Tag: สุขภาพจิต
-
หนุ่มผู้ยอมรับตัวตน กับอาการเสพติดเซลฟี่รุนแรง มีความสุขที่ได้ถ่ายรูปตัวเอง 200 รูปต่อวัน!!
การเซลฟี่ในยุคสมัยปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับไปโดยปริยายแล้วล่ะ เพราะไม่ว่าจะไปไหนหรือไปทำอะไร คนเราก็อยากจะถ่ายรูปตัวเองพร้อมกับสถานการณ์ ณ ตอนนั้น เพื่อนำมาแชร์ให้กับคนรู้จักได้รับรู้ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ แต่คงไม่มีใครเซลฟี่รูปตัวเองแบบหนักหน่วงและต่อเนื่องได้เท่าพ่อหนุ่ม Junaid Ahmed วัย 22 ปีคนนี้แล้วล่ะ และที่หนักขนาดนั้นเป็นเพราะว่า เจ้าตัวเผยถึงจำนวนการเซลฟี่อยู่ที่ขั้นต่ำ 200 รูปต่อวัน!! Junaid Ahmed Junaid Ahmed อดีตนักศึกษาสาขาแฟชั่นและอดีตนายแบบ วัย 22 ปี จากเมืองปีเตอร์โบโรห์ ประเทศอังกฤษ มีความลุ่มหลงกับการเซลฟี่เป็นอย่างมาก โดยที่เขานั้นจะใช้เวลาเตรียมตัวเซลฟี่ประมาณ 3 ชั่วโมง ได้จำนวนรูปภาพอย่างต่ำหลัก 200 รูป จากนั้นจะคัดเลือกรูปที่ดูดีที่สุดและอัปโหลดสู่อินสตาแกรม เขาจะใช้เวลาแต่งหน้าทำผมหน้ากระจกก่อนเสมอ หลังจากนั้นก็จะทำการเซลฟี่อย่างต่อเนื่องทุกๆ วัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ติดตามในอินสตาแกรมกว่า 50,000 คน จะได้เห็นในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจนำเสนอ ซึ่งนอกเหนือจากการแต่งหน้าแล้ว เขาก็ได้รับการผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้าอีกหลายส่วนด้วย “เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมโพสต์รูปภาพไปแล้ว ภายใน 1 หรือ 2 นาทีแรกก็จะได้รับจำนวนไลก์เกิน…
-
ผู้เชียวชาญแนะวิธีที่จะทำให้คุณเลิก ‘คิดมาก’ สาเหตุของความเครียดและโรคซึมเศร้า
เพื่อนๆ หลายคนเคยมีอาการที่ชอบคิดมากบ่อยๆ มั่งหรือเปล่า #เหมียวฝึกหัด ตอนกลางคืนนี่ไม่สามารถนอนหลับได้เลย เพราะสมองชอบคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอดีต ปัจจุบันหรืออนาคตก็ตาม และถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบคิดมากเหมือนเราแล้วล่ะก็ วันนี้เราก็ได้หาวิธีการที่จะทำให้เลิกคิดมากมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันแล้ว โดยอ้างอิงจาก สำนักงานสถิติแห่งสหราชอาณาจักร (ONS) ได้แสดงค่าสถิติที่เกิดขึ้นของความเครียด ภาวะซึมเศร้าและการคิดมาก ว่าในสหราชอาณาจักรมีอัตราการเพิ่มขึ้นของคนที่มีภาวะซึมเศร้าถึงสองเท่าของทั่วโลก โดยปกติแล้วเราจะพบสองสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดการคิดมาก คือ 1.จมอยู่กับอดีตที่ไม่ดี 2.