ Asian Boss ได้ถ่ายทำคลิปวิดีโอถามความเห็นของชาวญี่ปุ่น ถึงซูชิแบบอเมริกัน ว่าพวกเขาคิดอย่างไรกันบ้าง? โดยทำการสัมภาษณ์ชาวญี่ปุ่นที่สัญจรไปมาบนถนนในกรุงโตเกียว จากการสัมภาษณ์พิธีกรได้ถามคนญี่ปุ่นว่า “พวกเขารู้หรือไม่ว่าซูชินี้ถูกนำทำขายในต่างประเทศด้วย?” ซึ่งพวกเขาก็ตอบว่า “เคยเห็นผ่านทางทีวีมาบ้างแล้ว” ซึ่งก็มีชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งบอกว่า “มันดูแปลก เพราะใส่อะไรต่อมิอะไรเข้าไปเยอะเหลือเกิน อีกทั้งยังดูแตกต่างจากซูชิธรรมดาไปมากโขเลยทีเดียว” มาถึงคราวที่ต้องชิมกันบ้าง ชิ้นแรกเป็น แคลิฟอเนียร์ โรล พอกินเข้าไปแล้วชาวญี่ปุ่นถึงกับตั้งคำถามออกมาเลยว่า “มันคือซูชิจริงๆ ใช่ไหม?” อีกทั้งยังมองว่ามันเหมือนกับข้าวปั้น (Onigiri) มากกว่าที่จะเป็นซูชิ มาถึงคราวให้คะแนนกันบ้าง ซึ่งคะแนนก็จะแตกต่างกันออกไป ทั้ง 3 บ้าง 2 บ้าง 5 บ้าง แต่บางคนก็ให้เยอะถึง 9 เลยทีเดียว แต่ทั้งหมดนี้เป็นคะแนนในแง่ของความเป็น…
-
หนุ่มพยายามหยอดคำหวานเพื่อชนะใจ นร. สาวแลกเปลี่ยน งัดทุกคำที่รู้ออกมาใช้ให้หมด!!
ความมั่นใจในตัวเองเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เลยนะ แม้ว่าการที่จะพยายามเริ่มความสัมพันธ์ในรูปแบบไหนก็ตาม หากเรามีความรู้สึกดีๆ อยากจะบอกกับอีกฝ่าย ต่อให้เป็นการใช้ภาษาต่างประเทศก็ถือว่าเป็นหนึ่งในการฝึกฝนเช่นกัน อย่างนักเรียนชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่ต้องการจะใช้ทักษะทางด้านภาษาอังกฤษให้เกิดประโยชน์ เพื่อหยอดคำหวานเกี้ยวสาวนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวเยอรมันที่มาอยู่ในคลาสเดียวกัน ฮร่าาาา เรื่องราวของ Carolin Marie ยูทูบเบอร์ ช่างภาพ และนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวเยอรมันวัย 18 ปี ได้มีโอกาสแวะไปในห้องเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น และแนะนำตัวให้กับเพื่อนๆ ในห้องได้รู้จัก ซึ่งก็จะมีช่วงเวลาที่ให้เพื่อนๆ ได้ถามคำถามเธอด้วย แต่แล้วก็มีนักเรียนชายผู้กล้า ลุกขึ้นถามเธอในสิ่งที่แตกต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ใช้วิถีความเซียนในการเนียนจีบเธอแบบน่ารักสุดๆ “ผมขอถามคุณหน่อยได้มั้ย?” เขาเริ่มต้นบทสนทนา และเธอก็ตอบ “ได้สิ” จากนั้นก็เริ่มด้วยการบอกว่า “เนี่ย มีคนดีๆ อยู่นะ” พร้อมกับชี้ไปที่เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนที่จะชี้กลับมาที่ตัวเองว่า “โดยเฉพาะตัวผม” แหม๊… หมอนี่มันร้ายกาจจริงๆ “แล้วถ้าคุณมีแฟนในห้องนี้ คนไหนจะเหมาะสมที่สุด?” . ด้วยความเขินก็ทำได้แค่เพียงบอกว่า “ทุกคนน่ารักมากๆ เลย ฉันตัดสินใจไม่ได้จริงๆ” ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโมเม้นท์น่ารักๆ จากประเทศญี่ปุ่น…
-
‘Concrete Stories’ เซ็ตภาพสุดคูล ที่โชว์วิถีชีวิตของผู้คนจากดาดฟ้า ณ ฮ่องกง
หลายๆ มหานครในโลกนี้ เต็มไปด้วยผู้หลายล้านคน ที่อัดแน่นอยู่เพียงในเมืองเดียว ทำให้สภาพที่พักอาศัยของพวกเขาต้องอยู่บนห้องบนตึกเป็นเสียมากกว่าที่จะออกไปอยู่บ้าน เช่นเดียวกันกับ “ฮ่องกง” เขตบริหารพิเศษแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มหานครที่เต็มไปด้วยแสงสีและสตรีทฟู้ด ผู้คนในฮ่องกงส่วนมากล้วนแต่มีชีวิตอยู่บนห้องเช่าในตึกเล็ก ตึกน้อยที่ตั้งอยู่เต็มไปหมดบนเกาะแห่งนี้ ช่างภาพชาวฝรั่งเศส Romain Jacquet-Lagrèze จึงได้เกิดปิ๊งไอเดีย เก็บรูปภาพการดำเนินชีวิตของคนฮ่องกงบนดาดฟ้า ซึ่งเขาเรียกการถ่ายภาพผู้คนจากดาดฟ้าแบบนี้ว่า “Concrete Stories” ภาพถ่ายในเซ็ตนี้จะแสดงให้เราเห็นถึงวัฒนธรรมและการใช้ชีวิตของผู้คน เขากล่าวว่าเขาเริ่มถ่ายรูปแบบนี้มาตั้งแต่ปี 2014 หลังจากที่พบว่าตัวเองอยู่บนดาดฟ้า พยายามจะหาโปรเจ็กต์การถ่ายภาพใหม่ๆ จนกระทั่งถึงตอนที่แสงแดดได้สาดส่องไปยังดาดฟ้าที่อยู่ใกล้ๆ และมีบางสิ่งขยับ เขาจึงรีบเก็บภาพนั้นมา ซึ่งการทำแบบนั้นเหมือนกับเขาได้ใช้เวทมนตร์หยุดเวลาช่วงนั้นไว้ เขาอุตส่าห์กล่าวมาขนาดนี้แล้วเราจะไม่ไปชม รูปภาพ ฝีมือการถ่ายของเขาหน่อยเชียวหรือ เอาล่ะ ไปชมกันพร้อมๆ กันครับ ชื่อภาพ: “ปรมาจารย์บอนไซ” ชายผู้ซึ่งดูแล รดน้ำต้นบอนไซอยู่บนตึกของเขา “ประกอบไม้ไผ่” ภาพของเหล่าคนงานที่นำไม้ไผ่มาประกอบกันเป็นนั่งร้านเพื่อบูรณะอาคาร “โจรขโมยรถ” ภาพของคุณพ่อและคุณลูก ณ ดาดฟ้าที่กำลังเล่นกับรถของเล่นสีแดงด้วยกัน “ชีวิตในสีชมพูและเทา” ภาพของเด็กสาวสองคนที่กำลังกระโดดเชือกเล่นอยู่บนดาดฟ้า “ซ่อมรับรุ่งอรุณ” ภาพของผู้ชายที่กำลังปรับเสาอากาศอยู่ตอนพระอาทิตย์ขึ้น “หุบเขาคอนกรีต” ภาพของผู้หญิงที่กำลังตากเสื้อผ้าของเธอผ่านแสงอาทิตย์ที่กำลังสาดส่อง…
-
หวด…ล้างบาป!! พิธีชำระล้างบาปในเม็กซิโก ผู้คนออกมา “เฆี่ยนแส้” ใส่กันในวันอีสเตอร์
(มีภาพและเนื้อหาที่ควรใช้วิจารณญาณในการรับชม) แต่ละศาสนาหรือแต่ละวัฒนธรรมนั้นก็จะมีพิธีกรรมหรือธรรมเนียมปฏิบัติที่แต่งต่างกันออกไป แม้ว่าจะเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์ด้วยกันเอง แต่พิธีกรรมล้างบาปนั้นกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในประเทศเม็กซิโก ในวันพระเยซูคริสต์ทรงคืนหรือที่เรียกกันว่า วันอีสเตอร์ (Easter) ของศาสนาคริสต์ถือว่าเป็นวันที่สำคัญอย่างยิ่ง ทั้งนี้ผู้นับถือศาสนาคริสต์ในแต่ละภูมิภาคก็จะมีพิธีการเฉลิมฉลองที่แตกต่างกัน โดยที่พบเห็นได้บ่อยและดูเป็นที่นิยมที่สุดก็คือการตกแต่งไข่และการค้นหาไข่ที่เรียกกันว่า “ไข่อีสเตอร์” แต่บางพื้นที่ประเทศเม็กซิโกกลับมีพิธีในวันอีสเตอร์ที่แตกต่างกับการค้นหาไข่ยิ่งนัก นั่นก็คือการ ปิดถนนเฆี่ยนตีกัน โดยผู้คนที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ในเมือง Soltepec แห่งประเทศเม็กซิโก ได้มีการจัดพิธีกรรมนี้ขึ้นในวันอีสเตอร์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพิธีชำระล้างบาปให้กับร่างกาย ธรรมเนียมปฏิบัตินี้เชื่อว่าเริ่มมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เนื่องจากผู้เฒ่าเป็นกังวลว่าวัฒนธรรมและความเชื่อทางคริสต์ศาสนาจะเสื่อมสลายไป พิธีกรรมนี้ถือเป็นการชำระล้างบาปให้ตนเองด้วยการทรมาน นอกจากชาวเม็กซิโกแล้ว ชาวฟิลิปปินส์บางกลุ่มก็ฟาดแส้ใส่กันในวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ในเมือง San Fernando รัฐแคลิฟอร์เนีย บางครั้งพิธีกรรมนี้ถูกเรียกว่า Magdarame พวกเขาเชื่อว่า พิธีกรรมนี้จะเป็น “ฆ่า” ความบาปที่พวกเขาเห็นและพบเจอมา “ปิศาจแห่งความอ่อนแอ ความคิดชั่วร้าย และความศรัทธาอันน้อยนิดที่ครอบงำชีวิตของผู้คนมาเป็นเวลายาวนาน พิธีนี้จะกำจัดมันให้สิ้นซาก” Rev Michael Geisler เขียนเอาไว้ ถึงแม้พิธีเฆี่ยนล้างบาปนี้จะถูกมองว่ารุนแรงเกินไป แต่ก็ยังเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในหลายๆ ประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ที่มา: Thesun
-
คลายข้อสงสัย ทำไมยากูซ่าชอบถูกตัดนิ้ว โดยเฉพาะเวลาจะออกจากแก๊งหรือทำผิด
บ่อยครั้งที่เราดูหนังหรือซีรีส์ที่มียากูซ่ามาเกี่ยวข้อง เรามักจะเห็นวัฒนธรรมสองอย่างของยากูซ่า นั่นก็คือการคว้านท้องและการตัดนิ้วก้อย ซึ่งหลายคนที่ได้ดูก็คงจะเกิดความสงสัยว่าเขาทำกันไปเพื่ออะไร ทำไปทำไม โดยเฉพาะการตัดนิ้ว การนิ้วของยากูซ่านั้นจะเรียกกันว่า ‘ยูบิสึเมะ‘ ซึ่งแปลตรงตัวว่าทำให้นิ้วสั้น โดยการทำแบบนี้จะเป็นพิธีที่ใช้เพื่อชดเชยความผิดที่ทำไปด้วยการตัดนิ้วก้อย ต้นกำเนิดของวัฒนธรรมยากูซ่านี้เริ่มมาจากไหนและเมื่อไหร่นั้นไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่มีการเล่าต่อกันมาว่าเริ่มจากช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงศตวรรษที่ 20 โดยกลุ่มนักพนันที่เรียกตัวเองว่าบาคุโตะและเทคิยะ เริ่มใช้มันเพื่อที่จะให้คนที่แพ้พนันจ่ายนิ้วแทนหนี้ที่ติดไว้ ส่วนสาเหตุที่ต้องเป็นนิ้วก้อยนั่นก็เพราะ ในสมัยก่อนที่ยังใช้ดาบเป็นอาวุธนั้น นิ้วก้อยถือเป็นนิ้วสำคัญที่ทำให้รากฐานในการจับดาบมั่นคง ฉะนั้่นถ้าเกิดว่าใครที่ถูกตัดนิ้วออกไปก็จะถูกลดความสามารถในการใช้อาวุธไปตลอดชีวิตจนรู้สึกว่าจะต้องพึ่งเจ้านายมากขึ้นนั่นเอง ขั้นตอนการตัดนิ้วนั้นจำเป็นจะต้องเอามือวางไว้บนผ้าขาว จากนั้นใช้มีด Tantō ในการตัดนิ้ว ก่อนจะส่งนิ้วดังกล่าวให้กับโอะยาบุง (หัวหน้า) ส่วนเหตุผลหลักของการใช้นิ้วข้างซ้ายนั้นมาจากการที่มือซ้ายในวัฒนธรรมเอเชียถือเป็นเรื่องไม่ดี นอกจากนั้นจำนวนประชากรที่เกิดมาและถนัดซ้ายนั้นก็มีอยู่น้อยมากๆ เรียกว่ามีจำนวนน้อยสุดๆ โดยคิดเป็นอัตราร้อยละ 0.7 ของเด็กญี่ปุ่นที่กินข้าวด้วยมือซ้ายและ 1.7 ที่เขียนหนังสือด้วยมือซ้าย การลงโทษด้วยวิธียูบิสึเมะ เป็นวิธีที่สามารถทำได้ตลอดแม้ว่านิ้วก้อยจะไม่เหลือแล้วก็ตาม เพราะถ้าสมาชิกคนๆ นั้นยังคงทำผิดเรื่อยๆ พิธีกรรมดังกล่าวก็จะยังคงดำเนินต่อไป และถ้าเกิดใครที่หลบหนีหรือปฎิเสธการลงโทษก็จะถูกขับไล่ออกจากแก๊งหรืออาจจะต้องถูกสั่งเก็บ… ที่มา ladbible
-
9 อาหารเปิบพิสดารสุดอันตราย หาก ‘กินไม่ถูกวิธี’ ได้ไปเที่ยวโลกหน้าอย่างแน่นอน!!
