Tag: สุขภาพ
-
ตำรวจจีนบุกรวบ แก๊งผลิต “ถุงยางปลอม” พร้อมของกลางมูลค่าราว 237 ล้านบาท!
งานนี้ต้องเรียกได้ว่า “ก็อปปี้จนได้เรื่อง” จริงๆ เพราะแก๊งชาวจีนถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเหตุผลิตและจำหน่าย ถุงยางอนามัยปลอม รวมเป็นมูลค่า 50 ล้านหยวน (ราว 237 ล้านบาท) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกรวบแก๊งผลิตถุงยางปลอมในเมือง Cangnan โดยยึดได้ของกลางเป็นถุงยางจำนวน 500,000 กล่อง มีทั้งยี่ห้อ Durex, Okamoto และอื่นๆ ภายหลังทราบมาว่าการผลิตนี้ได้ส่งต่อไปจำหน่ายยังโรงแรมต่างๆ ซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงเครื่องจำหน่ายสินค้าแบบอัตโนมัติอีกด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่าถุงยางอนามัยปลอมนั้นอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้ใช้ ซึ่งก็ได้บุกจับไปแล้วในโรงงานผลิตหลายแห่งในมณฑลเหอหนานและหูเป่ย จากรายงาน สมาชิกแก๊งที่ถูกจับกุมมีทั้งหมด 17 รายจากหลายๆ โรงงานรวมกัน เจ้าหน้าที่ Zheng Xidan กล่าวว่า “เราเจอโรงงานที่ผู้ต้องสงสัยร่วมมือกันผลิตถุงยางอนามัยปลอมในย่านนอกเมืองของมณฑลเหอหนานและหูเป่ย ซึ่งเป็นสถานที่ที่สกปรกมาก เราพบว่าพวกเขามีการผสมถุงยางอนามัยเข้ากับน้ำมันซิลิโคน ซึ่งถือว่าเป็นการผลิตที่ต่ำกว่ามาตรฐานการผลิตอย่างแท้จริง” จากการสอบสวนพบว่า ถุงยางอนามัยปลอมเหล่านี้ถูกขายส่งต่อให้พ่อค้าคนกลางในราคาเพียงกล่องละ 4.76 บาท เท่านั้น ขณะที่ราคาขายทอดตลาดอยู่ที่กว่า 90-700 บาทต่อกล่อง ทั้งนี้ทั้งนั้น นาย Chen He ผู้จัดการการผลิตถุงยางอนามัยยี่ห้อ Daxiang ก็ออกมาเตือนถึงการใช้ถุงยางอนามัยปลอมว่า “ปกติแล้วการผลิตถุงยางอนามัยนั้นอยู่ภายใต้หมวดอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวด…
-
ชายคนนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า กิน McDonald’s ทุกวันก็ “หุ่นดี” ได้ถ้าใจเรามุ่งมั่น!!
อาหารฟาสต์ฟู้ดใครก็รู้ดีว่ามัน ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และอาจทำให้อ้วนได้ แต่หลายคนก็ยอมเสี่ยงเพื่อให้ได้รับรสชาติอันโอชะของอาหารเหล่านี้ ครั้งหนึ่งในปี 2004 มีคนที่ทดลองการกินอาหารฟาสต์ฟู้ดจากร้าน McDonald’s ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 1 เดือน จนทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นกว่า 10 กิโลกรัม ชายคนนั้นก็คือ Morgan Spurlock Morgan Spurlock แต่ล่าสุดชายวัย 29 ปีนามว่า Ryan Williams ก็ออกมาแย้งผลลัพธ์เหล่านั้นโดยการทดลองทานเบอร์เกอร์จากร้าน McDonald’s เป็นประจำทุกวันเป็นเวลา 1 เดือนเช่นเดียวกัน แต่มันกลับทำให้เขาน้ำหนักลดลง! Ryan ใช้เงินราว 600-800 บาทต่อวันสำหรับมื้ออาหารจากร้าน McDonald’s และจะทานอาหารทุกอย่างในมื้อนั้นๆ ไม่ให้เหลือแบบเดียวกับที่ Spurlock เคยทำเมื่อ 14 ปีก่อน แต่สิ่งที่เขาทำกลับมีความแตกต่างเล็กน้อย Ryan เลือกที่จะออกกำลังกายในยิมเป็นเวลา 1 ชั่วโมงในตอนเช้าของทุกๆ วัน นั่นทำให้ผลลัพธ์ระหว่างเขาและ Spurlock ออกมาแตกต่าง Ryan Williams Ryan อธิบายว่าการที่ Spurlock ทำการทดลองเช่นนั้นทำให้ผู้ชมอาจมอง…
-
20 ภาพก่อน VS หลัง “เลิกดื่มสุรา” ของอดีตนักดื่ม จะมีความเปลี่ยนแปลงกันขนาดไหน!
แม้ว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎหมายสำหรับผู้ใหญ่ แต่ก็ยังถือว่าเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดโทษตามมาหลายประการอยู่ดี ขณะที่หลายๆ คนดื่มสุราของมึนเมาเพื่อให้เกิดความมึนเมาและความสนุกสนาน ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีอาการเสพติดสุราจนพิษของมันเข้าไปทำร้ายร่างกายหลายส่วน อย่างไรก็ตาม ผลของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นสามารถลบล้างได้ด้วยการลดและเลิกดื่มรวมถึงการดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง อย่างเช่น 20 บุคคลเหล่านี้ที่ออกมาเผยภาพ ก่อน vs หลัง เลิกดื่มสุรา จะต่างกันขนาดไหน ไปชมกันเลย… 1. “ผมถ่ายภาพด้านซ้ายมือเมื่อ 17 เดือนก่อนที่หน้าห้องฉุกเฉิน และเช้าวันหนึ่งผมก็รู้ตัวว่าไม่อยากกลับไปอยู่จุดๆ นั้นอีก ผมจึงฟื้นฟูสุขภาพตัวเองให้ดีขึ้น” 2. หญิงคนนี้หยุดเรียนไปตอนอายุ 14 ปี เธอมีอาการติดสุราและอาการซึมเศร้า แต่เธอก็ต่อสู้มา 15 ปีจนกลายเป็นแพทย์อุบัติเหตุฉุกเฉิน 3. “ฉันเคยเข้าห้อง ICU เพราะรับแอลกอฮอล์มากเกินไป สุดท้ายฉันเบื่อที่ต้องมาเจ็บป่วยอยู่ซ้ำๆ ฉันเลยเลิกดื่มมาได้ 6 เดือนแล้ว” 4. “กว่า 10 ปีที่ไม่ดูแลตัวเอง ปัจจุบันผมเลิกดื่มสุรามากว่า 1 ปีแล้ว น้ำหนักก็ลดลงไปกว่า 20 กิโลกรัม…
-
10 เซเลบริตี้ ที่แม้ว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดัง…แต่กลับต้องมี “โรค” และปัญหาทางสุขภาพ
คนดังทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นดาราหรือศิลปิน ต่อให้พวกเขาจะใช้ชีวิตแตกต่างจากพวกเราขนาดไหน แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ โรคและการเจ็บป่วย เพราะอย่างไรแล้วพวกเขาก็คงหนีเรื่องพวกนี้ไม่พ้น เหล่าศิลปินและคนดังกับเบื้องหน้าที่ยิ้มแย้มและประสบความสำเร็จ แต่เบื้องหลังจะมีใครรู้หรือไม่ว่าพวกเขาต้องประสบกับปัญหาทางสุขภาพที่รุนแรงอะไรกันบ้าง วันนี้ จึงขอเสนอ 10 คนดัง ที่แม้ว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่กลับต้องประสบกับปัญหาทางสุขภาพที่ย่ำแย่ จะมีใครบ้าง และมีปัญหาอะไรกันบ้าง ไปชมพร้อมกันเลย… 1. Lady Gaga เธอได้เผยเมื่อปี 2017 ว่าเธอมีอาการของโรค Fibromyalgia หรือโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง จาก Twitter@ladygaga 2. Marilyn Monroe เธอมีภาวะขาไม่เท่ากันมาตั้งแต่เกิด นอกจากนี้เธอยังเป็นโรค Bipolar ซึ่งเป็นอาการทางจิตที่ทำให้เกิดความไม่ปกติทางอารมณ์อีกด้วย จาก หนังสือ Marilyn Monroe (1998) โดย Barbara Leaming 3. Kim Kardashian เธอเผยบนอิสตาแกรมของตัวเองว่ามีอาการของ โรคสะเก็ดเงิน จาก Instagram 4. Norman Reedus นักแสดงดังจากซีรีส์ The Walking Dead เคยประสบอุบัติเหตุเมื่อปี 2005 ทำให้เขาเสียเนื้อเยื่อบริเวณตาซ้ายไปพร้อมกระดูกที่แตกเป็นเสี่ยง เขาจึงได้เข้ารับการผ่าตัดหลายครั้งและปัจจุบันเบ้าตาซ้ายของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยแผ่นโลหะ จาก zimbio…
-
คู่รักกิน ‘ผลไม้’ เพียงอย่างเดียวมานานกว่า 3 ปี เคลมว่าทำให้สุขภาพดี แถมไม่ต้องแปรงฟัน!?
นี่คือเรื่องราวของสองหนุ่มสาวคู่รักที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการ ‘ทานแต่ผลไม้’ พร้อมกับเคลมว่า การทำแบบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกดี แถมไม่ต้องแปรงฟันอีกต่อไปอีกด้วย!? Tina Stoklosa หญิงสาวจากเมือง Warsaw ประเทศโปแลนด์ วัย 39 ปี เป็นผู้เริ่มความคิดที่จะทานเฉพาะผลไม้นี้ เพราะเธอต้องการที่จะดีท็อกซ์ร่างกายของตัวเอง เธอจึงชักชวนแฟนหนุ่มของตัวเอง Simon Beun วัย 26 ปี ให้หันมาทานผลไม้ด้วยกัน จนตอนนี้ผ่านมาแล้วกว่า 3 ปี พวกเขาไม่แตะอาหารอื่นเลยนอกจากผลไม้!! พวกเขาเรียกการกินแบบนี้ว่า ‘Fruitarian’ พวกเขาเล่าว่าการทานแบบนี้ช่วยให้ร่างกายสามารถขับของเสียออกมาได้มากมาย แถมตอนนี้ฝ่ายแฟนสาวยังมีน้ำหนักลดลงไปราวๆ 31 กิโลกรัมเลยทีเดียว ตอนนี้น้ำหนักของเธออยู่ที่ 55 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังเคลมอีกว่าไม่จำเป็นต้องแปรงฟันแม้แต่น้อย เพราะไฟเบอร์ในผลไม้ ได้ทำหน้าที่แทนแปรงสีฟันไปแล้ว!? แถมยังบอกอีกว่ามันช่วยรักษาโรคเครียด โรคซึมเศร้า อาการเจ็บป่วยเรื้อรังและโรคมะเร็งได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่บริโภคอาหารที่ให้พลังงานพอๆ กับคนที่ทานอาหารปกติทั่วไปเลยทีเดียว โดยจะอยู่ที่ราวๆ 2,000-4,000 กิโลแคลอรีต่อวัน ประกอบไปด้วยกล้วยราวๆ 30 ลูก น้ำเปล่าและน้ำมะพร้าวเป็นต้น …
-
รู้จักกับ ‘คุณตา’ นักเพาะกายวัย 81 ปีที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “ไม่มีใครแก่เกินเล่นกล้าม”
ร่างกายของเรานั้นจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา กระดูกและกล้ามเนื้อที่เคยแข็งแรงก็จะอ่อนแอลงหรืออาจใช้งานไม่ได้ โดยเฉพาะในวัยที่ล่วงเลยเลข 8 ไปแล้ว นับว่าเป็นช่วงวัยชราที่ร่างกายคนเราจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับคุณตาชาวญี่ปุ่นวัย 81 ปีคนนี้ยังสามารถเล่นกล้ามและเป็นนักเพาะกายได้อย่างสง่างาม ถึงแม้จะไม่ได้ดูเฟิร์มเหมือนนักเพาะกายหนุ่มๆ แต่ถ้าเทียบกับคนในวัยเดียวกันแล้วถือว่าร่างกายคุณตานั้นแข็งแรงมากจริงๆ Toshisuke Kanazawa นักเพาะกายวัย 81 ปี คุณตา Toshisuke เคยเป็นแชมป์นักเพาะกายหลายครั้งในสมัยยังเป็นหนุ่ม แต่ถึงกระนั้นเขาเองก็พิสูจน์ให้เห็นว่า “ไม่มีใครแก่เกินเล่นกล้าม” วัยที่ล่วงเลยก็ไม่อาจทำอะไรชายที่ชื่อว่า Toshisuke คนนี้ได้เลย ในอดีตคุณตาเคยเป็นนักเพาะกายก็จริง แต่เขาเลือกที่จะหยุดมันในวัย 34 ปีและเริ่มมัวเมากับการกิน ดื่มสุรา และสูบบุหรี่ เพราะนั่นคือสิ่งที่คุณตาปรารถนา จนผลสุดท้ายไม่เหลือเค้าของอดีตแชมป์นักเพาะกายอีกแล้ว คุณตาเริ่มมีแรงฮึดในการกลับมาเพาะกายอีกครั้งในวัย 50 ปี และก็ได้กลับมาโลดแล่นอยู่บนโลกของการประกวดเพาะกายอีกครั้งอย่างสง่างาม หนึ่งในแรงบันดาลใจให้คุณตา Toshisuke กลับมาเข้าโรงยิมยกน้ำหนักและเล่นกล้ามอีกครั้งก็คือ ภรรยา ของคุณตานั่นเอง คุณตาอยากเห็นรอยยิ้มที่แสนมีความสุขของภรรยายามที่ได้ที่รู้ข่าวว่าเขาเป็นแชมป์เพาะกาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าร่างกายของคุณตาไม่ได้เหมือนกับตอนวัยหนุ่มอีกแล้ว จากการที่เคยเข้ายิมยกน้ำหนัก 6 ชั่วโมงต่อวันก็ตัดเหลือเพียง 3 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น และหลังออกกำลังคุณตาก็ต้องพักฟื้นเป็นสัปดาห์เลยทีเดียว คุณตา Toshisuke กล่าวว่าเขาจะยังคงเล่นกล้ามเพาะกายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอายุ 85 ปีเป็นอย่างน้อย…
-
ระวัง 9 วิธีคลายเครียดแบบผิดๆ อาจส่งผลกระทบทำให้ ‘เครียดหนักยิ่งกว่าเดิม’
หลังจากที่ผ่านพ้นวันอันแสนยากลำบากมาได้ คนเราจะต้องพักผ่อนสมองและร่างกาย เพื่อกำจัดความเครียดที่ส่งผลลบต่อสภาพจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง กิจกรรมอะไรก็ได้ที่เรียกได้ว่าเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ แต่รู้หรือไม่ว่าวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปคิดว่าเป็นการพักผ่อน ช่วยลดความเครียดได้ อาจจะกลับกลายมาเป็นผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม ทำให้รู้สึกแย่และหนักยิ่งกว่าเดิม… การนั่งดูโทรทัศน์ วิธีการแรกที่ใครๆ อาจจะเลือกใช้ก็คือการนั่งพักผ่อนอยู่หน้าจอโทรทัศน์เพื่อเปิดชมรายการต่างๆ หรือนั่งเล่นเครื่องเล่นวิดีโอเกม นักวิจัยจากเยอรมนีและเนเธอร์แลนด์พบว่าผู้คนที่เหนื่อยจากการทำงานมักจะรู้สึกผิด เนื่องจากจะก่อให้เกิดนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง และการเสพสื่อที่แพร่หลายจะกลายมาเป็นภาระและความเครียดมากกว่าการพักผ่อน การคิดย้ำๆ และซ้ำๆ การคิดถึงเรื่องประชุมอยู่ในหัว หรือจดรายการดีและแย่ที่ไม่มีวันจบ เหมือนจะเป็นการช่วยกระตุ้นความคิด แต่อาจจะนำไปสู่ลักษณะนิสัยการครุ่นคิดที่บีบบังคับตัวเอง ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อว่าการคิดเยอะๆ จะทำให้มองเห็นวิธีแก้ไขปัญหา แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่แบบนั้น ถ้าหนีความเครียดในจิตใจไม่ได้ ให้เลือกออกกำลังกายหรือฟังเพลงเร้าจังหวะแทนจะดีกว่า (ที่มา) การเลิกใส่ใจ การเลิกสนใจบางอย่างที่ทำให้เราเครียดก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด เพราะการเลือกที่จะไม่คิดหรือไม่สนไม่ได้ทำให้ความเครียดหายไป เพราะเมื่อหนีปัญหา คุณจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไรอยู่ ถ้าหากเลือกจะเผชิญกับปัญหาที่ยากต่อการแก้ไข จะช่วยพัฒนาทักษะการวางแผนเพื่อหาทางที่ดีที่สุดได้มากกว่า หรือทำการปรึกษาและขอให้คนอื่นที่ไว้ใจช่วย (ที่มา) พูดคุยถกปัญหากับเพื่อน ผลวิจัยเผยว่าเมื่อผู้หญิงพูดคุยกับเพื่อนเรื่องปัญหาต่างๆ จะรู้สึกเหมือนมีหนามทิ่มระดับฮอร์โมนความเครียด เพราะจะเป็นการพูดคุยวิเคราะห์ในเชิงลึกแทบทุกมุม ทุกความย่ำแย่ที่ทำให้เกิดขึ้น และจะวนเป็นแบบนี้เรื่อยๆ แนะนำว่าควรพูดถึงแค่ครั้งเดียว และโฟกัสที่การหาทางออกที่ดีที่สุด (ที่มา)…
-
10 อาหารที่เป็นอันตรายต่อ “หมา-แมว” อย่างมาก รักน้องอย่าให้น้องกินเด็ดขาด!!
รู้หรือไม่ว่า เจ้าตูบเจ้าเหมียว ของเรานั้นถึงแม้มันจะกินอยู่อย่างง่ายๆ แต่มันก็มีอาหารหลายชนิดที่ “เป็นภัย” ต่อร่างกายของมันอยู่นะ บางครั้งก็เป็นอาหารธรรมดาที่เราคาดไม่ถึง เราอาจจะคิดว่าให้หมาแมวของเรากินได้ แต่อันที่จริงมันมีผลเสียมากกว่าที่คิด กว่าจะรู้ตัวเจ้าหมาเจ้าแมวก็อาจเกิดอันตรายไปแล้วก็ได้ ฉะนั้น วันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่า ของธรรมดาๆ อะไรบ้างที่หมาแมวไม่ควรกิน เพราะมันจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี 1. หัวหอมและกระเทียม หัวหอม กระเทียม และต้นหอมจะมีสารทำให้เกิดกลิ่น สารดังกล่าวจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดแดงของสัตว์ซึ่งนำไปสู่ภาวะ โลหิตจาง บางกรณีอาจทำอันตรายต่ออวัยวะภายในอย่างรุนแรงได้ นอกจากนี้ยังมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ความเบื่ออาหาร ความบาดเจ็บ และหัวใจเต้นเร็ว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดไม่กี่วันหลังจากทานพืชจำพวกหัวหอมไปแล้ว ที่มา: http://www.petpoisonhelpline.com/poison/onion/ 2. ดอกลิลลี่ ถึงดอกลิลลี่จะเป็นดอกไม้ที่สวยงามแต่มันอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงของคุณอย่างมาก ในดอกลิลลี่นั้นมีสารที่เป็นพิษหากเข้ากระบวนการย่อยอาหารของหมาแมว สารดังกล่าวนั้นเป็นอันตรายต่อไตอย่างมาก อาการเมื่อสัตว์เลี้ยงของคุณได้รับพิษจากดอกลิลลี่ก็คือ มันจะเริ่มเบื่ออาหาร อาเจียน ฉี่และมีน้ำลายไหลออกมามากกว่าปกติ ที่มา: http://www.pethealthnetwork.com/cat-health/cat-toxins-poisons/easter-lily-poisoning-cats 3. องุ่นและเรซิน องุ่นเพียงไม่ถึง 15 กรัม ก็สามารถทำให้สุนัขติดพิษได้ เพราะองุ่นนั้นเป็นภัยต่อไตของสุนัขอย่างมาก สัตว์เลี้ยงที่แข็งแรงเมื่อทานองุ่นเข้าไปก็อาจทำให้เกิดอาการท้องร่วง เฉยเมย เบื่ออาหาร และอาเจียนได้ ที่มา: https://www.petmd.com/dog/emergency/digestive/e_dg_grape_raisin_toxicity…
-
สาวมะกันถูกเหยียดรูปร่าง “ต้นขาสายฟ้าฟาด” จึงเปลี่ยนแปลงตัวเองจนฟิตแอนด์เฟิร์ม
ผู้คนที่เรียกกันว่า อันธพาล นั้นมักสร้างความไม่พอใจให้กับผู้อื่นทั้งที่ไม่จำเป็น อาจจะด้วยทางวาจาและร่างกาย และพวกเขาก็ได้ทำให้สาวคนหนึ่งต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างหนัก Meghan Gilbert สาววัย 21 ปีจากเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับการกินและมีสุขภาพที่ย่ำแย่ จนเหล่าอันธพาล (Bully) มักเรียกเธอว่า “ต้นขาสายฟ้าฟาด” ซึ่งนั่นทำให้เธอได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการซึมเศร้าและวิตกกังวล Meghan รู้สึกว่าเธอเองไม่มีความสุขกับสิ่งที่เธอเป็นอยู่ เธอจึงลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตัวเอง จนกระทั่งเธอมีรูปร่างที่ฟิตแอนด์เฟิร์ม นั่นทำให้เธอมีความสุขมากขึ้น ผู้คนเข้ามาติดตามอินสตาแกรมของเธอมากขึ้นถึง 69,000 คน หลังจากที่เธอโพสต์ภาพแต่ละกระบวนการกว่าจะมีรูปร่างที่ดีได้ขนาดนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากเทรนเนอร์ที่เป็นแฟนหนุ่มของเธอเอง Meghan อธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ฉันไม่รักและไม่เคารพตัวเองเลย ฉันเหมือนคนหลงทาง แต่พอฉันเริ่มรู้สึกรักตัวเองขึ้นมาฉันก็พยายามนำแต่สิ่งดีๆ มาให้กับร่างกาย ฉันกินอาหารเพื่อสุขภาพ เลิกใช้ยา เลิกดื่มน้ำหวาน และหันมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง” เธอเผยว่าก่อนหน้านี้เธอเคยลดน้ำหนักด้วยการอดอาหาร แต่มันทำให้เธอรู้สึกไร้เรี่ยวแรง เธอจึงเปลี่ยนมาทานอาหารที่มีประโยชน์แทน Meghan กล่าวว่า “ทุกวันนี้ฉันไม่สนใจตารางของฉันแล้ว ฉันไม่เคร่งครัดกับการลดน้ำหนักแล้วล่ะ ฉันจะทานอาหารที่มีประโยชน์อยู่เสมอ และให้รางวัลตัวเองบ้างตามที่ฉันต้องการ ฉันชอบเวลาที่ฉันพบเจอความสมดุลในชีวิตแบบนี้ ฉันมีความสุข สุขภาพดี และฉันก็กำลังหลงรักรูปร่างของตัวเองมากๆ เลยล่ะ” …
-
ทันตแพทย์เสนอ “แปรงฟันแบบแห้ง” แปรงแบบไม่ใช้น้ำ แต่ป้องกันฟันผุได้ดีเยี่ยม!!
กิจวัตรประจำวันของเราช่วงเช้าหลังตื่นนอนของพวกเราทุกๆ คน แน่นอนว่าต้องหนีไม่พ้นการอาบน้ำและล้างหน้าแปรงฟันอย่างแน่นอน ทุกคนคงหยิบแปรงสีฟันขึ้นมาล้างน้ำหนึ่งครั้ง บีบยาสีฟัน (บางคนก็จุ่มน้ำอีกครั้ง) แล้วแปรงเพื่อให้เกิดฟองเยอะๆ พอแปรงเสร็จแล้วก็บ้วนทิ้งด้วยน้ำเกือบเต็มช่องปาก กลั้วไปมาแล้วบ้วนจนกว่าคราบยาสีฟันจะหมดใช่ไหมล่ะ? แต่ต้องขอบอกเอาไว้เลยว่า วิธีที่กล่าวไปด้านบนนั้น มันผิด!! อันที่จริงก็ไม่เชิงว่าผิด แต่มันได้ประโยนช์น้อยมากๆ เพราะปัจจุบันทางเหล่าทันตแพทย์ได้เสนอวิธีการแปรงฟันแบบใหม่ “แปรงแห้ง” ซึ่งป้องกันฟันผุได้ดีกว่าเดิม วิธีการแปรงฟันแบบแห้ง ก็คือ การแปรงฟันที่ไม่ใช้น้ำในการแปรงฟันเลย ถึงใช้ก็ใช้น้อย (แต่ไม่ใช้เลยก็จะดีที่สุด) ที่วิธีการแปรงฟันแบบแห้งนี้ยังไม่เป็นที่นิยมในไทยก็เพราะว่าเป็นวิธีที่ค่อนข้างใหม่และขัดกับวิธีที่ชาวไทยปฏิบัติสืบต่อกันมานานแสนนาน รวมไปถึงความรู้สึกไม่คุ้นชินหากไม่ใช้น้ำบ้วนปากออกหลังแปรงฟัน ที่จริงข่าวคราวเรื่องวิธีการแปรงฟันแบบแห้งนั้นมีออกมาน่าจะราวๆ 5-6 ปีที่แล้วเห็นจะได้ แต่ปัจจุบันในปี 2018 ทันตแพทย์หลายคนเริ่มออกมาสนับสนุนให้คนไทยกันมาใช้วิธีนี้มากขึ้น ขั้นตอนการแปรงฟันแบบแห้งนั้นไม่ยากเลย ลองมาดูกันตามนี้… ขั้นตอนที่หนึ่ง: เพียงแค่บีบยาสีฟัน (ผสมฟลูออไรด์) ลงบนแปรงสีฟันที่สะอาดโดยไม่ชุบหรือจุ่มน้ำ แล้วแปรงฟันตามปกติราว 2 นาที ขั้นตอนที่สอง: บ้วนหรือถ่มยาสีฟันและฟองทิ้งให้หมด “โดยไม่ใช้น้ำบ้วนปาก” หรือถ้าใครทนไม่ไหวจริงๆ ก็สามารถบ้วนด้วยน้ำได้ แต่แค่จิบเดียวเท่านั้น (ประมาณ 1 ช้อนชา) ขั้นตอนที่สาม: เมื่อบ้วนออกหมดแล้ว ให้เว้นทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาทีก่อนรับประทานอาหาร…
-
วิธีแก้เมื่อพบเจอกับ 11 สถานการณ์อันตราย ต้องทำอย่างไรถึงเอาชีวิตรอดได้!!?
ในชีวิตของคนเราอาจจะต้องพบเจอปัญหาต่างๆ ที่ทำให้เราต้องบาดเจ็บและเสี่ยงต่ออันตราย ซึ่งวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์เสี่ยงอันตรายนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากหากจำได้ แต่หลายๆ คนนั้นหลงลืมและมองข้ามไป วันนี้เราจึงขอเสนอ วิธีแก้ไขเมื่อพบกับ 11 สถานการณ์อันตราย เมื่อใดที่ร่างกายบาดเจ็บหรือเจออุปสรรคเราก็สามารถนำวิธีเหล่านี้มาใช้ได้ยังไงล่ะ 1. กระแสน้ำย้อนกลับ เมื่อเราลงเล่นน้ำในทะเล ถึงแม้ว่าจะเป็นบริเวณชายหาด แต่มันก็อาจจะเกิดกระแสน้ำที่พัดตัวเราออกจากฝั่งได้ กระแสน้ำนี้เรียกว่า กระแสน้ำย้อนกลับ ซึ่งทำให้ผู้คนต้องจมน้ำกันมานักต่อนักแล้ว โดยปกติกระแสน้ำย้อนกลับจะเกิดขึ้นเป็นบริเวณแคบๆ ฉะนั้น หากพบเจอ ควรรีบว่ายไปยังกระแสน้ำนิ่งโดยการว่ายขนาบไปกับแนวชายหาด โดยพยายามอย่าว่ายสวนกระแสน้ำย้อนกลับมันทำให้เสียแรงเปล่า เมื่อว่ายออกจากจุดอันตรายได้แล้วจึงค่อยว่ายกลับขึ้นฝั่ง ที่มา: https://www.nytimes.com/2017/07/31/us/riptide-rip-current-drowning-safety.html 2. อาหารติดคอ ปกติถ้าเพื่อนของเรามีอาการอาหารติดคอเราอาจจะเอามือตบหลัง แต่ที่จริงแล้วมันมีวิธีที่ดีและปลอดภัยกว่านั้น ลองวิธีนี้ดู ให้ไปยืนข้างหลังเพื่อนที่มีอาหารติดคอ โอบกอดจากด้านหลัง สองมือจับกันไว้ โดยที่มือข้างหนึ่งต้องยกนิ้วโป้งขึ้นมาดังภาพด้านล่างซ้าย ค่อยๆ กดลงพร้อมดึงขึ้นที่บริเวณหน้าท้องของเพื่อนอย่างรวดเร็ว ทำซ้ำๆ จนกว่าอาหารที่ติดคอจะหลุดออก ที่มา: https://www.mayoclinic.org/first-aid/first-aid-choking/basics/art-20056637 3. ถูกไฟช็อต อย่างที่เราทราบกันดีว่าเมื่อเพื่อนถูกไฟฟ้าช็อต เราไม่ควรไปจับตัวหรือดึงเพื่อนออกมาด้วยมือเปล่า เพราะกระแสไฟฟ้าอาจทำอันตรายให้กับเราอีกทอดหนึ่งได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ให้รีบถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าออก ใช้สิ่งของไม่นำไฟฟ้าผลักตัวเพื่อนที่ถูกไฟฟ้าช็อตออกห่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้า (ใช้ไม้หรือพลาสติก เช่น…
-
10 ทริค “แก้ปัญหาความงาม” สำหรับสาวๆ ทำง่ายได้ที่บ้าน ไม่ต้องหาหมอเลยล่ะ~
วันนี้เรากลับมายังเรื่องที่สาวๆ ขาดไม่ได้กันสักหน่อยดีกว่า นั่นก็คือเรื่องของ ความสวยความงาม นั่นเอง สำหรับผู้หญิงแล้วการดูแลตัวเองให้มีรูปร่างและเรือนร่างที่ดีนั้นจะช่วยเสริมความมั่นใจในการใช้ชีวิตได้มากมายทีเดียว ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไรมาก วันนี้เราจะมานำเสนอ 10 เคล็ดลับการขจัดปัญหาด้านความงาม ที่สามารถทำได้เองง่ายๆ ที่บ้านไม่ต้องพึ่งคุณหมอเลยล่ะ มีอะไรบ้างไปดูกันเล้ยยย… 1. สตรอว์เบอร์รี่บดใช้รักษาอาการผื่นแดงหลังโกนขน (Razor Burn) ได้ เมื่อผิวหนังถูกความคมของมีดโกนก็อาจทำให้ระคายเคืองและเป็นผื่นแดงได้ ซึ่งการแก้ไขง่ายๆ ก็เพียงแค่ บดสตรอว์เบอร์รี่เข้ากับซาวร์ครีม แล้วนำไปทาลงบนผื่นทิ้งไว้ 10-15 นาที ข้อดีของสตรอว์เบอร์รี่ก็คือมันมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระและต่อต้านอาการบวมพอง แถมมีวิตามินซีเยอะอีกด้วย 2. เบคกิ้งโซดาผสมมะนาวสามารถขจัดรอยบนเล็บได้ เล็บของคุณอาจจะเปลี่ยนสีหรือมีรอยต่างๆ ได้ด้วยสาเหตุนานาประการ เช่น การทาสีเล็บ การสูบบุหรี่ และอื่นๆ ซึ่งอันที่จริงคุณควรต้องปรึกษาแพทย์ แต่ว่าถ้าอยากให้เล็บกลายเป็นสีสวยแบบธรรมชาติง่ายๆ ก็สามารถทำได้ดังนี้ ผสมเบคกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ เข้ากับน้ำมันมะกอกครึ่งช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาวอีก 1 ช้อนโต๊ะ แล้วใช้แปรงสีฟันขนนุ่มทาลงบนเล็บของคุณ ทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วล้างออก ทำซ้ำๆ ทุกสองสัปดาห์ สารกัดสีในมะนาวจะช่วยให้คุณมีสีเล็บที่สว่างขึ้น…
-
มาสคาร่าทำพิษ… หญิงเผยสภาพเปลือกตาตัวเอง ตลอด 25 ปี ไม่ล้างให้สะอาดก่อนเข้านอน
*คำเตือน ภาพประกอบภายในเนื้อหาอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ กรุณาทำใจก่อนดูภาพ* ก่อนเข้านอนเราควรจะทำทุกอย่างให้เรียบร้อยเสียก่อน ทั้งการอาบน้ำอาบท่า ล้างส่วนต่างๆ ของร่างกายให้สะอาด ถอดอุปกรณ์ภายนอกที่ใช้ในชีวิตประจำวันให้หมด จะได้นอนหลับสบายๆ กรณีที่ทำพิษกับร่างกายที่เห็นบ่อยๆ มักจะเป็นคอนแทกต์เลนส์ ด้วยสาเหตุของความขี้เกียจบ้าง ความเหนื่อยล้าระหว่างวัน สุดท้ายเลยเผลอนอนทั้งๆ ที่ยังใส่คอนแทกต์เลนส์อยู่ Theresa Lynch ในเรื่องของเครื่องสำอางก็ร้ายแรงไม่แพ้กัน ถ้าหากล้างไม่สะอาด หรือไม่ล้างก่อนเข้านอน อย่างเช่นนาง Theresa Lynch วัย 50 ปี ที่ล้างมาสคาร่าไม่หมดจดมาตลอด 25 ปี… เธอเริ่มรู้สึกระคายเคืองเปลือกตามากขึ้น หลังจากที่น้ำยาหยอดตาเริ่มไม่เห็นผล ท้ายที่สุดก็ต้องไปพบกับแพทย์จนค้นหาสาเหตุที่แท้จริงเจอ… พบว่าเริ่มมีการก่อตัวของนิ่วเยื่อตาบริเวณเปลือกตา หลังจากนั้นจะรอช้าไม่ได้แล้ว เธอต้องเข้ารับการรักษานำนิ่วเยื่อตาออก ผ่านกระบวนการผ่าตัดเป็นระยะเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อรักษาสภาพดวงตาก่อนที่จะร้ายแรงถึงขั้นตาบอด ทางด้าน Dana Robaei แพทย์ผู้รักษาได้เผยภาพเปลือกตาของคนไข้ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับประชาชน ผลจากการเข้านอนโดยที่ไม่ล้างเครื่องสำอางให้หมด ทำจนติดเป็นนิสัยที่ส่งผลเสียต่อร่างกายได้…
-
กลิ่น “จิ๊มิ” ที่ดีควรเป็นอย่างไร!? พร้อม 5 วิธีดูแลสุขภาพน้องน้อยให้หอมสดชื่น~
สำหรับสาวๆ แล้วเรื่องของกลิ่นกายนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลิ่นของจุดซ่อนเร้น เรียกได้ว่าเป็นจุดที่ส่งผลต่อความมั่นใจของสาวๆ เขาอย่างมาก เชื่อว่าหลายคนต้องตั้งคำถามว่า “แล้วของอิชั้นถือว่าเหม็นหรือเปล่า? แล้วปกติมันควรมีกลิ่นอย่างไร?” ถ้าว่ากันตามที่ Alisa Vitti ผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมนได้กล่าวไว้ใน Mind Body Green กลิ่นที่ควรจะเป็นก็คือ “กลิ่นชะมดที่ดี” ส่วนกลิ่นชะมดก็คือสารบางอย่างที่สกัดมาจากตัวกวางชะมดหรือสัตว์อื่นที่มีกลิ่นคล้ายกัน นิยมนำมาใช้ผลิตน้ำหอมเลยทีเดียว Alisa Vitti ยังบอกอีกว่า ถ้าหากจิ๊มิมีกลิ่นคล้ายๆ ปลาหรือบ้านเราเรียกว่ากลิ่นปลาเค็มเมื่อไหร่ล่ะก็ ถือว่าในน้องน้อยของสาวๆ น่ะมีแบคทีเรียอยู่เยอะเกินไป สาวๆ หลายคนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพและกลิ่นของน้องน้อยอย่างจริงจัง แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าไม่ควรใช้น้ำหอมหรือสบู่บ่อยๆ เพราะวิธีการที่จะทำให้จิ๊มินั้นสะอาดและสดใสอยู่เสมอมีด้วยกันดังนี้… 1. ทานอาหารให้ถูก ทานอาหารที่มีอัลคาไลน์สูงเช่น มะนาวและผักใบเขียว เพราะจะทำการขจัดสารพิษในจิ๊มิแถมเพิ่มกลิ่นที่หอมหวานให้น้องน้อยด้วยนะ นอกจากนี้ควรลดเนื้อสัตว์ น้ำตาล และกาแฟ 2. ทำความสะอาดให้ดี ที่จริงคุณไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ใดๆ เลยด้วยซ้ำ ปล่อยไว้เฉยๆ จิ๊มิก็จะมีการทำความสะอาดตัวเองแล้ว แต่ถ้าหากอย่างล้างจริงๆ ใช้เพียงน้ำเปล่าและสบู่อ่อนๆ ก็พอ และต้องล้างรอบๆ ด้วยนะ…
-
9 ความจริงเกี่ยวกับ “ร่างกายผู้หญิง” ที่ควรรู้ เพราะมันสำคัญกับสุขภาพ (มากกกกก)
เรื่องของสุขภาพนั้นสำคัญอย่างยิ่ง ต่อให้ชีวิตพบเจอปัญหาอะไรก็ตาม สุขภาพที่ดีจะต้องมาก่อน! โดยเฉพาะคุณผู้หญิงทั้งหลาย ที่ร่างกายนั้นดูแลยากเสียเหลือเกิน เอะอะเดี๋ยวเป็นอันนั้นเจ็บอันนี้ วันนี้เราจึงมาเสนอ ข้อเท็จจริง 9 ประการเกี่ยวกับร่างกายของสาวๆ ที่รู้ไว้แล้ว ปัญหาสุขภาพจะน้อยลงทันตาเห็นเลยล่ะ!! 1. การออกกำลังกายหนักๆ สามารถทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติได้ อันที่จริงการออกกำลังกายนั้นทำให้อาการปวดประจำเดือนลดลง แต่ถ้าหากว่าออกกำลังกาย “หนักเกินไป” ล่ะก็ มันอาจจะส่งผลตรงกันข้าม เพราะหากหญิงสาวที่กำลังเป็นประจำเดือนใช้ร่างกายหนักจนเกินไปจะทำให้ฮอร์โมนในร่างกายขาดความสมดุล และส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกตินั่นเอง ฉะนั้น ควรออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ควรหักโหมนะจ๊ะสาวๆ 2. สุขภาพเป็นอย่างไร เต้านมบอกคุณได้ เต้านมสามารถบอกสถานะของสุขภาพได้ เช่นเมื่อต่อมน้ำนมเกิดแข็งตัว อาจแปลได้ว่าฮอร์โมนในร่างกายกำลังขาดความสมดุล และอาจมีโรคเกี่ยวกับรังไข่ซึ่งต้องปรึกษาแพทย์โดยด่วน แต่หากมีอาการคันบริเวณหัวนม หรือสังเกตเห็นอาการแสบระคายเคืองบริเวณใต้ราวนม ก็อาจแปลได้ว่าคุณกำลังแพ้เสื้อชั้นในหรือแพ้ผงซักฟอกที่ใช้ซักนั่นเอง 3. น้ำหนัก ไม่สามารถบอกได้ว่าคุณสุขภาพดีหรือไม่ ถึงคุณจะมีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาสักหน่อย ก็ใช่ว่าคุณจะมีปัญหาด้านสุขภาพเสมอไป น้ำหนักของคุณที่เพิ่มขึ้นนั้นมันขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการกิน พันธุกรรม และโครงสร้างทางร่างกายของคุณต่างหาก ดีเสียอีก อวัยวะภายในของผู้ที่มีร่างกายท้วมนั้นมีสุขภาพดีกว่าอวัยวะภายในของคนที่มีรูปร่างผอมบางเสียด้วยนะ 4. เต้านมอาจหย่อยยานได้หากดื่มน้ำไม่เพียงพอ …
-
เหมาะสมหรือไม่!? พ่อชาวซาอุฯ บังคับลูกน้อย “สูบบุหรี่” แล้วถ่ายคลิปเอาไว้…
บุหรี่ ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งที่ให้โทษแก่ร่างกายอย่างมาก ผู้ใหญ่หลายต่อหลายคนต้องทุกข์ทรมานกับโรคต่างๆ ที่เกิดจากสารพิษในบุหรี่ แล้วยิ่งถ้าเป็น “เด็กเล็ก” ยิ่งไม่สมควรกับการสูบบุหรี่อย่างยิ่ง เรื่องราวในวันนี้ ขอเสนอเพื่อเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น พ่อ ที่มีการยื่นบุหรี่ที่ตนสูบ ไปให้ลูกน้อยของตนสูบ และถ่ายคลิปเอาไว้ ในคลิปเป็นพ่อชาวซาอุดิอาระเบีย บังคับให้ลูกน้อยสูบบุหรี่ แล้วตนก็ถ่ายคลิปเอาไว้ ในคลิป เสียงของชายผู้เป็นพ่อได้เอ่ยบอกให้ลูกน้อยของตนนั้น “สูบบุหรี่” จากนั้นก็เห็นได้ชัดเจนว่าหนูน้อย (คาดว่า ไม่น่าเกิน 3 ขวบ) ก็ยื่นปากมาคาบบุหรี่แล้วสูบเข้าไปตามที่พ่อบอก เท่าที่เห็น คาดว่าหนูน้อยน่าจะสูบควันบุหรี่เข้าไปเต็มๆ โดยไม่พ่นออกมาเลยแม้แต่น้อย และจากนั้น เสียงของชายคนดังกล่าวก็เอ่ยถามหนูน้อยอีกว่า “อยากสูบอีกไหม?” และหนูน้อยก็พยักหน้าตอบรับ จากนั้น ฝ่ายพ่อก็ยื่นบุหรี่ให้หนูน้อยสูบเป็นครั้งที่สอง ทั้งนี้เองก็ยังไม่ทราบว่าทั้งหนูน้อยและชายคนที่คาดว่าน่าจะเป็นพ่อนั้น คือใครกันแน่ และคนที่ถ่ายคลิปก็ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่คาดว่าน่าจะเป็นพ่อที่ถ่ายเอง ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมชายคนดังกล่าวได้แล้ว ส่วนตัวผู้ต้องหาเองคาดว่าจะถูกดำเนินคดีในเรื่องของการฝ่าฝืนและบกพร่องในการปฏิบัติตามกฎของการเป็นพ่อแม่และการรักษาสังคมที่ดีงาม แล้วท่านผู้อ่านคิดว่า เหตุการณ์นี้เหมาะสมแล้วหรือไม่ ที่ให้เด็กตัวน้อยอายุไม่ถึง 3 ขวบมาสูบบุหรี่แบบนี้? ที่มา: metro
-
ภัยเงียบของคนเก่ง ชีวิตของ Ranjan Das ซีอีโอวัย 40 ดูแลสุขภาพดี แต่เสียชีวิตเพราะนอนน้อย
การที่หนึ่งคนจะประสบความสำเร็จในด้านหน้าที่การงานได้ จะต้องทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจไปมากแค่ไหนกัน? และสิ่งที่ทุ่มลงไปนั้น กำลังตอบแทนหรือกำลังบั่นทอนชีวิตของเรากันอยู่… สิ่งที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ คือเรื่องราวของ Ranjan Das นักธุรกิจระดับผู้บริหารอายุน้อย ด้วยวัยเพียง 42 ปี แต่มีหน้าที่การงานและความรับผิดชอบที่ใหญ่โต ซึ่งเขาก็จัดการได้เป็นอย่างดีเสียด้วย Ranjan Das นั้นเป็นกรรมการผู้จัดการและผู้บริหาร ของบริษัทซอฟต์แวร์ SAP ประจำภูมิภาคอินเดีย และเขาก็เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อสุขภาพสูงมากๆ ออกกำลังกายเป็นประจำ เข้ายิมทุกวันและเป็นนักวิ่งมาราธอนตัวยง ไม่ดื่มเหล้าและไม่สูบบุหรี่… โดยในทุกๆ วันเขาจะออกวิ่งบนถนนเส้น Carter ย่าน Bandra ในเมืองมุมไบ แต่แล้วในวันหนึ่ง หลังจากที่กลับมาบ้านหลังออกกำลังกายเป็นประจำ เขาล้มลงจากหัวใจวายอย่างรุนแรง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา (ปี 2009) จากการเสียชีวิตของ Ranjan Das กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในบริษัทห้างร้านของอินเดียขึ้นมาทันที เนื่องจากว่าเขามีสุขภาพดีมากๆ เป็นนักกีฬาตัวท็อป แต่กลับเสียชีวิตกระทันหันได้อย่างไร หรือมีสาเหตุมาจากการทำงานหนัก? ทั้งนี้ จากการสืบประวัติการใช้ชีวิตของเขา Ranjan Das เคยให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ…
-
15 ภาพ GIF ฮาๆ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “ฟิตเนส” ไม่ใช่ที่ออกกำลังกาย แต่มันคือสถานบันเทิง!!
15 ภาพฮาๆ ของผู้ที่มีใจรักการออกกำลังกาย แต่อาจจะงงนิดหน่อยว่าเครื่องนี้มันเล่นอย่างไร หรือบางคนก็ตั้งใจจะให้มันออกมาฮาๆ เพื่อพิสูจน์ให้เรารู้ว่า ฟิตเนสนั้นคือสถานที่บันเทิงอย่างแท้จริง… ท่าโล้สำเภาพิฆาตตต!! นายออกกำลังกายไปเพื่ออะไรกันเนี่ย!!? ไม่ตั้งใจออกกำลังกาย ยังจะมีหน้าไปเย้ยคนอื่นเข้าอี๊ก!! แฮปปี้กับการยกน้ำหนักจังฮู้!! ม่วนอีหลี สนุกหลายวุ้ยไอ้เครื่องพรรค์นี้ นายกางเกงเขียว เอ็งลงไปเล่นเองเลยมั้ย!!? ยกขาเตะทีหมดกันเลยมาดนักมวย น่าา นายพลาดไปนิดเดียวเอง ไว้คางหายเจ็บค่อยมาเล่นใหม่นะ สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น~ ปล่อยเขาไปเถอะ เขากำลังมีความสุขอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ มันเป็นการออกกำลังกายตรงไหนฟระเนี่ย!!? มันไม่น่าจะต้องใช้การเด้งขนาดนั้นนะ นี่มันสถานที่ออกกำลังกายเฟร้ยยย!! อะไรจะหลังงอเบอร์นั่นเล่าเห๊ยยย!! สนุกมากก็ซื้อกลับไปเล่นที่บ้านมั้ยล่ะ!? หากใครอยากเข้าฟิตเนสก็สามารถสอบถามผู้ที่เคยเล่นมาก่อนได้นะ ไม่ต้องเขิน ขืนเล่นทั้งๆ ที่เล่นไม่เป็นแบบนี้ ภาพที่ออกมามันน่าเขินกว่าอี๊ก ที่มา: Thechive
-
จ่าพิชิตแนะนำ “สูตรชาสมุนไพรเพื่อสุขภาพ” รสชาติอร่อย คนเป็นเบาหวาน-นิ่ว ก็ดื่มได้
สำหรับคนที่เป็นนิ่วแล้ว การดื่มน้ำเยอะถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะช่วยให้คุณมีโอกาสเสี่ยงน้อยลง เพราะน้ำจะไปช่วยล้างสารต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดโรคนิ่วในไต แต่หากคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยจะชอบดื่มน้ำเปล่าๆ สักเท่าไหร่ เรามีตัวช่วยที่คุณอาจจะชอบก็ได้นะ ตัวช่วยที่ว่านี้ก็คือการชงชาที่ผสมหญ้าหวานแล้วดื่มแทนน้ำ สูตรนี้แนะนำโดยจ่าพิชิตจากเพจ Drama-addict โดยจ่าพิชิตได้เล่าว่าเมื่อไม่นานมานี้ได้มีเพื่อนมาปรึกษาตนเองว่าเป็นนิ่ว แต่ไม่ชอบดื่มน้ำเปล่าๆ เนื่องจากติดนิสัยการดื่มน้ำหวาน จ่าพิชิตจึงแนะนำสูตรชาที่ทางบ้านใช้ดื่มเป็นประจำ โดยในชาที่ว่านี้มีส่วนผสมของตะไคร้ ใบเตย เก๊กฮวย มะตูม ขิง ดอกคำฝอย และมีการเติมหญ้าหวานเข้าไป ทำให้มีรสชาติหวานทานง่าย สามารถหาซื้อได้ตามร้านไดโซะ โดยปกติแล้วถ้าเป็นชาทั่วๆ ไป จะต้องมีการต้มในน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิที่เหมาะสม และหากต้มนานเกินไปจะทำให้ชามีรสขม แต่กับชาประเภทนี้กลับไม่มีรสขมแบบนั้น ยิ่งต้มนานก็ยิ่งดี นอกจากคนเป็นนิ่วแล้ว คนเป็นโรคเบาหวานก็สามารถดื่มได้เช่นกัน เพราะใช้ส่วนผสมของหญ้าหวานแทนน้ำตาลนั่นเอง ใส่ถุงชาแล้วเอาลงไปต้มในน้ำร้อน . . พร้อมดื่ม อ่านโพสต์เต็มๆ ได้ที่นี่ ที่มา Drama-addict
-
ยังจะสูบอีกหรือ… เปรียบเทียบปอดของคนสูบบุหรี่ กับปอดคนไม่สูบ แค่สีก็ต่างกันชัดเจนแล้ว
แม้จะมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องมายาวนานมากๆ กับการลดถึงขั้นงดสูบบุหรี่เพื่อสุขภาพที่ดีของประชากรชาวโลก ในปัจจุบันก็ยังคงมีจำนวนผู้สูบบุหรี่เพิ่มขึ้นสวนทางกับการรณรงค์เพื่อสุขภาพอยู่ดี… การสูบบุหรี่นั้นเป็นความต้องการส่วนบุคคลที่เลือกจะสูบ แน่นอนว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพของตนเอง ซึ่งอาจจะยังมองไม่เห็นภาพว่า ในอนาคตข้างหน้าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเองบ้าง? Amanda Eller นางพยาบาลจากมหาวิทยาลัย Western Carolina University ได้ทำการโพสต์วิดีโอคลิปเผยให้เห็นว่า สภาพของปอดที่มีสุขภาพดีไม่ได้สูบบุหรี่นั้นเป็นอย่างไร และนำมาเปรียบเทียบข้างๆ กันกับปอดของผู้สูบบุหรี่ 1 ซองต่อวัน ต่อเนื่องยาวนานกว่า 20 ปี เพียงแค่เห็นสีของปอดทั้งสองชิ้น ก็ทำให้รู้และแยกแยะได้ทันทีว่าปอดของผู้สูบบุหรี่และไม่สูบเป็นแบบไหน ซึ่งนอกเหนือจากสีของปอดภายนอกแล้ว ระบบการทำงานของปอดก็ยิ่งทำให้เห็นได้ชัดยิ่งกว่าเดิม ปอดของผู้สูบบุหรี่ ปอดของผู้ไม่สูบบุหรี่ ทางพยาบาลได้นำเครื่องเป่าลมเข้าไปในปอด เพื่อจำลองประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะ ผลก็คือปอดที่สูบบุหรี่จะไม่สามารถกักเก็บลมเอาไว้ได้ นั่นหมายถึงการหายใจที่ถี่มากกว่าปกติ ส่วนปอดที่มีสุขภาพดีจะสามารถกลั้นหายใจได้นานกว่าอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม นโยบายลดปริมาณผู้สูบบุหรี่ทั่วโลกยังคงใช้วิธีในการเพิ่มภาษีบุหรี่ เพราะยังคงเล็งเห็นว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถ้าหากว่าไม่มีเงินซื้อบุหรี่ก็จะเลิกสูบไปเอง แต่ทว่ามีงานวิจัยบางส่วนที่มองสวนทางเนื่องจากการเพิ่มภาษีบุหรี่แพงเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะส่งผลทำให้เกิดยาสูบเถื่อนมากยิ่งขึ้น ที่มา : @amanda.orr.56, ladbible
-
แม่ค้ายาลดความอ้วน Lyn โพสต์โต้ ของที่ตรวจเจอสารอันตราย เป็นล็อตเก่า 2017!?
เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมาเราได้มีการนำเสนอเกี่ยวกับประเด็นของยาลดความอ้วนยี่ห้อ Lyn ที่ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ออกมาประกาศว่ามีการตรวจพบสารอันตราย 2 ตัว คือ บิซาโคดิล (bisacodyl) ที่มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย และ ไซบูทรามีน (Sibutramine) ที่มีฤทธิ์กดประสาททำให้ไม่หิว (อ่านข่าวเก่าได้ที่นี่) นอกจากนี้ยังมีบุคลากรทางการแพทย์อีกหลายรายออกมาช่วยกันยืนยันว่ายาลดความอ้วนยี่ห้อนี้ปลอดภัยจริงๆ ล่าสุดเหล่าพ่อค้าแม่ค้ายาลดความอ้วนยี่ห้อนี้ก็ได้มีการเคลื่อนไหวผ่านโลกออนไลน์แล้ว โดยพวกเขาได้มีการเรียกคืนผลิตภัณฑ์เจ้าปัญหาตัวนี้คืนจากกลุ่มลูกค้าและผู้ขายรายย่อยและคืนเงินค่าสินค้า พร้อมกับระงับการขายเป็นการชั่วคราว ในขณะที่พ่อค้าแม่ค้าบางกลุ่มให้ความเห็นว่ายาลดความอ้วนตัวที่มีปัญหานั้น ไม่ใช่สินค้าล็อตปัจจุบัน แต่เป็นสินค้าของล็อตปี 2017 ที่ผ่านมา “แจ้งหยุดขาย #Lyn และขอรับคืนสินค้าของลูกค้าและตัวแทนที่ไม่สบายใจนะคะ แม้ว่าที่มีปัญหาจะไม่ใช่ล็อตปัจจุบัน…แต่เราดูแลค่า” “จากมีประกาศของสาธารณะสุขจังหวัด ชลบุรีที่แจ้งว่าเจอสารต้องห้ามในสินค้าลีนบางล็อตปี 2017 และแจ้งเตือนให้ระวัง แต่ทั้งนี้แม้ อย. ยังไม่ได้ประกาศถอด อย.สินค้าปี 2018 แต่เพื่อความสบายใจและแสดงความรับผิดชอบต่อความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีให้ และไม่อยากให้ตัวแทนถูกกระแสสังคม จึงขอแจ้งหยุดการขายสินค้า #Lyn จนกว่าจะได้รับแจ้งจากทางบริษัทฯจะพิสูจน์ทราบความผิดของสินค้าล็อตดังกล่าว” หากมีความคืบหน้าอย่างไรเกี่ยวกับประเด็นยาลดความอ้วน Lyn…
-
22 การเปลี่ยนแปลงจากคนไซส์บิ๊กแทบเดินไม่ไหว กลายเป็นหุ่นที่ราวกับปาฏิหาริย์
ดูจะเป็นเรื่องง่ายมากที่เราจะหาข้ออ้างเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องออกกำลังกาย ก็แหม่แค่ก้าวขาออกจากบ้านมันก็ร้อนแล้ว กว่าจะเลิกงานก็เย็นก็ค่ำ วันเสาร์อาทิตย์หยุดทั้งทีก็อยากจะพักผ่อนยาวๆ เราก็เลยปล่อยให้ร่างกายมันเป็นไปตามกลไกธรรมชาติ แต่การปล่อยเนื้อปล่อยตัวก็คงไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ต่อเมื่อร่างกายของคุณมันฟ้องด้วยตัวเองผ่านโรคต่างๆ และอาการเหนื่อยง่าย และเชื่อเถอะว่าการลุกขึ้นมาออกกำลังกาย สลัดไขมันทิ้งมันไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไรสำหรับคุณเลย ต่อไปนี้คือการเปลี่ยนแปลงตัวเองของคนไซส์บิ๊กจนกลายเป็นคนผอม มีตั้งแต่เป็นร้อยโลจนเหลือเพียง 70-80 กิโลเลยก็มี ลองไปดูกันเลย 1. Christina Philips เคยหนัก 321 กิโลกรัม แต่ลดเหลือ 83 กิโลกรัมเท่านั้น 2. Amber Rachdi เคยหนักมากถึง 299 กิโลกรัม เธอลดเหลือ 107 กิโลกรัม 3. จาก 362 กิโลกรัม Marla Mccants สามารถลดน้ำหนักลงไปจนเหลือ 136 กิโลกรัม 4. จากที่ Amber Rachdi เคยหนัก 299 กิโลกรัม เหลือ 107 กิโลกรัม…
-
นี่มันกาแฟหรือยาอายุวัฒนะเนี่ย!? 6 คุณสมบัติทางสุขภาพของกาแฟที่มีงานวิจัยพิสูจน์แล้ว
กาแฟเป็นของที่หลายๆ คนเลือกที่จะดื่มในเวลาง่วงๆ แต่ไม่สามารถนอนได้ ไม่ว่าจะขับรถ กำลังทำงาน อ่านหนังสือสอบ หรือเล่นเกม(!?) มันเป็นเครื่องดื่มที่เด็กๆ อาจจะบอกว่าขม แต่ก็ช่วยชีวิตการทำงานของผู้ใหญ่หลายๆ คนได้เป็นอย่างดี แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วกาแฟมีสมบัติมากกว่านั้น โดยเฉพาะในทางสุขภาพ วันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาทุกคนไปรู้จักกับ 6 คุณสมบัติทางสุขภาพของกาแฟมีงานวิจัยพิสูจน์แล้ว และเพื่อนๆ จะรู้ว่า กาแฟที่เราดื่มๆ กันนั้น แท้จริงแล้วมีอะไรมากกว่าที่เราคิด กาแฟจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับแข็งได้ นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิจัย Mario Negri ในอิตาลีพบว่าการบริโภคกาแฟสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นตับแข็งได้มากถึง 50% กาแฟลดโอกาสในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์คินสันได้ นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิจัยโรคอัลไซเมอร์ที่เมืองแทมปา รัฐฟลอริดาได้ทำการศึกษาเพื่อตรวจสอบผลกระทบของการดื่มกาแฟต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ และผลการวิจัยพบว่าการดื่มกาแฟ 3 แก้วต่อวันสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ถึง 65% ส่วนนักวิจัยจาก สหพันธ์มหาวิทยาลัย Santa Catarina ประเทศบราซิลก็กล่าวว่าการดื่มกาแฟเป็นประจำสามารถช่วยป้องกันโรคพาร์คินสันได้ โดยจะทำให้ความเสี่ยงของการเป็นโรคดังกล่าวลดลงได้ถึง 20% กาแฟลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้ แม้จะมีความเชื่อที่ว่าการทานกาแฟอาจจะทำให้เป็นโรคมะเร็งได้แต่จากการวิจัยที่ดำเนินการโดยกรมการศึกษาทางคลินิกเพื่อสุขภาพที่มหาวิทยาลัยมิลาน และภาควิชาโรคระบาดวิทยาของสถาบัน Mario Negri ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการบริโภคกาแฟนั้น แท้จริงแล้วสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากได้…
-
ดีใจไว้ หิวข้าวตอนกลางคืนก็ทานอาหารได้ และ 8 เมนูอาหารสำหรับทานตอนกลางคืน
เคยเป็นไหม? รู้สึกหิวข้าวในตอนกลางคืนแต่ไม่กล้าหาอะไรกิน ก็แหม… ถ้ากินอะไรตอนกลางคืนบ่อยๆ เดี๋ยวก็ได้เลื่อนขั้นจากตุ่มมังกรเป็นหมูพร้อมเชือดกันพอดี ไม่เคยได้ยินหรอกเหรอว่าถ้าปล่อยอาหารคาอยู่ในท้องตอนนอนน่ะ มันจะกลายเป็นไขมันไปนะ นักโภชนาการ Abby Langer และ Despina Hyde ผู้เชี่ยวชาญโรคเบาหวาน จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กได้ออกมาเสนอข้อมูลอันน่าสนใจที่ว่า เรื่องที่ว่าร่างกายของคุณจะไม่เผาผลาญสิ่งที่คุณกินก่อนนอนเลยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะแม้ว่าจะไม่ได้ทำงานเท่ากับตอนตื่น แต่ร่างกายของคุณก็เผาผลาญอยู่แน่นอน การทานอาหารตอนกลางคืนนั้นก็มีข้อแม้อยู่เล็กน้อย นั่นคืออาหารที่ทานต้องเป็นอาหารเบาๆ ที่ให้พลังงานไม่เกิน 200 แคลอรี มีคาร์โบไฮเดรต กับโปรตีน และหลังทานควรจะเว้นระยะเวลาสักครู่ก่อนจะนอน โดยอาหารที่ควรจะหลีกเลี่ยงคืออาหารจำพวกของทอดของมัน ของเผ็ด ของหวาน และคาเฟอีน แต่ถ้านึกไม่ออกว่าจะทานอะไรดี ก็สามารถอ่านเมนูแนะนำได้ที่นี่ ซีเรียลเส้นใยสูง และนมจืดพร่องมันเนย ซีเรียลควรกินประมาณ 1/2 ถ้วยพร้อมกับนมอีกครึ่งถ้วย เติมผลไม้เล็กน้อยเพิ่มรสหวาน แค่นี้ก็อิ่มท้องนอนหลับสบายแล้ว อะโวคาโดหรือไข่ต้มสุกบนขนมปังกรอบ ขนมปังกรอบสองแผ่นโปะหน้าด้วยไข่ต้มสุกบดละเอียด หรืออะโวคาโด 1 ส่วน 4 ลูก ช่วยให้ท้องอิ่มได้ไม่ง้อของทอดของมันเลยล่ะ . กล้วยกับเนยถั่วลิสง กล้วย 1 ลูกพร้อมกับเนยถั่วอีกครึ่งช้อน ลองดูสิ อิ่มอร่อยแถมไม่ต้องห่วงอ้วน…
-
เมื่ออยากให้ลูกทานอาหารมีประโยชน์ คุณแม่จึงลงทุน ทำอาหารเป็นตัวการ์ตูนเสียเลย
การทำให้เด็กๆ ยอมทานอาหารที่มีประโยชน์นั้นเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับพ่อแม่หลายๆ คน ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันแต่เด็กๆ นั้นมักจะไม่ชอบกินผักกันอย่างช่วยไม่ได้อยู่เสมอๆ ทำให้การได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนนั้น เป็นไปได้ยากมาก จนถึงยากที่สุดเลยทีเดียว Laleh Mohmedi เจ้าของ Instagram JACOB’S FOOD DIARIES เป็นคุณแม่อีกคนหนึ่งที่ประสบกับปัญหาลูกไม่ชอบทานอาหารที่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ แต่แทนที่จะปล่อยให้ลูกทำตามใจหรือซื้ออาหารเสริมมาให้ลูกของเธอทาน Laleh เลือกที่จะสร้างแรงจูงใจให้ลูกของเธอมาทานอาหารที่มีประโยชน์ด้วยการทำอาหารเป็นตัวการ์ตูนแทน และนี่เป็นภาพของผลงานส่วนหนึ่งที่ Laleh ทำออกมาด้วยใจเพื่อลูกของเธอ คุณปู่ Carl Fredrickson จากเรื่อง Up สโนว์ไวท์ จาก สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้ง7 Patrick Star จาก Spongebob Scooby Doo จากเรื่อง Scooby Doo Bellwhether จาก Zootopia กรูและลูกๆ จาก Despicable Me Sully จาก Monsters Inc Kermit the Frog จาก Sam and…
-
9 สิ่งที่คนลดน้ำหนักส่วนใหญ่มักจะทำผิด แก้ไขซะ ก่อนที่จะกลับมาอ้วนเหมือนเดิม!!
ปกติแล้วสำหรับการลดน้ำหนักนั้นเรามักจะคิดว่าแค่ทานอาหารที่มีแคลอรีต่ำและออกกำลังกายทุกวันก็ทำให้น้ำหนักลดได้ แต่อย่างไรก็ตามวิธีการลดน้ำหนักที่ได้ผลดีไม่ได้มีแค่นั้น นอกจากสิ่งที่ควรทำแล้วก็ยังมีสิ่งที่ไม่ควรทำอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่ไม่ควรทำนั้นอาจจะทำให้การลดน้ำหนักของคุณพังทลายลงไปได้เลย 9. ไม่อ่านฉลาก ในปัจจุบันก็มีแพ็คเกจอาหารต่างๆ มากมายที่กล่าวว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพหน้าผลิตภัณฑ์ ทำให้ผู้บริโภคนั้นหลงเชื่อว่ามันดีต่อสุขภาพจริงๆ แต่เมื่อตรวจสอบดูที่ฉลากแล้วจะเห็นว่าคำกล่าวอ้างเหล่านั้นไม่จริงเลย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นน้ำตาลที่มีปริมาณมากเกินไป ให้สังเกตส่วนผสมที่ลงท้ายด้วย -ose เช่น fructose, glucose, dextrose, maltose และ sucrose เพราะเจ้าชื่อที่ดูวิทยาศาสตร์มากๆ พวกนี้คือรูปแบบหนึ่งของ “น้ำตาล” ทั้งนั้นเลย สิ่งที่ควรทำ อย่าลืมตรวจสอบรายชื่อส่วนผสมและคุณค่าทางโภชนาการที่ฉลากหลังผลิตภัณฑ์ และอย่าลืมดูปริมาณที่ควรบริโภคต่อคน วิธีนี้จะทำให้เรารู้ว่าควรบริโภคปริมาณเท่าใด 8. ชั่งน้ำหนักบ่อยเกินไป ถึงแม้ว่าการชั่งน้ำหนักบ่อยๆ จะไม่ส่งผลต่อน้ำหนักที่ลด แต่มันสามารถทำให้หงุดหงิดได้ จำไว้ว่าการลดน้ำหนักเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา การชั่งน้ำหนักทุกวันนั้นจะทำให้เกิดอาการท้อได้ สิ่งที่ควรทำ ใช้เทปวัดรอบเอว สะโพกหรือต้นขาแทนเพื่อเป็นการดูความคืบหน้าเป็นเวลาสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ถ้าหากต้องการชั่งน้ำหนักเพื่อเป็นแรงผลักดันให้ออกกำลังกาย ให้ชั่งสัปดาห์ละครั้งแทน 7. สนใจแต่การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ แต่ไม่สนใจเรื่องการเสริมสร้างความแข็งแรง คุณสามารถพูดได้ว่าออกกำลังกายนิดเดียวยังดีกว่าไม่ออกกำลังกายเลย แต่ถ้าคุณทั้งควบคุมอาหารการกิน ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ แต่ว่าน้ำหนักไม่ได้ลดในอย่างที่เราต้องการ สาเหตุนั้นอาจเกิดมาจากร่างกายที่ไม่แข็งแรง การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงนั้นนอกจากจะทำให้มีกล้ามเนื้อแล้วยังทำให้อัตราการเผาผลาญของร่างกายมากขึ้นอีกด้วย สิ่งที่ควรทำ ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและเสริมสร้างความแข็งแรงควบคู่กันไป…
-
หนุ่มแคนาดาลดน้ำหนัก 150 กิโลกรัม หลังต้องนั่งสองเก้าอี้บนเครื่องบิน แถมทำคนอื่นลำบาก
เชื่อว่าคนที่มีน้ำหนักเยอะๆ หลายคนคงอยากจะหันมาออกกลังกายควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนักอยู่ไม่น้อย (หากใครที่พอใจอยู่แล้วก็ถือว่าโอเคนะ) แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคของการลดน้ำหนักก็คือแรงใจนี่แหละ ที่ยากจะเอาชนะ นาย Tony Bussey คุณพ่อลูกหนึ่งจากแคนาดา ก็เป็นคนที่ยังไม่สามารถเอาชนะใจเพื่อลดความอ้วนลงได้ แต่ชีวิตของเขาก็มาถึงจุดเปลี่ยน ย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคมปี 2016 เกิดเหตุไฟไหม้ป่ารุนแรงในเขต Fort McMurray รัฐแอลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา ทำให้ผู้คนกว่า 88,000 คน ต้องอพยพออกจากเมืองด้วยวิธีต่างๆ เป็นการด่วน หนึ่งในนั้นคือการนั่งเครื่องบิน แต่ด้วยความที่ Tony เป็นคนอ้วนที่มีน้ำหนักมากถึง 257 กิโลกรัม ทำให้การเข้าไปนั่งในเก้าอี้บนเครื่องบินเป็นเรื่องยากลำบากมาก จนเจ้าหน้าที่ต้องเปิดเก้าอี้อีกตัวให้เขานั่ง เท่ากับว่าเขาใช้เก้าอี้ไป 2 ตัวด้วยคนๆ เดียว นอกจากนี้ร่างกายอันใหญ่โตของเขายังทำให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ ขยับเขยื้อนได้ลำบากด้วย เมื่อต้องเห็นคนอื่นๆ ต้องมาลำบากเพราะความอ้วนของตัวเอง Tony เลยตัดสินใจลดความอ้วนทันทีหลังจากที่การอพยพครั้งนั้นผ่านพ้นไป เขาหยุดกินพวกไก่ทอดแล้วหันมากินผักแทน เขาเริ่มเดินและเพิ่มความระยะทางและระยะเวลาไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ 5 นาที 50 นาที ไปเรื่อยๆ “น้ำหนักของผมหายไป 147 กิโลกรัม…
-
รวมดาว 19 สาวนักวิ่ง น่ารักซะจนคุณเลือดสูบฉีด อยากจะออกไปวิ่งเดี๋ยวนี้เลย
ไม่รู้ว่าเพราะคิดไปเองหรือมันเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ทุกๆ ครั้งที่เราได้เห็นภาพถ่ายจากงานวิ่งตามที่ต่างๆ เรามักจะได้เห็นภาพนักวิ่งสาวๆ น่ารักๆ ตลอดเวลา จนเกิดความสงสัยว่าเอ๊ะ หรืองานวิ่งทั้งหลายมันมีแต่คนน่ารักมาวิ่งกันแน่? ล่าสุดเราได้ไปเจอเพจ นักวิ่งน่ารัก ที่เหมียวคิดคาดว่ากว่า 80% น่าจะเป็นหนุ่มๆ แน่ เพราะในเพจจะรวบรวมเอาภาพสาวๆ จากงานวิ่งมาให้หนุ่มๆ ได้ชมกัน จนเลือดสูบฉีดรุนแรงและอยากจะสมัครวิ่งมาราธอนกับเขาด้วยเลย (ใครมีวงมีวาร์ปก็เอามาแบ่งกันด้วยนะ) 1. น้องผักกาด 2. น้องเมย์ 3. น้องแพน 4. น้องปอย 5. น้องพิม 6. น้องเอ็ม 7. น้องแพรวชมพู 8. น้องเอ๋ 9. น้องแอนจี้ 10. น้องยิ้ม 11. น้องสร้อย 12. น้องเมเม่ 13. น้องอาร์ต …
-
แคทดั๊มบ์ชวนคุย “บีม” นักวิ่งสาวสุดคิวต์ ที่อยากให้คุณหันมาออกกำลังกายด้วยกัน
ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา กระแสการวิ่งออกกำลังกายและวิ่งมาราธอนกลายเป็นกระแสหลักที่ใครๆ ก็พากันออกมาวิ่งเพื่อสุขภาพ จนเกิดเป็นการจัดกิจกรรมเล็กใหญ่ตามที่ต่างๆ และไม่รู้ว่าเพราะอะไร เวลามีงานวิ่งตามที่ต่างๆ ทีไรจะต้องมีสาวๆ น่ารักๆ พากันไปวิ่งให้หนุ่มๆ รู้สึกกระปรี้กระเปร่าอยู่ตลอดเวลา อย่างเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา #เหมียวฟิ้น ได้เห็นคลิปของสาวคนหนึ่งที่ถูกแชร์ผ่านหน้านิวส์ฟีด เป็นภาพของสาวนักวิ่งยิ้มร่า จนทำให้เราอยากรู้จักเธอมากขึ้นเลยทีเดียว ด้วยความสงสัยใคร่รู้เราก็เลยชวนเธอคุยกันสั้นๆ เกี่ยวกับกิจกรรมการวิ่งของเธอ ว่ามีแรงบันดาลใจหรือเคล็ดลับยังไงในการวิ่งบ้าง? เหมียวฟิ้น: เริ่มจากแนะนำตัวหน่อยครับ บีม: ชื่อเลิศศิริ โตสิงห์ ชื่อเล่น บีม อายุ 26 ปีค่ะ เพื่อนชอบเรียกกันว่าบีมเมอร์ค่ะ (หัวเราะ) เหมียวฟิ้น: ทำไมถึงชอบวิ่ง แรงบันดาลใจคืออะไรครับ? บีม: บีมเองเริ่มวิ่งเพราะเกิดจากการวิ่งแก้บนค่ะ ลงงานแรกคืองาน 10 กิโลฯ ที่งานศิริราช เดิน-วิ่งผสานชุมชน เมื่อ 4 ปีที่แล้วค่ะ ทีนี้ในขณะวิ่งก็เห็นคนสูงอายุ ลุงป้า วิ่งแซง เลยคิดว่า ‘โหเค้าอายุเยอะขนาดนั้นยังฟิตขนาดนี้เราน่าจะทำให้เราฟิตได้ขนาดนั้นบ้าง’ บีม: หลังจากนั้นเลยเริ่มลองซ้อมวิ่งเอง…
-
สาระมาแล้ว!!! 10 เกร็ดความรู้สุดน่าทึ่งเกี่ยวกับผิวหนัง ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
ผิวหนังนั้นเป็นอวัยวะที่สำคัญที่ไม่ใช่แค่ทำหน้าที่ปกคลุมร่างกายเพียงเท่านั้น ถ้าเราไม่มีผิวหนัง เราก็คงไม่สามารถทำสิ่งที่เคยทำในชีวิตประจำวันได้ เช่นการหายใจ การขยับร่างกาย และการทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน แต่ก็มีสิ่งต่างๆ มากมายสุดน่าทึ่งเกี่ยวกับผิวหนังของมนุษย์ที่เราอาจไม่เคยได้เรียนมาก่อนในคลาสเรียนวิชาชีววิทยา ลองไปอ่านกันได้เลย 1 . ผิวหนังมีสามชั้น ผิวหนังนั้นประกอบไปด้วย 3 ชั้นด้วยกัน ชั้นนอกสุดเป็นชั้นที่กันน้ำ เรียกว่า Epidermis ชั้นกลางเป็นชั้นที่มีเนื้อเยื่อแข็งแรงเกาะกลุ่มรวมกัน มีรากเส้นขนและต่อมต่างๆ เรียกว่าชั้น Dermis และชั้นในสุดเป็นชั้นที่มีไขมันและเป็นชั้นที่เกาะกับกล้ามเนื้อ เรียกว่าชั้น Hypodermis 2. สีของผิวนั้นขึ้นอยู่กับเซลล์ในชั้น Epidermis เซลล์เหล่านั้นมีชื่อเรียกว่า Melanocytes ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดสี Melanin ยิ่งมีจำนวนมากเท่าไร สีของผิวก็จะเข้มขึ้นมากเท่านั้น และการที่มีเซลล์เม็ดสีมากเกินไปหรือน้อยเกินไปอาจส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพผิวหนังได้ 3. ผิวหนังทั้งหมดอาจมีน้ำหนักมากกว่า 10 กิโลกรัม ผิวหนังของเรานั้นมีน้ำหนักประมาณ 15% จากน้ำหนักตัวทั้งหมด ทำให้เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย อ้างอิงจากศูนย์ควบคุมโรค น้ำหนักทั้งหมดของผิวหนังของผู้หญิงชาวอเมริกันนั้นเฉลี่ยได้ประมาณ 11 กิโลกรัม และของผู้ชายมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 30 กิโลกรัม 4.…
-
นักวิทย์ชี้แจง ทำไมหน้าร้อนเราถึง “หิวน้อยกว่าปกติ” นี่เรากำลังจะผอมแล้วใช่มั้ย!?
ด้วยอุณหภูมิของประเทศไทยที่ตอนนี้พุ่งสูงไปที่ 30 องศาเซลเซียส ปลายๆ เกือบจะ 40 องศาเซลเซียส ขนาดที่ยังไม่เข้าเดือนเมษาก็ร้อนจนแทบจะละลายกลายเป็นไขมันลงไปกองกับพื้นแล้ว เนื่องจากความร้อนที่พุ่งสูงจนเราไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร อยากทำแค่เพียงเปิดแอร์ฉ่ำ นอนตีพุงอยู่เฉยๆ แต่มันก็ทำไม่ได้ ด้วยภาระหน้าที่ที่จำเป็นนั้นทำให้เราต้องออกไปเผชิญกับอากาศร้อนตับแตก เหมือนกับว่าชาติที่แล้วไปทำเวรทำกรรมอะไรมา… เราเคยสงสัยกันไหมว่า “ทำไมหน้าร้อน เราถึงไม่ค่อยจะอยากกินอะไรมากนัก” เป็นเพราะอะไรที่ทำให้เราอยากกินอาหารน้อยลงในช่วงเวลาฤดูร้อน หรือนี่อาจจะเป็นสัญญานที่ทำให้เราเริ่มต้นลดน้ำหนักกันแน่นะ #เหมียวบู้บี้ ก็จะมาไขข้อสงสัยนี้ให้ทุกคนได้รู้กัน!! อ้างอิงจากข้อมูลที่ Ritesh Balri นักโภชนาการและนักสรีรวิทยา กล่าวไว้ว่า “มีอีกหลายทฤษฎีที่บ่งบอกถึงสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกหิวน้อยลง เช่น ทฤษฎีเรื่องปริมาณของแสงที่กระตุ้นความหิวของเรา” อธิบายง่ายๆ เลยก็คือ เมื่อแสงน้อยลง ร่างกายของเราก็จะเกิดความคิดว่า เราจะไม่ได้รับอาหารอย่างเพียงพอก็เลยต้องรีบตุนอาหารไว้ในร่างกาย เราจึงหิวบ่อยกว่าปกติในฤดูหนาว (ส่วนหน้าร้อนแดดจ้า ร่างกายก็เลยไม่อยากรับอาหารมากเท่าไหร่) โดยทั่วไป ร่างกายจะมีกลไกในการขับน้ำออกจากร่างกาย นั่นก็คือขับออกมาในรูปแบบของเหงื่อ เพื่อให้อุณหภูมิในร่างกายอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ส่วนที่ควบคุมระบบนี้นั่นก็คือ ไฮโปทาลามัส ส่วนหนึ่งในสมองของเรานั่นเอง ในขณะที่ไฮโปทาลามัสควบคุณอุณภูมิในร่างกายของเราก็จะให้ความสำคัญกับความหิวน้อยลง และสั่งให้ร่างกายดื่มน้ำมากขึ้น นอกจากนี้นักโภชนาการยังบอกอีกว่า ดัชนีมวลกายของเราจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพราะร่างกายต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อการดำรงชีพตามปกติ และนี่ก็น่าอธิบายได้ว่าทำไมร่างกายของเราถึงไม่ค่อยหิวในฤดูร้อน นี่แหละจุดเริ่มต้นของการลดน้ำหนัก!! …
-
หนุ่มๆ ฟังไว้ วิจัยบอกว่าควร “ชู้กวู้ว” อย่างน้อยๆ 21 ครั้งต่อเดือน เพื่อสุขภาพตัวเองนะ!!
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนมีนาคมปี 2017 Jessica Farrar นักการเมืองจากรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาเรียกร้องให้เหล่าชายหนุ่มหยุดการ “ชู้กวู้ว” เพราะมันคือการกระทำที่ต่อต้านการให้กำเนิดบุตร (ประมาณว่าถ้าทำแล้วก็จะทำให้เด็กคนนั้นๆ ไม่ได้กำเนิดมานั่นเอง) และหากใครฝ่าฝืนก็จะมีการปรับเป็นจำนวน 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 3,112 บาท แต่โชคดีของหนุ่มๆ เท็กซัสซะเหลือเกิน เพราะมันยังเป็นแค่การพูดคุยเฉยๆ ไม่ได้กลายเป็นข้อกฎหมายที่มีการบังคับใช้จริงๆ และเพื่อเป็นการสนับสนุนเหล่าชายหนุ่มว่าการ “ชู้กวู้ว” เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เราก็เลยเอางานวิจัยหนุกๆ ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดมาให้ได้อ่านกัน งานวิจัยที่ว่านี้ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ europeanurology.com เมื่อราวๆ เดือนธันวาคมปี 2016 พบว่าการการทำกิจกรรมทางเพศหรือการช่วยตัวเอง มีส่วนช่วยในการฟื้นฟูร่างกายและลดโอกาสในการป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้อย่างดี การศึกษานี้ได้ศึกษาพฤติกรรมทางเพศของชายหนุ่มกว่า 32,000 คน จนสรุปได้ว่าคนที่มีอัตราการหลั่งออกมาสูงกว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่านั่นเอง บางช่วงบางตอนของงานวิจัยเขียนเอาไว้ว่า “เราพบว่าผู้ชายที่อยู่ในรายงานของเรา เมื่อเปรียบเทียบคนที่ช่วยตัวเองบ่อยครั้งกับคนที่ช่วยตัวเองน้อยครั้ง พบว่าคนที่ช่วยตัวเองบ่อยนั้นจะมีโอกาสพบโรงมะเร็งต่อมลูกหมากได้น้อยกว่านั่นเอง การศึกษาที่มีความคาดหวังใหญ่ขนาดนี้จะเป็นหลักฐานที่แข็งแกร่งที่ชี้ว่าการช่วยตัวเองมีประโยชน์ขนาดไหนในการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก” ส่วนจำนวนครั้งที่พอเหมาะพอดีสำหรับการช่วยตัวเองนั้นคือ 21 ครั้ง/เดือน เพราะงานศึกษาชิ้นนี้พบว่ามันช่วยลดการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึง 33% เลย แต่ๆๆ นอกจากการชู้กวู้วบ่อยๆ…
-
8 กิจวัตรยามเช้า ที่คุณควร “หยุดทำได้แล้ว” เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพหรอกนะ!!
นับตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาในเวลาเช้า นั่นเป็นสัญญาณเริ่มการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว และอื่นๆ โดยปกติแล้วกิจวัตรสำหรับแต่ละคนจะเป็นพฤติกรรมที่ทุกๆ คนทำซ้ำๆ ในทุกๆ วันด้วยความเคยชิน แต่หารู้ไม่ว่าช่วงเช้านั้นสำคัญมาก เพราะมันเป็นการเริ่มต้นของทุกอย่างในวันนั้นๆ ฉะนั้น กิจวัตรในยามเช้าของเราบางอย่างที่เราทำซ้ำๆ ด้วยความเคยชินก็ควรเปลี่ยนได้แล้ว เพราะมันอาจส่งผลเสียกับเราได้ อย่างเช่น 8 พฤติกรรมดังต่อไปนี้ ที่ควรเลิกทำในตอนเช้าได้แล้ว เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง 1. การไม่อาบน้ำตอนเช้า บางคนคิดว่าอาบน้ำตอนเช้าทำไม เพิ่งตื่นนอนตัวไม่สกปรกสักหน่อย เดี๋ยวค่อยอาบตอนเย็นก็ได้ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความสะอาดหรอกครับ เพราะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดบอกเอาไว้ว่าการอาบน้ำตอนเช้าจะทำให้สมองของเราตื่นตัวและมีสมาธิ นอกจากนี้การอาบน้ำยังสามารถแก้ปัญหาและตอบคำถามต่างๆ นานาได้ดี และยังทำให้สมองของเราผุดไอเดียใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนอีกด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณไม่ควรมองข้ามการอาบน้ำตอนเช้า 2. การอาบน้ำอุ่น ใช่แล้ว การอาบน้ำอุ่นมันสบายตัวใช่ไหมล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาอากาศหนาว แต่หารู้ไม่ว่า การอาบน้ำอุ่นจะทำให้คุณอยากกลับไปนอนต่อ แต่ถ้าหากว่าคุณอาบน้ำเย็นล่ะก็ คุณจะตื่นตัว สดชื่น และสมองของคุณจะถูกกระตุ้นให้พร้อมสำหรับการทำงานที่หนักขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ น้ำเย็นยังไม่ทำให้ผิวแห้งแบบน้ำอุ่นด้วยนะ ส่วนนักวิทยาศาสตร์ก็พบอีกด้วยว่า ผู้ที่อาบน้ำเย็นเป็นประจำจะมีน้ำหนักลดลงเฉลี่ย 4 กิโลกรัมต่อปี 3.…
-
แม่เจ้าโว้ยยย… สาวใหญ่วัย 51 ปี มีสถานะเป็นคุณแม่แล้ว ยังคงความเซ็กซี่และโกงอายุสุดๆ
หากให้เพื่อนๆ นึกภาพหญิงวัย 51 ปี ทุกท่านจะนึกภาพออกมาอย่างไรกันบ้าง? แน่นอนว่า 51 ปีนั้นไม่ใช่วัยที่จะเรียกได้ว่าหนุ่มสาวได้แล้ว ภาพที่เพื่อนๆ คิดคงห่างไกลจากสาวเซ็กซี่ที่ดูเช้งกระเด๊ะแน่ๆ แต่สำหรับสาวใหญ่วัย 51 ปีคนนี้ รับรองว่าจะต้องทำให้ทุกท่านตกใจอย่างแน่นอน หลังจากที่มีภาพถ่ายกลางหิมะออกมาอวดหุ่นสุดเซี๊ยะ ทำให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่อ้าปากค้างไปตามๆ กัน… ชื่อของเธอก็คือ Liu Yelin เธอเป็นหญิงชาวจีน จากเมืองซินหยาง มณฑลเหอหนาน ที่เคยโด่งดังไปทั่วอินเทอร์เน็ตมาก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากหุ่นสุดแซ่บของเธอ!! และในครั้งนี้ เธอก็กลับมาสะกดสายตาชาวเน็ตอีกครั้ง ด้วยภาพชุดสุดเซ็กซี่กลางหิมะขาวโพลน พร้อมเผยถึงเคล็ดลับการดูแลรักษารูปร่างและสุขภาพของเธอให้ทุกคนได้รู้อีกด้วย โอ้วววว อู้วววว เธอเผยเคล็ดลับว่า การออกกำลังกายท่ามกลางความเหน็บหนาว จะช่วยยับยั้งความชราได้ ทำให้ดูอ่อนเยาว์ลง และดูมีออร่าเปล่งปลั่ง Liu Yelin มักจะออกกำลังกายหลายชั่วโมงต่อวันเป็นปกติ แต่ที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือ เมื่อฤดูหนาวมาถึงเธอจะลงไปแหวกว่ายในน้ำเย็นยะเยือก และเล่นโยคะท่ามกลางหิมะ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเธอถึงดูอ่อนกว่าวัยได้ขนาดนี้… อายุ 51 จริงเหรอเนี่ยย!!? . .…
-
18 ภาพสุดฮา ของการที่ ‘พยายาม’ ทำตัว Healthy แต่ก็ดั๊นไปไม่รอด
สุขภาพของเราเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการใช้ชีวิต นอกจากจะทำให้ร่างกายเราแข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้รูปลักษณ์เราดูดีอีกด้วย ปัจจุบัน ผู้คนจึงหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะออกกำลังกาย เข้ายิม เข้าฟิตเนส หรือแม้แต่รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่า วิธีการดังกล่าว ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบทำมันหรอกนะ ดังนั้น ชาวเน็ตจึงพากันแชร์ Meme ตลกๆ เกี่ยวกับการ “พยายามทำตัวรักสุขภาพ” เอาล่ะ ลองไปรับชมเรื่องราวและ Meme สุดฮา จากชาวเน็ตกันได้เลย… 1. ปริมาณผักโขมก่อนเอาไปทำอาหาร VS ปริมาณหลังจากที่ทำเสร็จแล้ว 2. เมื่อคุณอุตส่าห์ทานอาหารเพื่อสุขภาพไปตั้ง 15 นาทีแล้ว แต่กลับยังไม่พบความเปลี่ยนแปลงใดๆ 3. เมื่อคุณลืมพกขวดน้ำกับหูฟังไปด้วย แต่คุณก็อุตส่าห์ออกกำลังกายได้จนจบ 3. เมื่อฉันสควอท ไปแล้ว 1 เซต 4. เมื่อชีวิตมันย่ำแย่ แต่ก็ยังต้องทานอาหารคลีนอยู่… 5. เมื่อคุณวิ่งบนลู่วิ่งแสนยาวนาน แต่กลับมาพบทีหลังว่าเวลาเพิ่งผ่านไป 4 นาทีเอง …
-
หญิงสาวตรวจพบลิ่มเลือดในสมอง หลังเธอจ้องมองจอมือถือนานกว่า 20 ชั่วโมงติด!!
การที่คุณเป็นคนสุขภาพดีเรื่อยมา ไม่ได้หมายความว่าวันพรุ่งนี้คุณจะไม่ป่วย ถ้าเกิดจู่ๆ คุณก็เลิกสนใจสุขภาพไม่แน่ว่าวันต่อมา ชีวิตของคุณอาจจะเปลี่ยนไปจากโรคภัยที่มาอย่างกะทันหันก็เป็นได้ อย่างเช่นหญิงชาวจีนวัย 47 ปี จากมณฑลเหอหนานที่ตอนแรกก็พบว่าตัวเองสุขภาพดีมากๆ จนกระทั่งเมื่อช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา เธอได้เดินทางกลับมายังบ้านและกำลังจะกลับไปทำงานยังเมืองกว่างโจวในมณฑลกวางตุ้งก็พบว่าตัวเองนั้นป่วยอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เธอจึงเดินทางไปพบแพทย์และตรวจร่างกายก็เจอลิ่มเลือดในสมอง หญิงสาวคนดังกล่าวตกใจมากๆ เพราะเธอนั้นสุขภาพดีมาตลอดไม่เคยป่วย จนกระทั่งหมอได้ถามว่าช่วงก่อนหน้าเธอทำอะไรหนักๆ มาหรือเปล่า จากการสอบถามแพทย์ก็ได้รู้ว่า ช่วงที่เธอกำลังเดินทางกลับมายังเมืองกว่างโจวเธอต้องนั่งรถไฟเป็นเวลานาน ซึ่งในช่วงนั้นคนก็แน่นและเธอไม่รู้จะทำอะไรจึงใช้โทรศัพท์มือถือในการฆ่าเวลา ด้วยความที่คนบนรถไฟแน่นมากๆ ทำให้เธอขยับมากไม่ได้ เธอจึงต้องนั่งจ้องโทรศัพท์อยู่อย่างนั้นกว่า 20 ชั่วโมง แพทย์จึงทำการผ่าตัดและจัดการลิ่มเลือดในสมองของเธอ ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่ถึงเกือบ 3 เซนติเมตร โดยแพทย์ก็ได้ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะรักษาเธอจนหาย ด้านแพทย์จากโรงพยาบาล Hospital of Jinan University ในเมืองกว่างโจวก็บอกว่า เธอนั้นนั่งในท่าเดิมนานเกินไป ฉะนั้นจึงอยากจะฝากเตือนคนอื่นๆ ว่าไม่ควรจะอยู่ในท่าเดิมที่นานเกินไปโดยเฉพาะเหล่าวัยรุ่นที่ปัจจุบันมักจะใช้เวลาอยู่กับโทรศัพท์มือถือนานๆ ฉะนั้นเราจึงควรจะขยับบ่อยๆ เล็กน้อยก็ยังดี ส่วนหญิงสาวในเหตุการณ์นี้อาการก็ดีขึ้นตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามแพทย์ก็บอกว่าเธอยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจ้องโทรศัพท์อยู่ดีนั่นเอง ที่มา nextshark
-
อยากมีสุขภาพที่ดีต้องลอง !! 10 วิธีแปลกๆ แต่ได้ผล สำหรับพนักงานออฟฟิศ
ในปัจจุบันนั้นคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เป็นพนักงานออฟฟิศที่วันๆ นั่งอุดอู้อยู่ในที่ทำงานเป็นเวลาติดต่อกันหลายชั่วโมง ซึ่งอาจจะทำให้สุขภาพแย่ลงเรื่อยๆ และทำให้เสียบุคลิกอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะดูเป็นไปไม่ได้กับการที่จะเปลี่ยนสไตล์การใช้ชีวิตในช่วงขณะนั้น แต่ก็มีนวัตกรรมแปลกใหม่มากมายที่จะเข้ามาเปลี่ยนการทำงานอันน่าเบื่อในออฟฟิศให้ดูน่าสนใจมากขึ้น และที่สำคัญยังช่วยให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นอีกด้วย 1. โต๊ะยืน โดยปกติแล้วคนเรามักจะใช้เวลาในการทำงานกับการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ จึงได้มีการสร้างโต๊ะแบบยืนขึ้นมา ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการเป็นโรคอ้วน และช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แถมยังลดโอกาสในการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย 2. โต๊ะจักรยาน หลายคนอาจจะคิดว่าโต๊ะยืนนั้นอาจจะเมื่อยเกินไป ลองใช้โต๊ะจักรยานนี้สิ อาจจะช่วยได้ดีกว่าเดิมก็ได้ ซึ่งการปั่นจักรยานไปด้วยก็จะช่วยให้เรามีสติมากขึ้น หรือจะนั่งเฉยๆ ก็ได้หากรู้สึกเหนื่อย 3. โต๊ะทำงานล้อแฮมสเตอร์ ถึงแม้ว่าการที่วิ่งบนล้อแฮมสเตอร์นั้นอาจจะดูไร้จุดมุ่งหมาย แต่อย่าลืมว่าเจ้าพวกหนูแฮมสเตอร์นั้นก็สนุกไปกับมันนะ การที่ทำงานไปด้วยและเดินไปด้วยนั้นจะช่วยให้มีสุขภาพที่ดีและช่วยในเรื่องอารมณ์อีกด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็ได้ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าการเดินนั้นดีกว่ายืนเฉยๆ แน่นอน 4. เก้าอี้ลูกบอลโยคะ การนั่งบนลูกบอลโยคะนั้นจะช่วยให้มีบุคลิกที่ดีขึ้นและช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องและหลัง และยังช่วยลดอาการปวดหลังอีกด้วย 5. เก้าอี้ช่วยยืน ถึงแม้ว่าเก้าอี้ช่วยยืนที่สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้นั้นจะดูประหลาดไปบ้าง แต่มันช่วยได้ให้ประโยชน์จากการยืน และความสะดวกสบายจากการนั่งอีกด้วย 6. ไข่หรรษา ไข่หรรษานั้นเป็นอุปกรณ์คลายเครียดที่ดีเลยทีเดียว ถึงแม้ว่ารูปร่างของมันอาจจะดูไม่เหมาะสม แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะมันสามารถติดกับใต้โต๊ะได้ จึงไม่ต้องกลัวว่าเพื่อนร่วมงานของคุณจะเห็นและมองคุณแปลกๆ ไป บางทีถ้าพวกเขามาเห็นก็คงอิจฉาและมาขอยืมของเราไปเล่นก็เป็นได้ …
-
ผลวิจัยออกมาแล้วว่า คนที่น้ำหนักเกิน(นิดหน่อย) และดื่มแอลกอฮอล์(นิดหน่อย) จะมีอายุยืน!!
ปัจจุบัน กระแสนิยมดูแลสุขภาพกำลังมีบทบาทเป็นอย่างมาก หลายต่อหลายคนพยายามรักษาสุขภาพให้ตนเองดูดีและแข็งแรงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะด้วยการออกกำลังกาย ทานอาหารที่ไม่อ้วน และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น แต่หารู้ไม่ว่าปัจจุบัน ได้มีผลงานวิจัยปรากฎออกมาแล้วว่าผู้ใหญ่ที่มีรูปร่างผอม จะมีอายุสั้นกว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานนิดหน่อย งานวิจัยระยะเวลา 30 ปีในช่วงราวๆ ปี 90 เป็นต้นมา ได้เผยให้เห็นว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินและชอบดื่มแอลกอฮอล์จะมีแนวโน้มที่จะมีชีวิตอยู่ถึงวัยชรามากกว่า อีกทั้งยังแนะวิธีการยืดอายุให้ยาวขึ้นด้วยการออกกำลังกาย 15 นาที และดื่มกาแฟ 2 แก้วต่อวัน การวิจัยครั้งนี้ นักวิจัยได้ให้ผู้คนอายุ 55 ถึง 100 ปีจำนวน 14,000 คน เขียนถึงวิถีชีวิตของตนเอง และหลังจากปี 2003 เป็นต้นไป ผู้วิจัยจึงทำการติดตามศึกษาผู้ที่ยังมีชีวิตราว 1,600 คน ซึ่งทำให้ทราบถึงความลับของการมีชีวิตยืนชาวของพวกเขา พบว่าผู้คนเหล่านั้นมีการดื่มแอลกอฮอล์อยู่พอประมาณ เช่น เบียร์หรือไวน์จำนวน 1-2 แก้วต่อวันหรือต่อสัปดาห์ ซึ่งทำให้พวกเขามีอายุยืนยาวกว่าผู้ที่งดเว้นจากการดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนผู้ที่มีการบริโภคคาเฟอีนในปริมาณตั้งแต่ 200-400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือกาแฟ 1-2 แก้วต่อวัน…
-
จากคำกล่าวของหมอ ว่าเค้าอาจจะไม่รอดจนถึงวันเกิดครั้งหน้า เลยลดน้ำหนักไปได้ 200 กิโลฯ
Stanley Hollar ชายที่เป็นโรคอ้วนและน้ำหนักเกิน เขาอ้วนชนิดที่ว่าเขาอาจจะไม่รอดถึงวันเกิดปีหน้าได้หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เนื่องจากเขามีภาวะเจ็บป่วยและข้อจำกัดทางการรักษามากมายรวมอยู่ในความอ้วนของเขา ทุกอย่างจึงพากันย่ำแย่ลง ขณะที่ชีวิตของเขากำลังมองเห็นจุดจบ ก็กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เมื่อปี 2015 เขาเริ่มรู้ตัวว่าเขาต้องทำอะไรบางอย่างกับน้ำหนักตัวของเขา ย้อนกลับไปสมัยที่เขายังเป็นเด็กซึ่งแน่นอนว่า ไม่เคยมีช่วงไหนที่เขาผอมเลย สมัยที่เขาเป็นเด็กอนุบาล เขามีน้ำหนักถึง 45 กิโลกรัม Stanley กล่าวว่า “สมาชิกในครอบครัวส่วนมากก็ตัวใหญ่เหมือนผม การที่ผมมีน้ำหนักเกินนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก และผมก็ไม่รู้สึกอะไรกับมันด้วย” แต่ถึงกระนั้น ญาติของเขาก็เริ่มมองเห็นว่าการมีน้ำหนักเกินของ Stanley เริ่มไม่ปกติ “ครอบครัวผมเองก็เริ่มพูดบางอย่างเกี่ยวกับน้ำหนักของผม แต่ก็แค่คำพูด ผมชินชากับเสียงหนวกหูเหล่านั้นเสียแล้ว” Stanley กล่าว ปัญหาของเขายิ่งเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม เมื่อในปี 1996 Stanley ได้รับความบาดเจ็บสาหัสส่งผลให้เขาต้องตัดขาทิ้ง และต้องใช้เวลาเกือบ 20 ปี กว่าที่เขาจะรู้ตัวว่า เขาควรรักตัวเองได้แล้ว เพราะครั้งหนึ่งที่เขาไปหาแพทย์ แพทย์บอกกับเขาว่า เขาอาจจะไม่รอดชีวิตถึงวันเกิดปีหน้า คำพูดนี้ไม่ใช่แค่เสียงหนวกหู มันเป็นสิ่งเขาไม่สามารถมองข้ามได้ Stanley รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตัวเอง ในเวลานั้น เขามีน้ำหนักตัวถึง 307 กิโลกรัม เขากล่าวว่า…
-
ผลลัพธ์ของการ “อดนอน” เป็นระยะเวลานาน จะเกิดอะไรขึ้นหากไม่นอน 6 ชั่วโมง ถึง 10 วัน!?
เราอาจเคยมีความคิดว่าถ้าเราหลับน้อยๆ หรือไม่ต้องหลับเลย เราจะมีเวลามากขึ้นไว้ใช้ทำสิ่งต่างๆ ที่ต้องการได้เยอะขึ้น แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ร่างกายของเราไม่อาจทนรับสภาพนั้นไหวได้ เราจึงควรพักผ่อนกันให้เพียงพอเพื่อเริ่มต้นวันใหม่กันอย่างสดใส แต่ถ้าเพื่อนๆ คนไหนยังไม่เชื่อว่าการอดหลับอดนอนมันจะส่งผลเสียอย่างไรกับเรา วันนี้ #เหมียวตะปู เลยอยากชวนทุกคนให้ลองมาดูผลลัพธ์ที่จะได้จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ อดหลับอดนอน หรือถ้าเราไม่นอนพักผ่อนไปเลยเป็นเวลานานๆ ว่าสิ่งเหล่านั้นมันจะส่งผลเสียให้กับเราอย่างไรบ้าง เราลองไปดูกันเลยยย ผ่านไป 6 ชั่วโมงหลังจากที่เรานอนไม่หลับในตอนกลางคืน ร่างกายจะเริ่มผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลที่มากจนเกินไป ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้เราหงุดหงิดและกังวลใจมากยิ่งขึ้น นำไปสู่ความตึงเครียดและความสับสน ผ่านไป 12 ชั่วโมง สมองของคุณจะตัดการทำงานหลายๆ อย่างที่ดูไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ อย่างเช่น ปฏิกิริยาการตอบสนองและการตัดสินใจ ทำให้คุณรู้สึกเชื่องช้าลงไปบ้าง แต่ยังสามารถรับมือกับหน้าที่ในชีวิตประจำวันได้อยู่ ผ่านไป 24 ชั่วโมง แทนที่เราจะรู้สึกเหนื่อยอ่อน เรากลับจะรู้สึกว่าจู่ๆ ก็มีพลังงานพลุ่งพล่านออกมาจนรู้สึกว่าตัวเองสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประสาทสัมผัสคมกริบ มองโลกและคนรอบข้างเป็นสิ่งสวยงามที่น่ารื่นรมย์ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นผลมาจากการที่สมองของเราเพิ่มระดับของสารโดพามีน (สารความสุข) ชดเชยการอดหลับอดนอนนั่นเอง ผ่านไป 36 ชั่วโมง ระบบความจำและปฏิกิริยาการตอบสนองของเราเริ่มลดน้อยลงไป เพราะสมองยังคงต้องรักษาพลังงานเอาไว้สำหรับการทำงานโดยรวม และเวลานี้คือจุดเริ่มต้นของสภาพร่างกายที่จะถดถอยลงไปเรื่อยๆ การทำงานของร่างกายบางอย่างจะปิดตัวลง เหมือนว่าระบบภูมิคุ้มกันกำลังบั่นทอนการเผาผลาญภายในร่างกาย ทำให้รู้สึกเหนื่อยมากๆ …
-
คู่หูพ่อลูกนักเพาะกาย เห็นลูกเล่นกล้ามก็อยากทำตาม ฟิตแน่นจนคนเชื่อว่าเป็นพี่น้องกัน
ไม่ว่าใครๆ ต่างก็รู้กันดีว่าการออกกำลังกายเป็นประจำจะทำให้เรามีสุขภาพดี มีร่างกายที่แข็งแรง รวมถึงยังทำให้เรามีรูปร่างที่ดีขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากยังไม่เชื่อว่าการออกกำลังกายจะสามารถทำได้จริงอย่างที่ว่า ก็ลองมาดูตัวอย่างของคุณพ่อคนนี้ที่หันมาออกกำลังกายกับลูก จนมีร่างกายที่แข็งแรงบึกบึนรวมถึงมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์ จนเดินข้างกันแล้วเหมือนกับพี่น้องยังไงยังงั้นเลยก็ว่าได้ นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อที่มีชื่อว่า Roberto Casarotto ชาวอิตาลีวัย 51 ปี ที่ในอดีตเคยเป็นลุงอ้วนพุงพลุ้ย ทว่าเขาก็เกิดแรงบันดาลใจในการฟิตหุ่นของตัวเองขึ้นมา หลังจากที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงร่างกายของ Stefan ลูกชายวัย 23 ปีของเขาที่ออกกำลังกายอย่างหนักจนสามารถเข้าประกวดเพาะกายได้ เขาบอกว่ามีความสุขเป็นอย่างมากที่ได้เปลี่ยนแปลงร่างกายจนมีรูปร่างที่ดีได้ขนาดนี้ รวมถึงยังแสนจะดีใจที่บางครั้งมีคนมาบอกว่าเข้าใจผิดคิดว่าเขากับลูกเป็นพี่น้องกันด้วย “ลูกชายของผมเป็นแรงบันดาลใจให้ผมตัดสินใจปั้นร่างกายขึ้นมา เขาตัดสินใจจะลงแข่งเพาะกาย ผมเลยคิดว่าทำไมผมจะไม่เข้าร่วมด้วยล่ะ เราฝึกซ้อมกันอย่างหนักด้วยกันและก็ช่วยดูแลกันด้วย” “หลายๆ คนมักจะถามว่าเราเป็นพี่น้องกันเหรอ แต่เมื่อพวกเราบอกว่าเป็นพ่อกับลูกกัน พวกเขาก็ถามว่าจริงหรือเนี่ย” Roberto กล่าว คนแก่ไม่ยอมแก่คนนี้ได้เริ่มเพาะกายอย่างจริงจังตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2016 และได้ลงเข้าแข่งขันเพาะกายครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ปี 2017 ซึ่งในการลงแข่งขันครั้งแรกในชีวิตนี้ ผลออกมาปรากฏว่าเขาสามารถคว้าอันดับที่ 6 มาครองได้อย่างภาคภูมิใจ ต่อมาในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน เขาก็ลงประกวดแล้วคว้ารางวัลอันดับที่ 2 มาครองได้เป็นที่สำเร็จ “ตอนนี้ผมยังคิดว่ายังไม่พอใจกับรูปร่างที่ตัวเองเป็นอยู่ เพราะผมมักจะเห็นรูปร่างของคนอื่นที่เพอร์เฟกต์ยิ่งกว่าผม ดังนั้นผมจึงตั้งใจฝึกซ้อมต่อไป…
-
Top 10 เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพที่ถูกค้นหาใน Google พร้อมคำตอบที่เป็นประโยชน์กับชีวิตของทุกคน
ในยุคสมัยที่คนเราสามารถหาแทบทุกสิ่งทุกอย่างได้จากอินเตอร์เน็ตนั้น เชื่อว่าเพื่อนๆ อาจจะเคยเอาเรื่องเจ็บป่วยของตัวเองไปเสิร์ชหาใน Google ดูกันบ้างล่ะ ปวดหัวเป็นอะไรไม่รู้พอเสิร์ชดูปรากฏว่าเป็นเนื้องอกในสมองจ้า หรือไม่ก็เลือดกำเดาไหลเป็นอะไรหว่า หาไปหามา อ๋อ เป็นลูคีเมียนี่เอง เพราะอย่างนั้นจึงมีหลายๆ ไม่ค่อยเชื่อข้อมูลจาก วิธีนี้เท่าไหร่นัก แต่ก็ใช่ว่าข้อมูลการค้นหานั้นจะมั่วซั่วไปเสียหมด เพราะยิ่งมีคนค้นหามากเท่าไหร่ โอกาสที่ผลการค้นหาจะมาพร้อมกับข้อมูลดีๆ ก็จะมากขึ้นเท่านั้น และถ้ายิ่งเป็น 10 เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพที่มีการค้นหามากที่สุดเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมาแล้ว ข้อมููลที่ได้มานั้น มันยิ่งเต็มไปด้วยประโยชน์จริงๆ จะเป็นอย่างไรลองไปดูกันเลยดีกว่า 1# อะไรทำให้คนเราสะอึก ไม่น่าแปลกที่คำถามพื้นๆ จะเป็นหนึ่งในสิ่งที่คนเราค้นหากันมากที่สุด เพราะไม่ว่าอย่างไรเหตุผลของการสะอึกก็ยังไม่เป็นที่เด่นชัดแน่นอน มันต่างกันไปในแต่ล่ะคนและแทบจะหาเหตุผลที่เกิดอย่างแน่นอนไม่ได้ แน่นอนว่าทำไมมันถึงหายได้ก็ยังไม่เป็นที่ทราบเช่นเดียวกัน สำหรับเหตุผลที่พอจะรู้ก็มี การที่กระเพาะเต็มเกินไป ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป แอลกอฮอล์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสูบบุหรี่ ความตื่นเต้น ความเครียด เรื่อยไปยันโรคบางชนิดอย่าง ไตวาย 2# จะทำอย่างไรให้หยุดกรน อันนี้คนที่ค้นหาอาจจะไม่ใช่คนกรนเองเท่าไหร่ แต่เป็นคนนอนข้างๆ มากกว่า อย่างไรก็ตามการกรนนั้น เลี่ยงได้ด้วยการ 1. เปลี่ยนท่านอน ให้ยกหัวให้สูงขึ้น หรือนอนตะแคงข้าง 2. ลดน้ำหนักส่วนเกิน 3. เลิกหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์…
-
‘มือเปล่งแสง’ บอกสถานะสุขภาพได้ทันที หวังพัฒนาเพื่อรับรองปัญหาผู้สูงอายุในประเทศ
เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่สามารถอำนวยความสะดวกให้แก่เราในด้านต่างๆ ได้ และในทุกๆ วันมันก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นอีกเยอะ และในตอนนี้ก็มีอีกหนึ่งไอเทมที่ดูเหมือนกับว่าจะมาช่วยดูแลสุขภาพของเราได้เป็นอย่างดี เพราะว่ามันเป็นหน้าจอที่สามารถใช้ติดกับผิวหนังเราได้อย่างไม่เกะกะใดๆ ทั้งสิ้น แถมยังบอกสุขภาพของเราในช่วงเวลาดังกล่าวได้อีกด้วย!! โดยมหาวิทยาลัยโตเกียวร่วมกับบริษัท Dai Nippon Printing ได้เป็นผู้พัฒนาหน้าจอที่ว่านี้ ซึ่งพวกเขาบอกเอาไว้ว่าอุปกรณ์ตัวใหม่นี้จะช่วยผู้สูงอายุในเรื่องการดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น และเรื่องที่สำคัญที่สุดคือมันไม่ต้องใช้อุปกรณ์ที่ซับซ้อนใดๆ ทั้งสิ้น สำหรับเจ้าหน้าจอสุดไฮเทคตัวนี้ มันมีคุณสมบัติที่โดดเด่นเป็นอย่างมากในเรื่องความบางของมัน ซึ่งหน้าจอแสดงผลได้ทำขึ้นมาจากไฟ LEDs จำนวน 384 ดวง พร้อมด้วยสายไฟที่ติดอยู่บนแผ่นยางทำให้สามารถยืดหยุ่นได้มากกว่าปกติถึง 45 เท่าเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นอุปกรณ์นี้ยังสามารถติดไว้บนผิวหนังได้ต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 1 สัปดาห์ โดยไม่ก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหนังหรือความรำคาญแต่อย่างใด จนถึงขั้นที่ว่าบางคนอาจจะใช้ชีวิตประจำวันไปจนลืมว่ามีมันติดเอาไว้บนแขนเลยก็เป็นได้ “ด้วยเจ้าสิ่งนี้ มันจะให้คุณสามารถแบ่งปันข้อมูลด้านสุขภาพให้กับแพทย์ประจำตัวได้อย่างรวดเร็ว เพื่อที่เวลาเกิดอะไรขึ้นทางแพทย์จะได้สามารถติดต่อกลับไปยังผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที” Takao Someya แพทย์ประจำมหาวิทยาลัยโตเกียว ที่เป็นผู้พัฒนาอุปกรณ์นี้กล่าว นอกเหนือจากการตรวจสอบสุขภาพของผู้ใช้อย่างเช่น การตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจโดยใช้คลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้ว เจ้าสิ่งนี้มันยังสามารถเตือนเวลาการใช้ยาของเรา รวมถึงให้เราสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้อีกด้วย “แค่วางเจ้าหน้าจอนี้ลงบนผิวหนัังของคุณ คุณก็จะรับรู้ได้เลยว่ามันเป็นเสมือนกับส่วนหนึ่งของร่างกาย ในตอนที่มีข้อความส่งมาถึงหน้าจอบนมือคุณ คุณก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงความใกล้ชิดกับผู้ส่งได้มากขึ้น” “ผมคิดว่า ถ้าเป็นคนสูงอายุอย่างคุณปู่ได้รับข้อความจากหลานๆ ว่า ‘หนูรักปู่นะ’ ผ่านหน้าจอนี้ เขาน่าจะรู้สึกอบอุ่นขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย”…
-
นักจิตเผย การเล่นเกม “เดอะซิมส์” ช่วยให้มีสุขภาพกายและจิตที่ดียิ่งขึ้น
ทุกวันนี้เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักเกม The Sims เพราะว่ามันเป็นเกมที่จำลองชีวิตของคนเราให้ผู้เล่นเลือกใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้หรือทำอะไรก็ได้ตามใจชอบภายในเกม เช่น กิน เที่ยว จีบหนุ่มสาว หรือแม้แต่ซัมบาลาเฮ้ แถมยังมีโหมดสร้างบ้านที่ผู้เล่นสามารถออกแบบได้เองแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าการเล่น The Sims มากๆ จะส่งผลเสียให้กับชีวิตเราต่างๆ นานา บางคนถึงกับคิดว่าทำให้เราหลงอยู่ในโลกของเกมและแยกตัวออกจากโลกแห่งความจริง หากดูจากเนื้อหาของเกมแล้วความคิดดังกล่าวอาจจะน่าสนใจและเป็นไปได้ แต่วันนี้ผลลัพธ์ปรากฏออกมาแล้วว่า เมื่อนำไปเทียบกับกิจกรรมอื่นๆ ที่พยายามหนีความจริงของโลก เช่น ยาเสพย์ติด แอลกอฮอล์ หรือการพนัน การเล่นเกมประเภทจำลองชีวิตเช่น The Sims นั้นเป็นการหนีจากความจริงของโลกได้อย่างมีประสิทธิผล Steve McKeown นักจิตวิเคราะห์ ผู้ก่อตั้ง Mind Fixers และเป็นเจ้าของ The McKeown Clinic กล่าวว่า “เกมจำลองชีวิตแบบ The Sims จะเข้ามาแทนชีวิตจริงของเรา คำแนะนำที่ว่าเราควรใช้เวลากับโลกชีวิตจำลองมากกว่าโลกแห่งความจริงนั้นเริ่มมีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ และได้กลายมาเป็นอีกโลกหนึ่งที่เราสามารถเข้าไปใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้ตามที่เราต้องการ The Sims ทำให้คนเราสามารถหนีจากความเป็นไปของโลก ความกดดันต่างๆ…
-
10 อาการเจ็บปวดที่หลายๆ ครั้งคุณอาจมองข้าม แต่ตอนนี้ควรหันมาสนใจมันได้แล้วนะ!!
