Tag: อพยพ
-
หนุ่มมะกันบุกบ้านชาวเอเชีย สั่งให้เอาป้ายด่า Trump ออก พร้อมเหยียดว่า “Ni**er”
กลายเป็นเรื่องราวของการเหยียดเสียอย่างนั้น เมื่อชายผู้หนึ่งบุกเข้ามายังสนามหญ้าหน้าบ้านของครอบครัวชาวเอเชียน-อเมริกัน เพื่อ “สั่ง” ให้นำป้ายที่มีข้อความโจมตีประธานาธิบดี Donald Trump ออก ป้ายดังกล่าวมีข้อความที่เขียนว่า “F**k Donald Trump” ทำให้ชายจากนอร์ธแคโรไลนาเกิดความไม่พอใจและมีปากเสียงกับเจ้าของบ้านอยู่ชั่วระยะหนึ่ง จนสุดท้ายชายที่เข้ามาบุกบ้านของครอบครัวชาวเอเชีย-อเมริกันก็ลั่นวาจาเหยียดพวกเขาออกมาว่า “Ni**er” ซึ่งเป็นคำด่าคนผิวสีนั่นเอง คลิปวิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คลิปที่ 1 ในคลิปที่แรกนี้ จะเห็นได้ว่าชายเสื้อสีน้ำเงินพร้อมกางเกงยีนได้มีปากเสียงกับชายที่ไม่ได้สวมเสื้อซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน https://twitter.com/Freeyourmindkid/status/1018632667158532096?ref_src=twsrc%5Etfw%7Ctwcamp%5Etweetembed%7Ctwterm%5E1018632667158532096&ref_url=https%3A%2F%2Fnextshark.com%2Fracist-man-storms-asian-american-familys-yard-calling-nr-fk-donald-trump-sign%2F เจ้าของบ้านตะโกนออกมาว่า “ออกไปจากบ้านตรูเดี๋ยวนี้เลย แกจะมาสนใจอะไรในบ้านฉันวะ?” ชายบุกบ้านตอบว่า “ฉันลงคะแนนให้ Bernie Sanders โว้ยไอ้งั่ง ฉันไม่ได้สนใจอะไรของบ้านแกหรอก!” แต่เขาบอกว่าป้ายหน้าบ้านของครอบครัวเอเชีย-อเมริกันนี้ดันไปทำให้ลูกๆ ของเขาไม่พอใจ “ฉันจอดรถอยู่ใกล้ๆ แล้วดันได้กลิ่นคล้ายๆ กัญชาออกมาจากบ้านของแกไง” ชายบุกบ้านกล่าวต่อ จากนั้นชายบุกบ้านก็ขู่ว่าจะแจ้งความกับตำรวจ แล้วเขาก็เดินจากไปยังรถของเขาพร้อมกับชูนิ้วกลางบนมือของเขาอีกด้วย “เห็นทะเบียนรถมันมั้ย? ถ่ายเอาไว้นะ ฉันจะตามตัวมันให้เจอให้ได้เลยไอ้ห่านี่” เจ้าของบ้านพูดกับหญิงที่เป็นผู้ถือกล้องถ่ายคลิปวิดีโอ จากนั้นเจ้าของบ้านก็เรียกชายผู้บุกรุกคนนี้ว่า “Cracker” ที่แปลว่า “ไอ้เฮงซวย” พร้อมๆ กัน อีกฝ่ายก็ก่นด่ากลับมาว่า “Ni**er” ที่เป็นคำด่าเหยียดชาวผิวสีเช่นกัน จากนั้นชายผู้บุกรุกก็ตอบว่า…
-
สองนักบินใช้เงินที่เก็บมาตลอดทั้งชีวิต เพื่อช่วยเหล่าเหลือเหล่าผู้อพยพในทะเล
เมื่อพูดถึงเรื่องของ ‘เงินเก็บ’ หลายๆ คนคงจะมีเอาไว้เพื่อปรนเปรอความสุขให้กับตัวเองในอนาคต… แต่สำหรับนักบินชาวฝรั่งเศสสองคนนี้ เขากลับนำเงินเก็บทั้งหมดที่มีไปใช้กับการช่วยเหลือผู้อื่น และนี่คือเรื่องราวของ Jose Benavente และ Benoit Micolon สองนักบินที่ใช้เงินเก็บของตัวเองทั้งหมดเป็นมูลค่ากว่า 4.7 ล้านบาท ซื้อเครื่องบิน 1 ลำ เพื่อช่วยเหลือเหล่าผู้อพยพที่ลอยลำอยู่กลางทะเล จากรายงานขององค์กร United Nations High Commissioner for Refugees (UNHCR) จากปี 2016 มีผู้คนมากกว่า 66 ล้านคนพลัดถิ่นของตัวเอง ในจำนวนนั้นมี 22.5 ล้านคนเป็นผู้อพยพ และอีก 40.3 ล้านคนเป็นคนพลัดถิ่นภายในประเทศ และอีก 2.8 ล้านคนเป็นผู้ลี้ภัย การเดินทางข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นเส้นทางการอพยพที่เป็นที่นิยม และแน่นอนว่ามันไม่ได้ปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย จากรายงานในปี 2017 มีผู้อพยพมากกว่า 3,139 รายสูญหายไป เพราะหลงทางจากการข้ามทะเลอันแสนกว้างใหญ่ และในปีล่าสุดยังผ่านพ้นไปได้ไม่ถึงครึ่งปีก็มีรายงานผู้สูญหายไปแล้วมากกว่า 600…
-
‘สไปดี้ฝรั่งเศส’ ได้งานตามสัญญา เข้าเยี่ยมชมหน่วยงานกู้ภัยวันแรก พร้อมรับทุกสถานการณ์
สถานการณ์สร้างฮีโร่และความถูกที่ถูกเวลา สามารถเปลี่ยนชีวิตของตัวเองได้ในพริบตา จากกรณีของ Mamoudou Gassama ชายวัย 22 ปี ผู้อพยพชาวมาลีในกรุงปารีส ที่ช่วยเหลือเด็กห้อยตัวอยู่ริมระเบียงตึกได้สำเร็จ หลังจากนั้นเขาก็ได้เข้าพบและรับคำชื่นชมจากประธานาธิบดี Emmanuel Macron พร้อมกับได้รับสถานะพลเมืองฝรั่งเศสในทันที Gassama เข้ารับเอกสารยืนยันการเป็นพลเมืองฝรั่งเศส ซึ่งนอกเหนือจากนั้นแล้ว ข้อเสนอที่เขาได้รับก็คือการเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยฝึกหัดระยะ 10 เดือน ประจำหน่วยดับเพลิงและกู้ภัยของกรุงปารีส ซึ่งอาจจะได้เริ่มงานในไม่ช้านี้… “ผมจะทำทุกอย่างเท่าที่ความสามารถของผมมี” Gassama ให้สัมภาษณ์กับสื่อ และภาพของเขาก็ปรากฏอยู่บนสื่อของประเทศฝรั่งเศส ในระหว่างเข้าเยี่ยมชมสำนักงาน Paris Fire Brigade ในวันแรกของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ พร้อมเรียนรู้งานและฝึกฝนการปฏิบัติหน้าที่ . หลังจากที่ประธานาธิบดี Macron ได้พูดคุยกับฮีโร่ไปแล้ว เขาก็ยังกล่าวเพิ่มเติมไว้ในเฟสบุ๊กของเขาว่า “หน่วยงาน Paris Fire Brigade รู้สึกยินดีและพร้อมที่จะรับเขาเข้าร่วมทีมด้วย” . ทางด้านครอบครัวของเด็กชายที่ได้รับการช่วยชีวิตเอาไว้ ต่างรู้สึกยินดีและยกย่องการกระทำของเขา ด้วยการตัดสินใจอย่างรวดเร็วและการปีนป่ายอันคล่องแคล่ว และทางคุณยายของเด็กชายที่ได้เห็นคลิปนั้นรู้สึกขนลุกและต้องการที่จะขอบคุณเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก …
-
จากผู้ลี้ภัยปีนตึกช่วยเด็ก ประธานาธิบดีฝรั่งเศสยกให้เป็นพลเมือง พร้อมให้งานกู้ภัย!!
