Tag: วิทยาศาสตร์
-
นักวิทย์ฯ จีนค้นพบวิธีการเปลี่ยน ‘ทองแดง’ เพื่อใช้แทน “ทองคำ” ในแผงวงจร!!
ในวันนี้นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนได้ค้นพบวิธีการเปลี่ยน “ทองแดง” ให้กลายเป็นแร่ใหม่ที่มีคุณสมบัติเกือบเหมือน “ทองคำ” เรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรกับการเล่นแร่แปรธาตุเลยทีเดียว การวิจัยทดลองครั้งนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงวารสาร Science Advances เมื่อวันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2018 โดยมีทีมนักวิจัยชาวจีนจากสถาบันฟิสิกส์เคมีต้าเหลียน (DICP) ในวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ เมืองต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน เป็นผู้ดำเนินการ ในรายงานระบุว่า Sun Jian ศาสตราจารย์จาก DICP และคณะผู้ช่วยนั้นสามารถจำลองแร่ธาตุที่มีลักษณะเหมือนทองคำขึ้นได้ด้วยวิธีการยิงแก๊สอาร์กอนที่ร้อนและเต็มไปด้วยประจุไฟฟ้าเข้าใส่ทองแดง วิธีนี้จะทำให้ละอองอนุภาคที่เคลื่อนตัวเร็ว ได้เข้าไปชนกับอะตอมในทองแดงจนแยกออก และเมื่ออะตอมทั้งหมดเย็นลงและควบแน่นอยู่บนพื้นผิว มันก็จะเกิดสสารลักษณะคล้ายเนื้อทรายขึ้นเป็นชั้นบางๆ เม็ดทรายดังกล่าว จะถูกนำไปยังหอเผาไหม้เพื่อใช้มันเป็นตัวทำละลายเปลี่ยนถ่านหินให้กลายเป็นแอลกอฮอล์ และกระบวนการนี้เองที่พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณสมบัติที่เปรียบเสมือนเงินหรือทองคำ ในด้านการนำกระแสไฟฟ้าได้ดี อย่างไรก็ตาม ผลการทดลองในครั้งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์จะผลิตทองคำเพื่อขาย แต่จะมีประโยชน์มากสำหรับอุตสาหกรรมผลิตแผงวงจรไฟฟ้าที่จำเป็นต้องมี “ทองคำ” เป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้ทางทีมวิจัยยังกล่าวอีกว่า สสารใหม่ที่เกิดจากทองแดงนี้ยังมีคุณสมบัติต้านทานความร้อน การสูญเสียโมเลกุล และการกัดกร่อน ได้อีกด้วย ที่มา: sciencemag, scmp via nextshark
-
ผู้เชี่ยวชาญ NASA เสนอว่า จริงๆ แล้วมนุษย์ต่างดาวอาจเคยมาเยือนโลก แต่เราไม่รู้ตัว!!
เรื่องราวและปริศนาจากนอกโลกสำหรับวันนี้มีอยู่ว่า ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การ NASA ได้ออกมาเตือนว่า ครั้งหนึ่งมนุษย์ต่างดาวทรงปัญญาอาจเคยมาเยือนโลก แต่พวกเราแค่ไม่รู้ตัว โดย Silvano P. Colombano ผู้เชี่ยวชาญจาก NASA เชื่อว่ามนุษย์เราต้องพลาดบางอย่างไปแน่ๆ เกี่ยวกับการมาเยือนของมนุษย์ต่างดาว เพราะทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวในปัจจุบันนั้นแคบจนเกินไป Colombano เขียนอธิบายในรายงาน ถอดรหัสปัญญามนุษย์ต่างดาว เอาไว้ว่า… “ผมอยากจะชี้แจงว่ามนุษย์ต่างดาวทรงปัญญาที่เราคิดว่าจะได้เจอนั้น มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาไม่ได้มีร่างกายที่สร้างขึ้นจากคาร์บอนเป็นหลักอย่างเรา” เขายังเชื่ออีกว่ามนุษย์ต่างดาวนั้นมีวิถีการใช้ชีวิต ภูมิปัญญา และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่ามนุษย์หลายเท่านัก ซ้ำยังสามารถเดินทางข้ามดาวได้อย่างเชี่ยวชาญ เขากล่าวว่า “เราอาจต้องย้อนดูทฤษฎีต่างๆ กันใหม่ สำหรับเรื่องของการเดินทางข้ามดวงดาวนั้น บางที่อายุขัยของมนุษย์เราก็อาจไม่ได้เป็นอุปสรรคอีกต่อไป อีกอย่างมันเป็นไปได้ที่พวก ‘นักสำรวจ’ (มนุษย์ต่างดาว) จะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาที่ตัวเล็กมากๆ จนเราไม่รู้สึกถึงการมาเยือน” นอกจากนี้ Colombano ยังเตือนให้เห็นถึงปัญหาในการพัฒนาเทคโนโลยีของชาวโลกอีกด้วยว่า… “ลองพิจารณาดูว่า ความเจริญของมนุษย์เริ่มขึ้นเมื่อ 10,000 ปีก่อน แต่วิทยาศาสตร์นั้นเพิ่งเริ่มพัฒนาเมื่อ 500 ปีที่ผ่านมานี้เอง ฉะนั้น เราไม่อาจคาดการณ์ถึงการวิวัฒนาการของเทคโนโลยีในภายภาคหน้าได้เลย ต่อให้เป็น 1,000 ปีข้างหน้า หรืออีก 6,000…
-
จีนล้ำอีกขั้น สร้าง “ดวงอาทิตย์เทียม” ปล่อยพลังงานร้อนแรงกว่าของจริงถึง 6 เท่า!!
หลังจากข่าวคราวการสร้าง “พระจันทร์เทียม” ของประเทศจีนที่เพิ่งประกาศไปเมื่อไม่นานมานี้ วันนี้ชาวแดนมังกรกลับมาพร้อมกับข่าวคราวของการสร้าง ดวงอาทิตย์เทียม อีกแล้ว! อ่านข่าวเก่า: จีนสร้าง “พระจันทร์เทียม” ให้แสงสว่าง แทนการใช้กระแสไฟฟ้า เตรียมปล่อยปี 2020 นี้! สถาบันฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ของวิทยาลัยวิทยาศาสตร์จีนในนครเหอเฝยได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าได้สร้างดวงอาทิตย์จำลองขึ้นมาได้สำเร็จเมื่อวันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน 2018 ดวงอาทิตย์จำลองนี้มีชื่อจริงๆ ว่าเตาปฏิกรณ์ Experimental Advanced Superconducting Tokamak (EAST) ซื่งสร้างความร้อนได้สูงถึง 100,000,000 องศาเซลเซียส ซึ่งความร้อนระดับนี้ถือว่าสูงกว่าแกนกลางของดวงอาทิตย์จริง (14,900,000 องศาเซลเซียส) ราว 6 เท่าเลยทีเดียว ทางสถาบันฟิสิกส์วิทยาศาสตร์อธิบายถึงจุดประสงค์ของ EAST หรือดวงอาทิตย์เทียมนี้ว่าสร้างขึ้นมาเพื่อ “จำลอง” กระบวนการสร้างพลังงานของดวงอาทิตย์จริง ทางสถาบันยังเชื่ออีกว่าการสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาจะช่วยทำให้ค้นพบเคล็ดลับในการสร้างปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันบนโลกมนุษย์ แม้ EAST จะมีสร้างความร้อนได้สูงถึง 100 ล้านองศาเซลเซียส แต่ความร้อนระดับนี้ก็เป็นเพียงความร้อนขั้นต่ำที่สุดในการจุดปฏิกิรยานิวเคลียร์ฟิวชันบนโลก อย่างไรก็ตาม ผลงานดวงอาทิตย์จำลองนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวของวิทยาการมนุษย์ เพราะมันอาจกลายเป็นแหล่งสร้างพลังงานบริสุทธิ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์อีกด้วย ที่มา: nextshark และ Shanghaiist
-
เรื่องราวของเด็กหนุ่มอายุ 17 ปีที่สร้าง “เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์” ขึ้นได้ด้วยตัวคนเดียว!
เรื่องราวในวันนี้เป็นเรื่องราวจากปี 1994 ของ David Charles Hahn ที่มีแล็บทดลองวิทยาศาสตร์ลับๆ อยู่หลังบ้านเพื่อสร้างเป็น เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ในโรงเก็บของเล็กๆ หลังบ้าน David เด็กหนุ่มวัย 17 ปีได้ใช้เป็นพื้นที่สร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ จากแบตเตอรี นาฬิกาเก่าๆ ตะเกียง ยูเรเนียม และเทปกาว David เริ่มการทดลองทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ซึ่งขณะนั้นเขาชื่นชอบศาสตร์เคมีอย่างมาก แถมเป็นช่วงที่พ่อแม่ของเขาแยกทางกัน ทำให้เขาได้มีเวลาทำการทดลองได้มากขึ้น David ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือ The Golden Book of Chemistry Experiments ที่คุณปู่ของเขาให้มาเป็นของขวัญตอนอายุ 10 ขวบ David มักอยู่ลำพัง พอโตขึ้นเขาก็เริ่มทำงานหาเงินมาซื้ออุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการทดลอง หลายครั้งเขาและเพื่อนผู้ร่วมอุดมการณ์ตั้งแคมป์กันยามค่ำคืน เขาและเพื่อนมักจุดไฟเพื่อสร้างดอกไม้ไฟ แต่ไฟก็ได้ลามไปติดกองแม็กนีเซียมเข้าและเกิดการระเบิดหลายครั้งจนพ่อแม่เขาได้ยิน แต่ที่แย่ที่สุดคือ ครั้งหนึ่ง David เคยทำให้เกิดระเบิดรุนแรงชนิดที่ว่าทำลายห้องแล็บชั้นใต้ดินของบ้านเขาจนเละ ตัวเขาต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล มันเกิดจากการที่เขานำฟอสฟอรัสสีแดงบรรจุเอาไว้ในขวด…
-
จีนสุดล้ำ สร้าง “ฐานทัพดาวอังคารจำลอง” ให้ความรู้เยาวชน กลางเวิ้งทะเลทราย
ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทั้งยิ่งใหญ่และสร้างสรรค์เอามากๆ สำหรับ Mars simulation base หรือ ฐานทัพดาวอังคารจำลอง ของประเทศจีน เพราะสิ่งก่อสร้างดังกล่าวนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นทั้งสถานีวิจัยและสถานที่ท่องเที่ยวไปด้วยในตัว และยังใช้งบประมาณการสร้างมากถึง 61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,989 ล้านบาท) อีกด้วย ฐานทัพจำลองดังกล่าวสร้างขึ้นบนพื้นที่ห่างไกลในเวิ้ง ทะเลทรายโกบี โดยภายในจะมีส่วนสำหรับ “พักอาศัย” ที่ออกแบบให้เหมือนกับการใช้ชีวิตบนพื้นผิวดาวอังคารเลยทีเดียว ชมคลิปวิดีโอ “ฐานทัพดาวอังคารจำลอง” ฐานทัพนี้ถูกสร้างขึ้นภายใต้โครงการ C Space Plan เป็นโครงการสร้างองค์ความรู้ทางอวกาศให้กับเยาวชน ตามวิสัยทัศน์ของภาครัฐที่มุ่งเน้นพัฒนาเด็กๆ สู่การเป็นนักบินอวกาศรุ่นใหม่ สถานที่แห่งนี้นับเป็นสิ่งก่อสร้างแรกของจีนที่เป็นทั้งสถานที่ให้ความรู้และสถานที่ท่องเที่ยวไปด้วยในตัว นอกจากนี้มันยังถูกใช้เป็นโลเคชันสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์อีกด้วย บรรยากาศและภูมิทัศน์ภายนอกนั้นมีความคล้ายคลึงกับพื้นผิวดาวอังคารมาก เพราะเต็มไปด้วยดินและหินสีแดง ส่ายภายในนั้นออกแบบให้เหมือนกับฐานทัพสำรวจดาวอังคาร และยังมีกิจกรรมจำลองการใช้ชีวิตบนดาวอังคารอีกด้วย ภายในจะถูกแบ่งเป็นส่วนๆ เช่น ส่วนพักอาศัย ส่วนแล็บวิทยาศาสตร์ และห้องวิจัย เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้มาเยือนยังมีโอกาสได้สัมผัสการออกสำรวจดวงดาว และต้องสวมชุดอวกาศอีกด้วย ล่าสุดทางการประเทศจีนก็ได้เปิดฐานทัพจำลองนี้ ให้กับสื่อหลายๆ ฝ่ายได้เข้าชมแล้ว…
-
19 เกร็ดความรู้เจ๋งๆ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “ความรู้ของเรา” ยังน้อยนิดนักสำหรับโลกใบนี้
การศึกษาและวิจัยในหลายๆ แขนงของมนุษย์ทำให้เราได้ทราบถึงเหตุและผล ข้อดีข้อเสีย หรือประโยชน์และโทษของสรรพสิ่งต่างๆ เท่าที่มนุษย์จะหยั่งถึงได้ แต่การศึกษาวิจัยนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง มีการค้นพบใหม่ๆ เกิดขึ้นมาแทนที่ความรู้เก่าๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง วันนี้เราจึงขอนำเสนอ ข้อเท็จจริง 19 ข้อ ที่ถือว่าเป็น “เกร็ดความรู้” ใหม่ๆ ให้ท่านผู้ชมได้รับทราบกัน จะมีสาระความรู้อะไรบ้าง ไปชมพร้อมๆ กันเลย… 1. โอกาสที่น้ำดื่มคุณจะปนเปื้อนโมเลกุลจาก “ฉี่ไดโนเสาร์” คือประมาณ… 100 เปอร์เซ็นต์!! จาก dailymail 2. อ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์ในที่มืด แค่ทำให้ตาล้าเร็วกว่าเดิม ไม่ได้ส่งผลเสียต่อสายตาของคุณแต่อย่างใด จาก health.harvard 3. ในอวกาศจะไม่ได้ยินเสียงใดๆ แต่จะได้กลิ่นแปลกๆ เช่น กลิ่นควันดีเซล กลิ่นดินปืน และกลิ่นบาร์บีคิว เป็นต้น จาก popsci 4. แพะมีตาดำเป็นทรง “สี่เหลี่ยมผืนผ้า” จาก science20 5. เต่าบางชนิดสามารถหายใจทาง “ก้น” ได้ด้วยล่ะ จาก infinitespider …
-
10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ‘โลกของเรา’ ที่จะทำให้เพื่อนๆ รู้จักกับดาวเบี้ยวๆ ดวงนี้มากขึ้น!!
‘โลก’ก็เปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังใหญ่ของเรา ที่มีสิ่งมีชีวิตมากมายเป็นล้านๆ ชีวิตอาศัยอยู่ แน่นอนว่าโลกของเรานั้นกว้างใหญ่ไพศาลและมีเรื่องราวอีกมากมายที่เราอาจจะยังไม่เคยรู้ สำหรับวันนี้ #เหมียวหง่าว อยากจะขอพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับ ‘โลก’ ที่เป็นเสมือนกับบ้านของเรากันสักหน่อยดีกว่า รับรองว่าเพื่อนๆ จะต้องว้าวอย่างแน่นอน!! 1. แผ่นเปลือกโลก ช่วยให้โลกของเรารู้สึกสบายยิ่งขึ้น โลกนั้นเป็นดาวเพียงดวงเดียวในระบบสุริยะที่มี ‘แผ่นเปลือกของดวงดาว’ และมันก็กระจายกันออกไปแบ่งเป็นทวีปต่างๆ เจ้าแผ่นเปลือกโลกนี้จะมีกระบวนการในการเคลื่อนที่อยู่แทบจะตลอดเวลา และเจ้ากระบวนการนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้โลกของเราสามารถถ่ายเทก๊าซคาร์บอนออกไปสู่นอกชั้นบรรยากาศได้อีกด้วย เพราะสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในมหาสมุทรเมื่อตายไป ก็จะตกลงไปสู่ที่ก้นของมหาสมุทร และเวลาผ่านไปนานหลายปีก็จะทับถมจนเกิดเป็นคาร์บอน จากนั้นมันก็จะถูกส่งขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศและทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ หากแผ่นเปลือกโลกไม่เคลื่อนไหว กระบวนการระบายคาร์บอนออกไปก็จะไม่เกิดขึ้นและทำให้โลกร้อนระอุ กลายเป็นดวงดาวที่เต็มไปด้วยเปลวไฟก็เป็นได้ 2. จริงๆ แล้วโลกของเราไม่ใช่ทรงกลม แต่เป็นทรง ‘เกือบกลม’ ต่างหาก!! หลายๆ คนคิดว่าโลกของเรานั้นเป็นทรงกลม แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้น เพราะจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ได้ข้อสรุปมาแล้วว่าโลกของเรามีลักษณะเป็นทรงวงรี นั่นเป็นเพราะโลกของเรามีการหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้รูปร่างของมันปรับเปลี่ยนไปตามแกนหมุน ซึ่งหากวัดขนาดจากขั้วโลกเหนือไปขั่วโลกใต้จะมีความแตกต่างกับวัดจากเส้นศูนย์สูตรเพียงแค่ 43 กิโลเมตรเท่านั้น 3. ในโลกของประกอบไปด้วยธาตุเหล็ก ออกซิเจน และ ซิลิคอน เกือบจะทั้งหมด…
-
นักวิทย์ฯ ฟื้นคืนชีพ ‘หนอนตัวกลม’ ที่ถูกแช่แข็ง 40,000 ปี กลับมามีชีวิตอีกครั้ง!!
ว่ากันว่าหากสิ่งมีชีวิต ‘ถูกแช่แข็ง’ เอาไว้ จะทำให้มีชีวิตยืนยาวได้เป็นร้อยๆ หรือพันๆ ปี!? ดังที่เรามักจะเห็นกันในหนังแนวไซไฟ หรือแนววิทยาศาสตร์ที่มีตัวร้ายถูกแช่แข็งเอาไว้ พอเอามาละลายก็ทำให้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่านักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองและสามารถทำให้หนอนที่ถูกแช่แข็งมาตั้งแต่ยุคแมมมอธ ให้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง!! จากรายงานล่าสุดของเว็บไซต์ Dailymail ทำให้ทราบว่าตอนนี้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำให้หนอนที่ถูกแช่แข็งมาตั้งแต่ยุคน้ำแข็ง หรือราวๆ 42,000 ปีก่อน ให้มันสามารถกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง เจ้าหนอนชนิดนี้มีชื่อว่า ‘หนอนตัวกลม’ (Nematodes) ที่ถูกแช่แข็งและหยุดเวลาชีวิตเอาไว้ในยุคน้ำแข็ง Pleistocene หรือยุคที่แมมมอธขนยาวยังมีชีวิตอยู่ การทดลองนี้ทำขึ้นที่ห้องแล็บของสถาบัน Physico-Chemical and Biological Problems of Soil Science ณ กรุงมอสโกประเทศรัสเซีย ทีมนักวิจัยได้ร่วมมือกันกับนักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัย Princeton University จากรัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ลงมือชุบชีวิตเหล่าหนอนที่เก็บตัวอย่างมาได้มากกว่า 300 ตัว แต่สุดท้ายแล้วมีเพียง 2 ตัวเท่านั้นที่ฟื้นคืนชีพกลับมาได้ เจ้าหนอนเหล่านี้ถูกเจ้าหน้าที่ธรณีวิทยาเก็บสะสมมาเป็นระยะเวลายาวนาน และตัวที่ฟื้นขึ้นมาก็เก็บได้จากแม่น้ำ Alazeya เมื่อปี 2015 จากการตรวจสอบคาดว่าพวกมันอาจมีชีวิตมานานกว่า 41,700 ปี…
-
11 ฟอสซิลจากยุคดึกดำบรรพ์ที่ “แปลกและเจ๋งที่สุด” เท่าที่เคยมีการค้นพบมาเลยล่ะ!!
ฟอสซิล ถือเป็นหลักฐานทางโบราณคดีชั้นยอดที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดี หรือนักศึกษาซากดึกดำบรรพ์นั้น เข้าถึงใจยุคสมัยแรกเริ่มได้เป็นอย่างดี หลายครั้งที่ฟอสซิลทำให้เราเห็นว่าโลกเราสมัยโบราณนั้นมีสิ่งชีวิตประเภทใดอาศัยอยู่บ้าง และครั้งนี้มันไม่ธรรมดาตรงนี้ เราได้รวบรวมฟอสซิล “สุดเท่” ที่เห็นได้ไม่ง่าย มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง… 1. ฟอสซิลหางไดโนเสาร์ นี่เป็นฟอสซิลที่หายากที่สุดเลยล่ะ นักวิทยาศาสตร์และนักศึกษาซากดึกดำบรรพ์ ได้แกะรอยไปจนพบกับอัญมณีสีเหลืองน้ำตาล ที่เรียกว่า “อำพัน” ซึ่งมีซากขนนกอยู่ข้างในนั้น จึงเข้าใจได้ว่า ในยุคไดโนเสาร์ มีไดโนเสาร์ชนิดหนึ่งที่มีหางปกคลุมไปด้วยขนคล้ายขนนก ที่มา: http://www.sci-news.com/paleontology/feathered-dinosaur-tail-burmese-amber-04437.html 2. ฟอสซิลวิลอซิแรปเตอร์ที่กำลังต่อสู้กับเหยื่อของมันอยู่ หลักฐานชิ้นนี้กลายเป็นฟอสซิล ขณะที่ไดโนเสาร์วิลอซิแรปเตอร์กำลังโจมตีโปรโตเซอราทอปส์ แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะยังไม่รู้แพ้รู้ชนะกัน แรปเตอร์นั้นใช้กรงเล็บแทงไปที่ตัวโปรโตเซอราทอปส์ กลับกันเจ้าโปรโตเซอราทอปส์ ก็ใช้ขากรรไกรอันทรงพลังกัดแขนของแรปเตอร์จนแตกหัก แต่ยังไม่ทันรู้ผลทั้งคู่ก็ต้องตายและกลายเป็นฟอสซิลหลังเนินทรายถล่มลงมาทับร่าง ที่มา: https://www.newscientist.com/article/mg22530090-800-stunning-fossils-dinosaur-death-match/ 3. ปลาผู้ล่าเทอโรแดคทิลลัส ตายขณะคาบเหยื่อ จากตำแหน่งบนฟอสซิล สามารถสันนิษฐานได้ว่า ไดโนเสาร์ชนิดปีกเทอโรแดคทิลลัสกำลังบินลงมาเพื่อหาปลาเล็กเป็นเหยื่อ แต่กลับถูกปลาขนาดใหญ่กระโดดงับ จนทั้งคู่จมลงสู่ใต้ทะเล ที่มา: https://scitechdaily.com/pterosaur-rhamphorhynchus-being-eaten-by-ganoid-fish-aspidorhynchus-fossilized/ 4. การล่าเหยื่อของแมงมุมเมื่อ 100 ล้านปีก่อน ในฟอสซิลอำพัน แมงมุมตัวโตกำลังจับตัวต่อเป็นอาหาร ร่องรอยบนฟอสซิลถูกเก็บไว้อย่างดีในอัญมณียางไม้สีเหลืองน้ำตาลที่เรียกกันว่า…
-
นักวิทย์ฯ แก้ไขหน้าตา “บุคคลสำคัญ” ในประวัติศาสต์เสียใหม่ เอาซะหน้าไม่คุ้นเลย!!
บุคคลที่มีอยู่จริงซึ่งได้สร้างวีรกรรมอันน่าจดจำในประวัติศาสตร์ หากเป็นยุคที่ยังไม่มีกล้องถ่ายรูป เราก็ไม่ทราบใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาได้เลย เหล่านักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีจึงพากันสันนิษฐานใบหน้าของพวกเขาจากหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ เช่น กะโหลกศีรษะหรือภาพวาด เป็นต้น แต่วันนี้ ในยุคที่มีวิทยาการสร้างภาพสามมิติเสมือนจริง นักวิทยาศาสตร์และศิลปินทั้งหลายได้วาดภาพใบหน้าของคนดังในประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ อาจลบภาพเดิมๆ ที่เราเคยเห็นกันไปเลยทีเดียว 1. พระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส (ครองราชย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1589-1610) โดย Philippe Froesch 2. เอวา (Ava) มนุษย์เพศหญิงในยุคทองแดงเมื่อราวๆ 3,700 ปีก่อน โดย Maya Hoole และ Hew Morrison 3. ชายชาวไอร์แลนด์เมื่อ 500 ปีก่อน 4. โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (คีตกวีและนักออร์แกนชาวเยอรมันยุค 1685-1750) โดย Caroline Wilkinson 5. เมอริทามุน คู่สมรสของฟาโรห์แรเมซีสที่ 2 (2,000 ปีทีแล้ว) โดย University of Melbourne…
-
มาดูสาเหตุของ 8 พฤติกรรม “จิตๆ” ของมนุษย์ที่ทำไปเป็นประจำโดยไม่รูตัว
คนเราบางครั้งก็ทำอะไรแปลกๆ เช่น ลานจอดรถตั้งกว้าง ทำไมต้องเลือกไปจอดติดกับรถคันใดคันหนึ่งด้วยนะ? อะไรทำนองนี้เป็นต้น ซึ่งบางครั้งมาคิดดูแล้วก็อธิบายไม่ค่อยได้เหมือนกัน แต่วันนี้ ทุกท่านอาจจะต้องตกใจเพราะว่าคำอธิบายอาการเหล่านี้จะทำให้ทุกคนรู้ว่า ตัวเองก็มีแปลกๆ ที่เกี่ยวกับ อาการทางจิตและสมอง กับเขาเหมือนกัน เราไปดูกันเถอะว่ามีพฤติกรรมแปลกๆ แบบไหนบ้างที่คนเราทำโดยอธิบายไม่ได้ แล้วผู้เชี่ยวชาญเขาอธิบายเหตุผลของพฤติกรรมเหล่านั้นกันว่าอย่างไรบ้าง… 1. ทำไมต้องเบาเพลงหรือปิดเพลงเมื่อกำลังขับรถอยู่บนเส้นทางที่ไม่เคยไป? บางคนก็จะเริ่มเงียบ ลดการพูดคุย เบาเพลง หรือปิดเพลงไปเลย เพื่อโฟกัสกับเส้นทางข้างหน้าไม่ให้หลง ซึ่งไอ้พฤติกรรมแบบนี้ก็มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เรียบร้อยแล้ว Dr. Steven Yantis ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและสมองแห่งมหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ อธิบายว่า ในยามที่เราฟังเพลงหรือฟังเสียงสนทนาต่างๆ สติของเราจะรับข้อมูลภาพและเส้นทางน้อยลง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเราถึงเบาเสียงต่างๆ ลงเพื่อโฟกัสกับเส้นทางที่ไม่คุ้นชิน ที่มา: https://sharpbrains.com/blog/2006/11/11/why-do-you-turn-down-the-radio-when-youre-lost/ 2. ทำไมเวลาพูดคุยเราถึงต้องขยับไม้ขยับมือ? ศาสตราจารย์ Andrew Bass จากมหาวิทยาลัยคอร์เนล พบในงานวิจัยของเขาว่าการโยกไม้โยกมือขณะพูดคุยตามสัญชาติญาณของมนุษย์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการวิวัฒนาการ เมื่อลองสืบย้อนกลับไปถึงเรื่องของสมองพบว่าสัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีการใช้สัญญาณสื่อสารทางร่างกายที่พัฒนามาจากสมองส่วนหลังของปลา จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อพูดคุยสื่อสารจึงมีท่าทางของมือติดไปด้วย ที่มา: https://www.eurekalert.org/pub_releases/2013-07/sfeb-wdw062813.php 3. ทำไมต้องจอดรถใกล้กับคันอื่น ขณะที่ลานจอดรถก็ออกจะโล่ง? อันที่จริงมันเป็นสัญชาติญาณการอยู่รวมกลุ่มและการเข้าสังคมของมนุษย์ Rob Henderson ผู้ช่วยวิจัยจากมหาวิทยาลัยเยล ลองค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วพบหลายสาเหตุที่มนุษย์มักเข้าร่วมกลุ่มสังคม…
-
ทฤษฎีใหม่ ‘โลกนี้ไม่มีแรงโน้มถ่วง’ ประกาศกร้าวกลางงานประชุมครั้งแรกของชาวโลกแบน!!
เปิดตัวเปิดใจกันออกมาแล้ว กับกลุ่มผู้ที่มีความเชื่อว่าโลกนั้น “แบนราบ” ในปัจจุบันก็เริ่มมีการรวมตัวรวมกลุ่มกันในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก และเริ่มมีความยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการจัดงานประชุมอย่างเป็นทางการ!! อย่างที่ประเทศอังกฤษ ก็เพิ่งจะมีการจัดงานประชุมของกลุ่มผู้เชื่อในทฤษฎีโลกแบนเป็นครั้งแรก แถมยังมีการเปิดเผยถึงทฤษฎีใหม่ที่พิสูจน์ข้อกังขาที่ว่า โลกนี้ไม่มีแรงโน้มถ่วงอีกต่างหาก… ผู้คนกว่า 200 ชีวิตเข้าร่วมการประชุม Flat Earth UK Convention ในครั้งนี้ โดยจัดงานที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ด้านผู้จัดงานได้ทำการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านโลกแบนมาเป็นผู้พูดหลักภายในงานหลายท่าน และหนึ่งในผู้พูดที่พีคที่สุดก็คือนาย Dave Marsh เพราะเขายืนกรานว่า สามารถหักล้างกฎการเคลื่อนที่ของโลกได้ เพียงแค่ใช้กล้องและแอปพลิเคชั่นเท่านั้น!! “งานวิจัยของผมหักล้างทฤษฎี Big Bang จนสิ้น เพราะทฤษฎีครั้งนี้จะสนับสนุนแนวที่คิดที่ว่าแรงโน้มถ่วงไม่มีอยู่จริง และพลังที่จริงแท้ที่สุดในธรรมชาติก็คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเท่านั้น” Dave Marsh กล่าวเรียกความสนใจจากแขกในงาน เขาได้อธิบายไว้คร่าวๆ ว่า เขาพิสูจน์ด้วยการใช้กล้องส่องดูดวงจันทร์ วัดระยะเวลาการเดินที่จะกลับมาสู่ตำแหน่งเดิมในแต่ละวัน และในแต่ละครั้งจะมีความคลาดเคลื่อนของเวลาอยู่เสมอ ซึ่งอาจจะไม่มีแรงโน้มถ่วงเข้ามาเกี่ยวข้อง… อย่างไรก็ตาม ทางด้าน Tom นักข่าวจาก Ladbible ที่ได้เข้าไปร่วมงานเปิดเผยว่ากลุ่มผู้เชื่อว่าโลกแบนต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และพวกเขาก็เป็นมิตรมากๆ…
-
นักวิทย์ “เก็บสมองหมู” ให้มีชีวิต โดยไม่มีร่างกายได้สำเร็จ หรือนี่อาจต่อยอดสู่มนุษย์ได้!?
เคยดูหนังที่มีการเปลี่ยนสมองกันไหม? เคยคิดหรือเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคนเราสามารถย้ายสมองของเราไปอยู่ในร่างใหม่ได้จะเป็นอย่างไร… เชื่อไหมล่ะว่าในเวลานี้ คนเราสามารถผ่านสิ่งสำคัญในการย้ายสมองมาได้ข้อหนึ่งแล้ว เพราะในตอนนี้ เราสามารถรักษาสมองหมูไว้นอกร่างกายได้แล้ว!! นักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยเยลอ้างว่าได้พัฒนาเทคนิคที่ช่วยรักษาเนื้อเยื่อสมองของสุกรเป็นระยะเวลานานหลังจากการตัดหัว แม้ดูเหมือนว่าสมองจะไม่ได้รู้สึกตัวอยู่ แต่เทคนิคใหม่นี้ก็อาจจะนำไปสู่การรักษาในรูปแบบใหม่ก็เป็นได้ โดยพวกเขาบอกว่าสามารถทำการรักษาสมองของหมูให้มีชีวิตอยู่นอกร่างกายได้ถึง 36 ชั่วโมง นักวิจัยที่กล่าวว่าพวกเขาทำการทดลองกับหมูกว่า 100 ตัวที่ได้รับมาจากโรงเชือด และอ้างว่าสามารถฟื้นฟูสมองของหมูที่ตายไปแล้วตราบใดที่ยังไม่นานกว่าสี่ชั่วโมง โดยใช้เทคนิคที่ชื่อ BrainEx ที่ฟื้นการไหลเวียนโลหิตในเนื้อเยื่อสมอง และทำให้มันกลับมามีชีวิต… อย่างน้อยๆ ก็ในทางกายภาพ ที่ต้องบอกว่าการคืนชีพนั้นเป็นเพียงทางกายภาพ ก็เพราะว่าสมองของหมูที่ได้มานั้นไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงกิจกรรมในแง่ของคลื่นสมอง คือว่าง่ายๆ ว่าสมองนั้นไม่ได้รู้สึกตัวอยู่นั่นเอง อย่างไรก็ตามนักวิจัยสามารถตรวจสอบได้ว่าเซลล์กว่าพันล้านเซลล์ในสมองนั้น ยังอยู่ในภาพที่ดี เพียงแต่เนื้อเยื่อสมองที่ดี ไม่ได้หมายความว่าสักวันหมูจะรู้สึกตัวขึ้นมา หมูตัวที่ว่านี้มีสภาพคล้ายผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ และกลายเป็นเจ้าชายนิทราไป จนทำให้ในตอนนี้ยังมีหลายๆ ฝ่ายที่ไม่มั่นใจว่าการทดลองในครั้งนี้ควรจะถือว่าหมูตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่ Steve Hyman จากสถาบันในเคมบริดจ์ให้ความเห็นกับการทดลองครั้งนี้ว่าว่า “สมองเหล่านี้อาจได้รับความเสียหาย แต่ถ้าเซลล์ยังมีชีวิตอยู่ มันก็นับได้ว่าเป็นอวัยวะที่ยังมีชีวิต คล้ายๆ กับการรักษาไตนั่นล่ะ” แต่เมื่อถามว่าการทดลองในครั้งนี้จะสามารถเอาไปใช้ในการรักษามนุษย์ได้หรือไม่ เป็นไปได้ไหมว่าคนเราจะเปลี่ยนร่างกายทั้งตัวโดยเหลือแค่เพียงสมอง และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ Hyman ก็ตอบมาว่า “มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย” อย่างน้อยก็จากสิ่งที่คนเราพบในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้เรายังคงตั้งความหวังกันได้…
-
มหากาพย์ประวัติ “ผีกระสือ!!” ผีไทยที่ฉีกทุกกฎเกณฑ์ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ สังคม คณิต ฯลฯ
ตั้งแต่เด็กๆ เราก็มักจะได้ยินตำนานเรื่องเล่ากล่าวขานเรื่องผีสางนางไม้ต่างๆ จากคนรุ่นก่อนๆ และเป็นความเชื่อที่เล่าต่อๆ กันมา แต่ผีที่น่าสนใจและเราจะพูดถึงก็คือผีกระสือ เพราะเป็นผีที่มีความสามารถอันน่าทึ่งและมีความน่าสนใจมากมาย เรียกได้ว่าเป็นผีที่ฉีกทุกกฎเกณฑ์ของธรรมชาติแบบสุดๆ กระสือ แฮร่!! ประวัติของผีกระสือในอดีตนั้นมีความเชื่อว่าผีกระสือเกิดมาจากวิบากกรรมตอนที่ยังเป็นมนุษย์ หากินโดยในทางมิชอบ หลอกลวงต้มตุ๋นคนอื่น มีพฤติกรรมสกปรก เมื่อเกิดเป็นภูตแล้วจึงกินได้แต่ของสกปรกหรือของเน่าเหม็น และจะเข้าสิงมนุษย์ที่มีวิบากกรรมเหมือนกับที่ตนเองเคยทำตอนเป็นมนุษย์ได้ เวลากลางวันผีกระสือจะมีร่างเหมือนกับผู้หญิงทั่วไป มีพฤติกรรมแปลกๆ คล้ายคนป่วย แต่เมื่อถึงเวลากลางคืน ผีกระสือจะถอดหัวพร้อมกับเครื่องในออกจากร่าง บินออกไปล่าเหยื่อพวกวัวควายหรือสัตว์เล็กๆ และพวกของเน่าเช่นอุจจาระ จากนั้นก็จะเอาปากไปเช็ดกับผ้าของชาวบ้านที่นำมาตากไว้ การสืบสายพันธุ์ของผีกระสือจะสืบทอดโดยการให้ผู้ที่จะเป็นทายาทกินน้ำลายของผีกระสือเข้าไป หลังจากนั้นบุคคลที่กินน้ำลายเข้าไปก็จะซึมซับความเป็นผีกระสือเรื่อยๆ จนกลายเป็นผีกระสือในที่สุด สำหรับผีกระสือที่มากความสามารถนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากหากนำหลักวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งความสามารถหลักๆ ที่น่าสนใจก็คือ ความสามารถในการบิน ความสามารถในการเรืองแสง และความสามารถในการแพร่พันธุ์ 1. ความสามารถในการบินฉีกกฎฟิสิกส์ ผีกระสือสามารถถอดหัวและบินได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงแรงยกหรือหลักแอร์โรไดนามิกใดๆ ทั้งสิ้น ราวกับว่าสามารถลอยตัวได้โดยไร้แรงโน้มถ่วง หรือเรียกได้ว่าเป็นการขับเคลื่อนทางอากาศยานแบบไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์มากมาย (Minimal Aviation) หากทำการศึกษาและนำมาปรับใช้ได้ อาจจะเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของการคมนาคมของมวลมนุษยชาติเลยก็ว่าได้ 2. ความสามารถในการเรืองแสง ฉีกกฎเคมี การเรืองแสงของผีกระสือนั้นสามารถสันนิษฐานได้…
-
ยูทูบเบอร์สายวิทย์ ทดลองส่ง “ขนมปัง” ขึ้นอวกาศ แล้วดูว่ากลับมาจะยังกินได้ไหม!?