หากคุณเคยรู้สึกเจ็บปวดร่างกายส่วนไหนเป็นพิเศษ เช่นอยู่ๆ ก็ปวดหัว เจ็บหน้าอก หรือปวดหลัง บ่อยครั้งที่เรามักจะคิดว่ามันเกิดจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ หรืออาจจะเกิดจากสภาพร่างกายที่อ่อนแอในช่วงนั้นของเรา เดี๋ยวมันก็คงหายไปเอง ทว่าทางที่ดีแล้วถ้ามีอาการที่ว่ามานี้คุณควรจะไปตรวจร่างกายเสียหน่อยจะดีกว่านะ เพราะอาการเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้อาจจะบ่งบอกได้ว่าร่างกายของคุณกำลังมีปัญหาที่ร้ายแรงกว่าซ่อนอยู่ก็ได้ ลองไปดูกันว่าอาการไหนที่บ่งบอกว่าคุณอาจจะป่วยได้บ้าง 1. ปวดหัวแบบเฉียบพลัน ถ้าจู่ๆ คุณก็รู้สึกปวดหัวแบบรุนแรงจนแทบทนไม่ได้ มันอาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณเป็นโรคหลอดเลือดในสมองโป่งพอง ถ้าหากคุณเป็นโรคนี้แล้วปล่อยมันทิ้งไว้อาจจะทำให้เส้นเลือดในสมองแตกเลยก็ได้นะ 2. ปวดฟันเมื่อดื่มหรือกินของเย็น หากคุณเกิดอาการนี้แสดงว่าผิวชั้นนอกของฟันคุณอาจจะถูกทำลาย ส่งผลให้เส้นประสาทถูกกระทบโดยตรงเวลาคุณกินของเย็นหรือร้อนมากๆ นอกจากจะทำให้คุณปวดจี้ดแล้วคุณยังมีโอกาสติดเชื้อจากแบคทีเรียจนเชื้อลุกลามไปยังส่วนอื่นของร่างกายด้วย ควรพบหมอฟันโดยด่วน 3. ปวดหรือชาบริเวณมือหรือแขน เมื่อคุณรู้สึกเจ็บหรือชาฝ่ามือ ข้อมือ หรือนิ้วมือ โดยเฉพาะนิ้วโป้ง นิ้วชี้และนิ้วกลาง คุณอาจจะมีโอกาสเป็นโรคเส้นประสาทกดทับบริเวณข้อมือ และถ้าทิ้งไว้นานๆ อาจจะทำให้มือของคุณใช้การไม่ได้ไปเลย 4. เจ็บหน้าอก อาการเจ็บอกเป็นสัญญาณเบื้องต้นของโรคหัวใจ มักจะเกิดจากการที่หัวใจมีออกซิเจนไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ยิ่งถ้าอาการเจ็บนี้ไล่ไปถึงไหล่ คอ หรือขากรรไกรก็ยิ่งชัดเจนว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง 5. ปวดบริเวณกลางหลัง ถ้าคุณรู้สึกปวดหลังแล้วยังมีไข้หรือรู้สึกวิงเวียนศรีษะตามมาด้วย ก็แสดงว่าไตของคุณอาจจะติดเชื้อ…
-
งานวิจัยเผย คนที่ “นอนกรน” มีความเสี่ยงด้านปัญหาสุขภาพมากกว่าคนทั่วไป
การนอนกรนถือเป็นหนึ่งในอาการที่ไม่พึงประสงค์สำหรับคู่รักหลายๆ คู่เลยทีเดียว เพราะเจ้าเสียงที่ดังราวกับรถบรรทุกโอ่งวิ่งบนถนนลูกรังและเผลอทำโอ่งตกแตกมันช่างรบกวนการนอนหลับของเราจริงๆ เลยว่าไหม แต่การนอนกรนนั้นไม่ได้ส่งผลเสียกับคู่นอนของคุณเท่านั้น แต่นักวิจัยยังได้เผยอีกว่าผู้ที่นอนกรนนั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างๆ สูงกว่าคนทั่วไปอีกด้วย!! นักวิจัยจากโรงพยาบาล Henry Ford เผยว่าการนอนกรนนั้นจะทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ โดยพวกเขาพบว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับความหนาของผนังหลอดเลือดแดง ความหนาของผนังหลอดเลือดนี้เป็นเหมือนสัญญาณของโรคหลอดเลือดตีบ ซึ่งจะทำให้การไหลเวียนของเลือดลำบากยิ่งขึ้น จนนำไปสู่ความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke นั่นเอง และไม่เพียงแค่ผู้ที่นอนกรนเท่านั้นที่จะมีความเสี่ยงที่ผนังหลอดเหลือดจะหนาตัวขึ้น แต่คนที่สูบบุหรี่ มีสภาวะน้ำหนักเกิน และมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของความดันรวมถึงคอเลสเตอรอลก็เข้าข่ายในความเสี่ยงเช่นกัน นายแพทย์ Robert Deeb หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวว่า “การกรนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาเพราะอาจะมีความเสี่ยงหยุดหายใจขณะนอนหลับได้ รวมถึงความเสี่ยงของความดันโลหิตสูง และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือดเช่นกัน” จากการรายงานของสื่อต่างประเทศเผยว่า งานวิจัยชิ้นนี้เป็นผลงานชิ้นแรกที่มีแสดงให้เห็นหลักฐานของการนอนกรนและความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด จากการวิจัยดังกล่าวยังพูดถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างโรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ หรือ OSA ที่มีความสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน มะเร็ง หรือเสื่อมสมรรถภาพเพศ ทั้งชายและหญิงอีกด้วย นอกจากนี้งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Harvard ยังได้เผยอีกว่าโรคหยุดหายใจขณะนอนหลับนั้นมีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการการรับรู้ของผู้ที่มียีน Apolipoprotein E ที่จะทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย ยังไม่หมดเพียงเท่านั้นการนอนกรนยังส่งผลกระทบถึงปริมาณออกซิเจนในเลือดที่ลดลงและทำให้ง่วงนอนตอนกลางวันอีกด้วย ศาสตราจารย์ Susan Redline จากสถาบันการแพทย์ของมหาวิทยาลัย Harvard กล่าวว่า “จากการศึกษาของเราพบหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าการนอนกรนนั้นมีส่งผลเสียต่อความเร็วในการประมวลผลและความจำ ซึ่งสามารถพยากรณ์ได้ว่ามันเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจที่ลดลง การรักษาอาการนอนกรนนั้นจะช่วยป้องกันความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมด้วย”…
-
สภาพฟันอันผุพัง ผลจากการดื่มน้ำอัดลมปริมาณ 6 ลิตรทุกๆ วัน ขนาดหมอยังช็อกเลยแกร๊!!
ยามแดดร้อนๆ หรือหลังทำกิจกรรมอะไรมาเหนื่อยๆ มันก็ต้องการอะไรชื่นใจๆ มากระแทกปากเสียหน่อย แน่นอนว่า น้ำอัดลมเย็นๆ ซ่าๆ คงอยู่ในความคิดแรกของใครหลายคน ด้วยความหวาน เย็น และซ่าของมัน ทำให้ผู้ที่ดื่มเข้าไปชื่นใจ และรู้สึกเหมือนได้รับการเติมพลัง แต่เจ้าเครื่องดื่มที่เรียกว่า “น้ำอัดลม” นี่มันดันมีผลเสียต่อร่างกายที่น่ากลัวมากเลยทีเดียว นอกจากการดื่มมากๆ จะทำให้ได้รับน้ำตาลมากเกินไปแล้ว มันยังทำลายฟันของคุณได้ด้วยนะ อย่างเช่นชายหนุ่มผู้นี้ผู้ที่เสพย์ติดการดื่มน้ำอัดลมเป็นอย่างมาก เขามีชื่อว่า Michael Sheridan อายุ 32 ปี มาจากเกาะไอร์แลนด์ เขาดื่มน้ำอัดลมทุกวันจนกระทั่งผลร้ายได้เกิดขึ้นกับฟันของเขา นี่คือผลลัพธ์จากการดื่มน้ำอัดลม 6 ลิตรต่อวัน เขาทานอาหารวันละมื้อเท่านั้น เพราะเขาดื่มน้ำอัดลมจนไม่อยากทานอะไรแล้ว Michael อาศัยการทานอาหารอ่อนๆ เพราะเพียงแค่เขากัดลงบนขนมปังแซนวิช เขาก็ต้องร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เขากล่าวว่า “ผมติดน้ำอัดลมมากๆ ผมดื่ม 6 ลิตรต่อวัน หรืออาจจะมากกว่านั้น ผมมีน้ำอัดลมติดตัวตลอดเวลา” “ผมรู้ดีว่าหากผมไปหาทันตแพทย์ เขาต้องห้ามไม่ให้ผมดื่มมันต่อแน่ๆ ซึ่งผมไม่อยากทำแบบนั้น” “แน่นอนผมรู้ว่าฟันผมต้องเสียแน่ๆ ซึ่งผมเองก็คงไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาด้วย” ในที่สุดพ่อลูกสามอย่าง Michael ก็ยอมรักษาฟันของเขาจนได้…
-
ผลวิจัยเผย “เครื่องดื่มชูกำลัง” ส่งผลเสียต่อวัยรุ่นส่วนใหญ่ ทำให้นอนไม่หลับ-เสี่ยงโรคหัวใจ
เครื่องดื่มชูกำลังนั้นกลายมาเป็นสิ่งที่หลายคนนึกถึงเมื่อต้องการกระตุ้นตัวเองให้ตื่นตัวและมีเรี่ยวแรงทำสิ่งต่างๆ ได้ยาวนานขึ้น เช่น เมื่อต้องอ่านหนังสือดึกดื่นเมื่อใกล้สอบ เมื่อต้องเล่นกีฬาเป็นเวลานาน หรือเพื่อผสมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ตาม หารู้ไม่ว่าการวิจัยปัจจุบันพบแล้วว่า สำหรับเด็กๆ จนถึงวัยรุ่นนั้น การดื่มเครื่องดื่มชูกำลังนั้น เป็นอันตราย ต่อร่างกายมากกว่าที่ใครหลายคนคิด นักวิจัยของ มหาวิทยาลัย Waterloo รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดาได้ทำการศึกษากับวัยรุ่นตั้งแต่อายุ 12 ถึง 24 ปี พบว่า 55% ของเหล่าวัยรุ่นได้รับผลทางลบจากการดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง แม้จะดื่มไม่เกินวันละ 2 ขวดก็ตาม เครื่องดื่มชูกำลังนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่ามีคาเฟอีนสูง และนักวิจัยก็เชื่อว่าการดื่มเครื่องดื่มชูกำลังพร้อมแอลกอฮอล์ หรือดื่มขณะออกกำลังกายนั้นจะทำให้เป็นอันตรายมากขึ้นอีก จึงพยายามเรียกร้องให้มีการจำกัดอายุการซื้อเครื่องดื่นชูกำลัง ศาสตราจารย์ David Hammond หัวหน้าผู้วิจัย กล่าวว่า “เมื่อเทียบกับกาแฟ เครื่องดื่มชูกำลังนั้นมีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่า” “อาจจะเป็นเพราะว่าในเครื่องดื่มชูกำลังนั้นใช้วัตถุดิบที่ต่างจากกาแฟ หรือไม่ก็เป็นเพราะวิธีการดื่ม ที่ดื่มพร้อมแอลกอฮอล์หรือดื่มขณะออกกำลังกาย” ผลของงานวิจัย ซึ่งได้รับการตีพิมพ์จาก Canadian Medical Association Journal วัยรุ่นชาวแคนาดา 2,055 คนถูกขอให้ดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง และผลออกมาว่า วัยรุ่น 24.7% หัวใจเต็นเร็ว 24.1% นอนไม่หลับ พร้อมอาการข้างเคียง…
-
นี่คือ 10 เรื่องจริงเกี่ยวกับ ‘การดูแลสุขอนามัยร่างกาย’ ที่คุณอาจเข้าใจผิดมาโดยตลอด!!
การดูแลความสะอาดและสุขอนามัยของเรานั้น บางคนทำมันเสียจนชินและเป็นกิจวัตรกันเลยทีเดียว แต่ทราบหรือไม่ว่าการดูแลสุขอนามัยในชีวิตประจำวันบางอย่างของเรานั้น ถ้าหากทำไม่ถูกวิธีแล้วล่ะก็ อาจก่อให้เกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดตามมาก็เป็นได้ ดังนั้น วันนี้เราขอนำเสนอ 12 ความจริงเกี่ยวกับการ ‘ดูแลสุขอนามัย’ ที่หลายคน เข้าใจผิด ซึ่งสามารถส่งผลร้ายต่อสุขภาพเราได้ แล้วความจริงเหล่านี้มีอะไรบ้าง เชิญไปรับชมกันเลยดีกว่า… 1. การกัดเล็บช่วยแก้เครียด ความจริงคือ: การกัดเล็บนั้นแม้จะเป็นพฤติกรรมที่ทำตอนเครียด แต่มันไม่ได้ช่วยแก้เครียด แถมมันมีโอกาสทำให้เชื้อโรคมีโอกาสเข้าไปในร่างกายเราได้ แถมยังทำให้เสียบุคลิกอีกต่างหาก ฉะนั้นเลิกกัดเล็บเสียเถอะ 2. การใช้ก้านสำลี (คอตตอนบัทท์) ในการแคะหูนั้นสะอาดกว่า ความจริงคือ: การแคะหูด้วยก้านสำลีนั้นทำให้ขึ้หูของเราส่วนหนึ่งถูกดันเข้าไปในหูมากขึ้น ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่จะนำไปสู่การบาดเจ็บของแก้วหู และสูญเสียการได้ยินในที่สุด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าหากมีปัญหาจริงๆ ควรไปพบแพทย์ อ่านบทความเรื่องไม่ควรใช้ก้านสำลีได้ที่ www.catdumb.com/dont-use-q-tips-064/ 3. ไม่ล้างมือหลังเข้าห้องน้ำเพราะไม่จำเป็นและทำให้เสียเวลา ความจริงคือ: การล้างมือนั้นเป็นวิธีที่ดีและง่ายที่สุดในการป้องกันการเจ็บป่วยที่อาจเกิดจากเชื้อโรค ซึ่งสามารถส่งต่อกันได้หลังจากเข้าห้องน้ำ เพราะฉะนั้นเสียเวลาสักนิดเพื่อสุขภาพของคุณและคนรอบข้างเถอะ 4. ไม่ยอมเปลี่ยนแปรงสีฟันเป็นเวลานาน เพราะใช้ยังไม่พัง ความจริงคือ: แปรงสีฟันนั้นมีการสะสมแบคทีเรียจากการที่เราแปรงฟันแต่ละครั้งไปเรื่อยๆ ทันตแพทย์แนะนำว่าคนเราควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุกๆ 2-3 เดือน หากนานกว่านั้นจะนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพรุนแรงได้ 5. แปรงฟันอย่างไรก็ได้ ตามใจตนเอง ความจริงคือ:…
-
6 สัญญาณบ่งบอกว่า “ตับ” ไม่สามารถทนรับ “ไลฟ์สไตล์” คุณได้อีกต่อไป เปลี่ยนด่วน!!
ไลฟ์สไตล์ของเพื่อนๆ บางคนอาจทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมาได้ โดยเฉพาะเพื่อนๆ ที่ชอบออกไปสังสรรค์ดื่มแอลกอฮอล์ยามดึกบ่อยๆ แน่นอนว่าอวัยวะที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็ย่อมต้องเป็น “ตับ” นั่นเอง วันนี้ #เหมียวตะปู แปลบทความสาระน่ารู้จากเว็บต่างประเทศ ที่พูดถึง 6 สัญญาณอันตรายต่อร่างกายเรา และสามารถสังเกตตนเองได้ว่า ตับของเรากำลังอยู่ในขั้นวิกฤต และควรจะเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของตัวเองกันได้แล้ว… 1. รู้สึกว่าในหัวยุ่งเหยิงไปหมด เวลาที่ตับของเราทำงานหนักจนเกินไป จะทำให้ระบบการกรองเลือดในร่างกายของเราแย่ลง ส่งผลให้มีสารพิษต่างๆ นั้นปะปนไปสู่สมองได้มากกว่าคนปกติ อาการดังกล่าวเราสามารถสังเกตได้จากความรู้สึกสับสน มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ และตัดสินใจอะไรต่างๆ ได้ยากยิ่งขึ้น 2. น้ำตาลในเลือดต่ำ หนึ่งในหน้าที่ของตับคือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ดังนั้นเวลาที่ตับมีปัญหา ระดับน้ำตาลในเลือดของเราก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ ฉุนเฉียวง่าย และไม่มีสมาธิในการทำสิ่งต่างๆ 3. ฮอร์โมนไม่มีความสมดุล ตับคืออวัยวะที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนเพศของเรา การทำงานของตับที่ผิดปกติจึงอาจทำให้ระบบฮอร์โมนเอสโตรเจน และเทสโทสเตอโรนของเรามีความไม่สมดุล จนอาจเกิดปัญหาร้ายแรงอย่างการขาดความต้องการทางเพศไป หรือมีอาการก่อนเป็นประจำเดือนที่รุนแรงมากกว่าเดิม 4. อารมณ์แปรปรวน ปัญหาในเรื่องของความจำและอารมณ์ที่แปรปรวนอาจเกิดจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับตับ อีกทั้งยังอาจส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า ซึ่งหากใครสังเกตอาการของตัวเองแล้วคิดว่าน่าจะเป็น ก็ควรเข้ารับการตรวจรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในทันที 5. ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน หลายๆ คนอาจเชื่อว่าการที่เราเป็นหวัดได้ง่ายหรือติดเชื้ออยู่บ่อยๆ…
-
คุณยายวัย 104 ปี เผยเคล็ดลับอายุยืน นั่นก็คือการกินไดเอตโค้กทุกวัน
ตอนเด็กๆ เชื่อว่าทุกคนคงเคยถูกคุณพ่อคุณแม่ดุเวลาดื่มน้ำอัดลมเยอะๆ กันมาบ้าง เดี๋ยวก็ฟันผุหรอกบ้างล่ะ เดี๋ยวก็กระดูกกร่อนบ้างล่ะ แต่ตอนนี้อาจมีเรื่องไปเถียงพ่อแม่ได้แล้วล่ะ ในเมื่อคุณยายวัย 104 ปี ออกมาให้เราฟังว่าเคล็ดลับอายุยืนของเธอคือ การดื่มไดเอตโค้กทุกวันนั่นเอง เอาล่ะสิ ตกลงการดื่มน้ำอัดลมมันช่วยได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ เอาเป็นว่าไปฟังคุณยายแกกันก่อนเถอะ คุณยาย Theresa Rowley วัย 104 ปี จากเมือง Grand Rapids ในรัฐมิชิแกนบอกกับพวกเราว่าเธออายุยืนได้เพราะน้ำอัดลมไร้น้ำตาลนั่นเอง แถมยังบอกอีกว่าพวกเราควรดื่มโค้กไดเอตอย่างน้อยๆ หนึ่งกระป๋องต่อวันอีกด้วย “ตอนที่ฉันอายุ 100 ปี ฉันไม่คิดว่าฉันจะอยู่ถึง 104 ปีเลย แต่สุดท้ายฉันก็อายุ 101 โดยไม่ได้เป็นอะไรไป แล้วมันก็เป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ฉันอายุ 104” “ฉันดื่มไดเอตโค้กเพราะว่าฉันชอบมัน ฉันไปซื้อของทุกวันพุธก็เพราะว่าฉันต้องการมัน” คุณยายเล่า “ฉันมีกระป๋องเปล่าเป็นถุงๆ ที่ต้องเอาไปคืนเพื่อที่จะซื้อกระป๋องใหม่” แต่ก็มีคนจำนวนมากไม่เชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เพราะที่จริงแล้วไดเอตโค้กออกวางขายเมื่อปี 1982 ซึ่งในตอนนั้นคุณยายก็อายุ 68 ปีไปแล้วเพราะฉะนั้นมันอาจจะไม่ใช่เหตุผลที่คุณยายอายุยืนก็ได้ แน่นอนว่าพวกคุณหมอทั้งหลายก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณยายเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นอย่าพึ่งวิ่งไปเหมาไดเอตโค้กกันมาเสียก่อนล่ะ ตามข้อมูลบนเว็บไซต์…
-
คนมันมีของ!! หากคุณมีบั้นท้ายใหญ่ นักวิทย์เค้าบอกว่าจะฉลาดและสุขภาพดีกว่าคนปกตินะเออ!!
หากจะกล่าวถึงทรวดทรงของผู้หญิงในอุดมคติของใครหลายคน ก็อาจจะหมายถึงผู้หญิงที่มีหน้าตาสะสวย คมคาย มีหน้าอกที่ใหญ่พอประมาณ มีเอวที่คอด รวมถึงการมี ‘ก้น’ ที่ใหญ่โตได้รูปเหมาะกับการจับมาตีเล่น แต่รู้หรือไม่ว่าเรื่องของก้น สามารถบอกอะไรได้หลายอย่าง ซึ่งเคยมีงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่เคยได้เผยว่า ผู้หญิงที่มีก้นใหญ่จะมีสุขภาพที่ดีกว่าผู้หญิงที่มีก้นเล็ก และในตอนนี้ก็มีงานวิจัยใหม่ออกมาบอกอีกด้วยว่า นอกจากผู้หญิงก้นใหญ่จะมีสุขภาพดีแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะมีความฉลาดมากกว่าอีกด้วย!? งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Oxford ประเทศอังกฤษ ที่ได้ศึกษาข้อมูลจากผู้หญิงกว่า 16,000 คน ซึ่งสิ่งที่พวกเขาพบก็คือในผู้หญิงก้นใหญ่ จะมีระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลที่ต่ำมาก อีกทั้งยังมี ระดับกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงขึ้นทำให้ผู้หญิงก้นใหญ่มีโอกาสที่จะเจ็บป่วยเรื้อรังน้อยกว่าผู้หญิงก้นเล็กนั่นเอง นอกจากนี้ ในตัวของผู้หญิงก้นใหญ่ยังมีจำนวนฮอร์โมนที่เรียกว่า Dinopectina ซึ่งมีประโยชน์ในการป้องกันโรคเบาหวาน รวมถึงยังสามารถต้านการอักเสบในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย สำหรับกรดไขมันไขมันโอเมก้า 3 ที่มีอยู่จำนวนมากในตัวของผู้หญิงก้นใหญ่ นักวิจัยบอกว่าเจ้ากรดไขมันโอเมก้านี้ ยังช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพให้ดีขึ้น ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น และยังช่วยดักจับไขมันเลวที่เข้าสู่ร่างกายของเรา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โดยงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Oxford ชิ้นนี้ ยังสอดคล้องกับงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ได้ตีพิมพ์ลงวารสาร Cell Metabolism ที่ได้บอกเอาไว้ว่าช่วงล่างอันใหญ่โตของผู้หญิง จะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่คอยดักจับไขมันไม่ให้สะสมตามอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว แหม มีประโยชน์ขนาดนี้รีบไปฟิตหุ่นให้มีตูดใหญ่ๆ กันดีกว่า ที่มา: unilad
-
นักวิทย์ฯ เฉลยจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเรา ‘หักและดึงนิ้วจนมีเสียง’ แล้วมันเกิดมาจากอะไรกัน!?
ด้วยความแตกต่างทางด้านนิสัยของแต่ละคน ทำให้แต่ละคนก็มักจะมีการกระทำที่แปลกๆ เกิดขึ้นได้ และก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มักจะทำกิจกรรมแปลกๆ กับร่างกายของตัวเองในเวลาว่างหรือกังวลใจ อย่างเช่น กัดเล็บ เกาหัว และดึงนิ้วจนเกิดเสียงดังก๊อกๆ จากความชอบดึงนิ้วให้มีเสียงดังบ่อยๆ ได้กลายเป็นสิ่งที่หลายคนทำโดยไม่รู้ตัว ซึ่งรู้หรือไม่ว่าในตอนที่เราดึงนิ้วนั้น เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเราบ้างและมันมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ในวันนี้นักวิทยาศาสตร์ได้หาคำตอบมาให้เราได้รู้กันแล้ว ซึ่งผลของการทำเช่นนี้จะเป็นยังไงบ้าง มาลองดูกันเลยดีกว่า… ในอดีตเคยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 2015 เมื่อนักวิจัยจาก University of Alberta ได้ตีพิมพ์งานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องเสียงที่เกิดขึ้นจากการดึงนิ้ว โดยใช้เครื่องเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ในการหาคำตอบ ซึ่งผลลัพธ์ที่พวกเขาได้ก็คือ เสียงที่ดังเมื่อเราหักหรือดึงนิ้วเกิดมาจากฟองอากาศที่ในของเหลวระหว่างข้อต่อ ที่เรียกว่า ‘น้ำไขข้อ’ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การใช้เครื่อง MRI อาจจะไม่ใช่การหาคำตอบที่ดีที่สุดให้กับเรื่องนี้ เพราะว่ายังมีเครื่องอัลตร้าซาวด์ที่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า จึงทำให้นักวิจัยอีกทีมหนึ่งตัดสินใจหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยจะใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์ตรวจสอบร่างกายแทนเครื่อง MRI เพื่อพิสูจน์ว่ามันให้ผลลัพธ์ที่ตรงกับงานวิจัยก่อนหน้านี้หรือไม่… ทีมนักวิจัยนี้นำโดย Robert D. Boutin นักรังสีวิทยาจาก University of California โดยเขาได้รวบรวมผู้คนที่มีสุขภาพดีกว่า 40 คน และในจำนวน 30 คนเหล่านี้ มักจะดึงนิ้วของตัวเองเป็นประจำ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีอยู่คนหนึ่งที่บอกว่าเขาดึงนิ้วมากกว่า…
-
ชีวิตอันน่าอดสูของเหล่า ‘แมวยักษ์’ ถูกบังคับให้แสดงละครสัตว์ ผู้ฝึกอ้าง ‘อ้วนตามอายุ’
ภาพของเหล่าเสือและสิงโตจากคณะละครสัตว์ในเมือง Vladivostok ประเทศรัสเซีย เผยให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของพวกมันที่แตกต่างจากธรรมชาติและสภาพร่างกายที่อ้วนเกินกว่าปรกติ จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมของสภาพความเป็นอยู่และอาหารการกินของเหล่าเสือ ภาพของเหล่าสิงโตจากคณะละครสัตว์ Vitaly Smolyants ที่ได้ชื่อว่าเป็นคณะละครสัตว์ที่ขึ้นชื่อคณะหนึ่งของประเทศรัสเซีย ที่ถูกบันทึกและเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ถูกชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างมากมายถึงความเหมาะสมในการดูแลพวกมัน “พวกเสือเหล่านี้ดูอ้วนกว่าปรกตินะ ฉันว่าน่าจะดีกว่าถ้าหากพามันไปพบสัตวแพทย์ ไม่ใช่ผู้ชม” หนึ่งในความคิดเห็นของชาวเน็ต “พวกเขาทำให้สัตว์ป่าดูเหมือนเป็นตัวตลก” “เมื่อไหร่จะมีการห้ามการแสดงเหล่านี้ซักทีนะ” . และนอกจากพลังแห่งโลกออนไลน์แล้ว ก็ได้มีนักเคลื่อนไหวทางด้านสิทธิสัตว์ป่า ก็ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการตรวจสอบความเหมาะสมของคณะละครสัตว์นี้ แต่ทางด้านคุณ Sergey Aramilev หัวหน้าศูนย์เสือ Amur ก็ได้ออกมากล่าวว่า “โดยส่วนมากพวกสัตว์ในคณะละครสัตว์มักจะถูกดูแลไม่ดีเท่าไหร่ ส่วนมากพวกมันมักจะถูกปล่อยให้ผอม แต่สำหรับกรณีนี้ยังคงเร็วไปที่เราจะสรุปว่าพวกเสือเหล่านี้สุขภาพไม่ดี แน่นอนว่าทางคณะละครสัตว์แห่งนี้ดูแลพวกเสือด้วยเนื้อสัตว์ และอย่างไรก็ตามเรายังไม่เห็นว่าโรคอ้วนนั้นจะส่งผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจของพวกสัตว์” ส่วนทางด้านคุณ Vitaly Smolyanets จากคณะละครสัตว์ก็ได้ออกมาพูดถึงกรณีนี้ว่า “สัตว์ของพวกเรานั้นเป็นเสือที่แก่ เมื่อเราแก่ตัวลงร่างกายของเราก็จะอ้วนขึ้นเป็นธรรมดา และพวกสัตว์เองก็เช่นกัน เราไม่ได้ให้อาหารพวกมันมากเกินไป พวกมันได้ทานอาหารแค่หนึ่งมื้อต่อวันเท่านั้น เราดูแลพวกมันอย่างดี ถ้าหากพวกเสือมีการแสดงตอนบ่าย เราจะมีของว่างให้พวกมัน และเสือแต่ละตัวจะได้รับเนื้อสัตว 6 กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุด” . . ที่มา siberiantimes, dailymail
-
7 สัญญาณอันตรายจากร่างกาย ที่คอยเตือนถึงภาวะหลอดเลือดสมอง แต่คุณเลือกที่จะมองข้าม
ในปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้รายล้อมอยู่รอบตัวเรา ซึ่งโรคบางโรคก็มีอันตรายจนอาจจะทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และมีอีกโรคหนึ่งที่ใครหลายคนเลือกที่จะมองข้ามก็คือ โรคหลอดเลือดสมอง ภัยเงียบที่เป็นสาเหตุทำให้คนเสียชีวิตสูงเป็นอันดับที่ 5 ของโลกเลยทีเดียว โรคหลอดเลือดสมอง คือภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เนื่องจากหลอดเลือดตีบ หลอดเลือดอุดตัน หรือหลอดเลือดแตก ส่งผลให้เนื้อเยื่อในสมองถูกทำลายและการทำงานของสมองหยุดชะงักลงทันที และนี่คือ 7 สัญญาณเตือนจากร่างกายว่าเราอาจมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งบางทีเราก็มองข้ามอาการเหล่านี้ไปว่ามันเป็นเรื่องปกติเดี๋ยวก็หาย หากใครที่มีอาการเหล่านี้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือเข้าไปตรวจร่างกายกับแพทย์บ้าง ก่อนที่ทุกอย่างนั้นจะสายเกินไป… 1. คุณไม่เคยใส่ใจอาการของโรคหลอดเลือดสมองเลย ในแต่ละนาทีที่เราเป็นโรคหลอดเลือดสมองอยู่ สมองของเราจะสูญเสียเซลล์ประมาณ 1.9 ล้านเซลล์ และในแต่ละชั่วโมงโรคหลอดเลือดสมองจะทำให้สมองเราเสื่อมไวกว่าคนปกติถึง 3.5 ปี โดยในระยะยาวผู้ป่วยที่เป็นโรคและไม่ได้เข้ารับการรักษาที่ถูกวิธี มีโอกาสเสี่ยงที่จะพูดได้ช้ากว่าปกติและรู้สึกว่าการพูดเป็นเรื่องที่ยากขึ้น รวมถึงยังสามารถทำให้สูญเสียความทรงจำได้เลยทีเดียว 2. คุณคิดว่าการที่คุณเห็นภาพซ้อนกันมีเหตุมาจากความเหนื่อย ปัญหาในด้านการมองเห็นต่างๆ ทั้งการเห็นภาพซ้อน สายตาเบลอ หรือว่าสูญเสียการมองเห็นในดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกว่าคุณอาจจะป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้ ใครหลายคนคิดว่าอาการเหล่านี้เป็นผลมาจากการมีอายุที่เยอะขึ้นหรือมาจากความเหน็ดเหนื่อย แต่จริงๆ แล้วมีเหตุมาจากเส้นเลือดที่ตีบมาก จนทำให้จำนวนออกซิเจนไม่เพียงพอที่จะขึ้นไปหล่อเลี้ยงดวงตาต่างหาก 3. คุณมักจะเป็นเหน็บชาหลังจากเพิ่งตื่นนอนหรืองีบหลับ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการชาที่แขนหรือขาหลังจากที่เพิ่งตื่นนอน คุณอาจจะคิดว่าเป็นเพราะร่างกายเราโดนกดทับจากการนอนหลับจนเป็นเหน็บชา แต่จริงๆ แล้วนั่นเป็นเพราะว่าการไหลเวียนเลือดตามร่างกายของคุณผิดปกติ…
-
นักวิทยาศาสตร์เผย หากเรา “นอนหลับมากเกินไป” จะเกิด 9 ผลเสียเหล่านี้ ต่อร่างกายของเรา…
ว่ากันว่ากันพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ ซึ่งก็อาจจะจริงตามนั้นเพราะว่าอวัยวะทุกส่วนในร่างกายจะทำงานน้อยลงอีกทั้งเป็นช่วงเวลาที่เรายังได้พักความคิดต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แต่รู้หรือไม่ว่าถึงการนอนหลับจะมีประโยชน์ขนาดไหนแต่ถ้านอนเยอะเกินไปก็มีผลเสียต่อร่างกายเช่นกันนะ ซึ่งปกติแล้วสำหรับวัยผู้ใหญ่ควรนอนวันละ 7-9 ชั่วโมงและถ้าหากนอนน้อยเกินไปก็อาจจะทำให้ร่างกายเกิดอ่อนเพลียได้ แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าการนอนเยอะเกินไปก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราได้เหมือนกันนะ ซึ่งผลเสียที่ว่านี้จะร้ายแรงขนาดไหนลองไปดูกันเลยดีกว่า 1. คุณมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจมากขึ้น การนอนหลับมากกว่าวันละ 9-10 ชั่วโมงนั้นสามารถทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดมากกว่าคนที่นอนปกติกว่า 38% เลยทีเดียว ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก นอกจากนี้การนอนเยอะอาจทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือดมากกว่าคนปกติมากถึง 2 เท่า 2. มักจะนอนหลับไม่สนิทนัก มีทฤษฎีหนึ่งได้บอกไว้ว่าเวลานอนของเราถูกขัดจังหวะ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะโรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ หรืออาจจะเป็นเพราะบรรยากาศในการนอนไม่เหมาะสมเช่นมีแสงสว่างเกินไป หรือว่ามีเสียงรบกวนซึ่งภาวะหลับไม่สนิทอย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาวเลยล่ะ 3. คุณจะอ้วนได้ง่ายขึ้น การใช้เวลามากกว่า 9-10 ชั่วโมงบนเตียงนอนทำให้ร่างกายของเราไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เลย นั่นจึงทำให้ร่างกายไม่เกิดการเผาผลาญแคลอรี่เหมือนกับตอนที่เราตื่น ซึ่งเราอาจจะออกไปทำกิจกรรมนู่นนี่ซึ่งก็เหมือนการออกกำลังกายไปในตัว จากการศึกษาพบว่าคนที่นอนเยอะกว่าปกติมีโอกาสที่จะเป็นโรคอ้วนมากกว่าคนปกติถึง 21% เลยทีเดียว 4. อาจเป็นเบาหวานได้เลยนะ การนอนหลับที่ยาวนานอาจส่งผลให้เรามีโอกาสที่จะเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า เพราะว่าระยะเวลาในการนอนนั้นส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดของแต่ละคนนั่นเอง 5. คุณมักจะปวดหัวบ่อยๆ…
-
คุณแม่ลูกเจ็ดหันมาดูแลสุขภาพตัวเอง จนกลับมามีหุ่นสวยเหมือนเป็นพี่สาวของลูกเลยทีเดียว!!
กลายเป็นที่ฮือฮาอย่างมากบนโลกออนไลน์ หลังจากที่คุณ Jessica Enslow คุณแม่ลูก 7 ที่ใช้เวลาในการลดน้ำหนักและดูแลตัวเองอย่างเข้มงวดตลอดระยะเวลา 6 เดือน และกลับมาดูดีได้อีกครั้งพร้อมกับเผยหุ่นสุดแซบของเธอบนอินสตราแกรม คุณแม่วัย 43 ปี จากเมือง Salt Lake City รัฐยูทาห์ ได้พยายามต่อสู้กับสภาวะน้ำหนักเกินหลังการคลอดลูก หลังจากที่เธอให้กำเนิดลูกคนแรกเมื่อตอนอายุ 20 ปี โดยแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนักของเธอนั้นเริ่มจากการที่เธอสวมกางเกงยีนส์ตัวเก่าไม่ได้ และรู้สึกว่าตัวเองนั้นอ้วนเกินไป หลังจากที่เริ่มลงมือศึกษาการออกกำลังกายตั้งแต่ตอนที่คลอดลูกคนแรกของเธอ แต่มันก็ไม่เป็นผลสำเร็จจนกระทั่งหลังจากที่คลอดลูกคนสุดท้ายของเธอเมื่อปี 2013 คุณแม่วัย 43 ปี จึงเริ่มกลับมาตั้งใจดูแลตัวเองอย่างจริงจังอีกครั้ง หลังจากที่ตั้งท้องลูกคนสุดท้ายคุณ Jessica มีน้ำหนักตัวประมาณ 61 กิโลกรัม แต่ตอนนี้น้ำหนักตัวของเธอนั้นเหลือเพียงแค่ 52 กิโลกรัมเท่านั้น แถมรูปร่างและหน้าตาของเธอยังดูเด็กลงอีกด้วย คุณ Jessica และครอบครัวของเธอ “ฉันรู้สึกตกใจกับร่างกายของฉันหลังจากที่ตั้งครรภ์ลูกคนแรกมาก ฉันจำได้ว่าหลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาลฉันพยายามที่จะใส่กางเกงยีนส์ตัวเก่า แต่มันก็ใส่ไม่ได้ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันปล่อยตัวเองมากเกินไปแล้วนะ” คุณ Jessica กล่าว และหลังจากคลอดลูกคนที่ 7 คุณ Jessica…
-
รวมท่าออกกำลังกายเทพๆ ที่ทำให้คุณเบิร์นไขมันจนมอดไหม้ภายในเวลา 15 นาที
ทุกวันนี้คนทั่วโลกกำลังประสบกับปัญหาสุขภาพ อาจเพราะวิถีชีวิตอันเร่งรีบทำให้หลายๆ คนลืมดูแลตัวเอง แม้จะมีชั่ววูบความคิดโผล่ขึ้นมาบ้างว่าตัวเองควรออกกำลังกาย แต่พอคิดถึงเวลาว่างที่มีหลายคนก็ได้แต่พับโครงการและนอนตีพุงต่อไป แต่วันนี้ #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปพบกับท่านออกกำลังกายเทพๆ ที่จะทำให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง เบิร์นไขมันจนมอดไหม้ภายในเวลาเพียง 15 นาทีต่อวัน แบบนี้ใครจะมาอ้างว่าไม่มีเวลาไม่ได้แล้วนะ การเตรียมตัว 1.ก่อนเริ่มออกกำลังกาย ให้ทุกท่านวอร์มร่างกายซัก 5 นาทีด้วยการทำสควอตสองสามครั้ง หมุนข้อต่อที่แขนและขาไปมา โยกตัวไปซ้ายทีขวาที ทำต่อเนื่องหน่อยนะ ไม่งั้นกล้ามเนื้ออาจเกิดอาการบาดเจ็บได้ 2.ตั้งเวลาเอาไว้ 15 นาที ออกกำลังกายตามท่าด้านล่างวนไปเรื่อยๆ พอครบ 15 นาทีก็หยุด พยายามทำให้ได้มากที่สุดล่ะ 3.ทำทุกวันหรือทุกสองวัน และพยายามเพิ่มจำนวนครั้งให้มากขึ้น 4.พอครบ 3 สัปดาห์ ให้เพิ่มเวลาเป็น 20 นาที ท่าที่หนึ่ง ซูโม่จั้มสควอต กางขาโดยหันเข่าไปทางด้านข้างแยกออกเล็กน้อย จากนั้นก็ย่อลงด้วยท่าสควอต พยายาททำให้หลังตรงและอย่าให้หัวเข่างอเลยปลายเท้า เมื่อย่อแล้วก็ดีดตัวเองขึ้นให้เหมือนกระโดด แล้วย่อกลับมาท่าเดิม พยายามทำให้ได้ 12 ครั้งต่อหนึ่งเซต ท่าที่สอง วิดพื้นแขนตะไหล่ ทำท่าเหมือนวิดพื้นทั่วไป จังหวะที่ลำตัวยกขึ้นสูงสุดให้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแตะหัวไหล่อีกข้าง…
-
ยิ่งนอนน้อย ยิ่งอายุสั้น.. นักวิทย์ฯ เผย “นอนไม่พอ” คือสาเหตุของโรคต่างๆ ที่เราอาจคิดไม่ถึง
การนอนหลับไม่เพียงพออาจจะเป็นเรื่องปรกติสำหรับใครหลายๆ คน แต่รู้หรือไม่ว่ามันกำลังเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณอยู่ แถมยังอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ อย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย!! ศาสตราจารย์ Matthew Walker จากมหาวิทยาลัย University of California และผู้เชี่ยวชาญทางด้านการนอนหลับได้ออกมาเปิดเผยว่าการนอนหลับไม่เพียงพอนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก และเป็นสาเหตุของโรคเสื่อมต่างๆ อย่างเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน และมะเร็ง ศาสตราจารย์ Matthew ได้เปิดเผยว่าการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอหรือประมาณ 8 ชั่วโมงต่อวันนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก “ร่างกายของเรานั้นจะถูกทำลายด้วยการพักผ่อนไม่เพียงพอไปทีละนิด“ เขาได้ทำการศึกษาในเรื่องของการนอนและสิ่งที่จะตามมาจากการนอนหลับไม่เพียงพอมาเป็นเวลานานกว่า 2 ทศวรรษ โดยเขากล่าวว่าการเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุสาหกรรมและการทำงานที่หนักขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้มนุษย์มีระยะเวลาการนอนที่น้อยลง จากการศึกษาพบว่ามีประชากรมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ที่นอนหลับเพียงแค่ 6 ชั่วโมงต่อคืนหรือน้อยกว่านั้นซึ่งมากกว่าในปี 1942 ที่มีเพียงแค่ 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวนี้ส่งผลกระทบต่อการปล่อยกระแสไฟฟ้าเวลานอนหลับ และเป็นผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่าความเครียด ความกังวล และพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระยะเวลาในการนอนหลับของเราสั้นลงเช่นเดียวกัน และท้ายที่สุด ศาสตราจารย์ Matthew ได้ให้คำแนะนำสำหรับทุกคนว่า ควรพักผ่อนอย่างน้อย 8 ชั่วโมงหรือมากกว่า นอกจากนี้การอดนอนเพื่อทำงานหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอีกด้วย ที่มา news-medical, theguardian
-
นี่คือ 5 เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยอธิบายว่า ทำไมคุณถึง ‘หิว’ อยู่ตลอดเวลา…
ในขณะที่หลายๆ คนกำลังบ่นว่าตัวเองน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่ยอมลด เชื่อไหมว่ายังมีอีกกลุ่มคนหนึ่งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำม๊ายยทำไมถึงรู้สึก ‘หิว’ อยู่ตลอดเวลา วันนี้เราจะพาไปค้นหาคำตอบพร้อมๆ กัน กับ 5 เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่อ้างอิงข้อมูลมาจากวารสารคลีนิคด้านโภชณาการ (EJCN) ที่ถูกตีพิมพ์ในยุโรปเมื่อไม่นานมานี้… 1. พักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นข้อเท็จจริงที่ทุกคนควรรู้ไว้ว่า พฤติกรรมการนอนหลับส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมทั้งหมดของเรา และมันก็มีความเชื่อมโยงกันอยู่ระหว่างการกินที่มากเกินไป กับการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ หลายคนอาจคิดว่าเมื่อไหร่ที่รู้สึกเหนื่อยล้า เราต้องกินให้มากเพื่อพลังงานในรอบถัดๆ ไป แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นกลับไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าหากคุณยังไม่เริ่มต้นพักผ่อนให้เพียงพอ 2. รับประทานคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี ไม่ได้งั้นงี้นะแต่เชื่อเถอะว่าถ้าคุณเป็นอีกคนที่ชอบทานฟาสต์ฟู๊ด หรือชอบทานอาหารหนักเช่น พิซซ่า พาสต้า หรือแม้แต่ขนมปังที่ไม่ใช่โฮลเกรน ขอบอกเลยว่าคุณอาจจะเสพติดสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่รู้ตัว เพราะในความเป็นจริงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสีมักจะย่อยสลายได้ไวกว่า และทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเราสูงกว่า ซึ่่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำไมบางทีคุณถึงรู้สึกโหยหาอาหารเหล่านี้ซะเหลือเกิน 3. ดื่มน้ำไม่มากพอ เราอาจจะได้ยินคำแนะนำที่ว่า ‘ให้ดื่มน้ำเยอะๆ ร่างกายจะได้แข็งแรง’ กันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่เชื่อเถอะว่านี่แหละคือปัจจัยแรกสุดที่จะทำให้สุขภาพคุณแข็งแรง จากงานวิจัยของ NCBI พบว่ากว่า 60% ของมนุษย์โลกไม่สามารถแยกแยะความรู้สึกที่แท้จริงระหว่างหิวข้าวและกระหายน้ำออกจากกันได้ ดังนั้นถ้าครั้งหน้าคุณรู้สึกหิวทั้งๆ ที่เพิ่งทานอาหารไป พึงรู้ไว้ว่าการดื่มน้ำก็ช่วยได้เหมือนกันนะ 4. ได้รับไขมันดีไม่เพียงพอ…
-
สายดาร์กเชิญทางนี้ เพราะเรามี “กาแฟลาเต้ผสมชาร์โคล” เครื่องดื่มแนวใหม่ที่คุณควรได้สัมผัส
ในปัจจุบัน อาหารที่มี “ชาร์โคล” เป็นส่วนประกอบไม่ว่าจะเป็น ไอศกรีมชาร์โคล ขนมปังชาร์โคล เค้กชาร์โคล ฯลฯ เรียกได้ว่ากำลังมาแรง และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งชาร์โคล หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งในชื่อ “ถ่านกัมมันต์” นั้น คือถ่านที่ได้มาจากพืชชนิดต่างๆ ที่สามารถนำมารับประทานได้ และเมื่อนำมาเป็นส่วนประกอบในอาหาร ก็จะทำให้หน้าตาของมันดูน่าสนใจ แถมยังมีเอกลักษณ์ชนิดที่เอาใจสายดาร์กฝุดๆ นอกจากจะนำมาเป็นส่วนประกอบในการทำอาหารแล้ว ชาร์โคลยังถูกนำมาเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มอย่างเช่น “กาแฟ” อีกด้วย และในครั้งนี้ #เหมียวขี้อ้อน จะขอพาเพื่อนๆ มาสัมผัสกับกาแฟแนวใหม่ ซึ่งเป็นกาแฟลาเต้ผสมชาร์โคล เมนูเครื่องดื่มใหม่ล่าสุดจากร้าน Round K ในนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่กำลังฮอตฮิต และได้รับความนิยมที่สุด ณ ขณะนี้ สำหรับกาแฟลาเต้ผสมชาร์โคล จะประกอบไปด้วยผงชาร์โคล จากขี้เถ้าเปลือกมะพร้าว นมอัลมอนด์ เอสเปรสโซ โกโก้ที่มีความเข้มข้นถึง 98% กะทิ และท็อปปิ้งต่างๆ เมื่อนำมาเป็นส่วนผสมของลาเต้จะช่วยเติมเต็มสีสันให้กับเครื่องดื่มเป็นอย่างมาก “ลูกค้าของเรารู้สึกประหลาดใจ และตื่นตาตื่นใจเมื่อได้ลิ้มรสของมันเป็นครั้งแรก…
-
15 ความรู้เจ๋งๆ ที่จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนเป็น “จอน สโนว์” เพราะ “ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยยยย”
เพราะความรู้ใหม่ๆ มักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องศึกษา และเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นให้มากขึ้น และนั่นก็ทำให้เราได้รับความรู้ใหม่ๆ เพียบ เหมือนดั่งเช่น 15 สิ่งที่น่าสนใจเหล่านี้ ที่มาพร้อมกับความรู้ใหม่ๆ ในแบบที่ไม่เคยรู้มาก่อน บอกเลยว่าหากคุณได้อ่านมันอาจจะทำให้คุณรู้สึกเป็นเหมือนจอน สโนว์ ผู้ที่ไม่เคยรู้อะไรเลยยยยย 1.สุนัขมองเห็นมากกว่าสีดำ และสีขาว เพื่อนๆ หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาว่าเจ้าตูบนั้นตาบอดสี สามารถเห็นสิ่งต่างๆ ในภาพขาวดำเพียงเท่านั้น แต่นั่นไม่เป็นความจริงเลย เพราะน้องหมาสามารถมองเห็นได้หลายเฉดสีแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม ความถี่ของสีในการมองเห็นของสุนัขอยู่ในระดับจำกัด เมื่อเทียบกับการมองเห็นของมนุษย์ โดยสีพื้นฐานส่วนใหญ่ที่เจ้าหมาจะสามารถมองเห็นได้คือ สีฟ้า สีเหลือง และสีเทา 2.การนั่งอยู่ใกล้ทีวีจะไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา ในขณะที่เราจ้องไปที่หน้าจอทีวีเป็นเวลานานจะส่งผลให้ดวงตาเหนื่อยล้า และเป็นอันตรายต่อดวงตา ซึ่งการนั่งใกล้หน้าจอทีวีมากเกินไปก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับไปในช่วงปี 1950 ทางบริษัทผลิตโทรทัศน์ได้ปล่อยรังสีที่เป็นอันตรายมากกว่า 100,000 เท่า แต่ทางเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางกลับเห็นว่ามันปลอดภัย 3.ตัวเลมมิ่งไม่ได้กระโดดลงหน้าผาเพื่อฆ่าตัวตาย ตำนานเกี่ยวกับตัวเลมมิ่งได้ระบุเอาไว้ว่า เจ้าสัตว์ชนิดนี้จะชอบกระโดดลงจากหน้าผาเพื่อฆ่าตัวตาย แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้มีพฤติกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด เพราะเมื่อปี 1950 สารคดีชื่อ White Wilderness…
-
ผลวิจัยเผย “การเล่นเกมส์ในโหมด Easy” สามารถสร้างผลเสียให้กับสมองส่วนความจำได้
หลายคนคงชื่นชอบในการเล่นเกมส์และชื่นชอบในความท้าท้ายกับความยากของเกมส์นั้นๆ เพื่อให้ผ่านอุปสรรคไปก็ต้องพยายามกันหน่อย หรือบางคนก็อาจชอบที่จะเล่นเพื่อให้สนุกสนานตรงที่สามารถผ่านด่านไปได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าการเล่นเกมส์ในรูปแบบนั้นจะสร้างผลกระทบให้กับสมองของคุณได้ เมื่อนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาลัย Montreal ได้ทำการศึกษาและเชื่อว่าการเล่นเกมส์ที่ไม่มีแผนที่นำทางในเกมส์ให้นั้น จะทำให้สมองสามารถอยู่เล่นเกมส์ต่อไปได้อีกเป็นชั่วโมง แต่หากว่าทุกสิ่งทุกอย่างสิ่งนำทางให้เห็นจนหมดก็จะทำให้ทุกอย่างมันกลายเป็นง่ายเกิน การศึกษานั้นเผยว่าเหล่าสาวกเกมส์ยิงปืนมุมมองบุคคลที่หนึ่งหรือที่เรียกกันว่า FPS โดยเฉพาะแนวกองกำลังติดอาวุธจะจะมีระบบนำทางบ่อยๆ และนั่นจะสร้างความเสี่ยงเป็นอย่างมาก การวิจัยนี้ได้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Molecular Psychiatry โดยผู้เขียนคือ Greg West ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยา เขาได้บอกเอาไว้ว่าผู้ที่เล่นเกมส์แนวแอคชั่นจนติดเป็นนิสัยนั้นจะทำให้เกิดเนื้อเทาในสมองส่วนฮิปโปแคมปัสได้น้อยลง หากจะอธิบายเกี่ยวกับฮิปโปแคมปัสแบบคร่าวๆ ก็คือส่วนที่ช่วยในเรื่องของความทรงจำในอดีตและความทรงจำเชิงพื้นที่ แกนกลางของนิวเคลียสก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องช่วยในการเตือนว่าเรากิน ดื่ม หรือนอนในเวลาไหน และเนื้อเทาจะมีความสัมพันธ์กับความสามารถในการจำเรื่องเหล่านี้ เขากล่าวว่า “วิดีโอเกมส์แสดงให้เห็นถึงข้อดีที่ช่วยระบบความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้สิ่งรอบตัวและความจำระยะสั้น แต่มันก็ได้มีหลักฐานทางพฤติกรรมว่าจะต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่าง ในแง่ของผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสมองส่วนฮิปโปแคมปัส” และทั้งหมดนั้นคือเหตุผลในการศึกษาการสร้างภาพประสาทด้วยการสแกนสมองของคนที่เล่นเกมส์อยู่เสมอกับคนที่ไม่ได้เล่นเกมจนเห็นความแตกต่างในเรื่องของเนื้อเทาที่น้อยกว่าในกลุ่มคนเล่นเกมส์ นั่นจึงทำให้พวกเขาทำการศึกษาระยะยาวตามมาเพื่อหาความเป็นเหตุเป็นผล จนพบได้ว่าเกมส์มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงของสมอง เมื่อผลการศึกษาออกมาเป็นอย่างนี้ก็คงต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะสนับสนุนเด็กๆ หรือแม้แต่วัยรุ่นในการเล่นเกมส์เพื่อเสริมสร้างความจำระยะสั้นและการสังเกตสิ่งรอบตัวให้กับพวกเขากันบ้างแล้ว เพราะหากเล่นมากไปก็อาจทำให้เกิดผลกระทบตามมาอีกได้ด้วย สิ่งต่างๆ มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ขอแค่ให้ได้ใช้มันอย่างเหมาะสมก็จะสามารถสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับตัวเรา ที่มา: comicbook
-
สาวบันทึกการเปลี่ยนแปลงหลังรักษา “โรคการกินที่ผิดปกติ” จากอ้วนฉุกลับมาสวยอีกครั้ง
การที่จะมีสุขภาพที่ดีหรือหุ่นที่ดีนั้นคงจะเป็นเรื่องที่ทุกคนถ้าเลือกได้ก็อยากจะมีกัน เพื่อการใช้ชีวิตที่สามารถทำให้เราพึงพอใจได้ แต่ทั้งหมดนั้นก็จะต้องแลกมาด้วยความพยายามและไม่ย่อท้อ เพื่อรับผิดชอบกับทุกการใช้ชีวิตเหมือนอย่างเธอคนนี้ หญิงสาวคนนี้มีชื่อว่า Morgan Bartley ซึ่งเมื่อเธอมีอายุได้ 12 ปีนั้นเธอก็ต้องเข้ารับการผ่าตัดและได้ทำให้เธอพบว่าตัวเองไม่สามารถมีลูกได้ในอนาคต เมื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้ถึงกับต้องช็อกนี้จึงกลายเป็นการสร้างให้เธอมีพฤติกรรมการกินที่ผิดไปจากปกติ สิ่งนั้นจึงทำให้เธอมีน้ำหนักถึง 136 กิโลกรัมในตอนที่เธออายุได้ 17 ปีแน่นอนว่าร่างกายนั้นต้องทำให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากแน่นอน เธอจึงได้ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง และได้ทำการโพสต์ภาพพัฒนาการในแต่ละช่วงของเธอในการตั้งเป้าหมายและไม่ให้หลุดออกจากความตั้งใจนี้ เป้าหมายของเธอก็คือให้น้ำหนักเหลือเพียง 65 กิโลกรัมซึ่งแน่นอนว่านั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เธอได้โพสต์รูปลงในอินสตาแกรมที่แสดงให้เห็นว่าเธอจะต้องเข้ารับการผ่าตัด พร้อมกับเขียนความรู้สึกลงไปในแคปชั่นภาพนั้น “วันเดียวกันเมื่อหนึ่งปีก่อนเดือนสิงหาคมปี 2015 วันที่ฉันได้เริ่มการเปลี่ยนแปลงเข้ารับการผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนักที่เรียกว่า VSG นั่นเป็นเครื่องมือที่จะช่วยชีวิตของฉัน ในชีวิตของเราทุกคนจะต้องต่อสู้กับบางสิ่งสำหรับฉันแล้วมันคือสุขภาพ ที่ฉันจะต้องพยายามลงแรงผ่านมันไปให้ได้ชั่วชีวิต เพื่อรักษาสุขภาพเอาไว้และค้นพบความสุข” เธอกล่าว การเปลี่ยนแปลงของเธอได้เริ่มขึ้นแล้ว ท่าโพสต์เหมือนเดิมแต่ความเปลี่ยนแปลงช่างมากมาย . จากตอนนั้นหนัก 129 กิโลกรัมจนเหลือแค่ 78 กิโลแล้ว . ไม่ใช่แค่ผอมลงแต่ต้องได้สุขภาพที่ดีกลับคืนมาด้วย น่ารักไม่หยอกนะจะบอกให้ . . …
-
อยากสุขภาพดีขอแค่ออกไปดูนกบ้างก็พอ กับงานวิจัยที่บอกคุณได้ว่า “ชมนกชมไม้” มันดียังไง
เวลาที่เราต้องทำงานหรือต้องอยู่กับหน้าจอคอมนานๆ หลายคนอาจมีวิธีการพักสายตาอย่างการมองไปยังต้นไม้ใบหญ้าเพื่อให้สายตาได้ผ่อนหลาย แต่นอกจากนั้นแล้วกับเจ้าสัตว์มีปีกอย่างเจ้านกทั้งหลาย ก็สามารถช่วยคุณได้อีกด้วย เมื่อได้มีการตีพิมพ์งานวิจัยในวารสาร Bioscience ว่าการได้มองออกไปดูนกหรือดูต้นไม้ใบหญ้านั้น จะสามารถช่วยเรื่องสุขภาพจิต ลดความเครียดและความวิตกกังวล เมื่อมีการศึกษากับคนจำนวน 270 คนในบริเวณรอบๆ เมือง Bedford ประเทศอังกฤษ พบว่าระดับความซึมเศร้า ความเครียด และความวิตกกังวลจะลดลงได้ขึ้นอยู่กับจำนวนนกที่ได้เห็นในช่วงกลางวัน โดยไม่เกี่ยวกับสายพันธุ์ของนกที่ได้เจอ เมื่อด็อกเตอร์ Daniel Cox ผู้วิจัยแห่งมหาวิทยาลัย Exeter ได้พูดไว้ว่าการศึกษาในครั้งนี้นั้นมีเพื่อการรับรู้ถึงความสามารถขององค์ประกอบทางธรรมชาติที่จะช่วยให้สุขภาพจิตของเราเป็นไปในทางที่ดีขึ้นได้ ผู้วิจัยได้อ้างอิงหลักการมาจากองค์กรอนุรักษ์นกแห่งมหาวิทยาลัย Queensland ประเทศอังกฤษ ที่พบว่าคนที่ใช้เวลาออกมาสูดอากาศด้านนอกน้อยลงจากที่เคยทำมักจะเกิดความวิตกกังวลและรู้สึกซึมเศร้าได้ ผลลัพธ์ที่ดีที่เกิดขึ้นระหว่างนกหรือต้นไม้กับสุขภาพจิตของเรานั้น เกิดขึ้นได้แม้ว่าจะมีความแตกต่างของบริเวณที่พักอาศัย รายได้ในบ้าน อายุ หรือสิ่งต่างๆ ที่เป็นความแตกต่างของกลุ่มประชากร Daniel ยังกล่าวเสริมอีกว่า “นกที่อาศัยอยู่รอบๆ บ้านและธรรมชาติโดยทั่วไปนั้น สามารถแสดงประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมในการป้องกันและดูแลสุขภาพของเรา ทำให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นและทำให้สถานที่นั้นสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข” จากการศึกษาก่อนหน้านี้ก็ได้พูดถึงว่าการชมนกชมไม้นั้นจะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลาย และทำให้เราผัสได้กับความเกี่ยวโยงกับธรรมชาติรอบๆ ตัว ทำให้เรามีชีวิตเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็อย่าลืมหาเวลาออกไปนั่งพักผ่อนหย่อนใจ เดินเล่นนอกบ้านนอกอาคารกันบ้างนะครับ เราจะได้มีสุขภาพดีไปพร้อมๆ กัน…
-
คนนอนดึกต้องผวา งานวิจัยเผยการนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงอาจทำให้ “รอบเอว” เพิ่มได้
การดูแลรูปร่างและการควบคุมน้ำหนักนั้น นอกจากจะต้องอาศัยการทานอาหารอย่างถูกหลักและการออกกำลังกายแล้ว ยังมีอีกปัจจัยที่ละเลยไม่ได้เลยนั่นก็คือ การพักผ่อนที่เพียงพอนั่นเอง เมื่อเร็วๆ นี้ มีงานวิจัยชิ้นใหม่ได้เผยให้เห็นว่าการนอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่วโมงนั้นอาจทำให้รอบเอวของคุณเพิ่มขึ้นได้ หรือเรียกง่ายๆ ก็อ้วนนั่นแหละ!! จากการศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง 1,615 คน พบว่าผู้ที่นอนหลับไม่เพียงพอมีความเสี่ยงต่ออาการดังกล่าวมากกว่าผู้ที่นอนหลับในช่วง 7-9 ชั่วโมงต่อวัน อันที่จริงแล้วความต้องการการนอนหลับให้เพียงพอสำหรับแต่ละคนนั้นอาจจะแตกต่างกัน แต่เวลาในการนอนที่เหมาะสมของผู้ใหญ่แต่ละคนนั้นอยู่ประมาณ 7-9 ชั่วโมงนั่นเอง ด็อกเตอร์ Laura Hardie หัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย University of Leeds กล่าวว่า “เราพบว่าผู้ใหญ่ที่มีการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอนั้นจะมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการลดน้ำหนักด้วย” นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยชิ้นก่อนหน้าที่เผยให้เห็นว่าการนอนหลับน้อยนั้นจะเพิ่มความอยากทานอาหารฟาสต์ฟู้ดหรือพวกอาหารขยะเพิ่มขึ้นอีกด้วย รู้แบบนี้แล้ว ใครที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ก็อย่าลืมใส่ใจเรื่องการพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะเหมียว ที่มา unilad
-
อาม่ากว่า 400 คนเข้าร่วมประชัน อวดหุ่นสวยในชุดว่ายน้ำ ไม่หวั่นแม้อายุเกินครึ่งร้อย!!