การกระทำอันกล้าหาญเยี่ยงฮีโร่ สมควรได้รับการยกย่องไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อย่างในกรณีของชายชาวมาลี ผู้อพยพในประเทศฝรั่งเศส ได้ทำการช่วยชีวิตเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้ด้วยการปีนตึก 4 ชั้นชีวิตเด็กได้สำเร็จ โดยที่ไม่รีรอใดๆ (ข่าวเก่า: หนุ่มปีนไต่ตึกสูง 4 ชั้น ไม่หวั่นตัวเองร่วง จนนายกเทศมนตรีชื่นชม) Mamoudou Gassama วัย 22 ปี ได้รับคำชื่นชมจากทั้งนายกเทศมนตรีและชาวเมืองปารีสอย่างล้นหลาม จากการกระทำอันเสียสละโดยที่ไม่คำนึงถึงสิ่งใด นอกจากชีวิตของเด็กชายผู้ตกอยู่ในอันตราย ล่าสุดนี้ เขาได้เข้าพบกับ Emmanuel Macron ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เพื่อรับประกาศนียบัตรพร้อมเหรียญทองเชิดชูความกล้าหาญและความเสียสละ ในระหว่างนั้น เขาและประธานาธิบดีได้นั่งพูดคุยอย่างเป็นกันเอง โดยที่เจ้าตัวได้บอกไว้ว่า ‘ผมไม่ทันได้คิดอะไร ผมปีนขึ้นไปทันทีและพระเจ้าก็ช่วยผม’ ทางด้านประธานาธิบดี Macron ได้ทำการขอบคุณเป็นการส่วนตัว และพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการเปลี่ยนสถานะให้ Gassama จากผู้ลี้ภัยกลายมาเป็นพลเมืองของฝรั่งเศสในทันที อีกทั้งประธานาธิบดีจะมอบตำแหน่งหน้าที่การงาน ให้เขาได้เป็นหนึ่งในหน่วยกู้ภัยดับเพลิงประจำกรุงปารีส เพื่อนำทักษะที่เขามีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทางด้านสื่อท้องถิ่นต่างร่วมใจกันทำข่าวยกย่องให้กับวีรบุรษไร้ผ้าคลุมคนนี้ จากวีรกรรมช่วยชีวิตเด็กที่เปลี่ยนชีวิตตัวเขาเองได้ในพริบตา… ที่มา :…
-
หญิงชาวโรฮิงญาเผยประสบการณ์ชีวิตอันขมขื่น ลูกชายถูกฆ่า ตัวเองโดนรุมข่มขืน
เรื่องราวสุดรันทดที่ถูกเล่าจากปากของหญิงสาวชาวโรฮิงญาที่ถูกทารุณกรรมทางกายและทางเพศ ด้วยเงื้อมมือ ของกองกำลังรักษาความปลอดภัยของพม่า ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญากว่า 600,000 ชีวิตได้อพยพไปสู่ประเทศบังกลาเทศ เพื่อหนีให้พ้นการคุกคามจากทหารพม่า ที่ว่ากันว่าเป็น “ตัวอย่างของการชำระล้างทางชาติพันธุ์” ตามที่องค์การสหประชาชาติได้กล่าวไว้ Sunuara ชาวโรงฮิงญาวัย 25 ปี เล่าว่าเธอต้องอพยพไปยังบังกลาเทศหลังจากหมู่บ้านของเธอถูกโจมตีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2017 เธอบอกว่าก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ เธอมีชีวิตที่ดี มีวัว รถ และที่นา เป็นของตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่งมีเจ้าหน้าที่ทหารมาเยือนบ้านของเธอซึ่งขณะนั้นสามีของเธออาศัยอยู่ ณ อีกหมู่บ้านหนึ่งกับญาติ ส่วนลูกคนอื่นๆ ของเธอก็ไปอยู่กับพ่อแม่ของเธอ เธอเล่าว่า เจ้าหน้าที่ทหารได้ประหารลูกชายของเธอด้วยการยิงเขาเข้าที่ท้องต่อหน้าต่อตา ขณะนั้น Sunuara ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน ถูกตรึงไว้กับเตียงและถูกข่มขืนโดยชาย 9 คน เป็นเวลารวม 6 ชั่วโมง เธอฟื้นขึ้นอย่างไร้สติ เมื่อสามีและพี่ชายของเธอเข้ามาพบ จากนั้นพวกเขาก็พาเธอออกจากที่นั่นไปยังชายแดนบังกลาเทศ เธอคลอดลูกของเธอที่นั่น แต่หนึ่งวันหลังจากนั้น ทารกที่เธอคลอดออกมาก็ไม่อาจรอดชีวิตได้ ในขณะเดียวกัน Roshida Begum วัย 22 ปี…
-
ไทม์ไลน์อดีตนักเรียนใจเหี้ยม บุกยิงกราดในโรงเรียนฟลอริดา เสียชีวิต 17 บาดเจ็บอีก 50 ราย…
เกิดเหตุน่าสลดเมื่ออดีตนักเรียนหนุ่มพกอาวุธปืนและระเบิดควัน บุกเข้าไปในโรงเรียน Marjory Stoneman Douglas High School ในรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2018 หลังจากหน่วย SWAT เข้าควบคุมเหตุการณ์ได้แล้ว ผลประเมินความเสียหายมีผู้เสียชีวิต 17 คน บาดเจ็บอีก 50 คน เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลา 14.25 น. โดยในช่วงก่อนเกิดเหตุเล็กน้อย นักเรียนในโรงเรียนได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น นักเรียนจึงเดินออกจากห้องเรียนไปยังจุดรวมตัวตามที่ได้ฝึกซ้อมมา แต่กลับพบว่ามีคนเข้ามากราดยิงปืนในทางเดิน และไล่เข้าไปยิงนักเรียนในห้องเรียนอื่นๆ นักเรียนบางส่วนเข้ามาหลบภัยในห้องเรียน นักเรียนบางส่วนถูกยิงและได้รับบาดเจ็บ ส่วนที่เหลือก็วิ่งหนีกันแบบไม่คิดชีวิต นักเรียนกลุ่มหนึ่งเข้ามาซ่อนตัวภายในห้องเรียน บางคนก็เข้าไปซ่อนตัวในตู้ และอีกส่วนหนึ่งก็วิ่งหนีออกไปนอกโรงเรียนได้ทันเวลา แต่พวกเขาก็ยังได้ยินเสียงยิงปืนดังอย่างต่อเนื่องทำให้ทุกคนตื่นกลัวอย่างมาก นักเรียนจำนวนมากที่ติดอยู่ภายในโรงเรียนเริ่มติดต่อกับภายนอกผ่านทางการโทรศัพท์และทางโซเชียลมีเดียเพื่อให้ตนเองรู้สึกสบายใจ บ้างก็โพสต์ในทวิตเตอร์ และอีกส่วนก็ส่งข้อความคุยกับทางบ้านของตัวเอง นักเรียนอีกส่วนหนึ่งวิ่งหนีออกไปข้างนอกโรงเรียนได้ นักเรียนส่วนมากที่ติดอยู่ภายในโรงเรียนพยายามติดต่อโลกภายนอกผ่านทางโซเชียลมีเดีย นักเรียนคนหนึ่งที่หลบภัยอยู่ในห้องเรียนใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปวิดีโอเหตุการณ์ตอนนั้นเอาไว้ จะเห็นได้ว่านักเรียนต่างก็หวาดกลัวจึงหมอบลงต่ำเพื่อหลบผู้ก่อเหตุร้าย แต่ก็ยังคงมีเสียงปืนดังอย่างต่อเนื่องทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนอยู่ในสนามรบอยู่ตลอดเวลา คลิปวิดีโอจากนักเรียนที่ติดอยู่ในโรงเรียน (หากชมคลิปวิดีโอไม่ได้ คลิกที่นี่) JUST IN…