เวลาที่เรานึกถึงคนทำคลิปส่งสิ่งของต่างๆ ไปนอกอวกาศ ของส่วนใหญ่ที่เราจะนึกถึงนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นกล้องและโทรศัพท์ เพื่อทดสอบแรงกระแทกหรือความทนทาน แต่ว่าน้อยคนมากๆ ที่จะส่งของกินขึ้นไปและนำกลับมา ด้วยเหตุนี้เจ้าของช่องยูทูบนามว่า Tom Scott จึงขอเป็นอาสาทดสอบส่งอาหารขึ้นไปสุดขอบอวกาศ เพื่อทดสอบกันดูว่าอาหารที่ขึ้นยังจุดที่มีอากาศเย็นสุดขีดและมีออกซิเจนที่น้อยมากๆ จะส่งผลอย่างไรกับขนมปังกระเทียม!? การทดสอบนี้เป็นการร่วมมือกันของคน 3 คน แน่นอนว่าคนแรกก็คือตัว Tom Scott เอง ส่วนคนที่สองนั่นก็คือ Steve Randall จาก randomengineering.co.uk ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการส่งสิ่งของต่างๆ ไปยังอวกาศด้วยลูกโป่ง และคนที่สาม Barry Lewis ชายผู้เป็นคนอบขนมปังกระเทียมแสนอร่อยมาให้ทีมงานได้ทดสอบกัน การทดสอบนั้นเริ่มด้วยการมัดขนมปังกระเทียมหั่นครึ่งไว้กับกล่องโฟมที่ผูกติดกับลูกโป่งยักษ์ โดยตัวกล่องนั้นจะมีกล้องที่คอยบันทึกภาพที่สามารถวัดอุณหภูมิไปด้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้ดูว่าในแต่ละช่วงความสูงนั้นสภาพอากาศเป็นอย่างไร ตัวขนมปังนั้นต้องใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงกับอีกราว 52 นาทีเพื่อไปถึงจุดสูงสุดของชั้นบรรยากาศก่อนที่ลูกโป่งจะแตก ซึ่งถือเป็นจุดสูงที่สุดก่อนจะหลุดไปนอกชั้นบรรยากาศจริงๆ ซึ่งตอนที่ลูกโป่งแตกนั้นบรรยากาศรอบๆ มีอุณหภูมิอยู่ที่ 4 องศาเซลเซียสเท่านั้น โดยหลังลูกโป่งแตกมันก็ค่อยๆ ลอยกลับสู่โลกอีกครั้ง Tom ได้บอกว่าจริงๆ แล้วเคยมีคนส่งอาหารออกไปสุดขอบจักรวาลเหมือนที่เขาเคยทำ แต่ว่าหลังจากที่ของที่พวกเขาส่งออกไปกลับมาคนที่ทดลองกลับไม่กล้ากินมัน…
-
25 ภาพ GiF ผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ที่จะทำให้เราต้องตึ้งตึงตึงตึง ตะลึงตึงตึง ~
ผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์มักจะสามารถสร้างความประหลาดใจให้กับเราได้อยู่เสมอ เพียงแค่การผสมสารตั้งต้นบางอย่างเข้าด้วยกัน มันกลับกลายเป็นความมหัศจรรย์อันน่าเหลือเชื่อได้ง่ายๆ ทั้งหมดนี้คือ GiF ตัวอย่างผลการทดลองอันน่าอัศจรรย์ใจเหล่านั้น ซึ่งหลายๆ อันอาจเป็นปรากฏการณ์ที่เราไม่เคยเห็นกันมาก่อน แต่ละภาพจะตื่นตาตื่นใจมากขนาดไหนก็อย่ารอช้า ลงไปดูกันเลยยย เมื่อธาตุ โบรมีน และ อะลูมิเนียม ต้องมาเจอกัน ความสวยงามของสารเคมีและเหรียญเงิน สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อสารแคลเซียมคาร์ไบด์ถูกอัดแน่นอยู่ในขวด สีฟ้าสุดตระการตา ไม่ใช่แค่เปลี่ยนสีแต่มันยังส่องสว่างอีกด้วย คลิปหนีบกระดาษเล็กๆ สร้างให้เกิดผลงานล้ำๆ การเผาไหม้เอทานอล ตระการตาราวกับเวทมนตร์ สาร Spirit เติมด้วยน้ำตาลโซดา กลายเป็นสิ่งแปลกปลอมสุดสะพรึง ล้ำไปเต๊อะะะ นั่นมันหนอนยักษ์ชัดๆ ไหลออกมาไม่ยอมหยุด เปลี่ยนจากสีเหมือนไวน์ให้กลายเป็นน้ำเปล่า สบู่กับนม และสีผสมอาหาร แคลเซียมเจอไฟเข้าไป หลอนเลยทีนี้ หนวดปลาหมึกที่สร้างจากแอมโมเนียมไดโครเมต และไฟ หอคอยเกลือ…
-
ความรู้คู่ปัญญา 23 ความจริงของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ นำมาซึ่งความรู้ที่ไม่สิ้นสุด
มีคำกล่าวที่ว่าวิทยาศาสตร์ในวันนี้จะกลายเป็นเทคโนโลยีในวันหน้า การวิจัยและวิทยาศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนให้มนุษย์เราพัฒนาไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องยืนยันในความก้าวหน้าของมนุษย์และจะมีสิ่งใหม่ๆ ออกมาให้มนุษย์เรียนรู้ได้เรื่อยๆ เทียบดั่งเช่นความจริงเกี่ยวกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 23 อย่างต่อไปนี้ ที่จะมาทำให้คุณรู้ว่า วิทยาศาสตร์นั้น นำมาซึ่งความรู้ใหม่ๆ อย่างไม่สิ้นสุดจริงๆ ในทุกๆ วันจะมีการค้นพบสัตว์ประมาณ 41 สายพันธุ์ อาการจี๊ดศีรษะเวลาทานของเย็นมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Sphenopalatine Ganglioneuralgia เราสามารถจุดไฟด้วยน้ำแข็งได้ มีกระบวนการชื่อว่า Toxineering ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนพิษให้กลายเป็นยาแก้ปวดได้ สิ่งแปลกๆ ที่นักวิทยาศาสตร์สามารถทำได้ในปัจจุบัน ได้แก่ ชาร์จโทรศัพท์ด้วยฉี่ เปลี่ยนเนยถั่วลิสงเป็นเพชร และงอกฟันด้วยฉี่ นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างชิ้นส่วนขนาดเล็กที่ส่งออกซิเจนเข้าไปในเลือดโดยตรงได้แล้ว สิ่งสิ่งนี้จะกลายเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้พวกเรามีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องหายใจ นักวิทยาศาสตร์จากญี่ปุ่นระบุว่า แรงเสียดทานระหว่างรองเท้า เปลือกกล้วย และพื้นจะอยู่ที่ 0.07 หน่วย มันฝรั่งมีโครโมโซมมากกว่ามนุษย์เสียอีก มนุษย์มีโครโมโซม 46 ตัว ส่วนมันฝรั่งมี 48 ตัว มะเขือเทศมียีนมากกว่ามนุษย์เสียอีก มะเขือเทศมียีน 31,760 ตัว มากกว่ามนุษย์ราวๆ 7,000 ตัว…
-
เปิดทฤษฎี ‘Ant-Man’ อาจจะเป็นฮีโร่ที่อันตรายที่สุดใน Avengers เลยก็ว่าได้!?
เหลือเวลาอีกไม่นานกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ทุกคนกำลังรอคอย นั่นก็คือ Avengers: Infinity War ของทางค่าย Marvel นั่นเอง ซึ่งก็เป็นที่ถกเถียงกันมานานว่า Thanos ตัวตั้งเบ้อเร่อ แถมยังมีหินวิเศษอีก ทางฝั่งพระเอกของเราจะเอาอะไรไปสู้?? ถึงแม้ว่าจะยังมีตัวละครลับที่ทาง Marvel ยังไม่ได้เปิดเผย ที่อาจมีพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาฮีโร่ทั้งหมดที่พวกเราได้เคยเห็นมาในภาพยนตร์ แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วตัวละครฮีโร่ที่มีพลังน่ากลัวที่สุดนั้นเคยโผล่ออกมาให้พวกเราได้เห็นแล้ว แถมยังมีภาพยนตร์แยกเป็นของตัวเองอีกด้วย ซึ่งเขาคนนั้นก็คือ…. Ant-Man นั่นเอง (แท่น แท๊นนน~) หลายคนที่กำลังอ่านอยู่ตอนนี้ก็คงสงสัยว่า พ่อยอดมนุษย์มดน้อยเนี่ยนะ จะมีพลังร้ายกาจที่สุดในกลุ่ม Avengers คำตอบก็คือ ใช่!! เขาคนนี้นี่แหละ ภาพยนตร์ Ant-Man นั้นถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นปมของตัวละครที่ดูดราม่าและอบอุ่น หรือฉากแอ็กชันที่ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าสนใจ แต่การที่ Marvel ได้สร้างตัวละครตัวนี้ออกมา หารู้ไม่ว่าพวกเขานั้นอาจสร้างฮีโร่ที่มีพลังที่ทรงพลังและอันตรายที่สุดในจักรวาลภาพยนตร์โดยไม่รู้ตัว ถ้าเหตุการณ์ในภาพยนตร์ได้เกิดขึ้นในชีวิตจริงล่ะก็ อาจทำให้โลกของเรานั้นถูกทำลายได้เลยทีเดียว Scott Lang หรือ Ant-Man มีความสามารถในการย่อหรือขยายขนาดของร่างกายได้ โดยใช้อนุภาค Pym Particles…
-
ไขความลับของเจ้าหญิงราพันเซล กับความอันตรายของเส้นผมที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน
หลังจากที่ #เหมียวฝึกหัด ได้ทำลายความฝันวัยเด็กของใครหลายคนจากการแฉความจริงเรื่อง Snow White และการจุมพิตจากเจ้าชายรูปงามแล้ว (อ่านได้ที่นี่) ก็ยังมีปริศนาอื่นๆ อีกมากมายเกี่ยวกับเจ้าหญิงดิสนีย์ที่พวกเรานั้นยังไม่รู้อีกเยอะ หรือบางทีอาจจะคาดไม่ถึงก็เป็นได้ ในครั้งนี้ก็จะเป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงราพันเซลซึ่งเป็นนิทานเทพนิยายที่เก่าแก่มากกว่า 200 ปีมาแล้ว และทางดิสนีย์ก็ได้นำมาสร้างเป็นการ์ตูนอนิเมชันโดยใช้ชื่อว่า Tangled ที่เป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงผมยาวแสนสวยที่อาศัยอยู่บนหอคอยห่างไกลผู้คน ซึ่งก็คงผ่านหูผ่านตาใครหลายๆ คนมาแล้ว ทำให้เกิดคำถามในใจขึ้นมามากมายว่า เป็นไปได้ไหมที่จะมีผมยาวแบบนั้นได้? เส้นผมที่ราพันเซลใช้เป็นอาวุธหรือเป็นอุปกรณ์ในการเคลื่อนที่เช่นการโหนไปมา หรือใช้เป็นเชือกมัดสิ่งต่างๆ อย่างที่เราเห็นในการ์ตูน สามารถทำได้จริงหรือไม่? โดยใช้ข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และไม่คำนึงถึงเวทมนตร์และพลังในการรักษาของเส้นผม โดยเริ่มต้นจากความยาวของเส้นผม จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Center for Disease Control and Prevention) พบว่าโดยปกติแล้วเส้นผมของมนุษย์จะเจริญเติบโตด้วยอัตราเฉลี่ยประมาณ 1 เซนติเมตรต่อเดือน เมื่อเทียบกับอายุของราพันเซลแล้ว เธอจะมีเส้นผมที่ยาวเพียง 2.9 เมตรเท่านั้น แต่จากการสัมภาษณ์ Kelly Ward หนึ่งในผู้ออกแบบตัวละครที่เป็นผู้รับผิดชอบในการออกแบบเส้นผมของราพันเซลใน Tangled ได้เปิดเผยว่าเส้นผมของราพันเซลนั้นมีความยาวถึง 70 ฟุต หรือประมาณ 21 เมตร…
-
จริงหรือไม่? จุมพิตจากเจ้าชายสามารถช่วยสโนว์ไวท์ได้หรือ? มาวิเคราะห์กันเถอะ
สำหรับใครหลายๆ คนนั้น ชีวิตเจ้าหญิงดิสนีย์ที่ได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปงามก็คงเป็นความฝันที่มีมาตั้งแต่เด็กๆ แต่สำหรับใครบางคนนั้น (รวมไปถึง #เหมียวฝึกหัด) การได้ทำลายความฝันในวัยเด็กถือว่าเป็นเรื่องที่สนุกมากเลยทีเดียว อุว่ะฮ่าฮ่าฮร่า.. (หัวเราะอย่างชั่วร้าย) และเรื่องที่เราจะมาพูดถึงในวันนี้ก็คือการ์ตูนอนิเมชันที่เก่าแก่ที่สุดของทางดิสนีย์อย่างเรื่อง Snow White and the Seven Dwarfs ที่ฉายครั้งแรกเมื่อปี 1937 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวที่ถูกวางยาพิษด้วยแอปเปิลต้องสาป ทำให้กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราเป็นเวลานาน จนกระทั่งคำสาปนั้นถูกทำลายโดยการจุมพิตจากเจ้าชาย ซึ่งคำถามที่น่าสนใจในเรื่องนี้ก็คือ เป็นไปได้ไหมที่จะทำยาพิษที่ออกฤทธิ์ในลักษณะเดียวกันกับที่เราเห็นในการ์ตูน? และ การจุมพิตนั้นสามารถช่วยให้คำสาปจากยาพิษหายไปได้อย่างไร? อย่างที่เราได้เห็นในการ์ตูนก็พบว่ายาพิษนั้นได้เคลือบอยู่ที่ผิวของแอปเปิล เมื่อสโนว์ไวท์กัดเข้าไป เธอก็พูดออกมาว่ารู้สึกแปลกๆ และหลังจากนั้นเธอก็ล้มลงไปและเข้าสู่อาการโคม่า ซึ่งก็ไม่ได้บอกอาการที่แน่ชัดมากมายนัก ทำให้ยากที่จะวินิจฉัยยาพิษที่ใช้ได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้ . จากการวิเคราะห์ระยะเวลาว่าสโนว์ไวท์หมดสติเร็วขนาดไหน ยาพิษผู้ต้องสงสัยตัวแรกก็คือ Cyanide ซึ่งเป็นสารพิษที่เข้มข้นมาก หากใช้เพียงแค่ขนาดเท่ายาพาราครึ่งเม็ดก็สามารถฆ่าคนที่มีน้ำหนัก 90 กิโลกรัมได้สบายๆ เป็นยาพิษยอดนิยมสำหรับเหล่าสายลับในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยปกติแล้วสาร Cyanide สามารถพบได้ทั่วไปตามธรรมชาติ อย่างเช่นในเม็ดถั่วอัลมอนด์ หรือในเมล็ดของแอปเปิล แต่การที่จะสกัดสาร Cyanide ออกมานั้นจะต้องใช้กระบวนการทางเคมี ซึ่งในยุคของสโนว์ไวท์เป็นยุคก่อนที่จะมีกระแสไฟฟ้าใช้เสียอีก…
-
สมาคมโลกแบน ทุ่มเงิน 600,000 ส่งจรวดพิสูจน์ความเชื่อ แต่..เอิ่ม… งานนี้จบไม่สวยแฮะ!!
แม้หลายร้อยปีที่ผ่านมา ได้มีหลักฐานมากมายออกมายืนยันว่าโลกเรานั้นกลม แต่ก็ยังมีกลุ่มที่เชื่อว่าโลกของเรามันแบน พวกเขาก็เลยพยายามหาหลักฐานต่างๆ มาโต้ พร้อมกับจะทำการพิสูจน์ให้เห็นด้วยว่าโลกมันแบนจริงๆ ถึงขั้นสร้างจรวดออกบินสำรวจกันเองเลยทีเดียว Mike Hughes วัย 61 ปี ได้กล่าวไว้ว่าเขาจะออกสำรวจโลกแบนด้วยจรวดแบบโฮมเมด (ข่าวเก่า) แต่ดันถูกยกเลิกการปล่อยไปก่อน ด้วยเหตุผลทางด้านเทคนิคต่างๆ แต่เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Dailymail ได้รายงานว่า คุณลุง Mike แกกลับมาสานต่อภารกิจตัวเองแล้ว ภาพการปล่อยจรวดของลุง Mike Hughes ในวันที่ 24 มีนาคม 2018 ในวันเสาร์ที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2018 เขาประสบความสำเร็จในการปล่อยจรวดพลังไอน้ำของตน พุ่งทะยานขึ้นบนน่านฟ้ากลางทะเลทรายโมฮาวี ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยระดับความสูง 571.5 เมตร ก่อนที่จะร่อนตกลงมาอย่างแรงจนเขาที่นั่งอยู่ภายในได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตารางการปล่อยจรวดดั้งเดิมนั้นจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2017 แต่ประสบกับปัญหาทางด้านการขนส่งจรวดและปัญหาด้านเครื่องยนต์อยู่บ่อยครั้ง จนต้องใช้เวลานานร่วมหลายเดือนเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้หมดไป จรวด Liberty…
-
‘ยาเอ็กเซอร์ไซส์’ สิ่งที่หลอกร่างกายเรา ให้เหมือนกับว่าตัวเองเพิ่งไปออกกำลังกายมา
เราอาจเคยตั้งคำถามว่าจะมีอาหารหรือตัวยาชนิดไหนมั้ย ที่กินเข้าไปแล้วจะสามารถทำให้เราผอมลงได้โดยที่ไม่ต้องไปออกกำลังกาย? และในวันนี้เราก็ได้คำตอบนั้นกันมาแล้ว ขอเชิญให้เพื่อนๆ ได้มารู้จักกับ ยาเอ็กเซอร์ไซส์ (Exercise Pill) ยาที่สามารถทำให้เราผอมลงได้แม้จะไม่ออกกำลังกายเลยแม้แต่น้อย ตัวยาชนิดนี้คือผลจากการศึกษาค้นคว้าของสถาบันชีววิทยา Salt Institute for Biologiacal Studies ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยเจ้ายาตัวนี้มีสารประกอบทางเคมีที่เรียกว่า GW501516 ยาเอ็กเซอร์ไซส์นั้นมีความสามารถในการหลอกยีนกว่า 1,000 ตัวภายในร่างกายของเรา เหมือนกับว่าเราไปออกกำลังกายมาทั้งๆ ที่ไม่ได้ขยับตัวเลย ส่งผลให้เกิดการเผาผลาญไขมัน แถมยังเปลี่ยนน้ำตาลให้กลายเป็นพลังงานได้อีกด้วย การค้นพบในครั้งนี้ เหล่านักวิทยาศาสตร์ของสถาบันได้ทำการทดลองตัวยากับหนูสองกลุ่ม ให้พวกมันอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมือนกัน กินอาหารที่อุดมไปด้วยแป้ง ไขมัน กับน้ำตาลและพวกมันก็แทบจะไม่ได้ออกกำลังกายเลย โดยกลุ่มหนึ่งจะกินยาเอ็กเซอร์ไซส์เข้าไป ในขณะที่อีกกลุ่มไม่ได้กินยา ผลลัพธ์ที่ได้คือหนูในกลุ่มที่กินยาจะมีรูปร่างผอมเพรียว มีความกระฉับกระเฉงแตกต่างจากกลุ่มของหนูที่ไม่ได้กินยาเข้าไป ซึ่งจะเชื่องช้าและอ้วนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะการทดลองย่อยอีกอย่างคือการเปรียบเทียบระยะเวลาการวิ่งของหนูก่อนและหลังกินยาเข้าไป พบว่าก่อนที่หนูจะกินยาเข้าไปนั้นสามารถวิ่งโดยไม่หยุดได้ประมาณ 160 นาที ในขณะที่หลังกินยาสามารถวิ่งได้นานถึง 270 นาที แสดงให้เห็นว่ายามีความสามารถในการเพิ่มพลังกายของพวกมันได้อีกด้วย ยังไม่หมด เพราะอีกหนึ่งความสามารถของยาดังกล่าวคือ การลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดลดระดับลง ซึ่งหากน้ำตาลในเลือดต่ำก็จะส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้า ความหิว…
-
อะไรนะ…แค่ดื่มไวน์ ก็ลดน้ำหนักได้!!? นักวิทย์ฯ เผยในไวน์มีสารโพลีฟีนอลช่วยลดน้ำหนัก
สำหรับใครที่กำลังพยายามลดน้ำหนัก แล้วรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการออกกำลังกายหรือควบคุมอาหาร วันนี้มีทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแบบง่ายๆ ชิลๆ ด้วยการ “ดื่มไวน์” เท่านั้น! ไม่ได้เป็นการล้อเล่นหรือพูดขำๆ ทั้งนั้น เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้เสนอว่า ดื่มไวน์ 2 แก้วก่อนเข้านอน จะช่วยให้คุณมีน้ำหนักลดลงได้ วิธีการลดน้ำหนักโดยการดื่มไวน์นี้ มาจากการศึกษาของ Washington State University และ Harvard Medical School ซึ่งการศึกษาดังกล่าวพบว่ามีสารโพลีฟีนอลที่ดีต่อร่างกายชื่อว่า “Reservatrol“ เป็นส่วนประกอบอยู่ใน “ไวน์แดง” ที่จะช่วยเราในการลดน้ำหนัก เจ้าสาร Reservatrol นี้จะช่วยเปลี่ยน “ไขมันสีขาว” ที่เผาผลาญยาก ให้กลายเป็น “ไขมันสีน้ำตาล” ที่สามารถถูกเผาผลาญได้โดยง่าย และนอกจากนี้เจ้าสาร Reservatrol ยังมีส่วนช่วยในการยับยั้งความอยากอาหารอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจหากดื่มไวน์แดงเข้าไปแล้ว คุณจะทานอาหารน้อยลง แต่ถ้าหากว่าใคร ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลย ก็ไม่เป็นไร ยังมีทางเลือกอื่นอีก เพราะว่าเจ้าสารโพลีฟีนอล Reservatrol ตัวนี้ยังมีอยู่ในผลไม้หลายชนิด เช่น บลูเบอรี่ สตรอเบอรี่ และองุ่น เป็นต้น อย่างนี้ #เหมียวฝึกหัด…
-
5 สิ่งที่เกิดขึ้นหากสาวๆ มี ‘เซ็กส์’ ไม่บ่อยหรืองดไปเลย มันส่งผลต่อร่างกายนะรู้มั้ย!?
ว่ากันด้วยเรื่องทางเพศบ้างดีกว่า ไม่รู้ว่าใครในที่นี้ เคยหรือไม่เคยมีเซ็กส์ หรือถ้าหากว่าเคย ก็ไม่รู้ว่ามีเซ็กส์บ่อยครั้งเพียงใด แต่ไม่ว่าคุณจะมีประสบการณ์ทางเพศกันอย่างไร เมื่ออ่านบทความนี้แล้ว คุณจะมีความเข้าใจเรื่องของกิจกรรมทางเพศมากขึ้น และอาจจะทำให้คุณเปิดรับมันมากขึ้นด้วย ผู้เชี่ยวชาญได้มีการศึกษาออกมาแล้วว่า การที่คนเรา “ไม่มีเซ็กส์ หรือมีเซ็กส์แบบนานๆ ครั้ง” นั้นมันจะส่งผลต่อร่างกายคนเราอย่างไรบ้าง เอาล่ะ ถ้าอยากรู้แล้วก็ไปดูพร้อมๆ กันเลย… 1. คุณจะสูญเสียความใคร่ (ความต้องการทางเพศ) เมื่ออารมณ์ทำให้แรงขับทางเพศเกิดขึ้น มันจะกลายเป็นว่า คุณต้องเลือกระหว่าง “ใช้มันซะ” หรือว่า “ปล่อยให้มันสูญสลายไป” นั่นเอง Sari Cooper นักบำบัดทางเพศ กล่าวว่า “คนที่ละเว้นจากการมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลานานจะรู้สึกเฉยชา และสูญเสียความสามารถและความต้องการทางเพศไป” แต่เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน บางคนอาจหาวิธีรับมือได้ ด้วยการคิดค้นวิธีทำให้เซ็กส์ของเขามีความน่าพึงพอใจมากขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้มีกิจกรรมทางเพศมานานแล้วก็ตาม 2. ผนังช่องคลอดบอบบางลง ส่วนมากจะเป็นกับหญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน Sari อธิบายว่า “หากไม่มีกิจกรรมทางเพศเป็นเวลานาน ขณะที่อายุคุณเริ่มมากขึ้น ผนังในช่องคลอดของคุณจะบางลง และจะนำไปสู่ความเจ็บปวดในการร่วมเพศครั้งต่อไป สุดท้ายคุณก็จะไม่ได้มีเพศสัมพันธ์อีกเลย” ทั้งนี้ สมาคมหญิงวัยหมดประจำเดือนของอเมริกาเหนือ ก็ได้แนะนำถึงวิธีการป้องกัน นั่นก็คือการใช้อวัยวะของตนหรือสิ่งของที่ปลอดภัยสอดแทรกเข้าไปในช่องคลอด (ช่วยตัวเอง)…
-
อยากรู้มั้ย…ว่าผู้หญิงมีอะไรที่ดึงดูดผู้ชายบ้าง? มาดูคำตอบที่นักวิทยาศาสตร์ให้มากันเถอะ
ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องอยากสวย อยากหล่อ อยากดูดีกันทั้งนั้นแหละจริงไหมล่ะ? ในแง่หนึ่ง ก็จริงอยู่ที่ว่าการที่เราหน้าตาดีนั้นอาจจะช่วยดึงดูดเพศตรงข้ามได้ แต่ว่ามันก็ไม่จริงเสมอไป สำหรับคุณผู้หญิง นักวิทยาศาสตร์ได้เผยออกมาแล้วว่า ที่จริง ผู้ชายน่ะ ไม่ได้ถูกดึงดูดด้วยใบหน้าสวยๆ ของคุณผู้หญิงเสมอไปนะ มันอยู่ที่หลายๆ อย่างประกอบกัน แล้วไอ้หลายๆ อย่างที่ว่านั้นมันมีอะไรบ้างล่ะ ถ้าอยากรู้ เชิญไปรับชมพร้อมๆ กันเลย!! 1. รูปร่าง โดยปกติแล้วยามที่ผู้ชายมองผู้หญิง ก็มักจะเกิดความคิดเกี่ยวกับการมีลูกกับคนๆ นั้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น สมองของผู้ชายส่วนใหญ่จึงมักสั่งให้พวกเขามองหาผู้หญิงที่มี สะโพกผาย และ เอวคอด ดูสุขภาพดีและสมบูรณ์ 2. รอยยิ้ม ผู้หญิงที่ยิ้มเก่งนั้นย่อมเป็นจุดสนใจ และดึงดูดผู้ชายได้ดีเลยล่ะ เพราะผู้ชายมักจะคิดว่าการยิ้มนั้นถือเป็นการเปิดช่องทางให้เพศชายเข้าหาได้ แต่ที่จริงมันมีรายละเอียดมากกว่านั้น เพราะผู้ชายมักมองที่ “ฟัน” ของผู้หญิงด้วย แต่ไม่ต้องกังวล เพราะไม่จำเป็นจะต้องฟันสวยแบบดารา แค่เพียงไม่มีกลิ่นปากที่แย่ และฟันไม่เหลืองก็พอแล้ว เพราะสุขภาพของฟันสามารถบ่งบอกได้ถึงสุขภาพร่างกาย และวิธีการดูแลร่างกายยังไงล่ะ 3. สัดส่วนใบหน้าที่สมมาตร ใบหน้าที่สมมาตรนั้นถือเป็นปัจจัยหลักที่จะดึงดูดเพศชายได้เลยทีเดียว เพราะสมองของคนเรานั้นจะรับรู้ได้ถึงใบหน้าที่สมมาตรได้รวดเร็วกว่าใบหน้าที่ไม่สมมาตร…
-
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบทฤษฎีใหม่แล้วว่า ‘ดวงจันทร์’ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
มนุษย์โลกรู้จัก “ดวงจันทร์” มานานแสนนานแล้ว มีความเชื่อเกี่ยวกับพระจันทร์มากมายทั้งตำนานที่แต่งขึ้นหรือจะเป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าบริวารดวงน้อยของโลกนี้ ถือกำเนิดเกิดมาได้อย่างไร วิทยาการต่างๆ ของมนุษย์นั้นสามารถนำพาเราขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์ได้ และทำให้เกิดทฤษฎีที่ว่า ดวงจันทร์นั้นประกอบขึ้นจากสสารในอวกาศที่ล่องลอยอยู่รอบดวงอาทิตย์ โดยเกิดขึ้นพร้อมกับโลก หรืออีกทฤษฎีหนึ่งที่บอกว่า ดวงจันทร์เกิดจากการปะทุของโลกที่กำลังประกอบตนเองขึ้น และทำให้มีมวลวัตถุจำนวนมากล่องลอยออกไปโคจรเป็นวงรอบโลก และประกอบตัวกันเป็นดวงจันทร์ ทั้งสองทฤษฎีที่กล่าวมานั้นมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่าโลกและดวงจันทร์นั้นประกอบขึ้นจากสสารและวัตถุที่เหมือนกัน แต่มันก็ยังไม่ใช่เรื่องราวต้นกำเนิดของพระจันทร์ทั้งหมด ถึงแม้ทั้งโลกและดวงจันทร์จะมีวัตถุประกอบที่เหมือนกัน แต่มันก็ยังไม่โดดเด่นพอที่จะมั่นใจได้ว่ามันเกิดขึ้นพร้อมกัน จึงมีช่องโหว่ให้สงสัยได้ว่า ที่จริงแล้วดวงจันทร์อาจประกอบตัวเองขึ้นอย่างอิสระ Journal of Geophysical Research จึงมีงานวิจัยออกใหม่มาอธิบายเกี่ยวกับการกำเนิดขึ้นของดวงจันทร์ แต่ก็ยังยากที่จะเข้าใจ ในเอกสารงานวิจัย นักวิจัยเชื่อว่าดวงจันทร์เกิดขึ้นจากปรากฎการณ์ Synestia ที่เมื่อวัตถุขนาดเท่าดวงดาว 2 ดวงปะทะกันแล้วเศษซากต่างๆ กลายเป็นไอระเหย รวมไปถึงหินหลอมเหลวร้อนจัดที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปวงแหวน แล้วหินเหล่านั้นก็รวมกันเป็นทรงกลมพร้อมกับลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว มันจึงเกิดเป็นดาวเคราะห์ การสันนิษฐานดังกล่าวนี้นักวิจัยเพียงเชื่อว่าสามารถอธิบายถึงการกำเนิดขึ้นและความสัมพันธ์ของโลกและดวงจันทร์ได้ โดยการชนกันของสองดาวเคราะห์นั้นทำให้เกิดการรวบรวมเอาหินหลอมระเหยไปประกอบเป็นดวงจันทร์ และส่วนที่เหลือซึ่งมีสถานะเป็นของแข็งก็รวมตัวกันเป็นโลก ทฤษฎีนี้จึงทำให้เกิดความเข้าใจในระดับหนึ่งว่าทำไมดวงจันทร์และโลกจึงมีลักษณะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ที่มา: BGR
-
สภาพของหยดน้ำตา จากหลากหลายความรู้สึก กลายเป็นผลึกแห่งความทรงจำที่แตกต่าง
การที่น้ำตาของคนเราไหลออกมา ไม่ได้เกิดจากอารมณ์โศกเศร้าเสียใจเสมอไป แต่อาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เจ็บปวด ความสบายใจ ความโกรธ หรือแม้แต่ความสุข ก็อาจทำให้มีน้ำตาไหลออกมาได้เช่นกัน แต่ทุกท่านทราบหรือไม่ว่า น้ำตาที่ไหลออกมา ถึงแม้จะออกมาเหมือนๆ กัน แต่มันมีผลึกภายในที่แตกต่างกันมากๆ เลยล่ะ ช่างภาพนามว่า Rose-Lynn Fisher จึงได้สร้างโปรเจกต์ Topography of Tears ที่ใช้กล้องจุลทรรศน์ถ่ายภาพ “ผลึก” หยดน้ำตาของมนุษย์ที่เกิดจากอารมณ์ต่างๆ ออกมา เธอนำหยดน้ำตาของเธอมาหยดลงบนแผ่นสไลด์ ทำให้มันแห้ง แล้วส่องผ่านกล้องจุลทรรศน์ “มันน่าสนใจมาก มันดูเหมือนกับภาพถ่ายทางอากาศ ราวกับว่าฉันมองจากบนเครื่องบินลงมายังภูมิทัศน์ของพื้นดินแน่ะ” เธอกล่าว และเธอก็กล่าวอีกว่า “ในที่สุดฉันก็สงสัยว่า น้ำตาจากความเศร้าโศกนั้นมันแตกต่างจากน้ำตาจากความสุขหรือเปล่านะ? และมันจะเป็นยังไงถ้าเอาไปเทียบกับน้ำตาที่เกิดจากหัวหอม?” น้ำตาแห่งการหัวเราะอย่างหนัก น้ำตาแห่งการเปลี่ยนแปลง ในเชิงวิทยาศาสตร์ น้ำตาถูกจัดประเภทออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ตามวิธีการเกิดของมัน ชนิดแรกก็คือ Psychic Tears เป็นน้ำตาที่เกิดจากอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะทางลบหรือทางบวก ชนิดที่สองคือ Basal Tears คือน้ำตาที่ไหลต่อเนื่องทีละนิดๆ เพื่อทำหน้าที่หล่อลื่นดวงตา และชนิดสุดท้ายก็คือ Reflex Tears คือน้ำตาที่เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งก่อความระคายเคืองให้ดวงตา…
-
พบกับ 7 การทดลองอันสยดสยองที่เคยเกิดขึ้นบนโลกในอดีต ช่างน่าหดหู่ใจซะจริงๆ
(บทความนี้อาจมีภาพที่มีเนื้อหารุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม) ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโลกของเราในอดีตนั้น เคยมีความโหดร้ายเกิดขึ้นอย่างมากมายเพียงใด และยิ่งในช่วงที่เกิดสงครามขึ้นแล้ว การบาดเจ็บล้มตายรวมถึงการจับเชลยมาใช้แรงงาน ถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่เราสามารถเห็นได้ในทุกวันในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ แต่ว่าก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่อาจดูรุนแรงและวิปริตในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือการทดลองต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยสงคราม วิธีการทดลองนี้ส่วนมากก็จะใช้เหล่าเชลยศึกเป็นเหยื่อในการทดลอง ซึ่งมันก็ได้สร้างความทรมานใจให้แก่ผู้พบเห็นอย่างเราๆ เป็นอย่างมาก และนี่คือ 7 การทดลองสยองโลก ที่ว่ากันว่ามีความอำมหิตที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งมันจะน่ากลัวขนาดไหน รวมทั้งมีวิธีการอย่างไรบ้าง เชิญชมพร้อมๆ กันได้ ณ บัดนี้ 1. การทดลองเย็บเด็กให้กลายเป็นแฝดตัวติดกัน นี่เป็นหนึ่งในการทดลองของระบบนาซี ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Dr. Josef Mengele เกิดสนใจในการทำฝาแฝดขึ้นมา เขาจึงได้ทำการทดลองโดยใช้เด็กกว่า 1,500 คู่ในการทดลองครั้งนี้ และเมื่อถึงค่ายกักกันก็ปรากฏว่ามีเด็กที่สามารถรอดชีวิตเพียง 200 คู่เท่านั้น วิธีการทดลอง ในการทำแฝดสยามนั้น ทีมการทดลองนี้จะนำเด็กสองคน นำมาควักอวัยวะภายในบางอย่างออก จากนั้นก็จะเย็บให้ตัวติดกัน โดยเด็กๆ ส่วนมากจะเสียชีวิตจากการติดเชื้อ การทดลองนี้จึงสามารถบอกได้ถึงความโหดร้ายของนาซีได้เป็นอย่างดี 2. การทดลองเปลี่ยนสีตา การทดลองเรื่องนี้ก็เป็นของนาซีอีกเช่นเดียวกัน โดยการเปลี่ยนสีตาที่ว่านี้ มักจะใช้ผู้ทดลองเป็นชาวยิวเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าพวกเขาเป็นเชลยศึกที่ถูกจับมานั่นเอง…
-
17 ข้อเท็จจริงแปลกๆ เกี่ยวกับโลกใบนี้ ที่คุณเห็นแล้วต้องไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
สรรพสิ่งบนโลกของเรานั้นล้วนอัศจรรย์และน่าทึ่ง วิทยาศาสตร์จึงได้เข้ามาหาคำอธิบายให้กับสิ่งต่างๆ บนโลกเพื่อให้มนุษย์เราไม่ต้องฉงนและสงสัย ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางสิ่งที่ถึงแม้ว่ามีคำอธิบายแล้วก็ยังลบความอัศจรรย์ของมันไม่ได้ อย่างเช่นสิ่งที่จะนำมาเสนอในวันนี้ นั่นก็คือ 17 ข้อเท็จจริงของโลกอันน่าอัศจรรย์ ย้ำว่าทั้งหมดทืี่จะนำเสนอนั้นเป็น “ข้อเท็จจริง” แน่นอน บอกได้คำเดียวเลยว่าเมื่อรู้แล้วต้องร้องว๊าวกันอย่างแน่นอน… 1. หากในห้องๆ หนึ่งมีคนแค่ 23 คน จะมีโอกาส 50% ที่คนสองคนจะเกิดวันเดียวกัน 2. หากคุณสามารถพับกระดาษสมุดเป็นจำนวน 45 ทบได้ มันจะมีความหนาตั้งแต่โลกไปถึงดวงจันทร์เลยทีเดียว 3. หลังการสับไพ่ทุกครั้ง มันทำให้คุณได้รับผลที่ตามมาแบบที่ไม่เคยซ้ำใครในประวัติศาสตร์โลกหรือจักรวาล เพราะว่าความเป็นไปได้ของการสับไพ่นั้นมีจำนวน 8 x 1067 แบบ ซึ่งมีมากกว่าจำนวนอะตอมบนโลกนี้รวมกันเสียอีก ดังนั้นการลำดับหน้าไพ่จึงแทบไม่มีโอกาสซ้ำกันเลยหลังจากการสับแต่ละครั้ง 4. ใช้เวลาแค่ 12 วันเท่านั้นกว่าที่เวลาจะผ่านไปหนึ่งล้านวินาที แต่สำหรับหนึ่งพันล้านวินาทีต้องใช้เวลาถึง 32 ปีเลยทีเดียว 5. พิซซ่าขนาด 17 นิ้ว 1 ชิ้นนั้นมีปริมาณมากกว่าพิซซ่าขนาด 12 นิ้ว…
-
ชาวเน็ตเถียงกันมันส์ โปสเตอร์ Skyscrapper แบบนี้ The Rock โดดไม่ถึงหรอก วิทย์มาเต็ม!!
เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้มีการเปิดตัวภาพยนตร์ใหม่แนวแอคชัน ทริลเลอร์ที่แสดงนำโดย Dwayne Johnson หรือที่รู้จักกันในนามว่า The Rock เรื่อง Skyscraper นั่นเอง ตอนนี้ทางค่ายได้ปล่อยโปสเตอร์ใหม่ของภาพยนต์เรื่องนี้ออกมา เป็นภาพที่ตัดมาจากตัวอย่าง แสดงให้เห็นว่าเดอะร็อกกำลังวิ่งและกระโดดออกจากเครนเพื่อไปให้ถึงหน้าต่างของตึก ขณะที่มีไฟไหม้อยู่ที่ชั้นด้านล่าง ซึ่งใบโปสเตอร์ใหม่นี้ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยสำหรับชาวเน็ตมากมาย ถึงหลักฟิสิกส์และความเป็นไปได้ของฉากในโปสเตอร์นั้น ทำให้มีเพจหนึ่งได้ออกมาทำการแถลงไขและรวบรวมคำตอบต่างๆ จากชาวเน็ต เพื่อตอบคำถามดังกล่าว แต่ว่าคำตอบที่ได้นั้นจะมีสาระหรือไม่ ลองไปอ่านกันได้เลย . ผู้ใช้ทวิตเตอร์นามว่า James Smythe กล่าวว่า “ผมลองวาดกราฟพาราโบลาขณะที่เดอะร็อกกำลังกระโดดไปที่ตึก สีแดงคือการคาดเดาว่าเขากระโดดก่อนในตอนแรก สีเขียวคือการคาดเดาว่าเขาวิ่งออกไปข้างหน้าโดยไม่เสียโมเมนตัม ส่วนสีเหลืองคือการที่เขาย่อตัวและกระโดดไปข้างหน้า แต่ไม่ว่าเขาจะเลือกกระโดดแบบไหนก็ตาม หลับให้สบายนะเดอะร็อก ยังไงคุณก็ตายแน่นอน” ทวีตจากผู้ใช้ทวิตเตอร์นามว่า Christian Bedwel ก็ได้ใช้ความรู้ทางฟิสิกส์ของเขามาไขข้อสงสัยนี้เช่นกัน โดยการนำส่วนสูงของเดอะร็อกมาเป็นอัตราส่วนในการวัดระยะห่างจากพื้นที่เขากระโดดกับตึกนั้น 1 ร็อก มีความสูงประมาณ 1.9558 เมตร และสูตรระยะกระจัดที่กระโดดสำเร็จ: y= -a/2*(t^2)+v*t+h นำอัตราส่วน 1 ร็อกมาวัดระยะในโปสเตอร์ เขากล่าวว่า…
-
นักวิทย์สามารถไขรหัสลับอายุกว่า 500 ปี จากคัมภีร์ลึกลับที่สุดในโลกได้สำเร็จแล้ว
Voynich Manuscript หรือว่า “ข้อเขียนวอยนิช” นั้นถือว่าเป็นหนังสือโบราณที่เขียนด้วยอักษรและภาษาที่ไม่มีใครรู้จัก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็ได้พยายามอ่านมันมาเป็นเวลาหลายปี ขณะนี้มีข่าวออกมาว่า ผู้เชี่ยวชาญได้เริ่มถอดความข้อเขียนวอยนิชออกแล้ว ทำการศึกษาโดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษ ซึ่งเชื่อว่าภาษาที่เขียนในหนังสือเล่มนี้นั้นเป็นภาษาฮิบรู หนังสือเล่มนี้ถูกนำเข้ามาในโปแลนด์ตั้งแต่ปี 1912 โดยนักสะสมหนังสือหายากชื่อว่า Wilfrid Voynich เนื้อหาและที่มาของหนังสือนั้นยังไม่มีใครทราบ แต่หลายคนเชื่อว่ามันถูกเขียนขึ้นในอิตาลีช่วงยุคสมัยฟื้นฟูศิลปะและวัฒนธรรม มีรายงานจาก Metro ว่า Greg Kondrak หัวหน้าผู้ศึกษาข้อเขียนวอยนิชได้กล่าวว่า “มันถูกเขียนออกมาเป็นประโยคที่มีหลักไวยากรณ์ มันอาจจะดูแปลกๆ แต่มันสมเหตุสมผล” กลุ่มผู้ศึกษาลองใช้โปรแกรมถอดรหัสทางสถิติเพื่อตีความประโยคแรกของข้อเขียน ซึ่ง Kondrak ออกมาเผยว่ามีความถูกต้องถึงร้อยละ 97 โดยทางกลุ่มผู้ศึกษาเองได้ออกมายอมรับว่าพวกเขาสามารถจำแนกศัพท์บางคำได้แล้ว เช่นคำว่า ชาวนา แสง และอากาศ เป็นต้น และเชื่อว่าผู้เชี่ยวชาญภาษาฮิบรูจะสามารถนำมันไปตีความได้เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีคนบอกว่าข้อเขียนวอยนิชนั้นเป็นของที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อหลอกลวง แต่จากการวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์แล้วพบรูปแบบของภาษาจาก ศตวรรษที่ 15 ที่ไม่น่าปลอมแปลงขึ้นมาได้ เป็นการค้นพบที่น่าอัศจรรย์มาก หวังว่าในวันข้างหน้าจะสามารถถอดความเนื้อหาของมันได้นะครับ อาจจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ในนั้นที่ทำให้มนุษยชาติต้องสะทกสะท้านก็เป็นได้ ที่มา: Ladbible และ…
-
นักชีววิทยาออกสำรวจป่าฝน พร้อมกับภาพเหล่าพืชพันธุ์สุดแปลก แต่เต็มไปด้วยความงาม…
นักชีววิทยาได้คาดประมาณจำนวนสปีชีส์ของเชื้อราได้ราวๆ 120,000 ชนิดบนโลกใบนี้ ซึ่งทำให้มีสิ่งมีชีวิตอีกนับล้านให้เราได้ค้นหา จึงควรรีบถ่ายรูป เก็บข้อมูลไว้ก่อนที่จะสายเกินไป สปีชีส์ส่วนใหญ่ที่ยังไม่สามารถอธิบายได้อาศัยอยู่ในเขตร้อน ซึ่ง Danny Newman และ Roo Vandegrift ผู้ศึกษาเกี่ยวกับเชื้อราและเห็ดได้เดินทางไปเพื่อศึกษาและเก็บข้อมูลในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ในปี 2014 ทั้งคู่ได้เดินทางไป Reserva Los Cedros หนึ่งในลุ่มน้ำที่ไม่ได้มีการจดบันทึกไว้สุดท้ายของ เทือกเขาแอนดีสทางด้านตะวันตก พวกเขาได้ทำการถ่ายภาพทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็น ตั้งแต่นั้นมา รัฐบาลของประเทศเอกวาดอร์ก็ได้มีการประกาศว่าจะเปิดสถานที่นี้ให้กลายเป็นเหมืองแร่ ส่วนพื้นที่ที่มีเห็ดแปลกๆ ขึ้นก็จะถูกทำลาย “การระบุและอธิบายเชื้อราที่หายากนั้นจะช่วยแสดงให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อมตรงนั้น และความสำคัญของบทสนทนานี้” Newman พูดถึงโปรเจกต์ของเขา . จากการที่เป็นส่วนหนึ่งของผู้อยู่อาศัยในเดือนมกราคม ที่มหาวิทยาลัยโอเรกอน Newman ก็กำลังศึกษาเพื่อเรียงลำดับของ DNA ของเชื้อรากว่า 350 ชนิด และกำลังต้องการความช่วยเหลือจากสังคมในเรื่องของงบประมาณค่าใช้จ่าย . . . . . ถ้าสนใจ สามารถรับชมเพิ่มเติมได้ที่ Mushroom Observer…
-
20 ความจริงทางวิทยาศาสตร์ ที่เราเคยเชื่อว่ามันจริงมาตลอด แต่นั่นมันไม่ใช่เลยจ้า!!
วิยาศาสตร์นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเล่นแง่ แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ จริงๆ แล้วมันควรจะมีวัตถุประสงค์ แต่ก็มีข้อมูลผิดๆ มากมาย ซึ่งอาจจะใช้เวลายาวนานถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเลยทีเดียว กว่าจะคิดได้ว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้นมันผิด ยกตัวอย่างเมื่อสมัยก่อน ผู้คนนั้นปฏิเสธที่จะเชื่อว่าจริงๆ แล้วโลกของเรา และดาวทั้งหลายนั้น ต่างโคจรรอบดวงอาทิตย์ จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง กาลิเลโอ ได้พิสูจน์ แต่ถึงแม้ว่าวิทยาศาสตร์จะมาไกลขนาดไหน ก็ยังจะมีคนเชื่อข้อมูลแบบผิดๆ อยู่อีก นี่คือ 20 ตัวอย่างข้อเท็จจริง ที่ผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ออกมาแล้วว่าไม่เป็นจริง 1. ผมหรือขนของคุณ จะไม่หนาขึ้นเมื่อโกนบ่อยๆ บางครั้งการโกนหนวดอาจจะทำให้ดูเหมือนว่าหนวดที่งอกขึ้นมานั้นดูหนาขึ้น แต่ในความจริงแล้วมันก็หนาเท่าเดิม 2. ผมและเล็บจะไม่ยาวขึ้นหลังจากคุณตายแล้ว เมื่อคุณตายเซลล์ต่างๆจะหยุดทำงาน ผมและเล็บจึงหยุดการเจริญเติบโต นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมคนตายถึงไม่มีเล็บเพราะว่าผิวหนังจะหดตัวลงหลังจากที่ตายแล้วนั่นเอง 3. ผมของคุณจะไม่หงอกเร็วถ้าคุณย้อมมัน จริงๆ แล้วสีผมของเราเป็นผลมาจากเซลล์เม็ดสีซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ การไม่ดูแลสุขภาพ หรือความเครียด ดังนั้นการย้อมผมไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย 4. แม่นกจะทิ้งลูกตัวเองหากถูกสมุษย์สัมผัสตัวลูก ความจริงแล้วนกนั้นมีต่อมการรับกลิ่นที่เล็กมากทำให้ความสามารถการดมกลิ่นนั้นไม่ดีนัก แม่นกจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำถ้าเราไปสัมผัสลูกของมัน 5. Daddy Longlegs ไม่ใช่แมงมุมที่พิษร้ายแรงที่สุดในโลก…
-
รู้จักกับเจ้า Chester แมวเหมียววิเชียรมาศ ผู้มีชื่อเป็นผู้ช่วยทำ ‘ปริญญานิพนธ์’ ด้านฟิสิกส์
นอกจากแมวเหมียวจะเป็นสัตว์เลี้ยง เพื่อนรัก หรือพระเจ้าที่น่ารักน่าเอ็นดูของใครหลายคนแล้ว เจ้าสัตว์ขนฟูสี่เท้านี้มันยังเป็นสัตว์ที่ฉลาดมากเสียด้วย ถ้าถามว่าฉลาดมากแค่ไหนล่ะก็ มันเคยมีแมวตัวหนึ่งที่ได้เป็นผู้ร่วมทำปริญญานิพนธ์ทางด้านฟิสิกส์มาแล้วด้วยนะ F.D.C. Willard (เจ้า Chester) เจ้าเหมียวพันธุ์วิเชียรมาศตัวนี้มีชื่อว่า Chester และมีนามปากกาว่า F.D.C. Willard เกิดเมื่อปี 1968 และตายเมื่อปี 1982 ส่วนเจ้าของของมัน เป็นชายชื่อ Jack H. Hetherington เขาเคยเป็นนักฟิสิกส์และนักคณิตศาสตร์อยู่ที่มหาวิทยาลัย Michigan State University แต่เจ้าแมวไม่ได้เขียนหนังสือได้ หรือว่าช่วย Hetherington วิจัยแต่อย่างใดเลย สาเหตุที่มันได้เป็นผู้ร่วมทำปริญญานิพนธ์เริ่มต้นในปี 1975 เจ้าของของมันต้องการตีพิมพ์ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับ Low-Temperature Physics ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับสถานะของสิ่งของในอุณหภูมิต่ำ ปริญญานิพนธ์โดย Jack H. Hetherington และมี F.D.C. Willard เป็นผู้ช่วย แต่ว่าเพื่อนร่วมงานของเขาก็สังเกตเห็นว่า ปริญญานิพนธ์ของเขาใช้สรรพนามพหูพจน์ ซึ่งแปลว่ามันจำเป็นต้องมีคนทำหลายคน ถ้าเขาส่งปริญญานิพนธ์ไปทั้งๆ แบบนี้ มันก็ต้องโดนตีกลับแน่นอน…
-
NASA เผยผลการสำรวจดาวอังคาร ล่าสุดพบ ‘น้ำสะอาด’ อยู่ภายใต้พื้นผิวของดวงดาว!!
ว่ากันว่าดวงดาวที่ใกล้ที่สุดที่มนุษย์จะสามารถย้ายไปอยู้ได้ก็คือดาวอังคารนั่นเอง คำพูดเหล่านั้นทุกวันนี้ก็ใกล้จะเป็นจริงขึ้นไปอีกก้าวแล้วเมื่อ ล่าสุด NASA ได้เปิดเผยผลการสำรวจดาวอังคารว่าพบน้ำสะอาด อยู่ภายใต้พื้นผิวของดวงดาวแล้ว นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าพวกเขาได้พบกับแหล่งน้ำในรูปแบบก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ใกล้กับพื้นผิวของดาวอังคาร ซึ่งอาจเป็นการค้นพบที่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลสำหรับภารกิจการสำรวจดาวอังคารในอนาคต การค้นพบที่ถูกตีพิมพ์ในหนังสือ “Science” นี้ นำโดย Colin Dundas จากการทีมสำรวจทางธรณีวิทยาของรัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการใช้เครื่องมือ HiRISE (High Resolution Imaging Science Experiment หรือ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ด้วยภาพความละเอียดสูง) ซึ่งอยู่ภายในดาวเทียมสำรวจ พวกเขาพบแปดตำแหน่งพื้นผิวของที่ลาดชัน หน้าผา และร่องลึก ที่ได้ถูกน้ำกัดเซาะและเผยให้เห็นก้อนน้ำแข็ง ในบางพื้นที่ก้อนน้ำแข็งนั้นหนาถึงราว 100 เมตร โดยฝังอยู่ใต้ดินที่ลึกเพียง 2 ถึง 3 เมตร ยิ่งไปกว่านั้นน้ำแข็งดูเหมือนจะเรียงเป็นชั้นๆ ไม่ต่างกับชั้นตะกอนในโลก หมายความว่าแต่ละชั้นจะแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยาที่แตกต่างกันของดาวอังคาร “สิ่งเหล่านี้ทำให้เราได้รู้รายละเอียดโครงสร้างแนวตั้งของแผ่นน้ำแข็งดาวอังคารมากขึ้น และแสดงให้เห็นว่ามันมีเพียงชั้นดินบางๆ ปกคลุมไว้เท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือมันมีน้ำแข็งบนดาวอังคารที่ถูกฝังเอาไว้ตื้นๆ นี่ล่ะ” Dundas กล่าว แสงสะท้อนสีน้ำเงินคือบริเวณที่มีน้ำแข็งอยู่ แม้พวกเราจะรู้กันอยู่แล้วว่าบนดาวอังคารนั้นมีน้ำแข็งอยู่ใต้พื้นดิน แต่การค้นพบครั้งนี้ก็บอกพวกเราว่ายังมีน้ำแข็งบางส่วนที่อยู่ใกล้กับพื้นผิวของดาวอยู่ด้วย ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าถึงได้โดยภารกิจการสำรวจในอนาคตต่อๆ ไป เช่นรถสำรวจ European ExoMars ในช่วงต้นปี 2021 ซึ่งมีสว่านที่สามารถเจาะใต้พื้นผิวดาวได้ 2 เมตร…
-
นักวิชาการตุรกีเถียงหูดับ อ้างว่า ‘Noah’ ใช้มือถือโทรเรียกลูกชาย ให้มาขึ้นเรือก่อนน้ำท่วมครั้งใหญ่
กลายเป็นกระแสฮือฮามากๆ ในประเทศตุรกี เมื่อนักวิชาการท่านหนึ่งได้ออกมานั่งยันนอนยันว่า เมื่อสมัยก่อนตอนที่น้ำจะท่วมโลก Noah นั้นได้ใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อติดต่อกับลูกชายของเขา…งงละสิ! Dr. Yavuz Örnek จากมหาวิทยาลัยในอิสตันบูล ประเทศตุรกี ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการทีวี TRT 1 ของประเทศตุรกี ซึ่งเขาได้ยืนยันว่า เมื่อยุค 10,000 ปี มนุษย์มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าตอนนี้มากๆ Dr. Yavuz บอกว่า Noah นั้นมีเทคโนโลยีระดับสูงอยู่ในมือ โดยเขาไม่ได้ใช้ไม้ต่อเรือแต่อย่างใด แต่เขาใช้เหล็กมาต่อเรือ นอกจากนั้นยังใช้พลังงานนิวเคลียร์เป็นตัวขับเคลื่อน ไม่หมดเท่านั้น Noah ยังใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อติดต่อลูกและภรรยาเพื่อบอกให้เขาเตรียมการรับมือน้ำท่วมโลกด้วย จากนั้น Noah ก็ได้เก็บรวบรวมสัตว์สายพันธุ์ต่างๆ โดยเป็นตัวผู้และตัวเมียอย่างละตัว ส่วนสัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่ ก็จะถูกเก็บไข่มาพักไว้ในเครื่องฝักไข่นั่นเอง แน่นอนว่าพิธีกรของรายการที่เชื่อเช่นเดียวกับใครหลายคนว่าพระเจ้าเป็นคนบอกให้ Noah สร้างเรือก็จะต้องสงสัยและถามว่าทำไม Dr. Yavuz จึงคิดแบบนั้น Dr. Yavuz จึงบอกว่า “เพราะผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ คุณลองคิดดูสิ Noah และลูกๆ ของเขาอยู่ห่างกันหลายกิโลเมตร แล้วเขาจะติดต่อกันได้ยังไง แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องใช้โทรศัพท์โทรหากันนั่นเอง” หลังจากรายการดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ออกไป กระแสด้านลบก็หลั่งไหลและโจมตีเข้าที่ตัว Dr.…
-
ผลวิจัยพิสูจน์ให้เห็นว่าโดยทางชีวภาพแล้ว ‘ผู้หญิง’ มีความแข็งแรงกว่าผู้ชาย!?
แม้ว่าตั้งแต่อดีตกาล เราจะได้ยินมาเสมอว่าผู้ชายนั้นมีร่างกายกำยำ จึงมีพละกำลังมากกว่าผู้หญิง ดังนั้นหากมีงานที่ต้องลงมือลงแรงอย่างเช่น ยกของ ตัดไม้ หรือแม้แต่ต่อสู้ เราก็จะเข้าใจว่าผู้ชายมักจะทำได้ดีกว่าผู้หญิง แต่ในวันนี้ มีผลวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกาออกมาแล้วว่าผู้หญิงมีความแข็งแกร่งทางชีวภาพมากกว่าผู้ชาย และมีแนวโน้มว่าจะเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์เลวร้ายได้มากกว่าผู้ชายด้วย ผลวิจัยนี้เผยแพร่มาจาก Proceedings of the National Academy of Scientists (PNAS) ซึ่งเป็นวารสารชื่อดังเกี่ยวกับงานจิวัยทางวิทยาศาสตร์ โดยนักวิจัยศึกษาข้อมูลจากการเปรียบเทียบอัตราการตายระหว่างผู้ชายและผู้หญิง เมื่อต้องต่อสู้กับความอดอยาก โรคระบาด และการเป็นทาส จากข้อมูลพบว่า นอกจากข้อมูลของทาสในศตวรรษที่ 19 และการปลดปล่อยทาสชาวลิไบเรีย ในสาธารณรัฐตรินิแดดซึ่งเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันแล้ว ข้อมูลที่เหลือทั้งหมดระบุว่าผู้หญิงมีอัตราการอยู่รอดมากกว่าผู้ชายทั้งสิ้น โดยในกลุ่มทาสระหว่างปี 1813 ถึง 1816 อายุคาดเฉลี่ยของทาสชาย หรือก็คือตัวเลขอายุที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงนั้นอยู่ที่ 15.18 ปี ส่วนอายุคาดเฉลี่ยของทาสผู้หญิงเท่ากับ 13.21 ปี ซึ่งต่ำกว่าของผู้ชาย และในส่วนของการปลอดปล่อยทาสชาวไลบีเรีย อายุคาดเฉลี่ยของคนในช่วงอายุ 35 ถึง 49 ปี ก็พบว่าผู้ชายมีอายุคาดเฉลี่ยสูงกว่าผู้หญิงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงอายุอื่นๆ ของกลุ่มตัวอย่างนี้ ผู้หญิงมีค่าอายุคาดเฉลี่ยสูงกว่าผู้ชายหมดเลย…
-
ว่าไงนะ? พืชผักใกล้ตัวเรานั้นสามารถ ‘ได้ยิน’ และ ‘รู้สึก’ ว่ามีภัยคุกคามกำลังจะถูกกิน!?
ว่ากันว่าต้นไม้นั้นมีชีวิต มันสามารถได้ยินเสียงของเราและรับรู้ถึงสิ่งรอบๆ ฟังดูโรเมนติกดีใช่ไหมล่ะ ว่าแต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ต้นไม้จะรู้สึกแบบไหนเวลาที่ใบโดนหนอนแทะกันนะ ดูเหมือนว่าพวกนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Missouri (MU) จะสนใจในเรื่องพวกนี้กันมากเลยทีเดียวเพราะดูเหมือนพวกเขาจะค้นพบว่าพืชนั้นสามารถ “ได้ยิน” ถึงสิ่งรอบๆ ตัวของมันรวมถึง “รับรู้” ถึงเสียงที่เป็นอันตรายต่อตัวของมันอีกด้วย ที่จริงแล้วแนวคิดเรื่องพืชได้ยินเสียงนั้นมีอยู่มานานแล้วตั้งแต่โบราณ แถมในสมัยก่อนยังมีความเชื่อที่ว่าการร้องเพลงให้พืชฟังนั้นจะทำให้การเจริญเติบโดของพืชดีขึ้นอีกด้วย “มันเคยมีงานทดลองชิ้นก่อนหน้าของพวกเราที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตอบสนองของต้นไม้ต่อคลื่นเสียง ซึ่งรวมไปถึงเสียงเพลงต่างๆ “ Heidi Appel นักวิทยาศาสตร์อาวุโสฝ่ายวิทยาศาสตร์พืชประจำส่วนวิชาการเกษตรและอาหาร ทรัพยากรธรรมชาติ และศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตพันธบัตรของ MU กล่าว “อย่างไรก็ตามงานของเราเป็นผลงานชิ้นแรก เกี่ยวกับการที่พืชตอบสนองต่อการสั่นสะเทือนของระบบนิเวศน์พืช” พวกเขาพบว่าการ “สั่นสะเทือนของการทานอาหาร” เปลี่ยนการเผาผลาญของเซลล์พืชทำให้มีการหลั่งสารเคมีที่ป้องกันการถูกหนอนผีเสื้อโจมตีออกมามากขึ้น ด้วยความร่วมมือจาก Rex Cocroft ศาสตราจารย์สาขาชีววิทยาศาสตร์ที่ MU ได้นำหนอนผีเสื้อไปวางไว้บนใบ Arabidopsis พืชเล็กๆ ชนิดหนึ่ง ด้วยการใช้เลเซอร์และชิ้นส่วนเล็กๆ ของวัสดุสะท้อนแสงบนใบของพืช พวกเขาสามารถบันทึกการเคลื่อนที่ของใบในการตอบสนองต่อการเคี้ยวของหนอนเอาไว้ได้ จากนั้น Cocroft และ Appel ได้เล่นเทปบันทึกเสียงสั่นสะเทือนจากการเคี้ยวของหนอนผีเสื้อ ให้กับชุดพืชอีกชุดหนึ่ง ส่วนพืชอีกชุด พวกเขาจะเปิดเทปที่ไม่มีเสียงอะไรเลย Heidi Appel (ซ้าย) และ Rex Cocroft…
-
นักวิทย์ฯ ใกล้ประสบความสำเร็จในการผลิต ‘อสุจิเทียม’ เพื่อประโยชน์สุขของประชากรโลก
วันนี้ เรามาว่ากันด้วยเรื่องของ ‘อสุจิ’ กันดีกว่า อสุจินั้นเป็นตัวสำคัญในกระบวนการให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตหลายๆ ชนิด โดยเฉพาะมนุษย์ ซึ่งการให้กำเนิดลูกของมนุษย์นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนก็มีลูกยาก อาจจะด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ สภาวะทางร่างกาย สุขภาพ และอื่นๆ ซึ่งวันนี้มีข่าวดีมาให้ได้ยินกันแล้วสำหรับคนที่ยังไม่มีลูกหรือมีแล้วแต่อยากมีอีก เพราะนักวิทยาศาสต์ปัจจุบันกำลังจะผลิต ‘อสุจิเทียม’ ได้แล้ว ศาสตราจารย์ Azim Surani นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยเกอร์ดอน ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้ออกมาแถลงในงานประชุมประจำปี Progress Educational Trust Annual Conference ว่าตัวเขาและคณะได้มาถึงครึ่งทางของความสำเร็จในการผลิตอสุจิเทียมแล้ว โดยเป้าหมายของพวกเขาคือการผลิตอสุจิเทียมและรังไข่เทียมขึ้นมาจากสเต็มเซลล์ของมนุษย์หรืออาจจะเซลล์ผิวหนังของมนุษย์ได้เลยทีเดียว โดยกระบวนการดังกล่าวนั้นได้ประสบความสำเร็จมาแล้วโดยการทดลองกับหนู อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นเองก็ไม่ได้ง่ายดาย ยังมีปัญหาที่รอการแก้ไขอีกหลายอย่าง ตามที่นาย Azim ได้ชี้แจงไว้ เช่น เซลล์อสุจิที่ได้นั้นยังมีโครงสร้างไม่เหมือนกันของจริงเท่าใดนัก อีกทั้งเซลล์ต่างๆ จำเป็นต้องใช้เวลาในการพัฒนาตัวเอง ซึ่งก็จำเป็นต้องให้เวลามันด้วยเช่นกัน นาย Azim กล่าวว่า “หากพูดถึงในแง่ของการนำไปใช้จริง มันยังจำเป็นต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน หลายกระบวนการ ซึ่งขั้นตอนและกระบวนการดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง” และกล่าวอีกว่า “การผลิตรังไข่เทียมอาจจะทำให้ดูเหมือนรังไข่จริงๆ ได้ แต่โครงสร้างโมเลกุลนั้นยังไม่ใช่ ซึ่งมันเป็นปัญหามาก…
-
คนมันมีของ!! หากคุณมีบั้นท้ายใหญ่ นักวิทย์เค้าบอกว่าจะฉลาดและสุขภาพดีกว่าคนปกตินะเออ!!
