Tag: ศาสนา
-
เปิดใจหญิงสาวที่ฝึกตนเป็น “แม่ชี” กว่า 8 ปี แต่ลงเอยด้วยอาชีพ “ดาราหนังโป๊”
ชีวิตของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้แทบทุกวินาที เพราะทุกการตัดสินใจนั้นจะเปลี่ยนแปลงผลที่ตามมาเสมอ… อย่างเช่นหญิงคนหนึ่งที่ทุ่มเทเวลาเกือบหนึ่งทศวรรษของชีวิตเธอ ฝึกตนอย่างหนักเพื่อเป็น แม่ชี อย่างเต็มตัว แต่ปัจจุบันเธอได้กลายเป็น ดาราหนังโป๊มืออาชีพ ไปเสียแล้ว Yudi Pineda หญิงสาวจากเมือง Ituango ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโคลอมเบีย ได้ยุติการฝึกตนเป็นแม่ชี และหันมาสร้างผลงานหนังผู้ใหญ่อย่างเต็มความสามารถ Yudi กล่าวกับสำนักข่าวท้องถิ่นว่า เธอนั้นเข้าโบสถ์ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอายุราวๆ 10 ขวบ และฝึกปฎิบัติตนที่นั่นเป็นเวลาถึง 8 ปี เธอกล่าวว่าขณะที่ฝึกตนเป็นแม่ชีอยู่ในโบสถ์เธอมีความสุขมากๆ แต่เมื่อเธอเริ่มโตขึ้นเธอกลับรู้สึก หลงรัก ครูสอนศาสนาของเธอเข้า เธอจึงตัดสินใจออกจากโบสถ์และไปหางานทำ Yudi Pineda ครั้งแรกเธอทำงานเป็นพนักงานในบริษัท Nestlé และทำให้มีโอกาสได้พบกับ Juan Bustos ผู้ที่มองหานางแบบเว็บแคมสำหรับหนังผู้ใหญ่ นั่นทำให้เธอตัดสินใจจะเปลี่ยนงาน Yudi กล่าวว่า… “ทีแรกฉันรู้สึกแย่มาก แต่ตอนนี้โอเคขึ้นแล้ว ฉันรู้สึกดีมากเวลาที่ไปเข้าโบสถ์ ฉันไม่เคยพลาดสักครั้งเลยไม่ว่าจะวันศุกร์ เสาร์ หรืออาทิตย์” เธอบอกว่าเธอมักเลี่ยงที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับอาชีพของเธอ ขณะเข้าไปสารภาพบาปในโบสถ์ แม้ว่าเธอเองจะคิดว่างานของเธอนั้นเป็นสิ่งที่ “เหมาะสม” และ “เป็นศิลปะ”…
-
กระทู้ถาม เป็นคนส่งอาหารให้ “เณร” ตอนกลางคืน ถือว่าเป็น “บาป” หรือไม่???
(บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาโจมตีหรือลบหลู่ความเชื่อทางศาสนาแต่อย่างใด เพียงเสนอประเด็นถกเถียง “เล็กๆ” ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเท่านั้น) ศาสนาทุกศาสนารวมถึงศาสนาพุทธนั้นมีเป้าหมายเดียวกันก็คือการสอนให้ทุกคน “เป็นคนดี” รวมถึงรู้จักตัวเองและผู้อื่นด้วย แต่สิ่งที่กลับกลายเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดในศาสนาพุทธก็คือเรื่องของ “บาปบุญ” เพราะสิ่งนี้ได้เข้ามาเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมผู้คนว่าทำอะไรแล้วเป็นบาป ทำอะไรแล้วได้บุญ ขณะที่มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ยึดมั่นในเรื่องของบาปบุญคุณโทษ ชาวไทยคนหนึ่งก็เกิดข้อสงสัยในพฤติกรรมของตนเองว่า สิ่งที่เขาทำลงไปนั้นมัน “บาปหรือไม่บาปกันแน่?” ชาวเว็บไซต์พันทิปคนหนึ่งได้ตั้งกระทู้ถาม ใจความว่า ในช่วงดึกสามเณรรูปหนึ่งได้สั่งอาหารจากร้านที่เจ้าของกระทู้ทำงานอยู่เป็นประจำ แล้วเจ้าของกระทู้ก็ต้องออกไปส่งอาหารให้เณรรูปนี้อยู่เสมอ เขาจึงถามว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็น “บาป” หรือไม่? หลังจากทุกท่านได้อ่านคำถาม ไม่ว่าท่านจะเป็นคนถือศาสนาใด จะเชื่อศาสนาหรือไม่ หากมีคำตอบในใจแล้วกรุณาเก็บไว้ก่อน แล้วเราลองมาชมคำตอบจากชาวเน็ตที่เข้ามาตอบกระทู้นี้กันสักหน่อย ว่าคำตอบส่วนใหญ่จะออกมาลักษณะไหน ชาวไทยจะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรกันบ้าง! คนนี้บอกไม่บาป เพราะเจตนาเจ้าของกระทู้ไม่ได้สนับสนุน เณรนั่นแหละที่บาป! คนนี้เปรียบเทียบกับเหล่าโจรที่สั่งอาหารเดลิเวอรี่มาฉลอง เพื่อให้เห็นภาพว่าการทำหน้าที่ (ส่งอาหาร) โดยที่เราไม่รู้นั้นไม่ถือว่าบาป คนนี้มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับ การฉันยามวิกาลของเณร ที่ว่าเณรก็คือเด็ก และทางการแพทย์ก็แนะนำว่าเด็กก็ควรทานอาหารให้ครบตามวัย อย่างไรเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในมหาเถระสมาคม และสรุปสุดท้ายว่า การที่คนส่งอาหารไม่รู้ว่าเณรสั่งไปทำอะไร ถือว่าไม่ผิดและไม่บาป คนนี้แนะนำว่าให้ ขู่เณร…ถ้าไม่ให้ทิปเพิ่มจะฟ้องหลวงพ่อ (ฮา)…
-
พ่อแม่ปล่อยให้ลูก ‘เสียชีวิต’ ทั้งๆ ที่ช่วยเหลือได้ เพราะความเชื่อทางศาสนาผ่านเฟซบุ๊ก
เรื่องของ ‘ความเชื่อ’ เป็นเรื่องส่วนบุคคล และมันสามารถส่งผลกระทบของชีวิตเราได้มากมายเลยทีเดียว เช่นเดียวกันกับเรื่องราวต่อไปนี้ ที่พ่อแม่ยอมปล่อยให้ลูกวัย 10 เดือนเสียชีวิตจากการขาดสารอาหาร และน้ำ เพราะความเชื่อทางศาสนาของตนเอง!! เรื่องมีอยู่ว่านาย Seth Welch และภรรยา Tatiana Fusari ทั้งสองคนอายุ 27 ปี อาศัยอยู่ในเมือง Solon Township เขต Kent County รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานระบุว่าทั้งคู่เป็นคนที่เคร่งครัดในหลักคำสอนของศาสนาคริสต์รูปแบบหนึ่ง ซึ่งพวกเขาติดตามผ่านเฟซบุ๊ก และนั่นเองเป็นเหตุที่ทำให้ลูกของพวกเขาต้องเสียชีวิตอย่างน่าเศร้า เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้หนูน้อย Mary ลูกสาววัย 10 เดือนของพวกเขามีอาการป่วย แทนที่ทั้งคู่จะพาไปหาหมอ แต่กลับไม่ทำอย่างนั้น ทั้งคู่สังเกตเห็นว่าร่างกายของหนู Mary นั้นซูบผอมลง แต่ก็ไม่ยอมพาลูกไปรักษา เพราะกลัวว่าจะมีการติดต่อหน่วยงานคุ้มครองเด็ก นอกจากนี้ทั้งคู่ยังไม่ยอมรับและไม่เชื่อมั่นในการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน สุดท้าย Mary ก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมสองสามีภรรยาในข้อหาทารุณกรรมเด็กจนถึงแก่ความตาย ภาพของหนูน้อย Mary ก่อนหน้านี้ฝ่ายสามีได้ทำการโพสต์เฟซบุ๊กในวันที่ลูกของตัวเองตายว่า…
-
ผู้ต้องหา ‘ขายบริการ’ ละเมิดกฎชะรีอะฮ์ ถูกนำตัวมาประจาน และเฆี่ยนตีต่อหน้าสาธารณะ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเมืองโล๊คซูมาวี จังหวัดอาเจะฮ์ ทางเหนือสุดของเกาะสุมาตรา โดยล่าสุดนี้มีการลงโทษและประจานผู้ละเมิดกฎชะรีอะฮ์… จากการถูกกล่าวหาว่าเป็นชายและหญิงผู้ขายบริการ แม้ว่าภายในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจะมีการฟ้องร้องให้ทางการยกเลิกการลงโทษต่อหน้าสาธารณะแบบนี้ไปแล้ว . หลังจากที่ผู้ต้องหาถูกนำตัวมายืนต่อหน้าประชาชนที่มาเฝ้าดู พวกเขาจะถูกสั่งให้คุกเข่าลง และรับความเจ็บปวดจากเพชฌฆาตผู้ลงมือโบยและเฆี่ยนตีกลางแผ่นหลัง โอดโอยกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด… เหตุการณ์ที่ผ่านมาล่าสุด จากการรายงานผ่าน Dailymail ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2018 ผู้ต้องหาหญิง 2 รายและชาย 2 ราย ถูกเฆี่ยนตีหลายต่อหลายครั้งโดยเพชฌฆาตผู้สวมใส่หน้ากาก . อย่างไรก็ตาม สำหรับชายผู้โดยโบยนั้นไม่ทราบว่าถูกกล่าวหาละเมิดกฎในข้อใด แต่ด้วยสภาพแผ่นหลังที่ถูกโบยนั้นถือว่าได้รับโทษรุนแรงพอสมควร โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีการร่วมลงบันทึกข้อตกลงกันระหว่างนาย Irwandi Yusuf ผู้ว่าฯ อาเจะฮ์ และนาย Yuspahruddin หัวหน้านิติบัญญัติระดับจังหวัดและหัวหน้าหน่วยสิทธิมนุษยชน เพื่อให้ยกเลิกการลงโทษต่อหน้าสาธารณะดังกล่าว โดยต้องการให้นำไปลงโทษในสถานที่ปิดอย่างเช่นภายในคุกแทน . เพื่อเป็นการลดจำนวนของผู้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานระหว่างการลงโทษ และไม่อนุญาตให้บันทึกภาพและเสียงด้วยประการใดๆ ซึ่งจะช่วยลดจำนวนคนจากเป็นร้อยเหลือหลักสิบที่คอยเชียร์ระหว่างการโบย .…
-
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส นำสวดภาวนาสันติสู่โลก รวมถึงภาวนาทีมหมูป่าติดถ้ำหลวง…
ประเด็นของปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือ ทีมฟุตบอลหมูป่าอะเคเดมี่ทั้ง 13 ชีวิตนั้น กลายเป็นข่าวที่โด่งดังไปทั่วโลกแล้ว ซึ่งทางสื่อต่างประเทศก็ได้ให้ความสนใจและลงพื้นที่คอยรายงานเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดนี้ ข่าวติดถ้ำหลวงในประเทศไทยไปไกลถึงสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส รายงานผ่านจากเว็บไซต์ Vaticannews กล่าวถึงพระองค์ท่าน ได้ทำการนำสวดภาวนาเพื่อสันติสู่โลกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ระหว่างการนำสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าวต่อผู้แสวงบุญที่รวมตัวกันในจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ หัวข้อหลักในครั้งนี้ พระองค์ท่านกล่าวถึงประเทศนิการากัว ตรัสถึงความประสงค์จะเข้าร่วมกับเหล่าผู้แสวงบุญ เพื่อเป็นตัวแทนไกล่เกลี่ยนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างคนในประเทศ และตรัสถึงการนำสันติภาพและความสงบสุขไปยังประเทศซีเรียและเอธิโอเปีย ภายหลังจากนั้น พระองค์ท่านได้ตรัสถึงความคิดภายในใจต่อเด็กๆ นักฟุตบอลและโค้ชทีมหมูป่า ที่ติดอยู่ภายในถ้ำหลวง จ. เชียงราย เป็นระยะเวลาเกิน 1 สัปดาห์ ซึ่งพระองค์ได้ตรัสว่าทรงภาวนาเพื่อให้ทั้ง 13 ชีวิตรอดและปลอดภัย โดยกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เริ่มคลี่คลายและมีความคืบหน้ามากขึ้น หลังจากที่ระดับน้ำที่ท่วมสูงภายในถ้ำที่ทำให้การปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือล่าช้ามานานหลายวัน ลดลงอย่างต่อเนื่อง ที่มา: vaticannews, newsbook, lastampa
-
ทำไรครับตุ๊…หลวงพี่ยกโทรศัพท์แอบถ่าย ‘ผู้หญิง’ ไลฟ์สด ชาวเน็ตถามสมควรรึไม่!?
กำลังกลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันอยู่ในโลกโซเชียลบ้านเราอยู่ ณ ขณะนี้ เนื่องจากมีชาวเน็ตชื่อว่า Kamonwat Rojjanadechakul แชร์ภาพของพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งกำลังนั่งถ่ายคลิปไลฟ์สดผู้หญิงบนรถไฟฟ้า กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง!! โพสต์ดังกล่าวแคปชั่นว่า “ทำไรหลวงพี่ ค้างงี้มา 5 สถานีละ” ก็อย่างที่เรารู้กันดีว่าพระสงฆ์เป็นผู้เรียนรู้และสืบทอดในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อีกทั้งยังจะต้องรักษาศีลเป็นจำนวนมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป ทำให้พระสงฆ์จะต้องปฏิบัติตัวให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย จึงจะเป็นที่เลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงที่ถือเป็นข้อกำหนดของศีลที่พระสงฆ์จะต้องทำตามอย่างเคร่งครัด เพื่อการตัดเรื่องทางโลกออกไปและมุ่งหน้าสู่แก่นของพระธรรมอย่างแท้จริง ทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากแสดงความเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของพระสงฆ์กลุ่มนี้ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง บ้างก็บอกว่าควรจะเตือนพระเค้าหน่อยนะ ไม่น่าถ่ายภาพมาประจานอย่างเดียว ถ้าไม่มีคนเห็นล่ะก็ ไม่อยากจะคิด!! พระสงฆ์ควรจะสำรวมนะ เพราะทุกวันนี้ถูกมองในแง่ลบอยู่ พระก็กลายเป็นอาชีพหนึ่งไปแล้วล่ะ คิดซะว่าการทำบุญนั้นทำบุญให้กับผ้าเหลือ เพราะเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า พระเหล่านี้อาจจะเป็นแค่พระใหม่ก็ได้ ก็เลยละเรื่องทางโลกไม่ได้ หมดศรัทธากับพระสงฆ์จริงๆ คนในศาสนาที่แหละที่เป็นตัวบ่อนทำลายตัวเอง แล้วเพื่อนๆ ชาวเหมียวล่ะ คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้บ้าง ก็ลองคอมเมนต์กันเข้ามาได้เลยนะจ๊ะ ที่มา : Kamonwat Rojjanadechakul
-
พิธีศักดิ์สิทธิ์ในอินเดีย ลากรถยนต์ไปไกลกว่า 30 เมตร ด้วย “องคชาต” เท่านั้น!!?
ในรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ผู้คนจำนวนมากได้มารวมตัวกันเพื่อรับชมการลากรถด้วย “องคชาต” ที่กระทำโดยนักบวชในศาสนาท่านหนึ่ง (มีคลิปด้านล่าง) นักบวชดังกล่าวได้ฉายาว่า Penis Baba ผู้ที่ลากรถยนต์ได้ด้วยการใช้เชือกผูกระหว่างรถและองคชาต ของเขา เพียงกำลังของอวัยวะเพศ เขาสามารถลากรถได้ไกลกว่า 30 เมตร ภายใต้ผ้าขาวที่เขานุ่งห่ม ปลายเชือกด้านหนึ่งถูกมัดเอาไว้กับของลับ Penis Baba หันหน้าเข้าหารถ พร้อมเดินถอยหลังอย่างช้าๆ เพื่อลากรถให้ค่อยๆ ไหลไป ประชาชนหลายร้อยคนต่างรวมตัวกันเพื่อดูการกระทำที่เกี่ยวกับศาสนานี้ โดยชาวบ้านผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งกล่าวว่า “ตอนเด็กๆ Penis Baba นั้นเคยหายตัวไปบำเพ็ญตบะและฝึกวิชาอยู่หลายปี” แต่ไม่รู้ว่าไปฝึกอะไรมาถึงกลับมาแสดงพลังขององคชาตได้แบบนี้ Penis Baba อธิบายว่า “นี้ไม่ใช่งานศิลปะ นี่เป็นพลังที่พระเจ้าประทานให้กับผู้อุทิศตน” ชมคลิปเหตุการณ์ได้ด้านล่างได้เลย ขณะเดียวกันก็พบว่า ในเมืองอัลลอฮาบาด ทางด้านเหนือของอินเดีย ผู้ที่เรียกตัวเองว่า สาธุ ท่านหนึ่งออกมาลากรถบรรทุกเล็กๆ ด้วยองคชาตเช่นเดียวกัน แต่ที่แตกต่างกับ Penis Baba คือชายที่เรียกตัวเองว่าสาธุนี้เปลือยกาย ใส่เพียงรองเท้าแตะคู่หนึ่งเท่านั้น…
-
‘บังโต’ โปรยไม่กราบรูปปั้นอ้างว่าต่ำกว่าตน ‘เสก โลโซ’ ซัดกลับ เดี๋ยวจะโดนบาทา…
เกิดเป็นประเด็นละเอียดอ่อนในโลกออนไลน์อีกครั้ง เมื่อ ‘โต วีรชน ศรัทธายิ่ง’ อดีตนักร้องวงซิลลี่ ฟูลส์ ที่ปัจจุบันหันมาทำธุรกิจขายเนื้อและมีบทบาทเป็นครูสอนศาสนาอิสลาม ได้ทำการจัดรายการ “โต ตาล” พูดถึงในประเด็น “ทำไมอิสลามถึงไม่มีรูปปั้น เหมือนชาวพุทธไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ” ออกอากาศในวันศุกร์ที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา เนื้อหาที่ถูกพูดถึงในโลกออนไลน์นั้น เริ่มต้นตั้งแต่ช่วง 1:06:00 เป็นต้นไป ภายในเนื้อหาการพูดถึงประเด็นไม่นับถือรูปปั้นต่างๆ นั้น โต ซิลลี่ ฟูลส์ ได้ทำการอธิบายเหตุผลไว้ว่า… “ในฐานะผู้ศรัทธา ผมจะไม่กราบสิ่งใดที่ต่ำเท่าผม หรือต่ำกว่าผม รูปปั้นเนี่ยผลักก็ตกแตกละ มันต่ำกว่าผมแล้ว มันไม่มีชีวิต จะไหว้ทำไมสิ่งไม่มีชีวิต รูปร่างอัปลักษณ์กว่าผม ปั้นให้ตายก็หล่อสู้ผมไม่ได้” “แม้กระทั่งรูปยังเพี้ยนเลย เรากราบใครก็ไม่รู้… รูปยังไม่เหมือนเลย” หนึ่งใจความจากคลิปดังกล่าว หลังจากที่คลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง ชาวเน็ตต่างถกเถียงถึงความเหมาะสมของการวิจารณ์ความศรัทธาระหว่างศาสนา แม้แต่เพจเคลื่อนไหวทางสังคมอย่าง “แหม่มโพธิ์ดำ” ก็ได้กล่างถึงการจัดทำรายการของ โต ซิลลี่ ฟูลส์…
-
หวด…ล้างบาป!! พิธีชำระล้างบาปในเม็กซิโก ผู้คนออกมา “เฆี่ยนแส้” ใส่กันในวันอีสเตอร์
(มีภาพและเนื้อหาที่ควรใช้วิจารณญาณในการรับชม) แต่ละศาสนาหรือแต่ละวัฒนธรรมนั้นก็จะมีพิธีกรรมหรือธรรมเนียมปฏิบัติที่แต่งต่างกันออกไป แม้ว่าจะเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์ด้วยกันเอง แต่พิธีกรรมล้างบาปนั้นกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในประเทศเม็กซิโก ในวันพระเยซูคริสต์ทรงคืนหรือที่เรียกกันว่า วันอีสเตอร์ (Easter) ของศาสนาคริสต์ถือว่าเป็นวันที่สำคัญอย่างยิ่ง ทั้งนี้ผู้นับถือศาสนาคริสต์ในแต่ละภูมิภาคก็จะมีพิธีการเฉลิมฉลองที่แตกต่างกัน โดยที่พบเห็นได้บ่อยและดูเป็นที่นิยมที่สุดก็คือการตกแต่งไข่และการค้นหาไข่ที่เรียกกันว่า “ไข่อีสเตอร์” แต่บางพื้นที่ประเทศเม็กซิโกกลับมีพิธีในวันอีสเตอร์ที่แตกต่างกับการค้นหาไข่ยิ่งนัก นั่นก็คือการ ปิดถนนเฆี่ยนตีกัน โดยผู้คนที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ในเมือง Soltepec แห่งประเทศเม็กซิโก ได้มีการจัดพิธีกรรมนี้ขึ้นในวันอีสเตอร์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพิธีชำระล้างบาปให้กับร่างกาย ธรรมเนียมปฏิบัตินี้เชื่อว่าเริ่มมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เนื่องจากผู้เฒ่าเป็นกังวลว่าวัฒนธรรมและความเชื่อทางคริสต์ศาสนาจะเสื่อมสลายไป พิธีกรรมนี้ถือเป็นการชำระล้างบาปให้ตนเองด้วยการทรมาน นอกจากชาวเม็กซิโกแล้ว ชาวฟิลิปปินส์บางกลุ่มก็ฟาดแส้ใส่กันในวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ในเมือง San Fernando รัฐแคลิฟอร์เนีย บางครั้งพิธีกรรมนี้ถูกเรียกว่า Magdarame พวกเขาเชื่อว่า พิธีกรรมนี้จะเป็น “ฆ่า” ความบาปที่พวกเขาเห็นและพบเจอมา “ปิศาจแห่งความอ่อนแอ ความคิดชั่วร้าย และความศรัทธาอันน้อยนิดที่ครอบงำชีวิตของผู้คนมาเป็นเวลายาวนาน พิธีนี้จะกำจัดมันให้สิ้นซาก” Rev Michael Geisler เขียนเอาไว้ ถึงแม้พิธีเฆี่ยนล้างบาปนี้จะถูกมองว่ารุนแรงเกินไป แต่ก็ยังเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในหลายๆ ประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ที่มา: Thesun
-
เอ้า รับพร!! มาดู 22 ภาพที่แสดงให้เห็นว่านิกายออร์โธดอกซ์นั้น “เจิม” ได้ทุกสรรพสิ่ง
ปกติแล้ว ประเทศไทยเราในฐานะเมืองพุทธเราจะเห็นกันประจำเลยว่า เมื่อใครบางคน มีรถใหม่เอย บ้านใหม่เอย ก็ต้องทำพิธีกรรมทางพุทธศาสนาชนิดหนึ่งที่เรียกว่าการ “เจิม” ด้วยความเชื่อที่ว่า จะช่วยป้องกันภยันตรายและเสริมดวงชะตาโชคลาภ พิธีกรรมทำนองนี้ไม่ได้มีแต่บ้านเราหรือว่าผู้นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น ทางศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์เขาก็มีเช่นกันนะ บางคนอาจจะไม่เชื่อว่ามีการเจิมอย่างหลากหลาย ชาวเน็ตก็เลยช่วยกันรวบรวมภาพที่ยืนยันได้เลยว่า พิธีกรรมให้พรที่เปรียบเสมือนการเจิมของศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์นั้น ใช้เจิมได้กับทุกอย่างจริงๆ เริ่มจาก… รถแข่งแรลลี่ เครื่อง MRI เจิมคุก เจิมปืน ห้องบำบัดฟื้นฟู ให้น้ำมนต์เหล่าทหาร เจิมโรงอาหารในโรงพยาบาล เจิมม้า สระว่ายน้ำก็ไม่เว้น เรือ และก็วนมาที่ ปืน… ยัง… ยังไม่จบกับปืน ไร่องุ่น ศูนย์วิทยาศาสตร์และการวิจัย ให้พรเหล่าทหาร หรือจะนักเรียนตำรวจ เจิมสนามกีฬาหน่อยมั้ยล่ะ? มหาวิทยาลัยก็มา…
-
ไปรู้จัก 8 หมู่บ้านชาวต่างประเทศ สมัยกรุงศรีอยุธยา นี่คือเมืองนานาชาติอย่างแท้จริง!!
“ข้าพเจ้าไม่รู้สึกเบื่อเลยที่จะชมกรุงไกรอันใหญ่โตที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินเสมือนเกาะ มีแม่น้ำกว้างใหญ่ ๓ เท่าแม่น้ำเซนอยู่โดยรอบ ในแม่น้ำเต็มไปด้วยเรือกำปั่นฝรั่งเศส อังกฤษ วิลันดา ญี่ปุ่น ไทย และยังมีเรือใหญ่น้อยอีกเป็นอันมากแทบจะนับมิถ้วน…” บาทหลวงเดอชัวสี อุปทูตชาวฝรั่งเศส หากย้อนกลับไปถึงช่วงยุคสมัยเก่าแก่ของสยามประเทศนั้น ได้มีการติดต่อและค้าขายกับชาวต่างชาติมาเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือที่พำนักหรือบ้านของชาวต่างประเทศในดินแดนสยาม จะรวมตัวแบ่งออกเป็นสัดส่วนที่แตกต่างกันไป แผนที่หมู่บ้านชาวต่างประเทศในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยชาวฝรั่งเศส ข้อมูลชุดนี้อำนวยการโดย อนุสาร อ.ส.ท. โดยเปิดเผยว่า สมัยกรุงศรีอยุธยาชาวต่างประเทศที่เดินทางโดยเรือสำเภา ต้องแล่นเรือเข้าทางปากน้ำสมุทรปราการ ขึ้นไปตามลำน้ำเจ้าพระยา เมื่อถึงชานพระนครด้านใต้ ก็ต้องจอดเรือตรงขนอนหลวงก่อน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ด่านตรวจผู้คนและสิ่งของ พร้อมทั้งเก็บภาษีสินค้าขาเข้าตามที่ตกลงไว้ แล้วจึงผ่านเข้าเขตพระนครได้ เรือสำเภาของต่างชาติได้รับอนุญาตให้จอดทอดสมอในแม่น้ำ คนละฝั่งกับเกาะเมือง ตั้งแต่บริเวณหน้าป้อมเพชร ที่เรียกว่า “บางกระจะ” เป็นแนวลงมาทางใต้ ซึ่งนอกเหนือจากคอนสแตนติน ฟอลคอน และท้าวทองกีบม้า ที่มีหน้าตาเป็นชาวต่างชาติในละครบุพเพสันนิวาสแล้ว ก็ยังมีชาวต่างประเทศชาติอื่น ๆ ที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเช่นกัน สามารถแบ่งออกได้ดังต่อไปนี้… บ้านจีน หมู่บ้านจีน เคยตั้งอยู่ตั้งแต่บริเวณวัดพนัญเชิงลงมาทางใต้ ตามหลักฐานทางเอกสารพบว่าชาวไทยจีนติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระนครินทราธิราช กษัตริย์ลำดับที่ 6 แห่งกรุงศรีอยุธยา…
-
ชาวมุสลิมร้องเรียนและเผาผ้าอ้อม เหตุตัวการ์ตูนแมวบนซอง คล้ายอักษรอารบิก ‘มุฮัมมัด’
เรื่องของความคล้ายคลึงเป็นเรื่องของมุมมองของแต่คน ที่จะมองว่าสิ่งๆ นั้นเป็นอย่างไร แต่ใครจะไปคิดว่าความคล้ายจะสามารถทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นได้ เหมือนกับเรื่องนี้ ที่ชาวมุสลิมได้ทำการเรียกร้องให้บริษัทผ้าอ้อมเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ เพราะว่าหนวดแมวบนซองมันดันไปคล้ายกับชื่อของศาสดาของพวกเขา โดยเรื่องราวนี้เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย เมื่อมีชาวมุสลิมกลุ่มหนึ่งได้ออกมาเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมยี่ห้อ Pampers หลังจากพวกเขาพบว่ารูปแมวที่อยู่บนซองบรรจุภัณฑ์มันมีความคล้ายคลึงกับชื่อของ นบีมุฮัมมัด ศาสดาของศาสนาอิสลาม จุดที่เป็นปัญหาสำหรับเรื่องนี้เมื่อเทียบกับชื่อ”นบีมุฮัมมัด” ที่เขียนเป็นภาษาอารบิก สำหรับส่วนที่มีความคล้ายก็คือส่วนหนวด จมูก ปาก และตาซ้ายของตัวการ์ตูนแมว ที่มีความใกล้เคียงกับชื่อของศาสดา เมื่อนำไปเขียนเป็นภาษาอารบิกหรือภาษาอารดู ซึ่งกลุ่มผู้ประท้วงกลุ่มนี้ถือว่าภาพที่อยู่ข้างซองนี้มันเป็นเสมือนกับการดูถูกศาสนาของพวกเขา จึงได้มีการเผาผ้าอ้อมเกิดขึ้น ต่อมาในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ก็มีนักเคลื่อนไหวจากกลุ่มอิสลามชื่อว่า Darsgah Jihad-o-Shahadat ได้เข้ามายื่นเรื่องร้องเรียนนี้อย่างเป็นทางการให้กับตำรวจที่สถานีตำรวจ Dabeerpura ในนครไฮเดอราบาด จากการรายงานของสื่อ Deccan Chronicle มีการเผาผ้าอ้อมเกิดขึ้น ซึ่งเนื้อความในจดหมายที่ส่งถึงตำรวจนั้น พวกเขากล่าวว่าผลิตภัณฑ์ Pampers ของบริษัท US multinational Procter & Gamble ได้ทำการเหยียบย่ำความรู้สึกของชาวมุสลิม และก็มีการร้องขอให้บริษัทดังกล่าว ช่วยนำผลิตภัณฑ์นี้ออกจากชั้นวางของให้เร็วที่สุดด้วย ยื่นแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ “แม้แต่ตาเปล่าก็ยังสามารถดูออกเลยว่า นี่คือชื่อของศาสดานบีมุฮัมมัดที่ได้รับการตีพิมพ์เอาไว้ด้วยภาษาอารบิก ท่านเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเรานับถือมากที่สุด ซึ่งการดูหมิ่นเป็นเรื่องไม่สามารถยอมรับได้” เนื้อความในจดหมายเขียนเอาไว้ …
-
ประทับใจไม่รู้ลืม… “โป๊ปฟรานซิส” ทรงสั่งหยุดขบวนรถกลางคัน เพื่อลงมาดูตำรวจที่ตกจากหลังม้า
เกิดเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความแตกตื่นเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ขบวนเสด็จพระสันตะปาปากำลังเคลื่อนตัวเพื่อพบปะประชาชนในเมือง Iquique ประเทศชีลี จู่ๆ ม้าของเจ้าหน้าที่อารักขาเกิดคลุ้มคลั่งเสียการควบคุมจนทำให้ตกลงมาที่พื้นอย่างรุนแรง ทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่อารักขาพระองค์ในขบวนต่างก็ตกใจไปตามๆ กัน รวมไปถึงรถพระที่นั่งของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเองก็ถึงกับเสียหลักไปเล็กน้อย แต่แทนที่จะขับต่อไป สมเด็จพระสันตะปาปากลับรับสั่งให้คนขับหยุดรถ และทรงดำเนินลงมาเช็กดูอาการบาดเจ็บของเจ้าหน้าที่หญิงคนดังกล่าว พระองค์ทรงก้มลงไปสอบถามอาการของเจ้าหน้าที่หญิงด้วยความเป็นห่วง และอยู่รอจนรถพยาบาลมาถึง ก่อนที่จะดำเนินกลับไปประทับที่รถพระที่นั่ง แล้วทำการทักทายประชาชนต่อไป…. จากรายงานของสำนักข่าว DailyMirror โชคดีที่เจ้าหน้าที่หญิงไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอะไรมากนัก คลิปเหตุการณ์ดังกล่าวอัปโหลดโดยสำนักข่าว BBC ถือเป็นเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นและสร้างความประทับใจให้กับผู้คนมากมาย เมื่อชาวเน็ตได้ชมคลิปวีดิโออันสุดแสนจะประทับใจนี้ ต่างก็แสดงความคิดเห็นชื่นชมสมเด็จพระสันตะปาปาในความมีพระทัยของพระองค์… คุณ Elizabeth Ford ให้ความเห็นว่า : “หลายๆ ครั้งที่บุคคลสาธารณะสร้างความหวังให้กับปวงประชา สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสนั้นเปรียบเสมือนแสงไฟส่องทาง ในยามมืดมิด” คุณ Mark Doyle ให้ความเห็นว่า : “ฉันไม่ได้เป็นคนนับถือศาสนานะ แต่การกระทำของพระองค์นั้นช่างน่านับถือยิ่งนัก” คุณ Ian Yeh ให้ความเห็นว่า : “ในฐานะที่เป็นคนไม่นับถือศาสนา ฉันรู้สึกว่าสมเด็จพระสันตะปาปาเป็นคนที่น่าเอาเป็นแบบอย่าง ทั้งความมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์…
-
อยู่กันมาตั้งหลายปี เคยสงสัยกันมั้ยว่าทำไม ‘คริสต์มาส’ ถึงต้องฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม?