โลกของเราช่างกว้างใหญ่ไพศาล ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ ทั้งเรื่องของธรรมชาติ และวัฒนธรรมในแต่ละที่ที่มีคนอาศัยอยู่ สำหรับวันนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องของ ‘การกิน’ แน่นอนว่าแต่ละประเทศทั่วโลกย่อมมีวัฒนธรรมการกินที่แตกต่างกัน จึงไม่แปลกเลยที่ว่าจะมีการเปิบพิสดารเมนูแปลกๆ มากมายให้เราได้เห็นกัน และนี่คือ 9 อาหารที่มีความเสี่ยงต่อชีวิตของเรา ที่ทางเว็บไซต์ Brightside ได้รวบรวมมาให้เราได้อ่านกัน จะมีอะไรบ้างลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… 1. ปลาปักเป้า การทำอาหารโดยใช้ปลาปักเป้าเป็นวัตถุดิบนั้นเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น แต่ทั้งนี้การแล่เนื้อของมันจะต้องใช้ความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก เชฟที่จะทำหน้าที่นี้ได้ต้องผ่านการเรียนมาไม่ต่ำว่า 3 ปีหรือมากกว่านั้นจนได้รับใบอนุญาตประกอบการชำแหละปลาชนิดนี้โดยเฉพาะเลยทีเดียว เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้พิษเตโตรโดท็อกซิน ไหลเปื้อนอวัยวะส่วนต่างๆ ได้ และหากมนุษย์ทานเข้าไปก็อาจส่งผลให้เสียชีวิตได้เลย!! 2. สมองลิง เป็นเมนูเปิบพิสดารที่นิยมทานกันในแถบเอเชียและแอฟริกัน แต่ปัจจุบันประเทศจีนได้ทำการสั่งแบนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยหากใครที่ฝ่าฝืนก็จะถูกสั่งจำคุกนานถึง 10 ปีเลยทีเดียว การทานสมองลิงแบบดิบๆ ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นโรค โรคครอยตส์เฟลดต์-จาค็อบ (Creutzfeldt-Jakob) เป็นโรคเสื่อมที่เกิดกับระบบประสาทส่วนกลาง และยังไม่มีหนทางรักษาแถมยังสามารถติดต่อได้ โรคดังกล่าวเกิดจากโปรตีนพรีออนเป็นตัวต้นเหตุ ซึ่งพบได้ในสมองของลิง หากทานเข้ามาในร่างกายของมนุษย์ก็จะมีความเสี่ยงที่จะรับมันเข้ามาโดยตรง ที่สำคัญคนที่ป่วยเป็นโรคนี้จากสถิติแล้ว 90% เสียชีวิตหลังจากที่ติดเชื้อ 1 ปี 3. เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นจะมีกรรมวิธีมากมายก่อนที่มันจะถูกนำมาเสิร์ฟบนจาน ซึ่งหากเราทำถูกต้องแล้วก็สามารถทานได้ไม่มีปัญหาอะไร…
-
ชาวเน็ตจีนอิจฉา… เมื่อสาวแหม่มผมทองชาวยูเครน ตกลงใจแต่งงานหนุ่มจีน ไม่ต้องใช้สินสอด!!
ความแตกต่างทางวัฒนธรรมถือว่าเป็นอะไรที่ต้องปรับตัวกันสุดๆ และในช่วงเวลาปัจจุบันที่เริ่มจะมีแนวคิดใหม่ๆ มาแทนที่แนวคิดเดิม เนื่องจากสภาพสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เป็นที่รู้กันว่าขนบธรรมเนียมการแต่งงานของชาวเอเชียในบางประเทศนั้น ฝ่ายชายจะต้องมีสินสอดไปแสดงต่อครอบครัวฝ่ายหญิง เพื่อทำการสู่ขอตามประเพณีดั้งเดิม แต่ถ้าหากเป็นชาวต่างชาติล่ะ? จะต้องทำอย่างไร อย่างที่ผ่านมาไม่นาน ชาวเน็ตจีนโดยเฉพาะหนุ่มๆ คงจะเกิดอาการรู้สึกอิจฉาพ่อหนุ่มรายนี้ เพราะว่าพี่แกได้แต่งงานกับสาวแหม่มผมทองคนงาม ชาวยูเครน ซึ่งเรื่องที่อิจฉาก็ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเธอเป็นฝรั่ง แต่อิจฉาในเรื่องของการเรียกสินสอด เพราะฝ่ายหญิงไม่เรียกเลยแม้แต่แดงเดียว… เรื่องราวความรักระหว่าง Inesa และ He Pingwei เริ่มต้นในช่วงเดือนมกราคม 2016 เมื่อเธอเริ่มทำงานเป็นล่ามในกรุงปักกิ่งและได้พบกับฝ่ายชายเป็นครั้งแรก เธอตกหลุมรักในสเน่ห์ของ He ในทันทีเนื่องจากเขาเป็นผู้ชายที่ใจดี ส่วนฝ่ายชายก็โดนสเน่ห์ความร่าเริงของฝ่ายหญิงเข้ามัดใจเต็มเปา จนในที่สุดก็ตกหลุมรักและไปเที่ยวด้วยกันบ่อยครั้ง และแล้วทั้งสองต่างก็ตกลงปลงใจยกระดับความสัมพันธ์จาก ‘คู่รัก’ ให้กลายมาเป็น ‘คู่ชีวิต’ จดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมายในเดือนตุลาคม 2017 . แต่สิ่งที่ทำให้ชาวเน็ตจีนที่ได้รับรู้เรื่องราวความรักของทั้งสองต้องตะลึงก็คือ ในงานพิธีหมั้นตามประเพณีจีน ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เลย นั่นเป็นเพราะว่าด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรม ทางครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวจึงไม่เรียกร้องค่าสินสอดใดๆ คุณแม่ฝ่ายเจ้าสาวบินมาคุยถึงบ้านฝ่ายชาย …
-
ศิลปินสุดคูล นำตัวละครตะวันตกทั้งหลาย มาวาดด้วยลายเส้นแบบ “มังงะ” ญี่ปุ่น!!
วัฒนธรรมสมัยนิยมนั้นมีหลากหลายรูปแบบ แต่สิ่งที่ส่งต่อกันและเผยแพร่ออกไปสู่นานาประเทศบนโลกได้ดีก็คงจะเป็นสื่อบันเทิงทั้งหลาย เช่น ภาพยนตร์ หนังสือการ์ตูน หรือเกม เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนเข้าถึงง่ายและสามารถตรึงอยู่ในความทรงจำได้ดี ด้วยเหตุนี้เอง การที่สื่อบันเทิงของชาติตะวันตกได้ขยายตัวออกไปสู่ประเทศต่างๆ ตัวละครที่มาจากสื่อเหล่านั้น จึงเข้าไปอยู่ในความทรงจำของผู้คน และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ขณะเดียวกัน อีกวัฒนธรรมสมัยนิยมที่ทรงพลังก็มาจากทางประเทศตะวันออกอย่าง “ญี่ปุ่น” ด้วยเช่นกัน การ์ตูนญี่ปุ่นนั้นมีความเป็นเอกลักษณ์และเป็นที่รู้จักกันมานานแสนนาน แม้แต่ในประเทศไทยของเราเอง เมื่อผู้คนเริ่มใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางวัฒนธรรมที่หลากหลาย มันจึงกลายเป็นเรื่องสนุก ที่บางทีแง่มุมต่างๆ ของวัฒนธรรมเหล่านั้น ก็สามารถถูกหยิบยกขึ้นมาผสมผสานกันเพื่อสร้างให้เป็นผลงานทางศิลปะได้ อย่างเช่น ศิลปินชาวตุรกีวัย 23 ปีที่ใช้ชื่อว่า Oli Fux เขาได้หยิบยกสัจนิยมตะวันตก เช่น วรรณกรรม ซูเปอร์ฮีโร และเกม มาถ่ายทอดด้วยลายเส้นแบบการ์ตูน “มังงะ” แบบญี่ปุ่น ซึ่งผลงานของเขาจะออกมาน่าชื่นชมขนาดไหนนั้น ท่านผู้ชมคงต้องไปรับชมกันเองแล้วล่ะครับ… 1. Superman 2. Jim Hopper & Eleven (Stranger Things) 3. The Flash 4.…
-
19 ภาพการดัดแปลงสิ่งของสุดแนวของชาวฮิปสเตอร์ ที่ถ้าไม่แนวจริง ก็คงทำออกมาไม่ได้
ฮิปสเตอร์นั้นเป็นวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายค่อนข้างสูง ทั้งสภาพโดยรวมของการแต่งกายหรือที่ไปที่มาของตัววัฒนธรรมเอง จะบอกว่าฮิปสเตอร์นั้นเป็นวัฒนธรรมที่เกิดจากการเหมารวมเอามั่วๆ ของภาพลักษณ์หลายๆ อย่างที่จับฉ่ายดัดแปลงมารวมกันก็ไม่แปลกเท่าไหร่ เพียงแต่เจ้าผลรวมของวัฒนธรรมที่ว่านั่น มันดันออกมาเป็นอะไรที่หอมหวานและลงตัวกว่าที่คิดนี่ล่ะ ราวกับบางสิ่งพยายามจะบอกพวกเราว่าการดัดแปลงอะไรหลายๆ อย่างนั้น อาจจะไม่ได้แย่เสมอไปก็เป็นได้ เช่นเดียวกับ ภาพการดัดแปลงสิ่งของสุดแนวของชาวฮิปสเตอร์ต่อไปนี้ จักรยานที่ดัดแปลงมาเสียแลดูหลุดมาจากอดีต นี่สินะที่เขาเรียกกันว่า ย้อนยุคอนาคต จะใช้เครื่องพิมพ์ดีดไปเลยก็ตกยุคไปนิด เอาแบบนี้แล้วกัน กำลังร่วมสมัย อโวคาโด กับคาปูชิโน แนวไว้ก่อนรสชาติว่ากันอีกที แก้วมันธรรมดาไป เอาหลอดไฟไปเลย แม้เป็นม้าก็อยากฮิป ทำไมต้องกินเหมือนใคร ตุ๊กตุ่นเก่าๆ เอามาทำให้รอเท้าคุณแนวขึ้นได้ ตัดผมอย่างไรให้ฮิปเรียกเฟ่ จะเล่นคอมรอทำไมเมื่อเรามี ที่ปั่นด้าย น้ำอัดลมธรรมดาๆ จะไม่ธรรมดาอีกต่อไป สกูตเตอร์ยังคงมีที่อยู่ในหัวใจเราเสมอ โทรศัทพ์มันต้องใหญ่ ไม่งั้นมันไม่สะใจ กางเกงมันก็ต้องฟิตจนเห็นรอย…. แบบนี้!! ต้องมีหมวกไหมพรมกันหูหนาว…. รถก็ต้องแต่งให้แนวๆ อะไรนะแค่รถเก่าก็พอ? ไม่ได้ๆ ต้องมีหญ้าขึ้นด้วยอย่างนี้ดิ…
-
มิติใหม่แห่งการแว๊นซ์ ของแก๊งซิ่งสกู๊ตเตอร์ไม้ หมดปัญหาเสียงท่อคอยกวนใจ
หากใครได้ไปเที่ยวในเขต Banaue ประเทศฟิลิปปินส์ คุณจะได้เจอกับของขึ้นชื่อทั้งสองอย่างของที่นี่ หนึ่งคือลานนาข้าวทอดยาวท่ามกลางวิวทิวทัศน์อันสวยงาม สองคือสกู๊ตเตอร์ไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ สกู๊ตเตอรที่ทำมาจากไม้นี้ เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ชาวบ้านคิดค้นกันขึ้นมาเอง เพื่อช่วยแก้ปัญหาการเดินขึ้นลงดอยไปเก็บผลผลิตหรือตัดฟืนที่ล่าช้าและยากลำบาก แว๊นซ์แบบไร้เสียงท่อ ด้วยสกู๊ตเตอร์ไม้สุดคูล เนินทุ่งนาอันสวยงาม กับวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ปรับตัวให้เข้ากับภูมิประเทศ แน่นอนว่ามันเป็นเพียงแค่สกู๊ตเตอร์ที่ไม่ได้ติดเครื่องยนต์ แต่ด้วยภูมิประเทศของที่นี่ พวกเขาจึงสามารถใช้มันได้อย่างสะดวกสบาย ไหลลงเนินกันอย่างสนุกสนาน ด้วยความเร็วประมาณ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว เจ้าสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งจากชาวบ้านเองและนักท่องเที่ยวจากต่างแดน นั่นจึงทำให้เดือนเมษายนของทุกๆ ปีจะมีการแข่งขันที่เรียกว่าเทศกาล Imbayah ซึ่งจะมีเหล่านักแข่งสกู๊ตเตอร์ไม้จำนวนมากเข้าร่วมการแข่งขันไหลลงเนินสุดมันส์ การแข่งขันประจำปีที่สร้างความสนุกให้ทั้งคนแข่งและคนดู Robert Duyugen ช่างสลักไม้หนึ่งในผู้คลั่งไคล้การขี่สกู๊ตเตอร์ไม้ แชมป์การแข่งสามสมัย เขาบอกว่าเทศกาลดังกล่าวคือสิ่งที่ช่วยแสดงให้ทุกคนได้เห็นรูปแบบวัฒนธรรมและการใช้ชีวิตของคนที่นี่ ทำให้มันเป็นสิ่งที่สร้างความสุขและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เขายังเล่าอีกว่าเขาเป็นคนสร้างสกู๊ตเตอร์ที่ขี่ขึ้นมาเองกับมือ รวมถึงการสลักรูปของเสือลงไป ทำให้รถของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน มีเอกลักษณ์และลวดลายตามจินตนาการของใครของมัน โดยการทำขึ้นมานี้เขาก็ใช้เวลาทั้งหมดแค่ 5 วันเท่านั้นเอง Robert ชาวบ้านผู้คลั่งไคล้ในสิ่งนี้ คลิปเรื่องราวของประเพณีนี้ และการให้สัมภาษณ์ของแชมป์สามสมัย นับว่าเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมจากต่างแดนที่มีความเฟี้ยวและความคิดสร้างสรรค์ที่ดี สามารถสร้างสิ่งที่เติมเต็มทั้งความสะดวกสบายและความสุขให้กับทุกคน แถมยังเป็นการแว๊นซ์โดยที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครด้วยนะ…
-
12 เรื่องราวในอดีต ที่ทำให้เรารู้สึกโชคดีเหลือเกิน ที่ได้เกิดมาอยู่ในยุคศตวรรษที่ 21
ในปัจจุบันโลกของเรามีความเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรมและเทคโนโลยีมาก ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเรานั้นดูง่ายไปเสียหมด จะทำอะไรก็สะดวกสบายและรวดเร็ว ถ้าหากเราลองมองย้อนกลับไปล่ะก็ จะเห็นว่าชีวิตของผู้คนในอดีตลำบากกว่าเรามากนัก วันนี้เราจะพาทุกคนไปดูว่าถ้าเราเกิดมาอยู่ในยุคก่อนหน้านี้ชีวิตความเป็นอยู่มันจะพึลึกพิลั่นและเหนื่อยยากขนาดไหน 1. การย้อมสีผม ไม่ว่าคนเราจะเกิดมาในยุคไหนก็รักสวยรักงามด้วยกันทั้งนั้น แต่ในสมัยก่อนไม่มียาย้อมผมที่ใช้ง่ายเหมือนตอนนี้ ใครที่อยากจะย้อมสีผมต้องใช้ของที่มีอยู่ตามธรรมชาติอย่างเช่นหัวหอม อบเชย และขี้เถ้ามานวดผมเป็นประจำให้มันเปลี่ยนสี นอกจากนี้ก็ยังต้องไปนั่งให้ผมโดนแดดจะได้มีผมที่มันวาวดูดี แต่ในทางกลับกันการลองย้อมผมแบบทำกันเองย่อมทำให้ได้สีผมที่ไม่แน่นอน แถมเสี่ยงทำให้ผมเสียด้วย 2. เกิดเป็นชนชั้นสูงต้องเท้าเล็ก เกิดคุณบังเอิญได้เกิดมาเป็นหญิงชั้นสูงในประเทศจีนสมัยก่อน คนในครอบครัวจะบังคับให้คุณรัดเท้าตั้งแต่เด็กจะได้ใส่รองเท้าอันเล็กๆ ได้ พวกเขาเชื่อว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของผู้สูงศักดิ์ ถ้าใครมีขนาดเท้าปกติแปลว่าเป็นคนชนชั้นทั่วไป แต่การจะได้เท้าแบบนี้มาหญิงสาวต้องทนทุกข์ทรมานทุกวันตั้งแต่ยังอายุน้อย แถมเท้าเล็กแบบนี้ยังทำให้เดินยากอีกด้วย ดีนะที่สมัยนี้ไม่มีใครทำแบบนี้แล้ว 3. เขียนจดหมายร้องเรียน ในอดีตก็มีการเขียนจดหมายร้องเรียนเช่นกัน ทว่าในยุคนั้นยังไม่มีกระดาษและปากกาให้ใช้ คนในอดีตจึงต้องใช้วิธีการสลักอักษรลงไปบนแผ่นหินเพื่อเขียนจดหมายแทน แน่นอนว่ากว่าจะเขียนจดหมายได้ฉบับหนึ่งกินเวลานานมากเลย ลำบ๊ากลำบาก 4. รักษาโรคด้วยเวทมนตร์และอุจจาระ ย้อนกลับไปเมื่อ 1500 ปีก่อนคริสตกาล ประเทศอินเดียยังมีความเชื่อในการรักษาโรคด้วยเวทมนตร์อยู่เลย และพวกเขายังใช้อุจจาระมาผสมเป็นยาให้คนป่วยกินด้วย เพราะพวกเขาเชื่อว่าอุจจาระสามารถขับไล่วิญญาณร้ายซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของอาการป่วยได้นั่นเอง แค่ได้ฟังก็รู้สึกดีใจแล้วที่สมัยนี้มีหมอมาวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องตามหลักการ แล้วยังมียารักษาทั้งแบบกินแบบฉีดด้วย ไม่ต้องมานั่งกินอุจจาระกันอีกต่อไป 5. รักษาโรคด้วยยาที่ทำจากมนุษย์…