มักมองอนาคตในแง่ลบ ความเครียด การวิตกกังวลและการคิดมาก สามารถกลายเป็นปัจจัยในการทำให้สุขภาพจิตแย่ลง ถึงการจัดการกับความคิดมากและการมองโลกในแง่ลบอาจไม่สามารถรักษาการเจ็บป่วยทางจิตได้แต่ก็ช่วยให้สามารถใช้ชีวิตแบบรับมือกับความเครียดได้มากขึ้น แต่เมื่อพูดถึงเรื่องกระบวนการคิดและจิต มันยากที่จะฝึกสมองของคุณ มันต้องใช้เวลาในการฝึกฝนมากในการคิดถึงเรื่องที่จะทำให้สุขภาพจิตของคุณดีขึ้น แต่การฝึกคิดถึงเรื่องที่จะทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นแบบนี้มันจะง่ายขึ้นเองเมื่อเวลาผ่านไป การที่จะแก้นิสัยคิดมากนี้ได้ ต้องอาศัยความพยายามทุ่มเทในการฝึกฝนเป็นเวลาอย่างต่ำ 21 วันถึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยได้ และนี่ก็เป็น 6 เทคนิคที่ช่วยให้เพื่อนๆ เลิกนิสัยคิดมากได้ครับ 1. สังเกตความคิดของคุณ หากคุณมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนคิดมากหรือมีความวิตกกังวล มันยากที่จะรู้ว่าตัวเองกำลังคิดมากอยู่ ดังนั้นจึงควรเริ่มจากการตรวจสอบสมองและรับรู้ว่าตัวคุณกำลังคิดอย่างไร จากนั้นคุณก็จะรู้ว่ารูปแบบความคิดที่คุณคิดส่วนมากมันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ 2. คิดอย่างมีประสิทธิผล การจมอยู่กับอดีตที่ไม่ดี จะนำไปสู่รูปแบบการคิดที่มีผลไม่ดีมากขึ้น ดังนั้นควรโฟกัสไปที่หนทางแก้ปัญหา…
-
ไอเดียเสริมพลังใจ หนุ่มใช้ไม้ไอติมเขียนข้อความให้กำลังใจแฟนต่อสู้กับโรคซึมเศร้า
ข้อมูลสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) บอกว่า มีคนมากกว่า 300 ล้านคนทั่วโลกป่วยเป็นโรคซึมเศร้า โดยสิ่งที่ต้องกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยดังกล่าวกลับไม่ใช่เรื่องของจำนวนผู้ป่วย แต่เป็นเรื่องของวิธีการรับมือกับผู้ป่วยเหล่านั้น ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงเป็นเรื่องที่หลายๆ คนคิดกันไม่ตก หลายๆ คนที่มีคนใกล้ตัวป่วยเป็นโรคซึมเศร้าพยายามหาทางที่จะช่วยเหลือพวกเขาให้ได้มากที่สุด เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่ใช้ชื่อใน Reddit ว่า Bovadeez เพราะแฟนสาวของเขาเองก็จมอยู่กับอาการของโรคซึมเศร้ามาอย่างยาวนานเช่นเดียวกัน เขาจึงคิดวิธีที่จะหาทางช่วยเหลือเธอ จนกลายมาเป็นของขวัญชิ้นนี้ นี่คือขวดโหลที่เต็มไปด้วยข้อความต่างๆ มากมายเขียนลงไปบนไม้ไอติม เป็นสิ่งที่เขาต้องการสื่อให้แฟนสาวได้รับรู้ว่าเขารู้สึกเป็นห่วงและรักเธอมากขนาดไหน ชายหนุ่มแยกข้อความออกมาเป็น 4 ประเภทตามสี ได้แก่ สีส้ม คือคำคมหรือวลีต่างๆ ที่มีความหมายในแง่บวก ไว้สำหรับการให้กำลังใจ จากบทประพันธ์ของนักเขียนชื่อดังหลายๆ คนที่เขาชื่นชอบ สีเหลือง คือคำพูดหรือความคิดเชิงบวกจากตัวเขาเอง เพื่อคอยเตือนใจให้แฟนสาวได้รับรู้ว่าเธอสำคัญและมีความหมายมากขนาดไหน ยกตัวอย่างข้อความที่เขียนว่า “เธอสวยมาก” , “ฉันรักเธอ” หรือประโยคที่ว่า “อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ” สีม่วง