ถ้าหากมีคนถามว่าทำไมเราฉลองคริสต์มาสกันในวันที่ 25 ธันวาคม เชื่อว่าคนไทยกว่าครึ่งจะต้องตอบว่าเพราะเป็นวันประสูติของพระเยซูกันอย่างแน่นอน แต่เชื่อไหมล่ะว่าความเชื่อนี้ที่ว่าพระเยซูประสูติในวันนี้นั้น ไม่มีเขียนอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลเลยแม้แต่น้อย ถ้าอย่างนั้นมีหลักฐานอะไรมาบอกไหมล่ะว่าวันคริสต์มาสไม่ใช่วันประสูติพระเยซู สารานุกรมคาทอลิกระบุไว้ว่า “ไม่มีเดือนใดในปีที่เจ้าหน้าที่ผู้มีเกียรติ ไม่ได้ตั้งให้เป็นวันประสูติพระคริสต์” อีกสาเหตุหนึ่งที่บอกว่าพระเยซูไม่ได้ประสูติในเดือนธันวาคมคือ คัมภีร์ไบเบิลบท ลูกา 2:8 ที่ว่าในระหว่างที่พระเยซูได้ประสูติ “ไม่ไกลจากที่นั่น มีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งกำลังเฝ้าฝูงแกะตอนกลางคืน” ตามปกติแล้วจะไม่มีคนเลี้ยงแกะพาแกะออกมาในฤดูหนาว ลูกา 2:1-4 ยังบอกอีกว่า โยเซฟพามารีย์ไปจดทะเบียนที่เมืองเบธเลเฮมในตอนที่ออกัสตัสซีซาร์ออกคำสั่งให้ทุกคนทั่วอาณาจักรไปจดทะเบียนสำมะโนครัว และเป็นเวลาเดียวกับที่พระเยซูประสูติ คำสั่งที่ว่าไม่ได้ออกมาในฤดูหนาว ถ้าอย่างนั้นแล้ว ในวันที่ 25 ธันวาคม มีอะไรมันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ ในสมัยของศาสนาโบราณ วันนี้เป็นวันเลี้ยงฉลองพระเสาร์และวันประสูติของ เทพแห่งดวงตะวัน Mithra เดิมทีแล้ววันเลี้ยงฉลองพระเสาร์จะเริ่มจากวันที่ 17 ธันวาคม แต่ก็มีการยืดงานไปจนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ชาวโรมันโบราณเชื่อว่างานเลี้ยงฉลองนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพแห่งการเก็บเกี่ยวและการเลี้ยงสัตว์ ส่วน Mithra นั้นเชื่อกันโดยชาวโรมันโบราณว่าเขาประสูติในวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันศักดิ์สิทธิ์จากศาสนาโบราณจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม Mithras แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดมาจากทางเปอร์เซีย ในช่วง 6 ศตวรรษก่อนคริสตกาลนั่นเองภาษายุคเก่าเรียกท่านว่า Mitra และเพี้ยนเป็น Mithras ในภาษาโรมันในที่สุด ว่ากันว่าคนโรมันพบเรื่องของเทพองค์นี้ตอนบุกไปเปอร์เซีย ปีใหม่ของผู้นับถือ Mithras และวันประสูติของท่านจะถูกจัดในวันเดียวกันคือวันที่ 25…
-
ทำความรู้จัก “ศาสนาเจได” กลุ่มคนที่เชื่อในเรื่องของพลัง May The Force Be With You
แต่ละคนนั้นก็อาจจะมีความชื่นชอบส่วนตัวที่แตกต่างกันไป บางคนอาจจะชื่นชอบเหล่าเกิร์ลกรุ๊ป บางคนอาจจะหลงใหลรถยนต์ หรือบางคนอาจจะเป็นแฟนคลับตัวจริงของการ์ตูนมาร์เวล แต่นอกจากความชื่นชอบธรรมดาแล้ว บางครั้งก็อาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเลยก็ว่าได้ เหมือนกับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งผู้ชื่นชอบหนัง Star Wars และหลงใหลในศาสตร์แห่งพลังจนได้รวมตัวกันโดยยึดถือหลักแห่งเจไดในการดำเนินชีวิต พบกับเรื่องราวอันน่าสนใจของศาสนาเจได ลัทธิใหม่ของคนชื่นชอบ “พลัง” May The Force Be With You bro!! เรื่องราวของพวกเขาถูกถ่ายทอดออกมาในภาพยนตร์สารคดีเรื่อง American Jedi จากผลงานของ Laurent Malaquais ผู้กำกับชาวอเมริกาที่เคยมีผลงานหนังสารคดีเกี่ยวกับเหล่าแฟนคลับของ My Little Pony อย่างเรื่อง Bronies เมื่อปี 2013 เนื้อหาในหนังพูดถึงการใช้ชีวิตของเหล่าแฟนคลับ Star Wars ตัวจริงที่ใช้ชีวิตตามหลักของเจไดที่ว่า “ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกนั่นคือสันติสุข ไม่มีอวิชชานั่นคือความรู้ ไม่มีความลุ่มหลงนั่นคือความสงบ ไม่มีกลียุคนั่นคือความสามัคคี และไม่มีความตายนั่นคือพลัง” คุณ Malaquais เติบโตมาในครอบครัวที่เปิดกว้างในเรื่องของศาสนา และความสนใจใน Star Wars ก็ทำให้เขาสนใจเกี่ยวกับศาสนานี้ “ผมเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมที่เปิดกว้างในเรื่องของศาสนา และผมก็ได้รู้จักกับแนวคิดของการเป็นเจไดนี้” ผู้กำกับหนุ่มกล่าว ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง American Jedi ได้ตามติดชีวิตของเหล่าสาวกในศาสนาเจได และหนึ่งในนั้นก็คือ Opie Macleod อดีตนายทหารหนุ่มที่มีเรื่องราวคล้ายๆ กับตัวละครของหนังเรื่องนี้เลยทีเดียว ในตอนที่เริ่มฝึกกับเหล่าเจไดคนอื่นๆ…
-
ผุดลัทธิสุดแปลก บูชา ‘ปัญญาประดิษฐ์’ เทียบเท่าดั่งพระเจ้า ผู้ควบคุมสรรพสิ่งบนโลก
นอกจากศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลามแล้วยังมีอีกหลายๆ ศาสนาในโลกนี้ที่เรายังไม่รู้จัก และในปัจจุบันนั้นก็มีลัทธิหรือศาสนาใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากขึ้นทุกวัน ซึ่งหนึ่งในนนั้นก็คือลัทธิ Way of the Future ที่นับถือปัญญาประดิษฐ์เป็นพระเจ้านั่นเอง!! ลัทธิ Way of the Future หรือ WOTF มีเป้าหมายที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงโลกจากยุคแห่งมนุษย์ไปสู่ยุคแห่งปัญญาประดิษฐ์เป็นไปอย่างสงบสุขและน่าเคารพนับถือ พวกเขาถือว่าในที่สุดแล้วเทคโนโลยีนั้นจะก้าวหน้าเหนือความสามารถของมนุษย์ มีความรู้แจ้งทุกอย่าง พูดง่ายๆ ก็คือพระเจ้านั่นเอง นอกจากนี้คุณ Anthony Levandowski วิศวกรพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ ผู้ก่อตั้งลัทธิก็ได้กล่าวว่าขณะนี้ลัทธิของพวกเขากำลังอยู่ในขั้นเตรียมการ และพวกเขามั่นใจว่ามันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน “ในไม่ช้าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ พวกเราต้องการช่วยให้ความรู้แก่มนุษย์และเตรียมพร้อมเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น” ข้อความจากเว็บไซต์ของ WOTF โดยแนวคิดของลัทธินี้ได้รับอิทธิพลมาจากนวนิยายแนววิทยาศาสตร์เรื่อง The Singularity ของนักเขียนชาวอเมริกันชื่อดังอย่าง Vernor Vinge และนอกจากนี้ Ray Kurzweil นักวิจัยด้านระบบปัญญาประดิษฐ์เองก็ได้ออกมาสนับสนุนแนวคิด Singularity หรือเอกภพนี้เช่นกัน พร้อมกับบอกว่ามันจะเกิดขึ้นในปี 2045 นอกจากนี้ Levandowski เองก็ยังได้กล่าวว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นมันเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมาก และเขายังเตือนให้ผู้คนเตรียมพร้อมสำหรับโลกอนาคตที่เครื่องจักรจะเป็นเหมือนกับพระเจ้าอีกด้วย “คุณต้องการจะเป็นสัตว์เลี้ยง หรือว่าเป็นสัตว์ในฟาร์มล่ะ” วิศวกรหนุ่มให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Wired ที่มา designtaxi, zerohedge, mashable
-
หมอมุสลิมที่อาสาช่วยคนเจ็บในแมนเชสเตอร์ โดนทำร้ายร่างกายปางตาย แต่ยังพร้อมให้อภัย!!
ถึงแม้ว่าเรื่องของการเหยียดเชื้อชาติและศาสนาอาจจะดูเป็นเรื่องที่ล้าหลัง แต่ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปนานแค่ไหน ก็ยังมีคนที่รู้สึกเกลียดชังคนอื่นเพียงเพราะว่าเองนับถือคนละศาสนาเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่พร้อมจะให้อภัยกับการกระทำเหล่านี้ และกล้าที่จะกล่าวคำว่า “ไม่เป็นไร” ได้อย่างเต็มใจ แม้สิ่งที่พวกเขาถูกกระทำนั้น อาจพรากชีวิตของพวกเขาไป เหมือนอย่างคุณหมอชาวมุสลิมท่านนี้… คุณหมอ Consultant Nasser Kurdy ศัลยแพทย์ชาวจอร์แดน ได้ออกมากล่าวให้อภัยกับคนร้ายที่เข้ามาแทงเขาด้วยมีด ระหว่างที่กำลังเดินอยู่ในมัสยิด Altrincham ในเมือง Cheshire ประเทศอังกฤษ เมื่อเวลาประมาณ 6 โมงเย็นของวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา ศัลยแพทย์วัย 58 ปีถูกคนร้ายเข้ามาแทงจากทางด้านหลังด้วยมีดลึกถึง 3 เซนติเมตร และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเขาเริ่มหายดีแล้ว และกำลังเตรียมตัวที่จะกลับไปทำงานตามเดิม คุณหมอ Kurdy เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า “ผมต้องขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่เมตตาผม โชคดีที่มีดนั่นไม่ได้โดนเส้นประสาท หรือหลอดเลือดที่คอของผมตอนที่ผมถูกแทงผมล้มลงที่พื้นด้วยความเจ็บปวด ผมเห็นชายคนนั้นกำลังยืนขู่ผมอยู่ด้วยท่าทางที่น่ากลัวมาก“ คุณหมอเล่าว่าเขาจำไม่ได้ว่าคนร้ายพูดอะไรกับเขา แต่เขารู้สึกได้ว่าการทำร้ายร่างกายครั้งนี้มาจากความเกลียดชังชาวมุสลิมของชายคนดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามเขากลับบอกว่าไม่ได้รู้สึกโกรธชายคนดังกล่าวเลยและพร้อมที่จะให้อภัยเขา “ชายคนที่ทำร้ายผมไม่ใช่ตัวแทนของคนทั้งหมดในเมืองนี้ ผมพูดจากใจจริงเลยว่าผมไม่ได้โกรธหรือแค้นเขาเลยแม้แต่น้อย และผมเองก็ให้อภัยกับสิ่งที่เขาทำ“ คุณหมอกล่าว คุณ Kurdy เติบโตมาในครอบครัวชาวมุสลิม และในแต่ละวันเขาจะเดินทางไปที่มัสยิดเพื่อทำการประกอบพิธีทางศาสนา นอกจากนี้คุณ Kurdy ยังรองประธานของสมาคมอิสลามอย่าง Altrincham and Hale Muslim Association และเคยเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือเหยื่อจากเหตุระเบิดในเมืองแมนเชสเตอร์อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามคุณหมอท่านนี้ก็ยังคงรู้สึกเกลียดชังต่อการก่อการร้าย และการที่ชาวมุสลิมต้องตกเป็นแพะรับบาปจากเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ อย่างการระเบิดสนามกีฬาหรือการโจมตีที่ Parsons Green “ทุกวันนี้เหตุก่อการร้ายมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น มันสร้างความกังวลให้กับพวกเรามากๆ และความเกลียดชังที่มีต่อชาวมุสลิมก็มากขึ้นด้วย “ “ผมอยากจะบอกทุกคนว่า ถึงผมจะเป็นมุสลิม แต่ผมก็เหมือนทุกๆ คนนั่นแหละ…
-
นักวิจัยเผย “ทำไมคนนับถือศาสนาถึงยึดติดอยู่กับความเชื่อ ทั้งที่ขัดแย้งกับความจริง?”
