Tag: วิจารณ์ส่งเดช
-
รีวิว A Quiet Place หนังสยองขวัญแห่ง (ต้น) ปี ที่เล่นกับความเงียบจนไม่กล้ากินป๊อปคอร์น
กระแสแรงรับต้นปีเลยทีเดียว กับหนังอย่างหลวงพี่…เอ้ย A Quiet Place หนังระทึกขวัญที่นำเอา “ความเงียบ” มาเล่นกับคนดูได้อย่างบ้าคลั่งจนคุณแทบหยุดหายใจ เผลอๆ การกินป็อปคอร์นในโรงหนังจะทำให้คุณดูหนังได้สนุกน้อยลงด้วยนะ เรื่องย่อ: ครอบครัวหนึ่งที่ประกอบไปด้วยพ่อแม่และลูกๆ 2 คน ต้องอาศัยอยู่ในป่ารกร้าง โดยการใช้ชีวิตในแต่ละวันของพวกเขาต้องพยายามทำตัวให้เงียบที่สุด เงียบชนิดที่ว่าการพูดก็ยังทำได้ยากจนต้องใช้ภาษามือคุยกัน นั่นก็เพราะว่าในโลกของพวกเขามีเอเลี่ยนซ่อนเร้นอยู่ตามสถานที่ต่างๆ หากพวกมันได้ยินแม้แต่เสียงสะดุดล้ม นั่นก็อาจหมายถึงชีวิตที่ต้องดับสูญเลยทีเดียว (ถ้าเล่ามากกว่านี้ก็จะสปอยล์แล้ว) ถ้าหากคุณเคยประทับใจกับความระทึกสั่นประสาทในหนังแบบ Don’t Breathe ล่ะก็ เรื่องนี้ก็อยู่ในระดับที่ทำให้คุณสนุกได้ไม่น้อยไปกว่ากันเลย อาจจะมีเรื่องของการบิ้วในช่วงท้ายเรื่อง ที่เราว่า Don’t Breathe ทำได้ดีกว่าหน่อยนึง และด้วยความที่หนังเล่นกับความเงียบแทบจะทั้งเรื่อง คุณจะได้อ่านซับน้อยมากๆ (เพราะตัวละครคุยกันน้อย) และยิ่งเป็นเสียงที่ตัวละครคุยกันก็แทบจะนับคำได้เลย คุณจะดูแบบซับไทยหรือพากย์ไทยก็แทบไม่ต่างกัน นอกจากนี้ตั้งแต่ครึ่งแรกของเรื่องจะเงียบมากๆ ถ้าคุณเอาป๊อปคอร์นเข้าไปกิน มันจะได้ยินกันทั้งโรงเลยล่ะ แนะนำว่ากินให้หมดก่อนหนังเริ่มจะดีกว่า ในส่วนของเนื้อเรื่อง ต้องบอกว่าเป็นการใช้ชีวิตตามปกติทั่วๆ ไป (คล้ายๆ พวกหนังซอมบี้) ที่ตัวละครจะออกไปหาอาหาร พยายามหลบเลี่ยงสิ่งอันตราย แต่สิ่งที่ทำให้เรากดดันตลอดการชมก็คือเราจะคอยลุ้นว่ากิจกรรมต่างๆ ของตัวละครนั้นมันจะส่งเสียงดังมากน้อยแค่ไหน? ตลอดเวลาที่เรานั่งดูนั่งลุ้นกัน ตัวหนังก็จะประเคนมุกตุ้งแช่มาให้คุณตกใจเล่น หรือบางครั้งก็จะมีการหยอดมุกหรือบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ให้เราคาดเดาเล่นๆ ว่าจะเกิดอะไรในซีนต่อๆ ไป แต่น่าเสียดายที่ไม่มีมุกหักมุมอะไรเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่หนังจะเล่าไปแบบตรงๆ…
-
ดูแล้วมาโม้!! กลับสู่โลกเวทย์มนต์ไปกับ “Fantastic Beasts” เรื่องอีกฝั่งจาก “Harry Potter”
นับตั้งแต่ที่พ่อมดน้อย Harry Potter ลาโรงไปเมิื่อ 2011 ตอนนี้ก็ผ่านมา 5 ปีแล้ว ถึงตอนนี้การผจญภัยบทใหม่ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งพร้อมด้วยตัวละครหน้าใหม่หลายตัว แต่ถึงยังไงหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ชุด Harry Potter สักเท่าไหร่นัก ล่าสุด#เหมียวฟิ้นเพิ่งจะออกจากโรงมาเลย เดี๋ยวจะมาโม้ให้ฟังว่าเป็นยังไงบ้าง เรื่องราวจะเล่าถึง Newt Scamander (รับบทโดย Eddie Redmayne) นักสัตว์วิเศษวิทยาที่ออกเดินทางไปทั่วโลก ศึกษาสัตว์วิเศษตามที่ต่างๆ เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดมารวบรวมและเขียนเป็นหนังสือ Fantastic Beasts and Where to Find Them แต่แล้วก็เกิดเรื่องวุ่นๆ เข้าเมื่อเขาเดินทางมาถึงที่อเมริกา แต่ดันไปสลับกระเป๋ากับ No-maj (คำที่ใช้เรียกพวกคนทั่วไปที่ไม่มีเวทย์มนต์ในอเมริกา) คนหนึ่ง ทำให้เขาต้องตามเก็บสัตว์ทั้งหมดกลับมาก่อนที่มันจะสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนและเกิดเป็นสงคราม สิ่งแรกที่ต้องบอกก่อนเลยก็คือ นี่คือเรื่องราวการผจญภัยบทใหม่ ที่แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับ Harry Potter เลย มีกลุ่มตัวละครใหม่ที่เราไม่คุ้นตา สถานที่ใหม่ที่ไม่เหมือนกับใน Hogwarts บรรยากาศแปลกๆ ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงแต่มีเวทย์มนต์ใช้เหมือนกันเท่านั้นเอง …
-
ความเห็น #เหมียวฟิ้น หลังชม Doctor Strange “CG ตระการตาบ้าเลือด แต่ตัวละครแบน บทไม่แน่น”
มาถึงตอนนี้ #เหมียวฟิ้น เองก็จำไม่ได้แล้วว่า Marvel ได้เปิดตัวซุปเปอร์ฮีโร่มาแล้วกี่คน? แต่เท่าที่รู้คือฮีโร่แต่ละตัวของพวกเขาจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ฮีโร่บางคนมาความเป็นวิทยาศาสตร์สูง เช่น Iron Man, Hulk, Ant-Man บางตัวออกไปแนวเทพนิยายอย่าง Thor บางตัวออกไปทางหนังสงครามเช่น Captain America บางตัวก็พาออกนอกอวกาศเถิดเทิงแฟนตาซีไปเลยแบบ Guardians of The Galaxy ล่าสุดนี้พวกเขาก็ได้ส่งฮีโร่คนใหม่สายเวทย์มนต์ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในจักรวาล Marvel นั่นคือหมอแปลก Doctor Strange นั่นเอง #เหมียวฟิ้น ก็เพิ่งไปชมมาสดๆ ร้อนๆ เพื่อมาแนะนำเพื่อนๆ ว่ามันสนุกยังไง ควรค่าแก่การไปดูหรือไม่? Doctor Strange เล่าเรื่องราวของ Stephen Strange (รับบทโดย Benedict Cumberbatch) ศัลยแพทย์มือดีแต่หยิ่งยโส ที่เลือกจะรักษาคนไข้เฉพาะคนที่เขาคิดว่ามีโอกาสประสบความสำเร็จเท่านั้น วันหนึ่งเขาประสบอุบัติเหตุจนทำให้มือทั้งสองข้างของเขาใช้การไม่ได้ มีทางเดียวที่พอจะทำให้มือของเขาดีขึ้นได้ คือต้องเดินทางไปฝึกวิชาลึกลับกับสำนักแห่งหนึ่งในประเทศเนปาล แต่ที่นั่นเขากลับได้พบเรื่องราวสุดอัศจรรย์และเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบคนปกติไปตลอดกาล ข้อดี จุดที่เด่นที่สุดของหนังเรื่องนี้เลยก็คือการใช้เวทย์มนต์ตระการตา คุณจะได้เห็นโลกที่บิดเบี้ยว การร่ายคาถาเรียกอาวุธ เรียกประตูมิติ ซึ่งก็ถือว่าแปลกใหม่สำหรับจักรวาล…
-
ห้ามพลาด… “แมวเหมียวเรียกทำไมไม่มา” หนังแมวสุดน่ารัก ที่คนรักแมวมองข้าม