-
ชาวเวเนซูเอลานับพันอพยพข้ามสะพานไปยังโคลอมเบีย ผลจากวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ
แต่ละประเทศบนโลกใบนี้เผชิญกับปัญหาที่ต่างกัน บางประเทศมีปัญหาทางการเมือง ในขณะที่บางประเทศประสบกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจจนทำให้ประชาชนต้องอยู่กับความหิวโหย หนึ่งในนั้นคือประเทศเวเนซุเอลา ที่กำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาอาชญากรรมที่นับวันก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเร่ื่อยๆ จนประชาชนต้องหนีไปอยู่ที่อื่น ทั้งนี้มีการเผยแพร่ภาพสุดสะเทือนใจ ขณะที่ชาวเวเนซุเอลานับพันกำลังอพยพข้ามสะพาน Simon Bolivar เพื่อเข้าไปยังประเทศโคลอมเบีย ทางด้านโคลอมเบียพร้อมประเทศเพื่อนบ้านอย่างบราซิล ได้ส่งกองกำลังพิเศษไปประจำการอยู่ที่แนวเขตชายแดน หลังจากที่มีผู้อพยพกว่าครึ่งล้านคนในช่วง 6 เดือนสุดท้ายของปี 2017 ขณะเดียวกับโคลอมเบียได้ดำเนินการควบคุมบริเวณชายแดนอย่างเข้มงวด เพื่อลดการอพยพเข้ามาของชาวเวเนซูเอลา สำหรับประเทศเวเนซุเอลานั้น นับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนในส่วนของ Caracas ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศก็เริ่มไม่เคารพกฎหมาย และได้ใช้ความรุนแรงเมื่อมีรถบรรทุกอาหารมา ตามการรายงานข่าวของ Reuters เผยว่าภายในเดือนมกราคมมีการปล้นมากกว่า 162 ครั้งทั่วประเทศ และมีการโจรกรรมรถบรรทุกถึง 42 คัน เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านั้นมีการปล้นแค่ 8 ครั้ง โจรกรรมรถบรรทุกเพียง 12 คัน และมีผู้เสียชีวิต 8 คน เวเนซุเอลาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฆาตกรรมสูงสุดของโลก ผู้คนมักจะแย่งอาหารกัน ดังนั้นการขนส่งอาหารในประเทศนี้จึงมีความเสี่ยงสูง สำหรับคนขัับรถบรรทุกส่งอาหารนั้น พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พกปืน ดังนั้นจึงต้องมีการจัดตั้งเป็นขบวนเพื่อป้องกันตัวเอง นอกจากนี้พวกเขาจะส่งข้อความให้กันในกรณีที่เจอปัญหาในบางพื้นที่ และจะย้ายไปที่อื่นให้เร็วที่สุด …
-
ศิลปินช่วยสานฝันให้กับ “ผู้อพยพเด็ก” ด้วยการโฟโตชอปสิ่งที่เด็กๆ จินตนาการเอาไว้
เด็กๆ ล้วนมีความใฝ่ฝันด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าในเวลานั้นเหล่าเด็กๆ จะต้องพบเจอกับสถานการณ์อย่างไร ก็มักจะมีสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นกับตนเองในอนาคตเสมอ แล้วเด็กๆ จะมีความสุขมากขนาดไหนเมื่อวันหนึ่งความฝันของพวกเขากลายเป็นจริง โดยเฉพาะเด็กที่เป็น “ผู้อพยพ” ซึ่งผ่านโลกที่มีแต่เรื่องราวแย่ๆ มามากมาย องค์กร UNHCR จึงได้มีโครงการ Dream Diaries ที่ให้ศิลปิน 4 คนเดินทางไปยัง 5 ประเทศเพื่อพบปะเหล่าเด็กๆ ที่เป็นผู้อพยพ และสร้างสรรค์ภาพขึ้นมาตามจินตนาการของเด็กๆ เหล่านั้น ด้วยการตัดต่อภาพโดย Photoshop นั่นเอง “บางคนก็ใฝ่ฝันว่าอยากมีพลังวิเศษเพื่อที่จะหยุดสงครามซีเรียได้ คนอื่นๆ ก็อยากเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินบ้าง นักข่าวบ้าง บางคนก็อยากจัดงานวันเกิดในธีม Harry Potter และบางคนก็ใฝ่ฝันอย่างเรียบง่ายอย่างเช่นไล่จับผีเสื้อในทุกๆ วัน” ทีมศิลปินกล่าว “พวกเราทำให้ความฝันของเด็กๆ ดูมีชีวิตชีวา ถึงได้ตั้งชื่อโครงการนี้ว่า ‘Dream Diaries’ ยังไงล่ะ เด็กๆ อพยพจากบ้านเกิดมาโดยทิ้งทุกๆ อย่างไว้เบื้องหลัง แต่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้ทิ้งก็คือความฝันยังไงล่ะ ต่อให้พวกเขาเจอเรื่องโศกเศร้ามาขนาดไหน พวกเขาไม่เคยสูญเสียความสามารถและพลังที่จะฝัน” และนี่ก็คือภาพความฝันของเด็กๆ ที่เหล่าศิลปินทำให้เกิดขึ้นจริงๆ . . . . .…
-
ภาพน่ารัก “คุณพ่อผู้ใช้แรงงาน” มานั่งในสถานีรถไฟใต้ดินทุกวัน ใช้ไวไฟฟรีคอลหาลูกเมีย
การที่ต้องอยู่ห่างไกลครอบครัวนั้น สำหรับบางคนเป็นอะไรที่ทำใจได้ยากยิ่ง เนื่องจากความเป็นห่วง ความคิดถึงที่มีให้กับครอบครัวนั้น มันทำให้คนไกลรู้สึกทรมานใจยิ่งนัก ดังนั้นหลายคนที่ต้องออกไปทำงานห่างไกลครอบครัว จึงจำเป็นต้องหาทางติดต่อกับครอบครัวอยู่บ่อยๆ เพื่อลดความคิดถึงและห่วงหา แต่สำหรับบางคนนั้น การติดต่อกลับหาครอบครัวก็ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ มันอาจจะต้องแลกมาด้วยความพยายามอย่างมาก ดังเช่นแรงงานชาวจีนผู้นี้ที่เขาจะต้องมาที่สถานีรถไฟใต้ดินทุกๆ วัน เพื่อใช้บริการ “ไวไฟฟรี” ของสถานีในการโทรหาภรรยาและครอบครัว นาย Ge Yuanzheng แรงงานก่อสร้างในเมืองทางจีนตะวันออก ซึ่งอพยพมาจากมณฑลเหอหนาน เขามีรายได้น้อยแถมยังต้องอาศัยอยู่ในหอพักแสนธรรมดากับเพื่อนร่วมงาน