หากจะกล่าวถึงทรวดทรงของผู้หญิงในอุดมคติของใครหลายคน ก็อาจจะหมายถึงผู้หญิงที่มีหน้าตาสะสวย คมคาย มีหน้าอกที่ใหญ่พอประมาณ มีเอวที่คอด รวมถึงการมี ‘ก้น’ ที่ใหญ่โตได้รูปเหมาะกับการจับมาตีเล่น แต่รู้หรือไม่ว่าเรื่องของก้น สามารถบอกอะไรได้หลายอย่าง ซึ่งเคยมีงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่เคยได้เผยว่า ผู้หญิงที่มีก้นใหญ่จะมีสุขภาพที่ดีกว่าผู้หญิงที่มีก้นเล็ก และในตอนนี้ก็มีงานวิจัยใหม่ออกมาบอกอีกด้วยว่า นอกจากผู้หญิงก้นใหญ่จะมีสุขภาพดีแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะมีความฉลาดมากกว่าอีกด้วย!? งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Oxford ประเทศอังกฤษ ที่ได้ศึกษาข้อมูลจากผู้หญิงกว่า 16,000 คน ซึ่งสิ่งที่พวกเขาพบก็คือในผู้หญิงก้นใหญ่ จะมีระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลที่ต่ำมาก อีกทั้งยังมี ระดับกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงขึ้นทำให้ผู้หญิงก้นใหญ่มีโอกาสที่จะเจ็บป่วยเรื้อรังน้อยกว่าผู้หญิงก้นเล็กนั่นเอง นอกจากนี้ ในตัวของผู้หญิงก้นใหญ่ยังมีจำนวนฮอร์โมนที่เรียกว่า Dinopectina ซึ่งมีประโยชน์ในการป้องกันโรคเบาหวาน รวมถึงยังสามารถต้านการอักเสบในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย สำหรับกรดไขมันไขมันโอเมก้า 3 ที่มีอยู่จำนวนมากในตัวของผู้หญิงก้นใหญ่ นักวิจัยบอกว่าเจ้ากรดไขมันโอเมก้านี้ ยังช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพให้ดีขึ้น ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น และยังช่วยดักจับไขมันเลวที่เข้าสู่ร่างกายของเรา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โดยงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Oxford ชิ้นนี้ ยังสอดคล้องกับงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ได้ตีพิมพ์ลงวารสาร Cell Metabolism ที่ได้บอกเอาไว้ว่าช่วงล่างอันใหญ่โตของผู้หญิง จะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่คอยดักจับไขมันไม่ให้สะสมตามอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว แหม มีประโยชน์ขนาดนี้รีบไปฟิตหุ่นให้มีตูดใหญ่ๆ กันดีกว่า ที่มา: unilad
-
7 การค้นพบ ที่เหมือนจะสร้างคำถามมากกว่าคำตอบให้กับวิทยาศาสตร์ซะมากกว่า
เป็นที่รู้กันดีว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความลึกลับมากมาย ทั้งในใต้ทะเลลึกที่มนุษย์เรายังไม่มีความสามารถหาได้ว่าจริงๆ แล้วภายใต้น้ำเค็มเหล่านั้นมีอะไรซ่อนอยู่อีกบ้าง นอกจากนี้บนผืนดินที่เราอาศัยกันก็มีความลับมากมายซ่อนอยู่เช่นเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการขุดค้นพบสิ่งแปลกๆ ที่ฝังอยู่ใต้ดินอยู่บ่อยครั้งนั่นเอง ทั้งนี้การค้นพบอาจจะให้คำตอบแก่เราได้ว่า จริงๆ แล้วโลกของเราในอดีตเคยเป็นอย่างไรมาบ้าง แต่ก็มีการค้นพบบางอย่างที่นอกจากจะไม่ให้คำตอบแล้ว ยังสร้างคำถามเพิ่มขึ้นให้แก่เราอีกว่า มันเกิดมาจากอะไร? หรือเกิดมาเพื่ออะไรกันนะ? สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาอยู่ในปัจจุบันที่ยังรอคนมาพิสูจน์อยู่ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเช่นไรกันแน่ และนี่คือ 7 การค้นพบบนโลกใบนี้ที่ได้สร้างความงงงวยให้แก่ทุกคน ซึ่งการค้นพบแต่ละอย่างได้สร้างความปวดหัวขนาดไหน มาลองดูกันเลยดีกว่า 1. เอ็มบริโอมัมมี่ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบโลงหินโลงหนึ่ง โดยในขั้นต้นการค้นพบนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนัก เพราะในสมัยอียิปต์โบราณผู้คนก็มักจะเก็บอวัยวะต่างๆ ของผู้เสียชีวิตเอาไว้ในโลงอยู่แล้ว ทว่าเมื่อมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโลงหินที่เพิ่งค้นพบนี้ ก็พบว่าโลงนี้ไม่ได้มีเอาไว้เก็บอวัยวะมนุษย์ แต่สิ่งที่พวกเขาเก็บเอาไว้ในโลงนี้กลับเป็น ทารกในครรภ์ที่ถูกทำเป็นมัมมี่ โดยเอ็มบริโอดังกล่าวมีอายุเพียงแค่ 16-18 สัปดาห์เท่านั้น โลงที่ถูกค้นพบนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์กันไว้ว่าน่าจะมีอายุประมาณ 664-525 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งการค้นพบนี้เป็นการค้นพบมัมมี่ที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัตศาสตร์เลยทีเดียว 2. ม้วนกระดาษเดดซี ม้วนกระดาษเดดซี เป็นหนึ่งในหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบม้วนกระดาษนี้ที่ถ้ำแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับทะเลเดดซี กระดาษที่พวกเขาค้นพบมีมากมายนับพันๆ แผ่น ซึ่งข้อมูลที่เขียนขึ้นในแผ่นกระดาษเหล่านี้เกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ฮีบรูไบเบิลของศาสนาคริสต์ นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังเชื่ออีกว่า พวกเขายังสามารถค้นพบแผ่นกระดาษแบบนี้เพิ่มเติมได้อีก หากยังคงมีการค้นหาต่อ…
-
ทำความรู้จัก 22 สัตว์สายพันธุ์แปลกๆ ที่คุณอาจไม่รู้ว่าพวกมันอาศัยอยู่ในโลกเดียวกับเรา!!
คนเราส่วนใหญ่ต่างก็ใช้ชีวิตอย่างปกติบนโลกใบนี้ โดยลืมไปว่ายังมีสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่ร่วมกับเราด้วยอย่างเช่นสัตว์ ทว่าผู้คนส่วนใหญ่กลับรู้จักสัตว์น้อยชนิดมากๆ หากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วมนุษย์นั้นรู้จักชนิดของสัตว์เพียงแค่ 1% จากทั้งหมดเพียงเท่านั้น บนโลกแสนจะกว้างใหญ่ของเรานั้นในสัตว์อยู่นับล้านสายพันธุ์ในปัจจุบัน และก็ดูเหมือนว่าจะค้นพบสายพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งบางคนอาจจะไม่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตนี้ใช้อากาศออกซิเจนหายใจร่วมกับเราด้วยหรอเนี่ย และนี่คือสัตว์แปลกๆ บนโลกนี้ที่คุณอาจจะไม่รู้จักหรือไม่เคยเห็นกันมาก่อนในชีวิต ว่าเอะนี่มันตัวอะไรกันนะ ว่าแล้วก็อย่ารอช้าไปทำความรู้จักหน้าตาพร้อมกับชื่อเรียกของมันกันดีกว่า Pink Fairy Armadillo (พิงก์แฟรีอาร์มาดิลโล) Aye-aye (อาย-อาย) The Maned Wolf (หมาป่าเคราขาว) Tufted Deer (ทัฟท์ เดียร์) Dumbo Octopus (ปลาหมึกดัมโบ้) Patagonian Mara (พาตาโกเนียนมารา) Naked Mole Rat (ตุ่นหนูไร้ขน) Irrawaddy Dolphin (โลมาอิรวดี) The Gerenuk (เกรินุก) Dugong…
-
‘วิดพื้น ซิทอัพ ยืดกล้ามเนื้อ’ ญี่ปุ่นพัฒนาหุ่นยนต์นักออกกำลังกาย ที่มี ‘เหงื่อ’ ไหลออกมาได้ด้วย
หุ่นยนต์ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ หรือที่เรียกกันว่า Humanoid เป็นสิ่งที่ยังคงมีการพัฒนาต่อไปในหลายๆ สถาบัน ทีมนักวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นเองก็เช่นกัน ซึ่งในตอนนี้ได้มีการพัฒนาทำให้มันสามารถออกกำลังกายและมีเหงื่อออกได้ ดูไม่ต่างกับมนุษย์เลย นี่เป็นงานล่าสุดที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารของสหรัฐอเมริกา Science Robotics เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2017 นักวิจัย Yuki Asano และเพื่อนร่วมงานของเขาที่จบการศึกษาจากสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยโตเกียว พวกเขาได้ทำการสร้างหุ่นยนต์รูปร่างคล้ายมนุษย์ขึ้นมาสองตัว ได้แก่ Kenshiro และ Kengoro Kengoro หุ่นยนต์ที่สามารถออกกำลังกายได้เหมือนกับมนุษย์ Kenshiro เป็นหุ่นที่ถูกพัฒนาในช่วง 2011 ถึง 2014 ต่อมาจึงได้สร้าง Kengoro ขึ้นมาและพัฒนาต่อจนถึงปัจจุบัน ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าหุ่นยนต์ตัวล่าสุดนี้สามารถออกกำลังกายในท่าต่างๆ ได้เหมือนกับมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการวิดพื้น ซิทอัพ หรือยืดกล้ามเนื้อ เจ้า Kengoro มีความสูง 167 เซนติเมตร น้ำหนัก 56.5 กิโลกรัม ลักษณะนิ้วมือ นิ้วเท้า สัดส่วนของร่างกาย ส่วนของกระดูกข้อต่อต่างๆ และกล้ามเนื้อที่ทำมาจากโลหะที่มีลักษณะคล้ายกับฟองน้ำ ลักษณะโดยรวมของมันจึงคล้ายกับมนุษย์ค่อนข้างมากจริงๆ …
-
คุณหมออเมริกัน ออกมาเตือน “สามเหลี่ยมอันตราย” บนใบหน้าที่คุณไม่ควร “บีบสิว” เด็ดขาด!!
ขึ้นชื่อว่า “สิว” ไม่ว่าใครก็ไม่อยากจะให้มันมาอยู่บนใบหน้าของเรา เพราะหากมันมาอยู่บนใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเราก็จะเหมือนกับอุกกาบาตที่มีตุ่มขึ้นอยู่เต็มไปหมด อีกทั้งดีไม่ดีเมื่อมันหายไปแล้วมันอาจจะทิ้งรอยแดงรอยดำทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้าอีกด้วย สิวสามารถเกิดขึ้นมาได้ด้วยหลายสาเหตุ เช่นความเครียด ความสกปรก หรือฮอร์โมนที่อยู่ในตัวของเรา ซึ่งรูปแบบการขึ้นของมันส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่ทั่วทั้งใบหน้า และไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่ามันจะเกิดขึ้นตรงไหน แต่รู้หรือไม่ว่าใบหน้าของเรามีสามเหลี่ยมสุดอันตรายซ่อนอยู่ ซึ่งหากเกิดสิวขึ้นบริเวณนั้นแล้วห้ามบีบมันออกมาอย่างเด็ดขาด!! เมื่อเร็วๆ มานี้ Dr. Jeremy Brauer ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านโรคผิวหนังแห่ง NYU Langone Medical Center ได้ออกมาเปิดเผยว่าบนใบหน้าของเราจะมีสามเหลี่ยมสุดอันตรายซ่อนอยู่ ซึ่งสามเหลี่ยมที่ว่านี้อยู่บริเวณระหว่างมุมปากทั้งสองข้างของเราไปจนถึงบริเวณจมูก ซึ่งหากเกิดสิวขึ้นบริเวณนี้เราควรจะหลีกเลี่ยงการบีบสิวโดยเด็ดขาด สำหรับสาเหตุที่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าควรหลีกเลี่ยงบริเวณนี้ก็เพราะว่า โดยปกติการบีบสิวจะทำให้ผิวหน้าของเราอักเสบและอาจเกิดบาดแผลที่เชื้อแบคทีเรียสามารถเข้าไปได้ง่ายอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้จุดดังกล่าวมีความอันตรายมากกว่าปกติก็เพราะว่า มันเป็นจุดที่บอบบางและยังมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายกว่า อีกทั้งยังมีเส้นเลือดดำหล่อเลี้ยงอยู่เป็นจำนวนมาก การบีบสิวในบริเวณนี้จึงอาจส่งผลต่อแอ่งหลอดเลือดดำในสมองที่เรียกว่า Cavernous sinus ที่อยู่ในสมองทั้งสองข้างของเราได้ ซึ่งจะแตกต่างกับจุดอื่นบนใบหน้าของเราอย่างที่แก้ม คางหรือหน้าผาก ที่ผลลัพธ์ร้ายแรงที่สุดของการบีบสิวก็เพียงรอยแผลเป็นเท่านั้น “ถ้าหากมีการติดเชื้อที่ผิวหนังอย่างรุนแรงในบริเวณนี้ และไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีมันอาจจะส่งผลต่อสมอง ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงขึ้นมาได้” Dr. Jeramy กล่าว สำหรับการติดเชื้อจากการบีบสิวที่บริเวณสุดอันตรายนี้ สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ และหากคุณสงสัยว่าตัวเองจะติดเชื้อ อย่านิ่งนอนใจไปเพราะอาจส่งผลในภายหลังได้ โดยสัญญาณบ่งบอกว่าเราอาจจะติดเชื้อก็มีหลายอย่างทั้งรอยแดง การบวม มีเลือดออกรวมทั้งการมีหนองด้วย และหากคุณมีอาการต่อไปนี้ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรเข้าไปปรึกษากับทางแพทย์ผิวหนังจะเป็นการดีที่สุด ที่มา:…
-
พบ ‘ซากคล้ายไดโนเสาร์’ ในอินเดีย ที่ยังมีชิ้นเนื้อติดอยู่ คาดเป็นหลักฐานทางโบราณคดีชิ้นสำคัญ
ไดโนเสาร์คือสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่สูญพันธู์ไปเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว การศึกษาเกี่ยวกับพวกมันจึงหาข้อมูลได้ยาก ที่ผ่านมานั้นนักวิทยาศาสตร์ได้เพียงแต่ศึกษาข้อมูลของพวกมัน ผ่านทางเศษกระดูก รอยเท้า และฟอสซิลที่พบเท่านั้น แต่ล่าสุด มีการค้นพบซากสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ และถ้ามันเป็นซากไดโนเสาร์จริงๆ ละก็ มันจะกลายเป็นข้อมูลชิ้นสำคัญที่ทำให้เราได้ศึกษาไดโนเสาร์ได้ลึกซึ้งมากขึ้น เพราะซากชิ้นส่วนนี้มีความพิเศษไม่เหมือนกับสิ่งที่เคยพบมาก่อนนั่นเอง ซากลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ที่ถูกค้นพบ ซากรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ที่ว่านี้ถูกค้นพบโดยบังเอิญ เมื่อมีช่างไฟฟ้าคนหนึ่งเข้าไปทำงานที่สถานีรถไฟใต้ดินร้างที่ถูกปล่อยทิ้งไว้กว่า 35 ปี ในเมืองแจสเพอ รัฐอุตตราขัณฑ์ ประเทศอินเดีย แต่มันมีความพิเศษกว่าซากหรือฟอสซิลอื่นๆ ที่เคยพบมา เนื่องจากซากชิ้นนี้ ยังมีชิ้นเนื้อของสิ่งมีชีวิตติดมากับกระดูกที่มีรูปร่างค่อนข้างสมบูรณ์ด้วย นักวิทยาศาสตร์ต่างตื่นเต้นกันมากที่พบซากในลักษณะนี้ ขณะนี้ซากที่พบก็ถูกส่งไปยัง Kamuan University แล้ว เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญด้านฟอสซิล Dr.Bahadur Kotlia ได้ทำการวิเคราะห์ จะได้รู้กันว่ามันเป็นไดโนเสาร์จริงหรือไม่ แล้วมันมีจากยุคใด ซากไดโนเสาร์นั้นมีความยาวประมาณ 28 เซนติเมตร จึงอาจจะตีความได้ว่ามันเป็นไดโนเสาร์สายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งระหว่าง Deinonychus, Coelophysis และ Dromaeosarus ซึ่งทั้งสามสายพันธุ์นี้เป็นไดโนเสาร์พันธุ์เล็ก จัดเป็นไดโนเสาร์ในกลุ่ม Theropod ซึ่งเป็นกลุ่มสายพันธุ์เดียวกับไดโนเสาร์ T Rex นั่นเอง อย่างไรก็ตามนักอนุรักษ์…
-
นักวิทย์สร้าง ‘พลาสติก’ ที่สามารถต่ออุปกรณ์ไร้สายได้ โดยไม่ต้องพึ่งชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
การพัฒนาเทคโนโลยีของมนุษย์เราได้มีความเจริญขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลายอายุคนที่ผ่านมา โดยแรกเริ่มนั้นเริ่มจากการสร้างเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่ ต่อมาก็มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และในปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบไร้สายให้เราได้ใช้กัน แต่ว่าหากนั่นยังไม่พอ ในตอนนี้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำพลาสติกให้สามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งกระแสไฟฟ้าหรือวงจรอิเล็กทรอนิกส์แต่อย่างใดเลยด้วย??? นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ออกมาเปิดเผยว่าตอนนี้พวกเขาได้สร้างพลาสติกขึ้นมาชิ้นหนึ่งจากเครื่องพิมพ์สามมิติ ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ไร้สายชนิดต่างๆ ได้โดยไม่ต้องใช้วงจรไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงาน และภายในพลาสติกชิ้นนั้นก็มีเพียง สวิทช์สำหรับเปิดปิด เฟืองพลาสติกและเสาอากาศเพียงเท่านั้น “เป้าหมายของเราคือ เราจะสร้างบางอย่างที่มาจากเครื่องพิมพ์สามมิติที่มีอยู่ตามบ้านทั่วไป และสิ่งสิ่นนั้นต้องสามารถส่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ได้ด้วย” “ความท้าทายของมันอยู่ที่ คุณจะทำอย่างไรให้เจ้าสิ่งนี้สามารถเชื่อมต่อกับสัญญาณไวร์เลสได้โดยใช้เพียงพลาสติกอย่างเดียว ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน” Vikram Iyer วิศวกรไฟฟ้าหนึ่งในทีมวิจัยกล่าว ลองเอาไปทดสอบกับเครื่องวัดความเร็วลม และเครื่องวัดการไหลของน้ำ สำหรับกลไกภายในพลาสติกชิ้นนี้ พวกเขาบอกว่าจะมีเส้นใยนำไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นมาจากพลาสติกและทองแดงเป็นตัวนำสัญญาณ โดยเราจะสามารถเปิดปิดมันได้ง่ายๆ แค่กดปุ่มเพียงเท่านั้น โดยพวกเขาได้ทำการทดสอบพลาสติกชิ้นนี้ ด้วยการใช้วัดกับเครื่องวัดความเร็วลม ซึ่งผลออกมาปรากฏว่าเมื่อรอบของความเร็วลมมีสูงขึ้น เส้นใยต่างๆ ภายในอุปกรณ์ตัวนี้ก็จะทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากการที่มันสามารถส่งสัญญาณได้ถี่ขึ้น และเมื่อนำไปทดสอบกับเครื่องวัดการไหลของน้ำ ก็ได้ผลเช่นเดียว นั่นจึงหมายความว่าเจ้าพลาสติกชิ้นนี้จะสามารถทำงานได้ดีขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ อย่างลมและน้ำแรงขึ้นนั่นเอง คลิปการทดสอบและการควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ พลาสติกที่ว่าในตอนนี้ยังไม่ออกมาสู่ท้องตลาดเพราะกำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่ในอนาคตเมื่อพัฒนาจนสมบูรณ์แล้ว ทางผู้พัฒนาบอกว่าอุปกรณ์นี้จะสามารถใช้สำหรับอุปกรณ์ในบ้านได้อย่างหลากหลาย เพราะในตอนนี้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านต่างๆ ก็เริ่มมีระบบไวร์เลสในตัวแล้ว พลาสติกชิ้นนี้จึงเป็นอุปกรณ์ไร้สายแห่งโลกอนาคตเลยก็เป็นได้ เทคโนโลยีก้าวไปทุกวันจริงๆ…
-
7 สัญญาณอันตรายจากร่างกาย ที่คอยเตือนถึงภาวะหลอดเลือดสมอง แต่คุณเลือกที่จะมองข้าม
ในปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้รายล้อมอยู่รอบตัวเรา ซึ่งโรคบางโรคก็มีอันตรายจนอาจจะทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และมีอีกโรคหนึ่งที่ใครหลายคนเลือกที่จะมองข้ามก็คือ โรคหลอดเลือดสมอง ภัยเงียบที่เป็นสาเหตุทำให้คนเสียชีวิตสูงเป็นอันดับที่ 5 ของโลกเลยทีเดียว โรคหลอดเลือดสมอง คือภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เนื่องจากหลอดเลือดตีบ หลอดเลือดอุดตัน หรือหลอดเลือดแตก ส่งผลให้เนื้อเยื่อในสมองถูกทำลายและการทำงานของสมองหยุดชะงักลงทันที และนี่คือ 7 สัญญาณเตือนจากร่างกายว่าเราอาจมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งบางทีเราก็มองข้ามอาการเหล่านี้ไปว่ามันเป็นเรื่องปกติเดี๋ยวก็หาย หากใครที่มีอาการเหล่านี้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือเข้าไปตรวจร่างกายกับแพทย์บ้าง ก่อนที่ทุกอย่างนั้นจะสายเกินไป… 1. คุณไม่เคยใส่ใจอาการของโรคหลอดเลือดสมองเลย ในแต่ละนาทีที่เราเป็นโรคหลอดเลือดสมองอยู่ สมองของเราจะสูญเสียเซลล์ประมาณ 1.9 ล้านเซลล์ และในแต่ละชั่วโมงโรคหลอดเลือดสมองจะทำให้สมองเราเสื่อมไวกว่าคนปกติถึง 3.5 ปี โดยในระยะยาวผู้ป่วยที่เป็นโรคและไม่ได้เข้ารับการรักษาที่ถูกวิธี มีโอกาสเสี่ยงที่จะพูดได้ช้ากว่าปกติและรู้สึกว่าการพูดเป็นเรื่องที่ยากขึ้น รวมถึงยังสามารถทำให้สูญเสียความทรงจำได้เลยทีเดียว 2. คุณคิดว่าการที่คุณเห็นภาพซ้อนกันมีเหตุมาจากความเหนื่อย ปัญหาในด้านการมองเห็นต่างๆ ทั้งการเห็นภาพซ้อน สายตาเบลอ หรือว่าสูญเสียการมองเห็นในดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกว่าคุณอาจจะป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้ ใครหลายคนคิดว่าอาการเหล่านี้เป็นผลมาจากการมีอายุที่เยอะขึ้นหรือมาจากความเหน็ดเหนื่อย แต่จริงๆ แล้วมีเหตุมาจากเส้นเลือดที่ตีบมาก จนทำให้จำนวนออกซิเจนไม่เพียงพอที่จะขึ้นไปหล่อเลี้ยงดวงตาต่างหาก 3. คุณมักจะเป็นเหน็บชาหลังจากเพิ่งตื่นนอนหรืองีบหลับ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการชาที่แขนหรือขาหลังจากที่เพิ่งตื่นนอน คุณอาจจะคิดว่าเป็นเพราะร่างกายเราโดนกดทับจากการนอนหลับจนเป็นเหน็บชา แต่จริงๆ แล้วนั่นเป็นเพราะว่าการไหลเวียนเลือดตามร่างกายของคุณผิดปกติ…
-
รองเท้านั้นสำคัญไฉน? วิทยาศาสตร์ชี้ มันสามารถเผยให้เห็นถึงลักษณะของคุณได้
ปัจจุบันตลาดของรองเท้านั้นเรียกได้ว่ามีการเติบโตอย่างมาก จากที่เราเห็นแบรนด์ต่างๆ ที่พาเหรดกันเปิดตัวรองเท้าแบบใหม่แทบจะทุกเดือนเลยทีเดียว และแน่นอนว่าการแข่งขันแบบนี้ก็ย่อมส่งผลทำให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ มีตัวเลือกที่มากขึ้นนั่นเอง และนอกจากความสะดวกสบายและความสวยงามของรองเท้าแต่ละแบบแล้ว มันยังบ่งบอกถึงสิ่งที่คุณคาดไม่ถึงอีกด้วย งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Research in Personality ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้คนและรองเท้าที่พวกเขาสวมใส่ โดยจากการศึกษาได้เผยว่าลักษณะของรองเท้านั้นมีความเกี่ยวข้องกับลักษณะนิสัยของผู้สวมใส่ด้วย 1. สีของรองเท้า จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ชอบสวมรองเท้าสีฉูดฉาดหรือรองเท้าแบบหรูๆ นั้นจะมีลักษณะเป็นคนที่ชอบเก็บตัวและไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นสักเท่าไหร่ ส่วนผู้ที่ชอบสวมรองเท้าสีสันธรรมดาๆ หรือรองเท้าเก่าๆ นั้นจะมีลักษณะนิสัยที่ชอบเข้าสังคมมากกว่า 2. สภาพของรองเท้าที่สวมใส่ ถึงแม้ว่าเราไม่อาจจะตัดสินคนอื่นๆ ได้จากรูปลักษณ์ภายนอกก็ตาม แต่จากการศึกษาพบว่าคนที่มีการทะนุถนอมรองเท้าอย่างดีนั้นมักจะมีลักษณะนิสัยที่เป็นคนชอบห่วงใยผู้อื่น พวกเขามักจะแคร์คนรอบข้างและใส่ใจกับงานที่ทำด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่สวมรองเท้าเก่าๆ นั้นจะเป็นคนที่มีความมั่นคงทางอารมณ์ และไม่ค่อยอ่อนไหวกับสิ่งรอบกาย 3. รองเท้าส้นสูง หลายๆ คนอาจจะคิดว่าผู้หญิงที่ชอบสวมรองเท้าส้นสูงนั้นเป็นพวกที่ดูเกรี้ยวกราดและจะเป็นสาวขี้โมโห แต่จากการศึกษาพบว่าอันที่จริงแล้วพวกเธอนั้นไม่ได้มีอารมณ์ที่ฉุนเฉียวหรือเป็นคนขี้โมโหแต่อย่างใดเลย และนอกจากนี้ผู้หญิงที่สวมรองเท้าส้นสูงนั้นจะเป็นที่ดึงดูดของเพศตรงข้ามอีกด้วย อย่างไรก็ตามทั้ง 3 ข้อนี้อาจจะเป็นเพียงแค่ผลจากการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างเท่านั้น แต่ในชีวิตจริงนั้นเราอาจจะไม่สามารถที่จะตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกได้เลย แต่การทำความรู้จักและคุ้นเคยต่างหากที่จะเป็นสิ่งที่บอกเราว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเรานั้นมีลักษณะนิสัยอย่างไร… ที่มา inc, designtaxi
-
ภารกิจปล่อยจรวดพิสูจน์โลกแบนของ Mike Hughes ถูกยกเลิกแล้วในขณะนี้!!!
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีข่าวของ ลุงคนหนึ่งที่พยายามจะสร้างจรวดขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อจะพิสูจน์ความเชื่อของเขาที่ว่า โลกใบนี้มัน “แบน” ซึ่งได้มีกำหนดปล่อยจรวดเมื่อวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมา ทว่าได้ยกเลิกแล้วในขณะนี้ สาเหตุหลักๆ ที่ยกเลิกการปล่อยจรวดในครั้งนี้เนื่องมาจาก ลุง Mike Hughes อดีตคนขับรถลิมูซีนวัย 61 ปี ผู้สร้างจรวดอันนี้ไม่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลกลาง บวกกับปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ของหัวจรวดที่เขาได้สร้างขึ้นมาเอง Mike Hughes กับจรวดที่สร้างขึ้นมาเองของเขา “หน่วยงานของรัฐบาลที่ชื่อว่า The U.S. Bureau of Land Management (BLM) ได้บอกกับผมว่าพวกเขาไม่อนุญาตให้ผมขึ้นบิน นั่นได้ทำให้ผมเสียใจเป็นอย่างมาก” Hughes กล่าว จรวดของชายคนนี้ได้ใช้เวลาในการสร้างกว่า 2-3 ปี โดยมีการใช้เงินไปประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราวๆ 650,000 บาท) สำหรับจรวดลำนี้ซึ่งแต่เดิมนั้นมีกำหนดการปล่อยตัวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาในเวลาประมาณ 14.00-15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศสหรัฐอเมริกา ความเชื่อของเขาที่คิดว่าโลกนี้มัน “แบน” สำหรับการระงับการปล่อยจรวดในเบื้องต้น Hughes บอกว่าเขาได้รับการห้ามบินจากเจ้าหน้าที่ของ BLM ว่า “มันขึ้นอยู่กับสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ…
-
เครื่องบิน NASA เก็บภาพของขั้วโลกใต้กลับมา เผยให้เห็นสภาพของแนวน้ำแข็งในปัจจุบัน
ด้วยสภาพอากาศในโลกเราที่เปลี่ยนไปทุกวัน อีกทั้งยังต้องเผชิญกับสภาวะโลกร้อน ได้ทำให้ภูเขาน้ำแข็งในทวีปต่างๆ นั้นละลายเร็วขึ้นอย่างมาก และหากอยากรู้ว่าในตอนนี้ ขั้วโลกใต้ที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีภูเขาน้ำแข็งมากที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้เป็นอย่างไร ลองไปติดตามภารกิจของทางนาซ่า ภารกิจนี้กันดูดีกว่า ทุกๆ ปี นาซ่าจะมีภารกิจที่ชื่อว่า Icebridge ที่ทำการสำรวจธารน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้อย่างละเอียด เพื่อให้เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของภูเขาน้ำแข็งและธารน้ำแข็งในบริเวณดังกล่าว ซึ่งในปีนี้ภารกิจดังกล่าวได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สาเหตุที่พวกเขาต้องนำเครื่องบินแบบพิเศษมาสำรวจทุกปีนั่นก็เพราะว่า ดาวเทียมและเครื่องบินธรรมดาไม่สามารถตรวจสอบ ธารน้ำแข็ง แผ่นน้ำแข็ง และทะเลน้ำแข็ง ที่อยู่ในพื้นที่นี้ได้อย่างละเอียดนั่นเอง โครงการนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2009 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเก็บรายละเอียดของพื้นแผ่นน้ำแข็งและทะเลน้ำแข็ง เพื่อนำไปใช้สำหรับการวางแผนรับมือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป นักวิจัยได้ใช้เครื่องบินที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ โดยติดตั้งระบบเรดาร์และเลเซอร์วัดระดับความสูง รวมทั้งเครื่องมืออื่นๆ ที่ช่วยให้พวกเขาสามารถตรวจสอบน้ำแข็งและหินใต้ดินได้อย่างละเอียด โดยการสำรวจดังกล่าวสามารถทำได้ในช่วงฤดูร้อนเป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ได้ออกเดินทางจากขั้วโลกใต้เพื่อสำรวจเกาะกรีนแลนด์ในขั้วโลกเหนือในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนที่ผ่านมา ก่อนจะบินกลับมาที่ขั่วโลกใต้ในช่วงวันฮาโลวีน สำหรับภารกิจ Iceberg ในปีนี้ได้นำเครื่องบินสองลำสำรวจบริเวณขั้วโลกใต้ โดยพวกเขาได้เก็บรายละเอียดที่สำคัญๆ ของธารน้ำแข็งที่เปราะบางที่สุดในโลกในฝั่งตะวันตก และภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ชื่อว่า Larsen C และจากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญพบว่า ธารน้ำแข็งที่ได้ไปสำรวจมา มีภาวะความเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็วเนื่องมาจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นของโลก และมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้กำลังถกเถียงกันอยู่ได้บอกว่าธารน้ำแข็งเหล่านี้จะพังทลายลงมาในช่วงอายุขัยของเรา ซึ่งมันจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นถึง 3 เมตรเลยทีเดียว ภาพเหล่านี้เป็นข้อมูลอ้างอิงที่เป็นประโยชน์สำหรับนักวิทยาศาสตร์ในการหาข้อมูลเกี่ยวกับ…
-
ศิลปินหนุ่มเทสารเคมีเหลวลงไปบนกระจกใส แล้วก็ตู้ม!! ออกมาเป็นกระจกเงาซะอย่างนั้น!?
กระจกเป็นสิ่งประดิษฐ์สุดล้ำของมนุษย์ที่มีมาตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล ในช่วงแรกกระจกเงานั้นจะทำมาจากทองแดง ซึ่งมันก็ไม่ได้ชัดอะไรเท่าไหร่ จนกระทั่งในปี 1835 นักเคมีชาวเยอรมัน Justus von Liebig ได้คิดค้นกระจกเงาที่ทำมาจากแร่เงินขึ้นมา ซึ่งกระจกชนิดนี้เอง คือกระจกเงาที่เราเห็นกันในปัจจุบัน แต่เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมา อินสตาแกรมของศิลปินหนุ่มที่ใช้ชื่อว่า davesmithartist ได้เผยให้เห็นถึงวิธีการทำกระจกเงาแบบง่ายๆ ที่ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น เพียงแค่เทสารเคมีเหลวลงไปบนกระจกใส ไม่นานเกินรอก็กลายเป็นกระจกเงาเฉย!! (หากใครไม่เห็นคลิปสามารถกดดูได้ที่ลิงค์ instagram) Creating a mirror using Silver Nitrate with @nikglas_ This shows the chemical reaction once it is poured onto the glass. A warm workshop and also warm containers of liquid during winter months…
-
นักวิทย์คอนเฟิร์ม การเลี้ยงลูกสุนัขช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคต่างๆ ของลูกท่านได้!?
หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่าเหล่าสัตว์เลี้ยงนั้นนอกจากจะเป็นเพื่อนที่แสนดีของพวกเราแล้ว บางครั้งพวกมันยังสามารถช่วยบำบัดโรค อย่างเช่นโรคซึมเศร้าได้อีกด้วย และเมื่อเร็วๆ นี้ผลการศึกษาที่ถูกนำเสนอที่สถาบันวิจัยโรคภูมิแพ้แห่งสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยว่าการเลี้ยงลูกสุนัขนั้นสามารถช่วยป้องกันอาการภูมิแพ้และโรคผิวหนังในเด็กได้ “ถึงแม้ว่าโรคผื่นแพ้จะเป็นอีกหนึ่งโรคที่พบได้มากในเด็ก แต่หลายๆ คนยังไม่ทราบโรคดังกล่าวนั้นสามารถพัฒนากลายเป็นโรคแพ้อาหาร โรคภูมิแพ้ และถึงขั้นเป็นโรคหอบหืดได้” ดอกเตอร์ Gagandeep Cheema ผู้เชี่ยวชาญทางด้านหอบหืด หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว การศึกษาก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่าเด็กที่เติบโตมาพร้อมกับเจ้าตูบนั้น มีความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้และโรคอ้วนต่ำกว่าเด็กทั่วๆ ไป เนื่องจากว่าพวกเขาจะได้รับแบคทีเรียชนิดดีจากการคลุกคลีกับพวกสุนัข นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอื่นๆ ที่ชี้ให้เห็นว่าสุนัขนั้นสามารถช่วยป้องกันพวกเด็กๆ จากโรคหวัดและอาการติดเชื้อในหูได้ และยังมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าสุนัขนั้นมีส่วนช่วยในพัฒนาการการมองเห็นของเด็กทารก ซึ่งช่วยให้พวกเขาแยกระหว่างใบหน้าของคนกับสัตว์ได้ จากการวิจัยของดอกเตอร์ Gagandeep Cheema ที่ทำการศึกษาในกลุ่มแม่และเด็กถึง 782 คนที่เลี้ยงสุนัขไว้ในบ้านอย่างน้อย 1 ตัวและอยู่กับพวกมันอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมงระหว่างที่พวกเธอตั้งครรภ์พบว่า เมื่ออายุ 2 ขวบเด็กที่เกิดมานั้นมีความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ลดลง แต่เมื่ออายุ 10 ขวบภูมิคุ้มกันเหล่านั้นกลับลดลง นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้ทำการศึกษาถึงผลกระทบของสุนัขกับโรคหอบหืดในเด็กอีก 180 คน ผลการศึกษาโดยการแบ่งเด็กออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะได้รับแบคทีเรียบนสุนัขที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ และกลุ่มที่สองจะได้รับแบคทีเรียบนสุนัขที่ไม่เก่ียวกับโรคภูมิแพ้ ผลปรากฏว่าเด็กกลุ่มแรกมีอาการแย่ลง ส่วนกลุ่มที่สองนั้นกลับมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ทางนักวิจัยยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัดของการป้องกันโรคภูมิแพ้ในเด็กจากแบคทีเรียที่มาจากสุนัข และตอนนี้พวกเขากำลังศึกษาถึงกลไกลในการป้องกันโรคดังกล่าวจากแบคทีเรียของสุนัขอยู่…
-
งานวิจัยยืนยันแล้วว่า การดู “หนังสยองขวัญ” สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริงๆ นะเออ!?
การดูหนังสยองขวัญไม่ใช่สิ่งที่หลายๆ คนชื่นชอบ แต่งานวิจัยนี้อาจช่วยให้เปลี่ยนความคิดนั้นได้ เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่าการดูหนังแนวนั้นเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง!! งานวิจัยดังกล่าวเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย Westminster ตั้งอยู่ใจกลางกรุงลอนดอน โดยนักวิจัยได้บอกว่าการดูหนังสยองขวัญเป็นเวลา 90 นาที สามารถเบิร์นแคลอรี่ได้มากถึง 113 แคลฯ เทียบเท่ากับการเดินเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ดอกเตอร์ Richard Mackenzie วิทยากรอาวุโสผู้เชี่ยวชาญด้านการเผาผลาญและสรีระวิทยาของมหาวิทยาลัย ได้ออกมาอธิบายถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเอาไว้ว่า “การดูหนังสยองขวัญช่วยเบิร์นแคลอรี่ของเราจากการสะดุ้งตกใจของเราในขณะที่รับชม” เขาอธิบายต่อว่า “การสะดุ้งจะทำให้ชีพจรและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงขึ้น เลือดลมในร่างกายสูบฉีดเร็วขึ้น จนทำให้ร่างกายปล่อยอะดรีนาลีนออกมาเอง ซึ่งอะดรีนาลีนดังกล่าวจะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ ตอนที่เราเครียดหรือหวาดกลัว ลดความอยากอาหารของเราไป เพิ่มอัตราการเผาผลาญขั้นพื้นฐานและช่วยเบิร์นแคลอรี่ในระดับสูงมากยิ่งขึ้น” นอกจากนั้นได้มีการศึกษาจากบริษัทเช่าหนังออนไลน์ที่ชื่อว่า LoveFilm ทำการวัดอัตรการเต้นของหัวใจ การรับออกซิเจนและการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของเราออกมา ผลลัพธ์ที่ออกมาคือหนังสยองขวัญสามารถช่วยเบิร์นแคลอรี่ได้มากกว่าค่าเฉลี่ยปกติถึง 3 เท่า ถ้าหากเพื่อนๆ คิดว่า 113 แคลฯ มันน้อยไปแล้วล่ะก็ เรามีวิธีที่มันแอดวานซ์ขึ้นไปอีก เพราะจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Westminster บอกว่าการดูหนังจำนวน 6 จาก 10 เรื่องดังต่อไปนี้ สามารถเบิร์นแคลอรี่ได้มากกว่านั้นเยอะ โดยได้จัดอันดับเอาไว้ตามนี้…
-
แล้วตามหลักวิทยาศาสตร์ นี่คือ 7 สิ่งที่ “ความรัก” ทำต่อร่างกายของคุณ
อย่างที่เรารู้ๆ กัน ความรักนั้นมักจะมอบความสุขให้กับเรา ไม่ว่าเราจะเป็นคนที่ถูกรักหรือเป็นฝ่ายมอบความรักเองก็ตาม แต่นอกจากความสุขแล้วยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลักวิทยาศาสตร์ซ่อนอยู่ในความรักอีกด้วยเช่นกัน และวันนี้เราก็มีความลับและเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจของเราเนื่องจากความรัก ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นไปชมกันได้เลย… 1. ความรักช่วยคลายความเจ็บปวดได้!! อย่างที่เราทราบกันดีแล้วว่าการกอดกันนั้นนอกจากจะทำให้อบอุ่นแล้วยังทำให้เรารู้สึกดีอีกด้วย แต่เมื่อไม่นานมานี้ผลการศึกษาจาก Mount Sinai School of Medicine จากสหรัฐอเมริกาได้เผยว่าการกอดนั้นยังมีผลต่อสารเคมีในสมองอีกด้วย และการกอดกันประมาณ 10-20 วินาทีจะมีทำให้ความเจ็บปวดของร่างกายลดลง โดยเฉพาะอาการปวดหัว และนอกจากนี้ผลการศึกษาจากภาควิชาจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย Rutgers University ยังได้เผยอีกว่าการถึงจุดสุดยอดหรือการได้รับการกระตุ้นทางเพศนั้นมีผลในการช่วยหยุดยั้งความเจ็บปวดของร่างกายอย่างเช่นอาการปวดเรื้อรังและข้ออักเสบ 2. ความรักช่วยดูแลหัวใจคุณ จากผลการศึกษาของคณะแพทย์ศาสตร์จากมหาวิทยาลัย University of North Carolina-Chapel Hill ได้ชี้ให้เห็นว่าการแสดงออกทางความรักนั้นจะทำให้หัวใจของเราเต้นช้าลง ซึ่งมีผลในการช่วยลดความเครียดและความเสี่ยงของโรคหัวใจในระยะยาว 3. ความรักก็ช่วยให้คุณต่อสู้กับเจ็บป่วยได้เช่นกัน การแสดงออกทางความรักตั้งแต่การจับมือไปจนถึงกิจกรรมเข้าจังหวะนั้นจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอ็นโดรฟินออกมา และช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของเรา และนอกจากนี้มันยังช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อการรักษาและต่อสู้กับความเจ็บป่วยต่างๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย 4. ความรักช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับได้ ฮอร์โมนของความรักอย่างออกซิโตซินและเอ็นโดรฟินนั้น จะช่วยยับยั้งฮอร์โมนที่มีผลต่อความเครียด มันจะช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น และจากผลการศึกษาของภาควิชากายวิภาคศาสตร์และชีววิทยาจากมหาวิทยาลัย Morehouse ได้ยืนยันว่าความรักนั้นช่วยให้เรานอนหลับสบายขึ้น 5. นอกจากนี้ความรักยังช่วยให้คุณเลิกยาเสพย์ติดและรับมือกับการถอนยาได้อีกเช่นกัน ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและออกซิโตซินนั้นจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถต่อสู้กับอาการเสพย์ติดสารเสพย์ติดต่างๆ ได้ และการมีความรักนั้นก็เป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มความสุขให้กับชีวิตคุณ…
-
Let it Go!! วิทยาศาสตร์อธิบายถึงสาเหตุว่าทำไมเราถึงไม่ควรอั้น “ตด” เอาไว้
การตดนั้น ปกติเราคงจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอายหรือน่ารังเกลียด ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไรเพราะทั้งเสียงและกลิ่นของมันเวลาที่ถูกปล่อยออกมามักจะสร้างบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนกันพอสมควรเลยทีเดียว และเมื่อผลลัพธ์ของการตดมักจะออกมาไม่ค่อยดีนัก เราจึงพยายามที่จะอั้นและไม่ตดออกมาอยู่เสมอ ซึ่งรู้หรือไม่ว่าการทำแบบนั้นมันไม่ดีเอาซะเลย…งง แล้วละสิว่ามันไม่ดียังไง วิทยาศาสตร์นั้นมีคำตอบ!! โดยคำตอบนั้นมาจาก Dr Satish S.C Rao แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคทางเดินอาหารได้ให้เหตุผลว่า ภายในตดนั้นมีอะไรต่อมิอะไรอยู่มากมายทั้ง ไนโตรเจน, ไฮโดรเจน, ออกซิเจน, คาร์บอนไดออกไซด์, มีเทน และก๊าซย่อยๆ อีกเพียบ และมันก็ไม่ส่งผลดีต่อลำไส้ของเราเลย นอกจากนี้ Dr Satish ยังแนะนำอีกว่าการอั้นไว้นั้นจะมีแต่สะสมแก๊ซมากขึ้นๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือความเสียหายต่างๆ เช่นกลิ่น เมื่อมันสะสมมากขึ้น กลิ่นก็จะเหม็นสุดๆ จนอาจจะฆ่าคนตายได้เลยนะ ไม่ได้โม้!! ที่สำคัญไปกว่านั้นคือไม่ว่ายังไงตดก็จะต้องถูกปล่อยออกมาแม้เราจะอั้นยังไง เพราะตอนเรานอนหลับ ตดก็จะถูกปล่อยออกมาโดยที่เราควบคุมมันไม่ได้นั่นเอง ฉะนั้นการหาทางออกที่ดีที่สุดคือ หาจังหวะคนน้อยๆ หรือที่ลับตาแล้วปล่อยมันออกมาซะ ปล่อยมันไปอย่างที่เป็น เลทอิทโก…. ในการ์ตูนเรื่อง Family Guy ได้บอกไว้ว่า ถ้าผู้หญิงสามารถดมตดของผู้ชายได้ แสดงว่าเธอคนนั้นได้แสดงความรักออกมาแล้ว ฉะนั้นถ้าชอบใครก็ดมตดของเขาซะ!! หรือถ้าใครหาวิธีการตดแบบเนียนๆ ไม่ได้ คลิปนี้มีคำตอบ… เอ่อ…
-
ว่าไงนะ… งานวิจัยเผย ‘เห็ดขี้ควาย’ ช่วยรีเซ็ทสมอง และบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าได้!?
งานนี้สายเมาแบบ Trippy คงต้องมีเฮกันบ้าง หลังมีงานวิจัยจากสถาบัน Imperial College London ที่ค้นพบว่า… เห็ดขี้ควาย (Magic Mushroom) ช่วยรีเซ็ทสมอง และบรรเทาอาการโรคซึมเศร้าได้จริง!? ถ้าจะให้อธิบายคุณสมบัติแบบหยาบๆ ก็คือ เจ้า Psilocybe Cubensis (เห็ดขี้ควาย) เป็นเห็ดที่มีพิษส่งผลต่อระบบประสาท โดยส่วนใหญ่ผู้ที่รับประทานเข้าไปจะมีอาการ.. เห็นภาพ แสง สี ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านความคิด และอารมณ์คล้ายคลึงกับ LSD ซึ่งเราจะเรียกสสารในหมวดที่สร้างภาพหลอน และมีการเปลี่ยนแปลงเชิงจิตใต้สำนึกนี้ว่า ‘Psychedelic Drugs’ ตัวเห็ดมักขึ้นอยู่ตามกองมูลแห้งของควาย สามารถพบได้ในหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก และในแต่ละพื้นที่ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยทางสายพันธุ์ที่ต่างกันออกไป (รวมถึงอาการที่ได้รับด้วย) มาเข้าเรื่องของเรากันต่อ… โดย Dr. Robin Carhart-Harris หัวหน้าทีมวิจัยสาร Psychedelic ประจำสถาบัน Imperial College London ได้ให้สัมภาษณ์ถึงผลลัพธ์จากงานวิจัยว่า “เราได้ค้นพบครั้งแรกว่า อาการที่เกิดขึ้นจากการรับประทาน ‘เห็ดขี้ควาย’ ช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมสมองของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือคนที่มีปัญหากับอาการเครียดได้..” …
-
17 การทดลองทางวิทยาศาสตร์เจ๋งๆ เปิดหูเปิดตาให้คุณได้รู้อะไรใหม่ๆ อีกเพียบ!!
วิทยาศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ทำให้เราได้รู้ความจริงจากการพิสูจน์ การทดลอง แต่นอกจากนั้นวิทยาศาสตร์ ยังทำให้เราได้เห็นถึงความแปลกใหม่ ที่เราอาจไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต และนี่คือบางส่วนของการทดลอง ที่เรานำมาให้ชมกันในรูปแบบของภาพเคลื่อนไหว จะเป็นอย่างไรไปดูความมหัศจรรย์เหล่านี้กันเลย นักดำน้ำคนนี้เดินอยู่ใต้น้ำแข็งในสภาพกลับหัวกลับหาง การเผาไหม้ของหัวไม้ขีด การแตกของกระจกที่ 10 ล้านเฟรมต่อวินาที อานุภาพของคลื่นเสียงที่ทำให้สิ่งหนึ่งลอยตัวได้ เมื่อแตงโมถูกรัดด้วยยางกว่า 100 เส้นปรากฎว่า… การปล่อยสปริงแบบสโลโมชั่น แม่เหล็กที่เป็นสีน้ำเงินกำลังกลืนกินโลหะลูกหนึ่ง แบตเตอรี่ แม่เหล็ก และทองแดงสามารถขับเคลื่อนกลไกแบบง่ายๆ ได้ อุปกรณ์ที่ช่วยจัดศูนย์ถ่วงให้แก้วเบียร์ ทำยังไงก็ไม่หก คุณสามารถใช้ควันจุดเทียนใหม่อีกครั้งได้ด้วยการจุดไฟจากควันที่ลอยขึ้นมา สิ่งนี้เรียกว่า “การลอยตัวของมวลสาร” การแตกตัวของเมล็ดพืช การจับเหยื่อของแมงมุม ลูกสนขยายตัว ว้าวว เมื่อเลือดตกใส่ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ ความมหัศจรรย์ของแม่เหล็กเหลว น้ำแข็งแห่งเจอกับน้ำยาล้างจาน น่าทึ่งจริงๆ…
-
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อใส่ “โซเดียม” ลงไปในแตงโม&โค้ก พร้อมคำอธิบายแบบวิทย์ๆ
หลายๆ ครั้งที่การทดลองทางวิทยาศาสตร์มักทำให้เราประหลาดใจได้บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการทดลองทางฟิสิกส์ หรือการทดลองทางเคมี ก็ดูน่าทึ่งไม่น้อยเลยทีเดียว ก่อนหน้านี้เราได้นำเสนอเกี่ยวกับการนำสาร 2 ชนิดมาผสมซึ่งให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่แปลกใหม่ (อ่านข่าวเก่า ชั่วโมงวิทย์กับจารย์เหมียว 14 ภาพอันน่าสนใจ จะเป็นอย่างไร เมื่อสสาร 2 ชนิดมาเจอกัน) และวันนี้เราก็มีอีกการทดลองที่น่าสนใจมาฝากกัน นั่นก็คือการใส่ “โซเดียม” ลงไปในแตงโม&โค้ก นั่นเอง ส่วนผลที่ได้จะเป็นอย่างไรไปชมกันเลย… โซเดียมพระเอกของงานนี้!! เมื่อไม่นานมานี้ทางช่องยูทูบ The Q ได้อัพเดทคลิปวิดีโอการทดลองวิทยาศาตร์ โดยการนำโซเดียมไปใส่ลงในของทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ น้ำอัดลม แตงโม และนำผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งผลที่ได้ออกมานั้นก็คือการระเบิดนั่นเอง!! เริ่มต้นจากการหย่อนโซเดียมลงในแก้วโค้กเล็กๆ ก่อน จากนั้นจึงขยับมาที่ขวดโค้กขนาดใหญ่ขึ้น และก็… บู้มม!! เกิดเป็นระเบิด จากนั้นก็มาต่อกันที่แตงโม และผลที่ได้ก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ!! ไปชมการทดลองนี้แบบเต็มๆ ได้ที่คลิปวิดีโอด้านล่างนี้เลย… การทดลองนี้จะได้ผลกับกลุ่มของโลหะอัลคาไลน์ หรือพูดง่ายๆ ก็คือธาตุแถวแรกในตารางธาตุนั่นเอง โดยในธรรมชาติแล้วธาตุเหล่านี้จะมีความไวในการทำปฏิกิริยากับธาตุอื่นๆ มาก แถมยังมีความอันตรายอีกด้วย คุณ Pavel…
-
นักวิจัยเผย… ผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์ในระยะยาว จะมีความสนใจเรื่อง ‘เซ็กส์’ ลดน้อยลง
สำหรับใครที่คบกันมานานและเริ่มรู้สึกว่ารสชาติแห่งความรักนั้นเริ่มจะจืดจางลงไปทุกที หลายๆ ครั้งเรื่องบนเตียงก็ไม่ได้รู้สึกสนุกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ถ้าหากว่าคุณกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ล่ะก็ วันนี้เรามีคำตอบดีๆ จากงานวิจัยมาฝากกัน เมื่อไม่นานมานี้ได้มีผลการศึกษาที่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง เผยว่าหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กันมาอย่างยาวนานแล้ว ฝ่ายผู้หญิงจะมีความสนใจในเรื่องบนเตียงลดลงมากกว่าฝ่ายชาย!! ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการอย่าง BMJ Open ที่ได้ทำการสำรวจจากประชากรชาวอังกฤษในช่วงอายุ 16-74 ปี โดยแบ่งเป็นชาย 4,839 คน และหญิง 6,669 คน โดยพบว่าผู้ชายมากกว่า 15 เปอร์เซ็นต์และผู้หญิงอีกกว่า 34.2 เปอร์เซ็นต์ มีความสนใจทางเพศลดลงเมื่อผ่านไปแล้ว 3 เดือนหรือหลังจากคบกันในปีแรกๆ ซึ่งสาเหตุในดังกล่าวนั้นเป็นผลมาจากเรื่องของอายุ สุขภาพ และสภาพจิตใจของกลุ่มตัวอย่าง นอกจากนี้นักวิจัยยังพบว่าผู้หญิงส่วนมาก จะหมดความสนใจเรื่องเพศหลังจากที่คบหาฝ่ายชายมาได้ประมาณ 1 ปี แต่อย่างไรก็ตามนักวิจัยแนะนำว่าปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ โดยการหันหน้าเข้าหากัน ซึ่งพวกเขาพบว่าการพูดคุยเรื่องกิจกรรมเข้าจังหวะระหว่างคู่รักนั้น จะช่วยให้ปัญหาดังกล่าวลดลงได้ ทางด้านคุณ Cynthia Graham หนึ่งในทีมวิจัยจากศูนย์วิจัยสุขภาพทางเพศของ University of Southampton ได้ออกมาอธิบายถึงปัจจัย ที่มีผลต่อความสนใจเรื่องเพศของชายและหญิงว่า “สำหรับผู้หญิงแล้วสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เรื่องเพศนั้นยังคงเป็นที่สนใจอยู่นั้นก็คือคุณภาพและความความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังรวมถึงการพูดคุยกับคู่รักอีกด้วย และอีกสิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันก็คือ การแก้ปัญหาเรื่องความสนใจทางเพศ โดยคู่รักนั้นจะต้องมองหลายๆ…
-
11 เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถสังเกตได้ว่าคุณอ่ะ… กำลัง “ตกหลุมรัก” เข้าแล้ว
ความรักมีได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรักกันในครอบครัว รักแบบพี่น้อง รักเพื่อน รักสัตว์ รักสิ่งของต่างๆ หรือรักแบบคนรักเองก็เช่นกัน แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าได้รักใครไปแล้ว คุณคิดไปเองหรือว่ามันเกิดขึ้นจริงกันแน่นะ? นอกเหนือจากสิ่งที่คุณเดาเอาจากความคิดความรู้สึกแล้ว เรื่องนี้ยังสามารถทราบได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพราะร่างกายของคุณเองก็เกิดปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน ว่าแล้วก็ลองไปดูกันซะหน่อยว่าจะมีข้อสังเกตอะไรกันบ้าง มองแต่เธอหรือเขาอยู่ตลอด หากคุณถูกจับได้ว่าแอบมองใครสักคนอยู่ อาจหมายความว่าคุณกำลังตกหลุมรักเขาหรือเธอคนนั้นไปแล้ว เพราะว่าการที่เราจ้องอะไรสักอย่างอยู่ นั่นคือกำลังให้ความสนใจกับสิ่งๆ นั้น กับคนที่เรารักเองก็เช่นกัน การศึกษาพบอีกว่าคู่รักที่มักจะสบตากันไม่ยอมละสายตาไปไหน แสดงว่าทั้งสองคนมีสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่าคู่ที่ไม่ได้ทำ ขณะเดียวกันหากคนแปลกหน้าสองคนสบตากันนานกว่า 1 นาที ความรักของทั้งสองอาจกำลังเบ่งบานอยู่ก็เป็นได้ รู้สึกเหมือนกำลังมึนเมา เมามายและหลงใหลไปกับความรักนั้นคือเรื่องจริง เพราะจากการศึกษาของสถาบัน Kinsey บอกไว้ว่า สมองของผู้ที่กำลังมีความรักจะดูเหมือนสมองของคนที่เสพโคเคน ส่วนหนึ่งเกิดจากสารโดพามีน (Dopamine) ที่หลั่งออกมาเหมือนกัน ข้าวใหม่ปลามันทั้งหลายถึงได้ดูเหมือนรักกันปานจะกลืนกินยังไงละ คิดถึงแต่คนคนนั้น เวลาที่รักใครสักคนก็เป็นเรื่องยากที่จะเอาเขาออกไปจากสมองของเราได้ นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะก็เป็นสิ่งที่ร่างกายทำให้เราเป็นแบบนั้น เมื่อสมองหลั่งสารฟีนิลเอธิลามีน (Phenylethylamine) หรืออีกชื่อคือสารแห่งความรัก เจ้าตัวนี้แหละที่ทำให้คุณหลงใหลในตัวของคนๆ นั้น และอาจคุ้นเคยกันดีสำหรับบางคน ในเมื่อมันเป็นสารเดียวกันกับที่มีในช็อกโกแลต ที่จะทำให้คุณไม่อาจหยุดกินมันได้เลย ต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุข ความรักคือความเท่าเทียม…
-
8 วิธีทางวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยให้คุณ ‘มีเสน่ห์’ สามารถดึงดูดใจคนรอบข้างได้มากยิ่งขึ้น
ความมีเสน่ห์และดึงดูดใจคนรอบข้าง คงเป็นสิ่งที่หลายๆ คนอยากมี ทำให้ดูน่าคบหาทั้งกับเพื่อนและเพศตรงข้าม ซึ่งแน่นอนว่าการแต่งกายก็เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถช่วยได้ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาบอกแนวทางที่จะพัฒนาเรื่องนี้ได้มากยิ่งขึ้นไปอีก ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องความแตกต่างในตัวบุคคล เพราะวิธีการเหล่านี้ทุกคนสามารถทำได้ไม่แตกต่างกัน จะมีอะไรกันบ้างก็ลองไปดูกันได้เลย มีอารมณ์ขัน ทุกคนคงทราบกันแล้วว่าหากคุณเป็นคนตลกก็จะสามารถดึงดูดคนรอบข้างได้ดี ซึ่งหากคุณมีอารมณ์ขันในเรื่องที่ตัวเองสร้างขึ้น ไม่ใช่ตลกในเรื่องของคนอื่นจะเป็นการเพิ่มความน่าสนใจให้กับตัวเองอย่างมาก จากการศึกษาพบว่าผู้หญิงจะชอบผู้ชายที่สามารถทำให้เธอหัวเราะได้ ส่วนผู้ชายไม่ได้มองเรื่องนั้นเพราะเพียงแค่รอยยิ่มของเธอแค่นั้นก็เกินพอ สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบว่าผู้คนจะดูน่าสนใจมากขึ้นเมื่ออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เหตุผลเพราะว่าการทำงานของสมองจะรวมหน้าตาของคนในกลุ่มไว้ด้วยกัน ทำให้แต่ละคนดูเฉลี่ยพอๆ กันหมดผลลัพธ์ก็คือ คุณจะดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น กริยาท่าทาง จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การแสดงท่าทางที่เปิดเผยและมั่นใจจะช่วยให้คุณดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นกับคนที่เจอกันครั้งแรก อย่างการโอบกอดคนที่เจอกันทุกคนด้วยความอบอุ่นก็อาจเป็นวิธีการที่ไม่เลวเลยทีเดียว การสื่อสาร การศึกษาจากฮาร์วาร์ดพูดว่าเมื่อเวลาที่คุณพูดถึงแต่ตัวเองเพียงอย่างเดียว คนที่ฟังจะรู้สึกไม่มีความสุขและไม่สนใจในเรื่องเหล่านั้น บางครั้งคุณก็ต้องถามแปลกๆ หรือในเชิงลึกของพวกเขาดูบ้าง คุณจะรู้ได้เลยว่าพวกเขารู้สึกโอเคมากขึ้นขนาดไหน ความเป็นผู้นำ เป็นธรรมชาติของเราที่จะมองว่าผู้นำมีแรงดึงดูดความสนใจ การศึกษาบอกว่าคนที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มจะรู้สึกว่าคนที่เป็นผู้นำในกลุ่มของตัวเองมีเสน่ห์ที่มากกว่าที่จะสร้างแรงดึงดูดให้กับคนนอกกลุ่ม เหมือนกับที่ CEO จะทำให้พนักงานในบริษัทเห็นถึงเสน่ห์ได้มากกว่าคนภายนอก การแสดงออกทางสีหน้า นักวิจัยชาวสวิสทำการศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างเสน่ห์กับรอยยิ้ม สิ่งที่พบคือใบหน้าที่ยิ้มแย้มออกมาอย่างจริงใจจะสามารถดึงดูดคนรอบข้างได้มากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่สังเกตได้หากเราเป็นคนที่แสดงออกถึงความสุขได้ง่าย จะทำให้คลี่คลายเรื่องต่างๆ…
-
ชั่วโมงวิทย์กับจารย์เหมียว 14 ภาพอันน่าสนใจ จะเป็นอย่างไร เมื่อสสาร 2 ชนิดมาเจอกัน
ในชีวิตประจำวันของพวกเรามีสารเคมีเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ อย่างเช่นพลาสติกทั้งหลาย เมื่อเจาะลึกลงไปแล้วมันถูกสร้างมาจากสร้างเคมีหลายๆ อย่างนั่นเอง และบางครั้งเมื่อสสาร 2 ชนิดเข้าใกล้กันก็อาจจะทำให้เกิดฏิกริยาเคมีได้ และวันนี้เราก็ได้รวบรวมภาพของการทำปฏิกริยาเคมีระหว่างสสารทั้ง 2 ชนิดมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน ซึ่งแต่ละชนิดนนั้นก็ไม่ธรรมดาเลย ส่วนจะน่าทึงแค่ไหนนั้นไปชมกันได้เลยจ้า… 1. ปรอทและอลูมิเนียม 2. เทเลือดลงบนไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ 3. เหล็กในสารละลายจุนสี หรือ คอปเปอร์(II)ซัลเฟต 4. โคล่าและคลอรีนผง 5. การตกผลึกของโซเดียมอะซิเตรต 6. ฟอสฟอรัส กับ ออกซิเจน 7. แกลเลียมและกระป๋องอลูมิเนียม 8. p-Nitroaniline และกรดซัลฟิวริกเข้มข้น 9. ปรากฏการณ์ elephant toothpaste ที่เกิดจากไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ โดยมีตัวกระตุ้นคือโพแทสเซียมไอโอไดด์ 10. นี่ก็คือปรกฏการณ์ elephant toothpaste เช่นกัน แต่คราวนี้ใช้ ด่างทับทิมละลายน้ำเป็นตัวกระตุ้นแทน 11. โซเดียมโพลิอะคริเลต (สารดูดซับความชื้น) กับน้ำ 12. แกลเลียมและอินเดียม 13. ไอโซไซยาเนตและโพลีออล…
-
7 ข้อสังเกตสุดอัศจรรย์ที่บอกได้ว่าแท้จริงแล้วคุณอาจเป็น “คนฉลาด” อยู่ลึกๆ
เราอาจเคยเห็นแบบทดสอบวัดผลระดับสติปัญญามาหลายแบบ บางอันแค่ต้องการให้เราตอบคำถาม บางอันอาจให้เราแก้ปัญหารูปภาพ บางอันอาจถามปัญหาเชาว์ แต่มันจะดีขนาดไหน หากเรามีหลักการณ์ง่ายๆ ที่ช่วยให้เรารู้ได้ทันทีว่าใครเป็นอัจฉริยะตัวจริง ล่าสุดเว็บไซต์ต่างประเทศได้รวบรวม 7 ข้อสังเกตสุดอัศจรรย์ ที่จะทำให้คุณรู้ทันทีว่านี่แหละคืออัจฉริยะที่โลกตามหามานาน จะมีอะไรบ้าง ลองไปชมกันเลย เป็นคนใช้ยาเสพติด คุณคงเคยได้ยินพ่อแม่หรือพวกผู้ใหญ่พูดว่าการเล่นยาในช่วงมหาลัยเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ แต่อ้างอิงจากงานวิจัยของ James White และ David Batty เรื่องนั้นอาจไม่จริงเท่าไหร่ พวกเขากล่าวว่า คนที่เล่นยามักเป็นคนที่เปิดกว้างพร้อมรับประสบการณ์ใหม่ๆ และเป็นพวกขี้เบื่อ แต่อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ใช้ได้กับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ฉะนั้น หนุ่มๆ ควรเชื่อฟังที่พ่อแม่ผู้ปกครองบอกหน่อยล่ะนะ เป็นพวกลิเบอร่อล มีการบอกว่าพวกลิเบอร่อลจะมี IQ สูงกว่าคนที่เป็นอนุรักษ์นิยม เพราะว่าความเชื่อเสรีนิยมจะเป็นการสวนกระแสสัญชาตญาณวิวัฒนาการของพวกเรา ด้วยความรู้ที่มากกว่า นั่นหมายความว่าคุณมีโอกาสมากกว่าที่จะเอาชนะพวกเขาเหล่านั้นได้ เป็นคนสันโดษ คนส่วนใหญ่มองว่าความสุขเกิดจากการเข้าสังคม พบปะเพื่อนฝูง ใช้ชีวิตร่วมกัน หัวเราะไปด้วยกัน แต่สำหรับคนอัจฉริยะแล้ว การเข้าสังคมอาจทำให้พวกเขาเป็นทุกข์ยิ่งขึ้น งานวิจัยพบว่ายิ่งคนเหล่านั้นอยู่ในสังคมกลุ่มเพื่อนมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ความสุขในชีวิตของพวกเขาลดน้อยลงมากเท่านั้น ดังนั้นอัจฉริยะจึงชอบอยู่อย่างสันโดษมากกว่า เป็นคนนอนดึก สำหรับพนักงานบริษัทแล้ว การตื่นสายอาจไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ แต่สำหรับอัจฉริยะแล้ว…
-
อนาคตแห่งวิทยาศาสตร์อันก้าวไกล กับ 14 สิ่งประดิษฐ์เจ๋งๆ พร้อมความสามารถสุดวิเศษ
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ก็เปรียบได้กับเวทมนตร์ที่มีการอธิบายเอาไว้อย่างชัดเจน และในทุกๆ วัน เรายังคงตื่นตาตื่นใจกับสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เมื่อการผสมโน้นผสมนี้สามารถสร้างความอัศจรรย์ให้กับสสารต่างๆ บนโลก ก่อให้เกิดเป็นประโยชน์ที่มนุษย์เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้กันได้มากมาย หรืออย่างน้อยๆ มันก็สามารถทำในสิ่งที่เราคิดไม่ถึงกันได้อย่างแน่นอน เราลองมารู้จักสสารหรือส่วนประกอบเจ๋งๆ ที่มีกันอยู่ตอนนี้และหลายคนไม่เคยได้ยินกันมาก่อนว่า 14 อย่างนั้นมันมีอะไรกันบ้าง 1.Hydrophobic materials . เจ้าสิ่งนี้จะช่วยป้องกันฝุ่นละออง น้ำหรือของเหลวต่างๆ เอาไว้ไม่ให้ซึมผ่านเข้าไปได้ โดยมีการสร้างมาจากพื้นฐานอนุภาคนาโนของซิลิคอนไดออกไซด์และไทเทเนี่ยม ปัจจุบันพบเจอได้ในสเปรย์ที่มีไว้ฉีดเคลือบเสื้อผ้าและรองเท้าต่างๆ ทำให้ไม่เปื้อนหรือเปียกน้ำ 2.ก๊าซที่ทำให้วัตถุสามารถลอยได้เหมือนกับอยู่บนน้ำ ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ หรือ SF6 มีน้ำหนักมากกว่าอากาศถึง 5 เท่า โดยมันจะไม่สามารถลอยออกไปจากภาชนะที่มันอยู่ได้และช่วยทำให้วัตถุขนาดเบาสามารถลอยตัวได้เหมือนกับอยู่ในน้ำ อีกความพิเศษของมันก็คือหากเราสูดเข้าไปจะทำให้เรามีโทรเสียงต่ำลงเหมือนกับเสียงดาร์ธเวเดอร์กันได้ในทันที 3.โลหะที่สามารถละลายได้ในมือคุณ . มันก็คือโลหะที่สามารถละลายได้ด้วยอุณหภูมิห้อง แต่ที่เจ๋งยิ่งกว่านั้นก็คือเมื่อมันโดนจุ่มไปในน้ำร้อน การละลายของมันจะเร็วมากอย่างน่าตกใจกันไปเลย และถ้าหากว่าอลูมินเนียมสัมผัสเข้ากับแกลเลียมจะทำให้มันเปราะบางเอามากๆ เหมือนกับรูปด้านล่าง และถึงแม้จะมีปัญหาดังกล่าว แต่เทคโนโลยีขั้นสูงก็มักจะนำแกลเลียมอัลลอยไปใช้อยู่บ่อยครั้ง เช่นในอุตสาหรกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นต้น 4.ผงระเบิด . Nitrogen triiodide และ Fulminating…
-
งานวิจัยเผย “ปลา” เป็นสัตว์ที่ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกันกับมนุษย์!?