ขอบอกเลยว่า Cat Don’t Come When You Call (หรือชื่อไทย “แมวเหมียวเรียกทำไมไม่มา”)ไม่ใช่หนังที่#เหมียวฟิ้นคาดหวังว่าจะไปดูเลย แต่เนื่องจากมีกระแสปากต่อปากเข้ามาหลายคนมาก ว่านี่คือหนังที่ทาสแมวต้องดูมห้ได้ เราก็เลยอดไม่ได้ ขอไปพิสูจน์ด้วยตาของตัวเอง พล็อตเรื่องของหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมาก ตัวหนังเล่าเรื่องเกี่ยวกับมิตสุโอะ ชายหนุ่มผู้รักหมาที่อยากจะกลายเป็นนักมวยอาชีพ แต่แล้วชีวิตของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อได้เจอกับลูกแมวถูกทิ้ง 2 ตัว มิตสุโอะจำใจต้องเลี้ยงดูพวกมัน และตั้งชื่อให้ว่า “จิ๋ว” และ “คุโรโกะ” ในระหว่างนั้นเขาก็ต้องตามฝันและหาเงินมาเลี้ยงพวกแมวไปด้วย พล็อตหลักๆ มีเท่านี้จริงๆ จากการที่ได้เห็นตัวอย่างผ่านๆ ก่อนจะไปดู เรามีความรู้สึกว่าหนังมันต้อง “เรื่อยๆ” เดินเรื่องแบบเนิบๆ แน่นอน ซึ่งพอไปดูมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่เราไม่รู้สึกเบื่อเลย เพราะในช่วงเนิบๆ นั่นแหละ หนังจะฉายให้คุณดูแต่แมว ดูพฤติกรรม ดูความน่ารักของมัน ซึ่งทุกอย่างที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอก็เหมือนกับแมวที่เราเลี้ยงในชีวิตจริงเลย ทั้งวิ่งเล่นในบ้าน อึฉี่ไม่เป็นที่ อะไรที่ชอบกินก็จะหวง อะไรที่ไม่ชอบแค่ดมแป็บเดียวก็เมินหนีแล้ว ต้องชมผู้กำกับเลยว่าเก็บรายละเอียดดีมาก แต่ในระหว่างที่หนังดำเนินไป ใช่ว่าจะมีแต่ความน่ารักของแมวเท่านั้น เพราะตัวละครและแมวจะเติบโตไปพร้อมๆ กัน คุณจะได้รู้ถึงวิธีการเลี้ยงแมวที่ถูกต้อง…
-
ดูแล้วมาโม้!! Deepwater Horizon ภาพยนตร์จากเหตุการณ์จริง ที่ปูเรื่องนานจนหลับ…
รู้สึกว่าในช่วงหลังเราจะได้ชม “หนังที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง” ซะเยอะ บางเรื่องเชิดชูคุณงามความดีที่ตัวบุคคล บางเรื่องเน้นไปที่ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และบางเรื่องก็พยายามตีแผ่ความเสียหายของประวัติศาสตร์ หนังเรื่องล่าสุดที่ #เหมียวฟิ้น ไปดูมาเป็นประเภทหลังสุดล่ะ เรื่องที่ว่านี้มีชื่อว่า Deepwater Horizon ที่เล่าเรื่องราวจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2010 เกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดของแท่นขุดเจาะน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก ทำให้ทีมงานทั้งผู้บริหาร วิศวกร ช่างเทคนิคที่อยู่บนแท่นขุดเจาะต้องหนีตายเอาชีวิตรอด จากอุบัติเหตุครั้งนั้นส่งผลให้มีน้ำมันรั่วไหลออกมากว่า 780 ล้านลิตร นับเป็นอุบัติเหตุครั้งที่ร้ายแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้นของสหรัฐฯ เลยก็ว่าได้ ขึ้นชื่อว่าเป็นหนังที่สร้างมาจากเรื่องจริง จะต้องมีตัวละครและรายละเอียดของเหตุการณ์จริงๆ มารวมเอาไว้ในหนังด้วย แต่เนื่องจากเป็นหนังเกี่ยวกับแท่นขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งเป็นงานที่คนทั่วไปไม่คุ้นเคยหรือไม่รู้รายละเอียดมากเท่าไหร่ หนังจึงต้องประเคนรายละเอียดเข้ามาให้เราแบบเต็มสตรีม ตลอดระยะเวลา 30 – 40 นาทีแรกของหนัง เต็มไปด้วยบทพูด พูด พูด แล้วก็พูด แล้วก็มีแต่ศัพท์เทคนิคเต็มไปหมด แม้ว่า #เหมียวฟิ้น จะตั้งใจและพยายามดูแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถจับใจความได้ทั้งหมดว่าหน่วยงานไหนดูแลตรงไหน เกิดเกมการเมืองระหว่างใครบ้าง จนมันเข้าขั้นน่าเบื่อและหลับในที่สุด… แต่หลังจากผ่านช่วงปูเรื่อง (ที่นานโคตร) ไปแล้ว หนังก็เริ่มมีฉากแอ็คชั่นให้เราได้เห็นกันบ้าง…
-
ดูแล้วมาโม้!! Don’t Breathe หนังที่สลับให้คนดีต้องไล่ล่า แล้วตัวร้ายเป็นผู้ถูกไล่ล่า
น้อยครั้งมากที่เราจะได้เจอกับหนังระทึกขวัญที่พล็อตแปลกแหวกแนว จนเราอยากติดตามดูความเป็นมาเป็นไปของตัวละครตั้งแต่ต้นจนจบโดยที่ไม่เผลอหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาซะก่อน และหนังเรื่องล่าสุดที่ทำให้ #เหมียวฟิ้น รู้สึกแบบนั้นได้ก็คือ Don’t Breathe นี่เอง ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าเราชอบหนังเรื่องนี้มาก เพราะแค่พล็อตก็น่าสนใจมากแล้ว หากในบทความนี้จะมีการอวยสักเล็กน้อยก็อย่าได้ถือสานะ ลองไปอ่านความเห็นหลังชมของ#เหมียวฟิ้นกันเลย Don’t Breathe เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มหัวขโมย 3 คนที่บุกเข้าไปในบ้านของอดีตทหารตาบอดปลดเกษียร เพื่อหวังจะปล้นทรัพย์ แต่ปรากฎว่าอดีตทหารรายนี้ดันหูดีจนสามารถได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจคนได้ (ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรื่อง) การปล้นครั้งนี้จึงกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์เลย พล็อตของเรื่องดูจะไม่ยาวเท่าไหร่ แต่ความน่าสนุกของคนดูก็คือ เราจะได้เห็นการสลับตำแหน่งระหว่างคนดีและคนร้าย เพราะในทุกๆ ครั้งคนดีจะเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำแล้วต้องต่อสู้เพื่อเอาชนะคนร้าย แต่ในหนังเรื่องนี้คนร้ายดันกลายเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำและต้องหนีหัวซุกหัวซุน จนคนดูไม่รู้ว่าจะเอาใจช่วยคนดีหรือคนร้ายกันแน่ จากตัวอย่างหนังหรือเรื่องย่อจะเห็นว่ามันเป็นหนังระทึกขวัญไม่ใช่หนังผี แต่ทุกครั้งที่ตาแก่ตาบอดคนนี้โผล่มาทีไรเราจะรู้สึกสยองทุกครั้ง (แม้เราจะรู้ว่าเขาเป็นคนดีก็ตาม) รอบที่ #เหมียวฟิ้ นไปดูมี #เหมียวหง่าว ไปดูด้วย รายนี้ถึงกับกลั้นหายใจระหว่างที่ตัวละครกลั้นหายใจด้วย และเชื่อว่าคนที่ไปดูหลายๆ คนก็น่าจะเป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่ใช่ว่าหนังจำดำเนินไปโดยมีแค่การไล่ล่ากันให้เราดูเท่านั้น เพราะตัวหนังยังมีมุกหักมุมหลายๆ อย่างซ่อนอยู่ในช่วงกลางเรื่องและท้ายเรื่อง รับรองว่าต้องอึ้งกับความเxี้ย ของตัวละครบางตัวแน่นอน พูดไปจะหาว่าอวย (แต่ก็อวยจริงๆ) เราขอให้คำแนนความน่าดูอยู่ที่ 5/5 เลยแล้วกัน ใครที่ชอบความระทึก…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] ชวนดู Jason Bourne ล่าสุดใจไปกับนายเจสัน ฉากบู๊อลังการกว่าที่ผ่านมา!!
แม้จะมีชื่อย่อว่า JB เหมือนกัน แต่ Jason Bourne ก็แทบไม่มีอะไรที่เหมือนกับ James Bond เลย ทั้งจนกว่า แต่งตัวลุยๆ ไม่มีสูทหรูๆ ไม่มีสาวสวยข้างกาย ไม่มีอุปกรณ์ไฮเทค หรือแม้แต่ทีมงานคอยช่วยเหลือเขา แต่นั่นแหละทำให้หนังชุดนี้ดูมีเสน่ห์แตกต่างจากสายลับคนอื่นๆ Jason Bourne ถือเป็นหนังสายลับภาคต่อ ภาคที่ 5 แล้วของหนังชุดนี้ แม้ในภาคที่ 4 จะมีการเปลี่ยนตัวพระเอกจาก Matt Damon มาเป็น Jeremy Renner ก็ตาม แต่เราก็จะทำเป็นลืมๆ มันไปว่าเคยมีหนังเรื่องนั้นมาก่อน เราจะมาว่าถึงหนังภาคนี้และ 3 ภาคแรกกันเลย อย่างแรกที่ต้องบอกคุณก่อนก็คือหากคุณไม่เคยดู 3 ภาคแรกมาก่อน คุณจะงงแน่ๆ เพราะหนังจะเล่าถึงตัวตนของ Bourne ในช่วงที่ความจำของเขาขาดๆ หายๆ และมันจะมีความต่อเนื่องกันของเหตุการณ์อื่นๆ และองค์กรเทรดสโตน (ที่น่าจะล้มหายตายจากไปตั้งแต่ภาค 3 แล้ว) …
-
[วิจารณ์ส่งเดช] Star Trek Beyond ความมันส์ทะลุขอบจักรวาล ยิ่งดู 3 มิติยิ่งมันส์!!