-
15 ข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศ ‘นิวซีแลนด์’ คือสถานที่บรรจบกันระหว่าง โลกแห่งความจริง และเทพนิยาย
ประเทศนิวซีแลนด์ หนึ่งดินแดนในฝันของหลายๆ คนที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะได้ไปเยือนสักครั้งในชีวิต ความงดงามทางธรรมชาติ วัฒนธรรมของประชากรชาวนิวซีแลนด์ เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่เย้ายวนให้นักท่องเที่ยวทั้งหลายต้องไปสัมผัส อีกหนึ่งเสน่ห์ของประเทศนิวซีแลนด์นั่นก็คือ วิถีชีวิตของชาวนิวซีแลนด์บนดินแดนที่มีแต่ความงดงามนี้ เปรียบราวกับว่านิวซีแลนด์นั้นคือโลกนิยายที่มีอยู่จริง จากสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้ 1. นิวซีแลนด์มีศาสนาเจได จากการสำรวจประชากรเมื่อปี 2001 มีชาวนิวซีแลนด์นับถือศาสนาเจไดอยู่ร้อยละ 1.5 2.นิวซีแลนด์มีกระทรวงลอร์ดออฟเดอะริงส์ ที่ต้องตั้งกระทรวงลอร์ดออฟเดอะริงขึ้นมาก็เพราะว่าหลังจากที่หนังฉายออกไปก็มีนักท่องเที่ยวมาตามรอยภาพยนตร์อย่างล้นหลาม ทำให้ต้องตั้งกระทรวงมาส่งเสริมกันโดยเฉพาะ 3. รอยสัก การสักนั้นเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญมากๆ สำหรับชนเผ่าเมารีทั้งชายและหญิง ชาวเผ่าจะนิยมสักลงบนใบหน้าด้วยลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ 4. ภาษาเอลฟ์ นี่คือการรายงานสภาพอากาศด้วยภาษาเอลฟ์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์เรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ มีการคาดการณ์เล่นๆ ว่า ในอนาคตอาจจมีการสอนภาษาเอลฟ์ในโรงเรียนอีกด้วย 5. นิวซีแลนด์มีชื่อสถานที่ที่ยาวมากๆ ชื่อสถานที่นั้นก็คือ “Taumatawhakatangihangaoauauotameteaturipukakapikimaungah-oronukupokaiwhenuakitanatahu” ยาวไปไหน 6. ดินแดนแห่งเมฆยาวสีขาว ก่อนที่จะมาเป็นประเทศนิวซีแลนด์ นิวซีแลนด์ถูกยึดครองโดยชนเผ่าเมารีและตั้งชื่อดินแดนว่า Aotearoa แปลว่า ดินแดนแห่งเมฆยาวสีขาว 7. กีวี กีวีในที่นี้ไม่ได้หมายถึงผลไม้แต่อย่างใด แต่หมายถึงสัตว์ประจำชาติอย่างนกกีวีที่สามารถพบได้แค่ในประเทศนิวซีแลนด์เท่านั้น และคำว่า…
-
ไปดูการนับวันเกิดของคนเกาหลี ที่มีถึงปีละ 2 วัน บางคนเกิดมาได้วันเดียว 2 ขวบเลย!!
วันเกิดของเรานั้นใช้เป็นตัวบ่งบอกว่าเราลืมตาดูโลกมาแล้วกี่ปี ดังนั้น เลขอายุของเราจึงเพิ่มขึ้นปีละครั้งในวันเกิดของเรานั่นเอง แต่ในประเทศเกาหลีไม่ใช่แบบนั้น… หากเราไปอยู่ที่ประเทศเกาหลีล่ะก็ เราอาจจะมีอายุเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าประเทศเกาหลีมีวันเกิดถึง 2 วัน!! ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าประเทศเกาหลีนั้นมีการนับวันเกิดอีกแบบซึ่งเรียกว่า Eumnyeok saeng-il หรือ Korean Age นั่นเอง โดยการนับวันเกิดแบบเกาหลีนี้จะนับอายุเราตามวันปีใหม่! นั่นหมายถึงว่าเราจะมีวันเกิดถึง 2 วัน และมีอายุที่เปลี่ยนไป บางคนอาจจะยังไม่เข้าใจ ลองสมมติว่าคนหนึ่งเกิดวันที่ 31 ธันวาคม (เราเริ่มนับเลยว่าวันนี้คือ 1 ขวบ) พอข้ามวันไปเป็นวันที่ 1 มกราคมของปีถัดไป เขาก็จะมีอายุ 2 ขวบทันที ทั้งๆ ที่เพิ่งเกิดมาได้แค่ 1 วันเท่านั้น! (แต่การนับแบบนี้จะนับแค่ปีแรกเท่านั้นนะ) โดยปกติแล้วการนับวันเกิดแบบนี้เคยถูกใช้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วในประเทศจีน จากนั้นก็แพร่ไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชีย ปัจจุบันเหลือเพียงประเทศเกาหลีเท่านั้นที่ทุกคนยังนับอายุด้วยวิธีนี้อยู่ โดยประเทศเกาหลีมองว่าการมี Korean Age ถือเป็นประโยชน์ทางสังคม เช่น การสร้างวัฒนธรรมที่ใช้ร่วมกัน ความสัมพันธ์กันในสังคม และการเคารพผู้สูงอายุ ดังนั้น ผู้คนเกาหลีจึงมักเคารพผู้ที่มีอายุมากกว่า ถึงแม้อายุแบบสากลจะห่างกันแค่ 1 วันก็ตาม …
-
อิหร่านแบนภาษาอังกฤษ ไม่ให้สอนในโรงเรียนประถมเพราะถือเป็นวัฒนธรรมจากตะวันตก!?
ภาษาอังกฤษนั้นถือได้ว่าเป็นภาษาสากลในการใช้ติดต่อสื่อสารกับนานาประเทศ ดังนั้น หลายๆ ประเทศกำหนดให้มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียน แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นในประเทศอิหร่าน เพราะผู้นำระดับสูงหลายคนเห็นว่าการสอนภาษาอังกฤษนั้นถือเป็นการเปิดโอกาสให้ชาติตะวันตก บุกรุกทางวัฒนธรรม ดังเช่นที่นาย Ayatollah Ali Khamenei ได้กล่าวไว้ว่า “ไม่ใช่เป็นการปิดกั้นการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เพียงแต่มันจะทำให้วัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาให้เด็กๆ และวัยรุ่นซึมซับมากขึ้น” นาย Mehdi Navid-Adham รัฐมนตรีกระทรวงการศึกษากล่าวเพิ่มเติมว่า “การสอนภาษาอังกฤษอย่างเป็นทางการในโรงเรียนประถมนั้นถือว่าผิดกฎหมายและข้อบังคับ เนื่องจากโรงเรียนประถมจะต้องปูพื้นฐานวัฒนธรรมของอิหร่านให้แก่นักเรียนเสียก่อน” นาย Khamenei ยังกล่าวอีกว่า “ชาวตะวันตกใช้วิธีการง่ายๆ แต่ได้ผลดีเช่นการเผยแพร่วัฒนธรรมให้แก่เด็กๆ และเยาวชน แทนการล่าอาณานิคม” จากนั้นหนึ่งสัปดาห์จึงเกิดการประท้วงขึ้นเพื่อต่อต้านรัฐบาลอิหร่าน มีจำนวนผู้เสียชีีวิต 22 ราย และถูกจับมากกว่า 1,000 ราย การเดินขบวนประท้วงแพร่กระจายไปมากกว่า 80 เมืองและแถบชนบทในอิหร่าน ทำให้คนหนุ่มสาวและชนชั้นแรงงานออกมาแสดงถึงความไม่พอใจต่อภาครัฐในเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวง ภาวะตกงาน และการขยายความเหลื่อมล้ำทางสังคม ไม่ว่าประเทศไหนการศึกษาก็ถือว่าจำเป็น โดยเฉพาะความรู้ที่มิได้มีอยู่แต่ในประเทศของตน ภาษาอังกฤษจึงเป็นกุญแจที่จะเปิดออกไปสู่ความรู้เหล่านั้นได้ ที่มา: Dailymail
-
‘ตู้หยอดเหรียญ’ สัญลักษณ์ของญี่ปุ่น สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่ซ่อนอยู่ในประเทศอย่างไร?
ในประเทศญี่ปุ่น ตู้หยอดเหรียญ เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่ามีอยู่แทบจะทุกที่ในเมืองและขายสินค้าหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น กาแฟ ชา บุหรี่ เบียร์ ซุป ขนมขบเคี้ยว หรือแม้แต่อาหารร้อน ด้วยความสะดวกในการใช้งาน จึงทำให้ประชากรจำนวนมากนิยมมาใช้บริการตู้เหล่านี้ แต่ทว่านอกจากมันจะได้รับความนิยมแล้ว สิ่งนี้สามารถสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของญี่ปุ่นได้อีกหลายๆ เรื่อง เราสามารถเข้าใจสังคมของประเทศนี้ผ่านตู้หยอดเหรียญได้อย่างไรกันบ้าง ลองไปดูกันเลย ค่าแรง William A. McEachern ศาสตราจารย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคอนเนตทิคัต สหรัฐอเมริกา บอกว่า ญี่ปุ่นอยู่ในช่วงประชากรลดลง ผู้อยู่อาศัยจำนวนมากเป็นผู้สูงอายุ และขาดแคลนคนอพยพเข้าเมือง จึงทำให้หาแรงงานได้ยากและค่าแรงงานมีราคาสูง Robert Parry ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์จึงบอกว่า ตู้หยอดเหรียญเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งแม้แต่ร้านค้าปลีกเองก็หันมาใช้ตู้เหล่านี้ เพื่อความสะดวกสบายและไม่จำเป็นต้องจ้างแรงงานเพิ่มเติมใดๆ เลย ความหนาแน่นของประชากรสูง และอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาแพง ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรอย่างมาก ด้วยประชากรราวๆ 127 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในประเทศเล็กๆ ล้อมรอบไปด้วยภูเขาอีกกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้คนกระจายตัวออกไปได้อย่างมาก จนผู้คนกว่า 93 เปอร์เซ็นต์มาแออัดอาศัยกันอยู่ในเมือง เพราะเหตุนั้นราคาของที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ในเมืองจึงมีราคาสูงมาก คนส่วนใหญ่จึงต้องอยู่กันในหอพักเล็กๆ…
-
หนุ่มเอาผ้าโพกหัวแบบคนดำมาเซอร์ไพรส์อาจารย์ ในคาบวิชาสังคมวิทยาจนชาวเน็ตตกหลุมรัก
เรื่องราวอันแสนน่ารักนี้เกิดขึ้นในชั่วโมงเรียนวิชาสังคมวิทยา เมื่อคุณ Doug Engelman อาจารย์จากมหาวิทยาลัย University of Tampa ได้ตั้งคำถามในชั่วโมงเรียนดังกล่าว เกี่ยวกับความแตกต่างของวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ Dylan Romero หนึ่งในนักศึกษาในชั้นเรียนก็ถูกถามเกี่ยวกับผ้าโพกหัวแบบชาวแร็ปของเขา ซึ่งอาจารย์ Doug ก็ได้ถามหนุ่มน้อยเกี่ยวกับผ้าโพกหัวและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร และงานนี้คำตอบที่นักศึกษาวัย 18 ปีตอบนั้นก็เรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆ และชาวเน็ตได้ไม่น้อยเลยทีเดียว “เราพูดกันเกี่ยวกับเรื่องของวัฒนธรรมและเราจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้จากการแต่งกายของพวกเรา และอาจารย์ก็ยกตัวอย่างมาที่ผ้าโพกหัวของผม เขาถามผมว่า ‘นี่ Dylan ผ้าโพกหัวที่เธอสวมน่ะถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของเธอหรือเปล่า??’ ผมก็เลยตอบเขาไปว่า ‘ใช่ครับมันคือวิถีชีวิตของผม’” ชายหนุ่มเล่าถึงเรื่องราวในชั้นเรียนวิชาสังคมวิทยาของเขา และแน่นอนเมื่อวันอังคารที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา ชายหนุ่มก็ได้ถ่ายทอดวัฒนธรรมของเขาให้อาจารย์ดู ชายหนุ่มขอเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อจะทำบางอย่างให้เพื่อนๆ ในชั้นดู Dylan เดินไปที่หน้าชั้นเรียนก่อนที่จะหยิบถุงกระดาษหนึ่งใบที่เต็มไปด้วยผ้าโพกหัวหลากสี เพื่อให้อาจารย์เลือกจากนั้นเขาก็จึงสอนอาจารย์เกี่ยวกับการเป็นแร็ปเปอร์แบบง่ายๆ ด้วยผ้าโพกหัว ทำเอาเพื่อนๆ ในชั้นถึงกับฮาไปตามๆ กัน ไปชมความน่ารักของอาจารย์และหนุ่มน้อยได้ที่คลิปวิดีโอด้านล่างนี้เลย… (ดูไม่ได้กด ที่นี่ นะ) So a few weeks prior, My Professor was teaching us about…
-
แบบนี้ก็มี… “โรงเรียนสอนให้เมียเชื่อฟังผัว” เปิดสอนในจีน สร้างค่านิยมกดขี่ผู้หญิง-โดนสั่งปิด!!