เขาจำเป็นต้องประหยัดเงินกระทั่งแม้ไปเที่ยวเขาก็ยังไม่กล้าไปสถานที่ดังๆ เนื่องจากกลัวจะเสียค่าใช้จ่ายที่มากเกินไป Ge พยายามติดต่อครอบครัวทุกวัน แต่เขาเองก็ยังต้องประหยัดและเก็บออมเงินที่ได้มาแสนยากลำบาก เขาเลยเลือกที่จะใช้บริการดีๆ ของสถานนีรถไฟใต้ดินอย่างอินเทอร์เน็ตไวไฟฟรีนั่นเอง เขาเล่าว่าเขาต้องเดินมาที่สถานีทุกๆ คืนเพื่อใช้สัญญาณไวไฟติดต่อและพูดคุยสนทนากับครอบครัว โดยเมื่อเดือนก่อนก็มีคน ถ่ายรูป ของเขาขณะโทรหาครอบครัวมาโพสต์ลงอินเทอร์เน็ต ครั้งแรกที่ภรรยาของ Ge เห็นภาพดังกล่าวบนอินเทอร์เน็ต เธอรู้สึก ไม่พอใจ ที่มีคนถ่ายรูปเขาที่อุตส่าห์เดินลัดเมืองมาเพื่อแค่โทรบอกรักภรรยา แต่เมื่อ Ge ได้อธิบายว่าเขาไม่เป็นไร ทุกๆ อย่างปกติดี เธอจึงให้กำลังใจเขาแทน เขาและภรรยานั้นมีลูกด้วยกัน 2 คน ลูกชายของเขาทำงานแล้ว ในขณะที่ลูกสาวของเขานั้นกำลังเล่าเรียนเพื่อที่จะเป็นพยาบาล ค่าส่งเสียเล่าเรียนของลูกสาวนั้นราวๆ…
-
ภาพถ่ายดาวเทียมเผยให้เห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพม่า บ้านเรือนถูกเผาไปกว่า 700 หลัง
ความรุนแรงและป่าเถื่อนที่เกิดขึ้นบนโลกยังมีอีกมากที่เราไม่สามารถรับรู้ได้ อย่างเช่นสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ ที่อยู่ทางตะวันตกของพม่า ที่ต้องเจอกับปัญหาความรุนแรงจากความแตกต่างทางศาสนาตั้งแต่ปี 2012 จนปัจจุบันก็ได้บานปลายมาอย่างมาก มีภาพถ่ายจากดาวเทียมออกมาให้เห็นหมู่บ้านหนึ่งของชาวโรฮิงยาที่เป็นชาวมุสลิมถูกเพลิงไหม้ไฟลุกโชน สร้างความเสียหายกว่า 700 หลังคาเรือนจนเหลือเพียงแค่เถ้าธุลี ซึ่งคาดว่านี่เป็นหนึ่งในการกวาดล้างฆาตกรรมหมู่ เหตุการณ์นี้เพิ่งผ่านมาเพียงไม่กี่วัน และในช่วงเวลาเดียวกันชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นั่นก็ต้องอพยพไปยังชายแดนประเทศบังคลาเทศ Chris Lewa ผู้อำนวยการโปรเจคท์ Arakan องค์กรสิทธิมนุษยชนที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย เข้าไปสังเกตการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐดังกล่าวและบอกว่ามีชาวโรฮิงยามากมายถูกฆ่าโดยทหารพม่าหรือกลุ่มชาติพันธุต่างๆ และมากกว่า 130 คนอย่างแน่นอน ทว่ากลับไม่พบหลักฐานเลยแม้แต่น้อย เพราะทหารและคนที่ลงมือฆ่านำศพไปเผาไฟอย่างไม่เหลือร่องรอยอยู่เสมอ และจากเรื่องราวเหล่านี้ก็ทำให้กลุ่มสิทธิมนุษยชนกังวลว่าความรุนแรงของเรื่องทั้งหมดในรัฐนี้จะแย่กว่าที่คิดไว้ตั้งแต่ต้น และนี่เป็นเพียงแค่ 1 ใน 17 แห่งที่บ่งบอกได้ว่าถูกเผา การลงพื้นที่สังเกตการณ์อย่างอิสระจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเปิดเผยและกระตุ้นให้ทุกคนได้รับรู้ว่า ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นที่นั่นบ้าง รัฐยะไข่ได้เกิดเหตุจราจลมาอย่างยาวนาน ชาวโรฮิงยาถูกสังหารนับพันคนซึ่งส่วนใหญ่ในนั้นก็จะเป็นชาวมุสลิม ทำให้พวกเขาต้องพากันหนีออกมา จนกลายเป็นคนไร้บ้าน อย่างเหตุการณ์ล่าสุดนี้ก็ทำให้ชาวบ้านราว 1 แสนคนลี้ภัยออกไปจากฝั่งตะวันตกของพม่าที่กำลังเผชิญกับความป่าเถื่อนอยู่ ความรุนแรงรอบล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มก่อการร้ายโรฮิงยาโจมตีแบบกองโจรฆ่าเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ห่างไกลไป 15 คนและเผาหมู่บ้านนั้นอีกด้วย หัวหน้ากองทัพพม่ากล่าวว่าตั้งแต่นั้นมามีผู้เสียชีวิตเกือบ 400 รายโดยในนั้นมีผู้ก่อการร้ายโรฮิงญา 370 คน กองกำลังรักษาความปลอดภัยของพม่าได้มีปฏิบัติการกวาดล้างผู้ก่อการร้ายภายในประเทศ ซึ่งพวกเขาอ้างว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แต่ภาพจากดาวเทียมที่ได้เห็นกันนี้ก็เป็นสิ่งยืนยันได้แล้วว่าทำไมถึงควรอนุญาตผู้ตรวจสอบนานาชาติลงไปสำรวจพื้นที่ในรัฐนี้ …
-
ชาวเมืองนับร้อย “จัดงานวันเกิด” ครั้งสุดท้าย ให้กับเด็กหญิงผู้อพยพ ก่อนจะถูกส่งตัวกลับประเทศ
การที่เราต้องย้ายไปหลายๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นการออกค่ายไปเที่ยวหรือการย้ายที่อยู่อาศัยนั้น ก็คงเป็นเรื่องที่ยากที่จะได้สร้างความทรงจำกับคนรอบข้างที่ต่างกันออกไปและมีเวลาได้อยู่ร่วมกันที่ไม่มากนัก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้หมายความว่าคนใกล้ตัวจะลืมที่จะเอาใจใส่ความรู้สึกของกันและกัน เหมือนกับความรักที่เด็กน้อยคนนี้ได้รับ หญิงสาววัย 12 ปีที่มีชื่อว่า Hanyie Maleki และพ่อของเธอ Abrahim Maleki จากอัฟกานิสถานจะต้องถูกส่งกลับประเทศเยอรมนี จากการตัดสินใจของประเทศไอซ์แลนด์เกี่ยวกับเรื่องของการเคลื่อนย้ายแรงงานในยุโรป เธอนั้นเกิดในค่ายอพยพประเทศอิหร่าน ทำให้เธอและพ่อที่พิการได้อพยพต่อไปยังตุรกีและย้ายไปกรีซจากนั้นจึงย้ายไปเยอรมนี สุดท้ายจึงได้มาจบที่ประเทศไอซ์แลนด์ ก่อนที่จะมีข่าวให้ส่งเธอกลับไปยังประเทศก่อนหน้านี้ นี่อาจเป็นงานวันเกิดครั้งสุดท้ายของเธอที่จะจัดขึ้นในประเทศนี้ เหล่าคนที่จัดงานนี้จึงต้องจัดก่อนวันเกิดที่แท้จริงในเดือนตุลาคม