นี่คือหนึ่งในแฟรนไชส์ที่#เหมียวฟิ้นชอบมากๆ (ชอบยิ่งกว่า Star Wars อีก) แม้จะเพิ่งมาติดตามเอาในภาครีบูทของ J.j. Abrams เมื่อปี 2009 แต่มันก็น่าประทับใจจนต้องยกขึ้นหิ้งให้เป็นหนังไซไฟแห่งชาติเลยล่ะ และในภาค Star Trek Beyond ก็ถือเป็นภาคที่ 3 แล้วหลังจากการรีบูทจักรวาลครั้งนี้ มีการเปลี่ยนตัวผู้กำกับจาก J.j. Abrams มาเป็น Justin Lin (ผู้ที่ปลุกชีพให้หนังแฟรนไชส์ Fast & Furious กลับมาโด่งดังอีกครั้งในภาค 3-6) เราลองมาดูกันว่าจะยังสนุกเหมือนเดิมหรือเปล่า? หนังภาคนี้เล่าเรื่องราวอีก 966 วันต่อมา หลังจากเรื่องราวในภาค Star Trek Into Darkness ที่กัปตันเจมส์ ที เคิร์ก (Chris Pine) ได้นำลูกเรือยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ออกสำรวจอวกาศอันไร้ขอบเขต เพื่อตามหาอารยธรรมใหม่ๆ วันหนึ่งพวกเขาได้รับภารกิจให้ออกไปตามหายานที่ขาดการติดต่อ แต่ในระหว่างนั้นพวกเขากลับถูกโจมตีโดยฝูงยานจะนวนมหาศาล พวกเขาถูกโจมตีด้วยสาเหตุใด และจะรอดไปได้หรือไม่ ต้องไปดูในโรงหนังเลยจ้า ในภาค Beyond นั้นดูจะดึงเอาจุดเด่นหรือมุกแบบ 2 ภาคแรกมาใช้…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] Lights Out หนังผีที่เล่นกับความมืด จนคุณอาจไม่กล้าปิดไฟนอน…
หลังจากที่เพิ่งจะหลอนไปกับ The Conjuring 2 ของผู้กำกับ James Wan ไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุดเราจะได้หลอนอีกครั้งกับหนังที่เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างอย่าง Lights Out โดยมี David F. Sandberg มาเป็นผู้กำกับให้ จะหลอนแค่ไหน หรือควรค่าแก่การพาคนสนิทของคุณไปกรี๊ดหรือไม่? ลองมาฟังความเห็นของ #เหมียวฟิ้น หลังจากที่เพิ่งออกจากโรงกันเลย Lights Out (มันออกมาขย้ำ) เป็นหนังที่ถูกดัดแปลงมาจากหนังสั้นในชื่อเดียวกัน ว่าด้วยเรื่องราวของโซฟีคุณแม่ผู้มีอาการทางประสาท เธอพูดคุยกับตัวเองบ่อยครั้งจนลูกๆ เริ่มเป็นกังวล วันหนึ่งฝันร้ายก็เริ่มกลายเป็นรูปร่างเด่นชัด เมื่อบุคคลปริศนาที่เธอชอบพูดคุยด้วยอยู่บ่อยๆ เริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์มากขึ้น และหมายจะเอาชีวิตลูกๆ ของเธอ ทำให้รีเบ็คก้าและมาร์ติน ต้องต่อสู่กับสิ่งลี้ลับที่มักจะออกมาในช่วงที่ไร้แสงไฟเท่านั้น… แม้หนังเรื่องนี้จะเล่นกับความมืดเหมือนกับหนังผีหลายๆ เรื่อง แต่ในหนังเรื่องนี้ใช้ความมืดได้อย่างเป็นประโยชน์ต่อตัวผี ต่อตัวผู้ชม และต่อตัวละคร ดังเช่น ประโยชน์ต่อผี ความมืดช่วยเอื้อให้ตัวละครผีในการปรากฏตัวแต่ละครั้ง ผีในเรื่องนี้จะไม่ได้โผล่มาตุ้งแช่พร้อมกับเสียงดังลั่น แต่จะโผล่มาเงียบๆ ในชั่วพริบตา เหมือนกับที่คุณได้เห็นมันจากตัวอย่างนั่นแหละ ประโยชน์ต่อผู้ชม มันทำให้คนดูพยายามสอดส่องไปทั่วจอ เหมือนได้สำรวจไปพร้อมๆ กับตัวละคร และหวาดกลัวทุกครั้งที่ตัวละครต้องอยู่ในที่มืดๆ ประโยชน์ต่อตัวละคร ความมืดช่วยให้ตัวละครรู้สึกหวาดกลัวก็จริง แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เห็นถึงพัฒนาการที่ตัวละครพยายามจะหาวิธีต่างๆ มาต่อสู้กับผี …
-
[วิจารณ์ส่งเดช] Finding Dory กลับมาตามหา (อะไรสักอย่าง) อีกรอบ ตลกทั้งเรื่อง แต่ไม่ “ใหม่”
เรียกได้ว่าทิ้งห่างจากภาคแรกไปนานถึง 13 ปีทีเดียว สำหรับแอนิเมชั่น Finding Dory ที่เป็นภาคต่อจาก Finding Nemo แอนิเมชั่นปลาการ์ตูนที่หลายๆ คนหลงรัก กลับมาคราวนี้จะยังสร้างความประทับใจได้เหมือนที่ภาคแรกทำไว้หรือไม่ แล้วคนดูจะยังจำเรื่องราวในภาคแรกได้อยู่หรือเปล่า? จำเป็นต้องดูภาคแรกมาก่อนไหม? เราไปหาคำตอบกันเลย Finding Dory เล่าเรื่องราวของเจ้าดอรี่ ปลาสีฟ้าน่ารัก ที่เคยโผล่มาเป็นตัวละครสมทบช่วยตามหานีโม่มาแล้วในภาคแรก แต่คราวนี้จู่ๆ เธอก็นึกถึงพ่อแม่ที่พลัดพรากจากกันเมื่อสมัยเธอเป็นเด็ก เธอจึงอยากจะออกตามหาพ่อแม่ให้เจอ แต่ด้วยความที่ดอรี่ป่วยเป็นโรคความจำสั้น ทำให้เธอจำอะไรเกี่ยวกับพ่อแม่ไม่ค่อยได้ งานนี้จึงเป็นหน้าที่ของมาร์ลินและนีโม่ที่ต้องช่วยเหลือเธอบ้าง แม้ว่าหนังจะเล่าเรื่องราวที่เชื่อมต่อกับภาคแรกอยู่ แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องดูภาคแรกมาก่อนก็ได้ เพราะเรื่องราวของดอรี่จะเป็นเรื่องแยกออกมาเป็นเอกเทศโดยมีมาร์ลินและนีโม่คอยช่วยเหลือ หากใครที่ดูภาคแรกเมื่อนานมาแล้วและกลัวว่าจะลืมเนื้อเรื่อง (เหมือน#เหมียวฟิ้น) ล่ะก็ ในภาคนี้เขาก็จะใส่ฉากจากภาคแรกมาให้ชมกัน ให้ผู้ชมได้ร้อง “อ๋อ” ว่าเจ้าดอรี่มันปรากฏตัวในฉากไหน แล้วมาเจอกับมาร์ลินได้ยังไง ตัวหนังยังคงเป็นแอนิเมชั่นครอบครัวสนุกสนานเหมือนกับภาคแรก แต่รู้สึกว่าในภาคนี้จะใส่มุกตลกเข้ามาเยอะหน่อย (มุก 5 บาท 10 บาทเยอะเหมือนกัน) จนบางจังหวะรู้สึกว่ายิงมุกถี่จนเฝือ (อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบนะ) และหากใครที่ติดตามหรือเคยดูรายการโชว์ของอเมริกามาบ้างก็อาจจะคุ้นกับเสียงของดอรี่ เพราะให้เสียงพากย์โดย Ellen DeGeneres พิธีกรรายการทีวีชื่อดัง คนเดียวกับที่เคยพากย์เป็นดอรี่ในภาคแรกเลย สิ่งที่ภาคนี้ทำได้ดีก็คือตัวละครประกอบ ไม่ว่าจะเป็นปลาหมึกแฮงก์ แมวน้ำ…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] X-Men: Apocalypse บู๊น้อยหน่อย ดราม่าเยอะหน่อย แต่เราก็รักหนังเรื่องนี้
หลากหลายเสียงวิจารณ์ทีเดียวสำหรับ X-Men: Apocalypse ที่บางความเห็นก็บอกว่านี่เป็นหนังจากหนังการ์ตูนที่ยอดเยี่ยมมาก แต่นักวิจารณ์บางคนก็บอกว่ามันห่วยซะเหลือเกิน แล้วงี้จะเชื่อใครได้ล่ะนอกจากจะไปดูด้วยตัวเอง? X-Men: Apocalypse เล่าเรื่องราวของมนุษย์กลายพันธุ์ยุคโบราณคนหนึ่งที่ชื่อว่า Apocalypse เขาถูกปลุกขึ้นมาจากการหลับไหลอย่างยาวนาน และเมื่อเขาฟื้นขึ้นมากลับพบว่าโลกในยุคปัจจุบันเปลี่ยนไปจากยุคที่เขาเคยอยู่ Apocalypse มองว่ามนุษย์อ่อนแอเกินกว่าที่จะเป็นผู้ปกครองโลก เขาจึงรวบรวมองครักษ์ขึ้นมา 4 คน เพื่อมาเป็นกำลังเสริมให้กับเขา และปฏิบัติภารกิจในการทำลายล้างโลกเพื่อที่เขาจะได้สร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา ทำให้เหล่า X-Men ต้องหยุดยั้งภารกิจนี้ก่อนที่มนุษย์กลายพันธุ์และมนุษย์ธรรมดาจะสูญสิ้น เหมียวฟิ้นขอพูดถึงในส่วนที่ชอบก่อนก็แล้วกัน หนังเรื่องนี้นำเอาขนบเดิมๆ ที่แฟนการ์ตูนคุ้นเคยกลับมาให้เราเห็นอยู่เยอะทีเดียว เช่นชุดที่ตัวละครสวมใส่ แว่นตาของสก็อต ยาน ห้องซีรีโบร โรงเรียนสำหรับผู้มีพรสวรรค์ของโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์ และโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์ที่หัวล้าน… แต่สิ่งที่ขาดหายไปจากหนังภาคนี้ก็คือความสัมพันธ์น่ารักๆ ระหว่างตัวละครแบบในภาค First Class เช่นความรักของเรเวนกับด็อกเตอร์แฮงค์ หรือมิตรภาพระหว่างชาร์ลกับอีริค แต่ก็คงจะเป็นเรื่องซ้ำซากเกินไปหากจะเล่าเรื่องราวเดิมๆ เหมือนกันในทุกภาค อันนี้ก็เลยไม่ถือว่าเป็นข้อเสียสักเท่าไหร่ แต่ส่วนที่เป็นข้อเสียจริงๆ เลยก็คือหนังใช้เวลาปูเรื่องนานไปหน่อย ในช่วงต้นเรื่องกล่าวถึงที่มาที่ไป แรงจูงใจและความดราม่าของตัวละครซะเยอะ ฉากแอ็คชั่น (สู้กัน) แทบไม่มีให้เห็นเลย…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] Hardcore Henry หนังมุมมองบุคคลที่ 1 ใครไม่แน่จริง ดูไปมีคลื่นไส้นะเออ!!