วัฒนธรรมการเหยียดเพศในประเทศจีนยังคงมีอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ด้วยความที่คนบางกลุ่มยึดติดกับการให้ผู้หญิงตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ชาย และพวกเขาก็ถึงกับเปิดโรงเรียนขึ้นมาสอนเรื่องแบบนั้นเลยทีเดียว โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตฟุชุน มณฑลเหลียวหนิง ก่อตั้งเป็นโรงเรียนสอนวัฒนธรรมของจีน และเน้นไปในเรื่องของการให้ผู้หญิงยอมทำตามผู้ชายทุกอย่าง ไม่ว่าสามีของเธอจะบอกว่าอะไร พวกเธอตอบได้แค่ “ค่ะ” เท่านั้นและต้องลงมือทำทันที ในคลิปวิดีโอที่ถูกถ่ายระหว่างการเรียนการสอนภายในสถาบันแห่งนี้ เผยให้เห็นฉากหนึ่งที่ผู้สอนย้ำกับนักเรียนหญิงทุกคนในนั้นว่าการอยู่ร่วมกันกับสามีของพวกเธอคือ “จงพูดให้น้อย แต่ทำงานให้มากกว่าเดิม” นักเรียนทุกคนถูกบังคับให้ฝึกตื่นตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง เพื่อมาทำงานบ้าน ทำอาหารให้กับสามีและครอบครัว โดยจะมีครูฝึกคอยกำกับดูแลอยู่ข้างๆ คลิปการเรียนการสอนให้ผู้หญิงตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ชาย ทุกคนถูกขัดเกลาด้วยความเชื่อหลายๆ อย่าง เช่นห้ามสู้กลับเวลาที่โดนสามีทุบตี การมีเซ็กซ์กับผู้ชายมากกว่า 3 คนในชีวิตจะทำให้พวกเธอตาย หรือแม้แต่การซื้ออาหารจากข้างนอกมาแทนการทำอาหารให้สามีตัวเองเป็นสิ่งที่ผิดหลักคุณธรรม นอกจากนั้นการเสพสื่อทางเพศก็นับเป็นสิ่งที่ผิดมหันต์สำหรับพวกเธอ ในคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่คุกเข่าก้มลงกับพื้นเพื่อขอโทษที่เคยดูหนัง 20+ มาก่อน และบอกว่าเธอจะกลับบ้านไปลบให้หมด ซึ่งทุกคนในคลาสเรียนต่างเห็นด้วยและปรบมือให้กับสิ่งที่เธอทำ โรงเรียนแห่งนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 2011 จนกระทั่งวันที่ 3 ธันวาคม 2017 ทางการของจีนได้สั่งปิดสถาบันดังกล่าว เนื่องจากขัดกับนโยบายคำสอนปัจจุบันในเรื่องของ “หลักคุณค่าของคนในสังคม” เพราะการเรียนการสอนของที่นี่แสดงให้เห็นถึงการบังคับให้ผู้หญิงตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ชายอย่างชัดเจน นับว่าเป็นการเหยียดเพศที่รุนแรงมาก วัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมาย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย…
-
12 ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของเหล่าโจรสลัด ที่ไม่อาจได้เห็นในหนังสือเรียน…
โจรสลัดผู้ออกเดินทางไปทั่วผืนสมุทรเพื่อล่าขุมสมบัตินั้น หากมองดูผิวเผินแล้ววิถีชีวิตของพวกเขาอาจจะดูเข้าใจง่าย เพราะในภาพยนตร์หรือการ์ตูนแทบทุกเรื่องนั้น โจรสลัดก็แค่ล่องเรือ ดื่มเหล้า ร้องรำทำเพลง แล้วก็ปล้นทรัพย์จากเรือลำอื่นๆ แต่จริงๆ แล้วนั่นเป็นเพียงภาพรวมของชีวิตโจรสลัดเท่านั้น หากมองให้ลึกลงไปถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในวิถีแห่งโจรสลัดแล้ว มีวัฒนธรรมหลายอย่างเกี่ยวกับพวกเขาที่คุณยังไม่รู้ และมันก็จะทำให้คุณต้องตะลึงว่ามีวัฒนธรรมแบบนี้อยู่จริงเหรอ 1. ถ้าอยากตายดี อย่าทำต่างหูหาย หากโจรสลัดเสียชีวิตโดยบังเอิญ ต่างหูที่ติดตัวนั้นจะช่วยใช้เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีคนจัดพิธีศพอย่างเหมาะสมได้ ไม่อย่างนั้นก็ตายอย่างศพไร้ญาติไปซะ 2. จงระวังเมื่อเห็นธงสีแดง แน่นอนว่าเมื่อต้องสู้รบกับเรือลำอื่นๆ ไม่ว่าเมื่อไรก็อันตรายทั้งนั้น แต่หากเห็นธงสีแดงอยู่ด้วย มันแปลว่าการสู้รบครั้งนี้อันตรายถึงชีวิต เพราะว่าเรือที่ชูธงดีแดงเหล่านั้นจะไม่จับแบบเป็นๆ แต่จะจับตายเท่านั้น 3. โจรสลัดนี่แหละคือสุดยอดคนชงเหล้า ในเมื่อพวกเขาชอบดื่มเป็นชีวิตจิตใจ แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องชงเหล้ารสเยี่ยมได้เช่นกัน ขอแค่มีเหล้า น้ำ และมะนาว จะแก้วไหนๆ ก็อร่อยได้ 4. น้อยคนนักที่จะฝังสมบัติ ถึงเราจะเข้าใจไปเองว่าโจรสลัดมักมีสมบัติฝังอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขามักจะขโมยอาหาร เหล้า หรืออาวุธจากเรือลำอื่นแทน ถึงจะเอาไปฝังมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรหรอก 5. โจรสลัดไม่ได้มีแต่ผู้ชาย จริงๆ แล้วท่ามกลางเหล่าโจรสลัดก็มีผู้หญิงอยู่มากมาย แถมพวกเธอยังต่อสู้เก่งเหมือนกับโจรสลัดชายด้วย 6. โจรสลัดหนวดดำมีอยู่จริง…
-
รู้จักกับเกาะ Khinu ในประเทศเอสโตเนีย ที่มีแต่ ‘ผู้หญิง’ และยังทำหน้าที่ปกครองเกาะด้วย!!
ห่างออกไปไม่ไกลนักจากชายฝั่งประเทศเอสโตเนีย มีเกาะลึกลับแห่งหนึ่งที่ถูก UNESCO ยกขึ้นเป็นมรดกทางวัฒนธรรม โดยเกาะที่ว่านั้นเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ประเพณี และที่สำคัญก็คือ “ผู้หญิง” Khinu เป็นเกาะขนาดไม่ใหญ่มากนักและยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเอสโตเนีย เกาะแห่งนี้มีประชากรอาศัยอยู่ไม่มาก ซึ่งมีอยู่ราวๆ 400 ครัวเรือนเท่านั้น อ่านแล้วก็คงจะรู้สึกว่าเกาะดังกล่าวคงไม่มีอะไรพิเศษเท่าไหร่ แต่กลับกันมันพิเศษกว่าที่คุณคิดมากๆ เพราะเกาะแห่งนี้ถูกปกครองโดยผู้หญิง!? . คุณอ่านไม่ผิดหรอก เกาะแห่งนี้ถูกปกครองโดยผู้หญิงจริงๆ โดยจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีต เวลาที่เหล่าชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านต้องออกไปหาปลา พวกเขาต้องออกทะเลเป็นเวลาหลายเดือน ด้วยเหตุนี้เหล่าผู้หญิงที่รออยู่ที่ฝั่ง ก็ต้องปกครองและใช้ชีวิตกันเองโดยที่ไม่มีผู้ชาย การตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่าง จึงต้องให้ผู้หญิงเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด ตั้งแต่การค้าขาย การตั้งข้อกฎหมาย ขับรถนักเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย ชาวเกาะ Khinu กล่าวว่า ทุกวันนี้วิถีชีวิตของพวกเขาแตกต่างจากคนที่อยู่ในเมืองเป็นอย่างมาก พวกเธอเลือกจะรักษาขนบธรรมเนียมแบบเก่าของเกาะเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเพลงพื้นบ้าน เสื้อผ้า ประเพณีทุกอย่างล้วนยังอยู่เหมือนเดิม อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่า ตกลงแล้วเกาะนี้ไม่มีผู้ชายอยู่เหรอ ความจริงแล้วบนเกาะก็ยังมีผู้ชายอยู่ แต่พบเห็นได้น้อยมาก เพราะส่วนใหญ่พวกเขาจะออกไปทำงานหรือล่องเรือหาปลากันหมด สุดท้ายแล้ว Mare Matas หัวหน้าชุมชนก็บอกว่า เธอตระหนักทุกวันว่าหากพวกเธอไม่รักษาและดูแลวัฒนธรรมประเพณีให้ดี มันอาจสูญหายไปได้สักวันหนึ่ง แต่การที่มันยังอยู่นั้นก็นับว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ แล้วราวกับเป็นปาฏิหาริย์เลยล่ะ …
-
7 ทางออกปัญหาชีวิตคู่ของญี่ปุ่น แหวกแนวไม่เหมือนที่ไหน จนประเทศอื่นตามไม่ทันแล้ว!!
เมื่อพูดถึงประเทศญี่ปุ่น เราก็มักจะมีหัวข้อต่างๆ มากมายที่หยิบมาพูดเกี่ยวกับประเทศนี้ได้ไม่รู้จบ ด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่จัดว่ามีความโดดเด่นอันดับต้นๆ ในหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมหรือเทคโนโลยี แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นนั้นแปลกกว่าใครและติดอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งนั่นก็คือปัญหาการฆ่าตัวตาย โดยญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายเป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งเหตุผลใหญ่ๆ ก็มักจะมาจากงานและชีวิตคู่ที่มีปัญหา และเมื่อชีวิตคู่มันมีปัญหา ชาวญี่ปุ่นก็ไม่มัวมานั่งคิดหาทางออกแค่ทางเดียว แต่ความหัวใสของพวกเขากลับทำให้เกิดทางออกใหม่ที่ต่อยอดเป็นธุรกิจได้สบายๆ และมันก็แหวกจนน่าสนใจเลยล่ะ เซ็กส์ดอล เซ็กส์ดอลหนึ่งในทางออกยอดฮิตของหนุ่มๆ ที่ล้มเหลวกับความรัก และมักจะเป็นตัวเลือกเป็นอันดับต้นๆ เพราะพวกเขาสามารถเลือกความสวยงามของตุ๊กตาเซ็กส์ดอลได้ตามที่ต้องการ และเธอก็ไม่ร้องขอหรือพูดอะไรกลับด้วย บริการเช่าสัตว์เลี้ยง อีกหนึ่งบริการที่คนเหงาในญี่ปุ่นมักเลือกใช้ เพราะการเลี้ยงสัตว์ในญี่ปุ่นจะต้องมีพื้นที่พอสมควร และบ้านส่วนใหญ่ก็มีพื้นที่ไม่มากพอ ฉะนั้นการเช่าเลี้ยงเพื่อคลายเหงาจึงเป็นอีกหนึ่งทางออกที่น่าสนใจ บริการกอดและคุยเป็นเพื่อน บริการนี้ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องความรักหรือชีวิตคู่ โดยจะเป็นการใช้บริการด้วยการจ่ายข้าวของมูลค่าสูงเป็นการแลกเปลี่ยน โดยบริการนี้มีชื่อเรียกว่า 援助交際 หรือ enjo-kōsai แฟนเสมือนจริง ปัจจุบันเทคโนโลยีเสมือนจริงนั้นมีความก้าวหน้ามาก ฉะนั้นการที่จะเกิดแฟนเสมือนจริงจึงไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่ออีกต่อไป โดยหนุ่มโสดมักจะเลือกใช้วิธีนี้สร้างแฟนในโลกเสมือนจริงผ่าน VR ซึ่งสามารถพาไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ตามแต่ต้องการ โฮสต์คลับ ไม่ใช่เฉพาะหนุ่มๆ เท่านั้นที่ประสบปัญหาความรักจนต้องหาตัวช่วยอื่นๆ สาวๆ ก็เช่นกันเพราะบางครั้งพวกเธอก็เลือกใช้บริการโฮสต์คลับที่ให้บริการเหมือนแฟนจริงๆ แถมยังเป็นหนุ่มหล่ออีก ซึ่งมันก็สามารถคลายปัญหาดังกล่าวได้ส่วนหนึ่งนั่นเอง บริการครอบครัวจำลองเพื่อฝึกฝนการมีครอบครัว คุณฟังไม่ผิดหรอก มันมีบริการนี้จริงๆ โดยบริการดังกล่าวจะให้ผู้ใช้บริการสามารถเช่าสามี…
-
ฝรั่งเขียนบทความ 15 เรื่องแปลกๆ ในประเทศญี่ปุ่น จากมุมมองของคนชาติตะวันตก…
เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ประเทศญี่ปุ่น เคร่งครัดในเรื่องของวัฒนธรรมประเพณีอย่างมากและบางสิ่งก็มีความแตกต่างกับประเทศอื่นอย่างสิ้นเชิง แต่เพราะความไม่เหมือนใครของประเทศนี้บางครั้งก็อาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างถิ่นรู้สึกใช้ชีวิตลำบากกันซะหน่อย โดยเฉพาะชาวตะวันตกทั้งหลายที่กับบางเรื่องพวกเขาถึงกับตกใจในความแปลกเลยทีเดียว นักท่องเที่ยวเหล่านั้นจึงได้รวบรวมความจริงที่พวกเขาคิดว่าไม่มีใครเหมือนของประเทศนี้ เราไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง โรงเรียนเปิดเทอมช่วงเดือนเมษายน . . ที่ญี่ปุ่นสถานศึกษาจะเปิดเทอมแรกในเดือนเมษายนและทุกคนก็ต้องเรียนปีละ 3 เทอมด้วยกัน นอกจากนั้นทุกๆ ปีพวกเขาก็จะได้ย้ายห้องคละคนกันไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้เจอกับเพื่อนใหม่ สอนให้เด็กรู้ว่าเราไม่สามารถอยู่กับสังคมเดิมไปได้ตลอดแต่ต้องรู้จักเข้าสังคมเหมือนกับที่ต้องไปเจอในโลกภายนอก ตุ๊กตาหิมะใช้บอลหิมะ 2 ลูก . เกือบทั้งโลกตุ๊กตาหิมะจะมี 3 ลูกแตกต่างกับญี่ปุ่นที่มีแค่ 2 ลูกตั้งเรียงกัน วัฒนธรรมการตีระฆัง 108 ครั้ง ตามความเชื่อของศาสนาพุทธในญี่ปุ่นตัวเลข 108 คือจำนวนความปรารถนาของผู้คนที่แบ่งออกมาในรูปของสัตว์ต่างๆ ทุกปีตอนเที่ยงคืนของวันที่ 31 ธันวาคมจะมีการตีระฆังเกิดขึ้นตามศาลเจ้าจนครบ 108 ครั้ง เพื่อปลดปล่อยความโชคร้ายและบาปของปีที่ผ่านมาให้หมดไป ผู้พัน Sanders เป็นสัญลักษณ์ประจำวันคริสมาสต์ ผู้พันชื่อดังแห่งร้าน KFC คนนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ในวันคริสมาสต์ของญี่ปุ่น ด้วยเหตุผลที่ว่าหลายครอบครัวจะชอบไปกินไก่ร้านนี้ในวันคริสมาสต์อีฟ ยิ่งไปกว่านั้นหากใครต้องการไปกินในช่วงวันหยุดปีใหม่ พวกเขาอาจต้องจองล่วงหน้านานอย่างต่ำ…
-
ชาวต่างชาติเขียนถึง 11 เรื่องน่าประหลาดใจ ที่ต้องพบเจอเมื่อเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น