กลายเป็นเรื่องฮือฮากันเลยทีเดียว เมื่อเหล่าคุณยายกว่า 400 ชีวิตพร้อมใจกันทรวดทรงองเอวในชุดว่ายน้ำกัน ในงานประกวดชุดบิกินี่สำหรับสาววัย 55 ปีขึ้นไป งานนี้บอกได้คำเดียวเลยว่าอายุเป็นเพียงแค่ตัวเลขจริงๆ งานประกวดชุดว่ายน้ำสำหรับสาวอายุเกินครึ่งร้อยนี้ จัดขึ้นโดยสมาคมสวัสดิการผู้สูงอายุ Hetong ในประเทศจีน โดยมีจุดประสงเพื่อสร้างมุมมองและทัสนคติทางด้านบวกให้กับเหล่าผู้สูงอายุ การประกวดดังกล่าวจัดขึ้นต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 3 แล้วและได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นอย่างดี โดยผู้เข้าร่วมการประกวดจะสวมใส่ชุดว่ายน้ำและออกมาเดินบนเวทีที่จัดขึ้นในสวนน้ำทางตอนเหนือของประเทศจีน เพื่อให้คณะกรรมการได้ลงคะแนนตัดสิน ในการประกวดดังกล่าวมีการมอบรางวัลอย่างมากมายกว่า 100 รางวัลเลยทีเดียว คุณ Ma Jing หนึ่งในผู้เข้าประกวดอายุ 78 ปีที่มาพร้อมกับชุดบิกินี่สีน้ำเงินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันรู้สึกยินดีมากที่ได้เข้าร่วมการประกวดครั้งนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกว่ามีสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดีขึ้น” ผู้เข้าร่วมการประกวดทุกคนต่างแสดงความสามารถของพวกเขาอย่างเต็มที่ ส่วนผู้เข้าร่วมการประกวดอีกท่านคุณ Shan Zheng วัย 62 ปีเล่าถึงความประทับใจของเธอว่า “เหตุผลที่ฉันเข้าร่วมการประกวดครั้งนี้ก็เพราะว่าอยากจะแสดงให้ทุกๆ คนเห็นว่าฉันยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และมีรูปร่างที่ดีอยู่” ทางด้านคุณ Fang Jiake ตัวแทนจากสมาคมผู้สูงอายุบอกว่า พวกเขาอยากให้กิจกรรมนี้ช่วยให้เหล่าผู้สูงอายุมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นและห่างไกลจากอาการเจ็บป่วยต่างๆ นั่นเอง ที่มา mirror
-
“คุณอยู่ในประเทศที่ขี้เกียจหรือไม่!?” บีบีซีจัดอันดับประเทศที่คน “ก้าวเดิน” น้อยที่สุดในโลก
เมื่อไม่นานมานี้ทางศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาได้เก็บข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือของผู้คนเพื่อ ดูว่าในแต่ละวันพวกเขามีการทำกิจกรรมต่างๆ มากน้อยแค่ไหน การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ของมหาวิทยาลัย Stanford University ที่ศึกษาปริมาณกิจกรรมของประชากรทั่วโลกในแต่ละวันกับจำนวนก้าวเดิน พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วคนทั่วๆ ไปจะมีก้าวเดินเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4,961 ก้าวต่อวัน โดยประเทศที่มีจำนวนก้าวเฉลี่ยสูงสุดนั้นได้แก่ฮ่องกง 6,880 ก้าวต่อวัน ส่วนประเทศอินโดนีเซียนั้นมีจำนวนก้าวเฉลี่ยของประชากรน้อยที่สุดอยู่ที่ 3,513 ก้าวต่อวันเท่านั้น ในส่วนของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 4,500-5,000 ก้าวต่อวัน นอกจากนี้ยังพบว่าจำนวนก้าวเดินนั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับโรคอ้วนอีกด้วย การศึกษาดังกล่าวใช้ข้อมูลจากแอพลิเคชั่นบันทึกกิจกรรมอย่าง Argus activity ซึ่งมีผู้ใช้งานกว่า 7 แสนคนทั่วโลก ศาสตราจารย์ Scott Delp ผู้ทำการศึกษาเรื่องนี้ออกมาเผยว่า “การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาที่ใหญ่มากๆ เราได้ผลสำรวจจากประเทศอื่นๆ ด้วย ซึ่งมันทำให้งานวิจัยชิ้นนี้มีขนาดใหญ่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน” และนี่คือกราฟแสดงจำนวนก้าวเดินเฉลี่ยของประชากรแต่ละประเทศ ผลการศึกษาดังกล่าวได้ถูกตีพิมพ์ลงวารสาร The Journal Nature โดยผู้วิจัยได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตามจำนวนก้าวเดินนั้นอาจไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะบ่งบอกถึงระดับของคนอ้วนภายในประเทศแต่ยังมีเรื่องของคุณภาพกิจกรรมที่สัมพันธ์กับหลายๆ ปัจจัยภายในประเทศด้วยเช่นกัน ความแตกต่างของการทำกิจกรรมนั้นมีผลเกี่ยวกับปริมาณคนอ้วน อย่างเช่นสหรัฐอเมริกากับเม็กซิโก ที่มีจำนวนก้าวเฉลี่ยที่เท่ากันแต่สหรัฐอเมริกากลับมีปริมาณคนอ้วนสูงกว่า ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากความแตกต่างกันของกิจกรรม อาหาร หรือไลฟ์สไตล์นั่นเอง นอกจากนี้นักวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า การออกแบบผังเมืองที่ดีและมีพื้นที่ในการเดินที่มากขึ้นนั้น ก็จะช่วยให้จำนวนเฉลี่ยของก้าวเดินนั้นเพิ่มขึ้นด้วย และเป็นหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณของคนอ้วนภายในประเทศเช่นกัน ส่วนตัว #เหมียวเวจจี้ คิดว่า…
-
หมอสหรัฐฯ นิยมสั่งยาแบบใหม่ “หยุดงานแล้วไปเดินป่า” ให้ธรรมชาติเยียวยาสุขภาพผู้ป่วย
โดยปกติแล้ว ผู้ป่วยมักจะได้รับใบสั่งยาจากแพทย์ โดยจะมีทั้งยาแบบเม็ด แบบน้ำ รวมถึงยาทา และจะต้องมีการกำหนดเวลาไว้ว่าควรทานช่วงไหนบ้าง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติที่เรามักจะเจอกันอยู่เป็นประจำ แต่สำหรับแพทย์ในรัฐเซาท์ดาโคตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดใบสั่งยาแบบใหม่ที่เจ๋งไปกว่านั้น โดยที่ไม่ต้องกินหรือไม่ต้องทา เพียงแค่มีจุดมุ่งหมายให้ผู้ป่วยได้ “ไปเดินป่า” เท่านี้ก็ช่วยเยียวยาได้แล้ว!? สำหรับใบสั่งยาจากแพทย์ในรัฐเซาท์ดาโคตา ที่เขียนสั่งยาทุกอย่างตั้งแต่ยาแก้ปวดไปจนถึงขี้ผึ้ง แต่ในปีนี้ทางแพทย์ได้มีทางเลือกใหม่ในการเลือกจ่ายยาตัวใหม่นั่นคือ “ParkRx” แทน ใบสั่งยาดังกล่าว จะให้ผู้ป่วยหยุดงาน 1 วัน เพื่อไป “สวนสาธารณะ หรือพื้นที่นันทนาการใดๆ ก็ได้ในรัฐเซาท์ดาโคตา โดยใบสั่งจะมาพร้อมกับสัญลักษณ์ “Rx” บนมุมกระดาษ โครงการ ParkRx ได้ถูกดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2015 โดย Game Fish & Parks Department และกรมสุขภาพของรัฐเซาท์ดาโคตา ซึ่งเป็นการเชิญชวนแพทย์ของรัฐมาจ่ายยาให้ผู้ป่วยในรูปแบบใหม่ เพื่อเป็นการช่วยฟื้นฟูสุขภาพจิตใจของผู้ป่วย ด้วยการไปสัมผัสกับบรรยากาศอันร่มรื่นที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ทางด้าน Nikki Prosch ผู้ประสานงานโครงการ ได้ออกมากล่าวว่า “เราได้แรงผลักดันมากขึ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยมีการโฆษณา…
-
หนุ่มบราซิลรับการผ่าตัดมือที่เสียหาย ด้วยการ ‘เย็บติดไว้ในท้อง’ จนกลับงอกขึ้นมาใหม่ได้!?
[บทความต่อไปนี้อาจมีเนื้อหาและภาพที่รุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม] หากใครยังจำกันได้ เมื่อราวๆ ต้นปี 2016 ได้เคยมีการรายงานข่าวเกี่ยวกับหนุ่มชาวบราซิล Carlos Mariotti ที่ทำงานเป็นคนควบคุมเครื่องจักร แต่กลับเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้นเมื่อเขาดันถูกเครื่องจักรดูดมือเข้าไปจนเนื้อที่มือของเขาแทบไม่เหลือ นาย Carlos ได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเป็นการเร่งด่วน และที่โรงพยาบาลเขาก็ได้พบกับคุณหมอ Boris Brandao ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดและตกแต่งผิวหนัง เขาเลยเกิดไอเดียในการผ่าหน้าท้องของคนไข้แล้วนำมือที่ได้รับบาดเจ็บใส่เข้าไปในกระเพาะอาหาร เพื่อให้ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อ สารอาหารและผสานเส้นเลือดขึ้นมาใหม่ อีกทั้งยังเป็นการป้องกันการติดเชื้อที่มือของคนไข้ด้วย เขาต้องทนทรมานอยู่แบบนี้ราวๆ 6 สัปดาห์ เพื่อให้มือกลับมามีสภาพที่สมบูรณ์ ในระหว่างนั้นเขาก็ต้องใช้ชีวิตประจำวันไปด้วย โดยมีภรรยาและลูกคอยช่วยเหลือดูแล แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้ว่าตัวเองจะเผลอดึงมือออกจากหน้าท้อง เมื่อเวลาผ่านไป 6 สัปดาห์ มือของ Carlos ก็เริ่มกลับมาเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้งและพร้อมที่จะถูกผ่าออกจากหน้าท้องของเขาแล้ว และมันก็ออกมาดีทีเดียวเมื่อเทียบกับตอนที่เขาได้รับอุบัติเหตุใหม่ๆ เมื่อนำมือออกมาได้แล้วก็ต้องรักษาเพื่อให้แผลเข้าที่เข้าทางต่ออีกสักพัก ก่อนที่คุณหมอ Boris จะวางแผนผ่าตัดครั้งต่อไป เพื่อแยกมือที่เป็นก้อนของเขาออกให้กลายเป็นนิ้วมือแบบปกติ ในระหว่างนั้น Carlos ต้องฝึกใช้มือข้างซ้ายของเขาในการทำกิจวัตรประจำวันแบบง่ายๆ อยู่เสมอ ทั้งการจับมือถือ…
-
ผู้เชี่ยวชาญเผยถึง ‘การกลืนหมากฝรั่งลงท้อง’ จริงๆ แล้วมันไม่ได้พันลำใส้หรอกนะ!!
หมากฝรั่งขนมเคี้ยวสุดโปรดของหลายๆ คน บางคนชอบที่จะเคี้ยวหมากฝรั่งแทบทั้งวันกันเลยทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องพึงระวังไว้เสมอว่าอย่ากลืน เมื่อหมดหวานหรือไม่อยากเคี้ยวแล้วก็ให้ทิ้ง แต่บางครั้งบางคราวก็เผลอกลืนลงไปจนทำให้รู้สึกเป็นห่วงภายในร่างกายตัวเอง!? เราคงอาจจะเคยได้ยินว่าการกลืนหมากฝรั่งลงไปในท้องนั้นอาจจะอยู่ในท้องเราประมาณ 6-7 เดือนหรือบางทีอาจใช้เวลาเป็นปีกันเลยทีเดียว หรือบางคนก็บอกว่ามันจะไปพันลำใส้เอาไว้และอาจทำให้ตายได้เลยทีเดียว แต่ไม่ต้องเดากันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ทางผู้เชียวชาญได้ออกมาเผยความจริงแล้ว!! คุณหมอ Lisa Ganjhu อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินอาหารจาก NYU Langone Medical Center ในนิวยอร์ก ได้ออกมาเปิดเผยถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่คุณกลืนหมากฝรั่งลงไปแล้ว คุณหมอบอกว่าโดยทั่วไปแล้วการกลืนหมากฝรั่งนั้น ก็คล้ายกับการกลืนอาหารธรรมดาทั่วไป มันจะผ่านตามทางเดินอาหารแต่ไม่อาจจะย่อยสลายในร่างกายของเราได้หมด “กระเพาะอาหารของเราแข็งแรงมาก มันสามารถที่จะย่อยสลายเนื้อเหนียวๆ ได้ ดังนั้นมันก็สามารถที่จะย่อยหมากฝรั่งได้ด้วย แต่ด้วยคุณสมบัตทางเคมีของมันจึงทำให้เจ้าขนมที่ว่านี้ไม่สามารถย่อยสลายได้หมด” คุณหมอ Ganjhu กล่าว นอกจากนี้คุณหมอยังเสริมอีกว่า “เมื่อมันไม่สามารถย่อยสลายได้หมด ดังนั้นมันจึงจะถูกขับออกไปพร้อมกับอึของคุณ ซึ่งระยะเวลาในการขับออกไปนั้นก็ขึ้นอยู่กับการทำงานของสำใส้ของแต่ละคน” ภาพของหมากฝรั่งหลังจากที่คุณกลืนมันลงไป!! แบบนี้ก็คงไม่ต้องกังวลกันแล้วใช่ไหมล่ะว่า หมากฝรั่งจะติดอยู่ในร่างกายเรา สิ่งเดียวที่จะทำให้มันติดอยู่ในนั้นได้ก็คือขนาดที่ใหญ่เกินไป ซึ่งอาจจะไปอุดตันหลอดอาหารและทำให้คุณกลืนอาหารได้ลำบากเท่านั้นเอง แต่อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญก็ไม่แนะนำให้คุณกลืนหมากฝรั่งอยู่ดี “หมากฝรั่งนั้นไม่มีคุณค่าทางอาหาร ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่เราจะกลืนมันเข้าไป และการกลืนหมากฝรั่งที่มีขนาดใหญ่ลงไปนั้น อาจจะไปติดที่หลอดลมของคุณได้” คุณหมอกล่าว รู้แบบนี้แล้วก็คงสบายใจขึ้นแล้วใช่ไหมล่ะ…
-
“9 สูตรน้ำอมฤต” ตามหลักวิทย์ สำหรับคนผมร่วง เล็บฉีกบ่อยๆ นอนไม่หลับ มาปรุงดื่มกันค่ะ!!
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีปัญหาผมร่วง นอนไม่หลับ หรือเล็บฉีกบ่อยๆ แทนที่คุณจะไปซื้อยาปฎิชีวนะมาทานเพื่อรักษาอาการต่างๆ นั้นมันส่งผลไม่ดีต่อร่างกายของคุณสักเท่าไหร่ และคุณรู้ไม่ว่าสิ่งกวนใจเหล่านี้สามารถรักษาได้ด้วยผักและผลไม้จากธรรมชาติ โดยในครั้งนี้เราได้รวบรวม “สูตรน้ำปั่นสมูทตี้” ที่ดีต่อร่างกายและมันช่วยบำรุงร่างกายและบรรเทาอาการกวนใจทั้งหลายให้ลดลงได้ โดยผักและผลไม้ที่เป็นส่วนผสมก็สามารถหาได้ไม่ยาก 1. ผักโขม กล้วย เลม่อน คื่นช่าย บอกเลยว่าเห็นสีเขียวน่าตาน่าทานแบบนี้ ถ้าหากใครไม่ชอบคื่นช่ายล่ะก็กินเข้าไปอาจจะมีอ้วกกันได้ แต่ลองคิดให้ดีก่อนจะแหวะออกมานะ เพราะน้ำปั่นแก้วนี้มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิดเพราะคื่นช่ายมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาท ช่วยในการนอนหลับ ทำให้รู้สึกสบายขึ้น ใครที่นอนไม่ค่อยหลับก็หลับเอาคื่นช่ายมาดม เอ้ย!! มาทานกันดูนะ 2. แครอท บีทรูท คื่นช่าย แตงกวา แอปเปิล พาสลี่ย์ ขิง แก้วนี้รสชาติจะดีขึ้นมาหน่อยเพราะอย่างน้อยก็มีความหวานๆ เปรี้ยวๆ ของผลไม้ สีสันก็ดูสวยงามแถมยังได้วิตามินแบบเต็มๆ โดยใครที่เล็บชอบฉีกอยู่เป็นประจำก็ต้องให้เจ้าแครอทเป็นตัวช่วย เพราะแครอทมีสรรพคุณบำรุงกระดูก ฟัน เหงือกและเล็บให้แข็งแรง และในบีทรูทยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายอีกด้วยนะจ๊ะ 3. สตรอเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ กล้วย มิ้นท์ น้ำปั่นสีสันหวานแหววแก้วนี้ไม่ได้มีดีแค่ที่รสชาติเท่านั้นนะ แต่ในสตรอเบอรรี่จะช่วยบำรุงกระดูกและฟันรวมถึงเล็บให้แข็งแรงขึ้น อีกทั้งผลแครนเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินซีสูงที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ…
-
ส่องอาหารเช้าของหนุ่มสาวรักสุขภาพ พวกเขาทานอะไรกัน ถึงมีสุขภาพและหุ่นที่ดีแบบนี้!?
เพื่อนๆ คงเคยได้ยินคำที่ว่ามื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ ซึ่งนั้นเป็นเรื่องที่จริงที่สุด เพราะในแต่ละวันเราต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงสมองในการทำงานต่างๆ ดังนั้นเราควรเติมประโยชน์กับร่างกายด้วยอาหารเช้าที่ให้พลังงานกับเรา ครั้งนี้เราจะพาคุณไปพบกับอาหารเช้าของคนรักสุขภาพและออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ โดยที่พวกเขาก็ย่อมจะคัดเลือกอาหารมื้อสำคัญอย่างมื้อเช้าให้ดีที่สุดสำหรับเขาเอง เราจะไปตามชมกันว่าเมนูของพวกเขาจะเป็นอย่างไรและ ครบคุณประโยชน์แค่ไหน 1. ไข่ลวก อะโวคาโด ข้าวกล้องและผักต่างๆ Shauna Harrison สาวที่เป็นทั้งโค้ช ครูสอนโยคะ เธอกล่าวว่า “นี่เป็นอาหารเช้าที่ฉันชอบมากที่สุด หากมีเวลาไม่มากก็จะนำไข่เข้าถุงซิบล็อค แล้วทำให้สุกโดยการต้มแล้วจากนั้นก็จะนำใส่กล่องทานกับอะโวคาโด แต่ถ้าหากมีเวลามากหน่อยก็จะทานเป็นไข่ลวก อะโวคาโด ข้าวกล้องและผักต่างๆ ยิ่งถ้าได้จิบชาเขียวเพิ่มล่ะก็สวรรค์ของฉันเลยล่ะ” 2. เนยถั่วไขมันต่ำ แพนเค้กกล้วย “เนยถั่วไขมันต่ำและแพนเค้กกล้วยเป็นโปรตีนชั้นดีที่ทำให้คุณมีชีวิตชีวาในตอนเช้า เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพสุดๆ” Idalis Velazquez กล่าว 3. ข้าวโอ๊ตและเมล็ดเจียแบบไม่หวาน ลูกหม่อน แบล็คเบอร์รี่และเนยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ “ข้าวโอ๊ตที่เต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย ฉันผสมมันกับกะทิที่ไม่ทำให้หวานแล้วราดด้วยเมล็ดเจียลูกหม่อน แบล็คเบอร์รี่และเนยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ มันเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพและดีต่อการเริ่มต้นวันใหม่ของเธอ” Massy Arias กล่าว 4. ไข่กวน และทาโก้ถั่วดำ Erica Giovinazzo นักโภชนาการและผู้จัดการของ Crossfit กล่าวว่า “นี่เป็นหนึ่งในอาหารเช้าที่ฉันชอบ มันเป็นอาหารที่ง่ายและรวดเร็วทำให้คุณได้รับโปรตีนไขมันและคาร์โบไฮเดรตที่ดี มันดูเบื่อน่าที่คุณทานไข่กระทะทุกวัน” 5. กาแฟครีมเนย “คุณจะได้รสชาติที่เยี่ยมยอดจากกาแฟและความสดชื่นจากครีมเนยและน้ำมันมะพร้าว มันสะดวกและพกพาง่ายและให้พลังงานที่ดี” Albert…
-
Paulo Machado หนุ่มบราซิล ที่ใช้ชีวิตในโรงพยาบาลนานที่สุดในโลกถึง 45 ปี!!!
แค่คิดภาพเล่นๆ ว่าเราต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแค่ 2-3 วัน หรือมากสุดๆ ก็ 1 เดือน แค่นี้ก็รู้สึกสยองกันแล้วใช่ไหมล่ะ แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่าในโลกนี้ยังมีคนที่ต้องนอนโรงพยาบาลรักษาตัวนานเป็นปีๆ จนคุณคิดไม่ถึงเลยล่ะ นี่คือเรื่องราวของนาย Paulo Henrique Machado ชาวบราซิลวัย 46 ปี เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลนานที่สุดในโลก นานแค่ไหนน่ะเหรอ!? ก็ตั้งแต่ที่เขาเกิดได้เพียง 2 วันนั่นแหละ และปัจจุบันเขายังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลเลยด้วยนะ ที่เขาต้องนอนโรงพยาบาลนานขนาดนั้นก็เพราะว่าเขาป่วยเป็นโรคโปลิโอตั้งแต่เกิด ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้เอง ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา จะเดินทางไปไหนมาไหนไกลๆ ก็ไม่ได้เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อนอกโรงพยาบาล โดยตลอดระยเวลาที่เขาอาศัยอยู่ในโรงพยาบาล เขามีโอกาสได้ออกไปนอกโรงพยาบาล 50 ครั้ง นอกนั้นก็ทำได้เพียงสำรวจพื้นที่ต่างๆ ภายในอาคารเท่านั้น นาย Paulo กล่าวว่า “ผมสำรวจทั้งระเบียงข้างบนและข้างล่าง เข้าไปในห้องของเด็กคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่ นั่นคือวิธีที่ผมสำรวจ ‘จักรวาล’ ของผม สำหรับผมแล้ว การเล่นฟุตบอลหรือของเล่นธรรมดาๆ ไม่ใช่ทางเลือกของผม มันต้องใช้จินตนาการมากกว่านั้น” นอกจากตัวเขาที่อาศัยอยู่ในโรงพยาบาลมาตลอดแล้ว ยังมี…
-
อย่าอั้นตดนะ!! นี่คือ 8 เหตุผลว่าทำไมคุณถึงไม่ควรอั้น “ตด” และมันดีต่อคุณยังไงบ้าง?
ถ้าพูดถึงเรื่องตด อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครอยากพูดถึงกันซักเท่าไหร่ และเวลาเราอยู่ในที่สาธารณะถ้าใครปวดตดละก็ สิ่งที่ต้องทำก็คือการอั้นใช่ไหมล่ะ? ทว่าล่าสุดเว็บไซต์ข้อมูลเชิงสุขภาพ RemedyDaily ได้ออกมาเผยถึง 8 เหตุผลที่มนุษย์เราไม่ควรจะอั้นตด แบบว่า…ก็ปล่อยๆ มันไปบ้างเถอะ มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ 1. ช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ถึงแม้ว่าอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วย่อมรู้สึกไม่สนุกแน่นอน และสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกอืดท้อง ก็เพราะมีกรดในกระเพาะมากเกินไป นึกภาพออกแล้วใช่ไหมว่าตดช่วยได้ยังไง 2. ช่วยทำให้เราควบคุมอาหารได้ดีขึ้น สำหรับคนที่กำลังอยู่ในช่วงไดเอทการควบคุมอาหารเป็นสิ่งสำคัญ และกลิ่นจากการผายลมนี่แหละที่ช่วยบอกเราได้ว่าในแต่ละวันเราทานเนื้อ หรือผักมากเกินไปหรือไม่ เกร็ดควรรู้: ถ้าวันไหนเราทานเนื้อเยอะลมที่ผายออกมาจะน้อยแต่คับแน่นไปด้วยกลิ่น แต่ถ้าทานผักเยอะลมที่ผายออกมาจะเยอะและมีกลิ่นที่ไม่เป็นอันตรายต่อรอบข้าง 3. ช่วยลดอาการปวดท้องได้ คล้ายๆ กับข้อแรกนั่นแหละ ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ส่งผล 100% แต่ถ้าเรามีกรดแก๊สในกระเพาะมากเกินไป ก็อาจทำให้รู้สึกปวดท้องตามมาได้ และสำหรับคนที่รู้สึกว่าต้องตดแต่ลมไม่ยอมออกมา ผู้เชี่ยวชาญก็แนะนำให้ใช้มือลูบไปที่หน้าท้องช้าๆ 4. ถ้าอั้นตดไว้ละก็… ส่งผลเสียต่อลำไส้ได้เลยนะ ลองนึกภาพนะว่ากลไกการทำงานของร่างกาย ต้องการที่จะกำจัดแก๊สของเสีย ทว่าเรากลับเลือกที่จะอั้นและไม่ยอมให้มันปล่อยออกมา ซึ่งก็เท่ากับว่าเราไปฝืนการทำงานของระบบร่างกาย และในระยะยาวมันอาจส่งผลเสียต่อปัญหาด้านลำไส้ในอนาคตได้อีกด้วย 5. การดมกลิ่นตดเป็นสิ่งที่ดี…
-
ผู้เชี่ยวชาญเผยทำไม “กลิ่นตด” มันเหม็นไม่เท่ากัน พร้อมแนะนำวิธีผายลม ให้เหม็นน้อยที่สุด
อาการท้องอืดท้องเฟ้อคงจะเป็นปัญหากวนใจหลายๆ คนแน่ เพราะแก๊สที่สะสมอยู่ในกระเพาะอาหารของเรานั้นมันพร้อมจะปะทุออกมาเป็น “ตด” ได้อยู่ตลอดเวลา ถ้าเกิดมีแต่ลมไม่มีเสียงและกลิ่นก็รอดตัวไป แต่ถ้าบังเอิญมีเสียงออกมาก็อาจะเขินนิดหน่อย หรือถ้าหนักมากมาทั้งกลิ่นทั้งเสียงนี่สิ ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ เราก็เลยมีคำแนะนำดีๆ จากผู้เชี่ยวชาญที่จะทำให้การผายลมของเราปราศจาคกลิ่นไม่พึงประสงค์เหล่านั้นมาฝากกันในวันนี้… Myron Brand แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารจากสถาบันที่ปรึกษาระบบทางเดินอาหาร Connecticut Gastroenterology Consultants ได้มาเผยเกี่ยวสิ่งที่ทำให้คุณท้องอืดอย่างรุนแรง คุณหมอบอกว่า “ที่จริงอาการท้องอืดนั้นมาจากการทำงานของแบคทีเรียที่อยู่ภายในกระเพาะอาหารของเรา ซึ่งกลิ่นของลมที่ผายออกมาทุกคนจะแตกต่างกัน แต่กลิ่นที่เหม็นที่รุนแรงนั้นมาจากการหมักของอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตในกระเพาะอาหารของคุณนั่นเอง” การทานอาหารที่มีประโยชน์และมีเส้นใยเยอะๆ อย่างผักบรอกโคลี กระหล่ำปลี หรือพวกธัญพืชก็เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับแบคทีเรียในลำไส้ของเรา นอกจากนี้ยังจะทำให้กลิ่นผายลมของเรานั้นไม่เหม็นมากอีกด้วยและโปรตีนก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร โดยจะทำให้เกิดแก๊สมีเทนขึ้นมานั่นเอง แต่สิ่งที่ทำให้ลมจากก้นของเราเหม็นนั้นไม่ใช้ก๊าซมีเทนหรอกนะ แต่มันคือก๊าซกำมะถันต่างหากล่ะ!! ด็อกเตอร์ Brand ยังเสริมอีกว่า “กลิ่นของการผายลมนั้นจะช่วยเตือนว่าคุณกินอาหารประเภทไหนมากเกินไป บางคนสร้างแก๊สมีเทนขึ้นมามาก หรือบางคนก็สร้างแก๊สไฮโดรเจนซัลเฟสขึ้นมา ซึ่งมันขึ้นอยู่กับอาหารที่คุณทานเข้าไป” ผู้เชียวขาญยังแนะนำอีกด้วยว่าถ้าหากคุณไม่อยากจะผายลมบ่อยๆ ล่ะก็ควรที่จะเลือกบริโภคอาหารที่มีโปรตีนสูงกว่า เพราะมันจะทำให้เกิดการสร้างแก๊สในกระเพาะอาหารได้น้อยกว่าอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เป็นอย่างไรกันบ้างล่ะ คงจะได้วิธีการเอาไปใช้ดูแลตัวเองกันบ้างแล้วใช่ไหม และนอกจากนี้เรายังมีเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ มาบอกกันด้วยนะ รู้รึเปล่าว่าโดยปกติแล้วคนเราจะมีการตดโดยเฉลี่ย 10-20 ครั้งต่อวันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ หากใครเพิ่มเป็นวันละร้อยครั้ง หรือไม่มีการตดสักครั้งเลย แสดงว่าอาจจะมีอะไรผิดปกติก็ได้นะ…!! ที่มา unilad
-
ตามส่อง “อาหารกลางวันโรงเรียนญี่ปุ่น” ที่ได้ชื่อว่า มีคุณภาพดีเป็นอันดับหนึ่งของโลก!!
การรับประทานอาหารสำหรับวัยเด็กนั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญต่ออนาคตของพวกเขามากๆ โดยเฉพาะมื้อกลางวันที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถมีพลังงานที่จะเรียนรู้และเล่นซนได้ตลอดทั้งวัน แน่นอนว่าเรื่องนี้ญี่ปุ่นจะต้องมองเห็นและเข้าใจมันได้ และพวกเขาก็นำมันมาอยู่ในหลักการศึกษาเบื้องต้นของเด็กๆ ด้วยเช่นกัน พวกเขาสอนให้เด็กๆ เข้าใจว่าอาหารที่มีประโยชน์จะส่งผลยังไงกับตัวเองและอาหารแต่ละมื้อมันสำคัญมากขนาดไหน การที่เรื่องนี้ถือเป็นวาระระดับชาติ ทางรัฐจะช่วยเหลือพ่อแม่ที่มีเงินไม่มากพอจะจ่ายค่าอาหารให้กับลูกๆ โดยการให้ส่วนลดหรือให้อาหารแก่เด็กๆ ฟรี เพราะพวกเขามองว่าสุขภาพของเด็กๆ ต้องมาก่อน ลูกหลานของพวกเขาต้องอิ่มท้องในทุกมื้อ Masahiro Oji ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาด้านสุขภาพของโรงเรียนบอกกับ Washington Post เมื่อปี่ 2013 ว่า “จากมุมมองของญี่ปุ่น อาหารกลางวันของโรงเรียน นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา” มากันขนาดนี้แล้ว เอาเป็นว่ามาดูภาพบรรยากาศและมื้ออาหารในโรงเรียนประถมของญี่ปุ่นกันเลยดีกว่า เผื่อจะเห็นภาพกันได้ชัดขึ้น มื้อกลางวันในโรงเรียนประถมของญี่ปุ่น นับว่าเป็นช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ จะไม่มีการเร่งให้เด็กๆ ต้องรีบกินแต่อย่างใด แต่จะปล่อยให้พวกเขาได้อิ่มเอมกับมื้ออาหารแสนพิเศษของพวกเขา ภาพของเด็กๆ ที่เสิร์ฟอาหารกันเอง เพื่อช่วยสอนให้เด็กๆ รู้จักพึ่งพาตัวเองได้ และในหลายโรงเรียนก็จะไม่มีภารโรงคอยช่วยเหลือพวกเขา ข้าวถือว่าเป็นหนึ่งในเมนูหลักมาหลายยุคสมัย เมนูส่วนใหญ่ก็จะประกอบด้วยข้าว ซุปมิโสะ ผัดผักกับหมู ปลาแห้ง และก็นม นอกจากนั้นยังมีตัวเลือกอื่นๆ อีกมากมาย แต่จะเห็นได้ว่าเมนูหลักๆ ก็ยังเป็น นม ผัก และข้าวไม่เปลี่ยนแปลง …
-
ครูใหญ่เขียนจดหมายเตือนพ่อแม่ รับไม่ได้ที่เอา “ฟาสต์ฟู๊ด-อาหารขยะ” ให้ลูกไปกินมื้อกลางวัน
ใครๆ ก็บอกว่าวัยเด็กนั้นเป็นวัยที่กำลังโต อาหารที่เด็กๆ ควรกินก็ต้องเป็นอาหารที่มีประโยชน์ ยิ่งมื้อเช้ามือเที่ยงยิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อไปโรงเรียนที่ต้องห่ออาหารกลางวันไป พ่อแม่ก็คือตัวช่วยสำคัญที่เตรียมอาหารให้พวกเขา เรื่องนี้เกิดขึ้นที่โรงเรียนโรงเรียนประถมศึกษา Byron ในประเทศอังกฤษ โดยอาจารย์ใหญ่ของที่นี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจกระเป๋าของพวกนักเรียนที่ใส่อาหารมาจากบ้าน ว่าพวกเขาพกอะไรมากินกันบ้างที่โรงเรียน แต่แล้วทางคณะอาจารย์ก็ต้องตกใจเพราะอาหารส่วนใหญ่ที่อยู่ในกระเป๋าของพวกนักเรียนล้วนเป็นอาหารที่ไม่มีประโยชน์เลย ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่ของนักเรียนคนหนึ่งได้แพ็คอาหารให้ลูกมาโรงเรียน เป็นชุดเบอร์เกอร์ของร้านฟาสต์ฟู๊ด แถมยังไม่ใช่อาหารที่ทำใหม่ๆ ด้วยมันเย็นชืดสุดๆ ไม่ใช่แค่เพราะมันเย็นเท่านั้นแต่การให้เด็กๆ วัยกำลังโตกินอาหารจังค์ฟู๊ดทุกวันแต่เด็ก มันล้วนเป็นหายนะอย่างแน่นอน คุณครูยังบอกว่ามีนักเรียนอีกหลายคนที่พ่อแม่จัดชุดอาหารมาให้ทำนองนี้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารเที่ยงที่เป็น เค้กช็อคโกแลต ช็อคโกแลตบาร์และช็อคโกแลตแซนวิช โดริโทสกับขนมปังแผ่น โยเกิตกับช็อคโกแลตอัดเม็ด จะเห็นได้ว่านอกจากเบอร์เกอร์อันแรกแล้วที่เหลือมันล้วนไม่ใช่อาหารจารหลักเลยด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ทางอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน Jon Carthy ที่รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ได้เขียนจดหมายไปถึงเหล่าผู้ปกครางของเด็กๆ ว่า “ในช่วงเวลา 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีชุดอาหารเที่ยงที่น่าเป็นห่วงจำนวนมากถูกนำมาที่โรงเรียน มันอาจจะฟังดูเหมือนเรื่องตลก แต่ผมอยากจะทำให้มันชัดเจนว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้” “เด็กๆ ต้องเรียนอย่างหนักที่โรงเรียน ฉะนั้นการทำอาหารที่มีประโยชน์มาให้พวกเขากิน ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก เพราะมันจะช่วยให้พวกเขาสามารถมีเรี่ยวแรงเรียนต่อไปได้จนถึงเย็น” นี่คืออาจารย์ใหญ่ Jon Carthy ผู้เป็นห่วงเด็กๆ ของเขา นอกจากนี้เขายังได้แนะนำให้รัฐบาลออกแนวทางแนะนำให้เหล่าพ่อแม่จัดการปัญหานี้อย่างเคร่งครัดโดยการจัดชุดอาหารแบบพื้นฐานให้กับลูกๆ…
-
สวนสัตว์เยอรมนี เผยภาพลูกหมีขั้วโลก ‘ส่งสายตาวิ้งๆ’ กระชากใจมนุษย์ไปทั่วโซเชียล!!
หลังจากที่มีภาพของลูกหมีขั้วโลกขนปุยสีขาววัยละอ่อนออกมาเผยแพร่ลงสู่โลกออนไลน์ ก็ทำให้บรรดาชาวเน็ตทั้งหลายต่างก็หลงใหล และชื่นชอบความมุ้งมิ้งของมันเป็นอย่างมาก จนทำให้มันได้กลายเป็นหมีที่โด่งดังที่สุด ณ วินาทีนั้น และนี่คือภาพของลูกหมีขั้วโลกตัวน้อยที่แสนน่ารัก มันเป็นลูกหมีตัวที่ 3 ของแม่หมี Giovanna ประจำสวนสัตว์เฮลลาบรูนน์ ในกรุงมิวนิก ประเทศเยอรมนี ผู้ที่เคยให้ลูกหมีกำเนิดฝาแฝดที่ชื่อ Nela และ Nobby เมื่อสามปีที่ผ่านมา ส่วนเจ้าลูกหมีตัวน้อยนี้ เพิ่งจะอายุได้เพียง 14 สัปดาห์เท่านั้นเอง แต่บอกเลยว่ามันเป็นหมีที่น่ารัก ทั้งยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และสมบูรณ์พูลสุขมากๆ เลยละ สำหรับภาพถ่ายทั้งหมดของเจ้าหมีตัวนี้ ได้ถูกถ่ายขึ้นในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา โดยจากภาพแสดงให้เห็นถึงความน่ารักขณะที่เจ้าหมีน้อยกำลังกระโดดเล่นอยู่บนกินอย่างเพลิดเพลิน และที่สำคัญมันยังเป็นหมีที่ขี้เล่นมากกกก เพราะหลังจากที่กล้องจับภาพไปที่มัน ก็ดูเหมือนว่าเจ้าหมีน้อยจะรู้ตัว รีบหับมาฉีกยิ้มใส่กล้องอวดความสดใสทันที ดู๊ววววดู มีเล่นม้วนหน้าด้วย ทางด้าน Rasem Baban ผู้อำนวยการสวนสัตว์ได้ออกมาเผยว่า “เราเฝ้าดูพัฒนาการของเจ้าลูกหมีตัวนี้มาโดยตลอด และมันก็ทำให้เราเห็นว่า มันมีสุขภาพที่แข็งแรงมาก โดยในตอนนี้มีน้ำหนักตัวกว่า 8.4 กิโลกรัมแล้ว…
-
เปิดตัว “เบียร์ชาเขียวมัทฉะ” เบียร์รสชาติใหม่ ถ้าอยากลองต้องไปประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นจ้า!!
ก่อนหน้านี้เราคงพอจะได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า ประเทศญี่ปุ่นได้มีการปิ๊งไอเดียสุดบรรเจิด ในการคิดค้นสูตรการทำ “เบียร์ชาเขียวมัทฉะ” เบียร์รสชาติแปลกใหม่ เอาใจคนรักสุขภาพกันมาแล้ว และล่าสุด วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 เราได้รับการอัพเดทจากทางเว็บไซต์ Rocketnews24 ว่า ในตอนนี้โรงผลิตเบียร์ยี่ห้อ Yebisu ในโตเกียว ได้มีการวางจำหน่าย “เบียร์ชาเขียวมัทฉะ” แล้วจ้า งานนี้คอเบียร์ทั้งหลายห้ามพลาดเด็ดขาด สำหรับเบียร์ชาเขียวมัทฉะ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Matsuri มันเป็นเบียร์สดที่มีส่วนผสมของชาเขียวคุณภาพดี แถมยังมีรสชาติหอมนุ่มชวนน่าหลงใหล นอกจากนี้ ยังมาในราคาเบาๆ เพียงแค่ 750 เยน หรือราวๆ 230 บาทเท่านั้น ซึ่งถ้าหากคุณได้ลองสั่งมาชิมสักแก้วรับรองว่าจะต้องติดใจแน่นอน และถึงแม้ว่ามันจะไม่โด่งดังเหมือนเบียร์ Asahi, Kirin หรือ Sapporo แต่คนที่เคยลิ้มลองเบียร์ Matsuri ได้บอกว่ามันมีรสชาติที่ยอดเยี่ยมมาก และถูกแม้ว่ามันอาจจะมีราคาสูงกว่าเบียร์ชนิดอื่นๆ แต่ก็คุ้มที่จะลองนะ และที่สำคัญ เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าความขมของเบียร์ Yebisu…
-
ชายผู้เสียใบหน้า เพราะเคยยิงฆ่าตัวตาย เข้ารับการผ่าตัดใบหน้าจนดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ…
เรื่องที่#เหมียวฟิ้นได้หยิบมาเล่าในวันนี้เป็นเรื่องราวสุดอเมซิ่งของนาย Andy Sandness ชายหนุ่มผู้เคยคิดที่จะฆ่าตัวตายมาก่อน แต่โชคชะตาก็พลิกผันและทำให้เขารอดตายมาได้และมีใบหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เท้าความกลับไปในปี 2007 ช่วงที่นาย Andy คิดจะฆ่าตัวตาย ตอนนั้นเขาอายุ 21 ปี ประสบกับภาวะซึมเศร้าจนคิดฆ่าตัวตาย เขาเลยตัดสินใจจบชีวิตด้วยการยิงปืนเข้าที่ใบหน้าของตัวเอง แต่หลังจากที่เขาลั่นไกออกไป เขาก็ได้รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดอย่างรุนแรง จึงขอร้องทุกๆ คนรีบพาเขาไปยังโรงพยาบาลและขอร้องให้แพทย์ช่วยชีวิตเขาให้รอดตายด้วย จากการพยายามฆ่าตัวตายทำให้เขาสูญเสียจมูก แก้ม ปาก ริมฝีปาก ขากรรไกร และฟันของเขาได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง และยากต่อการจะทำให้หน้าของเขากลับมาเหมือนเดิม และเนื่องจากหน้าตาของเขา ทำให้นาย Andy แทบจะไม่ได้เข้าสังคมกับใครเลย เป็นเวลาหลายปี วันหนึ่งในปี 2012 เขาได้รับโทรศัทพ์จากคลีนิค Mayo Clinic ในรัฐไวโอมิ่ง ที่โทรมาแจ้งข่าวดีกับเขาว่าตอนนี้พวกเขามีแผนที่จะเปิดโปรแกรมศัลยกรรมปลูกถ่ายใบหน้าและอยากให้เขามาเป็นคนไข้รายแรก แต่ก่อนที่จะผ่าตัดได้ทางทีมแพทย์จะต้องมีการประเมินผลทางจิตเวชอย่างเข้มงวด เพื่อที่จะได้รู้ว่าเขาพร้อมสำหรับการผ่าตัดใหญ่ครั้งนี้หรือไม่? ทีมศัลยแพทย์มีการคาดการณ์ว่าเขาอาจจะต้องรอนานถึง 5 ปี เพื่อรอชิ้นเนื้อที่มีความเข้ากันกับใบหน้าของเขา แต่เขาก็ได้รับการติดต่อหลังจากนั้นภายใน 5 เดือนเท่านั้น ตามรายงานทางการแพทย์บอกว่าชิ้นเนื้อที่จะทำการผ่าตัดเปลี่ยนให้กับเขา มาจากนาย Calen…
-
ไปรู้จักกับ 7 คุณทวดทั่วโลก ที่ล้วนอายุเกิน 100 ปี พวกเธอเป็นใคร แล้วทำอะไรถึงอายุยืน!?
การที่เรามีสุขภาพกาย และสุขภาพใจที่ดี เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมให้คนเรามีอายุที่ยืนยาวได้ เพราะการมีอายุที่ยืนยาวนั้นจะช่วยทำให้เราได้อยู่กับคนที่เรารักไปได้นานๆ ยังไงละ และในครั้งนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ 7 คุณทวดที่ล้วนแต่มีอายุเกิน 100 ปี ที่ยังมีสุขภาพ และร่างกายที่แข็งแรงจนอยู่กันมาได้นับศตวรรษ บางคนก็เคยถูกบันทึกไว้ว่าเป็นบุคคลที่มีอายุเยอะที่สุดในโลกกันเลยทีเดียว 1. Emma Morano Emma Morano คุณทวดชาวอิตาลีที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นบุคคลที่แก่ที่สุดในโลก และเป็นคนสุดท้ายที่เกิดในศตวรรษที่ 19 ที่ยังชีวิตอยู่ เธอเกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 1899 เธอแต่งงานกับ Giovanni Martinuzzi ในปี 1926 แต่หลังจากที่ลูกของเธอเสียชีวิตลง เธอกับสามีก็ได้แยกทางกัน นั่นทำให้คุณทวดตัดสินใจเป็นโสดมาตลอด นอกจากนี้ เธอยังได้มาเผยเคล็ดลับการที่มีอายุยืนว่า การที่มีอายุยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้เป็นผลมาจากการที่เธอชอบทานไข่ดิบนั่นเอง (เอ๊ะ!?) 2. Yisrael Kristal Yisrael Kristal คุณทวดชาวโปแลนด์ที่ได้รับการบันทึกจาก Guinness World Records ว่าเป็นบุคคลที่อายุยืนมากที่สุดในโลก ซึ่งคุณทวดเคยเป็นหนึ่งในคนที่สามารถรอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในช่วงสงครามโลกมาได้ แต่น่าเศร้าที่เขาต้องเสียลูกและภรรยาอันเป็นที่รักไปจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น แต่ต่อมาคุณทวดก็ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ และได้แต่งงานใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็พาภรรยาและบุตรชายอพยพไปยังประเทศอิสราเอล และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนับตั้งแต่นั้นมา…
-
สยึ๋มกึ๋ยมาก!! ชวนดูคลิป “ลอกสิว” จากผิว แม้ขยะแขยงแค่ไหน แต่ก็อยากกดดูอยู่ดี…
ปัญหาเรื่องสิวนี่แม้ว่าจะเป็นปัญหาเล็กๆ แต่พอมันเกิดขึ้นบนใบหน้าเยอะๆ มันก็สร้างน่ารำคาญได้นะ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องเอามันออกไปจากใบหน้าล่ะก็ เมื่อนั้นความสนุกอาจจะมาเยือนคุณก็เป็นได้ เพราะในทุกครั้งที่คุณจะเอาสิวเสี้ยนออกจากใบหน้า คุณก็ต้องใช้แผ่นลอกสิวยี่ห้อต่างๆ มาแปะที่หน้าเพื่อดึงเอาสิวออก เมื่อมันหลุดออกมาเป็นก้อนๆ คุณจะรู้สึกดีแบบแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก และถ้าคุณชอบอะไรแบบนั้น นี่คือสิ่งที่คู่ควรกับคุณ เมื่อไม่นานมานี้ #เหมียวฟิ้น ได้ไปเจอเข้ากับช่องยูทูบที่ชื่อว่า KeanaTankentai ความพิเศษของช่องนี้ก็คือ เขาจะลงแต่คลิปวิดีโอจำพวกสิวหัวขาว สิวหัวดำ การดึงหนวด หรือแม้แต่การปั่นขี้หู ที่ถูกถ่ายด้วยกล้องจุลทรรศน์ ทำให้เราเห็นสิวกันแบบใกล้ชิดยิ่งกว่าที่เคย ปิ๊ดๆ อ่าหหห์ ถ้านี่คือสิ่งที่ทำให้คุณดูแล้วรู้สึกดีล่ะก็ งั้นไปชมตัวเต็มๆ กัน หากใครยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้เราได้เคยพูดถึงดอกเตอร์คนหนึ่งที่ชื่อ Dr. Pimple Popper หรือชื่อจริงคือ Sandra Lee เธอเองก็มีชื่อเสียงในด้านการบีบสิวเช่นกันและมีคนติดตามดูสิว เอ้ย ดูเธอบีบสิวมากถึง 2 ล้านกว่าคนทีเดียว หากใครชอบก็ตามไปกดซับสไครบ์ได้เลย ดูจบแล้วรีบลุกไปล้างหน้ากันดีกว่านะ ที่มา viralnova , Dr. Pimple Popper
-
8 สาวที่เคยคลั่งผอม เปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่จนเป็นสาวหุ่นสวย แถมสุขภาพดีอีก!!
การเป็นสาวรูปร่างดี ถือเป็นความใฝ่ฝันของผู้หญิงหลายๆ คน บางคนก็อยากผอมสวยเหมือนดารานางแบบ จนถึงขั้นคลั่งผอม และทำให้กลายเป็นโรคกลัวอ้วน และโรคการกินที่ผิดปกติ ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้สุขภาพจิต และสุขภาพกายย่ำแย่ และทรุดโทรม เหมือนดังเช่น 8 สาวเหล่านี้ แต่ก่อนพวกเธอเคยเป็นโรคกลัวอ้วนจนทำให้ร่างกายซูบผอมจากการอดอาหาร จนในที่สุดพวกเธอก็ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่โดยการหันอาทานอาหาร และออกกำลังกายจนกลายเป็นสาวสุขภาพดี มีหุ่นสุดเป๊ะจนน่าอิจฉา ถ้าอย่างนั้นเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าพวกเธอสามารถผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายเหล่านั้นมาได้อย่างไร 1. Hayley Harris สำหรับ Hayley Harris เธอเคยยอมรับว่าเธอเริ่มอดอาหาร เพื่อที่จะได้ให้ตัวเองมีหุ่นที่บางเฉียบเหมือนกับนางแบบในนิตยสาร จนทำให้เธอต้องเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพราะเป็นผลที่เกิดจากความผิดปกติของการรับประทานอาหาร ซึ่งหลังจากที่เธอฟื้นตัว เธอก็ได้เปิดบัญชีอินสตาแกรม โดยอ้างว่าผู้ที่เข้ามาติดตามเธอในไอจีช่วยรับมือกับความเจ็บปวดของเธอ และในตอนนี้เธอก็ใช้เวลาในการรณรงค์ต่อต้านคนที่คลั่งผอม 2. Courtney Black เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา Courtney Black มีน้ำหนักตัวเพียง 45 กิโลกรัมเท่านั้น เธอออกกำลังกายอย่างหนักเพราะอย่างมีกล้ามเนื้อ และรูปร่างที่ผอมบาง อีกทั้งเธอยังบริโภคอาหารเพียงแต่ 800 แคลลอรี่ต่อวัน จนในที่สุดร่างกายของเธอก็อ่อนแอ และต้องเข้ารับรักษาตัวที่โรงพยาบาล หลังจากที่ได้รับการรักษา Courtney ก็ได้หันมาปฏิวัติตัวเองครั้งใหญ่ โดยการเริ่มทานอาหารวันละ 2000 แคลลอรี่ จนในตอนนี้เธอมีรูปร่างที่สวยงาม อีกทั้งยังกลายมาเป็นคุณครูสอนวิธีการออกกำลังกายอีกด้วย …
-
รัสเซียออกกฎหมาย ห้ามขายบุหรี่ให้คนเกิดหลังปี 2015 หวังแก้ปัญหาคนติดบุหรี่ในระยะยาว
ในทุกๆ ปี ประชากรในประเทศรัสเซียจะเสียชีวิตจากโรคที่มีสาเหจตุมาจากบุหรี่ประมาณ 400,000 คน แต่ภายหลังนั้นตัวเลขของผู้สูบบุหรี่นั้นลดลงจาก 41 % เป็น 31 % เป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากรายงานของสำนักข่าว Tass แต่ถึงอย่างนั้นผู้นำของรัสเซียอย่างประธานาธิบดี Vladimir Putin ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด ทำการออกกฎหมายห้ามเด็กที่เกิดหลังปี 2015 เป็นต้นไปทำการซื้อขายบุหรี่ กลายเป็นประเทศแรกที่ออกกฎหมายในการห้ามซื้อขายบุหรี่ โดยเขาให้เหตุผลว่าบุหรี่นี้นอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพแล้ว ยังส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจอีกด้วย จึงวางแผนนโยบายระยะยาวในการระงับการซื้อขายบุหรี่ออกมา วัฒนธรรมการสูบบุหรี่ในประเทศรัสเซียนั้นกลายเป็นที่นิยมกันเป็นจำนวนมากตั้งแต่ในช่วงที่ยังรวมเป็นสหภาพโซเวียตอยู่ ซึ่งยาสูบทั้งหลายนั้นถูกนำเข้ามาจากประเทศ คิวบา จอร์เจีย และประเทศทางแถบเอเชียกลาง หลังจากที่เล็งเห็นปัญหานี้แล้ว ทางด้านประธานาธิบดีและเหล่าที่ปรึกษาก็เห็นพ้องต้องกันว่าควรที่จะหามาตรการในการลดปัญหาที่เกิดจากบุหรี่นี้ซักที Nikolai Gerasimenko คณะกรรมการสุขภาพของรัฐสภารัสเซีย ก็ได้ให้ความเห็นกับการออกกฎหมายในครั้งนี้ว่า “ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นอุดมการณ์ที่ถูกต้องอย่างแท้จริง” แต่ถึงอย่างนั้นบางส่วนก็ยังออกมาเสนอบอกว่าการสั่งห้ามนี้ควรจะมีการถกเกียงกันอย่างจริงจังก่อนที่จะทำการประกาศออกมาใช้เป็นกฎหมายจริงๆ เมื่อช่วงปี 2015 ที่ผ่านมาทางรัฐสภาของรัสเซียก็เพิ่งจะประกาศแบนการซื้อขายบุหรี่ให้กับผู้หญิงที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีไปแล้ว และข้อเสนอกฎหมายดังกล่าวนั้นสามารถแก้ไขปัญหาได้ในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งในรอบนี้พวกเขามองถึงหนทางที่ยาวไกลออกไป ซึ่งการแบนการซื้อบุหรี่สำหรับเด็กๆ ในยุคต่อไปนั้นจะทำให้พวกเขาไม่สามารถเรียนรู้หรือรับรู้ถึงความเคยชินจากการสูบบุหรี่ได้เลย ปัจจุบันมีประชากรประมาณ…
-
‘ขมิบ’ เพื่อผ่านด่าน… Perifit อุปกรณ์เพื่อคุณแม่หลังคลอด บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แกร่ง!!