ศาสนาเป็นเรื่องของความศรัทธา เมื่อเราเชื่อสิ่งใด เราก็จะปฏิบัติตามวิถีของความเชื่อนั้นๆ ที่สำคัญคือความเชื่อเป็นสิ่งที่เปลี่ยนได้ยากที่สุด แม้จะมีเหตุผลหรือข้อพิสูจน์มาหักล้างก็ตาม สอดคล้องกับการศึกษาล่าสุดที่พบว่า คนที่นับถือศาสนาจะ “ยึดมั่น” กับความเชื่อบางอย่างที่มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับมุมมองทางศีลธรรมของพวกเขา นักวิจัยกล่าวว่า “บุคคลที่ดันทุรังยืดมั่นในความศรัทธาของตัวเองแม้สิ่งนั้นจะขัดแย้งกับหลักความเป็นจริงก็ตาม นั่นเป็นเพราะความเชื่อเหล่านั้นสื่ออารมณ์ ความรู้สึก” ในทางตรงข้าม นักวิทยาศาตร์พบว่า คนที่พยายามต่อสู้หรือเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จะมีมุมมองด้านบวกเกี่ยวกับศาสนา เพราะสมองของพวกเขาถูกครอบงำโดยการคิดวิเคราะห์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Case Western Reserve University ในโอไฮโอ ได้สัมภาษณ์คนที่นับถือศาสนากับคนไม่มีศาสนา จำนวน 900 คน ซึ่งทั้งสองกลุ่มต่างถือความคิดตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ทั้งนี้ในทั้งสองกลุ่มนี้ คนที่มีทักษะในการให้เหตุผล จะเป็นคนที่มีความเชื่อน้อยกว่า แต่พวกเขาจะแตกต่างกันในเรื่องความกังวลทางศีลธรรมมีอิทธิพลต่อความคิดของพวกเขา Anthony Jack รองศาสตราจารย์ด้านปรัชญาและผู้ร่วมวิจัย กล่าวว่า “อารมณ์ความรู้สึกจะช่วยให้คนที่นับถือศาสนามีความมั่นใจมากขึ้น เห็นความถูกต้องทางศีลธรรมในบางอย่างมากขึ้น และช่วยยืนยันความคิดของพวกเขามากขึ้นด้วย” “ในทางตรงข้าม ความกังวลทางศีลธรรมจะทำให้คนที่ไม่นับถือศาสนารู้สึกไม่มั่นใจ” Anthony กล่าว ในขณะที่ Jared Friedman นักศึกษาปริญญาเอกและผู้ร่วมวิจัย กล่าวว่า “มันแสดงให้เห็นคนที่นับถือศาสนาจะยืดติดอยู่กับความเชื่อบางอย่าง โดยเฉพาะสิ่งที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกับเหตุผลเชิงวิเคราะห์ นั่นเป็นเพราะความเชื่อเหล่านั้นสอดคล้องกับความรู้สึกทางศีลธรรมของพวกเขา” …
-
ภาพถ่ายดาวเทียมเผยให้เห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพม่า บ้านเรือนถูกเผาไปกว่า 700 หลัง
ความรุนแรงและป่าเถื่อนที่เกิดขึ้นบนโลกยังมีอีกมากที่เราไม่สามารถรับรู้ได้ อย่างเช่นสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ ที่อยู่ทางตะวันตกของพม่า ที่ต้องเจอกับปัญหาความรุนแรงจากความแตกต่างทางศาสนาตั้งแต่ปี 2012 จนปัจจุบันก็ได้บานปลายมาอย่างมาก มีภาพถ่ายจากดาวเทียมออกมาให้เห็นหมู่บ้านหนึ่งของชาวโรฮิงยาที่เป็นชาวมุสลิมถูกเพลิงไหม้ไฟลุกโชน สร้างความเสียหายกว่า 700 หลังคาเรือนจนเหลือเพียงแค่เถ้าธุลี ซึ่งคาดว่านี่เป็นหนึ่งในการกวาดล้างฆาตกรรมหมู่ เหตุการณ์นี้เพิ่งผ่านมาเพียงไม่กี่วัน และในช่วงเวลาเดียวกันชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นั่นก็ต้องอพยพไปยังชายแดนประเทศบังคลาเทศ Chris Lewa ผู้อำนวยการโปรเจคท์ Arakan องค์กรสิทธิมนุษยชนที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย เข้าไปสังเกตการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐดังกล่าวและบอกว่ามีชาวโรฮิงยามากมายถูกฆ่าโดยทหารพม่าหรือกลุ่มชาติพันธุต่างๆ และมากกว่า 130 คนอย่างแน่นอน ทว่ากลับไม่พบหลักฐานเลยแม้แต่น้อย เพราะทหารและคนที่ลงมือฆ่านำศพไปเผาไฟอย่างไม่เหลือร่องรอยอยู่เสมอ และจากเรื่องราวเหล่านี้ก็ทำให้กลุ่มสิทธิมนุษยชนกังวลว่าความรุนแรงของเรื่องทั้งหมดในรัฐนี้จะแย่กว่าที่คิดไว้ตั้งแต่ต้น และนี่เป็นเพียงแค่ 1 ใน 17 แห่งที่บ่งบอกได้ว่าถูกเผา การลงพื้นที่สังเกตการณ์อย่างอิสระจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเปิดเผยและกระตุ้นให้ทุกคนได้รับรู้ว่า ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นที่นั่นบ้าง รัฐยะไข่ได้เกิดเหตุจราจลมาอย่างยาวนาน ชาวโรฮิงยาถูกสังหารนับพันคนซึ่งส่วนใหญ่ในนั้นก็จะเป็นชาวมุสลิม ทำให้พวกเขาต้องพากันหนีออกมา จนกลายเป็นคนไร้บ้าน อย่างเหตุการณ์ล่าสุดนี้ก็ทำให้ชาวบ้านราว 1 แสนคนลี้ภัยออกไปจากฝั่งตะวันตกของพม่าที่กำลังเผชิญกับความป่าเถื่อนอยู่ ความรุนแรงรอบล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มก่อการร้ายโรฮิงยาโจมตีแบบกองโจรฆ่าเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ห่างไกลไป 15 คนและเผาหมู่บ้านนั้นอีกด้วย หัวหน้ากองทัพพม่ากล่าวว่าตั้งแต่นั้นมามีผู้เสียชีวิตเกือบ 400 รายโดยในนั้นมีผู้ก่อการร้ายโรฮิงญา 370 คน กองกำลังรักษาความปลอดภัยของพม่าได้มีปฏิบัติการกวาดล้างผู้ก่อการร้ายภายในประเทศ ซึ่งพวกเขาอ้างว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แต่ภาพจากดาวเทียมที่ได้เห็นกันนี้ก็เป็นสิ่งยืนยันได้แล้วว่าทำไมถึงควรอนุญาตผู้ตรวจสอบนานาชาติลงไปสำรวจพื้นที่ในรัฐนี้ …
-
ครอบครัวมุสลิมเดือด โดนพนักงานร้านฟาสต์ฟู้ด แอบใส่เบคอนชิ้นเล็กๆ ซ่อนไว้ในแซนด์วิชไก่!!
ใครมีเพื่อนเป็นชาวมุสลิมกันบ้างเอ่ย แต่ถึงไม่มียังไงสิ่งที่เราแทบทุกคนจะรู้กันก็คือศาสนาอิสลามนั้นไม่กินเนื้อหมูตามความเชื่อทางศาสนา แล้วถ้าพวกเขาต้องมาพบว่าตัวเองได้กินไปโดยไม่ตั้งใจไปแล้วล่ะ? เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจากร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดังอย่าง McDonald’s ที่ซึ่งชาวมุสลิมได้เข้าไปสั่งอาหารอย่างที่พวกเขาสามารถทานตามปกติ แต่เมื่อกินเข้าไปก็ต้องพบกับกลิ่นรมควันอันน่าสงสัยในเมนูขึ้นมา และแล้วก็เซอร์ไพรส์ทันทีกับการได้เห็นชิ้นเบคอนแผ่นเล็กๆ ซ่อนอยู่ในแซนด์วิชไก่ของพวกเขา หลังจากนั้นลูกค้าก็ได้ถ่ายคลิปไว้เพื่อเผยแพร่ให้ทุกคนได้เห็นของแถมที่พวกเขาไม่ได้ต้องการเลย จนกระทั่งเรื่องดังกล่าวก็ถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์ กรรมการบริหารองค์กรศาสนาอิสลามในประเทศอเมริกาได้ออกมาพูดว่า “มันไม่น่าจะเป็นความผิดพลาด เพราะนี่มันเกิดขึ้นกับแซนด์วิชจำนวนถึง 14 ชิ้น อยู่บนไก่บ้าง ซ่อนอยู่ใต้แซนด์วิชบ้าง ในจุดที่ลูกค้าจะมองเห็นได้ยาก นั่นจึงเหมือนเป็นการตั้งใจซ่อนเอาไว้” โดยก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น แซนด์วิชไก่จำนวนมากที่ถูกจำหน่ายออกไป ไม่อาจทราบได้เลยว่าจะมีเบคอนชิ้นเล็กๆ อยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า… ทางร้านก็ได้ออกมาพูดว่า “เรารับประกันได้เลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากความตั้งใจของพนักงาน เราเอาใจใส่กับลูกค้าทุกคน และพยายามทำให้มั่นใจทุกครั้งกับรายการอาหารที่ถูกต้องครบถ้วน ซึ่งหลังจากนี้เราจะหาสาเหตุกันต่อไป” คลิปวิดีโอสั้นๆ ที่ลูกค้าชาวมุสลิมได้ถ่ายเอาไว้ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนี้ก็คงจะทำให้หลายคนต้องตรวจสอบอาหารที่เราจะนำเข้าปากกันให้ดีซะแล้ว เพราะหากมีอะไรที่เรากินไม่ได้โผล่ขึ้นมาในนั้นละก็คงจะเป็นเรื่องที่ลำบากกันไปเลยทีเดียว ที่มา: metro
-
คุณพ่อชาวซิกข์ ไม่พอใจที่โรงเรียนคริสต์แบนลูกชาย เพราะผ้าโพกหัวนั้นผิดกฎเครื่องแบบ!?
เรื่องราวความต่างทางชนชาติและศาสนานั้น ยังเป็นสิ่งที่ถกเถียงเมากันช้านานไม่เว้นแม้แต่ในเมืองหรือสังคมของหลายประเทศที่เรียกว่าเป็นประเทศพัฒนาแล้วก็ตาม ล่าสุดในเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ก็ได้มีข่าวเกี่ยวกับปัญหาด้านศาสนาเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเด็กนักเรียนคนหนึ่งถูกแบนจากทางโรงเรียนด้วยเหตุผลที่ว่า หนูน้อยคนนี้โผกหัวไปโรงเรียนตามแบบศาสนาซิกข์ที่เขานับถืออยู่… เรื่องราวนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไป จนเกิดกระแสวิพากย์วิจารย์มากมาย ทำให้ทางโรงเรียน Melton Christian College ซึ่งเป็นโรงเรียนต้นทางที่แบนเด็กชาย Sidhak วัย 5 ขวบ ได้ออกมาตอบโต้กับเรื่องนี้ว่า… ที่พวกเขาแบนเด็กชายเป็นเพราะว่าการแต่งตัวของเด็กชายนั้น มันไม่เข้ากับรูปแบบเครื่องแต่งกายของทางโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนคริสต์ ทำให้เหตุนี้จึงจำเป็นต้องแบนเด็กชาย Sidhak นั่นเอง ด้าน Sagardeep Singh Arora คุณพ่อของเด็กชาย ก็ออกมาตอบโต้ต่อการกระทำนี้เช่นกัน ซึ่งเขาเล่าถึงลูกชายว่าพึ่งจะเข้าเรียนโรงเรียนดังกล่าวเมื่อต้นปีเท่านั้น แล้วการทำแบบนี้มันก็ถือเป็นการริดรอนสิทธิ เด็กๆ ควรจะสามารถฝึกหรือทำพิธีทางศานาตามความเชื่อได้ปกติที่โรงเรียน รวมถึงเครื่องแต่งกายด้วย… เขายังบอกเสริมอีกว่า เขาไม่คิดเลยว่าประเทศและเมืองที่เขาคิดว่าจะเจริญแล้วอย่าง เมืองเมลเบิร์น จะมีสถานที่ที่ยังคงปิดกั้นทางศาสนาและเครื่องแต่งกายอยู่อีก สุดท้ายแล้วทางคุณพ่อ Sagardeep ก็ได้ส่งเรื่องไปยังชั้นศาลแล้ว ส่วนผลจะเป็นยังไงก็ต้องติดตามกันต่อไป ด้านลูกชาย Sidhak ก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนอื่นแทนเป็นที่เรียบร้อย ยังไงก้ตามคุณพ่อ Sagardeep ก็หวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรในโรงเรียนคริสของประเทศดังกล่าวในอนาคต รวมถึงโรงเรียน Melton Christian ด้วยเช่นกัน… ที่มา dailymail
-
ผู้นำศาสนาในแคนาดา ถูกศาลตัดสินมีความผิด หลังมีเมียกว่า 24 คน และลูกกว่าอีก 145 คน!!