“ญี่ปุ่น” เป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมอันแสนหลากหลาย แต่ในขณะเดียวกันก็มีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากๆ ดังนั้น หากใครที่จะเดินทางไปยังประเทศนี้ หรือไม่ว่าจะประเทศไหนๆ ก็ตามคุณควรจะศึกษาวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรมของผู้คนในประเทศนั้นๆ ด้วย ดั่งสำนวนที่ว่า “เข้าเมืองหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” ด้วยกฎระเบียบที่เข้มงวด จึงทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ได้เดินทางไปเยือนญี่ปุ่นรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ดังนั้น เขาจึงได้ออกมาบอกเล่า 11 เรื่องราวที่คุณควรรู้ก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นผ่านทางโลกออนไลน์ ว่าแล้วก็มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง 1. หลีกเลี่ยงเรื่องที่เกี่ยวกับเลข 4 ทั้งหมด ในญี่ปุ่น “เลข 4” คือสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะมันมีการออกเสียงที่คล้ายกับคำว่า “ตาย” เช่นเดียวกับเลข 13 ในวัฒนธรรมตะวันตกที่เป็นเลขอัปมงคล และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นมักหลีกเลี่ยงการใช้เลข 4 ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ หากคุณได้ไปญี่ปุ่นจะสังเกตได้ว่าในบางแห่ง เช่น ลิฟต์ หรือเลขชั้นอาคาร จะไม่มีการปรากฏของเลข 4 เลย 2. ไม่ควรสั่งน้ำมูกในที่สาธารณะ ที่ประเทศญี่ปุ่นการสั่งน้ำมูกในที่สาธารณะไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมเพียงอย่างเดียว แต่มันยังเป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงมากอีกด้วย ดังนั้น หากมีความจำเป็นที่จะสั่งน้ำมูกเราขอแนะนำว่าควรทำให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ 3. การให้ทิปอาจถูกมองว่าเป็นการดูถูก การให้ทิปถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สุภาพ…
-
พิธี Quinceañera การฉลองวันเกิดสาวชาวละตินวัย 15 ปี ที่ครอบครัวต้องเสียสละกับความฟุ่มเฟือย
บนโลกของเรามีวัฒนธรรมประเพณีแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ซึ่งทำให้มีวัฒนธรรมอีกเป็นร้อยๆ แบบที่เราอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน เช่น Quinceañera หรืออีกชื่อคือ Fiesta de quince años ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวละตินอเมริกัน ประเพณีดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้กับเด็กสาวในวันเกิดอายุครบ 15 ปีของพวกเธอ โดยในงานเธอจะได้แต่งตัวราวกับเจ้าหญิงท่ามกลางคนจำนวนมาก ได้เต้นรำกับหนุ่มๆ และมีอาหารมากมายพร้อมกับเค้กก้อนโต แต่งานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นก็ต้องแลกมาด้วยเงินจำนวนมหาศาล ทว่าแทบทุกครอบครัวก็พยายามจัดงานนี้ให้ได้แม้จะต้องทำงานหนักเพื่อเก็บเงินนานเป็นปีก็ตาม ประเพณีที่ว่านี้มีความสำคัญต่อครอบครัวและเด็กสาวมากขนาดนั้นเลยหรือ? คำถามนี้ทำให้ช่างภาพสาวชื่อ Delphine Blast ออกเดินทางไปถึงโคลัมเบีย เพื่อหาคำตอบ นั่นจึงทำให้เธอนำเสนอผลงานที่ให้ทุกคนเห็นระหว่างการจัดงานที่ดูฟุ่มเฟือยกับครอบครัวที่มีฐานะยากจนว่าทั้งสองอย่างนั้นมันขัดแย้งกันมากเพียงใด เธอได้ถ่ายรูปเด็กสาวจำนวน 15 คนในชุดราตรีที่พวกเธอใส่กันภายในงาน เราลองไปดูเรื่องราวส่วนหนึ่งของพวกเธอเหล่านั้นกัน Laura Cristina Zarta เธอเป็นคนที่ชอบเล่นฟุตบอลมากจนได้ไปอยู่ในทีมเยาวชนทีมชาติ และเมื่อโตขึ้น เธออยากเป็นตำรวจสืบสวน พ่อของเธอขายผลไม้ซึ่งเป็นรายรับเดียวภายในบ้าน ทำให้พวกเขาต้องเก็บเงินเป็นเวลาถึง 6 เดือนเพื่อจัดงานนี้ให้กับเธอและผู้คนในงานอีก 200 คน Luna Valentina Arias Beltrán หญิงสาวผู้ฝันจะเป็นนางเอกละครคนนี้ พ่อของเธอเป็นช่างทำรองเท้า ส่วนแม่เป็นคนเก็บขยะมารีไซเคิล…
-
ผลงานสุดล้ำ!!! หากสมมุติว่าความเชื่อแบบไทยไปอยู่ในยุคกรีก-โรมัน ก็คงจะเป็นแนวๆ นี้
ภาพของการถวายขนม น้ำแดง มีธูปเทียน ตุ๊กตาช้างม้าวัวควาย หรือมีผ้าเจ็ดสีพันอยู่รอบๆ คงเป็นเรื่องปกติที่เราสามารถพบเห็นได้ในสังคมไทย จากสื่อต่างๆ ไมว่าจะเป็นข่าวในทีวีหรือหนังสือพิมพ์ รวมถึงโซเชียล โลกออนไลน์เองก็ด้วย ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใหญ่แถวบ้าน จอมปลวก หลักกิโล หมาสามขา วัวสองหัว ทุกอย่างล้วนแล้วแต่สามารถเป็นสิ่งศักดิ์สิทธื์ได้ทั้งสิ้น เพราะมันเกิดจากการผสานกันระหว่างความเชื่อและศาสนาของคน โดยที่บางครั้งก็ไม่สามารถรับรู้เหตุผลได้ว่า ทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงต้องเป็นที่เคารพกันด้วยนะ . “แต่เอ๊ะ เรื่องที่เราเห็นจนชินตาเหล่านี้ มันเกิดขึ้นแค่เพียงภายในประเทศเราหรือเปล่านะ? ประเทศอื่นเขาก็ไม่ได้มีอะไรแบบนี้กันนี่นา ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นเรื่องที่เจ๋งมากเลยน่ะสิ” นี่คือความคิดของหนุ่มวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ใช้ชื่อเฟซบุ๊กว่า Sakkarin Suttisarn เขาจึงได้สร้างผลงานที่มีชื่อว่า Transformation of Object to Worshiping จากความสงสัยที่ว่า ถ้าหากนำความเชื่อไทยสไตล์เหล่านี้ไปรวมเข้ากับ รูปปั้นชื่อดังในโรม อิตาลี หรือที่อื่นๆ แล้ว มันจะออกมาเป็นอย่างไร . ที่เราได้เห็นกันนี้คือการใช้โปรแกรมตัดต่อภาพของวัตถุที่มีผู้คนสักการะ รวมเข้ากับประติมากรรมที่เลือกมาจำนวน 9 แห่ง ในตอนแรกเขาเพียงโพสต์ภาพทั้งหมดลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ก่อนที่มันจะกลายเป็นการจัดแสดงนิทรรศการในรอบ 5 ปีของเขา ร่วมกับศิลปิน Apiwat Singharach ในงานที่มีชื่อว่า…
-
31 สุดยอดภาพชีวิต “วัฒนธรรมย่อย” ของคนที่คิดต่างจากกระแสสังคม ในทั่วทุกมุมโลก
ในโลกนี้มีวัฒนธรรมมากมายที่เรายังไม่เคยรู้จัก โดยเฉพาะวัฒนธรรมย่อยของบางประเทศที่อาจจะไม่ค่อยปรากฏต่อสายตาชาวโลกมากเท่าใดนัก David Tesinsky เกิดที่เมืองปราก ปี 1990 เป็นช่างภาพอิสระ ที่มักนำเสนอเรื่องราวของวัฒนธรรมย่อย วัฒนธรรมในเมือง เรื่องราวบนท้องถนน และเรื่องราวของผู้คนในภาพข่าวทั่วไป รวมทั้งถ่ายภาพสารคดีทางสังคม David เป็นคนชอบนำเสนอมุมมองที่แปลกแยกในสังคม หรือวิถีชีวิตแปลกๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยคุ้นเคย และยังนำเสนอเรื่องราวปัญหาของสังคมในปัจจุบันด้วย สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขาทำงานแนวนี้ เพราะต้องการให้ผู้คนได้ตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว ซึ่งบางอย่างอาจไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร แต่ก็ควรจะรู้เอาไว้ เขาได้เดินทางไปถ่ายภาพวัฒนธรรมย่อยและวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก ตัวอย่างเช่น นักเคลื่อนไหวและคนรุ่นใหม่เพื่ออิสรภาพในอิหร่าน พิธีล้างบาปในเอธิโอเปีย วิถีชีวิต tragi-comic ของนักธุรกิจในญี่ปุ่น การแร็ปของศาสนาใน ดีทรอยต์ นิวยอร์กและบัลติมอร์ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของวิถีชีวิตที่เป็นตำนาน Rastafarian ในจาเมกา ชีวิตของผู้ติดยาเสพติดในเมืองปราก ทหารในยูเครน ชุมชนซาตานในปราก ชีวิตในสลัมของหลายประเทศในเอเชีย และอื่น ๆ อีกมากมาย David ได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อที่จะถ่ายทอดวิถีชีวิตเหล่านี้สู่สายตาชาวโลก แน่นอนว่ามีค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูงมาก แต่เขาก็ยังคงมุ่งมันที่จะทำเพื่อเป้าหมายที่วางไว้ แม้บางครั้งจะต้องนอนใต้สะพานลอยก็ตาม และภาพต่อไปนี้เป็นผลงานส่วนหนึ่งของเขา 1. ภาพชาวอเมริกันในปรากหลังจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง 2. แร็ปเปอร์ในเมืองชิคาโกแสดงความคิดเห็นต่อการเมือง 3. ชาว LGBT ในปราก กับความภาคภูมิใจในความแตกต่าง 4. ภาพแม่ชีจากโปรเจคเสียดสี…
-
ญี่ปุ่นประสบปัญหา “ขาดแคลนช่างตีดาบ” หรือนี่อาจเป็นสัญญานของยุคสมัยที่เปลี่ยนไป!!?
เมื่อพูดถึงดาบ ดาบญี่ปุ่นอย่างคาตานะหรือโนดาจิ คงจะเป็นชื่อดาบแรกๆ ที่อยู่ในหัวของใครหลายคนอย่างแน่นอน และดาบพวกนี้ก็แทบจะเป็นตัวแทนอย่างหนึ่งของวัฒนธรรมญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ทว่าเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ดาบก็กลายเป็นเพียงแค่ของตกแต่งหรือวัตถุโบราณเพียงเท่านั้น เพราะปัจจุบันคงไม่มีใครใช้ดาบในการสู้รบอีกต่อไป ซึ่งนี้อาจจะเป็นสัญญานร้ายของวัฒนธรรมดาบญี่ปุ่นหรือเปล่า? ในปี 1998 ญี่ปุ่นได้มีการเปิดเผยตัวเลขของช่างตีดาบที่ลงทะเบียนกับทางรัฐบาล ซึ่งตอนนั้นมีจำนวนอยู่ราวๆ 300 คน แต่ในปัจจุบันนั้นมีจำนวนนักดาบที่ลงทะเบียนเพียงแค่ 188 คนเท่านั้นและจำนวนก็ดูจะลดลงเรื่อยๆ รวมถึงอายุของช่างตีดาบด้วย Tetsuya Tsubouchi หนึ่งในหัวหน้าสมาคมช่างตีดาบของญี่ปุ่นก็ได้บอกว่า ดาบญี่ปุ่นนั้นไม่เป็นเพียงแค่ดาบเฉยๆ แต่มันยังเป็นจิตวิญญานและวัฒนธรรมหลักของญี่ปุ่นด้วย แต่ในปัจจุบันการจะหาเด็กรุ่นใหม่มาทำต่อมันยากซะเหลือเกิน เขายังบอกอีกว่า การจะมาเป็นช่างตีดาบได้นั้นมันไม่ได้หมายความว่าคุณเปิดดูจากเน็ตแล้วออกไปเหวี่ยงค้อนตี เป้งๆ แล้วก็จะถูกยอมรับเลย เพราะคนอยากเป็นจะต้องไปขอเป็นลูกศิษย์กับช่างตีดาบเสียก่อน แน่นอนว่าลูกศิษย์จะไม่ได้รับเงินค่าจ้างจากการตีดาบหรอกนะ นอกจากการเป็นลูกศิษย์ก็ยังต้องใช้เวลานาน ซึ่งจะอยู่ในช่วงระยะเวลาฝึกราวๆ 5 ปี หรืออาจจะนานกว่านั้น จากนั้นก็ต้องไปสอบการเป็นช่างตีดาบอีก ซึ่งใช้เวลานานถึง 8 วัน และถ้าไม่ผ่านก็ต้องรอการทดสอบอีกครั้งในปีหน้า เพราะจะจัดทดสอบแค่ปีละครั้งเท่านั้น… ยัง ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะหลังจากการสำเร็จการถูกยอมรับแล้ว ใช่ว่าดาบจะถูกซื้อไปทันทีหลังจากตีเสร็จ มันอาจจะไม่ถูกซื้อเลยก็เป็นได้ นอกจากนั้นการจะเปิดร้านตีดาบเป็นของตัวเองก็ต้องใช้เงินมากถึง 10 ล้านเยน…
-
วัฒนธรรมอันแสนหวาดเสียวกับการให้อาหาร “เหล่าไฮยีน่า” ในยามค่ำคืนแบบเม้าท์ทูเม้าท์
แทบจะทุกคนนั้นคงจะรู้จัก ไฮยีน่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่เรามักจะเคยได้ยินมาว่า พวกมันมักจะกินซากศพและอยู่รวมกันเป็นฝูง จึงทำให้มองได้ว่ามันเป็นสัตว์ที่ดุร้าย แล้วถ้าสัตว์ที่เราคิดว่ามันไม่เป็นมิตร แต่กลับมีคนคอยไปให้อาหารมันทุกคืนล่ะ กลุ่มคนเหล่านี้มีอยู่จริงในเมืองกำแพงอันเก่าแก่ที่มีชื่อว่า Harar ในเอธิโอเปีย ซึ่งตามประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ได้มีส่วนหนึ่งที่กล่าวถึงไฮยีน่ามาอย่างยาวนานนับศตวรรษ โดยได้มีคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นถึงการให้อาหารที่นอกจากจะให้ผ่านมือแล้วนั้น ก็มีที่ใช้ปากคาบเนื้อสดๆ ป้อนเจ้าไฮยีน่า และเมื่อศึกษาลงไปจากแหล่งข้อมูลในท้องที่เหล่านั้นแล้วก็พบว่ากลุ่มผู้กล้าเหล่านี้ได้คอยให้อาหารไฮยีน่าตามชานเมืองมาเป็นเวลาประมาณ 60 ปีเลยทีเดียว ไกด์ที่เป็นคนท้องถิ่นชื่อว่า Hailu Gashaw ได้บอกกับนักท่องเที่ยวจาก National Geographic ว่า ย้อนกลับไปใน ค.ศ.1550 ได้มีความเชื่อที่ว่าผู้คนในเมืองนี้อยากให้ไฮยีน่าเข้ามาในเมืองด้วยเพราะว่าพวกมันจะช่วยในการกำจัดเศษซากทางการเกษตร และทำให้เมืองสะอาดสะอ้านเพื่อสุขอนามัยของแหล่งที่อยู่อาศัย ปัญหาที่เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียวคือเมื่อมีไฮยีน่าป่า เข้ามาทำความเสียหายให้กับพื้นที่ปศุสัตว์ของชาวบ้านในบางคืน จึงทำให้การให้อาหารไฮยีน่ารอบชานเมืองเริ่มจากจุดนั้น เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหามาจนถึงปัจจุบัน เพื่อแน่ใจว่าเจ้าไฮยีน่าจะไม่ไปทำร้ายผู้คน กลุ่มคนที่ให้อาหารจึงจะเดินรอบๆ เมืองและร้องเรียกเหล่านักล่าให้ออกมากินอาหารจากมือหรือปากของพวกเขาเองทุกๆ คืน ซึ่งแน่นอนว่าการที่ต้องเจอไฮยีน่ารุมเข้ามาเป็นฝูงกว่า 30 ตัวคงจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวเอามากๆ แต่เพื่อการใช้ชีวิต มันจึงเป็นเรื่องจำเป็น คลิปวิดีโอการให้อาหารเหล่าไฮยีน่าในยามค่ำคืน Mulugeta Wolde-Mariam และ Abbas Yusuf คือคนที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมที่น่าเหลือเชื่อนี้ไว้อยู่ โดยในปัจจุบันได้มีการแสดงเพื่อความบันเทิงเพื่อหารายได้จากนักท่องเที่ยวอีกด้วย หรือในบางครั้งก็จะชวนให้นักท่องเที่ยวได้ลองให้อาหารเหล่าไฮยีน่าเองกับมือ แต่ก็นะไม่ใช่ว่าทุกคนจะกล้าทำอย่างนั้นหรอก นี่อาจเป็นความตื่นเต้นหวาดเสียวที่หลายคนชื่นชอบ แต่ยังไงก็อย่าไปลองเอาเองที่บ้านเชียว…