“ปลาไม่มีความเจ็บปวดเหมือนมนุษย์” นี่คือหนึ่งในข้อสรุปจากงานวิจัยวิจัยที่ประกอบไปด้วยนักประสาทวิทยา นักพฤติกรรม และผู้เชี่ยวชาญทางด้านปะมง ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ที่ชื่นชอบการตกปลารู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อยก็ได้ การศึกษาครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญจากยุโรป แคนาดา ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งผลศึกษาในขั้นต้นนั้นบอกว่าปลาไม่ได้มีระบบประสาทและสรีระร่างกายที่สามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดได้เหมือนกับมนุษย์ อาการความเจ็บปวดโดยทั่วไปของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นจากกระตุ้น Nociceptor หรือเซลล์ประสาทรับรู้ความรู้สึก โดยเมื่อมันได้รับการกระตุ้นแล้วจะทำการส่งสัญญาณประสาทไปยังสมองและกระดูกสันหลัง จากนั้นจึงแปลงเป็นความรู้สึกเจ็บออกมา และในระดับความรู้สึกทางด้านอารมณ์ ความเจ็บปวดจะรุนแรงขึ้นจากความหวาดกลัวและสามารถสร้างอาการทางจิตใจได้ถึงแม้ว่าความเจ็บปวดนั้นจะไม่ได้สร้างบาดแผลให้เราเลยก็ตาม นอกจากนี้ยังมีอาการเจ็บปวดที่สามารถเกิดขึ้นได้เองอย่างเช่นอาการชาอีกด้วย และจากการศึกษาพบว่าพวกปลานั้นไม่ได้มีระบบการรับรู้ความเจ็บปวดที่เหมือนกับมนุษย์ โดยเส้นประสาท c-nociceptors ที่มีส่วนต่อระดับความรุนแรงของความเจ็บปวดที่พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไปนั้น ไม่พบในพวกปลาชนิดต่างๆ ตั้งแต่ปลากระดูกอ่อนอย่างพวกฉลาม กระเบน ไปจนถึงปลากระดูกแข็งอย่างพวกปลาคาร์ฟและปลาเทราท์ ดังนั้นในทางสรีระวิทยาแล้วพวกปลาแทบจะไม่สามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้เลย แต่อย่างไรก็ตามพวกปลากระดูกอ่อนนั้นมีเซล์ประสาทรับความรู้สึก ซึ่งจะทำให้พวกมันสามารถตอบสนองต่อความเจ็บปวดและสิ่งที่มากระทบกับตัวมันได้ แต่ก็ไม่อาจจะยืนยันได้ว่าพวกมันสามารถรับรู้ถึงความเจ็บนั้นได้เช่นกัน การศึกษาครั้งนี้เป็นเพียงการศึกษาความเจ็บปวดของปลาที่ได้รับจากการกระตุ้นอย่างเช่นการถูที่รอยแผลบนตัวปลา หรือการอดอาหารพวกมันเท่านั้นอย่างไรก็ตามการทดลองนี้ไม่ได้ศึกษาถึงความรู็สึกเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับระบบเซลประสาทรับรู้ความรู้สึกของพวกมัน และการแสดงความรู้สึกทางด้านอารมณ์ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่การศึกษานี้ไม่ได้กล่าวถึง โดยสรุปแล้วงานวิจัยชิ้นนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าปลาไม่มีการรับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่เหมือนกับมนุษย์ ซึ่งจริงๆ แล้วเราไม่สามารถตีความพฤติกรรมของพวกปลาโดยใช้มนุษย์เป็นเกณฑ์ได้ ถึงแม้ว่าผลศึกษาจะออกมาอย่างไร แต่การเบียดเบียนสัตว์ ก็เป็นการผิดศีลข้อแรกนะโยม ที่มา sciencedaily
-
รวม 21 ภาพ Gif ชวนว๊าว ที่จะทำให้เราได้เห็นว่า…เห้ย!! เวทมนตร์ มันมีอยู่บนโลกเราจริงๆ
วิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทำให้มันเจ๋ง และสุดยอดก็คือ มันช่วยอธิบายถึงสิ่งที่อธิบายไม่ได้ และเราก็ไม่เคยรู้เลยว่ามันทำงานอย่างไร จนกว่าจะมีนักวิทยาศาสตร์มาศึกษาข้อมูล ตรงกันข้ามกับเวทมนตร์ที่หลายคนคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง ซึ่งเราก็เคยคิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อลองดูภาพเหล่านี้แล้ว มันก็ทำให้เราได้เห็นว่า เห้ย!! เวทมนตร์ หรือมายากลมันเจ๋งขนาดไหน เพราะบางทีมันก็ดูล้ำซะจนเราตามไม่ทันเลย ฮ่าๆ ดูแล้วเพลินดีเหมือนกันนะ มันรวดเร็วมากจนแทบมองไม่ทัน ไอเดียสีผมที่สามารถเปลี่ยนสีได้ราวกับเวทมนตร์ เมื่อนำ Pringles มาเรียงกันแบบนี้ บอกเลยว่ามันเจ๋งมาก การหมุนของน้ำอันอัศจรรย์ ดูแล้วเพลินตาจริงๆ ใครเสกให้เฮลิคอปเตอร์จิ๋วเป็นแบบนี้ เห็นแล้วเวียนหัวแทน ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำแบบนี้ได้ ก็ได้แผลกันไป บอกเลยว่าโคตรเจ๋ง ภาพวาด 3 มิติที่เหมือนจริงมากกกก ว้าว ว้าว ว้าว เก้าอี้วิเศษที่สามารถเปลี่ยนรูปทรงได้อย่างหลากหลาย มันก็จะดูลำบากหน่อยๆ ดูลึกลับและงดงาม บอกเลย ว่าพี่คือจอมเวทย์ตัวจริงเสียงจริง…
-
กินของหวานชิลล์ๆ กับไอติมแบบแท่งที่อยู่ได้เป็นชั่วโมงโดย “ไม่ละลาย” จากญี่ปุ่น
เคยเจอกับปัญหากวนใจในหน้าร้อนกันบ้างไหมเอ่ย โดยเฉพาะเวลาที่เราอยากจะเดินกินไอติมตอนไปไหนมาไหน แต่ก็ดันมาละลายเอาคามือเหนียวเหนอะหนะกันไปหมด ลำบากต้องไปล้างมืออีก หรือแย่ไปกว่านั้นก็ร่วงตกลงพื้นไปต่อหน้าต่อตา จบกันกับปัญหานี้เมื่อญี่ปุ่นได้เจอทางแก้แล้ว เมื่อศูนย์วิจัยเพื่อพัฒนาชีวโมเลกุลในเมืองคะนะซะวะ ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการคิดค้นไอติมที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติของการละลายที่ยากมาก อยู่กลางแดดได้นานเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งความสามารถนี้นั้นถูกพบด้วยความบังเอิญเมื่อทางศูนย์วิจัยได้ขอให้พ่อครัวของหวานทำลูกกวาดขึ้นมาจากการใช้สารโพลีฟีนอลจากสตรอเบอร์รี่ร่วมด้วย เพื่อหาแนวทางใหม่มาทดแทนที่มันไม่ดีพอที่จะขายแบบสดใหม่ได้ จากส่วนผสมนั้นทำให้ครีมนมตกผลึกทันทีหลังจากที่ใส่มันเข้าไป ไม่เหมาะที่จะนำไปผลิตลูกกวาด แต่ผู้วิจัยเชื่อว่ามันจะสามารถเป็นส่วนผสมที่ช่วยให้ไอติมละลายช้าลงอย่างมาก จึงได้เริ่มโปรเจกต์ทำไอติมที่แทบไม่ละลายนี้ขึ้นมา Tomimhisa Ota อาจารย์ในมหาวิทยาลัยคะนะซะวะและเป็นผู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้ได้บอกว่า “เจ้าสารชนิดนี้นั้นมีคุณสมบัติทำให้น้ำและน้ำมันแยกออกจากกันได้ยาก นั่นจึงทำให้คงรูปร่างของไอติมแท่งไว้ได้นานกว่าปกติและยากที่จะละลายอีกด้วย” หากสงสัยว่ามันละลายได้ช้าขนาดไหน ทางผู้วิจัยก็ได้มีคลิปวิดีโอนำไอติมมาโดนกับลมร้อนจากไดร์เป่าผมมีความร้อนอยู่ที่ประมาณ 28 องศาเซลเซียส โดยมันก็ยังสามารถคงรูปร่างเอาไว้ได้หลังจากที่ผ่านไปนานถึง 5 นาที อันแรกคือไอติมทั่วๆไป อันที่สองคือไอติมที่ละลายช้า ไม่จบเพียงแค่นั้นเมื่อได้มีคลิปวิดีโอจาก Sora News ทำการทดสอบโดยการนำเอาไอติมแท่งใหม่มาวางทิ้งไว้นานถึง 3 ชั่วโมง แต่ตัวไอติมนั้นแทบจะไม่เสียรูปทรง และยังคงมีความเป็นครีมที่ไม่เหลวเป็นน้ำอีกด้วย เลขในนาฬิกาตัวแรกนั่นคือเวลานับเป็นชั่วโมงนะ ไอติมชนิดนี้ได้ถูกนำออกมาขายในร้าน Kanazawa Ice Shop ก่อนที่จะขยายกว้างไปยังโตเกียวและโอซาก้า…
-
นักจิตวิทยาเผย นี่แหละคือ 5 เคล็ดลับในการทำให้คนอื่นประทับใจคุณ ตั้งแต่เจอกันไม่กี่วินาที!!
เคยหวังที่จะได้เจอกับรักแรกพบกันบ้างไหม!? หรืออยากให้ใครจดจำหน้าเราไว้ได้อย่างตอนไปสมัครงานบ้างรึเปล่า!? ผลลัพธ์จากงานวิจัยนี้อาจช่วยคุณประสบความสำเร็จในเรื่องเหล่านี้ได้นะ นี่เป็นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีอิทธิพลสำคัญต่อการจดจำซึ่งก็คือใบหน้าของมนุษย์โดยนักจิตวิทยา Alexander Todorov โดยนำผลลัพธ์มันมาเป็น 5 วิธีที่จะช่วยคุณให้สร้างความประทับใจที่ดีตั้งแต่แรกเห็นได้ง่ายยิ่งขึ้น 1. จัดระเบียบคิ้วของคุณซะ คิ้วนั้นสร้างลูกเล่นให้เห็นได้มากกว่าดวงตา ซึ่งสามารถทำให้จดจำการแสดงออกได้มากกว่าด้วยขอบเขตที่กว้างกว่าหากพูดถึงการจดจำ เราจะสามารถจดจำคิ้วได้มากกว่าดวงตา เหมือนกับถ้าเราเห็นแค่ดวงตาเราจะจำไม่ได้ แต่ถ้าเห็นคิ้วไม่เห็นดวงตาเราก็จะจำได้ ซึ่งมันสามารถใช้ได้จริงกับใบหน้าที่คุ้นเคยมากมายอย่าง ดาราหรือศิลปิน 2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นเรื่องปกติที่หากเรามีความสุข และได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอแล้ว จะทำให้ผู้อื่นมองเราดูดีมากยิ่งขึ้น โดยมีการศึกษาที่ได้เปรียบเทียบระหว่างรูปถ่ายของคนที่พักผ่อนเพียงพอและไม่เพียงพอ ซึ่งความแตกต่างนั้นสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนที่นอนหลับเพียงพอจะมีใบหน้าดูสร้างความประทับใจได้มากกว่า 3. อยากดูน่าเชื่อถือ ก็ต้องเพิ่มความเป็นสาวให้กับใบหน้า รูปร่างใบหน้าของชายกับหญิงมันต่างกันอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญคือสีผิวของใบหน้าซึ่งได้มีหลายข้อมูลที่บ่งบอกว่าผู้ชายจะมีผิวที่เข้มกว่า ดังนั้นเราจึงต้องปรับความสว่างของผิวบนใบหน้าของเราซะหน่อย วิธีง่ายๆ อย่างการแต่งหน้าก็ช่วยได้ ซึ่งการที่ผู้ชายดูมีความสาวเล็กน้อย หรือกระทั่งผู้หญิงดูมีความเป็นหญิงสาว ก็คือเสน่ห์ดึงดูดอย่างหนึ่ง 4. แต่งตัวในชุดที่ทำให้คุณรู้สึกสบายมากที่สุด มีการทดลองโดยให้สาวๆ ได้ใส่ทั้งชุดที่เธอชอบ และไม่ชอบ เมื่อได้ถ่ายรูปใบหน้าของเธอนั้นก็กลับเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าหน้าในตอนที่แต่งตัวที่เธอชอบนั่นแหละที่ทำให้เธอดูน่าดึงดูดได้มากกว่า 5. อย่าตัดสินใครในทันที Todorov กล่าวว่าเวลาที่เราได้เริ่มพบกับใคร จิตสำนึกของคนเราจะมุ่งความสนใจไปในแง่ลบซะก่อน อย่างแรกที่ควรเป็นคือเราต้องรับรู้ให้ได้ซะก่อนว่าอาจมีหลายสถานการณ์ที่เราตัดสินใครไปในทันที และนั่นเป็นเพียงการหลอกตา…
-
ผู้เชี่ยวชาญคาด ปี 2025 ผู้หญิงจะมี ‘เซ็กส์’ กับ ‘หุ่นยนต์’ มากกว่าคนจริงๆ ด้วยกัน…
เราต่างก็รู้ว่าในอนาคตนั้นกำลังจะเข้าสู่โลกของหุ่นยนต์กันมากขึ้น และมันอาจจะมาทำงานแทนมนุษย์ในหลายๆ อย่าง รวมไปถึงการใช้งานเพื่อสนองตอบทางเพศ แทนที่เซ็กส์ทอยหรือตุ๊กตายางในยุคปัจจุบันด้วย Dr Ian Pearson เป็นนักอนาคตวิทยา เขาได้ชี้ให้เห็นว่า ในอนาคตนั้นผู้หญิงจะใส่ใจหุ่นยนต์มากกว่าผู้ชาย และนั่นหมายถึงว่า การมีเซ็กส์กับหุ่นยนต์อาจจะเป็นเรื่องปกติอย่างนั้นหรือ!? เขากล่าวทำนองว่าไม่นานหุ่นยนต์จะเป็นสิ่งที่ผู้หญิงชอบมากกว่าหนังโป๊เสียอีก จริงๆแล้ว เขาคิดว่าภายในปี 2050 จะมีการรวมความรักของมนุษย์และหุ่นยนต์เข้าด้วยกัน “โดยในตอนแรกนั้น ผู้คนมากมายแห่กันจองหุ่นยนต์เซ็กส์ แต่พอเมื่อพวกเขาได้ใช้มันแล้ว ก็อาจจะเบื่อในภายหลัง แต่ ความสามารถในการคิดของ AI จะมีมากขึ้น พวกเขาก็เริ่มที่จะเป็นเพื่อนกัน ทำอะไรต่ออะไรด้วยกัน และมีความผูกพันที่แน่นแฟ้น” Ian กล่าวในรายงาน แค่นี้ยังไม่พอ ยังมีการตั้งชื่อให้มนุษย์ที่หลงรักหุ่นยนต์ว่า Robophilia และนี่คือ สิ่งที่ Ian คาดการณ์ไว้ ปี 2025 หุ่นยนต์เซ็กส์จะเริ่มมีจำหน่าย และเป็นของเล่นอีกชนิดหนึ่งของเหล่าคนมีอันจะกิน ปี 2030 ผู้คนจะเริ่มมีความสุขกับโลกเซ็กส์แบบเสมือนจริง (VR อันล้ำยุค) เหมือนกับเราดูหนังโป๊ ปี 2035 ประสบการณ์เซ็กส์แบบ VR กับเซ็กส์ทอยจะเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ปี 2050 การมีเซ็กส์กับหุ่นยนต์จะพบได้มากกว่าการมีเซ็กส์ปกติ …
-
เรื่องวิทย์ๆ ที่เราเข้าใจผิดจากภาพยนตร์ ความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้นนะเออ!!
หลายๆ ครั้งที่ภาพยนตร์ได้นำหลักการ และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่พอจะเป็นไปได้เข้ามาใส่ เพื่อให้มันดูสนุกแลได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น… แน่นอนว่าบางครั้งมันก็อาจจะดูเกินจริงไปบ้างทั้งหมดนี้ก็เพื่อความบันเทิง แล้วเพื่อนๆ เคยสงสัยกันบ้างมั้ยว่าในโลกแห่งความเป็นจริงมันจะเป็นแบบนั้นได้รึเปล่า? หากเราต้องพบเจอเหตุการณ์เดียวแบบในหนังไซไฟจะทำให้เรารอดมาได้มั้ย? ก็ลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้า… The Martian ในหนัง : บนดาวอังคารนั้นจะมีพายุทรายที่มีความรุนแรง ที่สร้างความเสียหายให้กับยานของตัวเอกอันเป็นเหตุให้เขาต้องติดอยู่บนดาวอังคาร ความจริง : เนื่องจากว่าบนดาวอังคารนั้นมีความหนาแน่นของชั้นบรรยากาศน้อยมาก ถ้าเทียบกับโลกแล้วจะมีความเบาบางเพียงแค่ 1 ต่อ 200 ฉะนั้นพายุฝุ่นบนดาวอังคารจะมีความรุนแรงแบบสุดๆ ก็เพียงแค่พัดให้ผมของ Matt สะบัดได้เท่านั้น Andy Weir ผู้เขียนนิยายเรื่อง The Martian ได้ยอมรับว่าที่ต้องเสริมให้มันดูเวอร์ก็เพื่อเพิ่มความดราม่าให้กับงานเขียนของตัวเอง ในหนัง : Matt Damon สามารถเดินไปรอบๆ ดาวอังคารได้แบบสบายๆ ความจริง : เขาจะเดินแบบเด้งดึ๋งๆ ทุกก้าว คล้ายกับมนุษย์อวกาศที่อยู่บนดวงจันทร์แต่เด้งต่ำกว่า เพราะแรงดึงดูดบนดาวอังคารนั้นจะอ่อนแอกว่าของบนโลกมาก แต่ก็ยังคงมากกว่าแรงดึงดูดบนดวงจันทร์เล็กน้อย Interstellar …
-
สองนักวิทย์ลาออกจากงานเดิม ตั้งใจค้นคว้าและผลิต “นมวัวที่ไม่ใช่นมวัว” จนสำเร็จ!!
เมื่อมีบริษัทหนึ่ง ได้ทำการคิดค้นและสามารถผลิตนมสังเคราะห์ ที่มีรสชาติเหมือนนมวัว แต่ไม่มีส่วนผสมของนมวัวเลยแม้แต่น้อยสำเร็จแล้ว!? Ryan Pandya และ Perumal Gandh สองนักวิทยาศาสตร์หนุ่มที่จบจากจากคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ หากย้อนกลับไป 3 ปีก่อน หนึ่งในสองคนนี้ได้ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีนอยู่ในเมือง Boston ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนอีกคนทำงานเป็นวิศวกรอยู่ในบริษัทกระดาษทิชชู่ในรัฐ New York พวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ดั๊นนนมีไอเดียตรงกันที่จะทำการผลิตนมวัวโดยไม่ใช้นมวัวขึ้นมา จนในที่สุดทั้งคู่ก็ตัดสินใจที่จะทิ้งงานเก่าและร่วมทำความฝันให้เป็นจริง หลายๆ คนที่แพ้นมวัว หรือทานมังสวิรัตก็มักจะดื่มแต่นมถั่วเหลือง หรือนมธัญพืชกันเป็นประจำ และไม่เคยสัมผัสกับรสชาติของนมวัวเลยแม้แต่น้อย “พวกเราต้องการที่จะลองดูว่าการใช้เทคโนโลยีเกี่ยวกับการแพทย์เพื่อสร้างอาหารที่ปลอดภัย และดีกว่าของเดิม มันจะประสบผลสำเร็จหรือไม่” Ryan เล่า จนกลายมาเป็นบริษัท Perfect Day พวกเขาเริ่มจากการนำยีสต์แบบพิเศษของพวกเขาเอง โดยตั้งชื่อมันไว้ว่า ‘Buttercup’ ที่เป็นตัวทำหน้าที่เป็นวัว เพื่อผลิตน้ำนม (ฟังดูล้ำนะ) “มันเหมือนกับว่าเรากำลังผลิตวัวขึ้นมาด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติยังไงอย่างนั้น” Ryan กล่าว โดยเจ้ายีสต์ดังกล่าวจะทำปฏิกิริยากับน้ำตาลและสร้างโปรตีนที่คล้ายกับโปรตีนในนมขึ้นมา จากนั้นก็จะนำผสมกับไขมันพืช และสารอาหารเพื่อสร้างเป็นนมที่ไร้น้ำตาลนมขึ้นมา “คุณจะไม่สามารถจับความแตกต่างระหว่างนมวัวแท้ กับนมวัวเทียมได้เลย…
-
ก้าวไปอีกขั้น.. นักวิจัยทดลองเลี้ยงตัวอ่อนแกะในถุงครรภ์เทียม และประสบความสำเร็จ!!
นับว่าเป็นอีกข่าวดีจากวงการวิทยาศาสตร์ในรอบปี ที่ในอนาคตเราสามารถนำความสำเร็จนี้ ไปต่อยอดช่วยชีวิตเด็กทารกที่ต้องคลอดก่อนกำหนดได้ และความสำเร็จของทีมวิจัยจากโรงพยาบาลเด็กประจำเมืองฟิลาเดลเฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Nature Communications โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้… นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองสร้างถุงครรภ์เทียมขึ้นมา โดยใช้ถุงพลาสติกที่ภายในประกอบด้วยน้ำ ออกซิเจน และสารอาหารต่างๆ เพื่อจำลองให้เหมือนกับถุงครรภ์ของแม่แกะจริงๆ ทีมวิจัยได้ทำการทดลองกับลูกแกะ 8 ตัว ที่มีอายุระหว่าง 105 – 120 วัน (เท่ากับเด็กทารกอายุ 23 – 24 สัปดาห์) พบว่าลูกแกะมีพัฒนาการทางสมองและปอดได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้ถุงครรภ์จำลองเหล่านี้ มีการเชื่อมต่อระหว่างสายสะดือ และเครื่องปั๊มอากาศจากภายนอก เพื่อออกซิเจนที่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโต Colin Duncan ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ‘นับว่านี่เป็นการทดลองที่ประสบความสำเร็จ และส่งผลเป็นวงกว้างต่อมวลมนุษยชาติ ซึ่งข้อมูลที่ได้จากความสำเร็จในครั้งนี้ จะสามารถนำไปต่อยอดช่วยชีวิตเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนดได้ในอนาคต’ แต่ก็ใช่ว่าเราจะสามารถนำวิทยาการนี้ไปใช้กับมนุษย์ได้ในทันที เพราะยังมีอีกหลายกลไกในการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันอยู่มากระหว่างเด็กทารกและลูกแกะ โดยปกติแล้วเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนด (ประมาณ 25 สัปดาห์ก่อนกำหนด) มักจะเกิดมาพร้อมกับสุขภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง ทำให้มีโอกาสรอดชีวิตที่น้อยมากๆ ถึงแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีวิทยาการแพทย์ขั้นสูงอยู่ แต่ปัญหาดังกล่าวก็ยังเป็นเรื่องที่แก้กันไม่ตก ซึ่งทีมวิจัยก็จะนำความสำเร็จนี้ไปศึกษาต่อยอด…
-
นักวิจัยค้นพบ คนที่ “หาวยาวๆ” อาจเข้าข่ายเป็นคนฉลาด มากกว่าเป็นคนขี้เซา…
“หาวววว ง่วงจังเลยยย” อาการแบบนี้มักเกิดขึ้นบ่อยๆ ในช่วงบ่ายหลังจากที่เติมพลังด้วยข้าวเที่ยงกันมาอย่างเต็มที่ และบางทีการหาวเนี่ยก็เหมือนกับโรคติดต่อเลยนะ ไม่เชื่อลองมีคนมาหาวใกล้ๆ คุณสิ อีกซักพักคุณจะรู้สึกอยากจะหาวขึ้นมาทันทีเลยละ การหาวคือกลไกอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่มีขั้นตอนการเกิดที่ซับซ้อน ถ้าหากจะให้เล่าก็คงจะต้องยาวเป็นหลายหน้าแน่นอน แต่พักเรื่องการทำงานของร่างกายไว้ก่อนดีกว่า เพราะวันนี้มีอะไรที่น่าสนใจกว่ามาฝากกัน เพื่อนๆ รู้ไหมว่ายิ่งเราหาวนานขึ้นเราก็ยิ่งฉลาดขึ้นด้วยนะ!! เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับการหาวที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง โดยงานวิจัยพบว่าการหาวที่ยาว แสดงถึงจำนวนของเซลล์สมองที่มากตามไปด้วย นั่นหมายถึงว่าสัตว์ที่หาวได้ยาวก็จะมีขนาดของสมองที่ใหญ่ตามไปด้วย โดยงานวิจัยชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์แล้วในนิตยสาร Biology Letters เมื่อไม่นานมานี้ด้วย นักวิจัยได้ทำการศึกษาโดยดูคลิปวีดีโอของสัตว์ต่างๆ อย่างมนุษย์ สุนัข แมว ลิงชิมแปนซี และ ลิงกอริลล่า เพื่อทำการเปรียบเทียบความยาวในการหาวของพวกมัน พวกเขาศึกษาการหาวอย่างเต็มรูปแบบกว่า 205 ครั้งของสิ่งมีชีวิต 177 ชนิดจาก 24 สายพันธุ์ที่แตกต่างกัน ผลวิจัยพบว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่มีระยะเวลาการหาวเฉลี่ยที่ยาวที่สุดคือ 7 วินาทีและน้ำหนักของสมองมากที่สุด เฉลี่ยประมาณ 1.3 กิโลกรัม และรองลงมาคือ ช้างแอฟริกา 6 วินาที ส่วนลิงชิมแปนซี กับอูฐ อยู่ที่ 5 วินาที และระยะเวลาเฉลี่ยในการหาวสั้นที่สุดได้แก่…
-
นักวิทยาศาสตร์ใช้ ‘ผักโขม’ พืชสวนครัวใกล้ตัว มาศึกษาการทำงานของเนื้อเยื่อหัวใจ!?
ในปัจจุบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว หลายๆ งานวิจัยทางการแพทย์ช่วยยื้อชีวิตให้กับมนุษย์เราได้อย่างคาดไม่ถึง และเร็วๆ นี้ก็มีงานค้นคว้าทางด้านพันธุวิศวกรรมที่น่าสนใจมากงานหนึ่ง เมื่อนักวิทยาศาตร์ได้นำพืชผักสวนครัวมาดัดแปลง เพื่อศึกษาการทำงานของเนื่อเยื่อหัวใจ ไม่แน่นะอาจช่วยให้การผ่าตัดหัวใจในอนาคตง่ายขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ทางเว็บไซต์ Dailymail ได้รายงานว่าทีมวิจัยได้นำใบของผักโขมมาใช้ในการศึกษาการทำงานของเนื้อเยื่อหัวใจ ก่อนหน้านี้ได้มีการพยามจำลองโครงข่ายและเนื้อเยื่อของหัวใจด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติแต่ไม่สำเร็จ ดังนั้นการค้นพบครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะมันช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำงานวิจัยและศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเนื้อเยื่อของหัวใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งปัจจุบันการศึกษาและงานวิจัยแนวนี้ยังมีอยู่น้อยมาก นี่เป็นภาพแสดงลำดับของการขจัดเซลพืชออกจากใบผักโขม ด้วยวิธีการที่เรียว่า decellularization วิธีนี้จะทำให้เหลือแต่เส้นใยและโครงสร้างของใบ ที่คล้ายกับเส้นเลือดในหัวใจมนุษย์แบบใสๆ เนื่องจากการลำเลียงสารอาหารในใบพืชนั้นคล้ายกับการลำเลียงเลือดของหัวใจของมนุษย์ ถึงแม้ว่าการลำเลียงสารเคมีภายในเนื้อเยื่อของสัตว์และพืชอาจจะไม่เหมือนกัน แต่โครงข่ายของท่อลำเลียงนั้นคล้ายกัน ในอตีดเคยมีการจำลองโครงสร้างนี้ขึ้นมาแล้ว แต่ว่ามีขนาดเล็กเกินไปทำให้ยากในการที่จะศึกษาเพื่อนำไปใช้ในการรักษา แต่ใบผักโขมนั้นมีขนาดใหญ่กว่าจึงทำให้มีความเหมาะสมมากกว่า ทีมวิจัยหวังว่าการค้นพบเทคโนโลยีนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการนำไปสร้างเนื้อเยื่อใหม่ สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ งานวิจัยชิ้นนี้กำลังจะถูกตีพิมพ์ลงนิตยสาร Biomaterials ในเดือนพฤษภาคมนี้ นักวิทยาศาสตร์จากสถาบัน Worcester Polytechnic ได้บอกว่า “การพัฒนาครั้งนี้จะเป็นรากฐานของการศึกษาการทำงานที่เหมือนกันของเนื้อเยื่อพืชและสัตว์” ถึงเเม้ว่าระบบการขนส่งของเหลวของเซลสัตว์และพืชจะต่างกัน แต่โครงสร้างของเนื้อเยื่อทั้งสองมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก ในการทดลองเนื้อเยื่อหัวใจเทียมครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ใส่ของเหลวที่คล้ายกับเซลเนื้อเยื่อของมนุษย์เข้าไปในผักโขม เป็นการศึกษาการทำงานของเส้นใยในใบที่ทำหน้าที่คล้ายเส้นเลือดของหัวใจมนุษย์ Glenn Gaudette ศาสตราจารย์ทางด้านพันธุวิศวกรรมของสถาบัน Worcester Polytechnic กล่าวว่า “เรายังมีงานที่ต้องทำอีกมาก แต่ตอนนี้มีแนวโน้มที่ใกล้ความจริงมากยิ่งขึ้น การนำพืชที่มีการเพาะปลูกอย่างยาวนานมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อช่วยให้เราสามารถแก้ปัญหาเรื่องข้อจำกัดของการศึกษาได้” นักวิทยาศาตร์เชื่อว่า ในวันข้างหน้าเทคนิคนี้จะสามารถนำไปช่วยการสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงได้หรือฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหายจากหัวใจวายได้ เพื่อให้เห็นภาพชัดๆ…
-
พบปลาหายากที่ประเทศออสเตรเลีย หน้าตาแปลกๆ ยังกะหลุดออกมาจากหนังไซไฟ!!