การดูแลสุขภาพร่างกายของคนเรานั้น ไม่ใช่เพียงแค่ในช่วงอายุหนึ่งเท่านั้น แต่จะต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุใดๆ ของชีวิต อาจจะไม่ถึงกับขั้นที่ว่าเฟอร์เฟ็กต์ทุกสัดส่วนขนาดนั้น แต่หมายถึงหมั่นเอาใจใส่ดูแลให้มีสุขภาพดีเสมอๆ ดั่งเช่นในเรื่องของกล้ามเนื้อที่มักจะหย่อน ย้วย ยาน ไปตามกาลเวลา นั่นก็เป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าหากเราดูแลดีๆ มันก็กลับมาอยู่กับเราได้ตลอด แต่ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ มันก็จะย้วยไปอย่างนั้น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เมื่อกล่าวถึงกล้ามเนื้อแล้ว ผู้คนส่วนมากมักจะนึกถึงกล้ามแขน กล้ามหน้าท้อง เหล่ากล้ามที่จะเห็นเด่นชัดได้จากภายนอก แต่ #เหมียวเลเซอร์ ขอบอกเลยว่า กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ของผู้หญิงก็สำคัญไม่แพ้กันเลยนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคุณแม่ที่กำลังจะคลอดและคลอดลูกไปเรียบร้อยแล้ว หนึ่งในท่ากายบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ด้วยการยืนและย่อพิงกับกำแพง ทำไมกล้ามเนื้อส่วนนี้ถึงสำคัญ? นั่นก็เพราะว่ากล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน มีหน้าที่ควบคุมการกลั้นปัสสาวะ อุจาระ และเป็นกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการคลอดบุตร และหลังจากการคลอดบุตรแล้ว จะทำให้กล้ามเนื้อส่วนนี้เกิดอาการอ่อนแรงนำไปสู่ปัญหาสุขภาพในภายหลัง จากเหตุดังกล่าว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงได้แนะนำวิธีการบริหารกล้ามเนื้อส่วนนี้ด้วยการ ‘ขมิบ’ ในการฟื้นฟูสภาพกล้ามเนื้อหลังจากการคลอดลูก เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ รวมไปถึงเป็นการฟื้นฟูจากการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะหรือไตด้วย Perifit อุปกรณ์ช่วยฝึกการขมิบ ที่จะทำให้การขมิบของคุณไม่รู้สึกน่าเบื่ออีกต่อไป ปัญหาที่ตามมาก็คือผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะต้องขมิบอย่างไรให้ถูกต้อง หรือจะต้องขมิบบ่อยแค่ไหนถึงจะเหมาะสม เพราะฉะนั้นแล้วเจ้าอุปกรณ์ Perifit…
-
12 สาวฟิตเนสโมเดลในอินสตาแกรม ที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้ทุกคนที่อยากฟิตแอนเฟิร์ม
ใครๆ ก็อยากมีรูปร่างที่ดีนะว่าไหม? โดยเฉพาะสาวๆ ทั้งหลาย ซึ่งในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าผู้หญิงหันมาดูแล และใส่ใจสุขภาพของตัวเองมากขึ้น บางคนที่เคยมีรูปร่างอ้วน ก็หันมาออกกำลังกาย ปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานอาหาร จนทำให้ร่างกายดูสวย และดูดีขึ้น เหมือนดังเช่น 12 สาว Fitness Model เหล่านี้ ในอดีตพวกเธออาจจะไม่ได้มีหุ่นที่เพอร์เฟค แต่หลังจากที่ได้เริ่มออกกำลังกายลดน้ำหนัก หันมาใส่ใจรูปร่างของตัวเองมากขึ้น ทำให้เธอกลายเป็นสาวที่มีสุขภาพดี และฟิตแอนด์เฟิร์มเป็อย่างมาก นอกจากนี้ พวกเธอยังแชร์วิธีการลดน้ำหนัก รวมไปถึงการออกกำลังกายในอินสตาแกรมของตัวเองอีกด้วย มาดูกันเลยว่าแต่ละคนจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน 1.Anna Victoria Anna Victoria เป็นเจ้าของ Fit Body Guides บน Snapchat ที่โด่งดังมากในเรื่องของภารกิจฟิตแอนด์เฟิร์ม ซึ่งก่อนหน้านี้เธอก็เป็นสาวที่มีพุงคนหนึ่ง แต่หลังจากที่ได้หันมาดูแลตัวเอง หุ่นของเธอก็แซ่บขึ้นมากกกก 2.Jen Widerstrom กว่าจะมีรูปร่างที่ดีขนาดนี้ Jen Widerstrom ผู้เชี่ยวชาญทางด้านฟิตเนสก็เคยเป็นสาวมีพุงมาแล้วเหมือนกัน แต่เธอก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลับมามีหุ่นสุดเฟิร์มได้ อีกทั้งในตอนนี้เธอก็ได้กลายเป็นเทรนเนอร์หน้าใหม่ในรายการ The Biggest Loser Season 16…
-
พยาบาลสาวตั้งใจฟิตหุ่น หลังละอายใจ แนะนำคนไข้ลดน้ำหนักแต่ตัวเองยังอ้วน..!!
นี่คือ Kelly Foster พยาบาลสาวผู้ที่มีน้ำหนักตัวถึง 127 กิโลกรัม ได้ทำการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ จนกระทั่งเธอนั้นสามารถลดน้ำหนักให้เหลือเพียง 69 กิโลกรัมเท่านั้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เธอรู้สึกละอายใจเหลือเกิน ที่ต้องแนะนำให้คนไข้พยายามลดน้ำหนัก ทั้งๆ ที่เธอเองก็มีขนาดตัวไซส์ XL และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอตัดสินใจที่จะเริ่มลดน้ำหนักนั่นเอง Kelly ได้เผยว่า “มันเป็นเรื่องที่น่าอายมากๆ เวลาที่ต้องบอกให้คนไข้ลดน้ำหนัก ทั้งๆ ที่ตัวของฉันยังอ้วนขนาดนี้ แม้ว่าพวกเขาจะดูไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ แต่นั่นก็คืองานของฉันอยู่ดี” และในตอนนี้เธอก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงจัง โดยการขอให้ Marc ผู้เป็นสามีซื้อคอร์สลดความอ้วนให้เป็นของขวัญวันเกิด หลังจากนั้นเธอก็เริ่มออกกำลังกาย พร้อมทั้งหันมาควบคุมอาหารอย่างจริงจัง จากที่เคยทานอาหารพวกมันฝรั่ง หรือเค้ก ตอนนี้เธอเปลี่ยนมาทานอาหารเพื่อสุขภาพ และเข้ายิมไปด้วย แม้ในช่วงแรกการออกกำลังกายจะเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเธอ แต่ในที่สุด Kelly ก็สามารถลดน้ำหนักตัวให้เหลือเพียง 69 กิโลกรัมได้…จากสาวร่างใหญ่ที่สวมเสื้อผ้าไซส์ 24 ตอนนี้เหลือเพียงไซส์ 12 แล้วจ้า เมื่อก่อนแค่เดินออกจากบ้านไปโรงพยาบาล เธอก็รู้สึกเหนื่อยมากๆ แล้ว แต่เดี๋ยวนี้ Kelly สามารถวิ่งไปกลับได้ทุกวัน…
-
แป๊รด!! หนุ่มฝรั่งเศสคิดค้นยาทำให้ตดของคุณมีกลิ่นคล้าย “ช็อคโกแลต” ตดหอมไม่ต้องอายใคร
“ตด” เป็นมลภาวะทางกลิ่นอย่างหนึ่ง ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ไม่เป็นผลดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่สาธารณะ โรงหนัง ที่ทำงาน หรือในห้าง มันคงจะดีไม่น้อยเลยนะหากเราสามารถเปลี่ยนให้กลิ่นเหม็นๆ ของตดกลายเป็นกลิ่นหอมหรือกลิ่นอื่นๆ ได้ หากคุณคิดแบบเดียวกับเราแล้วล่ะก็ วันนี้เรามีทางออกมานำเสนอล่ะ เพราะเมื่อไม่นานมานี้สื่อต่างประเทศหลายๆ แห่งได้รายงานว่านาย Christian Poincheval ชาวฝรั่งเศสวัย 65 ปี ได้คิดค้นตัวยาขนานใหม่ขึ้นมา ยาตัวนี้จะทำให้ผู้ใช้สามารถตดออกมาโดยไม่มีกลิ่นเหม็น แต่กลายเป็นกลิ่นช็อคโกแลตหอมๆ แทน!? ตามที่นาย Christian ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับไอเดียของยาเปลี่ยนกลิ่นตดนี้ว่า เขาเริ่มมีความคิดตอนที่ออกไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วต้องเจอกับเหตุการณ์ที่น่าอับอาย ในระหว่างที่พวกเขากำลังกินข้าวกันอย่างสนุกสนาน แต่เขากลับปวดท้องตดจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เลยทำให้เขาอยากจะแก้ไขสิ่งนี้ด้วยตัวเอง นาย Christian ก็เลยเริ่มการทดลองด้วยตนเองพร้อมกับขอคำปรึกษาจากนักวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน จนได้สูตรลับเปลี่ยนกลิ่นตดในที่สุด โดยมีส่วนผสมได้แก่ต้นบิลเบอร์รี่ ยางแมสติก สาหร่าย ถ่านและผงโกโก้ “ผมมีลูกค้าหลากหลายประเภทมาก บางคนซื้อมันไปเพราะมีอาการท้องอืด บางคนซื้อไปเพราะเอาไว้ไปแกล้งเพื่อนๆ ของเขา” นาย Christian กล่าว นอกจากกลิ่นช็อคโกแลตแล้ว ตา Christian…
-
และนี่คือ 13 ผู้คนที่จะมอบแรงบันดาลใจดีๆ ในการลดน้ำหนัก…ยังไม่สายที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง!!
สำหรับคนที่เคยคิดจะลดน้ำหนักและล้มเลิกไป อาจจะมีหลายสาเหตุที่ทำให้คิดแบบนั้น และส่วนที่ยากที่สุดก็คือการเริ่มต้น และความสม่ำเสมอนี่แหละ บางคนก็ได้แต่คิดว่าจะลดแต่ไม่ลงมือทำซักที ก็เลยอ้วนฉุอยู่อย่างนั้น บางคนก็อาจจะท้อจากการออกกำลังกาย บางคนก็ไม่มีเวลาว่าง หรือบางคนก็ขี้เกียจ ก็เลยทำให้ล้มเลิกไปกลางคัน แต่ในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมเหล่าบุคคลที่จะมาทำให้เพื่อนๆ ที่กำลังลดน้ำหนักและท้อแท้ใจ หรือคนที่มีแพลนอยากลดน้ำหนักแต่ก็ไม่เริ่มซักทีได้เห็นกันว่ายังไม่สายเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง 1. จากหนุ่มแว่นเด็กเนิร์ดตัวอ้วนฉุ พอถอดแว่นปุ๊ป หล่อเลย (เดี๋ยวๆ ใช่เหรอ?) 2. Mary Mack ลดน้ำหนักไปได้ถึง 18 กิโลกรัม จากมนุษย์ป้าใส่แว่นกลายเป็นสปอร์ตเกิร์ลขึ้นมาทันตา 3. คู่แฝด Bella และ Chris ที่ลดน้ำหนักไปได้มากคนละเกือบ 70 กิโลกรัม จากคู่แฝดร่างยักษ์ กลายมาเป็นคู่แฝดสุดแซ่บ 4. Liz ลดไปได้ 23 กิโลกรัมภายใน 3 ปี จากสาวร่างใหญ่ กลายมาเป็นสาวสุดเซ็กซี่ 5. Jade ลดไปได้ถึง…
-
สาวรีวิวการเปลี่ยนแปลง จากคนร่างหมีกลายเป็นสาวสตรอง พร้อมกับกล้ามท้องสวยงาม
เมื่อไม่นานมานี้ #เหมียวฟิ้น ได้ไปเจอกับกระทู้การเปลี่ยนแปลงตัวเองของคุณ ชีริน เบญจวรรณ กูมมุดดิน เธอได้เผยสูตร(ไม่)ลับในการออกกำลังกาย จากผู้หญิงหน้ากลมร่างท้วม กลายเป็นสาวสตรองหุ่นสวย ให้ทุกๆ คนได้นำไปทำตามกัน ในตอนแรกคุณชีรินมีน้ำหนักมากกว่า 70 กิโลกรัม บวกกับผิวคล้ำทำให้ไม่ค่อยมั่นใจที่จะแต่งตัวสวยๆ เหมือนกับสาวคนอื่น เธอจึงแต่งตัวแบบทอมไปเลย แต่จุดเปลี่ยนมันก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อเธอไปส่งน้องชายแคสติ้งงาน แล้วโดนคนนินทาว่าเป็นคนใช้ของน้องชาย เธอเลยอยากเอาชนะด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเอง สิ่งที่เธอทำมี 3 อย่างคือออกกำลังกายลดน้ำหนัก จัดฟัน และดูแลผิวพรรณ ในส่วนของกีฬานั้นเธอชอบมวยไทย ก็ฝึกต่อยมวยผสมกับการออกกำลังกายในฟิตเนสไปด้วย แม้จะทำงานเป็นสาวออฟฟิศแต่เธอก็พยายามแบ่งเวลามาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ขั้นตอนการออกกำลังกายก่อนต่อยมวย 1. วิ่งวอร์มร่างกายก่อนเล่นเวท จะใช้เวลาวิ่งประมาณ 5-10 นาที 2. ซิทอัพเซตละ 20 ครั้ง 5 เซต (ถือเวทไว้ด้วยระหว่างซิทอัพ ช่วยให้กล้ามท้องออกแรงมากขึ้น) 3. ยกเวทด้านข้างและด้านหลัง ยกเซตละ 12 ครั้ง 4 เซต 4. สควอช…
-
สู้ไหม!? ทำความรู้จัก Bakhar Nabieva สาวลูกครึ่ง ผู้มีกล้ามแน่นจนหนุ่มๆ ต้องเกรงใจ…
ดูเหมือนว่าตอนนี้เทรนด์ของสาวผอมๆ จะไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนแต่ก่อนแล้วนะ เพราะเราได้เห็นแล้วว่ามีสาวๆ จำนวนไม่น้อยที่หันมาออกกำลังกายเพื่อกระชับกล้ามเนื้อ สร้างกล้ามท้อง กล้ามต้นขา และก้นให้ดึ๋งดั๋ง!!! อย่างเช่น Bakhar Nabieva วัย 22 ปี ลูกครึ่งยูเครนและอาเซอร์ไบจัน เธอชื่นชอบการออกกำลังกายมาก (เธอบอกว่า เรียกว่าคลั่งเลยก็ได้) เธอออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจนสามารถสร้างกล้ามต้นขาสุดล่ำแลัซิกแพ็คเป็นของตัวเองได้ จนหนุ่มๆ ต้องอายเลยทีเดียว แม่สาว Bakhar เองมักจะชอบอวดหุ่นสวยๆ ของตัวเองลงในอินสตาแกรม @bakharnabieva อยู่บ่อยๆ จนตอนนี้มีผู้ติดตามเธอมากกว่า 650,000 คนแล้ว นอกจากนี้ยังมีช่องยูทูบที่เอาไว้สอนคนออกกำลังกายตามเธอด้วย ตามไปซับตะไคร้เธอได้ที่ Bakhar Nabieva เลยนะจ๊ะ หากคุณสงสัยว่าเธอออกกำลังกายแบบไหน ใช้ท่าอะไรถึงได้มีกล้ามแน่นเปรี๊ยะขนาดนี้ เธอก็ทำวิดีโอสอนออกกำลังกายไปด้วยเช่นกัน อย่างเช่นคลิปนี้… . . . . . . . . . สาวผอมหลบไป เทรนด์สาวแกร่งกำลังมา!! ที่มา Bakhar Nabieva
-
เรื่องของ 10 คนผอมที่เคยอ้วน และคนอ้วนลดน้ำหนักจนดูดี จะมาเป็นแรงบันดาลใจให้คุณ
ที่ผ่านๆ มา ทีมงานเหมียวได้ทำบทความสุขภาพ เกี่ยวกับคนที่อ้วนพยายามจะผอม และคนผอมที่เคยอ้วนมาหลายครั้งหลายครา นั่นก็เพื่อเป็นแรงบันดาลใจกับคนที่อยากจะมีรูปร่างดี หันมาออกกำลังกายกัน และในหลายๆ กรณีที่เราได้หยิบมาเล่านั้นก็มีเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่ออยู่หลายครั้ง เช่นคนที่หนักร้อยกว่าโลแล้วกลับมาผอม หรือบางคนถูกบังคับให้ผอมเพราะต้องไปแต่งงาน วันนี้ #เหมียวฟิ้น ได้รวบรวมเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาเรียกกำลังใจของทุกๆ คนอีกครั้ง ไปชมกันเลยว่ามีใครลดน้ำหนักไปเท่าไหร่บ้าง? 1. ชายหนุ่มน้ำหนัก 154 กิโลกรัม รับสุนัขอ้วนมาเลี้ยง พวกเขาก็เลยลดน้ำหนักไปด้วยกันซะเลย (อ่านเต็มๆ ได้ที่นี่นะ) 2. สาวหนัก 160 กิโลกรัมฉุนขาด เมื่อสายการบินบอกให้เธอซื้อตั๋วสำหรับ 2 ที่นั่ง เลยออกกำลังกายจนเหลือน้ำหนักแค่ 60 กิโลกรัม (อ่านเต็มๆ ได้ที่นี่นะ) 3. สาวหนัก 90 ลดเหลือ 52 กิโลกรัม เพื่อให้มีหุ่นสวยเพรียวและเหมาะสมที่จะแต่งงานกับเจ้าบ่าว (อ่านเต็มๆ ได้ที่นี่นะ) 4. สาวไทยลดน้ำหนักจาก 55.2 เหลือ 50.4 กิโลกรัม แต่กินอาหารมากขึ้นจาก 1,000 ถึง 2,000…
-
20 สัตว์โลกที่แม้จะรู้ว่า การอาบน้ำทำให้สะอาด… แต่พวกมันก็ยังไม่ชอบอยู่ดี!!
ก็อย่างที่เรารู้กันอยู่ว่า ‘การอาบน้ำ’ เป็นการชำระล้างร่างกายให้สะอาด หลังจากที่ออกไปเผชิญกับสิ่งสกปรกมากมายมาทั้งวันแล้ว ก็ต้องมีการอาบน้ำเพื่อขจัดสิ่งสกปรกอย่างเชื้อโรคและแบคทีเรียทั้งหลายออกไปบ้าง เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกายเรา แต่ดูเหมือนว่ามีหลายๆ คนที่ไม่ค่อยพอใจกับการอาบน้ำเท่าไหร่นัก เพราะมันทั้งเปียกและหนาวเย็น จนทำให้รู้สึกขยาดไปเลยทีเดียวล่ะ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้มีแค่มนุษย์เท่านั้นที่ไม่ชอบการอาบน้ำ เหล่าสัตว์ทั้งหลายเองก็เช่นกัน 1. รู้สึกเหมือนเหมือนมีพลังงานอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ข้างหลัง (แต่ดูเหมือนเจ้าดำมันจะมีความสุขอยู่นาาาาา) 2. ถ้าพวกเขาไม่เห็นเรา ก็คงไม่ต้องอาบน้ำแล้วล่ะมั้งนะ (เห็นเต็มๆ เลยสึส) 3. ไหนเจ้านายบอกผมว่าจะพาไปเดินเล่นไงล่ะ ไหงพามาอาบน้ำล่ะเนี่ย? T T 4. อะไรจะอาฆาตพยาบาทกันขนาดนั้นล่ะ แค่อาบน้ำเองนะปัดถ่อวว 5. สนุกนักเหรอห๊ะ? เจ้ามนุษย์ 6. ทำไมเจ้านายถึงต้องอาบน้ำผมด้วยล่ะฮับ ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมไม่ชอบง่ะ 7. ฉันเกือบจะตกลงไปในบ่อแปลกๆ นั่นแล้วนะ เจ้ามนุษย์ใจร้าย!! 8. ใครก็ได้ช่วยผมออกไปจากอ่างนี้ที 9. ลองปิดตาดู ถ้าเราไม่เห็นเค้า เค้าก็ไม่เห็นเรา ถ้าหาเราไม่เจอ เราก็ไม่ต้องอาบน้ำแล้วล่ะ…
-
คุณพ่อเห็นลูกชอบกินฟาสต์ฟู้ด จึงทำเป็น “เวอร์ชั่นพ่อ” ขึ้นมา แถมดีต่อสุขภาพด้วย!!!
ไม่รู้ทำไมของอร่อยๆ มักจะไม่ดีต่อสุขภาพทั้งนั้น เหมือนอย่างอาหารฟาสต์ฟู้ดทั้งหลาย รู้นะว่ามันไม่ดี แต่ว่ามันก็อดใจไม่ไหวทุกครั้งที่เห็น โดยเฉพาะเด็กๆ รู้สึกจะถูกใจอาหารพวกนี้มากเป็นพิเศษ คุณพ่อลูก 2 อย่าง Matthew Blake เห็นว่าถ้ากินเยอะไปคงจะไม่ดีเท่าไหร่ ก็เลยคิดที่จะสร้างอาหารที่คล้ายๆ กันออกมา แต่เป็นแบบที่ดีต่อสุขภาพ นี่คือคุณพ่อ Matthew Blake กับลูกชายอีก 2 คน และนี่คืออาหารของพ่อที่ทำออกมาเลียนแบบอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง พ่อเล่าว่าปกติก็ไม่ค่อยมีเวลาทำอาหารให้ลูกเท่าไหร่ แต่ถ้ามีโอกาสก็จะทำอะไรที่มันดีต่อพวกเขา ให้พวกเขาได้สนุกกับการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ จุดเริ่มต้นมาจากการที่ลูกๆ ไม่อยากกินอาหารที่พ่อทำ ซึ่งตั้งใจทำมาก พ่อก็เลยลองหาวิธีอื่นๆ ดู จนออกมาเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ สร้างแบรนด์เป็นของตัวเองซะเลย . ถือเป็นไอเดียที่เจ๋งมากๆ เลยสำหรับคุณพ่อที่ต้องการอยากให้ลูกได้ทานอาหารดีๆ แถมยังสามารถห่อไปกินที่โรงเรียนได้แบบเฟี้ยวๆ อีกด้วย ที่มา distractify
-
หนุ่มลดน้ำหนัก 133 กิโล เพราะโดนเพื่อนด่าว่า “เxี้ยอ้วน” พร้อมขอบคุณที่ช่วยชีวิตเขา
หากคุณเป็นคนอ้วนคนหนึ่งที่โดนคนรอบข้างดูถูกและนินทาเกี่ยวกับรูปร่างของคุณบ่อยๆ ล่ะก็ คุณก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อหนุ่มคนนี้หรอกนะ แต่สิ่งที่ต่างไปก็คือ เขาโดนด่าด้วยคำซ้ำๆ เดิมๆ ทุกวัน จนเปลี่ยนคำด่าเหล่านั้นให้กลายเป็นแรงผลักดัน ทำให้เขาดำน้ำหนักไปได้กว่าร้อยโลทีเดียว!? เรื่องราวต่อไปนี้เป็นของนาย Jamie Brooks เขาเล่าว่าในตอนแรกน้ำหนักของเขาไม่ได้มากขนาดนี้ แต่เมื่อตอนที่เขาอายุได้ 14 ปี เขาก็ได้ทำงานในห้องครัวแห่งหนึ่ง จากนั้นเขาก็เริ่มมีอาหารการกินที่สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ และเพิ่มน้ำหนักตัวเอง ตอนกลางวันก็กินจุบจิบ ตกตอนกลางคืนก็ซื้ออาหารกลับไปกินต่อที่บ้าน แถมยังดื่มเครื่องดื่มหวานๆ ที่ส่งผลเสียตามมาอีกมาก ในตอนที่เขาอายุได้ 31 ปี เป็นช่วงที่เขามีน้ำหนักมากที่สุด ในตอนนั้นน้ำหนักของเขาพุ่งขึ้นไปที่ 228 กิโลกรัม ซึ่งใกล้ขีดอันตรายเต็มที แต่แล้วปฏิบัติการลดน้ำหนักของเขาก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อเพื่อนของเขาอย่าง Neil Williamson วัย 46 ปี เขาดันไปเห็นป้ายโฆษณาลดน้ำหนังที่คลีนิคศัลยกรรมแห่งหนึ่ง และเกิดไอเดียในการช่วยเพื่อนลดความอ้วนแบบแปลกๆ เพราะแทนที่จะแนะนำให้เพื่อนไปออกกำลังกาย หรือกินอาหารที่มีประโยชน์ เขากลับเอาแต่ส่งข้อความหยาบๆ คายๆ ไปหา Jamie เช่น “ไอ้เxี้ย อ้วน” หรือ “แกน่าจะตายตอนอายุ 40 แล้วแหละ” เป็นเวลากว่า 6 สัปดาห์…
-
แต่งงานกับผมนะ…หนุ่ม ม.ปลายป่วยเป็นมะเร็ง ขอแฟนสาวแต่งงาน ก่อนจะไม่มีโอกาส
ก่อนที่จะอ่านเรื่องต่อไปนี้ #เหมียวฟิ้น อยากจะถามคุณว่า…ระหว่างคุณกับคนรักเคยมีประสบการณ์ที่ต้องผ่านช่วงเวลาแสนยากลำบากร่วมกันหรือไม่? แล้วถ้ามีมันหนักหนาขนาดไหน? ลองเก็บคำตอบนั้นไว้ในใจดูนะ แล้วมาอ่านเรื่องซึ้งๆ ของ 2 คนนี้กัน… นี่เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มม.ปลาย คนหนึ่งที่ชื่อว่านาย Swift Myers วัย 18 ปี เขาเข้ารับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล The Children’s Hospital at Saint Francis รัฐโอกลาโฮมา สหรัฐอเมริกา เนื่องจากป่วยเป็นมะเร็งในกระดูก เขาต้องเจอกับอาการป่วยย่อยๆ ถึง 6 ครั้ง และในครั้งที่ 7 ก็ถึงกับทำให้เขานอนหมดสติอยู่ที่โรงพยาบาล คุณหมอที่ดูแลอาการของนาย Swift กล่าวว่าอาการของเขาไม่สู้ดีนักเพราะมีอาการแทรกซ้อนถึง 4 ครั้งใน 1 สัปดาห์ เขาอาจจะจากเราไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่หลังจากที่นาย Swift นอนหมดสติไป 10 วัน เขาก็ฟื้นขึ้น และทันทีที่ได้สติเขาก็ขอ Abbi Ruicker แฟนสาวที่เขาคบมานานกว่า 2 ปี…
-
เธอทำได้คุณก็ทำได้!! สาว XL หนัก 95 กิโล โชว์ลดน้ำหนักเหลือ 55 เพรียวขึ้น มั่นใจขึ้น
สาวๆ มักมีข้ออ้างในการออกกำลังกายหรือดูแลตัวเองอยู่เสมอๆ บ้างก็บอกว่าไม่มีเวลา บ้างก็บอกว่าเหนื่อย บ้างก็บอกว่าไม่มีเพื่อน แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้วมันอยู่ที่แรงใจล้วนๆ ก่อนหน้านี้เราเคยมีตัวอย่างดีๆ ในการออกกำลังกายมาให้เพื่อนๆ ได้เห็นแล้วมากมาย เช่น หนุ่มหนัก 88 กิโลฮึดวิ่งมาราธอน , หนุ่มวัย 42 ออกกำลังกายเพราะพ่อเสีย หรือ คุณป้าวัย 50 ปี ที่ออกกำลังกายจนมีหุ่นสวยเช้ง และวันนี้เองเราก็มีแรงบันดาลใจคนใหม่มาให้คุณดูอีกแล้วล่ะ เรื่องราวต่อไปนี้เป็นของคุณพลอย เธอเล่าว่าเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน เธอปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนน้ำหนักพุ่งไปสูงถึง 95 กิโล กลายเป็นสาวไซส์ XL ไปโดยไม่ตั้งใจ แต่ด้วยความที่เธอเองยังอยากกลับมาใส่เสื้อผ้าตัวเล็กๆ เหมือนกับสาวๆ คนอื่น เธอเลย “ลอง” ลดความอ้วนด้วยการลดคาร์โบไฮเดรตก่อน ในตอนแรกจาก 95 กิโล ลดลงมาเหลือ 87 โล จากนั้นเธอก็เริ่มวิ่งเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญไขมันออกไปด้วย น้ำหนักเธอเลยลดลงไปอีก 5 กิโล เหลือ 82 กิโล…
-
หล่อขึ้นเยอะ!! หนุ่มที่เคยติดเหล้าเบียร์ จากหนัก 88 กลายมาเป็น ‘นักวิ่งมาราธอน’ ในวันนี้
การที่เราจะลงมือเปลี่ยนแปลงตัวเองได้นั้น บางครั้งคุณต้องการใครสักคนที่ช่วยจุดประกายหรือสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณ หากคุณไม่รู้จะไปหาที่ไหนล่ะก็ ลองมาดูพ่อหนุ่มคนนี้เป็นตัวอย่างดีไหม? เรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจที่#เหมียวฟิ้นจะเล่าต่อไปนี้ เป็นของคุณเต้ อภิรัตน์ นทีประสิทธิพร วัย 33 ปีจากจังหวัดกำแพงเพชร เขาได้สร้างอัลบั้มภาพการเปลี่ยนแปลงของตัวเองขึ้นเพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ ในภาพเหล่านั้นบอกเล่าเรื่องราวตอนที่เขามีน้ำหนักมากถึง 88 กิโล ทั้งกินดื่มจนร่างกายเริ่มอ้วนขึ้นๆ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว คุณเต้ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดกับร่างกายและหันไปวิ่งออกกำลังกายแบบจริงจังตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา . . . . หลังจากที่วิ่งไปได้ 3 เดือน เขาก็เข้าร่วมการแข่งขันวิ่งมาราธอนเป็นครั้งแรก และเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองเรื่อยมา จนตอนนี้เขากลายมาเป็นนักวิ่งมาราธอนเต็มตัวแล้ว . คุณเต้ได้เผยกับ#เหมียวฟิ้นว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจในการวิ่งมาจากภาพยนตร์เรื่อง รัก 7 ปี ดี 7 หน ของ GTH เมื่อไม่กี่ปีก่อน คุณเต้บอกว่า “ผมก็ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังที่นิชคุณเล่น ถ้าคุณอยากวิ่งคุณวิ่งแค่กิโลเดียว แต่ถ้าคุณอยากพบชีวิตใหม่คุณลองมาวิ่งมาราธอน” . . . . . . . . . . .…
-
อย่าทำเป็นเล่นไป…รวมวิธีในการดูแล “ปู๋” ของท่านชาย เพื่อตัวเองและคนที่คุณรัก
อวัยวะทุกส่วนในร่างกายล้วนมีความสำคัญต่อเราทั้งสิ้น แต่จะมีอวัยวะบางส่วนในร่างกายของเราเท่านั้นที่จะมีความสำคัญในบางเวลา นั่นก็คือองคชาติ หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า “ปู๋” นั่นเอง (หรือ จู๋ หรือ หรรมส์ อะไรก็แล้วแต่จะเรียกกัน) บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องทะลึ่งไปหน่อย แต่ #เหมียวฟิ้น จะบอกว่าเราควรจะให้ความสำคัญกับอวัยวะส่วนนี้นอกเหนือจากตอนที่เราใช้มันขับถ่ายหรือตอนที่เราฟีทเจอริ่งนะ หากคุณดูแลความสะอาดได้ไม่ดีพอ มันอาจจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ตัวคุณและคนที่คุณรักได้เลยทีเดียว หากคุณยังเข้าใจผิดๆ หรือยังมีความรู้เกี่ยวกับการทำความสะอาดในพื้นที่ลับของคุณไม่เพียงพอล่ะก็ ขอให้ลองมาทำความเข้าใจกับบทความต่อไปนี้ เราได้ทำการรวบรวมเอาวิธีทำความสะอาดปู๋ที่ถูกต้องและเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ จากผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์อย่าง นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ จากนิตยสารหมอชาวบ้าน และด็อกเดอร์คริส เอ็ม แมทสโกจากเว็บไซต์ WikiHow เราลองมาดูกันทีละข้อๆ เลยดีกว่า การทำความสะอาดแบบทั่วไป 1. ทำความสะอาดจุดนั้นอยู่บ่อยๆ ใช้น้ำเปล่าล้างสิ่งสกปรกออก ในช่วงที่คุณอาบน้ำ หากใครขลิปแล้วก็คือว่าดีไป แต่คนที่ยังไม่ได้ขลิปจะมีคราบขี้ไคลสะสมกันอยู่ในใต้ผิวหนัง หรือที่เราชอบเรียกกันว่า “ขี้เปียก” นั่นแหละ ฉะนั้นเวลาทำความสะอาดคุณควรจะดึงหนังหุ้มปลายออกมาให้สุดเสียก่อนที่จะทำความสะอาด เพราะมันเต็มไปด้วยเชื้อโรคที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้ 2. ผิวหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายนั้นมีความบอบบางมาก ระคายเคืองได้ง่าย ควรใช้น้ำเปล่าล้าง แต่ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์สบู่…
-
ลดได้จริงเหรอ? รวม 10 ความเข้าใจผิดๆ ของสาวอยากผอมจากแฮชแท็ก #HowtoPerfect
ช่วงนี้กระแสการบอกต่อเรื่องของเคล็ดลับความสวยความงามกำลังเป็นที่นิยมมากๆ ในโลกออนไลน์เลยนะ อย่างเช่นในทวิตเตอร์ เองก็มีแฮชแท็กดังๆ อย่างเช่น #HowtoPerfect ให้คนได้ติดตามกัน แต่ในเคล็ดลับสุขภาพดีเหล่านั้นเอง บางอันก็จริงบ้างไม่จริงบ้าง บางเคล็ดลับอาจจะไม่ถูกต้อง 100% วันนี้#เหมียวฟิ้น ก็เลยขอพาไปดูว่าอันไหนจริงหรือหลอก เคล็ดลับไหนใช้ได้จริงหรือใช้ไม่ได้ เราลองไปดูกันเลย 1. ลดความอ้วนด้วยปลาหมึกเส้นเบนโตะ ที่บอกว่าไม่มีไขมันและให้พลังงานเพียง 20 แคลอรี่นั้นถือเป็นเรื่องจริงนะ เมื่อเทียบกับเจเล่ไลท์ถุงละ 10 บาท ที่ให้พลังงาน 60 – 80 แคลอรี ก็ถือว่าเบนโตะให้พลังงานน้อยทีเดียว แต่มีโซเดียมถึง 130 มิลลิกรัม หากกินเยอะๆ ก็อาจทำให้อ้วนได้เหมือนกันนะ แถมยังมีความดันโลหิตสูงและภาวะบวมน้ำตามมาด้วย 2. กินมันเทศแทนข้าว เส้นใยในมันเทศนั้นมีความหนาแน่น ทำให้กินแล้วอิ่มนาน แต่ก็ให้พลังงานถึง 150 แคลอรี่ (ในขนาดกลางๆ) หากกินเยอะก็ทำให้อ้วนได้เหมือนกันนะ 3. โยเกิร์ต+คาลพิสแลคโตะโซดาลดความอ้วน …
-
มันก็แค่ตัวเลข!!! กูรูฟิตเนสเผยภาพตัวเอง น้ำหนักเพิ่ม 3 กิโล แต่หุ่นเฟิร์มขึ้นเป็นกอง
เชื่อว่าหลายๆ คน (รวมถึง#เหมียวฟิ้นด้วย) คงจะคิดว่าการที่เรามีน้ำหนักที่ลดลง น่าจะช่วยทำให้ร่างกายของเราดูผอมขึ้น ดูเฟิร์มขึ้นใช่ไหมล่ะ? แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไปนะ เพราะบางครั้งการที่คุณมีน้ำหนักมากขึ้น ก็ทำให้คุณมีหุ่นที่เฟิร์มดูดีได้เช่นกัน กูรูฟิตเนสที่เราพูดถึงอยู่นี้เธอมีชื่อว่า Yola เป็นชาวเนเธอร์แลนด์ เธอโด่งดังมาใน Instagram มีผู้ติดตามมากถึง 8 หมื่นคน เนื่องจากเธอมีความรู้ด้านการออกกำลังกาย และมักจะได้ทิปเล็กๆ น้อยๆ แก่ผู้ติดตามของเธอเสมอ แต่กว่าที่เธอจะมีหุ่นเฟิร์มได้ขนาดนี้ เธอก็ต้องเคยมีช่วงที่หุ่นไม่เข้ารูปมาก่อนเหมือนกัน เพราะเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอได้โชว์ภาพหุ่นของตัวเองเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ที่ตอนนั้นเธอหนัก 58 กิโลกรัม ร่างกายของเธอยังดูอวบๆ แต่หลังจากที่เธอฟิตออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ มีวินัยกับการกินจนเธอมีหุ่นเฟิร์ม มีกล้ามท้อง ร่างกายทุกส่วนกระชับเข้ารูป หน้าอกเป็นหน้าอก ก้นเป็นก้น แต่น้ำหนักของเธอไม่ได้ลดลงเลย แถมยังเพิ่มขึ้นอีกตั้ง 6 กิโลกรัม ทั้งนี้ Yola ได้ใส่แคปชั่นรูปภาพไว้ว่า “3 ปี 6 กิโล กับบิกินีตัวใหม่ ฉันเลื่อนดูภาพในโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ แล้วก็มาเจอกับภาพเก่าอันนี้ น้ำหนักเป็นเพียงตัวเลขจริงๆ”…
-
‘เกล เวธกา’ เผยเทคนิคฮาๆ ในการสร้างกล้ามของ “แมน การิน” ต้องเป็นพ่อบ้านที่ดีนะ!?
ใครที่ติดตามผลงานของหนุ่มแมน การินมาทั้งในจอหรือนอกจอ ก็คงจะเห็นได้ว่าช่วงนี้หนุ่มแมนมีกล้ามที่ล่ำขึ้นผิดหูผิดตา ไม่ว่าจะไบเซ็ปไตรเซ็ป กล้ามอก ซิกแพ็และเอวแบบวีเชพ จึงมีหลายๆ คนพยายามถามเจ้าตัว หรือแม้แต่ไปถามคุณเกล เวธกา ภรรยาของหนุ่มแมน ว่าเคล็ดลับในการออกกำลังกายของเขาคืออะไร? ล่าสุดคุณเกล เวธกาได้ออกมาเปิดเผยถึงเคล็ดลับในการมีหุ่นสวยๆ ของแมน การิน ผ่านเฟซบุ๊ก Gale Waythaka ว่าสามีของเธอต้องทำอะไรบ้างใน 7 วัน เพื่อให้มีหุ่นงามเซ็กซี่ขนาดนี้ รับรองว่าสูตรการออกกำลังกายนี้จะทำให้แม่บ้านยิ้มแก้มปริเลยทีเดียว… วิธีทำให้พ่อบ้านมี 6 Pack By เกล เวธกา #วันจันทร์ – ส่วนอก งานบ้านที่เกี่ยวข้อง – เปลี่ยนผ้าปู ยกตะกร้าผ้า ยกหม้อ ยกชาม ยกไห เปลี่ยนถังแก๊ส #วันอังคาร – ส่วนหลัง งานบ้านที่เกี่ยวข้อง – ถูพื้น เช็ดโต๊ะ ขัดส้วม #พุธ – ส่วนหน้าแขนและหลังแขน งานบ้านที่เกี่ยวข้อง – ซักผ้า…
-
บริษัทผลิตตุ๊กตาคิดต่าง… ทำตุ๊กตาหัวโล้นสำหรับเด็กป่วย พวกเธอจะได้มีเพื่อน
ของเล่นที่เด็กผู้หญิงชื่นชอบส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นตุ๊กตาล่ะนะ เพราะทั้งน่ารัก สดใส ผมสลวย หน้าตาเหมือนเพื่อนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ถ้าเด็กคนนั้นเป็นเด็กที่มีอาการป่วยบางอย่างล่ะ พวกเธอจะยังอยากได้ตุ๊กตาเหล่านั้นอยู่อีกไหม? ปัญหานี้เกิดขึ้นกับนาง Meredith Bailey คุณแม่ที่มีลูกสาววัย 4 ขวบ ป่วยเป็นโรคผมร่วง เธอพยายามจะหาตุ๊กตามาให้ลูกสาวได้เล่นเป็นเพื่อนเธอ แต่ไม่ว่าจะตุ๊กตาตัวไหนๆ มันก็ทำให้ลูกสาวของเธอรู้สึกแตกต่างและน้อยเนื้อต่ำใจที่ตนเองไม่มีผมเหมือนอย่างตุ๊กตา แต่ถือเป็นโชคดีมากที่เมื่อไม่กี่วันก่อนนาง Bailey ได้ไปเดินห้างสสรพสินค้าแห่งหนึ่งแล้วเจอเข้ากับตุ๊กตาจากบริษัท American Girl อยู่บนตู้โชว์ แต่สิ่งที่ทำให้เธอเซอ์ไพรซ์ก็คือตุ๊กตาเหล่านั้นไม่มีผมเลย เมื่อเธอลองขยับเข้าไปอ่านข้อความบนกล่องนั่นจึงเห็นข้อความว่า “เราภูมิใจนำเสนอ ตุ๊กตา Truly Me แบบไร้เส้นผม ที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี มีให้เลือกหลากหลายโทนสี” นั่นทำให้คุณแม่ Bailey ไม่ลังเลที่จะซื้อมันมาให้กับลูกสาวของเธอ ซึ่งลูกสาวของเธอก็ดีใจเอามากๆ ที่จะได้มีตุ๊กตาที่เหมือนกับตัวเอง ทำให้เธอไม่รู้สึกแปลกแยกอีกต่อไป ต่อมาคุณแม่รายนี้ก็ได้เขียนจดหมายขอบคุณโรงงานผลิตตุ๊กตา โดยมีข้อความบางส่วนกล่าวว่า “ฉันสนับสนุนบริษัทผลิตตุ๊กตาของคุณมาโดยตลอด ฉันยังมีตุ๊กตาของบริษัทนี้ที่ซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อปี 1988 อยู่เลย ซึ่งลูกสาวของฉันก็ชอบมันมาก ฉันมีความสุขมากที่ได้เห็นว่าลูกสาวของฉันก็มีตุ๊กตาเป็นของตัวเองเช่นกัน” “ตุ๊กตาเหล่านี้ถูกวางอยู่บนชั้นในห้างแบบไม่ได้หลบมุมแต่อย่างใด แต่พวกมันถูกวางไว้ให้ทุกคนได้เห็นชัดเจน โดยเฉพาะลูกสาวของฉัน ที่แปลกใจว่าทำไมเขาไม่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้” นับว่าเป็นความเสี่ยงอยู่ไม่น้อยที่บริษัทตุ๊กตาผลิตตุ๊กตาหัวโล้นออกมาแบบนี้ เพราะเป็นสินค้าที่เจาะกลุ่มลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจงมาก แต่ก็ขอชื่นชมในความคิดแหวกแนวนะ เหล่าเด็กๆ ที่ป่วยอยู่จะได้มีเพื่อนเล่นยังไงล่ะ…
-
อันตรายของ “ฉี่” ในสระว่ายน้ำ ผู้ร้ายตัวจริงในสระกับผลกระทบอันร้ายกาจ…
สระว่ายน้ำที่เราว่ายกันนั้น ถึงแม้มองอย่างผิวเผินแล้วจะดูใสวิ๊ง ปราศจากแมลงและเศษใบไม้ก็ตาม แต่ก็ยังมีอันตรายอีกมากที่คุณยังไม่รู้ ซึ่งมันมาจากผู้ใช้สระร่วมกับคุณโดยตรง!! นั่นก็คือเหตุผลที่เราต้องล้างตัวทุกครั้งก่อนลงใช้สระทุกๆ ที่ เนื่องจากร่างกายคนเรามีแบคทีเรียที่มาพร้อมกับสิ่งสกปรกและเหงื่อไคลมากมาย แต่ถึงแม้ทุกคนจะล้างตัวให้สะอาดแล้ว นั่นก็ไม่ได้แปลว่าสระว่ายน้ำจะสะอาดร้อยเปอร์เซนต์เสมอไป มาดูกันสิว่า ถ้าหากมีคนฉี่ลงไปในสระแล้วจะส่งผลต่อน้ำในสระอย่างไร และจะเป็นอันตรายยังไงต่อผู้ใช้สระคนอื่นๆ… สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการเคืองตาหรือตาแดงหลังการว่ายน้ำ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคลอรีน หลายๆ คนคงทราบกันดีว่า เวลาเราว่ายน้ำในสระที่มีสารคลอรีนมากเกินไป มักจะทำให้เราเกิดอาการระคายเคืองตา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนพบว่าคลอรีนไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและดวงตา ยังทำให้เด็กเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ตามผลการวิจัยใหม่พบว่า ปัสสาวะในสระนี่แหละคือผู้ร้ายตัวจริง!! และมันทำให้คลอรีนเป็นอันตรายต่อตัวเรา สารประกอบต่างๆในปัสสาวะเช่น แอมโมเนีย และยูเรีย ทำให้เกิดปัญหาระคายเคืองตา และส่งผลต่อการหายใจ เมื่อคลอรีนปะทะกับเหงื่อและปัสสาวะ คลอรีนจะเปลี่ยนเป็นคลอรามีน (Chloramine) และทำให้คุณตาแดงนั่นเอง ดังนั้น ถ้าคุณตาแดงขณะกำลังว่ายน้ำอยู่ นั่นอาจแปลว่ามีคนฉี่ลงลงไปในสระก็ได้ นี่เป็นแค่ผลของการปัสสาวะลงในสระ… แต่ถ้ามีคนอุจจาระลงในสระว่ายน้ำล่ะ!? อุจจาระนี่ยิ่งอันตรายมากๆ เลยล่ะ เพราะอุจจาระสามารถแพร่กระจายเชื้อปรสิตที่เรียกว่า คริปโตสปอริดิโอซิส (Cryptosporidiosis) ซึ่งทนทานต่อคลอรีนและเป็นอันตราย อีกทั้งการกำจัดสารปนเปื้อนก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ดังนั้น ถ้าหากมีคนอุจจาระในสระ ก็ให้รีบขึ้นสระหนีด่วน!! ดังนั้นแล้ว จากนี้ไปจงอย่าฉี่ในสระว่ายน้ำเป็นอันขาด… และที่สำคัญ…
-
โอ้วว!! Demodex สัตว์เลี้ยงน่ารักที่อยู่บน ‘ใบหน้า’ ของเราทุกคน แต่เราก็ไม่รู้ตัว…
บนโลกใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งลึกลับมากมาย มีอะไรอีกมากมายหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ แม้แต่ตัวเรา ร่างกายของเราตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็อาจจะมีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กนับล้านที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าอาศัยอยู่… ส่วนใบหน้าก็เช่นกัน มีสิ่งมีชีวิตที่เราไม่รู้จักอาศัยอยู่ และที่จะพาไปรู้จักกันในวันนี้ มันเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงน่ารักๆ(เหรอ) ของทุกคนเลยล่ะ… นี่คือ Demodex เรียกอีกอย่างว่าไรขนตา ตัวไร หรือเห็บคน ขนาดของมันเล็กมากแค่เพียง 0.3-0.4 มม. พบตามคิ้ว ขนตา และรูขุมขนบนใบหน้า โอ้วว!! หน้าของเราเลี้ยงตัวน่ารักแบบนี้เอาไว้ด้วย พวกมันจะคอยกินน้ำมันกับผิวหนังที่ร่างกายผลัดออกมา ซึ่งส่วนใหญ่มักจะโผล่ออกมาในตอนที่เราหลับ ภาพเจ้า Demodex หรือไรขนตา อยู่ในรูขุมขน… น่าขนลุกใช่มั้ยล่ะ?? ผู้ใหญ่ 95-98% จะมีไรขนตาอยู่บนร่างกาย แต่เด็กจะมีน้อยกว่าเนื่องจากมีน้ำมันที่ขับออกตามรูขุมขนน้อยกว่า สามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสบริเวณ ใบหน้า ขนตา และเส้นผม แต่ไม่ต้องตกใจกันนะ!! โดยปกติแล้วไรขนตาแทบไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเราเลย ยกเว้นในภาวะที่ร่างกายของเราบกพร่องทางภูมิคุ้มกัน เจ้าพวกนี้อาจส่งผลเกิดการระเคืองหรือโรคผิวหนังได้ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงไม่ทราบชัดเจนถึงที่มาของเจ้าปรสิตชนิด แต่ก็ไม่ต้องซีเรียสกับมันหรอกนะจ๊ะ!! จะกำจัดเจ้าพวกนี้ ก็ไม่ถึงกับต้องฉีดยาฆ่าแมลง แค่รักษาผิวหน้าให้สะอาดก็พอ ในหนึ่งวันใบหน้าของคนเราต้องเจอกับอะไรตั้งเยอะแยะใช่มั้ยล่ะ?? ถ้าอยากให้มีใบหน้าที่สวยใสอยู่กับเราไปนานๆ ก็ทำความสะอาดกันให้ดีล่ะ ที่มา: Bordomtherapy
-
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ 15 เคล็ดลับดีๆ ช่วยแก้ปัญหา ‘Jet lag’ แล้วการเดินทาง จะสบายขึ้นเยอะเลย!!!
สวัสดีเพื่อนๆทุกคน หากใครที่เคยมีโอกาสได้เดินทางไปยังต่างแดนโดยการนั่งอยู่บนเครื่องบินเป็นเวลานานๆ #เหมียวบ็อบ เชื่อว่าหลายๆคนจะต้องเคยประสพปัญหาอาการป่วยที่เกิดจากการนั่งเครื่องบินเป็นเวลานาน หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า อาการ “Jet lag” นั่นเอง วันนี้ #เหมียวบ็อบ เลยนำเคล็ดลับ 15 ข้อ จากคุณ Rick Seanley แห่งเว็บไซต์ดังอย่าง ABC.com แนะนำวิธีง่ายๆที่จะช่วยให้เพื่อนๆจัดการกับปัญหาเหล่านี้ระหว่างการเดินทางของเพื่อนๆได้ดียิ่งขึ้น โดยจะแบ่งเป็น 3 ส่วน หลักๆ ดังต่อไปนี้ ก่อนการเดินทาง 1.ดูแลตัวเองให้ดีอยู่เสมอ หลักการณ์ง่ายๆของการดูแลตัวเองที่ดี ที่เหมียว เชื่อว่าเพื่อนๆทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว นั่นก็คือ การหมั่นออกกำลังกาย กินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ รวมถึงการพักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนวันออกเดินทางอีกด้วย การเริ่มต้นด้วยสิ่งง่ายๆเหล่านี้จะทำให้เพื่อนๆมีสุขภาพที่ดี และสุขภาพที่ดีนี้เองที่จะช่วยให้นักเดินทางทั้งหลายต่อสู้กับอาการ jet lag ได้ดียิ่งขึ้น 2.ปรับเปลี่ยนเวลานอน การเริ่มต้นปรับเปลี่ยนเวลานอนให้สอดคล้องกับประเทศที่เราจะไปจะช่วยให้เพื่อนๆสามารถชินกับการเข้านอนได้ง่ายขึ้นเมื่อไปถึงจุดหมาย โดยที่เทคนิคง่ายๆมีดังนี้ หากเพื่อนๆจะเดินทางไปยังประเทศที่อยู่ด้านตะวันออกของเรา ให้ลองปรับเวลาเข้านอนให้เร็วขึ้นอีกซัก 1 ชั่วโมง หรือถ้าหากได้เดินทางไปยังประเทศที่อยู่ด้านตะวันตก เพื่อนๆก็ควรจะปรับเวลานอนให้ช้าลงอีกซัก 1 ชั่วโมง…
-
เผยผลงานวิจัยอันยาวนานร่วม 20 ปี ศึกษาการใช้กัญชาในระยะยาว ไม่ได้ส่งผลเสียมากนัก
ทุกวันนี้เริ่มมีการร้องเรียนถึงการปลดแอกกัญชาให้พ้นจากสิ่งเสพติดผิดกฎหมาย เมืองนอกเมืองนาก็เริ่มให้กัญชาเป็นสิ่งที่เสรีแล้ว อย่างเช่นบางรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา และมีการวิจัยเกี่ยวกับกัญชามาสนับสนุนหาข้อดีของมันมากขึ้น ยังคงวนเวียนอยู่ในการถกเถียงถึงข้อเสียของกัญชาที่มีมากกว่าข้อดี เนื่องจากมองว่ามันเป็นยาเสพติด หากจะใช้ก็ต้องเป็นวิธีการสูบซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากบุหรี่ที่มีขายกันเกร่ออย่างถูกกฎหมายแต่ทำให้เสียสุขภาพ แต่ต้องยอมรับเลยว่างานวิจัยชิ้นนี้ มีความพยายามที่สูงมากเพื่อหาข้อเท็จจริงว่าการใช้กัญชาระยะยาวนั้นส่งผลดีหรือเสียให้กับร่างกายอย่างไร โดยทำการศึกษากับชาวนิวซีแลนด์สายเขียวกว่า 1,037 ราย ที่ใช้กัญชาตั้งแต่อายุ 18 ปีจนถึงอายุ 38 ปี นับว่าเป็นระยะเวลาการศึกษาอันยาวนานร่วม 20 ปี ทั้งนี้ในฟลูเปเปอร์ที่ตีพิมพ์ออกมานั้นแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ใช้กัญชาระยะยาวจะได้รับผลกระทบเกี่ยวกับสุขภาพปาก นั่นก็คือโรคปริทันต์ (รำมะนาด) ที่จะส่งผลต่อเหงือกและฟัน ซึ่งนี่ก็เป็นข้อเสียเพียงข้อเดียวที่ค้นพบจากการศึกษานี้ ส่วนข้อดีของใช้กัญชาระยะยาวก็คือช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและช่วยทำให้เอวมีขนาดที่เล็กลง โดยทาง Dr. Kevin Hill ผู้เชี่ยวชาญด้านการเสพติดกัญชาและเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตเวชจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้อธิบายเพิ่มเติมเอาไว้ว่า ‘แน่นอนว่าการใช้กัญชาอย่างหนักหน่วงมีความเสี่ยงต่อสุขภาพร่างกาย จากผลการศึกษาดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดคิดเอาไว้ แถมยังดีเกินคาดอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นคุณอาจจะเปลี่ยนความคิดกับกัญชาเสียใหม่’ อย่างไรก็ตาม ทีมงานวิจัยยอมรับว่าอาจจะมีผลกระทบข้างเคียงทางด้านกายภาพตามมาในภายหลัง ซึ่งก็ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่าจะออกไปในทางที่ดีหรือทางที่ร้าย ที่มา : archpsyc.jamanetwork, theladbible
-
ไม่ได้กินก็อ้วน!? ผู้เชี่ยวชาญเผยอปากบอก การส่องสมาร์ทโฟนก่อนนอนก่อให้เกิดความอ้วน
ความอ้วนเป็นสิ่งที่หลายคนเกรงกลัว ไม่อยากจะให้มันเข้ามาในชีวิต ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็อ้วนแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการกินที่หักห้ามใจกันไม่ได้ ก็เพราะมันอร่อยแต่มันทำให้อ้วนนี่สิ ยิ่งกินตอนดึกยิ่งทำให้อ้วนหนักมากขึ้น!! แต่รู้มั้ยว่า สาเหตุของความอ้วนในยุคสมัยนี้ นอกจากการกินแล้วก็ยังมีอีกสิ่งที่หนึ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่ามันจะทำให้อ้วนได้เหมือนกัน นั่นก็คือ การเล่นสมาร์ทโฟนในช่วงเวลาก่อนนอน อะไรนะ!? มันเป็นไปได้จริงๆ เหรอเนี่ย ศาสตราจารย์คลินิกจิตเวช Dr. Daniel Siegel ได้อธิบายไว้ในคลิปวิดีโอสั้นๆ ว่าผลกระทบของการเล่นสมาร์ทโฟนก่อนนอนนั้นส่งผลกระทบต่อสมองและร่างกายเป็นทอดๆ ซึ่งเมื่อเราเริ่มจ้องไปที่สมาร์ทโฟนปุ๊บ กระแสของโฟตอนจะส่งสัญญาณไปถึงสมองให้ตื่นตัวตลอด และแสงจากจอก็จะกระตุ้นให้สมองยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน (ฮอร์โมนที่ทำให้หลับลึก) เพราะว่ายังไม่ถึงเวลานอน ยิ่งเลื่อนหน้าจอดูฟีดจากโซเชียลมีเดียต่างๆ มากเท่าไหร่ ก็เหมือนกับว่าบังคับให้ร่างกายตื่นตัวมากเท่านั้น ทำให้การนอนหลับพักผ่อนในตอนกลางคืนไม่เพียงพอ ถ้าคุณนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมง เซลล์เกลียในร่างกายจะไม่สามารถกำจัดสารพิษออกไปจากเซลล์ประสาทได้ จากนั้นก็จะไปกระตุ้นให้ระดับอินซูลินในร่างกายเพิ่มขึ้น โดยปกติอินซูลินในระดับที่พอเหมาะนั้นจะช่วยควบคุมการเผาผลาญของร่างกาย แต่ถ้าหากว่ามีมากเกินไปจะให้ผลที่ตรงกันข้าม นั่นหมายถึงหากว่าเรานอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ระดับอินซูลินที่เพิ่มสูงจะทำให้น้ำหนักตัวเราเพิ่มขึ้น อีกทั้งความเหนื่อยล้า ความเพลียที่นอนไม่พอนั้นจะทำให้เราหิวมากขึ้น และเมื่อกินอาหารเข้าไปทั้งๆ ที่นอนน้อย ระบบการเผาผลาญไม่สามารถทำงานได้เต็มที่…
-
จำแทบไม่ได้!! สาวหนัก 130 กิโลโดนแฟนหนุ่มบอกเลิก ฮึด ‘ออกกำลังกาย’ จนผอมลงเยอะมาก
สาวๆ หลายคนพยายามจะลดความอ้วนแต่ไม่สำเร็จสักที เพราะไม่มีแรงบันดาลใจหรือมีวินัยมากพอ แต่เมื่อพวกเธอเหล่านั้นถูกหนุ่มๆ บอกเลิก ก็ทำให้เกิดแรงฮึดจนผมเพรียวมานักต่อนักแล้ว เช่นเดียวกับเรื่องราวของหญิงสาวรายนี้… นี่เป็นเรื่องราวของสาวร่างท้วมที่ชื่อว่า Laura Micetich อาชีพคุณครู จากรัฐเทนเนสซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีน้ำหนักมากถึง 136 กิโลกรัม เธอเป็นสาวอ้วนที่ต้องต่อสู้กับความอยากอาหารตลอดเวลา “ฉันต้องเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อหาอะไรมากิน มันเป็นอะไรที่เสพติดมาก” Laura กล่าว Laura เริ่มรู้สึกว่ารูปร่างของเธอนั้นกำลัง “ข่มขู่” เธออยู่ หลังจากนั้นเธอก็เลิกกับแฟนที่คบกันมาได้ 4 ปี เธอจึงเอาแรงฮึดตรงนั้นมาเปลี่ยนเป็นพลัง เพื่อพิชิตหุ่นเผละๆ ของเธอ แม้จะคิดถึงการลดน้ำหนักด้วยการผ่าตัด แต่เธอก็เปลี่ยนใจไปเข้ายิมแทน เมื่อน้ำหนักของเธอเริ่มลดลงไปได้ประมาณ 1-2 กิโลกรัม เริ่มก็เริ่มมีแรงจูงใจมากขึ้น จึงทำมันต่อไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันเลย เพียงแค่ 2 ปีหลังจากที่เธอเริ่มออกกำลังกาย รูปร่างของเธอก็เปลี่ยนไปแบบจำไม่ได้เลย คนรอบๆ ตัวของ Laura ได้แต่สงสัยว่าเธอผอมขนาดนี้ได้ยังไง จึงถามว่าไปศัลยกรรมหรือกินยาลดความอ้วนชนิดไหนมาหรือเปล่า แต่เธอก็ได้แต่ตอบว่าไม่ใช่ เพราะเธอเข้ายิมและกินอาหารคลีน จนน้ำหนักมันค่อยๆ หายไปเอง Laura บอกว่า “ผู้คนคิดว่าฉันไปศัลยกรรมมา แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติเลย ฉันออกกำลังกายอย่าง…
-
สู้สิคะ!! คุณแม่ชาวแคนาดาโชว์ฟิตกล้ามท้อง 8 แพ็ค แม้จะเคยมีลูกมาแล้วถึง 5 คน!?