-
คู่รักชาวซิกข์ ถูกปฎิเสธไม่ให้รับ “ลูกบุญธรรม” ที่เป็นคนผิวขาว แถมไล่ให้ไปรับจากอินเดียแทน
ทุกวันนี้การเหยียดเชื้อชาติ สีผิวและศาสนาถูกต่อต้านจากผู้คนจำนวนมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังคงมีหลายๆ ประเทศที่มีความขัดแย้งในเรื่องนี้อยู่ อย่างกรณีของ Sandeep และ Reena Mander คู่รักชาวซิกข์ จากอังกฤษ อาศัยอยู่ใน Berkshire ที่ถูกปฏิเสธไม่ให้รับเด็กเลี้ยงทารกผิวขาว เพียงเพราะวัฒนธรรม และให้ไปรับเด็กจากอินเดีนมาเลี้ยงแทน ทั้งคู่เป็นนักธุรกิจและได้บอกหน่วยงานการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมว่าพวกเขาพร้อมและยินที่จะรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมจากทุกเชื้อชาติ หลังจากที่ตรวจสอบประวัติแล้ว ทั้งคู่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมทุกประการ แต่ทางหน่วยงานบอกว่ายกเว้นเด็กผิวขาวที่พวกเขาไม่สามารถรับเลี้ยงได้ ทางด้าน Adopt Berkshire หน่วยงานที่ดำเนินการโดย Royal Borough of Windsor และ Maidenhead บอกว่าพ่อแม่ชาวอังกฤษหรือยุโรปต้องรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมที่มีเชื้อชาติเดียวกันเท่านั้น สำหรับคู่รัก Mander นั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับอินเดียเลย แค่นับถือศาสนาซิกข์ พวกเขาคิดว่ามันเป็นการเลือกปฏิบัติในการให้บริการ ดังนั้นทั้งคู่จึงตัดใจดำเนินคดีกับหน่วยงานดังกล่าว Reena พยายามตั้งครรภ์ตลอด 7 ปี และเข้ารับการ IVF อีก 16 ครั้ง แต่ก็ไม่สามารถมีลูกได้ ก็เลยตกลงกับสามีว่าจะรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมโดยไม่เกี่ยงเชื้อชาติ เพราะทั้งคู่อยากมีลูกจริงๆ Sandeep บอกว่า “เราตั้งใจจะรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม แต่กลับถูกปฏิเสธ ไม่ใช่เพราะเรื่องความพร้อมของครอบครัวแต่เป็นเพราะเรื่องวัฒนธรรมของเรา พวกเขาเลยให้รับเลี้ยงเด็กผิวขาวแต่ให้ไปรับจากอินเดียหรือปากีสถานแทน” …
-
การตกแต่งโลงศพจากประเทศกาน่า เพื่อบ่งบอกถึง ‘ไลฟ์สไตล์’ ของผู้ตายครั้งยังมีชีวิตอยู่…
‘โลงศพ’ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในงานศพอย่างหนึ่ง และอาจจะเป็นสิ่งที่มีราคามากที่สุดในงานศพด้วยซ้ำไป จะเรียกได้ว่าเป็นบ้านหลังสุดท้ายที่เราจะต้องลงทุนซื้อเพื่อเข้าไปอยู่ในนั้นก็ได้เลยล่ะ ซึ่งลักษณะของโลงศพส่วนใหญ่นั้นจะมีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือไม่ก็เป็นทรงห้าเหลี่ยมยาวๆ ดูเรียบง่ายและเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ตายด้วย แต่สำหรับวัฒนธรรมของผู้คนที่อยู่ในตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศกาน่านั้น มีรูปแบบโลงศพที่แปลกและหลากหลายเหลือเกิน ด้วยวัฒนธรรมที่ว่าโลงศพควรจะสะท้อนถึงผู้ใช้ว่าตอนมีชีวิตอยู่เขาเป็นคนอย่างไร หรือทำอาชีพอะไร!? อย่างเช่นถ้าเป็นชาวประมงโลงศพก็จะเป็นรูปปลาอย่างที่เห็น และคนนี้อาจจะมีชื่อว่า Falcon หรือไม่ก็ Eagle บางคนอาจจะชื่นชอบเครื่องบินมากๆ ก็เลยนอนอยู่ในโลงเครื่องบิน ส่งผลให้การทำโลงศพในรูปแบบต่างๆ นี้ ถือว่าเป็นงานฝีมืออย่างหนึ่งเลยล่ะ คนนี้อาจจะเป็นเกษตรกร เพราะมีลักษณะคล้ายผลไม้ อาจจะเป็นคนเลี้ยงนกก็ได้นะ ตั้งแต่ที่โลงศพเหล่านี้ถูกนำไปเปิดเผยให้ชาวยุโรปได้รับรู้ ก็ทำโลงศพเหล่านี้ถูกนำไปจัดโชว์ในพิพิธภัณฑ์ Musée National d’Art Moderne ที่อยู่ในกรุงปารีสด้วยล่ะ . ร้านรับทำโลงศพ เปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้วยนะ นอกจากจะทำเป็นโลงศพแล้วยังแกะสลักไม้ให้เป็นผลงานน่ารักๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวซื้อกลับไปเป็นของที่ระทึก เอ้ย ที่ระลึกด้วย . แหม่ มาเป็นถุงปุ๋ยเชียว . โลงศพขนาดจิ๋ว …
-
ความเชื่อดั้งเดิมของชาวจีน กับประเพณี ‘เท้าดอกบัว’ ที่ใกล้จะหายไปจากโลกนี้แล้ว!!
บนโลกของเรานั้นมันช่างกว้างใหญ่ซะเหลือเกิน ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ผู้คนทั้งโลกดำเนินชีวิตเหมือนกันไปซะทั้งหมด สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันก็ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนมีความหลากหลาย สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมวัฒธนธรรมความเชื่อในเรื่องของความงามของหญิงจีนแบบโบราณ ต้องขอบอกเลยว่ามันเป็นอะไรที่แปลกมากๆ เลยล่ะ ตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวจีนโบราณจะมีประเพณีที่ชื่อว่า ‘Lotus Feet’ หรือ เท้าดอกบัว ผู้หญิงจีนจะต้องนำผ้ามามัดเท้าของตัวเองอย่างหนาแน่นตั้งแต่ช่วงวัยเจริญเติบโต คือ 4-9 ขวบ เพื่อให้เท้าของพวกเธอมีขนาดเล็ก เพราะเชื่อว่ามันคือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความงดงาม และฐานะทางสังคม ประเพณีนี้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในประเทศจีนเมื่อช่วงยุคก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่ภายได้ถูกยกเลิกออกไป และรัฐบาลจีนก็ได้ทำประกาศว่ามันผิดกฎหมายในปี 1911 ปัจจุบันยังคงหลงเหลือชาวบ้านที่ยังคงดำเนินตามแบบแผนของวัฒนธรรมโบราณนี้อยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น และเท้าของพวกเธอแต่ละคนก็จะมีรูปร่างที่แปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด นิ้วเท้าจะงอม้วนเข้าหาตัว และกระดูกมีรูปร่างที่แปลกประหลาด เพราะถูกรัดเอาไว้จนทำให้เจริญเติบโตผิดรูปร่าง และนี่ก็คือภาพถ่ายของคุณยายทั้งหลายในเมือง Biejie ที่เป็นกลุ่มสุดท้าย ที่ยังคงรักษาประเพณีความเชื่อดั้งเดิมนี้อยู่ . . . . . . . ที่มา : dailymail
-
ตามติดชีวิต “ชนเผ่าซูริ” แห่งเอธิโอเปีย ใช้วัวเป็นทรัพย์สิน และเจาะร่างกายเพื่อความงาม
ชนเผ่าเอธิโอเปียที่อยู่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้ สมาชิกในเผ่าจะต้องผ่านพิธีกรรมอย่างการเจาะปากแล้วนำแผ่นหินมาสอด หรือการต่อสู้ด้วยกระบองไม้ที่โหดเหี่ยม Mario Gerth ช่างภาพชาวชาวเยอรมันวัย 40 ปี ได้เดินทางไปที่หมู่บ้านของชนเผ่าซูริ และเก็บภาพของคนในเผ่ารวมถึงเล่าถึงความเป็นอยู่ที่น่าสนใจของพวกเขามาให้พวกเราได้ชมกัน ชนเผ่าซูริ อาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบทางตะวันตกเฉียงใต้ของเอธิโอเปีย ซึ่งพวกเขามีความภูมิใจในเรื่องของพิธีกรรมและรอยแผลเป็นของพวกเขามากๆ หญิงสาวชาวซูริ จะใช้ผิวของตัวเองเป็นที่แสดงถึงศิลปะและความสวยงาม พวกเธอจะสักร่องรอยต่างๆ ลงบนร่างกาย ตกแต่งด้วยเครื่องประดับจากธรรมชาติ เช่น หมวกจากดอกไม้และต้นหญ้า ส่วนหญิงสาวที่มีอายุถึงกำหนด พวกเธอจำเป็นจะต้องเจาะใต้ปากเพื่อที่จะจัดแผ่นหินลงไปได้ ที่สำคัญจำเป็นจะต้องถอนฝันหน้าสองซี่ออกไปด้วย ในส่วนขนาดของแผ่นหิน ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ พ่อของพวกเธอก็จะสามารถเรียกร้องวัว มาเป็นสินสอดได้เยอะยิ่งขึ้นในตอนที่พวกเธอหมั้นหมาย . ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมถึงต้องใช้วัวเป็นสินสอด ก็เพราะว่า สำหรับเผ่าซูริแล้ว วัวนับเป็นเครื่องแสดงฐานะและทรัพย์สินอันมีค่า หากบ้านไหนมีวัวมาก นั่นก็หมายถึงความร่ำรวยนั่นเอง ผู้ชายในเผ่าปกติแล้วจำเป็นจะต้องมีวัวในครอบครองราวๆ 30-40 ตัว แต่ว่าชายที่จะแต่งงานได้จำเป็นจะต้องมีวัว 60 ตัวขึ้นไป เพื่อใช้วัวส่วนหนึ่งในการมอบให้กับครอบครัวของเจ้าสาว Mario บอกว่า ความภาคภูมิใจของชนเผ่านั้นจะขึ้นอยุ่กับรอยแผลเป็นที่พวกเขาสามารถมีได้ โดยพวกผู้หญิงในเผ่าจะใช้ใบมีดโกนในการสร้างบาดแผลให้กับตัวเอง และตรงจุดนั้นก็จะกลายเป็นแผลเป็น ที่กลายเป็นความภาคภูมิใจของพวกเธอนั่นเอง …
-
‘พิธีศพแห่งท้องฟ้า’ กับความเชื่อว่า ‘อีแร้ง’ จะช่วยพาร่างกายของผู้ตายไปสู่สวรรค์…
บนโลกที่แสนกว้างใหญ่ใบนี้มีความแตกต่างกันอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็น ชาติพันธุ์ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เกิด ประเพณี ความเชื่อ ที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งมันก็ส่งผลไปถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่อยู่อาศัยในแต่ละพื้นที่ด้วย ในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับพิธีกรรมงานศพของชาวธิเบตกัน ที่ช่างแตกต่างกับเมืองไทยซะเหลือเกิน จะเป็นอย่างไรบ้างลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… พิธีศพแห่งท้องฟ้าเป็นพิธีศพที่ทำกันอย่างแพร่หลายในประเทศทิเบต ศพของผู้ตายจะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปวางบนยอดเขาเพื่อให้อีแร้งบินลงมากิน พิธีกรรมนี้ชาวธิเบตเรียกว่า Jhator หมายความว่า ‘การมอบทานให้แก่นก’ ชาวธิเบตส่วนใหญ่นั้นนับถือศาสนาพุทธ ทำให้พวกเขาเชื่อในเรื่องของ ‘โลกหน้า’ ร่างกายอันไร้วิญญาณของเราเป็นเพียงแค่ภาชนะอันว่างเปล่าเท่านั้น ฉะนั้นการที่นกจะมาจิกกิน หรือให้มันย่อยสลายไปตามธรรมชาติ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดต่อหลักจริยธรรมแต่อย่างใด แต่เนื่องจากพื้นดินในประเทศธิเบตนั้นมีความแข็ง ทำให้การขุดหลุมฝังศพนั้นกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก จึงทำให้รูปแบบงานศพออกมาเป็นพิธีศพแห่งท้องฟ้า ในช่วงพิธีศพก็จะมีการประดับประดาธงรูปแบบอย่างที่เห็นนี้เอาไว้ เพื่อเป็นการสวดภาวนาขอให้ผู้ตายไปสู่สุขติ สัปเหร่อจะเป็นผู้ทำพิธีผ่าศพ และจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับศพ (ในภาพเขากำลังลับมีดอยู่) พิธีศพของชาวธิเบตนั้นเริ่มต้นเมื่อช่วงศตวรรษที่ 7 เมื่อพิธีกรรมเริ่มขึ้นพื้นที่ที่ถูกจัดพิธีกรรมจะอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของธูปและกำยาน เพื่อเป็นการนำดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่สวรรค์ ศพของผู้ตายจะถูกวางเอาไว้ในสถานทำพิธี จากนั้นสัปเหร่อจะทำการหั่นศพให้เป็นชิ้นๆ ให้กับเหล่าอีแร้งที่ถูกเรียกว่า ‘เหยี่ยวศักดิ์สิทธิ์’ ชาวธิเบตเชื่อว่าอีแร้งเหล่านั้นจะช่วยพาร่างของผู้ตายขึ้นไปสู่สวรรค์ และสัปเหร่อก็จะได้รับค่าจ้างประมาณ 100…
-
ชาวเกาะ Foula อันห่างไกล ฉลองคริสต์มาสช้ากว่าชาวโลก 2 สัปดาห์ ตามปฏิทินเก่าแก่…
ประชาชนผู้อาศัยอยู่บนเกาะ Foula เป็นหนึ่งในหมู่เกาะ Shetland ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเขตสกอตแลนด์ มีประชากรทั้งหมดประมาณ 30 คน และพวกเขากำลังจะฉลองวันคริสต์มาสกันในวันที่ 6 มกราคม ตามวันเวลาท้องถิ่น และงานเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ ก็จะถูกจัดขึ้นในอาทิตย์ถัดไปซึ่งก็คือวันที่ 13 มกราคมนั่นเอง ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าประชาชนของที่นี่นั้นยึดวันที่ตามปฏิทินเก่าแก่จูเลียนเป็นหลัก โดยจะจัดงานเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสต์ (Yule) ในวันที่ 6 และวันปีใหม่ (Newerday) ในวันที่ 13 ของเดือนมกราคมในทุกๆ ปี โดยชุมชนนี้มีความเชื่อและปฏิบัติตามวัฒนธรรมของชาว Norse อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นงานเทศกาลต่างๆ ดนตรี และในด้านคติชน (ตำนาน นิทาน นิยายประจำถิ่น เพลง สำนวนภาษิต คำพังเพย ยาพื้นบ้าน อาหารการกิน ประเพณี และพิธีกรรม) พวกเขาจะทำการกำหนดบ้านไว้ 1 หลัง เพื่อที่จะใช้จัดงานเฉลิมฉลอง และชาวบ้านทุกคนก็จะไปร่วมงานกันที่นั่น มีทั้งการแลกของขวัญกันในตอนกลางวันจากนั้นก็จะแยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อไปเปิดของขวัญที่ได้มา พอตกดึกก็จะมีงานเลี้ยงที่บ้านหลังเดิม …
-
ช่างภาพออกเดินทางไปรอบโลก เพื่อศึกษาว่าผู้คนท้องถิ่นทานอะไรเป็นอาหารกันบ้าง!?
