Tag: สมอง
-
เด็กหญิงจีนวัย 10 ขวบ สอนแม่ที่ “สูญเสียความจำ” ให้กลับมาพูดและอ่านได้อีกครั้ง
เด็กหญิงวัย 10 ขวบในเมืองอี๋ปิน มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลตัวอย่างเนื่องจากพฤติกรรมแสนกตัญญูที่เธอมีให้กับผู้เป็นแม่ Cai Chengcheng เด็กหญิงวัย 10 ขวบ ได้ช่วยสอนให้แม่ของเธอสามารถพูด อ่าน และเขียน ได้อีกครั้งหลังป่วยเป็นโรคเลือดออกในสมองเมื่อ 4 ปีก่อน Chen Li ผู้เป็นแม่หลังจากมีอาการเลือดออกในสมองตั้งแต่ลูกสาวของเธอยังมีอายุได้เพียง 6 ขวบ เธอก็เริ่มสูญเสียความทรงจำไปเรื่อยๆ เมื่อลูกสาวตัวน้อยเห็นแม่เป็นแบบนี้ เธอก็ทนไม่ได้ที่จะช่วยเหลือแม่ของเธอให้มีอาการดีขึ้น เวลา 4 ปีที่แม่ของเธอป่วย เธอก็ช่วยสอนแม่ให้พูด อ่าน และเขียนเป็นประจำทุกวัน หนูน้อยกล่าวว่า “เมื่อก่อนแม่เป็นคนสอนหนูให้อ่านหนังสือ ตอนนี้ถึงตาหนูที่จะสอนแม่อ่านหนังสือบ้างแล้ว” หนูน้อย Chengcheng เล่าถึงวันที่เธอเห็นแม่กลับจากโรงพยาบาลว่า “แม่นั่งรถเข็นมา ตาข้างซ้ายของแม่ดูปกติ แต่ตาข้างขวานั้นเหลือกขึ้นราวกับว่ามันมองอะไรไม่เห็นอีกแล้ว แม่จำหนูได้ แต่แม่เรียกชื่อหนูไม่ได้” จากนั้นก็มีแต่หนูน้อยที่จะสามารถดูแลแม่ของเธอได้อย่างเต็มที่ เพราะฝ่ายพ่อของเธอ Cai Yong นั้นต้องออกไปทำงานแทบทั้งวันเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับแม่ ส่วน Cai Ling พี่ชายของเธอก็เริ่มเข้าเรียนมัธยมแล้ว ทำให้มีเวลาว่างไม่มากนัก จึงมีแต่ Chengcheng…
-
ชีวิตของ Adam Rainer ชายผู้เกิดมาด้วยภาวะแคระ และเสียชีวิตด้วยภาวะยักษ์
คาดว่าจะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป เมื่อชีวิตของคนเราประสบกับภาวะความผิดปกติทางร่างกาย เมื่อเกิดมาแคระก็จะแคระจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แต่สำหรับชายคนนี้เขากลับมีร่างกายที่ขยายใหญ่เกินขีดจำกัดของตัวเอง ในปี 1899 ชายผู้มีชื่อว่า Adam Rainer ได้กำเนิดขึ้นมาในประเทศออสเตรีย จากพ่อแม่ผู้มีความปกติทางร่างกาย แต่ตัวเขานั้นกลับประสบกับภาวะแคระแกร็น Adam Rainer ในวัยเด็ก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น Adam อยากจะเข้าร่วมรบกับทางกองทัพ แต่กลับถูกปฏิเสธเนื่องจากความสูงเพียง 137 เซนติเมตรของเขา ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอ่อนแอและเตี้ยกว่าเกณฑ์ จนหนึ่งปีให้หลังเขากลับมาสมัครอีกครั้งและถูกปฏิเสธอีกรอบจากเหตุผลด้านความสูง แม้จะมีความสูงเพิ่มมา 5 เซนติเมตรก็ตาม ช่วงอายุ 19 ปี กับความสูง 142 เซนติเมตร เขาก็ยังคงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มแคระเพราะมาตรฐานความสูงนั้นอยู่ที่ 147 เซนติเมตร แม้ว่า Adam จะขาดคุณสมบัติทางด้านความสูง แต่รายงานด้านสุขภาพในช่วงนั้นเริ่มสังเกตความผิดปกติในร่างกายของเขา เนื่องจากพัฒนาการเท้าและมือนั้นไม่สัมพันธ์กับความสูงเลย เขาสวมใส่รองเท้าเบอร์ EU 43 ตอนไปสมัครทหารครั้งแรก 3 ปีผ่านไป เขาต้องใส่รองเท้าเบอร์ EU 53…
-
แพทย์แนะหนุ่มนักดนตรี ให้เล่นกีตาร์ระหว่างผ่าตัดเนื้องอกในสมอง ป้องกันอัมพาตหลังผ่า…
เรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อของนาย Robert Alvarez ผู้ถูกวินิจฉัยเป็นเนื้องอกในสมองระดับ Low-grade ในปี 2013 โดยเจ้าตัวยังทำใจยอมรับไม่ได้ และขอเลื่อนเข้ารับการรักษามาโดยตลอด Robert Alvarez ผู้รอดชีวิตจากเนื้องอกในสมอง เนื่องจากแพทย์ผู้วินิจฉัยกล่าวกับเขาไว้ว่า การผ่าตัดอาจทำให้เขาเป็นอัมพาตได้ เขาจึงขอเวลาทำใจสักระยะ ระหว่างนั้นเขามีอาการซุ่มซ่ามและหลงๆ ลืมๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ Robert ในวัย 19 ปี รู้สึกถึงความเสี่ยงในชีวิตกับการตัดสินใจเข้ารับผ่าตัด หากผลออกมาเป็นอัมพาตก็ยิ่งแย่กว่าการใช้ชีวิตอยู่กับเนื้องอก “ผมหวังได้เพียงแค่ไม่ให้มันกระจายไปมากกว่านี้ และต้องระวังเรื่องของการใช้ชีวิตให้มากขึ้น” หลังจากเรียนจบระดับมัธยมปลายแล้ว Robert จึงออกเดินตามฝันสายอาชีพนักดนตรีเข้าเรียนในสายวิศวกรเสียง ในขณะที่คุณแม่ของเขาดิ้นรนหาวิธีการรักษาลูกชายที่เสี่ยงน้อยที่สุด… แต่อาการก็ยิ่งแย่ลงขึ้นเรื่อยๆ เพราะอาการใหม่เริ่มแสดงออกมาให้เห็นชัดยิ่งขึ้น ในคืนหนึ่งเขานอนตกเตียงเนื่องจากมีอาการชักแทรกซ้อนในระหว่างนอนหลับ จนในที่สุดคุณแม่จึงตัดสินใจพาเขาเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์สถาบัน MD Anderson Cancer Center Sujit Prabhu ศัลยแพทย์ผู้รับผิดชอบเคสของ Robert นายแพทย์ Sujit Prabhu…
-
4 เหตุผลที่จะมาไขข้อข้องใจของทุกคนที่ว่า ทำไมซอมบี้ต้องกินสมองด้วย?
นอกจากคำถามที่ว่า เวลาพวกพระเอกไปเจอคนสามารถพอที่จะรักษาคนอื่นได้ ทำไมคนๆ นั้นถึงมักที่จะเป็นสัตวแพทย์ อีกหนึ่งคำถามที่เชื่อว่าคนที่ดูหนังแนวๆ นี้คงต้องเคยคิดขึ้นมาบ้างสักครั้ง ก็คงจะไม่พ้นทำไมซอมบี้ต้องกินสมองด้วย? เป็นแน่ หลายๆ คนอาจจะคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจของคนแต่งเรื่องเพื่อให้หนังน่ากลัวขึ้นเฉยๆ แต่เชื่อไหมล่ะว่าเหตุผลที่ซอมบี้กินสมอง หรือทำไมต้องกินคนนั้นมีคำอธิบายออกมาจริงๆ ด้วยนะ แม้ว่าจะเป็นเพียงเรื่องที่ไม่ได้จริงจังอะไรนัก แต่ทั้งนักเขียน หมอ หรือแม้แต่นักวิทย์เองก็มีการออกมาให้ความเห็นที่ “สมจริง” และ “เป็นไปได้” เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าทำไมซอมบี้ต้องกินสมอง ซึ่งแบ่งเป็นข้อๆ ได้ดังต่อไปนี้ 1. เพื่อพลังงาน การที่ร่างกายของคนเราขยับได้นั้นต้องมีการเผาผลาญพลังงาน แม้ว่าจะร่างกายจะตายไปแล้วก็ตาม ดังนั้นซอมบี้ โดยเฉพาะซอมบี้ที่มีกำลังเหนือกว่าคนธรรมดานั้นย่อมที่จะต้องหาอะไรมาทดแทนพลังงานที่เสียไป ดังนั้นการล่าจึงเกิดขึ้น ซอมบี้จำพวกนี้จะกินทุกอย่างที่หาได้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ เพื่อให้ได้รับแคลอรีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกซอมบี้จึงมักเล็งที่อวัยวะจำพวกเครื่องในและสมองก่อนนั่นเอง นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่อธิบายว่าทำไมซอมบี้ถึงเดินช้าๆ นั่นก็เพราะพวกมันพยายามรักษาแคลอรีอย่างไรล่ะ ส่วนเหตุผลว่างั้นทำไมซอมบี้ไม่กินผัก น่าจะเกี่ยวข้องกับข้อต่อไปนี่ล่ะ 2. เพื่อขยายพันธุ์ หนังซอมบี้นั้นหลายๆ เรื่องมีกฎหลักๆ อยู่ว่าห้ามโดนกัดเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นซอมบี้ไปด้วย นี่เป็นเหตุผลที่ซอมบี้จะล่าแต่อะไรก็ตามที่เป็นเนื้อเท่านั้น ในซอมบี้จำพวกที่สร้างมาจากอาวุธชีวภาพ หรือไวรัสนั้น เป็นไปได้ว่าเชื้อซอมบี้จะอยู่ในสภาพของปรสิต ซึ่งคล้ายๆ กับปรสิตที่อยู่ในหอยทากบางชนิดมันจะควบคุมร่างกายของเจ้าของเพื่อขยายพันธุ์ การที่ซอมบี้กัดลงไปบนเหยื่อจะเป็นการแพร่กระจายปรสิตลงในร่างเหยื่อ และสถานที่ที่ปรสิตจะควบคุมร่างกายได้ดีที่สุดก็คือที่สมอง ดังนั้นซอมบี้จึงมักจะกัดลงไปที่สมองก่อนนั่นเอง 3. เพื่อให้เหยื่อตายอย่างรวดเร็ว…
-
นักวิทย์ “เก็บสมองหมู” ให้มีชีวิต โดยไม่มีร่างกายได้สำเร็จ หรือนี่อาจต่อยอดสู่มนุษย์ได้!?
เคยดูหนังที่มีการเปลี่ยนสมองกันไหม? เคยคิดหรือเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคนเราสามารถย้ายสมองของเราไปอยู่ในร่างใหม่ได้จะเป็นอย่างไร… เชื่อไหมล่ะว่าในเวลานี้ คนเราสามารถผ่านสิ่งสำคัญในการย้ายสมองมาได้ข้อหนึ่งแล้ว เพราะในตอนนี้ เราสามารถรักษาสมองหมูไว้นอกร่างกายได้แล้ว!! นักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยเยลอ้างว่าได้พัฒนาเทคนิคที่ช่วยรักษาเนื้อเยื่อสมองของสุกรเป็นระยะเวลานานหลังจากการตัดหัว แม้ดูเหมือนว่าสมองจะไม่ได้รู้สึกตัวอยู่ แต่เทคนิคใหม่นี้ก็อาจจะนำไปสู่การรักษาในรูปแบบใหม่ก็เป็นได้ โดยพวกเขาบอกว่าสามารถทำการรักษาสมองของหมูให้มีชีวิตอยู่นอกร่างกายได้ถึง 36 ชั่วโมง นักวิจัยที่กล่าวว่าพวกเขาทำการทดลองกับหมูกว่า 100 ตัวที่ได้รับมาจากโรงเชือด และอ้างว่าสามารถฟื้นฟูสมองของหมูที่ตายไปแล้วตราบใดที่ยังไม่นานกว่าสี่ชั่วโมง โดยใช้เทคนิคที่ชื่อ BrainEx ที่ฟื้นการไหลเวียนโลหิตในเนื้อเยื่อสมอง และทำให้มันกลับมามีชีวิต… อย่างน้อยๆ ก็ในทางกายภาพ ที่ต้องบอกว่าการคืนชีพนั้นเป็นเพียงทางกายภาพ ก็เพราะว่าสมองของหมูที่ได้มานั้นไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงกิจกรรมในแง่ของคลื่นสมอง คือว่าง่ายๆ ว่าสมองนั้นไม่ได้รู้สึกตัวอยู่นั่นเอง อย่างไรก็ตามนักวิจัยสามารถตรวจสอบได้ว่าเซลล์กว่าพันล้านเซลล์ในสมองนั้น ยังอยู่ในภาพที่ดี เพียงแต่เนื้อเยื่อสมองที่ดี ไม่ได้หมายความว่าสักวันหมูจะรู้สึกตัวขึ้นมา หมูตัวที่ว่านี้มีสภาพคล้ายผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ และกลายเป็นเจ้าชายนิทราไป จนทำให้ในตอนนี้ยังมีหลายๆ ฝ่ายที่ไม่มั่นใจว่าการทดลองในครั้งนี้ควรจะถือว่าหมูตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่ Steve Hyman จากสถาบันในเคมบริดจ์ให้ความเห็นกับการทดลองครั้งนี้ว่าว่า “สมองเหล่านี้อาจได้รับความเสียหาย แต่ถ้าเซลล์ยังมีชีวิตอยู่ มันก็นับได้ว่าเป็นอวัยวะที่ยังมีชีวิต คล้ายๆ กับการรักษาไตนั่นล่ะ” แต่เมื่อถามว่าการทดลองในครั้งนี้จะสามารถเอาไปใช้ในการรักษามนุษย์ได้หรือไม่ เป็นไปได้ไหมว่าคนเราจะเปลี่ยนร่างกายทั้งตัวโดยเหลือแค่เพียงสมอง และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ Hyman ก็ตอบมาว่า “มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย” อย่างน้อยก็จากสิ่งที่คนเราพบในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้เรายังคงตั้งความหวังกันได้…
-
มิตรภาพของลูกหมูกับมิ้วน้อยพิเศษ ที่คอยอยู่เคียงข้างไม่ห่าง เป็นกำลังใจให้เจ้าแมว
ด้วยความเชื่อว่าสัตว์ก็มีสิทธิจะได้รับการปฏิบัติที่ดีจากคนเหมือนกัน Caitlin Cimini ก็เลยริเริ่มองค์กรไม่แสดงหากำไร Rancho Relaxo เพื่อช่วยเหลือสัตว์ที่ลำบากทั้งหลายให้ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เธอบอกว่า “เหล่าสัตว์ก็ต้องการกระบอกเสียงเหมือนกัน ฉันนี่แหละจะเป็นคนที่เป็นกระบอกเสียงให้พวกมันเอง และฉันก็จะทำต่อจนกว่าฉันจะตายจากโลกนี้ไป” Caitlin Cimini หญิงที่อุทิศชีวิตให้การช่วยเหลือสัตว์ Cimini ได้ดูแลสัตว์มามากมายตลอดช่วงชีวิตของเธอ และมีสัตว์ตัวหนึ่งที่เธอไม่เคยลืมเรื่องราวของมันเลย ก็คือมิ้วน้อย Sriracha กับเพื่อนสนิทลูกหมูของมัน Sriracha เป็นลูกแมวที่มีป่วยเป็นโรค cerebellar hypoplasia (CH) ตั้งแต่เด็ก ซีรีเบลลัมหรือก็คือสมองส่วนที่ควบคุมสมดุลของมันเติบโตได้ไม่ดี ทำให้เจ้าแมวมีปัญหาด้านการเดิน ตัวสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา แถมบางครั้งยังมีอาการชักกระตุกด้วย เจ้าเหมียวมีปัญหาเกี่ยวกับสมอง เลยเดินไม่ค่อยได้ (ดูคลิปไม่ได้ คลิกที่นี่) โพสต์ที่แชร์โดย Caitlin Cimini (@boochaces) เมื่อ ก.ค. 9, 2017 เวลา 7:13am PDT โรคที่มันเป็นไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้มันเลย แต่ก็สร้างความลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเวลาที่มันมีอาการชักกระตุกแต่ละครั้งมันจะรู้สึกอ่อนแอมาก ทว่ามันก็ไม่ได้อยู่อย่างเดียวดาย มันยังมีลูกหมูตัวน้อยที่ชื่อ Batman อยู่เคียงข้างด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่มิ้วน้อยชักกระตุก ลูกหมูก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนคอยปลอบให้มันสงบลงทุกครั้ง เป็นมิตรภาพที่น่าชื่นชมจริงๆ …