คือแนวทางที่จะช่วยทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย อย่างเช่นข้อความที่บอกให้เธอ “หยุดพักบ้าง” ในตอนที่เธอกำลังฝืนตัวเอง หรือ “ลองฟังเพลงที่เธอชอบดู” ไม่มีสี คือไม้ไอติมว่างๆ ที่มีไว้ให้แฟนสาวเขียนช่วงเวลาที่เธอมีความสุขมากที่สุดในชีวิตลงไป เพื่อหวังว่าในอนาคตที่เธอกลับมาหม่นหมอง ขอเพียงให้เธอกลับมาดูเรื่องราวที่เคยเขียนไว้และกลับมายิ้มได้อีกครั้ง…
-
7 สิ่งที่ร่างกายพยายามจะบอก ว่าสุขภาพจิตของคุณนั้นเข้าใกล้ขีดอันตรายแล้ว
ในบางทฤษฎีอาจบอกว่าร่างกายและจิตใจเป็นสิ่งที่แยกจากกันโดยสมบูรณ์ แต่เราก็สามารถสังเกตสุขภาพจิตผ่านการตอบสนองของร่างกายเราได้ เพื่อตรวจสอบว่าเรากำลังมีสุขภาพจิตที่ย่ำแย่อยู่หรือเปล่า นักจิตวิทยา Jenny C.Yip จากลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ได้ออกมาแนะนำถึง 7 สัญญาณที่สามารถสังเกตตัวเราเองว่ากำลังประสบปัญหาสุขภาพจิตอยู่หรือเปล่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อการใช้ชีวิตของคุณในระยะยาว มีอะไรบ้าง เราลองไปดูกันเลย 1. หัวใจเต้นแรง อาการใจสั่นหรืออัตราการเต้นของหัวใจที่สูงผิดปกติคือสัญญาณบ่งบอกว่าคุณกำลังวิตกกังวล และมันยังหมายถึงว่าคุณกำลังตกอยู่ในปัญหาความเครียดเรื้อรัง นั่นเป็นเพราะว่าเวลาที่เรารู้สึกกระวนกระวาย สมองของเราจะปล่อยฮอร์โมนออกมาทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น 2. มีอาการแปลกๆ เกิดขึ้นกับมือ อาการเหงื่อออกมือคืออีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังจมอยู่กับความวิตกกังวล ซึ่งอาการดังกล่าวสามารถพบบ่อยเวลาที่คุณถูกกระตุ้นให้ต้องคิดว่า “จะสู้หรือจะถอยหนี” ทำให้ระบบประสาทในร่างกายของเราตอบสนองออกมาอัตโนมัติ 3. รู้สึกว่าภายในร่างกายปั่นป่วนไปหมด การตอบสนองแบบ “จะสู้หรือจะถอยหนี” จะทำให้ร่างกายของเราปล่อยอะดรีนาลีนออกมา จนทำให้การทำงานของระบบย่อยอาหารช้าลงหรืออาจหยุดไปเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นหากใครตกอยู่ในความเครียดตลอดเวลา ก็จะมีอาการมวนๆ ท้อง จนอาจกลายเป็นอาการของโรคลำไส้แปรปรวน ที่ทำให้รู้สึกปวดท้องท้องผูก หรือท้องเสียได้ 4. รู้สึกปวดหัวตุบๆ อยู่เสมอ หากคุณยังคงมีความเครียดไปเรื่อยๆ อาการปวดหัวเรื้อรังก็จะตามมาอย่างง่ายดาย ซึ่งอาการนี้มักเกิดขึ้นในช่วงสายๆ เที่ยงๆ และจะเป็นอย่างนี้ไปนานหลายเดือน 5. รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา การใช้ความคิดอย่างหนักจะทำให้ร่างกายของเรารู้สึกเหนื่อยตามไปด้วย จิตใจของเราก็เปรียบได้กับจานหนึ่งใบ…
-
เด็กสาวไม่พอใจในรูปร่างตัวเอง เขียนวันสั่งลาไว้ในไอจี ก่อนจะปลิดชีพตัวเองหลังจากนั้น…