ว่ากันด้วยเรื่องของอาหารแล้ว เราจะรู้กันดีว่ามันมีอยู่มากมายหลายชนิดหลายประเภทแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ นั่นหมายความว่าคนในแต่ละพื้นที่ก็จะทานอาหารที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่นคนไทยชอบทานข้าวราดแกง (แกงราดข้าว) รสชาติจัด คนอเมริกาก็อาจจะทานสเต็กร่วมกับสลัด และคนจีนชื่นชอบการทานอาหารที่เป็นเส้น เป็นต้น ในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมกันว่าชาวบ้านธรรมดาๆ ในแต่ละประเทศเขาทานอาหารอะไรกันบ้าง แล้วแต่ละอย่างจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… ช่างภาพชาวอเมริกัน Peter Menzel ได้ออกเดินทางไปรอบโลกเพื่อศึกษาว่าผู้คนท้องถิ่นในแต่ละประเทศนั้นทานอะไรกันเป็นอาหารบ้าง? พร้อมกับทำเป็นหนังสือรวมภาพออกมาชื่อว่า What I Eat: Around the World in 80 Diets แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้อย่างชัดเจน ในด้านของคุณภาพความเป็นอยู่ของชีวิต เครื่องแต่งกาย วัตถุดิบต่างๆ เป็นต้น 1. Saleh Abdul Fadlallah นายหน้าขายอูฐจากเมืองไคโรประเทศอียิปต์ อาหารที่เขาทานนั้นให้พลังงาน 3,200 แคลอรีต่อวัน 2. Robina Weiser-Linnartz คนทำเบเกอรี่ จากเมืองโคโลญ ประเทศเยอรมัน อาหารที่เธอทานนั้นให้พลังงาน 3,700 แคลอรีต่อวัน 3. Conrad Tolby…
-
พาไปดู 8 ค่านิยมความงามจากรอบโลก ต่างจากไทยบ้าง ก็อยากให้ลองดูกัน!!
ถ้าหากว่าเราได้ถกเถียงกันเรื่องความสวย ความงาม หรือ ความสมบูรณ์แบบล่ะก็ เชื่อว่าคงไม่มีวันได้คำตอบที่พร้อมจะฟันธงว่าอะไรสวยที่สุดแน่นอน เพราะเรื่องของความสวยงาม คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามเชื้อชาติ วัฒนธรรม ประเพณี หรือแม้กระทั่ง รสนิยมส่วนบุคคล #เหมียวบ็อบ ขอพาไปรู้จักกับค่านิยมด้านความงาม ที่มันช่างแตกต่างซะจนคนไทยอย่างเราๆ ไม่คุ้นชินเอาซะเลย…. 1. ฟันซ้อนของสาวๆ ในญี่ปุ่น (Yaeba) Yaeba คือสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเป็นศิลปะที่จะมอบความงามให้แก่สาวๆ ด้วยการทำให้ฟันซ้อนนั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นที่นิยมอย่างมากในญี่ปุ่นเลยทีเดียว เพราะถ้าหากสาวคนไหนที่มีฟันแบบนี้ละก็ จะทำให้ดูน่ารักและเยาว์วัยไปอีกหลายปี แถมหนุ่มๆ ยังชอบอีกด้วย 2. ระเบิดหูในแอฟริกา แฟชั่นการระเบิดหูอาจดูธรรมดาไปแล้วในบ้านเรา แต่สำหรับที่แอฟริกานั้นแตกต่างออกไป เพราะอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับถ่วงใบหูทำมาจาก หิน หรือ เครื่องเพชรพลอยที่มีขนาดหนัก สะท้อนความเชื่อที่ว่าหากมีรูหูที่ใหญ่ และยาน มากเท่าใด เท่ากับว่าคนนั้นได้อยู่ในชนเผ่ามามานานมากเท่านั้น 3. ระเบิดริมฝีปากในแอฟริกา นอกจากจะระเบิดหูให้มีขนาดใหญ่แล้ว บางชนเผ่าในแอฟริกาหรือแถบอเมซอน ก็มีค่านิยมความงามอีกอย่างคือการระเบิดปาก เมื่อหญิงสาวเริ่มมีประจำเดือน ฟันสองซี่ด้านล่างสุดในปากจะถูกถอดออก และแทนที่ด้วยแผ่นไม้กลมๆขนาดใหญ่ แถมยังมีการเปลี่ยนขนาดของแผ่นไม้ให้มากตามอายุขัยอีกด้วย 4. บั้นท้ายสุดสะบึ้มของสาวๆ ในแถบอเมริกา ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ากระแสบั้นท้ายสุดสะบึ้มนี้เริ่มมาจาก Kim Kardashian…
-
ส่องชีวิต “มนุษย์กล่อง” มุมมองอีกด้านหนึ่งของญี่ปุ่น ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็น
เรารู้จัก “ญี่ปุ่น” ในฐานะที่เป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทั้งในด้านสังคม รวมไปถึงเทคโนโลยีต่างๆ อีกทั้งประเทศญี่ปุ่นยังมีเอกลักษณ์ และมีวัฒนธรรมที่แสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้น จึงทำให้คนส่วนใหญ่มองเห็นแต่ความเจริญก้าวหน้าของประเทศนี้ ในขณะเดียวกัน แม้จะเป็นประเทศที่ถูกยกย่องว่ามีความเจริญก้าวหน้า ผู้คนสมัครสมานสามัคคี แต่ประเทศญี่ปุ่นก็จะต้องเผชิญกับปัญหาเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ เหมือนกันนั่นก็คือ “กลุ่มคนไร้บ้าน” นั่นเอง และในวันนี้เหมียวขี้อ้อน จะพาคุณไปชมภาพของคนไร้บ้าน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งก็คือ “มนุษย์กล่อง” ณ สถานีรถไฟชินจูกุ ในกรุงโตเกียว ช่างภาพที่ใช้ชื่อในโลกออนไลน์ว่า RobertAMcClellan ได้เข้าไปทำการเก็บภาพของบุคคลเหล่านี้ และมานำเสนอผ่านโลกออนไลน์เพื่อให้หลายคนได้รู้จักโลกในอีกแง่มุมหนึ่ง สำหรับภาพของคนไร้บ้าน ที่อาศัยอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น สามารถสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสังคมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งทางภาครัฐก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ด้วยระยะเวลาอันสั้นได้ ดังนั้น ทางรัฐบาลจึงต้องมีการกำหนดมาตรการต่างๆ ขึ้นมาเพื่อควบคุมให้คนกลุ่มนี้มีระเบียบมากขึ้น เช่น จัดระบบที่อยู่ให้ และไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนทั่วไป, ถูกบังคับให้หางานทำ ซึ่งก็หนีไม่พ้นการเก็บขยะ, ไม่ได้รับอนุญาตให้พูดชื่อ-นามสกุลจริง รวมไปถึงสาเหตุที่มาเป็นมนุษย์กล่อง เพราะหลังจากที่หลุดจากสถานะนี้ จะได้ไม่เป็นปัญหาในอนาคต เป็นต้น เมื่อลองเทียบพฤติกรรมการ และวิถีชีวิตของคนปกติทั่วไป และของคนไร้บ้าน เรียกได้ว่ามันช่างแตกต่างกันซะเหลือเกิน เราจะได้เห็นว่าคนกลุ่มนี้ ได้สร้างบ้านที่ทำขึ้นมาจากกระดาษลัง…
-
7 ความเชื่อแปลกๆ ของชนเผ่าจากทั่วโลก ที่เปลี่ยน ‘ร่างกาย’ ของตัวเองให้ดูประหลาดไป
บนโลกของเราเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย และแน่นอนว่าในแต่ละพื้นที่ก็มีวัฒนธรรมและความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย และในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมประเพณีของชนเผ่าจากทั่วโลกที่มีการทำให้ร่างกายของตัวเองให้มีรูปร่างแปลกๆ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ลองไปชมกันได้ที่ข้างล่างนี้ได้เลย… 1. การเจาะและขยายริมฝีปากด้วยสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายจาน ที่พบในได้ในบางพื้นที่ของประเทศในแถบ แอฟริกา และ อเมริกาใต้ ความเชื่อนี้มีมาตั้งแต่ 8,700 ปีก่อนคริสตกาล และตอนนี้ก็ยังมีให้เห็นอยู่ในชนเผ่า Mursi ในประเทศ เอธิโอเปีย ด้วยการเจาะริมฝีปากข้างบนแล้วค่อยๆ ขยายด้วยการใส่จานแบนๆ เข้าไป ซึ่งก่อนหน้านั้นก็จะต้องถอนฟัน 2 ซี่หน้าออกไปด้วย โดยเจ้าจานนี้จะบ่งบอกถึงสถานะทางสังคมของบุคคลผู้นั้น 2. กระโหลกที่ยื่นออกมา อาจจะฟังดูน่ากลัวแต่ใช้เวลาทำเพียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น พิธีกรรมนี้สามารถพบได้ใน เปรู อิรัก และอียิปต์ เป็นพิธีกรรมที่พบเมื่อ 1,000 ปีก่อน โดยเริ่มทำตั้งแต่ยังเป็นทารกขณะที่กระโหลกยังไม่แข็งแรง ด้วยการนำเชือกมามัดที่หัวให้แน่น เพื่อบ่งบอกถึงสถานะทางสังคม 3. การรัดเต้านมในแคเมอรูน การหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเต้านมนี้ ทำให้ดูไม่เหมือนผู้หญิง และทำให้ผู้หญิงไม่ตกเป็นที่สนใจของเหล่าผู้ชายทั้งหลาย ซึ่งวิธีการทำของมันนี่ต้องขอบอกไว้เลยว่าน่ากลัวมากๆ พวกเขาใช้ไม้พายร้อนๆ และครกเพื่อละลายไขมันที่หน้าอกและทำให้มันแบน ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพมากมาย ทั้งมะเร็งเต้านม ซีสต์ และปัญหาในการให้นมเด็กทารก…
-
โหดสึสรัสเซีย…ชม 27 ภาพเหตุการณ์ ที่สามารถพบเจอได้ทั่วไปใน ‘ประเทศรัสเซีย’ เท่านั้น
เมื่อกล่าวถึงประเทศ ‘รัสเซีย’ แล้วเพื่อนๆ หลายคนก็คงจะรู้ว่าที่นี่เป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างขวางมากที่สุดในโลก ซึ่งทำให้มีผู้คนมากหน้าหลายตาอาศัยอยู่ที่นี่ แถมยังขึ้นชื่อเรื่องอากาศที่เย็นยะเยือก และเหล่าหมี ทั้งหลาย วันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมเหตุการณ์ต่างๆ ที่ขอบอกไว้เลยว่าสามารถพบเจอได้ในประเทศรัสเซียเท่านั้น ฮร่า… 1. เป็นเรื่องปกติมากถ้าใครจะเล่นกับเจ้าหมีตัวโต 2. เสื้อโค้ทหนาๆ แบบนี้จะช่วยให้อบอุ่นท่ามกลางสภาพอากาศที่โหดร้ายในประเทศรัสเซียได้ 3. ทรงผมที่ดูน่ากลัวพอๆ กับปืนอาก้าที่เขากำลังถืออยู่ 4. รถถังยังมีปัญหากับกฎหมายจราจร 5. แก้วช็อตมันไม่ทันใจ 6. สรุปแล้วเอ็งตกปลาเก่งหรือยิงปืนแม่น!? 7. คนรัสเซียมีชั้นผิวหนังที่หนามากๆ 8. มีขนมอร่อยๆ ให้เจ้าสาวทานหลังงานแต่งงาน 9. กองขยะสุดเซ็กซี่ 10. การไปเที่ยวทะเลพร้อมกับชมวิวของเรือดำน้ำไปด้วย 11. ดูเหมือนชายหนุ่มคนนี้จะไม่อายใครเลยนะ ฮร่า 12. นอนเล่นกับเจ้าปลาเพื่อนรัก …
-
แค่ ‘ข้าวเหนียวมะม่วง’ ก็ดราม่าได้ โผล่กระทู้จวกคนยุคใหม่กินข้าวเหนียวมะม่วงแบบผิดๆ
สุดยอดของหวานแบบไทยๆ เนี่ย #เหมียวเลเซอร์ ขอยกให้กับ ‘ข้าวเหนียวมะม่วง’ เลย นึกถึงเนื้อมะม่วงสุกสีเหลืองอร่ามน่ารับประทาน มาพร้อมกับข้าวเหนียวมูนราดกะทิ หู้ยยยย แค่คิดภาพตาม กลิ่นหอมๆ นี่เข้ามาแทรกในสมองทันที แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป จึงทำให้วัตถุดิบการทำ ข้าวเหนียวมะม่วง เปลี่ยนไปเช่นกัน จากที่แต่ก่อนเคยใช้มะม่วงอกร่องกับข้าวเหนียวมูน เปลี่ยนมาใช้ มะม่วงน้ำดอกไม้แทน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ถึงกับผิดหลักอะไรมากมาย มันก็เป็นมะม่วงเหมือนกันนั่นแหละ จู่ๆ ก็มีกระทู้ในพันทิปโผล่ขึ้นมาจวกคนรุ่นใหม่ว่าที่เห็นๆ ข้าวเหนียวมะม่วงน้ำดอกไม้ วางขายกลาดเกลื่อน แล้วมีคนซื้อมากินด้วยเนี่ย มันผิดไปจากเมนูที่บรรพบุรุษได้ทำการคัดสรรเอาไว้ ส่งผลทำให้สูญเสียวัฒนธรรมการกินกันเลยทีเดียว!! มะม่วงอกร่อง + ข้าวเหนียวมูน = ข้าวเหนียวมะม่วงของแท้? ตามเนื้อหาภายในกระทู้บอกว่า มะม่วงอกร่องนั้นมีขนาดที่พอดี เสี้ยนน้อย และมีรสชาติอันหอมหวานขึ้นจมูก ส่วนมะม่วงน้ำดอกไม้นั้นมีขนาดผลที่โตและเนื้อเยอะก็จริง แต่เนื้อไม่หอมและหวานเท่ามะม่วงอกร่อง ทำให้ขาดเสน่ห์ตรงนี้ไป พอชาวเน็ตได้มาเห็นข้อความดังกล่าวที่ว่า ‘สูญเสียวัฒนธรรมการกิน’ ต่างก็ออกความเห็นว่ามันถึงกับขนาดนั้นกันเลยเหรอ เพราะเพียงแค่เปลี่ยนพันธุ์ของมะม่วงที่นำมาใช้แค่นั้นเองหรือ? อีกทั้งในปัจจุบันมะม่วงอกร่องก็หายาก แถมมีราคาแพงอีกต่างหาก …
-
เรื่องราวของ CEO Japan Airline ผู้สมถะ นั่งรถเมล์ไปทำงาน รับเงินเดือนน้อย แต่งตัวธรรมดา!!