และต้องการให้มันเป็นวันที่น่าประทับใจมากที่สุดในชีวิตของเด็กสาวคนนี้ นั่นทำให้มีแขกมาร่วมงานนี้มากถึงเกือบ 300 คนเลยทีเดียว หนึ่งในคนจัดงาน Guðmundur Karlsson ได้บอกว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเหนือความคาดหมายของพวกเรามาก มันเยี่ยมมากจริงๆ เต็มไปด้วยความรักและกำลังใจ” เธอที่เป็นเพียงแค่เด็กสาวขี้อายคนหนึ่งนั้นได้เป็นนางเอกของงานในทันที โดยเธอได้เดินไปรอบงานเพื่อที่จะถ่ายรูปโพสท่าต่างๆ เก็บไว้เป็นความทรงจำ เข้าไปสวมกอดผู้คนภายในงานอย่างน่ารักน่าเอ็นดู แขกหลายคนในงานได้มอบของขวัญให้เธอมากมาย บางคนในนั้นเธอยังไม่เคยเจอหน้าเลยด้วยซ้ำ พร้อมกับบัญชีธนาคารในชื่อของเธอที่ได้รับเงินบริจาคสนับสนุนจากผู้คนรวมถึง 190,000 บาทสำหรับการไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ องค์กรช่วยเหลือผู้อพยพที่มีชื่อว่า Solaris ได้พยายามสร้างแรงกดดันให้กับคณะผู้บริหารองค์กรลี้ภัยของไอซ์แลนด์ เพื่อให้เธอและพ่อได้อยู่ต่อในประเทศ โดยได้ล่ารายชื่อในเว็บไซต์ change.org โดยได้รวมมาถึง 8,400 รายชื่อแล้ว…
-
เหล่าทหารผ่านศึกดันเคิร์ก ร่วมรำลึกความบนเรือลำเล็ก ที่ช่วยให้รอดชีวิตจากสมรภูมิมาได้
เรื่องราวของทหารผ่านศึกจากยุทธการไดนาโม ที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งบนเรือเล็กๆ ลำหนึ่ง และร่วมรำลึกถึงความหลังของเหตุการณ์สำคัญที่ผ่านเข้ามาใช้ชีวิตของพวกเขาเมื่อ 77 ปีที่แล้ว คุณ Ted Oates วัย 97 ปี และคุณ George Purton วัย 98 ปี คือหนึ่งในจำนวนผู้รอดชีวิต 338,000 คนจากการอพยพออกจากหาดดันเคิร์กเมื่อปี 1940 เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทหารผ่านศึกทั้งสองก็ได้ออกมาร่วมกันย้อนรำลึกถึงปฏิบัติการไดนาโม ในงานเทศประเพณีล่องเรือในแม่น้ำ Thames ประเทศอังกฤษ คุณ Ted บอกกับผู้สื่อข่าวว่า “ตอนนั้นเราทั้งคู่นั่งเรือผ่านที่โรงนาตรงนี้ ผมจำได้ว่าเรือที่เรานั่งมาวันนั้นมีลักษณะคล้ายๆ กับเรือลำนี้แหละ แต่ตอนนั้นมีพวกเราเต็มไปหมดเลย บางคนก็นั่งอยู่บนหลังคา บางคนก็นั่งอยู่ที่ระเบียง หรือบางคนก็อยู่ด้านในเรือ” “ตอนนั้นมีเรือลำหนึ่งถูกโจมตี ผมจำได้ว่าผมเห็นเรือถูกระเบิดต่อหน้าต่อตาเลย” โดยในช่วงนั้นคุณ Ted ถูกส่งตัวไปยังฝรั่งเศสในฐานะพลเปล และได้ช่วยเหลือนายทหารคนหนึ่งพาขึ้นไปยังเรือพยาบาล และทำการหลบหนีเอาชีวิตรอดด้วยเรือเสบียง ส่วนทางด้านคุณ George จากหน่วย Royal Army Service Corps ก็ได้รับความช่วยเหลือสำหรับการหลบหนีในครั้งนั้นด้วยเช่นเดียวกัน จากการรวมตัวของเหล่าทหารผ่านศึกในครั้งนี้ จัดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับการเปิดตัวภาพยนตร์ ‘ดันเคิร์ก’ ของผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลนด์ ด้วย โดยทหารผ่านศึกจากปฏิบัติการไดนาโม…
-
เจ้าหน้าที่ตำรวจไอร์แลนด์เหนือ เร่งสืบหาที่มาของ “อุจจาระมนุษย์” หลังถูกพบในกระป๋องโค้ก…
น้อยครั้งมากที่เราจะได้พบเจอสิ่งแปลกปลอม หรือเศษซากบางอย่างในผลิตภัณฑ์อาหารที่เรารับประทานกันในแต่ละวัน แต่ถ้าหากได้เจอครั้งหนึ่งละก็ เรียกได้ว่าทำเอาหลายคนถึงกับร้องยี้ขึ้นมาทันทีเลยใช่ไหมละ ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2560 ทางสำนักข่าวต่างประเทศมีรายงานว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไอร์แลนด์เหนือ กำลังเร่งสืบหาสาเหตุที่มาของกระป๋องที่ถูกส่งไปยังโรงงานผลิตน้ำอัดลมโคคา-โคล่า หลังพบว่ามีอุจจาระของมนุษย์ปนเปื้อนอยู่ จากการรายงานระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าว ได้เกิดขึ้นในขณะที่ทางโรงงานผลิตน้ำอัดลม Hellenic Bottling Company ในเมือง Lisburn, Co Antrim ประเทศไอร์แลนด์ กำลังผลิตน้ำอัดลมตามปกติอยู่ แต่จู่ๆ เครื่องผลิตก็ดันเกิดขัดข้องเนื่องจากพบว่า ภายในเครื่องผลิตมีบางสิ่งบางอย่างเข้ามาอุดต้น ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ทางพนักงานได้รุดเข้าไปตรวจสอบ และพบว่ากระป๋องน้ำอัดลมได้รับการปนเปื้อนจากอุจจาระของมนุษย์เป็นจำนวนมาก “โดยปกติแล้วกระป๋องน้ำอัดลม จะถูกส่งมาจากประเทศอังกฤษ แต่ในครั้งนี้มันถูกส่งมาจากประเทศเยอรมนี” ซึ่งในระหว่างการขนส่งกระป๋องมายังโรงงานบรรจุ ก็พบว่าฝากระป๋องในล็อตนี้ไม่ได้ทำการปิดมาตั้งแต่แรก นอกจากนี้ ยังมีการคาดเดาอีกว่า อาจมีผู้อพยพที่พยายามหลบหนีเข้าเมืองมาลอบขึ้นรถขนส่งกระป๋อง ซึ่งการเดินทางในครั้งนั้นอาจจะต้องใช้เวลาที่ยาวนาน และเมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก จึงทำให้พวกเขาต้องตัดสินใจใช้กระป๋องน้ำอดลมแทนการเข้าห้องน้ำนั่นเอง ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจไอร์แลนด์เหนือ ได้ออกมาเผยว่า “การสืบหาสาเหตุที่เกิดขึ้นกำลังอยู่ในระยะเริ่มต้น ซึ่งขณะนี้ทางเรายังไม่มีรายละเอียดใดๆ ที่จะมาขี้แจงให้ทราบ” …
-
ศิลปินสร้าง ‘กระดองปูเสฉวน’ จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ช่วยพวกมัน และแฝงความคิดเตือนใจมนุษย์!!