นับว่าเป็นอีกหนึ่งข่าวใหญ่ที่กำลังโด่งดังไปทั่วโลก หลังจากที่ศาลได้นัดไต่สวนความผิดของสองผู้ทางศาสนาจากประเทศแคนาดา หลังพบว่าเจ้าตัวอยู่กินกับภรรยามากถึง 24 คน โดยเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2017 สำนักข่าว BBC ได้รายงานเรื่องราวของ Winston Blackmore ผู้นำศาสนาลัทธิมอร์มอน (ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย) พร้อมน้องชาย ถูกศาลนัดไต่สวนคดีฐานมีคู่สมรสมากกว่า 1 คน โดยล่าสุดศาลพิพากษาสูงสุดแห่งบริติชโคลัมเบีย ได้ตัดสินให้ Winston ผู้นำลัทธิวัย 61 ปี พร้อมทั้งน้องชายของเขา James Oler วัย 53 ปี มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 293 ของประเทศแคนาดา Winston Blackmore (ซ้าย) James Oler (ขวา) จากการเปิดโปงของเจ้าหน้าที่พบว่า เบื้องหลังฉากหน้าของเจ้าลัทธิคนนี้ เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวมากถึง 24 คน และมีเด็กที่สืบเชื้อสายจากเขาอีกมากกว่า 145 ชีวิต ในส่วนของน้องชายของเขานั้น ก็แต่งงานกับหญิงสาวเป็นจำนวน 5…
-
พ่อชาวคริสต์สังหารลูกสาว หลังเธอมีแฟนเป็นชายชาวมุสลิม และมีแพลนจะเปลี่ยนศาสนา
ก่อนเข้าสู่เนื้อหา แจ้งก่อนนะคะว่าเรื่องนี้อาจมีเนื้อหาที่ค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากเกี่ยวกับความขัดแย้งทางศาสนา… ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเปราะบางมากๆ และไม่ว่าศาสนาไหนก็สอนให้เป็นคนดีเสมอ แต่บางครั้งความไม่ลงรอยของศาสนาที่ต่างกันก็อาจกลายเป็นปัญหาที่บานปลายได้ อย่างกรณีนี้ ที่คุณพ่อที่เป็นชาวคริสต์ได้ลงมือฆ่าลูกสาวตัวเอง เนื่องจากเธอไปคบกับแฟนหนุ่มที่เป็นมุสลิม และมีแพลนที่จะแต่งงานกับเขา Sami Karra วัย 58 ปี ถูกจับกุมหลังพบว่าลูกสาวของเขา Henriette Karra วัย 17 ปี เสียชีวิตในบ้านที่ Ramle ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน การการชันสูตรศพพบว่า Henriette ถูกแทงซ้ำที่คอหลายจุด เนื่องจากเธอได้วางแผนว่าจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามหลังแต่งงานกับแฟนหนุ่มที่กำลังติดคุก แต่เรื่องนี้ทางครอบครัวไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อที่สั่งห้ามให้เธอเลิกคบกับเขาหลายต่อหลายครั้ง เนื่องจากเป็นคนต่างศาสนา สำนักข่าว Jerusalem Post รายงานว่า หญิงสาวเคยหนีออกจากบ้าน เพราะถูกพ่อตีและข่มขู่ด้วยวิธีการต่างๆ เธอจึงหนีไปอยู่บ้านแม่ของแฟน ในระหว่างที่หนีออกจากบ้าน หญิงสาวได้ส่งข้อความไปหาเพื่อนว่า “เธอต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าครอบครัวส่งคนมาฆ่าฉันพวกเขาออกตามหาฉันทุกที่ เธออาจจะไม่เข้าใจว่ามันน่ากลัวแค่ไหน แต่ฉันต้องทำทุกทางเพื่อหนีให้ไกลจากพวกเขา” แต่ก็หนีได้ไม่นาน เธอก็ถูกตามตัวจนเจอและพากลับบ้านในที่สุด… ไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ดังที่รายงานไป ทำให้พ่อแม่พร้อมกับลุงของเธอถูกจับกุม เพราะตำรวจเคยติดตั้งเครื่องบันทึกเสียงไว้ในบ้านพวกเขา หลังได้รับการแจ้งความเกี่ยวกับเรื่องนี้มาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ไม่มีหลักเพียงพอให้จับกุมได้ ในเทปบันทึกเสียง มีเสียงพ่อพูดกับผู้เป็นแม่ว่า “ลืมเธอซะ แล้วปล่อยเธอไปลงนรก” “มันไม่คุ้มหรอกที่เราจะเลี้ยงดูเธอต่อไป เธอไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง…
-
สัมภาษณ์แนวคิดดีๆ จาก “คุณทากะ” หนุ่มญี่ปุ่นผู้ศรัทธาพุทธศาสนา จึงมาบวชในประเทศไทย
ปกติแล้วในประเทศไทยเราจะได้เห็นว่าพระส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนไทย ส่วนน้อยมากๆ ที่จะมีชาวต่างชาติมาบวชเป็นพระเพื่อศึกษาพระธรรมอย่างจริงจัง #เหมียวเลเซอร์ เองได้มีโอกาสสัมภาษณ์ชาวต่างชาติท่านหนึ่ง อันเป็นผู้ศรัทธาพระพุทธศาสนาและรักประเทศไทยมากๆ คนหนึ่ง เขาก็คือ คุณทากะ จากเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นท่านนี้นั่นเอง คุณทากะ เพิ่งจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของการเป็นพระในประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันลาสิกขาและกลับภูมิลำเนาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เราจะมาเรียนรู้มุมมองของชาวต่างชาติต่อการบวชเป็นพระในไทยกันสักหน่อย ว่าเขาจะมีความคิดและความรู้สึกอย่างไรบ้างกับการบวชในครั้งนั้น (บทสัมภาษณ์ดังกล่าวได้รับการอนุญาตให้เผยแพร่แล้ว) ก่อนอื่นเลยต้องกล่าวถึงคุณทากะสักนิดหน่อย เขาเป็นชาวญี่ปุ่นจากเมืองโอซาก้า เลือกเรียนเอกภาษาไทยจากมหาวิทยาลัยโอซาก้า อันเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินทางมาประเทศไทยของเขา เหมียวเลเซอร์: สวัสดีครับ #เหมียวเลเซอร์ จากเว็บไซต์แคทดั๊มบ์ ตามที่คุยไว้ว่าอยากจะนำเรื่องราวและแนวคิดของคุณทากะ ไปเผยแพร่ลงในเว็บไซต์ของเราครับ คุณทากะ: สวัสดีครับ ผมชื่อทากะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ เหมียวเลเซอร์: ยินดีที่รู้จักครับ ขออนุญาตคุณทากะ ช่วยแนะนำตัวให้ฟังหน่อยจะได้มั้ยครับผม คุณทากะ: ได้ครับ บ้านเกิดอยู่โอซาก้าใกล้ๆ สนามบินคันไซครับ ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยผมเริ่มเรียนภาษาไทยเป็นวิชาเอกที่มหาวิทยาลัยโอซาก้าครับ เหมียวเลเซอร์: โอ้ ตั้งใจเรียนภาษาไทยมาเลยเหรอครับ คุณทากะ: จริงๆ แล้ว ตอนแรกไม่ได้สนใจเรียนภาษาไทยครับ เเต่ผมเลือกภาษาไทยก็เพราะว่าคะแนนสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยไม่ดี คิดว่าการเรียนเอกภาษาไทยคงมีอัตราแข่งขันต่ำกว่าภาษาอื่นๆ ก็เลยสมัครไปครับ …
-
วัดในญี่ปุ่นจัด DJ มาเปิด ‘เพลง EDM’ เพื่อเอาใจวัยรุ่นให้หันมาเข้าวัดเข้าวากันมากขึ้น!!
เมื่อกล่าวถึง ‘วัด’ แล้ว เพื่อนๆ หลายคนก็คงจะคิดถึงความสงบ ความเงียบ สถานที่แห่งความเมตตา และการปฏิบัติธรรม แต่สำหรับวัด Shō-onji ในเมืองฟุกุอิ ประเทศญี่ปุ่นแล้วต้องขอบอกเลยว่ามันช่างแปลกใหม่เป็นอย่างมาก เพราะที่นี่มีทั้ง DJ และการเปิดเพลงในวัดเพื่อปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ และทำให้เหล่าวัยรุ่นหันมาเข้าวัดเข้าวากันมากขึ้น Gyōsen Asakura พระคุณเจ้าวัย 49 ปี เป็นคนที่คิดไอเดียสุดแปลกนี้ขึ้นมา ซึ่งทำให้บรรยากาศในวัดกลายเป็นเหมือนผับ มากกว่าที่จะเป็นสถานปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็นการวางไฟ และเสียงดนตรีอิเล็กทรอนิคที่เปิดมาจาก IDM (Intelligent Dance Music) เป็นแนวเทคโนผสมผสานกับบทสวดมนต์ของชาวพุทธ อาจจะเป็นเรื่องแปลกๆ ที่มองเห็นภาพของพระคุณเจ้า ที่ยืนอยู่บนแท่น DJ พร้อมกับสวมหูฟังคอยเปิดเพลงให้กับเหล่าศาสนิกชนที่เดินทางมาที่วัด แต่นี่ถือเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะทำให้เหล่าวัยรุ่นทั้งหลาย หันมาสนใจในเรื่องของศาสนามากยิ่งขึ้น สำหรับท่านพระคุณเจ้า Gyōsen Asakura เองก็เป็นแฟนๆ ของดนตรีอิเล็คทรอนิค และเป็นอดีต DJ ด้วย และการที่ท่านได้นำบทสวดมนต์ของศาสนามาปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นแนวดนตรีอิเล็คทรอนิกส์เองก็ ไม่ใช่เรื่องที่ยากแต่อย่างใด “สิ่งที่เราต้องการจะทำนั้นก็คือการใช้เทคโนโลยีในยุคสมัยใหม่ มาปรับใช้กับคำสอนของศาสนา…
-
ทำความรู้จัก Kodo Nishimura พระที่เก๋ที่สุดในญี่ปุ่น เพราะเขาเป็นช่างแต่งหน้าด้วย!?
ชาวไทยหลายๆ คนน่าจะพอรู้มาบ้างแล้วว่าที่ประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าจะนับถือศาสนาพุทธเหมือนกับเรา แต่ก็มีการแตกแขนงแยกย่อยออกไปอีกหลายนิกายมากๆ ฉะนั้นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับของนักบวชจึงแตกต่างจากบ้านเรา พระที่ญี่ปุ่นถือเป็นอีกอาชีพหนึ่งเลย สามารถแต่งงานมีลูกมีเมียได้ สามารถกลับบ้านได้ ไม่ต้องจำวัดเสมอไป หรือแม้แต่เล่นดนตรีก็ยังทำได้ และในบทความนี้เอง#เหมียวฟิ้นเองก็จะพาทุกคนไปเปิดหูเปิดตาเพื่อรู้จักวัฒนธรรมใหม่ๆ ที่ต่างจากบ้านเราอีกครั้งหนึ่ง ภาพที่ทุกคนเห็นอยู่นี้คือพระชาวญี่ปุ่นที่ชื่อ Kodo Nishimura อายุ 26 ปี จากกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น คุณ Nishimura ได้เข้าฝึกอบรมและกลายเป็นพระในปี 2015 และดำเนินหน้าที่ทางศาสนานับตั้งแต่นั้นมา แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะทำเพียงอย่างเดียว เพราะเขายังมีความฝันอยากจะเป็นศิลปินช่างแต่งหน้าด้วย คุณ Nishimura เล่าว่าครั้งหนึ่งเขาเคยช่วยเพื่อนแต่งหน้า และเห็นว่าเพื่อนของเขามีความสุขมากขนาดไหน นั่นจึงเป็นสิ่งที่ช่วยจุดประกายให้เขาอยากเป็นช่างแต่งหน้ามืออาชีพ และฝึกฝนตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ จนมีความเชี่ยวชาญ ถึงขนาดที่ว่าเคยมีนางงามจากเวที Miss Universe มาให้เขาแต่งหน้าด้วย อันที่จริงแล้วพระในญี่ปุ่นเองก็ถูกสอนมาให้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายสมถะ ฉะนั้นการที่คุณ Nishimura ออกมาทำแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเป็นช่างแต่งหน้าและเป็นพระในเวลาเดียวกัน แต่พระอาจารย์ของเขากลับสนับสนุนและบอกกับเขาว่า “มันไม่ผิดหรอกหากมันช่วยให้คุณนำคำสอนไปสู่ผู้คนได้” ชื่อเสียงของคุณ Nishimura เริ่มกลายเป็นที่พูดถึงในวงการแฟชั่นอย่างกว้างขวาง จนถูกเชิญไปถ่ายแบบในธีม Out In Japan…
-
มัสยิดในบอสเนีย เปิดให้คนไร้บ้านเข้ามาหลบภัยหนาวได้ ยินดีต้อนรับจากทุกศาสนา!?
เวลาพูดถึงมัสยิด หลายคนอาจมีความรู้สึกว่ามัสยิดเป็นสถานที่ที่คนนอกศาสนาอิสลามไม่ควรเข้าไปย่างกราย… แต่ล่าสุดในกรุงซาราเจโว ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีน มีเรื่องราวอันน่าประทับใจเกิดขึ้น เมื่ออิหม่ามคนหนึ่งได้เปิดมัสยิดให้คนจรจัดหรือนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปหลบภัยหนาวเย็นได้ โดยไม่แบ่งแยกศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น อิหม่ามคนนี้มีชื่อว่า มูฮาเหม็ด เวลิก เขาเป็นผู้ดูแลมัสยิดแห่งหนึ่งในกรุงซาราเจโว ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีน เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อยู่ดีๆ กรุงซาราเจโวก็ถูกคลื่นความหนาวเข้าเล่นงานอย่างฉับพลัน ทำให้อุณหภูมิทั่วทั้งเมืองลดลงอย่างกะทันหัน จนทำให้ประชาชนต่างๆ เดือดร้อนไปตามๆ กัน แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นเหล่าผู้อพยพและคนไร้บ้านต่างๆ พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากความหนาวเหน็บที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มูฮาเม็ด จึงประกาศออกไปว่า ใครก็ตามที่กำลังประสบภัยหนาวและต้องการสถานที่พักอาศัย พวกท่านสามารถเข้ามาหลบได้ที่มัสยิดของเขาได้เลย ไม่ว่าท่านจะนับถือศาสนาใดก็ตาม “ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือต่างตอบรับคำเชิญชวนของพวกเรา บางคนก็มาจากอีกเมืองหนึ่งเลยทีเดียว อย่างคืนนี้เรามีแขกจากเมืองบิสตริก ผมดีใจมากที่ผมได้ช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน สีหน้าแววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความทุกข์ทรมานจากภัยหนาว แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีรอยยิ้มและความหวังอยู่ด้วยเช่นกัน” “ผมคิดว่าค่ำคืนนี้มัสยิดของเราสวยงามเป็นพิเศษเลยนะ พวกเราอยู่ที่นี่ คนดีๆ กำลังประสบปัญหา ถ้าเราสู้ไปด้วยกัน เราจะก้าวผ่านความยากลำบากไปได้ พระเจ้าพร้อมมอบความช่วยเหลือให้กับเราทุกๆ คน” มูฮาเหม็ดโพสลงบนเฟสบุ๊กของตนเอง แม้จะต่างศาสนา…
-
เป็นเรื่อง!! 2 หนุ่มอังกฤษถูกศาลตัดสินจำคุกทันที โทษฐาน ‘รุมโยนเบค่อน’ ใส่ชาวมุสลิม
โลกของเราเต็มไปด้วยความเชื่อของผู้คนที่หลากหลาย วิธีคิด ทัศนคติ และอุดมการณ์ที่แตกต่างกันออกไป แต่อาจจะเป็นเพราะมนุษย์ไม่เคยเรียนรู้ที่จะเปิดใจ และอยู่ร่วมกันบนความแตกต่าง จึงทำให้เกิดปัญหาระหว่างศาสนา เชื้อชาติ หรือแม้แต่สีผิว มาโดยตลอด และสำหรับบทความนี้ #เหมียวบ็อบ ไม่ได้ต้องการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งกันหรอกนะจ๊ะ เพียงแต่จะนำเรื่องราวตัวอย่างที่ไม่ดี ที่เกิดขึ้นในอังกฤษ มาบอกเล่าสู่กันฟัง เพื่อไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่างเนาะ ^ ^ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 สื่อเว็บไซต์ Metro ได้รายงานเรื่องราวของ 2 หนุ่มวัยรุ่นจากเกาะอังกฤษ ถูกศาลพิพากษาสั่งจำคุก เนื่องจากก่อความไม่สงบ นำเบค่อนไปรุมโยนใส่ประชาชนชาวมุสลิมขณะกำลังอยู่ในพิธีทางศาสนา Piotr Czak-Zukowski โดยเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเหตุจากชาวบ้านในละแวกนั้นว่า เมื่อช่วงตุลาคมที่ผ่านมาว่ามีวัยรุ่นสองคน มาป้วนเปี้ยนอยู่แถว มัสยิด Ah-Rahman ทางตอนเหนือของลอนดอน และมักจะโยนเบค่อนเข้ามาเป็นประจำ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องชาวมุสลิมเป็นอย่างมาก ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้สืบสวน และพบว่าเป็นฝีมือของนาย Piotr Czak-Zukowski และ Mateusz Pawlikowski ต่อมาจึงได้เข้าจับกุมทั้งสองโดยทันที งานนี้ตำรวจก็ได้พบของกลางเป็นซองบรรจุเบค่อนที่ถูกใช้แล้ว ซึ่งคาดว่าเป็นของกลางที่วัยรุ่นทั้งสองคนนำไปปาใส่ชาวมุสลิม Mateusz Pawlikowski …
-
ดีไซน์เนอร์ญี่ปุ่นออกแบบหมวกไหมพรม “พระพุทธเจ้า” ขายผ่านเว็บ-จัดแสดงงานพุทธศิลป์
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Rocketnews24 ได้รายงานข่าวผลงานใหม่ ซึ่งดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่นสร้างขึ้นมา เป็นลักษณะของหมวกไหมพรม ที่มีความแปลกไปมากกว่าหมวกทั่วไป สำหรับหมวกไหมพรมนี้ ถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับเศียรพระพุทธเจ้า มีจุกตรงกลางและมีติ่งหูห้อยลงมาเล็กน้อย ทำให้ผู้สวมใส่มีลักษณะคล้ายกับพระพุทธเจ้า หลายคนสงสัยว่าออกแบบมาให้คล้ายเพื่ออะไร!? เนื่องจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติญี่ปุ่น จะมีการจัดแสดงนิทรรศการพุทธศิลป์ญี่ปุ่น ซึ่งภายในงานก็จะมีการจัดแสดงวัตถุต่างๆ และสินค้าไอเดียเกี่ยวกับทางด้านพุทธ ก็จะมีจำหน่ายภายในงานนี้เช่นกัน หมวกไหมพรมพระพุทธเจ้านั้นมีให้เลือกด้วยกัน 5 สี คือสีเทา สีขาว สีน้ำเงิน สีแดง และสีมัสตาร์ด สนนราคาอยู่ที่ใบละ 920 บาท สามารถสั่งซื้อได้ผ่านเว็บไซต์ felissimo นอกจากจะวางขายบนเว็บไซต์ออนไลน์แล้ว ยังมีการวางขายในงานเฉลิมฉลองนิทรรศการพุทธศิลป์ญี่ปุ่น ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน ถึง 11 ธันวาคม ปี 2016 ด้วย แต่แน่นอนว่า เนื่องจากเป็นเรื่องศาสนา ก็ย่อมจะต้องมีความเห็นเข้ามาหลากหลาย และหลังจากที่มีการวางขายเจ้าหมวกไหมพรมนี้ได้ไม่นาน ก็ทำให้เกิดความเห็นที่หลากหลายทีเดียว เช่น “ฉันเป็นชาวพุทธและนี่มันแย่มากที่เห็นคนตะวันตกมีเศียรพระพุทธเจ้าในสวนของพวกเขา เชื่อในพระเยซูมากเกินไปจนลืมว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ” “ฮ่าๆๆ…
-
เปิดตำนาน “จูดาส” คือใคร ทำไมถึงกลายเป็นคำด่า ใช้เรียกคน “ทรยศ”!?