คำว่า CEO (ซีอีโอ) มักจะเป็นคำเรียกของตำแหน่งอันใหญ่โตในบริษัททั้งหลาย ภาพลักษณ์ที่ติดตาเลยก็คือจะต้องเป็นผู้ที่ดูดีเนื่องจากเป็นถึงผู้บริหาร มีฐานะร่ำรวย และจะต้องเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตสวยหรูอย่างที่หลายคนเฝ้าฝันถึง แต่กับ CEO ของสายการบิน Japan Airline กลับเป็นสิ่งตรงกันข้าม เขามีชื่อว่าคุณ Haruka Nishimatsu ได้ใช้ชีวิตภายใต้ปรัชญาอันเรียบง่าย เขาไม่ได้ทำตัวเป็นเจ้านายผู้เคร่งขรึม แต่ทำตัวเป็นผู้นำบริษัทที่ดี ยอมเสียสละเพื่อส่วนรวมของบริษัทก็เพื่ออนาคตที่แข็งแกร่งของสายการบิน ‘หากการบริหารจัดการเป็นเรื่องยุ่งยากและไกลตัว คล้ายกับว่าผู้คนเบื้องล่างกำลังรอป้อนคำสั่งมาจากฟ้าเบื้องบน ผมอยากจะให้พนักงานของผมได้หัดคิดด้วยตัวเองบ้าง’ ส่วนหนึ่งที่เขาได้ให้สัมภาษณ์กับ CBS News เขาเลือกที่จะนั่งรถเมล์ไปทำงาน แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่มีราคาไม่แพง ในระดับที่พนักงานของเขาเองก็มีสิทธิ์ซื้อมาใส่ อีกทั้งเลือกที่จะรับเงินเดือนน้อยกว่าในอัตราเงินเดือนของผู้บริหารทั่วไปด้วย มีครั้งหนึ่งเขาเคยตัดเงินเดือนตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาไล่พนักงานออก เนื่องจากผลกำไรที่ได้น้อยเกินกว่าที่คาดเอาไว้ เขาจึงนำเงินเดือนตัวเองไปเฉลี่ยแจกจ่ายเป็นเงินเดือนให้กับพนักงานแทน ภายใต้ความกดดันของพนักงานผู้น้อยในวัฒนธรรมของบริษัทส่วนมาก มักจะถูกกดขี่และใช้งานอย่างหนัก แต่กลับไม่ได้รับการตอบแทนเท่าที่ควรจะได้ ซึ่งทางด้านเหล่าผู้บริหารส่วนมากก็มักจะมีเงินเหลือกินเหลือใช้ มีของหรูหรามากมาย ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้คุณ Nishimatsu สร้างบรรยากาศและกำลังใจให้กับลูกน้องร่วมฝ่าฟันไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นร่วมรับประทานอาหารกับพนักงานในโรงอาหารเป็นประจำ ลงตรวจพื้นที่การทำงานด้วยตนเอง แบบชนิดที่ว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ กับการที่จะได้เห็นผู้บริหารลงมาใกล้ชิดกับพนักงานขนาดนี้ อีกทั้งยังส่งผลดีในระยะยาวให้กับบริษัทด้วย …
-
มาดูกันว่า ‘มื้อกลางวัน’ ของเด็กนักเรียนจากทั่วโลก จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
นอกจากอาหารมื้อเช้า จะเป็นมื้อที่สำคัญสำหรับเด็กๆ แล้ว มื้อกลางวันก็เป็นมื้ออาหารที่สำคัญสำหรับเด็กๆ เช่นกัน และแน่นอนว่าวัฒนธรรมในการกินของคนในแต่ละประเทศนั้นย่อมมีความแตกต่างกัน รวมไปถึงมื้ออาหารกลางวันของเด็กๆ จากหลายๆ ประเทศก็มีความแตกต่างกันด้วย ในวันนี้เราจึงได้รวม 31 ภาพอาหารมื้อกลางวันของเด็กนักเรียนจากทั่วโลกมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน เพื่อที่จะทำให้เราได้เห็นว่าแต่ละประเทศนั้นมีวัฒนธรรมการกินอย่างไร และมีความแตกต่างกันขนาดไหน ลองไปชมกันเลย 1.ประเทศออสเตรเลีย 2.ประเทศสวีเดน 3.ออสติน, รัฐเทกซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา 4.ประเทศเวเนซูเอลา 5.ประเทศแทนซาเนีย 6.ประเทศรัสเซีย 7.ประเทศโปแลนด์ 8.ประเทศฟิลิปปินส์ 9.ประเทศลิทัวเนีย 10.ประเทศเฮติ 11.ประเทศเยอรมนี 12.ประเทศแกมเบีย 13.ประเทศฟินแลนด์ 14.ประเทศจีน 15.ประเทศกัมพูชา 16.ประเทศอินเดีย 17.ประเทศนอร์เวย์ 18.ประเทศกานา …
-
เหตุผลที่ว่าทำไมพ่อแม่ชาวญี่ปุ่นจึงปล่อยให้ลูกอายุเพียง 6-7 ขวบเริ่มพึ่งพาตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก!?
หากเราได้เคยสัมผัสหรือรับรู้ผ่านสื่อต่างๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่นมาบ้าง จะสังเกตเห็นได้ว่าเด็กเล็กอายุเพียงแค่ 6-7 ขวบโดยประมาณ เดินไปไหนมาไหนคนเดียว ใช้บริการรถสาธารณะเพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางนั่นก็คือโรงเรียนนั่นเอง เหมือนกับผู้ใหญ่ที่เดินทางไปทำงานในแต่ละวัน ไม่เหมือนกับวัฒนธรรมในบ้านเราที่จะต้องมีพ่อแม่พาไปส่งโรงเรียนในทุกๆ เช้า แตกต่างกับนักเรียนญี่ปุ่นในวัยประถมศึกษาที่จะเห็นได้ว่ามาด้วยตัวคนเดียว และเลือกที่จะเดินเท้าไปขึ้นรถไฟเพื่อไปโรงเรียน แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ? คุณพ่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะฝึกให้ลูกๆ ของตนรู้จักที่จะพึ่งพาตัวเองตั้งแต่ยังเล็กๆ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทั้งเด็กผู้หญิงหรือผู้ชาย และไม่ว่าจะเป็นครอบครัวไหนก็จะพยายามฝึกให้ลูกของตัวเองรู้จักที่จะไปไหนมาไหนและทำอะไรด้วยตนเองให้ได้ อย่างเช่นหนุ่มน้อยวัย 12 ขวบนามว่า ไคโตะ ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับทางเว็บไซต์ citylab ในกรณีนี้ว่าเขาเริ่มนั่งรถไฟด้วยตัวเองมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ‘ครั้งแรกของผมเป็นอะไรที่รู้สึกกังวลมาก แม้ว่าผมจะสามารถนั่งรถไฟไปเองได้แต่ก็ยังกังวลอยู่เล็กน้อย’ ซึ่งปัจจุบันเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ได้สร้างความกังวลให้กับเขาอีกต่อไป แต่ก็ใช่ว่าทางพ่อกับแม่จะไม่รู้สึกเป็นห่วง ซึ่งช่วงแรกๆ ก็แอบกังวลอยู่บ้าง แต่พอปล่อยให้เขาได้ลองซักครั้งเนื่องจากคิดว่าโตแล้ว ก็ควรที่จะทำได้เพราะเด็กคนอื่นๆ ก็ทำได้เหมือนกัน โดยที่ทางด้านแม่เลี้ยงของไคโตะเปิดเผยว่า ‘เพราะฉันคิดว่ารถไฟนั้นปลอดภัยและตรงเวลามาก ฉะนั้นไม่ต้องห่วงเลยว่าเขาจะกลับบ้านไม่ตรงเวลา แถมเขายังเป็นเด็กที่เก่งด้วย’ ‘ฉันนั่งรถไฟด้วยตัวเองตั้งแต่ตอนที่ฉันยังมีอายุน้อยกว่าเขาซะอีก แถมตอนนั้นก็อยู่ในโตเกียวด้วย ในสมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ยังสามารถไปถึงจุดหมายจากจุด A ไปถึงจุด…
-
รู้สึกดี!! ชาวเน็ตญี่ปุ่นร่วมกันทวีตแสดงถึงความมีน้ำใจอันแสนอบอุ่นในประเทศญี่ปุ่น
การช่วยเหลือผู้อื่นในช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดยที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนนั้น ทั้งผู้ให้และผู้รับต่างก็มีความสุข และนี่ก็ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงสังคมไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นนั้นความมีน้ำใจจากคนแปลกหน้านั้นมีเยอะมากๆ เลยล่ะ แม้แต่ชาวญี่ปุ่นเองก็ยังรู้สึกประทับใจเลย ถึงแม้จะไม่เคยรู้จักกันก็ตาม 1. คนขับรถขนขนมปังของบริษัท Yamazaki จอดรถแล้วนำขนมปังมอบให้กับผู้ที่ติดพายุหิมะ อยากได้มากแค่ไหนก็หยิบไปได้เลย 昨日、ヤマザキパンさんのドライバーの方に差入れ頂きました。 「好きなだけ持ってってよ!」と。 今は談合坂SAで規制解除待機中、大事な食事となっております。 ありがとうございました。 #ヤマザキパン #大雪 #中央道 pic.twitter.com/a6fh6CoyTG — ks59 (@kojisan0104) 16 กุมภาพันธ์ 2014 2. โน๊ตปริศนาที่แนบเงินทิ้งเอาไว้ในตะกร้าหน้าจักรยาน ‘ขอโทษที่ทำจักรยานล้มและทำให้กระดิ่งพัง’ ・ こんなにいい人が世の中にはいるんだ。 ・ pic.twitter.com/V96ftmj94y — @LEGO___TOYSに移行 (@airi0330tslove) 24 พฤษภาคม 2014 3. พนักงานบริษัทขนส่ง Kuroneko ช่วยกันดันรถของบริษัทขนส่งคู่แข่ง Segawa ที่เสียหายระหว่างทาง 京都御幸町通にて、動かなくなった佐川のトラックを一緒になって押してあげるクロネコヤマトのお兄ちゃんがオットコマエだった。 pic.twitter.com/nYpcubBM9z — コウノ@京都の妖怪の人 (@kouno0521) 15 พฤศจิกายน 2013 4. ผู้คนช่วยกันงมหาคอนแทคเลนส์ให้กับหญิงรายหนึ่งที่ทำหล่นลงบนพื้นในสถานีรถไฟ Yokohama…
-
มาดูความแตกต่างระหว่าง “คนเอเชียกับคนตะวันตก” เป็นแบบที่เขาว่าหรือเปล่าน๊าาา
หยาง หลิว (Yang Liu) ศิลปินและนักออกแบบชาวจีน เขาได้ย้ายไปอยู่เยอรมันตั้งแต่อายุ 14 ได้เติบโตมาใน 2 ที่ 2 วัฒนธรรม ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำให้เขาได้รู้และได้สัมผัสกับวัฒนธรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกันของคนทั้ง 2 ประเทศ เขาจึงนำมุมมองและวัฒนธรรมที่แตกต่างของทั้ง 2 ประเทศมาเปรียบเทียบกัน โดยใช้รูปภาพและสัญลักษณ์ที่เข้าใจง่าย ให้ฝั่งสีนำเงินแทนประเทศเยอรมนีหรือวัฒนธรรมตะวันตก และให้ฝั่งสีแดงแทนประเทศจีนหรือวัฒนธรรมเอเชีย 1. ไลฟ์สไตล์ 2. ความตรงต่อเวลา 3. งานเลี้ยง 4. ความสวยงามของสีผิว 5. การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ 6. เจ้านาย 7. ระดับเสียงพูดในร้านอาหาร 8. วิธีการแก้ปัญหา 9. ความมั่นใจในตัวเอง 10. วิถีชีวิตของชาวจีนในสายตาเยอรมัน และชาวเยอรมันในสายตาจีน 11. การยืนเข้าแถวซื้อของ 12. การแสดงออก…
-
ช่างภาพออกเดินทางไปทั่วโลก ถ่ายภาพมื้ออาหารของแต่ละประเทศ เพื่อสะท้อนวิถีชีวิต!!
อาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ แต่ทว่าด้วยพื้นฐานทางด้านวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ จะมีอาหารที่แตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้ช่างภาพชาวอเมริกัน Peter Menzel จึงออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อทำการถ่ายภาพและศึกษามื้ออาหารของแต่ละประเทศ และรวบรวมออกเป็นหนังสือชื่อว่า What I Eat: Around the World in 80 Diets เพื่อสะท้อนวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละอาชีพและพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน Bruce Hopkins, เจ้าหน้าที่ชายฝั่ง (3,700 กิโลแคลอรี่) Marble Moahi, คุณแม่ผู้ติดเชื้อ HIV (900 กิโลแคลอรี่) Willie Ishulutak, ช่างแกะสลักหินสบู่ (4,700 กิโลแคลอรี่) Sitarani Tyaagi, นักบวชฮินดู (1,000 กิโลแคลอรี่) Maria Ermelinda Ayme Sichigalo, ชาวนาและคุณแม่ลูกแปด (3,800 กิโลแคลอรี่) Curtis Newcomer, ทหารจากประเทศสหรัฐอเมริกา…