คุณแม่บางคนเมื่อมีลูกแล้วก็มักจะปล่อยตัวปล่อยร่างกายให้เป็นไปตามสภาพ (พูดง่ายๆ ก็เผละนั่นแหละ) แต่กับคุณแม่ชาวมะกันรายนี้กลับไม่ปล่อยให้สังขารของตัวเองมาทำอะไรได้ ตั้งแต่หลังคลอด เธอก็ออกกำลังหายอย่างหนักหน่วง จนมีกล้ามที่สวยงามแซงหน้าคุณพ่อไปแล้ว!? เมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา เว็บไซต์ Dailymail ได้เปิดเผยเรื่องราวของนาง Simone Gately วัย 34 ปี จากเมืองแฮลิแฟกซ์ ประเทศแคนาดา เธอเป็นคุณแม่ของลูกๆ กว่า 5 คน แต่ถึงจะตั้งท้องมาเยอะขนาดนี้ เธอก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหุ่นสวยๆ นั้นไม่ใช่เรื่องยากที่เธอทำไม่ได้ Simone ออกกำลังกายอย่างจริงจังวันละ 2 ครั้งต่อวัน โดยเริ่มตื่นตั้งแต่ตี 5 มาเข้ายิม เสร็จจากนั้นก็แต่พาหมาไปเดินเล่น ไปปีนเขาต่อ หรือแม้แต่การนำลูกๆ ของเธอมานั่งบนหลังเพื่อถ่วงน้ำหนักในท่าสควอช ก็ช่วยให้การออกกำลังกายของเธอสนุกสนานยิ่งขึ้น คุณแม่ Simone ยืนยันว่าเธอมีร่างกายที่น่าประทับใจ และการออกกำลังกายอย่างเคร่งครัดไม่ได้ทำให้การใช้ชีวิตของเธอในด้านอื่นๆ เสียหาย และเธอเองก็อยากจะโชว์ให้คุณแม่คนอื่นๆ เห็นว่าแม้จะมีลูกแล้ว พวกคุณก็ไม่มีข้ออ้างที่จะปล่อยร่างกายให้หย่อนย้วยไปตามกาลเวลานะ นอกจากจะมีสุขภาพที่ดี สามีของเธอ…
-
เมียบอกเลิก ‘นายอ้วนเกินไป’ เก็บแค้นนี้มาชำระด้วยการลดน้ำหนักจนหล่อสาวหลง!!
เรื่องของสภาพร่างกายคนเรานั้นอยู่ที่ความพึงพอใจของตัวเอง แต่บางครั้งมันก็ทำให้คนอื่นรู้สึกเดือดร้อนแทนขึ้นมาได้ เพราะอีกฝ่ายรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ไม่พอใจ จนถึงขั้นทำให้คู่รักต้องเลิกรากันไปก็มี อย่างเช่นพ่อหนุ่ม Benjamin Montanez ในช่วงวัย 23 ปี ณ ตอนนั้นเขาอ้วนมาก มีน้ำหนักตัวที่เยอะสุดๆ จนกระทั่งภรรยาสุดที่รักบอกเลิกด้วยประโยคที่แทงใจดำเขาที่สุด ‘นายอ้วนเกินไป’ เขาเองก็มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกภรรยาบอกเลิกนั่นแหละ เป็นเพราะว่าเขาไม่ดูแลตัวเอง ปล่อยเนื้อปล่อยตัวมากเกินไป อีกทั้งยังมีวิถีชีวิตที่ไม่ค่อยส่งผลดีต่อสุขภาพซักเท่าไหร่ เขากินเยอะมาก มากเสียจนไม่ชอบเวลาที่มีคนมองเขากำลังกินอยู่ เขาไม่ได้โทษภรรยาที่จากไป แต่อยากจะให้รู้เอาไว้ว่าเธอกำลังคิดผิดที่จากเขาไป นำความโกรธแค้นในวันนั้นมาเป็นแรงผลักดัน พาร่างกายตัวเองเข้ายิม รีดน้ำหนักตัวออกไปเพื่อหวังว่าจะคืนดีกับภรรยาคนเดิมอีกครั้งหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นว่าน้ำหนักที่เกินตัวของเขานั้นไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้ภรรยาบอกเลิก เพราะหลังจากที่เขาลดน้ำหนักไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว เขาก็พบความจริงว่าภรรยาแอบนอกใจเขามาก่อนแล้ว นั่นก็ยิ่งทำให้เขาโกรธมากขึ้น ไปลงกับการฟิตเนสที่หนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ด้วยความพยายามอย่างหนักของเขานั้น ส่งผลทำให้เขามีน้ำหนักลดลงเหลือ 108 กิโลกรัมแล้ว และเริ่มโพสต์ความคืบหน้าการลดน้ำหนักของตัวเองลงในโลกออนไลน์ให้ทุกคนได้เห็น สามารถเตะตาผู้คนได้เป็นจำนวนมาก จากการเปลี่ยนแปลงอันน่าเหลือเชื่อ เป้าหมายของเขาจะลดน้ำหนักให้เหลือ 102 กิโลกรัม ซึ่งก็ถือว่าน่าจะเพียงพอกับตัวเขาเองแล้ว…
-
สาวจีนระดมทุนค่ารักษาโรคมะเร็งให้น้องสาว โดยการยืนเป็นเป้าให้ทุกคนยิงธนูใส่เธอ!?
บางครั้งเรื่องจริงมันก็น่าเศร้ายิ่งกว่านิยายซะอีกแหนะ… เมื่อวันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวในประเทศจีนได้รายงานว่าหญิงสาวชาวจีนได้ออกมายืนกลางถนนในมณฑลหางโจว ประเทศจีน ได้ยื่นข้อเสนอให้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมายิงธนูโดยมีตัวเธอเป็นเป็นเป้า เพื่อแลกกับเงินเพียง 10 หยวนต่อการปา 1 ครั้ง!? แต่หลังจากที่ยืนอยู่ได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามารวบตัวเธอและนำไปสอบสวนที่สถานี จึงได้ความว่าที่เธอทำแบบนี้ก็เพราะเธอพยายามจะระดมทุนเพื่อนำเงินไปรักษา Ji Jiayan น้องสาวของเธอที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน น้องสาวของเธอนั้นต้องเข้ารับการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ครั้งหนึ่ง Jiayan เคยพยายามจะหนีออกจากบ้าน โดยทิ้งกระดาษข้อความไว้ให้กับแม่ของเธอ ในเนื้อหาเป็นการแสดงความเสียใจที่เธอไม่สามารถอยู่ดูแลแม่ของเธอได้เมื่อแก่ตัวไป แต่ที่พูดไปแบบนั้นก็เพราะเธอคิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา ทั้งนี้อาการป่วยไข้ของ Jiayan จำเป็นจะต้องใช้เงินในการรักษาสูงถึง 5 แสนหยวน หรือประมาณ 2,700,000 บาท เลยทีเดียว หลังจากเรื่องนี้เป็นประเด็นดัง ทางครอบครัวได้ทำการระดมทุนผ่านโลกออนไลน์และได้เงินค่ารักษามามากพอจนพี่สาวของเธอไม่ต้องไปทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนั้นอีกแล้วล่ะ เมื่อถึงคราวจนตรอก สถานการณ์มันก็บีบบังคับให้คนทำได้ถึงขนาดนี้เลยนะเนี๊ยะ ที่มา shanghaiist
-
กินยังไงให้ไม่อ้วน!? เผยการลดน้ำหนักวันละ 1,000 แคลอรี่ สู่ 2,000 แคลอรี่ แถมสุขภาพดีด้วยนะ
มีสาวๆ หลายคนที่พยายามจะควบคุมการกินอาหารให้ได้วันละ 1,000 แคลอรี ซึ่งมันอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญได้น้อยลงและเข้าสู่สภาวะ Safe Mode พอเราจะกินมาขึ้นอีกนิดเป็น 1,200-1,300 แคลอรี่ กลับอ้วนขึ้นฉับพลัน แต่สาวๆ ไม่ต้องกลัวไป เพราะวันนี้#เหมียวฟิ้นมีสูตรการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายจากคุณเอม สาวสุขภาพดีเฮลท์ตี้บล็อกเกอร์ในโลกออนไลน์มาฝากกันล่ะ ทั้งนี้เธอได้บอกเล่าสูตรการควบคุมน้ำหนัก ตนเองไม่ใช่คนอ้วนแต่ไหนแต่ไร แต่ก็ไม่ถึงกับหุ่นดีมาก โดยเธอมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 162-163 เซนติเมตร น้ำหนักอยู่ที่ 55-56 กิโลกรัม จากรูปเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบัน เธอบอกว่าแต่ก่อนหนัก 55.2 กิโล แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 50.4 กิโลแล้ว คุณเอมเล่าว่าแต่ก่อนนั้นเธอเคยพยายามกินให้ได้วันละ 1,000 แคลลอรี่ “ช่วงแรกน้ำหนักมันก็ลดลงตามคาดเหมือนๆ กับทุกคน แต่ต่อมามันดันไม่ลง และพอกินแค่ 1200 แคล น้ำหนักดันขึ้น!” ต่อมาคุณเอมได้พยายามที่จะเพิ่มการกินจากวันละ 1,000 แคลลอรี่เป็น 2,000 แคลอรี่ แต่หากรับเข้าไปโดยไม่มีการปรับเปลี่ยนเลยก็อาจเป็นการเพิ่มน้ำหนักเปล่าๆ เจ้าตัวจึงได้คาร์ดิโอตอนเช้าประมาณ 30-40 นาที…
-
โรลออนหมด ไม่ต้องห่วง… บิวตี้บล็อกเกอร์แนะนำ ใช้ ‘มะนาว’ ทารักแร้ กำจัดกลิ่นได้ดีนักแล
บางครั้งเรามักจะประสบปัญหาโรลออนหรือสเปรย์ดับกลิ่นหมดโดยไม่ทันตั้งตัว บางคนไม่รู้จะแก้ไขปัญหายังไงก็เลยออกไปเรียน/ทำงาน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทาอะไรลงไปบนรักแร้ ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ แต่#เหมียวฟิ้นมีทางออกมาให้กับทุกๆ คนแล้ว เพราะเมื่อไม่นานมานี้ Farah Dhukai บิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดังของต่างประเทศ ได้เผยเคล็ดลับในการนำมะนาวฝาน มาทาลงบนรักแร้ ช่วยทำให้ไม่มีกลิ่นเต่าออกมาอีกเลย!? Farah ยืนยันว่ามันช่วยให้รักแร้แห้งสุดๆ แม้อากาศจะร้อนแค่ไหนก็ตาม “มันเป็นเรื่องยากมากที่จะหาโรลออนที่ทำให้รักแร้แห้งตลอดทั้งวัน โดยที่ไม่ต้องทาซ้ำ การดัดแปลงของฉันครั้งนี้ช่วยทำให้รักแร้ของฉันแห้งสบาย แม้สภาพอากาศแถวนี้จะร้อนและชื้นก็ตาม มันทำให้ฉันหอมไปทั้งวันเลย” แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมีข้อแม้ว่ารักแร้ของคุณจะต้องไม่มีรอยแผลจากการโกนขนรักแร้ หรือออกกลางแดดเด็ดขาดนะ เพราะมันจะทำให้รู้สึกแสบสุดๆ ไปเลย ชมคลิปได้ที่ด้านล่างเลย อู้หูววว ง่ายแค่นี้เอง เดี๋ยวไปหามะนาวแป็บ ที่มา dailymail , NewsWetVideos
-
นวัตกรรมเปลี่ยนโลก “วีลแชร์แบบยืน” ช่วยให้ผู้ป่วย-ผู้พิการ ทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น!!
ลองจินตนาการถึงภาพผู้ป่วยสักคนหนึ่งที่ต้องนั่งวีลแชร์ไปไหนมาไหน จะลุกจะเดินก็ลำบาก หากมีอุปกรณ์หรือเครื่องอำนวยความสะดวกที่ดีกว่าแค่การนั่งเฉยๆ อยู่บนเก้าอี้ก็คงจะดีไม่น้อย #เหมียวฟิ้นเชื่อว่าปัญหาเหล่านั้นน่าจะถูกแก้ไขในเร็ววันนี้แล้วล่ะ เพราะเมื่อไม่นานมานี้เราได้ไปเจอเข้ากับคลิปๆ หนึ่ง เป็นการโชว์นวัตกรรมวีลแชร์จากสหรัฐ ที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถลุกขึ้นยืนได้ด้วย เพราะนี่คือ “วีลแชร์แบบยืน” ยังไงล่ะ มันเป็นวีลแชร์รุ่นต้นแบบที่มีการคิดค้นและวิจัยโดยทีมแพทย์และวิศวะกรผู้เชี่ยวชาญในเมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ความพิเศษของวีลแชร์ตัวนี้คือมันสามาถดันที่วางแขนขึ้นมา และปรับให้ผู้ป่วยสามารถลุกขึ้นยืนได้ขณะนั่งอยู่บนวีลแชร์ แถมยังสามารถเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้ในท่ายืนด้วย แจ่มแมวไปเลย! และเนื่องจากวีลแชร์ตัวนี้สามารถปรับระดับได้ ทำให้ผู้ป่วยหรือผู้พิการสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น แถมมันยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและฟื้นฟูอาการปวดเมื่อยเพราะนั่งนานเกินไปได้ด้วย ชมคลิปได้ที่ด้านล่างเลยจ้า This amazing wheelchair prototype is helping its users stand upright. (via INSIDER) โพสต์โดย Upworthy บน 17 พฤษภาคม 2016 สำหรับคนที่ชมคลิปไม่ได้ สามารถ กดเบาๆที่นี่ เพื่อรับชมได้เลยครับ เห็นแล้วดูจะเป็นอุปกรณ์ที่น่าใช้มากเลยนะ คงมีประโยชน์ไม่น้อยสำหรับผู้ที่เดินเหิรไม่สะดวกแน่ๆ…
-
เชื้อสายพันธุ์ใหม่ ‘ซูเปอร์บั๊ก’ ที่จะสามารถคร่าชีวิตคนได้ทุก 3 วินาทีภายในปี 2050
แม้ว่าปัจจุบันความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์จะพัฒนาไปมากแล้ว แต่กระนั้นเชื้อโรคต่างๆ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายไปจากโลกและมันก็วิวัฒนาการตามด้วยเช่นเดียวกัน!! ล่าสุดนี้มีข่าวคราวอันน่าสะพรึงของเชื้อแบคทีเรีย ‘ซูเปอร์บั๊ก’ (Superbugs) ลักษณะที่คล้ายกับโรคระบาดที่ไม่มีทางรักษาได้ในยุคมืด กล่าวคือเป็นเชื้อที่ดื้อยาปฏิชีวนะ เริ่มก่อตัวขึ้นและแพร่กระจายไปทั่วโลก ณ ขณะนี้ และจะส่งผลรุนแรงมากที่สุดหากมีการติดเชื้อโรคติดต่อรุนแรงอย่าง วัณโรค มาลาเรีย เป็นต้น ทั้งนี้ได้มีการจำลองผลกระทบจากคอมพิวเตอร์ โดยหาค่าเฉลี่ยของผู้เสียชีวิตจากเชื้อดังกล่าว ผลก็คือจะมีผู้เสียชีวิตจำนวน 700,000 รายต่อปี และจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปอีก คาดว่าในปีค.ศ. 2050 จะเพิ่มจำนวนมากถึง 10 ล้านคนต่อปี เฉลี่ยแล้วก็คือทุกๆ 3 วินาที จะมีผู้เสียชีวิต 1 รายจากเชื้อร้ายนี้ Lord Jim O’Neill ผู้จัดทำรายงานทบทวนสถานการณ์เชื้อโรคดื้อยาปฏิชีวนะนี้ กล่าวถึงความรุนแรงของซูเปอร์บั๊กว่ารุนแรงกว่าการก่อการร้าย และโรคมะเร็ง หากไม่เร่งทำการค้นคว้าและวิจัยตัวยาชนิดใหม่เพื่อยับยั้งเชื้อดังกล่าว เพียงแค่มีดบาดเล็กน้อยก็อาจส่งผลถึงขั้นเสียชีวิตได้ ที่มา : bbc, unilad
-
รวมภาพ “สมูธตี้” สีสันสดใสจากอินสตาแกรม เมนูเครื่องดื่มสุดฟิน อร่อย และได้ประโยชน์แบบเต็มๆ
สมูธตี้ ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มยอดฮิต ที่มีรสชาติอร่อย มีสีสันสดใสน่ารับประทาน และนอกจากความอร่อยแล้ว สมูธตี้ยังถือเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตสำหรับคนที่รักสุขภาพอีกด้วย เพราะส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของผัก และผลไม้ ดังนั้นจึงเหมาะกับคนที่อยากจะลดความอ้วนเป็นพิเศษ และด้วยความที่ผู้คนหันมาใส่ใจในสุขภาพมากยิ่งขึ้น จึงทำให้มีการแชร์ภาพฝีมือการทำสมูธตี้สีสันสดใสในอินสตาแกรม ซึ่งมีทั้งสมูธตี้ผัก และผลไม้ อีกทั้งยังมีสมูธตี้ไอเดียสร้างสรรค์อีกมากมาย ที่เห็นแล้วชวนยั่วน้ำลายฝุดๆ เลยละ แค่ชื่อก็ฟังดูน่าทานแล้ว พอเห็นภาพก็ยิ่งน่าทานเข้าไปใหญ่ ก็ดูสิ…สีสันของเค้าสวยสดใสจริงๆ ขอเสิร์ฟสมูธตี้ถ้วยนี้ ให้กับคนที่รักสุขภาพโดยเฉพาะ เพราะมันมีทั้งผลไม้นานาชนิด รวมทั้งเมล็ดฟักทองอีกด้วย งานนี้นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังได้ประโยชน์อีกเต็มๆ สมูธตี้ปั่นหลากสีแบบนี้ จริงๆ ทำแล้วไม่ยากหรอก เพียงแค่เริ่มปั่นส่วนผสมในแต่ละชั้นจนเป็นเนื้อเนียนละเอียด แล้วเทส่วนผสมใส่ในแก้วที่เตรียมไว้ให้เป็นชั้นๆ หรืออาจจะมีการแทรกผลไม้ใส่ตามลงไป เพื่อเพิ่มสีสันให้หน้าตาสมูธตี้ของคุณดูน่าทานมากยิ่งขึ้น อยากดื่มสักแก้วไหมละ สมูธตี้แฟนตาซี เครื่องดื่มแสนอร่อยๆ ทานแล้วสดชื่นฝุดๆ การทำสมูธตี้ให้ได้หลากหลายชั้น และมีสีสันสดใส ถือเป็นเทรนด์ใหม่ในอินสตาแกรมเลยละ เรียงจากสีเข้มสุดขึ้นมาเป็นสีที่อ่อนสุด อ้อ!! อย่าลืมเพิ่มวิปครีมลงไปเพื่อเพิ่มความอร่อยด้วยนะ …
-
เหมียวมีสาระ!! รวม 10 ความรู้สนุกๆ เกี่ยวกับเลือดที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
เลือดเปรียบเสมือนน้ำมันของรถยนต์ ที่มีส่วนสำคัญทำให้ร่างกายสามารถสูบฉีดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ แต่พวกคุณรู้หรือไม่ว่าเลือดนั้นนอกจากจะใช้ช่วยเหลือคนแล้ว มันยังมีความลับอีกมากมายเลยนะ ไม่เชื่อไปดูพร้อมๆ กันเลย 1. James Christopher Harrison นาย James Christopher Harrison เคยเกือบตายเมื่อตอนที่เขาเป็นเด็ก เขาเลยสาบานว่าจะบริจาคเลือดเพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆ แต่กลายเป็นว่าเลือดของเขาสามารถรักษาคนที่มีระบบเลือดแบบ Rh System (อ่านเรื่องระบบเลือดเพิ่มเติมได้ที่นี่) ได้ เขาเลยบริจาคเลือดไปกว่า 1000 ครั้งตลอดชีวิต และสามารถช่วยเหลือเด็กเกิดใหม่ไปได้ถึง 2,000,000 คน 2. แรงดันหัวใจ หัวใจถือเป็นกล้ามเนื้อที่มีพลังมาก มันสร้างแรงดันเพื่อทำให้เลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้ไกลถึง 9 เมตรทีเดียว 3. การสูบฉีด อย่างที่บอกไปว่าหัวใจนั้นมีพลังมาก มันสามารถสูบฉีดเลือดได้มากถึง 48 ล้านแกลลอน หรือประมาณ 181,699,766 ลิตร ตลอดชีวิตของคุณ เทียบเท่ากับสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานโอลิมปิก 72 สระเลย 4. ยุง เชื่อหรือไม่ว่าต้องใช้ยุงกว่า 1.3 ล้านตัวถึงจะสามารถดูดเลือดจากร่างกายของคุณได้หมด …
-
สาระมีอยู่จริง… รวม 10 เรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับ “ตูด” ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน!?
เรื่องของรูปร่างนั้นเป็นเรื่องที่สาวๆ ให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในส่วนของบั้นท้าย ที่หากใครมีบั้นท้ายที่สวยหน่อย ก็อาจจะกลายเป็นเป้าสายตาให้หนุ่มๆ จับจ้องได้ แต่สาวๆ รู้หรือไม่ว่าบั้นท้ายของพวกคุณนั้นยังมีความลับและเรื่องราวที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน หากอยากรู้ว่ามันคืออะไร ลองมาอ่านบทความที่#เหมียวฟิ้นนำมาเสนอในวันนี้เลย 1. Scaptia Beyonceae คือเหลือบชนิดหนึ่งที่ถูกตั้งชื่อตาม Beyonce นักร้องดัง เนื่องจากมันมีก้นสีทองคล้ายกับชุดหนึ่งที่ Beyonce เคยใส่โชว์มาแล้ว 2. Jennifer Lopez มีก้นที่ล้ำค่ามาก เพราะเธอทำประกันกับก้นของเธอไว้มากกว่า 900 ล้านบาททีเดียว!? 3. ผู้ชายหรือผู้หญิงที่มีไขมันสะสมที่สะโพก, ต้นขา, และก้น มากกว่าคนรูปร่างปกติ มีแนวโน้มที่จะเกิดโรคเบาหวานและโรคหัวใจน้อยกว่า 4. สัตว์บางชนิดอย่างเต่า Fitzroy River สามารถหายใจผ่านตูดได้ด้วย และสัตว์บางชนิดอย่างพะยูนก็มีแนวโน้มว่าพวกมันอาศัยการตด เพื่อช่วยในการว่ายน้ำด้วย 5. ผู้หญิงที่มีก้นใหญ่ มีแนวโน้มที่จะฉลาดมากกว่าผู้หญิงก้นเล็ก เพราะก้นมีแนวโน้มที่จะกักเก็บกรดโอเมก้า 3 ที่ช่วยในการเจริญเติบโตของสมองได้ดี 6. จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่าหญิงสาวมีความรู้สึกพึงพอใจกับก้นของพวกเธอมากกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ยิ่งมีก้นที่สวยงามยิ่งทำให้พึงพอใจมาก 7. พจนานุกรมของ Oxford ออกมาให้นิยามความหมายของท่าเต้น “Twerk” หรือการเขย่าก้นแรงๆ ว่าเป็นท่าเต้นที่ยั่วยุทางเพศ…
-
สาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพ ร่างกายจะเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าไปนอนในระหว่างที่ยังเมาอยู่!?
ในช่วงเวลาสนุกสุดเหวี่ยงยามค่ำคืน ที่คุณได้ออกไปดื่มด่ำกับแสงสี เสียงดนตรี ออกลีลาเต้นโดยไม่สนใจใคร พร้อมกับดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปด้วย ยิ่งทวีคูณไปอีกหลายเท่าตัว กว่าจะพอได้ก็ซัดไปหลายแก้ว หลายขวด บางคนยังตาแข็งฮึดสู้ยันสว่าง บางคนก็ร่วงโรยหลับกลางอากาศจนถึงขั้นวาร์ปได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรรู้เอาไว้ก็คือหากว่าเราเข้านอนในระหว่างที่กำลังเมาอยู่ เคยคิดถึงผลที่จะตามมากับร่างกายของเราบ้างมั้ยเอ่ย? เพราะยิ่งดื่มก็ยิ่งทำให้เราอยากหลับมากเท่านั้น มันจะมีผลข้างเคียงอย่างไร มาดูกัน 1. คุณจะหลับลึกได้เร็วกว่าปกติหลายเท่า แอกอฮอล์มีส่วนช่วยทำให้กดส่วนสมองของคุณ นั่นก็หมายความว่าคุณจะหลับได้ภายในเวลาอันรวดเร็วมากกว่าปกติ (เร็วกว่าปกติประมาณ 4 – 16 นาที) ซึ่งจะนำไปสู่ขั้นหลับลึกทันที ไม่มีขั้นกึ่งหลับกึ่งตื่น แบบว่าหมดสติไปแล้ว 2. หัวใจจะปั้มเลือดมากกว่าปกติ ในการหลับแบบปกติ ร่างกายจะเข้าสู่สภาวะสแตนบาย ใช้พลังงานน้อย จึงไม่จำเป็นต้องปั้มเลือดไปเลี้ยงร่างกายมากเท่าไหร่ แต่เมื่อมีแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายปุ๊บ มันจะไปรบกวนระบบการทำงานของร่างกายทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ ระบบความดันโลหิต ทำให้ระบบประสาทกับอัตราการเต้นของใจนั้นทำงานอย่างหนักหน่วงส่งผลต่อการนอนหลับด้วยเช่นกัน 3. การนอนหลับแต่สมองยังทำงานอยู่นั้นแทบจะหมดไปเมื่อมีแอลกอฮอล์ REM Sleep คือช่วงเวลานอนหลับแต่สมองยังทำงานอยู่ การหลับแบบนี้สมองจะประมวลผลทำให้เกิดความฝัน โดยจะเกิดขึ้นประมาณ 5 – 7…
-
งี้ก็มี? หญิงสาวปฏิบัติการลดน้ำหนัก แต่แฟนหนุ่มกลับไม่ชอบใจ แถมหึงหวงหนักมาก!?
มีหนุ่มๆ หลายคนมักจะมีปัญหากับน้ำหนักแฟนสาว บางครั้งเมื่อสาวๆ เริ่มกินเก่ง มีน้ำหนักเพิ่มากขึ้น มีรูปร่างท้วมขึ้น พวกเขาก็จะพยายามบอกให้แฟนสาวไปลดน้ำหนักเพื่อให้กลับมารูปร่างดี จนบางครั้งหลายๆ คู่ทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้มานักต่อนักแล้ว แต่กับเรื่องราวของ Christina Carter วัย 28 ปี กลับแตกต่างออกไป เพราะแฟนหนุ่มของเธอไม่ยอมให้เธอผอม!? เมื่อเธอเริ่มปฏิบัติการลดน้ำหนัก ชายหนุ่มก็เกรี้ยวกราดใส่และเกิดอาการหึงหวงเธออย่างแรง ตอนนั้น Christina มีน้ำหนักอยู่ที่ 124 กิโลกรัม ซึ่งเธอไม่อาจจะทนกับมันต่อไปได้อีกแล้ว เธอจึงลดน้ำหนักอย่างจริงจัง แต่แฟนหนุ่มของเธอไม่เห็นด้วยเธอจึงรู้ตัวว่าถูกแฟนหนุ่มบงการเข้าให้แล้ว เธอก็เลยบอกเลิกกับเขาซะเลย เมื่อเธอตัดสินใจแล้ว เธอก็เข้ารับการผ่าตัดกระเพาะอาหารให้มีขนาดเล็กลง จากนั้นก็ออกกำลังกาย ควบคุมอาหารแบบเต็มที่ นั่นทำให้น้ำหนักของเธอลดไปถึง 68 กิโลกรัมเลยทีเดียว รูปร่างที่ดีและน้ำหนักที่ลดลงนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการออกกำลังกายและควบคุมอาหารเท่านั้น แต่เป็นเพราะเธอเลิกกับแฟนที่มีความคิดแย่ๆ ไปด้วย นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดล่ะ วันหนึ่ง Christina ได้ค้นตู้เสื้อผ้าและพบเข้ากับชุดว่ายน้ำสีเขียว ที่เคยเป็นชุดว่ายน้ำตัวจิ๋วที่เธอเกือบจะใส่ไม่ได้ แต่วันนี้เธอลองเอามันกลับมาใส่ดู ปรากฏว่ามันกลายเป็นชุดที่พอเหมาะพอดีกับเธอสุดๆ อย่าปล่อยให้คนอื่นๆ…
-
ญาติๆ ขอความช่วยเหลือ Sexy Pancake นางแบบสาวประเภทสอง ป่วยเป็นมะเร็งอวัยวะเพศระยะที่ 3
หากใครยังจำกันได้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ในโลกออนไลน์ได้มีนางแบบสาวประเภทสองคนหนึ่งที่โด่งดังมาก เธอคือ Sexy Pancake หรือ นิวัฒน์ แสงหม้อ ที่เธอโด่งดังจนกลายเป็นที่รู้จักของชาวเน็ตก็เพราะว่าเธอมักจะถ่ายภาพในชุดเซ็กซี่ๆ กับสถานที่ตามธรรมชาติ จนชาวเน็ตสนุกสนานเฮฮาไปกับภาพของเธอ ล่าสุดเธอป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล เบื้องต้นทางด้านแอดมินเพจ Sexy Pancake 2 ได้เล่าอาการของเธอให้ฟังว่า แพนเค้กมีอาการป่วยตั้งแต่ต้นเดือนเมษา มีอาการปัสสาวะเป็นเลือด แม้จะกินยาแต่อาการก็ไม่ดีขึ้น จากนั้นเธอก็มีอาการแย่ลงเรื่อยๆ จนต้องเข้าโณงพยาบาลในอำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น เมื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดจึงพบว่าเธอเป็นมะเร็งที่อวัยวะเพศ เนื่องมาจากการอั้นปัสสาวะนานๆ และแต๊บ (เก็บอวัยวะเพศ) อยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดอาการอักเสบ แม้ว่าจะนอนพักรักษาตัวมาได้สักระยะแล้ว แต่อาการของเธอก็ไม่ดีขึ้น แถมเจ้าตัวยังไม่ทานอาหารและยาตามที่หมอสั่งด้วย ทำให้อาการของเธอทรุดลงมาก ทั้งนี้หมอแล็บแพนด้า นักเทคนิคการแพทย์ชื่อดังในโลกออนไลน์ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับอาการของแพนเค้กไว้ว่า เนื่องจากแพนเค้กต้องมีการแต๊บหรือใช้สก๊อตเทปพันไว้รอบอวัยวะเพศทุกครั้งที่ถ่ายภาพ ทำให้อวัยวะเพศเกิดอาการอักเสบและติดเชื้อจนลุกลามกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ “คุณแพนเค้กเป็นมะเร็งที่อวัยวะเพศครับ” แพนเค้กเขาเป็นเน็ตไอดอลที่ชอบถ่ายรูปสนุกสนานเฮฮาตามทุ่งนา เอะอะแต่งหญิง และเวล… โพสต์โดย หมอแล็บแพนด้า บน 2 พฤษภาคม…
-
สาระน่ารู้!! การอุ่นอาหารเหลือต้องทำอย่างไรถึงจะปลอดภัยต่อสุขภาพร่างกายของเรา
เป็นที่รู้กันดีว่าอาหารที่เราซื้อมาจากข้างนอก หากเราทานไม่หมดก็มักที่จะเลือกเก็บไว้เพราะเสียดายของที่ยังเหลืออยู่ แต่บางกรณีก็ทิ้งไปเลย แม้ว่าจะเหลือมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ทีนี้เรามาพูดถึงกรณีการเก็บอาหารที่เหลือกันดีกว่า เนื่องจากว่าอาหารที่เหลืออยู่นั้นมักจะถูกเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อรักษาสภาพให้นานเท่าที่จะนานได้ เมื่ออยากรับประทานก็ต้องนำมาอุ่นเสียก่อนผ่านไมโครเวฟ ถ้าไม่คิดอะไรมาก อุ่นเสร็จก็กินได้ไม่มีปัญหา แต่มันเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลย เพราะมันจะกลายมาเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคชั้นดีเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะข้าวที่เหลือเอาไว้จะมีเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า บาซิลลัส ซีเรียส ต้นเหตุของท้องเสียและอาเจียน (โรคอาหารเป็นพิษ) ซึ่งหากจะให้ปราศจากเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ก็ต้องอุ่นด้วยอุณหภูมิที่สูงถึง 82 องศาเซลเซียส เอาเป็นว่าหากใครมีแผนที่จะเก็บอาหารเหลือเอาไว้ ก็ควรเก็บในภาชนะที่สะอาดภายในเวลา 1 ชั่วโมง อีกทั้งอาหารที่เหลือนั้นไม่ควรนำมาอุ่นเกินมากกว่า 1 ครั้ง และในการอุ่นอาหารเหลือแต่ละครั้งต้องมั่นใจด้วยว่าทุกส่วนของอาหารได้รับความร้อนจากการอุ่นที่เพียงพอแล้ว ที่มา : rrune, gosocial, Brit Lab
-
สยอง!! หนุ่มจีนป่วยมีเนื้องอกยักษ์ในช่องท้อง ใหญ่ยิ่งกว่าหญิงตั้งครรภ์!?
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมทีผ่านมา เว็บไซต์ Shanghaiist ได้รายงานว่าชายชาวจีนวัย 33 ปีรายหนึ่ง ได้เข้าไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลทหารในมณฑลเฉินตู ประเทศจีน เนื่องจากมีหน้าท้องที่ขยายใหญ่ออกมา คล้ายกับหญิงตั้งครรภ์ เมื่อเห็นดังนั้นทางโรงพยาบาลจึงได้ทำตรวจร่างกายอย่างละเอียดและพบว่าชายคนนี้มีก้อนเนื้องอกขนาดใหญ่เจริญเติบโตอยู่ภายในช่องท้องของเขา แถมยังมีน้ำหนักมากถึง 15 กิโลกรัมเลยทีเดียว ตามรายงานบอกว่าชายชาวจีนรายนี้ได้สังเกตเห็นว่าหน้าท้องของเขาใหญ่ขึ้นตั้งแต่เมื่อปี 2004 แต่ไม่ได้ไปพบแพทย์ในทันที และปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนเนื้องอกใหญ่ถึงขนาดนี้ ศัลยแพทย์ของทางโรงพยาบาลเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจพาเขาเข้ารับการผ่าตัดเป็นเวลาทั้งสิ้น 6 ชั่วโมง หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว ทางทีมแพทย์จะต้องเฝ้าสังเกตอาการของชายหนุ่มอย่างใกล้ชิดต่อไป หนุ่มๆ คนไหนที่มีหน้าท้องโตผิดปกติก็อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองเป็นโรคอ้วนเพียงอย่างเดียว ลองหาเวลาไปตรวจเช็คร่างกายและออกกำลังกายบ้างนะจ๊ะ ที่มา shanghaiist
-
แซ่บทะลุทะลวง!! อ.จตุพล ชมภูนิช โชว์ซิกแพค เผย “ร่างกายคือพาหนะเดียวที่คุณมี”
เชื่อว่าหลายคนคงจะคุ้นหน้าคุ้นตา อ.เชน จตุพล ชมภูนิช กันเป็นอย่างดี เพราะเป็นพิธีกรในรายการตีสิบมานาน แถมยังเป็นดารานักแสดงและนักพูดที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยด้วย และแม้ว่าตอนนี้อ.เชนจะมีอายุปาเข้าไป 54 แล้วก็ตาม (เกิดวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2504) แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองแก่ไปตามวัย แต่หันมาออกกำลังกายและควบคุมอาหารจนมีร่างกายที่ล่ำบึกชวนกรี๊ดกันเลยทีเดียว อ.เชนมักจะโพสต์ภาพโชว์กล้ามสุดเซ็กซี่ลงใน IG ของตัวเอง @jatuponechompoonich อยู่บ่อยๆ พร้อมทั้งให้ข้อคิดแก่เหล่าผู้ที่ติดตามผลงานของเขาด้วยว่า “Let’ work out มาออกกำลังกายกันเถอะครับ ‘ร่างกาย’ คือ ‘พาหนะเดียว’ ที่คุณมี” “‘รถยนต์ดีๆพัง’ ยัง ‘เปลี่ยนคันใหม่” ได้ แต่ร่างกาย ‘เปลี่ยนใหม่’ ได้ยังไง ‘ผุพัง’ ยังไงต้อง ‘ทนใช้ไปจนตาย’ ‘รถยนต์’ ยัง ‘ตรวจสภาพ’ พร้อมใช้งาน แต่ ‘ร่างกาย’ ที่แสนสำคัญกลับ ‘ปล่อยทรุดโทรม’ ไปตามวัย ‘หมั่นดูแลร่างกายคุณให้ดี’ เพราะชีวิตนี้คุณมีได้ ‘ร่างกายเดียว’ #workout #exercise #goodhealth…
-
แซ่บมาก!! คุณตาชาวจีนวัย 61 ฟิตร่างกายจนมีกล้ามบึ้ก ชาวเน็ตงง ทำได้ไง?
ใครว่าคนเราแก่แล้วแก่เลย? #เหมียวฟิ้นขอเถียงขาดใจ เพราะว่าหากเราดูแลตัวเองดีๆ แล้ว ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่คุณก็สามารถเป็นคนที่ดูดีได้เช่นกันนะ เมื่อวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา เว็บไซต์ Shanghaiist ได้เปิดเผยเรื่องราวของคุณตาที่มีชื่อว่า เหลียง ยู่เซี่ยง วัย 61 ปี จากมณฑลเฉินตู ประเทศจีน ผู้ที่ชื่นชอบการขับรถแรลลี่และแม้ว่าจะมีอายุปูนนี้แล้ว เขาก็ยังคงเรียกตัวเองว่าเป็น “นักแข่งที่อายุน้อยที่สุด” คุณตายู่เซี่ยงเคยขับรถแรลลี่ไปยังหลายพื้นที่มาแล้ว ทั้งกรุงโรม หรือรอบประเทศไต้หวัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้คนสนใจเขานอกเหนือจากอายุก็คือเรื่องของรูปร่างนี่แหละ เพราะคุณตาแกชอบออกกำลังกายมาก จนตอนนี้มีกล้ามขึ้นไปทุกสัดส่วน ทั้งไบเซ็ปไตรเซ็ป กล้ามท้องและหน้าอก ตอนนี้มีนิตยสารมาขอถ่ายภาพแฟชั่นของคุณตา ซึ่งตอนนี้มันก็ถูกเผยแพร่ออกไปในสื่อสังคมออนไลน์ของจีนอย่างแพร่หลาย จนเขากลายเป็นคนดังในเวลาไม่นาน ซึ่งคุณตาก็ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีชื่อเสียงในอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยนี้” นอกจากนี้คุณตายู่เซี่ยงยังได้เล่าว่าเขามีกิจกรรมยามว่างคือ ช็อปปิ้ง เขียนบล็อก ขับรถดริฟท์ แถมยังให้ข้อคิดดีๆ อีกว่า “คนแก่น่ะ ไม่ควรจะใช้เวลาหมดไปกับการดูแลหลานๆ และการเต้นรำหรอกนะ” เมื่อเราแก่ตัวไป เราจะยังมีไฟแบบคุณตาคนนี้ไหมนะ? ที่มา shanghaiist
-
สาวแคนาดาน้ำหนักกว่า 100 โล เปลี่ยนแปลงตัวเองจนมีหุ่นผอมเพรียวโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม
สาวๆ บางคนที่มีรูปร่างอ้วน บางครั้งพวกเธอก็ไม่ได้อยากมีรูปร่างแบบนั้นหรอกนะ เพียงพวกเธออาจจะมีความสุขกับการกินและยังหาแรงบันดาลใจในการออกกำลังกายไม่ได้เท่านั้นเอง แต่วันนี้#เหมียวฟิ้นมีอีกหนึ่งตัวอย่าง ที่คุณได้เห็นแล้วอาจจะเกิดกำลังใจดีๆ ขึ้นมาบ้างก็ได้ เมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา เว็บไซต์ Dailymail ได้เผยแพร่เรื่องราวของนางสาว Donna Gillie วัย 30 ปีจากประเทศแคนาดา เธอมีน้ำหนักตัวมากถึง 104 กิโลกรัม ซึ่งมันเริ่มจะกลายเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตของเธอเข้าไปทุกทีๆ Donna เล่าว่าเธอมีรูปร่างแบบนี้มาตั้งแต่สมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย เธอรักการกินมาก ทั้งช็อคโกแลต ชีสเค้กและไอศกรีมต่างๆ แต่แล้วเธอก็เริ่มฉุกคิดได้ตอนอายุ 22 ที่เธอได้งานทำ ตอนนั้นเธอเริ่มรู้สึกว่าการนั่งทำงานกับโต๊ะเป็นอะไรที่อึดอัดมาก ในปี 2010 Donna เริ่มเข้ายิมและออกกำลังกายแบบจริงจัง และแม้ว่าเธอจะรักขนมหวานขนาดไหน แต่เธอก็ต้องหยุดมันเอาไว้ เธอปรับเปลี่ยนวิธีกินใหม่ กินแต่อาหารที่มีประโยชน์ Donna กล่าวถึงแรงบันดาลใจว่า “ที่ฉันเข้าร่วมการออกกำลังกายเพราะต้องการถ้วยรางวัลพลาสติกหรือการจดจำใดๆ หรอกนะ แต่บางครั้งก็เพื่อตัวฉันเอง เพื่อพิสูจน์ตัวฉันเองว่าสามารถมีรูปร่างที่ดีได้หลังจากที่ลงทุนออกแรงมาหรือเปล่า” …
-
เธอสตรอง!! สาวสกอตแลนด์คลั่งผอมฮึดสู้ หันมาออกกำลังกายจนมีหุ่นที่เฟิร์มสุดๆ!!
การที่สาวๆ จะมีสุขภาพดีได้ จะเกิดขึ้นได้จาก 2 วิธี นั่นก็คือการออกกำลังกายและการควบคุมอาหารการกิน แต่อาจมีสาวๆ บางคนใช้วิธีที่ค่อนข้างหนักหน่วงอย่างการอดอาการ เพราะมันทำให้เห็นผลได้เร็ว แต่หากทำมากๆ เข้ามันอาจจะส่งผลให้คุณกลายเป็นคนคลั่งผอมแบบสาวคนนี้ก็ได้นะ เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา เว็บไซต์ Metro ได้เผยแพร่เรื่องราวที่ช่วยเตือนใจสาวๆ ที่รักความผอม ของหญิงสาวที่มีชื่อว่า อะรูชา เนโคนาม สาวจากเมืองเอเบอร์ดีน ประเทศสกอตแลนด์ วัย 25 ปี ที่เคยคลั่งผอมมากๆ จนเกือบจะต้องนั่งล้อเข็นอยู่แล้ว อะรูชาเป็นนักเต้นมาตั้งแต่เธออายุได้ 3 ขวบ แต่หลังจากที่เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เธอก็หันมาให้ความสนใจกับรูปร่างของเธอมากขึ้น เธอมักจะคิดเสมอว่าตัวเองมีรูปร่างอ้วนอยู่ตลอดเวลา จึงหาวิธีลดน้ำหนัก ซึ่งเธอเลือกที่จะอดอาหารจนกลายเป็นโรคอะนอเร็กเซีย ด้านคุณแม่ของเธอ เมื่อเห็นลูกสาวผอมผิดปกติจึงพาเธอไปหาหมอ แต่แม้ว่าหลังจากที่เธอได้เห็นถึงสัญญาณอันตรายบางอย่างบวกกับคำเตือนของหมอที่บอกว่าเธออาจจะต้องใช้ล้อเข็นเพื่อทำกิจกรรมง่ายๆ อย่างการเดิน เพราะทำให้เธอเหนื่อยเกินไป แต่เธอกลับไม่เชื่อหมอและบอกว่า “แม้ว่าหมอจะบอกกับฉันว่าฉันอาจจะต้องใช้ล้อเข็นเพื่อไปไหนมาไหน แต่ฉันตอบไปว่า ‘พวกเขาโกหก พวกเขาแค่พยายามจะทำให้คุณเลิกทำในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่เท่านั้นเอง’” …
-
คุณแม่เทรนเนอร์โต้ชาวเน็ต การออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่ได้ส่งผลอันตรายต่อลูกในท้อง!!
เคยได้ยินข่าวคราวกับคนดังในประเทศไทยที่ออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์แล้วโดนชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นในเชิงลบเนื่องจากเป็นห่วงว่าจะเกิดอันตรายต่อเด็กในท้องบ้างมั้ยเอ่ย!? อ่ะ ประเด็นนั้นก็หายไปตามกาลเวลา และล่าสุดที่เหมียวเลเซอร์ เคยนำเสนอไปซึ่งกรณีนี้เป็นดราม่าของคุณแม่เทรนเนอร์ชาวออสเตรเลียที่ตั้งครรภ์เหมือนกัน Chontel Duncan เทรนเนอร์ชาวออสเตรเลีย ตั้งครรภ์ท้องท้องเป่งจนได้ที่ แต่เธอก็ยังคงออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยด้วย เพราะเธอมั่นใจว่าสิ่งที่เธอทำจะส่งผลดีต่อทั้งตัวเธอเองและลูกในท้อง อีกทั้งยังยืนยันว่าไม่ส่งผลกระทบต่อลูกอย่างแน่นอน!! ‘ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าฉันกำลังทำร้ายลูกในท้อง แต่รับรองได้ว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากกับการที่จะอุ้มท้องแล้วทำในสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วก็มีผู้หญิงหลายคนที่อุ้มท้องแบบฉันเหมือนกัน และจะออกกำลังกายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฉันจะถ่ายภาพเก็บความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายด้วย ฉันอาจจะทำให้หลายคนถึงกับหัวเสีย แต่ฉันไม่แคร์ ผู้คนควรที่จะได้เห็นความหลากหลายของการอุ้มท้อง และจำเอาไว้ว่าที่คุณแม่มือใหม่ต้องเตรียมพร้อมทั้งด้านสภาพร่างกายและจิตใจก็เพื่อเตรียมรับมือกับความท้าทายที่กำลังจะมาถึง’ เธอบอกว่าไปตรวจสุขภาพกับคุณหมอมาแล้วและยืนยันว่าสิ่งที่เธอทำนั้นไม่ได้มีอันตรายต่อลูกในท้อง ซึ่งตอนนี้ Chontel และสามี Sam ได้วางแผนต้อนรับสมาชิกใหม่เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีกำหนดคลอดในวันที่ 30 มีนาคมที่จะถึงนี้แหละ หวังว่าลูกของเธอจะมีสุขภาพดีอย่างที่หวังเอาไว้นะ ที่มา : unilad
-
หนุ่มอ้วนโรครุมเร้าพลิกชีวิตให้กลับมาดีได้ จากคำแนะนำเพียงสั้นๆ ว่า ‘ให้หาสุนัขมาเลี้ยง’
การเลี้ยงสัตว์ในมุมมองของคนทั่วไป อาจจะเป็นเพียงแค่ความรักความชอบหรืออาจจะช่วยในแง่ของสุขภาพจิต ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหนต่างก็มีประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น สำหรับใครที่ไม่เคยเลี้ยงหรือไม่เคยสนใจที่จะเลี้ยงเลยนั้น จะให้มองยังไงก็คงไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าซักวันหนึ่งได้เลี้ยงสัตว์ขึ้นมาอาจจะช่วยพลิกชีวิตของเราไปเลยก็ได้ อย่างเช่นในเรื่องราวของคุณ Eric หนุ่มอ้วนร่างท้วมที่มีน้ำหนักตัวรวมทั้งสิ้น 154 กิโลกรัม!! ซึ่งคุณหมอก็ได้วินิจฉัยร่างกายของเขาแล้ว พบว่ามีคอเลสเตอรอลสูง, มีความดันโลหิตสูง และเป็นโรคเบาหวานชนิดที่สองด้วย ย้อนกลับไปในปีค.ศ. 2010 คุณหมอบอกว่าเขามีเวลาเหลืออยู่เพียงแค่ 5 ปีเท่านั้น จากโรคต่างๆ ที่มีมากมายอยู่ภายในร่างกาย เวลาของเขาจึงมีไม่มากแล้ว นอกจากน้ำหนักตัวที่มากถึง 154 กิโลกรัม เขาก็เป็นทั้งความดันสูง คอเลสเตอรอลสูง และเป็นโรคเบาหวาน สิ่งที่ทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้นั้น เริ่มต้นมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเครื่องบิน ในช่วงที่เตรียมความพร้อม เขาไม่สามารถรัดเข็มขัดนิรภัยได้ เจ้าหน้าก็พยายามหาสายรัดที่มีขนาดพอดีตัวกับ Eric แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหาให้ได้ ผู้โดยสารรายหนึ่งบนเครื่องเกิดอาการไม่พอใจ ตะโกนด้วยความรังเกียจว่า ทุกอย่างต้องล่าช้าเพราะความอ้วนของ Eric แล้วจะปล่อยให้ความอ้วนมาฉุดรั้งตัวเองอีกต่อไปอย่างงั้นหรือ? Eric จึงตัดสินใจโทรไปหานักโภชนาการแล้วก็ได้รับคำแนะนำที่ว่า ‘ให้หาสุนัขมาเลี้ยงซักตัว’ แม้ฟังดูแล้วจะเป็นคำแนะนำที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ต้องการ Eric ก็ตัดสินใจไปที่สถานสงเคราะห์สัตว์ทันที …
-
เมนูชวนหิว ‘พิซซ่าแป้งบางกรอบ’ ที่ทำจากแป้งไร้กลูเตน รับรองว่าถูกใจคนรักสุขภาพแน่นอน
ครั้งนี้เชพเหมียวจะขอมาเอาใจคนชอบทานพิซซ่า โดยการพาไปทำ ‘พิซซ่าแป้งบางกรอบแบบไร้กลูเตน’ เป็นพิซซ่าที่ทำจากแป้งไร้กลูเตน ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย งานนี้นอกจากจะเฮลตี้ถูกใจคนรักสุขภาพแล้ว ยังอร่อยอีกด้วย ว่าแล้วก็ไปลงมือทำกันเลยดีกว่า ส่วนผสมก็ตามนี้เลย -แป้งไร้กลูเตนผสม 3 ถ้วย (แป้งข้าวขาว 1 ถ้วย แป้งถั่ว 1 ถ้วย แป้งข้าวกล้อง 1 ถ้วย และ Xanthan gum 3/4 ช้อนชา) -เกลือ 1 ช้อนชา -ผงฟู 1/2 ช้อนชา -น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ -ยีสต์ 1 ช้อนโต๊ะ -น้ำอุ่น 1 1/4 ถ้วย -น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ มาดูส่วนของวิธีทำกันบ้าง ขั้นแรกเตรียมเตาอบที่ 350 องศาฟาเรนไฮต์ จากนั้นนำผงยีสต์และน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงไปในน้ำอุ่นอุณหภูมิประมาณ…
-
หนูน้อยวัย 5 ขวบเป็นหวัดนานกว่าครึ่งปีโดยไม่ทราบสาเหตุ พอสั่งน้ำมูกถึงรู้ว่ามีเข็มกลัดติดอยู่ในจมูก!?
เรื่องนี้#เหมียวฟิ้นคิดว่าพ่อแม่มือใหม่หลายๆ คนควรจะดูไว้เป็นอุทาหรณ์แล้วล่ะ เพราะบางทีลูกน้อยของคุณอาจจะเที่ยวไปเล่นซน จนมีสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปอยู่ในจมูกแบบสาวน้อยคนนี้ก็เป็นได้ เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Mirror ได้เปิดเผยเรื่องราวของหนูน้อย Khloe Russell จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาวัย 5 ขวบ ที่ป่วยเป็นหวัดอยู่นานถึง 6 เดือนโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ ลักษณะอาการของหนู Khloe คล้ายกับคนเป็นหวัด คือมีน้ำมูกเหนียวๆ เป็นสีเขียวและมีอาการไอตามมา เมื่อคุณแม่ Katelyn เห็นดังนั้นก็พาไปหาหมอแต่จนแล้วจนรอดลูกสาวของเธอก็ไม่หายสักที แถมยังเป็นติดต่อกันนานถึง 6 เดือน วันหนึ่งพี่ชายของ Katelyn มาที่บ้านแล้วบอกให้หลานสาวลองสั่งน้ำมูกดูเผื่ออาการจะดีขึ้น แต่เมื่อหนูน้อยสั่งน้ำมูกออกมาก็ถึงกับตะลึงกันทั้งบ้าน เพราะดันมีเข็มกลัดขึ้นสนิมขนาด 4 เซนติเมตรหลุดออกมาจากจมูกของเธอด้วย ทั้งนี้นาง Katelyn ไม่ทราบเลยว่าลูกสาวของเธอไปเล่นซนและมีเข็มกลัดหลุดเข้าไปในจมูกตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เธอก็ได้นำเอาเรื่องราวดังกล่าวมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ เพื่อเตือนใจแก่คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย ให้ช่วยกันเฝ้าระวังลูกน้อยของพวกคุณให้ดีๆ เห็นแล้วสยองมาก ที่มา mirror
-
งี้ต้องลอง นักวิทยาศาสตร์เผย การว่ายน้ำหรือการแช่น้ำอุ่นช่วยให้คุณมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นได้นะ
การว่ายน้ำนอกจากจะช่วยบริหารร่างกายไปแทบทุกสัดส่วนแล้ว คุณรู้หรือไม่ว่าการว่ายน้ำยังช่วยให้คุณมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นได้ด้วยนะ นักจิตวิทยา Moby Coquillard จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้นำเสนอให้การว่ายน้ำเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดี ซึ่งเขาก็เคยนำมันไปใช้กับคนไข้ของตัวเองมาแล้ว และยังได้ผลดีกว่าการใช้ยารักษาโรคบางชนิดซะอีก อย่างที่ทราบกันดีว่าการออกกำลังกายนั้นทำให้เลือดไหลเวียนในร่างกายได้ดี แต่จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Howard Carter of the University of Western Australia กลับพบความเชื่อมโยงระหว่างน้ำอุ่นแและการไหลเวียนของเลือดที่ดีขึ้น การที่เราว่ายน้ำในน้ำอุ่นหรือแช่น้ำอุ่น จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดในร่ายกายทำงานได้ดีขึ้น นั่นหมายความว่าจะมีสารอาหารไปหล่อเลี้ยงสมองที่มากขึ้นด้วย การทำงานของสมองก็จะดีขึ้นตามลำดับ โอ้วมันช่างดีอะไรขนาดนี้ล่ะซาร่า! นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบการว่ายน้ำว่าเหมือนการเล่นโยคะด้วยนะ เพราะการออกกำลังกายทั้ง 2 แบบจะช่วยให้ร่างกายของคุณยืดออกไปทุกส่วน และยังช่วยควบคุมการหายใจให้เป็นจังหวะด้วย ฉะนั้นหากคุณไม่มีเวลาไปเล่นโยคะ ก็ลองไปว่ายน้ำกันดูนะ ที่มา lifehack
-
เอาใจคนซาดิสม์ล้วนๆ!! ชมคลิปหมอคีบ “โคตะระสิวหัวดำ” ให้คุณยายวัย 85 ที่หลงคิดว่ามันคือไฝมาตลอด
[เนื้อหาต่อไปนี้ไม่เหมาะกับคนขวัญอ่อนหรือกินข้าวอยู่] หากเพื่อนๆ คนไหน ที่ชอบความซาดิสม์ ชอบคีบสิวให้เพื่อน หรือชอบความฟินเวลาที่ได้ชมคลิปคีบสิวต่างๆ #เหมียวฟิ้นว่าคุณจะต้องชอบเรื่องราวของคุณยายคนนี้แน่ๆ เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์คลิปวิดีโอของคุณยายวัย 85 ปีคนหนึ่ง ผ่านช่องยูทูบของคุณหมอ Dr. Sandra Lee เป็นคลิปในขณะที่คุณยายกำลังนั่งให้หมอคีบสิวหัวดำออกจากบริเวณท้ายทอย ตามรายงานบอกว่าคุณยายมีจุดสีดำที่บริเวณท้ายทอยมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ตัวเองคิดว่ามันคงจะเป็นเพียงไฝธรรมดาๆ เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร จนเวลาล่วงเลยมาหลายสิบปี มันก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนลูกสาวของเธอต้องพาไปหาหมอ ซึ่งเมื่อให้ดร. Sandra ช่วยดู เธอก็อธิบายว่ามันคือ “สิวหัวดำ” นั่นเอง เธอจึงตัดสินใจจะผ่าตัดมันออก และเมื่อเธอสามารถดึงเจ้าสิวหัวดำออกมาได้แล้ว ก็ทำให้เกิดรูขนาดกว้างที่ที่ท้ายทอยของเธอ แม้ว่าจะเอามันออกไปแล้วก็ตาม แต่คุณหมอก็บอกว่ามันอาจจะกลับมาอีกในอนาคตก็เป็นได้ จึงต้องทำการเย็บเพื่อปิดรูดังกล่าวซะ ชมคลิปเต็มๆ (เพื่อความสะใจ) ได้ที่ด้านล่างเลย อื้อหืออออ เห็นแล้วหมั่นเคี้ยวจริงๆ อยากคีบด้วยตัวเองมาก ที่มา Dr. Sandra…
-
เอาล่ะจุ้ย!! องค์การอนามัยโลกเผย ถุงยางบางยี่ห้อ อาจมีสารเคมีอันตรายที่เป็นสารก่อมะเร็ง!?