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีชาวประมงสามารถจับสัตว์น้ำหน้าประหลาดได้ที่บริเวณชายฝั่งของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นที่ฮือฮาอย่างมาก เนื่องจากเป็นสายพันธุ์หายากแถมหน้าตาแปลกประหลาดสุดๆ เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Dailymail ได้เปิดเผยภาพของปลาประหลาดที่ถูกค้นพบได้โดยบังเอิญบริเวณชายฝั่งของนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี ทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย ว่ากันว่ามันคือพันธุ์ผสมระหว่างปลากับกุ้งที่มีลักษณะคล้ายกับสัตว์ดึกดำบรรพ์เลยล่ะ!! ผ่าง และนี่ก็คือหน้าตาของมัน… เจ้าปลาประหลาดที่ถูกค้นพบนี้ ลำตัวของมันจะลื่นๆ มีเขาแหลมยืนออกมาตรงบริเวณปาก มีดวงตาที่กลมโตอยู่ด้านบน และห่อหุ้มไปด้วยเกราะหนาๆ ตามการรายงานของ NT News ซึ่งผู้เชียวชาญทางทะเลได้จัดให้เจ้าปลาประหลาดที่พบนี้ อยู่ในกลุ่มของ Armoured Sea Robin และด้วยลักษณะของมันที่มีทั้งกระดองและหนามแหลมรอบตัวนี้ จึงถูกจัดว่าเป็นสายพันธุ์ที่หายากและสามารถพบได้เฉพาะทะเลน้ำลึกเขตร้อนเท่านั้น สถานที่ซึ่งมันถูกจับขึ้นมาได้ มากันเป็นแพ็คสามเลยทีเดียว แต่ความแปลกประหลาดของเจ้าปลาชนิดนี้ยังไม่หมดเท่านั้น พวกมันยังสามารถเดินไปในพื้นทะเล ด้วยเท้าเล็กๆ แถมมันยังมีคลีบที่หนาเพื่อใช้สำหรับว่ายน้ำด้วยนะ เจ้าปลาตัวนี้จะใช้ครีบแข็งๆ ในการเคลื่นที่ไปมาที่ใต้ท้องทะเลแทนการว่ายน้ำและหลบซ่อนนักล่าตามที่ต่างๆ ถือเป็นการใช้ชีวิตที่แปลกทีเดียว เจ้าปลาประหลาดมีเขาที่ถูกค้นพบในครั้งนี้ โดยปกติแล้วเราจะหาพวกมันได้จากระดับน้ำที่ลึกมากกว่า 200 เมตรเป็นต้นไปนะ แหม่ นึกภาพไม่ออกเลยนะเนี่ยะ ว่าถ้ามาถูกพบที่เมืองไทยจะเป็นยังไง ทีมา dailymail.co.uk
-
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ “หางไดโนเสาร์” ในก้อนอำพัน ลบทฤษฎีไดโนเสาร์ผิวโล้นแบบ Jurassic Park
ในความเข้าใจของพวกเรา ไดโนเสาร์นั้นเป็นสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ขนาดใหญ่ที่มีความดุร้าย มีผิวหนังหยาบกร้านและไร้ขน เราจะเห็นได้จากสารคดีหรือภาพยนตร์ดังอย่าง Jurassic Park หลายๆ ภาค แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศหลายๆ แห่ง เช่น CNN , Nationalgeographic หรือ Theguardian ได้ออกมารายงานว่ามีการค้นพบ “หางไดโนเสาร์” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์แล้ว ตามรายงานบอกว่าผู้ค้นพบหางไดโนเสาร์ชิ้นนี้มีชื่อว่า Xing Lida เป็นนักบรรพชีวินวิทยาชาวจีน เขาค้นพบมันในแทบตอนเหนือของประเทศพม่าใกล้กับชายแดนของจีน จากการตรวจสอบก้อนอำพันก้อนนี้ คาดว่าน่าจะมีอายุราวๆ 99 ล้านปี Xing ได้ให้สัมภาาณ์ผ่าน CNN ว่า “ผมมาคิดได้ว่าสิ่งที่อยู่ในอำพันนั้นน่าจะมาจากสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง อาจจะเป็นเทอโรพอด (มีลักษณะคล้ายทีเร็กซ์แต่ตัวเล็กกว่า) มากกว่าจะเป็นสัตว์ชนิดอื่นๆ” ด้านนาย Ryan McKellar นักบรรพชีวินวิทยา จากพิพิธภัณฑ์ Royal Saskatchwan Museum ในประเทศแคนาดาและเป็นผู้ศึกษาอำพันชิ้นนี้ด้วยได้กล่าวว่าเขารู้สึกตกตลึงมากที่นาย Xing นำอำพันมาให้เขาดูเป็นครั้งแรก “มันเป็นครั้งหนึ่งครั้งเดียวในชีวิตเลยก็ว่าได้…
-
นักวิทย์ค้นพบ ‘ทะเลสาบแห่งความตาย’ ที่อยู่ใต้ทะเลอีกที และมีพิษถึงขั้นฆ่าคุณตายได้
เราอาจจะเคยได้ยินเวลาได้ชมภาพยนตร์การ์ตูนแนวๆ แฟนตาซีว่าจะมีทะเลสาบแห่งความตาย อ่าวแห่งความตายที่ไม่ว่าใครเข้าไปก็ไม่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้กันอยู่บ่อยๆ ในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตไหนว่ายเข้าไปในเขตแล้วจะรอดกลับมา ที่มีอยู่จริงๆ บนโลกนี้กัน… นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ ‘ทะเลสาบ’ ที่อยู่ในทะเลอีกทีบริเวณอ่าว Mexico ไม่ว่าใครก็ตามที่ก้าวเข้าไปในเขตนี้จากก้นอ่าว ก็ต้องมีอันเป็นไปทุกราย Erick Cordes ศาสตราจารย์จากภาควิชาชีววิทยา จากมหาวิทยาลัย Temple University ได้ทำการศึกษาและวิจัยเจ้าแอ่งน้ำดังกล่าวนี้และได้ทำการบันทึกไว้ในเอกสารชื่อว่า Oceanography เขาได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Seeker ถึงการศึกษาของเขาว่า “มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดที่เกิดขึ้นในโลกใต้ทะเลลึกเลยล่ะ เมื่อคุณลงไปยังบริเวณก้นของทะเลและก็กำลังมองทะเลสาบ หรือแม่น้ำอื่นที่กำลังไหลอยู่ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเรากำลังอยู่ในอีกโลกหนึ่งเลย” น้ำที่อยู่ในทะเลสาบ (ที่อยู่ใต้ทะเลอีกที) นี้จะมีความเข้มข้นของเกลือมากกว่าน้ำที่อยู่รอบๆ ถึง 5 เท่า แถมยังมีความเข้มข้นของสารพิษจำพวก มีเทน และไฮโดรเจน ซัลไฟด์ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้มันไม่สามารถเข้ากันกับน้ำทะเลที่อยู่รอบๆ ได้ จนเหมือนกับว่ามันถูกแบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน สำหรับเหล่าสัตว์ทั้งหลาย และมนุษย์ ที่ว่ายเลยเขตเข้าไปข้างในก็จะถูกความเข้มข้นของสารพิษเหล่านี้เล่นงานจนทำให้ถึงตายได้ และสิ่งที่สามารถเอาชีวิตรอดจากทะเลสาบแห่งความตายนี้ได้ก็มีเพียงแต่แบคทีเรีย, หนอนท่อ,…
-
อดีตวิศวกรนาซ่า ประดิษฐ์ ‘ปืนยางที่ใหญ่สุดในโลก’ และมันเป็นอะไรที่เฮฮาเหลือเกิน….!! 555
ยังจำเขาคนนี้ได้กันอยู่รึเปล่า ?? Mark Rober อดีตวิศวกรประจำองค์กร NASA ที่ดำเนินรายการทางยูทูปเกี่ยวกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์แบบสร้างสรรค์ๆ ไม่ว่าจะเป็น วิธีปอก ‘แตงโม’ ให้ได้เนื้อที่เนียนกริบ หรือ วิธีทำ ‘แตงโมสมูทตี้’ วิถีฮิปสเตอร์ และชุดฮาโลวีนสุดสยอง วันนี้ เขามาพร้อมกับของเล่นใหม่ ซึ่งไม่ธรรมดาเลย…. ปืนยาง (Nerf Gun) ที่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก!! ดูขนาดของกระสุนสิ โห… นี่คืออานุภาพของปืนยางขนาดปกติ… ส่วนนี่คืออานุภาพของปืนยักษ์!! Fire in the hole!! ก่อนจะรู้จักมันต่อ อยากให้ลองชมคลิปกันก่อน… เรามาดูการทำงานของมันกันเถอะ ส่วนประกอบที่สำคัญคือถังเก็บลมอัด (Air Tank) ขนาด 3000 PSI ด้วยถังเก็บลมอัดที่ใหญ่ขนาดนี้ ทำให้มันสามารถยิงลูกปืนยางหรือโฟมออกไปด้วยความเร็วถึง 40mph (64 kph) . พุ่งไปได้ไกลสุดถึง 118 เมตรเลยล่ะ!! สามารถดัดแปลงให้แรง กระทั่งเป่าแตงโมได้กระจุยเลยล่ะ ใครที่สนใจอยากจะลองประดิษฐ์ปืนยางอัดลมยักษ์…
-
วิทยาศาสตร์พาเพลิน รวม GIF การทดลองสนุกๆ ที่ในคาบเรียนวิชาเคมี ไม่ค่อยมีสอน!!
หนึ่งในวิชาที่หลายๆ คนต่างก็เกลียดในช่วงเรียนมัธยมอย่าง เคมี ถือว่าเป็นอีกแขนงของวิทยาศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้กัน ส่วนมากก็ต้องมานั่งท่องตารางธาตุ จำกันไม่หวาดไม่ไหว จนถึงขั้นปวดหัวตัวร้อนกันเลยทีเดียว ที่สนุกที่สุดของวิชานี้ก็น่าจะเป็นช่วงทดลองนี่แหละ ว่าแต่น้อยครั้งเหลือเกินที่จะได้ทำ เอาเป็นว่า ถ้าหากว่ามีการทดลองแบบนี้เกิดขึ้นในชั่วโมงวิชาเคมีก็น่าจะสนุกไม่น้อยเลยนะ จะได้รู้ว่าหากนำสารนี้ไปทำแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง มีปฏิกิริยากันอย่างไร ว่าแล้วก็มาดูกันเลย การปาก้อนโซเดียมลงไปในทะเลสาบ โพแทสเซียมคลอเรตเดือดๆ กับเยลลี่หมีผู้โชคร้าย (มักจะถูกนำมาทดลองเป็นประจำ) นำอลูมิเนียมหลอมละลายมาเทลงในแม่พิมพ์เย็นๆ ใช้ดินสอเป็นตัวกลางนำไฟฟ้า จังหวะการเทเกลือหลอมเหลวลงไปในน้ำ การยิงกระสุนโพแทสเซียมใส่แตงโม เทอร์ไมต์ย่างเยลลี่หมี (โดนอีกแล้ว) ไนโตรเจนเหลวและมีเทนเหลวจุดให้ติดไฟแล้วก็เทลงพื้นซะ!! ที่มา : thechive
-
ไขปริศนาที่ค้างคาใจตั้งแต่เด็กๆ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้คนทั้งโลกกระโดดพร้อมๆ กัน
เพื่อนๆ หลายคนคงเคยคิดตั้งคำถามเล่นๆ กันในใจว่า ถ้าหากคนทั้งโลกกระโดดพร้อมๆ กันในฟากใดฟากหนึ่งของโลก จะทำให้โลกเรานั้นขยับไปจากเดิมที่กำลังลอยอยู่ในอวกาศได้รึเปล่า? วันนี้ #เหมียวหง่าว จะมาเฉลยให้เพื่อนๆ ถึงบางอ้อกันว่าหากผู้คนกว่า 7 พันล้านคนทำการกระโดดพร้อมๆ กันจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกเราบ้าง เริ่มต้นจากการให้คนทั้งหมดมายืนอยู่ใกล้ๆ กันในทวีปใดทวีปหนึ่ง จากนั้นก็กระโดดพร้อมๆ กัน โดยให้ลอยห่างจากพื้นประมาณ 1 ฟุต และเมื่อเท้าของทุกคนสัมผัสลงสู่พื้นจะสร้างพลังงานมหาศาล และพลังงานเหล่านั้นจะถูกปลดปล่อยขึ้นไปบนท้องฟ้าและใต้ดิน สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นก็คือเสียงคล้ายกับการปรบมือที่ดังสนั่นกว่า 200 เดซิเบล จนสามารถทำให้แก้วหูแหลกละเอียดได้เลยทีเดียว หลังจากนั้นแผ่นดินไหวก็จะตามมา โดยสามารถวัดค่าได้ตั้งแต่ 4-8 แมกนิจูดเลยทีเดียว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าพื้นดินดูดซับแรงกระแทกไปมากแค่ไหน แต่ถ้ารับได้น้อยก็จะทำให้ความแรงของแผ่นดินไหวอยู่ที่ 4 แมกนิจูดซึ่งก็ไม่สร้างความเสียหายมากมายเท่าไหร่ แต่ถ้าหากรุนแรงไปจนถึง 8 แมกนิจูดแล้วล่ะก็ จะทำให้ตึกรามบ้านช่องถล่มลงมา เสาไฟฟ้าขนาดใหญ่พังทลาย รางรถไฟเปลี่ยนรูปร่างไป และทำลายสะพานจนไม่เหลือชิ้นดี นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิที่มีความสูงถึง 30 เมตรเข้าถล่มชายฝั่งจนราบเป็นหน้ากลอง แต่กลับกันโลกจะยังคงอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยทีเดียวเชียวล่ะ ลองไปชมคลิปแบบเต็มๆ ที่ข้างล่างนี้ได้เลยจ้า……
-
ผลการศึกษาบอกว่า… เหล่าคน 10 ประเภทดังต่อไปนี้นี้ มักจะมีนิสัย ‘ชอบนอกใจ’ มากที่สุด!?
ในปัจจุบันมีงานวิจัยและการศึกษามากมายที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมขิงมนุษย์ โดยใช้วิธีการศึกษาด้วยการเก็บสถิติและสังเกตุการณ์ การศึกษานั้นครอบคลุมไปทั้งเรื่องของความรัก การใช้เงิน หรือแม้แต่การนอกใจ วันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปดูผลการศึกษาเกี่ยวกับคนที่มีแนวโน้มที่จะนอกใจมากที่สุด จะมีอะไรบ้างนั้นลองไปชมพร้อมๆ กันได้เลยจ้าา… 1. คนที่เคยนอกใจมาก่อน (อ่ะแหนะ) จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย University of Alabama ในประเทศอังกฤษได้ผลลัพธ์ว่าคนที่เคยมีประวัติการนอกใจมาก่อนมักจะทำซ้ำอีกเป็นครั้งที่สองหรือสามสี่ หรือทำไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นรู้สินะว่าถ้าจับได้ครั้งแรกควรทำยังไง!?? 2. แฟนเพลง Rock-N-Roll เว็บไซต์อื่นๆ มากมายได้สรุปผลการศึกษาอย่างไม่เป็นทางการออกมาว่า 41% ของคนที่นอกใจมักจะเป็นแฟนเพลง Rock-N-Roll ส่วนแฟนเพลง Rap เป็นกลุ่มคนที่ซื่อสัตย์ที่สุด 3. คนที่มีอาชีพครู-ติวเตอร์ ถึงจะฟังดูแปลก แต่ก็มีการศึกษาออกมาจริงจากเว็บไซต์หาคู่ชื่อดังอย่าง Ashley Madison ได้ผลการศึกษาออกมาว่าคุณครู (โดยเฉพาะครูผู้หญิง) มีโอกาสที่จะนอกใจคู่รักมากกว่า 4. มีเงินเยอะ ชายที่ร่ำรวยมักจะมีแนวโน้มที่จะนอกใจมากกว่าปกติ 5. ผู้หญิงยากจน ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงยากจนมีโอกาสที่จะนอกใจคู่รักของตัวเอง นักชีววิทยาวิวัฒนาการชี้ว่ามันเกี่ยวข้องกับระบบพันธุกรรม และโอกาสในการก้าวหน้าทางสถานะทางการเงิน 6. ชาวฝรั่งเศส แบรนด์ของเล่นเซ็กส์ทอยชื่อดังอย่าง LELO ชี้ให้เห็นถึงผลการศึกษาว่า 75% ของชาวฝรั่งเศสยอมรับว่านอกใจคู่รักของตนเอง …
-
นักวิทยาศาสตร์พบกอริลลาตัวเมีย มีสัมพันธ์กัน คล้าย “เลสเบี้ยน” เป็นครั้งแรก!?
กลายเป็นที่ฮือฮาพอสมควรเลยทีเดียว เพราะเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Mirror ได้รายงานว่า ด็อกเตอร์ Cyril Grueter ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอันดับวานร จากมหาวิทยาลัยของออสเตรเลียตะวันตก ได้เปิดเผยว่าตอนนี้มีการค้นพบรูปแบบความสัมพันธ์ “เลสเบี้ยน” ในกอริลล่าเป็นครั้งแรกแล้ว!? ด็อกเตอร์ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “แทนที่เราจะเห็นตัวเมียยื้อแย่งอาหารกัน เรากลับเห็นพวกมันมีเพศสัมพันธ์กัน ซึ่งน่าประหลาดใจทีเดียว” นอกจากนี้เขายังเสริมอีกว่ากอริลล่าตัวเมียจะมีเพศสัมพันธ์กันหลังจากที่ถูกตัวผู้ปฏิเสธ และดูเหมือนว่าเหล่าตัวเมียจะมีความสุขกันดีด้วยนะ การศึกษาครั้งนี้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2008 ถึง 2010 มีกอริลล่าตัวเมียทั้งหมด 22 ตัว แต่มี 18 ตัวที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เช่นการนำมือไปถูกไถบริเวณอวัยวะเพศของตัวเมีย มีนักวิชาการออกมาบอกว่าการงานศึกษาชิ้นนี้มีนัยสำคัญ เพราะมันอาจนำไปสู่ความเข้าใจในวิวัฒนาการของพฤติกรรมของมนุษย์ได้ด้วย “กอริลล่ามีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับมนุษย์ และเราคิดว่าการเฝ้าดูพฤติกรรมของมันจะช่วยให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการของเราเองด้วย” ไหน จู๊บบบบบซิ ที่มา mirror
-
ไขข้อข้องใจเรื่องอาการเหน็บชา แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเพราะเลือดไปเลี้ยงไม่พอนะ!!
เพื่อนๆ หลายคนคงเคยประสบกับอาการเหน็บชาที่ขาและมือกันอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลานั่งนานๆ หรือนอนไม่ถูกท่า และมักจะเข้าใจว่าสาเหตุของอาการนั้นเกิดมาจาก ‘เลือดลงไปเลี้ยง’ ส่วนนั้นๆ ไม่เพียงพอ แต่จริงๆ แล้วมันมีสาเหตุมาจาก ‘เส้นประสาท’ ต่างหากล่ะ โดยปกติแล้วร่างกายของเรามีเส้นประสาทอยู่เป็นจำนวนมาก โยงใยไปตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งสมองก็จะส่งคลื่นประสาทสะท้อนไปตามเส้นประสาทต่างๆ และกระเด้งกลับมาที่สมองเพื่อรับรู้ถึง ‘ความรู้สึก’ ต่างๆ เช่นความรู้สึกนุ่ม ขรุขระ และแหลมคม ที่มาสัมผัสกับผิวหนัง โดยส่วนมากแล้วในส่วนปลายของเส้นประสาทที่อยู่ห่างจากสมองออกไปอย่างช่วงขา และเท้า จะทำให้สมองส่งคลื่นกระแสประสาทไปถึงได้ยากอยู่แล้ว และถ้ายิ่งมีอะไรมากดทับไม่ให้กระแสประสาทส่งกลับคืนไปยังสมอง อย่างเช่นเมื่อเราไขว้ขานั่งขัดสมาธิ หรือมีอะไรมากดไว้ที่ช่วงข้อพับ ก็จะทำให้กระแสประสาทส่งไปไม่ถึงสมอง จึงทำให้เกิดอาการชาขึ้น ซึ่งอาการเหน็บชานี้ไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด แต่จะทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย และวิธีการแก้อาการเหน็บชาที่ดีที่สุดก็คือการเชิดหน้าขึ้น ยืดแขนและขาให้ตรง เพื่อให้กระแสประสาทส่งไปถึงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ลองไปชมคลิปเพิ่มเติมที่ข้างล่างนี้ได้เลย… เป็นอย่างไรกันบ้างจ๊ะเพื่อนๆ ในที่สุดก็ไขข้อสงสัยที่มีมาอย่างยาวนานนี้สักที จะได้หลีกเลี่ยงจากอาการเหน็บชาได้อย่างถูกต้อง ฮร่า ที่มา : Business Insider
-
นักวิจัยค้นพบวิธียืดอายุแบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าลง มีความอึดถึกทนต่อการชาร์จถึง 200,000 ครั้ง
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะใช้งานได้ก็ต้องมีไฟฟ้า และการเก็บประจุไฟฟ้าก็ต้องอาศัยแบตเตอรี่ และแบตเตอรี่จำเป็นที่จะต้องแบกรับประจุไฟฟ้าเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา ยิ่งใช้งานหนักและนานเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเสื่อมสภาพเร็วมากขึ้นเท่านั้น หลายคนมักจะประสบกับปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมก่อนวัยอันควร เพราะการใช้งานอันหนักหน่วงในโลกยุคดิจิตอล สมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์ที่ใครๆ ก็มีติดตัว และมักจะชาร์จแบตเตอรี่กันทุกวัน วันละหลายครั้ง Mya Le Thai นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเออร์ไวน์ (UCI) ค้นพบว่าการใช้เส้นใยสายไฟนาโนเป็นวัสดุผสมในแบตเตอรี่จะช่วยเพิ่มพื้นที่และการถ่ายเทประจุไฟฟ้ามากขึ้นกว่าเดิม แต่สภาพของมันบอบบางมาก ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับการคลายและเก็บประจุไฟฟ้าแบบซ้ำไปซ้ำมา เส้นใยสายไฟนาโนขนาดอันบางเฉียบยิ่งกว่าเส้นผมมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงนำเส้นใยสายไฟนาโนมาเคลือบกับแมงกานีสไดออกไซด์แล้วนำไปเคลือบกับเจล Plexiglas อีกที ผลที่ได้ก็คือมันสามารถช่วยทำให้แบตเตอรี่ Lithium-Ion สามารถรองรับการชาร์จได้มากกว่าเดิมหลายพันเท่า ประมาณ 200,000 ครั้ง ตลอดการทดลองสามเดือน โดยที่ไม่มีอาการเสื่อมแต่อย่างใด แบตเตอรี่ Lithium-Ion โดยปกติแล้วแบตเตอรี่ทั่วไปจะรองรับการชาร์จอย่างเต็มประสิทธิภาพตั้งแต่ 5,000 – 7,000 ครั้ง หลังจากนั้นก็จะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงไป ที่น่าตกใจก็คือการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ และไม่แน่ว่าอาจจะนำไปใช้กับแบตเตอรี่ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในอนาคตก็เป็นได้ ส่วนใครที่อยากจะอ่านเปเปอร์งานวิจัยนี้ สามารถตามมาอ่านกันได้ ที่นี่ เลย ที่มา…
-
ตำนานมวยปล้ำหญิง Chyna บริจาคสมองของเธอเพื่อวิจัยหาผลกระทบจากการเล่นมวยปล้ำ
ข่าวคราวการสูญเสียบุคคลชื่อดังระดับตำนานในวงการมวยปล้ำ WWE นั้นนับว่าเป็นอะไรที่น่าใจหายมากๆ ล่าสุดนี้หากใครได้ติดตามข่าวคราวกันมาบ้างแล้วจะทราบว่า นักมวยปล้ำหญิงระดับตำนานอย่าง Chyna นั้นได้เสียชีวิตลงแล้ว Chyna หรือชื่อจริง Joanie Laurer ถูกพบเสียชีวิตอยู่ภายในบ้านของตัวเอง โดยที่ผู้พบศพของเธอก็คือผู้จัดการส่วนตัว Anthony Anzaldo เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา Chyna กับผู้จัดการส่วนตัวของเธอ Anthony Anzaldo ทั้งนี้ทางผู้จัดการเองไม่อยากจะติดตามในเรื่องของสาเหตุการเสียชีวิตมากนัก และพยายามที่จะพูดคุยกับครอบครัวของเธอเพื่อทำการบริจาคสมองในการค้นคว้าวิจัยหาผลกระทบของสมองจากการเล่นมวยปล้ำ และหาทางรับมือกับมันในอนาคต โดยในทีมงานวิจัยนี้จะมี Dr. Bennet Omalu ผู้ค้นพบ Central Traumatic Encephalopathy โรคความเสี่ยงทางสมองของนักกีฬาเข้าร่วมด้วย เพื่อที่จะสร้างความตระหนักต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสมองของนักกีฬามวยปล้ำ ทั้งนี้นักมวยปล้ำชื่อดังอย่าง Mick Foley, Kevin Nash และ Jeff Hardy ได้ยืนยันแล้วว่าพวกเขายินยอมที่จะบริจาคสมองหลังจากที่พวกเขาเสียชีวิตลงไปแล้ว และ John Cena กำลังพิจารณาอยู่ว่าถ้าหากการวิจัยนี้เป็นประโยชน์จริงๆ…
-
สุดเจ๋ง!! เด็กม.4 ส่งการบ้านวิชาเคมี ด้วยสมุดการ์ตูนความรู้วิชาเคมีผ่านเรื่อง ‘Star Wars’!!
เมื่อย้อนไปในวัยเรียน เพื่อนๆหลายคนคงต้องนึกถึงเรื่องการบ้านขึ้นมาก่อนล่ะ เพราะกว่าจะทำเสร็จแต่ละคืนๆนั้น เป็นอะไรที่ลำบากซะจริง แถมคะแนนยังได้มาด้วยความยากลำบากซะด้วย ซึ่งการทำงานส่งแต่ละอย่างนั้นมันไม่ได้มีแค่การเขียนๆ แล้วก็ส่งเพียงอย่างเดียว แต่การจะได้คะแนนเต็มนั้นผลงานจะต้องมีความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์ด้วย #เหมียวหง่าว มีผลงานของเด็กนักเรียนชั้น ม.4 ที่ทำสมุดการ์ตูนความรู้วิชาเคมีส่งคุณครู จนได้ 10 คะแนนเต็ม!! มาให้เพื่อนๆได้ชมกัน ที่ต้องบอกไว้เลยว่าอลังการงานสร้างมากๆ ผลงานชิ้นนี้เป็นของชาวเน็ตจากเว็บพันทิปชื่อว่า สมาชิกหมายเลข 2855088 เป็นสมุดการ์ตูนความรู้วิชาเคมี ที่บอกเล่าในเรื่องราวของ Star Wars : The Force Awakens หน้าปกมาก็เจ๋งแล้วบร๊ะ!! เหล่าปฐมพาคียกขโยงกันมาสอนวิชาเคมีกันให้ลึ่ม 5555+ โอ้โห เป็นสมุดภาพ 3 มิติซะด้วยแฮะ เก่งจริงๆเลยเจ้าหนู!! เหล่าตัวโกงแต่ละคนความรู้แน่นปั้กกันทั้งนั้นเลยแฮะ โห….ฉากเด็ดในเรื่องก็ทำออกมาได้สวยแบบสุดยอดดดด!! จริงๆ แล้วผลงานชิ้นนี้มีลูกเล่นอีกเยอะแยะเลยนะ ลองไปชมกันได้ที่คลิปข้างล่างนี้เลย เป็นอย่างไรกันบ้างจ๊ะเพื่อนๆ ต้องขอบอกเลยว่าน้องคนนี้เค้าครีเอทมากจริงๆ สมแล้วกับคะแนนเต็ม 10!! แต่เอาจริงๆทำเรื่องนี้เรื่องเดียวน้องเอาเกรด…
-
วิทยาศาสตร์โลกตะลึง!! นักวิทย์ฯ ปลูกถ่าย ‘ขาไดโนเสาร์’ ในตัวอ่อนของไก่ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
ในวงการวิทยาศาสตร์นั้นมีการวิจัยค้นคว้าสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ และทุกๆ ครั้งที่ประสบความสำเร็จ ต่างก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้ตลอด อย่างในกรณีล่าสุดของการปลูกถ่ายอวัยวะของสิ่งมีชีวิตยุคดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ โดยนำส่วนขาของไดโนเสาร์มาปลูกถ่ายในตัวอ่อนของไก่!? การทดลองในครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อทำการค้นหาสาเหตุการพัฒนาการของนกที่เปลี่ยนแปลงไปจนกลายมาเป็นไดโนเสาร์ โดยเรียกกันว่า ‘พัฒนาการย้อนกลับ’ (Reverse Evolution) โดยทำการทดลองตั้งแต่ปีค.ศ. 2015 ที่ผ่านมา แบ่งออกเป็นสองโครงการก็คือการปลูกถ่ายในส่วนขาและเค้าโครงใบหน้าของไดโนเสาร์ในตัวอ่อนของไก่ และผลการทดลองก็เริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้น ส่วนกระดูกในตัวอ่อนมีลักษณะที่คล้ายคลึงไดโนเสาร์มาก ทีมนักวิทยาศาตร์จาก University of Chile ตั้งข้อสังเกตว่าสัตว์ปีกในยุคปัจจุบันอาจจะเป็นลูกหลานของไดโนเสาร์ในกลุ่ม Coelurosauria ซึ่งบรรพบุรษของพวกมันนั้นมีสายพันธุ์ Raptors อยู่ในกลุ่มด้วย อีกทั้งนักวิยาศาสตร์ยังพบว่าหากทำการหยุดยั้งการเจริญเติบโตของยีนใน DNA ไก่ ลักษณะขาของมันก็จะกลายพันธ์ุคล้ายๆ กับบรรพบุรุษไดโนเสาร์เลย แต่กระนั้นพวกเขาก็ได้หยุดการทดลองเอาไว้เพียงเท่านี้ เพราะไม่อยากเพาะพันธุ์ไดโนเสาร์ออกมา เพราะถ้าเกิดขึ้นจริง อาจจะทำให้วุ่นวายกันไปหมด!? ที่มา : iflscience, unilad
-
ทำไมเรายังไม่วาร์ป!! NASA ออกแบบยาน IXS Enterprise ที่มีต้นแบบมาจากยานใน Star Trek
หลายๆ ครั้งภาพยนตร์ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจ จนก่อเกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลงในโลกความเป็นจริงได้นะ เหมือนอย่างงานออกแบบยานอวกาศลำนี้ยังไงล่ะ เมื่อไม่นานมานี้ทาง Nasa ได้เผยแพร่ภาพการออกแบบยาน IXS Enterprise ยานอวกาศที่มีลักษณะโค้งมน ที่ถูกออกแบบโดยนักออกแบบที่ชื่อว่านาย Mark Rademaker ออกมาให้ประชาชนได้เห็นและตื่นเต้นกัน นักวิทยาศาสตร์จาก Nasa และด็อกเตอร์ Harold White ได้นำเอาภาพยานอวกาศที่ถูกออกแบบนี้มาใช้ในงานนำเสนอ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนายานขั้นต่อๆ ไป ทั้งนี้นาย Mark Rademaker ยังเผยอีกว่านี่ไม่ใช่งานออกแบบยานอวกาศเวอร์ชั่นแรกของเขา เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยออกแบบมาแล้ว 1 เวอร์ชั่น แต่มีการนำกลับมาปรับแต่เพิ่มเติมรายละเอียดลงไป งานออกแบบของเขามีรายละเอียดที่สูงมากและใช้เวลาทำนานถึง 1,600 ชั่วโมง หรือประมาณ 2 เดือนกว่า เลยทีเดียว ไม่รู้ว่ายานลำนี้จะออกมาเป็นรูปเป็นร่างเมื่อไหร่นะ #เหมียวฟิ้นแอบลุ้นอยู่เหมือนกัน ที่มา flickr
-
พิสูจน์ให้เห็นกับตา!! อ.เจษฎา ทดสอบ “เคสมือถือแบบกลิตเตอร์” สามารถทำให้ผิวหนังเป็นแผลได้จริงหรือ?
ในวันที่ไสยศาสตร์และความเชื่อต่างๆ เฟื่องฟู เราก็มีอ.เจษฎานี่แหละ ที่เปรียบเสมือนแสงสว่างดวงน้อยๆ ที่คอยให้ความรู้ความกระจ่างแก่พวกเรา ล่าสุด อ.เจษฎา ได้นำเอาเคสมือถือรุ่นเจ้าปัญหามาทดสอบ ที่ว่ากันว่ามันสร้างรอยแผลให้กับผู้ใช้ได้ด้วย!? เมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมาอ.เจษฎา ได้ทำการทดลองผ่านเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant ได้นำเอาเคสมือถือแบบมีแผ่นสะท้อนแสง (กลิตเตอร์) ที่เคยมีข่าวว่าเด็กวัย 9 ขวบนอนทับมันจนเกิดเป็นแผลจากสารเคมีมาทดลองว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ หรือไม่? ทั้งนี้อ.เจษฎา ได้ทำการซื้อเคสมือถือมา 3 แบบ 1. แบบที่เป็นกลิตเตอร์ 2. แบบที่มีน้ำกับน้ำมันผสมสีและเป็ดลอยอยู่ 3. แบบที่ทำคล้ายขวดโคล่า และแกะเอาสารเคมีที่อยู่ด้านในมาหยดใส่เนื้อไก่สดๆ ดู แล้วรอผลการทดลองประมาณ 10 นาที ผลปรากฏว่ามีแต่แบบที่เป็นกลิตเตอร์เท่านั้น สามารถกัดเนื้อไก่ให้ยุ่ยเปื่อยได้ ทั้งนี้อ.เจษฎา ไม่ได้ห้ามไม่ให้ใช้เคสที่ว่านี้แต่อย่างใด แต่แนะนำให้ใช้อย่างระมัดระวัง เพราะหากเกิดรอยรั่วระหว่างการใช้ อาจทำให้ผิวหนังของคุณปวดแสบปวดร้อนได้เลยทีเดียว อ่านโพสต์เต็มๆ ได้ที่ด้านล่างเลย “ของเหลวในเคสกลิตเตอร์ ทำเนื้อไก่ยุ่ยได้จริงๆครับ” วันนี้ รายการ Weekly Summary มาสัมภาษณ์ผมสำหรับช่วง “เช็คก่อนแชร์”…
-
นักวิจัยญี่ปุ่นเฮ!! สามารถปลูกถ่ายหูเทียมบนหลังของหนูทดลองได้สำเร็จ พร้อมใช้จริงใน 5 ปีข้างหน้า
นี่เป็นอีกก้าวสำคัญของวงการแพทย์เลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้มีการรายงานข่าวจากต่างประเทศว่า พวกเขาสามารถปลูกถ่ายอวัยวะเทียมกับหนูได้สำเร็จแล้ว!! เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Dailymail ได้รายงานว่านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตเกียว และมหาวิทยาลัยเกียวโตแห่งประเทศญี่ปุ่น สามารถปลูกถ่ายใบหูเทียมของมนุษย์ลงบนหลังของหนูทดลองแล้วเรียบร้อย และให้สัญญาว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าพวกเขาจะสามารถปลูกถ่ายอวัยวะเทียมอื่นๆ ได้อย่างแน่นอน ตามรายงานบอกว่าการปลูกถ่ายหูเทียมครั้งนี้จะเป็นการช่วยรักษาเด็กๆ ที่เกิดมาพร้อมกับความบกพร่องทางร่างกาย หรือผู้คนที่สูญเสียอวัยวะไปจากอุบัติเหตุจนเสียโฉม ให้กลับมามีอวัยวะแบบคนปกติอีกครั้งหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้เองก็เคยมีวิธีการปลูกถ่ายใบหูเทียมมาแล้ว แต่เป็นการตัดแต่งกระดูกอ่อนบริเวณซี่โครงของผู้ป่วยเอง ซึ่งต้องอาศัยการผ่านตัดซ้ำหลายครั้ง สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยเป็นอย่างมาก แต่ด้วยวิธีการปลูกถ่ายอวัยวะแบบใหม่นี้จะช่วยลดความเจ็บปวดลง และลดขั้นตอนในการผ่าตัดไปได้เยอะพอสมควรเลย ทั้งนี้การปลูกถ่ายอวัยวะแบบใหม่นี้ได้มีการนำไปพัฒนาและต่อยอดในกลุ่มนักวิจัยแห่งสถาบันวิจัยต่างๆ แล้ว เพื่อพัฒนาการสร้างอวัยวะเทียมให้แก่ผู้ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุต่างๆ หรือมีความพิการมาตั้งแต่แรกเกิด อีกหน่อย เราคงจะได้เห็นการปลูกถ่ายอวัยวะกันแบบเต็มรูปแบบแล้วล่ะนะ ที่มา dailymail
-
แนะสุดยอดวิธี เลือกฟังเพลงอย่างไร ให้ช่วยทำงานได้ดีขึ้น อ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์!!!