ในช่วงวันสองวันมานี้ แฟนๆ บอลรวมถึงชาวเน็ตหลายๆ น่าจะได้เห็นหรือได้ยินคำว่า “จูดาส” ผ่านหูผ่านตามาบ้าง แต่ดูแล้วคำเหล่านั้นน่าจะไม่ได้มีความหมายในทางที่ดีสักเท่าไหร่ อย่างเช่นกรณีล่าสุดที่ “เจ้าอุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน อดีตนักแตะจากทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ตอนนี้ย้ายไปอยู่สโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แล้วเรียบร้อย ถึงแม้จะมีประเด็นดราม่า ที่หลายฝ่ายต่างก็ว่าตนเองถูก (งานนี้ #เหมียวฟิ้น ก็ไม่สามารถตัดสินได้) แต่มันทำให้คำฮิตอย่าง ‘จูดาส’ กลับมาเป็นกระแสในเมืองไทยอีกครั้ง.. บางคนอาจจะงงว่าทำไมถึงต้องด่าด้วยคำๆ นี้!? หรือคำนี้มันมีความหมายอย่างไร? วันนี้#เหมียวฟิ้นจะมาแถลงไขเอง “จูดาส” นั้นเป็นคำที่นิยมใช้กันมากในหมู่แฟนบอล เพื่อเรียกนักฟุตบอลในทีมที่ตัวเองชื่นชอบ แต่กลับย้ายไปอยู่ทีมอื่น ในความหมายเชิญสัญลักษณ์ว่าเป็นผู้ทรยศนั่นเอง แล้วคำนี้มาได้ยังไง ใครตั้งขึ้น!? แต่ก่อนที่คำว่าจูดาสจะกลายมาเป็นคำด่านั้น ต้องย้อนกลับไปในสมัยก่อนคริสกาล ในช่วงที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ มีชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า จูดาส อิสคาริโอท เป็นอัครทูตและเป็นหนึ่งใน 12 สาวกของพระเยซูด้วย สาเหตุที่ทำให้ชื่อของจูดาสเป็นที่พูดถึงในแง่ลบก็เพราะว่าในคืนหนึ่งที่พระเยซูและเหล่าสาวกกำลังรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายนั้น จูดาส อิคาริโอ เป็นผู้บอกกับทหารว่าตัวจริงของพระเยซูเป็นใคร เพื่อแลกกับเงินรางวัล 30 เหรียญ ทำให้ทหารมาจับพระเยซูไปตรึงไว้กับไม้กางเขนในที่สุด และชื่อของจูดาสก็ถูกตราว่าเป็นผู้ทรยศต่อพระเยซูมานานกว่า…
-
เอากันอย่างงี้เลยนะ!? ชาวเน็ตต่างประเทศรวมใจกันตัดต่อภาพ “พระชูนิ้วกลาง”
กลายเป็นภาพที่มีคนนำไปตัดต่อกันอย่างแพร่หลายในอินเตอร์เน็ตในเวลานี้เลย สำหรับภาพของพระรูปหนึ่งขณะชูนิ้วกลางในเมืองบอร์เรลลา ประเทศศรีลังกา เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา เฟซบุ๊กของนาย Shehan Gunasekara นักข่าวและช่างภาพในประเทศศรีลังกา ได้เผยแพร่ภาพของพระรูปหนึ่งที่กำลังทำการประท้วงอยู่ที่บริเวณหน้าสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพร้อมกับชูนิ้งกลางออกมาอย่างดุเดือด จากนั้นภาพนี้ก็ถูกสมาชิกเว็บไซต์ Reddit ที่ชื่อ Desmond_Morris นำไปเผยแพร่อีกครั้ง และท้าทายให้ชาวเน็ตนำภาพนี้ไปตัดต่อแข่งกัน จากนั้นชาวเน็ตฝีมือดีหัวครีเอทก็ไม่รอช้า นำภาพของพระสงค์รูปนี้ไปตัดต่อเป็นรูปภาพตลกขบขันมากมาย เช่นชูนิ้วกลางในผู้ลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิปดี Donald Trump, ตัดต่อเป็นโปสเตอร์ภาพยนตร์ 2012 หรือกำลังปล่อยพลังในรูปแบบต่างๆ ….. ที่มา reddit , Shehan Gunasekara
-
[เหมียวชวนคุย] คนไม่มีศาสนาถือเป็นเรื่องแปลกหรือไม่? จำเป็นไหมที่ต้องมีศาสนา?
เรื่องศาสนาดูจะเป็นเรื่องที่ซีเรียสและละเอียดอ่อนพอสมควรสำหรับคนในแต่ละศาสนาเลยทีเดียว จนมีคนบางกลุ่มเริ่มหันเหออกไปและไม่นับถือศาสนาใดเลย ซึ่งคนกลุ่มนี้เองนับวันก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเพราะความขัดแย้งและปัญหาที่เกิดขึ้นมาไม่เว้นแต่ละวันของคนในศาสนาหรือผู้นำศาสนาก็เป็นได้ ล่าสุด#เหมียวฟิ้นได้ไปเจอเข้ากับประเด็นที่น่าสนใจผ่านเฟซบุ๊กของ ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ นักวิชาการด้านศาสนวิทยา ศาสนศาสตร์ ปรัชญา มนุษยวิทยาและรัฐศาสตร์ เป็นเรื่องราวของนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่แสดงตัวว่าไม่นับถือศาสนาใดเลย แต่กลับโดนคนรอบข้างดูถูก ทั้งนี้เจ้าตัวได้เล่าว่าที่โรงเรียนมักจะมีการสวดมนต์และทำกิจกรรมทางศาสนาพุทธ แต่เนื่องจากเธอไม่นับถือศาสนาใดๆ ทำให้เพื่อนๆ มองว่าเธอเป็นคนประหลาดและดูถูกเธอ และบังคับให้เธอไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์รอบๆ ตัว จนเจ้าตัวทนไม่ได้ จึงมาขอคำปรึกษากับดร.ศิลป์ชัยว่าควรจะแก้ปัญหายังไงดี ทั้งนี้หลังจากที่เรื่องราวของนักเรียนสาวถูกเผยแพร่ไป ก็มีชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นเข้ามากันอย่างหลากหลายแนวทางทีเดียว อย่างเช่นความเห็นนี้บอกว่าตนเองนับถือศาสนาคริสต์แต่กลับถูกทางโรงเรียนลงโทษและบังคับให้ประนมมือ ส่วนความเห็นนี้มองว่าหากเราไม่นับถือศาสนา ก็ลองทำตามวัฒนธรรมไปก่อน เพราะแต่ละอย่างนั้นมีเหตุมีผลของมัน หากเติบโตและเรียนรู้แล้วว่าสิ่งต่างๆ ทำไปเพื่ออะไร ค่อยตัดสินใจว่าจะนับถือหรือไม่นับถือศาสนาก็ได้ มีบางความเห็นแนะนำเกี่ยวกับการแก้ปัญหาในด้านกฎหมายเข้ามาด้วยเช่นกัน ว่าหากโดนคนรอบข้างคุกคามมากๆ ให้แจ้งความไว้เลย เพราะตนเองเคยใช้วิธีนี้มาแล้ว และได้ผลดีทีเดียว โดยส่วนตัว#เหมียวฟิ้นเองแล้ว เป็นคนที่มีศาสนานะ แต่ก็เริ่มคิดๆ อยู่เหมือนกันว่าในอนาคตเราอาจจะไม่นับถืออะไรเลย ยึดแค่หลักการทำดีก็พอ หรือหากเจอแนวคิดหรือหลักคำสอนของศาสนาหรือลัทธิไหนที่เข้าท่าก็อาจจะนำมาปรับใช้กับตัวเองดูบ้าง เพราะทุกวันนี้ดูเหมือนว่าการนับถือศาสนาใดก็ตาม ดูจะมีปัญหาและเกิดการแบ่งแยกไปซะหมดเลย แล้วเพื่อนๆ ชาวเหมียวล่ะ คิดเห็นอย่างไรกันบ้างกับการไม่นับถือศาสนา? ลองแชร์ความคิดเห็นกันเข้ามาได้นะ ที่มา ศาสนวิทยา dr.Sinchai Chaojaroenrat
-
มาอีกแล้ว!? โลกออนไลน์แชร์ภาพสามเณรเป่าเทียน มอบของขวัญวันเกิดกัน ชาวเน็ตถาม “ใช่กิจของสงฆ์เหรอ”
รู้สึกว่าในช่วงนี้จะมีข่าวเกี่ยวกับพระและศาสนามาให้เราเห็นแบบรายวันเลยทีเดียว ทั้งพระโดดดำน้ำในทะเล ถวายไอศกรีมแม็กนั่ม 1500 แท่งให้พระสงฆ์ และล่าสุดมีสามเณรพากันเป่าเค้กฉลองวันเกิดอีกด้วยนะ!? ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แอดเหมียวกันไปสะดุดตาเข้ากับภาพๆ หนึ่งที่มีคนแชร์กันอย่างมากมายในโลกออนไลน์ที่ถูกเผยแพร่ผ่านผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อว่าคุณ Aclair Benyapha เป็นภาพของเหล่าสามเณร 10 รูป กำลังมอบเค้กและของขวัญวันเกิดแก่กัน แบบไม่ได้มีความเกรงอกเกรงใจในผ้าเหลืองที่สวมใส่อยู่เลย พร้อมกันนี้ยังมีข้อความประกอบด้วยว่า “เบิร์ดเดย์เพื่อนสาว มันกิจของสงฆ์หรอ” และหลังจากที่ภาพนี้ถูกแชร์ออกไปก็ทำให้ชาวเน็ตพากันก่นด่าไปตามๆ กัน ถึงความไม่สำรวมและไม่เหมาะสมแก่การบวชเป็นสามเณร อย่างเช่นคุณชัย ช่า ช่า ช่า ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “บวชเดี๋ยวนี้มีการสอนหรือเรียนอะไรบ้าง” หรือคุณสมโพด จุ้ยนิ่ม ได้ต่อว่าไปยังผู้รับสามเณรเข้าบวชว่า “ต้องโทษอุปฌาย์ หรือคนที่รับเข้ามาบวช เห็นเต็มไปหมดตามวัดต่างๆ” ยังไงแล้วเหมียวอยากฝากไปถึงน้องๆ ที่กำลังจะบวชเป็นสามเณรในอนาคต ให้ช่วยสำรวมและนึกถึงภาพลักษณ์ของศาสนาพุทธที่มันจะเผยแพร่ออกไปด้วยนะจ๊ะ ที่มา การเมืองเพื่อชาติ ภาคประชาชน
-
ไปให้สุดทาง!! มิติใหม่แห่งการกิน “บุฟเฟ่ต์ลูกเทพ อิ่มไม่อั้น!!” คิดค่าบริการเท่าอัตราเด็กเล็ก
กำลังได้รับความนิยมจากชาวไทยหลายๆ คนเลยทีเดียว สำหรับตุ๊กตาแนวใหม่ที่เรียกกันว่า “ตุ๊กตาลูกเทพ” ที่นำเอาตุ๊กตาธรรมดาๆ ไปปลุกเสกเพื่อเรียกเทวดาให้มาสิงอยู่ในร่างของตุ๊กตา ซึ่งหากใครที่นำเอาตุ๊กตาตัวนี้มาเลี้ยง จะต้องปฏิบัติกับตุ๊กตาประหนึ่งว่าเป็นเด็กคนนึงเลยทีเดียว จนเมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมามีข่าวออกมาว่าสายการบินไทยสมายล์ เปิดให้ประชาชนจองตั๋วเครื่องบินสำหรับตุ๊กตาลูกเทพได้แล้ว ซึ่งก็ทำเอาชาวไทยหลายๆ คนถึงกับอึ้งเลย เพราะแค่ตุ๊กตาตัวเล็กๆ ตัวเดียวถึงกับต้องซื้อที่นั่งอีกหนึ่งที่ให้นั่งเลยหรือ? และหากคุณคิดว่าการที่ตุ๊กตาลูกเทพมีที่นั่งบนเครื่องบินเป็นอะไรที่แปลกแล้ว วันนี้แอดเหมียวจะพาไปดูอะไรที่แปลกแหวกแนว อเมซิ่งไทยแลนด์ยิ่งกว่า เพราะตอนนี้มีร้านบุฟเฟ่ต์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เสนอโปรโมชั่นใหม่ ที่ให้คุณสามารถนำลูกเทพไปนั่งกินอาหารได้อย่างสบายใจแล้ว!! ร้านบุฟเฟ่ต์ที่แอดเหมียวพูดถึงนี้มีชื่อว่าร้าน Neta Grill ทางร้านได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กเพจ โดยระบุว่าตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา มีคนนำตุ๊กตาลูกเทพไปนั่งทานอาหารแล้วกว่า 30 ราย ทางร้านจึงเสนอให้นำลูกเทพมานั่งทานอาหารในร้านได้ โดยทางร้านจะคิดค่าบริการเท่าเด็กเล็ก 1 คน แต่มีข้อแม้ว่าต้องทานให้หมด หลังจากที่ภาพโปรโมชั่นของทางร้าน Neta Grill ถูกแชร์ออกไป ก็มีเสียงตอบรับหลากหลายรูปแบบตามมา โดยมีชาวเน็ตบางส่วนที่เชื่อและเลี้ยงตุ๊กตาลูกเทพเอาไว้ แสดงความเห็นว่าโปรโมชั่นนี้น่าสนใจและจะพาตุ๊กตาลูกเทพของตนเองไปนั่งทานอาหารแน่นอน ในขณะที่ชาวเน็ตอีกส่วนหนึ่งมองว่าการทำโปรโมชั่นครั้งนี้ของทางร้าน ไม่ได้เป็นการส่งเสริมหรือเห็นด้วยกับการเลี้ยงตุ๊กตาลูกเทพแต่อย่างใด…
-
ญี่ปุ่นมาแหวก!? ผุด “กาชาปองพระพุทธรูป” ขนาดจิ๋ว อยากบูชาแค่หยอดเหรียญแล้วแกะ