ในความเข้าใจของคนทั่วไป (รวมถึงเหมียว) คงเข้าใจกันว่ามะเร็งนั้นเกิดจากการสูบบุหรี่ ได้รับสารเคมี หรือกินของไหม้ๆ ทำให้เกิดเป็นมะเร็งในร่างกายของเราได้ แต่ล่าสุดมีการรายงานจากต่างประเทศว่า การสวมถุงยางบางยี่ห้อ ก็อาจทำให้เรากลายเป็นมะเร็งได้เช่นกัน เห้ย มันอะไรกันเนี๊ยะ!! เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เว็บไซต์ Metro ได้รายงานว่าองค์การอนามัยโลกได้ออกมาเตือนผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากยางบางยี่ห้อ ว่าอาจมีส่วนผสมของสารเคมีอันตรายที่ก่อให้เกิดมะเร็งก็เป็นได้ เจ้าสารก่อมะเร็งที่ว่านี้ยังถูกพบในจุกนมเด็ก, ถุงมือยาง และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มียางเป็นส่วนประกอบ ทางด้านศาสตราจารย์ Hans Kromhout ได้เข้าร่วมการประชุมที่ประเทศฝรั่งเศสได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า “มันถูกค้นพบในถุงมือ ขวดนมเด็กและจุกนมปลอม” นอกจากนี้เขายังเสริมอีกว่า “มันได้รับการยืนยันเมื่อไม่นานมานี้ ว่าฝุ่นควันบนท้องถนนที่เกิดจากเศษยางเวลารถวิ่งผ่านไปผ่านมา เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง ซึ่งนี่อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์ลำดับถัดไปจากการสูบบุหรี่นั่นเอง” แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่มีรายงานว่ายางชนิดไหนกันแน่ที่ทำให้เกิดอันตราย อาจจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวต่อไปล่ะ ที่มา metro
-
นี่คือจำนวนระยะทางการวิ่งของคุณ หากคุณต้องการเบิร์น “อาหาร” เหล่านี้ออกจากร่างกาย
บางครั้งการได้กินขนมหรืออาหารว่างในระหว่างอ่านหนังสือสอบหรือระหว่างทำงาน มันก็ช่วยให้สมองของเราแล่นได้ดีขึ้นนะ แถมยังรู้สึกดีอีกด้วย แต่อย่ากินเพลินไปล่ะเพราะอาหารแต่ละอย่างนั้นให้พลังงานและกว่าที่เราจะเอามันออกไปจากร่างกายได้ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยล่ะ เมื่อไม่นานมานี้#เหมียวฟิ้น ได้ไปเจอเข้ากับอัลบั้มภาพหนึ่งจากเฟซบุ๊กเพจ Alon Gabbay ที่นำเอาอาหารฟ้าสต์ฟู๊ดและขนมชนิดต่างๆ มาคำนวนค่าแคลอรี่ เพื่อให้เรารู้ว่าหลังจากที่เรากินเข้าไปแล้วจะต้องวิ่งกี่กิโลเพื่อเอามันออกไปจากร่างกาย ลองไปดูกันดีกว่าว่าเราต้องเหนื่อยกันแค่ไหนหากไม่อยากอ้วน 1. เฟรนชฟรายด์ 1 กล่อง = วิ่ง 5.97 กิโลเมตร 2. โค้ก 1 กระป๋อง = วิ่ง 1.87 กิโลเมตร 3. ขนม Sneakers = วิ่ง 3.66 กิโลเมตร 4. Roll Sandwich = วิ่ง 11.99 กิโลเมตร 5. เบอร์เกอร์ 1 ชิ้น = วิ่ง 4.05 กิโลเมตร…
-
บอกลาไขมันรอบเอวสักที!! สาวรัสเซียเบื่อรูปร่างแบบเด็กสมบูรณ์ หันมาออกกำลังกายจนหุ่นแซ่บเวอร์!!
ใครที่กำลังท้อแท้กับการออกกำลังกายหรือเบื่อหน่ายรูปร่างของตัวเองแล้วล่ะก็ #เหมียวฟิ้นอยากจะชวนเพื่อนๆ มาอ่านเรื่องราวของนางแบบสาวชาวรัสเซียคนนี้ดูหน่อย รับรองว่าเมื่อคุณได้อ่านเรื่องของเธอแล้วจะต้องทึ่งในความสามารถของเธอแน่ๆ นี่คือ Tanya Rybakova นางแบบสาวชาวรัสเซียวัย 25 ปีที่กำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในโลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้เลย ไม่ใช่เพราะว่าความสวยเซ็กซี่ในปัจจุบันของเธอนะ แต่เป็นภาพในอดีตของเธอต่างหาก พวกคุณลองมองรูปร่างของนางแบบสาวคนนี้ให้ดีๆ ซิ พวกคุณเห็นอะไรไหม? เหมียวจะบอกให้ว่าก่อนหน้าที่หุ่นเธอจะแซ่บขนาดนี้ เธอเคยมีรูปร่างที่ท้วมจนคุณแทบไม่เชื่อเลยทีเดียว แต่ก่อน Tanya ได้แต่เจ็บใจที่มีคนชอบล้อเธอว่ามีรูปร่างเหมือนหมูตอนน่าเกลียด และเอาไปพูดกันเป็นเรื่องตลกขบขัน จนเธอรู้สึกแย่ เธอจึงตัดสินใจหันมาออกกำลังอย่างเอาจริงเอาจังและควบคุมอาหารเป็นพิเศษ ส่วนนี่น่ะเหรอ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเธอสมัยที่ยังอ้วนท้วนตราเด็กสมบูรณ์นั่นเอง และนี่คือภาพการกินแตงโมอย่างเอร็ดอร่อยของเธอ แม้จะไม่ได้เป็นปัญหากับตัวเองเท่าไหร่ แต่มันกลับกลายเป็นปัญหากับคนรอบๆ ตัวเธอ เธอเลยไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นอีกต่อไป และนี่คือเรื่องราวน่าทึ่งๆ ของนางแบบสาวที่ชื่อ Tanya Rybakova และคุณเองก็สามารถมีเรื่องราวน่าทึ่งๆ แบบนี้ได้เช่นกัน #เหมียวฟิ้นขอเอาใจช่วยใครก็ตามที่พยายามจะบอกลาไขมันรอบๆ เอว หรือฝันอยากจะมีหุ่นเฟิร์มๆ ขอให้ตั้งใจและมีวินัย…
-
อินโฟกราฟฟิคสำหรับผู้ชื่นชอบซูชิ ทานซูชิอย่างไรให้ปลอดภัยและส่งผลดีต่อสุขภาพ!!
อาหารประจำชาติญี่ปุ่นคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันต้องเป็น ‘ซูชิ’ ที่มีเอกลักษณ์แบบหาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้วบนโลกใบนี้ อีกทั้งยังโด่งดังไปทั่วโลก ทั้งฝรั่งและคนเอเชียต่างก็ชื่นชอบซูชิกันทั้งนั้น มีหลากหลายหน้าให้เลือก ยิ่งทำโดยฝีมือของชาวญี่ปุ่นด้วยแล้ว ยิ่งมั่นใจได้ว่าสะอาด อร่อยและดีต่อสุขภาพแน่นอน!! แต่อย่ามัวชะล่าใจกับซูชิจานหรูล่ะ ถึงแม้ว่าวัตถุดิบอันสดใหม่ทำให้หน้าตาของซูชิดูดี น่าทาน ก็อย่าให้มันมาหลอกคุณได้ เพราะภายในนั้นมันซ่อนปริมาณแคลอรี่อันมากมายมหาศาลเลยล่ะ ทาง Cleveland Clinic จึงได้จัดทำอินโฟกราฟฟิคฉบับย่อเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับซูชิกันซักนิด ต้องยอมรับเลยว่าทั่วโลกตอนนี้ ได้รับอิทธิพลของซูชิญี่ปุ่นไปแล้ว แต่ทว่าหากใครที่รักสุขภาพแล้วดันชอบทานซูชิด้วย งานนี้ต้องศึกษากันหน่อย ถ้าหากไม่อยากรับปริมาณแคลอรี่ในจำนวนที่มากเกินไปจากซูชิ ซูชิ – อาหารญี่ปุ่นที่ประกอบไปด้วยข้าวปั้นและวัตถุดิบที่โปะเป็นหน้า โนริ – สาหร่ายญี่ปุ่น ส่วนประกอบไว้ใช้ห่อข้าวปั้น เท็มปุระ – อาหารญี่ปุ่นชนิดชุบแป้งทอด ซาชิมิ – ปลาดิบ มิโซะ – ผลิตภัณฑ์อาหารญี่ปุ่น ส่วนมากจะทำมาจากถั่วเหลือง Roe หรือ 卵 (Tamago) – ไข่ปลา (ส่วนมากจะเป็นปลาแซลมอน) ประเภทของซูชิ Nigiri…
-
ตั้งสตินิดนึง!! ข่าวผ้าอนามัยสูตรเย็นมีพิษไม่เป็นความจริง เพจดราม่าชี้แจง สะอาดจนใช้แทนผ้าก๊อซได้เลย!!
เชื่อว่าสาวๆ หลายคนคงจะได้เห็นหรือได้ยินข่าวของผ้าอนามัยแบบใหม่ที่เป็นแบบเย็นกันมาแล้ว แต่สาวๆ บางคนอาจจะยังไม่มั่นใจที่จะใช้เท่าไหร่ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับผ้าอนามัยชนิดนี้ โดยบอกว่าเป็นผ้าอนามัยที่มีสารเคมี อาจเป็นอันตรายกับผู้ใช้ได้ โดยข้อความที่ออกมาเตือนสาวๆ มีอยู่ว่า “ผ้าอนามัยยี่ห้อนี้มีสารเคมี คือโพลิเมอร์สังเคราะห์ เช่น ประเภทสารชื่อว่า Polyacrylate สารนี้ได้มาจากปิโตรเลียม โดยสารประเภทนี้เมื่อผ่านกระบวนการผลิตจะทำให้เป็นพิษแก่ร่างกายทางตรง” ซึ่งหลังจากข้อความดังกล่าวถูกแชร์ออกไปก็ทำเอาชาวเน็ตพากันตกอกตกใจและแชร์ต่อกันไปเป็นจำนวนมาก จนเฟซบุ๊กเพจชื่อดังอย่าง Drama-addict ต้องออกมาชี้แจงว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะเนื่องจากผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์ทำมาจากปิโตรเลียมอยู่แล้ว ส่วนสิ่งที่อยู่ในผ้าอนามัยนั้นคือเป็นโพลีเมอร์พวกไฮโดรเจล มีความสามารถในการดูดซับของเหลวได้ไม่ต่างอะไรกับผ้าอนามัยชนิดอื่นๆ เลย ฉะนั้นไม่ต้องกลัวหรือตกใจไป อ่านโพสต์เต็มๆ ได้ที่ด้านล่างเลย มีคนปล่อยข่าวว่า ห้ามใช้ผ้าอนามัยนะเพราะข้างในมีโพลีเมอร์สังเคราะห์ ซึ่งสารนี้ได้มาจากปิโตรเลียม โดยโพลีเมอร์จากสารประเภ… Posted by Drama-addict on 20 กุมภาพันธ์ 2016 สาวๆ ไม่ต้องกลัวไปนะ ซื้อมาใช้ได้ปลอดภัยจ้า แค่จะเย็นๆ นิดนึงเท่านั้นเอง ที่มา Drama-addict
-
เอาใจคนรักสุขภาพไปกับเมนู ผักกาดขาวสอดไส้ อร่อยๆ กินเพลินๆ ได้ประโยชน์แบบเน้นๆ
สำหรับเมนูอาหารในวันนี้เชพเหมียวจะขอมาเอาใจคนรักสุขภาพ โดยการพาไปทำ ผักกาดขาวสอดไส้ เมนูสุดเด็ดของคนที่กำลังไดเอทอยู่ ณ ตอนนี้เลยละเมี๊ยว ผักกาดขาวสอดไส้ ถือเป็นอีกหนึ่งเมนู ที่นอกจากความอร่อยแล้ว วิธีการทำก็ง๊ายง่าย แถมวัตถุดิบที่ใช้ก็มีไม่มากอีกด้วย ถ้าอย่างนั้นเราลองไปดูวิธีทำพร้อมกันเลยดีกว่า ส่วนผสม และวัตถุดิบ -เนื้อสะโพกไก่ เนื้อหมู หรือเนื้อสัตว์อื่นๆ ตามชอบ -ผักกาดขาว -กระเทียม -พริกไทย -ซีอิ๊วขาว/น้ำมันหอย/น้ำตาลเล็กน้อย วิธีทำ 1.เริ่มจากโขลกกระเทียมกับพริกไทยให้ละเอียด เตรียมไว้ จากนั้นสับไก่ หรือหมูให้ละเอียด แล้วหมักด้วยกระเทียม พริกไทย ซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย และน้ำตาลเล็กน้อย ทิ้งไว้อย่างน้อยประมาณ 30 นาทีหรือหมักทิ้งไว้ทั้งคืนก็ได้ฮะ 2.นำผักกาดขาวไปล้างให้สะอาด แล้วเอาไปลวกน้ำเดือด จากนั้นก็นำไปแช่ในน้ำเย็นจัด ทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ ตัดก้านทิ้งเอาแต่ส่วนใบ 3.นำไก่สับมาวางลงบนใบผักกาดแล้วห่อให้สวยงามตามภาพ 4.ต่อไปก็นำไปวางในลังถึง แล้วนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 5 นาทีหรือจนกว่าจะสุก เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย เพียงแค่ 5 นาทีเราก็จะได้ทานผักกาดขาวสอดไส้กันแล้วว …
-
ค่อกๆ แค่กๆ!! งานวิจัยต่างประเทศชี้ การกินช็อคโกแลตช่วยลดอาการไอได้นะเออ!!
หากคุณมีอาการคันคอและไอจนทำให้หงุดหงิด ลองหาดาร์กช็อคโกแลตมากินสักหน่อยซิ เพราะงานวิจัยต่างประเทศบอกว่าการกินดาร์กช็อคโกแลตช่วยให้หายไอได้นะ!? เมื่อไม่นานมานี้เว็บไซต์ Brightside ศาสตราจารย์ Aline Mauric หัวหน้าภาควิชาหัวใจและหลอดเลือดและระบบทางเดินหายใจ จามหาวิทยาลัยฮัลล์ ในประเทศอังกฤษได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับช็อคโกแลตและได้ผลสรุปว่า มันสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและไอแบบแห้งๆ ได้ดีกว่ายาตามใบสั่งแพทย์บางตัวเสียอีก จากการศึกษาล่าสุดบอกว่าผู้ป่วยที่ทานยาพร้อมกับสารสกัดจากโกโก้นั้นหายเร็วกว่ากว่าผู้ป่วยทั่วๆ ไปที่ใช้ยาแก้ไอธรรมดาๆ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาอื่นๆ ที่มหาวิทยาลัยอิมพีเรียลที่ประเทศอังกฤษ ที่ค้นพบว่าโกโก้นั้นบรรจุสารอัลคาลอยด์ ซึ่งมีผลทำให้การไอนั้นลดลงมากกว่าสารโคเดอีนที่บรรจุอยู่ในยาแก้ไอเสียอีก นอกจากนี้รายงานยังบอกอีกว่า เนื่องจากช็อคโกแลตมีลักษณะที่เหนียวหนืด ทำให้เวลาที่เรากลืนมันลงไปในคอ มันจะไปเคลือบอยู่ในลำคอ และอุดบริเวณปลายประสาท ช่วยป้องกันการไอแบบไม่หยุดไม่หย่อนของคุณนั่นเอง แต่ใช่ว่าช็อคโกแลตทุกประเภทจะสามารถกินแก้ไอได้นะ เพราะในช็อคโกแลตทั่วๆ ไปนั้นเติมน้ำตาล ควรจะกินเป็นดาร์กช็อคโกแลตมากกว่า ยังไงแล้วเดี๋ยว #เหมียวฟิ้นของลองเอาวิธีนี้ไปใช้ดูก่อนนะ ถ้าได้ผลหรือไม่อย่างไรจะมาบอกเพื่อนๆ อีกที ที่มา brightside , purewow
-
เปรียบเทียบปริมาณน้ำตาลใน ‘อาหารเพื่อสุขภาพ’ กับ ‘ของหวาน’ อะไรจะมีมากกว่ากัน!?
ปริมาณน้ำตาลในอาหารเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนหันมาใส่ใจกันมากขึ้น เนื่องจากว่าอาหารในสมัยนี้มีน้ำตาลแฝงมาแทบทุกรูปแบบ ยิ่งเวลารับประทานเข้าไปยิ่งไม่รู้สึกตัว จึงกลายมาเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน องค์กร American Heart Association ได้แนะนำเอาไว้ว่าปริมาณน้ำตาลที่พอเหมาะสำหรับผู้ชายในแต่ละวัน ไม่ควรเกิน 9 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 37 กรัม แต่หารู้ไม่ว่าแค่เมาเทนดิวหนึ่งกระป๋อง ขนาด 12 ออนซ์ มีน้ำตาลมากถึง 46 กรัมแล้ว และอีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนหันมารับประมานมากขึ้น นั่นก็คือ ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ เนื่องจากได้ชื่อว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เลยคิดว่ามีน้ำตาลน้อย แล้วมันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ ลองเอามาเปรียบเทียบกับของหวานกันไปเลย!! Activia Greek Vanilla Yogurt กับ Krispy Kreme Donuts 2 ชิ้น เอาเข้าจริงๆ Krispy Kream 1 ชิ้น มีน้ำตาลเพียงแค่ 5 กรัม 2 ชิ้น ก็รวมเป็น 10…
-
หนุ่มห่ามเมา ขอโชว์กลืนเบอร์เกอร์ทั้งชิ้น สุดท้ายอาหารติดหลอดลม สิ้นชีวิต!!
เรื่องของอาหารการกินไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะจ๊ะ ใครจะไปคิดใช่มั้ยล่ะว่าการกินอาหารจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตได้ อย่างพ่อลูกสามวัย Darren Bray วัย 29 ปีผู้นี้ ที่ได้ทำการซื้อชีสเบอร์เกอร์มากิน แต่กลับกลายเป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่ทำปลิดชีวิตตัวเอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2015 ที่ผ่านมา Darren ได้ออกไปซื้อชีสเบอร์เกอร์มา หลังจากที่ดื่มเบียร์กระป๋องจนเมาได้ที่ และแวะเข้าไปที่บ้านเพื่อนของเขา และเขาก็พูดกับเพื่อนว่า ‘ดูนี่นะ’ ก่อนที่จะพับชีสเบอร์เกอร์ก้อนโตให้เหลือครึ่งหนึ่ง แล้วก็ทำการกลืนลงไป จากนั้นเพียงไม่นาน เขาก็รู้สึกหน้ามืดและสลบในที่สุด Sam Bisgrove เพื่อนที่อยู่ในเหตุการณ์กล่าวว่า ‘ผมเห็นเขาพยายามคายมันออกมา เสียงไอของเขามันดังน่ากลัวมาก ผมก็พยายามช่วยตบหลังเขาเพื่อให้อาการบรรเทาลง’ ภายหลังเจ้าหน้าที่พยาบาลได้เข้ามาทำการกระตุ้นหัวใจให้เขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งก็พบกับก้อนเบอร์เกอร์ขนาดใหญ่ขวางหลอดลมเขาเอาไว้ แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตเขาได้ทัน #เหมียวเลเซอร์ แนะนำว่าไม่ควรนำเรื่องอาหารการกินมาเล่นกันนะ ปกติแล้วการทานอาหารของมนุษย์จะต้องทำการเคี้ยวแล้วค่อยกลืนลงไป ถ้าหากอาหารชิ้นใหญ่เกินกว่าขนาดหลอดลม มันจะทำให้เราขาดอากาศหายใจได้ ถึงขั้นเสียชีวิตกันเลยล่ะ ที่มา : dailymail, viralthread, headlines-news, theladbible
-
เพจรักสุขภาพโพสประชด ‘อย่าให้รางวัลตัวเองด้วยอาหาร เพราะคุณไม่ใช่หมา’ เดือดสิครับงานนี้
ปัจจุบันเทรนด์การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพกำลังมาแรง ทำให้เพจแนวรักสุขภาพผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดตามความนิยมของผู้คน อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้คำพูดเพื่อจูงใจคน อาจต้องใช้ความรอบคอบซักนิดหนึ่ง ไม่งั้นอาจดราม่าเหมือนเรื่องนี้ได้ โดยตอนนี้กำลังเป็นประเด็นร้อนบนอินเตอร์เน็ตเลยทีเดียว หลังจากเพจแนวรักสุขภาพ Fitmecafe.Thailand ได้โพสภาพเสียดสี ‘อย่าให้รางวัลตัวเองด้วยอาหาร เพราะคุณไม่ใช่หมา’ จนชาวเน็ตต้องออกมาคอมเมนต์กันยกใหญ่ เมื่อชาวเน็ตเห็นดังนั้น ก็เข้ามาแสดงความเห็นกันอย่างมากมาย ซึ่งเป็นไปในเชิงตำหนิเสียส่วนใหญ่ ใครเกิดมาแล้วไม่กินบ้างล่ะ น่าจะใช้คำพูดดีๆหน่อยนะ ความสุขคนเราไม่เท่ากัน จะมาพูดงี้ได้ไง ก่อนพิมพ์นี่คิดยัง ถามจริง อ้วนก็ไม่ได้หนักหัวใคร กินแล้วมีความสุขก็เรื่องของเขาสิ คนอื่นจะทำยังไง ก็เรื่องของเขาสิ โลกไม่ได้มีคนกลุ่มเดียวนะ อย่าเอาความคิดตัวเองมาตัดสินสิ แบบนี้เค้าเรียกปากหมา เรียกกว่ากระแสมีไปในทิศทางเดียวกันจริงๆ #เหมียวอ๊อดโด้ไล่อ่านร้อยกว่าเม้น ไม่มีเม้นไหนชมเลย (ฮาา) แล้วเพื่อนๆ ล่ะคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง ลองเสนอกันเข้ามาดูนะฮะ เหมียวขอตัวไปเป็นหมาแป๊ป อิอิ ที่มา Fitmecafe.Thailand
-
อ่าว มั่วเหรอ!? นักเทคนิคการแพทย์ชี้แจง ‘ครีมทองคำลวงโลก’ มันซึมผ่านผิวหนังไม่ได้
เหมียวเคยเห็นสาวๆ หลายคนชอบซื้อครีมที่มีส่วนผสมของทองคำ หรือมาสก์หน้าด้วยแผ่นทองคำ บางทีแอดเหมียวก็สงสัยว่ามันสามารถซึมเข้าสู่ผิวของเรา และช่วยให้ใบหน้าเปล่งปลั่งได้จริงหรือเปล่า? วันนี้มีคนมาให้ความกระจ่างแก่เหมียวแล้วล่ะ คนที่จะมาให้ความรู้แก่เราในวันนี้ก็คือ นักเทคนิกการแพทย์ภาคภูมิ เดชหัสดิน ที่กำลังโด่งดังอยู่ในโลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้เลย ล่าสุดเจ้าตัวได้โพสต์ภาพและข้อความลงในแฟนเพจของตัวเอง บอกว่า “ครีมทองคำมาสก์หน้าทองคำลวงโลก” โดยเขาได้ระบุว่าเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของทองคำนั้นไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังได้จริง เพราะอนุภาคทองคำใหญ่เกินกว่าที่จะซึมเข้าสู่ผิวหน้าของเราได้นั่นเอง แต่ใช่ว่าทองคำจะไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังได้เลย แต่ต้องผ่านกระบวนการสังเคราะห์ให้ทองคำมีอนุภาคเล็กลงในระดับนาโนเมตรถึงจะสามารถซึมเข้าสู่เซลล์ผิวได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นเคยมีงานวิจัยที่เคยนำเอาทองคำที่เล็กระดับนาโนเมตรมาหยดใส่หลอดทดลองที่มีเซลล์เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เอนไซม์ในเลือด อสุจิ และเซลล์เยื่อบุกระพุ้งแก้มมาแล้ว แต่มันกลับทำให้เซลล์บางตัวตายได้ อ่านโพสต์เต็มๆ ของทนพ.ภาคภูมิ ได้ที่ด้านล่างเลยนะจ๊ะ หลายคนคงจะเคยได้ยินชื่อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เช่น มาสก์หน้าทองคำ โลชั่นทองคำ เซรั่มทองคำ โฟมล้างหน้า แชมพู สบู่ หรือแม้กระทั… Posted by ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน on 1 กุมภาพันธ์ 2016 นอกจาหนี้แล้วในเฟซบุ๊กของคุณภาคภูมิยังมีเรื่องราวความรู้แบบสนุกๆ มันส์ๆ อีกเพียบเลย ลองไปกดติดตามได้ที่ ทนพ.ภาคภูมิ…
-
นักวิจัยญี่ปุ่นเฮ!! สามารถปลูกถ่ายหูเทียมบนหลังของหนูทดลองได้สำเร็จ พร้อมใช้จริงใน 5 ปีข้างหน้า
นี่เป็นอีกก้าวสำคัญของวงการแพทย์เลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้มีการรายงานข่าวจากต่างประเทศว่า พวกเขาสามารถปลูกถ่ายอวัยวะเทียมกับหนูได้สำเร็จแล้ว!! เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Dailymail ได้รายงานว่านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตเกียว และมหาวิทยาลัยเกียวโตแห่งประเทศญี่ปุ่น สามารถปลูกถ่ายใบหูเทียมของมนุษย์ลงบนหลังของหนูทดลองแล้วเรียบร้อย และให้สัญญาว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าพวกเขาจะสามารถปลูกถ่ายอวัยวะเทียมอื่นๆ ได้อย่างแน่นอน ตามรายงานบอกว่าการปลูกถ่ายหูเทียมครั้งนี้จะเป็นการช่วยรักษาเด็กๆ ที่เกิดมาพร้อมกับความบกพร่องทางร่างกาย หรือผู้คนที่สูญเสียอวัยวะไปจากอุบัติเหตุจนเสียโฉม ให้กลับมามีอวัยวะแบบคนปกติอีกครั้งหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้เองก็เคยมีวิธีการปลูกถ่ายใบหูเทียมมาแล้ว แต่เป็นการตัดแต่งกระดูกอ่อนบริเวณซี่โครงของผู้ป่วยเอง ซึ่งต้องอาศัยการผ่านตัดซ้ำหลายครั้ง สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยเป็นอย่างมาก แต่ด้วยวิธีการปลูกถ่ายอวัยวะแบบใหม่นี้จะช่วยลดความเจ็บปวดลง และลดขั้นตอนในการผ่าตัดไปได้เยอะพอสมควรเลย ทั้งนี้การปลูกถ่ายอวัยวะแบบใหม่นี้ได้มีการนำไปพัฒนาและต่อยอดในกลุ่มนักวิจัยแห่งสถาบันวิจัยต่างๆ แล้ว เพื่อพัฒนาการสร้างอวัยวะเทียมให้แก่ผู้ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุต่างๆ หรือมีความพิการมาตั้งแต่แรกเกิด อีกหน่อย เราคงจะได้เห็นการปลูกถ่ายอวัยวะกันแบบเต็มรูปแบบแล้วล่ะนะ ที่มา dailymail
-
หลังจากจ้างผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์หลายแขนง Apple กำลังเล็งตลาดสุขภาพอยู่หรือเปล่า!!?
โดยส่วนตัวแล้วเหมียวก็คิดว่า คนในสมัยนี้หันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น และแน่นอนถ้ากล่าวถึงเรื่องสุขภาพ ความสวยความงามก็จะตามมาติดๆ เช่นกัน ซึ่งไม่แน่ว่าทาง Apple ก็อาจเล็งเห็นจุดนี้มาก่อนแล้ว อาจจะดูแปลกไปหน่อยแต่ก็เป็นไปแล้ว จากการรายงานของทาง BuzzFeed News ตอนนี้ Apple กำลังเล็งพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์และสุขภาพมากขึ้น โดยพวกเขาได้จ้างพนักงานเพิ่มขึ้นหลายอัตราเลยล่ะ Apple จ้างงานผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์หลายสาขา!!? และพนักงานแต่ละคนที่จ้างมาแต่ละคนก็มีความเชี่ยวชาญเฉพาะแขนงนั้นอย่างลึกซึ้ง และไม่ทับตำแหน่งกัน เพื่อช่วยบริษัทพัฒนาทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์เกี่ยวกับสุขภาพ แถมยังประกาศรับสมัครบุคลากรในตำแหน่งทางด้านนี้อยู่เรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้ก็ยังต้องการทรัพยากรมนุษย์เพิ่มเติมในส่วนของ นักวิจัยและพัฒนาเทคนิคมากประสบการณ์ วิศวกรการแพทย์ และผู้ดูแลโปรเจ็คทางด้านการแพทย์ โดยทุกตำแหน่งล้วนเป็นงานเต็มเวลา และรับเฉพาะผู้มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูงเท่านั้น!!! Apple Watch จะว่าไปแล้วเหตุการณ์นี้ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับการเปิดตัว Apple Watch ในเดือนเมษายนปีก่อน ที่มีฟีเจอร์ด้านสุขภาพอย่างการตรวจชีพจร และการเก็บข้อมูลทางการนอน ซึ่งติดมากับตัวนาฬิการุ่นนี้ แถมตอนนี้ Apple ก็ยังมี HealthKit ซอฟต์แวร์ของ iPhone ที่ใช้ทำงานร่วมกับ Apple Watch เพื่อเก็บข้อมูลทางการแพทย์และสุขภาพของผู้ใช้งานไว้ และที่สำคัญก็คือมันสามารถเข้าถึงได้ง่ายสุดๆ อีกด้วย เหมียวว่าไม่ได้แค่เล็งแล้วล่ะ มาขนาดนี้ไม่แน่ Apple อาจก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดสุขภาพอย่างแน่นอน…
-
อุทาหรณ์สอนหญิง สาวสักคิ้วผิดจนกลายเป็นคิ้วชินจัง ล่าสุดแก้แล้ว สวยกว่าเดิม!!
เมื่อวันสองวันก่อน แอดเหมียวได้นำเสนอคลิปวิดีโอของคุณ สุมาลี เหมือนเงา ที่ระบายความรู้สึกหลังจากได้ไปสักคิ้วถาวรกับร้านแห่งหนึ่งมา แต่ทางร้านกลับสักให้ใหญ่มากจนกลายเป็นคิ้วชินจัง ซึ่งทางร้านก็ขอรับผิดชอบโดยการใช้น้ำกรดแก้ไขให้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย แต่แทนที่จะเป็นการลบคิ้วออก กลับสร้างรอยแผลขนาดใหญ่ไว้บนใบหน้า จนเจ้าตัวต้องออกมาอัดคลิปวิดีโอเตือนสาวๆ ว่าให้คิดดีๆ ก่อนทำ ล่าสุดคุณสุมาลีได้ไปออกรายการยกทัพข่าวเช้าทางช่อง PPTV เพื่ออัพเดทการแก้ไขคิ้วครั้งล่าสุดที่ตอนนี้สวยงามกว่าเดิมแล้ว โดยเปิดเผยว่าตอนที่เธอแก้คิ้วกับทางร้านที่เธอไปทำนั้น เธอได้ทำการลบคิ้วไปทั้งหมด 15 ครั้งด้วยกัน ซึ่งการลบคิ้วในแต่ละครั้งนั้นทำให้เธอรู้สึกเจ็บมากกว่าการไปสักคิ้วจริงๆ ซะอีก นอกจากนี้เจ้าตัวยังได้เผยกับสื่อว่าเธอเคยคิดฆ่าตัวตายมาแล้ว เพราะเนื่องจากตนเองขายเครื่องสำอางมีหน้าที่การงานที่ต้องเข้าสังคม ทำให้ความเชื่อถือลดลงและไม่มีความมั่นใจ เธอจึงเคยคิดฆ่าตัวตาย แต่ก็ผ่านพ้นจุดนั้นมาได้ ชมคลิปรายการเต็มๆ ได้ที่ด้านล่างเลย แม้ว่าสุดท้ายแล้ว ทางร้านจะทำการแก้ไขคิ้วให้ใหม่จนสวยงาม แต่กูดูจะไม่คุ้มกับการที่ต้องเสียเวลาไปแก้อยู่เรื่อยๆ แบบนี้นะ เอาเป็นว่าถ้าใครอยากทำก็ศึกษาเยอะๆ และเลือกหมอดีๆ หน่อยนะ ที่มา ยกทัพข่าวเช้า
-
สดชื่นจังเล้ยยย!! เหมียวแนะนำ 10 วิธีที่ช่วยให้คุณตื่นนอนอย่าง “อารมณ์ดี” ลองมาทำกันดูไหมล่ะ
บ่อยครั้งที่เรามักจะตื่นนอนตอนเช้าด้วยสภาวะงัวเงียและเสียอารมณ์ อาจจะเพราะว่าคุณตื่นนอนแบบผิดๆ วิธีก็เป็นได้นะ แต่หากคุณลองเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ตื่นนอนแบบถูกวิธี มันจะช่วยให้คุณอารมณ์ดีไปทั้งวัน หากอยากรู้ว่าต้องทำไง ลองไปดูกันทีละข้อเลย 1. จัดการงานบ้านต่างๆ ให้เสร็จตั้งแต่ตอนเย็น จัดเตรียมชุดทำงานของวันพรุ่งนี้ให้เรียบร้อย 2. ตกแต่งห้องให้สวยงามสบายตา อาจจะหาแจกันดอกไม้เล็กๆ มาวางไว้ในห้อง เพราะสิ่งเหล่านี้คือภาพแรกที่เราจะได้เห็นตอนตื่นนอนนั่นเอง 3. จัดเตียงให้อยู่ใกล้กับหน้าต่าง เพราะแสดงแดดจะทำให้เราตื่นโดยอัตโนมัติ 4. หาโคมไฟมาวางไว้ใกล้ๆ กับเตียง เพราะแสงจากโคมไฟมีอิธิพลต่อการนอนหลับหรือตื่นนอนมาก เปิดไฟสลัวๆ ก่อนนอนจะช่วยให้หลับง่ายขึ้น (แต่หากเปิดมันไว้ตลอดคืน อาจจะทำให้นอนหลับได้ไม่ดีพอ) 5. หลีกเลี่ยงการดูข่าว ภาพยนตร์ ละคร ที่มีความรุนแรง เพราะมันอาจจะทำให้อารมณ์ขุ่นมัว และสมองอาจจดจำจนเก็บไปฝัน ทำให้คุณฝันเรื่องแย่ๆ ก็ได้ 6. ลองเขียนบันทึกประจำวันใส่สมุด หาเรื่องดีๆ มาเขียนลงไป มันจะเป็นการทบทวนความจำของคุณ ช่วยให้หลับไปพร้อมกับความทรงจำนั้น 7. หากเป็นไปได้ควรเข้านอนในเวลาที่เหมาะสม ไม่ควรนอนดึกจนเกินไป 8. ในห้องนอนไม่ควรมีแสงมากจนเกินไป อย่างเช่นแสงจากหลอดไฟ หรือแสงจากโทรทัศน์ เพราะมันอาจรบกวนการนอนหลับของคุณได้ 9. เมื่อตื่นนอน พยายามยิ้มกับเรื่องง่ายๆ…
-
สาวอัดคลิปเตือนคนอยากสักคิ้วว่า “สักคิ้วผิดคิดจนตัวตาย” แม้จะแก้แล้วก็ดันหนักกว่าเก่าอีก!!
การทำศัลยกรรมบนใบหน้านั้นถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก เพราะมันคือสิ่งที่อยู่บนใบหน้า ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไร คนก็มักจะมองหน้าก่อนเป็นอันดับแรก หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา มันจะต้องติดอยู่บนใบหน้าของคุณตลอดไปทีเดียว และเพื่อเป็นการเตือนสติสาวๆ ที่คิดจะสักคิ้วถาวรบนใบหน้า วันนี้แอดเหมียวก็เลยมีกรณีตัวอย่างของคุณ สุมาลี เหมือนเงา มาเล่าสู่กันฟังล่ะ โดยเธอได้ไปสักคิ้วถาวรมาจากร้านแห่งหนึ่ง แต่แทนที่จะได้คิ้วที่สวยงามตามแบบที่เธออยากได้ เธอกลับได้คิ้วหนาดำปื๊ดแบบชินจังมาแทน (คงพอนึกออกนะ) เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงเกิดอาการเครียดจัดจนคิดอยากฆ่าตัวตายเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้นไม่นานเจ้าตัวก็ได้อัพเดทผ่านเฟซบุ๊กของเธอว่าทางร้านสักได้ขอรับผิดชอบแก้คิ้วเดิมให้ โดยการใช้น้ำกรดลบคิ้วออก แต่ดูเหมือนจะหนักกว่าเก่า เพราะมันทำให้เกิดรอยแผลลึกรอบๆ คิ้วของเธอ จนมีสภาพแย่กว่าตอนแรกซะอีก เจ้าตัวจึงอัดคลิปวิดีโอออกมาเตือนใจสาวๆ ที่คิดอยากจะสักคิ้วว่าควรคิดให้ดีๆ ก่อนจะทำ ชมคลิปได้ที่ด้านล่างเลยจ้า สาวๆ คนไหนเห็นแล้วอยากจะไปลองสักคิ้วถาวรดูบ้าง เหมียวเองก็คงห้ามไม่ได้นะ แต่ก็เลือกหมอเลือกคนทำดีๆ หน่อยละกัน เพราะถ้าพลาดแล้วมันพลาดเลยนะจ๊ะ ที่มา สุมาลี เหมือนเงา
-
อายุเป็นเพียงตัวเลข!! สาวใหญ่มะกันวัย 48 ฟิตออกกำลังจนหุ่นแซ่บยิ่งกว่าวัยรุ่นซะอีก!!
เป็นธรรมดาที่เมื่อวันเวลาล่วงเลยไป ร่างกายของเราก็จะเสื่อมสภาพลง ผิวหนังเริ่มหย่อนคล้อย กล้ามเนื้อเริ่มไม่กระชับเหมือนสมัยตอนเป็นหนุ่มสาว แต่เชื่อหรือไม่ว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งไม่ได้มีความคิดแบบนั้น และไม่ปล่อยให้อายุหรือความแก่ชรามาทำอะไรเธอได้เลย นี่เป็นเรื่องราวของสาวมะกันที่ชื่อว่า Laura Gordon สาวใหญ่วัย 48 ปี จากเมืองชาร์ลอต รัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา เธอได้รับความนิยมมากในโลกอินสตาแกรม เพราะเนื่องจากวัยที่เกือบจะเข้าสู่เลข 5 อยู่แล้ว แต่กลับมีหุ่นที่แซ่บลืม ทำให้ชาวเน็ตต่างกดติดตามดูเธออย่างล้นหลาม ภายใน IG ของเธอนั้นเต็มไปด้วยภาพอวดหุ่นเซ็กซี่ของเธอ ในชุดออกกำลังกายและกางเกงขาสั้นมากมาย ทำให้ตอนนี้เธอมียอดผู้ติดตามมากถึง 4.5 แสนคนทีเดียว โดยเธอเผยว่าในตอนแรกเธอไม่ได้ชื่นชอบการออกกำลังกายเท่าไหร่ แต่เธออยากจะมีหุ่นที่ดีจึงต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ Laura ได้เขียนข้อความลงใน IG ของเธอว่า ตนเองเริ่มออกกำลังกายแบบจริงจังมาตั้งแต่ตอนที่เธออายุได้ 23 ปี เธอศึกษาข้อมูลการออกกำลังกายผ่าน DVD สอนออกกำลังกายจากนั้นก็ฝึกฝนมาอย่างสม่ำเสมอ ส่วนเรื่องอาหารการกิน เธอกล่าวว่าเธอจะเลือกกินแต่ธัญพืช และอาหารพื้นๆ ไม่มีรสจัดและหลีกเลี่ยงการกินจังค์ฟู้ดด้วย ปัจจุบัน Laura ใช้ชีวิตแต่งงานมาได้…
-
กินข้าวโพดแล้วอย่าทิ้งหนวดข้าวโพด เพราะมันสามารถนำมาชงชา ช่วยรักษาโรคได้นะเออ!!
นี่อาจเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ชอบกินข้าวโพดเป็นชีวิตจิตใจก็ได้นะ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีนายแพทย์รายหนึ่งออกมาเปิดเผยว่า หนวดข้าวโพดที่เราชอบดึงทิ้งเวลากิน มีประโยชน์สามารถช่วยรักษาโรคได้ด้วยนะเออ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมา นายแพทย์ สพล สมวงษ์ ได้ออกมาเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กของตัวเองว่า หนวดข้าวโพดที่เราแกะทิ้งกันบ่อยๆ แท้จริงแล้วสามารถเป็นยาจีนได้ ซึ่งที่ประเทศจีนจะเรียกมันว่า อวี้หมี่ซวี 玉米须 เจ้าหนวดข้าวโพดนี้มีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ ระบายความร้อนออกทางปัสสาวะ ปรับสมดุลลมปราณตับ ขับน้ำดี เหมาะสำหรับใช้รักษาผู้ป่วยโรคไตที่มีอาการบวมน้ำ ดีซ่าน ตับอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีอักเสบ อาเจียนเป็นเลือด ไซนัสอักเสบ ฝีเต้านมและช่วยลดความดันและน้ำตาลในเลือดด้วย ข้อดีของเจ้าหนวดข้าวโพดนี้ก็คือ ในหมู่ยาจีนที่ขับปัสสาวะและน้ำดี จะมียาไม่กี่ตัวที่มีฤทธิ์เป็นกลางไม่ร้อนไม่เย็น หนวดข้าวโพดจึงเป็นยาที่ใช้รักษาคนไข้ดีซ่านและโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดีได้ทุกประเภท ออกฤทธิ์ไม่รุนแรงเกินไป ที่สำคัญหนวดข้าวโพดเป็นยาที่เราไม่ต้องซื้อปกติเราโยนมันทิ้งด้วยซ้ำไป หากใครอยากจะลอกเอาหนวดข้าวโพดมากินดู ก็ลอง นำหนวดข้าวโพดมาสักหยิบมือ ใส่ลงในแก้วแล้วเทน้ำเดือดลงไป ทิ้งไว้สักพักจนน้ำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แค่นี้คุณก็สามารถนำมาดื่มได้แล้ว หรือหากบ้านใครมีหนวดข้าวโพดมากพอ ก็นำไปตากแดดแล้วเก็บไว้กินวันอื่นๆ ได้นะ ที่มา แพทย์จีน สพล สมวงษ์
-
อยากผอมมาทางนี้ เหมียวแนะนำ 3 เมนูจาก “แตงกวา” ที่ช่วยลดน้ำหนักได้เร็วเหลือเชื่อ
หลายๆ คนพยายามอดอาหารเพื่อให้น้ำหนักลดลงไวๆ แต่เหมียวบอกเลยว่าอดอาหารนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะถึงน้ำหนักจะลดจริง แต่ร่างกายของคุณจะเกิดปฏิกิริยาโยโย่ ทำให้คุณอยากกลับมากินมากกว่าเดิมซะอีก จะทำยังไงให้น้ำหนักลดแล้วไม่โยโย่น่ะเหรอ? ก็ออกกำลังกายไปด้วยแล้วกินไปด้วยยังไงล่ะ ถ้าหากคุณไม่รู้จะกินอะไรเพื่อลดน้ำหนักล่ะก็ วันนี้แอดเหมียวขอเสนอ “แตงกวา” เมนูที่จะมาช่วยให้คุณเผาผลาญไขมันในร่างกายของคุณล่ะ อยากรู้แล้วใช่ไหมล่ะว่าแตงกวาทำอะไรได้บ้าง งั้นไปชมกันเลย 1. มื้อเช้า สมูทตี้บลูเบอร์รี + แตงกวา นำแตงกวา 1 ลูกไปหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่ลงในเครื่องปั่น พร้อมกับบลูเบอร์รี 1 กำมือ สะระแหน่ 2-3 ใบ น้ำแข็งก้อนและโยเกิร์ต รสธรรมดา 350 กรัม จากนั้นก็ปั่นให้เข้ากันจนกลายเป็นสมูทตี้ มันจะช่วยเติมพลังหลังการออกกำลังได้อย่างรวดเร็ว 2. มื้อเที่ยง ขนมปังพิตาไส้เฟตาชีส ฝานแตงกวา 1 ลูก ผสมกับเฟตาชีส 100 กรัม โยเกิรต์รสธรรมดา 1 ช้อนโต๊ะ ใส่มะกอกดำอีก 100 กรัม…
-
พ่อหนุ่มยอมบินไกลข้ามยุโรป เสียเงินให้การศัลยกรรม เพื่อแลกกับ ‘ซิกแพค’ แบบถาวร
สมัยนี้ใครๆ ต่างก็หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพและดูแลรูปร่างของตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งผู้หญิงหรือผู้ชายก็อยากจะมีรูปร่างที่ดูดีด้วยกันทั้งนั้น ถ้าให้พูดถึงสิ่งที่ชายทั้งหลายอยากจะมีบนร่างตัวเองมากที่สุดก็คือ ‘ซิกแพค’ กล้ามหน้าท้องงามๆ แต่กว่าจะได้มานั้นก็ยากเอาการ ชายทั่วโลกต่างเฝ้าฝันที่จะมีกล้ามหน้าท้องเป็นมัดๆ ทั้งหกก้อน บางคนก็ไปถึงฝัน แต่บางคนก็ถอดใจซะก่อน เพราะจะต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและควบคุมอาหารไปด้วย ซึ่งพ่อหนุ่ม Lee Coupland วัย 31 ปี ผู้นี้ก็อยากมีเหมือนกัน แต่หนทางของเขากลับแตกต่างออกไป เขาเดินทางไปยังเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกีเพื่อที่จะดูดไขมันส่วนเกินออกไปจากหน้าท้องก่อนที่จะโดนอาคมมีดหมอศัลยกรรมทำให้มีกล้ามหน้าท้องซิคแพคแบบถาวร ใช่แล้ว!! ซิกแพคแบบถาวร ซึ่งทางด้านเจ้าตัวเองก็บอกว่าตอนนี้มันยังเป็นเรื่องที่แปลก แต่อีกไม่นานก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาอย่างการทำศัลยกรรมหน้าอกหรือจมูกของผู้หญิงนั่นแหละ สิ่งที่น่าตกใจมากกว่านั้นก็คือ เขาไม่ใช่ชาวอังกฤษคนเดียวที่คิดแบบนี้ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีชายชาวอังกฤษจำนวน 7 คนเข้ามาทำศัลยกรรมกับโรงพยาบาลแห่งนี้ไปแล้วเมื่อ 6 เดือนก่อน จากการผ่าตัดเสริมกล้ามหน้าท้องถาวรของเขานั้นจะต้องพักฟื้นยาวนานกว่า 7 สัปดาห์เลย แถมยังมีอาการแน่นหน้าอกตามมาอีก และหากใครที่คิดจะผ่าตัดทำซิคแพคถาวรขอบอกไว้ก่อนเลยว่าไม่สามารถทำได้ทุกคน โดยอย่างแรกเลยก็คือต้องเป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและมีรูปร่างที่สมส่วน ถึงแม้ว่าเขาจะได้กล้ามหน้าท้องถาวรมาสมใจอยากแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกขี้เกียจที่จะออกกำลังกายเลยแม้แต่น้อย ‘การศัลยกรรมนี้เป็นเพียงตัวช่วยเสริมให้มันดูเด่นขึ้นมาเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์อะไรหรอก คุณก็ต้องออกกำลังกายเหมือนเดิมเพื่อที่จะรักษามันเอาไว้ แต่อย่างน้อยคุณก็มีกล้ามหน้าท้องอ่อนๆ…
-
ผู้เชี่ยวชาญแนะ อย่าใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดิมติดต่อกัน นอกจากจะไม่สะอาด ยังเสี่ยงกับเชื้อโรคอีก
ว่ากันด้วยเรื่องของผ้าเช็ดตัวผืนน้อยที่ใช้กันอยู่เป็นประจำ จะขาดไปก็ไม่ได้ เพราะว่าหลังอาบน้ำเสร็จก็ต้องใช้เช็ดตัวให้แห้ง ทำความสะอาดเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการอาบน้ำ แต่ส่วนมากก็จะใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดิมเป็นประจำ อาบน้ำทุกครั้งก็ใช้ผืนนี้ หากว่าใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดิมมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป โดยที่ไม่ได้นำไปซักหรือทำความสะอาดเลย ทางผู้เชี่ยวชาญแนะเลยว่านอกจากจะเช็ดตัวไม่สะอาดหมดจด แถมยังเสี่ยงต่อโรคทางผิวหนังเป็นอย่างมาก เพราะเป็นแหล่งสะสมของเหล่าเชื้อแบคทีเรียชั้นเยี่ยม วิธีการหลีกเลี่ยงง่ายๆ เลยก็คือให้นำผ้าเช็ดตัวที่ใช้หลังอาบน้ำเสร็จแล้วประมาณ 3 ครั้ง ไปซักให้สะอาดซะ หรือถ้ายังไม่ว่างซัก ก็นำไปตากให้โดนแดดเพื่อฆ่าเชื้อโรค ไม่ควรที่จะตากทิ้งไว้ให้ห้องน้ำ ห้องที่ไม่มีอากาศถ่ายเท หรือทิ้งไว้บนพื้นห้องน้ำ มันอันตรายร้ายแรงแค่ไหนกับการใช้ผ้าขนหนูที่ไม่สะอาด เหตุผลก็คือผ้าขนหนูที่ยังเปียกน้ำหมาดๆ นั้นเต็มไปด้วยเชื้อโรคซึ่งอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อจากการสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง ส่วนมากมักจะพบโคลิฟอร์มแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วง ทั้งนี้จากการใช้ผ้าเช็ดตัวนั้น เราจะทำการเปลี่ยนผ่านสสารต่างๆ มากมายระหว่างผ้าเช็ดตัวกับผิวหนัง เช่น เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว เชื้อรา ปัสสาวะ เศษอุจจาระและอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนมีแบคทีเรียด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งทิ้งผ้าเช็ดตัวไว้ในที่อับ หรือบนพื้นห้องน้ำเชื้อแบคทีเรียก็จะขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว แค่นึกภาพตามก็อี๋แล้ว!! ผู้เชี่ยวชาญยังบอกด้วยว่า หากได้กลิ่นอับจากผ้าเช็ดตัวเมื่อไหร่ ก็ควรที่จะเลิกใช้แล้วนำไปซักทันที เพราะนั่นเป็นสัญญาณเตือนจากแบคทีเรียนั่นเอง ศาสตราจารย์…
-
มันลำบากจริงๆ นะ!! ชมภาพมุมมองของคนสายตาสั้นเวลามองสิ่งต่างๆ พวกคนตาดีไม่มีทางเข้าใจหรอก
สมัยก่อนเรามักจะมองคนที่สวมแว่นเป็นพวกเรียนเก่งและดูมีความรู้ ซึ่งเหมียวก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าการสวมแว่นมันช่วยเสริมบุคลิกให้ดูดีจริงๆ แต่พวกคนตาดีๆ จะรู้ไหมว่าการต้องสวมแว่นแบบนี้มันไม่ได้เป็นเรื่องดีเลย เพราะมันลำบากและน่ารำคาญมาก แต่ไม่ว่าจะอธิบายให้คนตาดีเข้าใจยังไง พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจเราได้ว่าการไม่สวมแว่นนั้น ทำให้ชีวิตเราลำบากแค่ไหน แต่วันนี้เหมียวจะมาอธิบายด้วย 7 ภาพธรรมดาๆ จากเพจ Siakap Keli กันล่ะ โดยพวกเขาได้นำภาพธรรมดาๆ ไปปรับให้เบลอแล้วใช้แว่นส่อง เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าคนสายตาสั้นนั้น เวลาไม่ใส่แว่นจะเป็นยังไง อาการของคนสายตาสั้นส่วนใหญ่เกิดจากพันธุกรรม คนที่มีสายตาปกติจะมีการทำงานร่วมกันของกระจกตา เลนส์ตา เมื่อมองวัตถุใดวัตถุหนึ่งภาพวัตถุนั้นจะผ่านกระจกตาเข้ามาและผ่านเลนส์ตาอีกครั้ง ลำแสงจะหักเหทำให้ภาพไปตกที่จอประสาทตาพอดี ส่วนคนที่มีสายตาสั้น ภาพของวัตถุที่ผ่านกระจกตาและเลนส์ตาจะรวมตัวก่อนที่จะถึงจอประสาทตา ทำให้คนที่ สายตาสั้นไม่สามารถมองวัตถุที่อยู่ไกลได้ชัดนั่นเอง ส่วนวิธีการแก้ปัญหาของคนสายตาสั้นนั้นก็มีด้วยกันหลายวิธี เช่นการใส่แว่นตา ใส่คอนแทคเลนส์ ที่มีค่าใช้จ่ายน้อย หรือการทำเลสิคที่ช่วยปรับได้ทั้งสายตาสั้น-ยาว หรือสายตาเอียง โดยจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 30,000 ถึง 50,000 บาท ทีนี้ทุกๆ คนก็จะได้เข้าใจสักทีนะ ว่าคนใส่แว่นมันลำบากแค่ไหน ที่มา Siakap Keli , mahosot , mitthai
-
14 ภาพ ‘ทรงขน’ แมวสุดฮา ที่พาไปตัดนี่ไม่ถงไม่ถามสุขภาพซ๊ากกกกคำ!!!