การฆ่าตัวตายมีโอกาสเกิดได้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเพศใดหรืออายุเท่าไหร่ แม้แต่กับเด็กน้อยวัย 11 ปีคนนี้ที่ได้แสดงความต้องการในแง่ลบของเธอออกมาอย่างชัดเจน จนสามารถสังเกตเห็นได้ว่าเธอต้องการที่จะฆ่าตัวตาย แต่กลับไม่สามารถช่วยเธอเอาไว้และได้จากโลกนี้ไปอย่างน่าเศร้า นี่คือเรื่องราวของเด็กสาวที่ชื่อว่า Milly Tuomey อาศัยอยู่ในเมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2017 พ่อแม่ของเธอได้เจอกับ “ไดอารี่ฆ่าตัวตาย” ของเด็กสาวที่บันทึกไว้ในอินสตาแกรมว่าตนเองต้องการที่จะตายวันไหน เด็กสาว Milly ที่ฆ่าตัวตายไปตั้งแต่อายุ 11 ปี เธอได้เข้ารับการบำบัดด้วยศิลปะ หลังจากที่เธอได้รับการตรวจสอบอาการทางจิตและพบว่าเธอมีบางอย่างที่ไม่ตรงตามคุณสมบัติทั่วไป ในครั้งแรกที่เธอได้เข้ารับการบำบัดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2015 นักบำบัดก็ได้แนะนำครอบครัวให้พาเธอไปเข้ารับการตรวจจาก บริการด้านสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นของ HSE เพื่อสำรวจในเรื่องของอารมณ์ที่เกิดขึ้นผ่านการพูดและความหมายของภาพที่เธอรับรู้ นักจิตวิทยาในสถานที่ดังกล่าวกลับไม่ได้สนใจในความผิดปกติของเธอมากเท่าที่ควร พวกเขาได้นัดให้เธอเข้ามารับการตรวจสอบและรักษาในวันที่ 30 มกราคม 2016 ซึ่งนั่นก็สายเกินกว่าที่จะช่วยเด็กคนนี้เอาไว้ได้ Fiona แม่ของเด็กสาวรู้สึกกังวลใจอย่างมาก เธอเล่าว่า “ลูกสาวฉันโพสต์ลงไปว่า ‘คนสวยจะไม่กินอาหาร’ แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติ แล้วเธอก็ยังเขียนบอกอีกว่าต้องการตายวันไหน ซึ่งนั่นทำให้ฉันไม่รู้เลยว่าควรต้องทำอย่างไรต่อไปดี” จนกระทั่งวันที่ 1…
-
สาวขอลางานเพื่อดูแลสุขภาพจิต บอสก็ตอบกลับมาแบบโคตรคูล จนชาวเน็ตหลงรัก
แม้ว่าเราจะเป็นคนตั้งใจทำงานมากแค่ไหน แต่บางทีก็มีปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพจิตหรือสุขภาพกายจนทำให้ต้องหยุดหรือลางานไป แต่จะหยุดทันทีทันใดไม่ได้ ต้องทำเรื่องขอลาให้เจ้านายได้ทราบเสียก่อน Madalyn Parker นักพัฒนาเว็บที่ทำงานให้กับบริษัทซอฟต์แวร์ Olark ต้องต่อสู้กับอาการป่วยทางจิตที่เธอพยายามฝืนมานาน และในช่วงที่ผ่านมาเธอรู้สึกว่าจะต้องหยุดพักซัก 2-3 วัน เธอจึงเขียนอีเมล์เพื่อบอกบอสตรงๆ ว่าเธอต้องการจะหยุดพักผ่อนเพื่อชาร์จพลังให้กับตัวเอง Madalyn Parker แน่นอนว่าสายการทำงานนี้ จะต้องเจอกับความเครียดบ้าง ความกังวลบ้าง ซึ่งบางคนก็ไม่กล้าลางานด้วยเหตุผลเหล่านี้ เพราะกลัวบอสด่าหรือต่อว่าได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วหากเป็นอาการป่วยทางสุขภาพจิต หัวหน้างานหรือบอสจะไม่ค่อยยอมรับว่าเป็นอาการป่วยเท่าไหร่นัก แต่โชคดีที่บอสอย่าง Ben Congleton เข้าใจปัญหาของพนักงานเป็นอย่างดี