-
แมวจรเร่ร่อนบนถนน ได้พบกับความรักจากมนุษย์และมีบ้านของตัวเองครั้งแรก
เจ้าเหมียวจรจัดตัวหนึ่งอาศัยอยู่ข้างถนนเมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา มันไม่เคยได้รับความรักจากใครเลย เมื่อมนุษย์มอบความรักให้มันเป็นครั้งแรก มันก็เลยรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อกลุ่มช่วยเหลือสัตว์ The Critical Animal Relief Foundation ได้เห็นแมวตัวนี้ พวกเขาก็เลยอยากช่วยมัน จึงรับมันมาไว้ในความดูแลของตัวเอง พวกเขาตั้งชื่อให้มันว่า Kanoo แมวเหมียวตัวนี้ไม่เหมือนแมวทั่วไป มันมักจะเดินโซเซออยู่เสมอ เพราะมันมีความบกพร่องเกี่ยวกับสมองในส่วนที่ใช้ควบคุมสมดุลร่างกาย นอกจากนี้มันยังเพดานปากโหว่ด้วย พอมันได้รับความรัก มันก็อ้อนอยากให้คนเล่นกับมันอีกเรื่อยๆ เหมือนมันเสพติดความรักที่เพิ่งเคยได้รับยังไงยังงั้นแหละ พอมีคนเล่นด้วยมันก็จะครางด้วยความพอใจจนคนรอบข้างหลงรักมันเหมือนกัน . กลุ่มช่วยเหลือสัตว์พยายามช่วยรักษามันเท่าที่จะทำได้ แม้อาการเดินเซของมันจะรักษาไม่หาย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตของมันเลย เมื่อรักษาเสร็จแล้ว Kanoo ก็ถูกส่งไปอยู่กับ Lindsay Malinowski อาสาสมัครซึ่งเป็นคนดูแลมัน เพื่อให้มันปรับตัวกับการใช้ชีวิตในบ้าน พอมีคนมารับเลี้ยงมันจะได้ปรับตัวเข้ากับบ้านใหม่ได้อย่างรวดเร็ว Malinowski เล่าว่า “ตอนมันมาอยู่บ้านฉันใหม่ๆ มันดูอ่อนเพลียแล้วก็ตัวผอมมากเลย มันจะใช้เวลาแทบทั้งวันนอนหลับบนตักฉันหรือไม่ก็บนผ้าห่ม … มันเป็นแมวที่น่ารักมาก แต่กำลังอยู่ในขั้นตอนการปรับตัวอยู่ในบ้าน ฉันต้องอ่อนโยนกับมันเสมอ เพราะมันเพิ่งเคยอยู่บ้านเป็นครั้งแรก” พอปรับตัวได้แล้วมันก็ใช้ชีวิตได้เหมือนแมวตัวอื่นเลย ออกจะขี้อ้อนกว่าด้วยซ้ำ และที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือท่าเดินที่โซเซของมันซึ่ง Malinowski คิดว่าช่วยเสริมเสน่ห์เฉพาะตัวให้กับมันมากขึ้น…
-
สื่อนอกตีข่าว…เศรษฐีจ่ายเงิน ‘ฆ่าตัวตาย’ เพื่อเก็บสมองอัปโหลดเป็นดิจิทัล คือข่าวปลอม!!
เรียกได้ว่ากำลังกลายเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว กับการจ่ายเงินจำนวนหนึ่งฆ่าตัวตายเพื่อเก็บรักษาสมองเอาไว้ อย่างล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2018 ที่ผ่านมาเว็บไซต์เดล์ลี่เมลรายงานว่า นาย Sam Altman ผู้ประกอบการธุรกิจ Y Combinator เกี่ยวกับเทคโนโลยีเองก็เป็นหนึ่งในลิสต์ของคนทั้ง 25 คน ที่ลงชื่อกับบริษัทเทคโนโลยีขนาดเล็ก Nectome ที่อ้างว่าสามารถอัปโหลดข้อมูลในสมองของคนเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งคนที่ใช้บริการจะต้องมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 330,000 บาท แต่ก่อนหน้านั้นคุณจะต้องไปเข้าเครื่องและฉีดยาเพื่อฆ่าตัวตาย จากนั้นทาง Nectome ก็จะเก็บรักษาสมองเอาไว้เพื่อรอคอยการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะสามารถอัปโหลดของมูลในสมองเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ในเว็บไซต์ของบริษัทดังกล่าวได้ระบุเอาไว้ว่า “ภารกิจของเราก็คือการเก็บรักษาสมองของคุณให้อยู่ในสภาพดีที่สุด เพื่อรักษาความคงอยู่ของความทรงจำต่างๆ ทั้งใบหน้าของครอบครัว รสชาติของอาหารต่างๆ สัมผัสจากอากาศรูปแบบต่างๆ” “เราเชื่อว่าในศตวรรษนี้ เรื่องของการเปลี่ยนแปลงข้อมูลความทรงจำในสมอง และตัวตน ให้กลายเป็นข้อมูลดิจิตัลจะประสบความสำเร็จและมีความเป็นไปได้” ข้อเสนอของทางบริษัทก็เป็นอะไรที่ง่ายมากๆ “แล้วถ้าเราบอกว่าเราสามารถแบ็กอัปข้อมูลจิตใจของคุณเอาไว้ได้ล่ะ?” สองผู้ก่อตั้งบริษัท Nectome (ซ้าย) Robert McIntyre และ (ขวา) Michael McCann สารที่ใช้ในการดองศพนั้นจะช่วยให้ร่างกายของคุณถูกแช่แข็ง และอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ หากไม่มีสารแปลกปลอม หรืออะไรเข้ามารบกวนมันจะสามารถเก็บเอาไว้ได้นานถึง 1,000 ปีเลยทีเดียว …
-
รถชนครั้งเดียวเปลี่ยนชีวิตนางแบบสาว เสียทั้งแฟน ความทรงจำ และชีวิตที่เคยสวยงาม…
ในช่วงเวลาชีวิตของคนเราจะต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย ซึ่งในแต่ละครั้งที่ปัญหาเหล่านั้นถาโถมเข้าใส่ ก็ต้องเตรียมพร้อมรับมืออยู่เสมอ แต่คงจะไม่มีใครพร้อมกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นอุบัติเหตุที่พลิกหนึ่งชีวิตให้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง… Maria Lebedeva เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวของ Maria Lebedeva สาวสวยจากประเทศรัสเซีย ต้องประสบพบเจอกับปัญหาชีวิตที่ตามมายาวเป็นหางว่าว จากอุบัติเหตุรถชนเข้ากลางลำที่พรากทุกอย่างไปจากชีวิตของเธอ ในปี 2016 เธอสวมชุดเดรสสีเทอควอยซ์ เข้าร่วมงานพรอม และรับเกียรตินิยมจบการศึกษา ย้อนกลับไปเมื่อช่วงฤดูร้อนปี 2016 Maria สวมใส่เดรสชุดสวย เพื่อเข้าร่วมงานพรอมหลังจากที่เธอจบการศึกษา พร้อมได้รับเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยในเมือง Novosibirsk ประเทศรัสเซีย โดยในจังหวะที่งานพรอมเสร็จสิ้นแล้ว แต่เธอดันไปตามนัดแฟนหนุ่มสายไปนานกว่า 30 นาที ทำให้ Andrey แฟนหนุ่มในตอนนั้นรู้สึกโกรธเธอมากๆ Maria และแฟนหนุ่ม Andrey และหลังจากที่ขึ้นรถของแฟนหนุ่ม ทั้งคู่ก็มีปากเสียงกัน และด้วยความโมโหทั้งที่ไม่ได้รีบไปไหนในช่วงเย็นวันนั้น เขาก็เหยียบคันเร่งด้วยความเร็ว 80 กม./ชม. เพื่อฝ่าไฟแดง แต่ชนเข้ากับรถที่กำลังเลี้ยวเข้ากลางลำกลางสี่แยก อุบัติเหตุเพียงเสี้ยววินาที ที่เปลี่ยนทั้งชีวิตของ Maria …
-
นักวิทย์ฯ เผยเราสามารถช่วยให้คนตาย “ฟื้น” ขึ้นมาได้ หากทำในช่วงเวลาที่ถูกต้อง…
ความตาย เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครๆ ก็ไม่อยากจะต้องพบเจอทั้งนั้น เพราะเมื่อใดที่คนเราพบเจอกับ “ความตาย” นั่นหมายถึงว่า เราต้องสิ้นสุดการใช้ชีวิตบนโลกนี้ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่กลัวความตายมากๆ เรามีข่าวดีมาฝาก นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาทดลองแล้วพบว่า หลังจากที่มนุษย์สิ้นสุดลมหายใจไปแล้วนั้น ระบบสมองของมนุษย์ยังทำงานต่อได้อีกราว “ห้านาที” ฉะนั้น มันจึงหมายถึงว่า คนตาย มีโอกาสถูกช่วยให้ฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ กลุ่มนักประสาทวิทยาได้เฝ้าสังเกตสัญญาณไฟฟ้าในสมองของคน 9 คน ในช่วงเวลาที่เขาตายลง พบว่าเซลล์ต่างๆ เองก็เริ่มตายลง เมื่อไม่มีการสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยง เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว พวกเขาจึงใช้พลังงานทดแทนเลือดเติมเข้าไป ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เซลล์และระบบต่างๆ ของร่างกายนั้นยังคงทำงานต่อได้ในระยะเวลาหนึ่งหลังหัวใจหยุดเต้น ผลคือมันทำให้เซลล์ประสาทมีพลังงานหล่อเลี้ยงอย่าเหลือล้น แต่หลังจากนั้นมันก็จะนิ่งเงียบและไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อย่างถาวร ซึ่งอาการนิ่งเงียบนี้ ถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต และทางกลุ่มผู้ทดลองเองก็พบว่ามันเป็นช่วงเดียวที่สามารถช่วยให้ผู้ตายฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้งได้ หัวหน้าผู้วิจัย Dr. Jens Dreier จาก วิทยาลัยการแพทย์ชาริเต้ กล่าวว่า “หลังจากที่ไม่มีเลือดหมุนเวียน มันจะเกิดการกลับขั้ว ซึ่งทำให้สูญเสียพลังงานเคมีไฟฟ้าในเซลสมองไป ทำให้เกิดภาวะเป็นพิษในร่างกาย จนกระทั่งตายในที่สุด แต่ที่สำคัญก็คือ มันสามารถย้อนกลับได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราให้พลังงานคืนแก่ร่างกายผู้ตายตอนไหน” สรุปก็คือ ขณะที่คนเราสิ้นชีวิตลง…
-
ผลจากการศึกษาพบว่าการสูบ ‘กัญชา’ มีส่วนทำร้ายสมองน้อยกว่าการดื่มแอลกอฮอล์
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเปิดเผยผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย University of Colorado Boulder ที่พบว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นั้นจะส่งผลทำร้ายสมอง มากกว่าการสูบกัญชา!! ซึ่งจากการศึกษาเผยว่าการสูบกัญชานั้นไม่ได้ส่งผลเสียต่อสมองในระยะยาว ซึ่งแตกต่างจากดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างเป็นประจำ การศึกษาดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในวารสาร Addiction ซึ่งได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ของระดับสารสีเทาและสีขาวในระหว่างการดื่มแอลกอฮอล์และสูบกัญชา ซึ่งสารดังกล่าวนั้นจะส่งผลต่อการทำงานของสมอง การศึกษาครั้งนี้ได้ทำการทดสอบในกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 55 ปี จำนวน 853 คนที่มีการใช้กัญชาและดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งได้ผลการศึกษาที่น่าสนใจอย่างมาก จากการศึกษาพบว่าในกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่มีการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำนั้นจะมีระดับของสารสีเทาที่มาก ซึ่งสารดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ใหญ่มากกว่ากลุ่มวัยรุ่น โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มเป็นเวลานานหลายปี นอกจากนี้ทีมวิจัยยังพบอีกว่าปริมาณของสารสีขาวนั้น ก็จะส่งผลกระทบต่อสมองกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีการดื่มแอลกอฮอล์เช่นกัน แต่สารดังกล่าวกลับไม่ส่งผลต่อผู้ดื่มที่อยู่ในกลุ่มของวัยรุ่น ส่วนในกลุ่มผู้ใช้กัญชาเป็นระยะเวลา 1 เดือนนั้นพบผลการศึกษาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งพวกเขาพบว่าการสูบกัญชาในระยะเวลาดังกล่าวไม่มีความสัมพันธ์กับปริมาณของสารทั้งสองตัวแต่อย่างใด “ในด้านของผลกระทบเชิงลบนั้น กัญชาแทบไม่ส่งผลกระทบเลยเมื่อเทียบกับแอลกอฮอล์” ดอกเตอร์ Kent Hutchison หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว แต่อย่างไรก็ตามดอกเตอร์ท่านดังกล่าวก็ได้เผยว่าถึงแม้ว่ากัญชาจะไม่ได้ส่งผลเสียต่อสมอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง “เมื่อเราลองดูการศึกษาเก่าๆ เราจะพบผลการศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งระบุว่ากัญชานั้นลดขนาดของ hippocampus ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสมองในการสร้างความทรงจำระยะยาวและการกำหนดทิศทางในที่ว่าง นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาในช่วงเวลาใกล้ๆ กันที่เผยว่ากัญชานั้นมีความสัมพันธ์กับการเปลี่นแปลงของ cerebellum ที่ทำหน้าที่สำคัญในการประมวลการรับรู้และการควบคุมการสั่งการ” ดอกเตอร์ Kent กล่าว ที่มา unilad
-
ภาพชวนงง เปรียบเทียบรูปเดียวกัน แต่ไหงกลายเป็นว่ามองเห็นความแตกต่างได้ไง!?