เหมียวก็ไม่เข้าใจทำไมพวกมนุษย์ชอบแกล้งเหมียวนัก โดยเฉพาะการตัดขนเนี่ย ไม่ถงไม่ถามสุขภาพซักคำ และวันนี้เหมียวก็มีหลักฐานถึง 14 ภาพเต็มๆ ที่เหล่ามนุษย์ได้กระทำการอันโหดร้ายกับเหมียว ไม่เชื่อลองมาดูเลย ฮืออออ มันตัดไม่พอ มันย้อมให้ด้วย T^T เอาเข้ากะหน้าเจ้าของใช่มั้ย!!? หงอยยยยยยย เห้ออออออออออ นี่มันโศกนาฏกรรมชัดๆ มีเติมแก้มแดงให้อีก -*- โกรธ!!! อันนี้เหมียวพอรับได้ แกนะแก!!! เอาซะหล่อเลยนะ แต่ท่อนล่างนี้… ฆ่าเหมียวเถอะ!!! งืมมมมมมมม ถ้าเหมียวเป็นมังกรจริงๆ นะ!!! เจ็บและชินไปเอง… เห้อออออออ เหมียวบอกเลย วันที่เหมียวยึดครองโลกสำเร็จนะ พวกแกจะต้องชดช้ายยยยยยยยย!!!! ที่มา: Xn12
-
แฮปปี้จัง!! เหมียวแนะนำ 15 เคล็ดลับง่ายๆ ที่ช่วยให้ชีวิตคุณมีความสุขได้มากขึ้น ลองทำตามนะ
ในหนึ่งวันเราต้องเผชิญกับความเครียดหลากหลายรูปแบบ ทั้งเรื่องการเงิน การงาน ความรัก และอีกมากมาย บางคนที่อารมณ์ดีหน่อยก็อาจจะหาทางออกให้ตัวเองไม่เครียด แต่บางคนอาจจะหาทางออกไม่ได้ และไม่รู้จะแก้ไขปัญหานั้นยังไง งั้นเหมียวขอเชิญคุณมาดูอะไรนี่หน่อย วันนี้เหมียวจะมาแนะนำ 15 เคล็ดลับที่ง่ายแสนง่าย ในการบำบัดความเครียด และช่วยให้คุณมีความสุขได้มากกว่าเดิม วิธีเหล่านั้นมีอะไรบ้าง ไปดูพร้อมๆ กันเลยจ้า 1. พยายามยิ้มกับคนเป็นกลุ่มอย่างน้อย 3 คนต่อวัน 2. นั่งในที่เงียบๆอย่างน้อย 10 นาทีต่อวัน 3. อย่าปล่อยให้ตัวเองเครียดจนเกินไป 4. พยายามฝันกลางวันให้มากขึ้น 5. คุณไม่จำเป็นต้องโต้เถียงชนะทุกครั้งก็ได้ แพ้บ้างอะไรบ้าง 6. ลองใช้เวลาอยู่กับคนอายุมากกว่า 70 หรือน้อยกว่า 6 ขวบดูบ้าง 7. อย่าเสียพลังงานของคุณไปกับเรื่องซุบซิบนักเลย 8. ชีวิตมันสั้นเกินกว่าจะเสียเวลาเกลียดใครสักคน ฉะนั้นเอาความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นออกไปซะ 9. ไม่ต้องสนว่าคนอื่นจะคิดกับคุณยังไง 10. พยายามหลับให้ได้ 8…
-
มันลำบากนะรู้ไหม!! รวม 18 ปัญหาของสาว “ก้นใหญ่” ที่คน “ก้นเล็ก” ไม่มีวันเข้าใจ
หนุ่มๆ บางคนอาจจะมีทัศนะคติที่ว่า สาวก้นใหญ่คือสาวเซ็กซี่ นั่นจึงทำให้พวกเธอเริ่มกังวลเกี่ยวกับสัดส่วนของบั้นท้าย บางคนถึงขนาดที่ว่าต้องไปทำศัลยะกรรมเพื่อเพิ่มขนาดให้กับบั้นท้ายเลยทีเดียว (นิกกี้ มินาจไง) แต่อย่าเพิ่งคิดไปว่าก้นใหญ่นั้นจะมีแต่ความสวยงามเซ็กซี่อย่างเดียว เพราะการที่เรามีก้นใหญ่มันก็เป็นปัญหาเหมือนกัน หากอยากรู้ว่ามันมีปัญหายังไงบ้างล่ะก็ งั้นเราไปดูพร้อมๆ กันเลย 1. สาวก้นใหญ่นั้นหากางเกงใส่ยากมาก ถึงใส่ได้ก็จะไม่ค่อยพอดีกับก้น 2. หางจะใส่เลคกิ้ง ก็ต้องระวังกว่าคนทั่วไป 3. การขี่จักรยานเป็นอะไรที่ลำบากสุดๆ 4. รู้สึกวิตกกังวลทุกครั้งที่มีคนเดินตามระหว่างขึ้นบันได 5. พวกสัตว์เลี้ยงมักจะใช้ก้นของเราในการหนุนนอน 6. การลุกนั่งกับเก้าอี้ในห้องเรียน หรือเก้าอี้เลคเชอร์ เป็นอะไรที่ทุลักทุเลมาก 7. ต้องเสียเวลานานกว่าจะถอด-ใส่กางเกงได้แต่ละที 8. ไม่รู้สึกสนุกกับชิงช้าเลย 9. เสื้อผ้า “ฟรีไซส์” ไม่มีอยู่จริง 10. คุณมักจะเผลอทำลายข้าวของโดยไม่ได้ตั้งใจ (ด้วยก้นของคุณ) 11. นั่งยังไงก็ช่าง กางเกงในคุณมักจะแพลมออกมาตลอด …
-
สาวๆ ดูไว้ รวม 10 ภาพของสาวๆ ที่หันมาดูแลร่างกาจนหน้าเปลี่ยนและดูดีขึ้นเป็นกอง
ต้องยอมรับเลยว่าสุขภาพร่างกายและรูปร่างนั้นเป็นสิ่งที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้ นอกจากคุณจะเริ่มทำด้วยตัวของคุณเองล่ะนะ บางคนอาจจะมีความพยายามมากน้อยแตกต่างกันไป แต่เชื่อเถอะว่าผลของมันจะทำให้คุณประทับใจแน่นอน วันนี้เหมียวจะพาไปชม 10 สาวอ้วน ที่ลุกขึ้นมาออกกำลังกายเปลี่ยนแปลงตัวเอง จนรูปร่างผอมเพรียวเซ็กซี่ ประหนึ่งสาวมหาลัยอย่างงั้นแหละ เป็นไงต้องไปชมกันเองเลยจ้า (เผลอๆ คุณอาจจะได้แรงบันดาลใจด้วยนะ) 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. มีสุขภาพดี หุ่นดี อะไรมันก็ดีล่ะนะ สาวๆ คนไหนที่มีรูปร่างอ้วนหรือร่างท้วม หากคุณตั้งใจจะลดน้ำหนักแล้วล่ะก็ เหมียวขอเอาใจช่วยให้ทำสำเร็จนะจ๊ะ ที่มา wittyfeed
-
อยากลองไหม? เทรนด์ใหม่มาแรง “สักแก้มชมพู” อยู่ได้นาน 6 เดือน เหมือนปัดแก้มตลอดเวลา
กลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังถูกพูดถึงอยู่ในตอนนี้เลย สำหรับการเสริมความงามแบบใหม่ที่เรียกว่า “สักแก้มถาวร” โดยทั่วไปนั้น การปัดแก้มของสาวๆ จะช่วยให้แก้มนั้นมีสีอมชมพูระเรื่อ ช่วยให้ใบหน้าแลดูมีสุขภาพดี แต่ดูเหมือนว่าจะมีนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยให้สาวๆ ใช้เวลาแต่งหน้าน้อยลงแล้วล่ะ เพราะสีชมพูจะถูกสักให้ติดกับแก้มของคุณแบบถาวร ทั้งตอนหลับและตอนตื่น อยู่ได้นานถึง 6 เดือน ตามรายงานบอกว่าการสักแก้มชมพูนั้นจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 5,000 ถึง 8,000 บาท ทั้งนี้การสักแก้มชมพูในคลีนิคบางแห่งสามารถเปลี่ยนสีได้เรื่อยๆ เพราะใช้สีจากธรรมชาติ ที่ทางร้านยืนยันว่ามีความปลอดภัยสูง หลังจากที่มีการเผยแพร่การสักแก้มพูออกไป ทำให้สาวๆ ในอินเตอรเน็ตต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมากทีเดียว อย่างเช่นคุณ PearINWStyle กล่าวติดตลกว่า “ไม่ต้องตบหน้าตัวเองตอนตื่นให้เลือดฝาดละ” หรือคุณ Gift Marutui บอกว่า “มีสักรองพื้นไหม ทุกวันนี้ขี้เกียจลงรองพื้นมากที่สุดเลย” เอ้าสาวๆ คนไหนสนใจก็ลองหาข้อมูลกันได้นะจ๊ะ ที่มา cosmenet , kapook , PearlNWStyle
-
การอ่านหนังสือจากสื่อสิ่งพิมพ์และเครื่องอ่าน Kindle ส่งผลต่อสมองในรูปแบบที่แตกต่างกัน
เป็นที่ทราบกันดีกว่าในยุคสมัยปัจจุบันนี้กลายเป็นยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี ที่แทบจะเข้ามาแทนที่ทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว รวมไปถึงการเข้ามามีบทบาทเปลี่ยนแปลงการอ่านของมนุษย์ด้วย ที่เหมียวกำลังจะกล่าวถึงก็คือมนุษย์หันมาอ่านหนังสือผ่านเครื่องอ่านอิเล็กทรอนิคส์มากขึ้น (Kindle และ E-Book) คุณ Manoush Zomorodi และ Mike Rosenwald ได้ร่วมกันพิสูจน์ถึงผลกระทบของการอ่านหนังสือผ่านเครื่องอ่านอิเล็กทรอนิคส์ ซึ่งทั้งสองคนต่างก็รู้สึกเหมือนกันว่าไม่มีสมาธิที่จะจดจ่อกับการอ่าน ราวกับว่าอ่านตัวหนังสือผ่านเว็บไซต์หรือหน้าฟีดทวิตเตอร์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมนุษย์ใช้สมองในส่วนที่แตกต่างกัน จากทั้งการอ่านผ่านหนังสือและหน้าจอ เพราะฉะนั้นการอ่านตัวหนังสือจากหน้าจอจะทำให้มีลักษณะการอ่านแบบ Skimming (อ่านผ่านอย่างรวดเร็ว) คล้ายๆ กับการกวาดตาอ่านเว็บไซต์ Zomorodi กล่าวเสริมเอาไว้ว่า ปัจจุบันผู้คนหันมาอ่านตัวหนังสือผ่านหน้าจอกันมากขึ้น และทำให้ลักษณะการอ่านแบบจดจ่อนั้นค่อยๆ จางหายไป เพราะไม่ได้ใช้งานสมองส่วนที่อ่านหนังสือจากสิ่งพิมพ์เลย และด้วยปัญหานี้จะทำให้มนุษย์ยุคใหม่มีสมาธิที่สั้นลง ไม่จดจ่อกับสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กๆ ที่โตมากับเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะหันมาจับหนังสือจริงๆ แล้วลองใช้เวลากับมันซักพัก วันละ 1 ครั้งก็ยังดี ที่มา : pri, niemanreports, academia
-
เทรนด์ใหม่สาวจีน “เอื้อมมือไปข้างหลังแตะหน้าอก” ใครทำได้แปลว่าสุขภาพดี!?
หากใครยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้เคยมีกระแสที่สาวจีนแห่กันถ่ายภาพตัวเอง ขณะทำท่าเอามืออ้อมไปด้านหลังเพื่อแตะหน้าท้อง เพื่อพิสูจน์ว่าใครมีสุขภาพที่ดี จนกลายเป็นกระแสให้ชาวไทยหลายๆ คนต้องทำตาม ล่าสุดมีกระแสใหม่ออกมาอีกแล้วล่ะ แต่คราวนี้ไม่ใช่การจับหน้าท้อง แต่เปลี่ยนเป็นการจับหน้าอกแทน เพื่อพิสูจน์ว่าร่างกายสาวๆ นั้นมีความยืดหยุ่นและสุขภาพดีนั่นเอง การทำท่านี้ใช้หลักการเดียวกับท่าแตะหน้าท้อง นั่นก็คือหากคุณสามารถเอื้อมมือไปด้านหลังเพื่อแตะหน้าท้องได้ นั่นแปลว่าคุณผอมพอที่จะทำท่านี้ได้ และการใช้มือแตะไปที่หน้าอกก็เช่นกัน เราลองไปชมภาพสาวๆ ที่ทำท่านี้กันดีกว่า ดูว่าพวกเธอทำแล้วเป็นยังไง เดี๋ยวนะๆ!! เอ่อ นี่เริ่มจะไม่ใช่ละ หลังจากนี้ไปคงจะไม่มีอะไรเซอร์ไพรซืเหมียวอีกแล้วล่ะ เรามาตั้งตารอดูกันดีกว่าว่าครั้งต่อไปจะมีเทรนด์แปลกๆ ใหม่ๆ อะไรมาให้เราได้ดูบ้าง ที่มา shanghaiist
-
สาวสองพันปี!? ชมภาพ “หลิน จื้อหลิง” นางแบบสาวไต้หวัน สวยใสเหมือนวัยรุ่น ทั้งที่อายุ 41 แล้ว
ในยุคหนึ่งที่ซีรี่ย์ไต้หวันและจีนกำลังโด่งดังนั้นเอง เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักนักแสดงสาวนามว่าหลิน จื้อหลิง (Lin Zhi Ling) แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่รู้จักเธอแล้ว อาจจะคิดว่าเธอคนนี้มีอายุ 20 ปลายๆ แต่หารู้ไม่ว่าหน้าเด็กๆ แบบนี้ อายุเธอปาเข้าไปหลัก 4 แล้วนะเออ หลิน จื้อหลิง วัย 40 ปี เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2517 นั่นก็หมายความว่าในอีกเพียง 2 วันเธอก็จะอายุ 41 แล้ว แต่ใบหน้าของเธอยังคงดูอ่อนเยาว์เหมือนวัยรุ่นสาวๆ อยู่เลย ทั้งนี้ หลิน จื้อหลิง นั้นทำงานอยู่ในวงการบันเทิงมาอย่างยาวนาน ซึ่งล่าสุดเธอก็เพิ่งจะไปปรากฏตัวในภาพยนตร์ Red Cliff (สามก๊ก ตอน โจโฉแตกทัพเรือ) ในบทเสี่ยวเกี้ยว แถมเมื่อปี 2009 เธอยังถูกจัดอันดับให้เป็นสาวเซ้กซี่แห่งไต้หวันจากนิตยสาร FHM อีกด้วยนะ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ …
-
[เหมียวเตือนภัย] หมอฟันเตือน จัดฟันเถื่อนไม่ถูกสุขลักษณะ เสี่ยงติดเชื้อ HIV และโรคตับอักเสบ
แม้ว่าเราจะเคยเห็นกรณีตัวอย่างการจัดฟันเถื่อน จนทำให้ฟันผุฟันพัง บางคนถึงขั้นติดเชื้อจนเสียชีวิตมาแล้วหลายต่อหลายราย แต่ก็ยังมีคนอีกจำำนวนมากที่อยากสวยอยากหล่อ จนลืมคิดไปว่าบุคลากรและอุปกรณ์ที่นำมาใช้กับคุณนั้นไม่ได้คุณภาพและไม่สะอาดเอาเสียเลย ล่าสุดเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เฟซบุ๊กของคุณ Taksid Charasseangpaisarn ได้ออกมาโพสต์ข้อความเตือนผู้ที่คิดจะจัดฟันแฟชั่น ว่าอาจเสี่ยงติดเชื้อ HIV ได้โดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้คุณ Taksid ได้เล่าว่าตนเองได้ถอดเหล็ดจัดฟันแฟชั่นให้กับคนไข้รายหนึ่งที่ติดเชื้อ HIV แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าตอนที่จัดฟันแฟชั่น แม่ค้าผู้ที่ใส่ให้รู้หรือเปล่าว่าคนไข้ติดเชื้อ HIV? เพราะหากนำเอาอุปกรณ์ที่ใช้จัดฟันไปใช้กับคนอื่นต่อ ก็จะทำให้ผู้อื่นติดเชื้อ HIV? ไปแบบไม่รู้ตัว และนอกจากจะเสี่ยงต่อโรค HIV แล้ว ยังเสียงต่อการเป็นโรค Hepatits หรือโรคตับอักเสบ ที่อาจพัฒนากลายเป็นมะเร็งตับได้ด้วย และใช่ว่าผู้ที่อาจเสี่ยงติดเชื้อจะมีแค่คนที่ใช้อุปกรณ์ร่วมกันเท่านั้น เพราะแม่ค้า และคนเก็บขยะ หรือใครก็ตามที่สัมผัสกับอุปกรณ์เหล่านั้น ก็มีสิทธิ์จะติดเชื้อเช่นกัน เตือนกันบอกกันมาหลายปีแล้ว ว่าจัดฟันเถื่อนมันเสี่ยงอันตราย แต่ก็ยังมีคนอยากไปทำอยู่ เหมียวก็ไม่รู้จะว่ายังไงละนะ ที่มา Taksid Charasseangpaisarn
-
‘Lin Chi Ling’ ดารานางแบบสาวชาวไต้หวัน ถึงแม้ว่าจะมีอายุ 41 ปี แต่เธอก็ยังสวยเป๊ะจนน่าอิจฉา
หากใครที่ได้เห็นภาพของสาวสวยคนนี้ คุณอาจจะคิดว่าเธออายุ 20 ต้นๆ เท่านั้น แต่ถ้าหากคุณคิดอย่างนั้นละก็ บอกเลยว่าคุณคิดผิดซะแล้ว เพราะสาวสวยหมวยเอ็กซ์คนนี้ มีอายุอานามปาเข้าไป 41 ปีแล้วนะเออ ป้าดดดดดด ทำเอาเหมียวถึงกับขยี้ตาหลาย ครั้งเลยนะเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้หญิงอายุ 40 จะสวยเป๊ะขนาดนี้ อันที่จริงเธอคนนี้มีนามว่า Lin Chi Ling เธอเป็นนักแสดงและนางแบบสาวชาวไต้หวันวัย 41 ปี ที่เคยรับบทเป็น เสี่ยวเกี้ยว จากซีรีย์อันโด่งดังเรื่อง สามก๊ก ตอน โจโฉแตกทัพเรือ ยังไงละเหมียว ใครที่เคยดูสามก๊ก พอจะเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตาเธอบ้างหรือเปล่า หน้าเด็กเว่อร์ และนอกจากสามก๊กแล้ว เธอยังมีผลงานละครโทรทัศน์ โฆษณาและภาพยนตร์อีกมากมาย เช่น The Treasure Hunter , Welcome to Sha Ma Town และ The Magic…
-
แม่ค้าขายรีเทนเนอร์เถื่อนโพสต์ด่าทันตแพทย์ “เรามันคนละเกรดกัน อย่าขัดแข้งขัดขากันเลยค่ะ”
ถึงจะมีตัวอย่างให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับกรณีการจัดฟันเถื่อนแล้วฟันล้ม ฟันเน่า บางคนถึงขั้นติดเชื้อจนเสียชีวิตมาแล้วก็มี แต่ก็ยังคงมีพ่อค้าแม่ค้าจอมโลภ ที่หวังจะหลอกเอาเงินจากคนไม่รู้ โดยการนำรีเทนเนอร์แบบผิดกฎหมายมาขายอยู่เป็นประจำ ล่าสุดในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ภาพของแม่ค้าขายรีเทนเนอร์เถื่อนในเฟซบุ๊กได้โพสต์ข้อความต่อว่าหมอฟันและผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายว่า “แม่ค้าก็เปรียบเหมือนสายการบิน Low Cost ส่วนพวกหมอฟันเหมือนการบินไทย เรามันคนละตลาดกัน” พร้อมกับบอกว่า “อย่าขัดแข้งขัดขากันเลยค่ะ” ต่อมาในวันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เฟซบุ๊กของแม่ค้ารายดังกล่าวก็ได้โพสต์ข้อความว่าตอนนี้รีเทนเนอร์เถื่อนที่เธอขายอยู่ ได้ถูกส่งออกไปขายยังประเทสเพื่อนบ้านแล้ว ทั้งยังบอกว่า “หมอฟันแค่กั๊กไว้รวยเฉพาะพวกหมอฟัน แม่ค้ามาปลดแอกแล้วค่ะ” อะไรของคุณครับคู๊ณณณณณณ ตรรกะอะไรจะวิบัติขนาดนี้ ที่มา dodeden
-
ชวนทำเมนู ‘พิซซ่าค็อกเทลซอส’ เพื่อสุขภาพ แป้งทำเอง หอม นุ่ม อร่อย มีแค่หม้อหุงข้าวก็ทำได้
ฮัลโหลเอวี่บอดี้ที่น่ารักของเชพเหมียวทุกคน ในวันนี้เชพเหมียวจะมาชวนเข้าครัวไปกับเมนู ‘พิซซ่าค็อกเทลซอส’ ฉบับเพื่อสุขภาพ แป้งทำเอง อร่อยแบบง่ายๆ เพียงแค่มีหม้อหุงข้าวก็ทำได้แล้ว แหม!! แค่ได้ยินชื่อกับวิธีทำแสนง่ายก็คันไม้คันมืออยากเข้าครัวกันแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเราไปทำกันเลย วัตถุดิบของแป้งพิซซ่าโฮมเมดมีดังนี้ -แป้งสาลีเอนกประสงค์ 5 ถ้วยตวง -น้ำอุ่น 1 1/2 ถ้วย -ยีสต์ 2 ช้อนชา -น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา -น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ -เกลือ 1 1/2 ช้อนชา ส่วนนี่คือส่วนผสมของค็อกเทลซอส -มายองเนส 2 ช้อนโต๊ะกินข้าว -ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะกินข้าว -กระเทียมสับละเอียด 1 กลีบ -มะนาว 1 ซีก มาเริ่มทำในส่วนของแป้งกันเลย 1.ใส่น้ำตาลและยีสต์ลงไปในน้ำอุ่น จากนั้นก็ทิ้งไว้ให้ยีสต์ทำงาน 2.ผสมแป้งกับเกลือให้เข้ากัน แล้วทำหลุมตรงกลางเลยจ้า 3.ต่อไปก็ค่อยๆ…
-
‘เค้กกล้วยหอมไร้แป้ง’ เมนูขนมหวานแสนอร่อย หอมกรุ่นจากเตา ใครๆ ก็สามารถทำได้
สำหรับเมนูที่เชพเหมียวจะพามาทำในวันนี้ก็คือ ‘เค้กกล้วยหอมไร้แป้ง’ ที่ใครๆ ก็สามารถทำเองได้ง่ายมากๆ เพราะเพียงแค่มีไมโครเวฟ เท่านี้เราก็จะได้กินเค้กกล้วยหอมอร่อยๆ แล้วจ้า งานนี้ต้องขอขอบคุณ คุณ bookygatto จากเว็บไซต์พันทิปเป็นอย่างมาก ที่ได้มาแชร์สูตรขนมหวานแสนอร่อย และเต็มไปด้วยประโยชน์แบบนี้ และเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เหมียวว่าเราไปลงมือทำกันเถอะ ส่วนผสมสำหรับเมนูนี้ -ไข่ไก่ 1 ฟอง -กล้วยหอมสุก 1 ลูก -ผงฟู 2 ช้อนชา -กลิ่นวนิลา 1 หยด (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้จ้า) -ผลไม้สดตามชอบ (แอปเปิ้ล, สตรอว์เบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, กีวี่) เริ่มทำกันเลย -เริ่มจากนำกล้วยหอมสุกที่เตรียมไว้มาบดให้ละเอียด -แล้วนำกล้วยไปผสมกับไข่ไก่และผงฟู -จากนั้นก็คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน -เติมกลิ่นวนิลลาลงไป -ใส่ผงฟูลงไป 2 ช้อนชา -ต่อไปก็นำเข้าไมโครเวฟประมาณ 1-1.30 นาที โดยใช้ไฟแรงสุดเลย -เมื่อเวฟเสร็จแล้ว…
-
น่ากินเว่อร์!! ขอเสนอ ‘แพนเค้กช็อกโกแลตไร้แป้ง’ ของหวานคลีนๆ สำหรับคนกลัวอ้วนโดยเฉพาะ
สาวๆ คนไหนที่ชอบทานของหวานแสนอร่อยอย่างแพนเค้กละก็ จะต้องไม่พลาดเมนูนี้อย่างแน่นอน เพราะในครั้งนี้เชพเหมียวจะขอมานำเสนอสูตรของหวานแสนอร่อยอย่าง ‘แพนเค้กช็อกโกแลต’ นั่นเอง ซึ่งเมนูแพนเค้กที่เราจะชวนไปทำในวันนี้ นอกจากจะอร่อย และน่าทานแล้ว ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์อีกมากมายเลยละ เรียกได้ว่าของหวานเมนูนี้เป็นของหวานคลีนๆ สำหรับสาวๆ ที่กลัวอ้วนโดยเฉพาะ เอาละ!! เริ่มอดใจไม่ไหวกันแล้วละสิ ถ้าอย่างนั้นไม่รอช้า ไปเริ่มลงมือทำกันเลย ส่วนผสมที่ใช้ในเมนูนี้ -เมล็ดเชีย 1 ช้อนโต๊ะ -เมล็ดแฟล๊ค 1 ช้อนโต๊ะ -คาเคา 1 ช้อนชา -ไข่ไก่ 1 ฟอง -กล้วยหอมสุก 1 ลูก วิธีทำที่ง่ายแสนง่าย -เริ่มจากการนำกล้วยหอมสุกมาบดให้ละเอียด -ต่อไปก็นำกล้วยหอมสุกที่บดแล้ว, เมล็ดเชีย, เมล็ดแฟล๊ค, คาเคา และไข่ไก่มาใส่รวมกันในชาม แล้วคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน -เตรียมตั้งกระทะ โดยจะใช้ไฟอ่อน จากนั้นก็เทน้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย (พอให้เคลือบกระทะจ้า) -นำส่วนผสมของแพนเค้กทั้งหมดหยอดลงไปในกระทะ แล้วรอให้สุก -พอสุกแล้วก็ตักเสิร์ฟใส่จานราดด้วยน้ำผึ้ง หรือจะทานคู่กับผลไม้ก็ได้จ้า…
-
คลายข้อสงสัยของสิงห์อมควัน ทำไมถึงต้องสูบบุหรี่ในระหว่างหรือหลังดื่มสุราและเบียร์!?
เป็นเรื่องปกติธรรมดาของช่วงชีวิตวัยรุ่นหรือวัยทำงาน หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้ามาจากหน้าที่การงานในแต่วัน การได้ออกไปนั่งดื่มกับเพื่อนๆ ก็ถือว่าเป็นทางออกที่ช่วยบรรเทาได้ ทั้งนี้ก็ต้องดื่มอย่างมีสติด้วยนะจ๊ะ และหนึ่งสิ่งที่จะตามมาสำหรับนักดื่ม แต่ก็ไม่ใช่สำหรับทุกคน นั่นก็คือพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าหากได้ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไปซักพัก จะเริ่มมีอาการอยากสูบบุหรี่ และมันจะยิ่งต้องการมากกว่าช่วงเวลาที่ไม่ได้ดื่มหลายเท่าตัวด้วย (สูบบ่อยมากขึ้น) ลองสังเกตพฤติกรรมของเพื่อนที่สูบบุหรี่ในช่วงเวลาที่ออกไปนั่งดื่มด้วยกันดูสิ เมื่อเวลาผ่านไปซักพักพวกเขาจะเริ่มอยากบุหรี่ และยิ่งนั่งด้วยกันนานๆ ก็จะหายตัวออกไปสูบบุหรี่บ่อยถึงบ่อยมาก แล้วเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ มีผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้เปิดเผยเอาไว้แล้วล่ะ จากการศึกษาของ Dr. Mahesh Thakkar ได้อธิบายเอาไว้ว่า ผลกระทบหลักจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็คือความง่วง และเมื่อแอลกอฮอล์มาเจอกับสารนิโคติน (ในผู้ที่สูบบุหรี่อยู่แล้ว) มันก็เลยกลายมาเป็นตัวกระตุ้นเพื่อป้องกันการนอนหลับ ซึ่งหากเป็นผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็จะดื่มหนักเช่นกัน โดยที่สารนิโคตินเป็นตัวที่ทำให้ความง่วงที่เกิดจากแอลกอฮอล์จางไป ทำหน้าที่กระตุ้นส่วนตอบรับของสมองที่ชื่อว่า Basal forebrain ยิ่งกระตุ้นไม่ให้หลับ เพราะนิโคตินไม่อยากให้หลับ ก็เลยไปกระตุ้นให้อยากสูบบุหรี่มากขึ้น อย่างไรก็ตามผลการศึกษาก็สอดคล้องอย่างเห็นได้ชัดว่าร้อยละ 85 ของชาวอเมริกันที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักจะมาควบคู่กับการสูบบุหรี่ เอาเป็นว่าเมื่อมีฉันก็ต้องมีเธอ พึ่งพาซึ่งกันและกัน แต่ถ้าหากว่าใครเลิกได้ก็จะดีกับทั้งสุขภาพร่างกายและเงินในกระเป๋าด้วยนะจ๊ะ ที่มา : unilad
-
เปิดเมนู ‘ลาบเห็ดเข็มทอง’ ที่สุดแห่งความแซบ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของลาบแท้ๆ คิดแล้วก็ฟิน!!
หากจะพูดถึงอาหารแซบๆ หลายคนก็คงจะนึกถึงต้มยำกุ้ง ส้มตำ กันใช่ไหมละ ซึ่งในวันนี้เราก็จะขอมานำเสนอเมนูลาบสุดแซ่บ ที่มีทั้งความอร่อย และมีทั้งประโยชน์แบบเต็มๆ และเมนูที่ว่าก็คือ ‘ลาบเห็ดเข็มทอง’ นั่นเอง แค่ได้ยินชื่อก็น้ำลายไหลกันจะแย่แล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มทำกันเลย วัตถุดิบมีอะไรบ้างน้า – เห็ดเข็มทอง -เนื้อหมูสไลด์ -ลูกชิ้น -ผักต่างๆ (แตงกวา แครอท ผักกาด มะเขือเทศ ต้นหอม ผักชี ผักชีฝรั่ง สาระแหน่ ข่า ใบมะกรูด มะนาว หอมแดง และกระเทียม) -เครื่องปรุง (น้ำปลา ผงชูรส น้ำมะนาว และพริกป่น) -ข้าวคั่ว -แคบหมู เริ่มหิวกันแล้วใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้นมาเริ่มทำกัน!! -นำเห็ดเข็มทอง แตงกวา ผักกาด ลูกชิ้น เนื้อหมู ลงไปลวกในน้ำร้อนให้สุก แล้วนำไปใส่ในภาชนะที่จะคลุกเคล้าเพื่อปรุงลาบ -จากนั้นก็ใส่น้ำปลา ผงชูรส น้ำมะนาว พริกป่น และข้าวคั่ว ลงไป…
-
[สาระแบบเหมียวๆ] พาไปดู 4 ประเด็นจริงหรือไม่เกี่ยวกับ “น้ำมันหมู”
น้ำมันหมูถือเป็นน้ำมันที่เราใช้ปรุงอาหารกันมานานแล้ว ก่อนที่เราจะเลิกใช้ เพราะพวกฝรั่งเมืองหนาวตาน้ำข้าวมาบอกว่าให้เลิกใช้ ด้วยเหตุผลต่างๆนานา (ซึ่งอาจแฝงการตลาด) แต่ไปๆ มาๆ ก็มาบอกว่าน้ำมันหมูมันดี จนฝรั่งหลายคนยังหันมาใช้ เอ๊ะมันยังไง? วันนี้แอดเหมียวจะรวบรวมประเด็นถกเถียงกันทุกครั้งที่พูดเรื่องน้ำมันหมู(บอกก่อนว่าเหมียวก็ไม่ได้เข้าข้างใครนะ เพราะครัวที่บ้านเองก็มีทั้งน้ำมันหมู น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าวเหมือนกัน) พร้อมแล้วมาดูกันเลย 1. น้ำมันหมูของธรรมชาติ ปราศจากกระบวนการเคมี อันนี้จริงนะ เพราะใช้มันจากหมูเลย (ก็ต้องธรรมชาติดิ) ไม่ต้องสกัดหรือผ่านกระบวนการเคมีใดๆ ให้กลายเป็นน้ำมันจึงเป็นวัตถุดิบที่ได้จากธรรมชาติโดยตรงไง 2. คอเรสเตอรอลดีหรือคอเรสเตอรอลตัวร้าย มันหมูแม้จะมีไขมันอิ่มตัว แต่ก็มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูงเช่นกันนะ (https://th.wikipedia.org/wiki/กรดไขมัน) ซึ่งไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว หรือ Mono- Unsaturated Fatty Acid เป็นไขมันที่ดี ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมีคุณสมบัติช่วยลดระดับคอลเลสเตอรอลที่เป็นไขมันเลวและไตรกลีเซอไรด์ในร่างกาย ลดความเสี่ยงหลอดเลือดอุดตันแต่จริงๆ เหมียวว่า ขึ้นชื่อว่าน้ำมันไม่ว่าชนิดไหน กินมากไปก็ไม่ดี ควรรู้จักกินของผัดทอดแต่พอดีและออกกำลังกายดีกว่านะ 3. ทนความร้อน ไม่กลายเป็นสารก่อมะเร็ง น้ำมันหมูมีจุดเดือดสูงทนความร้อนเวลาทำอาหารจึงไม่เปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์(Trans Fat) ได้ง่ายๆ ซึ่งเจ้าไขมันทรานส์นี่และที่เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็งแต่ก็อย่างที่บอกนะ กินของทอดแต่พอดีแล้วออกกำลังกายด้วยจ้า …
-
เหมียวแนะนำวิธีคลายเครีดแบบง่ายๆ เพียงแค่นวดบริเวณนี้ของหูเท่านั้น!!
ในทุกๆ วันเราต้องเจอกับความเครียกหลากหลายรุปแบบ เป็นความเครียดเล็กๆ น้อยๆ หรืออาจสะสมจนเครียดจัดและก่อให้เกิดอาการไมเกรนได้ แต่ก็อย่าเพิ่งกลัวไปเพราะเรามีวิธีคลายความเครียดมากมายให้เลือกกัน ทั้งเล่นกัฬา ออกกำลังกาย หาเรื่องสนุกๆ ทำกัน แต่เชื่อหรือไม่ว่ามันมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น เพียงแค่คุณนวดบริเวณใบหู (ตามภาพด้านล่าง) เท่านั้น มันก็จะช่วยคลายความเครียดให้คุณได้อย่างเหลือเชื่อเลยล่ะ เทคนิคนี้ถูกเปิดเผยผ่านจิตแพทย์ชื่อดังที่ชื่อว่า Dr.Mark Sandomirsky ชาวรัสเซีย เขากล่าวว่ามีอยู่จุดหนึ่งบนใบหูของเราที่ชื่อว่า Shen Men(เชินเหมิน) แปลว่าประตูสวรรค์ ที่เมื่อเราสัมผัสหรือนวดลงไปแล้ว มันจะทำให้ร่ายกายของเรารู้สึกผ่อนคลาย แต่ก่อนที่เราจะนวดใบหูเพื่อลดความเครียดล่ะก็ ก่อนอื่นเราจะต้องปล่อยวางและโยนความรู้สึกเครียดๆ และหนักอกหนักใจออกไปก่อน จากนั้นค่อยนวดลงไปที่บริเวณใบหูเพื่อลดความเครียดทางร่างกายลง ชมคลิปได้ที่ด้านล่าง เจ้าจุด Shen Men นี้ ทางการแพทย์ของจีนเชื่อกันว่าการนวดจุดนี้จะนำพลังกลับมาสู่ร่างกายของคุณ ซึ่งมีการทดลองและได้ผลลัพภ์ที่น่าทึ่งมาก เพราะนอกจากจะลดความเครียดแล้วมันยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของพลังงานในร่างกายเราด้วย ลองกลับไปนวดกันดูนะจ๊ะ ที่มา popcornfor2 , EarSeeds.com
-
Rene Campbell สาวนักเพาะกายกล้ามล่ำบึก เพราะการมีกล้ามมันทำให้เธอมั่นใจมากขึ้น!!
โดยปกติทั่วไปแล้วเพศหญิงหรือหญิงสาวมักจะมาคู่กับความงามบนเรือนร่าง หุ่นผอมเพรียวหรือไม่ก็อวบอั๋นเจ้าเนื้อ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับนิยามความงามของแต่ละคน แต่สิ่งหนึ่งที่มักจะคู่กับชายหนุ่มกำยำร่างใหญ่นั่นก็คือ ‘กล้าม’ กลับไปอยู่กับเธอคนนี้แทน!! Rene Campbell วัย 38 ปีผู้นี้ คือหนึ่งในหญิงสาวนักเพาะกายที่มีกล้ามอันล่ำบึกและหนักแน่น เนื่องจากว่าเธอเป็นบุคคลที่ประสบกับโรคไบกอร์เร็กเซีย (Bigorexia) เป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่งที่คิดว่าตัวเองมีขนาดเล็กเกินไปและไม่มีความกำยำล่ำสัน ไม่พอใจรูปร่างตัวเอง เธอได้เปิดเผยว่าจากการที่เธอพยายามเพาะกายให้ดูแข็งแรงมีกล้ามเนื้อนั้น ทำให้เธอมีความมั่นเพิ่มมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เธอเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ยอมออกไปไหนเลย เนื่องจากไม่มั่นใจในตัวเอง แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ต้องมีความอดทนและมีระเบียบวินัยที่สูงมาก จะต้องทำการฝึกฝนและทำการเพาะร่างกายอย่างถูกต้อง การดูแลรักษาสุขภาพ และการควบคุมอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ จนในที่สุดเธอก็ทำได้สำเร็จตามที่หวังเอาไว้ จะว่าไปแล้วเหมียวรู้สึกกลัวยังไงไม่รู้แฮะ ยังทำใจให้รู้สึกชินกับผู้หญิงมีกล้ามใหญ่ๆ แบบนี้ไม่ได้ ฮ่าฮ่า!! แต่ก็ยินดีกับเธอที่ค้นพบตัวตนของตัวเองได้สำเร็จ ส่วนใครที่ยังไม่รู้ตัวตนของตัวเองก็ขอให้เจอภายในเร็ววันนะจ๊ะ ดูกล้ามเนื้ออันหนาแน่นนั่นสิ ยิ่งกว่าผู้ชายซะอีกแหนะ!! ที่มา : unilad
-
ขุ่นพระ!! สื่อนอกเผย คุณยายมีสิวหัวดำซ่อนอยู่ที่ปลายคิ้วมานานหลายปี คนแห่ดูเป็นล้าน
เมื่อไม่นานมานี้เว็บไซต์ Dailymail ของอังกฤษได้เปิดเผยคลิปวิดีโอชวนสยองคลิปหนึ่งของคุณยายคนหนึ่ง ที่มีสิวหัวดำฝังอยู่ที่ปลายคิ้วมาเป็นเวลานานหลายปี จนต้องเข้าพบคุณหมอเพื่อผ่ามันออก เมื่อคุณยายเดินทางไปหาหมอก็พบกับแพทย์หญิง Sandra Lee ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจากรัฐแคลิฟอร์เนีย เธอได้ทำการฉีดยาชาบริเวณรอบๆ หัวสิว ก่อนที่จะใช้มีดผ่าออกมา ทำให้พบกับก้อนสิวขนาดยักษ์ฝังตัวอยู่(ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เหมียวเคยเห็นมาเลย) ทั้งนี้แพทย์หญิง Sandra ได้กล่าวว่าสิวเม็ดนี้ไป้รอดพ้นสายตาของเธอไปหลังจากการตรวจครั้งก่อน จนลูกสาวของคุณยายต้องบอกกับเธอว่าคุณแม่ของเธอมีสิวหัวดำเม็ดเป้งอยู่ที่ปลายคิ้วและขอให้คุณหมอช่วยนำมันออกไปให้หน่อย ชมคลิปได้ที่ด้านล่างเลย(แนะนำว่าดูหลังกินข้าวแล้วนะ) ดูแลทำความสะอาดใบหน้าของคุณให้ดีๆ นะจ๊ะ อย่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ เหมียวเห็นแล้วสยองเลย ที่มา Dr. Sandra Lee (aka Dr. Pimple Popper)
-
เรื่องง่ายๆ ที่ไม่ควรมองข้ามกับการ ‘ล้างมือ’ ให้สะอาด จะต้องใช้เวลากี่วินาที!?
ในแต่ละวันเราจะต้องพบเจอกับมลพิษต่างๆ มากมาย และหนึ่งสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือการหยิบจับสิ่งของหรือสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ผ่านมือของเราเอง ทั้งๆ ที่เราคิดว่าสะอาดแล้ว แต่พอนานๆ เข้าก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดีเลยแหละ โดยภาพนี้แสดงให้เห็นถึงมือของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค โดยมือนี้ยังไม่ได้ทำการล้างแต่อย่างใด จะสังเกตเห็นได้ว่าเต็มไปด้วยสีขาวโพลนเลย!! สภาพของมือหลังจากที่ล้างแบบผ่านๆ มาต่อกันที่สภาพของมือหลังจากที่ล้างด้วยการแช่น้ำเป็นเวลา 6 วินาที ถัดมาคือการล้างมือด้วยสบู่อีก 6 วินาที สีขาวๆ เริ่มจางหายไปแล้ว ถึงแม้จะล้างด้วยสบู่แต่ก็ยังไม่สะอาดพอ ต้องล้างให้นานกว่านี้อีกเป็นระยะเวลา 15 วินาที แต่ถ้าจะให้สะอาดหมดจดจริงๆ ก็ควรที่จะล้างมือด้วยสบู่เป็นระยะเวลา 30 วินาที อย่างมากก็กำจัดเชื้อโรคออกไปได้เกือบหมดแล้วล่ะ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเลย เพราะว่าเราจำเป็นที่จะต้องใช้มือในการสัมผัส และก็คงไม่อยากนำเชื้อโรคมาสัมผัสตัวกันใช่มั้ยเอ่ย? ที่มา : thechive
-
การลวกช้อนส้อม ในน้ำที่ร้อนไม่พอ ไม่ได้ช่วยกำจัดเชื้อโรค แถมยังเพิ่มจำนวนให้มากกว่าเดิม!?
เวลาที่เราไปรับประทานอาหารตามโรงอาหารต่างๆ หรือตามศูนย์อาหารภายในห้างสรรพสินค้า จะสังเกตได้ว่ามีการตั้งหม้อน้ำร้อนไว้ให้บริการลวกช้อนส้อม ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการกำจัดเชื้อโรคที่ติดอยู่กับช้อนส้อมที่มีไว้ให้บริการนั่นเอง งานนี้ก็กลายมาเป็นประเด็นกันอีกครั้งเมื่อมีการแชร์ข้อความจาก Facebook ส่วนตัวของ ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน ที่ได้มีการโพสต์ข้อความเตือนเกี่ยวกับการลวกช้อนส้อมด้วยหม้อหุงข้าวตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งการลวกช้อนส้อมเพื่อฆ่าเชื้อโรคต่างๆ นั้นจะต้องใช้อุณหภูมิสูงกว่า 98 องศาเซลเซียส และใช้เวลาประมาณ 4 นาที ผมขอบอกว่า ผมไม่เคยลวกช้อนส้อมด้วยหม้อหุงข้าวเลย เหตุผลคือ เราต้องการทำลายเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสต่างๆใช่มั้ยครับ เช่น ไ… Posted by ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน on Wednesday, March 12, 2014 โดยการที่จุ่มช้อนส้อมลงในหม้อตามศูนย์อาหารต่างๆ นั้นไม่มีอุณหภูมิที่สูงพอ และพฤติกรรมการจุ่มช้อนส้อมลงในหม้อนั้นก็ทำเพียงแค่ไม่กี่วินาที ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยทำให้ช้อนส้อมสะอาดและปราศจากเชื้อโรคแล้ว ยังเป็นการเพิ่มเชื้อโรคทั้งในน้ำภายในหม้อและติดขึ้นมากับช้อนส้อมมากกว่าเดิมอีก อย่างไรก็ตาม ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน ก็ได้กล่าวเพิ่มเติมเอาไว้ว่าหากลวกในน้ำร้อนที่เดือดพอ ก็น่าจะโอเคกว่าการที่จุ่มช้อนส้อมในน้ำร้อนปกติและใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ที่มา : ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน
-
ยังเตะปี๊บดังอยู่นะ!! เหมียวพาไปชม 15 คุณลุง ที่แม้จะอายุมาก แต่ความเฟี๊ยวไม่แพ้วัยรุ่นเลย
แน่นอนว่าเมื่อเราแก่ตัวไป ร่างกายก็จะเริ่มเหี่ยว ใบหน้าของเราก็จะเริ่มแก่ไปตามกาลเวลา เรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องที่เราฝืนธรรมชาติไม่ได้นะ แต่สิ่งหนึ่งที่เราพอจะทำได้ก็คือการแต่งตัว การออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดูหนุ่มฟ๊อหล่อเฟี๊ยวอยู่ตลอดเวลา การที่เราหมั่นดูแลตัวเองอยู่เสมอ แม้ว่าเราจะมีอายุเลยวัยเลข 4 เลข 5 ไปแล้วก็ตาม มันก็จะทำให้เราดูเป็นวัยรุ่นอยู่ ถ้าคุณไม่เชื่อล่ะก็ วันนี้เหมียวมีตัวอย่างของคุณลุง 15 คน ที่แม้ว่าจะผ่านวัยหนุ่มมาแล้ว แต่ก็ยังหล่อเฟี๊ยวอยู่ จะเป็นไงนั้นมาชมกันเลย 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13. 14. 15. ไงล่ะหนุ่มๆ เริ่มเห็นอนาคตตัวเองหรือยัง?…
-
บททดสอบร่างกาย ‘กำนิ้วโป้งแล้วบิดข้อมือลง’ ถ้าหากรู้สึกเจ็บแปล๊บแสดงว่าใช้งานหนัก!!
เหมียวเชื่อว่าทุกวันนี้ใครๆ ก็คงจะหันมาใช้สมาร์ทโฟนกันหมดแล้ว แบบว่าหันไปทางไหนก็เห็นมีแต่คนใช้นิ้วจิ้มหน้าจอ สไลด์ไปๆ มาๆ และหนึ่งในพฤติกรรมที่เรามักจะทำโดยไม่รู้ตัวนั่นก็คือการหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเช็คแทบจะทุกนาที และสไลด์หน้าจอด้วยนิ้วโป้งบ่อยๆ ด้วยพฤติกรรมดังกล่าว หากใครทำบ่อยๆ เป็นประจำเกือบทุกวันก็จะส่งผลทำให้เกิดอาการเจ็บบริเวณข้อมือได้ ถ้าอย่างนั้นลองทำ Eichoff’s Test เป็นการทดสอบร่างกายด้วยการกำนิ้วโป้งแล้วบิดข้อมือลง เพื่อที่จะได้รู้ว่าคุณเป็นโรค De Quervain’s รึเปล่า? ซึ่งถ้าหากว่าคุณลองแล้วรู้สึกเจ็บแปล๊บและปวดบริเวณข้อมือ นั่นก็หมายความว่าคุณใช้งานนิ้วโป้งในการสไลด์หน้าจอหรือสัมผัสปุ่มบนหน้าจอบ่อยเกินไป กลายเป็นโรค De Quervain’s หรือปลอกหุ้มเอ็นอักเสบ ถ้ารู้ตัวแล้วก็ควรที่จะพักการใช้งานบ้าง และรีบไปพบแพทย์เป็นการด่วนเลยจ้า ที่มา : fooyoh
-
เปิดภาพวิธีรักษาฟันของเหล่าสัตว์โลก ที่หลายคนอาจไม่เคยเห็นมาก่อนแน่นอน!!
เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า ปากและฟันของสัตว์ ถือเป็นอวัยวะสำคัญ ซึ่งถ้าหากไม่ได้รับการดูแลแล้วละก็ อาจจะทำให้พวกสัตว์เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมาได้นะเหมียว และในวันนี้เราจะขอมานำเสนอ 13 ภาพของเหล่าสัตว์ในมุมที่หลายคนอาจไม่เคยเห็นมาก่อนนั่นก็คือ การที่พวกมันกำลังรักษาสุขภาพฟัน และช่องปากอยู่นั่นเอง เราลองมาดูกันว่าเหล่าสัตว์แพทย์ จะมีวิธีรักษาช่องปากและฟันของพวกสัตว์อย่างไรกันบ้าง 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 หากเพื่อนของคุณยังไม่เคยเห็นภาพเหล่านี้ ก็อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนของคุณได้ดูกันเยอะๆ น้า ที่มา : piximus
-
เชื่อหรือไม่ว่าคุณครูสอนโยคะท่านนี้ อายุมากถึง 95 ปีแล้ว แต่ดูยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย!!
การออกกำลังกายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยยืดอายุให้ยาวนานขึ้นได้ เพราะนั่นหมายถึงการมีสุขภาพที่ดี ระบบภายในต่างๆ ยังทำงานได้ดีเยี่ยม แต่ถ้าจะบอกว่าคุณครูสอนโยคะจากตุรกีนามว่า Kazim Gurbuz ท่านนี้มีอายุยืนมากถึง 95 ปีแล้วล่ะ!? จะเชื่อกันบ้างมั้ยเนี่ย ก็เพราะว่ายังดูหนุ่มอยู่เลย ไม่เหมือนผู้สูงอายุในวัยเดียวกันแม้แต่น้อย ซึ่งตัวเขาเองก็กล่าวเอาไว้ว่าปัจจัยหลักที่ทำให้มีอายุยืนยาวได้นั้นก็มาจากโยคะและการควบคุมอาหาร จึงทำให้เขายังมีสุขภาพที่ดีและรูปร่างที่ยังดูหนุ่มอยู่นั่นเอง แทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยว่าคุณปู่มีอายุ 95 ปีแล้ว ไม่มีท่าทางเหมือนผู้สูงอายุเลย หากใครอยากมีอายุยืนก็ขอให้รักษาสุขภาพกันให้ดีนะจ๊ะ ที่มา : thechive
-
จริงหรือไม่? นักวิทย์ฯฝรั่งเศสเผย การสวมใส่ ‘ยกทรง’ อาจทำให้หน้าอกหย่อนคล้อยเร็ว
สาวๆทั่วโลกคนรู้ดีว่า การสวมใส่ชุดชั้นในนั้นช่วยให้หน้าอกของเราได้รูปทรงที่สวยงามและช่วยปกปิด ‘บางอย่าง’ ไม่ใช้โผล่ออกมาชี้หน้าผู้คน แต่วันนี้สาวๆอาจจะต้องคิดใหม่ซะแล้วล่ะ เพราะล่าสุดมีนักวิทยาศาสตร์จากประเทศฝรั่งเศสได้ออกมาให้ความเห็นว่า การไม่สวมใส่ชุดชั้นในอาจช่วยให้หน้าอกของคุณเต่งตึงได้ดีกว่าเดิม เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ต่างประเทศได้เผยถึงผลการวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสรายหนึ่งว่า ในแต่ละปีหัวนมของหญิงสาวจะขยับยกขึ้นประมาณ 7 มิลลิเมตร หากหญิงสาวเหล่านั้นไม่สวมใส่ยกทรง จากการศึกษาพบว่าการสวมใส่ยกทรงเป็นการขัดขวางการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อบริเวณหน้าอก ส่งผลให้หน้าอกของหญิงสาวหย่อนคล้อยได้เร็วยิ่งขึ้น ผู้ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้คือนาย Jean-Denis Rouillon ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การกีฬาจากศูนย์รักษาพยาบาล Centre Hospitalier Universitaire ในเมืองดีฌง ประเทศฝรั่งเศส ในทางการแพทย์, ทางสรีระวิทยา และทางกายภาพ ระบุตรงกันว่าการสวมใส่บราไม่เป็นประโยชน์ใดๆต่อหน้าอกของหญิงสาว ในทางตรงกันข้ามมันจะทำให้หน้าอกหย่อนคล้อยจากการสวมใส่มันอีกด้วย Rouillion ศึกษาเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 1997 กับหน้าอกของหญิงสาวอาสาสมัครที่มีอายุระหว่าง 18-35 ปี จำนวนกว่า 330 คน โดยเขาได้ใช้ไม้บรรทัดและคาลิปเปอร์มาวัดขนาดหน้าอกและบันทึกความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างลงไป แต่น่าเสียดายที่นาย Rouillon ต้องเปิดเผยถึงผลการวิจัยของเขาว่า บราไม่ได้ช่วยให้หน้าอกของสาวๆดีขึ้นเลย เขาจึงสรุปว่าหญิงสาวไม่ควรสวมใส่บราอีกต่อไป… ที่มา metro
-
แฟนจ๋าอย่าทำตาม!! พบกับ 5 วิธีสุดแปลกที่ ‘ผู้หญิง’ ใช้ในการลดน้ำหนัก เอิ่ม…. -*-
คนส่วนใหญ่นั้นมีความไฝ่ฝันที่รูปร่างที่ดี ผอมสวย เพื่อเสริมสร้างบุคลิกและความมั่นใจ เหมียวว่าในสมัยนี้มีสารพัดวิธีที่จะช่วยลดน้ำหนัก มีเยอะจนเราเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว แต่สำหรับบางคนการลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายคงผอมไม่ทันใจจึงทำให้เกิดวิธีลดน้ำหนักแสนแปลกประหลาดพวกนี้ขึ้นมา วันนี้เหมียวเลยจะพาไปดู 5 วิธีสุดยี้ที่เห็นแล้วแบบว่า คิดได้ยังไงเนี่ย? 1. กินอาหารผ่านสายยางลดอ้วน วิธีนี้ต้องกินอาหารผ่านสายยางเหมือนกับผู้ป่วยในโรงพยาบาล 10 วัน แบบนี้ใครจะไม่ผอมลงล่ะ!! แต่วิธีการนี้ก็มีผลข้างเคียงด้วยนะคือ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การขาดน้ำ หรือ ท้องผูก แถมผู้เชี่ยวชาญได้พิสูจน์แล้วว่าวิธีนี้น่ะมันได้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้นแหละAll Posts 2. พันร่างการด้วยแรป คุณอาจจะเคยเห็นสาวๆในสปาพันทั้งตัวด้วยแรปยั่งกะมัมมี่เป็นชั่วโมงๆ เพื่อที่น้ำหนักตัวของพวกเธอจะได้ลดลงไปบ้าง และมันก็ได้ผลจริงๆ แต่!! อีกไม่นานน้ำหนักของพวกเธอก็จะกลับมาเท่าเดิม การที่ แขน ต้นขา หรือ รอบเอวลดลงไปนั้นมันเป็นแค่การหดตัวทางกายภาพเท่านั้นแหละ!! 3. ฝังเข็มที่หูลดน้ำหนัก วิธีนี้ใช้การฝังเข็มลงไปบนใบหู เพื่อกดประสาท ทำให้ไม่หิว กินได้น้อยลง ฝังเป็นเวลากว่าสัปดาห์ จึงทำให้มีน้ำหนักลดลง แต่รู้ไหมว่าคนที่เลือกใช้วิธีนี้กว่า 20% เกิดการติดเชื้อที่ใบหู!! …
-
เหมียวเผย 10 ประโยชน์สุดมหัศจรรย์ของ ‘น้ำผึ้ง’ ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน
‘น้ำผึ้ง’ ไม่ได้ให้เพียงแค่ความหอมหวานเพียงอย่างเดียว แต่น้ำผึ้งยังมีคุณประโยชน์อีกมากมายที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็น ช่วยปรับสภาพผิว หรือแม้กระทั่งรักษามะเร็ง ‘น้ำผึ้ง’ ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน และในวันนี้เราได้หยิบบทความหนึ่งในเวปไซด์ lifehack เกี่ยวกับ 10 ประโยชน์ของน้ำผึ้ง มาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน รับรองว่าทุกคนจะต้องทึ่งในความมหัศจรรย์ของน้ำผึ้งแน่นอน 1.น้ำผึ้งคือแหล่งวิตามินและแร่ธาตุ ใครจะไปรู้ล่ะว่า ‘น้ำผึ้ง’ นี่แหละที่เป็นแหล่งรวมวิตามินซีและแร่ธาตุชั้นดี ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และเสริมสร้างกระดูก แถมยังมีประโยชน์ต่อระบบไหลเวียนโลหิตอีกด้วย 2.ช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดแดง หากเราดื่มน้ำเปล่าผสม ‘น้ำผึ้ง’ มันก็จะยิ่งช่วยเพิ่มระดับพลังงานของเรา ทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องง่ายขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มการผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย และเพิ่มปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือดได้เช่นกัน 3.น้ำตาลทางเลือก เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าความหวานของน้ำผึ้งแท้นั้น ประกอบไปด้วยน้ำตาล ซึ่งเป็นน้ำตาลธรรมชาติ ที่ช่วยในเรื่องของการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดนั่นเอง 4.มีประโยชน์ทางการแพทย์มากมาย ‘น้ำผึ้ง’ นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ เลยนะเนี่ย เพราะนอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังมีสรรพคุณในการต้านเชื้อแบคทีเรีย สามารถนำมาใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ และยังใช้รักษาโรคปอด เช่น น้ำมูกและหอบหืดได้ด้วย 5.น้ำผึ้งเป็นพรีไบโอติค หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า…
-
ท๊าดา!! นี่คือ ‘แอปเปิ้ลชิพ’ เมนูของว่างแคลอรี่ต่ำ ทานได้ทุกวันไม่มีเบื่อแน่นอน
ของทอด หรือขนมกรุบกรอบที่หลายคนชอบทานกันนั้น ล้วนแต่สาเหตุที่ทำให้เราอ้วน อ้วน อ้วน และก็อ้วน บางคนพยายามเลิกทานของพวกนี้แต่ก็เลิกไม่ได้สักที ก็แน่สิของพวกนี้มันอร่อยนิ ยังไงก็ยอมอ้วนดีกว่าอดทานของอร่อยๆ ใช่ไหมล่ะ และในวันนี้เราจะมานำเสนอของว่างแสนอร่อย ที่จะทำให้คุณลืมเจ้าขนมกรุบกรอบไปเลยนั่นก็คือ ‘แอปเปิ้ลชิพ’ นั่นเอง เรียกได้ว่าเมนูนี้ทั้งแคลอรี่ต่ำ มีประโยชน์ และที่สำคัญกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนอีกด้วย นั่นแน่!! อยากรู้แล้วล่ะสิว่าวิธีทำเป็นยังไง ถ้าอย่างนั้นเราไปเริ่มทำกันเลย สิ่งที่ต้องเตรียม มีแอปเปิ้ลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น (ใครที่อยากทำเก็บไว้ทานเยอะๆ ก็จัดหลายๆ ลูกเลย) เริ่มทำกันเลยดีกว่า เริ่มแรกให้เราเตรียมวอร์มเตาอบไว้ที่ 200 องศาฟาเรนไฮต์ก่อนเลย จากนั้นก็นำแอปเปิ้ลมาสไลด์ให้ได้แผ่นบางๆ แล้วนำไปเรียงบนถาดอบตามรูปเลยฮะ อบเป็นเวลา 1 ชั่วโมง แล้วนำออกมาพลิกด้าน แล้วก็อบต่ออีก 1 ชั่วโมง แค่นี้ก็เสร็จแย้ววว ท๊าดา…มาแล้วจ้า ‘แอปเปิ้ลชิพ’ ของว่างแคลอรี่ต่ำสำหรับคนรักสุขภาพ งานนี้กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนแน่นอน ว้าววววว ท่าทางกรอบน่ารับประทานมาก ลองสักชิ้นแล้วคุณจะติดใจ **หากเพื่อนๆ ทำในปริมาณมากๆ ก็ควรบรรจุใส่ภาชนะและปิดฝาให้สนิทนะจ๊ะ เพราะไม่งั้นแอปเปิ้ลของเราจะไม่กรอบน้า**…