ขอบอกเลยว่าครั้งแรกที่#เหมียวฟิ้นได้ดูตัวอย่างหนังเรื่อง Hardcore Henry ทำเอารู้สึกตื่นเต้นมมาก เพราะหนังถ่ายทำด้วยมุมมองบุคคลที่ 1 คล้ายกับเกม FPS (First Person Shooting) เช่นเกม Counter Strike หรือ Call of Duty และด้วยความที่หลายๆ คนพยายามบอกกันว่าดูแล้วไม่มึนหัว ดูแล้วมันเหมือนได้เล่นเกม ไอ้เราก็อดไม่ได้ที่จะต้องขอลองไปสัมผัสด้วยด้วยเอง จะรอดไม่รอดลองมาดูกันเลย… เล่าคร่าวๆ ว่า Hardcore Henry เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ชื่อ Henry ถูกยิงบาดเจ็บสาหัสจนขาแขนขาด Estelle (Haley Bennett) แฟนสาวของเขาจึงนำร่างของ Henry มาดัดแปลงร่างกายจนกลายเป็นครึ่งคนครึ่งไซบอร์กเพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางคนหรือบางองค์กรหวังจะใช้ร่างกายของเขาเพื่อทำอะไรสักอย่าง Henry จึงต้องหนีไปตั้งหลักและกลับมาช่วยเหลือแฟนสาวของเขา สารภาพตรงนี้เลยว่าหลังจากที่หนังดำเนินเรื่องไปได้ประมาณ 30 นาที#เหมียวฟิ้นก็ทนต่ออาการเวียนหัวและคลื่นไส้ไม่ไหวจนต้องขอบายจากหนังเรื่องนี้ เพราะหนังใช้การถ่ายทำแบบมุมมองบุคคลที่ 1 โดยการติดกล้องไว้ที่ศีรษะของนักแสดง (หลายๆ คน) แล้ววิ่งไปวิ่งมา ทำให้ภาพสั่นสุดๆ ส่วนด้านเนื้อเรื่องนั้นก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าสนุกหรือไม่สนุกยังไง เพราะไม่ได้อยู่ดูต่อจนจบ แต่พอจะบอกได้คร่าวๆ ว่าหนังมีความรุนแรงมาก ตั้งแต่ฉากเปิดที่เป็นไตเติ้ลตัวหนังสือ ก็มีฉากการยิงการแทงด้วยมีด…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] ชวนประทับใจไปกับ The Jungle Book ใช้นักแสดงคนเดียวเล่นกับ CG ทั้งเรื่อง!!
ในช่วงสัปดาห์นี้คงจะไม่มีภาพยนตร์เรื่องไหนที่เบอร์ใหญ่เท่ากับ The Jungle Book ของ Disney อีกแล้ว ซึ่งในระหว่างที่คนอื่นๆ เขาไปเล่นน้ำกัน #เหมียวฟิ้นกลับเลือกที่จะไปดูหนังมากกว่า คราวนี้ไปดูแบบ 4DX ด้วย เดี๋ยวจะมารีวิวทั้งด้านเนื้อหาและระบบ 4DX พร้อมๆ กันเลยนะ The Jungle Book เล่าเรื่องราวของเด็กกำพร้าคนหนึ่งชื่อ “เมาคลี” ที่ถูกเลี้ยงมาโดยเสือ “บากีร่า” และเข้าไปอยู่ในครอบครัวหมาป่าจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา แต่แล้วเมาคลีก็ถูก “เชียร์คาน” เสือเจ้าถิ่นขู่เอาชีวิต เพราะไม่เชื่อว่าเมาคลีซึ่งเป็นลูกมนุษย์จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของเหล่าสัตว์ป่าได้ และวันหนึ่งเมาคลีจะต้องกลับมาทำร้ายเหล่าสัตว์ป่าแน่นอน เมาคลีจึงถูกขับไล่ออกไปอยู่ที่อื่น และการผจญภัยสุดตื่นเต้นก็เริ่มต้นขึ้น หนังมีงานด้านภาพและ CG ที่โดดเด่นมาก แม้ว่าทุกอย่างในเรื่องจะเป็น CG ทั้งหมด แต่เราก็ไม่รู้สึกขัดตาเลย เพราะทั้งกิ่งไม้ใบหญ้า ลำธาร และสัตว์ทุกตัว มันเนียนตาเป็นเนื้อเดียวกัน และทำให้คนดูเชื่อว่าสัตว์ที่อยู่ตรงหน้ามีตัวตนจริงๆ เรื่องนี้ต้องขอชมน้องนีล เศรษฐี (Neel Sethi) เลย เพราะทั้งเรื่องมีแค่เขาแสดงอยู่คนเดียว…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] 10 Cloverfield Lane หนังภาคต่อเอเลี่ยนบุกโลก ที่แทบจะคนละเรื่องกับภาคแรกเลย!!
นี่คือหนังที่ใช้เวลาโปรโมทกันสั้นเสียเหลือเกิน สำหรับภาพยนตร์ 10 Cloverfield Lane หนังเอเลี่ยนบุกโลกภาคต่อจาก Cloverfield ที่เคยออกฉายไปเมื่อปี 2008 กลับมาคราวนี้จะมีเรื่องอะไรให้เล่าอีก (และจะเวียนหัวเหมือนภาคแรกไหม?) ลองมาดูกันเลย 10 Cloverfield Lane เล่าเรื่องราวของมิเชลล์ (Mary Elizabeth Winstead) หญิงสาวที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองได้รับการช่วยเหลือจากฮาวเวิร์ด (John Goodman) และพาเธอมาพักฟื้นอยู่ให้ห้องพักใต้ดิน ที่นั่นเธอได้พบเอ็มเม็ตต์ (John Gallagher Jr.) ชายหนุ่มที่เข้ามาอยู่ในห้องใต้ดินก่อนเธอ ซึ่งฮาวเวิร์ดให้เหตุผลในการช่วยเหลือพวกเขาก็เพราะว่าบนโลกนั้นเกิดเหตุการณ์บางอย่าง ที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถอยู่บนนั้นได้ จึงต้องพาพวกเขาลงมาอยู่ใต้ดิน แต่นานวันเข้ามิเชลล์ก็เริ่มระแคะระคายว่าโลกภายนอกนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่ และทำไมฮาวเวิร์ดถึงพยายามบังคับไม่ให้พวกเขาออกไปยังโลกภายนอก เธอจึงต้องพยายามเหตุผลทั้งหมดด้วยตัวเอง หากใครยังจำบรรยากาศแบบ Cloverfield ที่ใช้การเล่าเรื่องผ่านกล้องแฮนดี้แคม (สุดเวียนหัว) แบบภาคแรกแล้วล่ะก็ ขอให้ลืมมันไปได้เลย เพราะหนังเรื่องนี้จะเล่าเรื่องราวแบบภาพยนตร์ทั่วๆ ไป แต่สิ่งที่ยังคงเหมือนเดิมคือหนังเรื่องนี้ยังคงอยู่ในจักรวาลเดียวกับภาคแรก สิ่งหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ทำได้ดีขึ้นกว่าภาคแรกก็คือการเล่าเรื่อง ที่ดูเข้าใจง่ายมากขึ้น (แต่ถ้าใครคิดว่าภาคแรกดูง่าย อันนี้ก็แล้วไป) หนังแถบจะเปลี่ยนโทนจะหนังเอเลี่ยนบุกโลก กลายเป็นหนังระทึกขวัญไปเลย แต่เชื่อเถอะว่ามันจะเชื่อมโยงกันอย่างแน่นอน …
-
[วิจารณ์ส่งเดช] Batman v Superman เมื่อ DC ขอตั้งวงซุปเปอร์ฮีโร่บ้าง งานนี้รอดไม่รอด?