บ่อยครั้งที่ดวงตาของเรามองสิ่งที่อยู่ข้างหน้าได้ไม่ตรงตามความเป็นจริง แม้ว่าจะมีแถลงไขแล้วว่าจริงๆ ภาพนั้นมันเป็นอย่างไร ดวงตาเราก็มองเป็นแบบอื่นอยู่ดี ภาพที่เราเห็นไม่ตรงตามความเป็นจริงเหล่านี้เรียกว่าภาพลวงตา ถ้ายังนึกไม่ออกว่ามันเป็นยังไงลองไปดูภาพเปรียบเทียบนี้ดูครับ ภาพถนนสองเส้นที่ดูเหมือนจะเป็นคนละภาพกัน แต่เป็นภาพเดียวกัน ภาพสองภาพนี้เหมือนกับภาพที่ถ่ายจากที่เดียวกัน เพียงแต่ว่ารูปด้านซ้ายมือน่าจะถ่ายจากมุมใกล้ถนน ส่วนรูปด้านขวามือน่าจะถ่ายจากมุมชิดทางเดินใช่ไหมล่ะครับ แต่ว่าอันที่จริงแล้วภาพทั้งสองภาพนี้เป็นภาพเดียวกันเป๊ะเลยต่างหาก ภาพนี้ผ่านตาผู้ใช้งานเว็บไซต์โซเชียลมีเดีย Reddit และ Imgur กว่าล้านคนแล้ว ทุกคนที่ได้เห็นภาพนี้ต่างก็ประหลาดใจที่ได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วภาพทั้งสองนั้นเหมือนกันไม่มีผิด ชาวเน็ตคนหนึ่งคอมเม้นต์ว่า “ประหลาดจริงๆ ฉันรู้นะว่าภาพสองภาพนี้เป็นภาพเดียวกัน แต่อะไรบางอย่างทำให้สมองของฉันไม่เชื่อแบบนั้น ฉันอยากรู้จังเลยว่ามันเกิดจากอะไรกัน” ภาพเปรียบเทียบให้เห็นว่ามันเป็นภาพเดียวกัน ชาวเน็ตอีกท่านหนึ่งก็คอมเมนต์ว่า “สำหรับฉันแล้วภาพนี้ดูเหมือนกับว่าถนนในแต่ละภาพมีทิศทางที่แตกต่างกัน โดยเส้นหนึ่งมันดูเอียงออกไป ฉันทำใจเชื่อได้ยากว่าถนนสองเส้นนี้มันเหมือนกันทุกประการ“ แต่ชาวเน็ตอีกส่วนหนึ่งก็ไม่เห็นความแตกต่างระหว่างภาพทั้งสองเลย “ฉันคิดได้แค่ว่ามันก็เป็นภาพสองภาพที่เหมือนกัน รู้สึกแปลกจังที่มองไม่เห็นภาพลวงตาเหมือนคนอื่นเขา” ภาพบันไดไม่สิ้นสุดที่หลอกตาเหมือนกับภาพถนนสองภาพแรก ระหว่างที่ชาวเน็ตกำลังสงสัยกันว่าเหตุจึงเห็นภาพต่างกันได้ ในที่สุดก็มีผู้ใช้ Reddit ท่านหนึ่งออกมาชี้แจงให้ฟังว่าทำไมเราถึงเห็นภาพหลอกตาแบบนี้ เขาบอกว่า “ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าถนนทั้งสองเส้นนั้นมาบรรจบกันที่ด้านล่างของภาพ สมองของเราก็เลยพยายามมองสองภาพนี้ให้รวมเป็นภาพเดียวกัน โดยมองว่าภ่าพหนึ่งในนั้นแยกออกไปอีกทิศทางหนึ่ง ดังนั้นเราจึงมองว่าภาพทางซ้ายมือจึงดูมีองศาที่แตกต่างกับภาพทางขวามือ” นอกจากภาพถนนเส้นนี้แล้ว ก็ยังมีภาพลวงตาอีกมากมายที่ดวงตาของเรามองต่างไปจากความเป็นจริง เนื่องจากสมองพยายามจะปรับมุมมองของภาพ 2 มิติ ให้กลายเป็นภาพ 3 มิติ…
-
งานวิจัยเผย!! คนที่ปวดหัวไมเกรน อาจมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง
อาการปวดหัวไมเกรนอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ กับหลายคน แต่ถ้าหากเจ้าอาการที่ว่านั้นไม่ได้รุนแรงจนถึงขั้นที่ทำให้คุณไม่สามารถลุกไปไหนได้ หรือหนักจนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล่ะก็ เราก็มักจะไม่สนใจและปล่อยปละละเลยกันใช่ไหมล่ะ แต่!! อย่าเพิ่งชะล่าใจไปเพื่อนรัก บางครั้งการปวดหัวไมเกรนธรรมดาๆ นั้นก็อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้นะเออ!! ผลงานวิจัยชิ้นล่าสุดจากประเทศเดนมาร์กเผยว่า ผู้ป่วยที่มีอาการปวดหัวไมเกรนนั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป โดยทำการศึกษาจากสถิติผู้ป่วยไมเกรนมากกว่า 50,000 รายและผู้ป่วยที่ไม่มีอาการปวดหัวมากกว่า 500,000 รายตลอดระยะเวลา 19 ปี โรคหลอดเลือดสมองหรือ Stroke นั้นจะทำให้สมองขาดเลือดซึ่งสาเหตุมาจากผู้ป่วยหัวใจวาย 49 เปอร์เซ็นต์ และผู้ป่วยที่มีก้อนเลือดที่บริเวณขาและปอด 59 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 25 เปอร์เซ็นต์คือผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจเต้นผิดปรกติ และดูเหมือนว่างานนนี้หนุ่มๆ จะต้องระวังกันมากเป็นพิเศษแล้ว เพราะผลการศึกษาดังกล่าวยังเผยอีกว่า เพศชายที่มีอาการปวดหัวไมเกรนนั้นมีความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าคนทั่วไปถึง 12 เท่า คุณหมอ Kasper Adelborg ผู้ทำการศึกษาครั้งนี้อธิบายว่าอาการบีบเกร็งของหลอดเลือดที่ผิดปรกตินั้นไม่เพียงแค่ทำให้เกิดอาการไมเกรนเท่านั้น และอาการดังกล่าวยังเพิ่มโอกาสของการเกิดโรคหลอดเลือดในสมองอีกด้วย นอกนี้การใช้ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์ หรือ Non-steroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs) เพื่อแก้อาการปวดหัวไมเกรน ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายอีกด้วย เนื่องจากยาชนิดนี้จะทำให้เลือดแข็งตัวผิดปรกติ…
-
จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่เราจะสามารถใช้งานสมองได้แบบ 100% เหมือนในหนังเรื่อง Lucy?
เราอาจเคยได้ยินว่ามนุษย์เราใช้สมองเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จึงทำให้หลายๆ คนพยายามหาวิธีการที่จะทำให้เราสามารถใช้งานสมองได้มากกว่านั้น หรือถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะใช้ให้มันถึง 100 เปอร์เซ็นต์ไปเลยแบบในหนังเรื่อง Lucy แต่ในความจริงแล้วมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดการณ์เอาไว้ก็ได้นะ Marc Ettlinger นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาจากกรมกิจการทหารผ่านศึกในสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาพูดว่า ปัจจุบันหลายๆ คนพยายามหาวิธีการที่จะทำให้เราสามารถใช้สมองได้มากกว่าที่เราเข้าใจ ซึ่งเรายึดติดกับความเชื่อนี้ก็เพราะเราเคยได้ยินหลายๆ วิธีที่บอกว่าสามารถช่วยให้เราทำอย่างนั้นได้จริง อย่างเช่นเราเคยได้ยินว่าการหลับ การจดบันทึก การทำกิจกรรมต่างๆ หรือการฝันกลางวันจะสามารถพัฒนาองค์ความรู้และประสิทธิภาพของการคิดของเราได้ จึงทำให้หลายๆ คนออกไปหาอะไรทำ จินตนาการไปถึงสิ่งต่างๆ หรือพักผ่อนเพิ่มอีกซัก 2-3 ชั่วโมง Marc อธิบายว่าการที่เราไม่ออกไปหากิจกรรมใดๆ ทำนอกบ้าน ไม่ชอบจินตนาการ หรือนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ สิ่งเหล่านั้นจะส่งผลในแง่ลบให้กับกระบวนการการคิดของเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นวิธีการแก้ไขที่ว่ามาอาจเป็นเพียงตัวที่ช่วยขจัดปัญหาเหล่านั้นออกไป ไม่ได้เป็นสิ่งที่เพิ่มพูนการใช้งานของสมอง แม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความคงที่ของระบบการรู้คิดในสมองเรา แต่ทั้งหมดนั้นก็แสดงให้เห็นว่า มันช่วยในการทำงานของสมองให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น แต่ไม่ได้เพิ่มขึ้นไปจากเดิมเหมือนที่เราเข้าใจ นั่นหมายความว่าแท้จริงแล้วที่บอกว่าเราสามารถใช้สมองได้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์อาจไม่ได้เป็นความจริง แต่เกิดขึ้นจากจินตนาการของเราที่คิดขึ้นมาและสร้างเป็นเป้าหมายให้กับตัวเองเท่านั้น สิ่งนี้อาจเป็นการคาดการณ์แต่ไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป ยกตัวอย่างถ้าเราเดินทางย้อนเวลากลับไปบอก Aristotle ว่า ในอนาคตเด็ก…
-
‘Ophiocordyceps’ เชื้อราปรสิต แทรกซึมยึดร่างกายของแมลง ปล่อยให้เหลือเพียงแต่สมอง
ในธรรมชาตินั้นมีพืชพรรณที่มหัศจรรย์อยู่มากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือเจ้า Ophiocordyceps sinensis พืชปรสิตที่อาศัยอยู่ในตัวสัตว์เล็กๆ อย่างเช่น มดและหนอน มันจะใช้ร่างของพวกสัตว์เหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยและเจริญเติบโตออกมาจากร่างกายของพวกมัน!! โดยสปอร์ของเจ้าพืชชนิดนี้จะเข้าไปในร่างกายของพวกมดและสัตว์ตัวเล็กๆ ทางระบบทางเดินอาหาร และจะอาศัยอยู่ในร่างกายของพวกสัตว์เหล่านั้น พวกมันจะเริ่มแทรกเข้าไปควบคุการเคลื่อนไหวของพวกสัตว์เหล่านี้ และจากนั้นพวกสัตว์ก็จะตายลงอย่างช้าๆ พร้อมกับมีลำต้นเล็กๆ ของเจ้าพืชชนิดนี้งอกออกมาจากส่วนหัว นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Penn State University ได้ทำการศึกษาพฤติกรรมอันน่าทึ่งของเจ้าพืชชนิดนี้ แล้วก็พบว่าหลังจากที่พวกมันเข้าไปในร่างกายของเหล่าสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยแล้ว พวกมันจะทำการควบคุมในส่วนของกล้ามเนื้อ และทำให้พฤติกรรมของพวกโฮสต์ที่มันอาศัยเปลี่ยนไป แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าพืชชนิดนี้ไม่ได้ทำการควบคุมในส่วนของสมองแต่อย่างใด ซึ่งส่วนนี้สร้างความสับสนให้กับนักวิทยาศาสตร์อย่างมาก ทีมวิจัยได้ทำการศึกษาพฤติกรรมดังกล่าวโดยการสร้างแบบจำลองสามมิติ เพื่อศึกษาการเคลื่อนไหวของเจ้าพืชชนิดนี้ในตัวของมด พวกเขาพบว่าเมื่อสปอร์ของพืชดังกล่าวเข้าไปในตัวมดแล้ว มันได้ทำการแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของมด และทำการควบคุมพฤติกรรมของพวกมัน “โดยทั่วไปแล้วพฤติกรรมของพวกสัตว์นั้นจะถูกควบคุมโดยสมอง ซึ่งจะทำการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังกล้ามเนื้อและควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย แต่จากการศึกษาเราพบว่าเจ้าพืชชนิดนี้ได้ทำการควบคุมส่วนของกล้ามเนื้อและไม่ได้ควบคุมที่สมองแต่อย่างใด” ดอกเตอร์ David Hughes นักวิจัยอาวุโสกล่าว นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้ตั้งสมมุติฐานไว้อีกว่าสาเหตุที่พืชดังกล่าวไม่ได้เข้าโจมตีในส่วนสมองของเหยื่อนั้นก็เพื่อที่ต้องการจะรักษาชีวิตของโฮสต์ไว้จนกระทั่งพวกมันสามารถเจริญเติบโตได้สำเร็จ ทางด้านคุณ Charissa de Bekker นักชีววิทยาผู้ที่ทำการศึกษาพฤติกรรมของเจ้าพืชชนิดนี้ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2014 ว่า “การควบคุมพฤติกรรมของพืชชนิดนี้เป็นสิ่งที่ค่อนข้างซับซ้อน มันเป็นพฤติกรรมที่น่าทึ่งมาก เราได้ทำการศึกษาสมองของมดสี่สายพันธุ์ จากการศึกษาพบว่ามีสารเคมีบางอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน ปรากฏอยู่ในเซลล์สมองของพวกมด ซึ่งสารเคมีดังกล่าวนั้นถูกผลิตมาจากพวกปรสิต” ถึงแม้ว่าตอนนี้ทางนักวิจัยจะยังไม่ทราบถึงข้อเท็จจริงอย่างแน่ชัดของปรากฏการณ์นี้ก็ตาม แต่ก็มีข่าวดีสำหรับพวกเรานั่นก็คือเจ้าพืชชนิดนี้ไม่สามารถเจริญเติบโตในมนุษย์ได้ แถมในประเทศจีนนั้นมันยังถูกนำไปใช้ทำยาที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคต่างๆ อีกด้วย…
-
คู่แฝดมหัศจรรย์ที่สามารถเข้าใจและรับรู้สิ่งเดียวกันได้ เพราะใช้ “กะโหลกและสมองร่วมกัน”
Tatiana และ Krista Hogan เป็นคู่พี่น้องฝาแฝดวัย 10 ขวบ ที่มีความใกล้ชิดกันเป็นพิเศษในแบบที่แฝดคู่อื่นๆ ไม่เคยได้สัมผัส และไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกว่ามันเป็นอย่างไร เพราะพวกเธอทั้งคู่คือ “ฝาแฝดที่ใช้กะโหลกและสมองร่วมกัน” มาตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เกิดมาลืมตาดูโลก แต่ถึงแม้ว่าหนูน้อยจะเกิดมาผิดปกติไม่เหมือนแฝดทั่วๆ ไป แต่นั่นกลับไม่เป็นอุปสรรคเลย เพราะทั้งคู่กลับสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2560 สำนักข่าวเดลีเมล์มีรายงานว่า เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วที่ Tatiana และ Krista หนูน้อยฝาแฝดคู่นี้ ใช้สมองและกะโหลกศีรษะเชื่อมต่อกัน โดยในระหว่างที่พวกเธออยู่ในครรภ์ของมารดาทางแพทย์ก็ได้เผยกับ Felicia แม่และ Brendan ผู้เป็นพ่อว่า ลูกๆ ของพวกเขามีอวัยวะส่วนศีรษะและมีสมองที่เชื่อมต่อกัน อีกทั้งเด็กๆ อาจจะมีชีวิตอยู่อีกเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Felicia จะได้รับข่าวที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต แต่เธอก็เผยว่าการทำแท้งไม่ใช่ทางเลือกสำหรับเธอ ซึ่งเธอก็ได้เดินทางไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และเมื่อหนูน้อยทั้งสองได้ลืมตาดูโลก ก็ทำให้แพทย์รู้สึกประหลาดใจว่าพวกเธอสามารถใช้สมองร่วมกันได้อย่างไร? แม้ว่า Tatiana และ…
-
8 พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับ ‘สมอง’ ที่ทำให้เราได้เห็นสมองของผู้ที่ป่วยโรคทางประสาทนานาชนิด
ถ้าจะให้พูดถึงอวัยวะที่ซับซ้อนที่สุดในร่างกายของเรา ก็คงจะไม่พ้นอวัยวะที่ไว้สำหรับควบคุมร่างกายในทุกๆ ส่วนอย่างสมอง ที่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถจะหาข้อมูลเกี่ยวกับมันได้ทั้งหมด อาจจะเป็นเพราะระบบการทำงานของมันมีความซับซ้อนจนมนุษย์ไม่สามารถศึกษาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และในวันนี้จะขอแนะนำทุกท่านถึงสถานที่ที่มีการเก็บสมองของคนจริงๆ ซึ่งบางสถานที่อาจจะเก็บไว้สะสมหรือว่าเก็บไว้เพื่อศึกษา ยังไงมันก็ยังคงมีความน่ากลัวอยู่นะ บรื๋ออ 1. คอลเลกชันสมองของ Cushing สถานที่นี้ก่อตั้งโดยผู้บุกเบิกการแพทย์เกี่ยวกับโรคประสาทชื่อว่า Harvey Cushing ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยที่นี่มีสมองเก็บไว้มากเป็นร้อยๆ ไห สมองบางอันมีความสมบูรณ์แบบ บางอันก็มีเพียงแค่ชิ้นส่วนเพียงบางส่วนเท่านั้น และบางอันก็มีเนื้องอกที่โผล่ออกมาด้วย สถานที่นี้ต้องอยู่ที่โรงเรียนการแพทย์ในมหาวิทยาลัย Yale โดยรวมๆ แล้วที่นี่มีสมองของคนเรามากถึง 400 ก้อนและยังมีอีก 150 ก้อนในห้องแล็บทำหรับการศึกษาของแพทย์ ซึ่งที่นี่มุ่งเน้นการศึกษาในเรื่องของเนื้องอกที่เกิดขึ้นที่สมอง 2. พิพิธภัณฑ์สมอง The Mammalian สมองที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์นี้ไม่ใช่สมองจริงๆ ของมนุษย์ แต่เป็นการจำลองสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต่างๆ ถึง 275 ก้อน เพื่อให้เห็นความแตกต่างกันและความเหมือนกันของส่วนต่างๆ ซึ่งที่นี่ตั้งอยู่ที่ รัฐแมริแลนด์ ทางตอนเหนือของกรุงวอชิงตัน ดีซี 3. พิพิธภัณฑ์สมอง Lima สถานที่นี้ซ่อนตัวอยู่ในสถาบันประสาทแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ที่เมือง Ancon ประเทศเปรู ที่นี่เป็นสถานที่เก็บสมองที่ใหญ่ที่สุดในแถบละตินอเมริกาเลยทีเดียว โดยที่แห่งนี้มีสมองถึง 3,000 ก้อน ซึ่งบางอันได้รับความความเสียหาย…
-
ว่าไงนะ… งานวิจัยเผย ‘เห็ดขี้ควาย’ ช่วยรีเซ็ทสมอง และบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าได้!?