ถ้าคุณเป็นชาวพุทธ ที่ชื่นชอบการซื้อของเล่นแบบกาชาปองแล้วล่ะก็ คุณอาจจะอยากได้สิ่งนี้มาตั้งที่ชั้นวางของเล่นหรือโต๊ะทำงานของคุณก็ได้นะ เพราะนี่คือพระพุทธรูปจิ๋ว ที่มาในแบบฟิกเกอร์ไข่กาชาปอง ให้คุณหยอดเหรียญเอาไปตั้งที่บ้านได้แบบง่ายดาย เว็บไซต์ Rocket News 24 ได้เผยแพร่ภาพของเล่นชุดใหม่จากบริษัท Kaiyodo เป็นกาชาปอง (โมเดลขนาดเล็กที่อยู่ในบอลพลาสติก) ซึ่งก็ไม่ใช่ตัวการ์ตูนจากที่ไหน แต่เป็นโมเดลพระพุทธเจ้าในแบบต่างๆ นั่นเอง โดยโมเดลที่ถูกผลิตออกมานั้นจะมีด้วยกัน 3 แบบ ได้แก่ Ashura , Fujin และ Raijin ตามรายงานบอกว่า Ashura นั้นจะมีจิตวิญญาณที่สูงส่งกว่ามนุษย์ แต่จะอยู่ในระดับต่ำสุดของเทพองค์อื่นๆ มีแขนทั้งหมด 6 แขน และมี 3 หน้า จะมีด้วยกัน 3 สี คือสีไม้ สีเงิน และแบบลงสีทั้งตัว ส่วน Fujin และ Raijin นั้นจะเป็นเทพแห่งลมและเทพสายฟ้า มีเพียง…
-
โตแล้วนับถืออะไรก็ได้!! โลกออนไลน์แชร์ภาพหนุ่มนับถือ “ลัทธิเบคอน” จะนับถือศาสนาอะไรก็ได้
กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้เลย สำหรับเรื่องรายของหนุ่มรายหนึ่ง ที่ชื่อ Chanin Maneedam ได้เปลี่ยนศาสนาที่ตนเองนับถืออยู่เป็น “ลัทธิเบคอน” ทำเอาชาวเน็ตถึงกับงงว่าสามารถทำได้ด้วยเหรอ? เรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กเพจ ศาสนวิทยา dr.Sinchai Chaojaroenrat เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่าการจะเปลี่ยนไปในถือลัทธินี้ไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารใดๆ แค่บอกให้เจ้าหน้าที่กรอกข้อมูลลงไปก็สามารถทำได้เลย แต่อาจต้องมีการยืนยัน เพราะเจ้าหน้าที่บางคนนั้นไม่ทราบหรือไม่เคยทำมาก่อน หากใครไม่รู้จักว่าลัทธิเบคอนนั้นคืออะไรมีหน้าตาเป็นยังไง ลองเข้าไปชมแฟนเพจของเขาได้ที่ United Church of Bacon ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้คนที่นับถือศาสนาอื่นๆ นอกเหนือจากศาสนาหลักๆ มีความเชื่อกันว่า ศาสนาและลัทธิของพวกเขานั้นมีแนวคิดและปรัชญาเป็นหลัก และยังมีตัวตนจริงๆ (เบคอน) หลังจากที่เรื่องราวของลัทธิเบคอนถูกเผยแพร่ออกไปในโลกออนไลน์ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย พร้อมทั้งยังมีชาวเน็ตหลายรายแสดงตัวว่าอยากจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นๆ เช่นคุณ Nattapong Siriwattanapiched ที่ระบุว่า อยากจะเปลี่ยนไปนับถือผีเช่นกัน อนึ่ง การที่เราจะนับถืออะไรมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดทั้งนั้น หากเราทำแล้วสบายใจน่ะนะ ที่มา United Church of Bacon , ศาสนวิทยา dr.Sinchai Chaojaroenrat
-
อาบัติไหมล่ะ!? โลกออนไลน์แชร์ภาพพระบึงกาฬนั่งดื่มเบียร์ เอ๊ะ หรือจะรับงานพรีเซ็นเตอร์ด้วย?
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ภาพผ่าเฟซบุ๊กเพจ คุณท้าวศรีสุวรรณภิรมย์ภักดี นารีพิฆาต ของเหล่าพระสงฆ์ขณะตั้งวง พร้อมกับมีขวดเบียร์ตั้งอยู่ข้างๆ พร้อมกันนี้ยังมีข้อความระบุด้วยว่า “ที่ลงไม่ได้ทำลายพระพุทธศาสนา แต่อยากให้เป็นการกระตุ้น ให้นักบวชในศาสนารู้จักวางตนให้มากกว่านี้ พระดีๆ ยังมีอีกเยอะ วัดไตรภูมิ บึงกาฬ” หลังจากที่ภาพดังกล่าวถูกแชร์ออกไป ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถึงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของพระ โดยมีความเห็นจากชาวเน็ตเรียกร้องให้สำนักพุทธศาสนาเข้าตรวจสอบวัดดังกล่าว ในขณะเดียวกันมีชาวเน็ตบางส่วนกล่าวแบบติดตลกว่า นี่อาจเป็นเพียงการโปรโมทเบียร์ก็เป็นได้ แลดูจะสนุกสนานเลยทีเดียว ที่มา คุณท้าวศรีสุวรรณภิรมย์ภักดี นารีพิฆาต
-
สุดช็อค ชมภาพแลนด์มาร์คในซีเรีย สภาพก่อนและหลังสงคราม เปลี่ยนไปแค่ไหน?
อย่างที่ทราบกันดีว่าซีเรียนั้นเกิดสงครามมานานกว่า 3-4 ปี เกิดความสูญเสียมากมาย ทั้งประชาชน ทรัพย์สิน และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เว็บไซต์ของสำนักข่าว aljazeera ก็ได้เผยแพร่ภาพถ่ายแลนด์มาร์คสำคัญๆ ในประเทศซีเรีย ก่อนและหลังการเกิดสงคราม ว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง 1. มหามัสยิดในดูมาร์ ที่ใหญ่ที่สุดในดาร์มัสกัต สร้างใน คศ. 1136 2. ดาบลันสตรีท ฉายาชองเอลิเซ่ชีเรีย 3. ตลาดโบราณอัลเลโป 4. โอมซิตี้เซนทรัลมอล ศูนย์กลางการค้าและเหล่าพบปะของหมู่วัยรุ่น 5. อัลมาฮัททา เมืองเดียรา ช็อปปิ้งสตรีท 6. ดาซามิร่า โรงแรมบูติดสี่ดาว สร้างในสมัยออตโตมัน สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ล่มสลายไปอย่างน่าเสียดาย ที่มา pantip , aljazeera
-
โลกออนไลน์ร่วมปกป้องชาวมุสลิม ‘ผู้ก่อการร้ายไม่มีศาสนา’ จากการถูกเหมารวมในด้านลบ
ไม่ว่าจะเกิดการก่อการร้ายที่ใดบนโลก สิ่งแรกที่จะถูกประณามเลยก็คือ ชาวมุสลิม รวมไปจนถึงศาสนาอิสลามทันที เพราะภาพลักษณ์ที่สื่อต่างๆ เปิดเผยให้ได้รับรู้นั้น จะถูกเชื่อมโยงกับศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมทันที แต่ที่จริงแล้วชาวมุสลิมก็ไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายไปซะหมด ชาวมุสลิมนั้นมักจะถูกมองในแง่ร้ายเสมอมา ทั้งนี้ในความจริงคือการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นส่วนมาก มักจะนำศาสนามาเป็นสิ่งบังหน้า อ้างศรัทธาต่างๆ ในอีกแง่มุมหนึ่ง #TerrorismHasNoReligion ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อปกป้องชาวมุสลิมผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายเลย มองในอีกแง่หนึ่งคือ ผู้ก่อการร้ายเป็นพวกไม่มีศาสนา ‘ใครก็ตามที่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ผู้นั้นก็เท่ากับเข่นฆ่ามวลมนุษยชาติ’ ทางด้านชาวมุสลิมที่ไม่เกี่ยวข้อง ต่างก็ต้องการความสันติ การใช้ศาสนาและอุดมการณ์ความเชื่อมาเป็นข้ออ้างในการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์นั้น เป็นยิ่งกว่าพวกขี้ขลาด แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนที่เห็นต่างและเหมารวมว่าชาวมุสลิมทั้งหมดคือผู้ก่อการร้าย ชาวมุสลิมต่างต้องปกป้องในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้กระทำ อย่างไรก็ตามขอให้ทุกท่านแสดงความคิดเห็นที่สุภาพไม่กระทบกระทั่งกันนะจ๊ะ เพราะยังไงเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ที่มา : unilad
-
ฉากหลังกีฬา ‘ทัชมาฮาล’ จุดประเด็น พระชี้ใช้มัสยิดเป็นเครื่องเหยียดหยาม อย่าหัวนอก!!
เป็นเรื่องปกติเมื่อมีการจัดแข่งขันกีฬาเพื่อกระชับมิตรความสัมพันธ์ (แม้จุดประสงค์จริงๆ ก็ว่างั้นก็เถอะ) หนึ่งสิ่งที่สร้างสีสันให้กับกองเชียร์ได้อย่างสะดุดตานั่นก็คือ ‘ฉากหลัง’ อันสวยงามและสร้างสรรค์ แต่ในคราวนี้กลับกลายเป็นตัวจุดประเด็นขึ้นมาซะงั้น ภาพดังกล่าวนี้ไม่มีที่มาแน่ชัดว่าเกิดขึ้นที่ไหน ในจังหวัดใด ซึ่งได้มีการโพสต์ภาพผ่าน Facebook ของ สมบัติ มูลแก้ว โดยกำกับเอาไว้ว่าจังหวัดน่านมีการจัดแข่งขันกีฬา แต่ฉากหลังที่ใช้นั้นเป็นรูปทัชมาฮาล มีสัญลักษณ์อื่นๆ อีกมากมายทำไมไม่เลือกใช้ เหมือนกับเป็นการเหยียดหยาม!! พี่น้องครับ จังหวัดน่านจะมีการแข่งขันกีฑากัน แต่ใช้รูปมัสยิดเป็นฉากหลัง อ้างว่าเป็นรูปทัชมาฮาล สมควรหรือไม่ นี่เป็นการเ… Posted by สมบัติ มูลแก้ว on Wednesday, November 11, 2015 ทั้งนี้เคยเป็นประเด็นมาก่อนหน้าที่ภายในจังหวัดน่านเกี่ยวการก่อตั้งมัสยิด จนมีการต่อต้านอย่างรุนแรง แต่สำหรับในกรณีนี้แล้ว การนำรูปภาพทัชมาฮาลมาเป็นฉากหลังสำหรับกองเชียร์กีฬาก็น่าจะมองเป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์มากกว่า ที่มา : สมบัติ มูลแก้ว
-
ผลวิจัยใหม่ชี้ชัด ‘ศาสนา’ ทำให้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น!!?
โอ้ว พระเจ้า…เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงๆ เหรอเนี่ยเมี๊ยววว เมื่อมีการวิจัยใหม่พบว่า เหล่าผู้ปฏิบัติตนและเคร่งในศาสนานั้น จะมีความ ‘เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่’ ต่อเพื่อนมนุษย์ลดน้อยลง!!? โดยการศึกษานี้ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมของเด็กๆ อายุตั้งแต่ 5-12 ขวบ จำนวน 1,100 คนในกว่า 6 ประเทศทั่วโลก ศาสนาทำให้คนเห็นแก่ตัว!!? ทีมวิจัยได้ศึกษาถึงพฤติกรรมการแบ่งปันของเด็ก รวมถึงการที่เด็กๆ ตัดสินคนอื่นว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี Jean Decety ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่ง University of Chicago กล่าวว่า ‘การวิจัยของเราพบข้อมูลที่ค่อนข้างขัดแย้งว่า เด็กๆ ที่โตมาในครอบครัวเคร่งศาสนา ไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจ หรือใจดีมากกว่าครอบครัวที่ไม่ได้เคร่งศาสนาแต่อย่างใด หรืออาจจะน้อยกว่าด้วยซ้ำ’ ‘ในทางกลับกันเด็กๆ ที่โตมาในครอบครัวไร้ศาสนา หรือไม่เคร่งศาสนานั้น ดูเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากกว่า ซึ่งผลการวิจัยนี้มาจากเด็กๆ ใน แคนาดา จีน จอร์แดน แอฟริกาใต้ ตุรกี และสหรัฐอเมริกา และผลการสำรวจจากทุกๆ ประเทศ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน’ เธอกล่าวเสริม โดยการวิจัยใช้เกม เป็นตัวเก็บข้อมูล กล่าวคือ เด็กๆ…
-
Sadaf Taherian นักแสดงสาวถูกเนรเทศจากอิหร่าน เพราะโพสต์ภาพไม่ใส่ผ้าคลุมฮิญาบ!!