สำหรับใครที่รอชม Batman v Superman: Dawn of Justice มาตั้งแต่มีการประกาศสร้างและคาดหวังว่ามันจะเป็หนังซุปเปอร์ฮีโร่ตีกันถล่มทลายและตกใจกับกระแสด้านลบที่ออกมาเมื่อวันก่อน #เหมียวฟิ้นอยากบอกว่า คุณไม่ต้องตกใจไปเพราะเหมียวเพิ่งได้ไปดูมาสดๆ ร้อนๆ ขอบอกว่ามันส์สุดใจจริงๆ!! Batman v Superman: Dawn of Justice เล่าเรื่องราวอีกด้านหนึ่งของเหตุการณ์เอเลี่ยนบุกถล่มเมโทรโปลิสในหนัง Man of Steel ที่ Bruce Wayne ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง และโกรธแค้นที่ Superman สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองของเขา Bruce จึงพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้ง Superman ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนไปกว่านี้ และทางที่เดียวที่จะทำแบบนั้นได้ก็คือกำจัดเขาซะ การต่อสู้และห้ำหั่นกันระหว่างซุปเปอร์ฮีโร่ที่พยายามปกป้องเมืองทั้งคู่จึงเริ่มต้นขึ้น ในช่วงแรกของหนังเหมียวคิดว่าผู้กำกับ Zack Snyder พยายามเล่าเส้นเรื่องรองหลายเรื่องมากเกินไป จนช่วงแรกมีงงๆ บ้างว่าตกลงแล้วหนังจะเล่าเรื่องอะไรกันแน่ จนเวลาผ่านไปเกือบๆ 2 ชั่วโมง หนังก็เริ่มขมวดปมเข้ามาเรื่อยๆ จนพล็อตหนังมันชัดขึ้น ปัญหายังลามไปถึงฉากบางฉากในหนัง ที่เหมียวคิดว่า “ใส่เข้ามาทำไม?”…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] กังฟูแพนด้า 3 ตอบคำถามที่ค้างคาตั้งแต่ภาคแรก และปิดไตรภาค (?) อย่างสวยงาม
ดำเนินมาถึงภาคที่ 3 แล้ว สำหรับแฟรนไชส์แอนิเมชั่นทำเงินจากค่าย Dreamworks อย่าง Kung Fu Panda 3 ซึ่งภาคนี้เองจะมีการเปิดเผยความลับหลายๆ อย่างที่มีการปูมาตั้งแต่ภาคหนึ่ง ส่วนความสนุกจะเป็นไงนั้น ลองไปดูกันเลย Kung Fu Panda 3 จะยังคงโฟกัสเรื่องราวไปที่ตัวละครอย่างโป ที่ภาคนี้ตัวเองไม่ใช่พวกขี้แพ้แบบภาคแรกอีกต่อไป แต่กลายเป็นปรมาจารย์ด้านกังฟู ที่เก่งกาจจนหาใครเทียบยาก (ซึ่งคนดูอาจจะไม่ต้องลุ้นแล้วล่ะว่ามันจะแพ้ศัตรูหรือเปล่า) แต่วันหนึ่ง “ไค” อสูรร้ายที่อาศัยอยู่ในปรโลกก็ได้รวบรวมพลังจากปรมาจารย์กังฟูที่อยู่ที่นั้น เพื่อกลับมาอยู่บนโลกมนุษย์อีกครั้ง (จะว่าโลกมนุษย์ก็ไม่เชิง เพราะมีแต่สัตว์ทั้งนั้น) จึงเป็นหน้าที่ของโปที่ต้องปราบเจ้าไคลงให้ได้ เพราะมันอาจจะทำลายล้างสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้จนหมดก็เป็นได้ ไฮไลท์อย่างหนึ่งของภาคนี้ก็คือหมู่บ้านแพนด้าและลี (พ่อของโป) ที่มีการโปรโมทไว้ในตัวอย่างหลายๆ เวอร์ชั่น ซึ่งดูน่ารักมาก ลำพังแค่เราดูเจ้าโปตัวเดียวก็น่ารักแล้ว แต่นี่ขนกันมาทั้งหมู่บ้านแถมแต่ละตัวยังมีคาแรคเตอร์ที่ (ติงต๊อง) แตกต่างกันไป แต่#เหมียวฟิ้น รู้สึกขัดใจนิดๆ เพราะหนังใส่เวลาตรงนี้เยอะไปหน่อย ทำให้ดูยืดเยื้อ เนื้อเรื่องไม่ค่อยเดินไปข้างหน้าเท่าไหร่ (แต่บางคนอาจจะชอบดูเพลินๆ) แทนที่จะใส่รายละเอียดความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครบางตัวลงไป (เช่นเม่ย เม่ย ที่เหมือนจะโผล่มาเป็นนางเอก…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] Zootopia แอนิเมชั่นฮาๆ ที่สัตว์วิวัฒนาการเท่าคน ทั้งดูง่ายดูยาก สลับกันไปมา…
จากการได้ดูตัวอย่างหนัง ทำให้เหมียวรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ดู Zootopia มาก เพราะไอเดียของหนังดูน่าสนใจมากที่สมมติให้เหล่าสัตว์น้อยใหญ่มีวิวัฒนาการเหมือนมนุษย์ สามารถยืนสองขาและปฏิบัติทุกอย่างได้เหมือนมนุษย์เลย ล่าสุด#เหมียวฟิ้นเพิ่งไปดูมา จะเป็นไงลองไปดูกันเลย หนังว่าด้วยเรื่องของเจ้ากระต่ายน้อย Judy Hopps ที่ฝันอยากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมือง Zootopia แต่เมื่อได้มาประจำการที่นี่จริงๆ กลับไม่ง่ายเหมือนอย่างที่ฝัน เพราะที่นี่เต็มไปด้วยตำรวจกระทิง ตำรวจช้าง ตำรวจเสือ ซึ่งแต่ละตัวนั้นล้วนตัวใหญ่แข็งแรงทั้งนั้น เมื่อหัวหน้าเห็นว่าเธอเป็นเพียงกระต่ายตัวเล็กจึงปัดให้ไปทำงานง่ายๆ อย่างงานจราจร แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ได้รับมอบหมายให้ทำคดีใหญ่ เป็นการตามหาตัวเหล่าสัตว์ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ งานนี้เธอต้องร่วมมือกับ Nick สุนัขจิ้งจอกที่ใครๆ ก็บอกว่าไว้ใจไม่ได้ เรื่องราวจะลงเอยอย่างไรต้องไปติดตามดูกันได้โรงนะจ๊ะ ส่วนตัวเหมียวไม่รู้ว่าคาดหวังมากไปหรือเปล่า แต่หนังดูไม่ค่อยสุดเท่าไหร่ ในด้านความตลกก็ยอมรับว่าตลกอยู่ แต่มุกที่ฮาที่สุดน่าจะเป็นมุกสลอธ แต่มันดันตัดเอาไปใส่ในตัวอย่างแล้ว พอไปดูในโรงจริงๆ เลยฮากล้อมแกล้ม แต่มุกเกี่ยวกับพื้นฐานนิสัยของสัตว์แต่ละชนิดนี้ก็ฮาใช้ได้อยู่ ส่วนด้านเนื้อหา เหมียวว่ามันกึ่งๆ จะเป็นหนังผู้ใหญ่กึ่งๆ จะเป็นหนังเด็กยังไงไม่รู้ เพราะลักษณะการแสดงออกของตัวละครมันดูเด๊กเด็ก (แต่ถ้าแถว่าเพราะเป็นสัตว์ก็โอเค) การแก้ปัญหา การเปิดรับมิตรภาพ มันดูง่ายแบบเด็กๆ เลย เหมือนว่าตัวละครยังไม่ใช่ผู้ใหญ่ ทั้งที่การแต่งตัวและการพูดจาน่าจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่พอหนังดำเนินไปถึงช่วงกลางเรื่อง ช่วงที่ตัวละครก็เริ่มแก้ไข Conflict ที่ปูมาตอนต้นเรื่อง…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] Deadpool ฮีโร่+ฮา+เลือดสาด+สัปดน+เซ็กซ์+โรแมนติก นี่มันหนังอะไรกันแน่ฟร๊ะ!!!!