งานนี้สายเมาแบบ Trippy คงต้องมีเฮกันบ้าง หลังมีงานวิจัยจากสถาบัน Imperial College London ที่ค้นพบว่า… เห็ดขี้ควาย (Magic Mushroom) ช่วยรีเซ็ทสมอง และบรรเทาอาการโรคซึมเศร้าได้จริง!? ถ้าจะให้อธิบายคุณสมบัติแบบหยาบๆ ก็คือ เจ้า Psilocybe Cubensis (เห็ดขี้ควาย) เป็นเห็ดที่มีพิษส่งผลต่อระบบประสาท โดยส่วนใหญ่ผู้ที่รับประทานเข้าไปจะมีอาการ.. เห็นภาพ แสง สี ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านความคิด และอารมณ์คล้ายคลึงกับ LSD ซึ่งเราจะเรียกสสารในหมวดที่สร้างภาพหลอน และมีการเปลี่ยนแปลงเชิงจิตใต้สำนึกนี้ว่า ‘Psychedelic Drugs’ ตัวเห็ดมักขึ้นอยู่ตามกองมูลแห้งของควาย สามารถพบได้ในหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก และในแต่ละพื้นที่ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยทางสายพันธุ์ที่ต่างกันออกไป (รวมถึงอาการที่ได้รับด้วย) มาเข้าเรื่องของเรากันต่อ… โดย Dr. Robin Carhart-Harris หัวหน้าทีมวิจัยสาร Psychedelic ประจำสถาบัน Imperial College London ได้ให้สัมภาษณ์ถึงผลลัพธ์จากงานวิจัยว่า “เราได้ค้นพบครั้งแรกว่า อาการที่เกิดขึ้นจากการรับประทาน ‘เห็ดขี้ควาย’ ช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมสมองของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือคนที่มีปัญหากับอาการเครียดได้..” …
-
คู่รักนักวิทย์ Harvard-MIT ค้นพบอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ ที่นำไปสู่การเป็นออทิสติก
ปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์นั้นเรียกได้ว่ามีความก้าวหน้าอย่างมาก และความก้าวหน้าเหล่านั้นก็นำมาซึ่งการค้นพบสิ่งใหม่ๆ อย่างเช่นการค้นพบของคู่รักนักวิทยาศาสตร์จาก Harvard คู่นี้เกี่ยวกับโรคออทิสติก เมื่อไม่นานมานี้คุณ Jun-ryeol Huh ศาสตราจารย์จากคณะแพทย์มหาวิทยาลัย Harvard และคุณ Gloria Choi ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านสมองจากมหาวทิยาลัย MIT ได้คนพบอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่โรคออทิสติก ถือเป็นการค้นพบที่ฮือฮาอย่างมาก นับตั้งแต่มีการศึกษาโรคดังกล่าวในช่วงปี 1940 เลยทีเดียว!! ทั้งสองได้ออกมายืนยันว่าความผิดปรกตินี้ไม่ได้เป็นผลมากจาการพัฒนาของสมองเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความผิดปรกตินี้อีก หลังจากที่ได้ทดลองและสังเกตุจากหนู ผลการวิจัยดังกล่าวถูกตีพิมพ์ลงในวารสารวิทยาศาสตร์ Nature ผ่านทาง MIT New เมื่อวันที่ 14 กันยายนปี 2017 ซึ่งทั้งสองพบว่ามีแบคทีเรียบางสายพันธุ์ในระบบทางเดินอาหารของแม่ ที่อาจทำให้เกิดพฤติกรรมที่คล้ายกับโรคออทิสติก โดยคุณแม่ที่มีภาวะติดเชื้อที่รุนแรงและต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ในระหว่างตั้งครรภ์นั้นจะมีความเสี่ยงที่ลูกจะมีความผิดปรกติทางสมองมากกว่า ซึ่งจากการศึกษาในเด็กๆ เดนมาร์กเมื่อปี 2010 พบว่าอาการติดเชื้อรุนแรงเหล่านั้นได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ กระเพาะและลำไส้อักเสบ และการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะอย่างรุนแรงนั่นเอง นอกจากนี้คุณ Choi ยังได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่าพวกเขาสามารถระบุได้ว่าส่วนของสมองนั้นมีผลต่อการเกิดอาการผิดปรกตินี้ “เราระบุได้ว่ามีสมองหลายส่วนที่มีผลต่อพฤติกรรมและเกี่ยวกับการพัฒนาที่ผิดปรกติของระบบประสาท” คุณ Choi กล่าว จากผลการศึกษาที่ตีพิมเมื่อปี 2016 ของทั้งคู่ที่ศึกษาเกี่ยวกับการตอบสนองของสมองแต่ละส่วนต่อโรคดังกล่าว โดยพวกเขาแบ่งแต่ละส่วนออกเป็นส่วนย่อยๆ แล้วพบว่าในส่วนที่ได้รับผลกระทบจากโมเลกุลของเซลล์ภูมิแพ้ หรือ Th 17 Cell นั้นมีผลต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก ซึ่งถูกปล่อยออกมาระหว่างที่ผู้เป็นแม่มีอาการติดเชื้ออย่างรุนแรง…
-
พื้นที่บึงในอุทยานของสเปน มีลักษณะยึกๆ ยือๆ มองจากด้านบนเหมือน ‘รอยหยักสมอง’ เป๊ะ…!!
ปกติเราจะเห็นภาพของป่าไม้จากรายการสารคดีเป็นเหมือนผืนต้นไม้สีเขียวขนาดใหญ่ แต่คราวนี้เราจะพาไปชมพื้นที่ป่าธรรมชาติในประเทศสเปน ที่เมื่อมองจากด้านบนมันกลับแสดงภาพที่แตกต่างออกไป The San Fernando เป็นพื้นที่บึงน้ำที่ตั้งอยู่ในอุทยาน Bahía de Cadiz Natural Park ประเทศสเปน ทว่ารูปลักษณ์ของมันกลับมีลักษณะเหมือน ‘รอยหยักของสมองคน’ ยังไงยังงั้น!? ภาพถ่ายของบึงหลากสีนี้เป็นผลงานของ Cristobal Serano ซึ่งเจ้าตัวเล่าว่า ขณะที่กำลังเดินทางด้วยเครื่องบินเพื่อที่จะไปถ่ายรูป ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เขาก็ได้สังเกตเห็นผืนป่าธรรมชาติที่มีลักษณะแบบที่เห็นนี้ “ครั้งแรกที่ผมได้บินผ่านเหนือผืนป่าแห่งนี้ ผมก็รู้สึกเซอไพรส์สุดๆ มันให้ภาพเหมือนสมองมนุษย์เลยล่ะ ซึ่งผมว่ามันก็เป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอย่างหนึ่งนะ” ภาพทั้งหมดนี้ถูกถ่ายในช่วงที่กระแสน้ำลดลงบ้างแล้ว ซึ่งจะช่วยทำให้เรามองเห็นรอยหยักชัดมากยิ่งขึ้น โดยช่างภาพกล่าวว่าสีเขียวที่เราเห็นนั้น เป็นสีที่เกิดจากต้นไม้ใบหญ้าและเหล่าพืชพรรณจริงๆ แต่ถึงกระนั้นผลงานภาพถ่ายของ Cristobal Serano ก็ไม่ได้เป็นภาพเดียวที่โด่งดังไปทั่วโลกอินเตอร์เน็ต เพราะหลังจากที่ผู้คนเริ่มรู้ว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่ ผู้คนก็เริ่มให้ความสนใจเดินทางไปท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก ดูเผินๆ มีความเหมือนรอยหยักของสมองมาก เอ๊ะ.. หรือเราจะอาศัยอยู่ในสมองของใครบางคนอยู่นะ!? ที่มา: OddityCentral
-
ผลวิจัยเผย “การเล่นเกมส์ในโหมด Easy” สามารถสร้างผลเสียให้กับสมองส่วนความจำได้
หลายคนคงชื่นชอบในการเล่นเกมส์และชื่นชอบในความท้าท้ายกับความยากของเกมส์นั้นๆ เพื่อให้ผ่านอุปสรรคไปก็ต้องพยายามกันหน่อย หรือบางคนก็อาจชอบที่จะเล่นเพื่อให้สนุกสนานตรงที่สามารถผ่านด่านไปได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าการเล่นเกมส์ในรูปแบบนั้นจะสร้างผลกระทบให้กับสมองของคุณได้ เมื่อนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาลัย Montreal ได้ทำการศึกษาและเชื่อว่าการเล่นเกมส์ที่ไม่มีแผนที่นำทางในเกมส์ให้นั้น จะทำให้สมองสามารถอยู่เล่นเกมส์ต่อไปได้อีกเป็นชั่วโมง แต่หากว่าทุกสิ่งทุกอย่างสิ่งนำทางให้เห็นจนหมดก็จะทำให้ทุกอย่างมันกลายเป็นง่ายเกิน การศึกษานั้นเผยว่าเหล่าสาวกเกมส์ยิงปืนมุมมองบุคคลที่หนึ่งหรือที่เรียกกันว่า FPS โดยเฉพาะแนวกองกำลังติดอาวุธจะจะมีระบบนำทางบ่อยๆ และนั่นจะสร้างความเสี่ยงเป็นอย่างมาก การวิจัยนี้ได้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Molecular Psychiatry โดยผู้เขียนคือ Greg West ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยา เขาได้บอกเอาไว้ว่าผู้ที่เล่นเกมส์แนวแอคชั่นจนติดเป็นนิสัยนั้นจะทำให้เกิดเนื้อเทาในสมองส่วนฮิปโปแคมปัสได้น้อยลง หากจะอธิบายเกี่ยวกับฮิปโปแคมปัสแบบคร่าวๆ ก็คือส่วนที่ช่วยในเรื่องของความทรงจำในอดีตและความทรงจำเชิงพื้นที่ แกนกลางของนิวเคลียสก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องช่วยในการเตือนว่าเรากิน ดื่ม หรือนอนในเวลาไหน และเนื้อเทาจะมีความสัมพันธ์กับความสามารถในการจำเรื่องเหล่านี้ เขากล่าวว่า “วิดีโอเกมส์แสดงให้เห็นถึงข้อดีที่ช่วยระบบความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้สิ่งรอบตัวและความจำระยะสั้น แต่มันก็ได้มีหลักฐานทางพฤติกรรมว่าจะต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่าง ในแง่ของผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสมองส่วนฮิปโปแคมปัส” และทั้งหมดนั้นคือเหตุผลในการศึกษาการสร้างภาพประสาทด้วยการสแกนสมองของคนที่เล่นเกมส์อยู่เสมอกับคนที่ไม่ได้เล่นเกมจนเห็นความแตกต่างในเรื่องของเนื้อเทาที่น้อยกว่าในกลุ่มคนเล่นเกมส์ นั่นจึงทำให้พวกเขาทำการศึกษาระยะยาวตามมาเพื่อหาความเป็นเหตุเป็นผล จนพบได้ว่าเกมส์มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงของสมอง เมื่อผลการศึกษาออกมาเป็นอย่างนี้ก็คงต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะสนับสนุนเด็กๆ หรือแม้แต่วัยรุ่นในการเล่นเกมส์เพื่อเสริมสร้างความจำระยะสั้นและการสังเกตสิ่งรอบตัวให้กับพวกเขากันบ้างแล้ว เพราะหากเล่นมากไปก็อาจทำให้เกิดผลกระทบตามมาอีกได้ด้วย สิ่งต่างๆ มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ขอแค่ให้ได้ใช้มันอย่างเหมาะสมก็จะสามารถสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับตัวเรา ที่มา: comicbook
-
เด็กน้อยวัย 3 ขวบ กับผลกระทบหลังผ่าตัดเนื้องอกในสมอง น้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 40 กิโลฯ!!