และเขาไม่ละเลยในสิ่งที่มองไม่เห็น จากอาการป่วยทางสุขภาพจิตของเธอ ดังนั้นเมื่อ Parker โพสต์ข้อความที่บอสตอบกลับมา ทำให้ชาวเน็ตหลงรักบอสคนนี้เพียบ จนอยากสมัครเข้าทำงานในบริษัทของเขากันเลยทีเดียว!! จดหมายลางานที่ Parker ส่งให้เจ้านาย เธอขอลางาน 2-3 วัน แล้วจะกลับมาทำงานอย่างเต็มที่เมื่อหายดีแล้ว เมื่อทาง CEO ได้เห็นข้อความการขอลาพักผ่อนของเธอแล้ว ก็ตอบกลับมาด้วยใจความดังนี้ เฮ้ Madalyn, ผมอยากจะขอบคุณคุณเป็นการส่วนตัวที่ส่งอีเมล์แบบนี้มาให้ผม ทุกครั้งที่คุณส่งมา ผมก็จะใช้มันเป็นตัวช่วยเตือนความจำ…
-
12 เหตุผลของ “สัตว์เลี้ยง” ช่วยทำให้สุขภาพจิตของเราดีขึ้นได้ ฮั่นแหน่ ยิ้มแล้วล่ะสิ!?
หลายคนอาจไม่ชอบการเลี้ยงสัตว์ เพราะไหนจะต้องมีเวลาดูแล ไหนจะต้องมากังวลเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วการเลี้ยงสัตว์ก็มีข้อดีเหมือนกันนะ อย่างเช่นเวลาที่เราเคร่งเครียดจากการทำงาน พอกลับมาถึงบ้านเจอน้องหมาน้องแมวออกมาต้อนรับ มันก็สามารถทำให้เราหายเครียดได้ นั่นสามารถส่งผลที่ดีต่อจิตใจ และร่างกายของเราได้อีกด้วย และในวันนี้ #เหมียวขี้อ้อน จะขอมาเผย 12 เหตุผลว่าทำไมสัตว์เลี้ยงถึงสามารถช่วยทำให้สุขภาพจิตของเราดีขึ้นได้ ว่าแล้วก็มาดูกันเลย 1.เมื่อได้ออกไปข้างนอกกับสัตว์เลี้ยง แสงอาทิตย์ และอากาศบริสุทธิ์ จะช่วยทำให้อารมณ์ของคุณดีขึ้น เพราะเมื่อคุณเดินออกไปรับแสงอาทิตย์ และอากาศบริสุทธิ์ คุณก็จะได้รับวิตามินดีเพิ่มขึ้น ซึ่งมันจะช่วยต่อสู้กับสภาวะทางร่างกาย และจิตใจ รวมถึงภาวะซึมเศร้า โรคมะเร็ง โรคอ้วน และโรคหัวใจ นอกจากนี้ เมื่อคุณได้ออกไปเดินเล่นข้างนอกกับสัตว์เลี้ยงแสนรัก คุณก็จะได้รับกับธรรมชาติที่สวยงาม ถ้าอย่างนั้นก็ลองสละเวลาของคุณสักครู่ เพื่อฟังเสียงลมพัดผ่าน และรับกับแสงอาทิตย์ เพราะธรรมชาติเหล่านั้นจะช่วยทำให้คุณรู้สึกสงบได้อย่างน่าเหลือเชื่อ 2.สัตว์เลี้ยงช่วยให้คุณเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น การพาสุนัขออกไปเดินเล่น และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น การเล่นฟริสบี้ (Frisbee) หรือเล่นจานร่อน จะช่วยทำให้คุณได้รับพลังงานจากธรรมชาติเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยเป็นการเผาพลาญพลังงานในร่างกายไปในตัวอีกด้วย ซึ่งมันจะสามารถช่วยให้ร่างกายของคุณรู้สึกฟิต พร้อมทั้งช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรงขึ้น จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า เจ้าของสัตว์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ที่พาสัตว์เลี้ยงออกไปเดินเล่นทุกวัน จะทำให้ความดันโลหิตลดลง…
-
ผลวิจัยจากประเทศญี่ปุ่น รับประทาน ‘ไอศกรีม’ ในตอนเช้า ช่วยส่งผลให้สุขภาพจิตดีขึ้น!!