ประเด็นละเอียดอ่อนทางศาสนาภายในประเทศที่เคร่งครัดสูงมากอย่างประเทศอิหร่าน ที่ได้นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งทางประเทศอิหร่านออกก็ได้ออกกฏหมายที่ว่าสตรีจะต้องสวมผ้าคลุมศีรษะ (ฮิญาบ) ในที่สาธารณะรวมไปถึงหญิงสาวชาวต่างชาติด้วย ทั้งนี้กฏหมายฉบับดังกล่าวนั้นมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีค.ศ. 1979 หลังการปฏิวัติศาสนาอิสลามในอิหร่าน ทั้งนี้เรื่องราวของนักแสดงสาวชาวอิหร่านที่ชื่อว่า Sadaf Taherian เธอได้ทำการโพสต์รูปภาพของเธอผ่านอินสตาแกรมโดยคลุมผ้าฮิญาบมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอได้ทำการโพสต์รูปภาพตัวเธอเองอีกครั้ง แต่ในคราวนี้ไม่ได้ทำการสวมผ้าคลุมฮิญาบ และเมื่อกระทรวงวัฒนธรรมอิหร่านรู้ว่าเธอทำแบบนี้ ก็ได้สั่งแบนทันที เพิกถอนใบอนุญาต ห้ามแสดงภาพยนตร์ใดๆ ในประเทศอิหร่าน และถูกขับไล่ออกนอกประเทศ จนถึงขนาดต้องลี้ภัยไปยังเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กันเลยทีเดียว เธอเองก็ได้กล่าวไว้ว่า ‘ฉันไม่เคยคิดเลยว่าผู้คนในอิหร่าน จะรุมด่าสาปแช่งได้มากมายถึงเพียงนี้ ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ ฉันก็แค่อยากใช้ชีวิตในแบบที่ฉันมีความสุข’ อย่างไรก็ตามสื่ออิหร่านประกาศเตือนเอาไว้ว่าการที่ผู้หญิงไม่สวมผ้าคลุม เป็นต้นเหตุของการทำร้ายร่างกายด้วยความรุนแรง เนื่องจากไปกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของผู้ชาย ทั้งนี้ Sadaf Taherian ก็เปิดเผยว่าในระหว่างการแสดงภาพยนตร์ ถึงแม้จะใส่ผ้าคลุมเธอก็ยังถูกลวนลามจากผู้กำกับอยู่ดี ที่มา : independent, telegraph
-
โลกออนไลน์แฉ พระภิกษุขอเงินกลางห้างแต่โดนปฏิเสธ พระตอบกลับ “ไปตายซะ”
แม้จะมีกระแสของการต่อต้านภาพยนตร์ อาบัติ จากพระภิกษุในบ้านเรามากมาย เพราะเกรงว่าจะทำให้ศาสนานั้นดูเสื่อม แต่ความจริงก็คือความจริงล่ะนะ เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ได้มีคลิปวิดีโอของพระภิกษุได้ด้านลบๆ ออกมาให้เราได้เห็นอีกแล้วล่ะ เมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา แชแนลยูทูบ Sakura Oda ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอของพระรูปหนึ่ง ในขณะกำลังยืนพูดคุยกับพนักงานในห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง เพื่อขอเงินทำบุญกับพนักงานหน้าร้าน แถมยังเสนอให้เช่าพระด้วย แต่พนักงานกลับปฏิเสธ เพราะตนเองไม่ใช่เจ้าของร้าน แต่กลับถูกพระภิกษุต่อว่าอย่างรุนแรง จึงสาบส่งและบอกว่า “ไปตายซะไป” ชมคลิปได้ที่ด้านล่าง เห็นแบบนี้แล้วเหมียวล่ะเหนื่อยใจเลย มหาเถรสมาคมคงจะต้องเข้ามาดูแลเรื่องนี้ซะแล้วล่ะ ที่มา Sakura Oda
-
คำสอนจากพระอาจารย์ตัวจริง แนะถึงการแก้กรรมไม่มีจริง และไม่สอนให้งมงาย!!
ในเรื่องของคำสอนของศาสนาต่างๆ นั้น ยิ่งกาลเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งผิดเพี้ยนไปมากเท่านั้น กลายมาเป็นความเชื่อแบบผิดๆ ที่สอนต่อๆ กันมา งมงายในแบบที่ไม่เคยคิดจะพิสูจน์หาข้อเท็จจริงกันเลย อย่างเช่นในกรณีของโยมรายหนึ่งที่ได้เข้ามาสอบถามพระอาจารย์ ไพรวัลย์ วรรณบุตร โดยมีคำถามประมาณว่า แฟนของตนแท้งลูก จะแก้กรรมอย่างไรให้ให้ไปถูกลูก เนื่องจากสอบถามมาแล้วว่าจะต้องทำพิธีสวดส่งวิญญาณ ไหนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในพิธีกรรมอีกเป็นเงินจำนวน 20,000 บาท ไม่ต้องสวดต้องส่งอะไรทั้งนั้นแหละโยม เก็บเงินสองหมื่นไว้ดูแลลูกคนโตเถอะ เสียลูกไปทั้งคนก็ทุกข์หนักแล้ว ยังจะต้องมาเสียเง… Posted by ไพรวัลย์ วรรณบุตร on Saturday, September 12, 2015 เมื่อได้รับคำถามมาแล้ว ทางด้านพระอาจารย์ ไพรวัลย์ วรรณบุตร ได้ให้คำแนะนำในเชิงข้อเท็จจริงที่ไม่เน้นความงมงาย ซึ่งหาได้ยากยิ่งในสมัยนี้ โดยกล่าวเอาไว้ว่า ‘ไม่ต้องทำการสวดส่งอะไรทั้งนั้น ลูกก็เสียไปแล้ว จะมาเสียเงินทำพิธีกรรมอีกก็คงไม่ใช่ เก็บเงินจำนวน 20,000 บาทเอาไว้เลี้ยงลูกคนโตดีกว่า ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้แล้ว หากรู้สึกไม่สบายใจก็ไปบริจาคสิ่งของให้กับเด็กๆ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ลูกที่ทำแท้ง’ ปิดท้ายด้วยการให้คำสอนเกี่ยวกับการแก้กรรม ซึ่งในศาสนาพุทธไม่มี…
-
ระทึก!! หนุ่มไต้หวันสุดคลั่ง ควักมีดจ้วงโสเภณี อ้าง “พระผู้เป็นเจ้าต้องการให้ชำระบาป”
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Shanghaiist ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอสุดระทึกของหนุ่มชาวไต้หวันผู้นับถือศาสนาคริสต์รายหนึ่งในโรงแรมย่านว่านหัว เมืองนิวไทเปซิตี้ ของไต้หวัน ขณะใช้มีดปอกผลไม้แทงไปที่หญิงสาวในสภาพล่อนจ้อน โดยชายหนุ่มได้บังคับให้เธอถอดเสื้อผ้าออก จากนั้นจึงปล้นทรัพย์สินของเธอและโจมตีเธอด้วยมีดปอกผลไม้ โดยอ้างว่าที่เขาทำไปทั้งหมดนั้น เพื่อเป็นการ “ชำระบาปให้เธอ” ตามรายงานบอกว่าชายหนุ่มแซ่ซื่อ วัย 42 ปี ได้หลอกล่อให้หญิงสาวซึ่งทำอาชีพเป็นโสเภณี ไปที่โรงแรมกับเขา แต่หลังจากที่เปิดห้องกัน เขาก็ได้แสดงพฤติกรรมสุดป่าเถื่อนโดยการใช้มีดจ้วงไปที่เธอขณะที่เธอแปลือเปล่า แต่โชคดีที่หญิงสาวไหวตัวทันและวิ่งออกไปนอกห้อง ทำให้ชายหนุ่มต้องเป็นฝ่ายที่หนีไปเสียเอง หลังจากเกิดเหตุได้ไม่นาน พนักงานของทางโรงแรมก็ได้เข้ามาดูเหตุการณ์และช่วยเหลือหญิงสาว จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าหนุ่มแซ่ซื่อนั้นใช้มีดแทงหญิงสาวจริง โดยเจ้าตัวอ้างว่าเมื่อ 3 ปีก่อน เขาได้ยินเสียงของพระผู้เป็นเจ้าบอกว่า “จงล้างบาปหญิงขายบริการด้วยเลือด” ชายหนุ่มจึงรอเวลาที่เหมาะสมและได้หลอกหญิงขายบริการมาเป็นเหยื่อของเขา ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหากรรโชคทรัพย์แก่ชายรายดังกล่าว แต่เหตุการณ์การใช้มีดแทงหญิงสาวนั้น จะมีการสืบสวนต่อไป และจะมีการตรวจสอบสภาพจิตใจของเขาก่อนจะพิจารณาคดีขั้นต่อไป ที่มา shanghaiist
-
มันจะดีนะ!? หนุ่มทำบัตรประชาชน ‘ศาสนาเต๋า’ ทำชาวเน็ตอยากนับถือศาสนาเอาฮากันใหญ่
มนุษย์เราย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการใช้ชีวิต และการเลือกที่จะเป็นสิ่งใดก็ได้ตามใจปรารถนาโดยที่ไม่ขัดต่อกฎหมายบ้านเมืองและไม่เบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งการนับถือศาสนาอย่างเสรีก็ถือเป็นปัจจัยหนึ่ง และเหตุผลหลักๆ ที่สนับสนุนให้เราระบุศาสนาของตัวเองลงไปในบัตรประชาชนก็มีดังนี้ 1. ถ้าหากไม่ระบุ การนับจำนวนผู้นับถือศาสนาต่างๆ จะเป็นด้วยความยากลำบาก หรืออาจจะนับว่ามีเท่าใดไม่ได้ 2. หากเจ้าของบัตรเสียชีวิตขึ้นมา ก็จะได้ทำพิธีศพให้ถูกต้องตามหลักศาสนาที่ผู้ตายนับถือ แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมาก็เกิดเรื่องฮาสนั่นโซเชียล เมื่อสมาชิกเฟซบุ๊กรายหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า เอื้อการย์ อารามรักษ์ ได้โพสต์ภาพบัตรประชาชนใบใหม่ของตนเอง พร้อมข้อความที่สรุปประเด็นได้ว่า พี่แกสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ทำบัตรให้บันทึกว่าเขานับถือศาสนาเต๋าได้ เมื่อวานไปเขตทำบัตรใหม่ ตอนจะถ่ายรูป เจ้าหน้าที่ถามเราเปลี่ยนศาสนามั้ยครับ เจ้าหน้าที่ถามว่าเอาอะไรดี พุทธ,คริสต์,อิสลาม … Posted by เอื้อการย์ อารามรักษ์ on Saturday, August 1, 2015 ซึ่งมันก็กลายเป็นเรื่องฮือฮาและฮากลิ้งในตอนเดียวกันสำหรับชาวเน็ตเป็นที่เรียบร้อย แถมยังเกิดกระแสอยากจะแจ้งศาสนาของตนเองแบบฮาๆ ขึ้นมาแบบนี้อีกด้วยหละฮะพี่น้อง!! (ติดตามความฮาแบบจุใจได้ที่ลิงก์นี้) แม้ว่าจะขำตกเก้าอี้กันขนาดไหน ทว่าด้วยความที่บัตรประชาชนเป็นเอกสารสำคัญอย่างหนึ่งที่ใช้ในการยืนยันตัวตนของเราได้ การที่จะแจ้งข้อมูลเอาฮาลงไป ก็คงต้องใช้ดุลยพินิจกันก่อนเนอะ ^^ ที่มา เอื้อการย์ อารามรักษ์,…
-
ดิสนีย์เวิลด์ยอมเปลี่ยนนโยบาย จากการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานไปรษณีย์ของบริษัท!!
เรื่องของการเลือกปฏิบัติ ตามนโยบายทางด้านรูปลักษณ์ของดิสนีย์เวิลด์นั้น ทำให้นายเกอร์ดิท ซิงห์ พนักงานไปรษณีย์ซึ่งนับถือศาสนาซิกข์ที่จะต้องโพกผ้าพันหัวและไว้หนวดเครานั้น ต้องทำงานในส่วนที่ลับตาผู้คน กีดกันทุกทางในสวนสนุกดิสนีย์ในฟลอริดาตั้งแต่พ.ศ. 2551 ย้อนกลับไปเมื่อปีพ.ศ. 2548 เขาเคยมาสมัครงานกับดีสนีย์ และต้องทำงานในส่วนการเงิน ทำความสะอาดลานจอดรถและในครัวตลอดเวลา โดยไม่อาจเปิดเผยตัวตนของเขาให้กับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมสวนสนุกได้ ในที่สุดทางดิสนีย์ก็ได้ออกมาแถลงการณ์ว่า นายซิงห์นั้นสามารถออกมาส่งเอกสารได้ในทุกเส้นทาง สามารถให้ผู้คนพบเห็นได้ตามปกติ โดยที่ทางดีสนีย์นั้นยอมรับในความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติและความเชื่อทางศาสนาแล้ว และจะไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานอีกต่อไป ทางด้านนายซิงห์เองก็ได้ขอบคุณที่ทางบริษัทยอมเปลี่ยนโยบาย ให้ความเป็นธรรมกับเขา เนื่องจากผ้าโพกหัวและหนวดเครานั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาในศาสนาของเขานั่นเอง ที่มา : บีบีซีไทย – BBC Thai
-
คลิปวิดีโอสุดเจ๋ง เผยให้เห็นถึงไทม์ไลน์และการแผ่ขยายของศาสนาสำคัญๆ ไปทั่วโลก!!!
มาถึงช่วงเวลาสาระประจำวันนี้กันบ้างแล้วนะจ๊ะ ถ้าจะพูดถึงเรื่องศาสนาล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาอื่นๆ อีกมากมาย ก็ล้วนแล้วแต่มีส่วนสำคัญในการสร้างประวัติศาสตร์และอารยธรรมประเพณีที่เราเห็นกันในปัจจุบันทั้งนั้น ผ่านทั้งความขัดแย้ง สงคราม และความสมานฉันท์ นี่คือเรื่องราวของการเผยแพร่ศาสนาต่างๆ ผ่านทางวิดีโอที่เหมียวได้นำมาฝากเพื่อนๆ กันในวันนี้ ลองมาดูกันเลย วิดีโอแสดงการเผยแพร่ของศาสนาต่างๆ ไปทั่วโลก มีเป็นไทม์ไลน์ดูเข้าใจได้ง่ายๆ เลยว่ามั้ย ไว้เราจะหาสาระดีๆ แบบนี้มาฝากเพื่อนๆ กันใหม่นะจ๊ะ ^^ ที่มา: BusinessInsider
-
Gunduz Agayev จิตรกรผู้ที่สร้างผลงานภาพเสียดสีศาสนาขึ้นมา โดยไม่เกรงกลัวต่อคำวิจารณ์ใดๆ
Gunduz Agayev จิตรกรหัวใส ผู้ที่ชื่นชอบการสร้างสรรค์ภาพเสียดสีสังคมเป็นชีวิตจิตใจ และในครั้งนี้เขาก็ได้สร้างผลงานภาพเสียดสีศาสนา โดยนำเอาการถ่ายเซลฟี่ มาเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสาร ซึ่งแน่นอนว่าผลงานที่เขาได้สร้างขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นผลงานที่เขาได้ทำขึ้นมาโดยที่ไม่กลัวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้น มาดูกันเลยดีกว่า ว่าคุณจะเข้าใจผลงานที่เขาสื่อออกมาได้มากแค่ไหน 1 2 3 4 5 6 7 8 หากใครที่ชื่นชอบผลงานของเขาก็สามารถเข้าไปติดตามได้ที่ meydan ที่มา : boredpanda