เป็นอีกกรณีที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากมาก ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังผ่าตัดเนื้องอกในสมองให้แก่เด็กน้อยวัย 3 ขวบ Freddie Hunt หนูน้อยผู้มีช่วงชีวิตในวัยเด็กที่แตกต่างจากคนอื่น แม้ว่าเจ้าตัวจะสามารถเอาชนะเนื้องอกที่มีขนาดเท่ากำปั้นได้ แต่ผลข้างเคียงที่ตามมาก็ทำให้เด็กน้อยคนนี้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเช่นเดียวกัน Freddie Hunt ตอนแรกทุกอย่างก็ดูเหมือนจะปกติดี คุณหมอสามารถผ่าตัดเอาเนื้องอกในสมองกว่า 90% ออกไปได้ ทว่า 20 วันให้หลังจากการผ่าตัดสภาพร่างกายของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป จากนั้นไม่นานเด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น และผลข้างเคียงต่างๆ เช่น คลื่นไส้อาเจียน หลังจากที่ผู้ปกครองสังเกตเห็นน้ำหนักตัวที่ผิดปกติของลูกชาย พวกเขาได้ส่งตัวไปเช็คอาการกับคุณหมออีกครั้ง และดูเหมือนว่าหลังจากผ่าตัด สมองของ Freddie จะได้รับการกระทบกระเทือน ทำให้เส้นประสาทสมองส่วนที่ควบคุมระบบเผาผลาญของร่างกายทำงานผิดปกติ Freddie ก่อนที่จะเป็นเนื้องอกในสมอง ซึ่งนั่นหมายความว่า ร่างกายของ Freddie จะไม่หยุดการดูดซับสารอาหาร ส่งผลให้เด็กน้อยรู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลา 5 เดือนต่อมาน้ำหนักของเด็กน้อยเพิ่มขึ้นเป็น 37.84 กิโลกรัม ซึ่งนับว่ามากกว่าค่าเฉลี่ยที่เหมาะสมสำหรับเด็กวัยนี้ “สำหรับครอบครัวเราตอนนี้ ทางการแพทย์ไม่มีทางไหนที่จะรักษาลูกเราได้เลย เราคงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเค้า” คุณแม่ให้สัมภาษณ์ ทุกวันนี้ครอบครัวต้องหันมาใช้วิธีการที่เบสิคที่สุด นั่นก็คือการพยายามควบคุมอาหารที่มีประโยชน์…
-
อุทาหรณ์จากภาพ CT สแกนของผู้ประสบ “อุบัติเหตุบนท้องถนน” ที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
ถือว่าเป็นอีกอุทาหรณ์จากความห่วงใยของเราที่มีต่อเพื่อนๆ ทุกคน เพราะถึงจะมีการรณรงค์ให้ปฏิบัติตามกฎจราจรมากเท่าไหร่ แต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุกลับไม่ลดน้อยลงเลย และนี่ก็เป็นเรื่องราวที่ถูกนำมาบอกเล่าต่อบนเว็บไซต์ Metro เป็นภาพผลการทำ CT Scan ของหญิงสาววัย 25 ปี ที่ได้รับอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยที่เธอไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย สภาพกระโหลกหลังประสบอุบัติเหตุตอนแรก (ซ้าย) สภาพกระโหลกหลังทำการผ่าตัดแล้ว (ขวา) ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้โพสต์ภาพผลสแกนกระโหลกดังกล่าว ผ่านเว็บไซต์ Figure1 เพื่อนำเสนอผลงานการผ่าตัดช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการเตือนสติให้ผู้คนหันมาคำนึงถึงความอันตรายบนท้องถนนมากยิ่งขึ้น “ผลจาก CT Scan ช่วยทำให้เราเห็นสภาพกระโหลกที่อาจเกิดขึ้นหลังประสบอุบัติเหตุเพียงเพราะคุณไม่คาดเข็มขัดนิรภัย แม้ว่าเคสนี้จะรักษาและผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่จะโชคดีแบบนี้” แพทย์โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์ ผลงานการผ่าตัดศัลยกรรมกระโหลกครั้งนี้ ได้กลายเป็นกระแสที่ถูกชาวเน็ตแชร์ต่อไปทั่วโลกออนไลน์ หลายๆ คนก็ให้ความเห็นว่า เป็นผลงานการศัลยกรรมที่ยิ่งใหญ่ราวกับงานศิลปะของดาวินชี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด อาจเป็นการตระหนักรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า… ความปลอดภัยต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก ที่มา: Metro
-
ช่วงเวลาดีๆ ของ ‘Ryan Reynolds’ เฟซไทม์ให้กำลังใจหนูน้อยวัย 5 ขวบที่ป่วยเป็นมะเร็งสมอง…
Daniel Downing หนุ่มน้อยที่ถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคเนื้องอกในสมองและโชคร้ายที่เจ้าหนูไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ หลังจากที่ได้ทราบข่าวร้ายทางครอบครัวของเจ้าหนูได้ติดต่อไปยังหนุ่ม Ryan Reynolds นักแสดงหนุ่มคนโปรดของเจ้าหนู เพื่อขอให้คุยกับเขา เมื่อติดต่อกับดาราคนโปรดได้ เจ้าหนูน้อยได้ขอร้องไปยังหนุ่ม Ryan ว่าอยากจะเฟซไทม์กับกับนักแสดงผู้รับบทฮีโร่มาดกวนอย่าง Deadpool วินาที่ที่เจ้าหนูได้วิดีโอคอลกับฮีโร่คนโปรด เจ้าหนูดีใจอย่ามากที่ได้พบกับ Ryan เขาบอกกับดาราคนโปรดว่าเขาอายุเพียงแต่ 5 ขวบเท่านั้นและรู้สึกดีใจสุดๆ ที่ได้มีโอกาสเฟซไทม์กับ Deadpool และนอกจากนี้เจ้าหนูยังเล่าเรื่องสุขภาพของเขาให้ Ryan ฟังอีกด้วย แต่ Daniel ไม่ได้พูดคุยกับ Ryan เพียงลำพังแต่ยังมีพ่อแม่ พี่ชาย และพี่เลี้ยงเด็กเขาอยู่ด้วย คุณ Stephanie ผู้เป็นแม่กล่าวว่า “ฉันมีความสุขมากๆ ที่เห็น Daniel ได้เจอกับดาราคนโปรด เขาตื่นเต้นมากๆ และเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนๆ และคุณครูที่โรงเรียนฟัง” การรักษาของเจ้าหนูน้อยนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบากและมีค่าใช้จ่ายที่สูง ในการรักษาแต่ละครั้งเขาและครอบครัวต้องเดินทางไกลกว่า 321 กิโลเมตรเพื่อไปพบแพทย์ คุณ Biffy ได้จัดตั้งแฟนเพจ JustGiving เพื่อระดมทุนช่วนเหลือในค่ารักษาและค่าเดินทางเพื่อไปโรงพยาบาลของเจ้าหนู ซึ่งเป้าหมายในการระดมทุนนั้นอยู่ที่ประมาณ 2 แสน 6 หมื่นบาท แต่ตอนนี้มีผู้ร่วมบริจาคมากถึง 6 แสน 5 หมื่นบาทแล้ว …
-
จีนค้นพบ “พระมัมมี่” อายุกว่า 1,000 ปี สภาพกระดูกและสมองครบสมบูรณ์มากที่สุด!!
กลายเป็นเรื่องที่ทำให้วงการแพทย์และวิทยาศาสตร์ถึงกับตื่นตะลึงเลยทีเดียว เมื่อมีการค้นพบรูปปั้นมัมมี่อายุกว่าพันปี ที่บรรจุร่างของพระรูปหนึ่งเอาไว้ด้านใน แถมยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยพบมาเลย เรื่องนี้ถูกเปิดเผยผ่านเว็บไซต์ Dailymail เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2017 ว่ามีการขุดพบร่างมัมมี่ของพระสงฆ์สีทองที่วัด Dinghui มณฑลเหอเป่ย ประเทศจีน เมื่อนำไปเข้าเครื่อง CT สแกนก็พบว่าภายในนั้นมีโครงกระดูกและสมองที่ยังอยู่ในสภาพดีจนสามารถนำมาศึกษาได้ โดยร่างมัมมี่นี้คือพระอาจารย์ Ci Xian ว่ากันว่าเป็นพระที่ได้รับการนับถือบูชาในสมัยก่อน และยังเคยเดินทางจากอินเดียไปยังจีนเพื่อเผยแพร่ศาสนาพุทธเมื่ออดีตกาลด้วย ในระหว่างการสแกนมีพระและเหล่านักบวชร่วมเป็นพยานด้วย ซึ่งผลการสแกนทำให้ผู้คนตกใจมาก เพราะกระดูกสมบูรณ์ราวกับคนปกติทั่วไป รวมไปถึงกราม ฟัน ซี่โครง กระดูกสันหลังและข้อต่อทั้งหมด ขั้นตอนการรักษามัมมี่ ขั้นตอนทั้งหมดล้วนใช้วิธีและวัตถุดิบทางธรรมชาติ เพื่อที่เหล่าสาวกจะได้รักษาสภาพของอาจารย์ของพวกเขาให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด โดยก่อนที่พระอาจารย์ของพวกเขาจะจากไป จะมีการถามก่อนว่าจะให้เผาหรือให้รักษาศพเอาไว้ หากเป็นอย่างหลังจะมีการนำศพไปใส่เอาไว้ในโหลเซรามิคขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยสารป้องกันการกัดกร่อนตามธรรมชาติ หลังจากนั้น 3 ปี เหล่าสาวกจะนำร่างของอาจารย์ออกจากโหลเพื่อดูว่าสภาพมัมมี่นั้นเน่าหรือไม่? พวกเขาเชื่อว่าหากดวงวิญญาณบรรลุไปอีกขั้นได้ ร่างของมัมมี่จะไม่เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา . . . ภาพสแกนอวัยวะต่างๆ ของมัมมี่ ที่แสดงให้เห็นว่าภายในยังสมบูรณ์จริงๆ . ที่มา dailymail
-
สาวป่วยเป็นโรค Daydream Disorder ที่มีบุคลิกมากกว่า 120 คน ภายในตัวเพียงคนเดียว!!
หลายคนอาจจะรู้จักภาพยนตร์เรื่อง ‘Split’ ที่เป็นการนำเรื่องจริงของชายผู้มีอาการป่วยทางจิต ทำให้มีบุคลิกออกมามากถึง 23 บุคลิก นั่นก็ถือว่าเยอะมากแล้วนะ แต่คุณอาจจะยังไม่รู้ว่ายังมีคนหลายบุคลิกที่มากกว่านั้นอีก อย่างเช่นเรื่องราวของ Kate Dranfield วัย 17 ปี จะทำให้เราต้องรู้สึกอึ้ง… เพราะเธอป่วยเป็นโรค ‘Daydream Disorder’ ซึ่งส่งผลทำให้เธอมีบุคลิกตัวตนมากถึง 120 คน!! Kate Dranfield และคุณแม่ของเธอ Sheila Dranfield “ทุกครั้งที่หนูเกิดอาการ หนูจะรู้สึกเหมือนกำลังเข้าสู่อีกโลกหนึ่งซึ่งเป็นโลกที่หนูกลายมาเป็นบุคคลที่ 3 และมันก็เป็นเรื่องยากมากที่เราจะรู้ว่าตัวตนไหนกำลังใช้ความคิดอยู่” เธอเล่าถึงอาการป่วยของเธอ ส่วนใหญ่แล้วอาการป่วยของเธอจะเริ่มแสดงออกมาทุกครั้ง เมื่อเธอรู้สึกเหนื่อยล้าหรือรู้สึกเครียด และโดยส่วนใหญ่แล้วบุคลิกต่างๆ จะแสดงตัวตนออกมาประมาณเกือบชั่วโมง Kate มีตุ๊กตา 6 ตัว เพื่อช่วยเยียวยาเธอจากการที่ไม่ได้ออกไปมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนภายนอกเลย เธอเริ่มรู้จักกับอาการนี้ครั้งแรกตอนอายุ 6 ขวบ และนั่นก็ทำให้เธอเริ่มมีปัญหากับการเข้าสังคม อีกทั้งอาการป่วยยังเริ่มส่งผลต่อการเรียนและการใช้ชีวิตประจำวันของเธอ ทว่าอาการดังกล่าวในทางการแพทย์ยังไม่มีวิธีรักษาที่แน่ชัด ทำให้ทางโรงเรียนไม่อาจจะให้การสนับสนุนและดูแลเธอในเรื่องนี้ได้ Jade (ซ้าย) บุคลิกผู้หญิงข้ามเพศ…
-
บทความน่ารู้… 3 สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่า คุณเสี่ยงเป็นผู้ป่วย “จิตเภท” เต็มทีแล้วนะ
วันนี้ขอทำตัวมีสาระพาไปพูดคุยกันถึงเรื่องของ ‘โรคจิตเภท’ กันบ้างดีกว่า เชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่รู้จัก หรือไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้เท่าไหร่นัก โรคจิตเภทเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของความคิด ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดและการรับรู้ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้นวันนี้เราจะพาคุณผู้อ่านไปรู้จักกับ 3 สัญญาณอันตราย ที่อาจบอกได้ว่าคุณมีสิทธิป่วยเป็นโรคจิตเภทด้วยเหมือนกัน ข้อมูลทั้งหมดนี้อ้างอิงงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ผ่านวารสาร ‘JAMA Psychiatry’ ของ University College London จิตแพทย์ Joseph F. Hayes ได้ศึกษาหาความเชื่อมโยงเกี่ยวกับตัวแปรที่เป็นสาเหตุจากผู้ป่วยโรคจิตเภท ผู้ป่วยโรคจิตอารมณ์ และผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์ จากการศึกษาและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ นักวิจัยได้ค้นพบ 3 ปัจจัยหลักที่เป็นได้ทั้งสาเหตุ และสัญญาณอันตรายในกลุ่มผู้มีภาวะความเสี่ยงประกอบไปด้วย ‘พลังงานทางจิตใจ’, ‘วุฒิภาวะทางสังคม’ และ ‘ความสามารถในการจัดการกับอารมณ์’ ‘พลังงานทางจิตใจ – เกี่ยวกับความสามารถในการใช้สมาธิต่อสิ่งรอบตัวต่างๆ รวมไปถึงความสามารถในการโฟกัสในสิ่งที่ทำ และปฏิกริยาการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ‘วุฒิภาวะทางสังคม’ – ความสามารถในการจัดการกับอารมณ์และพฤติกรรมของตัวเราเอง เพื่อให้กลมกลืนต่อผู้คนในที่สาธารณะ รวมทั้งการจัดการกับความคาดหวังจากคนรอบข้างด้วยเช่นกัน ‘ความสามารถในการจัดการกับอารมณ์’ – หมายถึงศักยภาพในการจัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้ไปในทางที่ดีขึ้นยกตัวอย่างเช่น คนที่อ่านข่าวชวนให้เครียดตั้งแต่เช้า แต่ยังสามารถไปทำงาน และใช้ชีวิตได้ปกติ ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่มีความสามารถในการจัดการต่ำ หากพวกเขาได้รับรู้เรื่องชวนให้เครียดหรือผิดหวัง อาจทำให้พวกเขาหมดกำลังใจในการใช้ชีวิตได้ แน่นอนว่าถ้าหากคนใกล้ตัวคุณ…
-
งานวิจัยยืนยัน การหลับนอนไม่เพียงพอ ส่งผลทำให้สมองมีประสิทธิภาพที่ด้อยลง..!!