ใครๆ ก็อยากเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยสุขภาพจิตที่ดีใช่มั้ยล่ะ? และถ้ามีวิธีการง่ายๆ อย่างเช่นการกินไอศกรีมล่ะ อร่อยแถมสุขภาพจิตดีด้วยแบบนี้ ไม่ทำไม่ได้แล้ว!! ล่าสุด Yoshihiko Koga ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Kyorin ในกรุงโตเกียวได้ค้นพบว่า การรับประทานอาหารบางชนิดนั้นสามารถช่วยลดความเครียด แถมลดอาการแก่ก่อนวัยในมนุษย์ได้ซะด้วยสิ และอาหารที่ว่านั้นไม่ใช่วิตามิน หรืออหารที่หาได้ยากแต่อย่างใด แต่คือ ‘ไอศกรีม’ ของหวานที่เราชอบทานกันเป็นประจำนี่แหละ!! ไอศกรีม!? การวิจัยของเขานั้นได้ให้เหล่าอาสาสมัครกลุ่มหนึ่ง ทานไอศกรีมในทุกๆ เช้าหลังจากที่พวกเขาตื่นนอน แน่นอนว่า ณ จุดๆ นี้เหล่าอาสาสมัครก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันแม้แต่น้อย และจากการสแกนผลคลื่นสมองก็พบว่า หลังจากรับประทานไอศกรีมกันในยามเช้านั้น คลื่น Alpha ในสมองของเหล่าอาสาสมัครนั้นเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งคลื่นสมองตัวนี้จะไปช่วยในด้านความตื่นตัวและลดความเครียดและฉุนเฉียวของพวกเขา!! คลื่น Alpha ในสมองที่เพิ่มมากขึ้น!! หลายๆ คนอาจจะคิดว่าผลการทดลองนี้สามารถใช้ได้กับเฉพาะเด็กๆ เท่านั้น แต่ศาสตราจารย์ Koga ก็ได้ระบุไว้ชัดเจนเลยล่ะว่าผลนี้ก็เกิดขึ้นในวัยผู้ใหญ่เช่นกันโดยเฉพาะในวัยทำงานที่ต้องการความตื่นตัวและการผ่อนคลายของสมองอย่างยิ่ง หลังจากนั้นเหล่าอาสาสมัครก็จะได้มาเล่นเกมออกกำลังสมองในคอมพิวเตอร์ และจากการประมวลผลก็พบว่าพวกเขาสามารถทำได้ดีขึ้นทั้งด้านการตอบสนอง และการประมวลผลที่รวดเร็วกว่าเดิม ทานไอศกรีมในยามเช้า หลายๆ คนอาจจะคิดว่าหลักการง่ายๆ ของมันก็คือการกินอะไรเย็นๆ ในตอนเช้าเพื่อไปช็อคสมองให้ตื่นตัวก็พอ…
-
งี้ต้องลอง นักวิทยาศาสตร์เผย การว่ายน้ำหรือการแช่น้ำอุ่นช่วยให้คุณมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นได้นะ
การว่ายน้ำนอกจากจะช่วยบริหารร่างกายไปแทบทุกสัดส่วนแล้ว คุณรู้หรือไม่ว่าการว่ายน้ำยังช่วยให้คุณมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นได้ด้วยนะ นักจิตวิทยา Moby Coquillard จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้นำเสนอให้การว่ายน้ำเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดี ซึ่งเขาก็เคยนำมันไปใช้กับคนไข้ของตัวเองมาแล้ว และยังได้ผลดีกว่าการใช้ยารักษาโรคบางชนิดซะอีก อย่างที่ทราบกันดีว่าการออกกำลังกายนั้นทำให้เลือดไหลเวียนในร่างกายได้ดี แต่จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Howard Carter of the University of Western Australia