โดยปกติแล้วธรรมชาติของเหล่า ‘ปูเสฉวน’ จะต้องเปลี่ยนบ้านใหม่หรือกระดองอยู่เป็นประจำ ด้วยสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็เพราะขนาดตัวที่โตจนเกินไปทำให้รู้สึกอึดอัด บ้างก็ถูกไล่ที่ออกไปโดยตัวที่แข็งแรงกว่าจึงทำให้ตัวที่อ่อนแอถูกบังคับให้เปลี่ยนกระดอง เนื่องจากว่าปูเสฉวนที่ไม่มีกระดองอยู่นั้นจะไม่มีที่หลบภัยจนกลายเป็นอาหารของเหล่านก และสัตว์ชนิดอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย ศิลปินชาวญี่ปุ่น Aki Inomata ได้ทำการช่วยเหลือเหล่าปูเสฉวนที่ไม่มีบ้านให้ได้มีกระดองที่มีขนาดพอเหมาะกับตัวของพวกมันได้อยู่อาศัย ด้วยการสร้างกระดองด้วยพลาสติดใสจากเครื่องปริ้นท์ 3 มิติ เป็นรูปร่างเมืองต่างๆ จากรอบโลกดูงดงามตา นอกจากจะช่วยเหลือเหล่าปูเสฉวนให้รอดปลอดภัยจากภัยอันตราย ยังแฝงไปด้วยความคิดเรื่องการอพยพย้ายถิ่นฐานที่ดูน่าสนใจอีกด้วย ไอเดียของเธอนั้นได้มาจากการเข้าร่วมงานแสดงศิลปะ ‘No Man’s Land’ ที่จัดขึ้นที่สถานทูตฝรั่งเศสที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 2009 จากเรื่องราวของสถานที่ที่ชาวฝรั่งเศสเคยอาศัยอยู่บนประเทศญี่ปุ่นจนถึงช่วงเดือนตุลาคมปี 2009 และในที่สุดก็จะกลายเป็นพื้นที่ของชาวญี่ปุ่นอีกครั้งหลังจากที่ตกเป็นของชาวฝรั่งเศสมานานกว่า 50 ปี ส่วนชาวฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็จะต้องเดินทางกลับไปยังประเทศฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน พอ Aki ได้ทราบเรื่องราวนี้เข้าก็รู้สึกตกใจมาก และคิดว่ามันเป็นเหมือนวิถีชีวิตของปูเสฉวนที่ต้องโยกย้ายเปลี่ยนสถานที่อยู่อาศัยอยู่บ่อยๆ พื้นที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ผู้คนจากสองชนชาติอาศัยด้วยกันอย่างสงบสุข แต่พอสถานการณ์เปลี่ยนไปก็ทำให้เราต้องเปลี่ยนที่อยู่อาศัยตาม เหมือนกับการเปลีย่นที่อยู่อาศัยของปูเสฉวนที่ต้องเปลี่ยนที่อยู่อาศัยไป ซึ่งกระดองที่เธอสร้างขึ้นมานั้นจะตกแต่งด้วยรูปร่างของเมืองต่างๆ จากรอบโลกเพื่อแสดงให้เห็นถึงการอพยพโยกย้ายไปยังเมืองต่างๆ แม้จะเป็นคนละสถานที่ แต่ผู้คนที่อยู่ภายในเมืองก็สามารถเข้าไปอยู่ได้และปรับตัวเข้ากันได้ดี …
-
“Tabboush” เจ้าเหมียวที่เกือบตายอยู่ท่ามกลางสงคราม แต่โชคดีที่มีครอบครัวใจดีมาช่วยไว้
นับตั้งแต่เกิดสงครามกลางเมืองในซีเรีย เมื่อปี 2011 มีผู้คนต้องเสียชีวิตไปแล้วกว่า 400,000 คน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้ที่ชีวิตรอดทั้งเด็ก และผู้ใหญ่รวมกว่า 11 ล้านคน ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยเพื่อเอาตัวรอด เมื่อคุณต้องรีบเดินทางออกจากพื้นที่อันตราย แต่กลับพบกับเจ้าเหมียวน้อยตัวหนึ่งถูกทิ้งไว้ คุณจะทำอย่างไร หลายคนอาจจะเดินผ่านมันไปเพราะคิดว่ามันเป็นภาระ หรือบางคนอาจจะเก็บมันมาเลี้ยงเพราะความสงสาร!? ก็เหมือนกับครอบครัวนี้ พวกเขากำลังจะทางอพยพข้ามไปตุรกีเหมือนกับครอบครัวอื่นๆ แต่ทว่าระหว่างนั้นพวกเขาได้พบกับเจ้าเหมียวน้อยตัวหนึ่งต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสงคราม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขาได้ตัดสินใจเข้าช่วยเหลือมัน และรับมันเข้ามาดูแล มันเป็นลูกแมวที่เพิ่งเกิดได้ไม่นาน แถมต้องอยู่เพียงลำพังท่ามกลางสงครามที่แสนโหดร้าย หลังแม่ของมันถูกฆ่าตายเพราะระเบิด และหลังจากที่พวกเขาได้พบมันเข้า ก็ได้เข้าช่วยเหลือโดยการค่อยๆ ดึงตัวของเจ้าเหมียวน้อยออกจากซากปรักพักพังของบ้านที่ถูกทำลายด้วยระเบิดในเมืองดามัสกัส นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ครอบครัวใจดีได้รับเจ้าเหมียวเข้ามาดูแล พร้อมกับตั้งชื่อให้มันว่า Tabboush ซึ่งในภาษาอาหรับหมายความว่า “อ้วน” นั่นเอง พวกเขาได้เริ่มออกเดินทางกว่าหลายร้อยไมล์ไปยังค่ายผู้ลี้ภัย Idomeni ในประเทศกรีซ และแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องพาเจ้า Tabboush ไปด้วย ณ ค่ายผู้ลี้ภัย เจ้า Tabboush ได้มอบความสุขให้กับเด็กๆ และครอบครัวอื่นๆ มันเป็นแมวที่น่ารักมากจริงๆ “เขาอยู่กินกับเรา นอนกับเรา และตื่นขึ้นมาพร้อมๆ…
-
ท่ามกลางน้ำท่วมใหญ่ คนต้องอพยพนับหมื่น แต่ก็ไม่ลืมที่จะช่วย ‘เพื่อนร่วมโลก’ ให้ปลอดภัย