สำหรับใครที่ชอบอดหลับอดนอนอยู่เป็นประจำ หรือชอบทำกิจกรรมถึงดึกดื่น พอตอนเช้าก็ตื่นไปทำงานสายทู๊กกที วันนี้มีงานวิจัยออกมายืนยันถึงผลเสียของพฤติกรรมดังกล่าว ที่มีผลต่อสมองของเราแล้วนะ อ้างอิงผลทีมวิจัยจาก Marche Polytechnic University ประเทศอิตาลี พวกเขาพบว่าสมองส่วนที่เรียกว่า ‘ซิแนปส์’ จะถูกเซลล์ที่เรียกว่า ‘แอสโทรไซต์’ กลืนกินจากสาเหตุเพราะการหลับนอนที่ไม่เพียงพอ โดยทีมวิจัยได้ทำการศึกษากับหนูทดลอง เกี่ยวกับประสิทธิภาพสมองของพวกมัน โดนเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มหนูทดลองที่ได้นอนหลับอย่างเพียงพอ และกลุ่มหนูทดลองที่ถูกกระตุ้นให้ได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ พวกเขาค้นพบว่า.. เซลล์ส่วนที่เรียกว่า ‘แอสโทรไซต์’ ซึ่งใช้สำหรับการจัดการกับสมองจะส่งผลร้ายมากกว่า ในสภาวะของหนูที่ได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ เซลล์ดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า ‘แอสโทรไซต์’ ซึ่งมันจะทำหน้าที่คอยกำจัดเซลล์ส่วนอื่นๆ และส่งผลให้สมองอ่อนแอลง มีประสิทธิภาพการทำงานที่น้อยลง “ในสมองส่วน ซิแนปส์ ก็เปรียบได้กับเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ที่ต้องได้รับการดูแล และทำความสะอาด เพื่อการทำงานของสมองที่ดีในระยะยาว” Michele Bellesi หัวหน้าทีมวิจัยให้สัมภาษณ์ เมื่อพวกเขาได้ลองวิจัยกับสมองของอาสาสมัคร 1,344 คน โดยมีการตรวจวัดระดับความดันในเลือด ระดับน้ำตาล และระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด ทำให้พบว่าการนอนหลับไม่ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน จะส่งผลเสียในระยะยาวต่อทั้งสมอง และระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายจริง จากสถิติพบว่าโดยเฉลี่ยแล้วคนที่หลับนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงเป็นประจำ…
-
Elon Musk เริ่มโครงการ ‘Neuralink’ อุปกรณ์เชื่อมต่อสมองมนุษย์ ให้สื่อสารกับ AI ได้โดยตรง!!
ถ้าพูดถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงทางด้านเทคโนโลยีมากที่สุดในยุคปัจจุบัน คงไม่มีจะโด่งดังไปกว่า Elon Musk ซีอีโอของบริษัท SpaceX และ Tesla ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาได้สร้างสรรค์นวัตกรรมเจ๋งๆ ขึ้นมาบนโลกมากมาย ล่าสุดเขาได้เปิด Neuralink ตัวเครื่องมือสุดล้ำยุค ที่จะทำให้มนุษย์สามารถเชื่อมต่อ “สมอง” ของตนเองเข้ากับคอมพิวเตอร์ อย่างที่เคยๆ เห็นกันมาในภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ล้ำโลก แต่ทว่าในคราวนี้มันจะออกมาในโลกของความเป็นจริงแล้ว เขาได้กล่าวกับ The Wall Street Journal ว่าบริษัทของเขากำลังเริ่มต้นพัฒนาเทคโนโลยีที่เรียกว่า Neuralink เป็นอุปกรณ์ที่ฝังเข้าในสมองของมนุษย์เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวจะทำให้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังทำให้มนุษย์สามารถสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง “ผมเชื่อว่าวันหนึ่ง เราจะได้เห็นปัญญาประดิษฐ์เชื่อมต่อกับปัญญาชีวภาพอย่างพวกเรา” Elon Musk กล่าว อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีดังกล่างยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น และจะยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเบื้องต้นใดๆ ออกมาทั้งสิ้น สำหรับปัจจุบัน ยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่สามารถเชื่อมต่อสมองมนุษย์เข้ากับคอมพิวเตอร์ได้ ที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือการฝังเครื่องมือเข้าในสมองเพื่อช่วยบรรเทาอาการของโรคพาร์กินสันหรือโรคทางประสาทต่างๆ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความเสี่ยงมากอยู่ดี เพราะการผ่าตัดอาจส่งผลกระทบต่อสมองโดยตรงก็เป็นได้ ถ้าอุปกรณ์นี้พร้อมใช้งานแล้ว มันคงเป็นเรื่องที่เจ๋งสุดๆ แน่นอน ไม่แน่เราอาจมีโลกอย่างในหนังเรื่อง The Matrix ขึ้นมาจริงๆ ก็ได้นะ ที่มา theverge
-
เด็กน้อยป่วย “เนื้องอกในสมอง” อุทิศวันเกิดตัวเอง เพื่อช่วยเหลือสัตว์ในสถานรับเลี้ยง…
นี่คือหนูน้อย Bryce Hill เด็กตัวเล็กที่ใจไม่เล็ก… เมื่อปีที่แล้ว หนูน้อยถูกวินิจฉัยว่ามีเนื้องอกในสมอง ซึ่งพบได้ยากมากๆ สำหรับเด็กอายุแค่นี้ อาจเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่ Bryce ก็ต่อสู้กับมันมาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าจะต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้งก็ตาม ตอนนี้หนูน้อยต้องต่อสู้กับโรคร้าย แต่ก็ไม่ลืมที่จะเป็นผู้ให้ โดยเฉพาะคนที่ต้องการความช่วยเหลือ Bryce อายุครบ 6 ขวบเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เขาได้จัดงานปาร์ตี้เล็กๆ กับครอบครัวพร้อมเพื่อนๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาทำแตกต่างออกไป แทนที่เขาจะอยากได้ของขวัญ หนูน้อยกลับอยากให้แขกที่มาร่วมงานช่วยกันบริจาคของให้กับสถานรับเลี้ยงสัตว์ที่อยู่ในละแวกบ้าน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวดีๆ เพราะเดือนที่แล้ว Bryce ได้ไปเยี่ยมสถานรับเลี้ยง Illinois Valley Animal Rescue (IVAR) แล้วมอบของเล่นและอาหารให้กับสัตว์ที่ต้องการความช่วยเหลือ คุณแม่ Gina Panther เล่าว่าเธอภูมิใจในตัวลูกเป็นอย่างมาก และยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ทางสถานรับเลี้ยงยังให้หนูน้อยได้เป็นอาสาสมัครกิตติมศักดิ์ พร้อมกับได้เล่นกับเหล่าสัตว์ที่อยู่ที่นั่นด้วย ในตอนนี้หนูน้อยก็ยังต้องเข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอที่โรงพยาบาล พร้อมทั้งยังได้เป็นอาสาสมัครที่มีโอกาสได้เข้าถึงสัตว์ในสถานรับเลี้ยงนี้อีกด้วย นอกจากนี้หนูน้อยยังได้รับหมาน้อยกลับบ้านมาเป็นเพื่อนแก้เหงา คอยดูแลซึ่งกันและกัน นี่อาจจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับเขาเลยก็ได้ ถือเป็นเรื่องราวที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก เด็กตัวแค่นี้ แต่มีความคิดที่เอื้อเฟื้อแก่ผู้อื่น…
-
นักวิทย์ฯ เผย คนที่ไม่ชอบฟังเพลงนั้นไม่ได้เพี้ยน แต่เกิดจากความผิดปกติของสมอง!!?
เชื่อว่าหลายคนต้องเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก’ กันมาบ้างล่ะ ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็มีอยู่จริงๆ นั่นแหละ คนที่รู้สึกว่าการฟังเพลงไม่ได้เป็นเรื่องผ่อนคลาย แถมยังไม่พอบางคนอาจจะรู้สึกว่าเสียงดนตรี เป็นเสียงที่สร้างความรำคาญใจให้พวกเขาเหลือเกิน ถ้ายึดตามหลักคำกล่างข้างต้น เราคงจะมองว่าคนนั้นต้องเป็นคนบ้า หรือไม่ก็เพี้ยนมากแน่ๆ มีอย่างที่ไหนไม่ชอบฟังเพลง แต่ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร เพราะล่าสุดกลุม่นักวิจัย และทีมนักวิทยาศาสตร์ ได้ร่วมกันออกมาเผยแล้วว่า อาการดังเกิดจากความผิดปกติของการทำงานในสมองต่างหากล่ะ!? อ้างอิงจากข้อมูลที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐ ได้มีการทำวิจัยเกี่ยวกับทำงานที่เชื่อมต่อกันระหว่าง สมองส่วนกลางบริเวณที่เรียกว่า ‘Rewards Center’ (ศูนย์การให้รางวัลในสมอง) และก้านสมอง (ส่วนที่ทำให้เรารับฟังเสียงได้) จากการวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่มีอาการไม่ชอบฟังเพลง หรือที่เรียกว่า ‘Musical Anhedonia’ จะมีการเชื่อมต่อกันของทั้งสองส่วนในสมองน้อยกว่าคนปกติทั่วไป เมื่อคนที่มีอาการนี้ได้ฟังเพลงแล้ว พวกเขาจึงมีความรู้สึกว่ามันเป็นเสียงที่สร้างความรำคาญให้มากกว่าความไพเราะเหมือนที่คนอื่นๆ รู้สึก ทางด้านของ Dr. Robert Zatorre นักประสาทวิทยาจาก มหาวิทยาลัย McGill ได้ออกมาชี้แจงเพิ่มเติมว่า “จากการวิจัยทำให้เราพบความแตกต่างส่วนนี้ในสมองของคนบางส่วน ถึงแม้ว่าจะเป็นอาการที่พบได้ยาก แต่มันก็มีอยู่จริง ผลกระทบก็คือพวกเขาเหล่านั้นจะมีการรับรู้ทางด้านดนตรีน้อยกว่าคนอื่นๆ” Dr. Robert Zatorre …
-
Neurotechnology ประสาทเทคโนโลยี เรียนรู้สมอง เพื่อสร้าง ‘ความสุข’ ให้มนุษย์
วิทยาศาสตร์อันก้าวหน้าส่งผลทำให้เกิดเทคโนโลยีขึ้นมามากมาย ซึ่งนอกจากจะพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายของมนุษย์แล้ว ก็ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของมนุษย์เช่นเดียวกัน Neurotechnology (ประสาทเทคโนโลยี) คือการศึกษาเกี่ยวกับสมองของมนุษย์ ทั้งทางด้านจิตใต้สำนึก ความคิด การทำงานของสมองและการสั่งการต่างๆ โดยจะทำการวิเคราะห์อัลกอริทึมจากคลื่นสมองที่ประมวลผลได้ ทั้งนี้ประสาทเทคโนโลยีมีต้นกำเนิดมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปีแล้ว จุดประสงค์หลักของเทคโนโลยีนี้คือทำการศึกษาและเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของสมองอันส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและบุคลิกภาพของมนุษย์ ปัจจุบันก็ยังคงศึกษากระบวนการทำงานของสมองกันอย่างต่อเนื่อง นำมาสู่การพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่เพื่อช่วยในการวิเคราะห์สมองอย่าง Nurobrain เป็นความร่วมมือกันระหว่างอาจารย์ Mitsukura ผู้เชี่ยวชาญทางด้านระบบประสาทของสมองจาก Keio University และทีมนักวิทยาศาสตร์ neurowear Nurobrain จึงได้รับการออกแบบเป็นอุปกรณ์ที่สวมใส่ได้ง่าย วัดค่าคลื่นสมองได้อย่างรวดเร็ว บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกของผู้สวมใส่ อีกทั้งยังสามารถวัดระดับค่าอารมณ์เป็นเปอร์เซ็นต์ได้ด้วย เช่นค่าความสนใจ ความชอบ ความจดจ่อ ความเครียด และความง่วง เป็นต้น โดยอารมณ์ทั้งหมดนี้จะเป็นผลลัพธ์ของค่าคลื่นสมองที่นำมารวมกันแล้วตีความออกมานั่นเอง Sappe (ที่รู้จักกันดีในชื่อเครื่องดื่มผู้นำทางนวัตกรรม Sappe Beauti Drink ) ได้ลองนำ Nurobrain มาทำการทดสอบวัดค่าความสุข ซึ่งประเมินโดยวัดค่า ‘ความชอบ’ ที่ส่งผ่านคลื่นสมอง โดยในการทดลอง…
-
ไม่ได้กินก็อ้วน!? ผู้เชี่ยวชาญเผยอปากบอก การส่องสมาร์ทโฟนก่อนนอนก่อให้เกิดความอ้วน
ความอ้วนเป็นสิ่งที่หลายคนเกรงกลัว ไม่อยากจะให้มันเข้ามาในชีวิต ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็อ้วนแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการกินที่หักห้ามใจกันไม่ได้ ก็เพราะมันอร่อยแต่มันทำให้อ้วนนี่สิ ยิ่งกินตอนดึกยิ่งทำให้อ้วนหนักมากขึ้น!! แต่รู้มั้ยว่า สาเหตุของความอ้วนในยุคสมัยนี้ นอกจากการกินแล้วก็ยังมีอีกสิ่งที่หนึ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่ามันจะทำให้อ้วนได้เหมือนกัน นั่นก็คือ การเล่นสมาร์ทโฟนในช่วงเวลาก่อนนอน อะไรนะ!? มันเป็นไปได้จริงๆ เหรอเนี่ย ศาสตราจารย์คลินิกจิตเวช Dr. Daniel Siegel ได้อธิบายไว้ในคลิปวิดีโอสั้นๆ ว่าผลกระทบของการเล่นสมาร์ทโฟนก่อนนอนนั้นส่งผลกระทบต่อสมองและร่างกายเป็นทอดๆ ซึ่งเมื่อเราเริ่มจ้องไปที่สมาร์ทโฟนปุ๊บ กระแสของโฟตอนจะส่งสัญญาณไปถึงสมองให้ตื่นตัวตลอด และแสงจากจอก็จะกระตุ้นให้สมองยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน (ฮอร์โมนที่ทำให้หลับลึก) เพราะว่ายังไม่ถึงเวลานอน ยิ่งเลื่อนหน้าจอดูฟีดจากโซเชียลมีเดียต่างๆ มากเท่าไหร่ ก็เหมือนกับว่าบังคับให้ร่างกายตื่นตัวมากเท่านั้น ทำให้การนอนหลับพักผ่อนในตอนกลางคืนไม่เพียงพอ ถ้าคุณนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมง เซลล์เกลียในร่างกายจะไม่สามารถกำจัดสารพิษออกไปจากเซลล์ประสาทได้ จากนั้นก็จะไปกระตุ้นให้ระดับอินซูลินในร่างกายเพิ่มขึ้น โดยปกติอินซูลินในระดับที่พอเหมาะนั้นจะช่วยควบคุมการเผาผลาญของร่างกาย แต่ถ้าหากว่ามีมากเกินไปจะให้ผลที่ตรงกันข้าม นั่นหมายถึงหากว่าเรานอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ระดับอินซูลินที่เพิ่มสูงจะทำให้น้ำหนักตัวเราเพิ่มขึ้น อีกทั้งความเหนื่อยล้า ความเพลียที่นอนไม่พอนั้นจะทำให้เราหิวมากขึ้น และเมื่อกินอาหารเข้าไปทั้งๆ ที่นอนน้อย ระบบการเผาผลาญไม่สามารถทำงานได้เต็มที่…
-
ตำนานมวยปล้ำหญิง Chyna บริจาคสมองของเธอเพื่อวิจัยหาผลกระทบจากการเล่นมวยปล้ำ
ข่าวคราวการสูญเสียบุคคลชื่อดังระดับตำนานในวงการมวยปล้ำ WWE นั้นนับว่าเป็นอะไรที่น่าใจหายมากๆ ล่าสุดนี้หากใครได้ติดตามข่าวคราวกันมาบ้างแล้วจะทราบว่า นักมวยปล้ำหญิงระดับตำนานอย่าง Chyna นั้นได้เสียชีวิตลงแล้ว Chyna หรือชื่อจริง Joanie Laurer ถูกพบเสียชีวิตอยู่ภายในบ้านของตัวเอง โดยที่ผู้พบศพของเธอก็คือผู้จัดการส่วนตัว Anthony Anzaldo เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา Chyna กับผู้จัดการส่วนตัวของเธอ Anthony Anzaldo ทั้งนี้ทางผู้จัดการเองไม่อยากจะติดตามในเรื่องของสาเหตุการเสียชีวิตมากนัก และพยายามที่จะพูดคุยกับครอบครัวของเธอเพื่อทำการบริจาคสมองในการค้นคว้าวิจัยหาผลกระทบของสมองจากการเล่นมวยปล้ำ และหาทางรับมือกับมันในอนาคต โดยในทีมงานวิจัยนี้จะมี Dr. Bennet Omalu ผู้ค้นพบ Central Traumatic Encephalopathy โรคความเสี่ยงทางสมองของนักกีฬาเข้าร่วมด้วย เพื่อที่จะสร้างความตระหนักต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสมองของนักกีฬามวยปล้ำ ทั้งนี้นักมวยปล้ำชื่อดังอย่าง Mick Foley, Kevin Nash และ Jeff Hardy ได้ยืนยันแล้วว่าพวกเขายินยอมที่จะบริจาคสมองหลังจากที่พวกเขาเสียชีวิตลงไปแล้ว และ John Cena กำลังพิจารณาอยู่ว่าถ้าหากการวิจัยนี้เป็นประโยชน์จริงๆ…
-
นักวิทย์ฯเผย ผู้หญิงควรนอนเยอะกว่าผู้ชาย เพราะว่าสมองพวกเธอทำงานหนักกว่า!!