กลับพบความเชื่อมโยงระหว่างน้ำอุ่นแและการไหลเวียนของเลือดที่ดีขึ้น การที่เราว่ายน้ำในน้ำอุ่นหรือแช่น้ำอุ่น จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดในร่ายกายทำงานได้ดีขึ้น นั่นหมายความว่าจะมีสารอาหารไปหล่อเลี้ยงสมองที่มากขึ้นด้วย การทำงานของสมองก็จะดีขึ้นตามลำดับ โอ้วมันช่างดีอะไรขนาดนี้ล่ะซาร่า! นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบการว่ายน้ำว่าเหมือนการเล่นโยคะด้วยนะ เพราะการออกกำลังกายทั้ง 2 แบบจะช่วยให้ร่างกายของคุณยืดออกไปทุกส่วน และยังช่วยควบคุมการหายใจให้เป็นจังหวะด้วย ฉะนั้นหากคุณไม่มีเวลาไปเล่นโยคะ ก็ลองไปว่ายน้ำกันดูนะ ที่มา lifehack
-
รวม 11 วิธีที่จะช่วยให้คุณสามารถเอาตัวรอดได้ในวันที่ “เหงา” แบบสุดๆ
เชื่อว่าความรู้สึกเหงา เป็นความรู้สึกที่ใครก็ไม่อยากเจออย่างแน่นอน ลองนึกภาพคุณตื่นมาแล้วไม่รู้จะคุยกับใครหรือไปหาใคร สุดท้ายก็ได้นั่งดูทีวีแบบเปล่าเปลี่ยวคนเดียวในบ้านสิ มันน่าทรมานขนาดไหน และยิ่งถ้านั่นเป็นความผิดปกติของสมองแล้วล่ะก็ ความอันตรายก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีก วันนี้เหมียวจึงจะพาเพื่อนๆไปดู 11 วิธีเอาตัวรอดในวันที่ “ความเหงา” เข้ามาเล่นงานคุณ จงอย่าประมาท เพราะนั่นอาจหมายถึงชีวิตของคุณ! 1. หาหนังสือมาอ่าน บางครั้งเวลาชีวิตเราเจอกับความยากลำบาก ลองหนีโลกแห่งความจริงไปอยู่ในโลกแห่งจินตนาการดูสิ รับรองว่าช่วยได้อย่างแน่นอน ถ้านึกไม่ออก ลองเดินเข้าไปในร้านหนังสือ แล้วให้พนักงานแนะนำดู รับรองว่าคุณจะได้หนังสือดีๆมาเป็นกะตั๊กแน่นอน วิธีนี้เหมียวคอนเฟิร์ม เพราะเคยทำมาแล้ว อิอิ 2. ลองไปเล่นกับสัตว์ต่างๆ มีงานวิจัยที่เชื่อถือได้งานหนึ่งบอกว่า การมีปฏิสัมพันกับสัตว์ช่วยทำให้เกิดสุขภาพจิตที่ดีได้ ดังนั้นลองไปแวะเยี่ยมสถานรับเลี้ยงสัตว์แถวบ้านดู หรือถ้าไม่มี ลองไปตามวัดหรือคาเฟ่หมาแมวอะไรก็ได้ รับรองว่ามีสัตว์เลี้ยงให้คุณได้เล่นด้วยเพียบเลยล่ะ 3. เข้าเว็บไซต์ที่มีคนประสบปัญหาเดียวกับคุณ เชื่อหรือไม่ การได้คุยกับคนที่มีปัญหาเดียวกับคุณ สามารถช่วยให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้นได้ เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ใช่คนเดียวในโลก ที่ต้องเจอกับปัญหานี้ 4. ลองหากลุ่มคนที่สามารถช่วยเหลือได้ ถ้าการเข้าเว็บไซต์ยังไม่ทำให้คุณรู้สึกดีเท่าไหร่นัก ลองหากลุ่มคนที่ประสบปัญหาเดียวกับแถวๆบ้านคุณสิ การได้คุยจริงๆจังๆกับคนที่มีปัญหาเดียวกัน จะช่วยคุณได้มากเลยล่ะ…
-
โครงการเยียวยาจิตใจทั้งคนและสุนัข จับคู่นักโทษกับสุนัขที่ไม่มีเจ้าของ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน!!