ในช่วงที่หนังฮีโร่เกลือนเมืองแบบนี้ หลายคนก็คงเบื่อหน่ายที่ต้องดูตามเรื่อยๆ ไหนต้องมานั่งจำชื่อฮีโร่ตัวนั้นตัวนี้ โอ๊ยยย บอกเลยว่าถ้าใครไม่ได้ชอบหนังฮีโร่จริงๆต้องมีมึนแน่ๆ อีกทั้งยังทำมาแบบเชื่อมกันด้วยนะ ถ้าไม่ดูภาคแรกๆ ก็งงไปอีก แต่สำหรับ Deadpool มันเป็นหนังที่ค่อนข้างแหกกฎความเป็นฮีโร่อยู่ไม่น้อยเลย แต่ก่อนอื่นเหมียวอยากแนะนำให้ทุกคนไปทำความรู้จักกับ Deadpool กับบทความ รวม 19 เรื่องราวที่คุณควรรู้ก่อนไปดู Deadpool ฮีโร่ซุปเปอร์เกรียน เสียก่อน เผื่อว่าคนที่ยังไม่ได้ไปดูจะได้ตัดสินใจ ต่อจากนี้จะเป็นความคิดเห็นของ #เหมียวสามสี ผู้ไปดูหนังมาเมื่อกี้ แล้วก็จะมาเล่ากันสดๆ เลยว่ารู้สึกยังไงกับหนังเรื่องนี้บ้าง ไม่มีสปอยนะจ๊ะ ก่อนอื่นเลย สิ่งที่คุณต้องเตรียมก่อนไปดูหนังเรื่องนี้คือคุณต้องมีสกิลการอ่านซับที่ไวพอประมาณ คุณต้องคุ้นเคยกับหนังฮีโร่มาบ้าง และเตรียมที่จะรับมือกับฉากที่มัน 18+ ไว้ ถึงแม้ว่าหนังมันจะจัดเรทไว้ที่ 15+ ก็ตาม พ่อแม่คนไหนที่จะพาลูกเล็กๆไปดู ขอบอกว่าอย่าเลย Deadpool เป็นหนังฮีโร่ที่ไม่ใช่หนังฮีโร่ เพราะมันไม่ใช่ฮีโร่ เราอาจจะเอียนกับหนังฮีโร่มาเยอะ แต่ Deadpool ได้ทำการรีเฟรชตัวเราจากหนังฮีโร่เดิมๆ สู่ฮีโร่ที่เต็มไปด้วยคำหยาบ เซ็กซ์ มุกตลก เลือดสาดซึ่งถือว่าบันเทิงมากๆ สำหรับคนที่ต้องการหนังที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คิดซะว่าคุณเสียเงินซื้อตั๋วเพื่อไปดูหนังตลกเรื่องหนึ่งก็ถือว่าคุ้มแล้ว ไม่ต้องไปสนว่าบทจะดีหรือไม่อย่างไร เพราะเหมียวขอจัดหมวดให้มันเป็นหนังตลกแทนหนังฮีโร่ ถึงแม้ว่าบางคนจะสับสนชื่อฮีโร่ที่มีอยู่เยอะมาก แต่ถ้าคุณได้ดู ชื่อ Deadpool จะเป็นที่จดจำของใครหลายคนเลยก็ว่าได้…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] Star Wars: The Force Awakens สานต่อเรื่องราวของเจไดคนสุดท้ายในกาแล็คซี่
ถ้านับว่านี่คือหนัง Star Wars ภาค 7 ที่ออกฉายห่างจากภาค 3 ก็ถือว่าภาคนี้ทิ้งระยะห่างไป 10 ปี แต่ถ้านับจากเรื่องราวในภาพยนตร์แล้ว นี่จะเป็นภาคต่อที่ทิ้งห่างจากภาคที่แล้วถึง 32 ปีเลยทีเดียว กลับมาคราวนี้ไม่ได้อยู่ในมือของศาสดาอย่าง George Lucas อีกต่อไปแล้ว แต่ถูกส่งไม้ต่อให้กับ J.J. Abrams ผู้กำกับไฟแรงที่เข้าวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดมาเพื่อฝันว่าวันหนึ่งจะได้กำกับหนัง Star Wars และแล้วเขาก็ทำได้จริงๆ เรามาดูกันดีกว่าว่าแฟรนไชส์ชุดนี้จะยังเปี่ยมมนต์ขลังอยู่หรือเปล่า? Star Wars: The Force Awakens จะดำเนินเรื่องราวต่อจากภาค Star Wars: Episode VI – Return of the Jedi ว่าด้วยเรื่องราว 30 ปีให้หลัง หลังจากที่ฝ่ายกบฎสามารถเอาชนะฝ่ายจักรวรรดิและโค่นซิธลงได้ แต่ความสงบสุขกลับอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะกลับมีกลุ่ม The First Order โผล่ขึ้นมา เพื่อสานต่อเจตจำนงของ Darth…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] The Good Dinosaur ไดโนเสารเพื่อนรัก แอนิเมชั่นเรื่องเยี่ยมจาก Pixar
นี่ถือเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องที่ 2 ต่อจาก Inside Out ของค่ายฟีลกู๊ดอย่าง Pixar เลยก็ว่าได้ สำหรับ The Good Dinosaur เรื่องราวการผจญภัยของไดโนเสาร์ตัวน้อยและเพื่อนมนุษย์ จะสนุก ซึ้ง น้ำตาไหลแค่ไหน เดี๋ยวเหมียวจะมาเล่าเอง The Good Dinosaur เป็นเรื่องราวสมมติที่สมมติว่าอุกาบาตไม่ตกใส่โลก และเหล่าไดโนเสาร์ไม่ได้สูญพันธุ์ไปจากโลก โดยจะเล่าเรื่องราวผ่านไดโนเสาร์วัยรุ่นที่ชื่อว่าเจ้าอาร์โล เขาเกิดในครอบครัวอันอบอุ่น ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่มีอุปสรรคใดๆ ให้ต้องกังวล แต่เจ้าอาร์โลกลับหวาดกลัวไปกับทุกๆ สิ่ง ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องพยายามฝึกสอนลูกน้อยให้กล้าเผชิญกับสิ่งต่างๆ แต่แล้วการผจญภัยก็เกิดขึ้น เมื่อเจ้าอาร์โลผลัดตกลงไปในแม่น้ำ ที่พัดพามันห่างออกไปไกลจากบ้าน ทำให้มันพยายามหาทางเอาตัวรอดจากธรรมชาติอันโหดร้าย ในระหว่างนั้นอาร์โลก็ได้พบเข้ากับสป็อต เด็กหนุ่มยุคหิน ที่แทบจะสื่อสารไม่เป็นเลย แม้ว่าทั้งคู่จะไม่ถูกชะตากัน แต่ทั้งคู่ก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อพากันกลับมายังบ้านของอาร์โลในที่สุด สิ่งแรกที่สร้างความประทับใจให้เหมียวตั้งแต่แรกเห็นเลยก็คืองานกราฟฟิคล่ะ ต้องบอกเลยว่าตั้งแต่ดูแอนิเมชั่นของ Pixar มา ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะทำได้เนี๊ยบสุดๆ แล้ว ใบไม้แต่ละใบพริ้วไหว แม่น้ำใสจนมองเห็นพื้นดินด้านล่าง หรือแม้แต่รายละเอียดบนผิวหนังของไดโนเสาร์ เหมียวก็คิดว่าเขาเก็บรายละเอียดได้ดีจนเราสังเกตเห็นได้เลย…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] การกลับมาของพยัคฆ์ร้าย 007 พร้อมเรื่องราวที่โยงไปยัง 3 ภาคก่อน
ถือเป็นการกลับมาครั้งที่ 4 แล้ว สำหรับพยัคฆ์ร้าย 007 ในเวอร์ชั่นของ Daniel Craig โดยในภาคนี้ใช้ชื่อตอนว่า Spetre ที่จะพูดถึงองค์กรลึกลับ ที่คอยอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์โศกนาฏกรรมต่างๆ ตลอด 3-4 ภาคที่ผ่านมา จะดูรู้เรื่องไหม สนุกเท่าภาคก่อนหรือเปล่า ไปดูรีวิวจากเหมียวกันเลย Spectre เล่าถึงเรื่องราวภาคต่อของสายลับ 007 ต่อจากภาค Sky Fall ที่ภาคที่แล้วตัวละคร M (Judi Dench) ได้เสียชีวิตไป แต่ก่อนตายเธอได้ส่งข้อความหา James Bond (Daniel Craig) โดยบอกให้เขาออกตามหาคนๆ หนึ่ง ซึ่งจะเชื่อมโยงไปยังองค์กรลับ Spectre องค์กร Spectre ไม่ใช่เพียงองค์กรก่อการร้ายเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวโยงไปกับอดีตของ Bond และทุกๆ คนที่เขาเคยเกี่ยวข้องด้วย ทุกๆ การตายมีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่ และ Bond ต้องตามหาให้ได้ว่า ใครคือผู้ที่ควบคุมและอยู่เบื้องหลังองค์กรชั่วร้ายนี้ ไม่รู้อะไรดลใจให้เหมียวหยิบภาค Skyfall…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] The Walk ภาพสวย ลุ้นระทึก เหมือนได้ยืนอยู่บนเชือกซะเอง
ใกล้ช่วงสิ้นปีมาเรื่อยๆ ฮอลลีวูดก็มักจะส่งหนังเด็ดๆ ที่หวังชิงออสการ์ออกมาให้เราได้ชมกันแบบไม่เว้นเลยทีเดียว ล่าสุดผู้กำกับอย่าง Robert Zemeckis(Cast Away, Forrest Gump และ Back to the Future ทั้ง 3 ภาค) ก็ได้ส่งหนังชีวประวัติที่ชวนลุ้นระทึกอย่าง The Walk มาให้เราได้ชมกันล่ะ The Walk คือภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเรื่องจริง ว่าด้วยเรื่องของ Philippe Petit(Joseph Gordon-Levitt) หนุ่มชาวฝรั่งเศสที่ฝันอยากจะสร้างงานศิลปะที่อุกอาจที่สุดในโลก อย่างการเดินบนเชือกแขวนระหว่างตึก World Trade Center ทั้ง 2 ตึก แต่การจะทำแบบนั้นได้ ต้องอาศัยทีมงานที่ไว้ใจได้และความกล้าบ้าบิ่นพอสมควร Philippe จึงรวบรวมพลเพื่อทำสิ่งที่โลกจะต้องจดจำเขาไปอีกนาน ความจริงแล้วหากเราอ่านเรื่องย่อเฉยๆ เราจะพบว่าหนังสามารถเล่าให้จบภายใน 10 นาทีแบบสาระคดีขนาดสั้นได้เลย แต่เมื่อเหมียวได้ดูจริงๆ ถึงได้รู้ว่าความสนุกของหนังอยู่ที่เรื่องราวระหว่างทาง ไม่ใช่ฉากจบที่นาย Philippe ขึ้นไปอยู่บนเชือกแล้วนั่นเอง แม้จะเป็นแค่เรื่องราวของชายเพี้ยนๆ ที่อยากจะเดินบนเชือกให้โลกตะลึง แต่หนังก็มีวิธีเล่าให้ดูสนุกสนานจนเราแทบไม่อยากละสายตาหรือรู้สึกเบื่อเลย หนังค่อยๆ…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] The Martian อิ่มเอมไปกับเรื่องราวของชายผู้โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย
ดูเหมือนว่าในระยะหลังมานี้เราจะได้ดูหนังเกี่ยวกับอวกาศกันแบบปีต่อปีเลยนะ เริ่มตั้งแต่ Gravity(2013), Interstellar(2014) และล่าสุดในปีนี้กับ The Martian หนังเอาตัวรอดในอวกาศเรื่องล่าสุดจากผู้กำกับ Ridley Scott ที่ปัจจุบันมีอายุปาเข้าไปแล้วกว่า 77 ปี เรามาดูกันดีกว่าว่าลุงแกจะฝีมือตกไปบ้างไหม The Martian กู้ตาย 140 ล้านไมล์ ว่าด้วยเรื่องราวการปฏิบัติภารกิจของเหล่านักบินอวกาศ แต่ในระหว่างที่ทั้งหมดกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้น พวกเขากลับเจอเข้ากับพายุบนดาวอังคารอย่างหนักจนต้องยกเลิกภารกิจ แต่โชคร้ายที่ Mark Watney(Matt Damon) นักพฤกษาศาสตร์ หนึ่งในนักบินเกิดประสบอุบัติเหตุจนทุกคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว คนอื่นๆจึงออกเดินทางกลับไปยังโลก แต่ความจริงแล้วเขายังไม่ตาย เขาจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดบนดวงดาวที่ไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ พร้อมกันนี้ก็ยังต้องพยายามติดต่อกลับมายังโลกเพื่อขอความช่วยเหลืออีกด้วย เนื่องจากเป็นหนังเกี่ยวกับอวกาศเหมือนกันกับ Interstellar และ Gravity จึงอดไม่ได้ที่แอดเหมียวจะหยิบเอามาเปรียบเทียบ โดย The Martian เป็นหนังอวกาศที่ใช้ศัพท์ได้ไม่ยากเท่า Interstellar ดูแล้วเข้าใจได้ง่าย ในขระเดียวกันก็ไม่ได้กดดันและคาร์คเท่ากับที่ Gravity เคยทำเอาไว้ แน่นอนว่าหนังเล่าเรื่องราวการเอาตัวรอดของนักบินอวกาศคนเดียว ซึ่งแค่ฟังจากเรื่องย่อก็เหงาและหดหู่มากแล้ว แต่ตัวละครหลักอย่าง Watney กลับไม่ได้ท้อแท้และปล่อยให้ตัวเองจมอยู่คนความสิ้นหวังเลย และยังพยายามดิ้นทนทุกอย่าง ทั้งซ่อมยาน ปลูกผัก คำนวนปริมาณอาหาร เปิดเพลงฟัง อีกทั้งยังพยายามคุยกับกล้องวิดีโอ ประหนึ่งคุยกับเพื่อนงั้นแหละ นอกจากเรื่องราวความสิ้นหวังบนความหวัง ภาพวิวบนดาวอังคารที่สวยงาม…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] Freelance ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ผิดคาดแต่รู้สึกดี
ผ่านไป 1 สัปดาห์แล้ว หลังจากที่ภาพยนตร์ Freelance ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ของผู้กำกับสุดแนว เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิาจารณ์จากผู้ชมไปแบบหลากหลายทีเดียว และเหมียวก็เพิ่งได้ไปดูมาเมื่อไม่นานนี้เอง หวังว่าคงไม่สายเกินไปที่จะเชียนรีวิวให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะ ความรู้สึกของเหมียวหลังจากได้ชมแล้วเป็นยังไง ลองมาดูกันเลย Freelance ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ว่าด้วยเรื่องของยุ่น(ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) หนุ่มฟรีแลนซ์ที่บ้างานแบบสุดๆ และคิดว่าร่างกายของตนเองสามารถแบกรับความเหนื่อยล้าได้แบบเครื่อจักร แต่ร่างกายของเราไม่เคยโกหกใคร วันหนึ่งยุ่นก็สัมผัสได้ว่ามีตุ่มประหลาดโผล่ขึ้นมาบนร่างกายของเขา ไอ้เจ้าตุ่มที่ว่านี่ก็ไม่ได้มาแค่เม็ดสองเม็ด แต่จู่โจมมาเป็นสิบ ยุ่นจึงตัดสินใจไปหาหมอและได้เจอกับหมออิม(ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่) แต่การพบกันครั้งนั้นทำให้ยุ่นเกิดความรู้สึกประหลาด จนอยากจะเจอหมออีกครั้ง ซึ่งเขามีโอกาสที่จะได้เจอหมออิมแค่ 1 วันต่อเดือน ในห้องตรวจคนไข้เล็กๆเท่านั้น ในขณะที่ต้องพยายามรักษาอาการผื่นคันบนร่างกาย ยุ่นก็ต้องต่อสู้กับวงการฟรีแลนซ์แสนโหดที่ประดังประเดเข้ามาแบบไม่ขาด ยุ่นจะต้องเลือกว่าเขาจะจัดการกับความรู้สึกที่มีต่อหมออิม อาการผื่นคันและหน้าที่การงานของเขาอย่างไร ในช่วงแรงของหนัง มีสไตล์การเล่าเรื่องที่สนุกสนาน มีมุกจิกกัดคนทำงานฟรีแลนซ์ให้เราได้เห็นตลอดเวลา คือเหมียวดูไปแล้วนี่มีขำตลอดอะ มุกแต่ละอย่างที่ใส่เข้ามามันตรงกับความจริงมาก ทั้งชีวิตการทำงานของฟรีแลนซ์ การพูดคุยกับลูกค้าสุดงี่เง่า เพื่อนร่วมงานสุดกวนตรีน…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] Inside Out เพราะชีวิตไม่ได้ “สุข” ตลอดเวลา
กลายเป็นภาพยนตร์ที่แอดเหมียวเทใจให้มากที่สุดของปีนี้เลย สำหรับ Inside Out ที่ขนมาทุกอารมณ์ ครบรสมากๆ ทั้งสนุสนาน ขำขัน ผจญภัย เศร้าสร้อย รวมมาไว้ในเรื่องเดียวเลย แถมหนังยังมีไอเดียที่ลำตามสไตล์ของ Disney Pixar ฉะนั้นไม่รอช้า ไปชมบทวิจารณ์ส่งเดชจากเหมียวกันเลย Inside Out ว่าด้วยเรื่องของหนูน้อยไรลีย์(Kaitlyn Dias)และครอบครัว ที่ต้องย้ายบ้านจากภาคกลางฝั่งตะวันตกของอเมริกา มาอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโก แต่หลังจากที่เธอได้ใช้ชีวิตและพยายามปรับตัวกับสถานที่ใหม่แล้ว กลับพบว่ามันไม่โอเคสำหรับเธอเลย จึงเป็นหน้าที่ของ Joy ตัวแทนแห่งความสุขที่อยู่ในหัวของไรลีย์ ต้องออกมาช่วยดูแลและควบคุมอารมณ์ของเธอ เพื่อให้เธอมีความสุขอยู่ตลอดเวลา และนอกจาก Joy แล้วยังมีตัวแทนอามรณ์อื่นๆอย่างเช่น Sadness(แทนอารมณ์เศร้า), Fear(แทนอามรณ์วิตกกังวล), Anger(แทนอารมณ์โกรธ), Disgust(แทนอารมณ์ขยะแขยง) ที่ต้องคอยควบคุมให้อารมณ์ของไรลีย์อยู่บนความสมดุลตลอดเวลา จริงๆแล้วเหมียวอยากจะเล่าเรื่องย่อมากกว่านี้ แต่เนื้อเรื่องจริงๆมันมีเท่านี้จริงๆ เรื่องราวทั้งหมดสามารถเล่าให้จบได้ภายใน 10 นาทีเลย แต่ความสนุกมันอยู่ตรงที่ตัวอารมณ์ต่างๆในเรื่อง ที่มักจะวุ่นวาย และสร้างความปั่นป่วน ต้องมาร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือตัวละครอย่างไรลีย์ให้ฝ่าอุปสรรคต่างๆไปให้ได้ หน้าหนังอาจจะดูเหมือนหนังเด็ก ที่สามารถเฮฮากันได้ทั้งครอบครัว ซึ่งตรงนี้เหมียวก็ถือว่ามันทำหน้าที่ได้ดีมาก แม้จะมีรายละเอียดและจินตนาการที่สูงปรี๊ด แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยากเลย…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] “Dark Places ฆ่าย้อน ซ้อนตาย” คุยๆ เนิบๆ เรื่อยๆ
หลังจากที่แอดเหมียวเคยประทับใจจาก Gone Girl ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายจากปลายปากกา Gillian Flynn ไปเมื่อปลายปี 2014 มาปีนี้เหมียวได้ข่าวว่าจะมีหนังใหม่ที่ชื่อว่า Dark Places ซึ่งเป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายของ Gillian Flynn เช่นกัน ทำเอาเหมียวถึงกับตื่นเต้นเลย และเหมียวก็มีโอกาสไปดูมาเมื่อวานนี้เอง เดี๋ยวเหมียวจะมาวิจารณ์ส่งเดชให้อ่านเองว่า มันดีหรือไม่ดียังไง Dark Places ว่าด้วยเรื่องราวของ Libby Day(Charlize Theron) หญิงสาวที่รอดตายจากเหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่ในบ้านของตนเองเมื่อ 25 ปีก่อน โดยพี่ชายของเธอ Ben Day(Corey Stoll) ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนลงมือฆ่าแม่และน้องๆของตนเอง วันหนึ่ง Libby ได้ถูกกลุ่มลึกลับที่ชื่อว่า Kill Club (เป็นกลุ่มที่รวบรวมเอาเหล่าผู้คนที่ชื่นชอบการสืบคดีอาชญากรรมที่ยังไม่สามารถไขให้กระจ่างได้) ติดต่อมาหา และอาสาจะไขคดีให้ โดยแลกกับข้อมูลบางอย่างที่มีเพียง Libby เท่านั้นที่เป็นคนรู้ ในช่วงแรกของหนังจะเป็นการ Set Up ตัวละคร เพื่อให้เรารู้ถึงที่มาที่ไป และบุคลิกตัวละคร อาจจะมีเนิบๆบ้าง เหมียวก็ไม่คิดมากอะไร…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] Mission: Impossible – Rogue Nation มันส์จนลืมหายใจ!!