เมื่อเกิดน้ำท่วม ผู้คนส่วนใหญ่มักจะอพยพออกจากพื้นที่พร้อมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นรวมทั้งสัตว์เลี้ยงตัวโปรด ในขณะที่สัตว์ที่ไม่มีเจ้าของมักจะถูกปล่อยให้เผชิญชะตาชีวิตด้วยตัวเอง เมื่อสัปดาห์ที่มาได้มีน้ำท่วมที่รัฐหลุยส์เซียนา และมีผู้คนอพยพออกจากพื้นที่ประมาณ 20,000 คน ต่อมาทราบว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 คน ในขณะที่ Denham Springs ซึ่งเป็นศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ในรัฐหลุยส์เซียนา ก็ถูกน้ำท่วมจนมองเห็นแค่หลังคา ภายในเต็มไปด้วยสัตว์มากมายที่ต้องการความช่วยเหลือ โชคดีที่เจ้าหน้าที่และชาวบ้านอาสาบางส่วนได้ช่วยไว้ โดยการนำพวกมันขึ้นอยู่บนหลังคา และรอเรือมารับออกไปอย่างปลอดภัย มีคนหนึ่งได้นำเหล่าแกะไปไว้บนเรือและลากเรือขึ้นฝั่ง มีคนมาคอมเม้นว่า “นี่มันเรือโนอาห์ชัดๆ” ต่อมาในวันอาทิตย์ กรมคุ้มครองสัตว์ป่าและการประมงก็ช่วยเหลือชาวบ้าน 2,324 คน และสัตว์อีก 464 ตัว ในขณะที่กรมอุตุฯ เตือนว่า วันจันทร์นี้จะมีฝนตกที่ยาวนานกว่าเดิม เจ้าหน้าที่และชาวบ้านบางส่วนได้ช่วยเหลือสัตว์เท่าที่จะทำได้ พวกเขาให้สัตว์ขึ้นไปอยู่บนหลังคา ก่อนให้เรือมารับอย่างปลอดภัย . ชาวบ้านที่ไม่ได้ย้ายออกจากพื้น ก็ให้ที่อยู่อาศัยชั่วคราวกับสัตว์เหล่านี้ด้วย หน่วยกู้ภัย ออกเรือเพื่อตามหาทั้งคนและสัตว์ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ . นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่เราควรทำตามนะคะ แม้ตัวเองจะเดือดร้อนแค่ไหน แต่ก็ไม่ลืมที่จะช่วยเพื่อนร่วมโลกให้รอดไปด้วยกัน ที่มา boredpanda l facebook
-
ทำได้ไง?? ตำรวจสวิสเงิบ เจอหนุ่มวัย 20 แอบซ่อนในกระเป๋าเดินทาง หลบหนีเข้าเมือง
ปัญหาผู้อพยพถือว่าเป็นสิ่งที่ประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลกกำลังเผชิญในขณะนี้ โดยบุคคลเหล่านั้นต่างทุ่มเททุกวิถีทางเพื่อที่จะเข้าไปยังประเทศที่อาจจะเป็นชีวิตใหม่ของพวกเขา ไม่ว่านั่นจะเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายหรือไม่ จนหลายๆ ครั้งเราต้องทึ่งในความพยายามของพวกเขาเลยทีเดียว อย่างเช่นสิ่งที่เกิดขึ้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ครั้งนี้ รับรองเพื่อนๆ ต้องตะลึงในความพยายามของเหล่าผู้อพยพจริงๆ เพราะพวกเขาเล่นแอบซ่อนตัวเองไว้กระเป๋าเดินทางเลยทีเดียว!! เรื่องราวเกิดขึ้นที่บนรถไฟสายอิตาลี-สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ยินเสียงแปลกๆ มาจากกระเป๋าเดินทางใบหนึ่ง พวกเขาจึงได้เข้าไปตรวจเช็ค ปรากฎว่ามีผู้อพยพผิวสีคนหนึ่งแอบซ่อนอยู่ในกระเป๋าใบนั้น เมื่อทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบที่ไปที่มา พบว่าเขาเป็นชาวประเทศเอริเทรียในทวีปแอฟริกาวัยยี่สิบต้นๆ ที่กำลังเดินทางไปประเทศอังกฤษอย่างผิดกฎหมาย พร้อมกับเพื่อนอีกคนที่ซ่อนอยู่ในห้องน้ำรถไฟ แต่กลับถูกจับได้เสียก่อนบริเวณชายแดนระหว่างประเทศอิตาลีและสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งนี้ไม่มีรายงานว่าเขาทั้งสองคนลักลอบเข้ามาถึงตรงนี้ได้อย่างไร ผ่านทางนายหน้าหรือแอบมาเองโดยวิธีดังกล่าว แต่สุดท้ายแล้วเมื่อไม่มีเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทางตำรวจสวิตเซอร์แลนด์จำเป็นต้องส่งชายทั้งสองกลับไปยังประเทศอิตาลี ไปชมวินาทีที่เขาถูกจับได้กันดีกว่า รับรองว่าต้องอึ้งแน่นอน ว่าซ่อนไปได้ยังไง . นับถือในความพยายามจริงๆ อย่างว่าต้นทุนชีวิตเราไม่เท่ากัน เขาก็อยากไปหาสิ่งที่ดีกว่า ยังไงก็สู้ต่อไปนะ ซักวันต้องเป็นของพวกนายแน่นอน ที่มา Dailymail
-
เรื่องราวอันแสนเศร้าของเด็กๆ ผู้อพยพชาวซีเรีย ที่เกิดมาก็รู้จักแต่ชีวิตระหกระเหินเพื่อหนีภัยสงคราม…
สำหรับคำว่า ‘สงคราม’ แน่นอนว่าคงไม่มีคนดีๆ ที่ไหนชอบ เพราะว่าสงครามทุกสงครามล้วนแต่นำไปสู่ความสูญเสีย และชีวิตของผู้บริสุทธิ์เท่านั้น และที่หนักกว่านั้นคือทุกสงครามล้วนเกิดจากการขัดผลประโยชน์ของกลุ่มคนส่วนหนึ่งเพียงเท่านั้น… สถานการณ์ของโลกปัจจุบันคงไม่มีประเทศไหนที่จะหนักหนาไปกว่าซีเรียอีกแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการถือกำเนิดของกลุ่ม ISIS ในแถบนี้ ซึ่งทำให้ประชากรในพื้นที่ต้องกลายเป็นคนไร้บ้านและผู้อพยพจนต้องแตกกระจายไปใช้ชีวิตในหลายๆ ประเทศ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ในจำนวนผู้อพยพเหล่านั้นมีเด็กๆ ด้วยล่ะ… ผู้อพยพของซีเรีย จากข้อมูลของ U.N. รายงานว่าเด็กๆ จำนวนกว่า 3.7 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 เกิดในช่วงที่สงครามปะทุขึ้นในประเทศ และมากไปกว่านั้นเด็กๆ กว่า 306,000 ราย พอลืมตาดูโลกก็อยู่ในสถานะ ‘ผู้อพยพ’ ซะแล้ว และก็ได้ใช้ชีวิตแบบนั้นเรื่อยมาอย่างไม่มีทางเลือก… เด็กๆ กว่าร้อยละ 80 ของประเทศ หรือราวๆ 8.4 ล้านคนกำลังได้รับผลกระทบจากสงครามที่ระอุขึ้นในประเทศ ทำให้ต้องเดินทางลี้ภัยกระจัดกระจายไปตามประเทศต่างๆ จากการรายงานของ U.N. และมากไปกว่านั้น เด็กๆ ว่า 1,500…
-
เรื่องราวของ Kunkush แมวอพยพและหลงทาง สุดท้ายพบเจ้าของเดิมโดยบังเอิญ!!