มีหลายๆ ครั้งที่เราไม่สามารถทำงานที่เราได้รับมอบหมายได้ดี แม้กระทั่งถูกสิ่งเร้าอื่นๆ ดึงความสนใจของเราออกไปจากการทำงานบ้างก็มี แต่โชคยังดี วันนี้เหมียวมีเรื่องราวเกี่ยวกับเสียงดนตรี ที่จะมาช่วยให้เพื่อนๆ ทำงานได้ดีขึ้น!!! จากผลงานวิจัยของทาง University of Birmingham ในประเทศอังกฤษพบว่า ดนตรีสามารถทำให้เพื่อนๆ ทำงานได้ดีขึ้น ทีนี้ ถ้าเพื่อนๆ สมองตัน ไม่สนใจทำงาน หรือทำงานได้ไม่ค่อยดี รู้นะว่าอะไรช่วยได้ อิอิ แล้วแนวเพลงที่ช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นล่ะ!!? เสียงดนตรีที่มีเสียงของธรรมชาติ สามารถช่วยให้คุณทำงานได้ดีขึ้นได้!!! นักวิจัยแห่ง Rensselaer Polytechnic Institute ได้รายงานมาเมื่อไม่นานนี้ว่า เสียงของธรรมชาติสามารถช่วยเพิ่มอารมณ์ในการทำงาน รวมถึงสมาธิของผู้ทำงานได้ เพระเสียงของธรรมชาตินั้นสามารถช่วยในด้านการทำงานของสมอง การเพิ่มประสิทธิภาพความสามารถในการมีสมาธิ และที่สำคัญที่สุดอารมณ์ในการทำงานของเหล่าผู้ที่ทำงานนั้นๆ แถมเสียงเหล่านี้จะไม่เป็นการรบกวนสมาธิของพวกเขาอีกด้วยล่ะ!!! เสียงดนตรีที่คุณชอบจะช่วยให้คุณทำงานได้ดีขึ้น!!! ในส่วนของเพลงที่คุณชอบ ก็เป็นสิ่งที่สามารถช่วยทำให้คุณทำงานได้ดีขึ้นเช่นกัน Teresa Lesiuk ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่ง University of Miami ที่ทำงานสายตรงในด้านดนตรีบำบัดแนะว่า การเลือกแนวเพลงนั้นสำคัญมาก ในคลาสวิจัยของเธอ เหล่าคนที่ได้ฟังเพลงที่พวกเขาชอบ จะทำงานได้เร็วกว่าเหล่าผู้ที่ไม่ได้ฟัง…
-
นักวิทย์ฯ วิเคราะห์ภาพวาด ‘โมนาลิซ่า’ มานานกว่า 10 ปี พบว่ามีภาพผู้หญิงอีกคนซ่อนอยู่!!
กลายเป็นเรื่องที่จุดประเด็นให้อึ้งกันอีกครั้ง หลังจากที่นักวทิยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ปัสกาล โกตต์ ได้รับอนุญาตจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ให้สามารถเข้าไปวิเคราะห์ผลงานศิลปะชิ้นเอกของโลกตั้งแต่ปีค.ศ. 2004 นั่นก็คือภาพวาด ‘โมนาลิซ่า’ ของ ลีโอนาร์โด ดาวินชี โดยตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เขาได้ทำการวิเคราะห์ภาพดังกล่าวด้วยเทคโนโลยี Layer Amplification Method ที่คิดค้นขึ้นมาเอง เป็นเทคนิคการฉายแสงความเข้มข้นสูงเข้าไปในภาพหลายๆ เพื่อวัดค่าสะท้อนแสง โดยจะนำข้อมูลที่มาสร้างภาพที่อยู่ระหว่างชั้นต่างๆ ของภาพวาด แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามีภาพวาดทับซ้อนอยู่ใต้ภาพโมนาลิซ่ามากถึง 3 ภาพเลยล่ะ โดยภาพแรกเป็นภาพของผู้หญิงมีลักษณะมองออกไปด้านข้างไม่ได้มองตรงมาอย่างที่เห็น และมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอีกด้วย ส่วนภาพที่สองคือ ภาพร่างของบุคคลที่มีลักษณะศีรษะ จมูก และมือที่ใหญ่กว่าโมนาลิซ่า แต่มีริมฝีปากเล็กกว่า ส่วนภาพที่สามนั้นเป็นลักษณะคล้ายกับพระแม่มารีสวมเครื่องประดับศีรษะที่ประดับด้วยไข่มุก ทางด้าน ปัสกาล โกตต์ ก็เชื่อว่าภาพที่ปรากฏนั้นคาดว่าจะเป็น ‘ลิซ่า เกอราร์ดินี’ ภรรยาของพ่อค้าผ้าไหมชาวเมืองฟลอเรนซ์ในอดีต ส่วน ‘โมนาลิซ่า’ นั้นเป็นเพียงแค่ผู้หญิงอีกคน แต่อย่างไรก็ตาม…
-
จริงดิ!? นักวิทยาศาสตร์เผย การคุยกับตัวเอง เป็นนิสัยของคนอัจฉริยะ ช่วยให้ความจำดีกว่าปกติ!?
เชื่อว่าหลายคนคงจะเคยพูดกับตัวเองอยู่บ่อยๆ พูดในเวลาที่อยู่คนเดียว จนบางครั้งบางคนเริ่มสงสัยว่าตัวเองบเพี้ยนไปหรือเปล่า แต่คุณวางใจได้นะ เพราะล่าสุดมีการเผยงานวิจัยของนักวิทยาศาตร์ต่างประเทศ ที่บอกว่าการคุยกับตัวเองบ่อยๆ นั้นเป็นนิสัยส่วนหนึ่งของอัจฉริยะล่ะ งานวิจัยที่ว่านี้เป็นของนักจิตวิทยาที่ชื่อนาย Gary Lupyan เขาได้เชิญอาสาสมัคร 20 คน มาทำการทดลอง โดยการโชว์สินค้าต่างๆ จากซุปเปอร์มาร์เก็ตให้พวกเขาดู โดยกลุ่มอาสาสมัครครึ่งหนึ่งอ่านทวนชื่อสินค้าต่างๆ กับตนเอง แต่อีกครึ่งหนึ่งไม่ได้ทำ ผลการทดลองพบว่ากลุ่มที่ท่องจำออกเสียงนั้นสามารถบอกได้ว่าสินค้าไหนเป็นอะไร ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งบอกไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าการพูดกับตัวเองช่วยให้เราจดจำและหาของได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้นาย Gary กล่าวว่าเขามักจะชอบพูดคุยกับตัวเองเป็นประจำ เวลาที่ทำกิจกรรมต่างๆ มันทำให้สมองปลอดโปร่งมากขึ้น ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์และทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม แม้แต่ในขณะที่เขาเขียนบทความนี้ขึ้น เขาก็ยังพึมพำกับตัวเองอยู่เลย งานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่าเมื่อคุณพูดคุยกับตัวเอง มันจะทำให้กลไกในร่างกายถูกปลุกขึ้น ทำให้จดจำสิ่งต่างๆ ได้ง่ายกว่าเดิม ทำให้คุณเห็นภาพและนึกออก นอกจากนี้การคุยกับตัวเองยังช่วยให้มีสมาธิมากขึ้นด้วย เพราะเมื่อคุณตามหาสิ่งของอย่างเช่น กล้วย เมื่อคุณพูดชื่อหรือลักษณะมันออกมา มันจะทำให้คุณเห็นภาพและรู้ว่ากล้วยมีลักษณะเป็นอย่างไร ทำให้คุณจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นตลอดเวลา นอกจากนี้นาย Gary ยังแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังมีความโกรธจนอยากจะฆ่าใครสักคนว่า ให้ลองขังตัวเองอยู่ในห้องและพูดคุยกับตัวเองให้มากๆ โดยการระบายความโกรธในจิตใจของคุณออกมา มันจะทำให้จิตใจของคุณสงบลงและคิดได้ว่าการคิดฆ่าใครสักคนเป็นเรื่องที่งี่เง่ามาก …
-
มันเป็นอย่างนี้นี่เอง!! รวม 7 เหตุผล ว่าทำไมต้องหั่นแซนวิชให้เป็นทรง 3 เหลี่ยม?
แซนวิชเป็นหนึ่งในอาหารเช้าที่ทำได้ง่ายและรวดเร็ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ใครหลายคน เลือกที่จะกินแซนวิชในตอนเช้ายังไงล่ะ แต่เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเราถึงต้องหั่นแซนวิชเป็นทรง 3 เหลี่ยม? หากคุณสงสัยใคร่รู้ล่ะก็ วันนี้เหมียวมีเหตุผลดีๆ 7 ข้อมาบอกกันล่ะ มีอะไรบ้างมาดูกันเลย 1. การหั่นเป็นทรง 3 เหลี่ยมช่วยให้เราสามารถนำแซนวิชไปจิ้มกับซุปหรือซอสต่างๆ ได้ง่าย 2. การหั่นแบบนี้ช่วยให้แซนวิชอยู่ทรงมากกว่าหั่นครึ่ง 3. การหั่นแบบนี้ช่วยเพิ่มหน้าสัมผัสของแซนวิชเวลากินได้มากกว่า (คิดว่าไส้เยอะกว่า) 4. เมื่อมีหน้าสัมผัสกว้างกว่าก็สามารถสร้างสะพานชีสยืดๆ แบบนี้ได้มากกว่าปกติ 5. หั่นแบบนี้จะสามารถจับได้ง่ายกว่านิดหน่อย 6. การเริ่มกัดที่มุมแซนวิชเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็คมาก 7. หากกัดตรงกลางแบบนี้จะเยี่ยมยอดมาก ได้กินไส้เต็มๆ ไงล่ะ เห็นถึงข้อดีของการหั่นแซนวิชแบบ 3 เหลี่ยมหรือยัง? ที่มา buzzfeed
-
เด็กหนุ่มวัย 18 ปี ผู้ชนะการประกวดคลิปวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจง่าย คว้าเงินรางวัลกว่า 14 ล้านบาท!!
เรื่องของวิทยาศาสตร์นั้นหลายคนคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไกลตัวซะเหลือเกิน ยิ่งให้ไปนั่งฟังคนอธิบายทฤษฎีต่างๆ ที่มีมากมาย ก็ยิ่งทำให้ไม่เข้าใจไปใหญ่ ทำให้คิดเพียงแต่ว่าคงจะมีแต่นักวิทยาศาสตร์กันเองนี่แหละที่จะเข้าใจ แต่เชื่อหรือไม่ว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทำให้เรื่องซับซ้อนทางวิทยาศาสตร์กลายมาเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย แถมยังได้เงินรางวัลมากถึง 12 ล้านบาทไปด้วย (400,000 ดอลลาร์) เขาคนนั้นก็คือพ่อหนุ่ม Ryan Chester วัย 18 ปีผู้นี้!! โดยที่เขานั้นได้เข้าร่วมแข่งขัน Breakthrough Junior Challenge ประกวดแข่งขันวิดีโอคลิปทางวิทยาศาสตร์ จัดการแข่งขันโดยมูลนิธิ Silicon Valley ของ Mark Zuckerberg ร่วมกับมูลนิธิ Milner Global วิธีการที่ทำให้เขาชนะการประกวดนั้นก็ด้วยคลิปการอธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพที่ยากจะเข้าถึงของ Einstein เอาไว้อย่างเรียบง่าย วิธีการนำเสนอก็เช่นการใช้สิ่งของภายในบ้าน การทดลองในรถตู้เล็กๆ และการวาดภาพประกอบแบบหยาบๆ แต่เข้าใจง่าย แม้ว่าเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพจะเป็นอะไรที่เข้าใจยาก แต่การนำเสนอที่ดีแบบนี้ ทำให้วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่สนุกมากๆ เลยล่ะ ที่มา : breakthroughjuniorchallenge, fooyoh
-
ฝังแผงไฟ LED ใต้ผิวหนังของเล่นใหม่สำหรับชาวอินดี้ แค่แตะเบาๆ ก็จะมีเรืองแสงออกมาจากร่างกาย
ไม่รู้ว่างานนี้จะมีใครกล้าตามเทรนด์ฝังแผงไฟ LED ไว้ใต้ผิวหนังเหมือนกับ 3 หนุ่ม Biohacker เหล่านี้หรือเปล่านะ เพราะเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ทางสำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า 3 หนุ่ม Biohacker จากประเทศเยอรมนี ได้ผุดไอเดียของเล่นชิ้นใหม่สำหรับชาวอินดี้ โดยทำการประดิษฐ์ชิปวงจรไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่มีชื่อว่า Northstar V1 เพื่อนำไปติดไว้ใต้ผิวหนังมนุษย์ยังไงละเหมียว ซึ่งจุดประสงค์ที่พวกเขาได้ทำการสร้างมันขึ้นมา ก็เพื่อที่จะสร้างความเท่ให้กับตัวเอง โดยเจ้าวงจรไฟฟ้าขนาดเล็กประมาณเหรียญรางวัลนี้ จะดูเหมือนรอยสักที่เรืองแสงได้ ที่สำคัญหนึ่งในกลุ่ม Biohacker อย่าง Jowan Österlund ช่างสักชาวสวีเดน ยังได้นำเจ้า LED ฝังผิวหนังไปเสนอในงานนิทรรศการไซบอร์ก ที่ประเทศเยอรมนี เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาอีกด้วย และการที่จะนำ LED นี้ไปฝังในร่างกายของเรา จะต้องทำโดยการผ่าตัดเป็นเวลา 15 นาที เพื่อผังชิป LED เข้าไปในร่างกายของเรา …
-
การที่น้องหมาเอียงหัวในขณะที่เราพูดหรืออธิบายอยู่ มันกำลังตั้งใจฟังเราอยู่รึเปล่านะ!?
หากใครเป็นผู้ที่เลี้ยงสุนัขแล้ว การที่จะทำความเข้าใจระหว่างมนุษย์กับเจ้าตูบสี่ขานั้นมีหลากหลายวิธีมาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้เสียงออกคำสั่ง การใช้ภาษากายต่างๆ แต่เคยสังเกตกันบ้างมั้ยว่าเวลาที่เราจ้องหน้าน้องหมาแล้วพูดอะไรบางอย่าง ทำไมน้องหมาถึงต้องเอียงหัวด้วย? หรือว่ามันกำลังตั้งใจฟังเราอยู่? ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญก็ได้ออกมาเปิดเผยเอาไว้ว่า การแสดงออกเหล่านี้ของสุนัขเป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่ง และเป็นการตอบรับทางอารมณ์ของมนุษย์ผ่านการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ของมนุษย์ตั้งแต่อารมณ์บนใบหน้ารวมไปถึงท่าทางต่างๆ และเสียงพูดของเราด้วย ไม่ว่าเราจะพูดอย่างไร แสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าหรือท่าทางแบบไหน เจ้าตูบสี่ขาอันเป็นที่รักก็จะพยายามรับรู้ถึงอารมณ์ของคุณด้วยการเอียงหัว หมายความว่าฉันก็รู้นะว่าเธอหมายถึงอะไร อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญก็ได้กล่าวในอีกแง่หนึ่งก็คือการที่น้องหมาเอียงหัวอาจจะมีเหตุผลอื่นๆ อีกด้วย เช่น เป็นการปรับประสาทการรับรู้เสียงผ่านหูให้ได้องศาที่ตรงกับแหล่งของเสียงนั่นเอง แต่ถึงแม้จะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม เวลาที่จ้องหน้ากันแล้วน้องหมาเอียงหัวทำเหมือนว่าฟังเราอยู่มันก็น่ารักจริงๆ อ่ะเนอะ อิอิ ที่มา : unilad, psychologytoday, mentalfloss
-
สาระน่ารู้กับ 10 เรื่องราวอันน่าสนใจทางวิทยาศาสตร์ในรอบเดือนตุลาคม 2558
เหมียวเองถึงแม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องทางวิทยาศาสตร์มากมายซักเท่าไหร่ แม้จะเรียนวิทยาศาสตร์ได้เกรด 1 มาบ่อยๆ ก็ตาม แต่ก็ชอบที่จะเรียนรู้ว่าตอนนี้วิทยาศาสตร์มันพาเราไปไกลถึงไหนแล้ว อิอิ ซึ่งในช่วงเดือนตุลาคม 2558 ที่ผ่านมานี้ มีทฤษฎีใหม่ที่น่าสนใจเกิดขึ้นเยอะแยะเลย 15 ตุลาคม – ดวงดาวที่มีระยะห่างไกลกว่า 1,500 ปีแสง มีการส่องแสงสว่างระยิบระยับเป็นช่วงๆ ซึ่งอาจจะมีวัตถุขนาดมหึมาโคจรรอบๆ มันอยู่ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่ ซึ่งกำลังทำการวิจัยสำหรับคลื่นวิทยุจากสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาในอวกาศอันไกลโพ้นอยู่ 2 ตุลาคม – จากผลการศึกษาใหม่ สามารถสนับสนุนสาเหตุการสูญพันธ์ุของไดโนเสาร์นั้นมาจากการรวมตัวกันของภูเขาไฟขนาดใหญ่ และได้รับผลกระทบจากดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งชนโลก 5 ตุลาคม – นักวิทยาศาสตร์จาก NASA ยืนยันแล้วว่ามีของเหลวที่ลักษณะคล้ายกับน้ำอยู่บนดาวอังคาร จากการสังเกตการณ์อยู่เป็นระยะๆ จากแนวลาดชันบนดางอังคาร 8 ตุลาคม – จากผลการสำรวจพื้นผิวดาวอังคาร NASA ยืนยันว่า Gale Crater บนดาวอังคารนั้นเคยเป็นทะเลสาปเมื่อ 3,800,000,000…
-
เด็กฉลาดชาติเจริญ!! ด้วยผลงานการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ของเหล่าเด็กๆ ที่มีอายุน้อยกว่า 15 ปี
การแข่งขันทางด้านวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าเด็กๆ จะไม่มีผลงานการค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์เลย ซึ่งสำหรับเหล่าเด็กๆ ที่มีช่วงอายุระหว่าง 11 – 14 ปี จะสามารถเข้าร่วมงาน Broadcom Math, Applied Science, Technology and Engineering Rising Stars (ย่อสั้นๆ ว่า MASTERS) จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีโดย The Society for Science and the Public เป็นการจัดการแข่งขันวิชาการและการค้นคว้าทางด้านวิยาศาสตร์ใหม่ๆ โดยมีเงินรางวัลสำหรับอันดับหนึ่งและสองอยู่ที่ 882,000 บาท (25,000 ดอลลาร์) และ 353,000 (10,000 ดอลลาร์) บาท ตามลำดับ ซึ่งผลงานของแต่ละคนนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่นอน!! ตามมาดูกันดีกว่า Andrew Eggebraaten อายุ 14 ปี เปิดตัวด้วยผลงานการออกแบบแขนกลที่สามารถทำหน้าที่ได้หลากหลายมากถึง 58…
-
นักวิทย์เผยเห็ดประหลาดบนเกาะฮาวาย สามารถทำให้คุณผู้หญิงถึงจุดสุดยอดได้เพียงแค่ ‘ดม’
เหมียวไม่ได้จะทะลึ่งตึงตังอะไรหรอกนะ แต่คิดว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ เลยล่ะ กับสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่า’ เห็ด’ เนี่ยมันสามารถทำอะไรมากกว่าการเป็นอาหารของมนุษย์ เพราะมันสามารถช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของผู้หญิงได้เพียงแค่สูดดมกลิ่นของมันเท่านั้น!! โดยผู้ค้นพบก็คือ John Halliday และ Noah Soule สองนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบความมหัศจรรย์ของเจ้าเชื้อราที่มากับเห็ดสีส้มปริศนาที่ว่านี้จากเกาะฮาวาย บรึ้มมมมมมมมมมมม!! อ่าห์ ซึ่งนำมาศึกษาและทดลองกับอาสาสมัครหลายราย และได้รับการตีพิมพ์อยู่ในวารสาร International Journal of Medicinal Mushrooms โดยผลการทดลองนั้นเผยให้เห็นว่า เหล่าอาสาสมัครผู้หญิงที่สูดดมกลิ่นเห็ดสีส้มที่ว่าเข้าไปปุ๊บก็จะเกิดอาการถึงจุดสุดยอดได้ทันที ซึ่งก็สรุปผลการทดลองได้ว่า ‘สารคล้ายฮอร์โมนมนุษย์ที่อยู่ในความผันผวนของสปอร์ ทำหน้าที่เป็นสารสื่อกับประสาทของมนุษย์ ก่อให้เกิดอาการดังกล่าว’ อย่างไรก็ตามเจ้าเห็ดที่ว่านี้ จะผุดขึ้นมาในกระแสลาวาเท่านั้น ซึ่งจะต้องเป็นช่วงเวลาที่เกิดภูเขาไฟปะทุ แถมยังมีเฉพาะที่เกาะฮาวายด้วย หายากสุดๆ แต่น่าแปลกตรงที่ว่าถ้าผู้ชายดมแล้วจะรู้สึกเหม็นและขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก เอ๊ะ!? มันยังไงกันล่ะเนี่ย ที่มา : thechive, iflscience
-
12 ภาพกระบวนวิทยาศาสตร์อันน่าทึ่ง จากเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ทำให้กลายเป็นจริง!!
ทุกวันนี้โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากๆ จากที่เมื่อก่อนแทบจะไม่มีอะไรเลย แต่เดี๋ยวนี้สิ กลับมีอะไรต่อมิอะไรผุดออกมาเต็มไปหมด จนแทบจะตามกันไม่ทัน และในเรื่องของทางวิยาศาสตร์ก็เช่นกัน จากที่เราคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ต้องคิดใหม่แล้วล่ะ เพราะบางอย่างนั้นก็ใกล้ตัวเราซะเหลือเกิน!! การทำวัตถุให้ลอยตัวได้ด้วยคลื่นเสียง การหยดน้ำลงไปในสภาพที่เย็นจัดแปรสภาพกลายเป็นหยดน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว การตัดหยดน้ำแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยมีด Superhydrophobic การกระทบของคลื่นเลเซอร์กับของเหลวกลางอากาศ การยกตัวทางควอนตัม อาศัยพลังงานจาก Superconductor หยดน้ำกระทบกับผิวทราย หยดน้ำเด้งดึ๋งบนพื้นผิว Superhydrophobic หยดน้ำบินวนรอบๆ วัตถุ หยดน้ำเด้งดึ๋งบนพื้นผิวของเหลว ภาพยนตร์ที่มีขนาดเล็กที่สุด โดยสร้างจากอะตอมแบบเฟรมต่อเฟรม ที่มา : thechive
-
รับชม 14 ภาพกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ชวนฉงนและน่าหลงใหลเป็นที่สุด!!
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ เลยล่ะ โดยเฉพาะในเรื่องใกล้ตัวและเรื่องที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนว่ามีแบบนี้ด้วย เอ๊ะ!? ยังไงดีล่ะ เอาเป็นว่าดูเพื่อความบันเทิงก็ได้หรือจะเป็นความรู้ไว้ก็ดี แม่เหล็กดินน้ำมัน วิ่งวนรอบในแนวราบ Quantum Locking วงโคจรของโลกและดาวศุกร์ การหย่อนขดลวดสปริง การระเบิดของเมล็ดพืช การขยายตัวของลูกสน การหุ้มลวดลายด้วย Water Transfer Printing ปฏิกริยาของมดที่ทำตัวเป็นของเหลวและของแข็ง ยืนบนธารน้ำแข็งใต้น้ำ แบบกลับหัวกลับหาง ใช้ยางวงรัดแตงโมจนระเบิด การแตกของกระจกที่ความเร็ว 10 เฟรมต่อวินาที ของไหลแบบนอนนิวโตเนียน ทำให้วิ่งบนน้ำได้ การออกล่าเหยื่อของแมงมุม Gladiator เพราะวิทยาศาสตร์ทำให้เราค้นหาสิ่งใหม่ๆ ได้อยู่เสมอ ถึงแม้ว่าเหมียวจะตกวิทย์ก็เถอะ แต่ชอบเรื่องแบบนี้เหมือนกันนะ อิอิ ที่มา : mentalfloss
-
กรี๊ดกร๊าด!! ‘ติ๊ก เจษฎาภรณ์’ ร่วมบรรยายพิเศษม.ราชภัฏพิบูลสงคราม สาวๆแห่ร่วมงานตรึม!
อย่างที่ทราบกันดีว่า ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี เป็นดาราและนักแสดงคนหนึ่งที่ชื่นชอบธรรมชาติมาก และทำรายการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวมาหลายปี แถมยังวางตัวดีอยู่ในวงการมาตลอด เลยไม่แปลกใจเลยที่จะมีสาวรุ่นน้อยรุ่นใหญ่ตามกรี๊ดกันอยู่ตลอดเวลา ล่าสุด เฟซบุ๊คของอ.เฉลิมพร ทองพูน อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ได้โพสต์ภาพของพี่ติ๊กที่เดินทางไปบรรยายพิเศษเกี่ยวกับชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2558 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จากการบรรยายครั้งนี้ เล่นเอาหอประชุมเนืองแน่ไปด้วยแฟนคลับสาวๆมากมายเลยทีเดียวล่ะ ไม่รู้ว่างานนี้ตั้งใจไปฟังบรรยายหรือไปนั่งจ้องหน้าพี่ติ๊กของเรากันแน่นะเนี๊ยะ พี่ติ๊กนี่ต้องเป็นแวมไพร์กลับมาเกิดแหงๆ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีๆก็ยังคงหนุ่มฟ๊อหล่อเฟี๊ยวเหมือนเดิม เหมียวนี่เลิฟเลยค๊าาา ที่มา Chalermporn Thongpoon
-
ทดลองเอา ‘ลูกเหล็กร้อน’ วางลงบน ‘ฟลอรัลโฟม’ ผลที่เกิดขึ้นก็ตามภาพนั่นแหละ
เมื่อมนุษย์อย่างเรามีเวลาว่างกันเกินไป ไอเดียความคิดแปลกๆ ก็มักจะก่อตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณความเวิ่นของเราที่ทำให้ได้รู้จักกับคำว่า ‘วิทยาศาสตร์’ เช่นเดียวกับเจ้าของ Youtube Channel ที่มีชื่อว่า ‘Carsandwater’ ที่ได้เผยแพร่วิดีโอการทดลองอย่างหนึ่งของเขา นั่นก็คือ การนำเอาลูกเหล็กที่ร้อนจี๋มาวางบนฟลอรัลโฟมหรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ โอเอซิส ที่ไว้ใช้สำหรับการจัดดอกไม้ และผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เราต้องประหลาดใจ จะเห็นว่าตอนแรกๆ ก็ดูธรรมดาๆ จนสงสัยว่า เฮ้ย!!! เจ้าลูกเหล็กร้อน เอ็งมีอิทธิฤทธิ์แค่นี้เองเหรอ แต่ดูไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่า ฟลอรัลโฟมนั้นอยู่ดีดีก็โดนไหม้เกรียมจนเปลี่ยนเป็นสีดำกันเลยทีเดียว ในตอนสุดท้าย ฟลอรัลโฟมก็ไม่เหลืออะไรเลย นอกจากเถ้าถ่านอย่างที่เราเห็นในรูปนี้นั่นเอง ใครดูภาพข้างบนแล้วยังรู้สึกเฉยๆ งั้นตามมาดูคลิปเต็มๆ กันเลยดีกว่า แล้วจะรู้ว่าสุดยอดแค่ไหน!!! ดูจบแล้ว ก็ระวังกันด้วยนะ อย่าไปลอกเลียนแบบไม่งั้นอาจจะเกิดอันตรายได้ เป็นห่วงเพื่อนๆ จะโดนเจ้าลูกเหล็กลวกเอาน่ะสิ!!! ที่มา Carsandwater
-
ชาวโลกฮือฮา กล้องจาก NASA จับภาพหญิงชุดดำได้บนดาวอังคาร!?
กลายเป็นประเด็นที่กำลังถกเถียงในหมู่นักวิทยาศาตร์อยู่ในขณะนี้เลย สำหรับภาพวัตถุประหลาดคล้ายหญิงสาวในชุดสีดำ ที่ถูกถ่ายได้โดยกล้องจากยาน Curiosity Rover จาก NASA บนดาวอังคาร ทำให้หลายๆคนเชื่อว่าอาจมีสิ่งมีชีวติอยู่บนนั้น ตามรายงานบอกว่าเว็บไซต์ UFO Sightings Daily ที่เกาะติดสถานการณ์เกี่ยวกับวัตถุต่างดาว ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า อาจมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวดวงนั้น ซึ่งพวกเขายังเชื่อด้วยว่าวัตถุประหลาดนั่นอาจเป็นผู้หญิง เพราะสังเกตจากหน้าอกของเธอที่เห็นได้อย่างชัดเจน ความเห็นจากเว็บไซต์ UFO Sightings Daily บอกว่า “เรามองเห็นแขนสองข้าง ที่สีสว่างกว่าบริเวณอื่น และดูเหมือนศรีษะและมีผมที่ยาว บอกยากเหมือนกันว่านั่นคือสิ่งมีชีวิตหรือเป็นรูปปั้นที่มีมาแต่สมัยโปราณ อย่างไรก็ตาม” “หากสิ่งนั้นคือรูปปั้นจริง อาจถูกกัดเซาะโดยธรรมชาติไปแล้วก็ได้ และคงไม่เหลือมาจนถึกทุกวันนี้ มันมีความสูงอยู่ที่ราวๆ 8-10 เซ็นติเมตร มันดูเหมือนจริงมาก” แต่ถึงจะดูเหมือนจริงยังไงก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก NASA ว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ อาจเป็นเพียงเศษก้อนหินหรือสิ่งแปลกปลอมที่หลงเหลืออยู่บนดาวอังคารก็เป็นได้ ที่มา mirror
-
14 เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างความรู้ได้ดียิ่งนัก!!
ในแวดวงทางวิชาการความรู้ วิทยาศาสตร์ช่วยเปิดโลกให้กับมนุษย์ได้ดียิ่งนัก ทำให้เราได้รู้ว่าสิ่งที่เราเห็นอยู่นั้นเกิดขึ้นมาจากอะไร คลายข้อสงสัยให้กระจ่างได้ แต่ก็ยังมีความรู้อีกมากมายที่เรายังไม่รู้ เอาเป็นว่าเรามาเปิดโลกกว้างไปพร้อมกันเถอะ ถ้าพร้อมแล้วก็เลื่อนลงมาอ่านเลย!! ดาวเคราะห์โรกคือวัตถุที่มีมวลขนาดเท่าดาวเคราะห์และไม่มีแรงโน้มถ่วงดึงดูดอยู่กับดาวฤกษ์ดวงอื่นๆ ทำให้มันล่องลอยอยู่กลางอวกาศ มีเป็นจำนวนมหาศาลอยู่ในกาแล็คซี่ทางช้างเผือกของเราด้วย ย้อนกลับไปเมื่อ 300 ล้านปีก่อน มีแมลงปอขนาดยักษ์ที่มีชื่อเรียกว่า Meganeura ยักษ์ไม่ยักษ์ก็คือว่าปีกของมันเนี่ยกว้างถึง 60 เซนติเมตรเลยล่ะ รู้หรือไม่ว่าดวงจันทร์ทำให้โลกเราหมุนช้าลงเรื่อยๆ ทุกศตวรรษที่ผ่านพ้นไป หนึ่งวันบนโลกจะยาวนานขึ้น 1.7 มิลลิวินาที นั่นก็หมายความว่า 350 ล้านปีที่แล้วมา หนึ่งปีบนโลกมีทั้งหมด 385 วัน เพราะโลกเคยหมุนเร็วกว่านี้ มีผลวิจัยเปิดเผยออกมาแล้วว่าการดูคลิปวิดีโอแมวจะช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น เอ๊ะ!? จริงหรือไม่ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองแล้วล่ะ ระบบ Endocannabinoid ในสมองของมนุษย์มีหน้าที่ช่วยควบคุมอารมณ์ ความอยาก ความเจ็บปวด และความทรงจำ และระบบนี้เองคือสิ่งที่กัญชาเฝ้าตามหา!! Verona Rupes…
-
ด้ามที่น่าโดน!! ทำความรู้จัก ‘ปากกาเขียนวงจรไฟฟ้า’ เพียงแค่จรดปากกาก็สปาร์คได้ทันที
ถ้าคุณเป็นหนึ่งในบรรดามนุษย์ผู้ใฝ่หาสาระด้วยการดูคลิปวิดีโอเจ๋งๆ บนโลกออนไลน์ คงจะไม่พลาดกับคลิปปากกาเขียนวงจรไฟฟ้าสุดเจ๋ง ที่มีการกระหน่ำแชร์ในโซเชียลกันอยู่ในช่วงนี้ ซึ่งความเจ๋งของปากกาด้ามที่ว่านี้ก็คือ น้ำหมึกที่ใช้นั้นสามารถนำไฟฟ้าได้ และสามารถเขียนสร้างวงจรไฟฟ้าต่างๆ บนพื้นผิวที่หลากหลายได้ด้วย ซึ่งพอเขียนปุ๊บก็สามารถต่อติดได้ทันที!! ซึ่งพอเหมียวได้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนวัตกรรมนี้ ก็พบว่าเทคโนโลยีปากกาสุดเจ๋งที่เราเห็นกันไป เริ่มมีมาไม่ต่ำกว่า 1 ปีแล้วหละ ซึ่งก็ได้มีการพัฒนารูปแบบการใช้งานให้ดีขึ้นไปอีกเรื่อยๆ และนี่ก็เป็นอีกตัวอย่างจาก Circuit Scribe ปากกาเขียนวงจรอีกแบรนด์ ที่แสดงให้เห็นถึงความติดทนนานพร้อมใช้ได้ทันทีเลยหละจ้า แต่เห็นล้ำๆ แบบนี้เหมียวขอบอกเลยนะว่ามีมา 2 ปีแล้ววว!! มาดูนวัตกรรมของปีนี้ ค.ศ. 2015 กันซักหน่อย งานนี้เป็นของค่ายทางญี่ปุ่น NIKKEI ที่พัฒนาความเจ๋งในส่วนที่สามารถลบได้ แถมมีลูกเล่นแบบหัวตัดด้วยนะจะบอกให้!! 紙の上に自由に線を引くと、電子回路に早変わりする不思議なペンを東大発ベンチャーが開発。電子工作が一気に身近になっています。http://www.nikkei.com/video/884034942002 Posted by 日本経済新聞(日経新聞) on Thursday, July 2, 2015 ใครที่เริ่มติดใจในความเจ๋งของมันแล้วสนใจอยากจะจับจอง ราคาที่ขายแบบออนไลน์ตกอยู่ที่ด้ามละประมาณ 600 บาท หรืออาจจะแพงกว่านั้นซักหน่อยตามคุณภาพ แต่ถ้าใครไม่สู้แล้วอยากจะทำเอง ก็ใช้ดินสอไส้แกรไฟต์แก้ขัดได้แบบนี้เลยจ้า!! แหม่.. ก็เรียกได้ว่าเจ้าปากกานี้เกิดมาเพื่อประหยัดทรัพยากรและทุ่นแรงจริงๆนะเนี่ย…