ถือเป็นข่าวดี(รึเปล่า?) สำหรับผู้หญิงที่รักการนอนหลับเป็นชีวิตจิตใจ (ยกเว้นนอนหลังกินข้าวเสร็จนะ) เพราะว่าตอนนี้ได้มีผลวิจัยออกมาแล้วว่าเหตุผลที่ผู้หญิงนอนเยอะกว่าผู้ชายนั้นเป็นเพราะสมองนั้นซับซ้อนกว่าผู้ชาย เลยต้องการการพักผ่อน ศาสตราจารณ์ Jim Horne แห่งมหาวิทยาลัย Loughborough University ประเทศอังกฤษได้ออกมาบอกว่า “สำหรับผู้หญิงแล้ว การนอนน้อยนั้นมีผลอย่างมากกับความเครียด และความรู้สึก ทำให้หงุดหงิดและซึมเศร้าได้ ซึ่งเราลองศึกษาจากผู้ชายแล้วไม่พบกรณีดังกล่าว” อย่างที่เราเคยรู้ว่านอนประมาณ 8 ชั่วโมง ก็ไม่ใช่ที่เหมาะสำหรับทุกคนแล้ว โดยที่เขาได้ออกมาเผยอีกว่าผู้หญิงนั้นต้องการนอนเยอะกว่าผู้ชาย เพราะว่าสมองซับซ้อนกว่า การได้นอนหลับเยอะเป็นการจัดระเบียบได้อย่างดี อีกทั้งยังมีข้อมูลด้วยว่าผู้หญิงสามารถทำงานหลายๆสิ่งพร้อมกันได้ดีกว่าผู้ชายด้วย ดังนั้นพวกเธอก็เลยต้องการพักผ่อนสมองให้มากๆ ผู้หญิงหลายคนที่เห็นข่าวนี้คงยิ้มเยาะแล้วคิดในใจว่า “หึหึ ต่อไปนี้แกจะหาว่าชั้นนอนกินบ้านกินเมืองไม่ได้แล้วนะ เพราะสมองของฉันทำงานหนักไงล่ะ” ที่มา Metro, distractify
-
หนูน้อยป่วยเป็นมะเร็งสมอง ผู้โชคดีขออะไรก็ได้ แต่เธอขอไปเก็บขยะ สร้างแรงบันดาลใจให้คนนับพัน!!!
ต้องบอกว่าเป็นเรื่องราวสุดประทับใจของหนูน้อย Amelia Meyer ที่เธอเป็นผู้โชคดี Make-A-Wish รายการที่จะให้เด็กๆ ขออะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการพบกับดาราคนดังที่เธอชื่นชอบ ไปเที่ยวสถานที่เจ๋งๆ หรือว่าขอขนมเป็นตั้งๆ …ไม่หรอก เธอขออะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เธอขอการดูแลโลก!!! เป็นคำขอที่น่ารักที่สุดที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้ Amelia Meyer หนูน้อยผู้ป่วยโรคมะเร็งสมองวัย 8 ขวบ ขอพรให้เธอสามารถไปช่วยดูแลสวนสาธารณะของเมืองที่เธออาศัย ซึ่งคุณครูของเธอก็บอกเพิ่มเติมว่า เธอรักสวนสารธารณะแห่งนี้มาก และมักจะไปบ่อยๆ กับคุณยายของเธอ Make-A-Wish ที่จะขออะไรก็ได้ เธอได้ให้สัมภาษณ์กับ CBS News ว่า ‘สวนสาธารณะมันดูไม่ดีเอาซะเลย และเหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือมันอาจทำให้สัตว์ที่เข้ามาในสวนป่วยหรือบาดเจ็บได้ด้วย’ ถึงจะเป็นเรื่องเล็กๆ ที่เธอขอ และทางรายการก็จัดให้ได้โดยง่าย แต่ก็เป็นแรงบันดาลใจให้คนแถบนั้นสุดๆ ไปเลยทีเดียว โดยวันที่เธอไปทำความสะอาดนั้น ทั้งสถานีตำรวจ พนักงานดับเพลิงทุกคน รวมถึงอาสาชาวเมืองอีกนับร้อยๆ คนต่างมาช่วยเธอทำความสะอาดสวนแห่งนี้ ‘หนูคิดว่าจะมีคนมานะ แต่ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้’ Meyer กล่าว สำหรับตอนนี้หนูน้อยก็เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจและการทำความดีให้กับเมืองแห่งนี้เลยทีเดียว จนนายกเทศมนตรีของเมืองออกมาประกาศให้วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมาเป็นวัน “Amelia Meyer’s Take Care…
-
บอกมาคุณเห็นอะไร!? ภาพแรกที่สมองสั่งให้คุณเห็นสามารถบ่งบอกได้ว่าคุณเป็นคนยังไง
วันนี้ #เหมียวเลเซอร์ มีอะไรสนุกๆ ทดสอบสมองกันซักหน่อย ไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไรมากมาย เป็นเพียงแค่ภาพหนึ่งภาพ แต่สามารถบอกได้ว่าความคิดของคุณเป็นแบบไหนกัน เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็เลื่อนลงมาดูกันโลด!! ปิ๊งงงงง!! เอาล่ะ ทีนี้ ลองบอกมาซิว่าแวบแรกที่เห็น คุณนึกถึงอะไรเอ่ย? นกใช่มั้ย? ใช่กระต่ายรึเปล่า? เอ หรือว่าจะเป็น เป็ด? ไม่ว่าคุณจะเห็นเป็นอะไร มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ตอนแรกคุณเห็นเป็นเป็ด แต่ลองดูอีกที อ๊ะ!! มันกลายเป็นกระต่ายไปแล้ว งงล่ะสิ? สำหรับภาพดังกล่าวนั้นเป็นภาพลวงตา (ลักษณะคล้ายๆ กับสีเสื้อทอง – น้ำเงิน ที่เถียงกันในเน็ตไม่รู้จบนั่นแหละ) และสิ่งแรกที่คุณมองเห็นจะสามารถบ่งบอกได้ว่าสมองของคุณมีความคิดสร้างสรรค์มากแค่ไหน โดยภาพนี้ถูกวาดขึ้นมาโดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกันนามว่า Joseph Jastrow เป็นการทดสอบการประมวลผลของสมองที่จะสามารถมองเห็นสัตว์ตัวที่สองได้รวดเร็วแค่ไหน ซึ่งถ้าหากว่าคุณสามารถสังเกตเห็นสัตว์ตัวที่สองได้เร็วมากๆ นั่นก็หมายความว่าคุณเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าปกติ ที่มา : ist-socrates.berkeley.du, mathworld.wolfram, theladbible
-
สงสัยก็คลายซะ!! เมล็ดกาแฟต่างสูตร มีผลต่อสมองแตกต่างกันมั้ย งานวิจัยล่าสุดเผยว่า ‘ต่าง’
สำหรับคอกาแฟจะต้องชื่นชอบแน่นอนกับผลงานวิจัยชิ้นล่าสุดนี้ ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้มีคนชื่นชอบดื่มกาแฟกันมากขึ้น โดยเฉพาะกาแฟสดในสูตรต่างๆ ที่มีเยอะแยะมากมาย เพื่อตอบสนองความชื่นชอบแต่ละคนที่เลือกดื่มเพื่อผ่อนคลายหรือเป็นแรงกระตุ้นในการทำงาน ทั้งในเรื่องของกาแฟร้อนและกาแฟเย็น แต่ละสูตรมีส่วนผสมที่ต่างกัน ให้กลิ่นที่ต่างกัน เนื่องจากเมล็ดกาแฟนั้นเป็นคนละชนิด บางคนอาจจะไม่ได้สังเกตเท่าไหร่ มันก็ไม่แตกต่างจนเห็นได้ชัด แต่ที่แน่ๆ ในตอนนี้มีงานวิจัยชิ้นล่าสุดจากญี่ปุ่น ออกมาเปิดเผยแล้วว่าเมล็ดกาแฟแต่ละชนิดจะส่งผลต่อคลื่นอัลฟาในสมองในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน โดยคลื่นอัลฟาในสมองนี้จะมีอัตราส่วนที่สูงมากเมื่อเราอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลาย นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ากลิ่นจากกาแฟนี่แหละช่วยกระตุ้นได้ โดยเฉพาะการดมกลิ่นของเมล็ดกาแฟ Guatemalan และ Jamaican Blue Mountain รวมไปถึงการคั่วเมล็ดกาแฟก็มีส่วนเช่นกัน สีน้ำตาลเข้มและสีแดงคือระดับของคลื่นอัลฟาในสมอง ถ้าหากว่าคุณอยากมีสมาธิมากขึ้น เมล็ดกาแฟสูตร Brazilian Santos, Hawaiian Kona และ Sumatra จะมาช่วยกระตุ้นในส่วนนี้ได้ โดยจะช่วยในส่วนของการประมวลผลในสมอง (การตัดสินใจ, การจดจ่อ) โดยอ้างอิงจากผลการทดสอบในอาสาสมัครที่มีการตอบสนองต่อคลื่นความถี่สูงหลังจากที่ได้ดมกลิ่นเมล็ดกาแฟที่แตกต่างกัน กราฟอ้างอิงผลการทดสอบการตอบสนองต่อคลื่นความถี่ ยิ่งกราฟแท่งต่ำเท่าไหร่ นั่นก็หมายถึงการประมวลผลที่รวดเร็ว แล้วคุณล่ะ อยากจะดื่มกาแฟจากเมล็ดแบบไหนเอ่ย? การดมกลิ่นช่วยส่งผลต่อสมองในรูปแบบที่แตกต่างกันอย่างนี้ ถ้าหากว่าต้องอยู่ดึกเพื่อทำงานหรืออ่านหนังสือ เมล็ดกาแฟ…
-
การอ่านหนังสือจากสื่อสิ่งพิมพ์และเครื่องอ่าน Kindle ส่งผลต่อสมองในรูปแบบที่แตกต่างกัน
เป็นที่ทราบกันดีกว่าในยุคสมัยปัจจุบันนี้กลายเป็นยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี ที่แทบจะเข้ามาแทนที่ทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว รวมไปถึงการเข้ามามีบทบาทเปลี่ยนแปลงการอ่านของมนุษย์ด้วย ที่เหมียวกำลังจะกล่าวถึงก็คือมนุษย์หันมาอ่านหนังสือผ่านเครื่องอ่านอิเล็กทรอนิคส์มากขึ้น (Kindle และ E-Book) คุณ Manoush Zomorodi และ Mike Rosenwald ได้ร่วมกันพิสูจน์ถึงผลกระทบของการอ่านหนังสือผ่านเครื่องอ่านอิเล็กทรอนิคส์ ซึ่งทั้งสองคนต่างก็รู้สึกเหมือนกันว่าไม่มีสมาธิที่จะจดจ่อกับการอ่าน ราวกับว่าอ่านตัวหนังสือผ่านเว็บไซต์หรือหน้าฟีดทวิตเตอร์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมนุษย์ใช้สมองในส่วนที่แตกต่างกัน จากทั้งการอ่านผ่านหนังสือและหน้าจอ เพราะฉะนั้นการอ่านตัวหนังสือจากหน้าจอจะทำให้มีลักษณะการอ่านแบบ Skimming (อ่านผ่านอย่างรวดเร็ว) คล้ายๆ กับการกวาดตาอ่านเว็บไซต์ Zomorodi กล่าวเสริมเอาไว้ว่า ปัจจุบันผู้คนหันมาอ่านตัวหนังสือผ่านหน้าจอกันมากขึ้น และทำให้ลักษณะการอ่านแบบจดจ่อนั้นค่อยๆ จางหายไป เพราะไม่ได้ใช้งานสมองส่วนที่อ่านหนังสือจากสิ่งพิมพ์เลย และด้วยปัญหานี้จะทำให้มนุษย์ยุคใหม่มีสมาธิที่สั้นลง ไม่จดจ่อกับสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กๆ ที่โตมากับเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะหันมาจับหนังสือจริงๆ แล้วลองใช้เวลากับมันซักพัก วันละ 1 ครั้งก็ยังดี ที่มา : pri, niemanreports, academia
-
ตำรวจรวบหนุ่มมะกัน หลังย่องเข้าโรงพยาบาลขโมย “สมอง” เพื่อนำไปขายต่อใน eBay !?
eBay ถือเป็นเว็บไซต์ที่มีสินค้าหลายแสนชิ้นให้คุณได้เลือกซื้อ ตั้งแต่ซากกระเบือยันเรือรบเลยทีเดียว แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าจะมีสมองมนุษย์ให้เราเลือกซื้อด้วย!? เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เว็บไซต์ Metro ได้รายงานว่านาย David Charles วัย 23 ปี ได้แอบย่องเข้าไปยังพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางการแพทย์อินดีแอนา ในโรงพยาบาลประสาทเซ็นทรัลอินเดียนา เพื่อขโมยทรัพย์สินกลายอย่าง ทั้งแต่เครื่องวัดคลื่นไฟฟ้า กล้องจุลทัศน์ ไปจนถึงสมองของมนุษย์ นาย Charles ถูกตำรวจจับกุมเมื่อเดือนธันวาคมปี 2013 หลังจากที่เขาขโมยขวดโหลที่บรรจุสมองไว้ภายในกว่า 6 โหล และขายมันในเว็บไซต์ eBay ในราคา 400 ปอนด์ หรือประมาณ 21,528 บาท ซึ่งบนสินค้านั้นมีเลขรหัสอยู่ ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถตามตัวได้อย่างไม่ยากเย็น เจ้าหน้าที่สืบสวนบอกว่าหลักฐานอย่างหนึ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถตามตัวนาย Charles ได้ก็เพราะว่า เขาดันทิ้งเศษกระดาษที่มีรอยนิ้วมือเปื้อนเลือดของเขาไว้ที่ด้านหลังของพิพิธภัณฑ์นั่นเอง ทั้งนี้นาย Charles ได้ถูศาลสั่งจำคุกเป็นเวลา 1 ปีและแน่นอนว่าถูกสักห้ามเข้าใกล้กับพิพิธภัณฑ์ด้วยเช่นกัน อยู่ดีไม่ว่าดี ไปเอาสมองของคนอื่นมาขายซะนี่ ที่มา metro
-
Jason Padget จากอดีตเสือผู้หญิง โดนชกที่หัว ตื่นมาอีกทีกลายเป็นอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์!?
เรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อของชายวัย 44 ปี จากเมือง Tacoma รัฐ Washington ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาผู้นี้มีชื่อว่า Jason Padget ซึ่งปัจจุบันนี้เขากลายมาเป็นพ่อหนุ่มอัจฉริยะทางด้านคณิตศาสตร์แบบที่ว่าหาได้ยากมากๆ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้เขาเป็นอัจฉริยะได้นั้นกลับไม่ใช่มาจากการศึกษาในตอนแรก เพราะในอดีตที่ผ่านมาของ Jason ไม่เคยสนใจที่จะเรียนหนังสือเลย ลาออกจากโรงเรียน มีนิสัยเกเร แถมยังเป็นเสือผู้หญิงตัวพ่ออีกต่างหาก โดยย้อนกลับไปในปีค.ศ. 2002 ระหว่างที่เขาเพิ่งออกมาจากผับ จู่ๆ ก็มีโจร 2 คนพุ่งเข้ามาทำร้ายเขาทั้งชกและเตะไปที่หัวของเขาอย่างจังและซ้ำอยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะหลบหนีไป แพทย์ได้ทำการตรวจร่างกายของเขาและบอกว่า บริเวณศรีษะได้รับการกระทบกระเทือนนิดหน่อย ไม่จำเป็นต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล รับยาแล้วก็ไปพักที่บ้านได้ หลังจากพักฟื้นได้ซักพักเขาก็เริ่มมองเห็นรูปทรงเรขาคณิตแบบซับซ้อนกับทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นภาพวาดได้ แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงสมการต่างๆ ของรูปทรงเหล่านี้ เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้เรียนรู้มาก่อน และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ Jason ตัดสินใจเรียนทางด้านคณิตศาสตร์และฟิสิกส์อย่างจริงจัง ทั้งนี้ก็ได้มีการตรวจสอบสมองของ Jason อย่างละเอียดอีกครั้งก็พบว่า สมองของเขาได้รับการกระตุ้นอยู่ 2 ส่วนจากการถูกทำร้ายในคืนนั้นที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือส่วนคำนวณด้านคณิตศาสตร์และส่วนของจินตนาการภาพ โดยอาการแบบนี้เรียกว่า…
-
ไปดูกันว่าเหล่าบุคคลชื่อดังของโลกในอดีต เขามีพฤติกรรมในการหลับอย่างไรกันบ้าง!
นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากพยายามบอกเราว่า การนอนหลับอย่างเพียงพอทำให้สมองเราทำงานได้ดีขึ้น หรือแปลว่าเราจะฉลาดขึ้นนั่นเอง แต่ก็มีบางคนบอกว่า บางครั้งความเฉลียวฉลาดและไอเดียดีๆ เริ่มมาจากการไม่ได้นอนนี่แหละ ทำให้เกิดความสับสนกันไปทั่ว และวันนี้เหมียวจะพาเพื่อนๆไปชมกราฟพฤติกรรมการหลับนอนของเหล่านักคิดหรือบุคคลสำคัญระดับโลกในอดีต ว่าเขามีพฤติกรรมการนอนอย่างไร พวกเขานอนหลับเพียงพอในแต่ละวันหรือไม่ หรือว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ค้างคาว ที่ไม่ยอมหลับยอมนอน เพื่อสรรสร้างผลงานดีๆออกมา ไปชมกันเลยดีกว่า หลายคนอาจมองเห็นไม่ชัด เหมียวจะยกตัวอย่างคนที่น่าสนใจมาให้เพื่อนๆได้ชมกัน เริ่มจาก Victor Marie Hugo เจ้าของบทประพันธ์ชื่อก้องโลก Les Miserable เขาจะนอนตั้งแต่สี่ทุ่ม และตื่นอีกทีตอนหกโมงเช้า (8 ชั่วโมง) Thomas Mann นักเขียนชาวเยอรมันเจ้าของรางวัลโนเบลนอนตั้งแต่เที่ยงคืน ตื่นอีกทีตอนแปดโมงเช้า (8 ชั่วโมง) John Milton นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษเจ้าของผลงาน Paradise Lost นอนตั้งแต่ประมาณสามทุ่ม ตื่นอีกทีตอนตีสี่ (7 ชั่วโมง) Benjamin Franklin หนึ่งในผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา และผู้ประดิษฐ์สายล่อฟ้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม ตื่นอีกทีตอนตีห้า (7 ชั่วโมง) …
-
ต้อนรับวันฮาโลวีนกับ “เค้กสมองไหล” เอาใจซอมบี้ผู้ชอบกินสมองโดยเฉพาะ!!
สิ่งหนึ่งที่อยู่คู่วันฮาโลวีนก็คือของกิน โดยเฉพาะขนมหวานต่างๆเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย แต่จะทำขนมทั้งทีก็ต้องทำให้มันเข้ากับเทศกาลเสียหน่อย วันนี้เหมียวก็เลยเอาเค้กที่เหมาะกับวันนี้มาฝาก เป็นเค้กสมองไหล เอาใจเหล่าซอมบี้ How To Cake It เจ้าของเค้าสมองอันนี้อายุเพียง 18 ปี เค้กอันนี้เธอได้รับแรงบันดาลในมาจากซีรีส์ The Walking Dead โดยเธอบอกว่าในเมื่อคนมีงานฉลองแล้ว ทำไมซอมบี้ถึงมีไม่ได้ล่ะ เราไปดูเค้กของเธอกันเลยดีกว่า ก่อนอื่นก็ต้องทำเค้กสีแดงฉาดนี้ให้เป็นรูปร่างสมองก่อน โรยด้วยน้ำเชื่อมก่อน เพื่อให้มันดูชุ่มชื้น แล้วใช้ fondant ทำเป็นเชือก ตกแต่งรอบเค้กทำให้เป็นเนื้อๆ เพิ่มความสมจริง สมองที่ออกมาจากหัวใหม่ๆ ก็ต้องมีเลือดด้วย ใส่แยมราสเบอร์รี่เข้าไป ถึงเวลาชวนเพื่อนๆมากินได้แล้ว งั่ม ไปดูคลิปการทำเต็มๆได้เลย เป็นไงล่ะ เค้กสมองสยองสมจริงซะขนาดนี้ อย่างลืมชวนซอมบี้เพื่อนรักมางานปาร์ตี้ด้วยนะ ที่มา boredpanda
-
นักวิทย์เผยเห็ดประหลาดบนเกาะฮาวาย สามารถทำให้คุณผู้หญิงถึงจุดสุดยอดได้เพียงแค่ ‘ดม’
เหมียวไม่ได้จะทะลึ่งตึงตังอะไรหรอกนะ แต่คิดว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ เลยล่ะ กับสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่า’ เห็ด’ เนี่ยมันสามารถทำอะไรมากกว่าการเป็นอาหารของมนุษย์ เพราะมันสามารถช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของผู้หญิงได้เพียงแค่สูดดมกลิ่นของมันเท่านั้น!! โดยผู้ค้นพบก็คือ John Halliday และ Noah Soule สองนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบความมหัศจรรย์ของเจ้าเชื้อราที่มากับเห็ดสีส้มปริศนาที่ว่านี้จากเกาะฮาวาย บรึ้มมมมมมมมมมมม!! อ่าห์ ซึ่งนำมาศึกษาและทดลองกับอาสาสมัครหลายราย และได้รับการตีพิมพ์อยู่ในวารสาร International Journal of Medicinal Mushrooms โดยผลการทดลองนั้นเผยให้เห็นว่า เหล่าอาสาสมัครผู้หญิงที่สูดดมกลิ่นเห็ดสีส้มที่ว่าเข้าไปปุ๊บก็จะเกิดอาการถึงจุดสุดยอดได้ทันที ซึ่งก็สรุปผลการทดลองได้ว่า ‘สารคล้ายฮอร์โมนมนุษย์ที่อยู่ในความผันผวนของสปอร์ ทำหน้าที่เป็นสารสื่อกับประสาทของมนุษย์ ก่อให้เกิดอาการดังกล่าว’ อย่างไรก็ตามเจ้าเห็ดที่ว่านี้ จะผุดขึ้นมาในกระแสลาวาเท่านั้น ซึ่งจะต้องเป็นช่วงเวลาที่เกิดภูเขาไฟปะทุ แถมยังมีเฉพาะที่เกาะฮาวายด้วย หายากสุดๆ แต่น่าแปลกตรงที่ว่าถ้าผู้ชายดมแล้วจะรู้สึกเหม็นและขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก เอ๊ะ!? มันยังไงกันล่ะเนี่ย ที่มา : thechive, iflscience
-
แฟนหนุ่มทำเซอร์ไพรส์ “โกนผม” เป็นเพื่อนแฟนสาวหลังจากเข้ารักษามะเร็ง
Allie Allen หญิงสาวผู้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งสมองเมื่อตอนเธออายุได้ 14 ปี และเธอต้องทรมานกับการกำเริบของอาการ ซึ่งภายหลังจากการรักษาจากโรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว Brayden Carpenter เพื่อนเก่าของเธอก็ได้มารับเธอที่โรงพยาบาลเพื่อพากลับบ้าน แต่สิ่งที่น่าประทับใจนั่นก็คือเขาได้โกนหัวเพื่อเธอ คุณปู่ของ Allie เสียชีวิตด้วยมะเร็งสมองในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อีกทั้งแม่ของเธอก็ยังเป็นมะเร็งเต้านมอีกด้วย และตอนนี้ Allie ก็เข้าสู่กระบวนการทำคีโม และเมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน ก็ได้พบกับแฟนของเธอที่โกนหัวรอต้อนรับเธอกลับบ้าน เธอรู้สึกประหลาดใจมาก “ในวันเสาร์ ผมของฉันร่วงเยอะมาก มันทำใจยากเวลาเห็นมัน” “ในวันอาทิตย์ฉันตื่นขึ้นมาก็พบว่ามันผมเหลือเป็นก้อนๆ ฉันเลยตัดสินใจที่จะโกนมันและกลายเป็น Britney Spears แบบในปี 2007” แม่ของเธอก็ถูกวินัจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม “ทุกคนอาจจะเห็นรอยแผลเป็นบนหัวฉันจากรูปเหล่านี้ แต่รอยแผลเป็นพวกนั้นก็คือรอยสักที่มีเรื่องราวดีๆ ว่าไหม?” เพื่อนร่วมชั้นของ Allie ก็ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ที่มา boredpanda
-
ชม 15 ภาพทดสอบสมองของคุณ ว่ามีความคิดไปเรื่อง ‘อย่างว่า’ มากน้อยแค่ไหน!!?
วันนี้เหมียวก็มีบททดสอบเด็ดๆ มาฝากกันอีกแล้ว ว่าเพื่อนๆ มีความคิดในเรื่องอย่างว่ามากขนาดไหน!!? อิอิ โดยเราจะใช้ภาพทั้ง 15 ภาพนี้มาตัดสินกัน แล้วมาดูกันว่า ‘คุณ’ น่ะหื่นจริงไหม!!!? นี่ก็ผักผลไม้ธรรมดาไม่เห็นมีอะไรเลยเมี๊ยววว กล้วยไง ไส้กรอกน่ะสิ สเต็กไง กรวยไอศครีม ผลไม้ ของทอด นี่ส้มไงจำไม่ได้เหรอ ขนมสอดไส้รึเปล่า แครอทชัดๆ หรือเพื่อนๆ เห็นเป็นอื่น ของหวานไอศครีมธรรมดา ผลไม้อีกแล้ว ภาพเหล่านี้มันทดสอบความหื่นตรงไหนเนี่ย ไส้กรอกไงเออ พริกรึเปล่า!!? อาหารเช้าไงล่ะ อิอิ เหมียวไม่เข้าใจว่ามันหื่นตรงไหนเนี่ยยยยย เห้อออเสียเวลาเสียการเสียงานจริงๆ ใครดูภาพเหล่านี้เป็นเรื่องอย่างว่าก็บ้าแล้วล่ะ กิกิ >< ที่มา: Distractify
-
จ๊ากกก!! ชมคลิปสุดน่ารักของแมวที่รีบกิน “ไอติม” จนเย็นจี๊ดขึ้นสมอง
หลายคนคงประสบปัญหากับการกินของเย็นๆเร็วเกินไปจนมันเย็นจี๊ดขึ้นสมอง ราวกับว่าทั้งหัวเราะถูกโปะไปด้วยหิมะ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนเท่านั้นนะ เจ้าเหมียวมันก็เป็นเหมือนกัน อย่างเจ้าเหมียวตัวนี้ที่กำลังมีความสุขอยู่กับการเลียไอติมแผล่บๆ แต่ด้วยความหิวมากเกินไป ทำให้มันกินเร็วมากจนความเย็นมันจี๊ดของสมองเลย เราไปดูคลิปสุดฮานี้กันเลยดีกว่า ที่มา Alajda
-
9 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทางด้านจิตวิทยา จิตใจของมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง เอ๊ะ!?
จิตใจและความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ เลยล่ะ เพราะแม้แต่ตัวมนุษย์เองก็ยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่แน่ชัดเกี่ยวกับตัวเองได้ว่าทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ แล้วทำไมต้องทำแบบนั้น อ้าว!? ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องมีเหตุผลสิ นักจิตวิทยาจึงขอแถลงไขเรื่องของจิตใจมนุษย์เล็กๆ น้อยๆ ให้ได้รู้กัน 1. เมื่อรู้สึกเศร้าหรือกลัว แบรนด์และโลโก้ต่างๆ ก็จะมีผลต่อจิตใจเรามากยิ่งขึ้น 2. สมองของมนุษย์ไม่มีระบบจัดเก็บแบบฮาร์ดดิกส์ แต่จะเป็นการสร้างความทรงจำขึ้นมาใหม่ นั่นก็หมายความว่าความทรงจำสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา 3. ถ้าคุณเป็นพวกนอนหลับฝันกลางวันบ่อยๆ จะส่งผลดีต่อความคิดสร้างสรรค์และสามารถจัดการปัญหาต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น 4. ลักษณะนิสัยนั้นๆ จะใช้เวลาในการก่อตัวประมาณ 66 วัน 5. มนุษย์ไม่สามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน เพราะสมองไม่สามารถจดจ่อกับการทำงานหลายๆ สิ่งที่มีความซับซ้อนสูงได้ 6. มนุษย์มักจะคาดเดาความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ล่วงหน้าอยู่เสมอ เช่นถ้าถูกหวยก็จะรู้สึกดีใจสุดๆ แต่ถ้าเกิดว่าตกงานขึ้นมาก็คิดเอาไว้เลยว่าจะต้องเศร้ามากแน่ๆ ถึงอย่างไรก็ตามสมองก็จะพยายามรักษาความรู้สึกให้เท่ากันอยู่เสมอ 7. มนุษย์จะจดจำข้อมูลระยะสั้นๆ ได้ประมาณ 5 – 9 อย่างเท่านั้น …