ถือเป็นแฟรนไชส์ที่ฆ่าไม่ตายจริงๆ และยิ่งสร้างภาคต่อออกมาก็ยิ่งเรียกคนดูได้มากขึ้นเรื่อยๆเลย สำหรับ Mission: Impossible ที่ภาคนี้ใช้ชื่อว่า Rogue Nation ซึ่งจากภาคที่แล้วทำเอาไว้ดีมาก เรียกว่าเป็นหนังบันเทิงที่ครบเครื่องเรื่องความมันส์เลยก็ว่าได้ มาภาคนี้จะยังคงรักษามาตรฐานเดิมไว้ได้หรือไม่ เหมียวจะมาวิจารณ์แบบส่งเดชเอง Mission: Impossible Rogue Nation ว่าด้วยเรื่องของหน่วย Impossible Mission Force (IMF) ที่ถูกสั่งปิดไปโดยเจ้าหน้าที่ CIA ระดับสูงอย่าง Alan Hunley(Alec Baldwin) แต่ Ethan Hunt(Tom Cruise) ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และยังดึงเอาทีมงามของเค้า (Jeremy Renner, Simon Pegg และ Ving Rhames) กลับมารวมตัวอีกครั้งเพื่อต่อสู้กับองค์กรลับที่มีชื่อว่า “The Syndicate” และสืบว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังองค์กรลับนี้ ตัวหนังเองยังคงอุดมไปด้วยฉากแอ็คชั่นมันส์ๆสไตล์ Mission: Impossible โดยในภาคนี้มีซีนใหญ่ๆอยู่หลายซีน ไม่ว่าจะเป็นซีนปีนเครื่องบิน ซีนดำน้ำ ซีนไล่ล่าด้วยมอเตอร์ไซค์ ซึ่งแต่ละอันนั้นทำได้ดีมากๆ ความดีความชอบตรงนี้อาจจะต้องยกให้กับ Tom Cruise เลยก็ว่าได้ เพราะพี่แกลงทุนเล่นฉากเสี่ยงตายเองหมดเลย ยิ่งซีนขี่มอเตอร์ไซค์…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] Southpaw หนักแน่น เจ็บปวด ไปกับชีวิตบนผืนผ้าใบ
ถือเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่เหมียวเสียน้ำตาให้เยอะมากเลยในปีนี้ สำหรับ Southpaw สังเวียนเดือด ที่เป็นการพลิกบทบาทอีกครั้งของนักแสดงหนุ่มหล่ออย่าง Jake Gyllenhaal จากหนุ่มผอมแห้งให้กลายมาเป็นนักมวยล่ำบึก แต่นอกจากกล้ามล่ำๆและหน้าหล่อๆของพ่อ Jake ทางด้านเนื้อเรื่องก็เข้มข้นไม่แพ้กัน ส่วนจะเป็นไงนั้น เดี๋ยวเหมียวจะมาเล่าเอง Southpaw ว่าด้วยเรื่องของ Billy Hope(Jake Gyllenhaal) นักมวยรุ่นไลท์เฮฟวี่เวธผู้เกรี้ยวกราด มีประวัติการชกที่ชนะแบบนับแต้มและชนะน็อคมาแล้วไม่ถ้วน วันหนึ่งเขาได้เจอการท้าทายจากนักมวยรายหนึ่ง ที่กล่าวหาว่าเขานั้นเป็นเพียงนักมวยเพื่องานโชว์เท่านั้น ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท แต่กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเมื่อภรรยาของเขา(Rachel McAdams)ดันโดนลูกหลงจากเหตุการณ์ดังกล่าวจนเสียชีวิต ทำให้ Billy และลูกสาว (Oona Laurence) ต้องจมอยู่กับความเศร้า หนำซ้ำชีวิตของพวกเขาก็ต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สินมากมาย แถมศาลยังสั่งให้ทั้งคู่ต้องแยกจากกันเพราะ Billy ไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นพ่อคนได้ Billy จึงต้องหางานทำและพยายามกลับขึ้นสังเวียนเพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ใน Southpaw มีการดัดแปลงมาจากชีวิตจริง แต่ดูเหมือนว่าหนังจะไม่ได้เน้นตรงนี้เท่าไหร่ และมีการเพิ่มเติมเรื่องดราม่าเข้าไปอีก(เพื่อให้ได้อารมณ์แบบภาพยนตร์) แต่ต้องขอชื่นชมมือเขียนบท ที่สามารถแบ่งบทบาทของตัวละคร ให้แต่ละคนมีช่วงที่โชว์ซีนอารมณ์เป็นของตัวเอง ตั้งแต่พระเอก ไล่ไปจนถึงตัวละครครูฝึก Tick Wills(Forest Whitaker) ที่ดูมีพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน และที่เหมียวชอบเป็นพิเศษคือ ทุกๆฉากที่พระเอกต้องคุยกับลูกนี่แหละ มันบาดใจเสียจริงๆ สิ่งหนึ่งที่ไม่ชมไม่ได้ก็คือการแสดงของ Jake Gyllenhaal นี่แหละ เพราะหากใครได้ดูหนังก่อนหน้าของเขาอย่าง Nightcrawler เมื่อปี 2014…
-
[วิจารณ์ส่งเดช] การกลับมาของ Minions ก็เหมือนการกินผงชูรสที่ขาดเส้นบะหมี่
ถือเป็นการกลับมาครั้งที่ 3 แล้วสำหรับเจ้าตัวมินเนียน มาคราวนี้เป็นการกลับมาแบบเดี่ยวๆ โดยไม่มีมิสเตอร์กรู และเหล่าเด็กๆทั้ง 3 กลับมาคราวนี้จะฮษเหมือนเดิม หรือมีอะไรใหม่ๆให้เราได้เซอร์ไพรซ์กันอีกหรือไม่ แอดเหมียวจะมารีวิวเอง Minions จะย้อนกลับไปเล่าเรื่องราวของเหล่ามินเนียนตั้งแต่สมัยยุคดึกดําบรรพ์ที่โลกยังไม่มีมนุษย์ถือกำเนิดขึ้น เหล่ามินเนียนมีความฝันเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือได้กลายเป็นลูกสมุนของหัวหน้าที่ยิ่งใหญ่สักคน แต่ไม่ว่าพวกมันจะไปเป็นลูกน้องหรือรับใช้ใครก็ตาม หัวหน้าของพวกมันก็มักจะมีอันต้องเป็นไปทุกราย เวลาล่วงเลยมาถึงยุคปัจจุบัน ที่เหล่ามินเนียนต้องออกตามหาเจ้านายใหม่ วันหนึ่งพวกมันก็ได้ไปงาน Villian-Con และเจอกับวายร้ายสาวสวยอย่าง Scarlett Overkill(Sandra Bullock) พวกมันจึงขอเป็นลูกสมุนและออกปฏิบัติภาระกิจให้กับเธอ แต่แน่นอนว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกมันโผล่ออกมา ความวายป่วงก็เกิดขึ้น เนื่องจากหนังเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต ในช่วงยุค 60 มันจึงเปิดโอกาสให้หนังสามารถเอาเหตุการณ์ในยุคนั้นมาล้อได้อย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ประธานาธิบดี Richard Nixon ลงเลือกตั้ง ช่วงที่สหรัฐส่งยานอวกาศไปยังดวงจันทร์ และเหตุการณ์ต่างๆอีกมากมาย โดยใส่เจ้ามินเนียนให้เข้าไปป่วยอยู่ในทุกๆเหตุการณ์ หากใครมีพื้นตรงนี้มาบ้างก็น่าจะเพิ่มความฮาเข้าไปอีกหน่อย เหล่ามินเนียนยังคงทำหน้าที่ได้ดีเหมือนอย่างในหนัง 2 ภาคแรกที่พวกมันปรากฏตัวออกมาอย่าง Despicable Me และ Despicable Me 2 ที่โผล่ออกมาสร้างสีสันประหนึ่งเป็นผงชูรสชั้นเยี่ยมให้กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่การจะกินบะหมี่ให้อร่อยนั้นก็ต้องอาศัยเส้นและผงชูรสควบคู่กันไป จะคาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ เมื่อไม่มีเรื่องราวของ Gru หรือเด็กๆ 3 คนอย่าง Margo, Edith และ Agnes แล้ว…