นี่คือเรื่องราวของเจ้าเหมียวที่มีชื่อว่า Kunkush มันได้อพยพไปตามครอบครัวของมันจากเมือง Mosul ประเทศอีรัก สู่เกาะที่ชื่อว่า Lesbos ครอบครัวของเขาประกอบด้วยคุณแม่และลูกอีก 5 คน ระหว่างเดินทางนั้นมันก็ได้พลัดหลงกับครอบครัว สถานการณ์ตอนอพยพเป็นประมาณนี้ คงเป็นธรรมดาที่จะพลัดหลงกัน ครอบครัวก็ตามหากันอย่างหนักมาก มีการติดป้ายประกาศตามหาด้วยตามสถานที่ต่างๆ หลังจากนั้นมาไม่กี่วัน แมวก็ถูกพบโดยบังเอิญที่หมูบ้านแห่งหนึ่งที่นิยมการตกปลา แต่โชคไม่ค่อยดีนัก คนในหมู่บ้านบางคนไม่ค่อยจะชอบแมวเท่าไหร่ จนได้อาสาสมัครที่ชื่อว่า Amy Shrodes และ Ashley Anderson พาไปหาหมอ หลังจากอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก แล้วก็ตั้งชื่อใหม่ให้มันว่า Dias พร้อมกับทำเพจตามหาเข้าของด้วย หลังจากนั้นมา 5 สัปดาห์ ครอบครัวเดิมของเจ้าเหมียวก็ติดต่อกลับมา พร้อมให้ที่อยู่ปัจจุบัน ซึ่งพวกเขาย้ายไปที่นอร์เวย์แล้ว การพบกันอีกครั้งเริ่มต้นที่สไกป์ และเมื่อแมวสามารถขึ้นเครื่องบินได้แล้ว ก็ถึงเวลาที่เจ้าเหมียวจะกลับสู่ครอบครัวเดิมอีกครั้ง ที่มา ABC, The Dodo
-
ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียบอกเล่าประสบการณ์เสี่ยงตาย ว่ายน้ำข้ามทะเลกว่าเจ็ดชั่วโมงเพื่อเริ่มชีวิตใหม่
เราต่างก็ได้รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับความยากลำบากของชาวซีเรียที่สูญเสียทุกอย่างไป ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน เงินทอง รวมไปถึงชีวิต ซึ่งชาวซีเรียก็ได้กลายมาเป็นผู้ลี้ภัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสาเหตุของสงครามกลางเมืองอันวุ่นวาย ทำให้บ้านที่เคยอยู่กลายเป็นแดนสงคราม สงครามกลางเมืองในซีเรีย ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียต่างรู้ดีว่าชะตาชีวิตของพวกเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย หากยืดหยัดอยู่ในซีเรียก็คงมีค่าไม่ต่างไปจากการรอความตาย เพราะฉะนั้นหลายคนจึงเลือกที่จะทิ้งดินแดนเดิมของตนและลี้ภัยไปต่างประเทศ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางที่เฝ้าฝันเอาไว้ Ameer Mehtr ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่ว่ายน้ำข้ามทะเลจากตุรกีไปยังกรีซ แต่สำหรับ Ameer Mehtr ผู้ลี้ภัยที่เสี่ยงตายเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน จากการตัดสินใจวิ่งหนีสุดชีวิตไม่คิดหันหลังกลับ พึ่งพาร่างกายของตนเองเพื่อตามหาชีวิตใหม่ เนื่องจากเขาไม่มีเงินเพียงพอที่จะว่าจ้างคนพาข้ามประเทศได้ เขาได้รับการฝึกฝนการว่ายน้ำมาจากทีมชาติซีเรีย และด้วยการฝึกฝนที่ได้รับมาเขาจึงวางแผนที่จะว่ายน้ำข้ามทะเลเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในยุโรป ข้ามฝั่งจากประเทศตุรกีผ่านทะเลอีเจียนไปยังเกาะ Samos ประเทศกรีซ ก่อนที่จะว่ายน้ำข้ามทะเลด้วยระยะทางเพียงแค่ 4 ไมล์ (6.4 กิโลเมตร) นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาต้องเตรียมความพร้อมให้ร่างกายเสียก่อน ด้วยการฝึกว่ายน้ำในทะเลริมชายฝั่งในเมืองเบรุต ประเทศเลบานอน ซึ่งก็ได้ลี้ภัยมาอยู่ที่นี่ได้ซักระยะแล้ว ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียเดินทางข้ามละเทด้วยเรือยาง หลังจากนั้นในเดือนกันยายน เขารู้สึกว่าตอนนี้ร่างกายและจิตใจพร้อมที่จะไปแล้ว ก็ได้ทำการศึกษาแผนที่อย่างเคร่งครัดเพื่อที่จะค้นหาเส้นทางที่สั้นที่สุด จนกระทั่งถึงคืนที่ต้องไป เขาก็ได้ลักลอบเข้าเมือง Güzelçamlı ของประเทศตุรกี วิ่งหนีอย่างสุดชีวิตเพื่อหลบหนีการจับกุมของตำรวจตุรกี…
-
ภาพสุดเศร้าของ 400 กว่าชีวิต ที่อาศัยอยู่ในที่กบดาน หลังจากรุกรานด้วยห้างสรรพสินค้า
ช่างภาพท่านหนึ่งชื่อว่า Fredrik Lerneryd ได้บักทึกเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจในเมืองโจฮันเนสเบิร์ก เขาได้ทำงานที่นั่นอยู่เดือนสองเดือนในปี 2015 ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวที่เขาได้พบเจอมา ในกลางเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ไม่กี่นาทีห่างจากสถานีรถไฟ ได้มีสถานที่ลึกลับนามว่า “MOTH” ตั้งอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีคนเดินผ่านแถวนั้นเป็นร้อยเป็นพันคนต่อวัน แต่คนแถวนั้นกลับไม่เคยได้ยินเรื่องราวของสถานที่แห่งนี้เลย ที่ซึ่งเป็นที่หลบภัยของกลุ่มคนมากกว่า 400 ชีวิตที่อาศัยอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นที่ที่แออัด ไม่สะดวกสบาย ไม่ถูกสุขลักษณะ หรือพูดง่ายๆคือไม่มีกับการอยู่อาศัยเลย พวกเขาที่ย้ายที่อยู่ไปมาเสมอ จนได้มาเจอที่นี่เมื่อ 6 ปีแล้วได้มาเจอที่นี่ เพราะไม่สามารถอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆได้ พวกเขาอพยพมาจากบ้านหลังเก่า ซึ่งเคยเป็นอพาร์ทเม้นต์ และตอนนี้ก็ถูกทุบทิ้งแล้วกลายเป็นห้างสรรพสินค้าไปแล้ว พวกเขาได้บอกว่ามีสิทธิ์อยู่ที่นี่ได้อีก แต่อย่างมากที่สุดก็หนึ่งปีเท่านั้น คนที่อาศัยอยู่ที่นี่มีมากกว่า 400 คน แต่ละคนไม่มีห้องเป็นของตัวเอง ซึ่งเขาได้ใช้ผ้าในการแบ่งโซนแทน ซึ่งในกลุ่มนี้ ผู้หญิงจะมีหน้าที่ดูแลเด็กๆทั้งหมด อีกทั้งน้ำในที่นี้ยังเป็นน้ำเย็น ห้องน้ำส่วนมากก็ใช้การไม่ได้ ดังนั้นที่นี่จึงมีกลิ่นอบอวลไปด้วยอุจจาระของคน อนาคตของเด็กที่นี่มีบอกเลยว่าสั้นมากๆ เนื่องจากไม่มีเงิน ดังนั้นพวกเขาจึงแทบไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือหรือได้ไปโรงเรียนเลย 6 ปีที่ผ่านมานี้แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและเกิดขึ้น ที่อยู่อาศัยก็เริ่มเลวร้ายลง คนที่อยู่ที่นี่ก็เริ่มเครียด แต่ชีวิตข้างนอกนั้นก็ยังดำเนินต่อไป เห็นแล้วก็รู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก…
-
ศิลปินทั่วโลกร่วมวาดภาพเพื่อให้ “เด็กชาวซีเรีย 3 ขวบ” ที่จมน้ำเสียชีวิตตอนลี้ภัย
เมื่อช่วงเช้าในวันพุธที่ 2 กันยายน เราคงได้ข่าวอันน่าเศร้า เมื่อตำรวจตุรกีได้พบศพร่างไร้ชีวิตของเด็กชาย Aylan Kurdi วัย 3 ขวบที่จมน้ำตอนอพยพหนีมาจากซีเรีย ซึ่งพี่ชายของเขาวัย 5 ขวบ Ghalib และแม่ของเขา Rehan ก็เสียชีวิตจากการจมน้ำเช่นกันจากการหลบหนีออกจากซีเรียครั้งนี้ ภาพสุดสะเทือนใจนี้ก็ถูกแชร์ออกไปอย่างมาก เนื่องจากองค์ประกอบที่มองแล้วรู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก เผยให้เห็นถึงความอันตรายและโหดร้ายของการอพยพในครั้งนี้ แต่แล้วภาพนี้ก็ไปถึงสายตาของศิลปินจากทั่วโลก พวกเขาจึงรวมใจกันสร้างผลงานเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ขึ้นมา เราไปชมกันเลย นี่คือภาพต้นฉบับที่โด่งดัง และนี่คือภาพที่ศิลปินทั่วโลกสร้างขึ้นมา 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13. 14. 15. 16.…