ว่ากันว่าสุนัขเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ ประโยคนี้ก็ยังคงมีความหมายแบบนั้นอยู่เสมอ แต่ทว่าบางทีมนุษย์เองก็กลายมาเป็นเพื่อนที่แย่ที่สุดของสุนัขเมื่อทอดทิ้งพวกมันไป มนุษย์อาจจะไม่รู้สึกซักเท่าไหร่ แต่มันทำร้ายจิตใจของสุนัขที่รักมนุษย์อย่างรุนแรง และด้วยเหตุนี้เองทีม Canine CellMates ได้จัดโครงการเยียวยาจิตใจทั้งคนและสุนัขขึ้นมา ด้วยความรู้สึกที่ไร้ค่าและรู้สึกโดนทอดทิ้งทั้งของตัวนักโทษเอง และสุนัขที่โดนเจ้าของทิ้งและอยู่ในระหว่างรอเจ้าของใหม่ โดยจับคู่ให้มาเจอกัน และอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมง โดยโครงการนี้จะช่วยทำให้สุนัขที่ถูกทอดทิ้งได้ทำการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ และได้รับการฝึกฝนเพื่อพร้อมที่จะไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในอนาคต นอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุนัขแล้ว อีกด้านหนึ่งก็มีประโยชน์ต่อตัวนักโทษเองด้วย ส่งผลทำให้สุขภาพจิตที่ดีขึ้น จากที่เคยรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า เมื่อได้รับความรักและความเชื่อใจจากสุนัขเหล่านี้ ทำให้ความคิดของพวกเขาเปลี่ยนไปในเชิงบวก หนึ่งในนักโทษก็ได้กล่าวเอาไว้ว่า ‘ความผูกพันระหว่างตัวผมกับเจ้า Fred, เรามาจากคนละที่ เจ้า Fred มาจากที่มันกำลังจะถูกฆ่า และผมก็มาจากสถานที่ที่เลวร้าย ถ้าเจ้า Fred มีโอกาสได้ไปอยู่บ้านใหม่และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ มันก็ทำให้ผมอยากจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่ผมอยู่ด้วยเช่นกัน’ ที่มา : unilad, CNN
-
สไลเดอร์น้ำที่มีความยาวที่สุดในโลก ทอดยาวไปไกลมากถึง 600 เมตร ไหลเพลินเลยจ้า!!
หนึ่งในเครื่องเล่นที่พลาดไม่ได้เมื่อได้ไปเที่ยวสวนน้ำทั้งหลาย นั่นก็คือ “สไลเดอร์น้ำ” นั่นเอง เหมียวชอบมากๆ เลยล่ะ ไหลลงมาพร้อมกับสายน้ำจนสุดทางลงบ่อ เป็นความรู้สึกที่สนุกจริงๆ แต่มันสั้นไปหน่อย ไม่ค่อยถึงใจ ต้องไปเล่นใหม่อีกรอบ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะหมดไปทันทีเมื่อมีสไลเดอร์น้ำที่ยาวที่สุดในโลกแบบนี้ มีความยาวมากถึง 600 เมตรกันเลยทีเดียว สำหรับสไลเดอร์น้ำที่ยาวที่สุดในโลกนี้จัดขึ้นโดย Live More Awesome องค์กรทางด้านสุขภาพจิตที่ไม่แสวงหาผลกำไรในประเทศนิวซีแลนด์ เป็นโครงการทางด้านการกุศลเพื่อให้ผู้คนที่มาเข้าร่วมกิจกรรมนั้นมีความสุข สุขภาพจิตก็จะดีตามไปด้วย กิจกรรมนี้ชักชวนให้ผู้คนออกมารับแสงแดดบ้าง ซึ่งเมื่อได้รับวิตามินดีจะช่วยทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ก็ได้รับความสนุกสนานจากการเล่นสไลเดอร์น้ำที่ยาวเหยียดถึง 600 เมตร ไหลกันเป็นนาที มีความสุขกันถ้วนหน้า!! ที่มา : fooyoh